บทที่ 12 เสียงจากหัวใจ(ครึ่งหลัง)
วิทยานั่งเหม่ออยู่ในรถ หลังจากได้รับฟังเรื่องราวจากปากเพื่อนที่ตนแอบรักมานานทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือกลับบ้านแต่ใจที่อ่อนล้าพาให้ร่างกายหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไร เขานั่งจมอยู่ในรถมาร่วมชั่วโมงเศษแล้ว กุญแจก็เสียบคาอยู่
เขาสตาร์ทรถ มือจับพวงมาลัยเตรียมจะเหยียบคันเร่งแต่แล้วก็กลับถอนหายใจดับเครื่องแล้วซบหน้าลงบนพวงมาลัย วนเวียนอยู่แบบนี้เป็นวัฏจักรซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนตะวันตกดินและฟ้าเริ่มมืด เสียงฝีเท้าเดินมาตามทางของลานจอดรถดังแว่วมา แต่วิทยาไม่สนใจ ที่นี่เป็นลานจอดรถของโรงพยาบาลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนมา แม้เสียงฝีเท้าจะเข้ามาใกล้มากแต่เขาก็ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะเบาๆ ลงบนกระจกรถฝั่งคนขับปลุกให้หนุ่มหน้าตี๋สะดุ้งตื่นจากภวังค์ของความคิด เขาหันไปมองด้วยความตกใจแต่แล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้จะไม่อยากเจอแต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า
“สวัสดีครับหมอจิว” รติพัทธเรียก ใบหน้ายิ้มแป้น “ในที่สุดก็หาคุณเจอจนได้ โชคดีจังที่คุณยังไม่กลับบ้าน ไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ”
“ไปไกลๆ เลยไป วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับนาย”
ผู้หมวดหนุ่มกำลังจะเล่นลิ้นต่อตามประสาแต่แล้วท่ามกลางแสงสลัวในลานจอดรถ เขาก็สังเกตเห็นขอบตาที่บวมช้ำ นัยน์ตาที่แดงก่ำและสีหน้าอมทุกข์ที่เหมือนกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบของคนที่นั่งอยู่ในรถ “ใครทำอะไรคุณ” เขาถามเสียงเครียดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีใครทำอะไรฉันทั้งนั้น หรือถ้าจะมีก็คงเป็นนายนี่แหละ”
“งั้นมานี่เลย” จู่ๆ รติพัทธก็เลือดขึ้นหน้า เขาไม่ได้โกรธที่ถูกต่อว่าแต่เขาโกรธว่าใครกันที่เป็นคนมาทำให้วิทยาอยู่ในสภาพแบบนี้ และเมื่อคำตอบที่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวคือปาวัสม์มันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากกว่าจะสนุกเหมือนที่ผ่านๆ มา
“นั่นนายจะทำบ้าอะไร” วิทยาร้องเสียงหลงเมื่อรติพัทธเปิดประตูรถแล้วจับเขาโยนไปนั่งฝั่งข้างคนขับและมุดขึ้นรถมานั่งแทนที่ วิทยาพยายามขัดขืน ทั้งผลักทั้งดันรติพัทธออกไป
“ก็ถ้าในเมื่อผมจะโดนคุณต่อว่าตั้งแต่ยังไม่ได้ทำอะไร” รติพัทธคว้าข้อมือทั้งสองของวิทยาไว้และรวบไว้ในมือข้างหนึ่ง “ผมก็ขอทำอะไรให้สมกับที่โดนหน่อยก็แล้วกัน” เขาพูดเสียงดังและมันไม่ใช่การขู่ ร่างสูงใหญ่โน้มตัวข้ามคนตัวเล็กกว่าไปคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ ก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกไป
“นายจะพาฉันไปที่ไหน!”
“นั่งไปเงียบๆ เดี๋ยวก็รู้เอง”
“อย่ามาเสียงดังใส่ฉันนะ เจ้าเด็กบ้านี่!” วิทยาคว้าไหล่รติพัทธ “จอดรถเดี๋ยวนี้นะ!”
รติพัทธกระทืบเท้าลงบนเบรคทันทีตามคำขอ รถที่ขับมาด้วยความเร็วสูงหยุดกึกกลางถนน ทั้งสองหน้าเกือบทิ่มกับคอนโซลรถจากแรงเฉื่อย โชคดีที่ทั้งคู่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ แต่รถที่ขับตามมาข้างหลังเกือบจะไม่โชคดี เสียงบีบแตรรถยาวด้วยความโมโหลากดังก้องทั้งท้องถนน
“นี่นายเป็นบ้าอะไรจู่ๆ ก็หยุดรถ” วิทยาเหลียวมองด้านหลังเลิกลั่ก ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
“ก็คุณเป็นคนบอกให้ผมหยุดเองไม่ใช่เหรอ” รติพัทธคว้ามือทั้งสองข้างของวิทยาแล้วกระชากเข้าหาตัว “เลิกเสียงดังแล้วทำตัวดีๆ นั่งไปเงียบๆ ไม่งั้นคุณก็จะได้รู้เดี๋ยวนี้แหละว่าไอ้เด็กบ้าคนนี้จะทำอะไรบ้าๆ ได้อีกบ้าง”
หนุ่มหน้าตี๋แสยะยิ้มยั่วอย่างไม่กลัวเกรง “‘เด็ก’ ปากดีอย่างนายจะมีปัญญาทำอะไรได้”
รติพัทธดึงคนตัวเล็กเข้ามาใกล้จนแทบจะนั่งบนตัก เขากรีดยิ้มกว้างกว่า และยื่นหน้าเข้าไปใกล้เสียจนเกือบจะชิด “อยากรู้เหรอว่าเด็กอย่างผมจะทำอะไรได้” ก้มหน้าลงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู “ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก แต่ขอเตือนไว้ก่อนละกันว่าของบางอย่างไม่ได้ใช้ปัญญาทำ” และแกล้งพ่นลมใส่หูหนุ่มหน้าตี๋จนขนแขนลุกชูชันและสะบัดตัวหนีไปจนชิดประตูอีกฝั่ง
ใบหูของวิทยาเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ เขาอยากจะอ้าปากเถียงต่อแต่ก็เปลี่ยนใจกัดริมฝีปากไว้
รติพัทธมองคนที่กำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขาด้วยหางตาแล้วอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ นี่เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าผู้ชายคนนี้น่ารัก บางสิ่งที่อยู่ภายใต้เสื้อที่สวมไว้เต้นกระทบผนังอกจนเขารู้สึกได้ราวกับมันกำลังพยายามเคาะบอกอะไรบางสิ่ง
“นั่งดีๆ นะครับ”
รติพัทธแกล้งพูดเสียงเข้มและสตาร์ทรถอีกครั้ง อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย ปลายเท้าที่กดเหยียบคันเร่งราวกับจะกดปิดเสียงที่ดังอยู่ในอก
เปล่า... เขาไม่ได้อยากจะปฏิเสธหรือเก็บซ่อนมันไว้ แต่เขาจะไปอยากได้ยินสิ่งที่มันอยากจะบอกทำไมล่ะในเมื่อตอนนี้เขารู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร
OOOOOO
“คุณดื่มเยอะเกินไปแล้วนะครับ” รติพัทธบอกพลางดึงแก้วเหล้าออกจากมือบาง เริ่มนึกเสียใจที่พาวิทยามาที่นี่ ทีแรกเขาแค่คิดอยากจะให้ชายหนุ่มได้ดื่มและระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่าหนุ่มหน้าตี๋กลับซดเหล้าหมดเป็นขวดๆ ไวเสียยิ่งกว่าน้ำเปล่าจนเขาตกใจ
“ช่างฉัน”
วิทยาบอกพร้อมทั้งเอื้อมมือมาแย่งแก้วคืนแต่ด้วยความสูงและโครงสร้างร่างกายที่เล็กกว่าจึงไม่มีทางไหนเลยที่เขาจะเข้าถึงตัวอีกฝ่าย วิทยาจึงเปลี่ยนเป้าหมาย เขาหันไปคว้าขวดเหล้าและยกขึ้นซดเพียวๆ ก่อนจะสำลักให้กับความขมที่บาดคอและกระแทกขวดเหล้าที่เหลือลงบนโต๊ะ
“บอกฉันทีว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เมื่อเหล้าเข้าปากความจริงที่อยู่ลึกที่สุดของใจก็เริ่มพรั่งพรู “ใช่! นายมันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ปืน... ฉันอุตส่าห์ตั้งปฏิญาณไว้แล้วว่าจะอดทนว่าจะไม่พูดจะยอมเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว ทำใจแล้วกับรักข้างเดียวที่ไม่มีวันสมหวังเมื่อนายไม่ใช่เกย์ แล้วทำไมล่ะปืน ในเมื่อนายรักผู้ชายคนนั้นได้แล้วที่ฉันอดทนมาเกือบยี่สิบปีนี่เพื่ออะไร มันเรื่องบ้าอะไร!!”
“หมอจิว!” รติพัทธร้องอย่างอ่อนใจ จริงอยู่ว่าทีแรกเขาตั้งใจจะมอมเหล้าวิทยาให้เมา แต่ครั้นเอาเข้าจริง พอได้เห็นคนตรงหน้าเมาและเริ่มฟูมฟายกลับกลายเป็นเขาเองที่รู้สึกเจ็บแทนจนทนไม่ได้ “พอเถอะครับผมขอร้อง” คนๆ หนึ่งทำไมต้องอดทนเก็บความรักเพื่อใครสักคนมานานขนาดนี้ นั่นเป็นเรื่องที่เพลย์บอย อย่างเขาไม่เคยเข้าใจสักนิด
เขาคิดว่ารักเป็นสิ่งสวยงามแต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่จีรัง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีรักก็ควรรีบฉกฉวยความสุขจากรักนั้นไว้ก่อนที่มันจะจบลง และบังเอิญที่ความรักของเขามันก็ยาวพอแค่วันไนท์แสตนด์
“ไม่พอ” วิทยายกขวดเหล้าขึ้นซดอีก “ขอเถอะวันนี้ฉันอยากเมา ฉันอยากลืมเรื่องปืนให้หมด”
“เหล้ามันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอกนะครับ” รติพัทธคว้าร่างบางที่กำลังซวนเซไว้ไม่ให้ล้มและสามารถชิงเอาขวดเหล้ามาจากคนเมาได้สำเร็จ
“ใช่!” วิทยาตอบขึ้นมาจากอ้อมอกที่เขายืนพิงไว้ “เหล้าไม่ใช่คำตอบแต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ฉันลืมคำถาม... ลืมว่าครั้งนึงฉันเคยรักเขามากขนาดไหน”
รติพัทธโอบมือรอบแผ่นหลังชายหนุ่มที่สั่นสะท้าน “คุณอยากลืมจริงๆ เหรอ”
วิทยาชกมือเปะปะลงบนหน้าอกกว้าง “ใช่! เพราะงั้นส่งเหล้ามาให้ฉันได้แล้ว”
“เหล้ามันทำให้ตับพัง” รติพัทธกระชับวงแขนแน่นขึ้นเล็กน้อยและก้มหน้าลงกระซิบถ้อยคำที่ข้างหู “คุณลองอย่างอื่นดีกว่า นอกจากเมาแบบไม่ทำลายสุขภาพแล้วยังมีความสุขอีกด้วย”
“จริงสินายเป็นตำรวจนี่” ใบหน้าแดงก่ำของคนเมาเงยขึ้นมาด้วยความสนใจ “ไหนนายมียาอะไรมาเสนอฉัน”
“สัญญามาก่อนสิว่าถ้าลองแล้วคุณจะไม่เสียใจ”
“เอามาลองก่อนสิ”
ริมฝีปากกรีดยิ้มพราวระยับไปจนถึงนัยน์ตา “ถือว่าคุณสัญญาแล้วนะ”
ร่างสูงกว่าก้มหน้าลงต่ำและประกบริมฝีปากตนลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายที่แม้เมามายเต็มที่หากยังปิดสนิทอย่างขัดขืน แต่รติพัทธไม่เร่งรัดเขาขบเม้มกลีบปากบางพร้อมทั้งใช้ปลายลิ้นสัมผัสหยอกเย้าเบาๆ ก่อนจะถอนริมฝีปาก
“นายทำอะไรน่ะ” วิทยายกหมัดขึ้นเงื้อแต่แรงคนที่ไม่เคยออกกำลังกายซ้ำยังเมาหรือจะสู้คนออกกำลังทุกวันได้
“คุณสัญญาแล้วนะว่าจะไม่เสียใจ” รติพัทธกระซิบ ริมฝีปากยังคลอเคลียอยู่แถวจมูกอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน “มาเมาไปกับผมเถอะนะหมอจิว คืนนี้ผมจะดูแลคุณเอง”
“ผู้ชายฉวยโอกาสอย่างนายนี่มัน...”
“เอาเถอะครับจะด่าผมยังไงก็ได้เพราะผมไม่ใช่พระเอกของคุณมาตั้งแต่ต้นแล้วนี่” สิ้นคำรติพัทธก็ประกบปากลงมาอีกครั้ง ที่ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่เต็มใจแต่คนตัวเล็กกว่าก็ยินยอมให้เขารั้งร่างเข้าแนบชิด
OOOOOO
วิทยาลืมตาตื่นขึ้นในความมืด แม้จะเมามายแต่เขาก็ไม่ได้ขาดสติถึงขั้นไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป นัยน์ตาเล็กตี่เหลียวมองร่างกำยำที่ตอนนี้เขาหนุนนอนต่างหมอนไว้ ร่างนั้นกำลังหลับสนิทสังเกตได้จากเสียงกรนเบาๆ ที่ลอดออกมาจากริมฝีปาก
วิทยาดันกายลุกขึ้นนั่งรู้สึกเวียนหัวอย่างที่สุดแต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาจะสามารถจากไปก่อนที่อีกฝ่ายจะลืมตาตื่น พอแล้วล่ะกับความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเพราะเพลย์บอยอย่างรติพัทธคงคิดไม่ต่างกัน ไม่สิ! หมอนี่ก็หวังแค่ร่างกายเรามาแต่แรกอยู่แล้วนี่ เขายันตัวจะลุกขึ้นยืนเมื่อพบว่าเอวของเขาถูกโอบรัดไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรงของผู้หมวดหนุ่ม
“ปล่อยได้แล้ว” วิทยากระซิบ หากร่างนั้นกลับขยับตัวเข้าหาและกอดแน่นขึ้นอีกราวกลับรู้ว่าเขากำลังพยายามจะหนีไป “อย่ามาทำเหมือนคนรักกันน่า” พึมพำในลำคอพร้อมทั้งออกแรงแกะแขนอีกฝ่ายออกจากตัวก่อนจะควานเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่รอบห้องมาสวมใส่และกลับออกไปเงียบๆ
“เพิ่งสังเกตนะว่าแมนชั่นหมอนี่หรูเอาเรื่อง” วิทยาตั้งข้อสังเกตเมื่อมาถึงที่จอดรถและขับออกไป ฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่หัววันเริ่มตกพรำๆ “เอาไงดีพรุ่งนี้เข้าเวรเสียด้วย จะกลับไปนอนบ้านหรือว่าไปอาบน้ำที่โรงพยาบาลดีนะ”
พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนในชุดหมีสีดำคาดแถบสีส้มสะท้อนแสงโบกไฟขอทางอยู่ข้างหน้า เขาแตะเท้าเหยียบเบรกทันที และลดกระจกลงถาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอน้อง”
“รถชนกันสามคันน่ะพี่ คนเจ็บเต็มเลย” คนในชุดหมีตอบ “พี่รีบไปเถอะรถติดจะแย่แล้ว เดี๋ยวรถพยาบาลจะฝ่าเข้ามาไม่ได้”
ได้ยินดังนั้นวิทยาก็ชิดรถเข้าข้างทาง เปิดไฟผ่าหมากและกระโดดลงจากรถ
“เฮ้ย! พี่ทำอะไรน่ะ ผมบอกให้พี่รีบไปไง”
“ผมเป็นหมอ” วิทยาตอบ “คนเจ็บอยู่ไหน”
“คุณหมอทางนี้ครับทางนี้” เจ้าหน้าที่กู้ภัยส่งสัญญาณเรียกเขามาจากกองของสิ่งที่เคยเป็นยานพาหนะสองคันที่ตอนนี้บี้แบนจนแทบจะเป็นคันเดียวกัน และถัดออกไปไม่ไกลรถอีกคันหงายหลังเอาล้อชี้ฟ้าสภาพยับเยินไม่ต่างกัน
วิทยาพุ่งไปที่ร่างคนเจ็บที่ยังติดอยู่กับซากรถฝั่งข้างคนขับ เขาไม่ได้สติแต่ยังคงหายใจ
“คุณหมอช่วยดูเขาไว้ทีนะครับ ระหว่างนี้พวกผมจะพยายามตัดเอาประตูนี่ออก”
“แล้วคอลล่าร์ (Collar) ล่ะครับ” วิทยาถามถึงอุปกรณ์สำหรับประคองคอขณะเคลื่อนย้าย
“คนเจ็บมีจำนวนมากเกินไปครับคุณหมอ อุปกรณ์ของเรามีไม่พอ” เจ้าหน้าที่กู้ภัยตอบ “ฝนตก รถติดแบบนี้จะรอหน่วยอื่นมาช่วยคงไม่ทันการ”
“เดี๋ยวก่อนครับ” วิทยาบอกพลางมุดเข้าไประหว่างช่องหน้าต่างที่แตกออก “พวกคุณอย่างเพิ่งขยับ ผมจะเซฟคอเขาไว้ด้วยมือเอง”
“คุณหมอมันอันตรายระวังตัวด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ ผมรู้ความเสี่ยงดี พวกคุณรีบจัดการเถอะ”
ในที่สุดเขาก็พาคนเจ็บออกมาได้ แม้จะในสภาพทุลักทุเลแต่ก็ปลอดภัยและใช้เวลาน้อยกว่าที่คาดไว้
“คุณครับตื่นๆ” วิทยาเรียกปลุกจนคนเจ็บเริ่มรู้สึกตัว “คุณประสบอุบัติเหตุ ผมและหน่วยกู้ชีพกำลังช่วยคุณอยู่ คุณปวดคอไหมครับ”
คนเจ็บส่ายหน้า “ปวดหัว”
“ครับ คุณมีแผลที่หัวครับ” วิทยาบอก “คุณขยับนิ้วมือ ได้ไหมครับ” คนเจ็บทำตามอย่างว่าง่าย “นิ้วเท้าล่ะ... เยี่ยมครับ ตอนนี้ผมต้องไปดูแลคนอื่นคุณนอนรออยู่ตรงนี้เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะเอาเปลมารับคุณไปส่งโรงพยาบาลนะครับ “
“คุณหมอครับมาช่วยทางนี้หน่อยครับ”
“ได้ครับ” วิทยาลุกขึ้นยืนและกำลังออกวิ่งเหยาะๆ ไปเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูและพบว่ามาจากรติพัทธ เขากดตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่ลังเล เพราะเขาไม่ยังอยากคุยและต้องการตั้งสมาธิกับการช่วยคนเจ็บตรงหน้ามากกว่าด้วย
“คุณหมอครับทางนี้ครับ”
วิทยาโบกมือให้สัญญาณว่าได้ยินแล้ว เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมาดูอีก ได้แต่ปล่อยให้มันดังจนสายตัดไปเองอยู่อย่างนั้น
“เสียงโทรศัพท์คุณหมอหรือเปล่าครับ” หนุ่มกู้ชีพคนหนึ่งทักขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ปริศนาดังต่อเนื่องไม่หยุด กะคร่าวๆ อย่างน้อยก็น่าจะร่วมสิบสายแล้ว
“ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอก” วิทยาบอกอย่างไม่ใส่ใจพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตัดสาย “รีบไปช่วยทางโน้นต่อเถอะ” พร้อมกับลุกเดินกึ่งวิ่งนำไปยังอีกฟากหนึ่งของถนนที่ยังมีคนเจ็บนอนอยู่
ทันใดนั้นท่ามกลางความมืดสลัว แสงไฟสูงจากไฟหน้ารถส่องกราดมาจนทำให้สองตาของเขาพร่ามัว วิทยาได้ยินเสียงบีบแตรยาวพร้อมกับเสียงตะโกนแต่ว่าทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนเขาไม่อาจตั้งตัว
“คุณหมอ! ระวัง!”
เอี๊ยด! โครม!
ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปราย วิทยานอนหงายอยู่บนพื้นถนนมองท้องฟ้าเวิ้งว้างสีดำสนิท นึกไม่ออกว่าเกิดอะไรเพิ่งขึ้นกับเขา ร่างกายไม่รับรู้แม้กระทั่งความเจ็บปวด ไม่ได้ยินแม้เสียงอึกทึกรอบตัว สิ่งเดียวที่รับรู้ในตอนนี้คือเสียงโทรศัพท์ในมือที่ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด ซึ่งในที่สุดเขาก็ยอมกดรับสายและยกขึ้นแนบหู
‘หมอจิว นี่คุณอยู่ไหนทำไมจู่ๆ ก็ออกไปล่ะ บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าตื่นก่อนก็ให้ปลุกผมด้วยเดี๋ยวจะออกไปส่ง’ เสียงรติพัทธดังแหวกอากาศขึ้นมาทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาหงุดหงิดมากขนาดไหน
“ไม่จำเป็น” วิทยากรอกเสียงลงไป
‘ไม่จำเป็นได้ไงครับ’ รติพัทธยังไม่เลิกเสียงดัง ‘ก็ผมเพิ่งจะ... เอาเป็นว่าผมเป็นห่วงคุณนะครับหมอจิว ให้โอกาสผมได้ดูแลคุณเถอะนะครับ’
“ไม่จำเป็น”
‘ไม่จำเป็นอะไรครับ นี่หมอจิว...’ และเขาคงจะโวยวายต่อเนื่องถ้าไม่ใช่ด้วยประสบการณ์ของการเป็นตำรวจทำให้เขาคุ้นชินกับเสียงไซเรนและนึกเอะใจทันทีในความไม่ปกติแม้มันจะเป็นเพียงเสียงที่ดังแว่วผ่านตามมาสายโทรศัพท์ก็ตาม ‘นั่นเสียงรถหวอนี่ เกิดอะไรขึ้น... ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนปลอดภัยดีใช่ไหม!’
ถึงตอนนี้วิทยาเริ่มขยับริมฝีปากตอบคำถามอย่างยากเย็น “ไม่เป็นไร” พูดได้เท่านั้นสติก็ดับวูบ โทรศัพท์หลุดจากมือตกลงข้างตัว ในขณะที่ปลายสายยังคงตะโกนเรียกไม่หยุด
เขาได้ยินเสียงที่กำลังตะโกนคล้ายคนกำลังเป็นบ้า เสียงคนโหวกเหวกโวยวาย ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเม็ดฝนที่หล่นกระทบหน้า แต่ทำไมนะเขาถึงไม่ได้ยินเสียง... หัวใจตัวเอง
*********************************************************************************************
ก็ยังคงยืนยันกระต่ายขาเดียวว่านี่ feel good
ที่แรกว่าจะลงแค่ครึ่งแรก แต่เราว่าเราโดนฆ่าปาดคอแน่เพราะมันค้างก็เลยกลั้นใจลงจนจบ
หมอจิวก็หลวมตัวเมาไปกับแล้วสินะ

(มา! จะมมาม่า ไข่เจียว ไข่ลูกเขย เอามาเทรวมกันซะเลย... แต่เราอยากกินไข่หมอ เอ๊ย! ไม่ใช่!.... ไข่ไรดีแว้ ตบมุกตัวเองไม่ลงอ่า)
ตอนหน้า ไม่สปอยชื่อตอนล่ะ แต่จะแอบกระซิบว่าจะคลายปมแล้ว
เรื่องดำเนินมาจนเกือบจะถึง 'นาที่สุดท้ายของหัวใจ' เต็มที่แล้ว
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กันเสมอมานะคะ^^ ทั้งRecommendดีๆ และรีวิวน่ารักๆ
ปล.แอบเห็นคนเชียร์น้องเทมส์... อยากบอกนี่ก็เชียร์ เบื่อหมอปืนเต็มทีล่ะ รักไม่รักก็เอาสักทีสิปัดโธ่ววววววววววววววววววว!