Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END  (อ่าน 29681 ครั้ง)

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
« เมื่อ08-11-2014 12:46:19 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2016 12:35:16 โดย KOKURO »

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
«ตอบ #1 เมื่อ08-11-2014 12:48:57 »

สวัสดีครับทุกคน
พอดีกระทู้เก่าหายไปแล้วน่ะครับ ผมเลยลงใหม่ ก็ไม่แน่ใจว่าจะสม่ำเสมอแค่ไหนนะครับ แต่จะพยายามลงให้ได้อย่างน้อยเดือนละตอนครับ
ขอบคุณล่วงหน้าที่ติดตามนะครับ

HAKURO/KOKURO

Lock on You 01

เสียงเพลงแว่วหวานดังไปพร้อมกับเรียวนิ้วที่กดไล่ไปตามสายและคันซอที่กรีดสีไปบนเส้นลวด  ใบหน้าที่แนบอยู่กับตัวไวโอลินมีรอยยิ้มระบายจาง ๆ  สองตาหลับพริ้ม...มันคงไม่แปลกอะไรหากที่นี่เป็นเวทีแสดงคอนเสิร์ตในโรงละครหรูหรา...แต่ที่นี่คือริมถนน  ถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนนับพัน ๆ คนที่ทยอยเดินออกมาจากอาคารสำนักงานหลายแห่งที่ตั้งเรียงรายกันอยู่  ผุ่นควันไอเสียกระจายฟุ้งไปในอากาศ  เสียงจ้อกแจ้กจอแจสับสนวุ่นวาย  เสียงไวโอลินบรรเลงอยู่ ณ ตรงนั้น
แม้จะเป็นสถานที่ที่แทบจะไม่มีใครสนใจใคร  แต่ด้วยเสียงเพลงที่ไม่เข้ากับสถานที่และความโดดเด่นของผู้บรรเลงทำให้หลายคนต้องหยุดแล้วหันมาดู
ผู้ที่กำลังกรีดนิ้วลงบนสายไวโอลินและเปลี่ยนมันให้เป็นบทเพลงไพเราะคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง  บุคลิกและหน้าตาจัดได้ว่าดี  เขาคงจะดูเป็นนักไวโอลินชั้นสูงหากอยู่บนเวทีและสวมสูทงามหรู  แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตเข้ารูปที่ดูธรรมดา ๆ เสียยิ่งกว่าพวกพนักงานบริษัท  และที่ดูแปลกแยกไปกว่าทุกคนในที่นี้คือผมสีแดงอมชมพูจัดจ้า  ลักษณะทั้งหลายดึงดูดให้หลายต่อหลายคนหันมาให้ความสนใจในเสียงเพลงของเขา
เมื่อตัวโน้ตสุดท้ายขาดเสียงลง  ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับโค้งรับเสียงตบมือจากคนดู  เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ส่งยิ้มกว้างเปี่ยมเสน่ห์พร้อมประกายตากินนัยไปให้สาว ๆ ที่ดูอยู่  เรียกเสียงกิ๊วก๊าวจากพวกเธอพอเป็นพิธี  แต่แล้วดวงตาพราวก็หรี่แสงลงนิดหน่อยเมื่อมองไปไม่พบคนที่ควรจะอยู่
ชายหนุ่มยกไวโอลินขึ้นจรดเตรียมเริ่มเพลงใหม่  พลันก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กเพรียวบางกำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงมา  ริมฝีปากบางยกยิ้มกับตัวเองแล้วกรีดคันซอลงบนสาย
เด็กหนุ่มที่กำลังรีบร้อนสาวเท้าช้าลง  เพลงที่ใครคนนั้นกำลังบรรเลงอยู่นับเป็นเพลงโปรดของเขาทีเดียว  เขาค่อย ๆ เดินผ่านฝูงชนเข้าไปช้า ๆ  ถ้าไม่คิดว่าเข้าข้างตัวเองเขาก็อยากจะเชื่อว่าคนที่กำลังบรรเลงเพลงอยู่เล่นเพลงนี้เพื่อเขา
เด็กหนุ่มเลือกที่นั่งเหมาะ ๆ ตรงบันไดหน้าตึกแล้วฟังเพลงอย่างเพลิดเพลิน  เขามาที่นี่ทุกเย็นหลังเลิกงาน  ซึ่งก็ไม่ได้เสียเวล่ำเวลาอะไรมากนักเพราะมันเป็นทางผ่านที่จะไปขึ้นรถกลับบ้านอยู่แล้ว  มันเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาพึงจะได้รับหลังจากเคร่งเครียดกับการทำงานมาทั้งวัน...และยังจะต้องกลับไปเครียดต่อที่บ้านอีก
เขาเฝ้ามองร่างที่ยืนเด่นอยู่ริมบาทวิถีอย่างหลงใหล  เขาคนนั้นดูมีความสุขที่ได้เล่นไวโอลินแบบนี้ทุกเย็น  ริมฝีปากบางเชิดดูเจ้าอารมณ์นั้นมักมีรอยยิ้มระบายอยู่เสมอ  ชายหนุ่มไม่ได้เรี่ยรายเงินจากคนที่มาฟัง  เบื้องหน้าของเขามีกล่องใส่ไวโอลินตั้งอยู่ก็จริงแต่มันก็ไม่เคยเปิดออก  เขาเพียงแค่มาที่นี่เพื่อแสดงเพลงของเขาเท่านั้น...บรรเลงบทเพลงไพเราะเพื่อมนุษย์เงินเดือนที่เหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียดมาตลอดวัน  เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจให้ต่อสู้กับชีวิตและการงานต่อไป  เด็กหนุ่มนึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ ...ทำอย่างไรเขาถึงจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแบบนี้บ้างนะ
หลังจากบรรเลงเพลงจบไปอีกหลายเพลง  นักดนตรีหนุ่มก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“เอาหละ  วันนี้แค่นี้ก่อนแล้วกัน”  เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังไม่เบาจนเกินไปนัก
มีเสียงคนดูร้องขอให้บรรเลงเพลงเพิ่มอีกสักเพลง  ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลนิดหน่อย  แล้วโดยไม่คาดฝัน  เขาก็หันไปถามเด็กหนุ่มที่นั่งดูอยู่ไม่ไกลนัก
“อยากฟังเพลงอะไร?”
เด็กหนุ่มตกตะลึงไปชั่วขณะ  เขาไม่คิดว่านักดนตรีที่เขาหลงใหลจะหันมาพูดกับเขาตรง ๆ แบบนี้
“เอ้อ...คือ...”  เด็กหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้ง
“ชักช้าเดี๋ยวถามคนอื่นนะ”  พ่อนักดนตรีข้างถนนเร่งเร้ามาอีก  ดวงตาเป็นประกายส่งสายตาล้อ ๆ มาให้  สาว ๆ ที่มุงดูอยู่ปิดปากหัวเราะกันคิกคัก  พวกเธอรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ขี้เล่นแบบนี้กับคนดูเสมอ
“เอ้อ...เพลงนั้นน่ะครับ”  เสียงเบา ๆ อ้อมแอ้มมาด้วยความประหม่า
“เพลงนั้นน่ะมันเพลงไหนกันล่ะ?”  ร่างสูงโปร่งย้อนถาม
“ง่า...”  จะให้ตอบได้ยังไงล่ะ  เขาไม่รู้จักชื่อเพลงนี่นา
นักดนตรีช่างแกล้งมองหน้าเด็กหนุ่มแล้วก็ยิ้ม  ยกไวโอลินขึ้นจรดท่า
“งั้นผมจะเดาละกัน  หน้าตาแบบนี้...มาฟังทุกวันแบบนี้...น่าจะชอบเพลงนี้”
ท่วงทำนองอ่อนหวานล่องลอยออกมาจากสายลวดและคันซอ  เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง  นั่นเป็นเพลงที่เขาอยากฟังจริง ๆ ด้วย...ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้จะรู้...ไม่สิ  ฟังจากที่พูดเมื่อกี้แล้ว  นักดนตรีหนุ่มจำเขาได้ด้วยซ้ำ!
สุดยอดไปเลย...ดีใจจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงดีแล้ว  เด็กหนุ่มได้แต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งจบเพลง
“ทีนี้ก็จำไว้นะ  เพลงนี้ชื่อ Curtain call  คราวหน้าถามอีกต้องตอบให้ได้นะ”  จู่ ๆ เจ้าของเรือนผมสีแดงก็หันมาพูดกับเขา  เล่นเอาสะดุ้ง
“อ่ะ  ครับ”  เด็กหนุ่มลุกลี้ลุกลนหาสมุดกับปากกาจะมาจด  แต่นั่นทำให้กระเป๋าทำงานที่วางไว้บนตักหล่นตุ้บไปอยู่บนพื้น
ชายหนุ่มกลั้นหัวเราะแล้วหันไปบอกกับบรรดาผู้ชมที่ยืนมุงดูอยู่  “เอาละ  คอนเสิร์ตจบแล้วครับ  แยกย้ายกันกลับบ้านได้  ถ้าใครยังไม่อยากกลับก็เชิญที่คลับของผมนะครับ...อ้อ  ไม่เลี้ยงนะครับ”
มีเสียงหัวเราะมาจากกลุ่มผู้ชม  แล้วต่างก็ค่อย ๆ ทยอยกันเดินออกไปทีละกลุ่มสองกลุ่มในขณะที่นักดนตรีหนุ่มก็เก็บไวโอลินใส่กล่อง  แล้วก็หันมาเจอเด็กหนุ่มยังยืนงง ๆ อยู่ตรงที่เดิม
“ไม่กลับบ้านเหรอครับ?”
“เอ๊ะ...เอ้อ...กลับครับ”
“ดีแล้ว  งั้นก็รีบกลับซะ  เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง  แล้วเจอกันนะครับ”  ชายหนุ่มบอกพลางยกมือโบกให้นิด ๆ แล้วเดินไปทางด้านตรงข้ามกับสถานีรถไฟ
เด็กหนุ่มยืนมองร่างนั้นไปจนลับตา  แล้วจึงกลับหลังหันเดินไปในทิศทางตรงข้าม  ใช่...หลังจากจบการแสดง  พวกเขาจะเดินไปคนละทางเสมอ  ในขณะที่ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในย่านใจกลางเมือง  แต่ตัวเขากลับเดินไปยังสถานีรถไฟเพื่ออาศัยขบวนรถที่แออัดไปด้วยผู้คนมากมายมหาศาลกลับบ้าน
ในขบวนรถที่แน่นจนไม่ต้องอาศัยราวโหนก็สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ล้ม  อาริโยชิ  ฟุยุกิยืนหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ที่ข้างประตู  งานในวันนี้ทำเอาเขาหัวหมุนไปหมด  เด็กหนุ่มเพิ่งจะจบจากมหาวิทยาลัยมาเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมานี่เอง  ด้วยผลการเรียนระดับปานกลางและจบคณะที่ไม่ได้เป็นของหายากสำหรับสังคมการทำงานเท่าไรนัก  ตัวเขาที่ไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษได้มาทำงานที่บริษัทนี้ก็ด้วยเส้นสายของพ่อเท่านั้น
พ่อของฟุยุกิเป็นทนายความฝีมือดีที่มีชื่อเสียงไม่น้อย  พี่ชายทั้งสองคนก็มีอาชีพด้านกฎหมายเช่นเดียวกับพ่อ  พี่คนโตเป็นอัยการ  ส่วนพี่คนรองเป็นทนาย  พวกพี่ชายอายุมากกว่าฟุยุกิมาก  ตอนที่ฟุยุกิเกิดพี่ชายคนโต  เคียวยะก็กำลังจะจบมัธยมปลาย  ส่วนมิโนรุ  พี่ชายคนรองก็เข้ามัธยมปลายไปแล้ว  ทั้งสองคนเป็นคนเรียนเก่งและหัวดีเรียกได้ว่าเป็นระดับแนวหน้าของโรงเรียนเลยทีเดียว  ซ้ำด้านกิจกรรมชมรมกีฬาก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าด้านการเรียนเลย  ดังนั้นฟุยุกิจึงได้ยินอยู่เสมอว่าพี่ชายทั้งสองเนื้อหอมในหมู่สาว ๆ ราวกับพระเอกในการ์ตูนผู้หญิงยังไงยังงั้น  ซึ่งเรื่องนั้นฟุยุกิก็รู้ดีอยู่แก่ใจ  เพราะกระทั่งในตอนนี้แม้จะล่วงเข้าสู่วัยสามสิบตอนปลายแล้ว  พี่ชายทั้งสองของเขาก็ยังเป็นขวัญใจของสาว ๆ อยู่เสมอ  ถึงแม้เคียวยะจะมีคู่ชีวิตแล้วก็เถอะ
ต่างกับฟุยุกิ...เด็กหนุ่มไม่เพียงแต่เรียนไม่เก่ง  จนบางครั้งคนรอบข้างก็บอกว่าเขาหัวทึบ  ด้านกีฬาก็ยังไม่เอาไหนอีกด้วย  ผลการเรียนของเขาไม่เคยเทียบติดฝุ่นพวกพี่ ๆ เมื่อตอนเรียนอยู่ระดับเดียวกัน  แม้จะไม่ถึงกับต่ำเตี้ยเรี่ยดินแต่ก็เฉียดฉิวคาบเส้นไปมาอยู่อย่างนั้น  มิใยที่มิโนรุจะเจียดเวลามาช่วยติวให้เป็นครั้งคราว  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผลการเรียนของฟุยุกิดีขึ้น  หลายครั้งที่โดนว้ากใส่เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่มิโนรุอธิบายเลยสักนิด  ขนาดเคียวยะที่ใจเย็นกว่าก็ยังเอือมระอา  พวกญาติ ๆ ปลอบใจเขาอยู่เสมอว่าไม่ต้องคิดมาก  ที่ฟุยุกิเป็นอย่างนี้ก็เพราะแม่มีเขาตอนอายุมากเกินไป  แต่เบื้องหลังคำปลอบโยนนั้นเด็กหนุ่มรู้ดี...มีเสียงซุบซิบนินทาซ่อนอยู่  ใช่...เพราะแม่มีเขาช้าเกินไป  อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะปัญญาอ่อน
บางครั้ง...ในตอนที่ความอดทนถึงขีดสุด  ฟุยุกิเคยหลุดปากเรื่องที่เขาปัญญาอ่อนออกไปใส่หน้าพวกพี่ชาย  ผลลัพธ์ก็คือมิโนรุตบหน้าเขาฉาดใหญ่แล้วเดินหนีไปด้วยท่าทางฉุนเฉียว  ส่วนเคียวยะก็มองเขาด้วยสายตาเย็นชาแล้วบอกว่า
“ไม่มีคนปัญญาอ่อนที่ไหนเข้าเรียนมัธยมต้นได้ตามเกณฑ์หรอก  ยุกิ  แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของคุณแม่ด้วยที่มีนายตอนอายุสี่สิบกว่าแล้ว  คุณแม่รักและอยากให้นายมีชีวิตอยู่มากถึงขนาดเอาชีวิตเข้าแลกมาเชียวนะ”
ใช่...แม่เสียชีวิตหลังจากคลอดเขา  ในช่วงนั้นสุขภาพของแม่ไม่ดีอยู่แล้ว  แต่หลังจากที่ทราบจากหมอว่ามีฟุยุกิอยู่ในท้อง  ก็ดูเหมือนสุขภาพของแม่จะดีขึ้นมาทันที  แต่ขีดจำกัดก็คือขีดจำกัด  การอุ้มท้องอาจจะไม่ใช่เรื่องลำบากเกินไปนัก  แต่การให้กำเนิดบุตรนั้นเกินกำลังของแม่  แม่จากไปหลังจากได้กอดเขาเพียงไม่กี่ครั้ง  สิ่งเดียวที่เหลือไว้ให้เขาก็คือชื่อฟุยุกินี้เท่านั้นเอง
ชีวิตในวัยเด็กของฟุยุกิไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร  ด้วยหน้าที่การงานของพ่อทำให้มีเงินมากพอที่จะจ้างพยาบาลมาคอยดูแลเขาจนพ้นช่วงเด็กอ่อน  และแม่บ้านเก่าแก่ก็คอยดูแลเขาต่อจากนั้นมา  ฟุยุกิถูกคาดหวังว่าจะได้ทำงานด้านกฎหมายเช่นเดียวกับที่ทุก ๆ คนในตระกูลอาริโยชิทำมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ  แต่ความคาดหวังนั้นดูจะจบสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่ฟุยุกิอยู่ประถมปลาย  หลังจากนั้น  แม้จะพยายามเคี่ยวเข็นอย่างไรผลการเรียนของฟุยุกิก็ยิ่งทำให้ความคาดหวังนั้นริบหรี่ลงทุกที  และพ่อก็คงเลิกหวังกับเขาไปนานแล้ว
ฟุยุกิเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะธรรมดา ๆ อย่างมนุษยศาสตร์  สาขาวิชาที่เรียนก็แสนจะธรรมดา  เขาใช้ชีวิตเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยเป็นมาจนจบ  แต่ตอนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องงาน  พ่อก็ใช้เส้นสายฝากเขาเข้าทำงานที่บริษัทด้านกฎหมายแห่งนี้ในฝ่ายธุรการ...เพราะรู้ดีว่าฟุยุกิคงไม่สามารถทำงานอะไรได้ดีกว่านี้แน่
แต่...แม้จะแค่งานเอกสารที่ต้องจัดการไปวัน ๆ  ฟุยุกิก็เหนื่อยเต็มที
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองผู้คนรอบตัว  ทุกคนก็ดูเหนื่อยเหมือนกับเขา  แต่...จะมีใครเหนื่อยกับงานเอกสารง่าย ๆ เหมือนกับเขาบ้างไหมนะ  จะมีใครรู้สึกว่ามีเรื่องต้องจำเยอะเหลือเกินอย่างเขาบ้างไหมนะ  จะมีใครต้องใช้ความพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกับเขาไหมนะ...และ...จะมีใครเหนื่อยกับการเป็น  “เด็กเส้น”  เหมือนกับเขาบ้างหรือเปล่า...
...หรือเราจะปัญญาอ่อนจริง ๆ...
ประโยคเดิม ๆ ที่เคยบอกกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตั้งแต่เด็กผุดขึ้นมาในหัว  ฟุยุกิถอนใจแรง ๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง...ไม่เอา  อย่าไปคิดถึงมันดีกว่า  คิดถึงอะไรดี ๆ กว่านี้หน่อยเถอะ...แต่เรื่องดี ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกิดขึ้นในชีวิตเท่าไรนัก  อ้อ...มีสิ...เรื่องของนักดนตรีหนุ่มเมื่อกี้นี้ไง  เพลงนั้นชื่อเพลงอะไรนะ...
...Curtain Call…
ฟุยุกิบอกกับตัวเอง  ดีจังที่ยังจำได้...เด็กหนุ่มยิ้มกับตัวเอง  ไว้คราวหน้าเขาจะลองถามชื่อเพลงอื่นด้วยดีกว่า  มันจำง่ายกว่าชื่อแฟ้มเอกสารในสำนักงานเยอะเลย
“กลับมาแล้วครับ”  ฟุยุกิเอ่ยขึ้นหลังจากเปิดประตูห้องชุดหรูของแมนชั่นแห่งหนึ่งเข้าไป  ทั้งที่ไม่มีคนอยู่แต่เด็กหนุ่มก็ยังพูดด้วยติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็ก
ระหว่างที่รูดเนคไทพลางเดินเกร่ไปที่ตู้เย็นก็เห็นกระดาษฝากข้อความแปะอยู่  “คืนนี้อาจจะไม่กลับ  หาข้าวกินเองได้ใช่ไหม  มิโนรุ”
ฟุยุกิอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นแล้วก็ถอนใจ  ไม่เห็นจะต้องถามแบบนั้นเลย  เขาไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้วเสียหน่อย  แล้วก็ไม่ใช่ทำอะไรไม่เป็นด้วย  แต่มิโนรุก็มักจะเห็นเขาเป็นเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่เสมอ
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์เดินลงไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ ๆ แมนชั่น  เขาอยู่กับมิโนรุที่แมนชั่นแห่งนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย  ใจจริงแล้วเขาอยากไปหาห้องเช่าอยู่คนเดียวมากกว่า  แต่ดูเหมือนคนในครอบครัวจะไม่ไว้ใจว่าเขาจะเอาชีวิตรอดตามลำพังได้  จึงตกลงใจส่งมาอยู่กับมิโนรุ  ซึ่งพี่ชายที่ยังโสดอยู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่ฟุยุกิสังเกตว่าเขาคงจะได้ออกไปอยู่คนเดียวเร็ว ๆ นี้  เพราะดูเหมือนพี่ชายจะกำลังมีคนรัก
ข้าวกล่องไก่ทอดคาราอาเกะคือมื้อเย็นที่ได้จากร้านสะดวกซื้อ  เด็กหนุ่มหิ้วมันเข้าไปในห้องส่วนตัวพร้อมกับชาข้าวที่แช่ไว้ในตู้เย็น  ที่จริงก็เหนื่อยเสียจนอยากจะนอนเต็มทีแล้ว  แต่ยังมีบางอย่างค้างคาใจอยู่นิดหน่อยจึงเปิดคอมพิวเตอร์...เขาอยากรู้ว่าเพลงที่นักดนตรีคนนั้นเล่นไวโอลินมีต้นฉบับแบบไหน
อินเตอร์เน็ทคือแหล่งข้อมูลของโลก  เพียงแค่ใส่คำที่ต้องการลงไปในระบบค้นหา  ข้อมูลที่ต้องการก็ทะลักขึ้นมาบนหน้าจอ  ฟุยุกิคาบตะเกียบพลางมองตัวหนังสือเหล่านั้นอย่างลังเล  มีคำว่า Curtain call เยอะเกินไป  มีตั้งแต่ความหมายไปยันวิดีโอ...เอาละ  ยังไงเสียมันก็เป็นเพลงที่เอาไปเล่นไวโอลินได้  ในไฟล์วิดีโอน่าจะใช่บ้างละน่า  คิดแล้วก็คลิกไปที่ไฟล์วิดีโอไฟล์หนึ่ง
โชคดีที่สวรรค์ไม่ให้เขาต้องหานาน  หลังจากค้นหาไปไม่กี่ครั้งฟุยุกิก็พบเพลงที่ต้องการ  หลังจากตั้งใจฟังอยู่สองสามรอบก็บอกกับตัวเองว่า  เขาชอบเพลงนี้ที่บรรเลงด้วยไวโอลินของนักดนตรีคนนั้นมากกว่า
พรุ่งนี้...คงจะได้เจอกันอีกสินะ...

แต่นักดนตรีคนนั้นไม่ได้มาเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนในวันรุ่งขึ้น  ฟุยุกิไม่ได้นึกประหลาดใจนักเพราะก็มีบางครั้งที่ผู้ชายคนนั้นหายหน้าไปแบบนี้  เพียงแต่นึกเสียดายที่วันนี้จะไม่ได้ถามชื่อเพลงอื่น ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้...พรุ่งนี้เขาคงจะมาน่า...เด็กหนุ่มปลอบใจตัวเอง  แต่แล้วก็นึกได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์  เขาไม่ต้องมาทำงาน  แถมดีไม่ดีนอกจากจะไม่ต้องมาทำงานแล้วยัง...
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น  ฟุยุกิรีบล้วงมันออกมาจากกระเป๋า  บนหน้าจอปรากฏชื่อของพี่ชายคนรอง
“ครับ?”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”  เสียงจากปลายสายถามมาห้วน ๆ
“ก็...ใกล้ ๆ สถานีรถไฟใกล้ ๆ ที่ทำงาน”
“ตกลงอยู่ใกล้อะไรแน่?”
“ใกล้ที่ทำงานครับ”
“กลับไปรอหน้าที่ทำงาน  เดี๋ยวจะไปรับ”
“ไปบ้านคุณพ่อเหรอครับ?”
“อื้อ  แค่นี้นะ”
มิโนรุตัดสายไปอย่างไม่เปิดโอกาสให้ฟุยุกิถามอะไรมากไปกว่านั้น  นี่เป็นเรื่องปกติ  ในคืนวันศุกร์และเสาร์เขาจะต้องไปค้างที่บ้านพ่อ  เหมือนจะเป็นกฎตายตัวอย่างไรชอบกล  ที่จริงถ้ามีธุระหรือติดงานก็ไม่จำเป็นต้องไปก็ได้  แต่สำหรับเด็กเข้าทำงานใหม่อย่างฟุยุกิแล้วเรื่องแบบนั้นคงเป็นแค่ข้ออ้างไร้สาระสำหรับพ่อ  แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ  เขาไม่อยากไปเจอหน้าพ่อนี่นา...ถ้าคุยกันละก็...คงไม่พ้นถูกตำหนิเรื่องงานแหง ๆ
รถเก๋งคันสวยของพี่ชายจอดเทียบหน้าบริษัท  ฟุยุกิก้าวขึ้นรถท่ามกลางสายตาของพนักงานสาว ๆ ในบริษัทบางคนที่เพิ่งเดินออกมา  คงมีบางคนที่จำรถของพี่ชายของเขาได้ถึงได้กระซิบกระซาบวี้ดว้ายอะไรกันใหญ่โต  ชื่อเสียงของลูกชายบ้านอาริโยชิขจรขจายมาถึงที่นี่ด้วย  แม้ว่าฟุยุกิจะทำให้สาว ๆ หลายคนผิดหวังก็เถอะ
“ทีหลังตอบให้มันชัด ๆ หน่อยนะว่าอยู่ที่บริษัทหรือที่สถานี  มันเสียเวลาวนรถ  รู้มั้ย?”  มิโนรุเปิดฉากทันทีที่ออกรถ
“ครับ”  ตอบได้แค่นั้นทั้งที่ในใจก็คิด...ตอนนั้นเขาอยู่กึ่งกลางระหว่างบริษัทกับสถานีรถไฟพอดี  แล้วจะให้ตอบว่ายังไงล่ะ
“อาทิตย์นี้ทำงานเป็นไงบ้าง?”
“ก็...เรื่อย ๆ...”  คำตอบอ้อมแอ้ม
“ไอ้เรื่อย ๆ ของนายหมายถึงเอาเอกสารใส่ผิดแฟ้มหรือว่าคีย์ข้อมูลอะไรพลาดไปอีกหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ”  แค่ทำไม่ทันใจหัวหน้าเท่านั้นเอง
มิโนรุเหลือบมองน้องชายแวบหนึ่ง  “ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว  ได้เพื่อนบ้างหรือยังเนี่ย?”
ฟุยุกิเกลียดคำถามพวกนี้  เดี๋ยวพ่อก็จะต้องถามเขาแบบนี้แหละ  แล้วมิโนรุจะมาซักไซ้เขาก่อนทำไม  อยากให้เขาตอบหรือไงว่าคนที่เข้าทำงานรุ่นเดียวกับเขาน่ะไม่มีใครคบเขาหรอก  ทุกคนมองว่าเขาเป็นเด็กเส้นไร้ความสามารถ  ที่ได้เข้าทำงานก็เพราะมีบารมีของพ่อเท่านั้น  ทุกคนดูแคลนเขาและบางทีก็นินทาเขาลับหลัง  นั่นทำให้เขาต้องพยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ใครว่าได้  แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจความพยายามของเขาเลย  เพราะสิ่งที่เขาทำได้  ใคร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น  และดูเหมือนจะทำได้อย่างสบาย ๆ เสียด้วย  มีแต่เขาเท่านั้นที่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น
“ก็...มีบ้าง”  ฟุยุกิตอบไปแผ่ว ๆ
ผู้เป็นพี่เหลือบมองเด็กหนุ่มอีกครั้งหนึ่งก่อนจะถอนใจดัง ๆ  “รู้อะไรมั้ย  ยุกิ  นายโกหกได้ห่วยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“...ครับ”
“เพราะงั้นไม่ต้องพยายามโกหกฉัน  ถ้ายังไม่มีเพื่อนก็ต้องพยายามปรับตัว  แก้ไขข้อด้อยของตัวเอง  ชีวิตการทำงานน่ะ  มนุษยสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญนะ”
หลังจากนั้นคือการเทศน์มหาชาติยืดยาวเรื่องการปรับตัวและความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน  ฟุยุกินึกอยากเอามือปิดหูหรือไม่ก็เปิดประตูแล้วโดดลงรถไปเสียเดี๋ยวนี้  แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือ...นั่งฟังมิโนรุพูดไปจนกระทั่งถึงบ้าน
ฟุยุกิไม่ชอบบ้านพ่อหรือก็คือบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด  แต่เขาก็ยังกลับบ้านทุกอาทิตย์  เพราะที่นั่นมีสถานที่ที่เขาจะสามารถรู้สึกผ่อนคลายและวางภาระทุกอย่างลงได้  ฟุยุกิอาบน้ำแล้วสวมชุดยูกาตะที่แม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้  แม้ว่าเวลาทำงานทุกคนในบ้านจะอยู่ในชุดสูทสากลตามครรลองของสังคม  แต่เมื่ออยู่บ้านคนในตระกูลอาริโยชิมักจะเลือกทำตัวสไตล์ญี่ปุ่นมากกว่า  ฟุยุกิเองก็คุ้นเคยกับการสวมยูกาตะนอนมาตั้งแต่เด็ก
เด็กหนุ่มเดินไปยังสวนญี่ปุ่นหลังบ้านแล้วนั่งลงที่ระเบียง  อากาศอุ่นขึ้นมากเพราะจวนจะเข้าหน้าร้อนเต็มที  แต่ก่อนหน้านั้นจะมีฝนตกอย่างต่อเนื่องระยะหนึ่ง  นั่นก็ดี...เพราะฝนจะทำให้สวนแห่งนี้สวยขึ้นมากทีเดียว  สวนหลังบ้านแห่งนี้ทำเป็นน้ำตกเตี้ย ๆ และธารน้ำเล็ก ๆ ปูด้วยหินแม่น้ำก้อนกลม ๆ พาดยาวไปถึงรั้วบ้าน  ซากุระย้อยกิ่งต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านลงปกคลุมเหนือน้ำตกจำลอง  ตอนนี้ดอกไม้ร่วงหมดแล้วจึงเหลือเพียงก้านเล็ก ๆ และใบที่พลิ้วไหวไปตามลม  แต่อีกไม่นานอาจิไซที่ปลูกไว้จะผลิดอก  สองฟากของธารน้ำจำลองปูด้วยหญ้ามอสนุ่ม ๆ แผ่ออกมาจนกลืนกับแนวของหินละเอียดและหญ้าที่ลาดปูไปบนพื้น  มีทางเดินที่ทำด้วยแผ่นหินและไม้ไผ่คดเคี้ยวไปตามพุ่มไม้เล็ก ๆ และโคมหินแบบโบราณที่เก่าเสียจนตะไคร่ขึ้น  ซึ่งลุงคนสวนยังมีแก่ใจนำตะเกียงมาไว้ที่โคมหินนี้ทุกวัน  ด้วยรู้ว่าคุณหนูคนเล็กของเขาโปรดปรานสวนแห่งนี้ยิ่งนัก
ใช่...มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่เป็นเหมือนโลกทั้งโลกของฟุยุกิ  พ่อกับพี่ชายไม่ค่อยให้ความสนใจกับสวนแห่งนี้เท่าไรนัก  ต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง  ดังนั้นที่นี่จึงถูกปล่อยปละละเลย  มีเพียงฟุยุกิเท่านั้นที่มีความสุขกับความสงบที่สวนแห่งนี้มอบให้
เด็กหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะโหยหาสวนแห่งนี้มากขนาดนี้จนกระทั่งเข้าทำงาน  โลกรอบตัวดูจะเคลื่อนที่ไปเร็วเหลือเกิน  จังหวะของชีวิตไหลโถมไปข้างหน้าอย่างเร็วและแรงเสียจนเขาไล่ตามแทบไม่ทัน  ทุกวันนี้เขาได้แต่พยายามวิ่งตามคนอื่น ๆ ไปอย่างสุดกำลังทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าควรจะต้องจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร  เพราะถ้าหากยืนหันรีหันขวางด้วยความสับสน  สิ่งที่ตามมาจะเป็นคำตำหนิติเตียน  ซึ่งไม่ได้ตำหนิเขาเพียงคนเดียว  แต่มันจะลามปามไปถึงพ่อและพวกพี่ ๆ ด้วยแน่นอน...เขาไม่อยากทำให้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตระกูลอาริโยชิที่พ่อกับพี่สร้างขึ้นมาต้องมัวหมอง  ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามให้เต็มที่
แต่มันช่างแสนเหน็ดเหนื่อย...ฟุยุกิถอนใจยาวแล้วเหม่อมองแสงจากตะเกียงในโคมหิน  เขารู้ตัวดีว่าตนเองเชื่องช้าและไม่ค่อยทันคนอื่น  และทั้งที่พยายามเต็มที่แล้วก็ยังไม่พอสำหรับคนรอบตัว  โลกหมุนไปเร็วเหลือเกิน  และเขาก็เหนื่อยเหลือเกิน  จะมีที่ไหนในโลกไหมนะ  ที่เวลาจะหยุดนิ่งเหมือนในสวนแห่งนี้...ไม่สิ  ไม่ต้องหยุดนิ่งก็ได้  แค่ไหลไปอย่างช้า ๆ เอื่อย ๆ เหมือนน้ำในลำธารนี่ก็พอ  ที่ที่เขาจะพอได้พักหายใจหายคอในระหว่างวันอันวุ่นวายได้...จะมีสักที่ไหมนะ...

...

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
«ตอบ #2 เมื่อ08-11-2014 12:49:55 »

ฝนเริ่มตกแล้ว  ฤดูฝนที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับคนเมือง  ฝนอันเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวัน  บนพื้นจะเต็มไปด้วยน้ำเฉอะแฉะที่ทำให้ขากางเกงเปรอะเปื้อน  หยาดฝนในอากาศจะทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้น  และเมฆหมอกมืดมัวจะทำให้จิตใจคนขุ่นมัวไปด้วย
ฟุยุกิเดินลากขาออกจากที่ทำงาน  วันนี้เขาโดนหัวหน้าดุ  ก็เรื่องทำงานช้านั่นแหละ  ที่จริงหัวหน้าก็ไม่ได้ดุรุนแรงอะไร  เขาไม่เคยทำงานผิดพลาดแต่ก็ช้าเสียจนขัดใจ  หัวหน้าเตือนว่าถ้างานเอกสารช้า  งานอื่น ๆ ก็พลอยช้าไปด้วย  อย่างไรเสียก็อยากให้เขาทำงานให้เร็วขึ้นอีกนิด...ใช่  ไม่ได้โดนดุ  แต่เพราะรู้สึกว่าตัวเองทำเต็มที่แล้วแต่ก็ยังไม่ทันใจคนรอบข้างจึงรู้สึกเจ็บปวด
สองขาที่หนักอึ้งหยุดลง  เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว  ฝนยังตก  น้ำเจิ่งนองถนน  แต่ผู้คนกลับรีบร้อนเคลื่อนไหวกันไปมาวุ่นวาย  ชีวิตต้องรีบขนาดนั้นเชียวหรือ...โลกหมุนเร็วหรืออย่างไร  ทำไมจึงต้องไล่ตามกันขนาดนั้น...ไม่รู้สิ  เขาไม่เข้าใจ  รู้แค่ว่าตัวเองเหนื่อยเหลือเกิน  มีที่ไหนให้เขาพักได้บ้างนะ
พลันก็แว่วเสียงอะไรบางอย่างลอยมาแต่ไกล  เสียงหวาน ๆ ที่ทำให้จิตใจสงบลงได้  ฟุยุกิเดินตามเสียงนั้นไป
ใต้ชายคาเล็ก ๆ แคบ ๆ ของป้ายรถเมล์  ที่มาของเสียงอยู่ที่นั่น  นักดนตรีหนุ่มผมแดงกำลังบรรเลงเพลงด้วยไวโอลินตัวโปรดอยู่ตรงนั้น  ฟุยุกิชะงักเท้า  ภาพตรงหน้าช่างแปลกตา  ท่ามกลางผู้คนที่ก้าวเดินสวนกันไปมาเหมือนมดปลวกไม่มีใครสนใจใคร  ร่างนั้นยืนสงบนิ่ง  หลับตาพริ้มราวกับดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองที่หลั่งไหลออกมาจากคันซอและสายลวดของไวโอลิน  เสียงดนตรีแว่วหวานกลืนไปกับเสียงของสายฝนสอดประสานราวกับเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลงเดียวกัน
ในขณะที่ไม่มีใครสนใจชายคนนั้น  ฟุยุกิกลับหยุดยืนตรงหน้าเขาแล้วยื่นร่มไปกางคลุมให้  แม้จะยืนอยู่ใต้ชายคา  แต่ก็ไม่สามารถกันละอองฝนได้นักหรอก
กระทั่งตัวโน้ตสุดท้ายแผ่วหายไปกับสายฝน  นักดนตรีหนุ่มจึงลืมตาขึ้น  คิ้วเรียวเลิกขึ้นนิดหน่อยอย่างประหลาดใจ
“ยังเล่นไวโอลินอยู่อีกเหรอครับ  ฝนตกแบบนี้ไม่มีใครหยุดฟังคุณหรอก”  ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปอย่างนั้น
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาอย่างนึกสงสัยในถ้อยคำนั้น  แต่แล้วนักดนตรีหนุ่มก็ยิ้ม
“แต่คุณก็หยุดฟังไม่ใช่เหรอ?”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ  เขามองรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบในอกจนต้องก้มหน้าลง
“...ผมเหนื่อย”
ถ้อยคำที่อ่อนล้านั้นไม่ดังไปกว่ากระซิบ...ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกไปนะ  ไปบ่นให้คนแปลกหน้าฟังแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน  ผู้ชายคนนี้เกี่ยวอะไรด้วย  ก็แค่คนที่ได้เห็นหน้ากันตอนหลังเลิกงานเท่านั้น  แล้วไปพูดแบบนี้...ฟุยุกินึกโกรธตัวเอง
แต่นักดนตรีหนุ่มกลับยกไวโอลินขึ้นจรดท่าแล้วตั้งสาย
“ฝนตก  อากาศชื้น  เสียงอาจจะเพี้ยน ๆ นิดหน่อยนะ”  อยู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมา  “เอาละ  ฟังซะให้หายเหนื่อย  Curtain call ใช่มั้ย?”
คันซอกรีดไล่สายก่อให้เกิดเป็นท่วงทำนองของบทเพลงที่ฟุยุกิชื่นชอบ  เสียงใสบางครั้งเริงโลดขึ้นราวกับจะออกไปเริงระบำกลางสายฝน  หากบางท่อนก็ต่ำทุ้มเหมือนจะล้าแรง  แต่ท่วงทำนองเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง  ที่ฟุยุกิรู้สึกตื้อในอกอยู่ตอนนี้คือ  ชายแปลกหน้าที่เพิ่งเคยพูดคุยกันไม่กี่คำคนนี้รู้ถึงจิตใจของเขาและปลอบโยน...อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
บทเพลงขาดหายไปตอนไหนก็ไม่รู้  เด็กหนุ่มมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมือใหญ่และอุ่นแนบลงที่แก้มแล้วปาดเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา
“คุณเหนื่อยเกินไปแล้วละ”
ฟุยุกิยกมือขึ้นปิดปากกลั้นสะอื้น  นี่เขาเป็นอะไรไป  ทำไมถึงมายืนร้องไห้อยู่ในที่แบบนี้  ต่อหน้าคนคนนี้
นักดนตรีหนุ่มไม่พูดอะไร  เขาเก็บไวโอลินลงกล่องแล้วจับมือของฟุยุกิดึงให้เดินตามเขาไป
มันแปลกที่เด็กหนุ่มยอมเดินตามคนแปลกหน้าไปแบบนั้น  แต่ในตอนนั้นฟุยุกิไม่คิดอะไรอีกแล้ว  ที่ไหนก็ได้  ขอให้พาเขาไปพ้นจากโลกที่แสนวุ่นวายนี่เสียที

เสียงกระดิ่งลั่นกริ๋งเรียกฟุยุกิกลับมาจากห้วงภวังค์  ตรงหน้าคือประตูไม้กรุกระจกบานเล็ก ๆ ที่แขวนกระดิ่งเงินอันเขื่องไว้ด้านบน  นักดนตรีหนุ่มที่เดินจูงมือเขามาหันมาพูดกับเขา
“หุบร่มเสียสิ”
ในตอนนั้นเองที่ฟุยุกิเพิ่งรู้สึกตัวว่ากางร่มอยู่  แต่ดูเหมือนว่าร่มนั้นจะไม่ช่วยอะไรเลย  ค่าที่ว่าทั้งเขาและนักดนตรีคนนั้นดูจะเปียกชื้นไปทั้งตัว  เด็กหนุ่มหุบร่มแล้วเสียบไว้ที่เสียบร่มข้างประตู
“เชิญครับ”  นักดนตรีหนุ่มกล่าวเชื้อเชิญพลางผลักบานประตูเปิดออก  ฟุยุกิก้าวตามไปอย่างไม่แน่ใจในตัวเองเท่าไรนัก
“ยินดีต้อนรับครับ”
พร้อมกับคำทักทายนั้นคือกลิ่นหอมของกาแฟที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ  ฟุยุกิงงงันไปนิดหน่อย  ที่ที่นักดนตรีหนุ่มพาเขามาคือร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่มีที่นั่งเพียงไม่กี่ที่  หลังเคาน์เตอร์คือร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนและผ้ากันเปื้อน  ดูเหมือนจะเป็นพนักงานของร้าน
“หวัดดี  นัตสึเมะ”  นักดนตรีหนุ่มเอ่ยทัก
“หวัดดี  คิริฮาระ”  อีกฝ่ายทักตอบ
อ้อ...ชื่อคิริฮาระ...ฟุยุกิบันทึกชื่อนั้นลงในสมอง
“ขายดีน่าดูเลยนะ”  คิริฮาระว่าพลางมองไปรอบ ๆ ร้านที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
“ฝนตกก็งี้แหละ  พอฝนซาเดี๋ยวก็มีคนแวะมาเอง”  นัตสึเมะตอบพลางยักไหล่  “ว่าแต่...พาใครมาด้วย?”
“อ้อ  นี่เหรอ?  คนดูของฉันน่ะ”  คิริฮาระเหลือบไปมองร่างเล็กที่ยืนกอดกระเป๋าอยู่ข้างหลังเขา  “เข้ามาสิครับ  เจ้านี่เชื่องแล้ว  ไม่กัดหรอก”
“เอ่อ...คือ...”  ฟุยุกิลังเล  แต่ในเมื่อตามเขามาถึงที่นี่แล้วก็เลยตามเลยก็แล้วกัน
“ก่อนอื่น  ขอยืมผ้าขนหนูสองผืนเลย”  คิริฮาระบอกนัตสึเมะ
“ไปทำอะไรมาถึงได้เปียกมาแบบนี้?”  นัตสึเมะถามทิ้งไว้ก่อนจะหายเข้าประตูหลังเคาน์เตอร์ไปแล้วกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูสองผืน  “อย่าบอกนะว่าวันนี้ก็ไปเล่นไวโอลินมาน่ะ”
“ปิ๊งป่อง  ฉลาดจริง ๆ เลย  นัตจัง”  นักดนตรีหนุ่มยิ้มกว้าง  เอื้อมมือไปรับผ้าขนหนู  แต่ถูกดึงกลับไปเสียก่อนจะคว้าได้ทัน
“ไม่ต้องเช็ดมันแล้ว  บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกแบบนี้”  ร่างสูงส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้ผู้เป็นเพื่อนก่อนจะส่งผ้าในมือให้ฟุยุกิ  “เชิญครับ”
“อ๊ะ...เอ่อ...ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มรับผ้าผืนนั้นมาพลางโค้งให้
“งก!  กับเพื่อนกับฝูงทำงกนะ”  คิริฮาระว่า
“เพื่อนปากแมวแบบนี้ก็สมควรหรอก”
ตรงหน้าคือผู้ชายวัย 30 สองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องราวกับเด็กประถม  ฟุยุกิไม่รู้จะทำหน้ายังไง  แต่ทำไมไม่รู้ถึงได้ดูน่าสนุกนัก  ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เผลอหัวเราะออกมา
“ฮะ ๆ ๆ...อ๊ะ  ขอโทษครับ  ฮะ ๆ”
“ถ้าจะขอโทษก็อย่าหัวเราะแต่แรกสิ”  คิริฮาระแกล้งว่ามา  แต่ฟุยุกิกลับหยุดหัวเราะและหน้าเสียทันที
“ขะ...ขอโทษครับ...”
พอเห็นอาการของเด็กหนุ่ม  คิริฮาระก็เงียบไป  เขาแค่แหย่เล่นเท่านั้น  ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจังขนาดนี้
“อย่าไปสนใจเจ้าบ้านี่เลยครับ  เชิญทางนี้ดีกว่า”  นัตสึเมะว่าพลางผายมือไปยังเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์
ฟุยุกิเดินไปนั่งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  เพิ่งจะรู้สึกขึ้นมาได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้เดินตามคนแปลกหน้ามาแบบนี้นะ  เอาเถอะ  เขาอาจจะไม่ใช่เด็กแล้ว  แต่ถึงจะบอกว่าคุ้นหน้าคิริฮาระก็ไม่ใช่ว่าจะรู้นิสัยใจคอกันเสียหน่อย  ถ้าทำอะไรให้ไม่ชอบใจจะต้องถูกเกลียดแน่...
“ไม่ต้องกลัวนะครับ  เจ้านั่นก็ฉีดยาแล้ว  ถึงจะกัดได้ก็ไม่ติดเชื้อหรอก  แต่ตอนนี้เช็ดตัวให้แห้งก่อนดีกว่าครับ  ไม่งั้นจะเป็นหวัดเอาได้”  เสียงของนัตสึเมะทุ้มต่ำจนออกจะฟังยากนิดหน่อย  แต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลจนฟุยุกิรู้สึกสบายใจ
“รบกวนหน่อยนะครับ”  พูดแล้วก็ใช้ผ้าขนหนูซับผมเบา ๆ
“ถอดสูทมาผึ่งสักหน่อยมั้ยครับ  ตัวจะได้แห้งเร็วขึ้น”
“อ้ะ  เอาไปเลย  ฝากด้วยนะ  นัตจัง”  คนที่ถูกเมินยื่นแจ็กเก็ตของตนให้ทันที
“ถ้ายังเรียกแบบนี้อีก  ฉันจะเผาเสื้อนายซะ”  ไม่พูดเปล่ายังจุดเตาแก๊สอีกต่างหาก
“เฮ้ย ๆ ๆ!  อย่านะ  เสื้อลายนี้มันหายากแล้วนะ  แล้วนั่นน่ะ  คิโยะซื้อให้ด้วย”  คิริฮาระห้ามเสียงหลง
“งั้นพูดดี ๆ ก่อน”
“ครับ  คุณนัตสึเมะ”
“ก็แค่นั้น...”  ว่าแล้วก็เอาแจ็กเก็ตของคิริฮาระไปผึ่งไว้ข้างประตู  “แล้วก็ของคุณ...เอ่อ...จะไม่แนะนำสักนิดเหรอ  คิริฮาระ”
“ฉันก็ไม่รู้ชื่อเขาเหมือนกัน”  คิริฮาระตอบหน้าตาเฉย
นัตสึเมะหรี่ตามองผู้เป็นเพื่อนอย่างไม่ไว้ใจ  แต่คิริฮาระก็แกล้งเอาผ้าขนหนูคลุมหน้าแล้วเช็ดหัวอย่างไม่สนใจ  ชายหนุ่มจึงหันไปหาฟุยุกิ
“ผม  อิชิกาวะ  นัตสึเมะครับ  แล้วคุณ?”
“ฟุยุกิครับ  อาริโยชิ  ฟุยุกิ”  เด็กหนุ่มตอบอย่างกระตือรือร้น
“ครับ  ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้ว  ขอสูทของคุณด้วยครับ  อาริโยชิซัง”  นัตสึเมะยื่นมือมาหา  ทำให้เด็กหนุ่มต้องยอมถอดเสื้อสูทที่เปียกชื้นของตนให้โดยดี
คิริฮาระนั่งลงข้าง ๆ ฟุยุกิ  “นัตสึเมะ  หนาวแล้ว”
“จะเอาอะไรแก้หนาวล่ะ?”
“เหมือนเดิม  เอสเปรซโซ”
“อื้ม  แล้วอาริโยชิซังล่ะครับ?”
“เอ้อ...”  ฟุยุกิอ่านป้ายรายการเครื่องดื่มด้านหลังนัตสึเมะอย่างลังเล  ในที่สุดก็อ้อมแอ้มออกมา  “คือ...ผม...ไม่เคยดื่มกาแฟครับ”
จบคำนั้นก็บังเกิดความเงียบเท่าเข็มตกได้ยินครอบคลุมไปทั้งร้าน
...ทำไงดี...นี่เราต้องพูดอะไรแปลก ๆ ออกไปแน่ ๆ เลย...ทำไงดี...ฟุยุกิร้อนรนอยู่ในใจ
“คะ...คือว่าผม...ไม่เคยเข้าร้านกาแฟน่ะครับ  ชงดื่มเองที่บ้าน  เลยไม่รู้ว่ากาแฟอันไหนเป็นอะไร”  เด็กหนุ่มแก้ตัว
สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคิริฮาระแล้วก็ตามมาด้วยนัตสึเมะ  ฟุยุกิอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“งะ...งั้น...ผมเอาเอสเปรซโซก็ได้ครับ  มันคงเหมือน ๆ กับที่ชง...ที่...บ้าน...”  ยิ่งพยายามแก้ตัวก็ยิ่งเหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง  เด็กหนุ่มจึงเงียบไปทั้งที่หน้าแดงก่ำ
มือใหญ่เอื้อมมาตบไหล่ของฟุยุกิเบา ๆ   เป็นนักดนตรีหนุ่มนั่นเอง
“คนที่เกิดมาไม่เคยดื่มกาแฟ  โดนเอสเปรซโซเข้าไปก็ไม่ต้องดื่มกาแฟอีกทั้งชีวิตเลยนะ”
ฟุยุกิเบิกตากว้าง  พูดแบบนี้แปลว่ามองออกหมดเลยหรือ  แม้แต่เรื่องที่เขาไม่เคยดื่มกาแฟเลยน่ะนะ
“เย็นป่านนี้แล้วไม่ต้องดื่มกาแฟหรอกครับ  รับเป็นพวกชาดีมั้ย?”  นัตสึเมะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ  แต่เขาไม่เคยดื่มอะไรนอกจากชาเขียวนี่นา  และนัตสึเมะก็อ่านสีหน้าลำบากใจนั้นออก
“เดี๋ยวผมเลือกให้แล้วกัน  ลองดูมั้ยครับ?”
เป็นการเสนอทางเลือกที่ดี  แม้จะไม่แน่ใจนักแต่ฟุยุกิก็พยักหน้ารับ  นัตสึเมะจึงหันไปบดเมล็ดกาแฟสำหรับคิริฮาระแล้วเลือกชาจากขวดโหลที่วางเรียงรายกันอยู่ที่ชั้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก  นัตสึเมะน่ะ  เลือกเครื่องดื่มได้เหมาะกับคนเสมอแหละ”  คิริฮาระบอก
เลือกเครื่องดื่มได้เหมาะกับคน...มันหมายความว่าไงกันนะ  ฟุยุกิได้แต่สงสัยอยู่ในใจ
“เอสเปรซโซร้อน  ได้แล้ว”  นัตสึเมะวางกาแฟดำถ้วยเล็กนิดเดียวลงตรงหน้าคิริฮาระ
“ขอบใจ”  นักดนตรีหนุ่มใช้นิ้วเกี่ยวหูถ้วยกาแฟแล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาที่เขา  พอหันไปดูก็พบฟุยุกิกำหลังทำหน้าสงสัย  “ทำไมเหรอ?”
“ทำไม...กาแฟมันถ้วยเล็กจังครับ?”
ยังไม่ทันที่คิริฮาระจะตอบ  นัตสึเมะก็อธิบายว่า  “เอสเปรซโซเป็นกาแฟดำที่เสิร์ฟด้วยถ้วยขนาดเล็กครับ  เป็นพื้นฐานของกาแฟอื่น ๆ ทั้งหมดแล้วก็จะเข้มเป็นพิเศษ”
“แล้วดื่มกาแฟเข้มขนาดนี้ในเวลาแบบนี้  จะได้นอนเหรอครับ?”  ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใย
“ผมยังต้องทำงานต่อไปจนเกือบเช้าน่ะ  กาแฟตอนนี้นี่แหละกำลังดีเลย”  คิริฮาระบอกแล้วก็ยกกาแฟขึ้นจิบ
“ส่วนนี่ของคุณครับ”  นัตสึเมะวางถ้วยมัคสีขาวแต่งลายด้วยเส้นสีเงินเป็นประกายบาง ๆ ลงบนเคาน์เตอร์
ฟุยุกิมองชาในถ้วยอย่างสนใจ  น้ำชาเป็นสีเหลืองจาง ๆ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ  ให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างประหลาด  แตกต่างจากชาเขียวหรือชาฝรั่งที่ดื่มประจำที่บ้าน
“นี่...ชาอะไรเหรอครับ?”
“ชาคาโมมายล์ครับ  เป็นชาสมุนไพร  เหมาะสำหรับตอนเหนื่อย ๆ นะครับ”  พร้อมคำอธิบายคือรอยยิ้มเป็นมิตร  ผู้ชายคนนี้คงจะยิ้มแบบนี้อยู่เสมอกระมัง  ถึงได้ดูเป็นธรรมชาติขนาดนี้
เหนื่อยงั้นหรือ...ใช่  เขากำลังเหนื่อย  นัตสึเมะเลือกเครื่องดื่มได้เหมาะกับเขาจริง ๆ  แต่...ดูออกงั้นหรือ...เขาบอกคิริฮาระว่าเหนื่อยก็จริง  แต่คิริฮาระยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับนัตสึเมะสักคำนี่นา
ฟุยุกิกุมถ้วยชาร้อน ๆ แล้วก้มหน้านิ่ง  รอบตัวมีเพียงกลิ่นกาแฟที่หอมอบอวลและเสียงพูดคุยกันของคิริฮาระกับนัตสึเมะ  สีหน้าท่าทางของเขาคงจะบอกชัดละมั้งว่ากำลังเหนื่อย  แบบนี้สินะ  มิโนรุถึงได้บอกว่าเขาโกหกได้ไม่เอาไหน  ขนาดคนแปลกหน้าอย่างนัตสึเมะก็ยังมองออก
“ชานั่น  ถ้าไม่ดื่มตอนกำลังร้อนจะไม่อร่อยนะครับ”  เสียงของนัตสึเมะปลุกฟุยุกิจากภวังค์
“อ๊ะ...เอ่อ  ครับ”  เด็กหนุ่มรีบกระวีกระวาดยกชาขึ้นดื่ม
ชาร้อน ๆ นั้นค่อนข้างจะไร้รสชาติ  หากพอล่วงผ่านลำคอกลับหอมฟุ้งขึ้นจมูก  ทำให้รู้สึกสดชื่น  ในอกที่เคยหนักอึ้งอยู่เมื่อครู่กลับโล่งเบาและอุ่นซ่านไปทั้งร่าง  ต่างจากชาเขียวหรือชาข้าวที่ดื่มในหน้าร้อน
“อร่อยมั้ยครับ?”  นัตสึเมะถาม
ฟุยุกิพยักหน้า  “หอมจังเลยครับ  สดชื่นมากด้วย”
“เห็นผลเร็วจัง”  คิริฮาระแกล้งว่ามา
“มันก็แล้วแต่คน  อย่างนายดื่มทั้งกาก็ไม่มีผลอะไรหรอก”  นัตสึเมะตอกเข้าให้
“ไอ้คนชงก็เหมือนกันแหละวะ  พอนอนไม่หลับขึ้นมาก็...”
นัตสึเมะไม่รอให้คิริฮาระพูดจบ  แทรกขึ้นมาทันที  “...ล่อแต่เหล้า”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน  ฟุยุกินั่งดูทั้งสองแล้วก็ยิ้ม...เขาไม่เห็นจำได้เลยว่าตอนที่พวกพี่ชายอายุประมาณนี้จะเคยสนุกสนานเฮฮาแบบนี้บ้าง

ข้างนอกฝนยังตกพรำ ๆ  น้ำฝนเกาะเป็นสายเหมือนไข่มุกอยู่บนกระจก  ชายหนุ่มทั้งสองยังคงพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ในเรื่องที่ฟุยุกิไม่เข้าใจ  พูดถึงคนที่ฟุยุกิไม่รู้จัก  แต่ก็น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเงียบสงบที่คุ้นเคยราวกับกำลังนั่งอยู่ที่สวนญี่ปุ่นหลังบ้าน...เวลาในร้านกาแฟแห่งนี้ก็หยุดนิ่งเหมือนกันงั้นหรือ  เป็นสถานที่ที่ปล่อยให้โลกอันเร่งร้อนมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ไล่ตาม  กลางเมืองใหญ่ยังมีที่แบบนี้อยู่สินะ  ที่ที่หยุดเวลาเอาไว้เหมือนที่สวนหลังบ้าน...
แต่เวลาไม่ได้หยุดเดิน  คิริฮาระยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแล้วดูนาฬิกาข้อมือ
“ต้องไปแล้วละ”
“ฉันนึกว่าวันนี้นายจะโดดงานแล้วซะอีก”  นัตสึเมะว่าพลางเช็ดถ้วยกาแฟ
“โดดได้ไง  เดี๋ยวจิวจังก็เล่นฉันตายพอดี”  คิริฮาระลุกไปหยิบแจ็กเก็ตมาสวม
“ขอบคุณสวรรค์ที่โอโนเสะซังให้จูอิจิซังมาคอยคุมนาย  ไม่งั้นร้านคงเจ๊งตั้งแต่ปีแรก”
“อย่าพูดมากน่า  นี่วันนี้ต้องเคลียร์รายการของเข้าด้วย  เฮ่อ...แค่คิดก็ปวดกบาลแล้ว”
“มีงานทำก็ดีแล้วน่า  ขยัน ๆ เข้านะ”
“อื้ม  จะพยายาม”
“อ๊ะ  ผมไปด้วยครับ”  ฟุยุกิรีบหยิบของของตนด้วย
“ไม่ต้องรีบหรอกครับ  ถ้าไม่มีธุระอะไรก็พักให้สบายเถอะ  คิริฮาระมันต้องไปทำงานน่ะครับ”  นัตสึเมะรั้งเอาไว้
“เอ๊ะ  ทำงาน?”
“คลับนั่งดริ๊งค์น่ะครับ”
ฟุยุกิขมวดคิ้วแล้วคิดนิดหนึ่ง  ก่อนจะพยักหน้า  “อ้อ...ร้านเหล้า”
คิริฮาระกับนัตสึเมะอึ้งไปนิดหนึ่ง  จริงอยู่ว่าคลับของคิริฮาระขายเหล้า  แต่ทั้งรูปแบบและความหมายมันคนละเรื่องกับคำว่าร้านเหล้าเลยนะ...เด็กคนนี้นี่  อะไรมันจะซื่อจนจั๊กกะเดียมหัวใจแบบนี้...
“จะว่างั้นก็ไม่ผิดหรอก...”  คิริฮาระพูดขึ้นในที่สุด  “เอาละ  ผมต้องไปก่อน  ไว้เจอกันนะ”
“เอ้อ...ครับ  แล้วเจอกัน”
ว่าแล้วคิริฮาระก็ออกจากร้านไป  ทิ้งฟุยุกิไว้ตามลำพังกับนัตสึเมะ...ถึงจะบอกว่าพักตามสบายได้ก็เถอะ  แต่นี่มันก็เกือบสองทุ่มแล้ว  นัตสึเมะก็คงจะต้องปิดร้าน  ถ้าเขาอยู่นานจะเป็นการรบกวนได้  เด็กหนุ่มจึงรีบดื่มชาให้หมด
“ผม...เอ้อ...ผมก็กลับดีกว่าครับ”  ว่าพลางก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา  “ค่าชาเท่าไรครับ?”
“ฟรีครับ”  นัตสึเมะตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“หา?”
“ผมเลี้ยง  เพื่อนของคิริฮาระก็เหมือนเพื่อนผม  เพราะงั้นฟรีครับ”
“เอ๊ะ...แต่ผมกับคิริฮาระซังไม่ได้...”  ใช่...จะเรียกว่าเพื่อนไม่ได้หรอก  ก็แค่คนที่เจอหน้ากันบ่อย ๆ เท่านั้น  ชื่อของนักดนตรีหนุ่มนั่นก็อาศัยจำเอาระหว่างที่อยู่ในร้านนี้เท่านั้นเอง
พอเห็นสีหน้าลำบากใจของเด็กหนุ่ม  นัตสึเมะก็บอกว่า  “เอาเป็นว่าผมเลี้ยง  โทษฐานที่เรามารู้จักกันดีมั้ยครับ  อาริโยชิซัง”
“เอ้อ...ครับ”  เจ้าของร้านว่ามาแบบนี้จะให้ทำยังไงได้  “แต่...ผมไม่คุ้นเลย...”
“ไม่คุ้นอะไรครับ?”
“ถูกเรียกว่าอาริโยชิซัง...ไม่คุ้นเลย”  ในความรู้สึกของฟุยุกิ  นี่คือชื่อที่คนอื่น ๆ ใช้เรียกพ่อกับพวกพี่ ๆ ของเขา
“งั้น...อาริโยชิคุง”  ก็อารมณ์เดียวกับเวลาครูเรียกละนะ
“...ครับ”  ฟุยุกิพยักหน้า  “ขอสูทด้วยครับ”
พอนัตสึเมะส่งสูทที่ผึ่งไว้ให้  เด็กหนุ่มก็รับมาสวม  หยิบกระเป๋าทำงานแล้วโค้งให้  ก่อนจะเดินไปที่ประตูร้าน
“อย่าลืมร่มนะครับ”  นัตสึเมะที่เดินตามมาส่งบอก
“วันนี้ขอบคุณมากครับ”
“ขอบคุณคิริฮาระเถอะ...อ้อ  นี่  ของฝาก”  เจ้าของร้านกาแฟส่งห่อผ้าเล็ก ๆ ให้
“อะไรครับ?”  ฟุยุกิรับมาพร้อมกับทำหน้าสงสัย
“ชาคาโมมายล์  หาโหลใส่แล้วเอาไว้ชงดื่มก่อนนอนหรือตอนเหนื่อย ๆ ก็ได้”
“เอ๊ะ!  ทำไม...?”  แค่คนที่เพิ่งเจอหน้ากัน  ไม่เห็นต้องให้เขาขนาดนี้เลย
“รับไปเถอะครับ  คนเรามันต้องมีเวลาพักผ่อนสบาย ๆ บ้าง”
รอยยิ้มของนัตสึเมะราวกับแสงสว่าง...หากเป็นแสงสว่างคนละแบบกับคิริฮาระ  นักดนตรีหนุ่มที่จับไวโอลินนั้นเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน  แต่รอยยิ้มของนัตสึเมะเหมือนแสงจันทร์ที่อ่อนโยน...ฟุยุกิรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด
“ขอบคุณครับ  ขอบคุณมาก”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก  แค่นี้เอง”
เด็กหนุ่มหยิบร่มมากางออก  “แล้วจะมาอีกนะครับ”
“เชิญได้ทุกเมื่อครับ”
ฟุยุกิทำท่าจะออกเดินแล้วก็ชะงัก  หันมาทำหน้าเจื่อน ๆ กับนัตสึเมะ
“เอ้อ...ที่นี่ที่ไหนครับ?”
สุดจะกลั้นหัวเราะไว้ได้  นัตสึเมะเผลอปล่อยก๊ากออกมา  เล่นเอาฟุยุกิหน้าแดงก่ำ  ชายหนุ่มพยายามกลั้นสุดชีวิต
“ขอโทษนะ...โทษที...แต่สีหน้าคุณเมื่อกี้มัน...”  นัตสึเมะละคำว่า  “น่ารัก”  ไว้ในใจ  ถึงจะเป็นเด็กที่ไม่ประสาต่อโลกแค่ไหน  แต่ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากถูกชมว่าน่ารักหรอก
เด็กหนุ่มก้มหน้างุด
“สถานีรถไฟไปทางนั้นครับ  เดินไปสองช่วงตึกก็ถึงแล้ว”  ปากบอกอย่างนั้นแต่ยังอมยิ้มจนแก้มแทบแตก
“...ขอบคุณฮะ”  ฟุยุกิตอบเสียงแผ่ว ๆ ด้วยเขินอาย
“ให้ไปส่งมั้ยครับ?”
คำนั้นอาจเป็นความปรารถนาดีที่ออกมาจากใจ  แต่กลับทำให้ฟุยุกิอายมากขึ้นไปอีก
“ไม่ต้องครับ  ขอบคุณ...”
“งั้น...กลับระวัง ๆ นะครับ  แล้วเจอกัน”
“ครับ  ลาก่อนครับ”
นัตสึเมะยืนมองส่งเด็กหนุ่มไปจนลับสายตา  เพื่อนใหม่ที่คิริฮาระพามานี่น่าสนใจทีเดียว  แต่ท่าทางอ่อนล้านั้นทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้  คิริฮาระคงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มเช่นกันถึงได้พามาที่นี่  อายุยังน้อยแท้ ๆ แต่กลับไร้ชีวิตชีวา...เอาเถอะ  ถ้ามาคราวหน้าจะสอนให้ดื่มกาแฟแล้วกัน

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ natalee22

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-3
Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
«ตอบ #3 เมื่อ30-11-2014 12:06:56 »

โอ๊ะ เพิ่งเห็นว่าลงเรื่องใหม่แล้ว
รอติดตามนะคะ
เราชอบอ่านนิยายของคุณ
ถึงจะเครียดๆ+โหดไปสักหน่อย แต่เราว่าพล็อตสนุกและสมจริงดี

รออ่านตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
«ตอบ #4 เมื่อ30-11-2014 12:56:50 »

ชอบมากค่ะ รอติดตามนะคะ เสียดายมากกระทู้เก่าหาย

ออฟไลน์ OrangeryLemon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
«ตอบ #5 เมื่อ30-11-2014 13:37:43 »

จำเรื่องนี้ได้ค่ะ ปมนายเอกเบากว่าเรื่องอื่นๆนะ แต่ชอบค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
«ตอบ #6 เมื่อ03-12-2014 14:03:47 »

 :hao4: :hao4:   น่ารักอะ :กอด1: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
«ตอบ #7 เมื่อ03-12-2014 17:03:08 »

มาสเตอร์กลับมาแล้วววว >_<

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: [นิยาย] Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
«ตอบ #8 เมื่อ15-12-2014 20:17:13 »

ยังรีโพสต์อยู่นะครับ ขอโทษที่มาอัพช้า ติดปัญหาเรื่องอินเตอร์เนทอยู่นานครับ ตอนนี้เริ่มเสถียรแล้ว เลยพอจะอัพได้ครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 02

เสียงไวโอลินยังคงแว่วหวานแทรกไปกับบรรยากาศความวุ่นวายของเวลาเลิกงาน  แม้วันนี้จะมืดครึ้มแต่ก็โชคดีที่ฝนไม่ตก  ฟุยุกิกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปบนทางเท้าเพื่อไปให้ทันการแสดงเพลงสุดท้าย  แล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่อคิริฮาระหันมาเห็นเขาแล้วก็ยิ้มให้พร้อมกับเริ่มบรรเลงหนึ่งในบทเพลงที่เขาชอบ  ฟุยุกิหยุดยืนดูการแสดงและยิ้มน้อย ๆ
“เอาละครับ  เพลงสุดท้ายแล้วนะ  จบแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านนะครับ  เดี๋ยวคนที่บ้านจะเป็นห่วง”  ประกาศเสร็จคิริฮาระก็จรดคันซอแล้วบรรเลงเพลงโปรดของฟุยุกิ
Curtain call…ฟุยุกิบอกกับตัวเองแล้วยืนฟังบทเพลงหวานเศร้านั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม  เหมือนโลกหยุดหมุน  เด็กหนุ่มนึกอยากให้เพลงนี้ไม่มีวันจบ  เขาจะได้อยู่ตรงนี้ไปนาน ๆ
แต่ทุกสิ่งย่อมจบลงเป็นธรรมดา  ในที่สุดคิริฮาระก็ส่งตัวโน้ตสุดท้ายให้ละลายหายไปในอากาศแล้วยกคันซอขึ้น  โค้งรับเสียงปรบมือจากบรรดาผู้ชมราวกับแสดงอยู่บนเวทีระดับโลก
“ขอบคุณครับ  ขอบคุณ  เอาละ  แยกย้ายกันได้แล้วครับ  ใครยังไม่อยากกลับจะไปต่อที่ร้านผมก็เชิญนะครับ  แต่ผมจะตามไปทีหลัง  ขอตัวไปหาที่รักก่อน”
เหล่าผู้ชมหัวเราะกับการล้อเล่นนั้นแล้วทยอยกันออกเดินไปตามทางของตน  ฟุยุกิเมียง ๆ มอง ๆ คิริฮาระอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปทัก  จนกระทั่งชายหนุ่มเก็บไวโอลินลงกล่องเสร็จ
“อะ...เอ้อ...”  ฟุยุกิรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น
“สวัสดีครับ  อาริโยชิคุง”  คิริฮาระเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน
“สวัสดีครับ  คิริฮาระซัง”  เด็กหนุ่มโค้งให้อย่างมีมารยาทจนคิริฮาระต้องรีบโค้งตอบ  “วะ...วันนี้จะ...ไปที่ร้านกาแฟหรือเปล่าครับ?”
“ไปสิครับ  ก็บอกแล้วไงว่าจะไปหาที่รัก”
“เอ๊ะ!?”  ฟุยุกิทำหน้าตื่น ๆ...คิริฮาระกับนัตสึเมะเป็น...!?
ชายหนุ่มดูจะเข้าใจว่าฟุยุกิคิดอะไรอยู่จึงหัวเราะ  “ไม่ใช่อย่างน้าน  ที่รักของผมคือเอสเปรซโซฝีมือนัตสึเมะครับ  อร่อยที่สุดในโลกแล้ว”
ท่าทางลอบถอนใจอย่างโล่งอกของฟุยุกิทำให้คิริฮาระอดยิ้มไม่ได้
“พอ...พอดีอยากไปน่ะครับ  แต่ผมจำทางไม่ได้...”  ฟุยุกิบอกอ้อมแอ้ม
“เอาสิ  ไปด้วยกันก็ได้  คราวนี้จำทางด้วยนะครับ”  คิริฮาระทำหน้าล้อ ๆ แล้วก็เดินนำหน้าไป
แท้จริงแล้วร้านกาแฟของนัตสึเมะตั้งอยู่ในจุดที่จำได้ง่าย  คืออยู่ข้างมหาวิทยาลัยชื่อดังของละแวกนั้น  ในช่วงเวลานี้ยังคงมีนักศึกษามานั่งดื่มกาแฟและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระหรือทำงานกันอยู่หลายคน  และแทบทุกคนหันขวับมามองทันทีเมื่อร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีแดงยาวประบ่าเดินเข้ามาในร้าน  ทำเอาฟุยุกิถึงกับตกประหม่า
“หวัดดี  นัตสึเมะ”  คิริฮาระเอ่ยทักผู้เป็นเจ้าของร้านโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น
“สวัสดี  คิริฮาระ  วันนี้จะโดดงานหรือเปล่า?”  นัตสึเมะทักตอบแกมจิกกัด
“ไม่หรอกน่า  เดือนนี้โดดงานจนโดนจิวจังคาดโทษแล้ว”
“ฉันว่าจูอิจิซังสมกับเป็นผู้จัดการร้านมากกว่านายอีกนะ”
“ช่างฉันเถอะ”  คิริฮาระนั่งลงที่มุมเคาน์เตอร์ด้านในอันเป็นที่นั่งประจำ  “ขอเหมือนเดิมนะ”
“ได้...อ๊ะ  สวัสดีครับ  อาริโยชิคุง”  นัตสึเมะเอ่ยทักทายทันทีที่เห็นฟุยุกิซึ่งเดินแอบหลังคิริฮาระมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“สวัสดีครับ  นัต...เอ้อ...มาสเตอร์”
“เรียกนัตสึเมะก็ได้ครับ  ถ้าสะดวกกว่า  นั่งก่อนสิครับ”  นัตสึเมะบอกอย่างไม่ถือตัวก่อนจะหันไปจัดการบดเมล็ดกาแฟและตวงใส่เครื่องเพื่อชงกาแฟให้คิริฮาระ
กลิ่นกาแฟชั้นดีหอมอบอวลไปทั้งร้าน  ฟุยุกิสูดกลิ่นหอมสดชื่นนั้นพลางนึกเสียดายที่ตนดื่มกาแฟไม่เป็น  เพียงไม่นานนักกาแฟถ้วยเล็กเข้มข้นหอมกรุ่นก็ถูกวางลงตรงหน้าคิริฮาระ
“นี่แหละ  สุดที่รักของผม”  พ่อหนุ่มนักดนตรีบอกกับฟุยุกิ  แล้วหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบพลางทำหน้ามีความสุข
“สุดที่รัก?”  นัตสึเมะทำหน้างง ๆ
“อื้ม  มายเอสเปรซโซ  มายเลิฟ”
“จะอ้วก”  คนชงกาแฟให้ดื่มว่าเอาดื้อ ๆ
“โธ่  นี่ถ้าไม่ได้กาแฟของนาย  ฉันทำงานถึงเช้าไม่ได้หรอกนะ”
“คิดไปเองมากกว่า  ฉันดื่มวันละตั้งหลายถ้วยยังไม่เคยนอนไม่หลับเลย”
“ของนายมันดื้อยาแล้ว”
“เอ้อ...ร้านเหล้านี่เปิดถึงเช้าเลยเหรอครับ?”  ฟุยุกิถามขึ้นมาอย่างเกรงอกเกรงใจ
“ตัวร้านน่ะปิดตีสอง  แต่ผมต้องเช็คของ  ทำบัญชี  แล้วก็ทะเลาะกับจิวจังอีก  กว่าจะเสร็จก็เช้าละครับ”  ชายหนุ่มอธิบายพลางจิบกาแฟไปพลาง
“ที่จริงมันก็ไม่ถึงเช้าหรอกครับ  ถ้าหมอนี่มันไม่ขี้เกียจ”  นัตสึเมะขัดขึ้น
“เอ๊...ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ  ฉันแค่ไม่คล่องงาน”  คิริฮาระเถียง
“ทำร้านมาห้าปีแล้วเนี่ยนะ  ยังมีหน้ามาไม่คล่องงานอีกเหรอ?”  นัตสึเมะหรี่ตาอย่างจับผิด
“ก็ไม่ได้ทำมาสิบปีอย่างนายนี่”
“สิบปี!?”  ฟุยุกิอุทาน  ดูหน้าตาท่าทางแล้วชายหนุ่มทั้งสองคนน่าจะอายุไม่เกินสามสิบห้า  ที่จริงการมีกิจการส่วนตัวแบบนี้ก็ยังถือว่าเร็วเสียด้วยซ้ำ  แต่บอกว่าทำมาสิบปีแล้วนี่มัน...
“ผมทำร้านนี้มาตั้งแต่จบ ม. ปลายใหม่ ๆ น่ะครับ  ถู ๆ ไถ ๆ กันมาก็ร่วม ๆ สิบปีแล้ว”  ชายหนุ่มพูดอย่างถ่อมตนแต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ฟุยุกิได้แต่นิ่งอึ้ง  นัตสึเมะเลือกทางเดินของตัวเองมาตั้งแต่จบมัธยมเลยหรือ  ยอดจริง ๆ...ต่างกับเขาที่จนป่านนี้ก็ยังต้องให้คนในครอบครัวชี้ทางให้เดินลิบลับ  เด็กหนุ่มทำหน้าม่อย  และนัตสึเมะก็สังเกตเห็น
“คิดอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ก็...คิดว่าพวกคุณนี่วิเศษจังนะครับ  ที่มีเส้นทางของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนั้น”
นัตสึเมะกับคิริฮาระลอบสบตากัน  แล้วก็เป็นคิริฮาระที่เอ่ยขึ้นมาว่า
“มันก็ไม่ได้ดีนักหรอกนะ  ในการที่ใครสักคนจะต้องเลือกเส้นทางของตัวเองตั้งแต่เด็กแบบนั้นน่ะ  มันมีปัจจัยอื่น ๆ บีบบังคับให้ต้องเลือกเหมือนกัน  และบางทีมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้เส้นทางที่ตัวเองชอบเสมอไป  อย่างผมเนี่ยก็ไม่ได้อยากเปิดผับหรอกนะ  เพียงแต่ญาติผู้ใหญ่เขาเล็งเห็นแล้วว่าผมน่าจะทำงานบาป ๆ ขึ้นเลยยัดเยียดร้านมาให้”
“โอโนเสะซังเขาไปเป็นญาติผู้ใหญ่ของนายตั้งแต่เมื่อไรกัน?”  นัตสึเมะเบรคเข้าให้
“ก็ตั้งแต่เป็นเจ้าหนี้ฉันแหละ  ถ้านับญาติกันแล้วมันจะได้ประนอมหนี้ได้”
“คิดเองเออเองชัด ๆ”
คิริฮาระยักไหล่อย่างไม่แยแสแล้วพูดต่อ  “นัตสึเมะน่ะมันโชคดี  ที่ถึงจะโดนโชคชะตาบีบบังคับแต่ก็ยังได้เส้นทางที่ตัวเองชอบ”
“คนเรามันมีจังหวะชีวิตของตัวเองครับ  สักวันมันก็ต้องมาถึง  เพียงแค่เราจะเลือกเหรือไม่เลือกเส้นทางนั้นเท่านั้นเอง”  นัตสึเมะเสริมให้
“ผม...ไม่เคยได้เลือกเลยครับ...ทุกอย่าง  มีคนเลือกให้เสมอ...”  ฟุยุกิตัดพ้อกับคำพูดนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่ว ๆ
“แปรงสีฟันล่ะ?”  อยู่ ๆ คิริฮาระก็ผ่ากลางปล้องขึ้นมาเฉย ๆ
“กะ...เกี่ยวอะไรกับแปรงสีฟันครับ?”  ไม่ใช่แค่ฟุยุกิ  แม้แต่นัตสึเมะก็งง
“ถ้าเลือกแปรงสีฟันได้เอง  อะไรก็เลือกเองได้ทั้งนั้นแหละ  ไม่มีใครมาเลือกอะไรให้เราได้เสมอไปหรอก”
“แต่...นั่นมันแค่เรื่องเล็ก ๆ นี่ครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มเถียง
“เรื่องใหญ่ ๆ ทุกเรื่องมันก็เริ่มมาจากเรื่องเล็ก ๆ ทั้งนั้นแหละ”
ที่คิริฮาระพูดมันก็จริงอยู่หรอก  แต่คิริฮาระไม่ใช่เขานี่  ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าที่บ้านของเขาเป็นยังไง  ต่อให้เขากล้าเถียงไปก็ไม่มีใครฟังเขาหรอก  เขามันก็แค่เด็กไม่ได้เรื่องที่ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำอะไรเองได้เท่านั้นแหละ
นัตสึเมะสังเกตสีหน้าของฟุยุกิแล้วยิ้มน้อย ๆ...ท่าทางอย่างนี้มันเหมือนกับพวกเขาเมื่อครั้งยังเด็กจริง ๆ  เพียงแต่ตอนนั้นพวกเขาเด็กกว่าฟุยุกิมากนัก...ชายหนุ่มหันไปเลือกโหลใบชาที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นแล้วจัดการรินน้ำร้อนใส่กาเพื่อชงชา
ไม่นานนักน้ำชาหอมกรุ่นก็เสิร์ฟลงตรงหน้าฟุยุกิ
“ชามะลิครับ  ดื่มเสียให้สดชื่น”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของร้าน  “ไม่ใช่ชาคาโมมายล์เหรอครับ?”
“วันนี้ไม่ได้เหนื่อยจนอยากพักไม่ใช่เหรอครับ  แค่ซึมเศร้านิดหน่อย  ดื่มชาหอม ๆ ให้สดชื่นเถอะครับ”
รอยยิ้มของนัตสึเมะทำให้ฟุยุกิรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก  เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ  กลิ่นมะลิหอมฟุ้งอยู่ในจมูกและในลำคอ  ช่วยให้สดชื่นจริง ๆ อย่างที่นัตสึเมะว่า
ไม่มีใครพูดอะไรกันพักใหญ่  และระหว่างนั้นลูกค้าคนอื่น ๆ ก็ทยอยกันจ่ายเงินและออกจากร้านไป
“ผมน่ะ...ไม่ได้อยากเล่นไวโอลินเองหรอกนะ”  อยู่ ๆ คิริฮาระก็พูดขึ้น  ทำให้ฟุยุกิหันไปมองอย่างประหลาดใจ  “ผมเกิดในตระกูลนักดนตรีคลาสสิค  คงจะเล่นดนตรีกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ละมั้ง  พอผมเกิดมาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเล่นไวโอลิน  ตัวผมเองก็ไม่ได้ชอบเล่นหรอกนะ...ยากจะตาย  คนสอนก็โหด  แต่ตั้งแต่จำความได้ก็จับไวโอลินแล้ว  ก็เลยต้องเล่นไป”
ฟุยุกินิ่งฟัง  ไม่น่าเชื่อเลยว่าคิริฮาระที่สีไวโอลินได้แสนวิเศษคนนั้นจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“ตอนที่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญมันก็มี  แต่พอดีเล่นได้  ก็เลยเล่นมาเรื่อย ๆ...รู้สึกตัวอีกทีก็เก่งซะแล้ว”
บทสรุปของคิริฮาระทำเอาฟุยุกิอดขำออกมาไม่ได้
“แปลว่าถ้าไม่เก่งจะเลิกเล่นเหรอครับ?”
“อ๋อ  แน่ละ...ใครจะไปทนทำเรื่องที่ไม่เหมาะกับตัวเองอยู่ได้ล่ะ”  คำพูดนั้นทำให้ฟุยุกิถึงกับสะอึก  แต่ก็โล่งใจเมื่อได้ยินประโยคถัดมา  “ถ้าเป็นผมในตอนนี้ก็ต้องตอบแบบนี้ละนะ  แต่ถ้าถามผมเมื่อสักสิบห้าปีก่อน...ผมคงตอบไม่ได้  ต่อให้เล่นได้ห่วยแค่ไหนก็คงต้องเล่นไวโอลินต่อไปละมั้ง  ก็ครอบครัวเขากำหนดมาแบบนั้นแล้วนี่  อย่างน้องชายผมก็ต้องเล่นเปียโน  ทั้งที่อยากเล่นไวโอลิน  แต่เพราะฝีมือไวโอลินไม่เอาไหนที่บ้านก็เลยเลือกเครื่องดนตรีที่เหมาะสมกว่าให้...เริ่มแรกมันก็แบบนี้แหละ  แปรงสีฟันอันแรก  พ่อแม่จะเป็นคนเลือกให้เราเสมอ  จนกว่าเราอยากจะเลือกแปรงสีฟันเอง”
“แต่ถ้าเขาไม่เปิดโอกาสให้เราเลือกล่ะครับ?”
“มันขึ้นอยู่กับว่าเราบอกเขาว่าเราอยากเลือกแปรงสีฟันเองหรือเปล่าต่างหาก  ถ้าเราไม่เคยบอก  ก็บอกไม่ได้หรอกว่าเขาเปิดโอกาสให้เราหรือเปล่า  แต่ถ้าบอกไปแล้วเขาไม่ยอม...นั่นก็อีกเรื่อง”
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว...คิริฮาระซังจะทำยังไงครับ?”
“หึ...เรื่องนั้นถามนัตสึเมะดีกว่า  ผมน่ะชอบแปรงสีฟันที่ที่บ้านเลือกให้นะ  เพียงแต่ถือวิสาสะเปลี่ยนยาสีฟันเองเท่านั้นเอง  แต่หมอนั่นน่ะโยนทิ้งหมดทั้งแปรงสีฟันยาสีฟันเลยละ”  คิริฮาระพูดพลางบุ้ยบ้ายไปทางนัตสึเมะที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าอยู่
“เอ๊ะ  ร้านนี้ไม่ใช่ของครอบครัวนัตสึเมะซังหรอกเหรอครับ?”  ฟุยุกิงงงัน
“ไม่ใช่หรอก  นี่เป็นร้านของนัตสึเมะเองน่ะ”
ฟุยุกิทำหน้าทึ่งจัด  จ้องมองแผ่นหลังของนัตสึเมะที่หันไปง่วนอยู่กับการล้างเช็ดถ้วยกาแฟด้วยสายตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง...ร้านของตัวเอง  ด้วยวัยขนาดนี้  แถมยังทำมาแล้วเป็นสิบปี...ไม่ธรรมดาเลย  มิน่าล่ะ  ถึงได้รู้ไปหมดว่าควรจะชงอะไรให้ใครในตอนไหน  เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวล้วน ๆ สินะ
แล้วเขาล่ะ  มีความเชี่ยวชาญอะไรบ้าง...ตั้งแต่เด็กมาเขาไม่มีอะไรที่โดดเด่นเลยแม้แต่น้อย  เรื่องเรียนก็ไม่เอาไหน  เรื่องกีฬาก็ไม่เอาถ่าน  ไม่ต้องพูดถึงดนตรีหรือศิลปะเลย  ทางบ้านไม่เคยสนับสนุนหรือให้ความสนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว  คนอย่างเขามีดีอะไรบ้างนะ...
ในขณะที่เผลอปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปในห้วงความคิดคำนึง  พลันก็ได้ยินเสียงไวโอลินแว่วเข้ามาในโสตประสาทดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง  ฟุยุกิไม่รู้เลยว่าคิริฮาระเอาไวโอลินออกมาจากกระเป๋าตอนไหน  แถมตอนนี้ก็กำลังตั้งท่าจรดคันซอพร้อมบรรเลงแล้วด้วย
“เซอร์วิสพิเศษ...สเปเชียล  ไพรเวท  ไลฟ์ของท่านคิริฮาระ”  ชายหนุ่มขยิบตาให้ฟุยุกิ  “น้อยคนนะที่จะได้ฟังน่ะ  ฟังซะให้เป็นบุญหู”
เสียงไวโอลินหวีดหวานขึ้นมาในความเงียบของร้านกาแฟที่มีเพียงพวกเขา  แม้ฟุยุกิจะไม่เคยรู้จักเพลงนั้นมาก่อน  แต่ท่วงทำนองและจังหวะจะโคนของบทเพลงบ่งบอกว่าเป็นเพลงสมัยใหม่ไม่ใช่เพลงคลาสสิคทั่วไป...คงเหมือนกับ Curtain Call ที่คิริฮาระเล่นบ่อย ๆ ก็มีต้นฉบับเป็นเพลงของวงร็อควงหนึ่งเช่นกัน
“คิริฮาระน่ะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านบทเพลงได้อย่างน่าอัศจรรย์เชียวละ”  เป็นนัตสึเมะที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ ทำให้ฟุยุกิละสายตาจากนักไวโอลินหนุ่มและหันไปมอง  “ถ้าเป็นเพลงรักก็จะหวานหยดจนน่าหมั่นไส้  ถ้าเป็นเพลงโศกก็เล่นเอาน้ำตาร่วงได้ง่าย ๆ เลยละครับ”
“แต่เพลงนี้...”  ฟุยุกิรู้สึกได้ว่าเพลงนี้ไม่ใช่ทั้งเพลงรักและเพลงเศร้าอย่างที่นัตสึเมะบอก  “...มัน...กร้าวๆแปลก ๆ นะครับ”
“รู้สึกสินะครับ”  นัตสึเมะยิ้มให้  “เพลงนี้น่ะคิริฮาระเล่นบ่อย ๆ  เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของหมอนั่น...Up to you บทเพลงสำหรับการเริ่มต้นน่ะครับ”
เริ่มต้นหรือ...หมายถึงเขางั้นหรือ...ฟุยุกิไม่อยากนึกเข้าข้างตัวเอง  แต่มันคงใช่...ก็ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีเพียงเขาที่ยังเคว้งคว้างไร้จุดยืนอยู่คนเดียวนี่นา
แล้ว...จะให้เขาเริ่มต้นอะไรล่ะ...?
เสียงเพลงจางหายไปในอากาศ  คิริฮาระทำหน้าพึงพอใจกับการบรรเลงของตัวเองก่อนจะหันมาบอกกับฟุยุกิและนัตสึเมะ
“ตบมือสิ”
ฟุยุกิเผลอทำตามประโยคคำสั่งนั้นอย่างงง ๆ  แต่นัตสึเมะเบ้หน้า
“ไม่มีใครขอให้เล่นเสียหน่อย”
“ไม่รู้หละ  คนเขาอุตส่าห์เล่นให้ฟังแล้วก็ต้องขอรางวัลหน่อยสิ”
“เพลงนี้ฉันฟังจนเบื่อแล้ว”
“นายก็พูดแบบนี้ทุกเพลง”  คิริฮาระส่ายหน้าพลางเก็บเครื่องดนตรีลงกล่อง  “ไว้วันหลังฉันจะเล่นเพลงที่นายฟังไม่เบื่อให้ฟัง”
“ถามคนฟังหรือยังว่าอยากฟังมั้ย?”
“ทำไมต้องถาม?”  คิริฮาระย้อนเอาทันที  “ฉันอยากเล่น  ฉันก็เล่น  นายมีหน้าที่ฟังก็ฟัง ๆ ไปแหละดีแล้ว”
ฟุยุกิเผลอยิ้มกับคำพูดที่แสนจะมั่นใจในตัวเองของคิริฮาระ...ถ้าเขาเป็นได้สักเสี้ยวหนึ่งของคิริฮาระจะดีสักแค่ไหนนะ
“เอาละ  วันนี้จบการแสดงแค่นี้  ผมต้องไปทำงานแล้ว”  คิริฮาระหันมาบอกกับฟุยุกิแล้วหยิบข้าวของ  “ไว้วันหลังเชิญที่ร้านผมบ้างนะ  อาริโยชิคุง  ไปลองรสชาติใหม่ ๆ บ้าง  ร้านกาแฟน่ะมันน่าเบื่อ”
“แต่แกก็มาทุกวัน”  นัตสึเมะแทรกขึ้นมาทันทีพลางเท้าเอวอย่างเอาเรื่อง  “พรุ่งนี้ไม่ต้องมาแล้วนะ  ร้านฉันมันน่าเบื่อ”
“โธ่  งอนไปได้  อายุปูนนี้แล้ว  งอนไม่น่ารักหรอก”  คิริฮาระเปลี่ยนเสียงเป็นออดอ้อนทันที  “กาแฟของนายอร่อยออกน่า  อร่อยที่สุดที่เคยดื่มมาในชีวิตเลยน้า”
“อร่อยเพราะได้ดื่มฟรีน่ะสิ  ไปไป๊  จะไปไหนก็ไปเสียที  ไอ้แมวเจ้าเล่ห์”  คนเป็นมาสเตอร์โบกมือไล่
คิริฮาระหัวเราะคิกคัก  ท่าทางสนุกที่ได้แหย่นัตสึเมะ  “เอาละ  ไปละนะ  แล้วเจอกันนะ  นัตสึเมะ  อาริโยชิคุง”
“อ๊ะ  แล้วเจอกันครับ”  ฟุยุกิรีบโค้งให้  แต่ก็เกือบจะไม่ทันคิริฮาระที่ก้าวออกประตูไปเสียแล้ว
นัตสึเมะหยิบถ้วยกาแฟของคิริฮาระไปวางในอ่างล้างจาน  “ดื่มชาต่อให้สบายเถอะครับ  คงไม่มีลูกค้าแล้วหละ”

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: [นิยาย] Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
«ตอบ #9 เมื่อ15-12-2014 20:18:18 »

“เอ๊ะ  นัตสึเมะซังจะปิดร้านแล้วสิครับ  งั้นผมกลับ...”
“ไม่ต้องรีบหรอกครับ  ผมพักที่ชั้นบนนี่แหละ  เพราะงั้นจะปิดร้านตอนไหนก็ไม่มีปัญหาหรอก  ช่วงค่ำแบบนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าแล้ว  อาริโยชิคุงดื่มชาให้สบายเถอะครับ  เดี๋ยวผมก็เก็บของไปเรื่อยแหละ”
พูดแล้วนัตสึเมะก็เริ่มเก็บถ้วยโถโอชามตามที่พูด  บรรยากาศในร้านเงียบสงัด  มีเพียงเสียงเคลื่อนไหวของผู้เป็นเจ้าของร้าน  เสียงถ้วยจานกระทบกันเบา ๆ ในอ่างล้างจาน  เสียงผ้าขนหนูเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้และอุปกรณ์ต่าง ๆ  นอกจากนี้แล้วก็มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังแว่วมาเบา ๆ  แม้แต่อากาศก็เหมือนกับจะหยุดเคลื่อนไหว
เหมือนกับที่เคยรู้สึกเมื่อครั้งแรกที่มาที่นี่  ฟุยุกิรู้สึกว่าเวลาในร้านแห่งนี้ได้หยุดลง...ไม่สิ  ไม่ถึงกับหยุด  แต่เคลื่อนไปอย่างเนิบช้าผิดกับโลกอันวุ่นวายภายนอก
ฟุยุกิดื่มชาหอมกรุ่นแล้วปล่อยหัวใจตัวเองให้ได้พักผ่อนเหมือนกับตอนอยู่ในสวนญี่ปุ่นหลังบ้าน  แม้จะไม่มีบรรยากาศเย็นฉ่ำของน้ำค้างยามค่ำแต่ที่นี่ก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน...จะดีสักแค่ไหนนะถ้าชีวิตจะไม่ต้องเร่งรีบอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้  ถ้าได้ทำงานแบบนัตสึเมะทุกวันเขาคงมีความสุขสินะ
ตะเกียงแอลกอฮอล์ถูกวางลงตรงหน้าฟุยุกิ  อุปกรณ์ที่ดูแปลกแยกไปจากข้าวของอื่น ๆ ในร้านกาแฟทำให้ฟุยุกิต้องเงยหน้าขึ้นมาสนใจมัน  ของแบบนี้มันควรจะอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์มากกว่าไม่ใช่หรือ
“แปลกใจเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ พลางจุดตะเกียง  แล้วหยิบแก้วไวน์ออกมาจากชั้นวาง
ตะเกียงแอลกอฮอล์กับแก้วไวน์...ยิ่งไม่เข้ากันเข้าไปใหญ่
แม้จะเห็นสีหน้าเหรอหราของฟุยุกิแต่นัตสึเมะก็ไม่ได้อธิบาย  เขาเริ่มต้นกลั่นกาแฟจากเครื่องชงใส่ถ้วยตวงไว้  ตักน้ำตาลทรายใส่ในแก้วไวน์และตามด้วยเหล้าวอดก้าสองฝา  ก่อนจะนำแก้วไวน์นั้นไปจ่อลนกับเปลวไฟจนน้ำตาลละลายเป็นเนื้อเดียวกับเหล้า  จากนั้นจึงบรรจงรินกาแฟลงไปในแก้วไวน์อย่างเบามือให้กาแฟลอยอยู่เหนือส่วนผสมที่ละลายไว้  ตบท้ายด้วยวิปครีมที่ชั้นบนสุด
ฟุยุกิจ้องมองทุกขั้นตอนตาไม่กระพริบ  “โห...ยังกับไอศครีมเลยครับ  นี่กาแฟเหรอครับเนี่ย?”
“กาแฟไอริชครับ  แต่ผมปรับสูตรนิดหน่อยสำหรับตัวผมเองน่ะ”  นัตสึเมะบอกพลางดับตะเกียงแอลกอฮอล์  “ไม่ค่อยมีคนรู้จักก็เลยไม่ได้ทำขายน่ะครับ  แล้วขั้นตอนมันก็ยุ่งยากพอสมควรด้วย”
ใช่...ขั้นตอนมันดูยุ่งยาก  แต่การเคลื่อนไหวของนัตสึเมะกลับทำให้มันดูเป็นเรื่องง่ายไปเลยทีเดียว
“แบบนี้เป็นกาแฟเด็ก ๆ หรือเปล่าครับ  มีวิปครีมด้วย”  ฟุยุกิถามอย่างสนอกสนใจ  เผื่อยังไงเขาจะได้ลองหัดจากกาแฟแบบนี้บ้าง
แต่นัตสึเมะกลับหัวเราะ  “ไม่ใช่หรอกครับ  กาแฟของผู้ใหญ่เลยหละ  ถึงจะมีวิปครีมแต่ก็ใส่เหล้าด้วยนะครับ”
ฟุยุกิเผลอเบ้หน้า...เขาดื่มไม่เป็นทั้งกาแฟทั้งเหล้า  แล้วนี่ยังเอามาผสมกันอีก...ไม่ไหวแน่
“เล่ากันว่ากาแฟไอริชมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศไอร์แลนด์ครับ  เพราะอากาศหนาวจึงต้องการเครื่องดื่มที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นและให้พลังงานสูง  ก็เลยมีการใส่เหล้ารัมและน้ำตาลลงในกาแฟ  เหล้าทำให้ร่างกายอุ่นและน้ำตาลกับวิปครีมก็ให้พลังงานไงล่ะครับ  เห็นว่านิยมนั่งดื่มกันในฤดูหนาวข้างเตาผิง...”  นัตสึเมะอธิบายเกร็ดความรู้ให้ฟัง
“แต่นัตสึเมะซังดื่มกลางหน้าฝนต้นหน้าร้อนเลยนะครับ”
“ผมดื่มทุกวันแหละครับ  เป็นคนขาดความอบอุ่นน่ะ”  นัตสึเมะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี...แต่อะไรบางอย่างทำให้ฟุยุกิรู้สึกว่าสีหน้าของนัตสึเมะมีแววเศร้าฉาบอยู่จาง ๆ
“ดีจังนะครับ  ได้ทำงานที่ชอบ  แล้วก็ได้ดื่มกาแฟอร่อย ๆ ทุกวัน...ไม่ต้องขึ้นรถไฟเบียดคนไปทำงานด้วย  ชีวิตไม่ต้องรีบร้อน”  ฟุยุกิพูดเหมือนกับจะเปรยกับตัวเองเสียมากกว่า
“ร้านกาแฟก็ยุ่งนะครับ  ยิ่งตอนเที่ยงอะไรแบบนี้...นึกอยากจะมีสักสิบมือเลยละครับ”  นัตสึเมะแย้ง  “ผมทำร้านอยู่คนเดียวด้วย  ไหนจะรับออร์เดอร์  ไหนจะชงกาแฟ  ทำแซนด์วิช  คิดเงิน...โฮ้ย...ไม่อยากรีบก็ต้องรีบละครับ  เพราะลูกค้าทุกคนเขารีบกันทั้งนั้น  ถ้าเราทำช้าเดี๋ยวเขาไม่ได้กินมื้อเที่ยง”
ฟุยุกิเลิกคิ้ว...เขานึกภาพร้านของนัตสึเมะที่ยุ่งขนาดนั้นไม่ออกเอาเสียเลย  เขาเคยเห็นแต่ตอนที่นัตสึเมะค่อย ๆ บรรจงตักผงกาแฟใส่เครื่องชงแล้วรอให้มันกลั่นตัวออกมาเป็นกาแฟหอมกรุ่นอย่างใจเย็น  อย่างเมื่อกี้นี้อีก...กว่าจะลนน้ำตาลให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกับเหล้าได้ก็ต้องค่อย ๆ หมุนแก้วไปมาไม่ให้น้ำตาลไหม้และไม่ให้แก้วติดคราบดำ...แล้วจะบอกว่าทั้งยุ่งทั้งรีบจนอยากมีสิบมือนั่น  ใครจะไปนึกออก
“อาริโยชิคุงมาตอนเย็น ๆ แบบนี้น่ะดีแล้วละครับ  จะได้นั่งดื่มชาให้สบาย ๆ ได้  แล้วผมก็มีเวลาพอจะชงชาอร่อย ๆ ให้ได้ด้วย”
“ชานี่...ก็ต้องค่อย ๆ ชงเหมือนกันสินะครับ”  ฟุยุกิคิดไปถึงพิธีชงชาที่นาน ๆ ครั้งคุณพ่อจะพาไปร่วมพิธีสักครั้ง
“ครับ  ชาที่ชงเสิร์ฟตอนเที่ยงกับที่ชงให้คุณดื่มน่ะ  รับรองว่าคนละรสกันเลยละครับ...แต่ผมก็ไม่ชำนาญเรื่องชาเท่าไรนัก  แค่อ่านหนังสือมาบ้างลักจำมาบ้างน่ะครับ”  นัตสึเมะคุยพลางจิบกาแฟของตนเองไปด้วย
“ชงอร่อยขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าชำนาญอีกเหรอครับ?”
“ยังหรอกครับ  ผมถนัดเรื่องกาแฟมากกว่า  แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจขนาดเรียกได้ว่าผู้เชี่ยวชาญ  แต่ผมแค่สนุกกับการปรับสูตรให้ถูกใจลูกค้าแต่ละคนน่ะครับ  คนเราชอบกาแฟอ่อนเข้มต่างกัน  แค่ใส่น้ำมากน้อยกว่ากันนิดเดียวก็ได้กาแฟคนละแบบแล้วละครับ...บางที  ผมเองก็ยังชงเอสเปรซโซไม่ได้เรื่องให้คิริฮาระมันว่าเอาได้บ่อย ๆ อยู่เลยละครับ”
“ทั้งที่ทำมาตั้งเป็นสิบปีน่ะเหรอครับ?”  เห็นคิริฮาระเรียกเอสเปรซโซของนัตสึเมะว่าสุดที่รัก  นึกไม่ออกเลยว่าที่ว่าไม่ได้เรื่องจนโดนตำหนิน่ะมันเป็นยังไง
“ความชำนาญทุกอย่างต้องใช้เวลาทั้งนั้นแหละครับ  ต้องค่อย ๆ ฝึกฝนกันไป...และถึงจะคล่องแล้ว  แต่ถ้าเผลอตัวไปสักหน่อย  ไม่ว่าใครก็ทำพลาดได้ทั้งนั้น”
“ผม...ไม่มีเวลาให้ค่อย ๆ ฝึกเลย”  ฟุยุกิเผลอหลุดปากออกมาในที่สุด  “พอเข้าทำงานได้  ทุกคนก็อยากให้ผมเป็นงานเร็ว ๆ  ต้องทำงานให้เร็ว ๆ  ต้องรีบจำเอกสารให้ได้  ต้องหาข้อมูลที่เขาต้องการให้ได้ทันที...อะไร ๆ ก็ต้องเร็วไปหมดทั้งนั้น...แล้วผมก็ทำไม่ได้...”
หางเสียงที่แทบจะหายเข้าไปในลำคอ  บอกถึงความกลัดกลุ้มของเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี  นัตสึเมะไม่ได้หัวเราะ  เขาเห็นมาเยอะแล้ว  เด็กหนุ่มสาวที่ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมการทำงานได้  หลายคนเข้ามาในร้านของเขาเพื่อพักตั้งหลักและกลับไปสู้ใหม่  บางคนก็เข้ามาพักหลายหนหน่อย  แต่ละคนมีเรื่องมาบ่น  ทั้งที่บ่นกับเขาโดยตรงและบ่นให้กันฟังและลอยมาเข้าหูเขา  เรื่องรุ่นพี่ที่ทำงาน  เรื่องหัวหน้างาน  เรื่องลูกค้า...แต่ยังไม่เคยมีใครมาบ่นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เหมือนกับฟุยุกิเลย
แต่นัตสึเมะกลับรู้สึกว่าเรื่องเล็กน้อยนี้แหละเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา  คนส่วนมากไม่ได้มีปัญหากับงาน  แต่มีปัญหากับคนที่ทำงานเสียมากกว่า...นี่เป็นรายแรกที่มีปัญหากับงานโดยตรง  และถ้าให้พูดตามตรง...ไม่ว่าไปทำงานอะไรฟุยุกิก็จะมีปัญหาทั้งนั้นแหละ  นัตสึเมะเห็นคนมาเยอะ  เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกเขาก็ดูออกว่าเด็กคนนี้ไม่มีความมั่นใจในตนเองแม้สักน้อย  ยิ่งฟังคำพูดที่หลุดจากปากมาก็รู้ว่าไม่เคยได้ตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลย  ชีวิตถูกขีดเส้นไว้มาตั้งแต่เด็ก  การที่ถูกกำหนดมาตลอดทำให้เงอะงะลังเลอยู่ตลอดเวลา  การไม่เคยตัดสินใจอะไรเลยทำให้ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนคิดจะถูกหรือไม่  จนไม่กล้าทำอะไรลงไปและกลายเป็นคนเชื่องช้าในสายตาของคนอื่น...และหมุนตามโลกไม่ทัน
นัตสึเมะรู้จักคนที่คล้าย ๆ แบบนี้อยู่คนหนึ่ง...ซาคากิ  คิโยฮารุ  หนอนหนังสือที่รู้จักแต่โลกของตัวอักษร  อดีตนักศึกษาวรรณคดีเปรียบเทียบที่ได้ทุนไปเรียนต่อที่เยอรมันและตอนนี้ก็เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น  คิโยฮารุก็ดูเชื่องช้าไม่ทันคน  แต่การอ่านหนังสือเยอะทำให้โลกของเขาเปิดกว้างในแบบของเขา  และเขาโชคดีที่ไม่ต้องหลุดมาอยู่ในสังคมการทำงานแบบบริษัทที่ต้องไหลไปตามกระแสโลกเหมือนตกลงไปในแม่น้ำอันเชี่ยวกราก...ถ้าคิโยฮารุต้องทำงานในบริษัท  นัตสึเมะก็ฟันธงได้เลยว่าจะต้องเป็นอย่างฟุยุกิในตอนนี้แน่ ๆ...และคิริฮาระก็คงมองเห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว  ถึงได้บังคับให้คิโยฮารุรับทุนไปเรียนต่อที่เยอรมัน  เพราะอย่างน้อยงานสอนก็ไม่ได้เร่งร้อนเท่ากับงานบริษัท
แต่นัตสึเมะก็ทำได้แค่เป็นผู้ฟัง  ตัวเขาเองก็ถือว่าเป็นคนที่อยู่นอกวงโคจรของการทำงานเช่นกัน  แม้จะบอกว่าร้านกาแฟมีช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิง  แต่ก็แค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น  คงเทียบไม่ได้กับฟุยุกิที่ต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดกับการทำงานที่เจ้าตัวบอกว่ารีบร้อน 8 – 9 ชั่วโมงในแต่ละวัน...มันไม่ใช่เรื่องง่าย  นัตสึเมะนึกออก  ตอนที่เขาทำร้านกาแฟแห่งนี้คนเดียวใหม่ ๆ เขาก็เกือบตายเพราะช่วงพักเที่ยงอยู่เป็นปีเหมือนกัน
“อาริโยชิคุง”  นัตสึเมะทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด  “ผมจะไม่บอกหรอกนะครับว่าต้องปรับตัวหรือพยายามเข้า  เพราะผมรู้ว่าคุณกำลังพยายามสุดชีวิตแล้ว...ผมบอกได้แค่ว่า  เมื่อไรที่คุณเหนื่อย  คุณแวะมาพักที่นี่ได้เสมอ  ผมจะชงชาอร่อย ๆ ไว้ให้คุณเอง”
ฟุยุกิรู้สึกตื้อขึ้นมาในอก  นี่เป็นคนแรกที่ไม่บอกให้เขาพยายาม...ทำไมนัตสึเมะถึงเข้าใจล่ะ...แล้วทำไมคิริฮาระถึงเข้าใจ  ทั้งที่คนรอบตัวเขาไม่เคยมีใครเข้าใจเลย  พ่อกับพวกพี่ชายไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าเขาคิดอะไรหรือกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่  แต่กับคนที่เพิ่งจะรู้จักกันสองคนนี้กลับเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเขาได้พยายามเต็มกำลังของเขาและกำลังเหนื่อยเต็มทีแล้ว...ทำไมพวกเขาถึงเข้าใจ
ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะได้พูดอะไร  เสียงกระดิ่งที่ประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของหญิงสาว
“นัตสึเมะ!”
ผู้ที่เข้ามาในร้านคือสตรีหน้าตาสวยในชุดที่ดูภูมิฐานราคาแพง  เธอเดินเซ ๆ เข้ามาหานัตสึเมะพร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้าง
“นัตสึเมะ  คิดถึงจังเลย”  เธอยิ้มหวานแล้วชะโงกตัวข้ามเคาน์เตอร์ไปกอดนัตสึเมะไว้  กลิ่นแอลกอฮอล์ที่กรุ่นออกมาจากกายเธอทำให้รู้ว่าเจ้าตัวมึนเมาไม่น้อย
“โอ๊ะ  ระวังหน่อยครับ  เคย์โกะซัง  ผมยังมีลูกค้าอยู่นะ”  นัตสึเมะบอกพลางเหลือบมองฟุยุกิอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“หือ...ลูกค้าเหรอ?  ตายจริง  ขอโทษจ้ะ”  เคย์โกะผละออกจากนัตสึเมะแล้วยิ้มให้ฟุยุกิพลางขอโทษขอโพย  “หน้าตาน่ารักจัง  เรียนอยู่ปีไหนแล้วคะเนี่ย?”
“เอ้อ...”
ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะตอบอะไร  นัตสึเมะก็เป็นฝ่ายแทรกขึ้นมาแทน
“อาริโยชิซังเขาทำงานแล้วครับ  เคย์โกะซัง”
“อ้าว  ตายจริง  เห็นหน้าเด็ก ๆ เลยนึกว่ายังเรียนอยู่  ขอโทษนะคะ”
“อะ...เอ้อ...มะ...ไม่เป็นไรครับ...”  ฟุยุกิก้มหน้างุด  บางทีเขาอาจจะมาอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ควรอยู่เข้าแล้วก็เป็นได้
“ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะ  คุยกับนัตสึเมะไปเถอะ  เขาคุยสนุก”  เคย์โกะบอกกับฟุยุกิก่อนจะหันไปพูดกับนัตสึเมะ  “ฉันไปรอข้างบนนะ  นัตสึเมะ”
ว่าแล้วเธอก็เดินเข้าไปทางประตูที่เชื่อมต่อกับด้านหลังร้าน  ฟุยุกิลอบมองตามเธอไป...เธอเป็นหญิงสาวอายุน่าจะอยู่ในช่วงวัย 40  แต่ยังสวยและดูอ่อนเยาว์อยู่มาก  จากท่าทางการแสดงออกของเธอแล้ว  เธอคงจะเป็นคนรักของนัตสึเมะกระมัง  แต่เมื่อกลับมามองนัตสึเมะ  ฟุยุกิก็พบว่าชายหนุ่มถอนใจหนักหน่วงและมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างไม่ปิดบัง  แต่พอรู้สึกตัวว่าฟุยุกิมองอยู่ก็รีบยิ้มกลบเกลื่อนทันที
“ขอโทษนะครับ  ให้เห็นอะไรไม่สมควรเสียได้”
“มะ...ไม่หรอกครับ...ผมเองก็...”  ฟุยุกิลนลาน  แล้วก็นึกได้ว่าถ้าเขายังอยู่ก็จะเป็นก้างขวางคอเสียเปล่า ๆ  เด็กหนุ่มจึงรีบลุกขึ้น  “ผะ...ผม...ผมเองก็ขอตัวดีกว่า  นี่ค่าน้ำชาครับ”
ฟุยุกิกำลังจะหยิบกระเป๋าสตางค์แต่นัตสึเมะรีบคว้ามือนั้นไว้
“ไม่ต้องหรอกครับ  ผมเลี้ยง”
“เลี้ยงอีกแล้วเหรอครับ?  ไม่ได้นะครับ  แบบนี้ผมก็เกรงใจแย่...”
“ถ้าวันไหนดื่มกาแฟแล้วผมจะคิดเงินก็แล้วกัน”  นัตสึเมะขยิบตาให้
“เอ๊ะ...แต่...”  ฟุยุกิทำหน้าลำบากใจ  เขาดื่มกาแฟไม่เป็นนี่นา
“เอาแบบนั้นแล้วกันนะครับ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านมัดมือชกทันที
“อ่ะ...เอ้อ...ขอบคุณมากครับ”  ฟุยุกิโค้งให้นัตสึเมะอย่างไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี  “งั้น...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับ  แล้วมาอีกนะครับ”  นัตสึเมะบอกพลางเปิดประตูร้านให้
ฟุยุกิออกจากร้านของนัตสึเมะพร้อมกับความรู้สึกแปลก ๆ  ทั้งที่นัตสึเมะจะมีคนรักเป็นใครมาจากไหนมันก็ไม่แปลกแท้ ๆ  แต่ทำไมไม่รู้  เขากลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เหมาะกับนัตสึเมะเลยสักนิด  และแม้เธอจะแสดงท่าทางเป็นคนรักของชายหนุ่มแต่เขากลับเห็นนัตสึเมะมีท่าทีเย็นชาและเหนื่อยหน่าย  ผิดจากเวลาที่อยู่กับเขาหรือคิริฮาระโดยสิ้นเชิง
...คนเราเปลี่ยนอารมณ์ได้ขนาดนี้เชียวหรือ...
ฟุยุกิส่ายหน้า  ไม่รู้สิ...คนโง่ ๆ อย่างเขาไม่เข้าใจหรอก  ตัวเขาเองก็มีแค่อารมณ์ซึมเศร้าอารมณ์เดียวนี่แหละ  ไม่มีทางจะเข้าใจความรู้สึกของนัตสึเมะหรือใครได้หรอก...เพียงแต่...ถ้าเป็นได้อย่างคิริฮาระสักเสี้ยวหนึ่งได้คงดีสินะ  ถ้ามีความมั่นใจในตัวเองสักเพียงเศษเสี้ยวของผู้ชายคนนั้นละก็...บางที  เขาอาจจะกล้าคุยกับพ่อหรือพวกพี่ชายก็ได้...

ตอนที่ฟุยุกิกลับถึงบ้านมิโนรุยังไม่กลับ  แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  มิโนรุมักจะมีงานยุ่งและกลับบ้านดึกเสมออยู่แล้ว...แต่ระยะนี้เขาสังเกตว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป  มิโนรุน่าจะมีคนรักเสียมากกว่า  บางครั้งเขาก็เห็นว่ามิโนรุจะใช้เวลาโทรศัพท์นานกว่าปกติ  ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าก็ไม่เหมือนคุยเรื่องงานอยู่ด้วย  ช่วงเดือนที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไปค้างที่บ้านพ่อ  เพียงแค่ไปส่งเขาแล้วกลับมาโดยอ้างว่ามีงานค้างอยู่  แต่สีหน้าดูมีความสุขเหลือเกิน...เอาละ  อย่างไรเสียเขาคงได้ออกไปอยู่คนเดียวเร็ว ๆ นี้แล้วละนะ
เด็กหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็มาเปิดคอมพิวเตอร์  ปกติเขามักจะไม่ค่อยออนไลน์เท่าไรนัก  กลับมาถึงบ้านพอกินข้าวและอาบน้ำแล้วก็มักจะนอนเสียด้วยความอ่อนเพลียจากการทำงานมาทั้งวัน  แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยนัก...อาจเพราะได้พักจากที่ร้านของนัตสึเมะมาบ้างแล้วก็ได้
ฟุยุกิยังติดใจเพลงที่คิริฮาระบรรเลงในวันนี้...นัตสึเมะบอกว่าชื่อเพลงอะไรนะ...สมองที่มีหน่วยความจำต่ำพยายามขุดคุ้ยความทรงจำเต็มที่  เพลงนั้นชื่ออะไรนะ  ชื่อที่มีความหมายเอาแต่ใจนิด ๆ  เมโลดี้แข็งกร้าวหน่อย ๆ...เพลงแห่งการเริ่มต้น...
...นึกไม่ออก...ฟุยุกิถอดใจหลังจากนั่งคิดอยู่สักพัก  ช่างเถอะ  อย่างไรเสียเขาก็หัวไม่ดีอยู่แล้ว  จะลืมชื่อเพลงที่เพิ่งเคยได้ยินแค่ครั้งเดียวมันก็ไม่แปลกนี่นะ  ไว้วันหลังค่อยไปถามคิริฮาระอีกทีแล้วกัน
เด็กหนุ่มปิดคอมพิวเตอร์แล้วเข้านอน  ในหัวยังคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้วนเวียนไปมา...ตั้งแต่ได้คุยกับคิริฮาระและได้ไปที่ร้านกาแฟของนัตสึเมะก็เพิ่งไม่กี่วันมานี้เอง  แต่เขากลับรู้สึกว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย...ไม่สิ  มีความคิดเกิดขึ้นในสมองของเขามากมาย  คิริฮาระมักจะพูดอะไรแปลก ๆ แบบที่เขาคิดไปไม่ถึงเสมอ...แปรงสีฟันอย่างนี้  ยาสีฟันอย่างนี้...ช่างสรรหาอะไรมาเปรียบเทียบได้เป็นรูปธรรมเหลือเกิน
แต่พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว  เขาเองก็คงใช้แปรงสีฟันที่พ่อกับพี่ชายเป็นคนเลือกให้อยู่สินะ  และคงยังใช้ยาสีฟันรสหวาน ๆ สำหรับเด็ก ๆ อยู่เป็นแน่  เพราะที่บ้านยังคงเห็นเขาเป็นเด็กอยู่เสมอ  แม้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยและทำงานแล้วก็ตาม
...ผมน่ะชอบแปรงสีฟันที่ที่บ้านเลือกให้นะ  แต่ถือวิสาสะเปลี่ยนยาสีฟันเอง...
คำพูดของคิริฮาระผุดขึ้นมาในหัว  นั่นสินะ...ยาสีฟันของคิริฮาระคงรสชาติเผ็ดร้อนไม่เบาทีเดียว  นึกดูสิ  เกิดในครอบครัวนักดนตรีคลาสสิค  แต่กลับย้อมผมแดงและแต่งตัวเสียขนาดนั้น  ไม่ได้อยู่ในกรอบของความเป็นนักดนตรีคลาสสิคเลยสักนิด  ตอนที่เริ่มทำตัวแบบนี้คนที่บ้านจะไม่เล่นงานเอาหรอกหรือ...หรือคนอย่างคิริฮาระจะไม่กลัวคำตำหนิใด ๆ อยู่แล้ว
...แต่มันเท่มากเลยนะ...เสียงในใจของฟุยุกิบอกกับตัวเอง  เขาชอบบุคลิกของคิริฮาระ  ทั้งเรือนผมสีแดง  รูปร่างหน้าตา  ท่วงท่าในการบรรเลงไวโอลิน...ชอบไปเสียหมดทุกอย่าง  มันดูสง่างามและเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์  เป็นดวงอาทิตย์ที่จะไปส่องแสงเจิดจรัสบนเวทีระดับโลกที่ไหนก็ได้  แต่คิริฮาระกลับลดตัวเองมาบรรเลงเพลงข้างถนนเพื่อปลอบประโลมคนทำงานกินเงินเดือนอย่างพวกเขา  เป็นความคิดและการกระทำที่น่าชื่นชมเหลือเกิน
...อยากใกล้ชิดให้มากกว่านี้...อยากรู้จักให้มากกว่านี้...
หัวใจของฟุยุกิเต้นแรงกับความคิดของตัวเอง  ไม่เอาน่า...คนอย่างเขาจะมีอะไรพอจะไปใกล้ชิดคิริฮาระได้  แค่มองอยู่ห่าง ๆ อย่างนี้ก็พอแล้ว  หากอีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเอง...แต่คิริฮาระจำได้ว่าเขาชอบเพลงอะไร  พาเขาไปที่ร้านของนัตสึเมะ  และบรรเลงเพลงเพื่อเขา...เพื่อเขาเท่านั้น
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว  เขาพยายามข่มตาให้หลับ  แต่ก็ใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะจมลงสู่ห้วงนิทราโดยยังมีภาพของคิริฮาระวนเวียนอยู่ในหัว

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
« ตอบ #9 เมื่อ: 15-12-2014 20:18:18 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
«ตอบ #10 เมื่อ16-12-2014 10:16:31 »

มีปมที่หนักหนากว่าของนายเอกอีกเหรอ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ  :pig4:

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
«ตอบ #11 เมื่อ24-12-2014 07:35:30 »

รอตอนต่อไปค่ะ เจ้าหนูฟุยุกิช่างใสซื่อจริงๆ

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
«ตอบ #12 เมื่อ24-12-2014 21:30:20 »

สุขสันต์วันคริสต์มาสอีฟครับ  หาเรื่องลงนิยายน่ะครับ  ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก  ฮะๆๆ

Lock on You 03

เสียงไวโอลินก้องอยู่ในหัวใจของฟุยุกิ  วันแล้ววันเล่า  คืนแล้วคืนเล่า  ชื่อเพลงที่จำได้มีเพิ่มมากขึ้น  หลายเพลงที่เขาลองค้นหาบทเพลงต้นฉบับแล้วบอกกับตัวเองว่าเขาชอบเพลงที่บรรเลงด้วยไวโอลินของคิริฮาระมากกว่า  คอนเสิร์ตข้างถนนหลังเลิกงานซึ่งเคยเป็นสิ่งพิเศษอยู่แล้วยิ่งพิเศษมากขึ้นไปอีก  เมื่อหลังจากแสดงจบแล้วคิริฮาระมักจะพาเขาไปนั่งเล่นที่ร้านของนัตสึเมะเป็นประจำ  จนราวกับว่านั่นเป็นสถานที่ของพวกเขาเท่านั้น...ใช่สิ  มันต้องใช่แบบนั้นแน่  ในเมื่อในบรรดาคนดูทั้งหมดมีแค่ฟุยุกิเท่านั้นที่คิริฮาระพาไปที่นั่น  แม้จะไม่ได้พูดคุยกันมากนัก  แต่ฟุยุกิก็พอใจที่จะได้นั่งฟังคิริฮาระกับนัตสึเมะคุยกันแบบนั้น
หัวใจของฟุยุกิพองโตและแอบปลาบปลื้มกับฐานะพิเศษนี้เพียวลำพัง
เพียงแต่...คิริฮาระไม่มาเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนหลายวันแล้ว
แรกทีเดียว  ฟุยุกิคิดว่าคิริฮาระคงจะมีธุระหรือไม่สบายนิดหน่อย  แต่หลังจากผ่านไปกว่าสามวัน  ความเปลี่ยวเหงาและห่วงกังวลบางอย่างก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเด็กหนุ่ม
สองเท้าพาตัวเองไปยังร้านกาแฟบนเส้นทางที่เริ่มจะคุ้นเคย  ท่ามกลางม่านฝนที่โปรยปราย  แสงสว่างที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกออกมาทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก  ราวกับเป็นที่พักเหนื่อยของนักเดินทางที่รอนแรมมาไกล
ฟุยุกิหุบร่มแล้วผลักประตูเข้าไป  เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่เหนือประตูดังกริ๋งเป็นการต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับครับ”  เสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยดังมาจากหลังเคาน์เตอร์
“สวัสดีครับ  นัตสึเมะซัง”  ฟุยุกิทักทายตอบเบา ๆ  ที่จริงเขารู้นานแล้วว่าชื่อเต็มของนัตสึเมะคือ  อิชิกาวะ  นัตสึเมะ  และเขาควรจะเรียกว่าอิชิกาวะซังตามมารยาทมากกว่า  แต่ในเมื่อนัตสึเมะชอบที่จะให้ใครต่อใครเรียกเขาอย่างนี้  ฟุยุกิก็ยินดีที่จะเรียกด้วย
“สวัสดีครับ  อาริโยชิคุง  เชิญนั่งก่อนครับ”  นัตสึเมะกล่าวพลางผายมือไปที่โต๊ะด้านในสุด  ก่อนจะหันไปพูดกับแขกที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์  “ขอตัวสักครู่นะครับ  โอโนเสะคุง”
“ผมบอกหลายครั้งแล้วนะครับ  มาสเตอร์  ว่าให้เลิกเรียกผมอย่างนี้เสียที”
“ครับ ๆ  โทโมกิคุง”  ว่าแล้วนัตสึเมะก็เดินออกมาจากเคาน์เตอร์แล้วนำฟุยุกิไปนั่งที่โต๊ะ  “วันนี้อยากดื่มอะไรครับ  อาริโยชิคุง?”
“มะ...ไม่รู้สิครับ  นัตสึเมะซังเป็นคนชงให้ผมทุกทีนี่ครับ”  ฟุยุกิตอบพลางลอบสังเกตคนที่นัตสึเมะคุยด้วยเมื่อกี้
“งั้น...เอาเป็นเอิร์ลเกรย์นมอุ่น ๆ แล้วกันนะครับ  เดี๋ยวผมไปชงมาให้  รอสักครู่นะครับ”  ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านยิ้มให้แล้วผละจากไป
การชงชาของนัตสึเมะมีขั้นตอนการชงมากกว่าการใส่ใบชาลงไปในน้ำร้อน  ซึ่งต้องใช้เวลานิดหน่อยแต่ก็ได้ชาที่อร่อยสมกับที่รอเสมอ  ซึ่งฟุยุกิก็คุ้นเคยดีอยู่แล้ว  แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปในวันนี้ก็คือข้าง ๆ ไม่มีคิริฮาระอยู่  และนัตสึเมะก็ยังไม่ว่างมาคุยกับเขา
เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ ร้าน  ร้านกาแฟเล็ก ๆ ของนัตสึเมะมีที่นั่งเพียง 4 – 5 โต๊ะและในตอนนี้ก็ยังมีลูกค้าอยู่อีกสองสามโต๊ะนั่งกระจัดกระจายกันไป  มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์...ตรงที่ประจำของเขา
ความรู้สึกบางอย่างแล่นริ้วขึ้นมาในหัวใจ...ใครคนนั้นดูจะอายุอานามรุ่นเดียวกับเขา  แต่ดูจากลักษณะการพูดคุยกับนัตสึเมะแล้วคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี  และที่บอกให้นัตสึเมะเรียกชื่อจริงก็แปลว่าจะต้องสนิทกันมากพอสมควรทีเดียว
เมื่อนัตสึเมะยกชามาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ  ฟุยุกิก็แสร้งมองสายฝนนอกหน้าต่าง
“รอสักครู่นะครับ  อาริโยชิคุง  เดี๋ยวจะมาคุยด้วย”  นัตสึเมะบอกยิ้ม ๆ พลางพยักเพยิดไปทางร่างเล็กที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์
“อ๊ะ  ไม่...ไม่เป็นไรหรอกครับ  ไม่ต้องห่วงผมหรอก”  ฟุยุกิรีบบอกปัด
หากแต่ก็รู้ตัวดีว่าตนแอบเงี่ยหูฟังบทสนทนาของนัตสึเมะและเด็กที่ชื่อโทโมกิอยู่เงียบ ๆ
“โทโมกิคุงเรียนจบหลักสูตรแล้วนี่ครับ  จะต้องช่วยวายะซังได้เยอะแน่  แค่ทำอย่างที่เรียนที่ฝึกงานมาก็พอครับ”  น้ำเสียงของนัตสึเมะช่างแสนนุ่มนวล
“ผมรู้ครับ...ผมก็พยายามทำอย่างนั้น  แต่ทำไมพอคนที่ต้องดูแลเป็นชุนแล้วผมถึงไม่มั่นใจเลยก็ไม่รู้”
“ไม่ใช่เกร็งมากเกินไปเหรอครับ?”
“ผม...ผมไม่รู้...”  เสียงของเด็กหนุ่มแผ่วหวิว  “แต่ยิ่งอยู่กับชุนนานเข้า...ผม...ผมมองไม่เห็นความหวังเลย”
หางเสียงขาดหายไปและแทรกมาด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา  มือใหญ่ของนัตสึเมะวางลงบนเรือนผมสีดำของเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างอ่อนโยน
“ถ้าคุณเชื่อ  มันจะต้องมีความหวังแน่ครับ  โทโมกิคุง...แม้จะทีละเล็กละน้อย  แต่ความเชื่อมั่นของคุณจะต้องสื่อไปถึงวายะซังได้แน่ครับ”
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้น
“มาสเตอร์พูดเหมือนคิริฮาระซังเลย”
“ก็พวกผมเป็นเพื่อนกันนี่ครับ  คบกันมาครึ่งชีวิตแล้ว  จะคิดอะไรเหมือนกันบ้างก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ
“ดีจังนะครับ  ผมอิจฉาพวกคุณจัง”
“ไม่ต้องอิจฉาหรอกครับ  โทโมกิคุงก็เป็นเพื่อนของพวกผมเหมือนกันนะครับ  มีอะไรก็มาคุยกับผมได้  ผมอยู่ที่นี่เสมอแหละครับ”
“ขอบคุณนะครับ  มาสเตอร์”
ฟุยุกินั่งฟังการสนทนานั้นด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด  ทั้งรู้สึกผิด  อิ่มเอมใจ...และเสียใจ  ผิดที่แอบฟังเขาคุยกัน  อิ่มเอมใจไปกับคำพูดที่แสนอ่อนโยนของนัตสึเมะ  และเสียใจที่ได้รู้ว่าความอ่อนโยนที่ลอยอวลอยู่ในร้านกาแฟแห่งนี้หาใช่ของเขาเพียงคนเดียวไม่
เด็กหนุ่มพยายามบอกกับตัวเองไม่ให้คิดอะไรมาก  นัตสึเมะเปิดร้านกาแฟเป็นธุรกิจ  จึงไม่แปลกที่จะแจกจ่ายอะไรดี ๆ เพื่อรักษาลูกค้าไว้  ตัวเขาเองไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กคนนั้น  เป็นเพียงแค่ลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น...มันก็แค่ตรรกะง่าย ๆ ในสังคม
แต่ทั้งที่เข้าใจดีอยู่แล้ว  แต่ฟุยุกิกลับยังเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอะไรไปเหรอครับ  อาริโยชิคุง?”
เสียงนุ่มทุ้มของนัตสึเมะเรียกฟุยุกิออกจากห้วงภวังค์
“เอ๊ะ!...อ่ะ...เปล่าครับ”  ฟุยุกิเหลียวมองลอกแลกไปรอบ ๆ ร้านอย่างงง ๆ  ไม่รู้เลยว่าเด็กที่คุยกับนัตสึเมะอยู่เมื่อครู่กลับไปเมื่อไร
“เปล่าแล้วทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ?”  นัตสึเมะทำคิ้วขมวดแล้วชี้ที่หว่างคิ้วตัวเอง
ฟุยุกิยกมือขึ้นแตะหว่างคิ้วตัวเองทันที  “ผม...ทำหน้าแบบนั้นเหรอครับ!?”
“ก็ใช่สิครับ  ผมถึงได้ถามไง”  ผู้เป็นเจ้าของร้านนั่งลงบนเก้าอี้ฟากตรงข้าม  “เป็นอะไรไปครับ  ทำงานมาเหนื่อยเหรอ?”
ก้อนอะไรร้อน ๆ ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอของฟุยุกิ  นัตสึเมะช่างอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใย...แต่นั่นก็แค่หน้าที่ทางธุรกิจเท่านั้น  เด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะบอกความรู้สึกจริง ๆ ออกไปจึงตัดสินใจที่จะเก็บมันไว้  แล้วคิดถึงความมุ่งหมายแรกที่ตั้งใจมาที่นี่
“คือ...คิริฮาระซังน่ะครับ  ไม่ได้มาเล่นไวโอลินหลายวันแล้ว  ไม่รู้เป็นอะไรไปหรือเปล่า...”
ใช่...เขาคิดจะมาถามเรื่องนี้ต่างหาก
“อ๋อ  หมอนั่นติดธุระอื่นน่ะครับ  คงหายหน้าไปสักพักแหละ”  นัตสึเมะตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ธุระ...ที่ร้านเหล้าเหรอครับ?”
นัตสึเมะหัวเราะ  ไม่ว่าเมื่อไรฟุยุกิก็ยังคงเรียกคลับของคิริฮาระว่าร้านเหล้าสิน่า  “ไม่ใช่ครับ  ซ้อมการแสดงคอนเสิร์ตสำหรับฤดูใบไม้ร่วงน่ะครับ”
“คอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วง?”  ฟุยุกิห่างไกลจากเรื่องพวกนี้มากเหลือเกิน  ชีวิตเขาแทบไม่มีกิจกรรมสันทนาการอะไรเลย
“วงออเครสตร้าของคุณพ่อของคิริฮาระจัดคอนเสิร์ตทุกปีน่ะครับ  แล้วแต่ว่าปีไหนจะจัดฤดูไหน”  นัตสึเมะอธิบาย
“คุณพ่อ?...ที่บ้านของคิริฮาระซังเล่นดนตรีทั้งบ้านเลยเหรอครับ?”
“ระดับมืออาชีพเลยละครับ  คุณพ่อจะมีงานเดินสายแถบยุโรปเสมอ  แต่ก็จะกลับมาเล่นที่ญี่ปุ่นปีละครั้งน่ะครับ”
ฟุยุกิรู้สึกใจเต้นกับคำตอบนั้น  คิริฮาระเป็นนักไวโอลินระดับมืออาชีพ...นี่มันมากกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเลยนะ  หัวใจที่เต็มไปด้วยจความชื่นชมในตัวคิริฮาระอยู่แล้วพองฟูยิ่งขึ้นไปอีก
“หายห่วงแล้ว  ยิ้มได้แล้วสินะครับ”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ  “เห็นทำหน้าแปลก ๆ เข้าร้านมา  นึกว่ามีปัญหาอะไรเสียอีก  ที่แท้ก็เป็นห่วงคิริฮาระนี่เอง  เพื่อนผมนี่เสน่ห์แรงจริง ๆ”
“เอ้อ...มันก็...”  ฟุยุกิเกาหัวแก้เขิน
นัตสึเมะเหลือบไปเห็นถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าฟุยุกิเข้า  “ชา...ไม่ได้ดื่มเลยเหรอครับ?”
“อ๊ะ!  จะ...จะดื่มเดี๋ยวนี้แหละครับ”  เด็กหนุ่มรีบยื่นมือไปหยิบถ้วย  เขามัวแต่นั่งสังเกตนัตสึเมะกับเด็กคนนั้นจนลืมชาถ้วยนี้ไปเลย
หากชายหนุ่มเอื้อมมือมาปิดปากถ้วยไว้  “ไม่ต้องหรอกครับ  ถ้วยนี้ไม่อร่อยแล้ว  เดี๋ยวผมชงให้ใหม่ดีกว่า”
“เอ๊ะ?...อย่าเลยครับ  ผมดื่มได้”  ฟุยุกิรีบบอกปัดด้วยความเกรงใจ
“ให้ลูกค้าดื่มของไม่อร่อยก็เสียชื่อผมแย่สิครับ”  นัตสึเมะหยิบถ้วยแล้วลุกขึ้นยืน  “เมื่อกี้คงมัวแต่ห่วงคิริฮาระจนลืมดื่มให้มั้ยละครับ  เดี๋ยวผมจัดการให้ใหม่  ดื่มของอร่อย ๆ จะทำให้สบายใจกว่านะครับ”
ฟุยุกิอยากจะบอกว่าที่ห่วงคิริฮาระมันก็ส่วนหนึ่ง  แต่เพราะเขามัวแต่แอบฟังบทสนทนาของนัตสึเมะต่างหากถึงได้ลืมดื่มชาถ้วยนั้นไป...แต่ก็พูดไม่ออก  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองจะต้องสนใจมากขนาดนั้นด้วย
นัตสึเมะนำชาถ้วยนั้นไปประยุกต์เป็นชาเย็นและนำมาเสิร์ฟให้ฟุยุกิในเวลาไม่นานนัก
“อาจจะไม่เหมาะกับวันฝนตกแบบนี้เท่าไรนัก  แต่ก็เป็นเมนูหน้าร้อนที่ขายดีนะครับ”
“ไม่ใช่กาแฟเย็นเหรอครับ  ที่ขายดีน่ะ”
“บางทีถ้าร้อนมาก ๆ กาแฟจะให้ความรู้สึกหนักข้นเกินไปครับ  น้ำชาจะเบาและเย็นสบายกว่า  มีคนพูดแบบนี้เยอะเข้าผมก็เลยต้องไปศึกษาเรื่องน้ำชาด้วย  แต่ก็แค่หางอึ่งละครับ”  ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
แต่ถึงเจ้าตัวจะพูดอย่างนั้น  หากฟุยุกิกลับรู้สึกว่าชาที่นัตสึเมะชงให้เขาดื่มแต่ละถ้วยมันอร่อยจริง ๆ  เพราะแม้จะเอาใบชาที่ได้รับจากนัตสึเมะไปชงดื่มเองที่บ้านก็ไม่เคยได้รสชาติแบบนั้นเลย
“แล้วเรื่องงานเป็นยังไงบ้างครับ  ยังเหนื่อยอยู่มั้ย?”  ที่ถามเพราะตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน  ไม่มีวันไหนที่ฟุยุกิไม่บ่นเรื่องการทำงาน  เด็กจบใหม่และเพิ่งเข้าทำงานส่วนมากก็เป็นแบบนี้ทุกคน  การจะปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร
“มันก็...”  ฟุยุกิคิดถึงเรื่องที่ทำงาน  ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย  เขายังคงทำงานช้าและงุ่มง่ามเหมือนเคย  เพียงแต่ดูเหมือนหัวหน้าจะดุเขาน้อยลง  นั่นอาจเพราะเอือมระอาเขาแล้วก็ได้  “ก็เหนื่อยเหมือนเคยแหละครับ  ผมมันก็ได้แค่นี้  แต่ยังดีที่พอเลิกงานก็มีเพลงของคิริฮาระซังให้ฟัง  ถ้าเหนื่อยมากก็ยังมีชาที่นัตสึเมะซังให้ไปไว้ชงดื่ม”
“ถ้างั้นก็ดีแล้วครับ  ถ้าชาหมดแล้วก็บอกได้นะครับ”
“เกรงใจน่ะครับ  นัตสึเมะซังบอกร้านให้ผมก็ได้  เดี๋ยวผมไปซื้อเอง”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ  ชาคาโมมายล์จะหาใบชายากนิดหนึ่ง  ส่วนมากที่มีขายจะเป็นชาซองเสียมากกว่า  มันไม่หอมชื่นใจเท่าอย่างเป็นใบชา  ผมน่ะซื้อจากร้านที่คบหากันมานานครับ  ซื้อได้ทีละมาก ๆ ราคาถูกกว่าปกตินิดหน่อย  บางทีก็เลยแบ่งให้คนนั้นคนนี้ไปบ้าง  เมื่อกี้ก็ให้โทโมกิคุงไป”
ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของนัตสึเมะเสียดเข้าไปในใจของฟุยุกิ  ทำให้อยากจะเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกไป
“เอ้อ...คนคนนั้น...สนิทกันเหรอครับ  เห็นเขาพูดถึงคิริฮาระซังด้วย...”
นัตสึเมะเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย  แต่นั่นทำให้ฟุยุกิลนลานขึ้นมาทันที
“อ๊ะ!  คือ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะครับ  แค่เห็นท่าทางเขาคุ้นเคยกับนัตสึเมะซังมาก  ก็เลย...แล้วก็ได้ยินชื่อคิริฮาระซังด้วย  ก็เลย...เลย...”
นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางของฟุยุกิ  เป็นเด็กที่ซื่อและโกหกไม่เก่งเลยจริง ๆ
“ไม่ได้สนิทมากนักหรอกครับ  พอดีว่าเป็นคนรู้จักของคิริฮาระ  ผมก็เลยรู้จักไปด้วย  ที่จริงลูกค้าบางส่วนของผมจะเป็นคนรู้จักของคิริฮาระน่ะครับ  ผมก็ได้อาศัยเครือข่ายตรงนี้ไปด้วย  แต่ก็มีไม่มากนักที่จะแวะเวียนมาบ่อย ๆ  โทโมกิคุงก็นาน ๆ จะแวะมาสักครั้ง  แค่เฉพาะตอนที่เหนื่อยจนไม่ไหวแล้วจริง ๆ เท่านั้นน่ะครับ”
“เหนื่อยจนไม่ไหวเหรอครับ?”
“เหมือนอย่างคุณนั่นแหละครับ  ร้านของผมก็แค่ที่พักเหนื่อย  ผมก็แค่คนคอยรับฟังแล้วคอยชงเครื่องดื่มอร่อย ๆ ไว้ต้อนรับ  แต่ถ้าใครแวะเข้ามาแล้วมีพลังกลับไปสู้ต่อได้ผมก็ดีใจละครับ”
ฟุยุกิหรุบตาลงมองแก้วชาที่มีหยดน้ำเกาะพราว  “ผมไม่ได้เหนื่อยจนไม่ไหวหรอกครับ  ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้ว  เรื่องของผมมันก็แค่เรื่องเล็ก ๆ กระจอก ๆ ที่จัดการได้ง่าย ๆ เท่านั้นเอง”
“ความเหนื่อยของแต่ละคนมีขีดจำกัดที่แตกต่างกันไปนะครับ  อย่างผมเนี่ยเป็นพวกทำอะไรทีละหลาย ๆ อย่างไม่ได้  แต่เรื่องตื่นเช้านี่สบายมาก  ในขณะที่คิริฮาระน่ะทำอะไรพร้อม ๆ กันได้ตั้งร้อยแปดอย่าง  ทั้งบริหารร้านทั้งเล่นดนตรี  แต่ถ้าให้ตื่นเช้าติดกันสักสามวันก็พับแล้วละครับ”  นัตสึเมะเผาเพื่อนพลางหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ  “อาริโยชิคุงก็เหมือนกัน  อาจจะเหนื่อยกับงานที่ใคร ๆ เห็นว่าง่าย  แต่อาจจะจัดการกับเรื่องยากของคนอื่นได้ง่าย ๆ ก็ได้นะครับ”
“แต่...ผมไม่เคยทำอะไรนอกจากเรียนหนังสือเลยนะครับ”  ฟุยุกิบีบมือตัวเอง  “...แถมยังเรียนไม่ได้ความด้วย”
ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าพลางครุ่นคิด  เด็กคนนี้ไม่มีความมั่นใจอะไรในตัวเองเลย  เขาเติบโตมาในสภาพไหนกันนะ  เหมือนอยู่ภายใต้ความกดดันตลอดเวลาจนไม่กล้ากระดิกตัว...สภาพอย่างนี้...ช่างแสนคุ้นตา
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะครับ  ตอนนี้ดื่มชาให้สบายใจก่อนดีกว่า”  นัตสึเมะเลื่อนแก้วชาไปใกล้ฟุยุกิ  “เดี๋ยวนอกจากจะชืดไปครั้งนึงแล้วน้ำแข็งจะละลายอีก  มันจะเสียใจแย่นะครับ”
“ครับ...”  เด็กหนุ่มดูดชาจากหลอดแล้วระบายลมหายใจยาว  สีหน้าดูปลอดโปร่งขึ้น  “อร่อยจังครับ  นี่ขนาดเอาชาชืด ๆ ไปทำใหม่นะครับเนี่ย”
“ใช่มั้ยล่ะครับ  ปรับแก้แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง”  นัตสึเมะยิ้มกว้าง  “ชีวิตคนเราก็เหมือนชาชืด ๆ นั่นแหละครับ  เมื่อไรที่รู้สึกว่ามันไม่อร่อยแล้วก็ลองเติมอะไรเข้าไปดู  มันก็จะดีขึ้นเองละครับ”
“เติมอะไร...?”
“ก็พวกน้ำตาล  น้ำเชื่อม  ไซรัป  น้ำผึ้ง  นม...”
“ไม่ใช่ครับ  หมายถึงชีวิต”
“อ๋อ...ก็พวกอะไรใหม่ ๆ ที่อยากทำหรือยังไม่เคยทำน่ะครับ”
“แล้ว...ผมควรจะทำอะไรดีล่ะครับ?”
นัตสึเมะนิ่งอึ้งไปนิดหน่อย  ก่อนจะอดอมยิ้มกับดวงตากลมโตที่จ้องตรงมาและคำถามอันแสนซื่อนั้นไม่ได้
“เรื่องนี้...อาริโยชิคุงต้องไปค้นหาเครื่องเติมเองแล้วละครับ  ผมมีสูตรของผมแต่ไม่ใช่จะเหมาะกับทุกคนเสมอไป  ได้แค่แนะนำละครรับ”
คิดเอาเองงั้นหรือ...ฟุยุกิขมวดคิ้วมุ่น  แต่ไหนแต่ไรมา  ไม่เคยมีใครพูดกับเขาอย่างนี้มาก่อนเลย  ทั้งพ่อและพวกพี่ชายจะคอยบอกอยู่เสมอว่าเขาควรทำอะไรหรือต้องทำอะไร  และเขาก็เพียงแค่เดินไปตามทางที่ทุกคนชี้บอกให้เท่านั้น  ไม่ว่าจะเรื่องคณะที่เลือกเรียนหรืองานที่ทำอยู่ในตอนนี้  คนที่บ้านก็เลือกให้ทั้งสิ้น  กระทั่งเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ทุกวันนี้ก็เถอะ...ก็ยังมีคนคอยจัดการให้

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
«ตอบ #13 เมื่อ24-12-2014 21:32:57 »

แล้วนัตสึเมะมาบอกให้เขาคิดเอาเอง...เขาจะทำได้หรือ...
นัตสึเมะสังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วก็พอจะเข้าใจความรู้สึก
“ไม่ต้องตอนนี้ก้ได้ครับ  ไม่ต้องรีบ  ค่อย ๆ ลองคิดดู...รีบมากเกินไปจะได้ชาที่ไม่อร่อยนะครับ”
“...ครับ”  ฟุยุกิพยักหน้าน้อย ๆ  “แต่...ผมไม่มั่นใจเลย  ผมจะทำได้จริง ๆ เหรอครับ”
“ต้องได้สิครับ”  นัตสึเมะจ้องตาเด็กหนุ่มแล้วยิ้ม  “คนที่เดินออกมาจากเส้นทางที่พ่อเลือกให้อย่างผมแนะนำทั้งที  คุณต้องทำได้แน่ครับ”
“เอ๊ะ?”
ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะได้ถามอะไรต่อ  ก็พอดีมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเข้ามา  ท่าทางจะสนิทสนมกับนัตสึเมะเป็นอย่างดีเสียด้วย  ค่าที่ว่ารีบเรียกตัวชายหนุ่มไปคุยกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว  เด็กหนุ่มจึงถือโอกาสนี้ขอตัวกลับก่อน...แน่นอนว่านอกจากนัตสึเมะจะไม่ยอมคิดค่าน้ำชาแล้วยังย้ำถึงการบ้านแสนยากที่ฝากไว้ให้คิดอีกด้วย

...

หลังจากปิดร้านและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว  นัตสึเมะก็เตรียมชงกาแฟไอริชสูตรพิเศษให้ตัวเอง  ส่วนผสมที่คุ้นเคยถูกนำมาวางเรียงบนเคาน์เตอร์ครับที่อยู่ในที่พักด้านหลังร้าน  น้ำกาแฟสีเข้มถูกกลั่นออกจากเครื่องด้วยผงกาแฟที่น้อยกว่าปกติ  ชายหนุ่มไม่อยากดื่มกาแฟเข้มมากนักในช่วงค่ำแบบนี้  เขาดื่มกาแฟไอริชเพื่อให้หลับง่ายขึ้น  ดังนั้นถ้ากาแฟเข้มเกินไปจะทำให้ตาค้างไปทั้งคืนเสียมากกว่า
น้ำตาลทรายสองช้อนโรยตัวลงในแก้วไวน์ทรงสูงตามมาด้วยเหล้าวอดก้าสามฝา  นัตสึเมะบรรจงนำแก้วไวน์นั้นไปลนกับเปลวของตะเกียงแอลกอฮอล์ช้า ๆ จนเหล้าและน้ำตาลละลายเข้ากันดี  ก้นแก้วกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้เพราะผ่านความร้อนมาวันแล้ววันเล่า...คงถึงเวลาเปลี่ยนแก้วใหม่เสียที  ชายหนุ่มรินกาแฟลงไปผสมกับของเหลวที่ก้นแก้วแล้วบีบวิปครีมที่ด้านบนเล็กน้อย
กาแฟสูตรสำหรับให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในฤดูหนาวแก้วนี้ไม่เหมาะกับฝนต้นฤดูร้อนเท่าไรนัก  แต่นี่เป็นเครื่องดื่มที่นัตสึเมะดื่มติดต่อกันมานับสิบปีแล้ว  ไม่ใช่เพื่อความอบอุ่น...แต่เพื่อให้หลับลงได้โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
จริงอยู่ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้หลับง่ายกว่ากาแฟที่มีส่วนผสมและวิธีการชงยุ่งยากแบบนี้  แต่นัตสึเมะก็ชอบกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  หากเขาก็ยอมรับกับตัวเองว่าติดแอลกอฮอล์  ดูได้จากปริมาณวอดก้าและจำนวนแก้วที่ดื่มต่อวันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่ชายหนุ่มกำลังละเลียดกาแฟที่เต็มไปด้วยฤทธิ์ร้อนของวอดก้า  เขาวางแก้วลงพลางถอนใจ...คงจะเป็นเธอคนนั้นอีกกระมัง...
หากคนที่อยู่อีกฟากของประตูกลับผิดไปจากที่คาด
“โย่  นัตสึเมะ”
“คิริฮาระ?”  ผู้เป็นเจ้าของบ้านเลิกคิ้ว  “คุณพ่อปล่อยมาได้ยังไงล่ะเนี่ย?”
“วันนี้ฉันต้องไปเช็คสต็อคที่ร้านน่ะสิ  ขืนไม่ไปจิวจังต้องไปล่าฉันถึงบ้านแน่ ๆ  ขนาดวันนี้ยังถึงกับโทรไปหาคุณพ่อโดยตรงเลยนะ  คุณพ่อก็เลยให้มาเนี่ย”  ชายหนุ่มผมแดงถือวิสาสะเข้ามาในบ้านโดยไม่รอคำเชิญ  “ขอกาแฟสักถ้วยสิ”
“ได้สิ  รอแป๊บนะ”  นัตสึเมะปิดประตูแล้วตรงไปที่เคาน์เตอร์ครัวก่อนจะจัดการชงกาแฟให้ตามที่เพื่อนขอ
คิริฮาระนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวซึ่งแก้วไวน์ใส่กาแฟของนัตสึเมะยังตั้งอยู่ตรงนั้น
“นี่แก้วที่เท่าไรของวันน่ะ?”
“สาม”  นัตสึเมะตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ดื่มสามเวลาหลังกอาหารเรอะ?”  น้ำเสียงนั้นเหน็บแนมและประชดประชัน
“ยังมีก่อนนอนอีกแก้วนะ”  เสียงตอบมาปนหัวเราะ
“เขาด่าแล้วยังไม่สำนึกอีกแน่ะ”  คิริฮาระบ่นอุบอิบ
“วันนี้...”  นัตสึเมะเปลี่ยนเรื่องพูด  “อาริโยชิคุงแวะมาถามหานายแน่ะ  เห็นว่าหายไปหลายวันเลยเป็นห่วง”
กาแฟถ้วยเล็กหอมกรุ่นถูกวางลงตรงหน้าผู้เป็นเพื่อนรัก
“อาริโยชิ...อ๋อ  เด็กนั่น...แล้วนายบอกไปว่าไง?”
“ก็บอกว่านายโดนเรียกตัวไปซ้อมดนตรีน่ะสิ”  นัตสึเมะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม  “พอรู้แบบนี้ก็ดูสบายใจนะ  ท่าทางจะหลงนายเข้าเต็มเปาเชียวละ”
“อ๊ะ  แน่ละ  นี่ท่านคิริฮาระเชียวนะ”  คิริฮาระทำท่าสะบัดเรือนผมสีแดงอย่างไว้ตัว
นัตสึเมะหัวเราะ  “จะอ้วก”
“เชิญที่ห้องน้ำครับ”  ไม่พูดเปล่ายังผายมือไปทางห้องน้ำอีกด้วย
นัตสึเมะทำเป็นไม่สนใจท่าทางนั้น  “แล้วก็...โทโมกิคุงก็แวะมานะ”
คิริฮาระชะงัก  “โทโมกิคุงเหรอ?...ว่าไงมั่ง  วายะเป็นยังไงบ้าง?”
นัตสึเมะส่ายหน้า  “ก็เหมือนเดิม  ยังไม่รู้สึกตัว  ไม่มีการตอบสนอง  เพียงแต่ตอนนี้โทโมกิคุงเรียนจบแล้วเลยรับหน้าที่ดูแลเองเกือบทั้งหมด  ก็เลยเหนื่อยมากหน่อย...มาปรับทุกข์น่ะ”
“เจ้าบ้านั่นนอนนานเหลือเกิน...”  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ซึมลงเมื่อคิดถึงคนที่เคยเป็นทั้งเพื่อนและเปรียบเสมือนพี่ชายอีกคน  “ลำบากโทโมกิคุงเขาแย่”
“ปัญหาที่สมองมันต้องอาศัยเวลาฟื้นฟูนานนะ”
“น่าสงสารโทโมกิคุง  ดูแลเจ้าชายนิทรานี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ  อยากไปกระชากคอเขย่าปลุกให้มันฟื้นจริง ๆ”
“คนที่บอกให้โทโมกิคุงมีความหวังคือนายนะ  ไม่ต้องห่วงหรอกน่า  โทโมกิคุงจะต้องผ่านมันไปได้แน่  เขาเข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิดเยอะ  เขาต้องมีวิธีแก้ปัญหาของเขาเองแน่”
“นั่นสินะ...ที่ผ่าน ๆ มามันแย่กว่านี้ตั้งเยอะ”  คิริฮาระค่อยผ่อนคลายลง  “ว่าแต่ปัญหาของนายเถอะ  เมื่อไรจะจัดการซะ  จะได้เลิกติดเหล้าเสียที”
“หยาบคาย  ฉันติดกาแฟหรอก”  พูดพลางยกแก้วกาแฟขึ้นมาให้ดูเป็นการยืนยัน
“กาแฟบ้านแกสิ  ใส่วอดก้าสามฝา”  คิริฮาระทำตาเขียวใส่
“เอาน่า...ปัญหาของฉันมันยังไม่ถึงเวลาแก้  ตัวเองแก้ปัญหาได้แล้วก็อย่ามาเร่งคนอื่นเขาสิ  ฉันไม่อยากแก้ปัญหาด้วยวิธีบ้าระห่ำจนทำให้ใครต้องร้องไห้อย่างนายหรอก  ยิ่งวิธีขูดเนื้อเถือหนังตัวเองฉันยิ่งไม่เอาด้วยใหญ่เลย”  นัตสึเมะพูดพลางทำหน้าเบ้ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด  “ว่าแต่...รู้หรือเปล่าว่าตัวปัญหาของนายเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“โฮ้ย  รู้เสียยิ่งกว่ารู้  ฉันแวะไปหามันบ่อย ๆ แทบจะทุกอาทิตย์เลยด้วย”  คิริฮาระว่าพลางทำตาเป็นประกายวิบวับด้วยความสนุกสนาน
“โหดร้ายว่ะ”  ถึงจะพูดแบบนั้นแต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่ได้บอกเลยว่าหมายความตามคำพูด
“มันก็ดีใจทุกครั้งที่ฉันไปเยี่ยมนะ  แต่พอฉันเริ่มถอดเสื้อผ้าต่อหน้ามัน...มันก็กรีดร้องเหมือนโดนเชือดเลยละ”  แววตาของคิริฮาระเป็นประกายเหมือนเสือร้าย  เต็มไปด้วยความสาแก่ใจ
“ทำขนาดนั้นเลย?  นั่นมันผู้ป่วยจิตเวชนะนั่น”
“มันทำกับฉันไว้มากกว่านี้อีก”  หางเสียงกระชากคล้ายจะขุ่นเคือง  “มันทรมานฉันมาตั้งไม่รู้กี่ปี  ทำลายชีวิตฉันทั้งชีวิต  ทำจนฉันเกือบกลับมาเป็นตัวเองไม่ได้...นายไม่เห็นนี่  นัตสึเมะ  สภาพมันที่กรีดร้องดิ้นรนอยู่บนรถเข็น  ตะเกียกตะกายจะเข้ามาหาฉัน  จ้องมองฉันในชุดทาสตาแทบทะลักออกจากเบ้า  กระหายหื่นอยากในตัวฉันจนฉี่ราดแต่ทำอะไรไม่ได้...ทำอะไรไม่ได้แล้ว  ของของมันใช้การไม่ได้แล้ว  แค่จะลุกจากรถเข็นก็ยังทำไม่ได้  ได้แต่กระเสือกกระสนเหมือนหนอนแมลงอยู่ตรงหน้าฉัน  เอื้อมมือมาไขว่คว้าฉันแต่ไม่อาจแตะต้องได้...สะใจเป็นที่สุด”
นัตสึเมะไม่ได้พยายามห้ามสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากปากของคิริฮาระ  เขารู้จักคิริฮาระมานานพอที่จะเข้าใจความคับแค้นที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่งเป็นอย่างดี
ผู้ชายคนนั้นชื่อ  คิริฮาระ  เรอิจิ...ซึ่งเป็นอาแท้ ๆ ของคิริฮาระ  ยู
หากอาแท้ ๆ ผู้นี้เองที่ได้ยัดเยียดความรักอันวิปริต...ข่มขืนกระทำชำเราคิริฮาระมาตั้งแต่อายุเก้าขวบ  การกระทำของเรอิจิส่งผลต่อชีวิตของคิริฮาระมากมาย  การถูกข่มขืนต่อเนื่องกันนานปีทำให้คิริฮาระกลายเป็นคนที่มีรสนิยมทางเพศแบบกามวิปริตชอบความรุนแรงหรือที่เรียกกันว่า SM อย่างช่วยไม่ได้  เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น  ฮาร์โมนที่เปลี่ยนแปลงกับรสนิยมทางเพศเช่นนี้  ประจวบกับที่เรอิจิต้องออกเดินทางแสดงคอนเสิร์ตอยู่บ่อย ๆ จนไม่มีเวลาให้  ผลักดันให้คิริฮาระต้องขายตัว  และในตอนที่นัตสึเมะกำลังห่วงว่าการกระทำเช่นนั้นอาจนำอันตรายมาสู่คิริฮาระได้  ก็เหมือนสวรรค์โปรดให้คิริฮาระได้พบกับวายะ  ชุน  การพบกันครั้งนั้นนำคิริฮาระไปสู่วงการนายแบบ SM ภายใต้สังกัดบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลที่สุดในวงการใต้ดิน  ลูนาติก  ลัสท์  และหนีจากเรอิจิออกจากบ้านมาใช้ชีวิตตามลำพังได้
ด้วยเสน่ห์เย้ายวนอันเปี่ยมล้นและบุคลิกท่าทางที่โดดเด่น  ทำให้คิริฮาระขึ้นสู่การเป็นนายแบบระดับ TOP 5 อย่างรวดเร็วและคงอยู่ในตำแหน่งนั้นกระทั่งร้างลาจากวงการไป  แต่ในตอนที่เขากำลังรุ่งโรจน์  เรอิจิก็หวนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความปรารถนาที่จะครอบครองคิริฮาระไว้เป็นของตนคนเดียวอย่างแรงกล้า  ถึงขนาดส่งภาพถ่ายและภาพยนตร์ที่คิริฮาระนำแสดงไปที่มหาวิทยาลัย  ทำให้คิริฮาระต้องถูกไล่ออก
หากคิริฮาระไม่ยอมจำนน  ในห้วงแห่งความสิ้นหวังนั้น  ชายหนุ่มตัดสินใจเผชิญหน้ากับเรอิจิและจัดการกับความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยงถึงขึ้นแตกหัก...ผลลัพธ์ก็คือ  เรอิจิพิการท่อนล่างจนต้องใช้ชีวิตบนเก้าอี้รถเข็นไปตลอดกาล  ส่วนคิริฮาระถึงกับเสียสติไปหลายเดือน
ดังนั้น  นัตสึเมะจึงไม่เคยห้ามเลยที่คิริฮาระจะใช้โอกาสของตัวเองเอาคืนและทรมานเรอิจิให้เจ็บแสบที่สุด  แค่ความเครียดจากความพิการก็แย่พออยู่แล้ว  เมื่อถูกกดดันจากการยั่วยวนและหยามหยันของหลานชายสุดที่รัก  เรอิจิก็สุดจะครองสติไว้ได้  ในที่สุดทางครอบครัวก็ต้องส่งตัวเข้าสถานบำบัดทางจิตเวชระยะยาวโดยคิดว่าเรอิจิเสียสติไปเพราะสูญเสียร่างกายท่อนล่างและชีวิตบนเส้นทางดนตรี...ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากคิริฮาระ
“หมอก็คงสงสัยเหมือนกันแหละว่าทำไมอาการของมันถึงทรง ๆ ทรุด ๆ ไม่ดีขึ้นเสียที  แล้วที่โรง’ บาลก็ดีนะ  เขาให้เวลาส่วนตัวเยอะดี  แล้วก็ดีตรงที่มันมักจะอาการดีขึ้นมากระหว่างที่ฉันไม่ไปเยี่ยม  หมอเขาก็เลยไว้ใจให้เวลาฉันอยู่กับมันตามลำพังเสียนาน  ฉันเลยเล่นซะเปรมไปเลย”  คิริฮาระเล่าพลางจิบกาแฟ
“เดี๋ยวหมอเขาก็จับได้กันพอดี”  นัตสึเมะแกล้งแหย่
“ไม่มีทาง...หรือถ้าจะจับได้จริงฉันก็จะไม่ไปหามันสักพัก  หรือถ้ามันจะอาการดีขึ้นจนออกจากโรง’ บาลได้...คราวนี้ละ  นรกของจริงรอมันอยู่”  ชายหนุ่มยิ้มเย็นหากดวงตาลุกโชน  “ที่ผ่านมาก็แค่ช่วยตัวเองต่อหน้ามัน  ถ้ามันออกมาได้ละก็...เล่นเซ็กส์โชว์ต่อหน้ามันเลยเป็นไง?”
“ไม่ต้องมามองฉัน  ไปชวนคนอื่นเลยไป”  นัตสึเมะโบกมือไล่ความคิดแผลง ๆ นั่น  แอบภาวนาอยู่ในใจให้เรอิจิอยู่ในสถานบำบัดไปจนตายจะดีกว่า
“ใครบอกจะชวนนาย  นี่ถ้าวายะอยู่ฉันต้องชวนวายะแหงอยู่แล้ว  อืม...ช่วงนี้มีเด็กเก่ง ๆ ที่น่าสนใจมั้ยน้า...”  คิริฮาระทำท่าเหมือนจะคิดอะไรไปไกล
“หยุด!  ท่านคิริฮาระ  ดึกแล้วครับ  เชิญไสหัวไปทำงานได้แล้ว  เดี๋ยวถ้าต้องโต้รุ่ง  พรุ่งนี้จะซ้อมดนตรีไม่ไหวนะครับ  กระผมก็จะพักผ่อนแล้วครับ”  นัตสึเมะตัดบทเอาดื้อ ๆ
“ไล่เลยเหรอเนี่ย  ใจร้ายว่ะ”  คิริฮาระบ่นแต่ก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมด  “คนเขากำลังสนุกแท้ ๆ”
“นายสนุกของนายไปคนเดียวเถอะ”
“แค่นิดหน่อยน่า  เอาละ...ขอบใจที่เลี้ยงกาแฟนะ”  คิริฮาระลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปที่ประตู  “อ้อ  ไว้ถ้าได้ตั๋วคอนเสิร์ตแล้วจะเอามาให้นะ”
“อื้ม  จะรอ”  นัตสึเมะเดินตามไปส่งเพื่อนที่ประตูบ้าน
“แล้วอีกอย่าง...”  คิริฮาระหันขวับมาจนหน้าแทบจะชนหน้านัตสึเมะ  “กาแฟถ้วยก่อนนอนน่ะ...งดซะ  รีบ ๆ ไปอาบน้ำแล้วเข้านอนไปซะ  นายดื่มมากเกินไปแล้ว  เจ้าขี้เหล้า”
นัตสึเมะเพียงแต่ยิ้ม  “จะพยายามนะ”
คิริฮาระทำหน้ามุ่ย  “ฉันไม่เคยเชื่อไอ้คำว่าจะพยายามของนายเลยสิน่า  แต่เอาเถอะ...แล้วเจอกันนะ”
“อื้ม  แล้วเจอกัน”
นัตสึเมะมองส่งผู้เป็นเพื่อนกระทั่งหายลับไปในเงามืด  บ้านของเขาเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองที่คิริฮาระพึงจะกลับมาเสมอ  ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ร้านกาแฟแห่งนี้หรือที่บ้านพ่อของเขาก็ตาม  ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อตอนอยู่มัธยมต้น  คิริฮาระก็ใช้บ้านของเขาเป็นที่พักใจเวลาที่มีปัญหากับเรอิจิหรือตอนที่บาดเจ็บจากการขายบริการเสมอ  ทำให้นัตสึเมะรู้ความเป็นมาเป็นไปของคิริฮาระโดยตลอด  จนกล้าพูดได้เต็มปากว่าเขารู้จักคิริฮาระคนปัจจุบันนี้ดีกว่าใคร...หลายครั้งที่ได้ตระกองกอดไว้ในค่ำคืนแห่งความปรารถนา  หลายครั้งที่เคยเยียวยาทั้งแผลกายและแผลใจให้  ใกล้ชิดกันจนคิริฮาระยังเคยเอ่ยปาก
...ทำไมฉันถึงไม่รักนายซะนะ...ในเมื่อถ้าเป็นอย่างนั้น  อะไร ๆ ก็จะง่ายกว่านี้แท้ ๆ...
ไม่ใช่นัตสึเมะไม่เคยคิด  แต่เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่มีวันพัฒนาไปในทางนั้น...พวกเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกันในลักษณะนั้น  พวกเขาผูกพันกันใกล้ชิดเสียจนเหมือนกับว่าคิริฮาระเป็นพี่น้องที่ไปอาศัยท้องคนอื่นเกิด...ไม่ใช่สิ  บางทีอะไรที่เรียกว่า  SOUL MATE  อาจจะหมายถึงความสัมพันธ์ลักษณะนี้ก็ได้
ชีวิตของคิริฮาระลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด  คนเฝ้าดูอย่างนัตสึเมะต้องคอยลุ้นใจหายใจคว่ำทุกทีไป  แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่เขายุ่งอยู่กับตัวเองจนไม่มีเวลาไปสนใจคิริฮาระ
ชายหนุ่มกลับเข้าบ้านไปดื่มกาแฟของตัวเองต่อพลางคิดถึงการทำงานวันพรุ่งนี้  ตอนเช้าต้องออกไปซื้อขนมปังกับผักสดสำหรับทำแซนวิช...แฮมยังมีเหลืออยู่  ชีสล่ะ...น่าจะเหลือน้อยแล้ว  พรุ่งนี้แวะไปซื้อมาด้วยเลยดีกว่า...
คิดไปได้แค่นั้น  เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น  คราวนี้นัตสึเมะถอนใจยาว  ผู้มาเยือนคนนี้ต้องไม่ใช่คิริฮาระที่ย้อนกลับมาดูว่าเขาดื่มกาแฟก่อนนอนหรือไม่แน่  ชายหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มจนหมด  รสชาติหวานหอมร้อนแรงของวอดก้าผสมน้ำตาลที่เหลืออยู่ก้นแก้วล่วงผ่านลำคอและทิ้งร่องรอยไว้ที่ปลายลิ้น
เมื่อเปิดประตูออกก็พบหญิงสาววัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าสวยหรู  แม้จะล่วงเข้าวัย 40 แล้วแต่ใบหน้างดงามนั้นยังแลดูอ่อนกว่าวัยอยู่มากด้วยเจ้าตัวหมั่นดูแลตัวเองอยู่เสมอ  เรือนผมจัดทรงอย่างดี  มีสีสันแต้มแต่งดวงหน้าอย่างประณีต
“จะไปงานเลี้ยงเหรอครับ  เคย์โกะซัง?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ
“ว่าจะไป  แต่ไม่ไปแล้ว”  ใบหน้าสวยงอง้ำ  เดินกระแทกส้นเท้าปึงปังเข้ามาในบ้านอย่างไม่กลัวส้นสูง 4 นิ้วจะหัก
“ทะเลาะกับคุณพ่ออีกแล้วสินะครับ”  นัตสึเมะปิดประตูตามหลังแล้วใส่กลอน
“น่าโมโหสิ้นดี!  กะแค่ไปงานเลี้ยง  มันเรื่องอะไรต้องให้ฉันไปรถคนละคันด้วยล่ะ!?”  เคย์โกะใส่อารมณ์ทันที
“ไม่ใช่คุณเสริมสวยนานเกินไปเหรอครับ?”  ชายหนุ่มแกล้งแหย่  แต่ที่พูดมันก็เรื่องจริง
“เหอะ!  ไม่อยากควงฉันออกหน้าออกตาซะมากกว่า”  แววตาของเจ้าหล่อนเป็นประกายวาบ  “ตั้งสิบกว่าปีแล้ว  เขารู้กันไปทั้งโลกแล้วละย่ะ!”
นัตสึเมะเพียงแต่ยิ้มอยู่ในสีหน้า  “แล้วฮารุกะล่ะครับ?”
“นั่นเขาพาไปด้วย  ยังดี  ยังยอมให้ลูกสาวนั่งรถคันเดียวกัน”  สีหน้าเวลาพูดถึงลูกสาวดูอ่อนลง
“ให้ฮารุกะไปคุมก็ดีแล้วนี่ครับ  จะได้ไม่มีสาว ๆ กล้าเข้ามาใกล้คุณพ่อ”
“พูดยังกับฮารุกะจะทำได้งั้นนี่  ขนาดพี่ชายเธอยังไม่เคยทำได้เลย”  น้ำเสียงนั้นประชดประชัน
“อากิโตะไม่ทันคนหรอกครับ  แต่ฮารุกะน่ะเป็นลูกสาวเคย์โกะซังเชียวนะครับ”
“หมายความว่ายังไงยะ!?”  เคย์โกะหันมาแว้ดทันที
“ก็หมายความอย่างที่พูด...ว่าแต่  อุตส่าห์แต่งตัวสวยออกอย่างนี้  ไม่ไปเที่ยวต่อเหรอครับ?”  นัตสึเมะเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย
“หมดอารมณ์จะไปไหนแล้ว  เลยมาหาเธอเนี่ย”  พูดแล้วท่าทีแข็งกระด้างของเคย์โกะก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง  เธอเดินนวยนาดมายกสองแขนโอบรอบลำคอร่างสูงไว้  “นี่...มีอะไรทำให้ฉันเมาได้บ้างมั้ย?”
“ถ้าอยากดื่มเหล้าก็ต้องไปโฮสต์คลับละครับ  ที่บ้านผมไม่มี”
“โกหก  เธอมีวอดก้าติดบ้าน  ฉันรู้นะ”  เคย์โกะทำน้ำเสียงดื้อดึงเหมือนเด็กสาว
“ถ้าคุณดื่มวอดก้าเพียว ๆ ได้ก็โอเค  ผมไม่มีอะไรจะผสมให้นะครับ”  นัตสึเมะยักไหล่
“ใจร้าย  น้ำผลไม้อะไรก็ไม่มีเลยเหรอ  แล้วเธอเอาไว้ผสมอะไรเนี่ย?”
“ก็ผสมกาแฟไงครับ”
“แหยะ  กาแฟหวาน ๆ นั่นน่ะเหรอ”  เคย์โกะทำท่าขนลุก  เธอเคยลองกาแฟของนัตสึเมะแล้วไม่ถูกปากเอาเสียเลย  เธอชอบของหวานแต่กาแฟหวาน ๆ นี่ยังไงก็ดื่มไม่ได้
“ก็ผมชอบนี่นา”  ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่แยแส
“ไม่มีของกินให้เมาก็ไม่เป็นไร”  เคย์โกะทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางช้อนตาขึ้นมองนัตสึเมะ  “เธอทำให้ฉันเมาหน่อยสิ...ด้วยตัวเธอน่ะ...”
“หึ...ผมไม่ใช่โฮสต์นะครับ”
แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ชายหนุ่มก็โอบรอบเอวบางและรั้งเธอเข้ามาใกล้  แม้จะไม่ยินดียินร้ายกับเสน่ห์หอมหวานที่เธอหว่านโปรยก็ยังแนบริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มที่แต้มลิปสติกสีสวยไว้  แม้จะไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยก็ยังตอบสนองทุกการเรียกร้องของเธอให้
คงต้องขอบคุณกาแฟไอริชทุกแก้วที่ดื่มเข้าไป  ที่ทำให้หัวใจของเขาด้านชาได้ถึงเพียงนี้...

...

กามกิจอันเร่าร้อนจนแทบจะแผดเผาหญิงสาวให้มอดไหม้เป็นจุณผ่านพ้นไป  นัตสึเมะลงมาที่ห้องครัวเมื่อเคย์โกะหลับสนิทอยู่บนเตียงของเขา
ชายหนุ่มชงกาแฟไอริชสูตรพิเศษให้ตัวเองและเพิ่มวอดก้าลงไปอีกฝา  ถ้าคิริฮาระรู้จะต้องโดนดุแน่...เขายิ้มกับตัวเอง  แต่ในค่ำคืนที่รอบกายจะอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนนั้น  เขาอยากจะหลับไปโดยไม่ต้องรับรู้ถึงคนข้างกาย  ไม่ต้องรับรู้ถึงการกระทำของตน  ไม่ต้องรับรู้ถึงความผิดบาป...ว่าตนมีความสัมพันธ์กับใคร...


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 04 (รีโพสต์) 24-01-58
«ตอบ #14 เมื่อ24-01-2015 22:20:35 »

ไม่มาอัพตั้งเดือนแน่ะครับ มาอัพแล้วนะครับ จวนจะพ้นส่วนที่รีโพสต์แล้ว (ครั้งก่อนลงไว้ 5 ตอน)
ช่วยติดตามกันต่อด้วยนะครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 04

“เบื่อ!  เบื่อจะตายอยู่แล้ว!”  คิริฮาระฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์แล้วงอแง

“เด็ก ๆ ทำมันก็น่ารักอยู่หรอกนะ  คิริฮาระ”  นัตสึเมะว่าพลางตวงผงกาแฟใส่เครื่องชงให้อย่างไม่สนใจ

“ก็มันเบื่อนี่  ซ้อมอะไรกันนักหนา  วัน ๆ ได้เจอแต่ตาแก่วัยใกล้เกษียณทั้งนั้น  ไม่มีหนุ่ม ๆ มาให้เป็นอาหารตาอาหารใจบ้างเล้ย”  คิริฮาระบ่นกระปอดกระแปด

“นายก็บ่นแบบนี้ทุกปีแหละ”  นัตสึเมะวางถ้วยเอสเปรสโซที่มีคุกกี้สองชิ้นวางไว้บนจานรองแก้วลงตรงหน้าผู้เป็นเพื่อน  “แล้วนี่นายมีรสนิยมชอบกินเด็กตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“ตั้งแต่รู้ว่าวายะมันกิ๊กกับโทโมกิคุงนั่นแหละ  ก็เลยแอบเหล่เด็กบ้าง  หลอกมากินบ้าง”  คิริฮาระว่าพลางจิบกาแฟ  “ฮื้อ~  หอมสะท้านใจ”

“ฉันจะฟ้องซาคากิซัง  ว่านายแอบกินเด็กตอนที่เขาไม่อยู่”

“คิโยฮารุเข้าใจฉันดีอยู่แล้ว  ไม่ว่าอะไรหรอกน่า”  คิริฮาระยักไหล่อย่างไม่ยี่หระต่อคำขู่ของเพื่อน

“แต่กินเด็กมันไม่ใช่เรื่องงานนี่  ฉันว่าเขาต้องว่าแน่”

คิริฮาระทำหน้าไม่แน่ใจ  “จริงอ้ะ?”

“ต้องว่าแน่เลย”  นัตสึเมะยืนยันหนักแน่น

“งั้น...ห้ามบอกนะ”

“งั้นก็เอาค่าปิดปากมาก่อน”  นัตสึเมะแบมือ  “ที่มาวันนี้น่ะ  เรื่องนี้ใช่มั้ยล่ะ”

“แสนรู้จริงจริ๊ง...”  คิริฮาระบ่นพลางล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตหยิบซองกระดาษสีแสดออกมาส่งให้นัตสึเมะ

“ขอบใจ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านกาแฟรับซองมาเปิดออกดู  สิ่งที่อยู่ในนั้นคือตั๋วคอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงของวงออร์เคสตร้าที่คิริฮาระไปร่วมฝึกซ้อมอยู่สองใบ  ชายหนุ่มเลิกคิ้ว  “สองใบ?  ทำไมถึงตั้งสองใบล่ะ?”

“เผื่อนายจะอยากชวนใครไปด้วยไง”

“ฉันเนี่ยนะจะชวนใครไป  นายก็เห็นนี่ว่าฉันไปคนเดียวทุกปี”

“ปีนี้ฉันเลยอยากให้ชวนใครไปด้วยไง  ลูกค้าก็ได้  ฮารุกะจังก็ได้...ยกเว้นตัวปัญหาของนาย  ฉันไม่อยากเห็นหน้า”  คิริฮาระพูดพลางหยิบคุกกี้ใส่ปาก

“เคย์โกะซังเขาไปทำอะไรให้นายไม่ชอบใจ  ฮึ?  เจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ  เก็บซองตั๋วคอนเสิร์ตลงในลิ้นชักที่เคาน์เตอร์

พ่อหนุ่มนักไวโอลินตวัดหางตาจิกผู้เป็นเพื่อน  “ต้องให้อธิบายด้วยเหรอครับ  คุณอิชิกาวะ  นัตสึเมะ”

“อย่ามาเรียกเต็มยศอย่างนี้สิ  ฟังแล้วขนลุก”  นัตสึเมะส่ายหัวดุกดิก  เวลาประชดใครทีไร  ทั้งสีหน้าท่าทางน้ำเสียงและวิธีพูดของคิริฮาระมันจะต้องเป็นตามกันไปหมดจริง ๆ สิน่า...

“ก็อยากแกล้งโง่ทำไม”  คิริฮาระกินคุกกี้แล้วยกกาแฟอึกสุดท้ายดื่มล้างปาก  “ไม่รู้ละ  อย่างขี้เหร่ก็ต้องพาฮารุกะจังไปด้วย  อย่างสวย ๆ ก็ต้องเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายของฉัน  ถ้าไปคนเดียวอีกละน่าดู”

“ที่แท้ก็แค่อยากหาเรื่องตื่นเต้นให้ชีวิตด้วยการรอดูว่าฉันแอบคบใครอยู่หรือเปล่าเท่านั้นสินะ”

“ปล๊าว~”  คิริฮาระทำเสียงสูง  แกล้งทำเป็นไม่รู้ถึงสายตารู้ทันของนัตสึเมะ

ร่างสูงส่ายหน้า...คิริฮาระไม่เคยเปลี่ยนเลยนับจากหลุดพ้นจากพันธนาการอันวิปริตของเรอิจิมา  นักดนตรีหนุ่มทำตัวเป็นแมวเจ้าเล่ห์ซุกซนและดื้อดึงกับเขาเสมอ  แต่เขาก็ชินกับความเอาแต่ใจนี้เสียแล้ว  บางทีถ้าไม่มีคิริฮาระมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ มันคงจะเหงาเสียมากกว่า

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นและลูกค้าวัยทำงานก็เดินเข้ามาในร้าน

“ยินดีต้อนรับครับ”  นัตสึเมะเอ่ยต้อนรับพลางเหลือบดูนาฬิกา...ถึงเวลาของลูกค้าหลังเลิกงานแล้ว  “เดี๋ยวต้องกลับไปซ้อมรอบเย็นอีกใช่มั้ย  คิริฮาระ?”

“ใช่  กำลังว่าจะไปพอดีเลย”  ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วเบ้หน้า  “คืนนี้เลิกดึกอีกแหง  อยากกลับไปเล่นที่ข้างถนนเร็ว ๆ จังน้า”

“จบคอนเสิร์ตแล้วก็เล่นซะให้หายอยากเลยแล้วกัน  คนดูของนายเขารออยู่แน่ะ”  นัตสึเมะหยิบกระดาษจดออร์เดอร์แล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์ไปหาลูกค้าที่โต๊ะ  “ขอบใจสำหรับตั๋วนะ  แล้วฉันจะไม่ฟ้องซาคากิซังว่านายแอบกินเด็กก็แล้วกัน”

“กล้าฟ้องก็ลอง”  คิริฮาระหลิ่วตาใส่อย่างถือดีแล้วลุกจากที่นั่ง  “ไปนะ  แล้วเจอกัน”

“อื้ม  แล้วเจอกัน”

ลูกค้าตอนเย็นไม่คึกคักเหมือนช่วงกลางวันหรือพักเที่ยง  ส่วนใหญ่จะมาตามลำพังหรือเป็นคู่เพื่อพักผ่อนหลังทำงานมาเหนื่อย ๆ  ส่วนพวกที่ยังมีแรงเหลือก็มักจะไปที่ร้านเหล้าเสียมากกว่า  ร้านกาแฟแห่งนี้จึงเป็นเหมือนสถานที่สำหรับผ่อนคลายและแวะเติมพลังก่อนกลับบ้าน  นัตสึเมะเข้าใจตรงจุดนี้จึงปิดร้านค่อนข้างดึก  แม้บางวันจะมีลูกค้าแค่  2 – 3  คนก็ตาม

“ยินดีต้อนรับครับ”  ชายหนุ่มเอ่ยคำทักทายติดปากเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตูขณะที่กำลังล้างแก้วอยู่  ภายในร้านไม่มีลูกค้าเหลืออยู่แล้ว

ผู้ที่เดินเข้าประตูมาคือเด็กหนุ่มในชุดทำงาน  หน้าตาหมองเศร้า

“เป็นอะไรไปครับ  อาริโยชิคุง?”  นัตสึเมะวางมือจากงานแล้วเดินมาหาคนที่เริ่มจะกลายเป็นลูกค้าประจำของเขา

ดวงตาของฟุยุกิหรุบต่ำ  เรือนผมสีดำทิ้งตัวปรกใบหน้า  ปกติเด็กหนุ่มก็ดูไม่สดชื่นอยู่แล้ว  ยิ่งแบบนี้ยิ่งดูหดหู่เข้าไปใหญ่

เมื่อยังไม่มีคำตอบจากสวรรค์  นัตสึเมะก็ตบไหล่ฟุยุกิเบา ๆ แล้วพาไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด  “เชิญทางนี้ดีกว่าครับ  เดี๋ยวผมชงชาอร่อย ๆ มาให้ดื่ม”

ชายหนุ่มปล่อยให้ฟุยุกิสงบสติอารมณ์โดยไม่รบกวน  ระหว่างนั้นเขาก็บรรจงอุ่นนมสดแล้วหยิบใบชาจากในขวดโหลออกมาชงใส่ถ้วย  เมื่อนมอุ่นได้ที่ก็ใช้ไม้ตีไข่ลงไปคนแรง ๆ จนเป็นฟองเนียน  ก่อนจะบรรจงเทลงในถ้วยชา

“เดคอร์  มิลค์ที  ได้แล้วครับ”

เมื่อถ้วยชาถูกางลงตรงหน้า  ดวงตาที่เหม่อซึมเลื่อนลอยของฟุยุกิก็เบิกกว้างขึ้น

“ว้าว  สวยจังครับ!”

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในถ้วยชาคือโฟมนมสีขาวตัดกับน้ำชาสีเข้มวาดเป็นรูปดอกซากุระ

“ผิดฤดูกาลไปหน่อย  แต่ผมวาดใบเมเปิ้ลไม่เป็นเสียด้วยสิครับ”

“ทำได้ยังไงครับเนี่ย  น่ารักจังเลย”  ฟุยุกิจ้องถ้วยชาไม่วางตาด้วยความชื่นชม

“ก็ลองทำแบบเดคอร์  คาปูชิโนดูน่ะครับ  เพิ่งลองทำเป็นครั้งแรกแต่ก็ออกมาใช้ได้เหมือนกัน”  นัตสึเมะทอดสายตามองถ้วยชาประดับดอกซากุระฝีมือตัวเองแล้วยิ้ม  “แต่สีชามันเข้มสู้สีกาแฟไม่ได้  ภาพเลยจางไปหน่อย”

“แต่ก็สวยจนไม่อยากดื่มเลยนะครับ”

“ทำมาให้ดื่มก็ต้องดื่มสิครับ  เดี๋ยวมันก็เสียใจแย่”  ชายหนุ่มเลื่อนถ้วยชาไปให้ฟุยุกิเป็นเชิงคะยั้นคะยอ

เด็กหนุ่มยกถ้วยขึ้นดื่ม  กลิ่นหอมของชากำจายฟุ้ง  ดามมาด้วยรสหวานมันของนมสดร้อน

“อร่อยจังเลยครับ”  ฟุยุกิร้องออกมา  แต่แล้วสีหน้าก็กลับหมองลง  “นัตสึเมะซังนี่เก่งจังนะครับ  ขนาดแค่ลองชงกาแบบนี้เป็นครั้งแรกก็ยังทำได้สวยและอร่อยแบบนี้”

“ไม่ใช่ครั้งแรกซะทีเดียวหรอกครับ  ผมชงชาบ่อย ๆ  ส่วนภาพซากุระนี่ผมก็หัดมานานแล้ว  เพียงแต่ทำกับกาแฟเท่านั้น  แล้วก็วาดได้แค่ภาพเดียวนี่แหละครับ”

“แต่ก็ยังเก่ง...”  เด็กหนุ่มทำหน้าเศร้าจนดูเหมือนกับว่าจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนั้น

นัตสึเมะสังเกตอาการของฟุยุกิอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปตบหลังมือของเด็กหนุ่มเบา ๆ

“มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังมั้ยครับ?”

ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นก่อนจะขยับเอ่ยออกมาเบา ๆ  “...ผมกลัวนัตสึเมะซังจะเบื่อ  เลยไม่อยากเล่า...”

“เล่ามาเถอะครับ  บางทีคนเราก็ต้องการคนรับฟังนะครับ”

“มันเรื่องเดิม ๆ ครับ...เหมือนอย่างที่คุณรู้  ผมก็แค่...”

ใช่...ก็แค่เขาทำงานไม่ได้ดังใจหัวหน้าจนโดนดุ   เรื่องแบบนี้เขาเล่ามากี่ครั้งกี่หนแล้ว  ถ้าหลุดปากไปให้พ่อหรือพี่ชายได้ยินจะต้องโดนตัดบทหรือมองด้วยสายตาเย็นชาตั้งแต่ต้นแน่...แม้แต่คนในครอบครัวยังเอือมระอา  แล้วนัตสึเมะเป็นใคร...คนที่ต้องรับฟังคำบ่นของคนมากมาย  จะมีความอดทนอะไรกับเรื่องซ้ำซากของเขา  เขาไม่อยากเป็นคนน่าเบื่อมากไปกว่านี้อีกแล้ว  นี่เป็นที่พักใจแห่งเดียวของเขาในตอนนี้  ถ้าจะต้องถูกนัตสึเมะเบื่อขี้หน้าอีกคนละก็  เขาคง...

“อาริโยชิคุง  เล่ามาเถอะครับ  ไว้ถ้าผมเบื่อจนไม่อยากฟังแล้วผมจะบอกตรง ๆ”

น้ำเสียงและรอยยิ้มอ่อนโยนของนัตสึเมะ  ทำให้ฟุยุกิอุ่นวาบในหัวใจ  แต่ก็ยังคงกังวลอยู่มาก

“แต่มันก็เรื่องดิม ๆ นะครับ  คุณคง...”

“จะเป็นเรื่องเก็บแฟ้มเอกสารผิดชั้นจนคนอื่นหาไม่เจอ  หรือส่งไฟล์งานไปผิดแผนก  หรือพิมพ์เอกสารช้าจนโดนดุ...ผมให้เล่าซ้ำได้อีกเรื่องละยี่สิบครั้งเลยครับ”

“นี่จำได้หมดเลยเหรอครับ?”  แม้จะยังรู้สึกหดหู่แต่ก็อดหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดของนัตสึเมะไม่ได้

“ถ้าวันนี้เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเล่ามาก่อน  ผมจะให้โปรโมชั่นบ่นเพิ่มอีกเรื่องละสิบครั้งเป็นสามสิบครั้งเลยครับ”

คราวนี้ฟุยุกิหัวเราะคิก  “งั้นนัตสึเมะซังต้องได้ฟังผมบ่นจนเบื่อแน่ ๆ เลยครับ”

“งั้น...ความผิดพลาดครั้งใหม่คือ...?”

“ผมถ่ายเอกสารให้หัวหน้าเกินไปห้าเท่าครับ”  พูดออกมาแล้วก็สลดวูบ  “เขาให้ถ่ายสิบชุด  ผมเล่นไปห้าสิบ...”

“ทำไมมันเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะครับ?”  นัตสึเมะถามขึ้นหลังจากอึ้งไปนิดหน่อย

“คือผมกำลังจัดไฟล์งานในคอม ฯ อยู่แล้วหัวหน้าก็มาบอกให้ถ่ายเอกสารการประชุมเพิ่ม  ทีแรกบอกห้าแล้วเปลี่ยนเป็นสิบ  ผมกำลังรีบเซฟไฟล์ไม่ทันฟังก็เลยเข้าใจว่าห้าสิบชุด  พอถ่ายไปให้ก็เลยโดนเอ็ดว่างี่เง่าหรือไง  ไม่รู้หรือว่าคนในแผนกมีไม่ถึงยี่สิบคน  ถ่ายไปทำไมตั้งห้าสิบชุด...น่ะครับ”  ฟุยุกิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“กระดาษหมดรีมมั้ยครับ?”

“ไม่ครับ  ชุดนึงแค่ไม่กี่แผ่น”

“ยังดีนะครับ  กระดาษเนี่ยยังเอาไปรียูสแล้วรีไซเคิลได้  แต่กาแฟเนี่ย  เสียแล้วเสียเลยนะครับ”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองนัตสึเมะพร้อมกับความสงสัยในสีหน้า  “เกี่ยวอะไรกับกาแฟครับ?”

“ผมจะเล่าให้ฟัง  เมื่อก่อน...สมัยที่ผมเป็นเด็กฝึกงานที่นี่ใหม่ ๆ  คุณป้าเจ้าของร้านเคยให้ผมสั่งกาแฟให้  คุณป้าให้สั่งสามกิโล  ผมเล่นไปสามสิบ...”  นัตสึเมะทำเสียงเบื่อหน่ายเมื่อพูดมาถึงตรงนี้  “แล้ว...อาริโยชิคุงก็คงเห็นว่าร้านนี้มันไม่ได้มีลูกค้าเยอะขนาดจะใช้กาแฟขนาดนั้น”

ฟุยุกิพยักหน้ารับ  เขาแทบนึกภาพตอนที่ทั้งร้านมีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะและนัตสึเมะต้องหมุนไปหมุนมาอยู่ในเคาน์เตอร์แบบหัวไม่วางหางไม่เว้นไม่ออกเลย

“แถมกาแฟเนี่ย  ถ้าเก็บไว้นานมันก็ไม่หอม  ใช้ไม่ได้ด้วย  ถึงได้บอกว่ากระดาษมันรียูสได้ไงครับ”

“ละ...แล้วทำยังไงล่ะครับ?”  ฟุยุกิทำหน้าเป็นกังวลเหมือนอยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นด้วยจริง ๆ

“คุณป้าบอกให้ผมขายให้หมดให้ได้”

“หา!?  จะเป็นไปได้ยังไงครับ!?”  เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง

นัตสึเมะหัวเราะกับอาการแตกตื่นของฟุยุกิ  “จริงใจมากครับ  อาริโยชิคุง  นี่แปลว่าคุณรู้จักร้านนี้ดีทีเดียวนะครับเนี่ย”

“อ๊ะ...ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  มันเรื่องจริง  ตอนนั้นผมก็โวยวายแบบนั้นเหมือนกัน”  นัตสึเมะโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“ละ...แล้วทำยังไงล่ะครับ?”  ฟุยุกิถามประโยคเดิมซ้ำเหมือนเด็กคะยั้นคะยอให้เล่านิทานต่อ

“สุดท้ายแล้ว  ยังไงก็ไม่มีทางขายหมดแน่  คุณป้าเลยเอากาแฟพวกนั้นแหละครับมาสอนให้ผมชงกาแฟสารพัดชนิด  ซื้อหนังสือรวมสูตรกาแฟให้ผมเล่มนึง...ภาษาอังกฤษด้วยนะครับ  บังคับให้ผมอ่านแล้วทดลองทำตามไปจนหมดเล่ม  แล้วกาแฟมันยังเหลือ  แกก็ให้ผมทำซ้ำอีกรอบจนคล่องเลยละครับ  จะบอกว่าผมชงกาแฟอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะเจ้ากาแฟสามสิบกิโลนั่นแหละครับ  แล้วก็ได้เรียนรู้อีกอย่างนึงด้วย...”

“อะไรเหรอครับ?”

“อย่าสั่งกาแฟเกิน  และกาแฟที่เก็บไว้นานเกินไปรสชาติมันได้แต่กลิ่นไม่เอาไหนเลย”  นัตสึเมะทำหน้าเบ้

“ได้ดื่มด้วยเหรอครับ?”

“โดนบังคับให้ดื่มน่ะสิครับ  คุณป้าน่ะเคี่ยวยังกับอะไรดี”  ชายหนุ่มส้ายหน้าหากยังคงมีรอยยิ้ม  “ก็ไม่ได้ดื่มหมดทั้งสามสิบกิโลนั่นหรอกนะครับ  ที่เหลือถุงหลัง ๆ ก็ใช้ฝึกชงอย่างเดียว”

“ดีนะครับ  ที่ผมไม่ได้โดนหัวหน้าสั่งให้กินกระดาษด้วย...”  ฟุยุกิหัวเราะแห้งๆกับความผิดของตัวเอง  “แต่ถ้าโดนสั่งให้จัดการกับมันด้วยเครื่องย่อยกระดาษปั่นมือหมดนั่นก็คงไม่ไหวเหมือนกัน”

“อยากให้ไม่ทำผิดซ้ำมั้ยครับ?”

“อยากสิครับ!  ผมเบื่อตัวเองจะแย่อยู่แล้ว”

“ไปขอกระดาษที่ถ่ายเอกสารพลาดแล้วเอามาเย็บเล่มทำสมุดโน้ตสิครับ  จากนั้นเวลาทำอะไรผิดพลาดก็จดทุกอย่างลงไปในนั้น  มันจะคอยเตือนใจไม่ให้ผิดซ้ำบ่อย ๆ”  นัตสึเมะแนะนำ

“ได้ผลแน่นะครับ”  สมุดจดความผิดพลาดของตัวเองเนี่ย  มันน่าอายจะตายไป

“ผมยังเก็บห่อกาแฟเมื่อตอนนั้นไว้อยู่เลยครับ  แต่เก็บแค่ห่อเดียวน่ะนะ  เวลาจะสั่งกาแฟทีก็ต้องมองมันก่อนแล้วตั้งสติดี ๆ  อยู่นั่นไงครับ”  นัตสึเมะชี้ไปที่เคาน์เตอร์ตรงที่วางเครื่องคิดเงินและโทรศัพท์ไว้

ตรงนั้นมีห่อกระดาษพลอยด์เก่า ๆ ยับ ๆ แปะอยู่

ฟุยุกิหัวเราะคิก  ตอนแรกเขาคิดว่านัตสึเมะกุเรื่องขึ้นมาเพื่อปลอบใจเขาเสียอีก

“ไม่น่าเชื่อนะครับว่าอย่างนัตสึเมะซังก็เคยพลาดครั้งใหญ่กับเขาด้วย”

“ทุกวันนี้บางทีก็ยังชงกาแฟผิดออร์เดอร์อยู่เลยครับ”

“มีด้วยเหรอครับ?”

“อย่างเขาสั่งมอคค่าแล้วชงคาปูชิโนให้เขาอะไรแบบนี้ละครับ”

“แล้วทำยังไงล่ะครับ?”

“ก็ต้องดื่มเองสิครับ  วันไหนติงต๊องมากชงผิดเยอะก็เมากาแฟไปเลย  วันไหนติงต๊องพิเศษก็ต้องทิ้งละครับ  ยอมขาดทุนกันไป”  ชายหนุ่มยักไหล่ด้วยท่าทางสบาย ๆ

“นัตสึเมะซังเนี่ย  ชอบทำให้ผมรู้สึกว่าความผิดพลาดของผมเป็นเรื่องเล็กน้อยได้ทุกทีเลยนะครับ”  และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาชอบมาที่นี่

“คนเรามีสองแบบครับ  คือรู้สึกว่าความผิดพลาดของตัวเล็กน้อยเสมอกับยิ่งใหญ่เสมอ  คนแบบหลังอย่างอาริโยชิคุงเนี่ยต้องมีตัวอย่างของคนอื่นให้เห็นแล้วจะสบายใจขึ้นครับ  ก็พอดีว่าผมมีตัวอย่างให้เสมอเสียด้วย”

“แบบนี้ผมคงมีตัวอย่างไม่ดี ๆ ให้คนอื่นได้เห็นเยอะเลยนะครับ”  ฟุยุกิยกชาขึ้นจิบแล้วระบายลมหายใจยาวด้วยท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น  “ที่จริง...ผมก็ทำงานพลาดน้อยลงนะครับ  แต่ก็ยังช้าเสียจนคนอื่นเขาเอือมระอากัน  ก็ไม่มีใครว่าอะไรผมตรง ๆ หรอกนะครับ  แต่บางทีคำเหน็บแนมมันก็ลอยมาเข้าหู  ว่างุ่มง่ามบ้างละ  เหมือนคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าบ้างละ...ผมอยากจะเถียงด้วยซ้ำว่าผมเป็นแค่ระบบแมนนวล  ฮะ ๆ”

นัตสึเมะพลอยหัวเราะตามฟุยุกิไปด้วย

“หัวหน้าเขาก็ไม่ค่อยดุผมแล้วนะครับ  ยกเว้นวันนี้  แต่เขาชอบบอกว่าผมทำงานละเอียดเกินไปจนตัวเองสับสนเอง  ที่ช้าอยู่แล้วก็เลยยิ่งช้าเข้าไปใหญ่  วันนี้เขาก็บอกนะครับว่าเขาไม่หวังให้ผมเร็วกว่านี้มากนักหรอก  ขอแค่ไม่ผิดพลาดเลยก็พอ...แต่ผมว่าแบบนั้นน่าจะยากที่สุดนะครับ”  ฟุยุกิยิ้มเศร้า ๆ กับตัวเองนิดหนึ่ง  “ถ้าโลกหมุนช้าลงสักครึ่งนึงก็ดีสิครรับ  คนช้า ๆ อย่างผมจะได้ทำงานตามจังหวะของตัวเองได้โดยไม่พลาดอีก”

“ต่อให้โลกหมุนช้า  ถ้าคนมันจะพลาดมันก็พลาดละครับ  แต่อาริโยชิคุงคงจะทำงานได้สบายใจขึ้นสินะครับ”

“ครับ  ผมพยายามไล่ตามทุกคนจนเหนื่อย  ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตมันต้องเร่งรีบและรวดเร็วขนาดนี้  มันเหนื่อยจนกระทั่งหัวถึงหมอนก็หลับได้ทันที  แต่ก็เหมือนยังนอนไม่พอ  ผมยังอยากจะพักให้นานกว่านั้นอีก  อยากให้ใจมันได้หยุดนิ่ง ๆ บ้าง...ปกติ...หลังเลิกงานก็ยังมีไวโอลินของคิริฮาระซังให้ฟัง  แต่นี่ก็นานแล้วที่...”

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 04 (รีโพสต์) 24-01-58
«ตอบ #15 เมื่อ24-01-2015 22:23:51 »

ดวงหน้าที่กลับไปเศร้าหมองอีกทำให้นัตสึเมะรู้ทันที  เด็กคนนี้หลงใหลคิริฮาระมาก  อาจจะเริ่มจากบทเพลงหวาน ๆ บางเพลงที่เคยได้ฟัง  แล้วจึงมาสนใจในตัวตนของเจ้าหนุ่มผมแดงนั่น  นัตสึเมะไม่เคยฟังคิริฮาระเล่นไวโอลินข้างถนน  แต่เขารู้จักคิริฮาระดีพอที่จะเข้าใจเสน่ห์ของเสียงไวโอลินนั้น  แค่ฟังเสียงโดยไม่ต้องเห็นหน้าก็ทำให้คนหลงรักได้แล้ว

...แต่ถ้าเจอตัวจริงเข้าก็อาจจะเลิกรักไปเลยก็ได้...นัตสึเมะแอบคิด

แต่แน่นอน...คนที่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งรักคิริฮาระมีเยอะแยะไป...นั่งอยู่ตรงหน้าเขาหนึ่งคนนี่ไง  ฟุยุกิที่ใช้คอนเสิร์ตข้างถนนของคิริฮาระเป็นทั้งที่พักใจและกำลังใจคงจะทุกข์ทรมานไม่น้อยที่อยู่ ๆ ที่พักใจนั้นก็หายไป

ถึงจะอยากให้กำลังใจ  เขาก็คงทำได้ไม่ดีเท่าคิริฮาระหรอก...แต่เขารู้แล้วว่าควรจะทำยังไง

นัตสึเมะลุกจากเก้าอี้

“อาริโยชิคุงครับ  ผมมีอะไรจะให้คุณ  รอแป๊บนะครับ”

...

“พี่  ปกติไปดูคอนเสิร์ตนี่เขาแต่งตัวกันแบบไหนเหรอ?”

“หา!?”

มิโนรุถึงกับเหวอเมื่ออยู่ไม่อยู่เจ้าน้องชายที่วัน ๆ แทบจะไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อนก็โผล่งขึ้นมาตอนนั่งกินข้าวเย็นอยู่ด้วยกัน  วันนี้ไม่มีงานเร่งด่วนอะไรเขาเลยได้กลับบ้านเร็ว

“คอนเสิร์ตอะไร?”  ชายหนุ่มถามกลับไปเมื่อฝ่ายเริ่มต้นไม่อธิบายอะไรต่อ  และมิโนรุเองก็นึกไม่ออกเสียด้วยว่าคนอย่างฟุยุกิจะไปดูคอนเสิร์ตประเภทไหน...คงไม่ใช่วงร็อคแบบที่โยกหัวกันกระจายหรอกนะ

“คอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงของวง...วงออร์เคสตร้าที่เล่นเป็นประจำทุกปีน่ะ  มีคนชวนไปดู”  ฟุยุกิขยายความเมื่อเห็นพี่ชายทำหน้าสงสัยเต็มที

“อ้อ...วงของคอนดักเตอร์คิริฮาระ  โยอิจิน่ะเหรอ?”

“พี่รู้จักด้วยเหรอ?”  ฟุยุกิทำหน้าอัศจรรย์ใจ

“คุณพ่อชอบ  ไม่รู้เหรอ?”  มิโนรุตอบอย่างธรรมดาที่สุด

เด็กหนุ่มหรุบตาลงแล้วส่ายหน้า  เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับรสนิยมของพ่อเลย  พ่อที่เขารู้จักคือผู้ชายเข้มงวดที่สนใจอยู่เพียงสองอย่าง  คือ  เรื่องงานกับเรื่องผลการเรียนของเขาเท่านั้น  แต่พ่อก็ไม่เคยดุด่าเขามากมายนัก  คนที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชเขาอยู่ตลอดเวลาเหมือนทำหน้าที่แทนพ่อคือเคียวยะ  พี่ชายคนโต  พ่อมักจะนั่งฟังรายงานผลการเรียนของเขาเงียบ ๆ และบางครั้งก็ไม่พูดอะไรเลย  แต่ฟุยุกิเกลียดความนิ่งเงียบของพ่อ  สู้ต่อว่าเขาเหมือนที่เคียวยะกับมิโนรุทำเสียยังดีกว่า

ฟุยุกิจึงมักจะหลบหน้าพ่อเสมอ  นอกจากเวลาอาหารี่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไปเงียบๆ  ทำตัวไร้ตัวตน  ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพ่อจะไม่ค่อยสนใจเขาเช่นกัน

“ใส่สูทชุดที่ตัดไว้ใส่ออกงานสิ”  เสียงของมิโนรุดึงฟุยุกิออกจากภวังค์

“เอ๊ะ...ได้เหรอ?”

“ได้สิ  แต่งตัวดีไว้ก่อนย่อมได้เปรียบ  นายคงไม่คิดจะใส่ชุดทำงานไปใช่มั้ย?”  มิโนรุหรี่ตาลงอย่างจับผิด

“เปล่า...”  ฟุยุกิตอบเสียงอ่อย ๆ  ถ้ารู้ว่าจะใส่อะไรไปจะมาถามทำไม  “แต่ชุดอยู่ที่บ้านพ่อ...”

“ก็ขึ้นรถไฟไปสิ  อย่าบอกนะว่ากลับบ้านตัวเองไม่ถูก”

“เปล่า...”  เด็กหนุ่มไม่อยากบอกหรอกว่าเขาไม่อยากไปเจอหน้าพ่อตามลำพัง


แต่สุดท้ายแล้ว  ฟุยุกิก็เลือกเย็นวันหนึ่งเดินทางไปบ้านพ่อ  เขาตั้งใจว่าจะแค่แวะมาเอาสูทแล้วรีบกลับ  แต่ก็ถูกคุณแม่บ้านคะยั้นคะยอให้ค้างสักคืน  และเด็กหนุ่มก็อดตามใจไม่ได้

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น  ผู้เป็นพ่อมีสีหน้าประหลาดใจนิดหน่อยเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กอยู่ที่บ้าน  แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  บทสนทนาในโต๊ะอาหารไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องในชีวิตประจำวันเล็กน้อย  แล้วต่างก็เงียบกันไปจนกระทั่งกินเสร็จเรียบร้อย  และไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนเข้านอน


วันรุ่งขึ้น  ฟุยุกิตื่นเช้ากว่าปกติเพราะต้องขึ้นรถไฟกลับไปเก็บชุดสูทที่แมนชั่นของมิโนรุก่อนไปทำงาน  เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นขณะที่เขากำลังแต่งตตัว  เมื่อเปิดออกไปก็พบคุณแม่บ้าน

“มีอะไรเหรอครับ?”

“คุณผู้ชายบอกให้คุณหนูไปทานมื้อเช้าด้วยกันแน่ะค่ะ”  เธอบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  แก้มเป็นสีชมพูจนดูอ่อนกว่าวัยมาก

“แต่...เดี๋ยวผมไปไม่ทันรถไฟนะครับ”

“คุณผู้ชายบอกว่าจะไปส่งที่แมนชั่นแน่ะค่ะ”

ฟุยุกิทำหน้าปั้นยาก  ตอนนี้เคียวยะกับพี่สะใภ้ไปเที่ยวต่างประเทศ  ที่บ้านนี้จึงไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับพ่อเท่านั้น  แค่มื้อเย็นเมื่อวานก็อึดอัดพอแล้ว  นี่ยังต้องใช้เวลาร่วมกันในตอนเช้าอีกหรือ...แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก  ฟุยุกิจึงไปที่ห้องอาหารอย่างไม่เต็มใจนัก

มื้อเช้าแบบญี่ปุ่นคือเมนูหลักของบ้านอาริโยชิ  ซึ่งฟุยุกิก็คุ้นเคยมาตลอดจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยและย้ายไปอยู่กับมิโนรุ

“เห็นกลับมาเอาสูท  จะไปงานไหนรึ?”  ผู้เป็นพ่อทำลายความเงียบขึ้น

“ไปดูคอนเสิร์ตครับ”  ฟุยุกิตอบด้วยเสียงแผ่ว ๆ

พ่อขมวดคิ้วนิดหน่อย  “คอนเสิร์ตอะไรถึงต้องใส่สูทไปดู?”

“คอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงน่ะครับ...ที่เป็นออร์เคสตร้า...”

“ของคอนดักเตอร์คิริฮาระน่ะเหรอ?”  พ่อทำเสียงประหลาดใจ

“...ครับ”

“อืม...”  พ่อพยักหน้าแล้วตักข้าวใส่ปาก  ครู่หนึ่งจึงได้พูดต่อ  “วงนั้นเขาดีนะ  พ่อไปดูทุกปี  ไม่ยักรู้ว่าแกชอบ”

“ก็...มีคนชวนไปน่ะครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม  เขาก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะชอบหรือเปล่า  เขารู้แค่ว่าอยากไปดูคิริฮาระแสดงบนเวทีใหญ่เท่านั้น

“งั้นเรอะ...วงนี้มีแต่สมาชิกผู้ใหญ่เสียเยอะ  แต่ก็มืออาชีพทั้งนั้น  เล่นได้วิเศษเชียวละ”  พ่อพูดเรื่อย ๆ เหมือนจะเล่าให้ฟุยุกิฟัง  “แต่ก็มีสมาชิกรุ่น ๆ อยู่บ้าง...มีคนนึง  เป็นลูกชายคอนดักเตอร์  เล่นไวโอลินได้เยี่ยม  แต่ขัดหูขัดตาน่าดู”

ฟุยุกิรู้ทันทีว่าพ่อหมายถึงใคร  แต่ก็อยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นขัดหูขัดตาพ่อตรงไหน

“ย้อมผมแดงทั้งหัว...ทำผมแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว  จนป่านนี้...เล่นมาแป็นสิบปีแล้วก็ยังทำผมแดงอยู่ได้  ชอบทำตัวเด่นเกินเหตุ  เวลาเดี่ยวไวโอลินก็วางท่าจริตมารยาเหลือเกิน  ถ้าไปเจอที่อื่นคงคิดว่าเป็นไอ้ตัวมากกว่าจะเป็นนักดนตรี  แต่ฝีมือไวโอลินเขาก็สุดยอดจริง ๆ นั่นแหละ  แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว...แต่ต้องหลับตาฟัง”

แม้ประโยคจบจะเต็มไปด้วยความชื่นชม  แต่คำวิจารณ์เผ็ดร้อนก็ทำให้ฟุยุกิรู้สึกแปล๊บขึ้นมาในใจ  เขารู้ดีว่าคนอย่างคิริฮาระน่ะไม่ว่าคนรุ่นพ่อเขาคนไหนก็ต้องไม่ชอบขี้หน้าทั้งนั้นแหละ  แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องวิจารณ์รุนแรงขนาดเหมาเป็นพวกขายบริการเลยนี่นา  คิริฮาระที่เขารู้จักน่ะ  เป็นสุดยอดนักไวโอลินี่เอาใจใส่คนฟังเป็นอย่างยิ่ง  พ่อไม่รู้หรอกว่าผู้ชายผมแดงคนนั้นได้เยียวยาเขาไว้มากแค่ไหน

ความขัดเคืองใจทำให้ฟุยุกิไม่ยอมพูดอะไรกับพ่ออีก  แม้กระทั่งพ่อขับรถมาส่งจนถึงหน้าแมนชั่นก็ตาม

อารมณ์หงุดหงิดกัดกินหัวใจของเด็กหนุ่มไปตลอดวันอย่างน่าประหลาด  ทั้งที่เขาเป็นคนใจเย็นและไม่ค่อยโกรธอะไรนาน ๆ แท้ ๆ  แต่แค่คำพูดไม่กี่คำของพ่อกลับเป็นเหมือนเสี้ยนปักคาหัวใจให้รำคาญตลอดเวลา  และเมื่อมันยังไม่ยอมจางหายไปจนเลิกงาน  ฟุยุกิก็คิดหาใครสักคนที่เขาจะเล่าให้ฟังได้

สองเท้าพาเขาไปยังร้านกาแฟของนัตสึเมะ


“ฮะ ๆ  อย่าคิดมากไปเลยครับ  มันเรื่องปกติน่ะ”  นัตสึเมะบอกเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดจบลง

ฟุยุกิรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นนัตสึเมะหัวเราะ  แม้เขาพยายามเล่าด้วยคำพูดที่เบาลงกว่าคำของพ่อมากแล้ว  มันก็ยังดูไม่ดีอยู่ดีนั่นแหละ  แต่นัตสึเมะกลับหัวเราะ...ทำไมกันนะ...

“ไม่โกรธเหรอครับ?”

“ไม่มีอะไรต้องโกรธนี่ครับ  คิริฮาระเองก็เป็นอย่างที่คุณพ่อคุณว่าจริง ๆ นั่นแหละ”  นัตสึเมะตอบยิ้ม ๆ

“แต่ก็ไม่น่าจะว่าเป็นพวกขายบริการนี่ครับ”  น้ำเสียงของเด็กหนุ่มขุ่นเคือง

“อืม...จะเรียกว่าขายบริการก็...ลักษณะของคิริฮาระน่ะ  บางีก็ดูเป็นโฮสต์ได้นี่ครับ  แล้วผมเองก็คิดว่าโฮสต์กับศิลปินมีจุดร่วมที่เหมือนกันอยู่จุดหนึ่ง  คือการเอนเตอร์เทนลูกค้า  คุณคงไม่เถียงใช่มั้ยครับว่าคิริฮาระเอนเตอร์เทนคนดูได้ไม่เลวจริง ๆ”  นัตสึเมะแสดงความเห็นทั้งยังยิ้มเรื่อย ๆ อยู่อย่างนั้น

“...ทำไมนัตสึเมะซังพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดานักล่ะครับ”  ฟุยุกิทำหน้าม่อย  แม้จะยอมรับในสิ่งที่นัตสึเมะพูดมา  แต่ก็อดขัดใจที่นัตสึเมะไม่พยายามปกป้องเพื่อนตัวเองเลยไม่ได้

“ผมรู้จักคิริฮาระมานานเกินไปมั้งครับ  หมอนั่นเคยถูกวิจารณ์มากกว่านี้มาตั้งเยอะ  แค่ที่คุณพ่อคุณพูดมานี่ไม่สะเทือนคิริฮาระหรอกครับ”  นัตสึเมะไม่กล้าบอกหรอกว่า  พ่อของฟุยุกิวิจารณ์ได้แม่นยังกับตาเห็น

การเป็นนายแบบของลูนาติก  ลัสท์ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการขายบริการ  เพียงแต่มีระดับและปลอดภัยกับตัวเองมากกว่าก็เท่านั้น  คิริฮาระที่ในตอนนี้อายุ  30  แล้วรามือจากวงการนายแบบมาพักใหญ่และได้รับคลับที่ดูแลอยู่เป็นของขวัญและเป็นที่ทำมาหากินจากท่านประธานโอโนเสะ  ต่างจากนายแบบนางแบบคนอื่น ๆ ที่มักจะมีลูกค้าเงินหนักรับไปเลี้ยงดู  แต่แม้จะรามือจากวงการแล้ว  ก็ยังมีลูกค้าเก่าเรียกใช้บริการอยู่อย่างสม่ำเสมอ

แต่เรื่องนี้...ยังคงเป็นความลับสำหรับคนนอกเสมอ

“อย่างคิริฮาระน่ะ  ต่อให้ใครมาพูดใส่หน้าว่าขายบริการ  ก็ไม่ใส่ใจหรอกครับ  เขาเป็นคนมีความภาคภูมิใจในตัวเองขนาดนั้นแหละ”

ฟุยุกิดูโล่งใจขึ้นนิดหน่อย  “นั่นสินะครับ...ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”

“ร้อนใจแทนเจ้าตัวไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ  มาดื่มอะไรอร่อย ๆ ดีกว่า  วันนี้นำเสนอชาอินเดียครับ”  นัตสึเมะทำท่าเหมือนงานเปิดโปรโมชั่นอะไรใหญ่โต  “ใส่เครื่องเทศนิดหน่อย  ตอนอากาศเริ่มเย็นแบบนี้จะดีกับร่างกายนะครับ”

“เอาของกินมาหลอกล่อผมอยู่เรื่อยเลย”  ฟุยุกิยิ้มนิด ๆ

ก็น่าแปลก  ทั้งที่หงุดหงิดใจมาตลอดทั้งวันแต่ด้วยคำพูดของนัตสึเมะเพียงไม่กี่คำกลับทำให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาได้  คงเพราะเป็นนัตสึเมะที่เข้าใจคิริฮาระเป็นอย่างดีเป็นคนพูดละมั้ง  ถึงได้รู้สึกมั่นใจ

...อีกไม่นานก็จะได้เจอกันแล้ว  กับผู้ชายผมแดงคนนั้น...

...

มืดแล้ว  นัตสึเมะเก็บร้านเรียบร้อยแล้วก็หามื้อเย็นเบา ๆ จากของที่เหลือในตู้เย็น  แน่นอนว่าไม่ลืมชงกาแฟไอริชสูตรพิเศษให้ตัวเองด้วย  และในตอนที่กำลังนั่งเล็มสลัดผักที่เหลือจากการทำแซนด์วิช  เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

นัตสึเมะลุกขึ้นไปเปิดโดยถามพอเป็นพิธี  “ใครครับ?”

“ฉันเอง  หิวกาแฟแล้ว  เปิดหน่อยเร้ว”

เสียงอ้อนแต่ติดจะเอาแต่ใจนั้นทำให้นัตสึเมะหัวเราะ

“ตกลงจะอ้อนหรือจะข่มขู่  คิริฮาระ”  เขาถามพลางเปิดประตูให้

“ถ้าอ้อนไม่ได้ผลจะขู่”  แขกยามวิกาลเข้าบ้านมา

“แล้วมาร้องหากาแฟอะไรป่านนี้  ฉันปิดร้านแล้ว”

“ก็พ่อเพิ่งปล่อยตัวมา  และฉันรู้ว่าถ้ามาจะต้องได้ดื่ม”  คิริฮาระยิ้มแต้อย่างประจบประแจง

“วันเช็คยอดอีกแล้วเหรอ?  ว่าแต่...หิ้วไวโอลินมาด้วยทำไม?”  นัตสึเมะถามพลางเปิดเครื่องบดเมล็ดกาแฟ

“ก็แวะมาเล่นเพลงใหม่ให้นายฟังก่อน  แลกกับกาแฟไง”

“หึ...แบบนี้  พอถึงวันงานฉันก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ”  ชายหนุ่มลงมือชงกาแฟอย่างคล่องแคล่ว  “ปีนี้ก็ได้เดี่ยวไวโอลินอีกแล้วเหรอ?”

“อื้ม  พอดีแต่งเพลงนี้มาแล้วพ่อชอบ  เลยยอมให้เดี่ยว...จะว่าไป  นึกถึงครั้งแรกที่ได้เดี่ยวจังน้า”

นัตสึเมะเองก็ยังจำได้ถึงครั้งแรกที่คิริฮาระมีโอกาสเดี่ยวไวโอลินบนเวทีฉลองฤดูใบไม้ผลิ  เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นเพราะวิชาเรียน  แต่ถูกเรียบเรียงขัดเกลาจนเข้าตาผู้เป็นพ่อ  กลายเป็นบทเพลงอ่อนหวานชวนให้หลงใหล...แน่ละ  จะไม่อ่อนหวานได้อย่างไร  ในเมื่อตอนนั้นคิริฮาระกำลังตกอยู่ในห้วงรักเป็นครั้งแรกของชีวิต

“เอาละ  งั้นดื่มซะ  แล้วขอฟังหน่อยนะ”  นัตสึเมะวางถ้วยกาแฟเล็ก ๆ ลงตรงหน้าคิริฮาระ

“ฮื้อ...หอมชื่นใจ”  คิริฮาระสูดกลิ่นหอมของกาแฟแล้วยกขึ้นจิบ  เพียงไม่กี่อึก  กาแฟถ้วยเล็กทั้งหมดก็ล่วงลงไปส่งกลิ่นฟุ้งอยู่ในลำคอ  “ฮ้า...นี่ถ้าพ่อไม่ปล่อยให้มาดื่มกาแฟของนายละก็  ฉันต้องขาดใจตายแน่เลย”

“ไม่ต้องยอเลย  กินอะไรมาหรือยัง  เอาสลัดมั้ย?”

“ไม่ต้องหรอก  ปกติฉันก็ไม่ค่อยกินมื้อเย็นอยู่แล้ว”  คิริฮาระบอกปฏิเสธพลางเปิดกระเป๋าใส่ไวโอลิน

“แต่คืนนี้ต้องเช็คยอดที่ร้านไม่ใช่เหรอ  เดี๋ยวดึก ๆ จะหิวนะ”

“ไม่เป็นไร ๆ  ไว้หิวก็ค่อยไปหาอะไรกินเอาได้  นายไม่ต้องห่วงหรอก”  พูดแล้วก็เดินออกจากโต๊ะกินข้าว ยกไวโอลินขึ้นจรดท่า  “ทีนี้ก็ตั้งใจฟังนะ”

“ฉันตั้งใจเสมออยู่แล้ว”  นัตสึเมะตอบยิ้ม ๆ แล้วนั่งลงที่โต๊ะ

เสียงดนตรีหวีดหวานลอยล่องออกมาจากคันซอและสายลวด  เป็นท่วงทำนองที่อ่อนพริ้วเลื่อนลอยให้ความรู้สึกเงียบเหงาอยู่ในที

คิริฮาระคงเขียนขึ้นมาจากอิมเมจของฤดูใบไม้ร่วง  ในตอนที่ใบไม้ที่เปลี่ยนสีหล่นพริ้วลงจากกิ่งก้าน...นัตสึเมะคิด

หากในหัวของชายหนุ่มกลับมีอีกภาพหนึ่งซ้อนขึ้นมา...ภาพของเด็กหนุ่มผมดำผู้มีดวงตาเหงา ๆ  ยืนอยู่ท่ามกลางม่านใบไม้ที่ทิ้งตัวลงคลุมพื้นดินอย่างไม่ขาดสาย...ทำไม...ถึงคิดถึงเด็กคนนั้นได้นะ...

ตัวโน้ตสุดท้ายแผ่วหายไปในอากาศ  นัตสึเมะตบมือให้

“เพราะนี่  ได้บรรยากาศสุด ๆ เลย”

“ขอบใจ”  คิริฮาระยิ้มแล้วเก็บไวโอลิน

“แต่นายนี่...มาช้าเกินไปทุกทีเลยนะ”

“เอ๊ะ  ทำไมเหรอ?”

“วันนี้อาริโยชิคุงมาอีกแล้วน่ะสิ  แต่ไม่เคยได้เจอนายเลย  คลาดกันตลอด”  นัตสึเมะบอก

“อา...เด็กคนนั้นน่ะเหรอ”  คิริฮาระพยักหน้าน้อย ๆ  “บอกเขาสิว่าอีกไม่นานหรอก  จบคอนเสิร์ตแล้วฉันจะรีบไปเล่นที่ข้างถนนทันทีแหละ  เดี๋ยวก็ได้เจอแล้ว”

“ฉันก็บอกไปอย่างนั้นแหละ”

“ขอบใจ...แล้ว...หาคนไปดูคอนเสิร์ตด้วยได้หรือยัง?”  คิริฮาระหรี่ตาพลางยิ้มเจ้าเล่ห์

“หึ...ความลับ  ไว้รอดูเอาวันงานแล้วกัน”  นัตสึเมะแกล้งอมพะนำ

“เออ  จะรอดู  ถ้าไม่มีใครไปด้วยละน่าดู”  นักดนตรีหนุ่มว่าแล้วก็หัวเราะ  “เอาละ  ฉันต้องไปแล้ว  ขอบคุณสำหรับกาแฟนะ”

“อื้ม  ขอบคุณที่มาเล่นไวโอลินให้ฟังเหมือนกัน  เพราะมากเลย...แต่ยังสู้  Shyly Café Latte  ไม่ได้”  นัตสึเมะกระเซ้า

“เฮ้ย  นั่นมันเพลงพิเศษ  มาสเตอร์พีซเฟ้ย”

ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน  ก่อนที่คิริฮาระจะรีบออกจากบ้านของนัตสึเมะแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านของตัวเอง

นัตสึเมะกลับมากินสลัดของตัวเองแล้วจิบกาแฟ  คิริฮาระจะต้องใช้อิมเมจของฤดูใบไม้ร่วงแต่งเพลงเป็นแน่...แต่ทำไมนะ...ทำไมภาพในหัวของเขาถึงได้เป็นภาพของเด็กขี้เหงาคนนั้นไปได้...ท่วงทำนองของบทเพลงช่างน่าอัศจรรย์  ว่ากันว่ามันทำให้ภาพในหัวของแต่ละคนออกมาต่างกันโดยสิ้นเชิง  ขึ้นอยู่กับความรู้สึกและประสบการณ์ของคนคนนั้น

ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง...ดูท่า  เขาจะติดใจเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าแล้วจริง ๆ สินะ...

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: Lock on You 04 (รีโพสต์) 24-01-58
«ตอบ #16 เมื่อ25-01-2015 19:20:25 »

รออ่านค่ะ. :heaven

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 05 (รีโพสต์) 6-03-58
«ตอบ #17 เมื่อ06-03-2015 20:24:13 »

รีโพสต์ครั้งสุดท้ายแล้วครับ ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องที่ดำเนินต่อแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่ยังตามอ่านนะครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 05

ฤดูใบไม้ร่วงเข้ามาเยือนเมืองหลวงแห่งแสงสีอย่างเต็มตัว  ใบไม้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแดงแต่งแต้มป่าคอนกรีตให้เป็นสีสันละลานตา  ส่วนที่ล่วงหน้าไปก่อนก็เริ่มทิ้งก้านร่วงหล่นลงบนพื้น

ฟุยุกิแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด  เดินไปตามเส้นทางที่ใช้เป็นประจำหลังเลิกงาน  ในวันหยุดแบบนี้สองข้างทางดูแปลกตากว่าปกติ  บรรยากาศสงบเงียบกว่าเคย  หากเด็กหนุ่มใจเต้นอย่างประหลาด

เขาปฏิเสธที่จะไปงานคอนเสิร์ตกับพ่อเพราะนัดกับนัตสึเมะเอาไว้แล้ว  วันนี้นัตสึเมะจะปิดร้านหนึ่งวัน  ซึ่งก็ทำแบบนี้ทุกครั้งที่คิริฮาระมีคอนเสิร์ต  นัตสึเมะชวนเขามาที่ร้านเผื่อหาอะไรรองท้องก่อนไปที่งานด้วยกัน

ประตูหน้าร้านมีป้าย  “ปิด”  แขวนอยู่  ฟุยุกิเดินอ้อมไปทางด้านหลังตามที่นัตสึเมะบอกไว้  ประตูด้านหลังก็ปิดอยู่เช่นกัน  เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเคาะประตูอย่างไม่แน่ใจ  พลันก็มีเสียงตอบกลับมาจากอีกฟาก

“ครับ  ใครครับ?”
“เอ้อ...ผมเองครับ”  ฟุยุกิตอบกลับไปด้วยความประหม่า
ประตูเปิดออกทันที  พร้อมกับนัตสึเมะที่มีรอยยิ้มกว้าง
“เชิญครับ  อาริโยชิคุง”
“ระ...รบกวนด้วยครับ”

ฟุยุกิก้าวเข้าไปข้างในอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าประตูด้านหลังนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับร้านกาแฟแต่เป็นบ้านของนัตสึเมะเลยทีเดียว  เด็กหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำ  ด้วยความที่เป็นคนไม่มีเพื่อนเขาจึงไม่เคยไปบ้านคนอื่นนอกจากบ้านญาติซึ่งก็แทบจะนับครั้งได้  แล้วอยู่ ๆ ก็ได้มาเข้าบ้านคนอื่นแบบนี้...ก็ถึงกับเกร็ง

นัตสึเมะเองก็สังเกตเห็นความประหม่านั้น  จึงรีบชวนคุยให้ผ่อนคลาย
“ถอดสูทออกก่อนมั้ยครับ  จะได้ไม่ยับ”
“อ๊ะ!...ครับ”  ฟุยุกิรีบถอดสูทให้  และนัตสึเมะก็รับไปแขวนไว้ให้อย่างดี
“นั่งก่อนครับ  ตรงโต๊ะกินข้าวนั่นแหละ  ผมเตรียมชาไว้ให้แล้ว”  ผู้เป็นเจ้าของบ้านผายมือไปทางโต๊ะกลางห้องก่อนจะเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ครัว

ฟุยุกินั่งลงด้วยอาการเก้ ๆ กัง ๆ  กลิ่นอายในบ้านของนัตสึเมะแทบจะไม่ต่างกับที่ร้านจึงทำให้ประหม่าน้อยลง  เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว  ส่วนที่พักชั้นล่างของนัตสึเมะไม่ใหญ่โตอะไรนัก  มีเพียงเคาน์เตอร์ครัวกับโต๊ะกินข้าว  ที่ข้างเคาน์เตอร์มีประตูบานหนึ่งซึ่งฟุยุกิคะแนด้วยสายตาว่าน่าจะเปิดไปสู่ข้างเคาน์เตอร์ของร้านกาแฟ  ด้านในสุดของห้องมีบันไดขึ้นชั้นบน  ข้างใต้บันไดคือห้องน้ำ  ผนังด้านตรงข้ามกับครัวเจาะเป็นบานหน้าต่าง  มีเครื่องซักผ้าเล็ก ๆ กับชั้นวางของตั้งอยู่...เรียบง่ายและเป็นระเบียบจนน่าตกใจ

ถ้วยใส่ชาสีเข้มลอยหน้าด้วยวิปครีมโรงอัลมอนด์คั่วบนถูกวางลงตรงหน้าฟุยุกิพร้อมด้วยจานคุกกี้
“ดื่มชาให้อุ่น ๆ ก่อนครับ”
“อ๊ะ  ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มรับถ้วยมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองนัตสึเมะ  ก่อนจะขมวดคิ้ว
“มีอะไรเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามพลางนั่งลงตรงข้ามพร้อมกับกาแฟของตน
“เปล่าครับ...แค่...รู้สึกว่าวันนี้นัตสึเมะซังดูแปลกตา”
“เพราะไม่มีผ้ากันเปื้อนมั้งครับ”  ชายหนุ่มพูดแล้วก็หัวเราะ

ก็เป็นไปได้...ฟุยุกิคิด  แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนัตสึเมะในชุดไปรเวท  ผมยาวเลยบ่าที่มักจะมัดรวบไว้ตอนนี้ปล่อยตามสบาย  เชิ้ตขาวกับผ้ากันเปื้อนที่เห็นจนชินตาถูกถอดเก็บและแทนที่ด้วยเสื้อคอเต่าสีดำแขนยาวกับกางเกงยีนส์ขาม้าทรงสวย...ดูราวกับไม่ใช่ผู้ชายที่เขามาคุยด้วยแทบทุกวันเลย

และเพราะอะไรไม่รู้...ฟุยุกิถึงรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งหน้าจนต้องรีบหลบตา

“แปลกขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้าแดง
“ก็...ไม่คุ้นน่ะครับ”  คำตอบอ้อมแอ้ม  รู้สึกเหมือนคุยกับคนแปลกหน้า
“เดี๋ยวก็คุ้นครับ...เอาละ  ดื่มชาทานขนมรองท้องก่อน  ยังมีเวลาเหลือเฟือน่ะครับ”

ชาหอมกรุ่นและมีรสหวานมันของอัลมอนด์คั่วกับวิปครีมทำให้ฟุยุกิผ่อนคลายลง  แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน  แต่รสมือของนัตสึเมะยังเหมือนเดิม...ยังอบอุ่น  นุ่มนวล  และอร่อยเหมือนเดิม

“ชอบมั้ยครับ?”
“อร่อยมากเลยครับ  หอม ๆ มัน ๆ ดีจังเลย”  ออกปากชมแล้วก็จิบอีกอึกหนึ่ง
“ชอบก็ดีครับ  ฟังแล้วชื่นใจ”  ชายหนุ่มหัวเราะเรื่อย ๆ ตามนิสัย
“...แล้ว...นัตสึเมะซังจะไปทั้งชุดนี้เหรอครับ?”  ฟุยุกิมองเสื้อผ้าของนัตสึเมะแล้วทำหน้าปั้นยาก  ดูท่าเขาจะแต่งตัวมาโอเวอร์เกินไปเสียแล้ว
“ไม่หรอกครับ  ผมไม่ใช่สตีฟ  จ็อบส์นี่  เดี๋ยวไปแต่งเพิ่มไม่ให้อายอาริโยชิคุงแน่ครับ”
ฟุยุกิหัวเราะกับคำตอบนั้น  “งั้นจะรอดูนะครับ”

และผลลัพธ์ของการรอคอยก็ทำให้ฟุยุกิใจเต้นยิ่งกว่าเก่า  เมื่อนัตสึเมะที่ขอตัวหายขึ้นข้างบนไปกลับลงมาในเสื้อสูทกำมะหยี่สีแดงหม่นที่ตัดเย็บอย่างประณีตและสร้อยทองคำขาวห้อยจี้คริสตัลอันเขื่องเป็นประกายเด่นอยู่บนตัวเสื้อสีดำ  ผมที่ปล่อยยาวถูกรวบเรียบร้อยไว้ด้านหลัง  ผูกริบบิ้นสีเดียวกับสูท

ไม่เหลือคราบมาสเตอร์ร้านกาแฟที่เห็นจนเจนตาเลย

“เป็นยังไงครับ  พอจะสูสีกับคุณหรือยัง?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ  แววตาเป็นประกาย
“สูสีอะไรกันครับ!?”  ฟุยุกิร้อง  “นัตสึเมะซังดูดีมากเลยนะครับ  อย่างกับนายแบบแน่ะ”
“ชมเกินไปแล้วครับ”  ชายหนุ่มหัวเราะ
“ว่าแต่...ริบบิ้นนั่น...”  เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม  “...มันไม่น่ารักไปหน่อยเหรอครับ”
“อ๋อ...อันนี้คำท้าครับ  คิริฮาระซื้อมาให้แล้วท้าให้ผมผูกไปงาน...ไม่รู้จักท่านนัตสึเมะเสียแล้ว”

ฟุยุกิหัวเราะคิก  เขารู้ว่านัตสึเมะกับคิริฮาระมีมุมเด็ก ๆ ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ  แต่ก็ไม่คิดว่าจะท้าทายกันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้  แถมฝ่ายรับคำท้าก็ดันเอาจริงเอาจังเสียด้วย

“แล้วเดิมพันกันด้วยอะไรครับ?”
“ก็อะไรบ้า ๆ บอ ๆ นิดหน่อยครับ...แต่ถ้าริบบิ้นเป็นสีชมพูนี่ผมก็ต้องยอมเสียพนันละ”  นัตสึเมะส่ายหน้า  แค่นึกภาพก็ไม่ไหวเสียแล้ว  “เอาละครับ  ไปกันเถอะ”
ฟุยุกิรับสูทจากชายหนุ่มมาสวม  แล้วก็ต้องใจเต้นอีกครั้งเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาบรรจงจัดเสื้อผ้าและแต่งเนคไทให้
“เรียบร้อยครับ  หล่อสมบูรณ์แบบแล้ว  อาริโยชิคุงนี่เหมาะกับสีน้ำเงินเข้มนะครับ”
“เอ้อ...ขอบคุณครับ”  ฟุยุกิก้มหน้างุด  เขาไม่เคยคิดหรอกว่าเขาเหมาะกับสีอะไร  สูทชุดนี้ก็แค่สูทสีดำธรรมดาที่พ่อสั่งให้ตัดเพื่อใส่ไปงานแต่งงานของลูกพี่ลูกน้อง  ส่วนเนคไทเส้นนี้เคียวยะเป็นคนซื้อมาฝากจากเมืองไทย  ซึ่งเขาเองไม่เคยรู้สึกว่ามันพิเศษไปกว่าเนคไทของเครื่องแบบนักเรียนตรงไหน  แต่พอได้รับคำชาแบบนี้แล้วก็อดดีใจไม่ได้

...

นัตสึเมะพาฟุยุกิไปถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ตก่อนเวลาแสดงประมาณครึ่งชั่วโมง  และเพราะนี่เป็นการแสดงรอบปฐมทัศน์  จึงมีแขกรับเชิญที่แต่งตัวสวยงามมารวมกันเต็มไปหมด  แม้จะมีคนที่ซื้อบัตรเข้าชมและแต่งตัวธรรมดา ๆ มาชมด้วย  แต่ฟุยุกิก็รู้สึกดีที่ตนแต่งชุดที่ดีที่สุดมา  และรู้สึกภูมิใจอย่างประหลาดที่นัตสึเมะเป็นที่ดึงดูดสายตาของใครต่อใคร

เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น  เขาไม่เคยมางานแบบนี้มาก่อนเลย  อะไร ๆ จึงดูน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด...แต่ตื่นใจได้ไม่นานนักก็ต้องอึ้งไปเมื่อหันไปเจอพ่อเข้าพอดี

“อ้าว  ฟุยุกิ  ที่บอกว่าจะมาดูนี่...คือรอบปฐมทัศน์เลยเรอะ?”
“คะ...ครับ...”  พ่อก็ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมาดูรอบนี้
“แล้วมากับใครล่ะ?”

ในขณะที่ฟุยุกิอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ  นัตสึเมะก็ไปรับสูจิบัตรกลับมาพอดี
“อาริโยชิคุง  สูจิบัตรครับ...”  ชายหนุ่มสังเกตเห็นผู้มากด้วยวัยได้ในทันที  เขายิ้มทักทายแล้วก้มหัวให้  “คุณพ่อของอาริโยชิคุงสินะครับ”
พ่อของฟุยุกิพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยแน่ใจ  ก่อนจะมองหน้าฟุยุกิเป็นเชิงถาม
“เอ้อ...นี่...นัตสึเมะซัง...”  พูดไปแล้วก็หน้าเสีย  ฟุยุกิเพิ่งรู้ตัวว่าลืมชื่อสกุลของนัตสึเมะไปเสียแล้ว
“อิชิกาวะ  นัตสึเมะครับ  เป็นเจ้าของร้านกาแฟที่อาริโยชิคุงแวะไปบ่อย ๆ  ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  นัตสึเมะแนะนำตัวแล้วโค้งให้อย่างสุภาพ

คราวนี้พ่อของเด็กหนุ่มดูพอใจกับมารยาทอันดีของนัตสึเมะ
“เจ้าลูกชายผมคงไปรวบกวนบ่อย ๆ สินะ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ  คุยกับอาริโยชิคุงก็สนุกดี  ผมเองก็ได้ลองชงชาสูตรใหม่ ๆ ด้วย”
“ชา?”  ผู้มากด้วยวัยกว่าเลิกคิ้ว  “เป็นร้านกาแฟไม่ใช่เรอะ?”
“ก็อาริโยชิคุงไม่เคยดื่มกาแฟนี่ครับ  ผมเลยชงชาให้แทน”

อาริโยชิผู้พ่อพยักหน้าพลางเหลือบตามองลูกชายคนเล็ก  แม้จะไม่มีแววติเตียนหรืออะไร  ฟุยุกิก็ยังรู้สึกอึดอัด
“เอาละ  จวนได้เวลาแสดงแล้ว  ไปนั่งที่เถอะ”  พ่อตัดบทเมื่อได้ยินเสียงกริ่งเตือนบอกเวลาการแสดง  “ฝากลูกชายด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ  ผมจะดูแลให้ดีเลยครับ”  นัตสึเมะรับคำทั้งยังยิ้มอยู่เช่นเดิม

เมื่อแยกมาจากพ่อแล้ว  ฟุยุกิก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก
“ถึงกับถอนใจเลยเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ แล้วเดินนำไปยังที่นั่ง
“ผม...ไม่ค่อยถูกโรคกับพ่อเท่าไรน่ะครับ”  ฟุยุกิตอบอ้อมแอ้ม
“ท่าทางเข้มงวดนะครับ”
“ดุมาก...”

นัตสึเมะหัวเราะกับคำพูดและสีหน้าของฟุยุกิ...ดูท่าจะกลัวพ่อจริง ๆ  และเมื่อมาถึงที่นั่ง  ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจ
“โอโน...เอ้อ...โทโมกิคุง?”
“อ๊ะ!  สวัสดีครับ  นัตสึเมะซัง”  เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นทักทาย  ฟุยุกิจำได้ทันทีว่านั่นคือคนที่เคยเห็นที่ร้านของนัตสึเมะ
“มาคนเดียวเหรอครับ?”
“เปล่าครับ  ยาจิมะซังก็มาด้วย  แต่นั่งอยู่แถวหลังน่ะครับ”  โทโมกิบอกพลางชี้ให้ดูชายฉกรรจ์ที่นั่งถัดไปอีกบล็อกหนึ่ง  “พอดีคิริฮาระซังเอาตั๋วไปให้ที่บ้าน  บอกว่ามีของจะฝากไปให้ชุนน่ะครับ”
นัตสึเมะพยักหน้ารับ
“แล้ว...คุณคนนั้น...?”  โทโมกิถามไปยังฟุยุกิที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ด้านหลังร่างสูง
“อ้อ  นี่อาริโยชิ  ฟุยุกิคุงครับ  ขาประจำที่ร้านผม”  แล้วก็หันไปบอกกับฟุยุกิ  “นี่โอโนเสะ  โทโมกิคุงครับ  ที่คุณเคยเจอที่ร้านเมื่อวันก่อน”
“เอ้อ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  ฟุยุกิก้มหัวให้เล็กน้อย
“เช่นกันครับ...”  โทโมกิก็ก้มหัวตอบ  “นัตสึเมะซังนี่ขาประจำเยอะนะครับ”
“คิริฮาระพามาฝากทั้งนั้นแหละครับ”  นัตสึเมะพูดปนหัวเราะแล้วนั่งลง  พาให้เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งตามด้วย
“อาริโยชิซังก็เหมือนกันเหรอครับ  คิริฮาระซังนี่หลอกคนเก่งจัง  นี่ถ้าผมไม่ติดธุระเรื่องชุนก็คงไปดื่มกาแฟบ่อย ๆ เหมือนกัน”  โทโมกิหัวเราะน้อย ๆ  ดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มคนที่ไปนั่งร้องไห้ที่ร้านของนัตสึเมะเลย

ไฟในฮอลล์ดับวูบลง  มีเสียงเคลื่อนไหวบนเวที  ฟุยุกิลืมสิ้นทุกสิ่งและนั่งรอด้วยใจระทึก  เมื่อไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง  หัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นระรัวแรง  แม้จะเป็นวงออร์เคสตร้าขนาดกลางที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือโปสเตอร์จนชินตา  แต่เมื่อมาเห็นของจริงบนเวทีกลับดูอลังการอย่างบอกไม่ถูก  แต่ฟุยุกิไม่ได้ใจเต้นกับความอลังการนั้นหรอก  ที่หัวใจเต้นแรงจนในอกเจ็บแปลบนั่นเป็นเพราะชายหนุ่มผมแดงที่นั่งอยู่ในกลุ่มนักไวโอลินต่างหาก

คิริฮาระอยู่ในชุดนักดนตรีเต็มยศ  กวาดตามองผู้ชมพร้อมกับยิ้มพรายอยู่ในสีหน้า  ท่วงท่าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหมือนที่เคยเป็น

เสียงปรบมือต้อนรับนักดนตรียิ่งดังขึ้นอีกเมื่อคอนดักเตอร์ปรากฏตัวขึ้นบนเวที  แต่ไม่มีสิ่งใดดึงความสนใจของฟุยุกิได้อีกแล้ว  สองตาของฟุยุกิจับจ้องไปที่ร่างของคิริฮาระเดียงคนเดียวเท่านั้น...อย่างที่คิดไว้เลย  คิริฮาระเหมาะที่จะอยู่บนเวทีแห่งแสงไฟเช่นนี้จริง ๆ  แค่ที่เล่นอยู่ริมถนนก็โดดเด่นมากพออยู่แล้ว  แต่ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่อง...เสน่ห์ดึงดูดของคิริฮาระก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี

บทเพลงแสนไพเราะแทบไม่เข้าหู  สำหรับฟุยุกิแล้ว...เพลงเพราะก็คือเพราะ  ไม่ว่าใครเล่นมันก็เพราะทั้งสิ้น  แต่เมื่อเฝ้ามองท่วงท่าการบรรเลงของคิริฮาระที่สอดคล้องไปกับท่วงทำนองแล้ว  เพลงที่ไพเราะอยู่แล้วก็ดูจะวิเศษยิ่งขึ้นไปอีก

เพลงแล้วเพลงเล่าผ่านไป  ฟุยุกิรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน  มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อม่านปิดลงและไฟในฮอลล์เปิดสว่างไสว...การแสดงช่วงแรกจบลงแล้ว

“ออกไปหาอะไรดื่มกันเถอะครับ  อาริโยชิคุง”  เสียงนัตสึเมะดังขึ้นข้างตัว  ดึงฟุยุกิออกจากภวังค์
“อ๊ะ!...ครับ”  เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นทันที

ระหว่างพักการแสดง  ฟุยุกิไม่ได้พบคิริฮาระอย่างที่หวังไว้  ได้แต่ยืนคุยกับนัตสึเมะและโทดมกิอยู่ตรงมุมขายเครื่องดื่ม  เขารู้สึกต้องอัธยาศัยกับโทโมกิมากกว่าที่คิด  แม้จะมีแววเศร้าหมองแฝงอยู่ลึก ๆ  แต่ดวงตาของโทโมกิก็เป็นประกายซุกซนเมื่อเอ่ยปากแซวนัตสึเมะเรื่องริบบิ้นผูกผม

“เขาเอาไปให้ผมเหมือนกัน  แต่นายแม่บอกว่าถ้าผูกมาจะตีให้ตาย  ผมก็เลยต้องยอมแพ้พนันนี่แหละครับ”  โทโมกิบอกแล้วก็หัวเราะ
“กลัวคุณผู้หญิงมากกว่าจะโดนคิริฮาระแก้งสินะครับ”  นัตสึเมะยิ้ม
“ไม่ให้แกล้งหรอกครับ  ถ้าจะแกล้ง...ผมก็จะฟ้องนายแม่”  โทโมกิหัวเราะคิก  “แล้วอาริโยชิซังไม่ได้ริบบิ้นบ้างเหรอครับ?”
“อ่ะ...ไม่ครับ”
“อาริโยชิคุงเป็นแขกรับเชิญพิเศษของผมครับ  คิริฮาระแกล้งไม่ได้หรอก”
“อ๋า...ดีจัง  แขกพิเศษด้วย”  โทโมกิแกล้งเอาศอกกระทุ้งนัตสึเมะ
ฟุยุกิยิ้มอาย ๆ  แค่ฟังโทโมกิกับนัตสึเมะคุยกันก็สนุกแล้ว  แต่ถ้าได้รู้จักพวกเขามากขึ้นกว่านี้อีกนิดก็คงดี  บางทีชีวิตอาจจะสนุกกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้

หมดพักครึ่งการแสดง  ผู้ชมก็ทยอยกันกลับไปประจำที่  ตอนนั้นเองที่นัตสึเมะกระซิบกับฟุยุกิ
“ครึ่งหลังนี่  ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ”
“เอ๊ะ?”
นัตสึเมะไม่อธิบายอะไรนอกจากยิ้มเจ้าเล่ห์  แล้วไฟในฮอลล์ก็ดับลงอีกครั้ง

ม่านค่อย ๆ เลื่อนเปิด  สปอตไลท์หลายดวงสาดจ้าไปจับที่จุดเดียว  และผู้ที่ยืนอยู่กลางเวทีพร้อมกับไวโอลินในมือก็คือ...คิริฮาระ  ยู

เขากวาดตาไปรอบฮอลล์แล้วยิ้มรับเสียงปรบมือ  ก่อนจะสะบัดเรือนผมสีแดงยาวเคลียบ่าและตั้งท่าจรดไวโอลิน

ฟุยุกิที่ไม่ได้สนใจจะอ่านสูจิบัตรมาก่อนจึงไม่รู้ว่ามีการแสดงเดี่ยวไวโอลินของคิริฮาระด้วยถึงกับอ้าปากค้าง  และเข้าใจคำพูดของนัตสึเมะในตอนนั้นเอง  หากยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ  ท่วงทำนองแว่วหวานก็ล่องลอยออกมาจากสายลวดและคันซอของคิริฮาระ

ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางป่าใบไม้แดง...สำเนียงอ่อนหวานชักนำผู้ฟังให้เดินทางลึกเข้าไปในป่าอันเต็มไปด้วยใบไม้หลากสีสรรพ์...ฟุยุกิตะลึงกับพลังของเสียงดนตรีที่สามารถทำให้เกิดภาพขึ้นมาในใจของเขาได้  แล้วคิริฮาระก็ขยับโยกกายพร้อมกับเปลี่ยนท่วงทำนองไวโอลิน  ดุจสายลมพัดผ่านต้นไม้ให้ปลิดใบร่วงพรู  ม่านใบไม้สีเหลืองแดงละลิ่วลอยวนก่อนจะค่อย ๆ ทิ้งตัวลงสู่พื้นพสุธา...เนิบ...ช้า...

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 05 (รีโพสต์) 6-03-58
«ตอบ #18 เมื่อ06-03-2015 20:27:32 »

ฟุยุกิจะเห็นภาพอะไร  นัตสึเมะไม่รู้หรอก  แต่ในใจของเขานั้น...เมื่อม่านใบไม้ค่อยหล่นลงสู่พื้น  ก็เผยให้เห็นร่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านนั้น...ร่างเล็กบอบบาง  เรือนผมสีดำยาวปรกหน้า  ขนตายาวหรุบต่ำราวกับพยายามจะซ่อนแววตาเศร้าสร้อยนั้นไว้...หลายครั้งหลายหนที่นึกอยากดึงเข้ามากอดแล้วปลอบโยนให้หายเศร้า  แต่เขามีคุณสมบัติอะไรดีพอที่จะทำอย่างนั้นงั้นหรือ...

สายลมกระโชกแรงพัดผ่านไป  เหลือไว้เพียงแต่ต้นไม้ที่มีใบประดับอยู่เพียงน้อยนิดยืนหยัดแผ่กิ่งก้านสง่างามอยู่บนผืนพรมใบไม้สีสวยงามอย่างที่ฝีมือมนุษย์ไม่อาจถักทอเลียนแบบได้...นัตสึเมะถอนใจแผ่วเบา  แล้วลอบมองคนที่นั่งข้าง ๆ  ฟุยุกิเหม่อมองไปบนเวทีด้วยแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความหลงใหล  เหมือนหัวใจได้โดยบินไปกับตัวโน้ตสุดท้ายที่เลือนหายไปในอากาศ...

เสียงปรบมือดังกึกก้อง  คิริฮาระโบกคันซอแล้วโค้งรับเสียงปรบมืออย่างสง่างาม  ฟุยุกิปรบมือเต็มที่จนเจ็บไปหมดแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด  ความรู้สึกบางอย่างมันเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจ  เป็นครั้งแรกที่ฟุยุกิรู้สึกว่าดีแล้วที่ได้ทำงานที่สำนักงานนั้น  ดีแล้วที่ได้เดินกลับบ้านทางนั้นทุกวัน...และดีเหลือเกินที่ได้พบกับคิริฮาระและไวโอลินของเขา  ปลาบปลื้มจนหัวใจปวดแปลบ  คิริฮาระที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟบนเวทีดูเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน...ใช่...เป็นดวงตะวันหนึ่งเดียวที่มอบแสงสว่างและความอบอุ่นให้กับชีวิตที่มืดมนนี้

ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้า  ฟุยุกิมองมันอย่างงุนงงแล้วจึงมองหน้านัตสึเมะผู้ส่งมันมาให้

“เช็ดน้ำตาเสียหน่อยสิครับ”
“เอ๊ะ?”  ฟุยุกิยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง...น้ำตาไหลรินตั้งแต่เมื่อไร  เขาไม่รู้สึกตัวเลย
“คิริฮาระสั่นไหวหัวใจคนได้แบบนี้เสมอแหละครับ”  นัตสึเมะพูดอย่างภาคภูมิใจ  “ไม่ต้องอายหรอกครับ  ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ร้องไห้น่ะ”

ฟุยุกิเหลือบมองไปตามที่นัตสึเมะพยักเพยิดไป  แล้วก็เห็นโทโมกิกำลังนั่งซับน้ำตาอย่างจริงจังไม่ต่างจากเขา  เด็กหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้...นั่นสินะ...คิริฮาระช่างเปี่ยมไปด้วยพลังและเสน่ห์ดึงดูดหัวใจคนอย่างน่าเหลือเชื่อ  ไม่แปลกเลยที่เขาจะเผลอน้ำตาไหลออกมาแบบนี้

การแสดงยังคงดำเนินต่อไป  บทเพลงแล้วบทเพลงเล่าที่ถ่ายทอดออกมาจากหลากหลายเครื่องดนตรีพาให้หัวใจโลดเล่นไปตามท่วงทำนอง...กระทั่งเสียงเพลงสุดท้ายสิ้นสุดลง  ทั้งฮอลล์ก็ลุกขึ้นปรบมือแสดงความชื่นชมกึกก้องยาวนาน

เมื่อม่านปิดและไฟในฮอลล์เปิดสว่าง  ผู้คนก็เริ่มทยอยกันออกจากสถานที่แสดง  ส่วนมากก็ออกมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อพูดคุยถึงการแสดงที่เพิ่งจบลงหรือไม่ก็ซื้อสูจิบัตรและของที่ระลึกเพิ่มเติม  หากนัตสึเมะพาฟุยุกิกับโทโมกิและผู้ติดตามเดินเลาะไปอีกด้านหนึ่งซึ่งไปออกทางด้านหลังเวที  ชายหนุ่มบอกชื่อและแสดงบัตรให้สต๊าฟที่เฝ้าพื้นที่อยู่  ก่อนจะถูกปล่อยให้เข้าไปในส่วนของนักดนตรีได้

คิริฮาระปะปนอยู่กับกลุ่มนักดนตรีในวง  กำลังพูดคุยกันเรื่องการแสดงในวันนี้  แต่ทันทีที่หันมาเห็นนัตสึเมะซึ่งโบกมือทักทายอยู่ที่หน้าประตูก็รีบปลีกตัวออกมา  นักดนตรีหนุ่มเดินกางแขนยิ้มร่ามาหาแล้วโถมเข้ากอดนัตสึเมะทั้งตัวจนเซถลา

“ตัวไม่ใช่เบา ๆ นะเนี่ย”  นัตสึเมะแกล้งว่า
“หาว่า...ตลอดห้าปีมานี่น้ำหนักตัวฉันไม่ขึ้นเลยนะ”  คิริฮาระเถียง
“อืม...ชักจะผอมเกินไปแล้วด้วยซ้ำ”
“ช่าย...เพราะงั้น  ไม่หนัก”  คิริฮาระทำท่าจะยกขาก่ายเพื่อนเสียด้วย
“ทะลึ่งละ...ลง!”  แกล้งดุด้วยเสียงเข้ม ๆ  “เล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้  อายคนอื่นเขาบ้าง”
“คนอื่น...?”  คิริฮาระชะโงกไปมองข้างหลังนัตสึเมะ  “อ้อ...ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย  สวัสดี  โทโมกิคุง  อาริโยชิคุง”

“สวัสดีครับ  คิริฮาระซัง  ร่าเริงเหมือนเคยนะครับ”  โทโมกิเอ่ยพลางกลั้นยิ้ม
“ความร่าเริงคือเคล็ดลับของความเป็นหนุ่มตลอดกาล”  นักดนตรีหนุ่มขยิบตาแล้วหันไปหาฟุยุกิ  “ไม่เจอกันนานนะครับ  อาริโยชิคุง”
“เอ้อ...สวัสดีครับ...”  ทั้งที่คุ้นเคยกันพอประมาณแล้ว  แต่ฟุยุกิกลับรู้สึกประหม่าอย่างประหลาด...คงเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างชมการแสดงก็เป็นได้
“เอ...แล้ว...ฮารุกะจังล่ะ?”  คิริฮาระถามทั้งยังกอดคอนัตสึเมะอยู่อย่างนั้น
“ไม่ได้มาหรอก  ไม่ได้ชวน”  นัตสึเมะบอก  “ว่าแต่...เมื่อไรจะปล่อยฉันเสียที”
“อ้าว...แล้วตั๋วอีกใบของฉันล่ะ?”  คิริฮาระทำเป็นไม่ได้ยิน
“ก็นี่ไง...เซอร์ไพรส์”  นัตสึเมะผายมือไปทางฟุยุกิ

คิริฮาระเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจแล้วมองหน้านัตสึเมะอีกครั้ง  ร่างสูงยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นการยืนยัน  นักดนตรีหนุ่มหันไปมองฟุยุกิแล้วยิ้มกว้าง

“ผู้โชคดีคนใหม่ของฉันเหรอเนี่ย”  คิริฮาระปล่อยนัตสึเมะแล้วจับมือฟุยุกิเขย่า  “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านัตสึเมะจะพาใครอื่นนอกจากน้องสาวมา  การแสดงของผมเป็นยังไงบ้างครับ  อาริโยชิคุง?”

“อ๊ะ...เอ่อ...ยอดมากเลยครับ  ยอดจริง ๆ  ผมไม่เคยดูการแสดงแบบนี้มาก่อนเลย”  ฟุยุกิละล่ำละลักตอบ

“อาริโยชิคุงไม่เคยดูคอนเสิร์ตใหญ่ก็เลยว่าดีหรือเปล่า?”  ชายหนุ่มแกล้งแหย่
“ไม่นะครับ!  คิริฮาระซังยอดเยี่ยมจริง ๆ  ผมน้ำตาไหลเลยนะครับ...”

พอหลุดปากออกไปแบบนั้น  น้ำตาก็ดันไหลออกมาจริง ๆ  ฟุยุกิตกใจตัวเองจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ  คิริฮาระเองก็ตกใจที่อยู่ ๆ เด็กหนุ่มมาร้องไห้ต่อหน้าเขาแบบนี้  แต่แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู  ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้

“อย่าร้องสิ  เดี๋ยวจบซีซันนี้แล้วจะรีบกลับไปเล่นให้ดูให้หนำใจเลยนะ”

ฟุยุกิได้แต่พยักหน้า  น้ำตาเจ้ากรรมยังไหลไม่หยุด  ยิ่งคิริฮาระโอบไหล่เขาไว้เหมือนจะปลอบโยนก็ยิ่งหยุดไม่ได้

“แล้ว...ผมเล่นดีกว่าที่ข้างถนนหรือเปล่า?”

“ดี...ดีกว่าครับ...แต่...แต่ผมชอบแบบนั้นมากกว่า”  คิริฮาระที่อยู่บนเวทีแห่งแสงไฟดูห่างไกลเกินไปสำหรับเขา  เขาชอบคิริฮาระที่เล่นไวโอลินเพื่อเป็นที่พักใจให้พวกคนทำงานมากกว่า

คิริฮาระยิ้มแล้วตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ  “แล้วโทโมกิคุงร้องไห้หรือเปล่า?”

โทโมกิยิ้มกว้าง  “ถึงร้อง...ผมก็ไม่บอกคุณหรอกครับ”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ  “รอของฝากแป๊บนึงนะ  สต๊าฟกำลังจัดการให้อยู่”

“ของฝากที่ว่านี่...อะไรเหรอครับ?”  โทโมกิชักอยากรู้

“บันทึกการแสดงสดแบบไม่ตัดต่อ  เอาไปให้หมอนั่นฟัง  เผื่อจะอยากตื่นขึ้นมาฟังผมเล่นสด ๆ เร็ว ๆ”

โทโมกินิ่งอึ้งไปนิดหน่อย  ก่อนจะยิ้มทั้งตาแดง ๆ  “ดนตรีบำบัดสินะครับ”

“มันจะบำบัดได้มั้ยก็ไม่รู้สิ  แต่ถ้ามันทำให้หมอนั่นตื่นมาเจอคุณเร็วขึ้นอีกนิด  ผมก็ดีใจแล้ว”  คิริฮาระบอกยิ้ม ๆ

“ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ  “...ชุนคงชอบ”

“ผมว่าคงไม่ชอบนักหรอกครับ  คิริฮาระเล่นไวโอลินทีไร  วายะซังกัดเอาทุกที”  เป็นนัตสึเมะที่ขัดคอขึ้น  “ถ้าจะตื่นก็คงตื่นมาเฉ่งโทษฐานหนวกหูละมั้งครับ”

โทโมกิหัวเราะคิกในขณะที่คิริฮาระทำหน้าบูด  ฟุยุกิยังอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้  แม้จะไม่รู้ว่าคนที่ชื่อวายะ  ชุน  เป็นใครและเกิดอะไรขึ้นกับเขา  แต่เท่าที่ฟังก็คงจะป่วยหนักละมั้ง  ถึงได้มีการให้กำลังใจกันในลักษณะนี้

แม้จะดูมีความซึมเศร้าปนอยู่บ้าง  แต่ฟุยุกิก็ชอบบรรยากาศที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่ในตอนนี้  มันเป็นความผ่อนคลายที่อบอุ่นอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยสัมผัสจากในบ้าน  ทั้งที่สมาชิกในวงสนทนาก็มีแต่ผู้ชายเหมือนกับที่บ้าน  แต่พ่อกับพวกพี่ชายมักจะเคร่งเครียดอยู่เสมอ  เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าคนในบ้านเขาเคยหยอกล้อกันเล่นแบบนี้บ้างหรือเปล่า

“อ๊ะ!  ว่าแต่...ริบบิ้นที่ให้ไปล่ะครับ?”  คิริฮาระชะโงกไปดูปอยผมด้านหลังที่ไว้ยาวเป็นหางของโทโมกิซึ่งรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย
“ไม่ได้ผูกมาหรอกครับ  นายแม่ไม่ให้ผูก”  โทโมกิสารภาพตามตรง
“เอ๋...อ้างนายแม่แบบนี้ขี้โกงนี่นา  แล้วนัตสึเมะ...”  คิริฮาระหันขวับไปกะเล่นงานนัตสึเมะเต็มที่
“ฉันผูก”  ไม่พูดเปล่ายังดึง  ‘หาง’  ผูกโบว์มาให้ดูด้วย
“...หน้าไม่อาย”  คิริฮาระว่า  ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเอาริบบิ้นไปให้เขาผูกแท้ ๆ
“หน้าฉันไม่เหลือยางอายตั้งแต่คบนายเป็นเพื่อนแล้วละ”  นัตสึเมะพูดใส่หน้าเพื่อนหน้าตาเฉย
คิริฮาระอ้าปากค้าง  ก่อนจะยกมือขึ้นกุมอกแล้วทรุดลงนั่งยอง ๆ  “ระ...แรง...”
“ฉันชนะพนันสองเรื่อง  นายต้องเลี้ยงอาหารไทยฉัน”  ร่างสูงทำท่าเชิดใส่
“อย่างนายกินเผ็ดเป็นด้วยหรือไง?”
“ก็กินเก่งกว่านาย  เอาละ...อย่ามาเฉไฉ  นี่ฉันมีพยานบุคคลสองปากนะ  จะมาบิดพลิ้วไม่ได้นะ”  นัตสึเมะพยักเพยิดไปทางฟุยุกิกับโทโมกิ

พอโดนต้อนจนหมดทางหนี  คิริฮาระก็ทำหน้าทุ่ยแล้วตอบด้วยเสียงสะบัด ๆ
“เฮอะ!  ก็ได้ ๆ”
“เลี้ยงพวกผมด้วยใช่มั้ยครับ?”  โทโมกิแกล้งแหย่มา
“หา!?  โทโมกิคุงน่ะแพ้พนันผมนะ  ต้องเลี้ยงผมสิ”
“ถ้านายแม่ไม่ห้ามไว้ก็ไม่แพ้หรอกครับ  อันนี้คิริฮาระซังต้องไปตกลงกับนายแม่เอาเองแล้วละ”  เด็กหนุ่มิ้มแต้
“เอาเป็นว่าไปกันทั้งสี่คนเลยแล้วกัน  คิริฮาระเลี้ยง”  นัตสึเมะสรุปให้หน้าตาเฉย
“เอ๊ะ!?  ผมด้วยเหรอครับ?”  ฟุยุกิตกใจนิดหน่อยกับคำพูดนั้น
“ด้วยสิครับ  ในฐานะพยานบุคคลไง”  ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น
“หมดกัน...ค่าตัวฉัน...”  คิริฮาระทำเสียงระทดระท้อแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

ฟุยุกิถึงกับอึ้งกับโอกาสที่ไม่คาดฝันนั้น  เขาแค่มาดูคอนเสิร์ตกับนัตสึเมะเท่านั้นเอง  แค่คิดว่าจะได้เห็นคิริฮาระเล่นดนตรีอีกครั้ง  ไม่ได้คิดขนาดจะได้เข้ามาหลังเวทีและอยู่ในกลุ่มที่พูดคุยกันสนิทชิดเชื้อแบบนี้เลยด้วยซ้ำ...แล้วยังจะไปกินข้าว...นี่มันมากเกินไปแล้ว  หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก  จะทำยังไงดี...ตอนนี้จะทำหน้ายังไงดี  ทำหน้าไม่ถูกแล้ว  มันร้อนไปหมดทั้งหน้า  สองตาก็ร้อนไปหมด...จะทำยังไงดี...

“อ้าว...ยังไม่ทันกินของเผ็ดก็ร้องไห้ซะแล้วเหรอ  อาริโยชิคุง”  เป็นคิริฮาระที่สังเกตเห็นแล้วยกมือขึ้นลูบผมเขาเบา ๆ
“เปล่าครับ...ก็มัน...มัน...”
ไม่รู้จะตอบอะไรได้  เด็กหนุ่มได้แต่กลั้นสะอื้นอยู่อย่างนั้น...อายทั้งอายแต่ก็หยุดน้ำตาไม่ได้  ในที่สุดก็ต้องหัวเราะออกมากับความขี้แยของตัวเอง
“ฮะ...ฮะ ๆ...ไม่เอาไหนเลยนะครับ  ผมเนี่ย”
“ไม่หรอกน่า...ก็แค่ร้องไห้เอง”  คิริฮาระปลอบเบา ๆ
“ใช่...ไม่เป็นไรหรอก  ผมยังเคยร้องไห้กับคิริฮาระซังบ่อยไป”  โทโมกิเสริมมา  “โดยเฉพาะตอนเด็ก ๆ นะ”
“...โตแล้ว...ไม่ร้องเหรอครับ?”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มถาม
“...ยังหาโอกาสไม่ได้เลย  อาริโยชิซังแย่งไปแล้ว”  เด็กหนุ่มบอกพลางยิ้มกว้าง
“ฮะ...ฮะ ๆ  ขอโทษนะครับ”  ฟุยุกิเลยพลอยหัวเราะไปด้วย

การพูดคุยถูกขัดเมื่อสต๊าฟนำซีดีมาให้คิริฮาระ  เขารับเอาไว้ก่อนจะถามหาปากกามาเขียนชื่อคอนเสิร์ตและวันที่ลงบนแผ่นแล้วส่งให้โทโมกิ

“ฝากให้วายะด้วยนะครับ”
โทโมกิรับไว้ด้วยสองมือแล้วโค้งให้  “ขอบคุณครับ  จะเปิดให้ฟังบ่อย ๆ เลยละครับ”
“ถ้าฟังบ่อย...เดี๋ยวหมอนั่นก็อยากลุกมาด่าผมเองแหละครับ  อาจจะเป็นผลดีก็ได้”  คิริฮาระหัวเราะ  “เอาละ  เดี๋ยวผมต้องมีประชุมวงอีกนิดหน่อย  ขอบคุณทุกคนที่มามากนะครับ”
“ขอบคุณสำหรับบัตรเชิญนะ”  นัตสึเมะบอก

หลังจากกล่าคำอำลากันนิดหน่อย  นัตสึเมะก็พาเด็กหนุ่มทั้งสองออกมาจากหลังเวที  เขากับฟุยุกิส่งโทโมกิขึ้นรถที่คนขับรถนำมารับที่หน้าอาคาร  เมื่อเห็นรถหรูราคาแพงนั่นแล้ว  ฟุยุกิก็อึ้งนิดหน่อย  โทโมกิรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็จริง  แต่คงเป็นคนในตระกูลสูงละมั้ง  ถึงได้มีทั้งผู้ติดตามและรถหรูที่มีคนขับพร้อมแบบนี้  หากโทโมกิดูติดดินและไม่มีท่าทีถือตัวเลยสักนิด  เป็นคนสนุกสนานและน่าประทับใจทีเดียว...คงจะดีถ้าสถานที่ต่างกันของพวกเขาจะไม่เป็นปัญหากับความสัมพันธ์ที่อาจจะพัฒนาขึ้นได้มากกว่านี้

“แล้วอาริโยชิคุงจะกลับยังไงครับ  กลับกับคุณพ่อหรือเปล่า?”  นัตสึเมะถามขึ้นหลังจากรถของโทโมกิวิ่งไปจนลับตาแล้ว
“เปล่าครับ  ผมไม่ได้อยู่บ้านคุณพ่อแต่อยู่ที่แมนชั่นกับพี่ชาย  เดี๋ยวขึ้นรถไฟกลับครับ”  ฟุยุกิบอก
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งที่สถานีรถไฟก็แล้วกันนะครับ”
“อ๊ะ!  ไม่ต้องก็ได้ครับ  ลำบากเปล่า ๆ”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ  ผมเองก็ต้องกลับรถไฟเหมือนกัน  ก็เดินไปด้วยกันนี่แหละ”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ
“อ่า...ครับ  เอางั้นก็ได้”

ทั้งสองเดินไปด้วยกันบนทางเท้าที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนของวันหยุด  หลายคนคือผู้ชมที่เพิ่งทยอยออกมาจากฮอลล์เช่นเดียวกับพวกเขา  สังเกตได้จากสูจิบัตรและของที่ระลึกในมือ  ฟุยุกิเองก็มีสูจิบัตรเช่นกัน  แต่ของที่ระลึกที่ได้รับมาไม่ใช่ของที่มีตัวตน...ไหล่ที่คิริฮาระโอบไว้ยังร้อนผ่าวในความรู้สึก  มือที่โอบเขาไม่ปล่อยตลอดการสนทนาช่างแสนอ่อนโยน  ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายท่าทางโฉบเฉี่ยวแบบคิริฮาระจะสามารถเช็ดน้ำตาให้คนอื่นได้แบบนั้น

“อ๊ะ!  นัตสึเมะซัง  ผมเผลอเอาผ้าเช็ดหน้าของคิริฮาระซังติดมาด้วยน่ะครับ”  ฟุยุกิเพิ่งจะรู้สึกตัว  รีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าสูท  “ทำยังไงดี...”
“ก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกันครับ  ไม่ต้องคืนหรอก”  นัตสึเมะตอบง่าย ๆ...ผ้าเช็ดหน้าสีขาวแต่งขอบลูกไม้แบบนี้ไม่ใช่ของที่คิริฮาระใช้เป็นประจำหรอก  แต่เป็นพวกของประดับเสื้อเวลาออกงานเสียมากกว่า  จะหายไปสักผืนเจ้าตัวก็ไม่เดือดร้อนอะไรแน่
“จะ...ดีเหรอครับ”  แม้จะพูดอย่างนั้นแต่เด็กหนุ่มก็แอบใจเต้น
“ดีครับ  เก็บไว้เถอะ  คิริฮาระเองก็คงอยากให้คุณมั้งครับ  ถึงได้ควักออกมาให้”  ร่างสูงสรุปเองเสร็จสรรพ
“งะ...งั้น...ขอรับไว้นะครับ”  ฟุยุกิบรรจงพับผ้าเช็ดหน้าแล้วเหน็บลงในกระเป๋าสูทพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข  แทบจะรู้สึกได้ว่าผ้าเช็ดหน้าผืนบางสะท้อนไปตามแรงเต้นของหัวใจ

นัตสึเมะมองใบหน้านั้นแล้วก็ยิ้ม  เขาไม่ได้พูดอะไรอีกกระทั่งถึงสถานีรถไฟ  ปล่อยให้ฟุยุกิดื่มด่ำกับความสุขของตนไปเงียบ ๆ...คืนนี้ถ้าเด็กหนุ่มไม่นอนหลับฝันดีก็คงต้องพลิกซ้ายพลิกขวานอนไม่หลับทั้งคืนเพราะตื่นเต้นเกินไปเป็นแน่

ทั้งสองเข้าไปในสถานีด้วยกันแต่รถสายที่จะขึ้นอยู่คนละชานชาลา  นัตสึเมะอาสาไปส่งฟุยุกิก่อนเพราะบ้านของเขาอยู่ในเมืองและมีรถมาทุก 5 นาที

“วันนี้ต้องขอบคุณนัตสึเมะซังมากเลยนะครับ  ที่พาผมมาดูคอนเสิร์ตในวันนี้  สนุกมาก ๆ เลย”  ฟุยุกิโค้งให้อย่างมีมารยาท
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่คุณยอมไปด้วย  ผมเลยชนะพนันคิริฮาระ”  นัตสึเมะตอบอย่างอารมณ์ดี

ฟุยุกิหัวเราะ  แล้วเสียงประกาศเตือนรถไฟเข้าจอดก็ดังขึ้นและตามมาด้วยขบวนรถที่เปิดไฟสว่างจ้าเคลื่อนเข้ามาในชานชาลา
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ  นัตสึเมะซัง”  เด็กหนุ่มโค้งให้อีกครั้ง
“แล้วรอไปทานอาหารไทยด้วยกันนะครับ”  ร่างสูงยิ้ม
ฟุยุกิหัวเราะเขิน ๆ  “ครับ  แล้วเจอกันนะครับ”
“แล้วเจอกันครับ”

นัตสึเมะเฝ้ามองเด็กหนุ่มเดินปะปนกับแถวผู้โดยสารหายเข้าไปในตัวรถ  และโบกมือตอบเมื่ออีกฝ่ายโบกมือมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม...พอยิ้มแล้วก็น่ารักดี  น่าเสียดายที่ชอบทำหน้าเศร้า ๆ อยู่เรื่อย  ถ้าทำให้ยิ้มได้บ่อย ๆ แบบนี้ก็ดีสินะ...นัตสึเมะคิดขณะที่มองรถไฟขบวนนั้นเคลื่อนออกจากชานชาลาและหายลับตาไป

ในตอนที่กำลังเดินกลับไปรอรถไฟที่จะกลับบ้าน  โทรศัพท์มือถือก็สั่นและแสดงข้อความเข้า  นัตสึเมะเปิดดูแล้วยิ้ม...ข้อความจากคิริฮาระ

“พาเด็กคนนั้นมาน่ะ  ไม่ใช่เพราะเรื่องพนันแต่จงใจให้เขาเจอฉันสิท่า”

นัตสึเมะหัวเราะก่อนส่งข้อความกลับไป  “เกลียดชะมัดเลย  คนรู้ทันเนี่ย  ก็เขาอยากฟังไวโอลินของนายจะแย่อยู่แล้ว  น่าสงสาร  ก็เลยพาไป”

“แอบมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า  เด็กนั่นน่ารัก...ถูกใจนายละสิ”
“ไม่เถียง  ก็แค่อยากเซอร์วิสคนที่ถูกใจนิดหน่อย  นายก็ช่วยทำตัวน่ารัก ๆ หน่อยแล้วกัน”
“เลี้ยงต้อย!”

ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยก๊ากออกมากลางรถไฟกับข้อความนั้น  ถึงเขาจะถูกใจฟุยุกิและแก่กว่าหลายปีก็เถอะ  แต่มันยังไม่ใช่อะไรแบบนั้นแน่

“ยังไม่ได้เลี้ยง  แค่อยากให้เด็กที่ยิ้มแล้วน่ารักยิ้มบ่อย ๆ มันผิดตรงไหน?”
“ไม่ผิดหรอกคร้าบ  อิชิกาวะ  นัตสึเมะซัง  ยังไม่เลี้ยงแต่กำลังจะฝากฉันเลี้ยงใช่มั้ย  ระวังเหอะ  เดี๋ยวฉันจับกินไม่รู้ด้วย  หมู่นี้ฉันยิ่งคันเขี้ยวอยากเคี้ยวเด็กอยู่ด้วย”

นัตสึเมะจิ้มตอบกลับไปด้วยความเร็วระดับเด็กมัธยมปลายยังอาย  “ฉัน...จะ...โทร...ไป...เยอรมัน...เดี๋ยว...นี้”

“ไม่!  สาบานด้วยเกียรติของอดีตนายแบบระดับ TOP 5  ของลูนาติก  ลัสท์  ว่าฉันจะไม่กินเด็กคนนั้นและจะเลี้ยงขาหมูเยอรมันถ้านายจะไม่ปากโป้ง”

ร่างสูงหัวเราะเบา ๆ  ไอ้เกรียติที่ว่านั่นมันน่าเชื่อถือตรงไหน...แต่ก็ช่างเถอะ  ขาหมูเยอรมันก็น่าอร่อยดี

“โอเค  ฉันจะเก็บข้อความไว้เป็นหลักฐาน  ขยันทำงานเข้าล่ะ  จบคอนเสิร์ตแล้วจะเลี้ยงเอสเปรซโซกับคุกกี้อร่อย ๆ นะ”

“อื้อม  แล้วเจอกัน  ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์”

การโต้ตอบกันทางข้อความจบลงแค่นั้น...และนัตสึเมะก็เดินกลับถึงบ้านพอดี  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่แม้จะมองไม่เห็นดาวแต่ก็กระจ่างใส...ก็ไม่ใช่จะฝากเลี้ยงอะไรหรอก  แต่ถ้าการเจอคิริฮาระบ่อย ๆ จะทำให้ฟุยุกิยิ้มมากขึ้นมันก็ดีไม่ใช่หรือ...
นั่นเป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่นัตสึเมะจะเปิดประตูและเดินหายเข้าบ้านไป

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: Lock on You 05 (รีโพสต์) 6-03-58
«ตอบ #19 เมื่อ06-03-2015 22:43:15 »

สนุกมากเลยค่าา ดีใจมากๆที่มีมาให้อ่านอีก
ฟุยุกิคุงน่ารัก แต่สงสารเบาๆ หลงพ่อหนุ่มผมแดงขนาดนั้น
ถ้าวันไหนต้องเจ็บขึ้นมา ไม่อยากคิดเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Lock on You 05 (รีโพสต์) 6-03-58
« ตอบ #19 เมื่อ: 06-03-2015 22:43:15 »





ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 06 / 22-03-58
«ตอบ #20 เมื่อ22-03-2015 21:53:43 »

สวัสดีครับ คราวนี้มาเร็วหน่อย ไม่ได้รีโพสต์แล้วนะครับ ลงเรื่องต่อแล้ว
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ ชอบไม่ชอบยังไงก็เม้นต์บอกกันหน่อยนะครับ ผมรออ่านเม้นต์ ฮ่าๆๆ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 06

“กลับมาแล้วครับ”  ฟุยุกิเอ่ยขึ้นเมื่อไขรูดคีย์การ์ดเข้าห้องพักในแมนชั่น

“กลับมาแล้วเหรอ...หมู่นี้กลับดึกนะ”  มิโนรุ  ผู้เป็นพี่ชายนั่งจิบไวน์รอบก่อนนอนอยู่หน้าโทรทัศน์  “ไปเที่ยวกับเพื่อนมาเหรอ?”

“เอ้อ...ครับ...”  เด็กหนุ่มรับคำอย่างแกน ๆ...เพราะถึงจะออกไปกับคนอื่นแต่ก็เรียกว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ดี


จนป่านนี้ฟุยุกิก็ยังไม่ค่อยคบหาสมาคมกับเพื่อนร่วมงาน  ไม่ใช่เพราะเข้ากับใครไม่ได้หรือไม่อยากคบหาใคร  แต่เป็นเพราะตัวเองทำงานช้าเลยต้องทำแต่งานจนไม่มีเวลาไปเสวนากับใครต่างหาก  กว่าจะทำงานเรียบร้อยแต่ละอย่าง  คนอื่นเขาก็ไปกันไกลแล้ว  ดังนั้นคนที่ฟุยุกิไปคบหาด้วยจริง ๆ คือคนที่รู้จักหลังเลิกงานเท่านั้น

หลังจากจบฤดูการแสดงคอนเสิร์ตแล้ว  คิริฮาระก็กลับมาเล่นไวโอลินข้างถนนเหมือนเคย  แน่นอนว่าได้รับการต้อนรับจากแฟนประจำอย่างล้นหลาม  แม้อากาศจะหนาวไปบ้างแต่ในวันแรกที่คิริฮาระกลับมาก็มีคนมาห้อมล้อมดูการแสดงกลางแจ้งหลายสิบคน  ฟุยุกิมาถึงช้าเพราะมัวแต่จัดการงานของตัวเองอยู่  แต่เมื่อเห็นคิริฮาระอยู่ที่นั่นพร้อมกับเสียงไวโอลินแว่วหวาน...หัวใจก็พองโต  เด็กหนุ่มเลือกที่นั่งข้างทางในมุมเหมาะ ๆ และดูการแสดงจนจบ  ก่อนจะไปที่ร้านกาแฟของนัตสึเมะพร้อมกับคิริฮาระ...เป็นเช่นนี้มาแทบทุกวัน

“อาริโยชิคุง  ไม่ลองไปที่คลับของผมบ้างเหรอ?”  คิริฮาระเอ่ยชวนในวันหนึ่งขณะที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ในร้านของนัตสึเมะ

“เอ๋?  เป็นร้านเหล้าไม่ใช่เหรอครับ?  ผมดื่มเหล้าไม่ได้หรอก”  ฟุยุกิรีบบอกปัดทันที

“เครื่องดื่มที่ไม่ใช่เหล้าก็มีน่า  เป็นคลับก็ไม่ได้มีแต่เหล้าซะหน่อย”  คิริฮาระเน้นคำว่าคลับ  เพราะฟุยุกิเรียกทีไรก็เป็นร้านเหล้าทุกที...ซึ่งอิมเมจมันคนละเรื่องกันเลย

“อ่า...ครับ...”

“งั้นไปนะ  ไม่ได้มีนัดเดทกับสาวที่ไหนใช่มั้ย?”  ชายหนุ่มคะยั้นคะยอ

“นี่...จะหาลูกค้าเข้าร้านว่างั้นเถอะ”  นัตสึเมะที่ยืนฟังอยู่ขัดคอ

“เฮ่ย  ฉันเลี้ยงเองน่า  ไปกับเจ้าของร้านใครจะให้จ่ายกัน  เสียหน้าหมด”  คิริฮาระรีบว่า  “นะ...อาริโยชิคุง  เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง  ลองไปเที่ยวบ้าง  มาดื่มแต่ชาที่ร้านนี้มันไร้รสชาติของชีวิตน่ะ”

“นายก็มาดื่มกาแฟร้านฉันทุกวัน”  นัตสึเมะเท้าเอว  ทำหน้าหาเรื่องใส่...มาว่าไร้รสชาติของชีวิตแบบนี้มันยอมไม่ได้

“ก็กาแฟฝีมือนายมันอร่อยกว่าที่อื่น”  นักดนตรีหนุ่มยักไหล่ทำท่าเหมือนกับว่า...ยอมมาดื่มก็บุญแล้วนะ

“ฉันจะถือว่าเป็นคำชม”  คนเป็นเจ้าของร้านก็ทำท่าเชิดใส่เหมือนกัน

ฟุยุกิหัวเราะคิก  เพราะแบบนี้เขาถึงได้ชอบอยู่กับสองคนนี้ยังไงล่ะ  ไม่มีใครถามเรื่องงานหรือความสัมพันธ์กับคนรอบตัว  ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง  ที่นี่มีแต่บรรยากาศเป็นกันเองและคำพูดหยอกล้อที่ฟังแล้วสบายใจอยู่เสมอ

ในที่สุดคืนนั้นฟุยุกิก็ไปกับคิริฮาระจนได้  คิริฮาระเลือกมุมที่นั่งสบายให้ฟุยุกิก่อนจะไปชงเครื่องดื่มมาให้แล้วกลับมานั่งด้วย  คาลัวร์มิ้นต์มิลค์คือเมนูที่คิริฮาระเลือกให้เด็กหนุ่ม  เป็นเมนูที่ปกติแล้วจะมีแต่สาว ๆ สั่งกัน  แต่คิริฮาระรู้ดีว่าฟุยุกิไม่เคยลิ้มลองของพวกนี้มาก่อน  เมนูนี้จึงเหมาะที่สุด  ซ้ำยังใส่เหล้าน้อยจนอ่อนบางแทบไม่รู้สึกถึงรสเหล้าด้วยซ้ำ

บรรยากาศในคลับของคิริฮาระมีเพียงแสงไฟสลัวกับเพลงเบา ๆ ที่เปิดคลอเท่านั้น  แขกส่วนมากจะมานั่งดื่มแค่พอเพลิดเพลิน  พูดคุยปรึกษาอะไรกัน  หรือไม่ก็เป็นคู่หนุ่มสาวที่มาเดทกันหลังเลิกงานเสียมาก  ถ้าบอกว่าร้านกาแฟของนัตสึเมะให้อิมเมจของความอบอุ่นในตอนกลางวัน  คลับของคิริฮาระก็เป็นเหมือนความสงบเย็นยามค่ำคืน  ก็น่าแปลก...คิริฮาระที่มีบุคลิกเหมือนพร้อมจะลุกเป็นไฟอยู่เสมอกลับมีคลับที่ให้บรรยากาศแบบนี้ได้  ซ้ำบางครั้งก็ยังทำตัวเป็นบาร์เทนเดอร์เองเสียด้วย

“ที่นี่...ดูสบายดีจังนะครับ”  ฟุยุกิพูดหลังจากสังเกตบรรยากาศรอบตัว  “ผมคิดว่าร้านเหล้าจะต้องมีแต่พวกขี้เมาเอะอะโวยวายเสียอีก”

“ถ้าเป็นร้านเหล้าละก็ใช่หรอก  แต่ที่นี่เป็นคลับไง”  คิริฮาระพยายามฝังความแตกต่างระหว่างร้านเหล้ากับคลับลงในสมองของฟุยุกิให้ได้  “แต่บางทีก็มีคนที่มาดื่มจนเมากลิ้งเหมือนกันนะ”

“เหรอครับ?  ลำบากแย่เลยสิครับ”  ฟุยุกิจิบเครื่องดื่มตรงหน้าน้อย ๆ

“ก็ไม่ลำบากอะไรนักหรอก  แค่จับยัดใส่แท็กซี่กลับบ้านไปน่ะ”  คิริฮาระยักไหล่  “เป็นไง  พอดื่มได้มั้ย  ไอ้นั่นน่ะ?”

“อร่อยครับ  หอมด้วย...นี่ใส่เหล้าจริง ๆ เหรอครับ  ทำไมมันหวาน?”

“เหล้ามิ้นต์มันหวานแบบนี้แหละ  ถ้าดื่มมาก ๆ ก็เมาได้นิ่ม ๆ เหมือนกัน  เพราะงั้นคืนนี้เอาแก้วเดียวพอนะ”

“ครับ...แล้ว...คิริฮาระซังดูแลร้านคนเดียวเหรอครับ?”

“เปล่า  ก็มีจิวจังอีกคน  ที่เป็นบาร์เทนเดอร์ประจำบาร์นั่นไง  ผมก็แค่...เก็บเงินไปวัน ๆ ละมั้ง  ฮะ ๆ ๆ  ผมไม่เก่งเท่านัตสึเมะหรอก  บางเรื่องยังต้องให้จิวจังจ้ำจี้จ้ำไชอยู่เลย”  คิริฮาระหัวเราะแล้วเหลือบไปมองจูอิจิโร่ที่กำลังเช็ดแก้วเหล้าอยู่หลังเคาน์เตอร์

“ผม...ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว...แต่ไม่รู้ว่าจะถามได้มั้ยน่ะครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม

“ถามอะไรเหรอ?”

“คิริฮาระซังกับนัตสึเมะซังน่ะครับ  ทั้งที่สนิทกันออกขนาดนั้น  แล้วคิริฮาระซังก็เรียกนัตสึเมะซังด้วยชื่อตัวด้วย  แต่ทำไมนัตสึเมะซังถึงเรียกคิริฮาระซังด้วยชื่อสกุลล่ะครับ?  มันดูห่างเหินออกนี่นา”

“อ๋อ...เมื่อก่อนผมไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อตัวน่ะครับ  ชื่อมันสั้นแล้วก็เหมือนผู้หญิงไง  แล้วนัตสึเมะก็คงติด...ยิ่งพอมาทำงานที่ร้านกาแฟก็เลยติดเรียกใครต่อใครด้วยชื่อสกุลไปหมด  ก็คงต้องสนิทกันจริง ๆ ละครับถึงจะเรียกชื่อตัว”  คิริฮาระอธิบาย

“งั้น...อย่างโทโมกิซังนี่ก็คงสนิทกับนัตสึเมะซังมากสินะครับ”  ฟุยุกินึกขึ้นมาได้  ดูเหมือนจะมีแค่โทโมกิเท่านั้นที่นัตสึเมะเรียกด้วยชื่อตัว

“โทโมกิคุงเป็นกรณีพิเศษครับ  เจ้าตัวบังคับให้เรียกชื่อตัว  เขาว่าไม่ชอบให้เรียกชื่อสกุลน่ะครับ”

“อ้อ...แบบนี้นี่เอง”  ฟุยุกิพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้ว...อาริโยชิคุงอยากให้เรียกชื่อตัวมั้ยล่ะ?”  คิริฮาระเท้าคางแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

“เอ๊ะ!?”  ฟุยุกิตกใจไปชั่วขณะ  “อะ...อะไรนะครับ?”

“ผมถามว่าอาริโยชิคุงอยากให้ผมเรียกชื่อตัวหรือเปล่าน่ะ”

“ก็...เอ้อ...ผม...”  เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง  นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็แทบจะไม่เคยมีใครเรียกเขาด้วยชื่อตัวมาก่อนเลย  แล้วอยู่ ๆ คิริฮาระมาถามว่าจะให้เรียกชื่อตัวมั้ยเนี่ย...มันก็...

“เอาเป็นว่าเรียกเลยแล้วกัน  นะ  ฟุยุกิคุง”

“อะ...หา...?”  ฟุยุกิหน้าแดงแปร๊ดและร้อนผ่าวไปหมด  ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มของคิริฮาระสั่นไหวหัวใจของเด็กหนุ่มอย่างรุนแรง

“มีคนเรียกชื่อตัวเนี่ยมันน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอ  ฟุยุกิคุง?”  คิริฮาระแกล้งแหย่เมื่อเห็นฟุยุกิหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“มะ...มัน...คือ...ผมไม่...”  เด็กหนุ่มถึงกับไปไม่เป็น  ได้แต่ก้มหน้างุดไม่รู้จะทำอย่างไร

“ฟุยุกิคุง?”

“ยะ...อย่าแกล้งสิครับ”

คิริฮาระยิ้มกับตัวเอง  ท่าทางแบบนั้นมันน่ารักน่าแกล้งน้อยอยู่เสียเมื่อไรล่ะ  พอจะเข้าใจแล้วที่นัตสึเมะถูกใจเด็กคนนี้

“ไม่แกล้งแล้วก็ได้”  คิริฮาระหัวเราะเบา ๆ แล้วตบหลังมือเด็กหนุ่ม  “ดื่มไปก่อนนะครับ  ขอตัวไปคุยกับลูกค้าแป๊บเดียว  เดี๋ยวมานะ  ฟุยุกิคุง”

ประโยคสุดท้ายยังไม่วายแหย่  ฟุยุกิยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง  ถึงในร้านจะไฟสลัวแต่คิริฮาระจะต้องเห็นแน่ว่าเขาหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว  อายเหลือเกิน...อายจริง ๆ...ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าจะอายทำไม  แต่เวลาที่ถูกคิริฮาระเรียกชื่อตัวแล้วมันไม่เหมือนกับที่ที่บ้านเรียกนี่นา  ทั้งที่ก็เป็นแค่การเรียกชื่อธรรมดา  แต่ทำไมพอเป็นคิริฮาระแล้วถึงได้ใจเต้นอย่างบอกไม่ถูกด้วยล่ะ

ความจริงคำตอบก็รู้อยู่แก่ใจ  หากฟุยุกิไม่กล้ายอมรับกับตัวเอง...มันน่าอายเกินไปที่จะยอมรับว่าตัวเขา...ชอบผู้ชายคนนี้


แต่หลังจากวันนั้นมา  หลังจากออกจากร้านของนัตสึเมะแล้วฟุยุกิก็ตามคิริฮาระไปที่คลับบ่อย ๆ  และเป็นเหตุให้กลับดึกอย่างที่มิโนรุว่ามา  ถึงจะกลับบ้านดึกบ้างหรือนอนดึกกว่าปกติบ้าง  ฟุยุกิก็ไม่รู้สึกเหนื่อย  หากรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขกว่าเดิม  เหมือนได้พบที่พักใจที่แท้จริงได้  ถึงเขาจะไม่ได้คุยกับคิริฮาระที่คลับมากนักแต่การนั่งดูชายหนุ่มในอิริยาบทต่าง ๆ นอกจากการเล่นไวโอลินก็ทำให้เขารู้สึกดี...ก็ดีเหมือนนั่งดูนัตสึเมะชงกาแฟ  แต่ความรู้สึกมันต่างกันไม่น้อย

เหล้ามิ้นต์อ่อน ๆ ที่เพิ่งหัดดื่มไม่นานคงทำให้คนที่ไม่คุ้นกับแอลกอฮอล์หลับสบาย  หมู่นี้ฟุยุกิหลับสนิททุกคืนอย่างน่าประหลาด  และคืนนี้ก็เช่นกันที่พอหัวถึงหมอน  เด็กหนุ่มก็หลับไปในทันที

...

“ชื่อตัว...เหรอครับ?”  นัตสึเมะทวนคำหลังจากที่ฟุยุกิเอ่ยถามมา

“ครับ...ก็ผมไม่เห็นนัตสึเมะซังเรียกคิริฮาระซังด้วยชื่อตัวเลย  ก็เลยสงสัยน่ะครับ”

“มันติดปากแล้วน่ะครับ  ตอนที่รู้จักกันใหม่ ๆ คิริฮาระไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อตัวน่ะครับ  แล้วชื่อยูมันสั้นแล้วก็ดูน่ารักเกินไปสำหรับคิริฮาระด้วย”  นัตสึเมะอธิบายยิ้ม ๆ  ในความเป็นจริงก็คือตอนที่พวกเขารู้จักกัน  คิริฮาระเกลียดที่จะถูกคนอื่นเรียกชื่อจริงมาก  เพราะเรอิจิเรียกเขาว่า  ยูจัง  เมื่อเป็นแบบนี้นัตสึเมะก็เลยติดที่จะเรียกชื่อสกุลของเพื่อนรักมาตลอด

“ตอบเหมือนกันเลยครับ”

“กับคิริฮาระน่ะเหรอ?”

“ใช่ครับ  คิริฮาระซังก็บอกว่าเมื่อก่อนไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อตัว”  ฟุยุกิพยักหน้าแล้วยกชาขึ้นจิบ

“อืม...นี่แปลว่าถามเจ้าตัวมาแล้ว  แล้วมาพิสูจน์อักษรกับผมสิเนี่ย”  นัตสึเมะยิ้ม

“อ๊ะ  เปล่านะครับ  แค่อยากรู้น่ะครับ”  เด็กหนุ่มปฏิเสธทันที

“ผมไม่เรียกชื่อตัวของคิริฮาระ  แต่ถ้าเป็นฟุยุกิคุงละก็...เรียกได้นะครับ  ยังไงชื่อก็ยังเหมาะกับตัว”

“อ๊ะ!  เอ๋...?  ไม่...คือว่า...”  ฟุยุกิละล่ำละลักทันที  ทำไมมันกลายเป็นอย่างนี้อีกแล้วล่ะเนี่ย...เขาไม่ได้ถามเพื่อจุดประสงค์นี้เสียหน่อย  นัตสึเมะทำแบบเดียวกับคิริฮาระอีกคนแล้ว

“ไม่ชอบเหรอครับ?  ถ้าไม่ชอมผมก็จะไม่เรียก”

“เปล่าครับ!”  ก่อนจะรู้ตัวเด็กหนุ่มก็ปฏิเสธไปแล้ว  “ไม่...ไม่ใช่ไม่ชอบ!  แค่...แค่...ไม่คุ้นน่ะครับ”

“งั้นค่อย ๆ เรียกไปก็คุ้นเองละครับ”  ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ตามนิสัยและไม่ได้พยายามแหย่ฟุยุกิต่ออีก  “ว่าแต่...ได้ยินว่าคิริฮาระพาไปเที่ยวที่ไหนมาเหรอครับ?”

“อ๋อ...ก็ไปคามาคุระมาครับ”

“คามาคุระ?”  นัตสึเมะเลิกคิ้ว  “อย่างคิริฮาระเนี่ยนะ  พอคุณไปเที่ยวคามาคุระ?”

“เห็นบอกว่าอยากไปเก็บบรรยากาศโบราณ ๆ ไว้ไปแต่งเพลงหรืออะไรนี่แหละครับ”  จริง ๆ แล้วตอนที่ถูกชวนฟุยุกิก็งงเหมือนกัน  เขาคิดว่าอย่างคิริฮาระน่าจะเหมาะกับย่านเลิศหรูกลางเมืองอย่างกินซ่ามากกว่า

“แล้วไปเที่ยวที่ไหนบ้างล่ะครับ?”  เจ้าของร้านกาแฟทำหน้าครุ่นคิด...ถึงจะบอกว่าเอาไปแต่งเพลงหรืออะไรก็เถอะ  มันก็ไม่ได้เข้ากับคิริฮาระอยู่ดี

“ก็ไปไหว้พระไดบุทสึกับเที่ยววัดรอบ ๆ  แล้วก็เดินเล่นดูใบไม้เปลี่ยนสีอยู่แถว ๆ นั้นแหละครับ...แต่ก็สนุกดี”  เด็กหนุ่มเล่ายิ้ม ๆ  “อ้อ...แล้วก็ซอฟท์ครีมอาจิไซหอมมากครับ”

“ฟังดูเหมือน...ไปทัศนศึกษานะครับ”

“ครับ  แบบเดียวกับตอนไปกับที่โรงเรียนสมัยประถมเลย”  ฟุยุกิพยักหน้ายอมรับ  “แต่ไปกับคิริฮาระซังสนุกกว่า  แล้วใบไม้เปลี่ยนสีที่นั่นก็ยังสวยมากด้วยครับ  ถึงจะเป็นปลายฤดูแล้วก็เถอะ”

นัตสึเมะมองตาที่เป็นประกายระยิบของฟุยุกิแล้วก็อมยิ้ม  ดูท่า...ผมแดง ๆ ของคิริฮาระคงจะสวยกว่าใบไม้แดงเป็นไหน ๆ ละมั้ง  การฝากคิริฮาระ  “เลี้ยง”  ฟุยุกิท่าจะได้ผลดี  เพราะหมู่นี้เด็กหนุ่มยิ้มบ่อยขึ้นและมีท่าทีซึมเศร้าน้อยลง  แม้จะยังมีเรื่องความผิดพลาดในที่ทำงานมาเล่าให้ฟังบ้าง  แต่ก็เล่าด้วยท่าทางสดชื่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

“แล้ว...มีแผนจะไปเที่ยวที่ไหนกันอีกมั้ยครับ?”

“เอ้อ...ไม่มีหรอกครับ  ไม่ได้มีแผนอะไรนี่ครับ  ที่ผมได้ไปคามาคุระนี่ก็เพราะคิริฮาระซังชวนนัตสึเมะซังแล้วไม่ยอมปิดร้านนี่ครับ  เลยมาชวนผมแทน”

“...ผม?”  นัตสึเมะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  แต่แล้วก็นึกได้...นี่ต้องเป็นแผนของคิริฮาระแน่  ในเมื่อเขาไม่เคยได้ยินเรื่องการไปคามาคุระเลย  และคิริฮาระก็ไม่เคยมาชวนให้เขาปิดร้านด้วย  แบบนี้แปลว่าคิริฮาระแค่เอาเขาไปอ้างกับฟุยุกิเพื่อพาไปเที่ยวเท่านั้นเอง  ไอ้ที่ว่าไปเก็บบรรยากาศแต่งเพลงอะไรนั่นก็ข้ออ้างล้วน ๆ สินะ

“ไม่ใช่เหรอครับ?”

“คงใช่แหละครับ”  นัตสึเมะแบ่งรับแบ่งสู้กับคำถามซื่อ ๆ นั่น

ฟุยุกิทำหน้าลังเลนิดหน่อย  “แต่...ก็บอกว่าคราวหน้าจะพาไปทานอาหารร้านอร่อยที่ไม่ใช่อาหารไทยด้วยละครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ  เมื่อตอนที่พวกเขาไปกินอาหารไทยด้วยกันสี่คน  ฟุยุกิที่กินเผ็ดไม่ค่อยได้หน้าแดงก่ำและดื่มน้ำเป็นว่าเล่น  โทโมกิเสียอีกที่กินเผ็ดเก่งกว่าที่คาดไว้

“ก็ดีนะครับ  คิริฮาระรู้จักร้านอร่อย ๆ เยอะ  ต้องถูกปากแน่”  ไม่ใช่คราวนี้ก็ต้องมีสักคราวจนได้แหละ

“นัตสึเมะซังไม่ไปด้วยกันอีกเหรอครับ?”

“ผมไม่ค่อยสะดวกจะปิดร้านน่ะครับ  ถ้าคิริฮาระจะไปวันที่ผมหยุดผมค่อยไปด้วยแล้วกัน”  นัตสึเมะตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้อีก  อย่างไรเสียเขาก็หยุดทุกวันพุธอยู่แล้ว  แต่ถ้าให้เดาละก็...คิริฮาระไม่มีทางพาฟุยุกิไปไหนวันพุธให้เขาตามไปเป็นก้างขวางคอหรอก  แม้ว่าปกติพวกเขาจะหาเวลาไปกินอะไรด้วยกันบ่อย ๆ ในวันพุธก็ตาม

ฟุยุกิทำหน้าเสียดาย  “ไปกันหลายคนสนุกออกครับ”

“ไปกับคิริฮาระก็สนุกครับ  เชื่อสิ”  นัตสึเมะปลอบใจ...แต่เชื่อสิ  พอได้ไปกับคิริฮาระจริง ๆ แล้ว  ฟุยุกิไม่คิดถึงเขาหรอก  “ว่าแต่...ชาคาโมมายล์หมดหรือยังครับ?”

“ยังพอเหลือครับ”

“พอดีวันนี้ได้ชาใหม่ ๆ มาน่ะครับ  เลยว่าจะแบ่งให้”  นัตสึเมะหันไปหยิบโหลใส่ชาเล็ก ๆ ลงมาจากชั้น

“อ๊ะ!  ยังไม่ต้องหรอกครับ  ยังมีเหลือจริง ๆ”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธ

“รับไปเถอะครับ  ชาใหม่เอี่ยมแบบนี้จะหอมมากนะครับ  อยากให้ลองชงดื่มดู”  ชายหนุ่มเลื่อนโหลชาไปให้

“ขะ...ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มรับไว้พร้อมกับยิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจ

นัตสึเมะชอบรอยยิ้มแบบนี้  เพราะอยากเห็นบ่อย ๆ จึงได้ฝากให้คิริฮาระช่วยดูแล

“เอ้อ...นัตสึเมะซังครับ  แนะนำเรื่องการชงชาให้หน่อยได้มั้ยครับ  ผมเอาไปชงยังไงก็ไม่อร่อยเท่าที่นัตสึเมะซังชงให้ดื่มเสียที”

“ชงชา?”  เจ้าของร้านกาแฟเลิกคิ้ว  ถ้าเป็นกาแฟละก็เขาอธิบายได้เป็นฉาก ๆ  แต่ชาเนี่ย...เขาก็แค่อ่านหนังสือแล้วชงตามสัญชาตญาณเท่านั้นเอง  จะให้แนะนำมันก็...  แต่เห็นตาแป๋ว ๆ คู่นั้นแล้วก็ปฏิเสธไม่ออก  ในที่สุดก็นึกได้

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 06 / 22-03-58
«ตอบ #21 เมื่อ22-03-2015 21:56:49 »

“เอาอย่างนี้...รอเดี๋ยวนะครับ”

บอกแค่นั้นแล้วนัตสึเมะก็หายเข้าไปในส่วนบ้านพักทิ้งฟุยุกิไว้คนเดียว  เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากชั้นสอง...บางที  นัตสึเมะคงไปหาอะไรอยู่ละมั้ง  ครู่ใหญ่...ชายหนุ่มก็กลับมาพร้อมหนังสือในมือเล่มหนึ่ง

“ผมไม่แน่ใจว่าจะอธิบายยังไงดี  แต่อาจารย์ของผมน่าจะอธิบายได้ครับ”  นัตสึเมะส่งหนังสือให้ฟุยุกิ

“...อาจารย์เหรอครับ?”

“ผมเรียนรู้วิธีชงชามาจากหนังสือเล่มนี้น่ะครับ”

“อ๋า...”  ฟุยุกิรับหนังสือมาดู  “นี่มันภาษาอังกฤษนี่ครับ!?”

“ครับ  หนังสือภาษาญี่ปุ่นมันหาไม่ได้น่ะ”

“ไม่ไหวหรอกครับ...ผมน่ะ...”  ฟุยุกิทำหน้าละห้อยทันที

“ยังไม่ได้ลองเลยครับ  รู้ได้ยังไงว่าไม่ไหว  อาริโยชิคุงจบมหา’ ลัยนะครับ  ผมจบแค่มัธยมปลายยังอ่านได้เลย”

“เรื่องนั้นมันก็...”

“ลองดูครับ  ไหน ๆ ก็สนใจจะชงชาให้อร่อยแล้ว  แค่อ่านหนังสือเพื่อไปชงชาอร่อย ๆ นี่มันไม่เท่าไรหรอกครับ  คุ้มออก  อ่านครั้งเดียวก็ชงชาอร่อย ๆ ดื่มได้ทั้งชีวิตเลยนะครับ  แถมยังได้ชาใหม่ ๆ ไปด้วย”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ

“กว่าผมจะอ่านหนังสือจบและชงชาได้อร่อย  ชาก็หายหอมหมดแล้วละครับ”  เด็กหนุ่มทำเสียงท้อใจ

“ถึงเป็นแบบนั้น...ผมก็ยังมีชาใหม่ ๆ ให้คุณเสมอแหละครับ  เมื่อไรก็ได้...ถ้าคุณอยากชงชาอร่อย ๆ ไว้ดื่มเองละก็  ผมหาให้คุณได้เสมอแหละครับ”  พูดแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มกว้าง  “ไม่ต้องรีบ...ไม่ต้องเดี๋ยวนี้หรอกครับ  การชงชา...ถ้ารีบร้อนจะไม่อร่อยนะครับ”

ฟุยุกิรู้สึกโล่งในหัวใจอย่างประหลาด...งั้นหรือ  ไม่ต้องรีบก็ได้สินะ  ไม่ต้องชงชาให้อร่อยภายในวันเดียวก็ได้สินะ...เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ ออกมาในที่สุด

“งั้น...ขอยืมหนังสือหน่อยนะครับ”

“ครับ  นานเท่าที่พอใจได้เลยครับ”  นัตสึเมะพยักหน้าให้  แค่มีอะไรที่ฟุยุกิพอจะสนใจนิดหน่อยก็ดีแล้ว...แค่นี้ก็ดีกว่าฟุยุกิที่ว่างเปล่าเมื่อหลายเดือนก่อนตั้งเยอะ

ฟุยุกิกลับบ้านพร้อมหนังสือวิธีชงชาในกระเป๋าและโหลใส่ชาในมือ  อากาศเย็นไปหน่อยแต่หัวใจของเขาสดใสร่าเริง  นัตสึเมะใจดีเหลือเกิน  แม้บางครั้งจะทำให้รู้สึกเกรงใจไปบ้าง  แต่การที่มีคนมาเอาใจใส่แบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ  ถ้าพี่ชายสักคนของเขาใจดีแบบนัตสึเมะก็ดีสิ  ความตึงเครียดในชีวิตเขาคงจะลดลงบ้าง...แต่ช่างเถอะ  เคียวยะกับมิโนะรุก็เป็นแบบนี้มาแต่แรกอยู่แล้ว  เดี๋ยวเขาจะหัดชงขาอร่อย ๆ ให้พวกพี่ ๆ ทึ่งให้ดู

...

ตอนกลางวันในวันธรรมดาของย่านร้านค้าเล็ก ๆ ริมคลองผู้คนไม่พลุกพล่านนัก  ถ้าเป็นช่วงฤดุใบไม้ผลิที่ซากุระบานสะพรั่ง  ที่นี่ก็เป็นจุดชมดอกไม้ที่เป็นที่นิยมไม่น้อย  และถ้าเป็นช่วงเดือนก่อนที่ใบไม้ยังไม่ร่วงหล่น  ผู้คนก็คงจะคราคร่ำมากกว่านี้แน่  แต่ในวันนี้คิริฮาระกับนัตสึเมะกำลังนั่งละเลียดมื้อกลางวันอยู่ในร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูดี  ถ้าทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างก็จะสัมผัสกับทิวทัศน์ริมคลองได้  น่าเสียดายที่ตอนนี้ใบไม้ได้ทิ่งกิ่งหมดจนเหลือแต่ต้นโกร๋น ๆ แล้ว

“คาโบนาร่าที่นี่อร่อยดีนะ”  คิริฮาระพูดแล้วก็วางส้อมลง

“ถ้าอร่อยก็กินให้เยอะกว่านี้หน่อยสิ  นายกินน้อยเกินไปแล้วนะ”  นัตสึเมะพยักเพยิดไปทางจานคาโบนาร่าที่เหลืออยู่อีกเกือบครึ่ง

“อิ่มแล้วนี่”

“เดี๋ยวคนทำก็เสียใจแย่หรอก  นั่งส่งสายตาหวานซึ้งให้นายอยู่นั่น”  ร่างสูงแอบชำเลืองสายตาเป็นสัญญาณไปทางหญิงสาวสองคนที่เคาน์เตอร์  คนหนึ่งแต่งชุดธรรมดา  ส่วนอีกคนสวมชุดเมด  แต่ดูแล้วก็น่าจะเป็นสองพี่น้องที่ช่วยกันทำร้านนี้

คิริฮาระเหลือบมองตามไป  สายตาระยิบระยับนั่นก็ใช่หรอก  แต่ดูแล้วคงไม่ได้หวานซึ้งกับเขาคนเดียวแน่  เขาหยิบส้อมแล้วค่อย ๆ ละเลียดอาหารตรงหน้าต่ออีกหน่อย

“ฉันว่าเขาไม่ได้ส่งสายตาหวานซึ้งให้ฉันหรอก  ที่มันหวานเพราะมีนายมาด้วยต่างหาก”

“หา?”  นัตสึเมะชะงักมือที่กำลังจะส่งสปาเก็ตตี้ของตนเข้าปาก

คิริฮาระยักไหล่  “ก็เหมือนพวกสาวมหา’ ลัยบางกลุ่มที่ร้านนายแหละ  พอเห็นฉันนั่งคุยกับนายก็ทำตาหวานกันใหญ่”

นัตสึเมะนิ่งคิดไปนิดหนึ่งแล้วเหลือบไปมองสองสามอีกครั้ง  “แล้วถ้าฉันไม่มาด้วย...”

“ตาก็จะไม่เยิ้มขนาดนั้น”

“อายุปูนนี้กันแล้วน่ะนะ”  นัตสึเมะลอบถอนใจ  ถึงจะไม่เรียกว่าแก่  แต่พวกเขาก็เข้าเลข 3 กันแล้ว

“เขาเรียกว่าโอจิค่อน...พวกชอบลุง”  คิริฮาระดูดเส้นคาโบนาร่าเข้าปากพลางอธิบาย

“รู้ละเอียดจัง”

“ฉันว่านายก็รู้  อย่ามาทำมึนหน่อยเลยฟะ”  นักดนตรีหนุ่มเอาส้อมชี้หน้าเพื่อน

ร่างสูงแค่ยักไหล่แล้วทำยิ้ม ๆ  เรื่องพวกนี้ทำไมเขาจะไม่รู้  เขาคลุกคลีอยู่กับพวกนักศึกษาสาวในมหาวิทยาลัยมาเป็นสิบปี  บางคนถึงกับประกาศจุดประสงค์ในการยึดเขากับคิริฮาระเป็นอาหารตาอย่างโจ่งแจ้งด้วยซ้ำ  ฟังดูก็น่าจั๊กจี้  แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร  อย่างน้อยสาว ๆ พวกนี้ก็เป็นลูกค้างประจำละ

“ไอ้เรื่องพรรค์นี้มันเป็นแค่แฟชั่นหรือเป็นวัฒนธรรมใหม่กันน้า”  คิริฮาระบ่นงึมงำ

“คงไม่ใช่แฟชั่นหรอก  ถ้าแค่แฟชั่นคงไม่อยู่มานานขนาดนี้”  นัตสึเมะตอบพลางส่งสปาเก็ตตี้คำสุดท้ายเข้าปาก  “แต่ก็ไม่น่าจะเรียกว่าวัฒนธรรมหรอกนะ”

“ฉันก็พูดไปงั้นเอง”  ว่าแล้วคิริฮาระก็วางส้อมลง  “พอละ  ฉันกินมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”

นัตสึเมะไม่ได้ว่าอะไรแต่ยกมือเรียกสาวในชุดเมดมาที่โต๊ะ

“มีอะไรให้รับใช้เจ้าคะ  นายท่าน?”  เธอถามตามแบบฟอร์มของสาวเมดที่ดี  ทั้งที่ที่นี่ไม่ใช่เมดคาเฟ่แท้ ๆ

“ที่นี่มีกาแฟสดด้วยใช่มั้ยครับ?”  นัตสึเมะถามกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำว่านายท่าน  ในขณะที่คิริฮาระแอบคันในหัวใจจนต้องเบือนหน้าหนีไปกลั้นหัวเราะ

“มีเจ้าค่ะ  ไม่ทราบว่านายท่านจะรับเป็นแบบไหนดีเจ้าคะ?”

“ขอมอคค่ากับเอสเปรซโซครับ”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ  งั้นขอเก็บจานอาหารเลยนะเจ้าคะ”  ว่าแล้วสาวเมดก็เก็บจานทั้งสองใบแล้วเดินกลับไปสั่งออร์เดอร์กาแฟที่เคาน์เตอร์อย่างอารมณ์ดี

“มอคค่า?  ปกตินายดื่มแต่กาแฟขี้เมานี่”  คิริฮาระหันมาถามทันทีที่สาวเมดไปพ้นแล้ว

“กาแฟไอริชน่ะ  ไม่มีใครเขาทำขายกันหรอก  ฉันยังไม่ขายเลย”  นัตสึเมะบอกตามตรง

“ว่าแต่นายนี่...ดื่มกาแฟของร้านอื่นด้วยเหรอ?”  เสียงลดเบาลงจนแทบจะเป็นกระซิบ  การที่เจ้าของร้านสักร้านมาเข้าร้านคนอื่นมันก็ดูคล้ายกับการล้วงความลับทางธุรกิจละนะ

“ฉันชอบกาแฟ  ไม่ต้องชงเองก็ได้  ขอให้อร่อยก็พอ”

“ถ้าไม่อร่อยล่ะ?”

“ก็ไม่ชอบ”

คิริฮาระเบ้หน้าใส่ร่างสูงแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  บางทีคำตอบของนัตสึเมะก็ยียวนอย่างนี้แหละ  ต่อปากต่อคำด้วยก็เสียอารมณ์เปล่า ๆ

ไม่นานนักกาแฟสองถ้วยก็ถูกวางลงตรงหน้า  กลิ่นของมันใช้ได้ทีเดียว  นัตสึเมะยกถ้วยมอคค่าของตนขึ้นจิบก่อน

“อื้ม...อร่อย”

“จริงนะ?”  นักดนตรีหนุ่มทำหน้าไม่แน่ใจ

“ลองชิมดูสิ”

ได้ฟังอย่างนั้น  คิริฮาระจึงยกถ้วยกาแฟของตนขึ้นลิ้มรสบ้าง  ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ

“อื้ม  รสชาติดี  แต่ยังสู้กาแฟของนายไม่ได้”

“ขอบใจที่ชม”  นัตสึเมะค้อมหัวน้อย ๆ รับคำชมนั้น  “ว่าแต่...ช่วงนี้ชวนฟุยุกิคุงไปเที่ยวบ่อยนะ”

“ก็นิดนึง  รู้สึกเหมือนไปเที่ยวกับอาโออิเมื่อก่อนเลย”  คิริฮาระหมายถึงน้องชายของเขาที่อ่อนกว่ากัน 5 ปี  แต่พูดไปแล้วก็ชะงัก  “เอ๊ะ...ฟุยุกิ...คุง?  นี่นายเรียกเด็กนั่นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรน่ะ?”

“หือ?  หลังจากนายเรียกไม่นานมั้ง  เขามาเล่าให้ฟังว่านายแหย่เขาแบบนั้น  ฉันเลยแกล้งเรียกบ้าง  ก็เลยติดปากแล้วน่ะ”  ร่างสูงอธิบาย

“เห~  แผนสูงนี่  เอาฉันเป็นบันไดขยับความสัมพันธ์”  นักดนตรีหนุ่มทำหน้าเจ้าเล่ห์

“เปล่าซะหน่อย  ก็ฟุยุกิเขามาเล่าให้ฟัง”  นัตสึเมะยักไหล่  “แล้ว...ไปเที่ยวกันบ่อยสินะ”

“ก็...บ่อย  ช่วงนี้ติด ๆ กัน 2 – 3 อาทิตย์แล้ว”

“แปลกนะ  ที่คนอย่างนายชวนฟุยุกิคุงไปคามาคุระน่ะ  ไม่เห็นจะเหมาะกับนายสักนิด”

“ไม่เหมาะกับฉัน  แต่เหมาะกับเด็กนั่นนี่นา  เมืองเล็ก ๆ สงบ ๆ นั่นน่ะ...ถ้าไม่รวมพวกนักท่องเที่ยวนะ  แต่ฉันก็พาเขาเดินเลี่ยง ๆ ไปตามซอกซอยที่ไม่ค่อยมีคน  แล้วบังเอิญเจอร้านอร่อยพอดีเลย  ท่าทางฟุยุกิคุงก็แฮปปี้ด้วย”

ฟังคิริฮาระเล่ามาแล้วนัตสึเมะก็นึกขึ้นมาได้  คิริฮาระเป็นคนที่เลือกของได้เหมาะกับคนเสมอ  ถ้วยกาแฟของลูกค้าที่สนิทสนมกันเช่นของโทโมกิ  คิริฮาระเป็นคนไปสรรหามาให้ทั้งสิ้น  ไม่ใช่แค่เลือกของให้เหมาะกับคน  แม้แต่เลือกสถานที่ก็ยังทำได้ดีสินะ

“ทำไมถึงต้องไปถึงคามาคุระล่ะ  แค่แถวนี้ก็เหมาะกับฟุยุกิคุงแล้วนะ”  พูดแล้วนัตสึเมะก็มองออกไปนอกหน้าต่างร้าน  ละแวกนี้มันเงียบสงบจริง ๆ นั่นแหละ

“ฉันว่าฟุยุกิเหมาะกับอะไรที่เป็นญี่ปุ่น ๆ น่ะ  จะพาไปเกียวโตก็ไกลเกินไป  คามาคุระอยู่ในระยะกำลังเหมาะน่ะ”  คิริฮาระอธิบายความคิดของตัวเอง  “อาทิตย์ที่แล้วก็พาไปจิบลิ  มิวเซียม  ไปดูโตโตโร่มา”

นัตสึเมะเกือบพ่นกาแฟที่กำลังดื่ม  “จิบลิ  มิวเซียมเนี่ยนะ!?”

“ก็คิดว่ามันน่าจะเหมาะกับเด็ก  แต่ฟุยุกิคุงกลับไม่รู้จักโตโตโร่นี่สิ  แถมวันที่ไปเด็กก็เยอะมากด้วย”  ชายหนุ่มทำเสียงเหนื่อยหน่าย

“นี่...ฟุยุกิคุงอายุ 22 แล้วนะ  ไม่ใช่เด็กแล้ว”  นัตสึเมะกุมขมับ

“ก็ท่าทางเหมือนเด็ก ม. ต้น  ฉันก็เผลิคิดว่าเดทกับอาโออิเหมื่อนเมื่อก่อนน่ะสิ  ใครจะไปคิดว่าเด็กแบบนั้นจะไม่รู้จักการ์ตูนเลยน่ะ  แต่เขาก็บอกว่าน่ารักนะ  เลยซื้อที่ห้อยมือถือให้...บ๊ะ  ก็ยังดี  อย่างน้อยก็ท่าทางจะชอบอยู่บ้าง”  นึกถึงท่าทางของฟุยุกิตอนได้รับที่ห้อยมือถือแล้วคิริฮาระก็เผลอยิ้มอย่างเอ็นดู

“ก็...ไม่น่าจะรู้จักหรอก”  นัตสึเมะยิ้มตามไปด้วย  “เขาเคยบอกว่าเอาแต่เรียนมาตั้งแต่เด็ก...เรียนอย่างเดียวมาตลอด  เลยไม่ค่อยรู้จักอะไรเลยน่ะ”

“น่าสงสารนะ  ฉันที่โดนบังคับให้เล่นดนตรีมาแต่เด็กแถมยังเจออะไรพรรค์นั้นมา...ไอ้โรคจิตนั้นมันก็ยังสอนให้ฉันรู้จักการ์ตูนพวกนี้ผ่านเพลงประกอบเลย”  นักดนตรีหนุ่มทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง  ดวงตาคมหรี่ซึมลงเล็กน้อย

นัตสึเมะเลิกคิ้วกับคำพูดนั้นก่อนจะยิ้มบาง ๆ  นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งในชีวิตที่คิริฮาระพูดถึงเรอิจิในทางดี  เป็นความทรงจำดี ๆ เพียงน้อยนิดที่คิริฮาระมีต่อผู้เป็นอาแท้ ๆ  ถึงจะตามไปเอาคืนอย่างร้ายกาจถึงโรงพยาบาลจิตเวช  แต่บางครั้งเวลาที่พูดถึงเรื่องราวในอดีต  คิริฮาระดูจะมีท่าทีอ่อนลงบ้าง  คงเพราะวัยและความเข้าใจโลกที่เพิ่มขึ้นละมั้ง  แม้ส่วนที่แค้นก็ยังแค้น  แต่ก็สามารถค้นพบความทรงจำดี ๆ ในหัวใจได้

“ดูท่าทางนายก็มีความสุขที่ได้ไปเที่ยวนะ”

“บอกแล้วไงว่าเหมือนได้เดทกับอาโออิเมื่อก่อนเลย  เลยรู้สึกดีน่ะ”

“แล้วอาโออิคุงเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ก็ยังสวีทกับเจ้าจิโร่เหมือนเคย  แล้วก็ตระเวนเล่นเปียโนเก็บประสบการณ์อยู่ที่ยุโรป  เลยไม่มีเวลามาเดทกับพี่ชายที่น่าสงสารคนนี้แล้ว”  คิริฮาระทำหน้าเศร้า

“เลยเอาฟุยุกิคุงไปแทนที่น้องว่างั้นเถอะ”

“ก็น่ารักเหมือนกันเลยนี่นา”

“นายเห็นเขาเป็นน้อง  แต่เขาต้องไม่เห็นนายเป็นพี่แน่เลย”  น้ำเสียงของนัตสึเมะดูจริงจังอยู่ในที

“นั่นสินะ...มองตาก็รู้แล้ว  แฟนเพลงคลั่งไคล้กับไอดอลในฝัน...แบบนั้นสินะ”

“มันจะไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”

คิริฮาระยิ้ม  “ฟุยุกิคุงเป็นแฟนเพลงคนสำคัญของฉัน  ไม่เคยมีใครหยุดฟังเพลงและกางร่มให้ฉันในวันฝนตก  แต่เด็กคนนั้นทำ  ฉันเลยอยากให้ความสำคัญกับเขา  อยากดูแลในแบบที่ตัวเองทำได้...แต่เขาก็เป็นแค่น้องชายที่น่ารักเท่านั้นแหละ  นัตสึเมะ  แล้วนายก็เป็นคนมาฝากฉันเลี้ยงด้วยไม่ใช่เหรอ”

“เลี้ยงให้ดีล่ะ”

“ไม่เชื่อใจฉันเหรอ?”

“คนที่ฉันไม่เชื่อใจคือฟุยุกิคุง  เด็กนั่นอ่อนโลกเกินไป  และนายก็มีเสน่ห์มากเกินไป”

คิริฮาระทำตาโต  “หายากนะ  คำชมจากนายเนี่ย”

“นาน ๆ พูดเรื่องจริงบ้างก็ไม่เสียหายนี่”  นัตสึเมะหัวเราะ  “แต่เสน่ห์นั่นมันเป็นอันตราย  โดยเฉพาะกับเด็กที่ไม่ประสีประสาอะไรเลยอย่างนั้น”

“ฉันจะระวังแล้วกัน”  คิริฮาระพยักหน้ารับ  “ว่าแต่...ที่อุตส่าห์ชวนมากินข้าววันหยุดก็เพื่อเตือนเรื่องนี้?”

นัตสึเมะไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมด

“อ้อมค้อมเหลือเกินนะ  นัตสึเมะซัง”  นักดนตรีหนุ่มส่ายหน้า

“นายผ่าซากเกินไปเองต่างหาก”

“อ้อมไกล ๆ มันเหนื่อย  แล้ว...จากนี่จะไปไหนต่อหรือเปล่า?”

“ว่าจะไปซื้อของเข้าร้านนิดหน่อย  แล้วก็กะจะซื้ออะไรไปทำมื้อเย็นด้วย  นายอยากกินอะไรล่ะ?”  ประโยคหลังเพิ่มเสียงดังขึ้นนิดหน่อยพลางเหลือบมองสองสาวที่เคาน์เตอร์ที่ยังจ้องพวกเขาตาเป็นมัน

คิริฮาระก็สังเกตเห็นสายตาของเพื่อนเลยรีบรับมุขทันที  เขาตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มหวานเสแสร้งสุดชีวิต  “ข้าวฝีมือนายน่ะ  ไม่ว่าอะไรก็อร่อยทั้งนั้นแหละ”

สองสาวถึงกับปิดปากกรี๊ด...เซอร์วิสนิดหน่อย  บริหารเสน่ห์น่ะนะ...

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Lock on You 06 / 22-03-58
«ตอบ #22 เมื่อ23-03-2015 02:38:33 »

ลากยาวเลย แล้วก็บีบหัวใจสุดๆ

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 07 / 16-04-58
«ตอบ #23 เมื่อ16-04-2015 19:44:39 »

สวัสดีหลังสงกรานต์ครับ
เป็นยังไงบ้าง? ไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันมาหรือเปล่าครับ? สนุกไหม?
ผมทำงานที่ร้านครับ ไม่โดนน้ำสักหยดมาหลายปีแล้ว ฮะๆๆ
แต่ก็ได้เขียนนิยายต่อด้วยนะครับ ดีไปอีกแบบ
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

Lock on You 07

ความจริงแล้วคืนนี้คิริฮาระบอกว่าจะพาฟุยุกิไปดื่มที่บาร์สุดหรูของโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางโอไดบะหลังจากไปลางานกับจูอิจิที่คลับเรียบร้อยแล้ว  แต่เมื่อไปถึงคลับก็พบว่าจูอิจิงอมด้วยไข้หวัดถึงขนาดต้องใส่หน้ากากและตาแดงเยิ้มเลยทีเดียว

“ทำไมปล่อยให้เป็นขนาดนี้!?”  คิริฮาระโวยวาย  ร้อยวันพันปี  แม่ทัพคนสำคัญของเขาไม่เคยแม้แต่จะจามด้วยซ้ำ

“ก็ใครใช้ให้หิมะตกกะทันหัน...แค่ก ๆ...ล่ะครับ”  เสียงนั้นเหมือนจะโทษว่าเป็นความผิดของคิริฮาระ

“เกี่ยวอะไรกับหิมะตก?”  นั่นเป็นเรื่องเมื่อ 4 วันก่อนต่างหาก  วันนี้หิมะไม่ตกเสียหน่อย

“ก็ตอนกลับบ้าน...แค่ก ๆ...วันที่หิมะตก  ผมลื่นล้มระหว่างทางกลับบ้านตั้งหลายครัง  กว่าจะถึงบ้าน...แค่ก ๆ...ก็ชื้นไปหมดทั้งตัว  แล้วจากวันนั้นผู้จัดการก็ไม่...แค่ก ๆ...มาทำงานเลยนะครับ  ผมก็ต้อง...แค่ก...อยู่โยงเฝ้าร้าน  จนเป็น...แค่ก ๆ ๆ...แบบนี้แหละ”  แม้จะพูดไปไอไปแต่น้ำเสียงของจูอิจิก็จิกกัดและคำพูดก็บอกประสิทธิภาพการทำงานของคิริฮาระเป็นอย่างดี

“ง่า...ขอโทษ”  คิริฮาระหน้าจ๋อย  “งั้น...วันนี้นายกลับเถอะ  แล้วพรุ่งนี้ก็ไปหาหมอแล้วพักให้สบายซะนะ”

“จะให้ปล่อย...แค่ก ๆ...ผู้จัดการไว้คนเดียว...แค่ก...น่ะเหรอครับ!?”  หางเสียงสูงแสดงความไม่ไว้ใจเต็มที่

“เห็นฉันเป็นคนยังไง  หา?”  คนเป็นผู้จัดการทำเสียงไม่พอใจ

“ก็เป็นอย่าง...แค่ก ๆ ๆ...ที่เห็นแหละครับ”

“ต่อให้นายอยู่ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก  สภาพแบบนี้จะเอาหวัดไปติดลูกค้าเปล่า ๆ  ฉันดูร้านคนเดียวได้น่า”

“ผู้จัดการน่ะนะ!?”

“ทำไม!?”

ฟุยุกิที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ มานานรู้สึกทึ่งกับวิธีการพูดของจูอิจิ  คิริฮาระที่ว่าปากร้าย ๆ ยังดูหือไม่ขึ้น  แต่ดูจากอาการป่วยแล้วเขาก็เห็นด้วยกับคิริฮาระว่าจูอิจิควรจะไปพักเสียมากกว่า  แต่จะให้คิริฮาระอยู่คนเดียวก็...

“ดะ...เดี๋ยวผมช่วยเองครับ!”  เด็กหนุ่มโผล่งออกไปก่อนใจคิดจนเจ้าตัวเองก็ตกใจ

“เอ๊ะ!  จะดีเหรอครับ  อาริโยชิซัง...แค่ก ๆ...”  จูอิจิทำหน้าประหลาดใจ  แต่ไหนแต่ไรมาเด็กคนนี้เป็นแค่แขกคนพิเศษที่คิริฮาระมักจะพามานั่งดื่มบ่อย ๆ ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนเท่านั้น

“เอ้อ...ก็...คงไม่ดี...ไม่สิ...ไม่รู้จะทำได้แค่ไหน...แต่คง...พอช่วยได้ละครับ”  ฟุยุกิตอบแบบไม่เหลือความมั่นใจ  “แต่...ถ้าแค่เก็บล้างอะไร...คิดว่าทำได้ครับ”

คิริฮาระมองฟุยุกิแล้วยิ้ม ๆ  เด็กคนนี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางดี  ถ้าเป็นตอนที่ได้พบกันใหม่ ๆ ละก็ฟุยุกิไม่มีทางแสดงความเห็นอะไรเลยแน่  ไม่กล้าแทรกขึ้นมาด้วยซ้ำ  แต่ถึงขนาดอาสาจะช่วยนี่ก็ถือว่าพัฒนาไปมากทีเดียว

“ลองดูก็ได้  ช่วยเก็บล้างพวกแก้วเครื่องดื่มแล้วกันนะครับ”  คิริฮาระบอก

“ผู้จัดการ...”  จูอิจิทำท่าจะท้วง

“ฟุยุกิคุงทำได้น่า  ส่วนเรื่องอื่นฉันทำเองได้  ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำเลยเสียหน่อย  นายไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นหรอก  จิวจัง  ไปพักให้หายป่วยเถอะ”  คนเป็นผู้จัดการบอกอย่างผู้จัดการแท้ ๆ ที่นาน ๆ จะได้เห็นสักครั้ง

จูอิจิดูลังเลนิดหน่อย  แต่สุดท้ายก็พยักหน้า

“ฝากด้วยนะครับ  อาริโยชิซัง”  เขาก้มหัวให้นิดหนึ่ง  “แล้วก็...ฝาก...แค่ก ๆ...ผู้จัดการด้วยนะครับ”

“จิวจัง!”

ในที่สุดนัดหมายของคืนนั้นก็เป็นอันยกเลิกไป  และฟุยุกิก็ได้อยู่ช่วยงานที่คลับของคิริฮาระ


ตามปกติแล้วเท่าที่เคยมาในวันธรรมดา  ฟุยุกิรู้สึกว่าที่คลับมีลูกค้าไม่มากนัก  แต่คืนวันศุกร์แบบนี้ที่นั่งกลับเต็มทุกโต๊ะ  แม้ลูกค้าจะเยอะและต้องทำงานคนเดียว  แต่คิริฮาระก็สามารถบริหารการบริการให้มันไม่วุ่นวายได้  เขาบอกลูกค้าไปตรง ๆ ว่าผู้ช่วยของเขาไม่สบายเลยต้องทำงานคนเดียว  อาจมีล่าช้าบ้างต้องขออภัย  และเมื่อโดนถามถึงฟุยุกิที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ข้างหลังก็ได้คำตอบว่า

“ลูกค้าท่านแรกน่ะครับ  เข้ามาเห็นผมกำลังจะหามผู้ช่วยออกไปหาหมอพอดี  เลยช่วยพาไปให้แถมยังใจดีย้อนกลับมาช่วยงานอีกน่ะครับ  เป็นคนดีเหลือเกิน”

...เกินความจริงไปไกลมาก...

งานเก็บล้างไม่ได้มีอะไรเร่งรีบมาก  แต่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนนิดหน่อย  เพราะแก้วแต่ละใบบางเหลือเกิน  หากฟุยุกิก็ทำได้อย่างใจเย็น  เขาค่อย ๆ ล้างและเช็ดแก้วเครื่องดื่มทรงสวยสารพัดแบบไปเรื่อย ๆ พลางดูคิริฮาระผสมค็อกเทล  แม้แต่ตอนที่ไม่ได้จับไวโอลิน  คิริฮาระก็ยังดูดี  นั่นคงเป็นบุคลิกภาพที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้วละมั้ง  ฟุยุกิแอบยิ้มกับตัวเองพร้อมกับคิดว่าคิริฮาระจะเคยเล่นไวโอลินให้ลูกค้าที่นี่ฟังหรือเปล่านะ

และในจังหวะที่ว่างจากลูกค้านั่นเอง  คิริฮาระก็หยิบไวโอลินที่แขวนอยู่ข้างชั้นวางเครื่องดื่มซึ่งฟุยุกิไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อนลงมา  ก่อนจะเริ่มต้นบรรเลงเพลงช้าหวานซึ้งอันเป็นเพลงฮิตในช่วงนี้  ลูกค้าปรมือกันเกรียวกราวและนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน
คิริฮาระเล่นไวโอลินสลับกับชงเครื่องดื่มให้ลูกค้าไปเรื่อย ๆ  ส่วนฟุยุกิก็ช่วยงานและมองดูชายหนุ่มจนเพลินลืมเวลา  มารู้สึกตัวอีกทีก็เลยเที่ยงคืน...และรถไฟเที่ยวสุดท้ายก็หมดแล้ว

“แย่แล้ว...”  ฟุยุกิมองนาฬิกาแล้วครางออกมา  เขากะว่าจะอยู่ช่วยงานคิริฮาระจนถึงก่อนรถหมดแล้วจะรีบขอตัวกลับก่อนแท้ ๆ  แบบนี้ไม่แคล้วต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านแน่

“มีอะไรเหรอ  ฟุยุกิคุง?”  คิริฮาระคงได้ยินเข้าเลยหันมาถาม

“คือ...แย่แล้วครับ...รถไฟ...หมดแล้ว”

ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกา  “อ้าว  ป่านนี้แล้วเหรอ  รถหมดไปนานแล้วนี่”

“ครับ  สงสัยต้องกลับแท็กซี่”  ฟุยุกิตอบเสียงอ่อย ๆ

“รอกลับพร้อมกันมั้ย?  เดี๋ยวลูกค้าหมดผมก็ปิดร้านแล้วละ”  คิริฮาระบอกพลางมองไปรอบ ๆ ร้านซึ่งเหลือลูกค้าอยู่แค่สองสามโต๊ะเท่านั้น

แม้จะเป็นคำชวนเรียบง่าย  แต่ฟุยุกิก็ใจเต้นรีบรับปากไปทันที

“คะ...ครับ!”

พูดไปแล้วก็ตกใจตัวเอง  เขาไม่เคยกลับบ้านหลังรถไฟหมดมาก่อนเลยในชีวิต  อย่างช้าที่สุดก็คือกลับรถเที่ยวสุดท้ายซึ่งก็ไม่บ่อยนัก  แต่นี่เขากลับบอกว่าจะรอจนคิริฮาระปิดร้านแล้วค่อยกลับ...มันก็น่าตกใจจริง ๆ นั่นแหละ

กว่าลูกค้าจะกลับหมดและเก็บร้านเสร็จก็เกือบตีสอง  มองคิริฮาระที่เก็บร้านไปเรื่อย ๆ แบบเดียวกับนัตสึเมะแล้วฟุยุกิก็กลั้นหาวและแอบกังวลอยู่ลึก ๆ  ป่านนี้มิโนรุคงจะเป็นห่วงแย่แล้ว  สัปดาห์นี้พวกเขาไม่ไปบ้านพ่อกันทั้งคู่  มิโนรุติดงาน  ส่วนเขาก็นัดกับคิริฮาระเอาไว้  ดังนั้นตอนนี้มิโนรุก็น่าจะกลับถึงแมนชั่นและพบว่าเขายังไม่กลับบ้านแล้ว  แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีโทรศัพท์โทรตามเลย

“เอาละ  ไปกันเถอะ”  คิริฮาระเก็บของเรียบร้อยและเรียกฟุยุกิออกจากร้านก่อนจะปิดล็อก

ทั้งสองเดินข้างกันไปในสายลมเย็นเฉียบของฤดูหนาว  หลังจากหิมะตกเมื่อ 4 วันก่อนอากาศได้อุ่นขึ้นิดหน่อยแล้วกลับไปหนาวอีก  เร็ว ๆ นี้คงจะมีหิมะตกอีกครั้งแน่  ฟุยุกิกระชับเสื้อโค้ทเมื่อมีลมพัดมาวูบหนึ่ง  แล้วมือใหญ่ก็โอบไหล่เขาดึงเข้าไปใกล้ตัว

“หนาวเหรอ?”  เสียงนุ่มถามขึ้นเบา ๆ

ฟุยุกิเกร็งไปทั้งร่าง  ก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ รับ  แม้อากาศจะหนาวแต่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าหน้าของตนร้อนผ่าวไปถึงหู

“วันนี้ขอบคุณนะที่อยู่ช่วย  ช่วยผมได้มากเลยละ”  คิริฮาระยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“มะ...ไม่หรอกครับ  ผม...แค่อยากช่วย  ถ้า...จะมีประโยชน์อะไร...กับคิริฮาระซังบ้าง...”

คำตอบลุกลี้ลุกลนและท่าทางประหม่านั้นทำให้คิริฮาระอดยิ้มไม่ได้  แม้จะมีพัฒนาการที่ดีให้เห็น  แต่กับเขาแล้ว  ฟุยุกิก็ยังดูเป็นเด็กแบบนี้เสมอเลย

“ทำได้ดีมากเลยละ”  ชายหนุ่มลูบเรือนผมดำขลับอย่างเอ็นดู  “ว่าแต่...บ้านฟุยุกิคุงอยู่ที่ไหนน่ะ?”

“เอ้อ...ก็...”  ฟุยุกิบอกชื่อย่านที่พักอาศัยที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไป

“ไกลจัง!”

“อ่า...ครับ...”  เด็กหนุ่มยอมรับ  เขารู้สึกว่ามันไกลมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว  แต่ในเมื่อมันเป็นแมนชั่นของมิโนรุ  จะให้พูดอะไรได้

“อืม...”  คิริฮาระทำท่าครุ่นคิดนิดหน่อย  ก่อนจะบอกว่า  “ไปค้างที่บ้านผมแล้วกัน”

“หา!!?”  ฟุยุกิร้องเสียงดัง  ไม่ใช่แค่ใจเต้น...แต่หัวใจแทบหยุดเต้นไปเลยทีเดียว  “วะ...วะ...ว่าอะไรนะครับ!?”

“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย?  ผมแค่บอกให้ไปค้างที่บ้านผมก็แล้วกัน  บ้านคุณไกลมาก  กว่าจะถึงก็เช้าพอดี”

“มะ...มะ...มะ...ไม่เช้าหรอกครับ  แล้ว...แล้ว...ผมก็ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน  บะ...บะ...บ้านคิริฮาระซังน่ะ...”  ฟุยุกิเป็นโรคติดอ่างขึ้นมากะทันหัน

“ชุดนอนกับผ้าเช็ดตัวใช้ของผมก่อนก็ได้  ขากลับก็ใส่ชุดเดิมไง”  คิริฮาระกลั้นยิ้ม

“จะ...จะ...จะดีเหรอครับ?  บะ...บะ...แบบนั้นมัน...ผะ...ผม...ผมว่ามันไม่...”

“ดีสิ!  แท็กซี่มาแล้ว  ขึ้นเลย ๆ”  คิริฮาระไม่ปล่อยให้ฟุยุกิไปติดอ่างอื่น ๆ อีก  เขาโบกแท็กซี่แล้วยัดฟุยุกิขึ้นรถทันที  ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธด้วย

...

บ้านของคิริฮาระคือห้องชุดขนาดครอบครัวบนชั้น 12 ของแมนชั่นหรูใจกลางเมือง  มีทั้งห้องนอน 3 ห้อง  ห้องน้ำ  ห้องครัว  และห้องนั่งเล่นแยกเป็นสัดส่วน  ตอนที่เห็นแมนชั่นและสถานที่ตั้ง  ฟุยุกิก็อึ้งไปทีหนึ่งแล้ว  แต่พอได้เห็นภายในห้องก็แทบจะอ้าปากค้าง  การตกแต่งภายในเป็นระเบียบสวยงามราวกับห้องตัวอย่าง  ใช้โทนสีฟ้าอมเทาที่ดูอ่อนโยน  แม้จะดูขัดกับอิมเมจของคิริฮาระโดยสิ้นเชิงจนน่าประหลาดแต่ความสวยของห้องก็ทำให้ฟุยุกิมองข้ามเรื่องนี้ไปเลย

“นั่งที่โซฟาก่อนก็ได้ครับ”  คิริฮาระเชื้อเชิญพลางวางสัมภาระลงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแร่ออกมาให้  “ในตู้มีแต่เบียร์  คิดว่าคงไม่ดื่ม  เอาน้ำแร่แล้วกันนะ”

“ขะ...ขอบคุณครับ  ระ...รบกวนด้วยนะครับ”  ฟุยุกิเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้เอ่ยคำทักทายตามมารยาทเลยรีบพูดออกมาด้วย

“เกร็งอะไรขนาดนั้น”  คิริฮาระหัวเราะ  “บ้านผมมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ปะ...เปล่าครับ  คือ...ผมไม่คุ้น...ไม่ค่อย...ได้ไปบ้านใคร...”  นอกจากบ้านเพื่อนสมัยเด็ก ๆ ก็มีแค่บ้านนัตสึเมะที่ได้เข้าไปเมื่อตอนฤดูใบไม้ร่วงครั้งเดียวนั้น

“อ้อ...งี้นี่เอง”  ผู้เป็นเจ้าของบ้านพยักหน้าหงึกหงัก  “แต่ทำตัวตามสบายเถอะ  เสื้อโค้ทนั่นก็ถอดซะก่อนก็ได้”

“อ๊ะ  ครับ”  ฟุยุกิรีบถอดเสื้อโค้ทออก  จริง ๆ ก็เริ่มร้อนแล้วเหมือนกันเพราะเครื่องปรับอากาศในห้องเริ่มทำงานแล้ว

คิริฮาระหายเข้าไปในห้องอาบน้ำครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่น่าจะเป็นห้องนอน  ก่อนจะกลับมาพร้อมชุดนอนและผ้าขนหนูในมือ

“เดี๋ยวน้ำเต็มอ่างก็อาบได้เลยนะครับ  แช่ตัวให้สบายเลยก็ได้  คืนนี้จะได้หลับสนิท”

“ชะ...แช่ตัว!?”  เด็กหนุ่มทำตาโต  จะให้อาบน้ำแช่ตัวในบ้านคนอื่นเนี่ยนะ!!

เหมือนคิริฮาระจะเดาได้ว่าฟุยุกิคิดอะไรอยู่จึงรีบบอกว่า  “นึกซะว่าไปทัศนศึกษาแล้วพักโรงแรมแล้วกันครับ  คิริฮาระโฮมสเตย์ยินดีต้อนรับ”

ฟุยุกิค่อยยิ้มออก  เขารับของจากมือคิริฮาระ  “งะ...งั้นรบกวนหน่อยนะครับ”

“แช่ให้หายติดอ่างเลยนะครับ”  ชายหนุ่มแซวมา

ฟุยุกิหน้าแดงก่ำแล้วรีบผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำทันที

อ่างน้ำอุ่นคือสุดยอดความสุขในวันที่หนาวเหน็บเช่นนี้  ฟุยุกิแช่ตัวพลางมองสำรวจในห้องอาบน้ำที่กรุ่นเป็นไอ ในห้องอาบน้ำก็เป็นระเบียบเรียบร้อยไม่แพ้ด้านนอก  เพียงแต่บนชั้นวางของนั้น  นอกจากจะมีสบู่กับแชมพูแล้วยังมีพวกเกลือหอมและน้ำมันหอมสำหรับแช่ตัววางเรียงรายอยู่มากมาย  ท่าทางคิริฮาระจะชอบของพวกนี้และคงขี้เบื่อจนต้องเปลี่ยนกลิ่นบ่อย ๆ สินะ

ฟุยุกิมองพวกมันอย่างสนใจ  เขาไม่เคยใช้ของพวกนี้ตามใจชอบ  ที่บ้านพ่อค่อนข้างหัวโบราณจึงมักจะทำตามธรรมเนียมที่พ่อจะอาบน้ำคนแรก  ตามมาด้วยเคียวยะ  มิโนรุ  และเขาเป็นคนสุดท้าย  ดังนั้นเกลือหอมหรือน้ำมันที่ใส่ลงไปจึงเป็นพวกกลิ่นสมุนไพรที่พ่อชอบเสมอ  ส่วนมิโนรุไม่พิถีพิถันอะไรกับเรื่องพวกนี้มากนัก  เขาก็เลยไม่ได้สนใจไปด้วย  แต่พอเห็นมันอยู่รวมกันเยอะ ๆ แล้วก็อดสนใจไม่ได้

เมื่อแช่น้ำจนตัวอุ่นพอสมควรแล้ว  เด็กหนุ่มก็รีบขึ้นมาแต่งตัวเพราะคิดว่าคิริฮาระก็คงจะอยากอาบน้ำและพักผ่อนบ้างแล้ว  ชุดนอนที่คิริฮาระให้ยืมตัวใหญ่ไปหน่อยแต่ก็เป็นผ้าเนื้อนนุ่มใส่สบาย

พอออกมาจากห้องน้ำ  ฟุยุกิก็เห็นคิริฮาระกำลังนั่งยิ้มอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกโดยมีกองกระดาษเอกสารกออยู่ใกล้ ๆ  เมื่อรู้สึกตัวว่าฟุยุกิมองอยู่ก็หันมายิ้มให้

“เรียบร้อยแล้วเหรอครับ  สบายตัวมั้ย?”

“ดีมากเลยครับ”  ฟุยุกิก้มหัวให้นิด ๆ เป็นเชิงขอบคุณ  “แล้ว...คิริฮาระซังทำงานเหรอครับ?”

“เอาบัญชีกลับมาทำน่ะ  แล้วก็เช็คเมล์นิดหน่อย”

“ขยันจังครับ...”  ดึกป่านนี้แล้วแท้ ๆ...

“ถ้าไม่ทำบัญชีไว้  จิวจังต้องบ่นยาวแน่เลยน่ะ...เอาละ  คุณนอนก่อนเถอะ  ผมยังต้องทำงานต่ออีกหน่อย”  พูดแล้วผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ลุกจากโซฟาไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง  “คืนนี้พักที่นี่แล้วกันนะครับ”

ห้องนอนนั้นค่อนข้างกว้างและแตกต่างกับห้องข้างนอกโดยสิ้นเชิง  ในขณะที่ภายนอกทำให้ฟุยุกิรู้สึกว่าขัดกับอิมเมจของคิริฮาระเป็นอย่างมาก  แต่ห้องนอนนี้กลับตกแต่งด้วยสีขาวดำเป็นหลัก  กระทั่งเตียงนอนและผ้าห่มขนสัตว์ก็ยังเป็นผ้าสีดำเป็นมันเลื่อมสะท้อนแสงโคมไฟตั้งพื้นเป็นเงาเหมือนเสือดำที่นอนหมอบอยู่กลางห้อง  เป็นห้องที่แสดงตัวตนของคิริฮาระอย่างที่สุด

“นะ...นี่ห้อง...ของคิริฮาระซังเหรอครับ...?”  ฟุยุกิถามหลางกลืนน้ำลาย

“เก่งนี่  รู้ได้ยังไงเนี่ย?”

ไม่รู้ก็แปลกแล้ว...ฟุยุกิอยากบอกแบบนั้นแต่ก็พูดไม่ออก

“ผม...ผมนอนห้องอื่นก็ได้นะครับ!”

“ไม่มีห้องอื่นหรอก”

จะไม่มีได้ยังไง  ก็เห็นอยู่ว่ามี 3 ห้อง...ฟุยุกิทำตาโตมองหน้าชายหนุ่ม

“ห้องอื่นผมเอาไปทำอย่างอื่นหมดแล้วน่ะ”

“โซฟาก็ได้ครับ!”  เด็กหนุ่มบอกด้วยเสียงเกือบแตกตื่น

“ให้แขกนอนโซฟาเนี่ยนะ  รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลยนะ”  คิริฮาระหัวเราะคิก  “เอาน่า  นอนเถอะ  เดี๋ยวผมไปนอนห้องทำงานได้  นี่ก็ดึกมากแล้ว  อย่าคิดมากเลยนะ”

ไม่พูดเปล่ายังรุนหลังฟุยุกิเข้าไปในห้อง  กดไหล่ให้นั่งลงบนเตียงดิบดี

“นอนซะนะครับ  ห้องนอนผมน่ะอาถรรพ์  รายไหนรายนั้น...ถ้าได้นอนละก็ฝันดีทุกราย”

“คะ...ครับ...”  ไม่มีทางเลือกนอกจากตอบไปแบบนี้

“เดี๋ยวผมขอตัวไปทำงานก่อน  ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ...”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มตอบกลับไป

ประตูห้องปิดลง  เหลือแต่เด็กหนุ่มอยู่ในห้องคนเดียวกับแสงสลัวของโคมไฟ  ไม่มีอะไรให้ทำดีไปกว่านี้  ฟุยุกิจึงสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ  แต่ยังคงลืมตาโพลงอยู่ในความมืด  แม้จะดึกมากแล้วอย่างที่คิริฮาระบอกหากฟุยุกิยังไม่อาจข่มตาหลับลงได้  หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ  ใต้ผ้าห่มนี้...กลิ่นอายของคิริฮาระอวลอยู่รอบกายราวกับจะห่อหุ้มเขาเอาไว้

...ไม่หรอก...มันป็นกลิ่นผ้าห่มเท่านั้นแหละ...  ฟุยุกิพยายามบอกตัวเอง

...แต่นี่เป็นเตียงของคิริฮาระซัง...ที่ที่คิริฮาระซังนอนทุกคืนนะ...  อีกใจพูดอย่างนั้น

...แต่...มันไม่ใช่กลิ่นของคิริฮาระซังเสียหน่อย...

...แล้วทำไมกลิ่นของเขาจะไม่ติดอยู่ในผ้านวมบ้างล่ะ...

สองใจเถียงกันได้แค่นี้...ฟุยุกิก็กลิ้งขลุก ๆ อยู่บนเตียง  ยกมองมือขึ้นปิดหูแล้วซุกหน้างุดลงกับหมอน  ใบหน้าร้อนผ่าวแบบที่ไม่ต้องเห็นก็รู้แล้วว่ามันแดงไปถึงไหนต่อไหน

...หมอนนี่...ก็หมอนที่คิริฮาระซังหนุนทุกคืนนี่นา...

เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องพิลึก ๆ แล้วดิ้นปัด ๆ  ใจเต้นจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก  แบบนี้ตายแน่...ต้องขาดใจตายก่อนจะได้หลับฝันดีตามที่คิริฮาระบอกแน่  แค่อยู่ข้าง ๆ คิริฮาระก็ใจสั่นแล้ว...คนอย่างเขาจะนอนบนเตียงใต้ผ้าห่มของคิริฮาระได้ยังไง!!

ในตอนที่กลิ้งมาจนจะตกเตียง  หูของฟุยุกิก็แว่วเสียงอะไรบางอย่าง...เสียงที่แว่วหวานและแสนอ่อนโยน...เสียงไวโอลิน  คิริฮาระกำลังสีไวโอลินอยู่ที่ห้องด้านนอก  เพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน...หลายเดือนมานี้  เขาจำเพลงที่คิริฮาระเล่นที่ข้างถนนได้แทบทุกเพลงแม้จะไม่รู้จักชื่อ  แต่เพลงที่คิริฮาระกำลังบรรเลงอยู่นี้...เขาไม่เคยฟังมาก่อน

ช่างแสนอ่อนหวาน...ราวกับจะละลายความหนาวเหน็บได้  เขารู้ว่าคิริฮาระอ่อนโยน...แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะอ่อนหวานได้ถึงเพียงนี้  ราวกับเป็นความรู้สึกที่เก็บไว้เพื่อใครบางคนโดยเฉพาะ...

...แล้วใครล่ะ...

ยังไม่ทันถามตัวเองมากไปกว่านี้  ท่ามกลางความอ่อนโยนที่รายล้อม...ฟุยุกิก็จมลงสู่ห้วงนิทรา

...

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 07 / 16-04-58
«ตอบ #24 เมื่อ16-04-2015 19:47:28 »

“ช่วงเสาร์อาทิตย์นายไม่ค่อยกลับบ้านเลยนะ  ฟุยุกิ”  มิโนรุพูดขึ้นในวันหนึ่งที่มีเวลาคุยกันในตอนเช้า

“เอ๊ะ?...เอ้อ...ก็...”  ฟุยุกิไม่รู้จะตอบยังไง

“ไปค้างบ้านเพื่อนเหรอ?”

“เอ่อ...ครับ”  เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม  ตอบไปแบบนี้จะถูกดุอะไรหรือเปล่านะ

แต่มิโนรุไม่ได้ว่าอะไรนอกจากพยักหน้ารับรู้แล้วขยับเนคไทให้เข้าที่  สีหน้านั้นเกือบจะยิ้มด้วยซ้ำ

“ก็ดีแล้ว”

ฟุยุกิทำหน้าประหลาดใจ  “...ไม่ว่าอะไรเหรอ?”

“จะว่าทำไม”  ผู้เป็นพี่หัวเราะ  “พวกฉันรอให้มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่นายเรียน ม. ปลายแล้ว”

“เอ๋?”

“มันแปลว่าอย่างน้อย...ในที่สุดนายก็มีเพื่อนให้ไปค้างที่บ้านกับเขาเสียที  เลิกเป็นมนุษย์เก็บเนื้อเก็บตัวไม่มีใครคบแล้วไงล่ะ  ถึงจะช้าไปหน่อยแต่ก็ยังมีเพื่อนละนะ”  มิโนรุยิ้มกว้างแบบที่นาน ๆ จะได้เห็นสักครั้ง

ฟุยุกิดูงุนงง  แต่มิโนรุไม่ได้สนใจอะไรอีก

...เหรอ?  ไปค้างบ้านคิริฮาระไม่ผิดงั้นเหรอ  ไม่กลับบ้านพ่อทุกอาทิตย์ก็ได้สินะ...ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลย  แต่ก็แปลว่าจะไปค้างอีกก็ไม่เป็นไรสินะ...ถึงคิริฮาระจะไม่ใช่เพื่อนแบบที่มิโนรุเข้าใจก็เถอะ

...

“บางครั้งฉันก็คิดว่ามันดีจริง ๆ หรือเปล่า”  จู่ ๆ นัตสึเมะก็เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ขณะที่กำลังเข็นรถเข็นและเลือกซื้อของอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต

“อะไรดี?”  คิริฮาระทำหน้างงเมื่ออยู่ ๆ เพื่อนรักก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย  พวกเขากำลังเดินอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านของนัตสึเมะและค่อนข้างจะตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาแม่บ้านที่มาจับจ่ายซื้อของไม่น้อยทีเดียว

“การฝากให้นายดูแลฟุยุกิคุงน่ะสิ”  ร่างสูงหยิบกระป๋องเนยถั่วขึ้นมาพลิกดูวันหมดอายุ

“แล้วมันไม่ดีตรงไหน?”  คิริฮาระหยิบถั่วลันเตากระป๋องใส่ในรถเข็น

“ตรงที่นายชักจะเกินเลยไปใหญ่แล้ว”  นัตสึเมะหยิบกระป๋องที่คิริฮาระเพิ่งใส่ลงไปกลับคืนชั้นวาง  “ถั่วน่ะไปซื้อของสดก็ได้  ถั่วสด ๆ อร่อยกว่า”

นักดนตรีหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่ง  “หมายถึงเรื่องที่ฉันให้ถั่ว...เอ๊ย  ฟุยุกิคุงไปค้างที่บ้านน่ะเหรอ?”

“ใช่...”  นัตสึเมะมองตาเพื่อน  แล้วต่างก็นิ่งกันไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่คิริฮาระจะหันไปหยิบขวดแยมสตรอว์เบอร์รี่กับบลูเบอร์รี่มาพิจารณา

“แต่ฟุยุกิคุงก็ดูมีความสุขดีออกนี่นา”

“ก็ใช่  แต่ฉันไม่คิดเลยว่านายจะถึงขนาดให้นอนในห้องของนาย...บนเตียงเดียวกัน”

“ก็ห้องอื่นมันไม่ว่างแล้ว  ห้องนึงของคิโยะ  อีกห้องเป็นห้องดนตรี  แล้วเตียงของฉันก็คิงไซส์...นอนสองคนได้สบาย ๆ หรอก  และฉันก็นอนห้องอื่นไม่ค่อยหลับเสียด้วย”  พูดแล้วก็ชูขวดแยมให้ดู  “อันไหนดี?”

“ยี่ห้อนั้นอร่อยกว่า”  ร่างสูงชี้ไปที่ชั้นใกล้ ๆ กัน  “ฉันรู้ว่าเตียงนายนอนสองคนได้  แต่ไม่คิดว่านายจะยอมให้ใครมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวขนาดนั้น”

“อืม...นั่นสินะ”  คิริฮาระทำท่าครุ่นคิด  ปกติแล้วเขาค่อนข้างจะซีเรียสกับความเป็นส่วนตัว  เพราะมีความลับความไม่ลับในชีวิตเยอะแยะ  แต่เขากลับยอมให้ฟุยุกินอนในห้องส่วนตัวแบบไม่คิดอะไรเลยเสียได้  “คงเพราะฟุยุกิเหมือนอาโออิเมื่อก่อนมั้ง”

“แน่ใจเหรอว่าเหมือนอาโออิคุง?”  นัตสึเมะหยิบแยมยี่ห้อที่แนะนำคิริฮาระใส่รถเข็นเผื่อส่วนของตัวเองด้วย  “เขาเล่าว่านายนอนกอดเขา”

นักดนตรีหนุ่มหมุนตัวกลับมาแล้วยกเท้าขึ้นแตกล้อหน้าของรถเข็นให้หยุด  กอดอกแล้วเขม้นมองหน้าเพื่อน

“นี่นายเรียกฉันออกมาแต่หัววันเพื่อสอบปากคำงั้นเรอะ?”

“...แค่อยากรู้  ว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไงกันแน่”  นัตสึเมะตอบอย่างสงบ  “ฟุยุกิคุงมาเล่าให้ฉันฟังแทบทุกเรื่องแหละ  ท่าทางเขาดีใจและมีความสุขมาก  แทบไม่เหลือเค้าเด็กอมทุกข์คนที่นายพามาหาฉันเลย  แต่ถ้าพูดตามตรง...ท่าทางเขาเหมือนเด็กที่ได้ใกล้ชิดไอดอลที่ตามกรี๊ดอยู่อะไรแบบนั้นน่ะ  เหมือนกำลังอยู่ในฝัน  ทีนี้...เด็กแบบนั้นมักจะเอาความฝันความจริงมาปนกันมั่วไปหมด  เหมือนสมัยที่นายเรียนมหา’ ลัยก็ยังมีสาวมาเม้าธ์กันในร้านของฉันว่าได้นอนกับนายแล้ว  ทั้งที่ความจริงก็แค่นายเก็บสมุดที่เธอทำหล่นให้เท่านั้นเอง  ถึงฟุยุกิคุงจะดูไม่ใช่เด็กขี้โกหกแบบนั้น  แต่ฉันก็ฟันธงไม่ได้หรอกว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งหมดหรือเปล่า  เลยต้องมาถามนายนี่แหละ”

“ถามคนขี้โกหกอย่างฉันเนี่ยนะ?”

“อย่างน้อยนายก็ไม่เคยโกหกฉัน”

คิริฮาระมองลึกเข้าไปในดวงตาของนัตสึเมะ  แล้วต่างก็จ้องตากันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง  ก่อนที่คิริฮาระจะถอนใจ

“ใช่  ฉันกอดเขา...แบบหมอนข้าง”

“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ  นายไม่ติดหมอนข้างนี่?”

“ฉันฝันถึงคิโยฮารุ”

“จะเอาฟุยุกิคุงไปเป็นตัวแทนซาคากิซังไม่ได้นะ  คิริฮาระ”  น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นมาทันที

“ถึงนายไม่บอกฉันก็รู้อยู่แล้วน่า  แล้วก็เลิกเรียกซาคากิซังเสียทีเถอะ  คิโยะบ่นว่ามันห่างเหิน  เรารู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้วนะ”

“จะเอาฟุยุกิคุงไปเป็นตัวแทนคิโยฮารุคุงไม่ได้นะ  คิริฮาระ”  ร่างสูงพูดใหม่ทันควันอย่างประชดประชัน

“เออ  ฉันรู้แล้ว  ฉันไม่ทำหรอก  แล้วมันก็แทนกันไม่ได้ด้วย”  คิริฮาระทำเสียงหงุดหงิด  “คืนนั้นฉันแค่ฝัน  ควานไปข้างตัวเจอคนนอนอยู่ก็คิดว่าเป็นคิโยะ  เลยคว้ามากอด...แต่กลิ่นมันไม่ใช่  แต่ทีนี้กอดไปแล้วก็เลยเลยตามเลย  แล้วมันก็อุ่นดีด้วยน่ะ”

“กลิ่น?  นายเป็นหมาหรือไงเนี่ย?”

“ฉันแค่จมูกไว!”  นักดนตรีหนุ่มสวนทันที  “อย่างนายน่ะ  ต่อให้ใช้น้ำหอมทั้งห้างก็กลบกลิ่นกาแฟที่คลุ้งไปหมดนั่นไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ  มันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของนายไปแล้ว  คิโยะก็เหมือนกัน  กลิ่นน้ำหอมของเขามันติดจมูกฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว  เพราะงั้นแค่กอดคนผิดก็ต้องรู้แหงอยู่แล้วน่า  ฟุยุกิคุงน่ะ...มีกลิ่นบริสุทธิ์กว่านั้นมาก...จนไม่กล้าทำอะไรเลยละ  ทำไม่ได้จริง ๆ...”

เห็นสีหน้าของคิริฮาระแล้วนัตสึเมะก็อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้  คิริฮาระในตอนนี้เหมือนเวลาที่พูดถึงเรื่องน่าเอ็นดูของน้องชายอยู่ไม่มีผิด  ถูกแล้ว...คิริฮาระไม่เคยโกหกเขา  ที่บอกว่าฟุยุกิเหมือนน้อยก็ต้องเป็นความรู้สึกจริง ๆ แน่

“ไม่กล้าทำอะไรแต่ก็ยังอุตส่าห์กอดนะ”  ร่างสูงส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรแฮปปี้ไปกว่าการมีคนให้นอนกอดตอนหน้าหนาวอีกแล้ว”  คิริฮาระกำมือหมับ

“ทีหลังถ้าไม่มีใครให้กอดตอนหนาว ๆ  จะมากอดฉันก็ได้นะ”

คิริฮาระชะงักกึก  หันไปมองนัตสึเมะอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง  “อะไรนะ!?”

“ฉันบอกว่า...ถ้าไม่มีใครให้กอดตอนหนาว ๆ  เรียกฉันไปให้กอดถึงบ้านก็ได้นะ”  นัตสึเมะแกล้งพูดดังขึ้นจนคนรอบข้างหันมามอง

คิริฮาระรีบกระโจนเข้าไปตะครุบปากนัตสึเมะทันที  เบิกตากว้างและกระซิบอย่างลนลาน  “ไอ้บ้า!  ถึงฉันจะเป็นคนพรรค์นี้แต่ฉันก็ไม่อยากมีข่าวออกอากาศกับนายหรอกนะ!”

“ยังกะนายแคร์”  นัตสึเมะงึมงำลอดมือคิริฮาระออกมา

“แคร์นะเฟ้ย  นายเห็นฉันเป็นคนยังไงฟะ?”

“ก็เป็นแบบนี้แหละ  ปล่อยมือเสียที”

คิริฮาระยอมปล่อยมือแต่ยังบ่นอะไรงึมงำไม่หยุด  นัตสึเมะเพียงแต่หัวเราะเบา ๆ แล้วเข็นรถเข็นเลาะไปตามชั้นวางสินต้า  เลือกหยิบของที่จะใช้ในชีวิตประจำวันและที่ต้องใช้ในร้านในตะกร้ารถเข็น  มีเจ้าหนุ่มหัวแดงเดินบ่นไปข้าง ๆ

“ไม่ซื้ออะไรเข้าบ้านบ้างเหรอ  คิริฮาระ?”

“ปกติฉันก็ไม่ค่อยทำอะไรกินอยู่แล้วน่ะ  ฝากท้องไว้กับร้านใกล้ ๆ แมนชั่นมากกว่า”

“ไม่หาไว้เผื่อทำมื้อเช้ากินบ้างเหรอ?”

“ฉันตื่นมาก็บ่ายแล้ว  แล้วถ้าจะบอกให้กินอาหารสดใหม่ละก็...ที่ร้านคุณลุงก็ทำสด ๆ ใหม่ ๆ เหมือนกันแหละ  อร่อยด้วย”  คิริฮาระรีบดักคอเพราะรู้ดีว่านัตสึเมะพยายามจ้ำจี้จ้ำไชเขาเรื่องนี้มาตลอด

“เกลียดชะมัด  คนรู้ทันเนี่ย”  ร่างสูงส่ายหน้าแต่ก็ยิ้มเรื่อย ๆ ตามนิสัย

“ก็ฉันคบนายมาค่อนชีวิตแล้วนี่  ก็ต้องรู้ทันบ้างแหละ”  แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นแซนวิชสเปรดกับซีเรียล  “เอ...แต่ซื้อไปบ้างน่าจะดี  เผื่อ...”

“เผื่อฟุยุกิคุงไปค้าง...ฉันก็ว่างั้นแหละ  ของกินที่บ้านนายมันน้อยเกินไป  ลำพังตัวนายก็ไม่เป็นไรหรอก  แต่คนอื่นเขาจะอดตายเอานะ”

“บ๊ะ!  พูดยังกะไปค้างบ้านฉันบ่อย”

“คงไม่เคยไปมั้งครับ  คุณคิริฮาระ  ยู  ใครกันนะที่มาอ้อนกระอืด ๆ ให้ผมไปนอนเป็นเพื่อนแก้เหงาใจอยู่ร่วมเดือนตอนที่ซาคากิซังไปเยอรมันใหม่ ๆ น่ะ  ผมเกือบอดมื้อเช้าตายจนสุดท้ายก็ต้องหอบหิ้วเสบียงไปตุนไว้รักษาชีวิตตัวเอง  คุณไม่เคยสังเกตเลยเหรอครับ...ที่รัก!”  คำสุดท้ายเน้นเสียงดังเป็นพิเศษ

“ว้าก!!  พูดบ้าอะไรเนี่ย!?  อย่ามาสร้างความเข้าใจผิดแถวนี้นะว้อย!!”  คิริฮาระตะปบปากนัตสึเมะแล้วรีบลากไปให้พ้นจากสายตาแม่บ้านที่มองมานับสิบทันที

หน้าตู้แช่ผักผลไม้คือที่หลบภัยชั่วคราวของนักดนตรีหนุ่ม  เขาเหลือบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง  แต่นัตสึเมะกลับเลือกผักหน้าตาเฉย

“นี่นายมีความแค้นอะไรกับฉันเนี่ย  นัตสึเมะ?”  คิริฮาระทำเสียงคาดคั้น

“เปล่านี่”

“นาย...เรื่องฟุยุกิคุงใช่มะ?”

ร่างสูงชะงักไปนิดหน่อยแต่มือก็เลือกแอปเปิ้ลพลางตอบว่า  “เปล่าเสียหน่อย  ทำไมฉันต้องคิดมากเรื่องเด็กคนนั้นด้วยล่ะ  ที่รัก?”

“มุกเดิม ๆ ใช้กับฉันซ้ำ 3 ครั้งไม่ได้ผลหรอกเฟ้ย”

“ชิ!  ตั้งตัวติดแล้วเรอะ”  ร่างสูงจิ๊ปากขัดใจ

“สารภาพมาซะ  เจ้าเสาโทรเลข  นายโกรธฉันเรื่องฟุยุกิคุงใช่มั้ย?”  คิริฮาระเท้าเอวอย่างหาเรื่อง  หากนัตสึเมะยังทำหน้าเฉย ๆ
“สปาเก็ตตี้วันนี้  จะใส่เห็ดเยอะหน่อยมั้ย  ที่รัก?”

“สปาเก็ตตี้เหรอ?  เอาสิ  ซอสครีมเห็ดก็ต้องเห็ดเยอะ ๆ...อ๊ะ  อย่ามานอกเรื่องนะ!”

ร่างสูงได้แต่ยิ้ม ๆ ในขณะที่คนตัวเล็กกว่าเดินตามมาแว้ด ๆ อยู่ข้าง ๆ  จากสายตาคนนอกไม่แคล้วต้องเห็นพวกเขาเป็นคู่เกย์แต่งงานใหม่ที่ทะเลาะกันเป็นแน่  แต่ช่างเถอะ...ใช่ครั้งแรกเสียเมื่อไรล่ะ


คิริฮาระนั่งจิ้มผักสลัดใส่ปากพลางสูดกลิ่นซอสครีมเห็ดที่อบอวลไปหมดทั้งบ้านของนัตสึเมะ  เจ้าของบ้านกำลังยืนอยู่หน้าเตาในชุดผ้ากันเปื้อนคุ้นตา

“มันเรื่องอะไรนายถึงได้มาทำมื้อเย็นเลี้ยงฉันแบบนี้เนี่ย?”  นักดนตรีหนุ่มถาม  ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นนัตสึเมะเข้าครัว  แต่เรื่องจะทำอาหารจริงจังนอกจากแซนด์วิชที่ขายที่ร้านแล้วออกจะหายาก

“ตอบแทนเรื่องฟุยุกิคุงมั้ง”

“ไหนนายโกรธที่ฉันพาเขาไปค้างที่บ้านไง”

“ก็ไม่ถึงกับโกรธ...ก็แค่...”

“อิจฉา?”  คิริฮาระต่อประโยคให้จบ

“อืม...อาจจะ...”  นัตสึเมะเทนมลงหม้อ  “เท่าที่ฟัง...แค่นอนในห้องนายก็ไม่เท่าไรหรอก  แต่พอบอกว่านอนกอดนี่...มันจี๊ดขึ้นมาในใจเลยละ”

“นายชอบเด็กนั่น...”

“ชอบ...ก็น่ารักดี”

“ไม่ใช่แค่นั้นมั้ง?”  คิริฮาระเหล่มองแผ่นหลังที่ไม่ยอมหันมา  “นี่...ถ้าชอบขนาดนั้น  นายควรจะแสดงให้มันชัดเจนกว่านี้นะ  ไม่อย่างนั้น  เด็กนั่นก็จะได้แค่ติดหนึบอยู่กับฉันและคอยเล่าให้นายฟังอยู่แบบนี้แหละ”

“คนอย่างฉันจะไปชัดเจนอะไรได้”  น้ำเสียงนั้นแฝงความระทดระท้อนิดหน่อย

“นั่นสินะ  ขนาดปัญหาค้างคามาครึ่งชีวิตยังทำอะไรให้ชัดเจนไม่ได้เลยนี่”  นักดนตรีหนุ่มทำเสียงประชดประชัน

“มันคนละเรื่องกันนะ”  นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ

“เรื่องเดียวกันแหละ  ถ้าแก้เรื่องนั้นไม่ได้  เรื่องนี้ก็ชัดเจนไม่ได้เหมือนกัน”

“ครับ ๆ...ทราบแล้วครับ  ว่าแต่เอาสลัดเพิ่มอีกมั้ย?”

คิริฮาระแค่ถอนใจ  นัตสึเมะหาทางเลี่ยงจากเรื่องนี้ได้เสมอ  “อย่ามาหาเรื่องตัดกำลังฉัน  นายก็รู้ว่าฉันกินได้ไม่มาก”

“รับรองวันนี้กินมากแน่  ฝีมือฉันเสียอย่าง  นมให้เพียบเห็ดให้พรึ่บ”

“ชีสล่ะ?”

“ถ้าอยากกินก็มีให้ใส่  อยู่ในตู้เย็นแน่ะ”  นัตสึเมะชี้ไปที่ตู้เย็นพลางคนของในหม้อไปด้วย

หลังจากเคี่ยวอยู่ครู่ใหญ่  ซอสครีมเห็ดก็ได้ที่  นัตสึเมะตักราดลงบนจานใส่เส้นสปาเก็ตตี้แล้วนำมาเสิร์ฟ

“สปาเก็ตตี้ซอสครีมเห็ด  นัตสึเมะสเปเชียล  ได้แล้วครับ”

“โห...อลังการมาก ๆ”  คิริฮาระทำตาโตกับเห็ดฝานบา ๆ มากมายในจาน

“กินก่อนแล้วค่อยชมแล้วกัน”

ทันทีที่ตักคำแรกใส่ปาก  นักดนตรีหนุ่มก็พยายามจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมาทั้งยังมีสปาเก็ตตี้เต็มปาก

“เดี๋ยวมันออกจมูกนะ!”  นัตสึเมะรีบห้าม

พอกลืนลงไปทั้งคำได้  คิริฮาระก็รีบพูด

“อร่อย!  ไม่เคยกินซอสครีมเห็ดที่ไหนขนาดนี้มาก่อนเลย  ทำไมนายไม่ทำขายเนี่ย?”

“ทำขนาดนี้ราคามันคงเท่าของโรงแรมน่ะ  เอาไว้นายอยากกินแล้วฉันทำให้กินก็แล้วกัน”

“ฮู้ย~  เป็นบุญปาก”

“เติมได้อีกนะ  ยังมีอีกเยอะเลย”  นัตสึเมะยิ้มกับคำชมนั้น

“นี่นายทำเผื่อกี่คนกินเนี่ย?”

“สูตรมันสำหรรับ 4 ที่  แล้วฉันเพิ่มของไปอีกหน่อย  เลยเยอะน่ะ  เดี๋ยวนายเอาไปฝากจูอิจิซังด้วยแล้วกันนะ”

“ได้ ๆ”  พูดพลางคิริฮาระก็โกยสปาเก็ตตี้เข้าปากเหมือนไม่เคยกินมาก่อนในชีวิต

และในตอนที่คิริฮาระกำลังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากอย่างเพลิดเพลินนั่นเอง  โทรศัพท์มือถือของเขาก็ร้องขึ้นเป็นสัญญาณสั้น ๆ  จึงหยิบออกมาดู

“ข้อความเหรอ?”

“ฉันตั้งไว้ว่าถ้ามีเมล์จากเยอรมันเข้าให้มันเตือนน่ะ”

นัตสึเมะพยักหน้า...เมล์จากเยอรมันที่ว่ามีแค่เมล์เดียวเท่านั้น...จากซาคากิ  คิโยฮาระ

คิริฮาระเปิดเมล์อ่านอยู่เป็นครู่  ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มกว้างขึ้นทุกที  และในตอนที่เขาปิดโทรศัพท์แล้วมองหน้านัตสึเมะ  ใบหน้านั้นก็มีรอยยิ้มระบายอยู่เต็ม

“นายเลิกห่วงเรื่องฉันกับฟุยุกิคุงได้แล้วหละ”

“ทำไมล่ะ  ซาคากิซังว่าไงเหรอ?”  ไม่ว่ายังไงก็ติดเรียกแบบเดิมไม่ได้อยู่ดีสิน่า

“คิโยฮารุใช้ทุนที่เยอรมันเรียบร้อยแล้ว  และจะย้ายกลับมาสอนที่ญี่ปุ่น  เดินเรื่องเรียบร้อยหมดแล้วด้วย”

“เหรอ  เมื่อไรล่ะ?”  นัตสึเมะอดดีใจไปด้วยไม่ได้

“ฤดูใบไม้ผลินี่แหละ!!”

คิริฮาระตอบพลางยิ้มกว้าง...หากนัตสึเมะกลับรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก  แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: Lock on You 07 / 16-04-58
«ตอบ #25 เมื่อ18-04-2015 21:17:40 »

 :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 08 / 01-05-58
«ตอบ #26 เมื่อ01-05-2015 22:14:25 »

สวัสดีวันแรงงานครับ
สบายดีกันหรือเปล่า? ที่บ้านผมร้อนมากเลยละครับ ถ้ามีที่ไหนเย็นๆก็บอกกันบ้างนะครับ จะไปสิงสู่
เรื่องกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม (?) เลยทีเดียว มาติดตามฟุยุกิกันต่อนะครับ
แล้วเจอกันเร็วๆนี้นะครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on you 08

มีแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิตอันราบเรียบเหมือนแล่นไปตามรางที่ถูกกำหนดไว้แล้วของฟุยุกิที่รู้สึกว่าทุกสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่มันกลับตาลปัตร  เหมือนโลกทั้งใบพลิกกลับ  ฟ้ากลายเป็นดิน

ฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว  แม้สายลมจะยังเย็นผิวอยู่บ้าง  แต่ฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนเมืองใหญ่ที่รีบร้อนแห่งนี้แล้ว  ต้นไม้ที่ยืนต้นแห่งโกร๋นมาหลายเดือนเริ่มแตกตุ่มตา  ที่ใจร้อนหน่อยก็เริ่มผลิใบอ่อนสีเขียวสดมาประดับกิ่งก้าน  แม้จะยังไม่มีดอกสวย ๆ ให้ชื่นชม  แต่ก็รู้สึกได้ว่าโลกที่เคลื่อนไปไม่หยุดนิ่งได้ชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอชื่นชมความงามของฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง

เกือบครบปีแล้ว  นับตั้งแต่ฟุยุกิเริ่มทำงานมา  ทุกคืนวันที่ต้องพยายามวิ่งอย่างสุดกำลังเพื่อไล่ตามโลกรอบตัวให้ทันยังคงดำเนินไป  ความผิดพลาดในการทำงานลดน้อยลง  ความถี่ของหัวข้อที่ถูกบันทึกลงในสมุดจดข้อผิดพลาดที่นัตสึเมะแนะนำให้ทำขึ้นก็เว้นระยะห่างมากขึ้น  ตอนที่หัวหน้าของเขารู้เรื่องสมุดเล่มนี้ก็ทำหน้าแปลก ๆ  แต่ฟุยุกิสังเกตว่าหัวหน้ากำลังแอบกลั้นยิ้ม...รอยยิ้มนั้นเกือบจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ  แต่ความเชื่องช้าในการทำงานแทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง  หากความละเอียดถี่ถ้วนคือข้อดีเพียงหนึ่งเดียว  ความล่าช้าก็เป็นข้อเสียใหญ่ที่ทำให้ทุกคนพร้อมจะมองข้ามข้อดีที่มีเพียงน้อยนิดนั้นไป  แม้หัวหน้าจะไม่เคยดุด่าอะไร  แต่เสียงนินทายังคงลอยมาเข้าหูเสมอ...ทั้งแบบลอยตามลมและจงใจ

เหนื่อย...จนอยากจะจำศีลยาว ๆ เหมือนหมีในฤดูหนาว  แต่ในเมื่อทำไม่ได้  ฟุยุกิก็กัดฟันวิ่งต่อไป  ยังดีที่ในตอนนี้เขาค้นพบที่พักใจของตัวเองนอกเหนือจากสวนญี่ปุ่นที่บ้านพ่อแล้ว  ร้านกาแฟของนัตสึเมะยังเปิดต้อนรับเขายามเหนื่อยล้าเสมอ...และไวโอลินของคิริฮาระยังปลอบประโลมเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ฟุยุกิไม่ได้ไปที่คลับของคิริฮาระบ่อยนัก  อย่างไรเสียเขาก็ดื่มเหล้าไม่เก่ง  คิริฮาระเคยให้เขาลองค็อกเทลอื่นนอกจากเหล้ามิ้นต์...ผลคือเขาเมาพับกลับบ้านไม่ได้ไปเลย  คิริฮาระจึงล้มเลิกความคิดที่จะหัดให้เขาดื่มเหล้าไปเรียบร้อยแล้ว  แต่ถ้าช่วงสุดสัปดาห์ไหนสะดวก  เขาก็จะแวะไปและมักจะเลยไปค้างที่บ้านคิริฮาระเสมอ

ชีวิตเป็นแบบนี้มาหลายเดือน  จนกระทั่งเข้าสัปดาห์นี้ที่คิริฮาระหายหน้าไปจากคอนเสิร์ตข้างถนน  ฟุยุกิรู้สึกเหงา ๆ นิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก  เพราะก็มีบางครั้งที่คิริฮาระจะหายหน้าหายตาไปแบบนี้  ซึ่งนอกจากกรณีการเตรียมคอนเสิร์ตประจำฤดูกาลเหมือนเมื่อปีที่แล้วแล้ว  นัตสึเมะก็เคยบอกว่าคิริฮาระยังไปทำงานพิเศษกับเจ้านายเก่าเป็นครั้งคราว  ถึงจะนึกสงสัยว่าคิริฮาระเคยทำงานอะไรแต่ฟุยุกิก็ไม่ได้ถาม  เขาคิดเอาเองว่าคงจะเป็นงานด้านดนตรีตามที่คิริฮาระถนัด

หลังเลิกงานวันนี้  ฟุยุกิก็แวะไปที่ร้านกาแฟของนัตสึเมะก่อนกลับบ้านเหมือนที่เคยทำแทบทุกวัน  แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบคิริฮาระที่นั่น

“อ้าว  สวัสดี  ฟุยุกิคุง  ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ”  นักดนตรีหนุ่มเอ่ยทักทันทีที่เห็นฟุยุกิเข้ามาในร้าน

“คิริฮาระซัง!?  ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?  ผมนึกว่าคุณไปทำงานเสียอีก”

“เปล่าหรอก  แค่ธุระเรื่องอื่นน่ะ”

ในตอนนั้นเองที่ชายคนหนึ่งชะโงกตัวมองข้ามไหล่คิริฮาระมา

“คนนี้เองเหรอ  ฟุยุกิคุงที่เล่าให้ฟังน่ะ?”

ฟุยุกิชะงักไปนิดหนึ่ง...เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นมาก่อน  แต่...คิริฮาระเล่าเรื่องเขาให้คนคนนี้ฟังหรือ?

“ใช่  คนนี้แหละ  น่ารักใช่มั้ยล่ะ?”  คิริฮาระยิ้มกว้างให้คนคนนั้น  เป็นรอยยิ้มแบบที่ฟุยุกิเคยเห็นเขายิ้มกับนัตสึเมะเท่านั้น

“เห็นว่าน่ารัก  ยูคุงก็เลยหว่านเสน่ห์ใส่สินะ”

“ปล๊า~ว”

...ยูคุง...?  นั่นคือชื่อตัวของคิริฮาระนี่...ฟุยุกิกระตุกวาบในหัวใจ  คนคนนี้เรียกคิริฮาระด้วยชื่อตัว...ชื่อที่แม้แต่นัตสึเมะก็ยังไม่เคยเรียกเลยแท้ ๆ...คนคนนี้เป็นใครกัน?

เห็นสีหน้าของฟุยุกิแล้วคิริฮาระค่อยนึกขึ้นมาได้

“อ้อ  ลืมแนะนำแบบเป็นทางการไปเลยสินะ  คิโยะ  นี่อาริโยชิ  ฟุยุกิคุง  ผู้ชมคนสำคัญของฉันหละ”  พูดแล้วก็หันมาหาฟุยุกิ  “แล้วก็...ฟุยุกิคุง  หมอนี่คือ...”

ยังไม่ทันที่คิริฮาระจะพูดจบ  ชายหนุ่มคนนั้นก็แทรกขึ้นมาพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ซาคากิ  คิโยฮารุครับ  เป็นรูมเมทของยูคุง”

...รูมเมท?...

ฟุยุกิคิดไปถึงห้องของคิริฮาระ  ห้องสีฟ้าอมเทาที่แสนอ่อนโยนซึ่งไม่ได้เข้ากับคิริฮาระเลยแม้แต่น้อยนั่น...จะต้องเข้ากับผู้ชายคนนี้อย่างที่สุดแน่  ที่นั่นไม่ใช่ห้องของคิริฮาระ  แต่เป็นห้องของผู้ชายที่ชื่อซาคากิ  คิโยฮารุนี่ต่างหาก!!

ฟุยุกิรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ  เผลอจ้องมองคิโยฮารุอย่างลืมตัว

ผู้ชายซึ่งประกาศตนเป็นรูมเมทของคิริฮาระน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคิริฮาระและนัตสึเมะ  แต่ใบหน้านั้นดูเด็กกว่านิดหน่อย  แว่นกรอบทองทรงกลมใสทำให้ดูคงแก่เรียน  หากดวงตาสีเข้มเป็นประกายสดใสอย่างคนมีความสุข  เรือนผมที่ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับรูปหน้ามนสวย  ริมฝีปากอิ่มได้รูปที่พอยิ้มก็จะเผยให้เห็นฟันเขี้ยวที่ดูมีเสน่ห์  เสื้อผ้าซึ่งเป็นเพียงเชิ้ตผ้าสำลีเนื้อหนาสวมทับเสื้อยืดและกางเกงยีนส์สีซีดนั้น  บอกชัดว่ารสนิยมของเขาไม่ได้เข้ากันกับคิริฮาระผู้ซึ่งสวมสูทลายเสือกับเสื้อคอเต่าสีดำแม้แต่น้อย

...แล้ว...เป็นรูมเมทกัน...?

เป็นไปไม่ได้หรอก...บางอย่างในหัวใจบอกกับฟุยุกิว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

“เอ้า  จ้องใหญ่เลย  น่ารักใช่มั้ยล่ะ  ฟุยุกิคุง?”

เสียงของคิริฮาระดึงฟุยุกิออกจากห้วงภวังค์

“ฮะ?  อ๊ะ...เอ้อ...ครับ...”  เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเอออออะไรออกไป

“จะบ้าเหรอ  ยูคุง!  พ้นวัยจะน่ารักแล้วน่า”  คิโยฮารุหัวเราะ

“ของน่ารักยังไงก็น่ารัก  ไม่มีพ้นวัยหรอก”  ว่าแล้วคิริอาระก็ขยิบตาให้ตามประสาคนขี้แกล้ง

ฟุยุกิทำหน้าไม่ถูก  เขาได้แต่หันไปมองนัตสึเมะแล้วทำตาปริบ ๆ  นัตสึเมะเข้าใจความรู้สึกของฟุยุกิดี  ความสนิทสนมของคิริฮาระกับคิโยฮารุคงทำให้เด็กหนุ่มตั้งตัวไม่ติด  เขารีบเชิญฟุยุกิมานั่งที่เคาน์เตอร์

“นั่งก่อนสิครับ  ฟุยุกิคุง  เดี๋ยวเราค่อย ๆ คุยกันไปก็ได้”

ฟุยุกิเดินไปนั่งอย่างงง ๆ ตรงเก้าอี้ข้าง ๆ คิริฮาระแล้วก็เอาแต่นิ่งเงียบ  ไม่รู้จะพูดอะไร  ปกติเขาไม่ใช่คนพูดอะไรมากอยู่แล้ว  ยิ่งในสถานการณ์ชวนสับสนแบบนี้ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด  เสียงของนัตสึเมะที่กำลังชงชาให้ก็แว่วมาเข้าหู

“ซาคากิซังเคยเป็นอาจารย์สอนวรรณคดีเปรียบเทียบอยู่ที่เยอรมันน่ะครับ”

“เยอรมัน?”  ฟุยุกิหันไปมองคิโยฮารุอย่างทึ่ง ๆ

“เพิ่งย้ายกลับมาที่นี่น่ะครับ  จะเริ่มสอนเทอมนี้”  คิโยฮารุอธิบายเพิ่มเติม

“เป็นอาจารย์เหรอครับเนี่ย...”

“ไม่เหมาะสินะครับ”

“ไม่ใช่ครับ...แค่...รู้สึกว่าบรรยากาศแปลก ๆ  แต่ไม่คิดว่าจะเป็นอาจารย์”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธ

“เหมือนพวกโอตาคุใช่มั้ยครับ  สมัยเรียน  ยูคุงก็เคยว่าแบบนั้นเหมือนกัน”  ชายหนุ่มหัวเราะพลางพยักเพยิดไปทางคิริฮาระ

“เคยพูดแบบนั้นด้วยเหรอ?  จำไม่ได้แล้วละ”  นักไวโอลินหนุ่มทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

“เคยไล่ให้ไปใส่เสื้อลายการ์ตูนกลางฮาราจุกุเลยละ  คนเขาไปหาดูเครื่องเงินแท้ ๆ”  คิโยฮารุรื้อฟื้นความจำ

“งั้น...ตอนนี้ถ้าจะใส่เสื้อมีลาย  ก็คงเป็นลายเชคสเปียร์แทนแล้วสินะ  ฮะ ๆ ๆ”

ฟุยุกิรู้สึกงุนงงกับคิริฮาระที่หัวเราะจนตาหยี  เขาเคยเห็นคิริฮาระหัวเราะบ่อย ๆ แต่ไม่เคยรู้สึกว่าคิริฮาระมีความสุขขนาดนี้  ทำไมล่ะ...เพราะผู้ชายคนนี้อย่างนั้นหรือ

ในตอนที่ยังคิดอะไรไม่ออก  ถ้วยชาหอมกรุ่นก็ถูกวางลงตรงหน้า  ชานมสีนวลส่งควันฉุยดูน่าดื่ม

“ดื่มชาให้สบาย ๆ ก่อนครับ  ฟุยุกิคุง  อุตส่าห์มาเหนื่อย ๆ”  นัตสึเมะบอกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น  เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ

“เอ๊ะ  นัตสึเมะซังชงชาด้วยเหรอครับ?”  คิโยฮารุชะโงกหน้ามาถาม

“เป็นบางครั้งน่ะครับ  ฟุยุกิคุงไม่เคยดื่มกาแฟก็เลยชงชาให้”

“หือม์...ไม่ดื่มกาแฟเหรอครับ  กาแฟของนัตสึเมะซังอร่อยนะครับ  น่าจะลอง”

“ผม...เอ้อ...ก็เคยคิด...”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มตอบ  เขาอยากลองชิมกาแฟของนัตสึเมะเหมือนกันแต่ก็ยังไม่กล้า

“เอ๊ะ  ฉันไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอว่าฟุยุกิคุงไม่ดื่มกาแฟน่ะ”  คิริฮาระแทรกขึ้นมา

“ไม่เคยนะ  เคยบอกแค่ว่าดื่มเหล้าไม่เก่ง”  พูดแล้วคิโยฮารุก็หันกลับมาหาฟุยุกิ  “ดื่มกาแฟไม่เก่งก็เริ่มจากอ่อน ๆ อย่างลาเต้ก็ดีนะครับ  ใส่นมเยอะ ๆ ทั้งหอมทั้งมัน”

“เอ่อ...ครับ...”

“คิดจะหาพลพรรคลาเต้หรือไง?”  คิริฮาระแทรกมาอีก

“ก็มันอร่อยออกนี่นา”  คิโยฮารุเถียง

“จริง ๆ มันก็ไม่ได้อ่อนลงหรอกนะครับ”  นัตสึเมะแทรกขึ้นมาบ้าง  “มันก็เอสเปรสโซที่ใส่นมเลยเจือจางลง  คาเฟอีนก็เท่าเดิมแหละครับ  แปลว่าก็ทำให้นอนไม่หลับเท่ากัน”

“ผมดื่มตอนไหนก็หลับ”  คิโยฮารุหัวเราะคิก

“แต่บรรยากาศและสีสันมันต่างกันเยอะเลยนะ  เอสเปรสโซกับลาเต้น่ะ”  คิริฮาระตั้งข้อสังเกต

“ก็มันผ่านการผสมแล้วนี่นา”

“แต่เป็นส่วนผสมที่ดีนะ...ว่าแล้วก็...”  คิริฮาระพูดค้างไว้แค่นั้นแล้วหยิบไวโอลินออกมาจากกล่องที่วางไว้บนพื้น  ก่อนจะหันมาพูดกับคิโยฮารุ  “ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เล่นเพลงนี้ให้ฟังเลยนี่นะ”

คิโยฮารุเพียงแต่พยักหน้าแล้วยิ้ม

ฟุยุกิเคยได้ฟังการบรรเลงไวโอลินของคิริฮาระเป็นการส่วนตัวในร้านนี้บ่อย ๆ  เลยคิดว่าที่คิริฮาระกำลังจะบรรเลงนี่ก็คงเหมือนทุกครั้งที่เคยได้ฟังมา...แต่เขาคิดผิด...

ทันทีที่คิริฮาระจรดคันซอลงกับสายลวด  ท่วงทำนองกระจ่างใสก็หลั่งไหลออกมา  บรรยากาศของบทเพลงเปี่ยมไปด้วยความนุ่มนวลและอบอุ่น  แม้จะอ่อนหวานเหมือนเพลงที่ใช้แสดงในคอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็แตกต่าง  ฟุกิรู้ดีว่าตอนนี้ดอกไม้ยังไม่บาน  แต่เพลงนี้ทำให้เขารู้สึกถึงช่วงเวลาที่ดอกไม้ผลิกลีบสะพรั่ง  แสงแดดอุ่น ๆ และห้องที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟ

กลิ่นกาแฟ...ใช่...ฟุยุกิแทบจะไม่ต้องจินตนาการ  เพลงนี้ชวนให้คิดถึงร้านของนัตสึเมะนี่เอง  แต่เป็นร้านนี้ในตอนกลางวันที่มีแสงแดดสาดส่องเข้ามา  ไม่ใช่ตอนเย็นเงียบเหงาที่เขารู้จักแบบนี้

แล้วท่ามกลางแสงแดดอุ่นนั้น  ก็มีภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นมา  ใครคนนั้นมองมาแล้วส่งยิ้มอาย ๆ มาให้...

พลัน...ฟุยุกิก็รู้สึกตัว

ใครคนนั้น  อยู่ตรงหน้านี่แล้ว

คิโยฮารุกำลังนั่งฟังเพลงและยิ้มน้อย ๆ ไปยังคิริฮาระ  ภาพในจินตนาการกลายเป็นความจริงขึ้นมาและปรากฏอยู่ตรงหน้าฟุยุกิ  หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด  ทั้งอัศจรรย์ใจ...และเสียใจ...

ความเศร้าเสียใจบางอย่างตื้อขึ้นมาในอกอย่างไม่อาจระงับได้  หัวใจรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงที่ถาโถมเข้ามาจนสมองตีความไม่ทัน  หัวใจเข้าใจ...หากสมองไม่ยอมรับ  สมองยอมรับ...แต่หัวใจไม่ยอมเข้าใจ

บทเพลงนี้...เพื่อผู้ชายคนนี้  ผู้ชายคนที่เป็นคนสำคัญของคิริฮาระ

ฟุยุกินั่งเหม่อจนกระทั่งตัวโน้ตสุดท้าขาดหายไปในอากาศ  เด็กหนุ่มเห็นคิริฮาระหันไปยิ้มกับคิโยฮารุและพูดอะไรบางอย่าง  แต่สมองของเขาไม่รับรู้แล้ว...ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีก  ความเป็นจริงที่เพิ่งรู้สึกตัวนี้...มันโหดร้ายเกินไป

ฟุยุกิรีบคว้ากระเป๋าทำงาน  “ผะ...ผมมีธุระ...ขอ...ขอตัวก่อนนะครับ!!”

เด็กหนุ่มขอตัวแล้วรีบร้อนออกจากร้านไปโดยไม่ฟังเสียงใคร  นัตสึเมะมองตามไปโดยไม่พูดอะไร...เขาเข้าใจความรู้สึกของฟุยุกิดี  แต่จะให้พูดอะไรล่ะ  นี่เป็นความจริงที่สักวันฟุยุกิก็ต้องรับอยู่อยู่ดี  เพียงแต่มันคงจะกะทันหันเกินไปสำหรับเด็กคนนั้น

“ฟุยุกิคุงเป็นอะไรไปน่ะ?”  คิริฮาระหันไปหานัตสึเมะ  “นายทำอะไรฟุยุกิคุงเหรอ  นัตสึเมะ  ขนาดชายังแค่จิบ ๆ แล้วทิ้งไว้เลยนะ”

นัตสึเมะเหลือบมองถ้วยชาที่แทบจะไม่ถูกแตะต้องแล้วเหลือบมองหน้าคิริฮาระก่อนจะถอนใจ

“อะไรเล่า  มีอะไรก็พูดมาสิ  อย่ามามองหน้าแล้วถอนใจใส่นะ!”  นักดนตรีหนุ่มโวยวาย

นัตสึเมะมองหน้าเพื่อนแล้วถอนใจอีกครั้งก่อนจะเก็บถ้วยชา...บางครั้งคิริฮาระก็โง่เกินคาดแบบนี้แหละ  ก็ปล่อยให้มันโง่ไปก่อนแล้วกัน...

...

นับแต่วันนั้น  ทุกอย่างในชีวิตฟุยุกิก็ปั่นป่วนไปหมด  เขานอนไม่หลับ  ตื่นสาย  ทำงานผิดพลาดจนโดนหัวหน้าดุอย่งรุนแรง...แต่ถึงอย่างนั้น  เขาก็ไม่กล้าไปที่ร้านของนัตสึเมะอันเป็นที่พักใจ  ไม่กล้ากระทั่งจะเดินผ่านไปพบหน้าคิริฮาระ

ไม่กล้ามองกระทั่งเรือนผมสีแดงนั้น  ไม่กล้าฟังกระทั่งเสียงไวโอลิน...กลัวว่าหัวใจจะแหลกสลายมากไปกว่านี้

เขาอ้างว่าเจ็บขาแล้วขอให้มิโนรุช่วยรับส่งที่ทำงานให้  ถึงจะต้องทนฟังคำบ่นว่าของมิโนรุก็ยังดีกว่าต้องเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เจอคิริฮาระ

แต่แล้วเรื่องที่เขาทำงานพลาดอย่างต่อเนื่องก็ไปถึงหูผู้เป็นพ่อ  ฟุยุกิถูกเรียกไปพบตอนสุดสัปดาห์  เขารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้  และในเมื่อยังแก้ไขอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมโดนดุไป  เด็กหนุ่มนั่งฟังคำเทศนาอย่างเหม่อลอย  ผิดจากที่รู้สึกผิดจนเกร็งเช่นทุกครั้ง  แม้ท่าทีจะเหมือนกำลังฟังแต่ใจของฟุยุกิกลับปั่นป่วนยุ่งเหยิงไปด้วยเรื่องของคิริฮาระ

“...เข้าใจนะ  ฟุยุกิ”

“...ครับ”

“เข้าใจแล้วก็กลับห้องซะ”

“...ครับ”

เมื่อฟุยุกิออกจากห้องนั่งเล่นไปแล้ว  ก็เหลือเพียงผู้เป็นพ่อกับเคียวยะ  พี่ชายคนโตของฟุยุกิเท่านั้น

พ่อถอนใจเฮือกใหญ่  “เมื่อกี้...ฟุยุกิมันเข้าใจอะไรของมันน่ะ...?”

“ก็คงเรื่องเกษตรอินทรีย์ที่คุณพ่อพูดเมื่อกี้แหละครับ”  เคียวยะตอบยิ้ม ๆ

“มันรู้มั้ยน่ะ  ว่าฉันนอกเรื่องมาครึ่งค่อนชั่วโมงแล้ว”

“คงไม่รู้หรอกครับ  ท่าทางจะคิดอะไรอยู่”

“มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ”  คนเป็นพ่อส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“คงกำลังกลุ้มเรื่องความรักมั้งครับ”

“รัก?”

“ท่าทางมันฟ้องน่ะครับ”

“ถึงวัยนั้นแล้วเรอะ!?”  คุณพ่อทำตาโต

“คุณพ่อครับ...”  เคียวยะขยับแว่น  “ฟุยุกิอายุยี่สิบสองแล้วนะครับ  ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว”

“...นั่นสินะ”  ผู้มากด้วยวัยถอนใจ  “ที่ทำงานแย่ลงก็เพราะเรื่องนี้สินะ”

“คงใช่แหละครับ  เห็นมิโนรุว่าก่อนหน้านี้ก็ไปค้างบ้านเพื่อนบ้าง  กลับดึกบ้าง”

“ช่วงที่ไม่ค่อยกลับมาบ้านน่ะเรอะ...อืม...ถึงวัยนั้นแล้วสินะ...”

เคียวยะไม่ได้ตอบอะไรนอกจากแอบคิดอยู่ในใจว่า...มันควรจะถึงวัยนั้นมาตั้งแต่หกปีก่อนแล้วต่างหาก

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 08 / 01-05-58
«ตอบ #27 เมื่อ01-05-2015 22:17:13 »

ในสวนญี่ปุ่นที่เงียบสงบ  ฟุยุกินั่งเหม่อมองซากุระย้อยกิ่งที่แย้มบานอยู่เหนือโคมหินซึ่งลุงคนสวนมาจุดตะเกียงไว้ให้เมื่อรู้ว่าคุณหนูคนเล็กจะมาค้าง  เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้พ่อกับพี่ชายจะกำลังคุยอะไรกันอยู่  เมื่อกี้พ่อดุว่าอะไรบ้างเขาก็ไม่ได้ฟัง  ในหัวมีแต่ภาพของคิริฮาระกับคิโยฮารุผุดขึ้นมาเต็มไปหมด

วันนั้น...ไม่ใช่แค่ภาพในหัวและความเป็นจริงที่รับได้ยากเท่านั้นหรอกที่ทำให้สะเทือนใจ  แต่ยังมีสีหน้ายามบรรเลงเพลงของคิริฮาระที่ได้เห็นอีกด้วย

สีหน้าที่มีความสุข...รอยยิ้มพึงพอใจ  สายตาที่มีให้คิโยฮารุ...

บทเพลงพิเศษ...ที่มีให้สำหรับคนพิเศษเท่านั้น

ไม่ใช่สำหรับเขา...ไม่ใช่เขา

ฟุยุกิไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้  มันหยดลงบนตักหยดแล้วหยดเล่า  เหมือนความทรงจำที่ร่วงหล่นลงมา...ที่ผ่านมา  เขาคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนพิเศษของคิริฮาระ  หรืออย่างน้อยก็พิเศษกว่าคนอื่น ๆ  เขาได้รู้จักร้านของนัตสึเมะ  ได้ไปเที่ยวคลับของคิริฮาระ  ซ้ำยังได้ไปค้างที่ห้อง

ห้อง...ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของผู้ชายคนนั้น

เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่แรกถึงความแปลกแยกนั้น  แต่ความหลงใหลได้ปลื้มที่ได้เป็นคนพิเศษของคิริฮาระทำให้เขามองข้ามมันไปทุกครั้ง  ห้องของคิริฮาระ...ที่ไม่ใช่ห้องของคิริฮาระแม้แต่น้อย  ที่นั่นเป็นห้องของคิโยฮารุต่างหาก  แม้กระทั่งห้องนอนที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นอายของคิริฮาระก็ไม่ได้มีไว้โอบล้อมเขา  ทุกอย่าง...มีไว้เพื่อคิโยฮารุเท่านั้น

หยุดร้องไห้ไม่ได้...ฟุยุกิยกชายแขนเสื้อยูกาตะขึ้นมาซับน้ำตา  สวนญี่ปุ่นแห่งนี้สงบและอบอุ่น  หากไร้คำปลอบโยน...ไม่เหมือนที่ร้านของนัตสึเมะ  ถ้าเป็นที่นั่น  นัตสึเมะจะต้องปลอบเขาแน่

แต่...นัตสึเมะเองก็คงรู้สินะ  เรื่องของคิริฮาระกับคิโยฮารุน่ะ...ก็เป็นเพื่อนกันนี่นา

รู้สึกเหมือนถูกหลอก  แต่ฟุยุกิก็ไม่รู้จะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใครแล้ว

...

กระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นในวันอาทิตย์ที่เงียบเหงา  นัตสึเมะรีบวางหนังสือในมือลงแล้วกล่าวคำทักทาย

“ยินดีต้อนรับครับ...อ้าว  ฟุยุกิคุง?”

หางเสียงเจือด้วยความสงสัย  ฟุยุกิแทบจะไม่เคยมาที่ร้านของเขาในวันอาทิตย์นอกจากจะมากับคิริฮาระ  แต่ในเมื่อคิริฮาระบอกว่าไม่ได้เจอฟุยุกิเลยตั้งแต่วันนั้น  การมาที่ร้านในวันอาทิตย์เช่นนี้จึงเป็นเรื่องแปลกจริง ๆ

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ  กำลังเป็นห่วงอยู่เลย  นั่งก่อนสิครับ”  นัตสึเมะเชื้อเชิญ

แต่ฟุยุกิยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูร้าน  ก้มหน้ามองพื้นและบิดไม้บิดมือไปมาเหมือนจะลังเลใจ  เห็นท่าทางที่เหมือนพร้อมจะเดินออกจากร้านไปได้ทุกเมื่อแบบนั้นแล้ว  นัตสึเมะก็รีบออกมาจากเคาน์เตอร์

“เป็นอะไรไปครับ  มีอะไรหรือเปล่า?”

ฟุยุกิเหลือบสายตาขึ้นมองร่างสูง  นั่นไง...นัตสึเมะใจดีจริง ๆ ด้วย  สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยแบบนั้น  เห็นแล้วรู้สึกผิดที่กำลังทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจยังไงไม่รู้  แต่น้ำเสียงและคำพูดของนัตสึเมะก็ทำให้อุ่นใจขึ้นมาก

“คือ...ผม...”  ถึงตอนนี้ก็ชักไม่อยากถามเสียแล้ว  แต่ถ้าไม่พูดออกไปก็คงค้างคาใจไปไม่จบไม่สิ้น  “ผม...อยากถามเรื่องคิริฮาระซังกับ...อาจารย์คนนั้นน่ะครับ”

นัตสึเมะไม่แปลกใจกับคำพูดนั้น  “งั้นไปนั่งที่เคาน์เตอร์แล้วคุยกันสบาย ๆ ดีกว่านะครับ”

ฟุยุกิเดินไปนั่งทั้งที่ใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ได้ยินเสียงนัตสึเมะกำลังทำอะไรก๊อกแก๊กอยู่ในเคาน์เตอร์  ไม่นานนักชานมหอมกรุ่นก็มาวางอยู่ตรงหน้า

“ดื่มก่อนสิครับ  คราวก่อนรีบกลับไปจนแทบไม่ได้ดื่มเลยนะครับ”

ฟุยุกิเอ่ยขอบคุณแล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างเลื่อนลอย  แต่พอชาล่วงลำคอ  กลิ่นหอมนุ่มนวลก็พลุ่งขึ้นจมูกให้รู้สึกชื่นใจ  ความรู้สึกพลันผ่อนคลายลงทันที  ชาของนัตสึเมะไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  ไม่ว่าดื่มเมื่อไรก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้เสมอ

“...ผม...ยังไม่ได้อ่านหนังสือที่นัตสึเมะซังให้ยืมไปเลยครับ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วยิ้ม  “ไม่ต้องรีบนี่ครับ  ว่างเมื่อไรค่อยอ่านก็ได้”

“ครับ...”  ฟุยุกิพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพูดต่อเบา ๆ  “แล้ว...เรื่องคิริฮาระซังกับ...”

“ซาคากิซัง...สินะครับ”

“ครับ...เขา...เป็นคนพิเศษของคิริอาระซังใช่มั้ยครับ?”  คำถามนี้แทบจะไม่ต้องการคำตอบแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถาม

“ครับ”

หลังคำตอบเรียบ ๆ  สีหน้าของฟุยุกิก็สลดลงยิ่งกว่าเก่า  มือที่ประคองถ้วยชาสั่นน้อย ๆ

“เขา...คบกันมานานแล้วเหรอครับ?”

“ร่วมสิบปีแล้วครับ  ตั้งแต่ก่อนซาคากิซังจะไปเรียนที่เยอรมัน”

แล้วผู้ชายคนนั้นไปเรียนที่เยอรมันกี่ปี...ระยะเวลาที่ต้องห่างไกลกันคงไม่น้อย  แต่คิริฮาระกลับมั่นคงกับเขาคนนั้นมาเป็นสิบปี  รักแท้...งั้นหรือ

ถ้าอย่างนั้น...มาทำดีกับเขาทำไมกัน...

“แต่ที่คิริฮาระแคร์คุณและใจดีกับคุณ  นั่นก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกันนะครับ”

“เอ๊ะ?”  ฟุยุกิรีบเงยหน้าขึ้นมองนัตสึเมะทันที  เมื่อกี้เขาไม่ได้หลุดปากพูดอะไรออกไปไม่ใช่หรือ

“ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไงครับ  ฟุยุกิคุง”  ใบหน้าของนัตสึเมะมีรอยยิ้มบาง ๆ  “คุณคงรู้สึกเหมือนถูกคิริฮาระหลอก  ถึงคิริฮาระจะเป็นคนชอบหว่านเสน่ห์  แต่เขาก็เป็นห่วงคุณจริง ๆ นะครับ”

ใช่...เรื่องนั้นฟุยุกิก็เข้าใจ  แต่บางแห่งในหัวใจยังไม่อยากยอมรับ  เขาเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของคิริฮาระมาจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้แท้ ๆ  แต่กลับถูกช่วงชิงไปในชั่วพริบตาเดียว...พริบตาที่คิริฮาระบรรเลงเพลงนั้น...

บทเพลงพิเศษที่เหนือกว่าทุกเพลงที่เขาเคยได้ฟัง...บทเพลงที่บรรเลงออกมาจากความรู้สึกพิเศษ

“ใจเย็น ๆ ไว้นะครับ  ฟุยุกิคุง  ยังไงก็ยังมีผมอยู่นะครับ”

แววตาของฟุยุกิสั่นระริกด้วยความหวั่นไหว  เขารู้ว่านัตสึเมะใจดีและคอยให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ...แต่มันไม่เหมือนกัน  แสงจันทร์ไม่อาจแทนที่แสงตะวันได้  กระนั้น...เมื่อได้ฟังคำพูดนั้นก็อดหวั่นไหวไม่ได้

“มีอะไรก็พูดให้ผมฟังได้นะครับ  ช่วงนี้งานไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”

งานเหรอ...มีสิ  เพียงแต่เขาไม่ได้ใส่ใจเท่านั้นเอง

“มีครับ  แต่ผม...เอาแต่คิดเรื่องคิริฮาระซังกับเขา  คิดอยู่ตลอด...หยุดไม่ได้”

นัตสึเมะอมยิ้ม  “ครั้งแรกก็แบบนี้แหละครับ”

คำพูดนั้นเข้าหู  แต่ฟุยุกิยังไม่เข้าใจความหมาย

“เมื่อคืน  คุณพ่อก็เรียกไปดุ...”

“ดุว่ายังไงครับ?”

“ไม่รู้สิครับ  ผมไม่ได้ฟังเลย”  เด็กหนุ่มตอบพลางขมวดคิ้ว...แต่เหมือนจะมีคำว่าปุ๋ยพืชสดติดอยู่ในสมองยังไงไม่รู้...ตกลงพ่อพูดอะไรกันแน่นะ

ร่างสูงอดเอื้อมมือไปลูบผมมฟุยุกิด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ถ้าคิดแต่เรื่องคิริฮาระ  แล้วมีอะไรอยากถามมากกว่านี้มั้ยครับ?”

“ถามได้เหรอครับ?”  แต่เดิมฟุยุกิไม่คิดจะถามอะไรละลาบละล้วงให้มากนัก  แต่ในเมื่อนัตสึเมะเปิดโอกาสให้ถามเขาก็อยากจะรู้

“จะตอบเฉพาะเรื่องที่ตอบได้แล้วกันนะครับ”

ฟุยุกิก้มลงมองถ้วยชาในมือ  นึกหาคำถาม  ก่อนจะถามเรื่องที่ค้างคาใจที่สุดออกไป

“เพลงนั้น...ชื่ออะไรเหรอครับ?”

ไม่ต้องนึกนาน  นัตสึเมะก็รู้ว่าเพลงไหน  “Shyly Café Latte ครับ”

“คิริฮาระซังแต่งให้เขาเหรอครับ?”  แค่ฟังชื่อเพลง  ภาพของคิโยฮารุก็ปรากฏขึ้นมาในหัวทันที

นัตสึเมะทบทวนความจำนิดหนึ่ง  เรื่องมันนานจนเขาเองก็คิดว่าคิริฮาระแต่งเพลงนั้นให้คิโยฮารุไปแล้วเหมือนกัน

“เอ...ไม่ใช่นะครับ  เพลงนั้นคิริฮาระแต่งในวิชาเรียน  แล้วถึงได้มาใส่อิมเมจของซาคากิซังทีหลัง”

“วิชาเรียน!?...แล้วออกมาเพราะขนาดนั้นเนี่ยนะ?”  ฟุยุกิทำตาโต  ฟังยังไงก็ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

“ก็คิริฮาระเป็นนักไวโอลินอัจฉริยะนี่ครับ...จากมุมมองของผมน่ะนะ  อ้อ...เพลงนั้นเอาไปเล่นในคอนเสิร์ตฤดูใบไม้ผลิปีนั้นด้วย”  ความทรงจำของนัตสึเมะชัดเจนขึ้น  ถ้าจำไม่ผิด...ตอนนั้นคิโยฮารุร้องไห้ด้วยนี่นะ

“เหมือนกับเพลงที่เล่นเมื่อปีที่แล้วน่ะเหรอครับ!?”  ฟุยุกิทำตาโตเข้าไปอีก

“ครับ...”  นัตสึเมะส่ายหน้าน้อย ๆ  ฟุยุกิก็ร้องไห้เพราะเพลงของคิริฮาระเหมือนกันนี่นะ...แล้วตาโตเป็นประกายนั่น  คงลืมไปแล้วสิท่าว่าตัวเองกำลังถามเรื่องอะไรอยู่กันแน่

เด็กหนุ่มยกชาขึ้นดื่มระงับความตื่นเต้น  คิริฮาระคงได้บรรเลงเดี่ยวไวโอลินในคอนเสิร์ตประจำฤดูบ่อย ๆ สินะ  ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากฟังเพลงอื่น ๆ บ้างจัง  คิริฮาระซังของเขานี่สุดยอดจริง ๆ

อ๊ะ...ไม่ใช่ของเขาสิ  ของผู้ชายคนนั้นต่างหาก...คิดอย่างนี้แล้วฟุยุกิก็สลดวูบลง

ร่างสูงเกือบจะหัวเราะออกมากับท่าทีที่เปลี่ยนมาเปลี่ยนไปเหมือนการ์ตูนนั้น  แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ด้วยความยากเย็น...ก็หนุ่มน้อยที่ทำตาแดง ๆ เหมือนกระต่ายหงอยนี่มันน่ารักน้อยอยู่เมื่อไร

“จะถามอะไรอีกมั้ยครับ?”

ฟุยุกิเงยหน้าหงอย ๆ ขึ้นมา  “แล้ว...คิริฮาระซังเรียนที่ไหนเหรอครับ?”

“ที่ไหน?...ก็ที่นี่น่ะสิครับ”  นัตสึเมะชี้มือไปทางหน้าต่าง...ฝั่งตรงข้ามคือรั้วมหาวิทยาลัย

“แล้ว...เขา...?”  ฟุยุกิยังคงหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อคิโยฮารุออกมา

“ก็เรียนที่เดียวกันนี่แหละครับ  คนนึงเรียนดนตรี  คนนึงเรียนวรรณคดีเปรียบเทียบ”

“เจอกันที่นี่  แล้วก็จบที่นี่ทั้งคู่เลยสินะครับ”  ฟุยุกินึกอายเหมือนกัน  ความจริงไม่น่าต้องถาม  ในเมื่อร้านของนัตสึเมะตั้งอยู่ข้างมหาวิทยาลัย  ถ้าใครจะมาเป็นลูกค้าประจำก็ควรจะเป็นคนที่ไป ๆ มา ๆ ในละแวกนี้แหละ

“เปล่าครับ  ซาคากิซังจบคนเดียว  คิริฮาระเรียนไม่จบ”

“เอ๊ะ?”  อย่างคิริฮาระน่ะเหรอจะเรียนไม่จบ  ออกจะมีฝีมือขนาดนั้นแท้ ๆ

“ตอนนั้นมันเกิดเรื่องยุ่ง ๆ เยอะแยะน่ะครับ  คิริฮาระเลยเรียนไม่จบ  ส่วนซาคากิซังได้ทุนไปเรียนต่อที่เยอรมัน”

“ทิ้งคิริฮาระซังไว้คนเดียวเหรอครับ!?”  ฟุยุกิเผลอส่งเสียงดัง

“เปล่าครับ  โดนคิริฮาระไล่ไปน่ะ”

“เอ๊ะ  ทำไมล่ะครับ?  เวลาที่มีปัญหาก็น่าจะอยากให้คนรั...”  เด็กหนุ่มแทบกัดลิ้นตัวเองกับคำที่เกือบจะหลุดปากไป  ถึงสมองกับหัวใจจะไม่ยอมรับ  แต่จิตใต้สำนึกยอมทุกอย่างแล้วสินะ

นัตสึเมะทำเป็นไม่ได้ยินคำนั้นเพื่อเห็นแก่หน้าของฟุยุกิ  “คิริฮาระแก้ปัญหาเองได้ครับ  ถึงจะอยากให้อยู่ด้วยแต่เรื่องทุนสำคัญกว่า  เพราะนั่นคืออนาคตของซาคากิซัง  ก็เลยบังคับให้ไปน่ะครับ”

บังคับ...เพื่ออนาคต  ไม่เข้าใจเลยว่าคิริฮาระคิดอะไรอยู่  ถ้าเป็นฟุยุกิจะต้องขอร้องให้คนสำคัญอยู่ด้วยในช่วงเวลาที่เลวร้ายแน่  คิริฮาระเข้มแข็งเหลือเกิน...และเพราะเข้มแข็งอย่างนี้  เขาถึงได้หลงใหลนัก

ผู้ชายที่มีความมุ่งมั่นและจุดยืนในชีวิตของตัวเอง  ทั้งยังไม่ได้คิดแต่เรื่องของตัวเองแต่ยังคิดถึงอนาคตของคนใกล้ตัวด้วย  เขาเองก็คงเป็นอีกคนที่คิริฮาระคิดถึงในส่วนนั้น  ในวันนั้นที่เขาแย่เต็มทีถึงได้พาเขามาที่นี่

“แต่เพราะอย่างนั้น  ซาคากิซังถึงได้เป็นอาจารย์มาจนทุกวันนี้น่ะครับ”

ได้เป็นอาจารย์...เพราะคิริฮาระคิดถึงอนาคต  ซ้ำยังรอคอยผ่านเวลามานับสิบปี...ฟุยุกิก้มหน้านิ่ง  ไม่มีอะไรที่เขาจะเทียบได้สักอย่างเดียว

มือใหญ่วางลงบนเรือนผมนุ่มของฟุยุกิเบา ๆ  ไออุ่นจากมือนั้นถ่ายทอดมาถึงความรู้สึก  มือที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟหอมนี้อบอุ่นเสมอ  และคอยช่วยประคับประคองฟุยุกิไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“รักครั้งแรก  ก็แบบนี้แหละครับ...และอกหักครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละ”

“รัก...?  อกหัก...?”  ฟุยุกิมองหน้านัตสึเมะอย่างงง ๆ

“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอครับ  ว่าตัวเองกำลังอกหักน่ะ”  ร่างสูงยิ้ม

“ผม...อกหัก?...จากคิริฮาระซังน่ะเหรอครับ?”

“ครับ  ตกหลุมรัก...และกำลังอกหักครับ”

เด็กหนุ่มทำตาปริบ ๆ  เขารู้ว่าเขาหลงใหลคิริฮาระ  แต่นั่นมันเรียกว่าการตกหลุมรักงั้นหรือ  แล้วความเป็นจริงที่ยังทำใจยอมรับไม่ได้นี่คือ...อกหัก?

“จะทำความเข้าใจและผ่านไปได้ต้องใช้เวลาหน่อยนะครับ  ระหว่างนี้ก็ประคองเรื่องงานให้ดี...”

ยังไม่ทันที่นัตสึเมะจะพูดจบ  เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านก็ดังขึ้น  เขารีบปล่อยมือจากฟุยุกิทันที

“ยินดีต้อนรับครับ...ซาคากิซัง?”

ร่างโปร่งที่มีกระเป๋าสะพายไหล่เดินผ่านประตูเข้ามาด้วยท่าทางคุ้นตา

“อรุณสวัสดิ์ครับ  นัตสึเมะซัง  วันอาทิตย์นี่แถวนี้มันเงียบจริง ๆ นะครับ...อ้าว  ฟุยุกิคุง”

พอถูกคนที่กำลังเป็นเครื่องรบกวนจิตใจทัก  ฟุยุกิก็ทำตัวไม่ถูก

“อะ...อรุณสวัสดิ์...ครับ”

“อรุณสวัสดิ์ครับ  ออกมาเที่ยววันอาทิตย์เหรอครับ?”  คิโยฮารุวางกระเป๋าลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ

“อะ...ปะ...เปล่าครับ”  เด็กหนุ่มดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที  “ผะ...ผมแค่แวะมา...”

“หาเพื่อนคุยสินะครับ  นัตสึเมะซังคุยสนุกออกนี่นะ”

ฟุยุกิหลบตาคิโยฮารุ  “ผม...ผมมีธุระครับ  กลับก่อนนะครับ...ขอบคุณสำหรับน้ำชานะครับ  นัตสึเมะซัง...”

ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็รีบผลุนผลันออกไปจากร้าน  นัตสึเมะกับคิโยฮารุไม่ได้รั้งไว้  พวกเขาเพียงแต่มองตามไปเท่านั้น  จนเมื่อฟุยุกิลับสายตาไปแล้ว  ต่างก็ถอนใจออกมา

“รู้สึกผิดจังครับ”  คิโยฮารุส่ายหน้า

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ”  นัตสึเมะตอบยิ้ม ๆ  “ว่าแต่ซาคากิซังมาทำอะไรวันอาทิตย์แบบนี้ครับ?”

“เลิกเรียกซาคากิเสียทีเถอะครับ”  คิโยฮารุทำเสียงตัดพ้อ  “ผมมาเตรียมที่ทางกับเอกสารการเรียนการสอนน่ะครับ  จะเริ่มสอนอาทิตย์หน้าแล้ว”

“อ๊ะ  เร็วจังนะครับ”

“จะเปิดเทอมแล้วนี่ครับ  จะได้มาเป็นแขกประจำของนัตสึเมะซังอีกแล้ว”

“ยินดีต้อนรับเสมอเลยครับ”  นัตสึเมะยิ้มพลางนึกถึงสมัยก่อนที่คิโยฮารุมาสิงอ่านหนังสืออยู่ที่ร้านของเขาทุกวัน

“แต่เด็กคนนั้นคงไม่ยินดีเท่าไร...”  พูดแล้วคิโยฮารุก็มองถ้วยชาของฟุยุกิที่ยังวางทิ้งไว้  “เขาคงไม่อยากเจอหน้าผม”

“...รู้ตัวด้วยเหรอครับ?”

“ผมไม่ใช่ยูคุงนะครับ  เรื่องง่าย ๆ แค่นี้  รู้มาตั้งแต่วันนั้นแล้วละครับ”

“หมอนั่น...ยังไม่รู้เรื่องสินะครับ”

“ยูคุงโง่เรื่องพวกนี้จะตายไป  นัตสึเมะซังก็รู้นี่ครับ”

คนเป็นเจ้าของร้านหัวเราะ  “กลับจากเยอรมันนี่  ปากร้ายขึ้นเยอะเลยนะครับ”

“ได้เพื่อนนิสัยแย่น่ะครับ  ว่าแต่  วันนี้ขอลาเต้ฮาเซลนัท...ใส่วิปครีมด้วยนะครับ”  คิโยฮารุบอกพลางยิ้มกว้าง

“ได้ครับ  นั่งรอสักครู่นะครับ”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 09 / 08-05-58
«ตอบ #28 เมื่อ08-05-2015 19:50:01 »

สวัสดีครับ
ได้หยุดยาวกันหรือเปล่าครับ สนุกกันไหม? ผมเขียนนิยายมันส์มือมากเลย อีกไม่นานคงจบแล้วละครับ
จะเปิดเทอมแล้ว (สำหรับนักเรียน) พยายามเข้านะครับ
ไม่มีอะไรจะเขียนแล้ว ฮะๆๆ เจอกันตอนหน้านะครับ

HAKURO_KOKURO

Lock on You 09

ซากุระผลิบานสะพรั่ง  ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเมืองหลวงแห่งตึกระฟ้าอันแสนกระด้างนี้แล้ว  ทุกหนทุกแห่งมีแต่ผู้คนออกมาชื่นชมความงามของซากุระ  เทศกาลชมดอกไม้ก็เริ่มต้นขึ้น  แต่ในตอนที่ทั้งเมืองกำลังคึกคักด้วยสีสันของการเริ่มต้นชีวิตใหม่  โลกของฟุยุกิกลับพังทลาย

จะเรียกว่าอกหักหรืออะไรก็ช่าง  แต่เด็กหนุ่มยังทำใจกับการสูญเสียนี้ไม่ได้  เขายังคงไม่กล้าเดินผ่านทางที่คิริฮาระจะไปเล่นคอนเสิร์ตข้างถนน  ได้แต่เลี่ยง ๆ ไปเดินอีกฝั่งหนึ่ง  ส่วนที่ร้านของนัตสึเมะ...นี่มหาวิทยาลัยคงเปิดเทอมแล้ว  ถ้าไปที่นั่นจะต้องเจอผู้ชายคนนั้นแน่  เขาเคยแวะไปเลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่แถวร้านหลังเลิกงาน  ก็พบว่าทั้งคิริฮาระและคิโยฮารุอยู่ข้างใน  เลยรีบกลับบ้านไป

ฟุยุกิรู้สึกไม่มีทางไป  ได้แต่ตรงกลับบ้านหลังเลิกงานทุกวัน...ทั้งที่มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนเมื่อก่อนที่จะได้รู้จักกับคิริฮาระแท้ ๆ  แต่ทำไมถึงได้หดหู่นักนะ...จริงสิ  มันไม่เหมือนเดิมหรอก  เพราะตั้งแต่เข้าทำงานเมื่อปีที่แล้ว  เขาก็แวะฟังเพลงของคิริอาระทุกวันแทบไม่เคยขาดนี่นา  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น

ไม่รู้จะไปทางไหนดี  บ้านที่กลับไปตอนนี้  มิโนรุก็มักจะกลับดึกอยู่บ่อย ๆ  น่าแปลกที่เมื่อก่อนเขาจะดีใจด้วยซ้ำถ้ามิโนรุไม่อยู่บ้าน  แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบ้านมันเงียบอย่างประหลาดและเขารู้สึกไม่สบายใจเลย  และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฟุยุกินึกอยากกลับไปบ้านพ่อเพื่อหมกตัวอยู่ในสวนญี่ปุ่นเป็นวัน ๆ  แต่การไปกลับบ้านพ่อทุกวันมันก็เกินกำลังไปหน่อย  เด็กหนุ่มจึงได้แต่อดทน
แม้ว่าพอตั้งสติได้แล้วเรื่องงานจะค่อยยังชั่วลงบ้าง  แต่นั่นก็หมายถึงการกลับไปเป็นฟุยุกิผู้เชื่องช้าและต้องใช้ความพยายามสุดตัวในการทำงานง่าย ๆ สักชิ้น  พองานไม่ผิดพลาด  หัวหน้าก็เลิกดุ  แต่สิ่งที่มาแทนคือเสียงเหน็บแนมนินทาถึงความเป็นเด็กเส้น  และเด็กที่เพิ่งเข้าใหม่เก่งกว่าเขา

ฟุยุกิไม่มีอะไรจะพูดและไม่คิดจะโต้แย้ง  เขาไม่เคยอยากทำงานนี้มาแต่แรกอยู่แล้ว  ทุกอย่างพ่อเป็นคนจัดการให้ทั้งสิ้น  แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร  อยากทำอะไร  และต้องทำยังไง  เขาที่เคยมีแต่คนคอยชี้นำมาตลอด  เมื่อถึงเวลาที่ต้องคิดเอาเองเช่นนี้ก็เคว้งคว้าง...เรื่องอกหักนี่จะไปปรึกษาใครได้  ตอนนี้มิโนรุกำลังมีความรัก  ส่วนเคียวยะกับพ่อก็อายุมากเกินไป
และที่สำคัญ...คิริฮาระเป็นผู้ชาย

แม้แต่ตัวเขาเองยังยอมรับไม่ได้เลยว่าเขาชอบคิริฮาระที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน  จริงอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดหรือแปลกแยกอะไร  เพราะเขาไม่เคยรู้หรือใส่ใจเรื่องความรักมาก่อน...แต่ถ้าพูดออกไป  ที่บ้านจะคิดยังไง...

ทั้งที่คิดว่าจะไม่ไปอีก  แต่ในตอนที่จิตใจสับสนหาทางออกเองไม่ได้  สองเท้าก็ก้าวไปตามสัญชาตญาณ...ไปยังที่พึ่งทางใจแห่งสุดท้าย...ร้านกาแฟของนัตสึเมะ

เสียงกระดิ่งประตูกังวานใสดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นกรุ่นของกาแฟที่ฟุ้งออกมาทันทีที่เปิดประตู  เจ้าของร้านที่กำลังเก็บล้างถ้วยชามเงยหน้าขึ้นมามองแล้วส่งยิ้มให้

“สวัสดีครับ  ฟุยุกิคุง  ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

น้ำเสียงอบอุ่นและรอยยิ้มนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ฟุยุกิก้าวเข้าไปในร้านด้วยความรู้สึกโหยหา  แต่พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด  ทำเอาเท้าที่กำลังจะก้าวต่อชะงักทันที

คิโยฮารุกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับกองสมุดและตำรับตำราที่สุมอยู่บนโต๊ะโดยมีถ้วยกาแฟตั้งอยู่ตรงหน้า

นัตสึเมะสังเกตเห็นอาการชะงักนั้นจึงกวักมือเรียกฟุยุกิแล้วชี้ลงที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์  เนื่องจากเป็นการบอกใบ้โดยไม่ใช้เสียง  เด็กหนุ่มเลยเผลอย่องเข้าไปนั่งและพยายามวางกระเป๋าโดยไม่ให้มีเสียงไปด้วย

“กำลังเขียนแผนการสอนน่ะครับ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านกระซิบ  ฟุยุกิเหลือบตาไปทางคิโยฮารุ  ไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำ  “มานั่งเอาดินสอไชขมับตัวเองตั้งแต่บ่ายแล้วละครับ”

ได้ยินแล้วฟุยุกิก็อดเหลือบไปมองอีกแวบไม่ได้  คิโยฮารุกำลังเอาดินสอหมุน ๆ จิ้ม ๆ อยู่ตรงขมับจริง ๆ ด้วย

...ถ้าดินสอมันทะลุเข้าไปจริง ๆ จะทำยังไง...คิดแล้วก็กลัวเขาจะได้ยิน  เด็กหนุ่มรีบหันกลับมาทันที

“มะ...มันยากเหรอครับ?”  ถามไปด้วยเสียงกระซิบ

“เห็นว่านึกภาษาญี่ปุ่นแบบทางการไม่ออกน่ะครับ  ใช้ภาษาเยอรมันมาหลายปี”  นัตสึเมะตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบเช่นกัน

ฟุยุกิพยักหน้าหงึก ๆ แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  ส่วนนัตสึเมะก็หันกลับเข้าเคาน์เตอร์ไปทำอะไรก๊อกแก๊ก  ซึ่งไม่นานนักในร้านก็มีเพียงเสียงน้ำเดือดกับเสียงถ้วยชามกระทบกันและเสียงบ่นงึมงำของคิโยฮารุเท่านั้น

ความคิดของเด็กหนุ่มล่องลอยฟุ้งซ่านไปชั่วครู่  ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคิดอะไรบ้าง  รู้แต่มันหดหู่ลงทุกที  จนถ้วยชาสีจาง ๆ วางลงตรงหน้า  เขาจึงได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่ชงให้  แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมา

“วันนี้ท่าทางเหนื่อยมาก  เลยชงชาคาโมมายล์ให้น่ะครับ”

ฟุยุกิก้มลงมองน้ำชาในถ้วยก่อนจะพึมพำเบา ๆ  “นั่นสินะครับ...เหนื่อย...เหมือนตอนนั้นเลย”

ราวกับเวลาได้ย้อนกลับคืนมา  ในวันที่คิริฮาระพาเขามาที่นี่เป็นครั้งแรก  และชาถ้วยแรกที่ได้รับ...แต่วันนี้เขาเหนื่อยจริง ๆ หรือ  มันดูแตกต่าง  มีบางอย่างที่ไม่ใช่ความเหนื่อย...เป็นบางอย่างที่ดูซึมเศร้า

“ไม่เหมือนเท่าไรนะครับ...ไม่ได้ไปฟังเพลงของคิริฮาระเลยไม่ใช่เหรอ?”

เด็กหนุ่มพยักหน้า  “...ไม่รู้จะทำหน้ายังไงน่ะครับ”

“คิริฮาระก็บ่นว่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน  แต่ถ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”

ฟุยุกิพยักหน้าอีกครั้งแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ  ชาอุ่น ๆ ซึ่งมีกลิ่นหอมที่คุ้นเคยทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง  จริง ๆ นะ...ชงดื่มเองมานานแล้วก็ยังไม่ได้รสชาติแบบของนัตสึเมะเสียที  หนังสือที่ยืมไปก็ยังไม่ได้อ่านเลยด้วยซ้ำ  แล้วยังจะมีเรื่องนี้...คิดแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“ชาไม่อร่อยเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ

“ปะ...เปล่าครับ”  เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธ  “ชาอร่อยมากครับ  แต่ผม...”

“คิดไม่ตกเรื่องคิริฮาระเหรอครับ?”

ฟุยุกิช้อนตาขึ้นมองนัตสึเมะก่อนจะรีบหลบตาลงอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีลังเลใจ

“ถามมาเถอะครับ  ผมบอกแล้วว่าผมจะตอบเท่าที่ตอบได้”

เด็กหนุ่มเหลือบมองคิโยฮารุที่นั่งคร่ำเคร่งอยู่ที่โต๊ะ  ท่าทางชายหนุ่มจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากงานตรงหน้า  ฟุยุกิจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตัดสินใจถาม

“ที่ผมชอบผู้ชาย...มันพิลึกมั้ยครับ?”

นัตสึเมะเลิกคิ้วแล้วนิ่งไปหลายอึดใจ  มองหน้าเด็กหนุ่มตาปริบ ๆ  เล่นเอาคนถามใจเสีย

“พิลึก...สินะครับ...”

“เปล่าครับ”  นัตสึเมะตอบทันที  “แค่ไม่เคยมีใครมาถามผมแบบนี้เท่านั้นเอง”

“ไม่มี...เลยเหรอครับ?”

“ครับ  แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันพิลึกตรงไหนนะครับ  ถ้าการจะชอบใครสักคนเป็นเรื่องพิลึกละก็  ผมเองก็คงพิลึกเหมือนกันละครับ”
ฟุยุกินึกไปถึงสาวใหญ่ที่น่าจะเป็นคนรักของนัตสึเมะคนนั้น  นั่นสินะ...นัตสึเมะเองก็ชอบคนอายุมากกว่าหลายปีนี่นา

“และคิริฮาระก็ต้องพิลึกด้วย”  นัตสึเมะเหลือบมองคิโยฮารุ  ซึ่งฟุยุกิก็มองตามไปด้วย...ใช่  คิโยฮารุเป็นคนพิเศษของคิริฮาระ  ถ้าคิดไปในแง่นั้นมันก็พิลึกยิ่งกว่านัตสึเมะเสียอีก

“ไม่ใช่...เรื่องแปลกใช่มั้ยครับ?”

“สำหรับผมมันไม่มีอะไรแปลกหรือพิลึกเลยครับ  แต่โลกนี้ก็มีคนใจกว้างบ้างใจแคบบ้างละนะ”

ฟุยุกิพยักหน้า  “นั่นสินะครับ  เรื่องนี้...ผมไม่กล้าคุยกับคนที่บ้านน่ะครับ”

นัตสึเมะนึกถึงหน้าพ่อของฟุยุกิที่เคยพบกันที่คอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วง  คุณพ่ออาจไม่ใจแคบแต่ก็ไม่น่าจะคุยเรื่องนี้ได้ละมั้ง...พ่อของฟุยุกิน่าจะแก่กว่าพ่อของเขาเยอะทีเดียว

“ผม...ชอบ...คิริฮาระซังครับ”  เสียงนั้นไม่ดังไปกว่ากระซิบ  ด้วยรู้ว่าคิโยฮารุนั่งอยู่ด้วย

“ผมรู้ครับ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ผมชอบไวโอลินของเขา  ชอบฟังเขาคุยกับนัตสึเมะซัง  ชอบเวลาที่เขาคุยกับลูกค้า...ชอบไปหมดทุกอย่าง...”  เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นปิดหน้า  ทุกอย่างที่ว่ามานั้นเป็นของคิโยฮารุเท่านั้น  “แต่...มันเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ยครับ...เป็นไปไม่ได้...”

สองไหล่บอบบางสั่นสะท้าน  นัตสึเมะวางมือลงบนไหล่นั้นแล้วบีบเบา ๆ  เขาเข้าใจดี...ฟุยุกิไม่ใช่คนแรกที่มาคุยเรื่องคิริฮาระกับเขา  เพื่อนของเขาเนื้อหอมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  เคยมีกระทั่งสาวที่พยายามเข้าหาคิริฮาระผ่านทางเขาด้วยซ้ำ  แต่คิริฮาระไม่เคยสนใจใครเลยจนได้พบคิโยฮารุ  คิริฮาระไม่ใช่พวกจะรับใครเข้ามาในชีวิตแต่เป็นฝ่ายเข้าไปในชีวิตคนอื่นมากกว่า  คงมีแต่ฟุยุกินี่แหละที่คิริฮาระยอมรับเอาไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ด้วยความรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยเด็กที่อ่อนล้าคนนี้ไปตามยถากรรมได้
และฟุยุกิก็ดูจะเป็นคนเดียวที่เข้ามาหาและยึดคิริฮาระเอาไว้ในลักษณะเหมือนจะพึ่งพิง

จังหวะมันไม่เหมาะ  ถ้าคิโยฮารุไม่กลับมา  คิริฮาระจะต้องคอยประคับประคองฟุยุกิจนกว่าจะยืนด้วยตัวเองได้แน่  เพราะคิริฮาระเป็นคนแบบนั้น...แต่พอคิโยฮารุกลับมา  คิริฮาระก็ลืมหมดทุกอย่าง  หันไปทุ่มให้กับคิโยฮารุจนหมดให้สมกับที่จากกันมานานหลายปี...คิริฮาระเป็นคนแบบนั้นด้วย  เป็นคนที่มองเห็นความสุขของตัวเองและพร้อมที่จะคว้ามันไว้ในมือ

ชีวิตของฟุยุกิแค่ผิดจังหวะไปหน่อยเท่านั้นเอง...แต่เป็นการผิดจังหวะที่อาจจะทำให้เวทีชีวิตล่มไปเลยก็ได้

นัตสึเมะอยากจะประคับประคองเด็กคนนี้ไว้เท่าที่จะทำได้

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงทักทาย

“สวัสดีครับ  นัตสึเมะซัง!”

“อ้าว  โอโน...โทโมกิคุง  สวัสดีครับ”

ฟุยุกิรีบเงยหน้าขึ้นแล้วลนลานหาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาทันที  เขาไม่ได้พบโทโมกิอีกเลยตั้งแต่ไปกินข้าวด้วยกันครั้งนั้น  และไม่อยากให้เห็นหน้าตอนร้องไห้ด้วย

“โอ๊ะ  อาริโยชิซังก็อยู่ด้วย  ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”  โทโมกิรีบปราดเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ทันที  ก่อนจะสังเกตเห็น  “อ้าว  เป็นอะไรไปครับ  กำลังปรึกษาอะไรนัตสึเมะซังอยู่เหรอ?”

ฟุยุกิที่ยังตอบอะไรไม่ได้  ได้แต่เอาผ้าเช็ดหน้าปิด ๆ หน้าแล้วพยักหน้ารับทั้งตาแดงก่ำ  โทโมกิจ้องหน้าตาบู้บี้ของฟุยุกิอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มแล้วตบที่ตักของอีกฝ่ายเบา ๆ

“ไม่เป็นไรนะครับ  เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง  คุยกับนัตสึเมะซังก็ดี  ชอบมีไอเดียอะไรดี ๆ ให้อยู่เรื่อย”

ฟุยุกิพยักหน้าหงึก ๆ  เรื่องไอเดียของนัตสึเมะนี่เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง

“ว่าแต่ถึงขนาดร้องไห้เนี่ย  กลุ้มเรื่องอะไรเหรอครับ  ผมถามได้มั้ย?”  โทโมกิซัก

“ผม...”  ฟุยุกิลังเลนิดหน่อย  แต่แล้วก็เอ่ยออกไป  “ผม...เพิ่งรู้ตัว...ว่าผมชอบผู้ชายครับ...มัน...พิลึกมั้ย?”

โทโมกิทำตาโตแล้วหันไปมองหน้านัตสึเมะ  พอนัตสึเมะพยักหน้าให้ก็หันกลับมามองหน้าฟุยุกิ  จ้องตาแดง ๆ เหมือนกระต่ายนั่นแล้วก็หัวเราะพรืดออกมา

“หึ...ฮะ ๆ ๆ...ไม่  ไม่พิลึกหรอกครับ  ฮะ ๆ ๆ  พวกเดียวกันน่า...พวกเดียวกัน”  โทโมกิตบไหล่ฟุยุกิ

“...พวกเดียวกัน?”  ฟุยุกิทำตาปริบ ๆ

“ผมก็มีคนรักเป็นผู้ชาย”  โทโมกิพูดออกมาง่าย ๆ

“หา!?”

โทโมกิยิ้มกว้าง  “คนรักของผมเป็นผู้ชาย...แต่ตอนนี้หลับอยู่น่ะ”

“หลับ?”

“มันเคยมีเรื่องยุ่ง ๆ น่ะครับ  แล้วเขาปกป้องผมไว้เลยโดนยิง...กลายเป็นมนุษย์พืชน่ะ”  หางเสียงแผ่วลงนิดหน่อย  แต่แล้วก็กลับมาแจ่มใสตามเดิม  “ตอนนี้ผมก็คอยดูแลอยู่ครับ”

“...เก่งจัง...”  ดูแลมนุษย์พืชนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ

“ไม่เก่งหรอกครับ  นี่ก็โดนคุณพ่อไล่ออกมาจากบ้านเพราะไปอาละวาดคนหลับเข้า  บอกว่าให้สงบสติได้แล้วค่อยกลับเข้าบ้าน”  โทโมกิหัวเราะอาย ๆ

“อาละวาดใส่วายะซังอีกแล้วเหรอครับ?”  นัตสึเมะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็...นิดหน่อยครับ  ไม่ตื่นเสียทีนี่นา”  เด็กหนุ่มเอียงคอแล้วทำหน้าสลดลง  “ผมนี่ต้องฝึกความอดทนอีกเยอะเลยนะครับ”

“โทโมกิคุงก็ทำได้ดีแล้วละครับ”  ร่างสูงยิ้มให้แล้วไปเตรียมชงกาแฟ

โทโมกิมองตามแผ่นหลังนั้นไปแล้วยิ้ม  ก่อนจะหันกลับมาพูดกับฟุยุกิ

“เพราะงั้น  ไม่พิลึกหรอกนะครับ”

“เอ๊ะ?...เอ้อ...ครับ”

“ว่าแต่...อาริโยชิซัง  ชอบคนแบบไหนเหรอ?”

เพียงแค่นั้น  น้ำตาที่แห้งไปแล้วของฟุยุกิก็ร่วงมาอีก

“หวา!  อย่าร้องสิ  ผมขอโทษ!  ไม่ถามก็ได้  ไม่ถามแล้วครับ!”  โทโมกิลนลาน

“...”  เสียงงึมงำจับความไม่ได้ลอดออกมาจากริมฝีปากของฟุยุกิ

“เอ๊ะ  อะไรนะครับ?”  โทโมกิเงี่ยหูไปฟัง

“ผม...ชอบคิริฮาระซัง...”

ฟังเสียงกระซิบนั้นแล้วโทโมกิก็เบิกตากว้างแต่เขาไม่แปลกใจเลย  ดูจากอาการที่ฟุยุกิแสดงออกต่อหน้าคิริฮาระเท่าที่เขาเคยเห็นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว

“แต่...อกหักแล้วละครับ...”

“เอ๋?  คิริฮาระซังปฏิเสธ?”

ฟุยุกิส่ายหน้า  “เขา...คนนั้นของ...คิริฮาระซัง...กลับมาแล้วนี่ครับ”

พูดแล้วฟุยุกิก็รู้สึกว่าไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป  เขารีบคว้ากระเป๋าขึ้น

“ผมขอตัวก่อนนะครับ!”

“อาริโยชิซัง!”

ฟุยุกิรีบผลุนผลันออกจากร้านโดยมีโทโมกิตามไปติด ๆ  นัตสึเมะแค่มองตามไปโดยไม่พูดอะไร  ในตอนนั้นเองที่เสียงปิดหนังสือดังขึ้น

“น่าสงสารจังน้า...”

“ฟังอยู่ด้วยเหรอครับ  คิโยฮารุคุง?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ ไปยังคนที่ถอดแว่นออกมาขยี้ตา

“แอบฟังมาสักพักแล้วครับ”  คิโยฮารุสวมแว่นกลับคืน  “ยูคุงสร้างปัญหาที่ตัวเองแก้ไม่ได้ซะแล้วสิ”

“ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำมั้งว่าสร้างปัญหาอะไร”

“ก็ยูคุงนี่ครับ”  คิโยฮารุหัวเราะ  “แต่มันแย่ตรงที่ผมก็ถอยให้ไม่ได้หรอกนะ”

“ประกาศกร้าวเลยนะครับ”

“ผมก็รักของผมนะครับ...แต่...เด็กคนนั้นจะต้องเข้าใจเจตนาของยูคุงแน่  เมื่อเขายืนได้ด้วยตัวเองแบบโทโมกิคุงแล้ว”

“แต่หลักยึดเวลาอ่อนล้าก็ยังจำเป็นนะครับ”

คิโยฮารุมองหน้านัตสึเมะแล้วยิ้มกว้าง  “ผมว่านัตสึเมะอยากเป็นหลักนั่นนะครับ”

“ผมน่ะเหรอครับ?”

“ท่าทางฟ้องออกจะตาย”  คิโยฮารุหลิ่วตาให้

นัตสึเมะหัวเราะ  คิริฮาระก็พูดแบบนี้  แถมยังคิโยฮารุอีก  ท่าทางเขาดูออกง่ายขนาดนั้นเลยนะ

“อยากเป็นกับเป็นได้มันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ”

คิโยฮารุเพียงแต่ยิ้มกับคำพูดนั้น  เขารู้ว่านัตสึเมะเองก็มีเงื่อนไขและอะไรในใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน  แต่เท่าที่สังเกตเห็น  เขาว่าเขาค่อนข้างมั่นใจที่จะพูดแบบนี้

“นัตสึเมะซังเป็นได้แน่ครับ  และกำลังเป็นอยู่โดยที่ฟุยุกิคุงไม่รู้ตัว...รอแค่ให้ทุกอย่างมันชัดเจนเท่านั้นแหละครับ”

นัตสึเมะยิ้มแล้วพยักหน้า  คิริฮาระบอกให้เขาแสดงออกให้ชัดเจน  แต่คิโยฮารุบอกให้รอ  ทั้งสองคนแตกต่างกันตรงนี้  แต่ก็เข้ากันได้อย่างดีที่สุด  และเป็นสองคนที่ดูจะเข้าใจเขาที่สุด  ต่างกันแค่คำแนะนำเท่านั้นเอง

“แต่ตอนนี้...ให้คนวัยเดียวกันเขาปลอบกันไปก่อนแล้วกันนะครับ”

...

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 09 / 08-05-58
«ตอบ #29 เมื่อ08-05-2015 19:52:37 »

โทโมกิไล่ตามฟุยุกิไปทันได้ไม่ยาก  เพราะไม่อยากให้สะดุดตาคนเขาจึงจูงมือฟุยุกิเข้าไปหาที่นั่งในมหาวิทยาลัย  หน้าตาท่าทางของพวกเขายังไม่แตกต่างจากพวกนักศึกษามากนักเลยกลมกลืนไปได้ง่าย ๆ  อากาศยังค่อนข้างเย็น  โทโมกิจึงเลือกเครื่องดื่มร้อนจากตู้ขายของอัตโนมัติแล้วกลับไปหาฟุยุกิ

“นี่ครับ  อาริโยชิซัง  ผมเลี้ยงเอง”  โทโมกิส่งกระป๋องชาเขียวร้อนให้

“อ่ะ...ขอบคุณครับ...”  ฟุยุกิรับไปถือไว้  ตายังแดง ๆ จากการร้องไห้เมื่อกี้

โทโมกินั่งลงข้าง ๆ  “ขอโทษนะครับ  ที่เมื่อกี้ถามอะไรแปลก ๆ ไป”

“ไม่หรอกครับ...ผมแค่อ่อนไหวมากเกินไปหน่อย  พอพูดออกมาก็เลย...”  ฟุยุกิส่ายหน้ากับตัวเอง  “น่าอายจังนะครับ”

โทโมกิรีบส่ายหน้า  “ไม่น่าอายหรอกครับ  ผมเองก็ร้องไห้กับนัตสึเมะซังมาเยอะเหมือนกัน”

ฟุยุกินึกถึงตอนที่ได้เห็นโทโมกิที่ร้านนของนัตสึเมะเป็นครั้งแรก  โทโมกิกำลังร้องไห้ปรับทุกข์กับนัตสึเมะด้วยเรื่องบางอย่าง

“แต่พูดถึงคิริฮาระซังแล้ว...ไม่แปลกหรอกครับ  ที่คุณจะชอบเขาน่ะ  เขามีเสน่ห์สุด ๆ เลยนี่นะ  ผมก็ชอบเขานะ”

ฟุยุกิพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย

“แล้วก็เคยมีคนหลงเสน่ห์คิริฮาระซังจนพยายามบังคับให้ผมเป็นเหมือนเขาด้วย”

“เอ๋?”

“เจ้ามนุษย์พืชของผมนั่นแหละ”  พอเห็นฟุยุกิทำตาโต  โทโมกิเลยพูดต่อ  “เรื่องมันยา...วมากครับ  เอาเป็นว่าชุนรู้จักกับคิริฮาระซังมาก่อน  แล้วเลยมาพยายามยัดเยียดให้ผมเป็นเหมือนคิริฮาระซังน่ะครับ”

“...ไม่ดีเลย...”  คนถูกบังคับมาตลอดชีวิตหลุดปากออกมาอย่างนั้น

“ใช่  ไม่ดีเลย  แต่พอได้รู้จักคิริฮาระซังแล้วผมก็ชอบเขานะ  เขาเป็นคนให้กำลังใจ  ทำให้ผมอดทนดูแลชุนมาได้จนถึงตอนนี้”  โทโมกิดื่มชาร้อนแล้วยิ้มออกมา  “ผมนับถือคิริฮาระซังมากเลยละครับ”

“ดูแลคนป่วย...ลำบากแย่เลยสิครับ”

“ก็ลำบาก  แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทำ...ก็มีบ้างที่อาละวาดไปอย่างวันนี้  เวลาแบบนั้นก็จะเผ่นมาหานัตสึเมะซัง  มาพักรบน่ะครับ”

“...วันนี้คุณเลยไม่ได้คุยกับนัตสึเมะซังเลยสิครับ  เพราะผมแท้ ๆ...”  ฟุยุกิทำหน้าหงอย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  นัตสึเมะซังอยู่ร้านทุกวัน  มาหาเมื่อไรก็ได้  แล้วผมก็อยากคุยกับอาริโยชิซังมากกว่าด้วย  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”  โทโมกิยิ้มให้  “แล้ว...เมื่อกี้ค้างอยู่ตรงอกหัก  มันยังไงกันเหรอครับ?”

ฟุยุกิหลุบตาลงมองพื้น  ทอดถอนใจยาว  “ก็...คนพิเศษของคิริฮาระซังกลับมาแล้วนี่ครับ”

“ซาคากิซังน่ะนะ!?”  โทโมกิเสียงดัง  “เมื่อไรครับ!?”

“ก็...สักเดือนกว่า ๆ นี่แหละครับ...เมื่อกี้ก็อยู่ในร้านด้วย”  ฟุยุกิทำตาปริบ ๆ กับอาการตื่นเต้นของโทโมกิ

“ห๊า!?”  โทโมกิโวยวาย  “ไม่เห็นสังเกตเลย  นึกว่าลูกค้าคนอื่น”

...คิโยฮารุไร้ตัวตนขนาดนั้นเชียวรึ...ฟุยุกิแอบคิดในใจ

“อืม...แต่ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องยอมรับการอกหักอย่างจำยอมแล้วละครับ”  โทโมกิส่ายหน้า  “ผมไม่เคยเห็นใครยึดมั่นและรอคอยกันมานานขนาดนั้นมาก่อนเลย”

“...นั่นสินะครับ”  ฟุยุกิถอนใจเฮือกใหญ่  “ผมไม่มีอะไรไปสู้เขาได้เลย...ผมแค่ชอบคิริฮาระซังเท่านั้นเอง”

“แต่อาริโยชิซังก็ชอบคิริฮาระซังอย่างจริงใจนี่ครับ  แบบนั้นก็ดีแล้วนี่นา  แล้วอาริโยชิซังก็ไม่ได้มีแค่คิริฮาระซังนี่ครับ  ยังมีนัตสึเมะซังอยู่ทั้งคน”

คำพูดนี้...เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

...ฟุยุกิคุง  ยังไงก็ยังมีผมอยู่ทั้งคนนะครับ...

ใช่...เคยได้ยินจากนัตสึเมะเองนั่นแหละ  แต่มันหมายความว่ายังไงกันนะ...เขารู้อยู่แล้วว่านัตสึเมะจะคอยอยู่ที่ร้านและให้กำลังใจเขาเสมอ  แต่ไม่เห็นต้องย้ำเลยนี่นา

“พรุ่งนี้วันเสาร์  อาริโยชิซังต้องทำงานหรือเปล่า?”  โทโมกิถามขึ้น

“เปล่าครับ  ผมหยุดสองวัน...ทำไมเหรอครับ?”  ฟุยุกิทำหน้าสงสัยที่อยู่ ๆ โทโมกิก็เปลี่ยนเรื่อง

“พอดีอยากคุยกับอาริโยชิซังต่อ  แต่ต้องกลับไปดูแลชุนด้วย  เลยว่าจะชวนไปค้างที่บ้านน่ะครับ”

“เอ๋!?  จะ...จะดีเหรอครับ?  โอโนเสะซังต้องดูแลคนป่วยด้วย  ผม...ผมไปจะรบกวนเสียเปล่า ๆ...”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธลนลาน  เขาได้พบได้พูดคุยกับโทโมกิแค่ไม่กี่หนเท่านั้นเอง  แล้วจะให้ไปค้างที่บ้านเนี่ยนะ

“มันไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอกครับ  ผมก็ชินแล้วด้วย...แต่อยากให้อาริโยชิซังไปน่ะ  คือผมไม่ค่อยมีเพื่อนรุ่นเดียวกันเท่าไร  เพิ่งมีอาริโยชิซังนี่แหละที่คุยกันได้เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้  ก็เลยสนุกน่ะครับ”  โทโมกิยิ้มกว้าง

...สนุกเหรอ...คนหดหู่อย่างเขาเนี่ยนะ...ฟุยุกิถามตัวเอง  แต่จะว่าไปแล้วเขาเองก็แทบจะไม่มีเพื่อนเลยเหมือนกัน  แต่กลับคุยกับโทโมกิได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ  และบางทีแค่ฟังโทโมกิคุยก็สนุกแล้ว...การมีเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นแบบนี้เองสินะ

“งั้น...ไปก็ได้ครับ”  พอโทโมกิตั้งท่าจะดีใจ  ฟุยุกิก็รีบพูดต่อ  “แต่...”

“แต่อะไร?”

“เลิกเรียผมว่าอาริโยชิซังเถอะครับ  ไม่คุ้นเลย  เรียกฟุยุกิก็ได้”

โทโมกิหัวเราะ  “ก็ดี  ผมก็ไม่ชอบถูกเรียกว่าโอโนเสะซังเหมือนกัน  งั้นเรียกผมว่าโทโมกินะ  ฟุยุกิคุง”

“ครับ  โทโมกิคุง

...

แม้ดูจากรถเบนซ์คันงามที่โทโมกินั่งอยู่เสมอจะทำให้รู้ว่าฐานะทางบ้านดีแค่ไหน  แต่การได้ไปเห็นบ้านจริง ๆ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง  บ้านของฟุยุกินั้นจัดว่าเป็นบ้านญี่ปุ่นที่ใหญ่พอสมควรแล้วในละแวกบ้าน  แต่เทียบแล้วก็ได้แค่เรือนหลังเดียวของบ้านโอโนเสะเท่านั้นเอง  ในอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต  มีเรือนน้อยใหญ่ตั้งกระจายกันอยู่  มีการปลูกต้นไม้และจัดสวนสวยจนชวนให้ฟุยุกินึกถึงพระราชวังโบราณที่เคยไปเห็นตอนทัศนศึกษากับทางโรงเรียน

ฟุยุกิที่กำลังตะลึงกับความใหญ่โตของตัวบ้านต้องอึ้งเข้าไปอีกเมื่อรถที่ไปรับมาจากสถานีรถไฟเข้าจอดที่หน้าเรือนใหญ่  เห็นท่าทางสบาย ๆ ของโทโมกิแล้วเขาก็คิดไปว่าคงจะเป็นเด็กในเรือนอื่นที่เป็นของตระกูลสายรอง  ไม่คิดเลยว่าจะเป็นลูกเจ้าของบ้าน

แม้จะค่ำแล้ว  แต่ชายฉกรรจ์หลายคนที่ยังทำงานอยู่แถวนั้นก็รีบมาตั้งแถวรับ

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ  คุณหนูโทโมกิ!!”

ในขณะที่ฟุยุกิยืนกอดกระเป๋าตะลึงงัน  โทโมกิกลับทักตอบอย่างเป็นกันเอง

“กลับมาแล้วครับ  ทุกคน”

ได้ยินแบบนั้น  ฟุยุกิก็รีบโค้งให้ทุกคนทันที

“สะ...สวัสดีครับ!  ยะ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ!”

บรรดาชายที่ตั้งแถวอยู่มองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม ๆ  แล้วหนึ่งในนั้นก็เดินเข้ามาหาโทโมกิ

“เพื่อนของคุณหนูที่บอกว่าจะมาค้างสินะครับ”

“อื้ม  อาริโยชิ  ฟุยุกิคุง  ฝากฮิโรมุซังดูแลด้วยนะครับ”

“ครับผม”  ชายที่ถูกเรียกว่าฮิโรมุเข้าไปหาฟุยุกิแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ  “ขอกระเป๋าด้วยครับ  อาริโยชิซัง  เดี๋ยวผมจะเอาไปไว้ที่ห้องพักให้ครับ”

“อะ...เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรครับ  ผม...ผมเอาไปเองดีกว่า  แค่...แค่กระเป๋าทำงานเอง”  ฟุยุกิละล่ำละลัก

“ให้ผมได้บริการเถอะครับ  คุณหนูโทโมกิไม่เคยพาเพื่อนมาบ้านเลย  พวกเรายินดีมากเลยละครับ”

เขาว่ามาอย่างนี้  ฟุยุกิเลยไม่รู้จะว่ายังไงนอกจากส่งกระเป๋าให้ไปแล้วเดินตามโทโมกิเข้าไปในเรือน

ผู้ที่รออยู่ที่โถงหน้าคือสตรีสูงวัยในชุดยูกาตะเรียบหรู  ลักษณะท่าทางและกิริยานั้นมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นนายหญิงของตระกูลโอโนเสะแน่

ฟุยุกิรีบโค้งให้ทันทีแบบลืมรอให้โทโมกิแนะนำก่อนไปเลย

“สวัสดีครับ!  อาริโยชิ  ฟุยุกิครับ  ยะ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ!”

สตรีผู้มากด้วยวัยมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยแต่แล้วก็ยิ้มให้

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ  อาริโยชิซัง  เชิญข้างในเถอะค่ะ”

ความสง่างามและความสุภาพของโอโนเสะ  ยูคาริทำเอาฟุยุกิประหม่า  แต่เมื่อโทโมกิหันมาพยักหน้าให้ก็ค่อยผ่อนคลายและเดินตามขึ้นเรือนไปอย่างระมัดระวัง

เรือนใหญ่ของตระกูลโอโนเสะใหญ่โตแต่ก็เรียบง่ายแบบบ้านญี่ปุ่นโบราณ  ฟุยุกิที่อยู่ในบ้านญี่ปุ่นมาตลอดอยู่แล้วจึงคุ้นเคยได้ไม่ยาก  พวกเขากลับมาค่อนข้างค่ำ  คนอื่น ๆ จึงกินมื้อเย็นไปเรียบร้อยแล้ว  สำรับที่ตั้งจึงมีแค่สำหรับเขาสองคนเท่านั้น  ซึ่งนั่นก็ดีสำหรับฟุยุกิ  เพราะเด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าจะต้องประหม่าแน่นอนถ้าต้องกินข้าวร่วมกับครอบครัวของโทโมกิ

หลังจากกินข้าวแล้ว  โทโมกิก็ชวนแขกไปที่ห้องที่เตรียมไว้ให้

“บ้านของโทโมกิคุงเนี่ยใหญ่จังเลยนะ  ทำเอาประหม่าไปหมดเลยละครับ”  ฟุยุกิพูดขึ้นระหว่างเดินตามโทโมกิไป

“ใช่มั้ยล่ะ?  ตอนผมมาที่นี่ครั้งแรกก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

“เอ๊ะ?”

“ผมไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของตระกูลโอโนเสะหรอก  มันมีเรื่องซับซ้อนบางอย่าง  คุณพ่อโอโนเสะเลยรับผมมาเลี้ยงน่ะครับ”  โทโมกิอธิบาย

ฟุยุกิรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดนั้น  “แต่...ทุกคนดูใจดีกับโทโมกิคุงมากเลยนะครับ”

โทโมกิพยักหน้า  “ถึงจะเข้มงวดแต่ก็ใจดีมากเลยละครับ  นายแม่นี่อย่างเคี่ยวเลย  มาทีแรก  เรื่องเรียนผมไม่เอาไหน  นายแม่ก็จัดตารางให้เรียนพิเศษเลย...เกือบตายแน่ะ”

“ผมก็เรียนไม่เอาไหนเหมือนกัน...พวกพี่ ๆ ดุเอาอยู่เรื่อยเลย”  ฟุยุกิเล่าให้ฟังบ้าง

“พวกเดียวกันอีกแล้ว”  โทโมกิตบไหล่ฟุยุกิอย่างเป็นกันเอง

“แล้วก็...สวนสวยมากเลยนะครับ”  ฟุยุกิทอดสายตาไปยังสวนญี่ปุ่นกลางบ้านที่ตอนนี้ซากุระย้อยกิ่งต้นใหญ่กำลังแผ่กิ่งก้านอวดดอกสะพรั่งอยู่เหนือลำธารจำลองและบ่อน้ำใหญ่  “ซากุระนั่นสุดยอดไปเลย”

“เห็นว่าท่านเจ้าบ้านคนก่อนชอบซากุระน่ะครับ  ที่ด้านนอกเรือนก็ปลูกไว้ตามทางเดินเต็มไปหมด  ฤดูใบไม้ผลินี่ไม่ต้องไปชมดอกไม้ที่ไหนเลย  หอบเสื่อไปปูตามถนนในบ้านก็พอ”

“น่าอิจฉาจังเลยครับ  บ้านผมมีซากุระย้อยกิ่งเล็ก ๆ ต้นเดียวเอง”

“ถ้าชอบละก็  เดี๋ยวอาบน้ำแล้วมานั่งชมดอกไม้กันมั้ยล่ะครับ”

“ได้เหรอครับ  โทโมกิคุงต้องดูแลคนป่วยด้วยนี่นา”

โทโมกิหัวเราะ  “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ชุนน่ะ  แค่เช็ดตัวแล้วก็พลิกตัวเปลี่ยนท่านอนก็ทิ้งไว้ได้อีกสองชั่วโมงละครับ”

“เอ๋  ง่ายขนาดนั้นเลย?”

“ไปดูมั้ยล่ะครับ?”  โทโมกิชวน  ไม่แปลกหรอกที่คนไม่เคยเห็นจะไม่เข้าใจ  มันดูยุ่งยากก็จริง  แต่ถ้าทำชิน ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

“ได้เหรอครับ?”  ฟุยุกินึกสนใจขึ้นมา

“ได้ครับ  ผมอนุญาตแล้วนี่นา”

ฟุยุกิเดินตามโทโมกิไปยังห้องส่วนตัวซึ่งก็อยู่ติดกับห้องที่จัดไว้ให้เขานอนในคืนนี้  ในห้องนั้นกว้างขวางหากตกแต่งเรียบง่ายในสไตล์ญี่ปุ่นกึ่งตะวันตอ  มีแค่โต๊ะทำงาน  ชั้นหนังสือ  ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อิน  และของประดับตกแต่งอีกเล็กน้อยเท่านั้น  แต่ด้านในสุดของห้องมีฟูกปูไว้...ร่างหนึ่งนอนเหยียดกายอยู่ที่นั่น

“กลับมาแล้ว  ชุน”  โทโมกิพูดพลางเดินเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งอยู่  ก่อนจะหันมาพูดกับฟุยุกิ  “เข้ามาสิครับ  ฟุยุกิคุง”

ฟุยุกิเดินตามเข้าไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  ร่างที่นอนอยู่นั้นเป็นชายที่ครั้งหนึ่งคงเคยมีรูปร่างใหญ่โต  หากบัดนี้ซูบผอม  มีสายเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ฟุยุกิไม่แน่ใจว่ามีไว้ทำอะไรบ้าง  เค้าหน้าเซียวในกรอบผมสีดำยาวบอกชัดว่าเป็นคนหล่อเหลา  แม้ในตอนที่ต้องนอนนิ่งและซูบโทรมเช่นนี้ก็ยังเรียกได้ว่าหน้าตาดี  ฟุยุกินึกอยากเห็นตอนที่ชายคนนี้ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

“นี่ชุนของผมครับ”  โทโมกิแนะนำกับฟุยุกิ  “นอนมาสี่ปีแล้วละ”

“เท่จังนะครับ”  ฟุยุกิหลุดปากไปอย่างที่คิด  ถ้าบอกว่าเคยเป็นคนรู้จักของคิริฮาระมาก่อน  จะต้องดูดีไม่แพ้กันแน่เลย

“ก็เท่หรอก  แต่นิสัยเสียมากครับ”  โทโมกิเอานิ้วจิ้มหน้าผากคนที่นอนไม่รู้สึกตัวอยู่  “เกเร  ขี้แกล้ง  เอาแต่ใจ  ชอบใช้กำลัง  อาละวาด  บ้าพลัง...แต่ก็แอบอ่อนโยนนะครับ”

ฟุยุกิอมยิ้มกับประโยคสุดท้ายนั้น

“แล้ว...คนที่บ้านยอมรับได้ง่าย ๆ เลยเหรอครับ?”

“ไม่หรอก...”  โทโมกิทำหน้าครุ่นคิดเหมือนไม่แน่ใจว่าจะเล่าให้ฟังยังไงดี  “คือ...มันเกิดเรื่องของชุนกับผมก่อนที่ผมจะได้มาอยู่บ้านนี้น่ะครับ  พอรับผมมาอยู่ในบ้านนี้แล้ว  คุณพ่อโอโนเสะก็เลยจัดการให้ชุนมาทำงานที่บ้านด้วยแบบเลยตามเลยน่ะครับ  แล้วมันก็เลยเถิดมาจนถึงตอนที่ชุนต้องมานอนแอ้งแม้งอยู่นี่แหละ”

การยอมรับแบบเลยตามเลยนั่นคงใช้กับกรณีของเขาไม่ได้สินะ...ฟุยุกิคิด

“ฟุยุกิคุงไปอาบน้ำก่อนมั้ย?  เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้ชุนแล้วค่อยไปอาบทีหลังน่ะ”  โทโมกิบอก

“เอางั้นเหรอครับ?”

“เป็นแขก  อาบก่อนเลย  เสร็จแล้วมาชมดอกไม้กันนะ”

“ครับ”

ห้องอาบน้ำบ้านโอโนเสะพยายามรักษารูปแบบโบราณเอาไว้ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนไปพักที่เรียวคัง  แถมชุดยูกาตะสำหรับใส่นอนที่โทโมกิให้ยืมก็ใส่สบายเสียด้วย  ฟุยุกิอาบน้ำสบายเนื้อสบายตัวแล้วก็เดินกลับมาที่ห้องพัก  พลันก็ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ ดังมาจากห้องของโทโมกิ...เขานิ่งฟัง

“ชุน...เห็นฟุยุกิคุงแล้วใช่มั้ย  เพื่อนใหม่ของฉันเอง  เจอกันเพราะนัตสึเมะซังน่ะ...ฉันว่าพวกเราคล้ายกันหลายอย่างเลยนะ  อย่างน้อยก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากคิริฮาระซังเหมือนกัน...เออ  พูดถึงคิริฮาระซัง...ซาคากิซังกลับมาจากเยอรมันแล้วนะ  ชุนก็รู้จักซาคากิซังใช่มั้ย?  ทีนี้คิริฮาระซังก็ไม่ต้องแอบทำหน้าเหงา ๆ อยู่คนเดียวอีกแล้วเนอะ...นี่  ชุน  ฉันมีเพื่อนแล้วนะ  ชุนอดว่าฉันเป็นคนไม่มีคนคบแล้วละ  เดี๋ยวเราจะนั่งชมดอกไม้กันด้วย  อิจฉาใช่มั้ย?  ชุนขี้อิจฉาออกนี่นะ...ถ้าอิจฉานักก็รีบตื่นมาเร็ว ๆ สิ...ฉันรออยู่นะ  ชุน...รออยู่เสมอเลยนะ...”

น้ำเสียงนั้นช่างอ่อนหวานและอ่อนไหว  เสียงสะอื้นน้อย ๆ ที่ปนมาในตอนท้ายทำให้ฟุยุกิเจ็บปวดไปด้วย...เรื่องที่เขาอกหักมันเล็กน้อยเหลือเกิน...ต้องใช้ความเด็ดขาดแค่ไหน  คิริฮาระถึงยอมปล่อยคิโยฮารุไปเยอรมันเพื่ออนาคตได้...ต้องใช้ความอดทนเท่าไร  คิริฮาระถึงรอคิโยฮารุมาได้นานขนาดนี้...แล้วต้องให้ความรักมากมายเพียงใด  โทโมกิถึงจะเฝ้าดูแลคนรักที่ยังไม่รู้ว่าจะลืมตาขึ้นมาเมื่อไรได้...

แล้วเขามีอะไร...แค่ผิดหวังกับความรักความหลงใหลแบบเด็ก ๆ ก็จะเป็นจะตายถึงขนาดนี้  เขามันแค่คนโง่ที่พยายามจะไขว่คว้าดวงตะวันมาไว้เป็นของตัวเองทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติอะไรเลย

ฟุยุกิซ่อนน้ำตา...โดยไม่รู้ตัว  เขาคิดถึงนัตสึเมะ  ถ้านัตสึเมะอยู่ด้วยในตอนนี้  จะพูดกับเขาว่าอะไร  จะชงชาอะไรมาปลอบใจเขา

ต่อให้เขาเป็นคนโง่ที่ไม่มีดีอะไรเลย  มืออุ่นและรอยยิ้มนั้นก็จะยังคงมีให้เขาใช่ไหม

...คงไม่ทิ้งเขาไปใช่ไหม...


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด