สวัสดีครับ
ยังเหลือคนอ่านอยู่อีกไหมนี่? รู้สึกกระทู้มันดันลงไวเหลือเกิน ฮะๆๆ
ไม่เป็นไร ไว้รออ่านรอเม้นต์ตอนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้นะครับ (คิดว่าเรตติ้งดีขนาดนั้น?)
ลงต่อละนะครับ
HAKURO_KOKURO
Lock on You 10
“ฉันว่าฉันคิดผิดที่เอาฟุยุกิคุงไปฝากให้นายดูแล”
“หา?” คิริฮาระชะงักตะเกียบที่กำลังคีบซูชิเข้าปาก
“นายทำฟุยุกิคุงเสียใจแล้ว” นัตสึเมะว่าพลางหยิบจานซูชิลงมาจากรางเลื่อน วันนี้พวกเขาเปลี่ยนบรรยากาศมากินซูชิรางเลื่อนเหมือนเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง
คิริฮาระรีบเอาซูชิเข้าปากก่อนจะถาม “ฉันไปทำให้ฟุยุกิคุงเสียใจตั้งแต่เมื่อไร?”
นัตสึเมะมองหน้าเพื่อนแล้วหรี่ตา “ไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งไม่รู้?”
“ก็แล้วมันเมื่อไรกันล่ะ? ตอนพาไปเที่ยวโอไดบะเหรอ?” นักดนตรีหนุ่มดูงุนงงเอามาก ๆ
ไม่มีเค้าโกหกอะไรในใบหน้านั้น และนัตสึเมะก็แน่ใจว่าคิริฮาระไม่มีอะไรปิดบังเขา คิริฮาระก็เป็นของคิริฮาระอย่างนี้แหละ อย่างที่คิโยฮารุพูดไม่มีผิด...ยูคุงน่ะ โง่เรื่องแบบนี้จะตายไป...
ใช่...นัตสึเมะถอนใจพลางคีบซูชิใส่ปาก...โง่กว่าที่เขาคิดด้วยซ้ำ...
คิริฮาระไม่เข้าใจหรอกว่าการที่ตนไปกระดี๊กระด๊ากับคนรักที่เพิ่งกลับมาจากเยอรมันนั้นทำร้ายฟุยุกิแค่ไหน ตรรกะของคิริฮาระก็คือ ในเมื่อเป็นคนที่เขาไม่ได้มีใจด้วย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่นับเป็นการทำร้ายแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการที่เขากลับไปจี๋จ๋ากับคิโยฮารุก็ย่อมไม่ใช่การทำให้ฟุยุกิที่เขาเห็นเป็นน้องชายเสียใจเป็นแน่
“นายพูดมาตรง ๆ เลยดีกว่า นัตสึเมะ มัวแต่อมพะนำทำเท่อยู่แบบนั้นน่ะฉันไม่เข้าใจหรอกนะ” คิริฮาระทำเสียงเข้ม บอกให้รู้ว่าตัวเขาก็สนใจคำพูดของนัตสึเมะขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ฉันทำให้ฟุยุกิคุงเสียใจตั้งแต่เมื่อไร?”
น้ำเสียงคาดคั้นทำให้นัตสึเมะเลิกที่จะบ่ายเบี่ยง “ตั้งแต่คิโยฮารุคุงกลับมา”
“เอ๋?”
กะแล้วว่าต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้...นัตสึเมะถอนใจอีก
“มันเรื่องอะไรกันล่ะ? เกี่ยวอะไรกับคิโยฮารุ?” คิริฮาระดูแตกตื่น
“ฟุยุกิคุงชอบนายน่ะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้”
“เขาอยากเป็นคนรักของนาย”
คิริฮาระเบิกตากว้าง ก่อนจะมีสีหน้าลำบากใจแบบที่แทบไม่เคยปรากฏให้เห็น
“แต่...ฉันคิดกับฟุยุกิคุงแค่น้อง...”
“ฉันรู้...แต่นั่นก็เป็นความจริง เด็กคนนั้นเจ็บปวดที่รู้ว่านายมีคนรักแล้ว เลยพยายามหลบหน้านายไง”
“แบบนั้นเองเหรอ...” คิริฮาระทำหน้าจ๋อย “มิน่า...ไม่มาฟังเพลงเลย”
“อกหักครั้งแรก ก็เลยยังทำใจไม่ได้น่ะ” นัตสึเมะยักไหล่แล้วคีบซูชิใส่ปากอีก
“แล้ว...นายได้เจอฟุยุกิคุงบ้างมั้ย?”
“ก็เจอบ้าง” ร่างสูงแบ่งรับแบ่งสู้ แม้ว่าความจริงแล้วเขาจะไม่ด้พบฟุยุกิเลยตั้งแต่วันที่ปล่อยไปกับโทโมกิ
“เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็หงอยไปตามระเบียบแหละ คนอกหักใครจะร่าเริงได้”
คิริฮาระวางตะเกียบ “ฉัน...รู้สึกผิดจัง”
น้ำเสียงที่ออกมาจากใจทำให้นัตสึเมะอดเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงฟุยุกิคุงจะเสียใจก็ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก นายก็แค่รักคิโยฮารุคุง และจังหวะของฟุยุกิคุงมันไม่เหมาะเท่านั้นเอง”
“ฉันควรจะทำยังไงดี?”
“ไม่ต้องทำหรอก นี่เป็นเรื่องที่ฟุยุกิคุงต้องผ่านไปด้วยตัวเอง นายทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากจะทิ้งคิโยฮารุคุงหามาฟุยุกิคุง”
“บ้า! ใครจะไปทำได้วะ” คิริฮาระตวัดหางตาขว้างค้อนวงใหญ่
“ก็นั่นสิ” พูดแล้วนัตสึเมะก็หัวเราะ “กินต่อเถอะ ขอโทษที่ขัดจังหวะการกินนะ”
แต่คิริฮาระยังคงคิดอะไรต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างแล้วพูดออกมา
“ยังมีวิธีแก้ไขอยู่นี่นา”
“ยังไง?” เจ้าของร้านกาแฟถามพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ
“นายก็ดูแลฟุยุกิคุงเสียเองไงล่ะ”
นัตสึเมะถึงกับสำลัก “ฉะ...ฉันเนี่ยนะ!?”
“ก็นายน่ะสิ นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนอยากดูแลเด็กคนนั้นจนต้องเอามาฝากฉันไว้น่ะ”
“มะ...มันก็ใช่...”
“ตอนนี้ฉันทำฟุยุกิคุงเสียใจแล้ว เพราะงั้น...นายเอากลับไปดูแลเองซะ” คิริฮาระยิ้มกว้างเหมือนแมวเจ้าเล่ห์
“จะบ้าเรอะ ไม่ได้หรอก”
“ทำไมจะไม่ได้?”
“คนอย่างฉันเนี่ยนะ...ไม่ได้หรอก”
“คนอย่างนายแล้วจะทำไม...?” นักดนตรีหนุ่มหรี่ตา “อ้อ...เรื่องตัวปัญหาของนาย...ใช่มั้ย?”
“นายก็รู้ดีอยู่แล้ว...”
คิริฮาระถอนใจและทำหน้าเบื่อหน่ายออกนอกหน้า “ทุกที...ต้องมีเรื่องนี้มาขัดทุกที ไม่เคยทำอะไรกับมันได้เลย ยัยผู้หญิงพรรค์นั้น...!”
“คิริฮาระ...พอได้แล้ว” นัตสึเมะปรามด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”
“เดี๋ยวนายก็พูด...พูดเยอะด้วย”
“เชอะ! เกลียดชะมัด คนรู้ทันเนี่ย” คิริฮาระพ่นลมออกจมูกอย่างฉุนเฉียวแล้วแย่งซูชิของนัตสึเมะมากิน
“พาลอีกแล้ว” นัตสึเมะส่ายหน้าแล้วหันไปหยิบซูชิแบบเดียวกับที่คิริฮาระแย่งไปลงจากรางเลื่อน “แต่เพราะแบบนี้แหละ ฉันถึงดูแลฟุยุกิคุงไม่ได้ไง”
“...ทั้งที่อยากทำอย่างนั้นจนตัวสั่นน่ะนะ”
“ไม่ขนาดนั้นเสียหน่อย”
“แสดงออกขนาดนั้นยังหน้าด้านเถียงอีก” ว่าแล้วคิริฮาระก็ถอนใจ “นายจะมีความสุขมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ นัตสึเมะ?”
“ฉันมีความสุขแล้วน่า”
“ไม่จริงหรอก” คิริฮาระสวนทันควัน “คนที่นายแคร์กำลังเป็นทุกข์ นายไม่มีทางมีความสุขหรอก”
คำพูดนั้นแทงใจ แต่นัตสึเมะไม่ได้ตอบอะไร คิริฮาระมองออกทุกอย่างรวมไปถึงความทุกข์และปัญหาเรื้อรังของเขา แต่เป็นตัวเขาเองที่ยังไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองดี และเขาเลือกที่จะทำอย่างที่คิโยฮารุบอก...รอ...จนกว่าทุกอย่างจะชัดเจน
...
ซากุระเริ่มร่วงแล้ว ช่วงเวลาแห่งความงดงามของมันในแต่ละปีสั้นนิดเดียว ดังนั้นทุกคนจึงตื่นตัวและให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง ฟุยุกิเองก็เคยให้ความสำคัญกับการชมซากุระเสมอ แม้จะไม่ได้ไปกับเพื่อนเรียนหรือกับทางบริษัท แต่ก็มักจะนั่งชมซากุระย้อยกิ่งที่มีอยู่เพียงต้นเดียวในสวนที่บ้าน หากปีนี้เขามีเรื่องวุ่นวายใจเกินกว่าจะชื่นชมความงามของดอกไม้ได้ ถึงจะได้นั่งชมซากุระกับโทโมกิ แต่ใจเขายังคงจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น...เมื่อรู้สึกตัวอีกที ดอกไม้ก็เริ่มร่วงแล้ว
ซากุระ...แม้จะร่วงก็ยังสวยงาม กลีบดอกสีจาง ๆ ที่พร้อมใจกันทิ้งก้านพลิ้วลงมาตามสายลมดูราวกับม่านหิมะ สวยจนฟุยุกิอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตที่เหมือนกำลังร่วงหล่นของตนจะสวยได้สักเศษเสี้ยวของซากุระหรือไม่
การได้ไปบ้านโทโมกิและได้พบกับคนรักที่กลายเป็นเจ้าชายนิทราของโทโมกิ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าโลกของตนเปลี่ยนไป มุมมองบางอย่างในชีวิตเปลี่ยนไป เหมือนมีบางสิ่งกระจ่างใสขึ้น...แต่ความมืดมนในใจก็ยังคงอยู่ ราวกับมีฟุยุกิอยู่สองคน...คนหนึ่งคือฟุยุกิคนเดิมที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์และความเศร้าของตน ส่วนอีกคนคือฟุยุกิที่กำลังเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มองเห็นโลกกว้างขึ้นมากกว่าตัวเอง แต่ฟุยุกิคนนี้ยังเป็นแค่หน่ออ่อนที่ยังไม่เติบโตดี ยังมีบางอย่างซึ่งจำเป็นต่อการเติบใหญ่ที่ยังขาดไป แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เลิกงานแล้ว ฟุยุกิเดินเตร็ดเตร่อยู่ละแวกที่ทำงานเพราะยังไม่นึกอยากกลับบ้าน วันนี้เป็นวันพุธซึ่งนัตสึเมะปิดร้านและตอนนี้คิริฮาระก็คงกำลังเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนอยู่เป็นแน่ ในเวลาแบบนี้ฟุยุกิรู้สึกเหมือนไม่มีที่ไป กลับบ้านไปก็ต้องอยู่คนเดียว...ไม่สิ ช่วงนี้มิโนรุพาแฟนมาที่บ้านบ่อย ๆ จะเรียกว่าพามาเปิดตัวก็ไม่ผิด และฟุยุกิไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอเท่าไรนัก
ในสภาพแบบนี้ ฟุยุกิคิดว่าควรจะหาที่อยู่อาศัยของตัวเองไว้แต่เนิ่น ๆ เขาจึงมักไปด้อม ๆ มอง ๆ ตามป้ายประกาศของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพื่อหาดูห้องที่ถูกใจ แต่ระหว่างที่เดินดู ฟุยุกิก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าตัวเองจะอยู่คนเดียวแบบไหน เขาอยู่กับครอบครัวมาตลอดจนชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า
“สวัสดีครับ ฟุยุกิคุง”
เสียงทักไม่คาดฝันทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวและรีบหันควับไปทางต้นเสียงทันที ไม่เคยมีใครมาทักเขาแถวที่ทำงาน แต่บางทีหัวหน้าหรือรุ่นพี่ในบริษัทอาจจะนึกครึ้มเลยแกล้งทักเขาเล่นก็ได้
แต่เจ้าของเสียงเหนือความคาดหมายไปกว่านั้นมาก และทำเอาฟุยุกิยืนตะลึงตัวแข็ง
ซาคากิ คิโยฮารุ!!
พอหายตัวแข็ง ฟุยุกิก็ลนลานจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหน
“สะ...สะ...สวัสดีครับ ซะ...ซาคากิ...ซัง...!”
คิโยฮารุแอบยิ้มกับท่าทางน่าเอ็นดูปนน่าขันนั่นแล้วเดินเข้าไปหา
“สวัสดีตอนเย็นครับ เดินชมดอกไม้หลังเลิกงานเหรอครับ?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้ายิก “ปะ...ปะ...เปล่าครับ”
คิโยฮารุยิ้มให้อีกแล้วหันไปสังเกตป้ายประกาศที่ฟุยุกิให้ความสนใจอยู่เมื่อครู่
“กำลังหาห้องเช่าเหรอครับ ผมรู้จักบริษัทอสังหา ฯ ดี ๆ อยู่นะ ฟุยุกิชอบห้องแบบไหนล่ะครับ?”
“หะ...ห้อง...บะ...แบบ...แบบญี่ปุ่นครับ”
“ห้องแบบญี่ปุ่นก็อยู่สบายดีนะครับ แต่ผมอยู่ห้องแบบฝรั่งมาตลอดเลยไม่คุ้นกับห้องญี่ปุ่นน่ะ” คิโยฮารุชวนคุย แต่เห็นฟุยุกิยังยืนตัวเกร็งเหมือนไม่กล้าหายใจ จึงเอื้อมมือไปตะปบลงบนไหล่ดังปุบ “หายใจลึก ๆ ครับ หายใจลึก~ลึ~ก...”
เด็กหนุ่มเผลอทำตามด้วยความแตกตื่นปนงุนงง พอหายใจลึก ๆ สองสามครั้งก็ค่อยคลายอาการเกร็งลง ในที่สุดก็ถอนใจเฮือก
“เป็นไงครับ ดีขึ้นแล้วนะ?” คิโยฮารุปล่อยมือ
ฟุยุกิพยักหน้าหงึก ๆ พอตั้งสติได้แล้ว คำถามก็มารออยู่ที่ปาก
“ทะ...ทำไมซาคากิ...เอ้อ อาจารย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?”
ในเมื่อมหาวิทยาลัยที่คิโยฮารุสอนอยู่ อยู่หน้าร้านของนัตสึเมะ แล้วทำไมคิโยฮารุถึงมาปรากฏตัวละแวกที่ทำงานของเขาได้
“ไม่ต้องเรียกอาจารย์หรอกครับ พอดีวันนี้ผมเลิกเร็ว แล้วนัตสึเมะซังก็หยุดร้าน เลยว่าจะมาหายูคุงน่ะครับ”
ได้ยินชื่อคิริฮาระแล้วฟุยุกิก็หน้าจ๋อยลงทันที “งะ...งั้นเหรอครับ...”
“แต่ผมเปลี่ยนใจแล้ว” คิโยฮารุยิ้มกว้างทันควัน “ผมพาฟุยุกิคุงไปดูคอนเสิร์ตของยูคุงด้วยดีกว่า”
“............เอ๋!!?”
ยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรให้ชัดเจน รู้สึกตัวอีกทีฟุยุกิก็มายืนอยู่หน้าขั้นบันไดที่ประจำที่ใช้นั่งฟังคอนเสิร์ตข้างถนนของคิริฮาระมาจนถึงเมื่อเดือนก่อน หัวใจของฟุยุกิเต้นแรง เมื่อคนที่เขาพยายามหลบหน้ามาตลอดมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกรีดนิ้วลงบนสายไวโอลิน บรรเลงท่วงทำนองไพเราะเหมือนเช่นที่เคยเห็นมาเสมอ
เด็กหนุ่มเผลอทรุดตัวลงนั่งที่ขั้นบันได วางกระเป๋าทำงานลงบนตัก และทอดสายตาไปยังนักไวโอลินหนุ่มเหมือนต้องมนต์ คิโยฮารุนั่งลงข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไร เขาเข้าใจดี...ยิ่งมองแววตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลแบบนั้นก็ยิ่งเข้าใจ เขาเคยเป็นมาก่อน ในตอนนั้นเมื่อนานมาแล้ว ทุกครั้งที่คิริฮาระเล่นไวโอลินที่ร้านของนัตสึเมะ เขาที่มักจะหลงเข้าไปในโลกของตัวหนังสือได้เป็นวัน ๆ ก็ยังต้องกลับออกมา และโดยไม่รู้ตัว...เขาก็จ้องมองคิริฮาระด้วยสายตาแบบเดียวกับฟุยุกิในตอนนี้ กระทั่งตอนที่เป็นคนรักกันแล้ว เขาก็ยังมีสายตาแบบเดิม...ดวงตะวันของเขาน่าหลงใหลเสมอ
คิริฮาระบรรเลงเพลงจบแล้วเงยหน้าขึ้นมาพบสองคนที่ไม่คิดว่าจะพบนั่งอยู่ที่บันได เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนงุนงง ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาในที่สุด เขาจรดคันซอลงกับสายลวดแล้วเริ่มบรรเลงบรรดาบทเพลงที่ฟุยุกิชื่นชอบ
ริมฝีปากของเด็กหนุ่มสั่นระริก มือกำแน่น ใช่...คิริฮาระยังจำเขาได้ ต่อให้คิโยฮารุอยู่เคียงข้างก็ยังมีเขาอยู่ในใจเสมอ แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว หากอีกใจหนึ่งก็เถียง...ถ้าไม่ได้เป็นคนสำคัญแล้วจะมีความหมายอะไร ความสับสนวุ่นวายใจที่เกิดขึ้นแทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา
แต่มือใหญ่ ๆ ก็เอื้อมมาโอบไหล่ฟุยุกิไว้ เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นคิโยฮารุ ฟุยุกิรีบขยี้ตาทันที
“ขอโทษนะ ฟุยุกิคุง”
“เอ๊ะ!?” เด็กหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คิโยฮารุจะมาขอโทษเขาเรื่องอะไร
“การที่ผมกลับมาคงทำร้ายคุณมากสินะครับ เหมือนผมมาแย่งยูคุงไปจากคุณ”
น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นยิ่งทำให้ฟุยุกิสับสน เขาแทบไม่เคยคุยกับคิโยฮารุเลยด้วยซ้ำ แต่ผู้ชายคนนี้กลับรู้ทุกอย่างที่เขารู้สึก
“ระ...เรื่องนั้น...” ฟุยุกิพยายามปฏิเสธ แต่คำพูดกลับไม่ยอมออกมา
“ผมเข้าใจความรู้สึกที่คุณมีต่อยูคุงครับ ผมเองก็เคยเป็น...และยังเป็นมาตลอด” แววตาของคิโยฮารุอ่อนโยน หากมีแววมุ่งมั่นบางอย่าง “แต่ผมสูญเสียเขาไปไม่ได้ครับ”
ฟุยุกินิ่งอึ้ง คำพูดนั้นเรียบง่าย นุ่มนวล แต่ชัดเจนในเจตนา...แม้จะเข้าใจความรู้สึกของเขา คิโยฮารุก็ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวดียว
“ยูคุงคือความหมายในการมีชีวิตอยู่ของผมในตอนนี้ครับ”
“...ความหมาย...?”
คิโยฮารุพยักหน้าพลางยิ้ม สีหน้านั้นละมุนละไม
“ตอนที่ผมอายุเท่า ๆ คุณ ผมเป็นพวก...ปลีกตัวจากสังคม...น่าจะเรียกแบบนี้ได้”
ปลีกตัวจากสังคม...? คิโยฮารุดูไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด
“ผมมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้ไม่กล้าเข้าสังคมมาตั้งแต่เด็กน่ะครับ ไม่ถึงกับขังตัวเองอยู่ในบ้านแต่ก็พยายามจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร อาศัยหนังสือเป็นเพื่อน แล้วก็ทำอะไร ๆ ตามลำพัง เหมือนว่าตัวเองพอใจที่เป็นแบบนั้น แต่จริง ๆ แล้วมันเหงามากเลยละครับ”
ฟุยุกิเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ทั้งที่เหงาแสนเหงาแต่ก็ไม่รู้จะเข้าหาคนอื่นได้อย่างไร...ไม่รู้วิธีการมีเพื่อน
“ในตอนที่ผมกำลังเป็นแบบนั้น ยูคุงก็บุกรุกเข้ามาในชีวิตผม”
“บุกรุก?” คำพูดไม่คาดฝันออกมาอีกคำหนึ่งแล้ว
คิโยฮารุหัวเราะ “ครับ บุกรุก...ละเมิดความเป็นส่วนตัวเลยละครับ ชีวิตผมช่วงนั้นปั่นป่วนไปหมดเลย”
เด็กหนุ่มคิดถึงตัวเอง คิริฮาระไม่ได้เป็นฝ่ายเข้ามาหา แต่เป็นเขาเองสินะที่ก้าวเข้าไปในชีวิตของคิริฮาระ...และฝ่ายนั้นก็ยอมรับเขาไว้ด้วยความสงสาร
...สงสาร...ไม่ใช่ความรักสินะ
“แต่ความจริงแล้ว ผมก็ชอบเขามาก่อนหน้านั้นแล้วละครับ ก็เหมือนกับที่ทุกคนที่นี่ชอบเขา ยูคุงดึงดูดคนได้เสมอ” คิโยฮารุกวาดตามองไปรอบ ๆ “แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตผม แล้ว...หลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมด เปลี่ยนไปหมดเลยจริง ๆ”