Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END  (อ่าน 29668 ครั้ง)

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 10 / 23-05-58
«ตอบ #30 เมื่อ23-05-2015 21:39:46 »

สวัสดีครับ
ยังเหลือคนอ่านอยู่อีกไหมนี่? รู้สึกกระทู้มันดันลงไวเหลือเกิน ฮะๆๆ
ไม่เป็นไร ไว้รออ่านรอเม้นต์ตอนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้นะครับ (คิดว่าเรตติ้งดีขนาดนั้น?)
ลงต่อละนะครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 10

“ฉันว่าฉันคิดผิดที่เอาฟุยุกิคุงไปฝากให้นายดูแล”

“หา?”  คิริฮาระชะงักตะเกียบที่กำลังคีบซูชิเข้าปาก

“นายทำฟุยุกิคุงเสียใจแล้ว”  นัตสึเมะว่าพลางหยิบจานซูชิลงมาจากรางเลื่อน  วันนี้พวกเขาเปลี่ยนบรรยากาศมากินซูชิรางเลื่อนเหมือนเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

คิริฮาระรีบเอาซูชิเข้าปากก่อนจะถาม  “ฉันไปทำให้ฟุยุกิคุงเสียใจตั้งแต่เมื่อไร?”

นัตสึเมะมองหน้าเพื่อนแล้วหรี่ตา  “ไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งไม่รู้?”

“ก็แล้วมันเมื่อไรกันล่ะ?  ตอนพาไปเที่ยวโอไดบะเหรอ?”  นักดนตรีหนุ่มดูงุนงงเอามาก ๆ

ไม่มีเค้าโกหกอะไรในใบหน้านั้น  และนัตสึเมะก็แน่ใจว่าคิริฮาระไม่มีอะไรปิดบังเขา  คิริฮาระก็เป็นของคิริฮาระอย่างนี้แหละ  อย่างที่คิโยฮารุพูดไม่มีผิด...ยูคุงน่ะ  โง่เรื่องแบบนี้จะตายไป...

ใช่...นัตสึเมะถอนใจพลางคีบซูชิใส่ปาก...โง่กว่าที่เขาคิดด้วยซ้ำ...

คิริฮาระไม่เข้าใจหรอกว่าการที่ตนไปกระดี๊กระด๊ากับคนรักที่เพิ่งกลับมาจากเยอรมันนั้นทำร้ายฟุยุกิแค่ไหน  ตรรกะของคิริฮาระก็คือ  ในเมื่อเป็นคนที่เขาไม่ได้มีใจด้วย  ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่นับเป็นการทำร้ายแต่อย่างใด  เพราะฉะนั้นการที่เขากลับไปจี๋จ๋ากับคิโยฮารุก็ย่อมไม่ใช่การทำให้ฟุยุกิที่เขาเห็นเป็นน้องชายเสียใจเป็นแน่

“นายพูดมาตรง ๆ เลยดีกว่า  นัตสึเมะ  มัวแต่อมพะนำทำเท่อยู่แบบนั้นน่ะฉันไม่เข้าใจหรอกนะ”  คิริฮาระทำเสียงเข้ม  บอกให้รู้ว่าตัวเขาก็สนใจคำพูดของนัตสึเมะขึ้นมาจริง ๆ แล้ว  “ฉันทำให้ฟุยุกิคุงเสียใจตั้งแต่เมื่อไร?”

น้ำเสียงคาดคั้นทำให้นัตสึเมะเลิกที่จะบ่ายเบี่ยง  “ตั้งแต่คิโยฮารุคุงกลับมา”

“เอ๋?”

กะแล้วว่าต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้...นัตสึเมะถอนใจอีก

“มันเรื่องอะไรกันล่ะ?  เกี่ยวอะไรกับคิโยฮารุ?”  คิริฮาระดูแตกตื่น

“ฟุยุกิคุงชอบนายน่ะ”

“เรื่องนั้นฉันรู้”

“เขาอยากเป็นคนรักของนาย”

คิริฮาระเบิกตากว้าง  ก่อนจะมีสีหน้าลำบากใจแบบที่แทบไม่เคยปรากฏให้เห็น

“แต่...ฉันคิดกับฟุยุกิคุงแค่น้อง...”

“ฉันรู้...แต่นั่นก็เป็นความจริง  เด็กคนนั้นเจ็บปวดที่รู้ว่านายมีคนรักแล้ว  เลยพยายามหลบหน้านายไง”

“แบบนั้นเองเหรอ...”  คิริฮาระทำหน้าจ๋อย  “มิน่า...ไม่มาฟังเพลงเลย”

“อกหักครั้งแรก  ก็เลยยังทำใจไม่ได้น่ะ”  นัตสึเมะยักไหล่แล้วคีบซูชิใส่ปากอีก

“แล้ว...นายได้เจอฟุยุกิคุงบ้างมั้ย?”

“ก็เจอบ้าง”  ร่างสูงแบ่งรับแบ่งสู้  แม้ว่าความจริงแล้วเขาจะไม่ด้พบฟุยุกิเลยตั้งแต่วันที่ปล่อยไปกับโทโมกิ

“เขาเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็หงอยไปตามระเบียบแหละ  คนอกหักใครจะร่าเริงได้”

คิริฮาระวางตะเกียบ  “ฉัน...รู้สึกผิดจัง”

น้ำเสียงที่ออกมาจากใจทำให้นัตสึเมะอดเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนไม่ได้

“ไม่เป็นไรหรอก  ถึงฟุยุกิคุงจะเสียใจก็ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก  นายก็แค่รักคิโยฮารุคุง  และจังหวะของฟุยุกิคุงมันไม่เหมาะเท่านั้นเอง”

“ฉันควรจะทำยังไงดี?”

“ไม่ต้องทำหรอก  นี่เป็นเรื่องที่ฟุยุกิคุงต้องผ่านไปด้วยตัวเอง  นายทำอะไรไม่ได้หรอก  นอกจากจะทิ้งคิโยฮารุคุงหามาฟุยุกิคุง”

“บ้า!  ใครจะไปทำได้วะ”  คิริฮาระตวัดหางตาขว้างค้อนวงใหญ่

“ก็นั่นสิ”  พูดแล้วนัตสึเมะก็หัวเราะ  “กินต่อเถอะ  ขอโทษที่ขัดจังหวะการกินนะ”

แต่คิริฮาระยังคงคิดอะไรต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างแล้วพูดออกมา

“ยังมีวิธีแก้ไขอยู่นี่นา”

“ยังไง?”  เจ้าของร้านกาแฟถามพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ

“นายก็ดูแลฟุยุกิคุงเสียเองไงล่ะ”

นัตสึเมะถึงกับสำลัก  “ฉะ...ฉันเนี่ยนะ!?”

“ก็นายน่ะสิ  นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนอยากดูแลเด็กคนนั้นจนต้องเอามาฝากฉันไว้น่ะ”

“มะ...มันก็ใช่...”

“ตอนนี้ฉันทำฟุยุกิคุงเสียใจแล้ว  เพราะงั้น...นายเอากลับไปดูแลเองซะ”  คิริฮาระยิ้มกว้างเหมือนแมวเจ้าเล่ห์

“จะบ้าเรอะ  ไม่ได้หรอก”

“ทำไมจะไม่ได้?”

“คนอย่างฉันเนี่ยนะ...ไม่ได้หรอก”

“คนอย่างนายแล้วจะทำไม...?”  นักดนตรีหนุ่มหรี่ตา  “อ้อ...เรื่องตัวปัญหาของนาย...ใช่มั้ย?”

“นายก็รู้ดีอยู่แล้ว...”

คิริฮาระถอนใจและทำหน้าเบื่อหน่ายออกนอกหน้า  “ทุกที...ต้องมีเรื่องนี้มาขัดทุกที  ไม่เคยทำอะไรกับมันได้เลย  ยัยผู้หญิงพรรค์นั้น...!”

“คิริฮาระ...พอได้แล้ว”  นัตสึเมะปรามด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

“เดี๋ยวนายก็พูด...พูดเยอะด้วย”

“เชอะ!  เกลียดชะมัด  คนรู้ทันเนี่ย”  คิริฮาระพ่นลมออกจมูกอย่างฉุนเฉียวแล้วแย่งซูชิของนัตสึเมะมากิน

“พาลอีกแล้ว”  นัตสึเมะส่ายหน้าแล้วหันไปหยิบซูชิแบบเดียวกับที่คิริฮาระแย่งไปลงจากรางเลื่อน  “แต่เพราะแบบนี้แหละ  ฉันถึงดูแลฟุยุกิคุงไม่ได้ไง”

“...ทั้งที่อยากทำอย่างนั้นจนตัวสั่นน่ะนะ”

“ไม่ขนาดนั้นเสียหน่อย”

“แสดงออกขนาดนั้นยังหน้าด้านเถียงอีก”  ว่าแล้วคิริฮาระก็ถอนใจ  “นายจะมีความสุขมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ  นัตสึเมะ?”

“ฉันมีความสุขแล้วน่า”

“ไม่จริงหรอก”  คิริฮาระสวนทันควัน  “คนที่นายแคร์กำลังเป็นทุกข์  นายไม่มีทางมีความสุขหรอก”

คำพูดนั้นแทงใจ  แต่นัตสึเมะไม่ได้ตอบอะไร  คิริฮาระมองออกทุกอย่างรวมไปถึงความทุกข์และปัญหาเรื้อรังของเขา  แต่เป็นตัวเขาเองที่ยังไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองดี  และเขาเลือกที่จะทำอย่างที่คิโยฮารุบอก...รอ...จนกว่าทุกอย่างจะชัดเจน

...

ซากุระเริ่มร่วงแล้ว  ช่วงเวลาแห่งความงดงามของมันในแต่ละปีสั้นนิดเดียว  ดังนั้นทุกคนจึงตื่นตัวและให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง  ฟุยุกิเองก็เคยให้ความสำคัญกับการชมซากุระเสมอ  แม้จะไม่ได้ไปกับเพื่อนเรียนหรือกับทางบริษัท  แต่ก็มักจะนั่งชมซากุระย้อยกิ่งที่มีอยู่เพียงต้นเดียวในสวนที่บ้าน  หากปีนี้เขามีเรื่องวุ่นวายใจเกินกว่าจะชื่นชมความงามของดอกไม้ได้  ถึงจะได้นั่งชมซากุระกับโทโมกิ  แต่ใจเขายังคงจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น...เมื่อรู้สึกตัวอีกที  ดอกไม้ก็เริ่มร่วงแล้ว

ซากุระ...แม้จะร่วงก็ยังสวยงาม  กลีบดอกสีจาง ๆ ที่พร้อมใจกันทิ้งก้านพลิ้วลงมาตามสายลมดูราวกับม่านหิมะ  สวยจนฟุยุกิอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตที่เหมือนกำลังร่วงหล่นของตนจะสวยได้สักเศษเสี้ยวของซากุระหรือไม่

การได้ไปบ้านโทโมกิและได้พบกับคนรักที่กลายเป็นเจ้าชายนิทราของโทโมกิ  ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าโลกของตนเปลี่ยนไป  มุมมองบางอย่างในชีวิตเปลี่ยนไป  เหมือนมีบางสิ่งกระจ่างใสขึ้น...แต่ความมืดมนในใจก็ยังคงอยู่  ราวกับมีฟุยุกิอยู่สองคน...คนหนึ่งคือฟุยุกิคนเดิมที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์และความเศร้าของตน  ส่วนอีกคนคือฟุยุกิที่กำลังเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มองเห็นโลกกว้างขึ้นมากกว่าตัวเอง  แต่ฟุยุกิคนนี้ยังเป็นแค่หน่ออ่อนที่ยังไม่เติบโตดี  ยังมีบางอย่างซึ่งจำเป็นต่อการเติบใหญ่ที่ยังขาดไป  แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

เลิกงานแล้ว  ฟุยุกิเดินเตร็ดเตร่อยู่ละแวกที่ทำงานเพราะยังไม่นึกอยากกลับบ้าน  วันนี้เป็นวันพุธซึ่งนัตสึเมะปิดร้านและตอนนี้คิริฮาระก็คงกำลังเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนอยู่เป็นแน่  ในเวลาแบบนี้ฟุยุกิรู้สึกเหมือนไม่มีที่ไป  กลับบ้านไปก็ต้องอยู่คนเดียว...ไม่สิ  ช่วงนี้มิโนรุพาแฟนมาที่บ้านบ่อย ๆ  จะเรียกว่าพามาเปิดตัวก็ไม่ผิด  และฟุยุกิไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอเท่าไรนัก

ในสภาพแบบนี้  ฟุยุกิคิดว่าควรจะหาที่อยู่อาศัยของตัวเองไว้แต่เนิ่น ๆ  เขาจึงมักไปด้อม ๆ มอง ๆ ตามป้ายประกาศของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพื่อหาดูห้องที่ถูกใจ  แต่ระหว่างที่เดินดู  ฟุยุกิก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าตัวเองจะอยู่คนเดียวแบบไหน  เขาอยู่กับครอบครัวมาตลอดจนชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า

“สวัสดีครับ  ฟุยุกิคุง”

เสียงทักไม่คาดฝันทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวและรีบหันควับไปทางต้นเสียงทันที  ไม่เคยมีใครมาทักเขาแถวที่ทำงาน  แต่บางทีหัวหน้าหรือรุ่นพี่ในบริษัทอาจจะนึกครึ้มเลยแกล้งทักเขาเล่นก็ได้

แต่เจ้าของเสียงเหนือความคาดหมายไปกว่านั้นมาก  และทำเอาฟุยุกิยืนตะลึงตัวแข็ง

ซาคากิ  คิโยฮารุ!!

พอหายตัวแข็ง  ฟุยุกิก็ลนลานจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหน

“สะ...สะ...สวัสดีครับ  ซะ...ซาคากิ...ซัง...!”

คิโยฮารุแอบยิ้มกับท่าทางน่าเอ็นดูปนน่าขันนั่นแล้วเดินเข้าไปหา

“สวัสดีตอนเย็นครับ  เดินชมดอกไม้หลังเลิกงานเหรอครับ?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้ายิก  “ปะ...ปะ...เปล่าครับ”

คิโยฮารุยิ้มให้อีกแล้วหันไปสังเกตป้ายประกาศที่ฟุยุกิให้ความสนใจอยู่เมื่อครู่

“กำลังหาห้องเช่าเหรอครับ  ผมรู้จักบริษัทอสังหา ฯ ดี ๆ อยู่นะ  ฟุยุกิชอบห้องแบบไหนล่ะครับ?”

“หะ...ห้อง...บะ...แบบ...แบบญี่ปุ่นครับ”

“ห้องแบบญี่ปุ่นก็อยู่สบายดีนะครับ  แต่ผมอยู่ห้องแบบฝรั่งมาตลอดเลยไม่คุ้นกับห้องญี่ปุ่นน่ะ”  คิโยฮารุชวนคุย  แต่เห็นฟุยุกิยังยืนตัวเกร็งเหมือนไม่กล้าหายใจ  จึงเอื้อมมือไปตะปบลงบนไหล่ดังปุบ  “หายใจลึก ๆ ครับ  หายใจลึก~ลึ~ก...”

เด็กหนุ่มเผลอทำตามด้วยความแตกตื่นปนงุนงง  พอหายใจลึก ๆ สองสามครั้งก็ค่อยคลายอาการเกร็งลง  ในที่สุดก็ถอนใจเฮือก

“เป็นไงครับ  ดีขึ้นแล้วนะ?”  คิโยฮารุปล่อยมือ

ฟุยุกิพยักหน้าหงึก ๆ  พอตั้งสติได้แล้ว  คำถามก็มารออยู่ที่ปาก

“ทะ...ทำไมซาคากิ...เอ้อ  อาจารย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?”

ในเมื่อมหาวิทยาลัยที่คิโยฮารุสอนอยู่  อยู่หน้าร้านของนัตสึเมะ  แล้วทำไมคิโยฮารุถึงมาปรากฏตัวละแวกที่ทำงานของเขาได้

“ไม่ต้องเรียกอาจารย์หรอกครับ  พอดีวันนี้ผมเลิกเร็ว  แล้วนัตสึเมะซังก็หยุดร้าน  เลยว่าจะมาหายูคุงน่ะครับ”

ได้ยินชื่อคิริฮาระแล้วฟุยุกิก็หน้าจ๋อยลงทันที  “งะ...งั้นเหรอครับ...”

“แต่ผมเปลี่ยนใจแล้ว”  คิโยฮารุยิ้มกว้างทันควัน  “ผมพาฟุยุกิคุงไปดูคอนเสิร์ตของยูคุงด้วยดีกว่า”

“............เอ๋!!?”

ยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรให้ชัดเจน  รู้สึกตัวอีกทีฟุยุกิก็มายืนอยู่หน้าขั้นบันไดที่ประจำที่ใช้นั่งฟังคอนเสิร์ตข้างถนนของคิริฮาระมาจนถึงเมื่อเดือนก่อน  หัวใจของฟุยุกิเต้นแรง  เมื่อคนที่เขาพยายามหลบหน้ามาตลอดมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกรีดนิ้วลงบนสายไวโอลิน  บรรเลงท่วงทำนองไพเราะเหมือนเช่นที่เคยเห็นมาเสมอ

เด็กหนุ่มเผลอทรุดตัวลงนั่งที่ขั้นบันได  วางกระเป๋าทำงานลงบนตัก  และทอดสายตาไปยังนักไวโอลินหนุ่มเหมือนต้องมนต์  คิโยฮารุนั่งลงข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไร  เขาเข้าใจดี...ยิ่งมองแววตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลแบบนั้นก็ยิ่งเข้าใจ  เขาเคยเป็นมาก่อน  ในตอนนั้นเมื่อนานมาแล้ว  ทุกครั้งที่คิริฮาระเล่นไวโอลินที่ร้านของนัตสึเมะ  เขาที่มักจะหลงเข้าไปในโลกของตัวหนังสือได้เป็นวัน ๆ ก็ยังต้องกลับออกมา  และโดยไม่รู้ตัว...เขาก็จ้องมองคิริฮาระด้วยสายตาแบบเดียวกับฟุยุกิในตอนนี้  กระทั่งตอนที่เป็นคนรักกันแล้ว  เขาก็ยังมีสายตาแบบเดิม...ดวงตะวันของเขาน่าหลงใหลเสมอ

คิริฮาระบรรเลงเพลงจบแล้วเงยหน้าขึ้นมาพบสองคนที่ไม่คิดว่าจะพบนั่งอยู่ที่บันได  เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนงุนงง  ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาในที่สุด  เขาจรดคันซอลงกับสายลวดแล้วเริ่มบรรเลงบรรดาบทเพลงที่ฟุยุกิชื่นชอบ

ริมฝีปากของเด็กหนุ่มสั่นระริก  มือกำแน่น  ใช่...คิริฮาระยังจำเขาได้  ต่อให้คิโยฮารุอยู่เคียงข้างก็ยังมีเขาอยู่ในใจเสมอ  แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว  หากอีกใจหนึ่งก็เถียง...ถ้าไม่ได้เป็นคนสำคัญแล้วจะมีความหมายอะไร  ความสับสนวุ่นวายใจที่เกิดขึ้นแทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา

แต่มือใหญ่ ๆ ก็เอื้อมมาโอบไหล่ฟุยุกิไว้  เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นคิโยฮารุ  ฟุยุกิรีบขยี้ตาทันที

“ขอโทษนะ  ฟุยุกิคุง”

“เอ๊ะ!?”  เด็กหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง  คิโยฮารุจะมาขอโทษเขาเรื่องอะไร

“การที่ผมกลับมาคงทำร้ายคุณมากสินะครับ  เหมือนผมมาแย่งยูคุงไปจากคุณ”

น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นยิ่งทำให้ฟุยุกิสับสน  เขาแทบไม่เคยคุยกับคิโยฮารุเลยด้วยซ้ำ  แต่ผู้ชายคนนี้กลับรู้ทุกอย่างที่เขารู้สึก

“ระ...เรื่องนั้น...”  ฟุยุกิพยายามปฏิเสธ  แต่คำพูดกลับไม่ยอมออกมา

“ผมเข้าใจความรู้สึกที่คุณมีต่อยูคุงครับ  ผมเองก็เคยเป็น...และยังเป็นมาตลอด”  แววตาของคิโยฮารุอ่อนโยน  หากมีแววมุ่งมั่นบางอย่าง  “แต่ผมสูญเสียเขาไปไม่ได้ครับ”

ฟุยุกินิ่งอึ้ง  คำพูดนั้นเรียบง่าย  นุ่มนวล  แต่ชัดเจนในเจตนา...แม้จะเข้าใจความรู้สึกของเขา  คิโยฮารุก็ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวดียว

“ยูคุงคือความหมายในการมีชีวิตอยู่ของผมในตอนนี้ครับ”

“...ความหมาย...?”

คิโยฮารุพยักหน้าพลางยิ้ม  สีหน้านั้นละมุนละไม

“ตอนที่ผมอายุเท่า ๆ คุณ  ผมเป็นพวก...ปลีกตัวจากสังคม...น่าจะเรียกแบบนี้ได้”

ปลีกตัวจากสังคม...?  คิโยฮารุดูไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด

“ผมมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้ไม่กล้าเข้าสังคมมาตั้งแต่เด็กน่ะครับ  ไม่ถึงกับขังตัวเองอยู่ในบ้านแต่ก็พยายามจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร  อาศัยหนังสือเป็นเพื่อน  แล้วก็ทำอะไร ๆ ตามลำพัง  เหมือนว่าตัวเองพอใจที่เป็นแบบนั้น  แต่จริง ๆ แล้วมันเหงามากเลยละครับ”

ฟุยุกิเข้าใจความรู้สึกนั้นดี  ทั้งที่เหงาแสนเหงาแต่ก็ไม่รู้จะเข้าหาคนอื่นได้อย่างไร...ไม่รู้วิธีการมีเพื่อน

“ในตอนที่ผมกำลังเป็นแบบนั้น  ยูคุงก็บุกรุกเข้ามาในชีวิตผม”

“บุกรุก?”  คำพูดไม่คาดฝันออกมาอีกคำหนึ่งแล้ว

คิโยฮารุหัวเราะ  “ครับ  บุกรุก...ละเมิดความเป็นส่วนตัวเลยละครับ  ชีวิตผมช่วงนั้นปั่นป่วนไปหมดเลย”

เด็กหนุ่มคิดถึงตัวเอง  คิริฮาระไม่ได้เป็นฝ่ายเข้ามาหา  แต่เป็นเขาเองสินะที่ก้าวเข้าไปในชีวิตของคิริฮาระ...และฝ่ายนั้นก็ยอมรับเขาไว้ด้วยความสงสาร

...สงสาร...ไม่ใช่ความรักสินะ

“แต่ความจริงแล้ว  ผมก็ชอบเขามาก่อนหน้านั้นแล้วละครับ  ก็เหมือนกับที่ทุกคนที่นี่ชอบเขา  ยูคุงดึงดูดคนได้เสมอ”  คิโยฮารุกวาดตามองไปรอบ ๆ  “แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตผม  แล้ว...หลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมด  เปลี่ยนไปหมดเลยจริง ๆ”

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 10 / 23-05-58
«ตอบ #31 เมื่อ23-05-2015 21:42:17 »

“ที่...โดนคิริฮาระซังไล่ไปเรียนที่เยอรมันน่ะเหรอครับ...”  ฟุยุกิเผลอเน้นคำว่า  ไล่  เหมือนส่วนลึกในหัวใจแสดงอาการต่อต้านบางอย่างออกมา

คิโยฮารุยิ้มกว้าง  “นัตสึเมะซังเล่าให้ฟังเหรอครับ?”

ฟุยุกิพยักหน้า  ไม่มีอะไรต้องโกหกนี่นะ

“ใช่ครับ  โดนขู่ว่าถ้าผมไม่รับทุน  เขาจะเลิกคบกับผมด้วย  เลิกแบบว่าชีวิตนี้ไม่ต้องมาเจอกันอีกแล้วเลยนะครับ”

เด็กหนุ่มทำตาโต  “ทำไม...ถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?  ใจร้ายจัง...”

คิโยฮารุส่ายหน้า  “ทีแรกผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันครับ  แต่ตัวผมในตอนนั้นน่ะ  นอกจากอ่านหนังสือแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นไรสักอย่าง  ถ้ายูคุงไม่บังคับแบบนั้น  ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผมจะเป็นยังไง  จะทำอะไรอยู่ที่ไหน...แต่ที่แน่ ๆ  คงไม่ได้เป็นอาจารย์มีหน้าที่การงานดี ๆ แบบนี้แน่”

ฟุยุกินิ่งฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจนั้น...จะมีสักวันไหมที่เขาจะสามารถพูดถึงตัวเองด้วยน้ำเสียงแบบนี้ได้

“ตอนนั้นยูคุงกำลังมีปัญหาชีวิต  และผมอยากอยู่ข้าง ๆ เขาครับ  แต่ยูคุงไม่ยอมเอาอนาคตของเราสองคนไปเดิมพันกับปัญหาของตัวเอง  เลยบังคับให้ผมไปเยอรมัน...ไปเผชิญปัญหาชีวิตบ้าง”  ชายหนุ่มหัวเราะตบท้าย

“ปัญหาอะไรเหรอครับ?”

“เยอะเลยครับ  แรกสุดก็ภาษา  ต่อมาก็การเข้าสังคม  ถึงจะอยู่กับยูคุงมานานก็ไม่ใช่ว่าผมจะเข้าสังคมได้ง่าย ๆ นะครับ  การไปอยู่ตามลำพังต่างที่ต่างแดนทำให้ผมต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด  พูดเยอรมันไม่ได้ก็ต้องพูดให้ได้  ไม่กล้าคบใครก็ต้องคบให้ได้  ในเมื่อยูคุงยังเอาตัวรอดจากปัญหาของตัวเขาได้โดยไม่มีผม  ผมก็ต้องทำให้ได้โดยไม่มียูคุงเหมือนกัน  เพื่อที่ความรักและการเสียสละของยูคุงจะได้ไม่สูญเปล่า  ผมจะต้องมีอนาคตที่มั่นคงให้ได้  เพื่อเป็นหลักประกันให้ชีวิตของเราสองคน  ด้วยแรงผลักดันนั้นทำให้ผมมีทุกวันนี้ได้ครับ”

ฟุยุกิกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอลงไปอย่างยากเย็น  เขาไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว  แต่บางอย่างในหัวใจบอกว่าเขาต้องฟังให้จบ  คำพูดของคิโยฮารุคือสิ่งจำเป็น

“ผมใช้ยูคุงเป็นแรงผลักดัน...เป็นหลักยึดของชีวิตมาตลอด  แม้ในตอนนี้ผมจะมีหน้าที่การงานมั่นคงดีแล้ว  แต่ผมก็ยังยึดเขาเอาไว้  ผมพยายามดำเนินชีวิตให้ดีเพื่อให้ยูคุงภาคภูมิใจในตัวผมที่เขาอุตส่าห์ค้นหาและพาออกมาจากกำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาขังตัวเองเอาไว้  ผมทำทุกอย่างเพื่อเขา  มีชีวิตอยู่เพื่อเขา  เพราะอย่างนั้น...ผมจึงสูญเสียเขาไปไม่ได้”  คิโยฮารุสูดลมหายใจลึกแล้วโอบไหล่ฟุยุกิรั้งไปกอดไว้แน่น  “...ขอโทษนะครับ  ฟุยุกิคุง”

...ขอโทษหรือ?...คิโยฮารุจะต้องมาขอโทษเขาทำไม  เขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ...แม้จะคิดอย่างนั้น  แต่ฟุยุกิก็พูดไม่ได้  ร้องไห้ไม่ออก  ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น

แล้วเสียง...ก็ลอยมาเข้าหู

“เอาละครับ  ต่อไปเป็นเพลงสุดท้ายของวันนี้  เป็นเพลงโปรดของคนพิเศษของผม  เชิญรับฟังครับ”

เสียงของคิริฮาระ...เพลงของคนพิเศษ...เพลงนั้นสินะ  ที่เคยได้ฟังที่ร้านของนัตสึเมะ

ฟุยุกิหลับตาลงด้วยความรวดร้าวที่เอ่อท้นออกมาจากใจ  หากเสียงที่มากระทบหูกลับเป็นท่วงทำนองที่คุ้นเคย

...Curtain Call…

เด็กหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้น  แล้วก็พบกับสายตาของคิริฮาระที่จ้องมองมาก่อนอยู่แล้ว  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นฉายแววอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่มองมาที่เขา  รอยยิ้มบาง ๆ แต้มอยู่ที่ริมฝีปาก...งดงามเหมือนที่เคยเห็น  ท่วงทำนองของเพลงอ่อนหวานกว่าที่เคย

...คนพิเศษ...

คำนั้นออกมาจากปากคิริฮาระ...และหมายถึงเขา

น้ำตาไหลอาบแก้ม  ความรู้สึกหลากหลายทะลักออกมาพร้อมกับน้ำตา  ทั้งเสียใจ  โล่งใจ  รู้สึกผิด  และตื้นตัน...ทุกอย่างปะปนกันและกลั่นออกมาเป็นน้ำตา...ที่หยุดไม่ได้

ผ้าเช็ดหน้ากลิ่นหอมอ่อน ๆ ถูกยื่นมาซับน้ำตาให้  ฟุยุกิรับมันมาแล้วซุกหน้ากลั้นสะอื้น  คิโยฮารุยังคงโอบเขาไว้แน่น

ชัดเจนแล้ว...ทั้งคิริฮาระและคิโยฮารุพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้ว  เขาเป็นคนพิเศษของคิริฮาระคนหนึ่ง  แต่คิโยฮารุพิเศษกว่านั้นมากนัก  และคิริฮาระก็สำคัญกับคิโยฮารุมากเกินกว่าที่เขาจะเข้าไปแทรกหรือช่วงชิงมาได้

หน่ออ่อนของความเป็นผู้ใหญ่ยอมรับและทำความเข้าใจ...จนเริ่มผลิใบ

หากฟุยุกิที่ยังเยาว์วัยกลับร้องไห้ไม่หยุด  แม้จะอยู่ในวงล้อมของความอ่อนโยนก็ยังโหยหา...ความรัก...ที่จะเป็นของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น

...

ฟุยุกิไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดอะไรถึงได้ไปที่คลับของคิริฮาระตามคำชวน  บางทีอาจไม่ได้คิดอะไรนอกจากหาที่ซ่อนน้ำตาเลยก็ได้  คิริฮาระเดินจูงมือเด็กหนุ่มไปตลอดทางโดยมีคิโยฮารุเดินตามไปห่าง ๆ  มือนั้นอบอุ่นเหมือนเมื่อครั้งแรกที่คิริฮาระเดินจูงมือเขาไปที่ร้านของนัตสึเมะ  ฟุยุกิกุมมือนั้นไว้แน่น...บางทีเขาอาจจะอยากเหนี่ยวรั้งความอบอุ่นนี้ไว้ให้นานที่สุดถึงได้ตามมา

โต๊ะเล็กมุมด้านในที่ไม่สะดุดตานักคือที่ที่คิริฮาระเลือกให้ฟุยุกินั่ง  แม้จะเป็นโต๊ะที่นั่งได้สองคนแต่คิโยฮารุก็ไม่ได้มานั่งด้วย  ชายหนุ่มทั้งสองเข้าใจดีว่าหลังจากร้องไห้มาอย่างหนักแล้ว  ฟุยุกิคงต้องการเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพังบ้าง  แต่ครั้นจะปล่อยให้กลับบ้านไปคนเดียวก็อดห่วงไม่ได้

เหล้ามิ้นต์อ่อน ๆ แบบที่คิริฮาระชงให้ฟุยุกิดื่มบ่อย ๆ ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะนานแล้ว  แต่เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะแตะต้องมัน  เขานั่งก้มหน้านิ่ง  ทอดสายตาต่ำมองพื้น  เฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น  คำพูดของคิโยฮารุ...และการกระทำของคิริฮาระ

ความผูกพันของทั้งสองไม่มีที่ให้เขาแทรกเข้าไปในความรู้สึกฉันชู้สาว  เขาเป็นได้เต็มที่แค่น้องชายคนหนึ่งเท่านั้น  ความจริงเขาน่าจะพอใจแล้วกับคำว่าคนพิเศษของคิริฮาระ...ใช่...ในส่วนลึกเขาก็พอใจแล้ว  แต่ความว่างเปล่าบางอย่างในหัวใจทำให้ยังไม่อยากพอใจเพียงแค่นั้น  เป็นความว่างเปล่าที่รู้สึกว่าเป็นบางสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตและเขาคิดว่าคิริฮาระจะสามารถเติมเต็มให้ได้  เขาต้องการแสงตะวันนำทาง...หรือมือของใครสักคนที่จะจูงเขาออกไปจากชีวิตที่มืดมนนี้

เสียงไวโอลินแว่วมา  ดึงให้ฟุยุกิหลุดจากห้วงคิดคำนึง

ที่เคาน์เตอร์...คิริฮาระกำลังบรรเลงไวโอลินตามคำเรียกร้องของลูกค้า  เพลงที่เล่นเป็นเพลงป๊อปที่กำลังติดหูอยู่ในตอนนี้  แต่ไม่ว่าจะเล่นเพลงทั่ว ๆ ไปหรือเพลงคลาสสิค  คิริฮาระก็ดูดีเสมอ  ชายหนุ่มดูมีความสุขทุกครั้งที่ได้จับไวโอลิน  แม้จะบรรเลงเพลงเศร้าก็ยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่ริมฝีปากตลอดเวลา...งดงามและเจิดจ้า...เหมือนดวงตะวัน

แล้วคิริฮาระก็หันไปหัวเราะกับคิโยฮารุที่ยืนเช็ดแก้วเหล้าอยู่  ฟุยุกิสลดวูบ  ดวงตะวันดวงนี้ไม่ใช่ของเขา...คิริฮาระจะส่องแสงให้กับคิโยฮารุเท่านั้น  แม้มือนั้นจะจับมือเขาจูงเดิน  แต่ก็เป็นมือที่คอยจูงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว  ไม่ใช่มือที่จะพาไปส่งจนถึงปลายทางได้

ไม่ใช่มือของคิริฮาระ...ฟุยุกิเข้าใจแล้วว่าต้องการมือของใครสักคนที่จะคอยประคับประคองไม่ให้ล้มลงบนถนนที่มองไม่เห็นทางไปนี้  ต้องการใครสักคนที่จะเป็นแสงจันทร์ส่องนำทางยามค่ำคืนอันมืดมิด  ไม่ใช่แสงตะวันที่รออยู่ตรงปลายทาง

พลันเด็กหนุ่มก็รู้สึกตัว

เขามีมือที่ว่านั้นอยู่แล้ว...มือที่คอยประคองตอนที่เขาซวนเซแทบจะล้มลง  มือที่คอยหยิบยื่นถ้วยชาหอมกรุ่นมาให้ยามอ่อนล้า  มือที่เอื้อมมือมาตบไหล่และมอบคำแนะนำอันเป็นกำลังใจ

มือที่อ่อนโยนและกรุ่นด้วยกลิ่นกาแฟ

คำพูดของโทโมกิย้อนกลับมาในหัว

...อาริโยชิซังไม่ได้มีแค่คิริฮาระซังนี่ครับ  ยังมีนัตสึเมะซังอยู่ทั้งคน...

รอยยิ้มของนัตสึเมะผุดขึ้นมา

...ฟุยุกิคุง  ยังไงก็มีผมอยู่นะครับ...

เขาเชื่อ...คำพูดนั้นได้ใช่ไหม

ฟุยุกิคว้ากระเป๋าทำงานแล้วรีบร้อนตรงไปยังเคาน์เตอร์  แต่คิริฮาระยังบรรเลงเพลงไม่จบและเขาไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้อีกแล้ว  เด็กหนุ่มฝากข้อความขอบคุณไว้กับจูอิจิที่บังเอิญเดินผ่านมาใกล้ ๆ แล้วผลุนผลันออกจากร้านไป

สองขาก้าวไปบนทางเดินอย่างร้อนรนใจ  ค่อนข้างดึกแล้ว...และวันนี้เป็นวันหยุดของนัตสึเมะ  ฟุยุกิไม่แน่ใจว่านัตสึเมะจะเข้านอนเร็วแค่ไหน  ไม่แน่ว่ามันเป็นการรบกวนหรือเปล่า  รู้แค่ว่าเขาต้องไปหานัตสึเมะเดี๋ยวนี้

ฟุยุกิเดินฝ่าสายลมเย็นมาจนหยุดยืนตรงหน้าประตูหลังบ้านของนัตสึเมะ  แสงไฟยังลอดออกมาทางหน้าต่าง...นัตสึเมะยังไม่นอน  หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง  เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเคาะประตู

ไม่กี่อึดใจก็มีเสียงกุกกักจากอีกฟากหนึ่งของประตู  ตามมาด้วยคำถาม

“ครับ?  ใครครับ?”

“...ผมเองครับ...ฟุยุกิ...”

ประตูบ้านเปิดออกทันที  นัตสึเมะอยู่ที่นั่น...ในชุดไปรเวทที่ฟุยุกิไม่ค่อยคุ้นตา  หากรอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนที่เป็นมาเสมอ

แค่เห็นหน้า...น้ำตาก็ไหล  ฟุยุกิพูดอะไรไม่ออก  ไม่มีกระทั่งคำทักทายด้วยซ้ำ

หากนัตสึเมะไม่ได้ว่าอะไร  เขาจับมือเด็กหนุ่มแล้วดึงให้เดินเข้ามาในบ้านก่อนจะปิดประตู  มือใหญ่เอื้อมมาปาดเช็ดน้ำตาให้อย่างนุ่มนวลก่อนจะค่อย ๆ รั้งร่างนั้นไปกอดไว้แล้วลูบเรือนผมดำนุ่มมืออย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรนะครับ  ฟุยุกิคุง  ยังมีผมอยู่นะ”

ฟุยุกิซบหน้าลงกับอกกว้างแล้วสะอื้นเบา ๆ  นัตสึเมะเข้าใจเขาโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย  เขาน่าจะมาที่นี่ตั้งแต่แรก...น่าจะรู้ตัวให้เร็วกว่านี้

ใบหน้าถูกช้อนประคองให้เงยขึ้น  ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นร้อนจะประทับแนบลงมาที่หน้าผากมน

พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเกือบจะพร้อมกับที่ประตูเปิดออกและตามมาด้วยเสียงสดใสของหญิงสาว

“นัตสึเมะ~”

ร่างสูงรีบผละออกจากฟุยุกิอย่างรวดเร็ว  เด็กหนุ่มเองก็สะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปมองที่ประตูพร้อม ๆ กัน

ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูคือหญิงสาววัยกลางคนที่ฟุยุกิเคยพบเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ในวันนั้นเธอเข้ามาในร้านด้วยท่าทางมึนเมาและเข้ามากอดนัตสึเมะไว้...

ฟุยุกิเบิกตากว้าง...ใช่แล้ว  เธอคนนี้คือ...คนรักของนัตสึเมะ!!

หญิงสาวยืนมองทั้งสองอย่างงุนงง

“...เคย์โกะซัง...?”  นัตสึเมะพูดออกมาได้ในที่สุด

“มี...แขกหรอกเหรอเนี่ย...?”  เคย์โกะเองก็เอ่ยออกมาอย่างขัด ๆ เขิน ๆ  ก่อนจะสังเกตเห็นรอยน้ำตาบนใบหน้าของฟุยุกิ  “ตายจริง!  ร้องไห้ทำไมคะ?  เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

น้ำเสียงของเคย์โกะมีแววห่วงใย  หากฟุยุกิรีบหลบหน้าทันที

“ผะ...ผม...ขอตัวก่อนนะครับ!!”

เด็กหนุ่มผละออกจากอ้อมแขนของนัตสึเมะแล้วเผ่นออกไปทางประตูที่เคย์โกะยังเปิดค้างไว้ก่อนที่ใครจะห้ามได้ทัน

“ฟุยุกิคุง!!  เดี๋ยว...!”  นัตสึเมะตะโกนไล่หลังไป  แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะทำยังไงต่อจึงได้แต่ชะงักอยู่แค่นั้น

เคย์โกะมองตามแผ่นหลังที่วิ่งหายไปในความมืดอย่างงุนงง  แต่ก็ค่อนข้างจะแน่ใจแล้วว่าตนโผล่มาผิดจังหวะผิดเวลาอย่างแน่นอน  ยิ่งหันกลับมาเห็นสีหน้าที่เกือบจะเจ็บปวดของนัตสึเมะ  เธอยิ่งรู้สึกกระดาก...จริง ๆ แล้ว  เด็กผู้ชายนั้น  ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นเวลาร้องไห้หรอก  นอกจากคนที่ไว้ใจจริง ๆ

“...ขอโทษนะ  นัตสึเมะ”

“ขอโทษทำไมครับ?”  นัตสึเมะหันมามองเธออย่างประหลาดใจ  หากในแววตายังแฝงแววรวดร้าวอยู่

“เด็กคนนั้น...คงกำลังปรึกษาอะไรเธอสินะ  เรื่องสำคัญด้วย  แล้ว...ฉันก็ดันโผล่มา...”  เคย์โกะอ้อมแอ้ม

นัตสึเมะถอนใจหนักหน่วง  “ไม่ใช่ความผิดของเคย์โกะซังหรอกครับ  ไม่ต้องขอโทษหรอก”

เคย์โกะค่อยโล่งใจ  “ว่าแต่...มีเรื่องอะไรกันเหรอ?  ถึงกับร้องไห้แน่ะ”

“อกหักน่ะครับ”  น้ำเสียงตอบราบเรียบ  หากนัตสึเมะแอบกำมือแน่น

เขารู้...ตอนนี้การอกหักของฟุยุกิ  กินความหมายไปไกลเกินเรื่องของคิริฮาระมากนัก...เขาพลาดเอง  จังหวะมันเลวร้ายเกินไป

...

ฟุยุกิไม่ได้กลับบ้าน  เขาไม่กล้าขึ้นรถไฟในสภาพนี้หรอก  เด็กหนุ่มเดินเปะปะไปเรื่อยเปื่อย  ก้มหน้าซ่อนน้ำตาไว้ไม่ให้ใครเห็น  ในสมองปั่นป่วนวุ่นวายจนแทบจะจับต้นชนปลายไม่ได้  เขาเดินมาจนถึงสวนสาธารณะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งจึงได้แวะเข้าไปนั่ง

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้  น้ำตาแห้งไปนานแล้ว  แต่ฟุยุกิยังคงนั่งซึมอยู่ที่นั่น  สมองที่สับสนจนถึงที่สุดแล้วกลับว่างเปล่า  เหลือเพียงความเจ็บปวดจนหัวใจชาและความเข้าใจ...เข้าใจว่าไม่มีความรักของใครเป็นของเขา  ไม่มีแสงใดจะส่องนำทางเขา  ไม่ว่าจะเป็นแสงตะวันหรือแสงจันทร์ก็ตาม...เขาจะต้องอยู่ในความมืดมนนี้ไปตามลำพัง

เมื่อความเข้าใจนั้นตกตะกอนดีแล้ว  เด็กหนุ่มก็ยกนาฬิกาขึ้นดู  ดึกมากแล้ว...รถไฟก็หมดไปนานแล้ว  ฟุยุกิเดินออกจากสวนสาธารณะไปยังถนนใหญ่เพื่อเรียกแท็กซี่  โชคดีที่ไม่ต้องรอนานนักก็มีแท็กซี่ผ่านมา  เขาบอกจุดหมายแล้วนั่งนิ่งเงียบไปตลอดทาง  ระหว่างนั้น...ร่างกายก็ค่อยหนาวสะท้านมากขึ้นทุกที  แน่ละ...ฟุยุกิคิดอย่างไม่ใส่ใจ...ก็เขานั่งตากลมตากน้ำค้างอยู่อย่างนั้นมาตั้งหลายชั่วโมง  จะเป็นไข้ก็ไม่แปลกหรอก  ช่างเถอะ...กลับไปค่อยกินยาก่อนนอนก็ได้

แต่ฟุยุกิก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิด  พอพาตัวเองเข้าไปในห้องนอนได้  เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรไหว  อาการหนาวสะท้านรุนแรงขึ้นจนร่างกายเหมือนจะเป็นตะคริว  สิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็แค่หยิบรีโมทมาเปิดเครื่องทำความร้อน  ก่อนจะทิ้งกายลงบนเตียงโดยไม่ได้ถอดสูททำงานด้วยซ้ำ  ลมหายใจร้อนผ่าว  ร่างกายสะท้านเป็นระยะ  ฟุยุกิรู้ว่าตัวเองอาการไม่ดีแล้วและควรจะเรียกมิโนรุที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ  แต่จิตใจที่จมอยู่ในห้วงแห่งความมืดมนกลับไม่อยากจะดิ้นรนอะไรอีกแล้ว  ดังนั้น...เด็กหนุ่มจึงหลับตาลงช้า ๆ  ปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ความมืดมิด

หูแว่วเสียงมิโนรุแผ่วเบา  บางทีพี่ชายคงจะได้ยินเสียงเขาเลยลุกมาดูสินะ  เขากลับบ้านดึกมาก  คงต้องถูกดุแน่  แต่ตอนนี้เขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรอีกแล้ว  เขาเหนื่อยเหลือเกิน  อยากจะพักเสียที  วันนี้มันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไปจนเขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว...ให้เขาได้นอนเถอะ

มีความรู้สึกว่าใครบางคนมาเขย่าตัว  และเสียงตื่นตกใจของพี่ชายมากระทบหู

“ฟุยุกิ!...ฟุยุกิ!!?”

หากสัมผัสเหล่านั้นเหมือนลอยมาจากที่ไกลแสนไกล...แล้วทุกสิ่งก็ดับวูบลง


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 11 / 25-06-58
«ตอบ #32 เมื่อ25-06-2015 21:57:08 »

สวัสดีครับ สบายดีกันหรือเปล่า ท่าทางจะไม่เหลือคนอ่านเท่าไรแล้ว กระทู้ไหลเร็วมาก และเนทบ้านผมป่วยมากด้วยครับ คราวนี้เลยเว้นช่วงไปเสียนาน รออ่านตอนจบแล้วก็ไม่ว่ากันครับ ฮะๆๆ
มาต่อกันเลยนะครับ

Lock on You 11

“พูดไปแล้ว”

“ใช่...พูดไปแล้ว”

หลังจากความเงียบที่มีแค่สายตาประสานบอกเล่าเรื่องราวกันครู่หนึ่ง  เสียงถอนใจก็ตามมา

“แล้วฉันก็พลาดไปแล้วด้วย...”

“นายพลาดเรื่องอะไรเหรอ  นัตสึเมะ?”

คนถูกถามถอนใจอีกเฮือกใหญ่  “หลังจากออกมาจากคลับของนาย  ฟุยุกิคุงมาหาฉันน่ะสิ”

“แล้วมันพลาดตรงไหน?”  คนฟังขมวดคิ้ว

“ตรงที่เคย์โกะซังดันมาที่นี่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรน่ะสิ”  พูดแล้วนัตสึเมะก็ถอนใจใหญ่...ยาว...

คิริฮาระเอาหน้าผากโขกเคาน์เตอร์ร้านกาแฟ  “โธ่...นัตสึเมะเอ๊ย...”

“แล้วจากวันนั้นฟุยุกิคุงก็หายหน้าไปเลยสินะครับ”  เป็นคิโยฮารุที่พูดแทรกขึ้นมา

“ครับ  ผมยังไม่เจอเขาอีกเลย”

“ผมไปดู ๆ แถวบริษัทเขาก็ไม่เห็นเลยนะครับ  นี่มันก็ร่วมอาทิตย์แล้ว...ท่าทาง...พวกเราคงโดนเกลียดซะแล้วละครับ”

“คิโยะก็พูดตรงเกินไปน่า”  คิริฮาระขัด

“แต่มันคงจะจริงนั่นแหละ”  นัตสึเมะพึมพำกับตัวเองแล้วทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง

หัวใจของเขาหนักอึ้งมาตลอดหลายวันนี้  แม้จะเป็นห่วงฟุยุกิแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นทำงานที่ไหน  ไม่มีกระทั่งเบอร์โทรศัพท์  ทั้งที่รู้จักกันมาร่วมปีแล้ว  แต่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับฟุยุกิเลย

แต่ในระหว่างที่นัตสึเมะ  คิริฮาระ  และคิโยฮารุไม่รู้  ฟุยุกิรู้สึกตัวขึ้นมาในโรงพยาบาลเมื่อหลายวันก่อน  ความรู้สึกแรกคือความร้อนที่แผดเผาอยู่ในร่างกายจนลำคอแสบร้อนและสายตาพร่ามัวไปหมด  เด็กหนุ่มระบายลมหายใจอย่างยากลำบากแล้วพยายามขยับตัว  ทันใดนั้น  ใครบางคนก็ปราดเข้ามาในสายตา

“ฟุยุกิ!  รู้สึกตัวแล้วเหรอ!?”

ฟุยุกิเขม้นตามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขมุบขมิบปากเอ่ยออกมาเบา ๆ

“...คุณพ่อ...”  พูดออกไปแล้วก็นึกประหลาดใจ  พ่อน่ะเหรอ  จะมาอยู่ข้างกายเขาในเวลาแบบนี้

“ใช่  พ่อเอง...เป็นไงบ้าง?”  มือใหญ่เอื้อมมาแตะหน้าผากแล้วเกลี่ยผมออกให้

“...หิวน้ำ...”

“รอเดี๋ยวนะ”

ไม่นานนัก  ร่างก็ถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่งเอน ๆ แล้วหลอดดูดก็จรดเข้าที่ริมฝีปาก  ฟุยุกิเอนกายซบผู้เป็นพ่ออย่างล้าแรงแล้วค่อย ๆ ดื่มน้ำ  แต่แม้จะกระหายสักแค่ไหน  เด็กหนุ่มก็อ่อนล้าเสียจนดื่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ปล่อยหลอด

“พอแล้วเหรอ?””

พอเห็นฟุยุกิพยักหน้าแทนคำตอบ  ผู้เป็นพ่อก็วางแก้วน้ำแล้วค่อย ๆ ประคองฟุยุกิลงนอน

“พักซะ  ไข้แกยังสูงอยู่เลย  เดี๋ยวตอนบ่ายคุณหมอจะมาดูอาการอีกที”

แม้จะไม่คุ้นกับมือที่ลูบผมให้อย่างอ่อนโยน  แต่ฟุยุกิก็หลับตาลงแต่โดยดีพร้อมกับคิดว่านี่จะต้องเป็นความฝันอันประหลาดที่เกิดจากพิษไข้แน่

แล้วหลังจากนั้นฟุยุกิก็หลงวนเวียนอยู่ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง  บางขณะก็อยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่รู้จะเดินออกไปทางไหน  แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างและได้ยินเสียงพ่อ  เคียวยะ  และมิโนรุพูดอะไรกันแต่จับความไม่ได้...และหลายครั้งที่รู้สึกถึงมือที่แตะลงบนหน้าผาก  ตามมาด้วยสัมผัสอบอุ่นแปลกประหลาดไม่คุ้นเคย

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้  เมื่อฟุยุกิลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับสัมผัสทางกายที่รู้สึกสบายขึ้น  แสงสว่างที่เหมือนไม่ได้เห็นมานานทำเอาตาพร่ามัวจนต้องหลับตาลงอีกแล้วค่อยปรับสายตาจนคุ้นชิน  เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนยาวออกมา  เสียงผ่อนลมหายใจนั้นเองที่เรียกให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงรู้สึกตัวแล้วชะโงกหน้ามามอง

“ตื่นแล้วเหรอ  ฟุยุกิ?”

“...คุณพ่อ?”

พ่ออีกแล้วหรือ...น่าประหลาดจริง  ดูเหมือนว่าคนที่เขาตื่นมาเจอเมื่อครั้งที่แล้วก็จะเป็นพ่อใช่ไหม...

“อื้ม  พ่อเอง...คราวนี้พูดรู้เรื่องแล้วนี่นะ”  มือชราแตะลงที่หน้าผาก  “ไข้ลดลงเยอะแล้วด้วย”

“...พูดรู้เรื่อง...?”

“วันก่อนแกก็ตื่นมาแบบนี้แหละ  แต่ไข้สูงจนพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย”

“...ไข้สูง...?”

“ปอดบวมน่ะ  แกนึกยังไงถึงไปตากลมตากฟ้าจนเป็นไข้แบบนี้?”

“ตากลม?...ปอดบวม?...”  ฟุยุกินึกทวน  แต่ความทรงจำมันพร่ามัวไปหมด

“ช่างมันก่อนเถอะ  เดี๋ยวอาการดีขึ้นก็นึกออกเอง  หิวน้ำหรือเปล่า  ดื่มน้ำสักหน่อยมั้ย?”

พอฟุยุกิพยักหน้ารับข้อเสนอ  ผู้เป็นพ่อก็พยุงเขาขึ้นนั่งแล้วจัดหมอนรองหลังให้  เด็กหนุ่มออกจะประหม่าจนถึงขั้นขัดเขินกับสิ่งที่พ่อทำให้  ในความทรงจำของเขาตั้งแต่เล็กจนโตพ่อไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย  ไม่เคยกระทั่งเฝ้าไข้เสียด้วยซ้ำ

ในตอนที่ฟุยุกิกำลังดื่มน้ำ  พยาบาลก็เข้ามาวัดไข้  เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มรู้สึกตัวได้สติดีแล้วก็บอกว่าจะไปแจ้งให้แพทย์เข้าของไข้ทราบแล้วขอตัวออกจากห้องไป

ความเงียบปกคลุมห้องไปชั่วขณะ  แล้วสึโตมุผู้เป็นพ่อก็เอ่ยขึ้น

“กินแอปเปิ้ลมั้ย?  ยาเอะซังปอกแล้วฝากเคียวยะมาเมื่อเช้าแน่ะ”  คำพูดนั้นหมายถึงคุณแม่บ้านเก่าแก่ที่อยู่กับครอบครัวมานานจนเกือบเหมือนญาติ  ว่าแล้วสึโตมุก็กุลีกุจอเปิดตู้เย็น

“...ทำไม...คุณพ่อถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?”  ตามปกติจะต้องเป็นคุณแม่บ้านที่คอยดูแลเขาอยู่เสมอ

“ก็ทั้งบ้านมีแต่ตาแก่คนนี้ที่ว่างงานน่ะสิ”  สึโตมุตอบเรื่อย ๆ พลางหยิบกล่องใส่แอปเปิ้ลออกมา

“คุณพ่อก็ยังทำงานอยู่นี่ครับ”  ถึงความทรงจำจะคลุมเครือ  แต่ฟุยุกิจำได้แม่นว่าผู้ชายวัยเกษียณคนนี้ยังเป็นทนายความฝีมือดีที่มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ

“งานของฉันไม่ต้องตอกบัตรเข้าทำงานเหมือนพวกพี่ ๆ แกนี่  แล้วตอนนี้ฉันก็ว่างงานจริง ๆ ด้วย”  สึโตมุกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง  จิ้มแอปเปิ้ลส่งให้ฟุยุกิ

เด็กหนุ่มรับแอปเปิ้ลที่บรรจงปอกเป็นรูปกระต่ายมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะพึมพำขอบคุณเบา ๆ

“เคี้ยวให้ละเอียดก่อนล่ะ  แกไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน  เดี๋ยวจะไม่ย่อย”  คนเป็นพ่อเจ้ากี้เจ้าการ

ฟุยุกิทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย  แต่กินได้แค่สองสามชิ้นก็อิ่ม  เขาเอนหลังพิงหมอนอย่างอ่อนล้า

“นั่งพักเสียก่อน  นอนเลยเดี๋ยวสำลัก...อ้อ  เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยมั้ย?”

“เรียกพยาบาลเหรอครับ?”

“จะเรียกทำไม  ฉันก็ทำเป็น”

“...เอ๋?...”

ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะสงสัยได้สุดหางเสียง  สึโตมุก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ  ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับกะละมังเล็กและผ้าขนหนู  เขาวางข้าวของที่โต๊ะข้างเตียงแล้วจัดแจงปลดเชือกของชุดคนไข้ออก  ฟุยุกิเกร็งตัวแข็ง

“ถ้าหนาวก็บอกนะ”

ว่าแล้วผู้เป็นพ่อก็ลงมือเช็ดตัวให้ฟุยุกิอย่างรวดเร็วและชำนาญ  ในขณะที่เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อ  ในหัววุ่นวายด้วยความสับสนและอัศจรรย์ใจ  จนในที่สุดสึโตมุก็สังเกตเห็น

“เป็นอะไรไป  ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”

“มัน...ไม่คุ้นเลยครับ...”

“ไม่คุ้น?...ถูกเช็ดตัวน่ะเรอะ?”

“เปล่าครับ...คนเช็ด...ต่างหาก”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มตอบ

“คิดว่าฉันทำไม่เป็นหรือไง  ฉันน่ะเช็ดพี่แกมานักต่อนักแล้ว  ตอนเด็ก ๆ พวกมันขี้โรคออกจะตาย”  ปากพูดไปมือก็เช็ดไปด้วย

“แต่...กับผม...ไม่เคย...”

สึโตมุชะงักมือแล้วมองลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้ก้มหน้านิ่ง  ก่อนจะถอนใจเบา ๆ

“นั่นสินะ  ฉันให้ยาเอะซังดูแลเรื่องแกทั้งหมดเลย”

แล้วทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย  สึโตมุจึงจัดหมอนให้ฟุยุกิอีกครั้ง

“เอาละ  นอนเสียก่อน  คงอีกสักพักกว่าหมอจะมา”

เด็กหนุ่มนอนลงอย่างว่าง่ายก่อนจะระบายลมหายใจยาว  ท่าทางผ่อนคลายลง

“ที่แกดูเกร็งขนาดนี้  เพราะฉันไม่เคยเฝ้าไข้แกเลยสินะ”

ฟุยุกิพยักหน้าน้อย ๆ...ถูกแล้ว  พ่อไม่เคยดูแลเขาแบบนี้เลยสักครั้ง  แค่จะนึกภาพยังนึกไม่ออก  จนถึงตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่ากำลังฝันไปเพราะพิษไข้หรือเปล่าด้วยซ้ำ

สึโตมุพยักหน้ากับตัวเอง  สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  เอื้อมมือมาลูบผมลูกชายโดยไม่พูดอะไร  ฟุยุกินึกสงสัยว่าพ่อกำลังคิดอะไรอยู่  แต่เมื่อสัมผัสชวนผ่อนคลายทำให้เขารู้สึกดี  จึงหลับตาลงแล้วผล็อยหลับไป

ไม่นานนัก  ฟุยุกิก็ถูกปลุกอีกครั้งเมื่อหมอเข้ามาดูอาการ  แพทย์เจ้าของไข้ตรวจเขาอย่างละเอียด  ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจและบอกกับสึโตมุว่าอาการของฟุยุกิดีขึ้นมากทีเดียว  แต่ยังมีไข้จึงต้องให้ยาและอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักระยะเพื่อสังเกตอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน  หมอสั่งจ่ายยาก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป

“หมอสมัยนี้อะไร ๆ ก็จ่ายยา  คนเป็นไข้น่ะ  เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย ๆ ก็หายแล้ว”  ผู้เป็นพ่อบ่นกระปอดกระแปด
คนป่วยที่ซุกอยู่ในผ้าห่มทำตาปริบ ๆ  “...จริงเหรอฮะ?”

สึโตมุนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบมาหน้าตาเฉยว่า  “ไม่รู้สิ  ไอ้สองคนนั้นไม่เคยเป็นปอดบวมนี่”

ฟังแล้วฟุยุกิก็สอบถอนใจแล้วหลับตาลง...นี่ก็ไม่คุ้นเลย  พ่อเขาตลกหน้าตายแบบนี้เป็นด้วยหรือ...จะขำก็ขำไม่ออกยังไงไม่รู้  เลยแสร้งทำเป็นนอนก่อนจะหลับไปจริง ๆ ด้วยความอ่อนเพลียจากพิษไข้

เคียวยะกับมิโนรุมาที่โรงพยาบาลตอนหลังเลิกงาน  การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ยิ่งทำให้ฟุยุกิเกร็งเข้าไปใหญ่...จะโดนถามเรื่องงานไหม  จะโดนถามเรื่องเพื่อนร่วมงานไหม  จะโดนตำหนิอะไรหรือเปล่า  ถ้าถูกถามควรจะตอบยังไง...ความคิดของฟุยุกิวุ่นวายสับสน  แต่กลับไม่มีใครพูดเรื่องที่เขากลัวเลยแม้แต่คนเดียว  ต่างก็คุยกันเรื่องงานของตัวเอง  คุยถึงลูกความที่มีปัญหาประหลาด ๆ จนนึกขำไม่ได้  ภาพของพ่อกับพวกพี่ชายที่นั่งคุยกันไปหัวเราะกันไปดูต่างกับภาพโต๊ะอาหารที่บ้านอย่างสิ้นเชิง  เป็นบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย  แต่ทำให้ฟุยุกิอุ่นใจอย่างประหลาด  หัวใจผ่อนคลายลง...ถ้าที่บ้านเป็นแบบนี้ตลอดเวลา  เขาคงไม่โตมาเป็นคนแบบนี้ใช่ไหม...

“คืนนี้คุณพ่อกลับไปพักที่บ้านเถอะครับ  เดี๋ยวผมเฝ้าไข้ยุกิเอง”  เคียวยะพูดขึ้น

“อ้าว  แล้วงานของแกล่ะ?”  สึโตมุถาม

“พรุ่งนี้ผมหยุดครับ  นี่ก็เตรียมเสื้อผ้ามาแล้วด้วย  คุณพ่อนอนที่นี่มาหลายคืนแล้ว”

“แต่ฟุยุกิมันเพิ่งฟื้นไข้”

“ก็เพราะฟื้นไข้แล้วน่ะสิครับ  คุณพ่อไม่ต้องห่วงก็ได้”

“แล้วถ้าไข้มันกลับ...”

“คุณหมออยู่ตั้งหลายคนครับ”

“แล้วถ้า...”

“โฮ้ย  พี่เคียวยะเช็ดตัวเป็นครับ  มาครับ  คุณพ่อ  ผมจะไปส่งที่บ้าน”  มิโนรุตัดบทแล้วรีบหอบเสื้อผ้าใช้แล้วของผู้เป็นพ่อยัดลงกระเป๋าก่อนจะมีการต่อปากต่อคำมากไปกว่านี้

“มีแอปเปิ้ลของยาเอะซังอยู่ในตู้เย็นนะ  เอาให้น้องกินด้วย  แล้วแกอย่ากินเองหมดล่ะ”  สึโตมุยังไม่วายสั่งขณะที่โดนมิโนรุลาดออกจากห้องไป

“ครับ  ไม่กินหรอกครับ  ผมไม่ใช่มิโนรุเสียหน่อย  ราตรีสวัสดิ์นะครับ  คุณพ่อ”

พอประตูห้องปิดลง  ความเงียบสงบก็มาเยือน  เคียวยะถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง

“พ่อเรานี่จู้จี้จริง ๆ  ดื้อเสียด้วย  ฉันจะมาเปลี่ยนเฝ้าไข้หลายวันแล้วแกก็ไม่ยอม”

“คุณพ่อน่ะเหรอ...”

“ก็ใช่น่ะสิ  แกบอกว่าแกดูแลเองได้  แกว่าง  แต่ไม่ได้นึกเลยว่าตัวเองอายุเท่าไรแล้ว  ถ้าติดเชื้ออะไรล้มป่วยไปอีกคนจะทำยังไง...เออ  แต่แกคงเชื่อว่าแกแข็งแรงดีอีกนั่นแหละ”  พี่ชายคนโตบ่นอุบ

ฟุยุกิไม่รู้จะพยักหน้าเห็นด้วยดีไหม  เลยได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ

“ว่าแต่...กินแอปเปิ้ลที่คุณพ่อว่ามั้ยล่ะ?”

“...ครับ”

ฟุยุกิรับกล่องแอปเปิ้ลมาจากเคียวยะแล้วลงมือกิน  อาจเพราะยาที่หมอฉีดให้ทำให้เขาสดชื่นขึ้นกว่าเมื่อตอนเช้ามากและกินได้มากขึ้นด้วย

เคียวยะรอจนฟุยุกิกินแอปเปิ้ลจนหมดจึงเอากล่องไปล้างเก็บแล้วกลับมานั่งที่ข้างเตียงอีกครั้ง  นี่ก็เป็นความไม่คุ้นเคยอีกอย่าง  ความทรงจำที่ฟุยุกิมีกับเคียวยะส่วนมากแล้วจะเป็นเรื่องเรียน  เคียวยะเรียนในมหาวิทยาลัยใกล้บ้านจึงอยู่ที่บ้านจนกระทั่งเข้าทำงาน  ออกจากบ้านไปทำงานระยะหนึ่งก็แต่งงานแล้วกลับมาอยู่บ้านในฐานะผู้สืบทอดตามแบบฉบับของลูกชายคนโต  ทำให้เคียวยะเป็นคนคอยดูแลเรื่องเรียนของฟุยุกิมาตลอด  ตั้งแต่สอนทำการบ้านไปจนถึงหาที่เรียนพิเศษให้  เรียกได้ว่าทำหน้าที่พ่อคนที่สองเลยทีเดียว...ถ้าจำไม่ผิด  เวลาประชุมผู้ปกครองเคียวยะจะไปแทนพ่อเสียด้วยซ้ำ  แม้ว่าหลังจากที่ฟุยุกิออกไปอยู่กับมิโนรุแล้วเคียวยะจะดูแลเขาน้อยลง  แต่ฟุยุกิก็ยังเกรงพี่ชายคนโตพอ ๆ กับพ่ออยู่ดี

“นี่  ยุกิ”  เคียวยะทำลายความเงียบขึ้น  เล่นเอาฟุยุกิสะดุ้งสุดตัว  “แก...มีปัญหาเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ใช่มั้ย?”

“หะ...หา?”  ฟุยุกิทำหน้างุนงงเต็มกำลัง  ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า

“ฉันถามว่าแกมีปัญหาความรักใช่มั้ย  อย่างไปหลงรักใครหรืออกหักอะไรแบบนี้  ไอ้แบบที่ไม่สมหวังน่ะ”  เคียวยะขยายความอย่างอดทนเหมือนเวลาสอนการบ้านให้ฟุยุกิ

ได้ยินแล้วเด็กหนุ่มก็หน้าแดงก่ำอย่างควบคุมไม่ได้  ร้อนผ่าวไปทั้งตัวเหมือนไข้กลับ

“ทะ...ทำไม...ทำไมพี่รู้...?”

เห็นอาการแบบนั้นแล้วเคียวยะก็กลอกตาพลางกลั้นยิ้ม  “ฉันก็มีตาไว้ดูน่ะนะ”

“คะ...แค่ดู...ก็รู้เหรอ?”  ฟุยุกิเกือบจะแตกตื่น  “มิ...พี่มิโนรุ...ไม่เห็นรู้เลย...”

“โฮ้ย  มิโนรุน่ะความรักบังตา  กำลังมีแฟนแบบนั้นคงไม่ว่างมาสนใจน้องนุ่งหรอก”  ผู้เป็นพี่พูดพลางหัวเราะ  “ฉันเห็นแกออกอาการมาตั้งแต่ตอนโดนคุณพ่อเรียกตัวกลับบ้านเพราะเรื่องงานคราวโน้นแล้ว  ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ใช้กับงานได้ผลมั้ยล่ะ?”

“...เกษตรอินทรีย์!?”  ฟุยุกิยิ่งงงหนัก

“เห็นมั้ย  ไม่รู้ตัวจริง ๆ ด้วย  คุณพ่อเห็นแกเหม่อ ๆ เลยแกล้งเปลี่ยนเรื่องดูน่ะ  พอสรุปจบถามว่าแกเข้าใจมั้ย  แกก็บอกว่าเข้าใจนี่นา”  เคียวยะเล่าพลางอมยิ้ม  “เป็นปัญหาหัวใจจริง ๆ สินะ”

ฟุยุกิทำตาโตแล้วนิ่งค้างไปทั้งหน้ายังแดงก่ำ  ในหัวเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ระเบิดเป็นลูกโซ่...เกษตรอินทรีย์อะไร  พ่อน่ะนะพูดเรื่องนั้น  แล้วเคียวยะที่ฟังอยู่ด้วยทำไมไม่ท้วง  แล้วทำไมพ่อไม่ดุที่เขาเหม่อ...แล้ว...แล้ว...แล้วเคียวยะเห็นแค่นั้นก็รู้เลยเหรอว่าเขามีปัญหาอะไร  เขาคิดจะเก็บเป็นความลับแท้ ๆ  แล้วทำไมเคียวยะถึงรู้!?

เคียวยะเห็นน้องชายช็อคไปแบบนั้นก็ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้  ท่าทางเขาจะแทงใจดำฟุยุกิเกินไปสินะ

“ใจเย็น ๆ  มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอก  ใคร ๆ ก็เป็นกันได้”  ชายหนุ่มลูบหลังลูบไหล่น้องให้ผ่อนคลาย

ฟุยุกิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้  ทั้งอายทั้งโล่งใจอย่างประหลาด...แต่ยังไม่หมด

“ตกลง...รักเขาข้างเดียวหรืออกหักกันล่ะ?”

“...ทั้งสองอย่าง...”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มตอบออกมาในที่สุด

เคียวยะนิ่งไปนิดหนึ่ง  ก่อนที่จะลอบถอนใจแล้วเอื้อมมือไปลูบผมฟุยุกิเบา ๆ  “แย่หน่อยนะ”

...มันแย่กว่าที่พี่คิดเยอะเลยหละ...ฟุยุกิคิดอยู่ในใจแล้วก็น้ำตาร่วง

“แย่จัง...มาทำให้น้องชายฉันร้องไห้เสียได้  เป็นคนแบบไหนกันนะ”  เคียวยะพยายามตะล่อมถาม

“...เล่นไวโอลินเก่ง...”  เด็กหนุ่มกลั้นสะอื้นแล้วเอ่ยออกมา  “...แล้วก็เท่มากด้วย”

“ศิลปินสินะ  แล้วยังไงอีกล่ะ  แกถึงไปหลงรักเขาได้น่ะ”

“เขามาเล่น...คอนเสิร์ตข้างถนนแถวที่ทำงาน...ทุกวัน...ก็เลยชอบ”

เคียวยะแอบขมวดคิ้ว...แบบนี้มันไม่ใจง่ายไปหน่อยเหรอ  น้องเรา...

“ทั้งที่ไม่ได้พูดอะไร...ก็เข้าใจความรู้สึกของผม...คอยปลอบ  คอยให้กำลังใจ...”  ฟุยุกิเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังพูดถึงใครกันแน่  แต่ก็ยังพูดต่อไป  “คอยรับฟังปัญหา...ช่วยคิดหาทางแก้...ใจดีด้วยมาตลอด”

คราวนี้เคียวยะพยักหน้า  เจอคนแบบนี้เข้า  เป็นใครก็คงอดรักไม่ได้ละนะ

“...แต่...มีคนรักแล้ว...ทั้งสองคนเลย...ฮึก...”

“สองคน?”  เคียวยะชักงง  “คนที่ว่านั่นเขามีแฟนสองคนเหรอ?”

ฟุยุกิส่ายหน้า  “ทั้งสองคน...เขามีคนรักแล้ว...ฮือ...”

สมองอันชาญฉลาดของพี่ชายคนโตประมวลผลพลางดึงน้องชายมากอดปลอบ  ถ้าฟังไม่ผิดและเข้าใจไม่ผิด...ฟุยุกิไปชอบคนทีเดียวสองคนแล้วอกหักคูณสองสินะ...แล้วมันเรื่องอะไร  เจ้าเด็กใสซื่อนี่ถึงได้กลายเป็นคนหลายใจไปได้ล่ะ?  ไม่สิ...มันต้องมีรายละเอียดอื่น ๆ อีกแน่  แต่ถามตอนนี้คงจะไม่ดีแล้วละมั้ง  เดี๋ยวสะเทือนใจมากไปไข้จะกลับเสียเปล่า ๆ

เคียวยะได้แต่ปลอบฟุยุกิจนหลับไปในที่สุด

...

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 11 / 25-06-58
«ตอบ #33 เมื่อ25-06-2015 22:00:13 »

“เอ๊ะ?  ไปหลงรักคนอื่นทีเดียวสองคนพร้อมกันเนี่ยนะ!?”

“ชู่ว์...เบา ๆ สิ  มิโนรุ  ไอ้บ้า”  เคียวยะปราม

มิโนรุรีบตะครุบปากตัวเอง  เขาลืมตัวไปว่าอยู่ในร้านกาแฟใกล้ ๆ โรงพยาบาล  ที่เผลอเสียงดังไปเมื่อกี้ทำให้คนในร้านหันมามองเป็นตาเดียวกัน

“ก็มันตกใจ...พี่ว่าไงนะ?  ไอ้น้องชายหงิม ๆ ไม่เอาผู้เอาคนของเราเนี่ยนะ  อกหักดับเบิ้ล?”  มิโนรุลดเสียงลงเป็นกระซิบ

“น่าจะแบบนั้นแหละ  ก็บอกว่า  ‘สองคนนั้นมีแฟนแล้ว’  นี่นา”

“อะไรกัน  ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“นายมัวแต่สนมิยูกิซังอยู่น่ะสิ  ช่างเถอะ...เอาเป็นว่าช่วยกันคิดหน่อยแล้วกัน  นายไปแถวที่ทำงานยุกิบ่อย ๆ แล้วเคยเห็นผู้หญิงไปเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนแถวนั้นบ้างมั้ย?”  เคียวยะถามแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ

“คอนเสิร์ต?...”  มิโนรุครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง  “ถ้าผู้ชายละก็มี  แต่ไม่มีผู้หญิงหรอก  เคยเห็นผู้ชายผมแดง ๆ ท่าทางดูดีเหมือนนายแบบไปเล่นไวโอลินแถวนั้นบ่อย ๆ น่ะ”

เคียวยะสำลักกาแฟ  “ผะ...ผู้ชาย...?”

“ใช่  ผู้ชาย  ดูไม่ผิดหรอก  ถึงผมจะยาวก็ไม่ใช่ผู้หญิงแน่  เด่นออกขนาดนั้น”  มิโนรุยืนยัน  “อ้าว...เป็นอะไรไปล่ะ  พี่?”

ผู้เป็นพี่คนโตนั่งกุมขมับ  เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฟุยุกิถึงไม่เคยเอาเรื่องนี้มาปรึกษาใครเลย

“แล้ว...คนที่ว่านั้นท่าทางใจดีมั้ย?”

“จะรู้มั้ย?  ฉันไม่เคยแวะไปดูนี่  แต่ถ้าเอาจากที่ตาเห็นก็ไม่ใจดีตรงไหนหรอก  น่าจะใจร้ายด้วยซ้ำ...ว่าแต่ถามทำไมน่ะ?”

“งั้นเรอะ...ที่ใจดีนั่นเป็นอีกคนงั้นเรอะ...”  เคียวยะพึมพำ

“เอ๊ะ...อะไรนะ?”

“ถ้าคนที่เล่นไวโอลินไม่ได้ใจดี  แปลว่ามีคนใจดีอีกคนสินะ”

“หา...?”  มิโนรุคิดอยู่ชั่ววินาทีแล้วก็นิ่งอึ้งตะลึงงันเหมือนโดนช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูง  “มะ...ไม่จริง...”

“จริง”

“นะ...น้องเรา...”

“เพราะแกนั่นแหละ  ไม่ดูแลให้ดี”  เคียวยะตัดบท

ด้วยเหตุนี้  เคียวยะกับมิโนรุจึงรีบเลิกงานเร็วแล้วมาซุ่มดูคอนเสิร์ตข้างถนนของนักไวโอลินผมแดงที่น่าจะเป็นเหตุให้น้องชายอกหัก  แต่จะเรียกว่าซุ่มก็ไม่ถูกนักเพราะก็แค่มายืนดูเฉย ๆ

“...เก่งนี่”  มิโนรุอดออกปากชมไม่ได้

“เก่งสิ  นั่นมันลูกชายของคอนดักเตอร์คิริฮาระที่คุณพ่อชอบไปดูคอนเสิร์ตเชียวนะ”  เคียวยะบอก

“ทำไมพี่รู้ล่ะ?”

“ฉันเคยไปดูกับคุณพ่อครั้งนึง  คนมีเสน่ห์แบบนี้  ไม่แปลกหรอกที่ยุกิจะชอบน่ะ...แต่ดูยังไงก็ไม่ใจดีอย่างที่ว่าจริง ๆ นั่นแหละ”

“งั้นต้องตามหาคนใจดีอีกสินะ”  มิโนรุพึมพำ  “ว่าแต่...จะตามหาไปทำไมเหรอ  ยังไงยุกิก็อกหักไปแล้วนี่”

“ฉันก็แค่อยากรู้ว่ายุกิไปชอบคนแบบไหนเข้า  ทำไมถึงไปชอบผู้ชายได้  แล้วผู้ชายคนนั้นมันมีค่าพอจะให้น้องเราไปชอบมั้ย”  เคียวยะอธิบายเสียงแข็ง

“...โกรธอยู่เหรอเนี่ย?”  มิโนรุเพิ่งจับอารมณ์พี่ชายได้

“เจ้าพวกนั้นทำให้ยุกิร้องไห้นะ  ไม่ให้โกรธได้ยังไง”

“แต่น้องเราไปชอบเขาเองนะ  เขาจะมีแฟนแล้วก็ไม่ผิดนี่นา”  เห็นเคียวยะจ้องนักไวโอลินหนุ่มเขม็งแล้วมิโนรุชักก็หวั่นใจ

“เออ  ไม่ผิด  แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร”

และด้วยเหตุนี้  มิโนรุจึงต้องร่วมมือกับเคียวยะแอบตามนักไวโอลินหนุ่มไป  ทั้งที่คิดว่าชายหนุ่มจะไปตามย่านอโคจร  แต่เขากลับมุ่งหน้าไปทางมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของละแวกนั้น  และไปยังร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย

“เอายังไงล่ะ  พี่  จะเข้าไปมั้ย?”

“เข้าสิ  ก็แค่ร้านกาแฟธรรมดานี่”

แล้วทั้งสองก็เข้าไปในร้านกาแฟแห่งนั้นซึ่งเจ้าของร้านก็ให้การต้อนรับและแนะนำกาแฟเป็นอย่างดี  กาแฟอร่อย...แต่เคียวยะกับมิโนรุไม่ได้ใส่ใจนัก  เพราะคอยแต่เงี่ยหูฟังการสนทนาของนักดนตรีหนุ่ม  เจ้าของร้าน  และชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง

“หลังจากออกมาจากคลับของนาย  ฟุยุกิคุงมาหาฉันน่ะสิ”

ชื่อของน้องชายทำเอาทั้งสองหูผึ่ง...มาถูกที่แน่แล้ว  ทั้งคู่กลั้นใจแล้วฟังต่อ

“แล้วมันพลาดตรงไหน?”  นักดนตรีหนุ่มถาม

“ตรงที่เคย์โกะซังดันมาที่นี่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรน่ะสิ”  พูดแล้วเจ้าของร้านกาแฟก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“โธ่...นัตสึเมะเอ๊ย...”

“แล้วจากวันนั้นฟุยุกิคุงก็หายหน้าไปเลยสินะครับ”  ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งฟังอยู่นานพูดแทรกขึ้นมา

“ครับ  ผมยังไม่เจอเขาอีกเลย”

“ผมไปดู ๆ แถวบริษัทเขาก็ไม่เห็นเลยนะครับ  นี่มันก็ร่วมอาทิตย์แล้ว...ท่าทาง...พวกเราคงโดนเกลียดซะแล้วละครับ”

“คิโยะก็พูดตรงเกินไปน่า”  นักดนตรีหนุ่มขัด

“แต่มันคงจะจริงนั่นแหละ”

สายตาที่มองออกไปนอกหน้าต่างของเจ้าของร้านมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เคียวยะกับมิโนรุแน่ใจ...เจอแล้ว  คนใจดีของฟุยุกิ

ทั้งสองจ่ายเงินแล้วออกจากร้านกาแฟมาโดยไม่ได้พูดอะไร  ต่างก็เดินกันไปเงียบ ๆ พลางครุ่นคิด  จนในที่สุดมิโนรุก็ทำลายความเงียบขึ้น

“ท่าทาง...พวกเขาก็แคร์ยุกิดีนะ”

“ใช่...แต่ก็มีคนรักแล้วทั้งสองคน”  เคียวยะทั้งเห็นด้วยทั้งขัดใจ

“...ยุกิคอยเอาเรื่องอะไร ๆ มาปรึกษาสองคนนี้ตลอดเลยสินะ  แต่ไม่เคยมาปรึกษาพวกเราเลย”

“พวกเราคงเป็นพี่ที่ใช้ไม่ได้ละมั้ง...”

“นั่นสินะ  ยุกิอยู่กับฉันตั้งหลายปีแท้ ๆ  ฉันกลับไม่เคยรู้อะไรเลย”  มิโนรุเสียงอ่อย

“ช่างเถอะ  ฉันไม่โทษนายคนเดียวหรอก”  เคียวยะกอดคอน้องชาย  “พวกเราต้องเริ่มต้นกันใหม่แล้วละ”

...

หลังจากนั้นสองสามวัน  มิโนรุก็มาที่โรงพยาบาลในฐานะคนเฝ้าไข้พร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่ง  แต่เมื่อมาถึงห้องพักของฟุยุกิก็พบเคียวยะรออยู่ก่อนแล้ว

“อ้าว  พี่...แล้วงานล่ะ?”

“ลาน่ะ  งานไม่เร่งมาก  พอจะลาได้”  เคียวยะบอก

“อ้อ  งั้นเรอะ”  มิโนรุรับรู้แล้วส่งหนังสือให้ฟุยุกิ  “เอ้า  ของที่บอกให้เอามา”

“ขอบคุณครับ”  ฟุยุกิรับมาพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ

“ว่าแต่...ทำไมแกถึงมีหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ในห้องด้วยล่ะ?  อ้อ  นี่พจนานุกรม”

“มีคนให้ยืมมาน่ะ  อยู่โรง’ บาลว่าง ๆ เลยจะเอามาลองอ่าน”

“หนังสือเกี่ยวกับอะไรเหรอ?”  เคียวยะชักสนใจ  แต่ไหนแต่ไรฟุยุกิไม่เคยสนใจอ่านหนังสือเลยไม่ว่าจะหนังสือเรียนหรือหนังสืออ่านเล่น

“วิธีชงชาให้อร่อยน่ะ”

เคียวยะกับมิโนรุลอบสบตากัน  ก่อนที่เคียวยะจะสูดลมหายใจลึกและตัดสินใจพูดออกมา

“ได้มาจาก...เจ้าของร้านกาแฟคนนั้นใช่มั้ย?”

“เอ๊ะ...?”

“พี่ไปเจอมาแล้วละ  สองคนนั้นของแกน่ะ”

“เอ๊ะ...ทะ...ทำไม...?”  ฟุยุกิดูสับสน  เลือดหายไปจากสีหน้าทันที

“ยุกิ  ใจเย็น ๆ”  เคียวยะเอื้อมมือไปกุมมือเย็นเฉียบของน้องชาย  “ฉันไม่ได้จะว่าอะไรแกหรอก  สองคนนั้นดูเป็นคนดีนะ”

“ละ...แล้ว...ทำไม...?”

“ก็มาทำให้น้องชายฉันร้องไห้นี่  ก็กะจะต่อว่าสักหน่อย  แต่ดันเป็นคนดีกว่าที่คิดน่ะสิ  เลยไม่ได้ทำอะไร”  พี่ชายคนโตถอนใจ

“ว่าแต่สองคนนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้แกปอดบวมด้วยใช่มั้ย?  แบบว่าหนีจากคนนั้นมาอกหักกับคนนี้  เลยประชดชีวิตนั่งตากน้ำค้างจนเป็นหวัดอะไรแบบนี้น่ะ”  มิโนรุถาม

คราวนี้หน้าซีด ๆ ของฟุยุกิกลับแดงก่ำ  “ทะ...ทำไมรู้...!?”

“เดาไม่ผิดจริง ๆ สินะ...”  มิโนรุก้าวอาด ๆ มาหาฟุยุกิแล้วเขกหัวเต็มแรง  “ไอ้เด็กโง่!!”

“มิโนรุ!  จะบ้าเรอะ!?”  เคียวยะรีบห้าม

“ไอ้เด็กโง่นี่ต่างหาก  จะบ้าหรือไง!?  อกหักก็แทนที่จะมาปรึกษากัน  ดันไปทำตัวเองป่วยหนักขนาดนี้  รู้มั้ยว่าตอนเปิดห้องไปเจอน่ะ  หัวใจเกือบวายเลยนะเฟ้ย!”  มิโนรุโวยใส่

ฟุยุกิยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองป้อยพลางนิ่วหน้า  อะไรบางอย่างผลักดันให้คำพูดที่ไม่ได้พูดมานานหลายปีแล้วออกไป

“ใช่สิ...ผมมันโง่  ผมมันปัญญาอ่อน”

“ฟุยุกิ!”  เคียวยะตกใจ  ในขณะที่มิโนรุนิ่งไปทันที

“คนปัญญาอ่อนอย่างผมจะรู้ได้ไงล่ะว่าอกหักแล้วต้องทำยังไง  ผมก็แค่พยายามคิดตามแบบของผม  แต่มันปัญญาอ่อนเลยใช้เวลานานไปหน่อย  กว่าจะรู้ตัวก็เป็นหวัดแล้ว...แล้วผมจะปรึกษาใครได้ล่ะ  คนที่ผมชอบเป็นผู้ชายนะ  เรื่องแบบนี้ให้พูดกับคุณพ่อกับพวกพี่ได้เหรอ?  ตอนที่เจ็บใจเพราะซาคากิซังกลับมา  ถ้านัตสึเมะซังไม่บอกผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอกหัก  แล้วแบบนี้จะให้ผมปรึกษาใครล่ะ  ผมก็แค่แก้ปัญหาแบบที่ตัวเองพอจะทำได้เท่านั้นเอง”

หลังจากพูดจนแทบไม่หายใจแล้ว  ฟุยุกิก็ปล่อยโฮออกมา  ความรู้สึกที่อัดอั้นมาตลอดระเบิดออกมาตอนนั้นเอง

เคียวยะรีบคว้าร่างของน้องชายมากอดไว้แน่นพลางส่งสายตาตำหนิมิโนรุ

“ใจเย็น ๆ  ยุกิ...แกไม่ได้ปัญญาอ่อนหรอก  พี่รับรองได้  ไม่มีคนปัญญาอ่อนคนไหนเรียนจนจบปริญญาได้แบบแกหรอก”

“ผมมันโง่นี่  เรียนแบบพวกพี่ก็ไม่ได้  เป็นทนายแบบพ่อก็ไม่ได้  ไม่มีอะไรดีเลย”  เด็กหนุ่มยังคงต่อต้าน

“มีดีสิ  แกกำลังจะหัดชงชาไม่ใช่หรือไง...ไม่สิ  ตอนเด็ก ๆ ที่ไปเรียนชงชา  แกก็ทำได้ดีนี่นา  อาจารย์ยังชมว่าแกสมาธิดี  ถึงอันนั้นจะเป็นชาญี่ปุ่นก็เถอะ”  เคียวยะพยายามปลอบ

“แล้วมันช่วยเรื่องเรียนเรื่องงานได้ตรงไหน?  เล่นดนตรีก็ไม่เป็น  กีฬาก็ไม่เอาไหน  ดื่มกาแฟก็ยังไม่เคยดื่มเลยด้วยซ้ำ  อนาคตก็ไม่มี  ต้องเป็นเด็กเส้นให้คนเขาเกลียดขี้หน้าทั้งบริษัท!”  ฟุยุกิไม่เย็นลงง่าย ๆ

“เกลียดเหรอ?”  เคียวยะกับมิโนรุมองหน้ากัน  ฟุยุกิไม่เคยพูดเรื่องนี้และรายงานผลการทำงานที่ส่งมาให้สึโตมุที่บ้านก็ไม่มีเรื่องนี้ด้วย

“เกลียดสิ  เด็กเส้นฝีมือไม่เอาไหน  ทำงานไม่ได้เรื่อง  เชื่องช้า  งุ่มง่าม  ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก  จนเขาจะยกงานให้เด็กเข้าใหม่ทำหมดแล้ว  ผมมันไม่เอาไหน  ได้แต่อาศัยบารมีพ่อกับพี่ชายเท่านั้นแหละ”

“แกไม่เห็นเคยบอกพี่เลย  ยุกิ?”  มิโนรุดูแตกตื่น

“จะให้บอกอะไร?  พี่บอกให้ผมปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น  บอกให้ทำงานดี ๆ  ผมก็พยายามแล้วไง  แต่มนุษยสัมพันธ์จะมีประโยชน์อะไรถ้าคนอื่นเขารังเกียจมาตั้งแต่ต้นแล้วน่ะ”  เด็กหนุ่มพูดไปสะอื้นไป

“ใจเย็น ๆ  ยุกิ  ใจเย็น ๆ ไว้”  เคียวยะกอดน้องไว้แน่น

“เรื่องพวกนี้...ไม่เห็นต้องพูดเลย  ผมแค่เผลอบอกว่าเหนื่อย  คิริฮาระซังก็เล่นไวโอลินให้ฟังแล้วพาไปหานัตสึเมะซัง  นัตสึเมะซังก็ชงชาอร่อย ๆ ให้ดื่ม  ไม่เคยถามอะไรเลย  ไม่เคยคาดคั้นว่ามีเพื่อนแล้วหรือยัง  ทำงานผิดพลาดมาก็ไม่เคยตำหนิ  คอยแต่แนะนำวิธีการดี ๆ ที่จะทำงานดีขึ้นให้...ผมก็เลย...ชอบพวกเขา...”  หางเสียงแผ่วหายก่อนจะสะอึกสะอื้น  “แต่...เขาเป็นผู้ชาย  ผมรู้ว่ามันผิด...ผมก็ไม่เคยคิดจะชอบผู้ชายเลยสักนิด  แต่มันชอบไปแล้ว...จะให้ทำยังไง  จะให้ปรึกษาพ่อกับพวกพี่เหรอ...จะรับได้เหรอ...”

พี่ชายทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครั้ง...นั่นสิ  จะรับได้หรือ?  ถ้าทุกอย่างไม่ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้  พวกเขาจะยอมรับได้หรือ
ยังไม่ทันจะพูดอะไร  ฟุยุกิก็พูดต่อเหมือนทำนบที่กั้นความรู้สึกไว้พังทลายลง

“แล้วตอนที่รู้สึกตัวว่ารัก  ซาคากิซังก็กลับมา  เขากับคิริฮาระซังรักกันมาก...รอกันมาเป็นสิบปี  ผมไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย  เป็นแค่เด็กโง่ที่หลงคิดเพ้อไปเองคนเดียว  ความรู้สึกที่ผมให้เขามันก็แค่ความหลงใหลคลั่งใคล้แบบเด็ก ๆ เท่านั้นเอง  เทียบกับความรักของเขาไม่ได้เลย  แต่นัตสึเมะซังบอกว่าผมไม่ได้ผิด  ผมมีสิทธิ์ที่จะรัก...นัตสึเมะซังไม่เคยซ้ำเติมผมเลย  คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด...คืนนั้นผมเลยไปหาเขา  เขาบอกผมว่าไม่เป็นไร...แต่...แต่...คนรักของนัตสึเมะซังก็มา”

“แล้วยังไงอีก?  พูดเลย  ยุกิ  พูดออกมาให้หมดเลย”  เคียวยะลูบหลังลูบไหล่ให้กำลังใจฟุยุกิ

“ผมไม่รู้จะทำยังไง  เลยไปนั่งคิดที่สวนสาธารณะคนเดียว...จนคิดได้  ว่าไม่มีใครเป็นของผมหรอก  ไม่มีใครรักผมหรอก...แล้วผมก็กลับบ้าน...ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว...”

“ฉันเรียกรถพยาบาลเองแหละ  ตัวแกร้อนอย่างกับไฟ”  มิโนรุยักไหล่แล้วเดินมานั่งลงที่ปลายเตียง  เอื้อมมือมาลูบหัวฟุยุกิ  “ฉันขอโทษนะ  ฉันไม่รู้อะไรเลยแล้วยังเขกหัวแกอีก”

ฟุยุกิพยักหน้าน้อย ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร  เคียวยะถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดอย่างสงบ

“ฟังนะ  ฟุยุกิ  ถ้าพวกเขาดีกับแกขนาดนั้นแล้วแกเลยชอบพวกเขา  มันไม่ผิดเลยสักนิดเดียว...ต่อให้พวกเขาเป็นผู้ชายมันก็ไม่ผิด  แต่การที่แกทำอะไรอย่างไปตากน้ำค้างจนตัวเองป่วยหนักแบบนี้มันผิด  เข้าใจนะ”

ฟุยุกิพยักหน้ารับ

“คราวหลังถ้าคิดว่าจะต้องคิดอะไรนาน ๆ ก็กลับไปคิดที่บ้าน  ตกลงนะ”

“แต่...พี่มิโนรุอาจจะ...พามิยูกิซังมาที่บ้าน...”

“ก็ไปบ้านพ่อสิเฟ้ย  ไอ้เด็กโง่...โอ๊ย!!”  ท้ายประโยคต้องร้องออกมาเมื่อเคียวยะเขกหัวเข้าให้เต็มรัก

“อย่าไปสนใจไอ้บ้าเลย  ยุกิ  ฟังพี่ต่อนะ...”  เคียวยะกลับมาพูดกับคนในอ้อมแขนต่อ  “การทำให้ตัวเองป่วยมันผิด  แต่การทำให้คนที่รักที่ห่วงตัวเองเป็นกังวลมันผิดมากกว่านะ”

“...รักเหรอ?”

“คุณพ่อมาเฝ้าแกทุกวันตั้งแต่แกเข้าโรง’ บาล  ไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยนเลยนะ”

“ตอนนี้เลยความดันขึ้น  โดนจับนอนอยู่บ้านไปแล้ว”  มิโนรุเสริม

“คุณพ่อน่ะเหรอ...?”

“คอยเช็ดตัวให้แกตลอดเวลาเลยละ”  เคียวยะยิ้มกับสีหน้างุนงงของฟุยุกิ

“ไม่จริง...ก็คุณพ่อไม่เคยสนใจผมเลย...”

“ฟุยุกิ  คุณพ่อน่ะนะ  ตอนที่แกเด็ก ๆ คุณพ่อยังเสียใจกับเรื่องคุณแม่อยู่มากเลยโหมทำงานไงล่ะ  แล้วคุณพ่อน่ะมีแกตอนอายุมากแล้ว  ก็เลยสอนการบ้านให้แกไม่ได้  ต้องยกหน้าที่ให้พวกฉัน”

“แต่คุณพ่อไม่เคยไปประชุมผู้ปกครองเลยด้วยซ้ำ”  ฟุยุกิเถียง

“โฮ้ย  เรื่องนั้นน่ะ  คุณพ่อเขาอาย”  มิโนรุพูดปนหัวเราะ  “แกกลัวจะมีคนครหาว่าอายุเยอะแล้วเพิ่งมีลูกเข้าประถม  จริง ๆ มันแมนออกจะตายไป  เนอะ”

“แต่...ไม่เคยเฝ้าไข้ด้วย”

“ก็บอกแล้วไงว่าตอนนั้นคุณพ่อโหมงาน  อีกอย่างนะ  คือแกมีลูกคนเล็กแบบไม่ได้เตรียมตัว  พอนึกถึงว่าต้องใช้เงินเพื่อการศึกษาเล่าเรียนของแกแล้ว  เงินมันจะไม่เหลือติดบ้านเอาน่ะ  แกเลยทำงานลืมตาย  ลูกแกจะได้สบายไง”  เคียวยะพูดยิ้ม ๆ  “แล้วคุณพ่อน่ะ  เป็นผู้ชายโบราณ  เรื่องจะมาเฝ้าไข้เช็ดตัวลูกเองน่ะ  ไม่มีหรอก  คุณแม่สั่งทั้งนั้นแหละ  พอคุณแม่ไม่อยู่แล้ว  จะทำเองก็ประดักประเดิด  และเพราะแกเป็นคนโบราณ  ก็เลยเป็นคนแข็ง ๆ แบบนั้น  บางทีแกก็บ่นกับฉันกับยาเอะซังนะ”

“บ่น?”

“ว่าแกกระด้างกับลูกคนเล็กเกินไปหรือเปล่า  เมื่อก่อนจะมีคุณแม่เป็นตัวเชื่อมระหว่างแกกับลูก  พอไม่มีคุณแม่แล้วก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง  จะเข้าหาลูกแบบไหน  มันขาด ๆ เกิน ๆ ไปหมด...สุดท้าย  คุณพ่อก็เลยทำเฉย ๆ ไว้ก่อนน่ะ”

“...เฉย ๆ แบบนั้น...ไม่ดีเลย  ผมไม่ชอบเลย...”

“พี่ก็ว่ามันไม่ดี  แต่เข้าใจคุณพ่อเถอะนะ  คุณพ่อรักแกมากนะ  พอได้ยินว่าแกเข้าโรง’ บาล  ก็รีบเผ่นออกจากบ้านมากลางดึกเลย  ห้ามก็ไม่ฟัง  แกจะมาดูฟุยุกิของแกให้ได้”

ได้ยินแล้วเด็กหนุ่มก็น้ำตาร่วงเผาะ

“เพราะงั้น...จะชอบผู้ชายหรืออะไรก็ไม่เป็นไรหรอก  แต่ห้ามทำให้คุณพ่อเป็นห่วงอีกนะ”

ฟุยุกิพยักหน้า  น้ำตาไหลไม่หยุด

“แล้วก็...พวกพี่ก็รักแกนะ  ถึงได้เข้มงวดกับแกมาตลอด...แต่ตัวตนของพวกพี่คงจะกดดันแกมากใช่มั้ย?”

“ก็คนมันเก่ง  ช่วยไม่ได้”  มิโนรุยักไหล่  ทำไม่รู้ไม่ชี้กับตาเขียว ๆ ของเคียวยะ

“บางที...ถ้าพี่ปล่อยให้แกได้เที่ยวเล่นมากกว่านี้  คงจะดีสินะ”

“คนมันไม่เคยมีลูก  จะรู้ได้ไงว่าแค่ไหนถึงจะพอดี  คุณแม่ก็ไม่อยู่แนะนำ  คุณพ่อก็พึ่งไม่ได้  เลี้ยงมาได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว”  มิโนรุแกล้งบ่นแต่ก็ยิ้ม

“ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจมาตลอดนะ  ยุกิ”

ความว่างเปล่าบางอย่างที่รู้สึกมาตลอดชีวิต  ถูกเติมเต็มในวินาทีนั้น...แม้จะยังไม่สมบูรณ์พร้อม  แต่ฟุยุกิก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ขาดหายไปและเขาพยายามแสวงหาจากใครสักคนคือความรักของครอบครัวนี่เอง  ความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่สัมผัสมาตลอดตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในโรงพยาบาลก็คือความอบอุ่นของครอบครัวที่โหยหามาตลอดชีวิต

สิ่งจำเป็นสำหรับหน่ออ่อนของความเป็นผู้ใหญ่ถูกรดรินลงมา...จากนี้ไป  ฟุยุกิพร้อมที่จะเติบโตต่อไปแล้ว...


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Lock on You 11 / 25-06-58
«ตอบ #34 เมื่อ26-06-2015 01:23:54 »

รู้สึกว่าไม่ได้อ่านมานานมาก อ่านทีนี้เล่นยาวเลย จากบรรยากาศมนๆหน่วงใจไปกับฟุยุุิจนมาถึงตอนปัจจุบัน รู้สึกโล่งใจมากๆ เพราะได้มีการเปิดใจในครอบครัว ได้ระบายถึงความอัดอั้นตันใจออกมาให้ทุกคนรับรู้ จากนี้ไปความสัมพันธ์ในครอบครัวคงจะดีขึ้นแน่ๆ ส่วนนัทสึเมะถ้ายังไม่มีการเริ่มทำอะไรจริงๆจังๆน่ะ ความรักครั้งนี้คงสมหวังหรอกน่ะ *เป็นกำลังใจให้คนเขียน เขียนต่อไปจ้า ตามอ่านอยู่น่ะจ๊ะ เขียนได้ดีมากเลยคำผิดก็ไม่ค่อยมีด้วย ชอบตรงนี้แหละเพราะมันแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจทุกตัวอักษรที่คุณต้องการถ่ายทอดออกมา  o13

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 12 / 17-07-58
«ตอบ #35 เมื่อ17-07-2015 22:53:30 »

เนทมีน้อยใช้สอยประหยัด
อัพละนะคร้าบ

Lock on You 12

กระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้น  นัตสึเมะที่กำลังล้างถ้วยจานเก็บอยู่ส่งเสียงทักทายตามมารยาทก่อนจะหันไปมอง

“ยินดีต้อนรับครับ  อ้าว...คิริฮาระ”

“หวัดดี  นัตสึเมะ”

“หน้าเหี่ยวมาเชียว  เป็นอะไรไปล่ะ?”  นัตสึเมะคว่ำถ้วยกาแฟที่เช็ดแล้วให้เรียบร้อยก่อนจะหันมาสนใจคนที่เดินหน้ามุ่ยมานั่งที่เก้าอี้ประจำ

“ฟุยุกิคุงไม่มาอีกแล้ว”  คิริฮาระเอาคางเกยเคาน์เตอร์

“ก็น่าจะแบบนั้นแหละ”  นัตสึเมะตอบรับง่าย ๆ แล้วหันไปเปิดเครื่องบดกาแฟเพื่อชงกาแฟให้คิริฮาระ

“แล้วมาที่นี่หรือเปล่า?”

“ไม่มาหรอก  คงจะไม่มาอีกแล้วละมั้ง”

“ดูนายใจเย็นจัง  ทำใจได้เหรอ?”  คิริฮาระออกจะประหลาดใจกับท่าทีของเพื่อน

“ก็ฉันทำได้แค่นี้  ร้อนรนไปก็เปล่าประโยชน์  ถ้าเขาจะไม่มาแล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะ”  นัตสึเมะเริ่มต้นชงกาแฟตามปกติ

“...อุตส่าห์ทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี...”  นักดนตรีหนุ่มบ่นงึมงำ

“แน่ใจเหรอ?”  ร่างสูงแอบหัวเราะแล้ววางกาแฟเอสเปรซโซถ้วยเล็ก ๆ ลงตรงหน้าคิริฮาระ  “พอซาคากิคุงมานายก็ทิ้งเขาเฉยเลยไม่ใช่เหรอ”

คิริฮาระหน้ามุ่ยกว่าเดิม  “ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าเด็กนั่นชอบฉันแบบนั้น  ฉันก็เอ็นดูเหมือนน้องชายอะไรแบบนี้...ใครจะไปนึกว่า...”

นัตสึเมะส่ายหน้า  ก็แบบนั้นละ...คิริฮาระโง่เรื่องแบบนี้เสมอ  ทั้งที่ปกติฉลาดทันคนทุกอย่างแท้ ๆ

เจ้าของร้านกาแฟมองออกไปนอกหน้าต่าง  ความจริงก็น่าเสียดาย  พวกเขาคอยดูแลฟุยุกิมาอย่างดี  ที่หายไปแบบนี้ก็ยังเป็นห่วง  แต่พวกเขาพลาดเอง  ถ้าฟุยุกิจะตัดสัมพันธ์  พวกเขาจะทำอะไรได้  ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเด็กคนนั้น  ตัวเขาเองก็ยังมีปัญหาของตัวเองค้างคาอยู่อีกเยอะ  แก้ปัญหาของตัวเองยังไม่ได้จะดูแลคนอื่นได้อย่างไร

แต่...ความรุ่มร้อนบางอย่างที่ติดอยู่ในหัวใจนี่มันคืออะไรกันนะ...ความรู้สึกบางอย่างที่บอกกับตัวเองว่าจะยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้นี่คืออะไรกัน...นัตสึเมะได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจตัวเองเงียบ ๆ

...

กลิ่นน้ำชาหอมกรุ่นไปทั้งห้องพักในโรงพยาบาล  ไม่นานนักถ้วยที่ใส่น้ำชาสีสวยก็ถูกวางลงตรงหน้าสึโตมุกับเคียวยะ  ซึ่งรับไปลองดื่มคนละจิบ

“อื้ม  อร่อยนี่”  เคียวยะออกปากชม

“ฉันไม่ชอบชาฝรั่งเท่าไร  แต่นี่ก็ใช้ได้นะ”  สึโตมุพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ขอบคุณครับ”  คนถูกชมยิ้มเขิน ๆ

“ว่าแต่จะออกจากโรงพยาบาลวันนี้แล้ว  ยังมีกะใจจะชงชาอีกนะ”  ผู้เป็นพ่อว่าพลางดื่มชาอีก

“ก็ยุกิเพิ่งอ่านหนังสือจบนี่ครับ  เลยร้อนวิชา”  เคียวยะบอกยิ้ม ๆ

“อ่านช้า”  สึโตมุว่าอีก

“ก็...ภาษาอังกฤษ...นี่ครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มเถียง

“หือ?  ภาษาอังกฤษ?  แกเนี่ยนะ  อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ?”

“มะ...มีคนให้ยืมมาครับ...”  เด็กหนุ่มทำท่าเกรง ๆ แล้วเหลือบมองหนังสือสอนวิธีชงชาที่ค่อนข้างเก่าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

ถึงนัตสึเมะจะเคยบอกว่าเขาแค่ศึกษาการชงชาคร่าว ๆ เผื่อมีลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟก็เถอะ  แต่ดูจากหน้าปกที่มีร่องรอยเหมือนผ่านการใช้งานมานานแล้ว  ก็รู้ได้ว่านัตสึเมะไม่ได้ศึกษาเล่น ๆ แต่ต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจำขึ้นใจ

ในหนังสือมีคำแปลศัพท์บางคำเขียนเอาไว้ด้วย  ทำให้ฟุยุกิอ่านง่ายขึ้นมาก  แต่ถึงจะอ่านง่ายขึ้นแล้วก็ยังต้องใช้เวลานานเพราะร้างราภาษาอังกฤษไปนาน

“ใช้ได้นี่  อ่านเอาในหนังสือแล้วยังชงได้ขนาดนี้  ใช้ได้ ๆ”  ผู้เป็นพ่อทำหน้านิ่งแต่ก็พยักหน้ากับตัวเองอย่างพึงพอใจ

ฟุยุกิแอบสบตากับเคียวยะแล้วอมยิ้ม  พ่อของพวกเขาก็เป็นเสียแบบนี้  เรื่องจะเอ่ยปากชมหรือแสดงอะไรออกมาตรง ๆ นั้นไม่มีเสียละ  คำว่าใช้ได้ของพ่อก็ถือว่าเก่งแล้ว

ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล  ความสัมพันธ์ในครอบครัวอาริโยชิดีขึ้น  แม้จะยังดูไม่คุ้นเคยกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นกะทันหันเท่าไร  แต่ฟุยุกิก็พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้

เด็กหนุ่มพักฟื้นอยู่ราวอาทิตย์หนึ่ง  และมิโนรุก็ทำเรื่องลาพักร้อนต่อให้อีกอาทิตย์หนึ่ง  ซึ่งวันนี้ฟุยุกิจะออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นต่อที่บ้าน  เขาใช้เวลาระหว่างรอหมอมาตรวจเป็นครั้งสุดท้ายทดลองชาชงให้พ่อกับพี่ชายดื่ม  แม้จะไม่มั่นใจในฝีมือนักก็ได้รับคำชมผิดคาด

ฟุยุกิกลับไปพักฟื้นที่บ้านพ่อ  ทั้งนี้ก็เพราะอย่างน้อยจะได้มีคุณแม่บ้านคอยดูแล  ระหว่างที่อยู่บ้านเด็กหนุ่มก็ทดลองชงชาอยู่บ่อย ๆ  บรรยากาศยามบ่ายของหนึ่งอาทิตย์นั้นคือเขาจะต้องชงชาและนั่งดื่มชาที่ระเบียงพลางชมสวนกับพ่อ

ชุดยูคาตะ  ชาฝรั่ง  ขนมญี่ปุ่น...บรรยากาศแปลกประหลาดที่ไม่คุ้นเคย  แต่ดูเหมือนว่าพ่อกับลูกชายจะสนุกกับความแปลกใหม่นี้

ฟุยุกิยังคงไม่ค่อยพูด  เอาแต่นั่งฟังพ่อพูดไปเงียบ ๆ เหมือนเคย  แต่ความเกร็งและความเครียดในการเผชิญหน้าลดลงไปมาก  ผู้เป็นพ่อไม่ได้ถามซักไซ้เรื่องงานการอะไรอีก  บางทีพี่ชายทั้งสองคงจะเล่าเรื่องที่เขาพูดออกมาเมื่อตอนอยู่โรงพยาบาลให้พ่อฟัง  เรื่องที่พูดคุยกันส่วนมากจึงเป็นเรื่องสัพเพเหระเสียมาก

ระหว่างที่อยู่ที่บ้าน  ฟุยุกิก็คิด...เป็นเรื่องเก่า ๆ ที่คิริฮาระเคยพูดเอาไว้นานแล้ว

...เรื่องแปรงสีฟัน...

คิริฮาระเคยพูดไว้ว่าถ้าเลือกแปรงสีฟันเองได้  ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถเลือกเองได้ทั้งนั้น  แปรงสีฟันอันแรก  พ่อแม่จะเป็นคนเลือกให้เราเสมอ  จนกว่าเราจะอยากเลือกแปรงสีฟันเอง

ตัวเขาในตอนนั้นถามกลับไปว่า  แล้วถ้าคนในบ้านไม่เปิดโอกาสให้เลือกล่ะ?

เขาจำได้ว่าคิริฮาระทำหน้าจริงจังแล้วตอบกลับมาว่า

“มันขึ้นอยู่กับว่าเราบอกเขาว่าเราอยากเลือกแปรงสีฟันเองหรือเปล่าต่างหาก  ถ้าเราไม่เคยบอก  ก็บอกไม่ได้หรอกว่าเขาเปิดโอกาสให้เราหรือเปล่า  แต่ถ้าบอกไปแล้วเขาไม่ยอม...นั่นก็อีกเรื่อง”

ตัวเขาในตอนนั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนที่บ้านจะยอมฟังเรื่องที่เขาจะบอก  แต่ตอนนี้เขาคิดว่าถ้าเขาพูดไป  ทุกคนคงยอมรับฟังแน่...เพียงแต่จะยอมให้เลือกหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง

แต่ฟุยุกิยังต้องการเวลาคิดอีกนิดหน่อย  เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดจะตัดสินใจนั้นมันดีหรือไม่  และไม่รู้ว่าควรจะปรึกษาใครดี
ชื่อของนัตสึเมะแวบขึ้นมาในหัว  ปกติถ้าเขาคิดเรื่องจะปรึกษาอะไรใคร  นัตสึเมะจะเป็นคนแรกที่เขาคิดถึงอยู่แล้ว  แต่ครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษกว่านั้น  ที่เขาอยากปรึกษา  ก็เพราะนัตสึเมะเป็นคนที่คิริฮาระบอกว่า...โยนทิ้งหมดทั้งแปรงสีฟันและยาสีฟันที่ทางบ้านเลือกให้...

ดังนั้นถ้าเป็นนัตสึเมะละก็  คงให้คำปรึกษาแก่เขาได้แน่  เพียงแต่...เขาไม่มีความกล้าพอที่จะกลับไปที่ร้านกาแฟแห่งนั้น  ยังมีบางอย่างค้างคาอยู่ในความรู้สึก  ความรู้สึกเจ็บปวดแบบที่เขาไม่อยากเจออีกแล้วยังหลงเหลืออยู่

เขาต้องคิดเองคนเดียว

...

ฟุยุกิกลับไปทำงาน  แน่นอนว่าจะต้องถูกเพื่อนร่วมงานต้อนรับด้วยสายตาแปลก ๆ โทษฐานหยุดงานไปเสียนาน  แต่ก็แปลกที่ครั้งนี้เขาไม่รู้สึกใส่ใจกับสายตาพวกนั้น  มีเสียงนินทาลอยมาเข้าหูบ้าง  แต่ฟุยุกิก็ปล่อยมันผ่านไปแล้วทำงานไปตามปกติ  เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด  ทั้งที่ผ่านมาเขาแคร์กับเรื่องพวกนี้มาตลอดแท้ ๆ  พยายามเร่งตัวเองวิ่งไล่ตามโลกรอบตัวอย่างสุดกำลัง  แต่จบลงด้วยความล้มเหลวเสมอ

แต่ในตอนนี้ฟุยุกิรู้สึกเหมือนกับเห็นพื้นที่ว่างสำหรับตนเอง  แม้โลกรอบตัวจะวิ่งวุ่นและสับสนวุ่นวาย  แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนอยู่ที่สวนหลังบ้านซึ่งเวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า  เขาทำงานไปเรื่อย ๆ ตามประสาของเขา  แม้ว่าจะยังคงช้าไม่ทันใจใครต่อใครจนโดนเขม่นหรือพูดจาไม่ดีใส่  แต่กลับไม่ผิดพลาดเลยสักนิด

ฟุยุกิรู้สึกเหมือนจับจังหวะของตัวเองได้  และรู้แล้วว่าจังหวะของเขาไม่เหมาะกับจังหวะของสำนักงานแห่งนี้  ดังนั้นเมื่อถูกคนอื่นต่อว่าหรือทำกิริยาไม่ดีใส่  เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร  ไม่ได้โต้ตอบอะไร...เพราะในใจของเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
แล้ววันหนึ่ง  เมื่อความคิดนั้นตกตะกอน  เขาก็บอกกับมิโนรุ

“พี่  ฉันจะลาออก”

“หา!?”

มิโนรุตกใจอย่างจริงจัง  ไม่เชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ

“ฉันบอกว่าฉันจะลาออก”  ฟุยุกิบอกซ้ำด้วยเสียงเรียบ ๆ เบา ๆ

“เดี๋ยว ๆ ๆ!!  นี่มันเรื่องอะไรกัน!?  ทำไมอยู่ ๆ นายถึงจะลาออก?”  มิโนรุวางถ้วยกาแฟตัวเองลงทันที

“ฉันรู้สึกแล้วว่าฉันไม่เหมาะกับงานที่นี่  ก็เลยจะลาออกน่ะ  กะว่าวันนี้จะไปบอกหัวหน้า”

“เดี๋ยว!  หยุด...หยุดก่อน  นี่บอกคุณพ่อกับเคียวยะหรือยัง?”

“ยัง  เพิ่งคิดตกเมื่อคืนนี้น่ะ”

“ทำไมล่ะ?”

“...ฉันบอกพี่ไปแล้วนี่”

“เรื่อง...เด็กเส้นน่ะเหรอ?”  มิโนรุเดาออกแค่เรื่องเดียว  เพราะรายงานผลการทำงานเดือนนี้ของฟุยุกิออกมาดีเยี่ยม

“นั่นก็เรื่องนึง...”  เด็กหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นดื่ม  “โลกของที่นั่นมันหมุนเร็วเกินไปสำหรับฉันน่ะ”

“ถ้าพูดแบบนั้น...โลกที่ไหนมันก็หมุนเร็วทั้งนั้นแหละ”

“ไม่หรอก...มีบางที่...”  ฟุยุกิอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงร้านกาแฟของนัตสึเมะ

ผู้เป็นพี่ชายลอบถอนใจ  “ยังไงก็ช่างเถอะ  อย่าเพิ่งไปบอกหัวหน้าวันนี้เลยนะ  เอาไว้คุยกับพ่อกับเคียวยะก่อน”

“แต่ถึงบอกวันนี้  ก็ยังต้องจัดการงานอะไร ๆ ที่ค้างไว้อยู่ดี  กว่าจะได้ออกก็ตั้งเดือนหน้าโน่นแหละ”

“นายยังไม่มีงานใหม่เลยนะ”

“เดี๋ยวค่อยหาก็ได้นี่...ขายดอกไม้อะไรอย่างงี้”

“จะบ้าเรอะ!?”

ฟุยุกิไม่สนใจพี่ชายที่ชักจะเริ่มขึ้นเสียง  เขาทำเป็นสนใจเวลาว่าต้องออกจากบ้านเสียที  แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ออกไปทำงาน  ระหว่างทางเขาก็นึกขำตัวเองเหมือนกันที่ต่อปากต่อคำกับมิโนรุได้ขนาดนั้น  แถมยังตีหน้ามึนเลี่ยงออกมาหน้าตาเฉยเสียอีก

วันนั้นฟุยุกิขอพบหัวหน้าแล้วบอกสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป  ซึ่งหัวหน้าของเขารับฟังอย่างสงบกว่าที่คิด

“งั้นรึ  อยากลาออกสินะ”

“ครับ  ผมคงไม่เหมาะกับที่นี่เท่าไร  อยู่ไปก็มีแต่ถ่วงคนอื่นน่ะครับ”

“อืม...เดือนที่แล้วเธอทำงานได้ดีมากนะ  ฉันคิดว่าถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยเธอจะคล่องกว่านี้”

“หัวหน้าให้โอกาสผมมาตั้งปีกว่าแล้วครับ  ผมเองที่พัฒนาตัวเองไม่ได้”

“...ยังไงก็ไม่เอาแล้วสินะ”

“ขอโทษนะครับ  แต่ผมจะจัดการงานที่ยังค้างอยู่ให้เรียบร้อยก่อนไปน่ะครับ”

“อื้ม  ขอบใจนะ  เดี๋ยวฉันจะเรียนให้คุณพ่อของเธอทราบด้วย”

“ขอความกรุณาด้วยครับ”  ฟุยุกิโค้งต่ำให้หัวหน้า  ก่อนจะขอตัวออกจากห้อง  แต่แล้วก็ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงเรียก

“อาริโยชิคุง”

“ครับ?”

เมื่อหันกลับไป  ฟุยุกิก็พบกับรอยยิ้มเอ็นดูของหัวหน้า

“ถึงเธอจะเหมือนคนทำงานไม่ได้ความ  แต่ฉันเห็นความพยายามในตัวเธอนะ  สมุดจดความผิดพลาดนั่นอาจจะดูแย่ไปหน่อยแต่ก็เป็นหลักฐานความพยายามที่ดี...เหนื่อยหน่อยนะ”

ฟุยุกิรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว  แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมาได้และก้มหัวให้หัวหน้าอีกครั้ง  ก่อนจะกลับไปทำงานของตัวเอง

ระเบิดลงในตอนเย็น...เพราะต้องเคลียร์งานที่ค้างไว้ให้มากที่สุด  ฟุยุกิจึงออกมาจากบริษัทช้ากว่าที่เคย  และพอออกจากประตูมาก็พบมิโนรุยืนหน้าหงิกรออยู่แล้ว

ฟุยุกินึกอยากจะหนีออกบันไดหนีไฟ  แต่ยังไงตอนนี้ก็หนีไม่พ้นแล้ว  เมื่อพี่ชายซึ่งเป็นจุดรวมสายตาของพนักงานสาวทั้งหลายก้าวฉับ ๆ ตรงดิ่งมาหาเขา

“ฟุ...ยุ...กิ...”  มิโนรุยิ้ม  แต่เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะฆ่าคนได้สักสองสามคน

เด็กหนุ่มไม่มีทางหนี  นอกจากยิ้มสู้

“ฮะ...ฮะ ๆ...พี่...”

“ช่าย  ฉันเป็นพี่แก...เพราะฉะนั้น  ขึ้นรถไปบ้านคุณพ่อด้วยกันเสียดี ๆ”

ไม่พูดเปล่ายังคว้ามือฟุยุกิลากตามไปด้วย

“เดี๋ยว...พี่!  ทำไมต้องไปบ้านคุณพ่อด้วย?”

“ก็คุณพ่อโทรมาบอกให้พาแกไปที่บ้านน่ะสิ”

“วันนี้น่ะเหรอ?  เรื่องอะไร...อ๊ะ!”

“นึกออกแล้วใช่มั้ย?  หัวหน้าแกเขาโทรไปบอกคุณพ่อแล้ว  คุณพ่อโทรมาโวยกับฉัน  เพราะเขาโทรหาแกแล้วแกไม่ยอมรับสาย”

“อะ...เอ่อ...ผมปิดมือถือไว้...”  เมื่อตอนบ่ายมีงานจัดเอกสาร  เขาเลยปิดโทรศัพท์มือถือไว้เพื่อให้มีสมาธิ  แล้วก็เลยลืมเปิดเครื่อง

“ไอ้เด็กโง่!!  ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเพิ่งบอกหัวหน้า  ให้ไปคุยกับคุณพ่อก่อน”  มิโนรุดุเอา

ฟุยุกิหุบปากเงียบ  ใช่  มิโนรุบอกอย่างนั้น  แต่เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในที่แบบนี้มากกว่านี้อีกสักนาทีเดียว  แค่ที่ต้องอยู่ไปอีกร่วมเดือนก็แย่แล้ว  ขืนให้รอปรึกษาพ่อกับพี่ชายคนโตก่อนมีหวังอกแตกตายกันพอดี

คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ตกใจตัวเอง  ไม่รู้ว่าเขามีความคิดแบบนี้ขึ้นมาในใจตั้งแต่เมื่อไร  ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาต้องยอมทนรอจนกว่าพ่อกับพี่ ๆ จะตัดสินใจให้แน่  แต่ทำไมคราวนี้เขาถึงไม่รอกันนะ...ทำไมเขาถึงคิดหักดิบเปลี่ยนแปรงสีฟันเองแบบนี้กันนะ

“บ้าจริง ๆ เลย  แทนที่จะรอคุยกันให้รู้เรื่องก่อน  ไปลาออกกะทันหันแบบนี้...นี่มันหมดช่วงรับพนักงานใหม่แล้วนะ  ทีนี้จะไปหางานที่ไหนให้ได้”  มิโนรุบ่นพลางลากน้องชายตามหลังไปด้วย

ฟุยุกิเดินตามไปเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร

“ให้ตายสิ  บริษัทอาโอยามะที่เป็นลูกค้าของเคียวยะจะพอรับพนักงานใหม่ได้มั้ยนะ...หรือว่าจะเป็นโฮริงุจิกรุ๊ปดี...”

เด็กหนุ่มกระชากมือออกจากการเกาะกุมทันที  มิโนรุหันมามองอย่างงุนงง  ฟุยุกิกอดกระเป๋าทำงานไว้แน่น

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 12 / 17-07-58
«ตอบ #36 เมื่อ17-07-2015 22:56:45 »

“ฉัน...ไม่ให้คุณพ่อฝากงานให้แล้ว”

“ว่าไงนะ?”

“ฉันไม่อยากเป็นเด็กเส้นแล้ว!”

“จะบ้าเหรอ  ยุกิ!  จะเข้าทำงานกลางภาคมันก็ต้องฝากกันแบบนี้แหละ  แล้วที่สำคัญเกรดเฉลี่ยกับประวัติการทำงานของนายน่ะ...”  พูดแล้วมิโนรุก็นึกได้ว่าไม่ควรพูด  เขารีบตะครุบปากตัวเองทันที...แต่ก็ไม่ทัน

“...มันห่วยใช่มั้ยล่ะ”  ฟุยุกิขมวดคิ้วมุ่น  “เพราะงี้คุณพ่อกับพวกพี่ถึงได้ต้องคอยเจ้ากี้เจ้าการตลอด  เพราะกลัวฉันไม่มีงานทำใช่มั้ย?”

“ยุกิ...คือ...มันก็...”

“ฉันจะไม่ทำงานที่คุณพ่อกับพวกพี่หาให้อีกแล้ว!”

พูดแล้วฟุยุกิก็กลับหลังหันเดินหนี

“เฮ้ย!  ยุกิ!  นายต้องไปบ้านก่อนนะ”  มิโนรุรีบวิ่งตามไป

“ไม่เอา  ฉันไม่ไป!”

“ต้องไป!  คุณพ่อรออยู่นะ!”  คนเป็นพี่คว้ามือไว้

“ไม่ไป!  ถ้าไปเดี๋ยวคุณพ่อก็จับยัดเข้าบริษัทอะไรสักแห่งอีกจนได้แหละ  ไม่เอาหรอก!!”  ฟุยุกิพยายามดึงมือออก

“ต้องไป!!”

“ไม่ไป!!”

แน่นอนกว่าการยื้อกันนั้นจะต้องเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่ยังเดินไปมาอยู่บนทางเท้า  แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองที่โต้เถียงกันอยู่มีเค้าหน้าคล้ายคลึงกันก็เลิกสนใจ

...แต่คนที่มองมาจากอีกฟากถนนไม่ได้เห็นชัดขนาดนั้น...

นัตสึเมะปิดร้านตอนบ่ายเมื่อพบว่าน้ำตาลกรวดหมด  ความจริงมันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหนาหรอก  เพียงแต่วันนี้ลูกค้าน้อยและเขารู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยแจ่มใสเลยหาเรื่องออกมาเดินเล่นหน่อยเท่านั้นเอง  เขาซื้อของที่ต้องการได้แล้วและกำลังเดินกลับไปที่ร้าน  ระหว่างทางก็เห็นฟุยุกิ...

...ฟุยุกิกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งฉุดกระชากไปขึ้นรถ...!?

วินาทีนั้นเหมือนเส้นอะไรในสมองของนัตสึเมะขาดผึง  เขากระโจนข้ามรั้วกั้นและวิ่งข้ามถนนไปแบบลืมดูไฟเขียวไฟแดง  ตรงปรี่ไปยังสองคนที่กำลังโต้เถียงกันอยู่

ชายหนุ่มคว้ามือชายคนนั้นไว้แล้วดึงออกจากมือฟุยุกิ

“พอได้แล้วครับ”

มิโนรุหันไปมองผู้มาห้ามด้วยความงุนงง

“เอ๊ะ?  อะ...คุณ...!?”

“นัตสึเมะซัง!?”  ฟุยุกิอุทานออกมา

“เด็กเขาไม่เต็มใจไม่ใช่หรือไงครับ”

นัตสึเมะพูดด้วยสายตาคมกริบ  แล้วก็รีบคว้าข้อมือฟุยุกิลากให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ!  นะ...นัตสึเมะซัง!  คือ...”

นัตสึเมะได้ยินเสียงที่เหมือนพยายามจะห้ามหรืออธิบายอะไรบางอย่างของฟุยุกิ  แต่เขาไม่สนใจจะฟัง  ในใจมันพลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกบางอย่าง  เขาก้าวยาว ๆ ฝ่าฝูงชนไปด้วยความเร็วขนาดที่ฟุยุกิแทบจะต้องวิ่งตาม

เด็กหนุ่มตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนตั้งตัวไม่ทันนั้น  เขาแค่กำลังทะเลาะกับมิโนรุ  แล้วอยู่ ๆ คนที่เขาพยายามหลบหน้ามานานก็เข้ามาแทรกและพาเขาหนีมา  มือใหญ่จับข้อมือเขาไว้ไม่ปล่อยจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนจากอุ้งมือนั้น  เขาพยายามจะบอกแต่ดูเหมือนนัตสึเมะจะไม่ฟัง  ในที่สุดก็ได้แต่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังไป...จนกระทั่งถึงร้านกาแฟ

แล้วนัตสึเมะก็ปล่อยมือฟุยุกิเพื่อไขกุญแจเปิดร้าน  ก่อนจะหันมาดึงตัวเด็กหนุ่มเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว

“นัตสึเมะซั...!!?”

เสียงกระดิ่งที่ประตูร้านยังไม่ทันจาง  ฟุยุกิก็ถูกคว้าไปกอดไว้แน่น

...ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก...คือคำที่เหมาะกับฟุยุกิในตอนนี้ที่สุด  เด็กหนุ่มปล่อยกระเป๋าทำงานร่วงหลุดมือ  ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดนั้น  เสียงลมหายใจถี่แรงก้องอยู่ข้างหู  อ้อมแขนกระชับรั้งร่างของเขาแนบแน่นจนรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนของหัวใจที่เต้นระรัว...ว่าแต่...เป็นเสียงหัวใจของใครกัน?  เพราะเหนื่อยจากการเดินรวดเดียวจากที่ทำงานของเขามาจนถึงที่นี่งั้นหรือ  หรือเพราะความรู้สึกอย่างอื่น...ฟุยุกิรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว  ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัว...แทบจะไม่กล้าหายใจเสียด้วยซ้ำ
แล้วก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำกระซิบเบา ๆ

“...ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”

ความเครียดเกร็งที่เกิดขึ้นผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว  เด็กหนุ่มถอนใจยาว...ใบหน้าที่ร้อนผ่าวอยู่แล้วยิ่งร้อนหนักเข้าไปใหญ่  ฟุยุกิรู้สึกแปลกประหลาด...ทั้งอยากร้องไห้...ทั้งอยากหัวเราะ...แต่เมื่อไม่รู้จะทำอะไรได้  ก็ซุกหน้าลงกับอกกว้าง

อกของนัตสึเมะกรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟหอมสดชื่น  กลิ่นที่ทำให้สบายใจ...กลิ่นของร้านนี้ที่โอบล้อมเขาไว้อย่างอบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ

ทั้งสองนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง  แล้วนัตสึเมะก็ตบหลังฟุยุกิเบา ๆ ก่อนจะผละออก

“หายตกใจแล้วนะครับ”

เด็กหนุ่มยืนจ้องหน้าร่างสูงนิ่ง ๆ  ถ้าใบหน้ามันจะร้อนไปกว่านี้ได้มันคงร้อนไปแล้ว  แต่นี่คงถึงขีดสุดของมัน  ความร้อนนั้นเลยส่งผลให้เวียนหัวขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน  ฟุยุกิเข่าอ่อนทรุดหงายไปข้างหลัง

“ฟุยุกิคุง!!?”  นัตสึเมะคว้าตัวเด็กหนุ่มไว้ได้ทันพอดี

“.........”  ฟุยุกิพูดออกมาไม่เป็นภาษา...ที่พ่อบอกว่าเขาไข้ขึ้นจนพูดจาไม่รู้เรื่อง  คงเป็นแบบนี้ละมั้ง

“...นั่งก่อนครับ  นั่งก่อน”

ผู้เป็นเจ้าของร้านประคองเด็กหนุ่มไปนั่งที่โต๊ะแล้วหายเข้าไปในส่วนบ้านพัก  ฟุยุกินั่งฟุบหน้าเอาหน้าผากแนบกับโต๊ะเย็น ๆ เผื่อมันจะลดอุณหภูมิในหัวได้...แต่เหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย

แล้วนัตสึเมะก็กลับมาพร้อมกับผ้าเย็น

“เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยครับ  จะได้ดีขึ้น”

ฟุยุกิรับผ้ามาเช็ดหน้าอย่างว่าง่าย  ผ้าเย็น ๆ ทำให้อาการดีขึ้นบ้าง  แต่ก็ยังไม่กล้าสบตานัตสึเมะ

“คงตกใจมากสินะครับ  โดนลวนลามแบบนั้น...”

“ลวนลาม?”  เด็กหนุ่มหันไปมองหน้านัตสึเมะทันที  ลืมอายด้วยความงุนงง  “เปล่านี่ครับ”

“อ้าว...ก็ผู้ชายคนเมื่อกี้จะฉุดคุณขึ้นรถ...?”  ร่างสูงงงด้วย

“ไม่ได้ลวนลามครับ  เข้าใจผิดแล้ว”

“แต่คุณตกใจขนาดนั้น...”

พอเรื่องวนกลับมาที่เดิม  ฟุยุกิก็ร้อนหน้าขึ้นมาอีกครั้ง  เขารีบก้มหน้าซุกผ้าเย็นแน่น

“.........”

“...อะไรนะครับ?”  งึมงำขนาดนั้น  ต่อให้เงี่ยหูฟังก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง

“...ผมตกใจนัตสึเมะซังนั่นแหละ...”

“ผม...?”

“...อยู่ ๆ ก็...กอด...”

ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งร้านไปชั่วขณะ

นัตสึเมะยืนนิ่ง  พูดไม่ออกบอกไม่ถูก  ใช่...เมื่อกี้เขากอดฟุยุกิ  ก็ไม่ใช่ไม่เคยกอด...แต่ทำไมถึงกอด  ทำไมถึงลากฟุยุกิมาที่ร้าน...แล้วกอด...กอดทำไม  มีเหตุผลอะไร...คำถามวนเวียนอยู่ในสมอง  แต่ไม่มีคำตอบ  เมื่อกี้เขาทำไปด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ ไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดเลยสักนิด  ทันทีที่เห็นฟุยุกิกับผู้ชายคนนั้นร่างกายก็ขยับไปเอง...ว่าแต่...สัญชาตญาณอะไร...?

ยังไม่ทันจะได้คำตอบ  เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านก็ดังขึ้น  นัตสึเมะขยับปากไปโดยอัตโนมัติ

“ยินดีต้อนรับครั...”

“ฟุยุกิ!!”

ผู้ที่พรวดพราดเข้ามาในร้านคือผู้ชายคนเมื่อกี้  ตามหลังมาด้วยคิริฮาระซึ่งไม่รู้มาด้วยกันได้อย่างไร  และทันทีที่เข้ามา  ชายคนนั้นก็รีบปรี่เข้าไปหาฟุยุกิทันที

“ยุกิ!  ไม่เป็นไรใช่มั้ย?  หมอนั่นไม่ได้ทำอะไรใช่มั้ย?  เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“...ปะ...เปล่า...”  ฟุยุกิตอบคำถามทั้งชุดนั้นได้แค่คำเดียว

“แน่ใจนะ  แล้วทำไมหน้าแดงแบบนี้?  พอดีฉันหลงทาง  หาทางมาร้านนี้ไม่เจอ  ก็เคยมาแค่หนเดียวนี่นา  งมอยู่ตั้งนานเลยมาช้าเนี่ย  แล้วเป็นอะไร  ทำไมหน้าแดง?  ไข้กลับหรือเปล่า?”  ไม่ถามเปล่ายังใช้สองมือตบ ๆ คลำ ๆ ไปทั่วตัวฟุยุกิเหมือนจะให้แน่ใจว่าไม่มีตรงไหนบุบสลาย

“เปล่า...ไม่ใช่...คือ...”  ยิ่งโดนถามแบบนั้นฟุยุกิก็ยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่

นัตสึเมะมองดูชายหนุ่มคนนั้นอย่างงง ๆ แล้วหันไปหาคิริฮาระ  คิริฮาระเหล่มองด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่าเขาก็มีคำถามอยากถามเหมือนกัน  แต่ก็อธิบายมาว่า

“คุณคนนี้เขาหลงทางแน่ะ  แบบว่าจะมาร้านนาย”

“แล้ว...?”

“แล้วฉันเดินมาพอดี  เขาก็รีบโดดมาขวางเลย  ใส่มาเป็นชุด...รู้จักร้านกาแฟนั่นใช่มั้ย  กำลังจะไปที่นั่นใช่มั้ย  หมอนั่นพาน้องผมไปแล้ว  ช่วยพาผมไปที...อะไรแบบนี้น่ะ”  คิริฮาระยักไหล่  “นายไปทำอะไรเข้าล่ะ?”

“น้อง...?”  นัตสึเมะตอบไม่ตรงคำถาม

“ก็ถ้าดูหน้าแล้ว...ก็คงน้องแหละ”  นักดนตรีหนุ่มพยักเพยิดไปทางฟุยุกิที่นั่งเอาผ้าเย็นโปะหน้ากับชายหนุ่มที่ยังคาดคั้นว่าทำไมถึงหน้าแดง

นัตสึเมะยืนนิ่ง  ในหัวเหมือนมีชินคันเซ็นสักยี่สิบขบวนวิ่งสวนกันไปมา  สีหน้าตื่น ๆ นั่นเป็นสิ่งที่คิริฮาระไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนับแต่เป็นเพื่อนกันมา

“เฮ้ย  นัตสึเมะ...นาย...?”  คิริฮาระรีบแตะแขนเพื่อนไว้

คราวนี้เป็นนัตสึเมะเองที่อยากเป็นลม  เมื่อกี้เขาทำอะไรลงไป...ชายหนุ่มยืนเท้าเคาน์เตอร์ก้มหน้านิ่ง

“เฮ้ย  ไม่เป็นไรนะ  นัตสึเมะ”

“...ขอผ้าเย็นสักผืนเถอะ...ด่วน ๆ เลย”

...

“สรุปคือ  ฟุยุกิคุงเป็นน้องชายคุณพี่สินะครับ”  คิริฮาระออกรับหน้าพร้อมรอยยิ้มคนทำงานบริการมืออาชีพ  ในขณะที่คนต้นเรื่องหนีเข้าเคาน์เตอร์ไปชงเครื่องดื่ม

“ครับ  ว่าแต่...เรียกคุณพี่เลยเรอะ...”  มิโนรุยังทำหน้าตึง  มองคิริฮาระอย่างไม่ไว้วางใจ

“ฮะ ๆ  เรียกอาริโยชิซังแล้วกันนะครับ  แต่สำหรับผม  คุณพี่ของฟุยุกิคุงก็เสมือนคุณพี่ของผมนั่นแหละครับ  ถ้ายอมให้เรียกผมก็ดีใจละครับ”  คิริฮาระยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตร  ด้วยรอยยิ้มและวิธีพูดแบบนี้เอง  เวลากลับไปรับจ๊อบพิเศษที่ท่านประธานโอโนเสะเจ้าของคลับที่คิริฮาระดูแลอยู่ขอร้องมา  ถึงได้จับลูกค้าอยู่หมัดเสมอ

และถึงมิโนรุจะเป็นทนายความผู้รอบคอบ  ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นเงื้อมมือคิริฮาระไปได้

“...ตามสะดวกเถอะ”

เสร็จคิริฮาระไปอีกหนึ่ง...

“สรุปคือฟุยุกิคุงทะเลาะกับคุณพี่อยู่  แล้วนัตสึเมะเห็นเข้าเลยเข้าใจผิดว่าโดนลวนลามอะไรแบบนี้สินะ”  นักดนตรีหนุ่มหันไปพูดกับฟุยุกิ

“...คงงั้น...แหละครับ”  เด็กหนุ่มยังก้มหน้างุด

“พี่น้องทะเลาะกันไม่ดีนะ  ว่าแต่...ทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะ?  ถามได้มั้ย?”

ความเงียบน่าอึดอัดเข้าครอบคลุมไปชั่วขณะหนึ่ง  ก่อนที่ฟุยุกิจะพูดออกมาเบา ๆ

“ผม...จะลาออกจากงานครับ...”

“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งออก  ยังไม่ได้ปรึกษาคุณพ่อกับเคียวยะเลยนะ  แล้วนี่คุณพ่อรออยู่นะเนี่ย”  มิโนรุรีบแทรกขึ้นมาทันที

“คุณพี่ใจเย็นก่อนครับ”  คิริฮาระยกมือห้ามพร้อมกับรอยยิ้มมืออาชีพ  ซึ่งก็ได้ผล  มิโนรุยอมหยุดแต่ก็หันหน้าหนีมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่พอใจ  “ทำไมถึงจะลาออกเสียล่ะ?”

ฟุยุกิดูจะลังเลนิดหน่อย  แต่ในที่สุดก็พูดออกมา

“ผมเหนื่อยน่ะครับ  ผมปรับตัวเข้ากับที่ทำงานไม่ได้  โลกที่นั่นหมุนเร็วเกินไป”

“ก็บอกแล้วไงว่าที่ไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”  มิโนรุหันกลับมาแทรกอีก  “โลกน่ะมันวิ่งไปข้างหน้า  มันไม่หยุดรอใครหรอก  เราต่างหากที่ต้องไล่ตามให้ทัน”

“ก็ฉันไล่ไม่ทันนี่  มันเหนื่อยนะ  ต้องวิ่งตามคนที่ไม่ยอมหยุดรอเราน่ะ  ฉันน่ะแค่เดินก็เหนื่อยแล้ว  จะให้มาวิ่งระยะสั้นน่ะทำไม่ได้หรอกนะ”  ฟุยุกิเถียงเหมือนจะลืมตัว

“ก็ฝึกเข้าสิ  นายเพิ่งอายุยี่สิบสาม  มีเวลาถมเถไป”

“แล้วที่พยายามมาตลอดปีกว่านี่มันได้ผลมั้ยเล่า  ของที่ไม่เหมาะมันก็คือไม่เหมาะไม่ใช่หรือไง”

“ถ้าไม่ปรับตัวแล้วจะไปทำงานที่ไหนได้  มีงานช้า ๆ ที่ไหนให้ทำหรือไงเล่า”

ก่อนที่คิริฮาระจะทันได้ห้ามสงครามระหว่างพี่น้อง  ถ้วยชาชุดสวยก็ถูกวางลงบนโต๊ะ  ทำให้เกิดการพักรบไปโดยปริยาย

“ทั้งสองคนใจเย็น ๆ นะครับ  ดื่มชากันก่อน”  นัตสึเมะนั่นเองที่เป็นทูตสันติภาพ

คิริฮาระเลิกคิ้วนิดหน่อย  นี่เป็นชุดถ้วยกาแฟเพียงหนึ่งเดียวที่เข้าชุดกันของร้านนี้  นาน ๆ ครั้งถึงจะเห็นนัตสึเมะเอาออกมาใช้สักทีหนึ่ง  ที่ให้เขาออกรับหน้าแทนอยู่พักใหญ่นี่ไปชงชาสงบสติอารมณ์มางั้นสินะ  อาการถึงได้ดูปกติดีแล้ว

“เหนื่อยใช่มั้ยครับ?  งั้นดื่มชาก่อนนะ”  ไม่พูดเปล่ายังรินน้ำชาในเหยือกใส่ถ้วยทั้งสองใบส่งให้สองพี่น้อง

ชาสีอ่อนใส  ส่งกลิ่นหอมกรุ่นที่คุ้นเคย

“ชาคาโมมายล์...”

“ครับ  อาริโยชิซังก็ลองดื่มด้วยสิครับ”  ประโยคหลังหันไปพูดกับมิโนรุ

“เป็นร้านกาแฟทำไมถึงมีชาด้วย?”  มิโนรุยังทำท่าไม่พอใจ

“ก็สำหรับลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟอย่างฟุยุกิคุงไงล่ะครับ”

แม้จะมีท่าทีเหมือนระแวดระวังอะไรบางอย่างอยู่  แต่มิโนรุก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม

“โอ๊ะ  อร่อยกว่าที่ยุกิชงอีกนี่”

“ก็ใช่สิ  หนังสือเล่มนั้นของนัตสึเมะซังนี่นา”

“ฟุยุกิคุงหัดชงชาแล้วเหรอครับ?”  เจ้าของหนังสือที่ถูกกล่าวอ้างทำหน้าดีใจ

“ครับ...ก็นิดหน่อย...ยังไม่ได้เรื่องหรอกครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ค่อย ๆ ทดลองไป  เดี๋ยวก็หาจังหวะที่เหมาะได้เอง...เติมได้ตามสะดวกนะครับ”

พูดแล้วนัตสึเมะก็วางกาน้ำชาลง  ก่อนจะเลี่ยงกลับไปในเคาน์เตอร์  คิริฮาระก็ตามไปด้วย

เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง  แต่ไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดเหมือนครั้งก่อน  สองคนพี่น้องนั่งดื่มน้ำชาพลางครุ่นคิด

“ยุกิ  พวกพี่ก็รู้นะว่าแกเป็นคนช้า  แต่ก็คิดว่าแกคงจะปรับตัวได้ถ้าพยายาม”  มิโนรุทำลายความเงียบขึ้น

“แล้วพี่ก็เห็นแล้วว่าฉันทำไม่ได้”

คนเป็นพี่ลอบถอนใจ  “แต่มันไม่มีงานที่ไหนที่จะมาเชื่องช้าอยู่ได้หรอกนะ”

“ฉันรู้...”

“แล้วนายจะไปทำงานอะไร?”

“ยังไม่รู้เลย...รู้แค่ว่าทนอยู่ไม่ได้แล้ว”

“พวกฉันก็เป็นห่วงเรื่องนี้แหละ...อย่างน้อยถ้านายรู้ว่าจะไปทำงานอะไรก็ยังดี”

ฟุยุกินิ่งเงียบ  นั่นสินะ...จะมีงานอะไรที่ให้ทำได้โดยไม่ต้องรีบเร่ง  ไม่ต้องวิ่งไล่ตามโลกให้ทัน  ไม่ต้องพยายามสุดชีวิตจนแทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่...จะมีงานอะไรให้พอได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักนิด  ได้ค่อย ๆ ฝึกฝนตัวเองไปอย่างช้า ๆ ตามจังหวะของตัวเอง  ไม่ใช่ไหลไปตามกระแสโลกอันบ้าคลั่งแบบนั้น...โลกที่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนสวนหลังบ้าน  หรือไม่ก็...

“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ”

สองพี่น้องอาริโยชิหันไปตามเสียง  แล้วก็พบนัตสึเมะยืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะ

“ฟุยุกิคุง  สนใจจะทำงานที่ร้านนี้มั้ยครับ?”

“เอ๋!!?”

ไม่ใช่แค่มิโนรุกับฟุยุกิ  แม้แต่คิริฮาระก็อุทานออกมาด้วย

“เงินเดือนอาจจะไม่มาก  แต่กินฟรีสามมื้อนะครับ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านยื่นข้อเสนออีก

“ทะ...ทำไม...?”  ฟุยุกิแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“ก็งานช้า ๆ ที่ไม่ต้องรีบวิ่งตามใคร...แค่ต้องเอาชีวิตรอดช่วงเที่ยงไปให้ได้เท่านั้นเองครับ  ระยะนี้ผมก็แก่ลงเยอะ  ตอนเที่ยง ๆ ก็อยากได้ใครมาช่วยสักคนน่ะครับ”

“ดะ...ได้เหรอครับ?”

“ถ้าสนใจ...แล้วคุณพี่กับคุณพ่อไม่ว่าอะไร  ก็ลองกลับไปคิดดูก็ได้ครับ”  นัตสึเมะยิ้ม

สำหรับฟุยุกิคงรู้สึกเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่  แต่สำหรับคิริฮาระที่นั่งดูอยู่ที่เคาน์เตอร์แล้วกลับคิดว่า...เพื่อนเราเหนือชั้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว  ถึงกับฉวยโอกาสเสียบเข้าทางญาติผู้ใหญ่เลยทีเดียว



(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ Blue

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Lock on You 12 / 17-07-58
«ตอบ #37 เมื่อ09-08-2015 01:30:02 »

 :oni2: :oni2:

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 13 / 26-08-58
«ตอบ #38 เมื่อ26-08-2015 19:59:13 »

สวัสดีครับ สบายกันดีอยู่หรือเปล่า?
ผมก็สบายตามอัตภาพครับ เดินทางเยอะนิดหน่อย เหนื่อยครับ
มาอ่านกันต่อเลยนะครับ
HAKURO_KOKURO
//////////

Lock on You 13

“นัตสึเมะซังครับ  ผมมีเรื่องอยากจะถามหน่อย”  ฟุยุกิพูดขึ้นมาขณะที่กำลังชงน้ำชาในตอนบ่ายวันหนึ่งหลังจากจบช่วงเที่ยงที่ยุ่งจนหัวหมุนไปแล้ว

“อะไรเหรอครับ?”  นัตสึเมะชะงักมือที่กำลังเก็บล้างถ้วยจาน

“เรื่องแปรงสีฟันกับยาสีฟันน่ะครับ”

“หา?”  อย่าบอกนะว่าอยากรู้ว่าเขาใช้ยี่ห้อไหนจะได้ซื้อมาใช้บ้างน่ะ

“คือ...นานมาแล้วน่ะครับ  คิริฮาระซังเคยบอกแบบเปรียบเทียบให้ผมฟังว่า  การเลือกใช้ชีวิตก็เหมือนการเลือกแปรงสีฟัน  คิริฮาระซังชอบการเล่นไวโอลินซึ่งเหมือนแปรงสีฟันที่ที่บ้านเลือกให้  แต่เปลี่ยนยาสีฟัน  คือเปลี่ยนแนวการเล่นเอง  แล้วก็บอกอีกว่านัตสึเมะซังโยนทั้งแปรงสีฟันทั้งยาสีฟันที่ทางบ้านเลือกให้ทิ้งหมดเลย  ผมเลยอยากรู้ว่านัตสึเมะซังทิ้งอะไรไปเหรอครับ?”

นัตสึเมะมองสีหน้าจริงจังของฟุยุกิ  เด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย  ดูกระฉับกระเฉงและมีความมั่นใจที่จะคิดจะถามมากขึ้น


จากวันนั้นที่เขาเสนอให้ฟุยุกิมาทำงานที่ร้าน  เวลาก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว  ในตอนแรกทางบ้านของฟุยุกิก็ไม่แน่ใจที่จะให้เด็กหนุ่มมาทำงานในร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ดูไม่มั่นคงแบบนี้  แต่เมื่อมิโนรุบอกว่าน่าจะพอเป็นไปได้  ทั้งสึโตมุและเคียวยะก็พากันมาที่ร้านเพื่อดูให้เห็นกับตา

นัตสึเมะต้อนรับครอบครัวอาริโยชิเป็นอย่างดี

“ผมแค่คิดว่าฟุยุกิคุงอาจจะไม่เหมาะกับงานที่ต้องเร่งรีบตามกระแสสังคมที่ไหลไปเร็วนักน่ะครับ  เขาน่าจะเหมาะกับงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า  ที่ร้านของผมนอกจากตอนเที่ยงแล้วก็จะมีลูกค้าทยอย ๆ กันมาเรื่อย ๆ มากกว่าน่ะครับ  ไม่ได้ต้องรีบเร่งอะไรมากนัก  จังหวะการทำงานช้า ๆ แบบนี้อาจจะเหมาะกับฟุยุกิคุงก็ได้”

“แล้วลูกค้าไม่เยอะแบบนี้  คุณจ่ายค่าแรงไหวเหรอ?”  เคียวยะชักห่วงเรื่องความมั่นคงด้านรายได้ของน้องชาย

“ก็คงไม่มากเท่าเงินเดือนพนักงานบริษัท  ไม่มีสวัสดิการหรือโบนัสอะไร  แต่มีอาหารสามมื้อนะครับ  นึกเสียว่ามาทำงานฆ่าเวลาระหว่างรอหางานที่เหมาะสมกว่านี้ก็ได้ครับ”  นัตสึเมะบอกตามตรง

“อืม...”  สึโตมุที่นั่งจิบกาแฟและนิ่งเงียบมาตลอดพยักหน้าน้อย ๆ  “ฟังดูดี  แต่ลูกชายผมจะเป็นภาระให้คุณเสียเปล่า ๆ มั้ยล่ะ?”

“ไม่หรอกครับ  ผมอยากได้คนช่วยอยู่พอดี  ตอนช่วงเที่ยงที่ลูกค้าเยอะมาก ๆ ผมก็ชักทำคนเดียวไม่ไหวแล้วละครับ  อย่างน้อยมาช่วยแค่ตอนนั้นก็ยังดีครับ”

“ทำไมถึงคิดว่าฟุยุกิจะช่วยคุณได้ล่ะ?”

นัตสึเมะยิ้มกับคำถามนี้

“ก็เขามีความตั้งใจนี่ครับ  ผมเห็นเขาพยายามเรื่องงานมาตลอด  ก็เลยคิดว่าน่าจะทำได้น่ะครับ”

คราวนี้สึโตมุหัวเราะเบา ๆ  แล้วหันไปพูดกับฟุยุกิ

“พ่อตัดสินใจให้ไม่ได้หรอก  งานที่เงินเดือนน้อยแถมสวัสดิการก็ไม่มีแบบนี้  มันขึ้นอยู่กับแกแล้ว  ฟุยุกิ  ว่าแกอยากทำหรือเปล่า?”

ฟุยุกินิ่งอึ้ง...แต่ไหนแต่ไรพ่อไม่เคยพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน  พ่อเคยแต่ชี้นิ้วสั่งและให้เขาทำตามเท่านั้น

“ส่วนตัวพี่ก็ไม่อยากให้นายทำหรอกนะ  มันดูไม่มั่นคง  แต่ถ้าคิดว่าจะสบายใจกว่า  ก็แล้วแต่นายแล้วกัน”  เคียวยะพูดขึ้นด้วย
เด็กหนุ่มมองหน้าพ่อ  พี่ชาย  แล้วหันไปมองนัตสึเมะ  ซึ่งผู้เป็นเจ้าของร้านได้แต่ยิ้ม  คนคนนี้แทบจะไม่เคยบอกให้เขาทำอะไรหรือควรทำอะไร  แค่คอยแนะนำทางที่เป็นไปได้  ซึ่งจะทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับตัวเขาเองทั้งสิ้น

แม้จะยังมีเรื่องค้างคาใจเกี่ยวกับนัตสึเมะอยู่บ้าง  แต่ฟุยุกิก็ตัดสินใจไปแล้วตั้งแต่วันที่ถูกเอ่ยชวน

“ผมอยากทำครับ”

สึโตมุกับเคียวยะมองหน้ากัน  แล้วก็พยักหน้านิด ๆ

“ก็น่าจะอย่างนั้นแหละ

“ตั้งใจทำงานก็แล้วกัน  อย่าให้เดือดร้อนคุณเจ้าของร้านเขา”

ฟุยุกิแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง  เขาคิดว่าจะถูกต่อต้านมากกว่านี้เสียอีก  ผู้เป็นพ่อยิ้มกับสีหน้าตื่น ๆ ของลูกชายคนเล็ก

“ยังไงซะ  กาแฟที่นี่ก็อร่อยนะ...เอ้า  ขอบคุณคุณเขาเสียสิ”

ฟุยุกิรีบลุกขึ้นแล้วโค้งต่ำให้นัตสึเมะ

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ  นัตสึเมะซัง!”

ผู้เป็นเจ้าของร้านยิ้ม  “ทางนี้ก็ฝากตัวด้วยนะครับ”

หลังจากเคลียร์งานที่ค้างอยู่เสร็จ  ฟุยุกิก็ออกจากงานและได้ของขวัญจากหัวหน้าเป็นสมุดจดข้อผิดพลาดเล่มใหม่ที่เขียนกำชับมาว่าอย่าให้มันเต็มเล่มเร็วนัก  แล้วก็เข้ามาทำงานที่ร้านของนัตสึเมะ

เด็กหนุ่มต้องออกจากแมนชั่นมาทำงานแต่เช้าตรู่ก่อนช่วงเวลาเร่งด่วนซึ่งเช้ากว่าปกติมาก  แต่เพราะงานที่ไม่รีบร้อนนักทำให้เหมือนมีเวลาพักระหว่างวันพอสมควรจึงไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยเท่าไร  งานที่ทำก็ทั่ว ๆ ไป  ช่วยเสิร์ฟ  เก็บโต๊ะ  ล้างจาน  ทำความสะอาดร้าน...และชงชาตามออร์เดอร์

แรก ๆ ฟุยุกิก็อิดออด  กลัวว่าจะชงได้ไม่ดีเท่าที่นัตสึเมะชง  ผู้เป็นเจ้าของร้านเลยให้ฝึกชงทุกวัน  ดังนั้นที่ร้านจึงมีเวลาน้ำชาตอนสิบโมงเช้าและบ่ายสามซึ่งทั้งเจ้าของและพนักงานจะแอบอู้งานนั่งดื่มชากันตามสบาย  แล้ววันหนึ่ง  ฟุยุกิก็สามารถชงชาตามออร์เดอร์ได้มั่นใจมากขึ้น


และตอนนี้คือเวลาน้ำชาที่ว่านั่น

ได้ยินคำอธิบายเรื่องแปรงสีฟันยาสีฟันของฟุยุกิแล้วนัตสึเมะก็ยิ้มก่อนจะล้างถ้วยต่อ

“ทิ้งหมดเลยครับ  ทั้งเรื่องเรียน  ทั้งเรื่องที่บ้าน  ทั้งบ้านด้วย”

“บ้านด้วย?”

“ครับ  ถึงได้มาอยู่ที่นี่ไง...แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น  ร้านนี้ก็เป็นร้านที่คุณพ่อซื้อให้  จะเรียกว่าทิ้งบ้านเสียทีเดียวก็ไม่ถูก  ที่ย้ายบ้านเท่านั้นเอง”

“อา...แล้ว...”  ฟุยุกินึกอยากถามต่อ  แต่ไม่แน่ใจว่าควรถามหรือไม่

“ไว้ชงชาเสร็จเรามาคุยเรื่องรายละเอียดกันนะครับ”

“ถะ...ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะครับ”

“เล่าได้สิครับ  ไม่ใช่ความลับอะไรเสียหน่อย”

ดังนั้นเมื่อนัตสึเมะล้างจานเสร็จและฟุยุกิชงชาได้ที่แล้ว  จึงจัดที่ดื่มชากันที่เคาน์เตอร์นั่นเอง

“บ้านผมเป็นนักการเมืองครับ  เริ่มเป็นมาตั้งแต่สมัยปฏิรูปประเทศเลยละมั้ง”  นัตสึเมะเริ่มต้นเล่าเรื่องให้ฟุยุกิฟัง

“นักการเมือง!?”  เด็กหนุ่มทำตาโต  มองคนเล่าหัวจรดเท้าและจากเท้าจรดหัวเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน...ดูยังไงนัตสึเมะก็ไม่มีวี่แววจะเป็นนักการเมืองได้เลยสักนิด

นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ  “รู้นะครับ  ว่าคิดอะไรอยู่...แต่ถ้าคุณเห็นพี่ชายผมคุณจะต้องทึ่งแน่  ว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ น่ะเหรอ”

“คงเหมือน ๆ ผมกับพี่เคียวยะมั้งครับ...ไม่เหมือนกันเลย”  ฟุยุกินึกเปรียบเทียบ

“ฟุยุกิคุงดูข่าวสารบ้านเมืองบ้างมั้ยครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ

“ก็ดูบ้างครับ  สมัยเรียนก็ต้องเอาข้อมูลมาทำรายงานบ้าง...”

“รู้จักอิชิกาวะ  สึคาสะมั้ยครับ?”

“เอ...ถ้าจำไม่ผิด...ที่เป็น ร.ม.ช. กระทรวงพานิชย์หรือเปล่าครับ?”

“แล้วอิชิกาวะ  อากิโตะล่ะครับ?”

“ส.ส. หน้าใหม่ไฟแรง  ดาวรุ่งของพรรค...ลูกชายของ ร.ม.ช. คนนั้นสินะครับ”

“แล้ว...อิชิกาวะ  นัตสึเมะล่ะครับ?”

“อิชิกาวะ  นัตสึเมะ...นัตสึ...เมะ...?”  ฟุยุกิคิด  ก่อนจะชะงักแล้วทำตาโต  “...ไม่จริง!!”

“จริงที่สุดครับ  นั่นพ่อกับพี่ชายผมเอง”

“...ไม่น่าเชื่อ!  ไม่เหมือนเลยสักนิดนี่ครับ!!”  ฟุยุกิโวยวาย

“ไว้วันหลังจะแต่งตัวแบบนักการเมืองให้ดูแล้วกันนะครับ...แต่ลูกค้าคงไม่เข้าร้าน”  พูดเองนึกภาพเองแล้วนัตสึเมะก็ส่ายหน้า

ฟุยุกิชักมึน  เขานึกไม่ออกเลยว่าถ้านัตสึเมะไปใส่สูทผูกเนคไท  ใส่แว่น  หวีผมเรียบ  ทำหน้าจริงจังตามแบบนักการเมืองแล้วมันจะเป็นอย่างไร...ไม่เป็นน่าจะดีกว่าจริง ๆ แหละมั้ง

“ก็อย่างนี้ละครับ  จริง ๆ ผมเองก็ควรจะต้องเป็นนักการเมืองด้วย  เพราะลูกพี่ลูกน้องคนอื่น ๆ ก็เป็นกันเกือบหมด”

“แล้ว...ทำไมถึงทิ้งมาได้ล่ะครับ?”  เด็กหนุ่มนึกสงสัย  ความจริงตระกูลเขาก็ทำงานด้านกฎหมายกันแทบทุกคน  อย่างน้อยในบ้านเขาก็เป็นนักกฎหมายทุกคน  ตัวเขาที่เป็นข้อยกเว้นก็เพราะหัวไม่ดีและเรียนไม่ได้เท่านั้นเอง  แต่นัตสึเมะดูไม่น่าจะเป็นกรณียกเว้นแบบเขานี่นา

“ผม...ไม่เคยมีความสุขกับแบบแผนของที่บ้านเลยครับ”  นัตสึเมะบอกพลางยกน้ำชาขึ้นจิบ  “ในตระกูลของผมจะมีระเบียบประมาณว่า...ลูกหลานทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาที่เหมาะสมเพื่อเป็นนักการเมืองรุ่นต่อไป  ประมาณนั้นน่ะครับ”

“การศึกษาที่เหมาะสม?”  ฟุยุกิแน่ใจว่าไม่มีหลักสูตรการเป็นนักการเมืองในระบอบการศึกษาแน่ ๆ

“อืม...แบบว่ากำหนดเกรดที่ควรจะได้ในวิชาสังคม  วิทยาศาสตร์  ประวัติศาสตร์  ภาษา  และพละนั่นแหละครับ  วิชาสายวิทย์ก็กำหนดเกรดรอง ๆ ลงไป”

“วิชาพละเกี่ยวอะไรด้วยครับ?”

“คนที่เก่งพละมักจะเป็นคนดังของโรงเรียนครับ”

...ปูทางกันตั้งแต่ในโรงเรียนเลยทีเดียว...

“แล้วก็จะต้องพยายามเป็นประธานนักเรียนหรืออย่างน้อยก็ต้องอยู่ในสภานักเรียนให้ได้”

...หนทางสู่สภาผู้แทน ฯ เริ่มที่บ้านและที่โรงเรียนสินะ...

“แล้ว...ถ้าหัวไม่ดี  เรียนไม่เอาไหนล่ะครับ?”  ฟุยุกิถาม  ในตระกูลหนึ่งมันก็ต้องมีคนไม่เอาไหนแบบเขาบ้างสิน่า  จะไปดีหมดทุกคนได้ยังไง

“ก็แบบนั้นก็ต้องพยายามเรียนให้มากที่สุด  เพื่อเป็นผู้ช่วยของคนอื่นน่ะครับ  อย่างเป็นเลขาของพ่อหรืออา”

“ฟังดูเหมือนบริษัทระบบครอบครัวเลย...”

“ก็เป็นแบบนั้นแหละครับ  แล้วผมก็ถูกกำหนดไว้ด้วยกฎเกณฑ์แบบนั้นตั้งแต่เข้าประถมเลย”  พูดแล้วนัตสึเมะก็ยิ้ม  “เมื่อก่อน...ผมก็เป็นแบบฟุยุกิคุงนี่แหละครับ”

“เอ๊ะ?”

“ทำอะไรไม่เป็น...ได้แต่เรียนไปวัน ๆ  เลิกเรียนแล้วก็ไปเรียนพิเศษ  เรียนพิเศษแล้วก็กลับมาอ่านหนังสือต่อที่บ้าน  ถ้าผลการสอบออกมาไม่ดีจะมีครูมาสอนเพิ่มให้ที่บ้านด้วย”

“...โหดกว่าของผมอีก...”  ฟุยุกิทำเสียงท้อใจ  ตัวเขาแค่ถูกจับไปเรียนพิเศษก็เหนื่อยแล้ว

“แย่มากเลยละครับ  แต่ผมก็เรียนมาได้...จะว่าไป  ผมเรียนดีกว่าอากิโตะด้วยซ้ำ”

“แล้วทำไมถึงไม่ทำต่อล่ะครับ?”

“ก็มันไม่มีความสุขนี่ครับ  ไม่ได้เที่ยวได้เล่น  เรื่องชมรมก็โดนบังคับเล่นกีฬา  เกมก็ไม่เคยเล่น  คาราโอเกะก็ไม่เคยไป  ไม่มีอะไรสนุกสักอย่างเลยครับ  แถมเพื่อนก็ไม่มีด้วย”  นัตสึเมะเล่าพลางทำท่าทีเบื่อหน่าย

“...รู้สึกเข้าใจยังไงไม่รู้”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม  จะว่าไปชีวิตเขาก็คล้าย ๆ แบบนี้

“เพิ่งมาได้มีเพื่อนก็ตอนอยู่มัธยมต้นแหละครับ  ได้เจอคิริฮาระ”

“โลกคงสดใสขึ้นเยอะนะครับ”  ก็คิริฮาระร่าเริงออกขนาดนั้นนี่นา

“เปล่าเลยครับ  เหมือนได้คนมาช่วยแชร์ความหดหู่กันมากกว่า”

“อ้าว?”

“คิริฮาระตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้หรอกครับ  หดหู่  จิตตก  มืดมน...ยังไม่เคยเจอใครหดหู่ขนาดนั้นอีกเลยครับ  ผมว่าผมแย่แล้ว  หมอนั่นแย่กว่าผมร้อยเท่า”

“นะ...นึกภาพไม่ออกเลยครับ”

“นั่นสิครับ...ไม่รู้โตมาเป็นคนแบบนี้ได้ยังไง  เมื่อก่อนถึงจะมืดมนก็น่ารักแท้ ๆ”


นัตสึเมะย้อนนึกไปถึงเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ผมสีน้ำตาลท่าทางอมทุกข์ที่ได้เจอในวันแรกที่เข้ามัธยมต้น  ถ้าเป็นปกตินัตสึเมะคงไม่เข้าไปคุยกับคนท่าทางแบบนั้นแน่  แต่เพราะได้นั่งข้าง ๆ กันจึงต้องคุยกันบ้าง  แล้วก็กลายเป็นความสนิทสนมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้  อาจเพราะเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวเหมือน ๆ กันเลยคุยถูกคอกัน  ทั้งสองกินข้าวกลางวันด้วยกันเสมอ  และก็อยู่กันแค่สองคนเสมอ  ในที่สุดคิริฮาระก็เปิดใจ...เล่าเรื่องราวปัญหาของตัวเองให้ฟังทั้งหมด

นั่นเป็นครั้งแรกที่นัตสึเมะนึกอยากปกป้องใครสักคนขึ้นมา

แต่หลังจากขึ้นมัธยมปลาย...ปัญหาก็มาเกิดขึ้นกับเขา

คิริฮาระสังเกตเห็นได้ทันทีและรีบเค้นถาม  กับเพื่อนคนนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง...ในเมื่อคิริฮาระยังเปิดใจเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง  เขาก็ต้องเล่าให้คิริฮาระฟังได้ด้วย

นัตสึเมะไม่เคยลืมสีหน้าเจ็บปวดของคิริฮาระในวันนั้น  พวกเขาได้แต่กอดและปลอบกันอยู่เงียบ ๆ  ไม่มีใครช่วยใครได้...เพราะยังอ่อนเยาว์เหลือเกิน  เพราะเป็นปัญหาที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร  ต่างก็พยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีของตน...เท่าที่พอจะคิดได้
คิริฮาระเลือกที่จะปลดปล่อย  และทิ้งตัวเองลงสู่เส้นทางที่เลวร้าย

ส่วนนัตสึเมะได้แต่เก็บทุกอย่างเงียบไว้ในใจของตัวเองตามลำพัง

ตัวเขาในตอนนั้น  ทั้งปกป้องเพื่อนไม่ได้...และจัดการกับปัญหาของตัวเองก็ไม่ได้ด้วย


“มันก็ปัญหาวัยรุ่นละครับ  ผมไม่อยากจะเดินตามรอยพ่อ  ไม่อยากเป็นนักการเมืองหรืออะไรพวกนั้น  พอคิดเรื่องนั้นมาก ๆ เข้าผลการเรียนก็ตกลง  แล้วก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย”  นัตสึเมะเลือกเล่าไปในทางอื่น...ซึ่งก็ไม่ได้โกหก  นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ชีวิตมัธยมปลายของเขามืดมนขนาดนั้น

“แล้ว...ไม่โดนดุเหรอครับ?”

“โดนสิครับ  แต่พอดีเคยเรียนดีกว่าคนอื่นมาก่อน  เลยไม่โดนลงโทษอะไรมากนัก  แค่โดนคาดโทษว่าการสอบครั้งต่อไปต้องดีกว่านี้”  นัตสึเมะยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง  “...แต่ผมไม่เห็นทางจะทำให้คะแนนมันดีได้หรอกนะครับ  เพราะตอนนั้นผมคิดมากจนไม่มีสมาธิจะเรียนเลย”

“แล้วทำยังไงล่ะฮะ?”

ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางตื่นเต้นเหมือนกำลังฟังนิทานของฟุยุกิ

“พอถึงวันหนึ่ง  มันคงถึงจุดแตกหักมั้งครับ  หลังเลิกเรียน...คิริฮาระรีบกลับบ้านไปเรียนไวโอลิน  เหลือผมอยู่คนเดียว  จริง ๆ ก็ต้องไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาต่อ  แต่วันนั้นผมไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนเลย  ไม่อยากกลับบ้านด้วย  มันรู้สึกเหมือนอยากจะไปที่ไหนสักแห่งไกล ๆ แล้วหายไปเลย  ผมก็เลยออกจากโรงเรียนแล้วเดินไปเรื่อย ๆ  เข้าซอกนั้นออกซอยนี้  ไปตามทางที่ไม่เคยรู้จักน่ะครับ”

พูดแล้วนัตสึเมะก็มองไปรอบ ๆ ร้านด้วยแววตาเหมือนจะระลึกถึง

“แล้วก็เดินมาถึงที่นี่”

“ที่ร้านนี้เหรอครับ?”

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 13 / 26-08-58
«ตอบ #39 เมื่อ26-08-2015 20:03:01 »

“ใช่ครับ  ตอนนั้นผมไม่ทันรู้ตัวหรอก  กำลังจะเดินผ่านไป  แต่คุณป้าเจ้าของร้านที่ยืนกวาดใบไม้อยู่หน้าบ้านเรียกไว้”
เสียงนั้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ

“คุณป้าพูดว่า...เจ้าหนู  ยังเด็กยังเล็กทำไมทำหน้าตาหมดอาลัยตายอยากแบบนั้น  ไม่ได้เรื่องเลย...แล้วแกก็ลากผมเข้ามาในร้านนี่แหละครับ”

“คุณป้าที่ว่านี่...เจ้าของร้านคนเก่าใช่มั้ยครับ?”

“ใช่  แกลากผมเข้ามาในร้าน  บังคับให้นั่งที่โต๊ะ  แล้วแกก็หายไปหลังเคาน์เตอร์”

“ชงอะไรมาให้ดื่มเหรอครับ?”  ฟุยุกิทำหน้าตื่นเต้นกว่าเดิม

“ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักกาแฟหรอกครับ  แต่ถ้าจำไม่ผิด...น่าจะเป็นมอคค่าใส่นมเพิ่มวิปครีมอะไรทำนองนี้แหละครับ”

“โห...”  ฟังแล้วหน้าตามันน่าจะออกมาเป็นไอศครีมเสียมากกว่า

“คุณป้าบอกให้ผมนั่งพักให้สบาย  ดื่มกาแฟให้หมด  แล้วคุณป้าก็ไปจัดการเก็บกวาดร้าน  ทิ้งผมไว้อย่างนั้นแหละ”  ชายหนุ่มมองไปทางโต๊ะข้างหน้าต่างที่ตนเคยนั่งเป็นครั้งแรก  “ตอนนั้น...รู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ  มีกลิ่นกาแฟหอม ๆ อยู่รอบตัว...สบายใจยังไงบอกไม่ถูก...แล้วกาแฟถ้วยนั้นก็อร่อยเสียด้วยสิครับ”


นัตสึเมะสมัยมัธยมปลายที่อ่อนล้ากับชีวิตและปัญหาของตัวเองเหลือเกิน  นั่งที่โต๊ะข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง  หนุ่มสาวของมหาวิทยาลัยที่ฝั่งตรงข้ามคงจะเลิกเรียนกันแล้วจึงทยอยออกจากมหาวิทยาลัย  บางส่วนก็มาที่ร้านแห่งนี้  เริ่มต้นพูดคุยกัน  เปลี่ยนบรรยากาศเงียบเหงาของร้านให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

แต่ก็เป็นบรรยากาศแปลกประหลาด  ทั้งที่มีการเคลื่อนไหว  มีการพูดคุย  และมีผู้คนมากมาย  นัตสึเมะกลับรู้สึกสงบ  ราวกับว่าโลกที่หมุนไปไม่หยุดได้ทอดฝีเท้าลงพอให้ชีวิตผ่อนคลายบ้าง  เด็กหนุ่มยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม  รสชาติหวานนุ่มนวลและหอมละมุนทำให้รู้สึกโล่งสบาย

...แล้วนัตสึเมะก็ยิ้มออกมาได้ในรอบหลายวัน...

มันสบายใจเสียจนเขาเผลอนั่งยาวจนคุณป้าจะปิดร้าน  พอรู้สึกตัวเด็กหนุ่มก็รีบตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายค่าเครื่องดื่ม

“ฟรีย่ะ”

นัตสึเมะงุนงงไปชั่วขณะ

“ก็บอกว่าฟรียังไงล่ะยะ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านย้ำอีกที

“เอ้อ...งั้น...ขอบคุณมากครับ”  เด็กหนุ่มรีบโค้งให้

คุณป้ามองหนุ่มน้อยหัวจรดเท้าก่อนจะพูดขึ้นว่า  “จะไม่ถามหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ทำหน้าซังกะตายแบบนั้น...แต่...ดีขึ้นหรือยังล่ะ?”

พอถูกถามแบบนั้น  นัตสึเมะก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขายังนึกอยากจะหายไปจากโลกนี้อยู่เลย  แต่ระหว่างที่นั่งอยู่ในร้านนี้ความคิดพวกนั้นก็หายไปหมดแล้ว

“ก็...ดีขึ้นแล้วครับ”

“ก็ดี”  คุณป้ายกมุมปากขึ้นยิ้มนิด ๆ  “ไปดีมาดีล่ะ  ถ้าเหนื่อยเมื่อไรก็แวะมาที่นี่ได้นะ  มาพักเสียให้หายเหนื่อย  ฉันอยู่เสมอแหละ  ยกเว้นวันพุธ”

เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดแบบนี้กับนัตสึเมะ  เขารีบขอบคุณคุณป้าแล้วก็กลับบ้าน


“แล้วหลังจากวันนั้นผมก็เริ่มโดดเรียนพิเศษ  แวะเวียนมาที่ร้านนี้เป็นประจำน่ะครับ”  นัตสึเมะยกถ้วยชาขึ้นดื่มอีกก่อนจะรินชาในกาเติมให้ฟุยุกิ

“ไม่โดนดุเหรอครับ?”  เด็กหนุ่มถามพลางกุลีกุจอรินชาให้นัตสึเมะด้วย

“แรก ๆ ก็ไม่โดนหรอกครับ  ไม่มีใครรู้ว่าผมโดดเรียนพิเศษน่ะ...แต่หลังจากนั้นไม่นาน  ลูกพี่ลูกน้องที่เรียนพิเศษที่เดียวกันก็จับได้  แล้วเอาไปฟ้องพ่อผม...โดนเทศน์เสียยาวเลยครับ”

“หวา...ขี้ฟ้อง”  ฟุยุกิทำหน้าเบ้

“ก็นิดหน่อยครับ  ลูกหลานบ้านนี้ต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่  ถ้ารู้ว่าใครทำผิดกฎอะไรต้องรีบบอกผู้ใหญ่...ประมาณนั้นแหละครับ”  นัตสึเมะไม่ได้กล่าวโทษญาติตัวเอง  แต่ส่ายหน้านิด ๆ เหมือนจะเอือมระอาความเป็นไปในตระกูล  “ทีนี้...โดนเทศน์แล้ว  ผมเลยกลับไปตั้งใจเรียนพิเศษ  แต่ก็ไม่ได้นานหรอกครับ  มันได้รู้จักความสบายใจแล้วนี่  ผมก็เลยโดดเรียนอีก  แล้วก็โดนตัดค่าขนม”

“อ้าว  แล้วทำยังไงล่ะครับ?”

“ให้ทายครับ”

“อืม...”  ฟุยุกินิ่งคิด  นึกถึงเรื่องที่นัตสึเมะเคยเล่า ๆ ให้ฟัง  “...นัตสึเมะซังขอคุณป้าทำงานพิเศษใช่มั้ยครับ?”

“ปิ๊งป่อง  ถูกต้องครับ  เอารางวัลไป”  พูดแล้วชายหนุ่มก็หันไปหยิบลูกอมจากขวดโหลที่เอาไว้แถมให้ลูกค้ามาให้ฟุยุกิเม็ดหนึ่ง

“แหะ ๆ...”  ถึงจะเป็นของในร้านที่ไม่ได้มีค่าอะไรเลย  แต่ฟุยุกิก็รับมาใส่กระเป๋าพลางทำหน้าเขิน ๆ

“คุณป้าก็ไม่ได้อยากรับผมไว้ทำงานนักหรอกครับ  แต่แกก็ยอมอยู่ดี”


นัตสึเมะยังจำสีหน้าคุณป้าในวันนั้นได้ดี

“...เฮอะ  เด็กไม่ดี  โดดเรียนแล้วยังมีหน้ามาขอเขาทำงานพิเศษอีก”  คุณป้าปรายตามองนัตสึเมะหัวจรดเท้าเหมือนที่ชอบทำบ่อย ๆ  “แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าเรียนพิเศษไปมันจะได้อะไรขึ้นมา  ถ้าแค่เรียนในโรงเรียนแล้วยังไม่พอ  ระบบการศึกษามันคงห่วยจนเอาไม่ได้แล้วละ  มีแต่พวกที่ห่วยไม่เอาไหนนั่นแหละที่ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม”

“ผมเรียนดีนะครับ”  นัตสึเมะเถียง

“เออ  ถ้าเรียนดีแล้วจะไปเรียนพิเศษทำไมก็ไม่รู้  พ่อแม่สมัยนี้นี่คิดอะไรก็ไม่รู้...เอาเถอะ  อยากทำก็ทำ  บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่มีเงินให้มากนัก  แล้วถ้าทำอะไรผิดละก็ฉันหักเงินจริง ๆ ด้วย”

“ขอบคุณมากครับ  คุณป้า!”

ตั้งแต่เกิดมา  นัตสึเมะเพิ่งรู้จักคำว่าดีใจจนออกนอกหน้าวันนั้นเอง


“แล้วผมก็เลิกเรียนพิเศษไปเลย”

“ไม่โดนดุแย่เลยเหรอครับ?”

“จะเหลือเหรอครับ”  นัตสึเมะพูดพลางหัวเราะเสียงดัง  “อย่าว่าแต่คุณพ่อเลย  ไล่ไปตั้งแต่โดนอากิโตะด่า  โดนคุณพ่อดุ  จนถึงขั้นโดนคุณปู่เรียกตัวไปพบเลยนะครับ”

ฟุยุกิทำหน้าสยดสยอง...ถ้าเขาโดนแบบนั้นต้องตายแน่เลย

“ก็ไม่รู้ทำไม...ทั้งที่เคยเป็นเด็กดีมาตลอด  แต่ผมกลับนั่งฟังเฉย ๆ แล้วก็ยืนยันว่าผมตัดสินใจแล้ว  ว่าผมจะไม่เป็นนักการเมืองเด็ดขาด  ไม่ว่าจะนักการเมืองระดับประเทศหรือนักการเมืองท้องถิ่น  ผมไม่อยากอยู่ในระบบของตระกูลอีกแล้ว”  นัตสึเมะยิ้มน้อย ๆ  “...อึ้งไปทั้งบ้านเลยละครับ”

ฟุยุกิก็อึ้ง...นี่สินะที่คิริฮาระบอกว่าทิ้งหมดทั้งแปรงสีฟันทั้งยาสีฟัน  นัตสึเมะเอาความกล้าจากไหนมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองกันนะ  เพราะกาแฟแค่ถ้วยเดียวนั่นน่ะเหรอ?

“มีคำถามสินะครับ”  ชายหนุ่มยิ้ม

“...ทำไม...นัตสึเมะซังถึงกล้าล่ะครับ?  แบบนี้...จะโดนตัดออกจากกองมรดกก็ไม่แปลกเลยนะครับ”

“ผมบอกไปว่าที่บ้านมีอากิโตะที่พร้อมจะเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว  ลูกคนรองอย่างผมไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองก็ได้  แล้วผมก็เหนื่อยจากการเตรียมความพร้อมนี่เต็มที...ผมเหนื่อย  ผมเห็นคนอื่น ๆ เหนื่อย  และผมอยากทำที่พักเหนื่อยไว้รอคนอื่นบ้าง”  นัตสึเมะกวาดตามองไปรอบ ๆ ร้านของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ  “แต่ญาติพี่น้องของผมคงไม่ค่อยเหนื่อยกัน  เลยไม่ค่อยมีใครแวะมาพัก  นอกจากอากิโตะที่มาแทบทุกเดือน”

“เขาอิจฉาที่นัตสึเมะซังเลือกทางของตัวเองได้  เลยไม่กล้ามากันน่ะสิครับ”

นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ  “อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้”

“...ขอโทษนะครับที่คิดแบบนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  บางทีผมก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกัน”  ชายหนุ่มมองหน้าฟุยุกิด้วยสายตาอ่อนโยน  “...ผมเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน  เลยเข้าใจความรู้สึกของคุณ  บางครั้ง...คนเราก็ต้องการที่พักเหนื่อยกันบ้าง”

ฟุยุกิมองตอบดวงตาคู่นั้น  อย่างนี้เองสินะ...นัตสึเมะถึงได้เข้าใจเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากัน  และเพราะเข้าใจถึงได้ไม่เคยถามอะไรเลย  ไม่เคยตำหนิไม่ว่าจะทำงานผิดพลาดหรือเล่าเรื่องแย่ ๆ ซ้ำ ๆ ให้ฟังสักกี่หน  เพราะนัตสึเมะเคยผ่านตรงจุดนั้นมาแล้ว  และรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไร...การรับฟังคือสิ่งที่คนที่กำลังอ่อนล้าต้องการที่สุด

“แล้ว...นัตสึเมะซังมาเป็นเจ้าของร้านได้ยังไงล่ะครับ?”

“ก็เพราะคุณป้าจะเลิกขายและผมจะตกงานไงล่ะครับ”  นัตสึเมะพูดง่าย ๆ

“อ้าว...?”

“คุณป้าน่ะ...ผมเรียกคุณป้าก็ต้องแก่กว่าพ่อผมแหงอยู่แล้ว  ถึงจะกระฉับกระเฉงแข็งแรงแต่มีเหตุผลบางประการแทรกเข้ามา  แกเลยอยากเลิกกิจการน่ะครับ”

“ปัญหาสุขภาพเหรอครับ?”  ฟุยุกินึกถึงพ่อตน  ที่แม้จะยังคล่องแคล่วแต่ก็เริ่มมีปัญหาเจ็บนั่นปวดนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว

“เปล่าครับ...ปัญหาหัวใจ”

“เป็นโรคหัวใจเหรอครับ?”  เป็นโรคที่ไม่แปลกสำหรับผู้สูงวัยนี่นะ

“ไม่ใช่ครับ  ปัญหาหัวใจเลยละครับ...คนรักแกกลับมาขอแต่งงาน”

“หา!?”  ฟุยุกิร้องเสียงหลง

นัตสึเมะอดขำไม่ได้  ตอนนั้นเขาก็เคยร้องแบบนี้เหมือนกัน


เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่นัตสึเมะกำลังจะจบมัธยมปลาย  เขาทำงานที่ร้านมาเกือบสามปีและชงกาแฟเป็นหมดทุกแบบ  คุณป้าเจ้าของร้านก็ไว้ใจให้เป็นตัวตายตัวแทนได้แล้ว  มีช่วงหนึ่งที่คุณป้าดูไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเคย  คุยกับลูกค้าน้อยลง  ไม่ค่อยจิกกัดนัตสึเมะเท่าไรนัก  แถมบางวันยังดูเหม่อลอยอย่างประหลาด

แล้ววันหนึ่งคุณป้าก็พูดออกมาว่า

“ฉันจะเลิกทำร้านนี้เสียดีมั้ยนะ?”

“เอ๋?”  หนุ่มน้อยนัตสึเมะที่กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้อยู่ถึงกับชะงักมือ

“ฉันพูดว่าฉันจะเลิกทำร้านนี้ดีมั้ย”

“ทำไมจะเลิกซะล่ะครับ?  ลูกค้าน้อยไปเหรอ?  หรือเพราะผมมาเป็นลูกจ้างเลยขาดทุน?”  นัตสึเมะชักร้อนรน  เพราะเขาเห็นอยู่ทุกวันว่าลูกค้าที่ร้านนี้ไม่ได้เยอะขนาดที่จะต้องมีเด็กทำงานพิเศษ  ลำพังในช่วงหลังเลิกเรียนแบบนี้  คุณป้าคนเดียวก็ทำได้  จะว่าไปแล้วเขาเข้ามาเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ

“ไม่หรอก  ต่อให้มีเด็กอย่างเธอเพิ่มอีกคนก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก  ตัวฉันนี่แหละที่มีปัญหา”  คุณป้าพูดแล้วก็ถอนใจ

นัตสึเมะเห็นคุณป้าถอนใจแทบนับครั้งได้  ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงชักเป็นห่วง

“อาจจะก้าวก่ายเกินไปหน่อย  แต่คุณป้ามีปัญหาอะไรก็พูดให้ผมฟังได้นะครับ”

“เธอน่ะเอาตัวเองให้รอดเถอะย่ะ  จะจบ ม. ปลายแล้วไม่ใช่หรือไง  คิดเรื่องสอบเรื่องเรียนต่อไว้หรือยังล่ะ?”

“ถึงไม่คิด  ที่บ้านก็จัดการให้อยู่ดีละครับ  แล้วผมก็สอบได้สบาย ๆ อยู่แล้วด้วย...เอาเรื่องของคุณป้าดีกว่าครับ  ทำไมถึงจะเลิกทำร้านเสียล่ะครับ?”

คุณป้าปรายตามองเด็กทำงานพิเศษที่ยืนถือไม้ถูพื้นหัวจรดเท้าเหมือนที่ชอบทำบ่อย ๆ  ก่อนจะถอนใจยาว ๆ อีกครั้ง

“ก็เอริคน่ะสิ”

“เอริค?”  นั่นเป็นชื่อชาวต่างชาติสินะ

“เอริคเขาขอฉันแต่งงาน”

“หา!!?”

นัตสึเมะร้องลั่นร้าน  แล้วรีบตะครุบปากตัวเองเมื่อโดนสายตาคมกริบจ้องมาเหมือนดาบเสียบทะลุอก  แต่คุณป้ากลับไม่ได้ว่าอะไรแล้วหันหน้าหนี

“นั่นแหละย่ะ  เอริคเขาขอฉันแต่งงาน”

“แต่งงาน?  เอริคเป็นใครครับ?  แล้วมาขอแต่งงานอะไรเอาอายุปูนนี้?”

“เธอนี่มันชักปากดีขึ้นทุกวันแล้วนะ  ขอโทษนะยะที่แก่”

“เอ้อ...ผมไม่ได้ตั้งใจ...แต่คุณป้าอายุมากกว่าพ่อผมอีกนะครับ...แล้วขอแต่งงานน่ะนะ...”  นัตสึเมะเกาหัวแก้เก้อ

คุณป้าเงียบไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะเปิดเครื่องบดเมล็ดกาแฟและเตรียมตัวชงกาแฟ

“บ้านเกิดฉันอยู่ที่โอกินาว่า  แล้วเอริคก็เป็นทหารอเมริกันที่ประจำการอยู่ที่ฐานทัพนั่นแหละ”  คุณป้าเริ่มต้นเล่า  “แน่นอนว่าฉันไม่เคยชอบเขาเลย  คนญี่ปุ่นที่นั่นไม่ชอบทหารอเมริกันอยู่แล้ว  เรื่องมาตามตื๊อตามวอแวนี่ไม่ต้องพูดถึง...ไม่มีสาวไหนเอาทั้งนั้นแหละ”

มือที่คล่องแคล่วตวงผงกาแฟใส่โฮลเดอร์  “แต่ฉันทำงานที่คาเฟ่ใกล้ ๆ บ้าน  ก็ย่อมมีพวกทหารมานั่งดื่มกินกันเป็นธรรมดา...เอริคก็เป็นหนึ่งในนั้น”

“มาจีบคุณป้าสินะครับ”

“ด่ากันทุกวันต่างหากย่ะ”  คุณป้าหัวเราะขณะที่เปิดเครื่องชงกาแฟ  “ผู้ชายบ้าอะไร  พูดมากก็เท่านั้น  หูตางี้แพรวพราวไปหมด  ฉันก็นิสัยอย่างนี้...รู้สึกตัวอีกที  อีตานั่นก็พูดภาษาญี่ปุ่นคล่องปรื๋อ  ส่วนฉันก็ด่าเป็นภาษาอังกฤษไฟแลบแล้ว”

...ฟังดูก็สมกับเป็นคุณป้าดีนะ...

“...แล้วเขาก็ปลดประจำการจากโอกินาว่า  ย้ายไปที่อื่น”  มอคค่าร้อนหอมกรุ่นด้วยกลิ่นกาแฟเจือกลิ่นโกโก้ถูกวางลงบนเคาน์เตอร์ตรงหน้านัตสึเมะ  “...แต่เราก็ยังติดต่อกันทางจดหมายอยู่เรื่อย ๆ”

นัตสึเมะเอ่ยขอบคุณแล้วรับกาแฟมา

“จากนั้นไม่นาน  ฉันก็แต่งงานกับลูกชายเจ้าของคาเฟ่  แล้วย้ายตามสามีมาจนถึงโตเกียวนี่แหละ”

“แล้วคุณเอริคล่ะครับ?”

“ทางนั้นก็แต่งงานเหมือนกัน  มีลูกสักโขยงได้มั้ง  ในจดหมายบอกว่าจะตั้งทีมฟุตบอลหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ”  คุณป้าหัวเราะน้อย ๆ พลางชงกาแฟสำหรับตัวเอง  “ส่วนฉันก็อย่างที่เห็น  หลังจากตั้งตัวทำร้านนี้ได้ไม่นาน...อีตาสุดที่รักก็ชิงไปสวรรค์เสียก่อน  ฉันเลยต้องทำร้านนี้มาตามลำพังคนเดียวนี่แหละ”

“...ผมนึกว่าคุณป้ายังโสดสนิทเสียอีก”

“ผู้หญิงอย่างฉันมีเสน่ห์กับผู้ชายนะยะ  ขนาดเธอยังหลงมาเป็นลูกจ้างเลยไม่ใช่หรือไง”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น  คุณเอริคถึงมาขอคุณป้าแต่งงานเอาป่านนี้ล่ะครับ?”  นัตสึเมะรีบเปลี่ยนเรื่อง  โดนหาว่าหลงเสน่ห์สาวที่แก่กว่าพ่อตัวเองนี่...รับไม่ได้นะ

“ภรรยาเขาเสียแล้วน่ะสิ  ลูกเต้าก็แยกกันไปทำทีมฟุตบอลของตัวเองกันหมดแล้ว  ก็คงจะเหงาละมั้ง”

“แค่นั้นน่ะเหรอครับ?”

“ไม่รู้สิ  เขาเขียนมาว่าอยากมาอยู่ที่โอกินาว่าด้วยกันน่ะ...เขียนมาเป็นภาษาญี่ปุ่น...เอริคเขียนจดหมายถึงฉันเป็นภาษาญี่ปุ่นมาตลอดเลย”

นัตสึเมะพยักหน้า...แบบนี้แปลว่าคุณเอริคคนนั้นไม่เคยลืมคุณป้าเลยสินะ  ถ้าถึงขนาดเขียนจดหมายเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ละก็...เขาจะต้องไม่เคยลืมคุณป้าเลยแน่ ๆ

“...โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว  สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว...ถึงเราจะแต่งงานกันตอนนี้  ก็คงไม่มีใครคัดค้านสินะ”  คุณป้าพูดเบา ๆ เหมือนจะรำพึงกับตัวเอง

แวบหนึ่ง...นัตสึเมะเหมือนเห็นคุณป้ากลับเป็นสาวน้อยอีกครั้ง  เรื่องของคุณป้าเหมือนกับนิยาย...แต่ไม่มีใครคัดค้านหรอก...จริง ๆ นะ


“แล้วคุณป้าก็เลิกทำร้านนี้และกลับไปโอกินาว่า  ไปอยู่กับคุณเอริคนั่นแหละครับ”  นัตสึเมะดื่มชาอึกสุดท้าย  “...แล้วผมที่กำลังจะจบ ม. ปลายก็ตกงาน”

“โห...”

“แล้วจะด้วยอะไรดลใจผมก็ไม่แน่ใจ  ผมไปขอให้คุณพ่อซื้อร้านนี้ให้เพื่อทำร้านกาแฟต่อ”

“คุณพ่อไม่ว่าอะไรเหรอครับ?”

“ว่าครับ  แต่ผมให้เหตุผลเดิม...ร้านนี้เคยเป็นที่พักใจในตอนที่ผมเหนื่อยที่สุด  ผมอยากเก็บมันไว้เผื่อใครสักคนจะใช้มันเป็นที่พักใจบ้าง...คุณพ่อก็เลยยอม”  นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ  “คุณพ่อซื้อให้ก็จริง  แต่ผมต้องผ่อนบ้านกับคุณพ่อนะครับ”

“...เพิ่งจบ ม. ปลาย...ไม่ลำบากแย่เหรอครับ?”

“ลำบากมากครับ  แต่ผมโชคดีที่ได้ลูกค้าเก่าของคุณป้าช่วยไว้เยอะ  ทุกคนยังแวะเวียนมาอยู่เสมอ  คอยให้คำแนะนำคอยดูแลต่าง ๆ นานา  ได้รับความเอ็นดูเยอะเลยละครับ...แล้วความรู้ที่โดนบังคับให้เรียนมาก็ช่วยได้มาก...ไม่มีอะไรเสียเปล่าหรอกครับ”

ฟุยุกินึกศรัทธาในตัวนัตสึเมะ  สีหน้าเวลาที่เขาพูดถึงร้านของคุณป้าที่เก็บรักษามาได้ด้วยมือของตัวเองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ  ดวงตาเป็นประกายด้วยความรู้สึกมากมาย...ที่พักใจที่อบอุ่นและอ่อนโยนแห่งนี้ถูกสร้างออกมาจากบุคลิกของเขาคนนี้สินะ

สง่างาม...เป็นความสง่างามคนละแบบกับที่ฟุยุกิรู้สึกกับคิริฮาระที่อยู่บนเวทีคอนเสิร์ต  ผู้ที่ใช้ชีวิตยืนหยัดได้ด้วยสองขาของตัวเองมีความสง่างามเช่นนี้เอง

คิริฮาระงามสง่าและร้อนแรงเหมือนดวงตะวัน

ส่วนนัตสึเมะก็สง่างามและอ่อนโยนเหมือนดวงจันทร์

ฟุยุกิคิด...สักวัน...เขาจะสามารถเติบโตขึ้นอย่างน่าภาคภูมิใจแบบนี้ได้ไหมนะ...

“ไม่มีอะไรเสียเปล่าจริง ๆ...”

เสียงของนัตสึเมะดึงฟุยุกิกลับมาจากห้วงความคิด

“การเก็บที่พักใจแห่งนี้ไว้  ทำให้ผมได้พบกับฟุยุกิคุง...ไม่มีความยากลำบากอะไรเสียเปล่าเลยครับ”

ดวงตาที่มองมาและรอยยิ้มนั้นช่างแสนอ่อนโยน  ฟุยุกิได้แต่ก้มหน้าที่ร้อนผ่าวหลบตา  ไม่รู้จะพูดคำใดออกไปได้นอกจาก...

“ขอบคุณครับ  นัตสึเมะซัง...”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Lock on You 13 / 26-08-58
« ตอบ #39 เมื่อ: 26-08-2015 20:03:01 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Lock on You 13 / 26-08-58
«ตอบ #40 เมื่อ26-08-2015 22:50:01 »

ได้อ่านแล้ว

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 14 / 30-09-58
«ตอบ #41 เมื่อ30-09-2015 12:38:17 »

สวัสดี...เดือนละครั้งมั้งครับ
จริงๆกะว่าจะรวมเล่มเรื่องนี้กับ All I want ไปขายงาน Y สิ้นปี ไม่รู้จะมีใครซื้อไหม ฮะๆๆ
ยังไงก็มาอ่านกันต่อนะครับ
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามนะครับ
HAKURO_KOKURO
++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 14

ฝนต้นฤดูร้อนแวะเวียนมาเยือนร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งนี้อีกครั้ง  อาจิไซที่เจ้าของร้านเอากิ่งไปจิ้ม ๆ ทิ้งไว้ในกระบะซีเมนต์สำหรับปลูกไม้ประดับหน้าร้านผลิดอกให้ชมเป็นครั้งแรก  ฝนตกในเมืองทำให้จิตใจคนห่อเหี่ยว  แต่ดอกไม้สีม่วงอมฟ้ากลับสยายกลีบเล่นน้ำฝนอย่างร่าเริง  เวลาในร้านกาแฟที่เงียบเหงาเสมอยามฝนตกยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า

“ฟุยุกิคุงชงชาเก่งแล้วนะครับเนี่ย”  คิโยฮารุเอ่ยปากชมหลังจากได้ลิ้มลองเอิร์ลเกรย์นม

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ  อาจารย์  ชมเกินไปแล้ว”  เด็กหนุ่มก้มหน้างุดท่าทางเขินอาย

“แต่อร่อยจริง ๆ นะ  ฝีมือดีขึ้นเยอะเลย”

ฟุยุกิได้แต่เกาหัวแก้เก้อ...ไม่เคยถูกชมขนาดนี้มาก่อนก็เลยไม่ค่อยชิน

“ลาเต้ของผมเป็นหม้ายเสียแล้วสิ”  นัตสึเมะแซวมาจากหลังเคานท์เตอร์  “หมู่นี้ดื่มแต่ชาของฟุยุกิคุงนะครับ  คิโยฮารุคุง”

“แหม...ก็เปลี่ยนบรรยากาศบ้างสิครับ  ตอนเช้าดื่มลาเต้  ตอนบ่ายดื่มชาอะไรแบบนี้”

“เอ่อ...อาจารย์”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม  “มาที่ร้านถี่เกินไปมั้ยครับเนี่ย?”

ที่อยากถามก็คือคิโยฮารุไม่ทำงานทำการบ้างเหรอ  เขาทำตัวอย่างกับนักศึกษาที่มีเวลาว่างเหลือเฟือ  บางวันนอกจากจะมาดื่มกาแฟตอนเช้าก่อนเข้าสอนแล้ว  ตอนสาย ๆ ก็มา  ตอนเที่ยงก็มาหามื้อเที่ยงกิน  แถมตอนบ่ายก็ยังมาอีก...บางครั้งมีแวะเจอคิริฮาระก่อนกลับบ้านเสียอีก

“อย่าทำหน้าสงสัยแบบนั้นสิ  ผมก็ทำงานนะครับ”  คิโยฮารุหัวเราะ  “แต่ผมเป็นพวกชอบทำงานให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้มีเวลามาอ่านหนังสือน่ะครับ  เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว  ไม่งั้นผมก็หอบงานมาทำที่ร้านนี่แหละ”

“เก่งจังนะครับ”  ฟุยุกิรู้สึกทึ่งกับคำตอบ

“ก็ผมทำเป็นแต่อ่านกับเขียนหนังสือนี่ครับ  ตรวจงานเด็กก็คือการอ่าน  เขียนแผนการเรียนการสอนก็คือการเขียน  ของถนัดทั้งนั้นน่ะครับ”

“แล้วเวลาคุณบรรยายหน้าชั้นเนี่ยมันเป็นยังไงนะ  ผมนึกภาพไม่ออกเลย”  นัตสึเมะแทรกขึ้นมา

“ก็พูดสองคำ  เขียนบนกระดานห้าบรรทัดสิครับ  เดี๋ยวพอจะลบกระดานรอบหนึ่ง  เด็ก ๆ มันตกใจก็รีบจดกันเองแหละ”  หนอนหนังสือที่ผันตัวเองมาเป็นอาจารย์หัวเราะอีก  “นัตสึเมะซังลองไปเข้าคลาสมั้ยล่ะครับ  พุธนี้ผมมีสอนพอดี  คุณก็ว่างด้วยนี่”

“ไม่ไหวละครับ”  นัตสึเมะยกมือยอมแพ้  “ผมไม่ได้ยุ่งกับเรื่องเรียนมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว”

บทสนทนาเป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อยท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำ ๆ ลงมาไม่หยุด  ฟุยุกิรู้สึกเป็นกันเองกับคิโยฮารุมากขึ้นเรื่อย ๆ  ก็อย่างที่ว่า...ชายหนุ่มมาเป็นขาประจำที่ร้านนี้ประหนึ่งใช้ร้านเป็นห้องพักครู  บางครั้งก็มีนักศึกษาตามมาปรึกษางานถึงที่ร้านด้วย  แล้วคิโยฮารุก็จะเลี้ยงทุกคนที่มาหาเขา...จนบางทีฟุยุกิก็คิดว่าที่พวกนักศึกษามาหาคิโยฮารุถึงที่นี่เพราะอยากกินของฟรีหรือเปล่า

หลังจากที่ฟุยุกิผ่านการอกหักครั้งแรกจนทำใจได้และตัดสินใจลาออกจากงานแล้ว  เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  มุมมองที่มองโลกก็เปลี่ยนไป  และความรู้สึกที่มีต่อคิโยฮารุก็เปลี่ยนไป...เมื่อได้ใจเย็น ๆ และทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ  แล้ว  จากที่รู้สึกว่าคิโยฮารุเป็นผู้ที่มาแย่งแสงตะวันไปจากเขา  ก็กลับรู้สึกชื่นชมในความรักที่มั่นคงของเขากับคิริฮาระ  และเมื่อได้คุ้นเคยกับคิโยฮารุมากขึ้น  ก็รู้สึกได้ว่าคิโยฮารุเป็นกันเองและเป็นคนน่ารักน่าคบมากคนหนึ่ง  พอรู้ว่าเขาเริ่มรับออร์เดอร์ชงชา  คิโยฮารุก็เปลี่ยนเครื่องดื่มมื้อบ่ายจากลาเต้ที่รักกันมานานเป็นชาตามใจคนชงทันที...ดังนั้นฟุยุกิจึงมีการบ้านจากคิโยฮารุแม้จะไม่ใช่นักศึกษาว่า  จงเตรียมน้ำชายามบ่ายให้ต่างกันทุกวัน

“โอ้...ท่าทางสนิทกันดีนะ”  เสียงของคิริฮาระดังขึ้นพร้อมเสียงกระดิ่งที่หน้าร้าน

“อ้าว  คิริฮาระ?  ทำไมวันนี้มาเร็ว  ไม่ไปเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนเหรอ?”  นัตสึเมะถามเมื่อเห็นเพื่อนรักมาผิดเวลา

“ก็กะว่าจะแวะมาหาชาดื่มแล้วค่อยไป”  พูดพลางก็วางกล่องไวโอลินลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับคิโยฮารุแบบไม่ต้องถามอะไร

“เดินวนไปวนมาเนี่ยนะ?”

“ออกกำลังกายน่า...ฟุยุกิคุง  เมนูน้ำชาวันนี้เป็นอะไร?”  ชายหนุ่มถามพลางชี้ไปที่ถ้วยของคิโยฮารุ

“เอิร์ลเกรย์ครับ  ใส่นมก็ได้  ชงเย็นก็ได้”  ฟุยุกิตอบอย่างฉะฉานผิดจากเมื่อหลายเดือนก่อนมาก

“งั้นเอาแบบร้อน  ใส่นมที่หนึ่ง”

“ได้ครับ  รอสักครู่นะครับ”  รับออร์เดอร์แล้วฟุยุกิก็เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์

นัตสึเมะอาศัยโอกาสนั้นออกมาคุยกับเพื่อนที่โต๊ะ  เพื่อปล่อยให้ฟุยุกิมีสมาธิในการชงชา

“อีกหน่อยคงไม่มีใครดื่มกาแฟของฉันแล้วสินะ  มีแต่คนดื่มชา”

“ก็อร่อยนี่ครับ”  คิโยฮารุตอบ

“ก็คนชงน่ารักนี่นา”  คิริฮาระบอก

นัตสึเมะเอานิ้วจิ้มหน้าผากคิริฮาระแรง ๆ แล้วหันไปหาคิโยฮารุ  “นี่  คิโยฮารุคุง...คิริฮาระน่ะนะ  มันเคยเลี้ยงต้อยฟุยุกิคุงตอนคุณไม่อยู่ด้วย”

“เอ๋  จริงเหรอครับ?”

“ปากโป้ง!”  นักดนตรีหนุ่มโวยวาย

“พาไปเที่ยวคามาคุระด้วยนะครับ  ไปนั่นไปนี่แทบทุกอาทิตย์เลยด้วย”  นัตสึเมะฟ้องต่อ

“หวา...นอกใจนี่”  คิโยฮารุทำท่าตกใจไปด้วย

“นัตสึเมะ!  ไหนนายบอกว่าจะไม่บอกไงเล่า”  คิริฮาระยังคงโวยวายแต่ไม่มีใครสนใจ

“นั่นแหละครับ  จัดการเลยนะครับ”

“ไม่ได้การ  ไม่ได้การ...แบบนี้ต้องลงโทษหน่อย”  คิโยฮารุตีหน้ายุ่งแล้วดื่มชาของตัวเอง

“ละ...ลงโทษอะไร?”  คิริฮาระชักระแวง

“หน้าร้อนปีนี้ต้องพาฉันไปเที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโดด้วยนะ”  คิโยฮารุพูดแล้วก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเขี้ยว...เป็นรอยยิ้มแบบที่คิริฮาระแพ้ทางมาตลอด

“อะ...เอ่อ...ก็ได้...”

นัตสึเมะแอบอมยิ้มด้วยความสะใจลึก ๆ...บังอาจมาชมเด็กของท่านนัตสึเมะซึ่ง ๆ หน้าก็ต้องโดนแบบนี้แหละ

พอตกเย็นได้เวลาเลิกงาน  คิริฮาระกับคิโยฮารุก็แยกย้ายกันกลับบ้าน  คิริฮาระมุ่งหน้าไปยังที่เล่นคอนเสิร์ตข้างถนน  ส่วนคิโยฮารุตรงกลับบ้านเพื่อไปตรวจงานนักศึกษาและอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ให้จบ

“คิริฮาระซังกับอาจารย์ซาคากิเนี่ย...ดูเป็นครอบครัวจังนะครับ”  ฟุยุกิเปรย ๆ ขึ้นมาขณะที่ล้างถ้วยชาของทั้งคู่

“เอ๊ะ?  ยังไงเหรอครับ?”  นัตสึเมะถาม...ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคู่นี้ในลักษณะนี้มาก่อน

“คือ...ไม่เหมือนแฟนหรือคนรักแบบที่เคยเห็นน่ะครับ  ไม่ต้องตัวติดกันทำกิจกรรมร่วมกันตลอดเวลา  ใครชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น...เหมือนคู่แต่งงานที่แต่งกันมาหลายปีแล้วน่ะครับ”  ฟุยุกินึกไปถึงเคียวยะกับพี่สะใภ้ที่ก็เริ่มเป็นแบบนี้เหมือนกัน  แต่ก็ยังรักกันดีอยู่

“สองคนนี้เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วละครับ  สมัยก่อนก็เรียนคนละคณะ  วิชาเรียนก็ไม่ตรงกันอยู่แล้วด้วย  แล้วคิโยฮารุคุงก็ไปอยู่เยอรมันเสียหลายปี...ก็รักกันแบบเว้นช่องว่างให้ต่างฝ่ายต่างมีความเป็นส่วนตัวละครับ”

“ดูดีนะฮะ...ผมชอบแบบนี้”  พูดแล้วฟุยุกิก็ทำงานของตัวเองต่อ

เด็กหนุ่มจะพูดมาด้วยความรู้สึกแบบไหนนัตสึเมะไม่รู้หรอก  เพียงแต่คำพูดซื่อ ๆ นั่นมันดูจริงใจและน่ารักจนอดยิ้มไม่ได้

“อยากเป็นแบบนั้นบ้างเหรอครับ?”

“เอ๊ะ?”

“อยากมีความรักแบบครอบครัวอย่างนั้นบ้างเหรอครับ?”  ชายหนุ่มถามพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

“เอ๊ะ...เอ่อ...คือ...มะ  ไม่รู้สิครับ...ผม...ผมก็ไม่เคยมีแฟน”  ฟุยุกิตกประหม่าจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหน  ได้แต่แกว่งไปมาข้างตัวเหมือนตุ๊กตาไขลาน

นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบเรือนผมดำขลับนั้นเบา ๆ

“ถ้าชอบแบบนั้นผมก็โอเคนะครับ”

“...เอ๊ะ?”

สมองใช้เวลาประมวลผลคำพูดนั้นอยู่นานกว่าจะตีความได้  ใบหน้าของฟุยุกิร้อนวาบแล้วแดงขึ้นมาทันตาเห็น

“นะ...นัต...นัตสึเมะซัง...?”

“ไม่ต้องรีบก็ได้  แต่ลองเอาไปคิดดูนะครับ”

ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะได้พูดอะไรต่อก็มีลูกค้าเข้ามาในร้าน  นัตสึเมะจึงผละไปรับลูกค้าแล้วปล่อยให้ฟุยุกิยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกอยู่คนเดียว

เวลาที่เหลือจนกระทั่งร้านปิดผ่านไปอย่างว่างเปล่า  เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง  นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าล้างถ้วยจานและเก็บกวาดร้านเสร็จไปตอนไหน  กระทั่งนัตสึเมะเดินไปล็อกประตูร้านแล้วปิดไฟนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว

ฟุยุกิถอดผ้ากันเปื้อน  แต่งตัว  หยิบข้าวของ...แล้วเดินลอย ๆ ไปที่ประตูบ้าน  โดยมีนัตสึเมะตามไปส่ง  เด็กหนุ่มเปิดประตูแล้วยืนสมองกลวงคาอยู่ตรงนั้น...นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะกล่าวคำอำลาอย่างไร  กระทั่งนัตสึเมะโน้มตัวมาจูบเบา ๆ ที่แก้ม

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ  ฟุยุกิคุง”

“ระ...ราตรีสวัสดิ์ครับ...”  เป็นคำตอบที่ออกไปโดยอัตโนมัติทั้งที่สมองยังไม่ได้ออกคำสั่ง  ดวงตากลมโตเบิกกว้างนิ่งค้างไปกับการกระทำเมื่อกี้

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”  เสียงนุ่มทุ้มบอกมาอีก

“...แล้วเจอกันครับ”

พูดแค่นั้นแล้วฟุยุกิก็กลับหลังหันเดินตัวทื่อ ๆ ออกไปเหมือนหุ่นยนต์  นัตสึเมะมองตามไปแล้วก็นึกเป็นห่วง...เขาจู่โจมเร็วเกินไปสินะ  ฟุยุกิจะไปถึงสถานีรถไฟโดยสวัสดิภาพไหมเนี่ย  แต่เมื่อเห็นฟุยุกิไปตรงทาง  เขาก็ค่อยคลายกังวล

ในตอนนั้นเอง...

“ฮั่นแน่!  พี่จ๋า!”  ร่างเล็ก ๆ โดดผลุงมาตรงหน้า

“เอิ๊ว!!  ฮารุกะ!  ตกใจหมด!!”  นัตสึเมะร้องเสียงหลง  ก่อนจะเห็นว่าเป็นใครแล้วค่อยโล่งอก

คนที่โผล่มาทำหน้าซุกซนใส่คือสาวน้อยที่เพิ่งขึ้นมัธยมปลาย...ฮารุกะ  น้องสาวของเขาเอง

“ทำอะไรอยู่จ๊ะ  พี่จ๋า?  ทำไมต้องตกใจด้วยล่ะ?”

“...เปล่า  แค่กำลังจะปิดบ้าน”  ชายหนุ่มตอบทั้งยังใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ

“เหรอ~?  แล้วคนตะกี้แฟนเหรอ?”  สาวน้อยทำเสียงล้อเลียน

“ไม่ใช่!  นี่มาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย!?”  นัตสึเมะแทบจะกัดลิ้นตัวเอง

“ก็มาทันเห็นพี่หอมแก้มคนนั้นแหละ”  ฮารุกะหัวเราะคิกคัก

“แก่แดดใหญ่แล้ว!”  ดุไปแค่แก้เก้อ  “...แล้วนี่มาทำไมป่านนี้เนี่ย?  มันมืดแล้วนะ”

“หนูมาเที่ยวกับเพื่อนน่ะ”  ฮารุกะตอบแต่ไม่ยอมสบตา...และนัตสึเมะก็สังเกตเห็น

“แล้วเพื่อน ๆ ไปไหนหมด?”

“แยกย้ายกันกลับไปหมดแล้วค่ะ”  สาวน้อยยังคงไม่สบตา

“แล้วไม่ไปเรียนพิเศษเหรอ?”  ผู้เป็นพี่ชายแกล้งตะล่อมไปเรื่อย ๆ

“หนูโดด...ค่ะ”  ฮารุกะอ้อมแอ้ม

“อืม...ไม่ดีเลยนะ  โดดเรียนน่ะพี่ไม่ว่าหรอก  แต่สองทุ่มแล้วยังมาโต๋เต๋อยู่แถวนี้  พี่ว่าไม่น่าจะดีนะ”  นัตสึเมะกอดอกแล้วเอนตัวพิงกรอบประตู  ไม่เอ่ยชวนเข้าบ้านเสียด้วยซ้ำ

ฮารุกะเอามือไพล่หลัง  เอาเท้าเขี่ยพื้นแล้วก้มหน้ามองเหมือนมีอะไรน่าสนใจอยู่ใต้เท้านั้น  ครู่หนึ่งจึงได้พูดออกไป

“หนูคิดถึงพี่จ๋าน่ะค่ะ”

ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม  “ไม่ต้องมาอ้อนเลย  พี่ไม่หลงกลหรอก”

ฮารุกะนิ่วหน้าแล้วทำแก้มป่อง  เป็นสีหน้าเวลาขัดใจแบบที่ติดนิสัยมาตั้งแต่เด็ก  เห็นแล้วคนเป็นพี่ก็อดเอ็นดูไม่ได้  แต่ก็ยังไม่ยอมใจอ่อนให้

“บอกความจริงมาเสียดี ๆ”

“...หนีออกจากบ้านค่ะ”  สาวน้อยตอบเสียงอ่อย ๆ

นัตสึเมะเลิกคิ้วขึ้นกับคำตอบนั้น  ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ

“งั้นเรอะ...หนีออกจากบ้านมาบ้านพี่งั้นเรอะ  มา...เข้ามาคุยกันให้รู้เรื่องซิ  มันเกิดอะไรขึ้นถึงหนีออกจากบ้านกัน”

ชายหนุ่มยอมหลีกทางจากหน้าประตูแล้วปล่อยให้น้องสาวเข้าบ้านมา

ฮารุกะเดินไปนั่งตรงโต๊ะกินข้าวอย่างคุ้นเคย  แต่ไหนแต่ไรมานัตสึเมะก็เป็นคนคอยดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก  เธอจำได้ว่าตอนประถม  พี่ชายคนนี้เป็นคนทำข้าวกล่องให้ด้วยซ้ำ  นัตสึเมะเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัวแล้วเริ่มต้นชงกาแฟสูตรพิเศษให้ตัวเอง

“เอาละ  ไหนว่ามาซิ  หนีออกจากบ้านเรื่องอะไร?”  นัตสึเมะเปิดฉากโดยไม่ได้หันมามอง

“คือ...”  ฮารุกะอ้อมแอ้ม  “...หนูทะเลาะกับคุณแม่น่ะค่ะ”

“ทะเลาะกับเคย์โกะซัง?”  ชายหนุ่มเลิกคิ้ว  เป็นคำตอบที่แปลก  เพราะฮารุกะค่อนข้างจะเข้ากับแม่ดี  “มันเรื่องอะไรกันล่ะ?”

“คือ...หมู่นี้คุณแม่ทำตัวน่าเบื่อค่ะ”  ฮารุกะดีดเล็บตัวเองเล่น  “เอาแต่บอกให้หนูตั้งใจเรียน  ต้องเรียนให้ได้ดี ๆ  เรียนพิเศษให้หนัก ๆ  ขยันอ่านหนังสือเยอะ ๆ  ห้ามไปเที่ยวเล่น...ทั้งที่ตัวเองก็ออกไปค้างข้างนอกบ่อย ๆ แท้ ๆ”

“อืม...ฮารุกะขึ้น ม. ปลายแล้วนี่นะ”  นัตสึเมะนึกออก  ตอนที่เขาขึ้นมัธยมปลายที่บ้านก็บอกแบบนี้เหมือนกัน  ตระกูลของเขาเป็นตระกูลที่เน้นเรื่องการเรียน  เน้นการปูพื้นฐานเพื่อไปเป็นนักการเมืองที่ยอดเยี่ยม

“ค่ะ...พอขึ้น ม. ปลายมาก็น่ารำคาญขึ้นมาเลยค่ะ  คุณพ่อบอกว่าหนูน่าจะเป็นประธานนักเรียนแบบพี่อากิโตะได้  พอได้ยินแบบนั้นคุณแม่ก็เคี่ยวใหญ่เลยค่ะ  ทั้งที่ปกติจะต้องไม่เห็นด้วยกับคุณพ่อแท้ ๆ”  สาวน้อยทอดถอนใจ

“หึ ๆ...ประธานนักเรียนเหรอ...”  ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงตอนที่พี่ชายของเขาได้เป็นประธานนักเรียน  ตอนนั้นเขากำลังเริ่มจิตตกและผลการเรียนตกต่ำลงเลยไม่ได้เข้าร่วมสภานักเรียนด้วย  ไม่อย่างนั้น...ตำแหน่งในสภาจะไปไหนเสีย  แต่อากิโตะก็มาปรึกษาเรื่องงานกับเขาอยู่บ่อย ๆ...แทบจะเรียกได้ว่าเขาเป็นประธานนักเรียนในเงามืดเลยด้วยซ้ำ

“อย่างหนูจะเป็นได้ยังไงกันคะ  ถึงหนูจะมีเพื่อนเยอะก็ใช่ว่าหนูจะทำงานอะไรแบบนั้นได้นะคะ”  ฮารุกะบ่นกระปอดกระแปด

“โดนกดดันก็เลยโดดเรียนพิเศษแล้วหนีออกจากบ้านมาว่างั้นเถอะ”  นัตสึเมะถือแก้วกาแฟของตัวเองมาที่โต๊ะพร้อมกับถ้วยโกโก้ร้อนที่ชงให้น้องสาวด้วย

“จะว่า...แบบนั้นก็ได้ค่ะ...”  เด็กสาวบอกพลางรับถ้วยโกโก้ไปพร้อมกับพึมพำขอบคุณเบา ๆ

“อืม...ก็ไม่แปลกหรอกนะ  พี่ก็เคยเป็น”

ฮารุกะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ พูดออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“พี่จ๋า...หนูว่า...คุณแม่ต้องเลี้ยงโฮสต์ไว้แน่เลยหละ...”

นัตสึเมะแทบสำลักกาแฟ  “ฮะ...โฮสต์!?”

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 14 / 30-09-58
«ตอบ #42 เมื่อ30-09-2015 12:41:24 »

“ค่ะ  ก็คุณแม่น่ะ  ชอบแต่งตัวสวย ๆ ออกจากบ้านไปตอนเย็นแล้วก็ไม่กลับมาทั้งคืนนี่คะ  หนูว่าคุณแม่ต้องไปติดโฮสต์แล้วไปกับเขาแน่เลยค่ะ”

นัตสึเมะทำหน้าปั้นยาก...ฮารุกะคาดเดาได้เกือบถูกทีเดียว  พลาดไปหน่อยตรงที่ไม่ใช่โฮสต์  แต่เป็นเจ้าของร้านกาแฟต่างหาก

“น่าเกลียดมากเลยค่ะ  นอกใจคุณพ่อแบบนั้น...แล้วยังจะมาบังคับหนูให้เป็นเด็กดีแบบนั้นแบบนี้อีก”  สาวน้อยทำหน้าบูดบึ้ง
ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก...เรื่องนี้จะให้ฮารุกะรู้ไม่ได้เด็ดขาด

“แล้วคุณแม่นะคะ  ทั้งที่ไม่เคยสอนการบ้านหรืออธิบายบทเรียนอะไรให้หนูได้เลย  แต่กลับบังคับให้หนูเรียนพิเศษ  เข้มงวดกับผลการเรียน  จู้จี้ขี้บ่นมากเลยละค่ะ”

เหมือนเขื่อนแตก  ฮารุกะพูดสิ่งที่อยากพูดออกมาไม่หยุด

นัตสึเมะไม่รู้จะว่าอย่างไร  เคย์โกะไม่ใช่คนหัวดีอะไรนัก  ที่เธอได้แต่งงานเข้ามาในตระกูลของเขาก็ด้วยเหตุบางอย่างเท่านั้น  เมื่อเจอกับระบบของตระกูลที่เน้นเรื่องการเรียนการศึกษาเป็นอย่างมาก  จึงทุ่มเทผลักดันให้ลูกสาวมีผลการเรียนที่ดีไม่น้อยหน้าใคร  เพื่อไม่ให้ญาติพี่น้องมาดูถูกลูกของเธอได้...เหมือนกับที่เธอโดนดูถูกมาแล้ว

“ทั้งที่เรียนดีไปยังไง  ก็ไม่เห็นมีใครชมนี่คะ...เรียนได้ที่หนึ่งของชั้น  ก็ไม่เห็นคุณปู่จะชมเลยนี่คะ...”  ฮารุกะพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

นัตสึเมะพยักหน้า...เขารู้อยู่แล้วว่าความพยายามของเคย์โกะไม่ค่อยเป็นผล  ตราบเท่าที่เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่คนในตระกูลยอมรับ  ลูกสาวของเธอก็ไม่เป็นที่ยอมรับไปด้วย  ในหมู่ญาติตอนนี้...เด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกับฮารุกะก็มีแต่พวกลูก ๆ ของญาติผู้พี่ของเขาซึ่งมีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น  ถ้าเทียบกับฮารุกะแล้วนับว่าเป็นคนละรุ่นกัน...เพราะฮารุกะเป็นลูกสาวของพ่อเขา  มีศักดิ์เป็นน้าของเด็กพวกนั้น...แต่ถ้าดูจากทางสายเลือดแล้วก็นับว่าเป็นสายรอง  ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับคุณปู่และลุงป้าน้าอา  ผิดกับเขาที่ถึงจะฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลแต่ก็ยังได้รับการต้อนรับอย่างดีในวันรวมญาติ

ในแง่หนึ่ง  ความกดดันของฮารุกะมีน้อยกว่าเขาเมื่อตอนอายุเท่ากัน  ไม่มีใครคาดหวังให้เธอเจริญรอยตามเส้นทางของตระกูล  ฮารุกะมีสิทธิ์เต็มที่ในการเลือกใช้ชีวิตและประกอบอาชีพตามใจโดยไม่มีใครทัดทาน  ในขณะที่ตัวเขาในตอนนั้นถูกกดดันด้วยความคาดหวังของตระกูลที่หมายจะผลิตนักการเมืองระดับประเทศขึ้นมาอีกคนหนึ่ง  แต่ในอีกแง่หนึ่ง  ฮารุกะก็ต้องทนรับแรงกดดันด้านอัธยาศัยไมตรี  ญาติ ๆ ไม่ยินดีต้อนรับเธอและแม่ของเธอ  แม้จะไปงานรวมญาติก็มีแต่ความเฉยชาให้  แม้แต่อากิโตะที่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็ยังดูเฉยเมยกับตัวตนของเธอ  มีแค่เขาเท่านั้นที่คอยดูแลเอาใจใส่แทบจะเหมือนลูกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ...แต่อย่างน้อย  พ่อก็รักฮารุกะ  พาออกงานสังคมออกหน้าออกตาเสมอ...ซึ่งพ่อแทบไม่เคยทำอย่างนั้นกับเคย์โกะเลย
นั่นทำให้ภาระเรื่องเคย์โกะมาลงที่เขา

“คุณปู่ก็ไม่เคยชมพี่...”

“เอ๋?”

“ต่อให้พี่ชงกาแฟอร่อยแค่ไหนคุณปู่ก็ไม่ดื่มหรอก”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ

“มันคนละเรื่องกันนี่คะ  หนูกำลังพูดเรื่องเรียนอยู่นะ”  ฮารุกะโวยวายเมื่อพี่ชายออกนอกประเด็น

“เหมือนกันแหละ  เพราะพี่ก็ทุ่มกับเรื่องกาแฟสุดฝีมือเหมือนที่ฮารุกะทุ่มกับเรื่องเรียนเหมือนกัน...ซึ่งคุณปู่ไม่เห็นจะชมเราสองคนเรื่องนี้เลย”

“หนูพูดเรื่องเรียนอยู่ค่า~!”  สาวน้อยโวยพลางเอื้อมมือไปตีแขนพี่ชายเพี๊ยะ ๆ

“เรื่องเรียนคุณปู่ก็ไม่ชมพี่นี่  เพราะพี่คิซาระเรียนเก่งกว่าพี่เยอะ  แล้วพี่ก็ไม่เคยเป็นประธานนักเรียนแบบอากิโตะด้วย  แถมยังจบแค่ ม. ปลายไม่ยอมเรียนต่ออีกต่างหาก  จะให้คุณปู่ชมใครสักคน...ก็เหมือนพยายามให้เป็ดขันนั่นแหละ  ยิ่งแก่แล้วต่อมชื่นชมมันคงฝ่อไปตามกาลเวลาละมั้ง...ว่าแต่  คุณพ่อชมหรือเปล่าล่ะ?”

“...ชมค่ะ”

“ก็ดีแล้วนี่  คุณพ่อชมเชียวนะ  คุณพ่อน่ะไม่เคยชมพี่กับอากิโตะเลยนะ  เอาแต่เคี่ยวไปวัน ๆ...คุณพ่อชมน่ะ  มีค่ามากกว่าคุณปู่ชมอีกนะเนี่ย”

“จริงเหรอ?”

“จริงสิ  จะโกหกทำไม  พี่เคยโกหกเราด้วยเหรอ?”

ฮารุกะนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง  “โกหกอยู่เรื่อยแหละ”

นัตสึเมะหัวเราะเสียงดัง  “ตอนไหน?”

“บอกว่ากลืนเม็ดแตงโมแล้วมันจะไปงอกในท้อง!  รู้มั้ยคะ  หนูกลัวมาตั้งนาน  เพิ่งมารู้เมื่อต้นปีนี่เองว่าพี่จ๋าโกหก”

“เอ้า!  ทำไมรู้ช้านัก?”  นัตสึเมะยิ่งขำหนักกว่าเดิม  นั่นเป็นเรื่องที่เขาหลอกเอาไว้ตั้งแต่ฮารุกะเพิ่งเข้าอนุบาลด้วยซ้ำ

“ก็ไม่รู้นี่  หนูก็กินแตงโมระวัง ๆ มาตลอด  วันนั้นเผลอกลืนเม็ดเข้าไปเลยโวยวาย  เพื่อน ๆ หัวเราะเยาะกันใหญ่เลยด้วย!”  ฮารุกะทำแก้มป่อง

“ฮะ ๆ ๆ  อันนี้ช่วยไม่ได้นะ  พี่นึกว่าที่โรงเรียนเขาจะสอนเสียอีก...แล้ว  กินข้าวกินปลามาหรือยัง?”  นัตสึเมะเปลี่ยนเรื่องพูด

“กินมาแล้วค่ะ  แต่ถ้าพี่จ๋าจะทำแซนด์วิชต้นตำรับให้หนูก็กินอีกได้”

“หึ...อยากกินก็บอกมาตรง ๆ ก็ได้”  ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วตรงไปเปิดตู้เย็น  หยิบข้าวของออกมาทำแซนด์วิชให้น้องสาวตัวดีและทำเผื่อส่วนของตัวเองด้วย

“มีการบ้านใช่มั้ย?  ทำรอไปก่อนแล้วกัน  หรือไม่ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ  ชุดนอนของพี่อยู่ในตู้  รู้ที่ใช่มั้ย?”

“รู้ค่ะ  งั้นรบกวนหน่อยนะค้า~”  ฮารุกะมีท่าทีร่าเริงขึ้นมาก  นาน ๆ ครั้งเธอถึงจะได้มาค้างที่บ้านพี่ชายเสียทีหนึ่ง

ฮารุกะหายไปครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมกับชุดนอนตัวโคร่งของพี่ชาย  เธอกลับไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวแล้วหยิบการบ้านออกมา  พร้อมกันนั้นจานแซนด์วิชก็ถูกวางลงบนโต๊ะ

“พี่จ๋า...ทำไมในตู้เสื้อผ้าของพี่มีเสื้อผ้าผู้หญิงด้วยล่ะ?”

นัตสึเมะชะงักกึก...นั่นเป็นเสื้อผ้าที่เคย์โกะเอามาทิ้งไว้และเขาไม่ได้สนใจจะเก็บ  เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาเปิดเจอ!!

“หนูรู้น้า~  ของแฟนใช่มั้ยล่ะ?”  สาวน้อยส่งสายตาล้อเลียนมา

นัตสึเมะพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติ  แต่มันช่างยากเย็น

“...จะว่างั้นก็ได้”

“ฮั่นแน่!  คนที่เห็นเมื่อเย็นใช่มั้ยคะ?  มีแฟนไม่เห็นบอกกันบ้างเลย”

“...ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”  นัตสึเมะอ้อมแอ้ม

“อ๋อ~  กำลังดูใจกันอยู่ใช่มั้ยล่ะคะ?  พี่จ๋ายังไม่คิดจะลงเอยกับใครเหรอ?  อายุป่านนี้แล้วน้า  เอ๊ะ?  หรือเป็นแฟนกับพี่คิริฮาระไปแล้ว?”

“มันจะแก่แดดเกินไปแล้วนะ!  กินข้าวแล้วทำการบ้านไปซะ  ยัยเด็กลิงนี่!”  ชายหนุ่มเอื้อมมือมาเขกกระโหลกน้องสาว  ถึงจะทำเป็นดุแก้เก้อ  แต่ก็แอบโล่งใจที่ฮารุกะเดาไปในทิศทางนั้น

...เรื่องของเขากับเคย์โกะ  ไม่อาจให้ฮารุกะรู้ได้เด็ดขาด  เขาตั้งใจจะรอให้ทุกอย่างคลี่คลายมากกว่านี้  แล้วปล่อยให้เรื่องนี้เลือนหายไปกับกาลเวลา...แต่ท่าทาง...กาลเวลาจะไม่ยอมให้เขารอมากไปกว่านี้แล้วสินะ...

...

นัตสึเมะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่มาเปิดร้านตามปกติ  เมื่อคืนฮารุกะค้างที่บ้าน  แม้จากที่นี่ไปโรงเรียนจะไกลสักหน่อยแต่ยังมีเวลาเหลือเฟือ  เขาจึงปล่อยให้น้องสาวนอนต่อไปอีกหน่อย  นัตสึเมะจัดแจงเตรียมอุปกรณ์และทำความสะอาดร้านรอลูกค้าตอนเช้า  ซึ่งมักจะแวะมาดื่มกาแฟหรือซื้อแซนด์วิชไปเป็นมื้อเช้าที่ทำงาน

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ  พี่จ๋าตื่นเช้าจัง”  ฮารุกะโผล่หน้ามาจากประตูข้างเคาน์เตอร์  ใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อย

“เราก็ตื่นเช้านี่  มากินมื้อเช้าเสียก่อน  จะได้ไปโรงเรียน”  ว่าพลางนัตสึเมะก็วางจานแซนด์วิชพร้อมกับโกโก้ร้อนให้บนเคาน์เตอร์

“ขอบคุณค่า  พี่จ๋านี่ต้องเป็นเจ้าสาวที่ดีแน่ ๆ เลย”

“ทะลึ่งละ...เด็กบ้า”

ไม่นานนักกระดิ่งที่หน้าประตูร้านก็ดังขึ้น

“...อะ...อรุณสวัสดิ์ครับ  นัตสึเมะซัง”

“อรุณสวัสดิ์ครับ  ฟุยุกิคุง”  นัตสึเมะเอ่ยทักทายลูกจ้าง  “เป็นอะไรไปครับ  หน้าหมอง ๆ?”

ฟุยุกิหลบตา  จะให้บอกได้อย่างไรว่าเมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเพราะคิดเรื่องนัตสึเมะนั่นแหละ...แล้วไหงเจ้าตัวยังมีหน้ามาถามแบบนี้โดยไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลยเล่า

“...นอนน้อยไปหน่อยครับ  เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ...”  พูดแล้วก็ก้มหน้างุด ๆ เดินตรงไปยังประตูข้างเคาน์เตอร์  แล้วก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่พอดี...มีลูกค้าแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย?

“อรุณสวัสดิ์ค่า~”

“อะ...อรุณสวัสดิ์ครับ  เอ้อ...”  ฟุยุกิออกจะงง ๆ ที่อยู่ ๆ สาวน้อยแปลกหน้าเป็นฝ่ายทักเขาก่อน

“นี่ฮารุกะ  น้องสาวของผมเองครับ”  นัตสึเมะบอก  “เมื่อคืนมาค้างที่นี่น่ะ”

“...น้องสาว?”  นัตสึเมะมีน้องสาวอายุน้อยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย  เด็กนี่เพิ่งจะเรียนมัธยมเองไม่ใช่เหรอ

“ฮารุกะ  นี่อาริโยชิ  ฟุยุกิคุง  เป็นลูกมือพี่เองน่ะ”

“ลูกมือ?  ร้านพี่จ๋านี่ยุ่งขนาดต้องมีลูกมือเลยเหรอคะ?”  ฮารุกะถามคำถามแทงใจดำทั้งเจ้าของร้านและลูกจ้าง

“...เรื่องมันยาวน่ะ”

เห็นสีหน้าของนัตสึเมะตอนนี้แล้วฟุยุกิก็ขำ  เขาเลี่ยง ๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า  ปล่อยให้สองพี่น้องโต้ตอบกันไปตามลำพัง  ในตอนที่กลับออกมาก็พอดีกับที่คิโยฮารุมาถึง

“อรุณสวัสดิ์ครับ  นัตสึเมะซัง...อ้าว  มีลูกค้าแล้ว”  คิโยฮารุรู้สึกเสียแชมป์  เพราะเขามักจะเป็นลูกค้าคนแรกของร้านนี้เสมอ

“อรุณสวัสดิ์ครับ  ไม่ใช่ลูกค้าหรอก  นี่น้องสาวผมน่ะ”

“ฮารุกะค่ะ”  สาวน้อยยิ้มหวานให้

“โอ้  คนนี้เองเหรอครับ  ได้ยินมาตั้งนาน  เพิ่งเคยเจอตัวจริงเป็นครั้งแรกนี่แหละ”  คิโยฮารุพยักหน้าหงึก ๆ  เขาเคยได้ยินทั้งนัตสึเมะและคิริฮาระพูดถึงน้องสาวคนนี้มาตั้งนานแล้ว  แต่ยังไม่เคยได้เห็นหน้าสักครั้ง  “น่ารักกว่านัตสึเมะซังนะครับ”

“อย่าให้ต้องหน้าเหมือนผมเลยครับ...”  นัตสึเมะเคยคิดว่าถ้าฮารุกะเป็นผู้ชายคงจะหน้าคล้ายเขากับอากิโตะเหมือนกัน  แต่เพราะเป็นผู้หญิงเลยได้แม่มามาก  หน้าออกไปคล้ายเคย์โกะเสียมากกว่า

“ล้อเล่นน่า...เช้านี้เอาลาเต้อย่างเดียวแล้วกันครับ  เมื่อเช้ายูคุงทำมื้อเช้าให้กินไปแล้วละครับ”

“คิริฮาระเนี่ยนะ!?”

“เพิ่งเข้าบ้านเมื่อเช้า  เลยทำมื้อเช้าเป็นการไถ่โทษน่ะครับ”  คิโยฮารุหัวเราะเบา ๆ

“คิริฮาระ...?  คุณพี่อยู่กับพี่คิริฮาระเหรอคะ?”  ฮารุกะถามซื่อ ๆ

...แต่เหมือนระเบิดลงกลางร้าน  กระทั่งฟุยุกิยังเผลอนิ่งตัวแข็งไปด้วย

“...ครับ  เป็นรูมเมทกันน่ะครับ”  คิโยฮารุตอบหลังจากนิ่งไปอึดใจพระพุทธ...แต่เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะปั้นสีหน้าให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

นัตสึเมะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปอุ่นนมเตรียมชงลาเต้ให้คิโยฮารุ  เรื่องบางเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันตามปกติเนี่ย  ไม่ควรพูดตอนที่เด็ก ๆ อยู่ด้วยสินะ  เขาก็ลืมไปเลยว่าฮารุกะรู้จักคิริฮาระเป็นอย่างดี  แต่ไม่เคยรู้จักคิโยฮารุ  แต่พวกเขาคุยกันถึงฮารุกะบ่อย ๆ จนคิดไปเองว่าทั้งสองรู้จักกันด้วย...แล้วก็ลืมไปแล้วด้วยว่าฮารุกะไม่รู้หรอกว่าคิริฮาระเป็นคนรักของคิโยฮารุ

ไอ้คำว่ารูมเมทก็ดูเป็นคำอ้างที่ดีอยู่หรอก  แต่ดูจากบุคลิกของคิริฮาระกับคิโยฮารุแล้ว...มันคงใช้ไม่ได้สำหรับบางคนละนะ

ฮารุกะก็ดูสงสัยอยู่บ้าง  แต่ด้วยความที่เป็นเด็กมีมารยาทเลยไม่ได้ถามอะไรต่ออีก  หลังจากกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วเธอก็เตรียมตัวไปโรงเรียน

“ไปนะคะ  พี่จ๋า  ไว้ทะเลาะกับคุณแม่อีกจะมารบกวนใหม่”

“มาแบบไม่ต้องทะเลาะกันมาก็น่าจะดีนะ”

“ไม่รับปากค่า~”  สาวน้อยหัวเราะคิกคักแล้วเขย่งหอมแก้มนัตสึเมะเสียทีหนึ่ง  “ไปแล้วนะคะ  พี่จ๋าก็ขายกาแฟดี ๆ นะ  ไปแล้วนะคะ  ทุกคน  แล้วเจอกันค่า”

ฮารุกะบอกกับทุกคนอย่างร่าเริงแล้วออกจากร้านไปพร้อมกับเสียงกระดิ่งหน้าประตู  ไม่มีท่าทีหงอย ๆ แบบเมื่อคืนอยู่เลย  การได้คุยกับนัตสึเมะทำให้เธอสบายใจขึ้น แม้จะไม่ได้พูดอะไรกันมากแต่นัตสึเมะมักจะรับฟังและมีคำปลอบใจดี ๆ ที่ถ้าฟังผ่าน ๆ จะไม่เหมือนคำปลอบใจเลยสักนิด  ที่เธอมักจะมาหานัตสึเมะเวลาที่มีปัญหาอะไรก็เพราะนัตสึเมะเป็นคนเดียวที่ไม่อยู่ในวิถีทางของตระกูล  เป็นคนที่แหกคอกออกมาจากขนบธรรมเนียมที่เธอเองก็เห็นว่ามันคร่ำครึและน่ารำคาญ  ออกมาใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุขและมีความภาคภูมิใจแบบที่ญาติ ๆ เองก็ดูถูกไม่ได้  ชีวิตของนัตสึเมะดูเรียบง่ายและดำเนินไปช้า ๆ  แต่ความช้านี่เองที่ทำให้ฮารุกะมาอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกสบายใจ

ออกมาจากร้านไม่ไกลนักโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น  ฮารุกะหยิบมันขึ้นมาดูแล้วเบ้หน้านิด ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของแม่  แต่เธอก็กดรับสาย

“ค่า”

“ว่าไง  ไปนอนที่บ้านนัตสึเมะงั้นสิเรา”

“ก็งั้นแหละค่ะ  จะให้หนูไปไหนล่ะคะ?”

“ไม่ต้องมายอกย้อนเลย  เมื่อวานโดดเรียนพิเศษใช่มั้ย?  เดี๋ยวเถอะ  นี่ถ้าผลการเรียนตกตั้งแต่เพิ่งเข้า ม. ปลายจะทำยังไง”

“หยุดค่ะ  หยุด!  หนูไม่อยากฟังเทศน์แต่เช้าหรอกนะ  พี่จ๋าเทศน์มาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“นัตสึเมะไม่เทศน์หรอกย่ะ  แถมยังให้ท้ายด้วย  แม่รู้นะ”

“งั้นยิ่งไม่ต้องเทศน์ใหญ่เลยค่ะ  ก็ขนาดพี่จ๋ายังไม่ว่าเลย  คุณแม่จู้จี้เยอะ ๆ เดี๋ยวจะเป็นยายแก่น่ารำคาญนะคะ”

“ว่าใครเป็นยายแก่ยะ!”

“ล้อเล่นค่า~”  ฮารุกะหัวเราะคิกคัก  “แหม  เดี๋ยวหนูก็ไม่ค่อยได้มาหาพี่จ๋าแล้วละค่ะ”

“ทำไม?”

“ก็พี่จ๋ามีแฟนน่ะสิคะ  ขืนไปหาตอนที่แฟนเขาอยู่ก็เป็นก้างขวางคอเขาน่ะสิ”

“แฟน!?”

“ค่า  หนูเห็นพี่เขาหอมแก้มคนนั้นด้วยแหละ  แต่ไม่เห็นหน้าหรอกนะคะ  มันมืด...พี่จ๋าก็มีความลับเนาะ  อุ๊ย  ถึงสถานีรถไฟแล้วละค่ะ  แค่นี้ก่อนนะคะแม่  หนูต้องขึ้นรถไฟแล้ว  แล้วเจอกันนะคะ”

ฮารุกะตัดสายไปโดยไม่ทันสังเกตความเงียบจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์...เป็นความเงียบที่น่าสะพรึงกลัวก่อนพายุจะมา


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Lock on You 14 / 30-09-58
«ตอบ #43 เมื่อ30-09-2015 19:23:12 »

ระเบิดจะลง? เดี๋ยวได้ตายกันหมดหรอกเคย์โกะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
Re: Lock on You 14 / 30-09-58
«ตอบ #44 เมื่อ30-09-2015 23:27:14 »

ดีใจที่ได้อ่านมากเลยค่ะ ติดตามตั้งแต่ที่บอร์แต่มันเข้าไม่ได้แล้วแอบเสียใจที่ไม่ได้อ่านต่อซะแล้ว

ช่วงที่ฟุยุกิคุงอกหักนี่ทำน้ำตาซึมตามเลยค่ะ ส่วนนัตสึเมะ ปัญหาเคย์โกะซังนี่ทำเอาอึ้ง มามีสัมพันธ์กันแบบนี้ได้ยังไงนะ

รอติดตามค่า ^^

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
Re: Lock on You 14 / 30-09-58
«ตอบ #45 เมื่อ01-10-2015 22:33:05 »

สนุกมาก
ชอบครอบครัวของฟุยุกิ น่ารักดี  :mew1:

ออฟไลน์ Cockroach

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Lock on You 14 / 30-09-58
«ตอบ #46 เมื่อ02-10-2015 00:23:38 »

ยังติดตามอยู่เสมอนะครับ >3< มีนิยายของท่านทุกเล่มเลย เรื่องนี้ก็จะรอสอยไว้เชยชมเช่นกัน

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 15 / 31-10-58
«ตอบ #47 เมื่อ31-10-2015 20:39:19 »

สวัสดีครับ
มันเป็นกิจกรรมอัพนิยายเดือนละครั้งจริง ๆ นะเนี่ย  ผมก็ไม่ได้อยากอัพเดือนละครั้งหรอกนะครับ  แต่เนตไม่เอื้ออำนวย  (ถอนใจ)
มาต่อกันเลยนะครับ
อ้อ  ผมจะรวมเล่ม ALL I WANT แล้วนะครับ  ขอโฆษณาเนียน ๆ ตรงนี้เลย ฮะๆๆ
แล้วเจอกันเมื่อเนตเอื้ออำนวยนะครับ

HAKURO_KOKURO
++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 15

วันนี้ฝนก็ตกจนถึงเวลาปิดร้าน ฟุยุกิเช็ดถ้วยจานที่ล้างแล้วอย่างเหม่อลอย  พอเหลือกันอยู่สองคนกับนัตสึเมะแล้วบรรยากาศแปลก ๆ ก็เข้ามาครอบคลุมอีก...นัตสึเมะทำเหมือนกับว่าลืมไปแล้วว่าเมื่อวานทำอะไรเอาไว้  แต่เขายังไม่ลืม...แก้มข้างที่ถูกประทับริมฝีปากยังรู้สึกร้อนผ่าวอยู่เลย  มันเรื่องอะไรกันนะ  ทำไมนัตสึเมะถึงทำแบบนั้น...นัตสึเมะมีคนรักแล้วไม่ใช่หรือ  ผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยเจอน่ะ...แล้ว...มาทำแบบนี้

นัตสึเมะพลิกป้ายหน้าร้านเป็น  “ปิด”  มองลูกจ้างที่หยุดการเคลื่อนไหวไปเฉย ๆ เหมือนถ่านหมดแล้วก็อมยิ้ม  ฟุยุกิมีอาการแปลก ๆ มาตั้งแต่เช้าและเขาก็รู้ว่าทำไม  เพียงแต่ทำเป็นเฉยไว้ก็เท่านั้น...ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดจะรุกถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้นมาก่อน  แต่เพราะฟุยุกิพูดอะไรน่ารัก ๆ อย่างเรื่องครอบครัวขึ้นมา  มันทำให้เขานึกอยากสารภาพความในใจออกไปเสียที...แต่คงจะแสดงออกมากเกินไปละมั้ง  ฟุยุกิถึงได้มีสภาพแบบนี้

และมันคงจะเร็วเกินไป...เพราะเขายังแก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้เลย

“ฟุยุกิคุงครับ”

“ครับ!!?”  เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเกือบทำจานรองแก้วในมือหล่นแตก

“...พักดื่มน้ำชากันหน่อยดีมั้ยครับ?”  นัตสึเมะทำเป็นไม่เห็นอาการนั้นและยิ้มให้เหมือนอย่างเคย

“เอ่อ...ครับ  ได้ครับ  เดี๋ยวจะชงให้นะครับ”

ฟุยุกิรีบร้อนเก็บกวาดข้าวของจนเรียบร้อยแล้วจัดแจงชงน้ำชา  เมื่อตอนบ่ายพวกเขาไม่ได้ดื่มชากันเหมือนเคยและคิโยฮารุก็ไม่ได้แวะมาที่ร้าน  พร้อมกับที่ฟุยุกิใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งสองจึงลืม ๆ เรื่องนี้ไป

แม้จะร้อนรนมาตลอด  แต่พอเอากาน้ำร้อนตั้งเตาและเตรียมใบชากับเหยือก  เด็กหนุ่มก็ดูสงบลงอย่างรวดเร็ว  ฟุยุกิมีสมาธิในการชงชาเสมอจนน่าประหลาด  เวลาที่หยิบใบชามาใส่ลงในน้ำร้อนและค่อย ๆ หมุนเหยือกให้ใบชาค่อย ๆ คลายตัวออก  ดูราวกับเด็กหนุ่มได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไปจนหมดสิ้น  มีเพียงแค่ตัวเองกับเหยือกน้ำชาในมือ...และระยะหลังมาก็ชงได้ประณีตอย่างไม่มีข้อผิดพลาดเลย

น้ำชาพร้อมตั้งโต๊ะ  นัตสึเมะเตรียมขนมนิดหน่อยไว้กินกับน้ำ...แต่พอชงน้ำชาเสร็จ  ฟุยุกิก็กลับมาเกร็งอีกแล้ว  นัตสึเมะสังเกตเห็นอาการนั้นแล้วก็เข้าใจ

“ฟุยุกิคุง”

“ครับ!”

“เรื่องเมื่อวาน...ขอโทษนะครับ”

“อะ...เอ๋?”

“ผมคงทำอะไรเกินไป  คุณคงไม่ชอบใจ”  นัตสึเมะพูดพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่ม

“อะ...เอ่อ...ผม...ผมนึกว่านัตสึเมะซัง...ลืมไปแล้ว”  ฟุยุกิกุมถ้วยชาของตัวเองพลางก้มหน้างุด  ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“จะลืมได้ยังไงล่ะครับ  ในเมื่อผมตั้งใจทำ”  ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ

“ตะ...ตั้งใจ...?”

“ครับ  ตั้งใจ  และจงใจด้วย”

เจอคำตอบแบบนี้ฟุยุกิถึงกับพูดไม่ออก  เขาหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก  ได้แต่ยึดถ้วยชาไว้เป็นที่พึ่งทางใจ...ใจหนึ่งก็ดีใจอยู่หรอก  แต่อีกใจหนึ่งยังมีบางอย่างค้างคา...

“แต่...แต่...นัตสึเมะซัง...มีคนรักแล้วนี่ครับ...”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มออกมา

“คนรัก?”

ใช่...คนรัก  ก็เพราะแบบนี้  ในตอนที่ฟุยุกิผิดหวังจากคิริฮาระและพยายามจะหันมาพึ่งพานัตสึเมะแต่กลับต้องยอมตัดใจอีกครั้ง  เพราะนัตสึเมะมีคนรักอยู่แล้ว

“ก็...คุณผู้หญิงคนนั้น...”

ผู้หญิงที่เคยเข้ามากอดและแสดงท่าทีกับนัตสึเมะอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ  ผู้หญิงที่เคยเปิดประตูเข้ามาพอดีตอนที่นัตสึเมะจูบหน้าผากของเขา

หลังจากความนิ่งเงียบยาวนาน  เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ

“นั่นไม่ใช่คนรักของผม”

“เอ๊ะ?”  ฟุยุกิเงยหน้าขึ้นทันที  แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง

ดวงตาที่มีแววอ่อนโยนอยู่เสมอจับจ้องมาที่เขา  ในนั้นมีความเย็นชาฉาบอยู่บาง ๆ จนรู้สึกได้

“เคย์โกะซังไม่ใช่คนรักของผมครับ”  นัตสึเมะย้ำอีกครั้ง

“เอ๋...ตะ...แต่...”  ฟุยุกิสับสน  ก็ที่เขาเคยเห็นมา  เธอแสดงออกกับนัตสึเมะแบบนั้นนี่นา...แล้วบอกว่าไม่ใช่คนรัก...

รอยยิ้มบาง ๆ กลับมาแต้มที่ริมฝีปากของนัตสึเมะอีกครั้ง  แต่เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะเยาะหยันอะไรบางอย่างอย่างไรชอบกล

“มันมีเรื่องซับซ้อนอยู่  แต่เคย์โกะซังไม่ใช่คนรักของผมแน่ ๆ ครับ”

“เรื่องซับซ้อน?”

“ไว้ให้อะไร ๆ มันดีกว่านี้  แล้วผมจะเล่าให้ฟังนะครับ”

“อ๊ะ!  ไม่...ไม่ต้องหรอกครับ!  ถ้านัตสึเมะซังไม่สะดวกที่จะเล่า!  คือ...ผมไม่อยากละลาบละล้วง...มัน...”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธ  แต่นัตสึเมะกลับยิ้มมากกว่าเดิม

“ต้องเล่าสิครับ  ถ้าจะเป็นครอบครัวกันน่ะ”

“คะ...ครอบครัว!?”  ฟุยุกิทำตาโตเท่าจานรองแก้ว...นัตสึเมะพูดอะไรออกมา!?

“ก็เมื่อวานพูดเองนี่ครับ  ว่าชอบความสัมพันธ์แบบครอบครัว”

“มะ...ไม่ได้พูด!!”  เด็กหนุ่มโวย  เขาแค่บอกว่าชอบที่คิริฮาระกับคิโยฮารุมีความสัมพันธ์แบบครอบครัวเท่านั้นเอง  ไม่ได้หมายความอย่างที่นัตสึเมะพูดเสียหน่อย

“แต่ก็อยากเป็นแบบนั้นบ้างใช่มั้ยล่ะครับ?”

“มะ...มันก็...!!”

“ถ้าชอบแบบนั้นผมก็โอเคนะครับ”  ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนให้

ฟุยุกิอ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้จะโต้เถียงอะไรออกไปได้  มือใหญ่เอื้อมมาตบแขนของเขาเบา ๆ

“ดื่มชาก่อนครับ”

เด็กหนุ่มกระดกถ้วยชาดื่มเฮือกแล้วถอนใจแรง ๆ  อาการเกร็งลดลงนิดหน่อย

“ดีขึ้นแล้วนะครับ?”

“...คิดว่า...”

นัตสึเมะปล่อยให้ฟุยุกิหายใจหายคอครู่หนึ่ง  จึงพูดออกมาเบา ๆ

“ผมจริงจังนะครับ  ฟุยุกิคุง”

“อะ...เอ้อ...ตั้งแต่เมื่อไรกันครับ?”

“ตั้งแต่แรก  ไม่รู้สึกตัวเลยเหรอครับ?”

ฟุยุกิก้มหน้างุด  ไม่ใช่ไม่รู้สึก  มีหลายครั้งหลายคราวและหลายโอกาสที่เขารู้สึกถึงความอ่อนโยนที่น่าจะมากกว่าที่มีให้คนอื่นจากนัตสึเมะ  ทั้งที่รับฟังปัญหาและให้คำปรึกษาดี ๆ...ทั้งมืออุ่นที่เอื้อมมากุมมือเขาไว้ในวันที่สับคน...ทั้งอ้อมกอดที่มีให้ในตอนที่เขาผิดหวัง  เขารู้ว่านัตสึเมะทำอะไรหลายอย่างเพื่อเขามาตลอดโดยเว้นระยะห่าง ๆ  คงเพราะเห็นว่าเขากำลังมีใจให้คิริฮาระ  และมีคำพูดหนึ่งที่ยังติดอยู่ในความทรงจำเสมอมา...

...ฟุยุกิคุง  ยังไงก็ยังมีผมอยู่ทั้งคนนะครับ...

ใช่...นัตสึเมะอยู่เคียงข้างเขามาตลอด  คอยอยู่ข้าง ๆ ในเวลาที่เขาต้องการใครสักคนเสมอ  แต่เขาเองที่หลงคิริฮาระหน้ามืดตามัวจนไม่รู้สึกตัว

“แล้ว...จะดีเหรอครับ...คนอย่างผมน่ะ?”

“คนอย่างฟุยุกิคุงทำไมเหรอครับ?”

“ผม...ไม่เอาไหนเลย...”

“ผมชอบฟุยุกิคุงที่ไม่เอาไหนเลยคนนั้นแหละครับ”

เด็กหนุ่มยังคงก้มหน้างุด  ไม่กล้าสบตานัตสึเมะตรง ๆ...ดีใจ  ดีใจที่สุดในชีวิต  ดีใจจนไม่รู้จะพูดอะไรได้  เพียงแต่...มันจะดีแล้วเหรอ  มันกะทันหันเกินไปหรือเปล่า...

“ไม่ต้องรีบตอบตอนนี้หรอกครับ  กลับไปค่อย ๆ คิดดูก่อนก็ได้”

ก็เพราะคิดมาครั้งหนึ่งแล้ว  เมื่อคืนถึงได้นอนไม่พอยังไงเล่า

“ถ้าไม่ชอบผม  ก็บอกมาตรง ๆ นะครับ...ผมจะได้ไล่ออก”

“หา!?”

“ผมไม่บังคับคุณให้ต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ชอบหรอกครับ”

“เดี๋ยวสิครับ  ทำไมเรื่องมันไปถึงตรงนั้นได้!?”  ฟุยุกิโวยวาย  “ถ้าไล่ผมออกแล้วผมจะไปทำอะไรล่ะครับ!?”

“ฝีมือขนาดนี้เปิดร้านน้ำชาของตัวเองได้แล้วละครับ...แต่ผมหมายถึงกรณีที่คุณไม่ชอบผมนะ  ถ้าชอบมันก็อีกเรื่องหนึ่ง”

“ผม...คือ...ผม...”  เด็กหนุ่มร้อนรนขึ้นมาอีก

นัตสึเมะหัวเราะน้อย ๆ แล้วตบแขนฟุยุกิเบา ๆ

“ไม่ต้องรีบร้อนครับ  ผมเองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนเหมือนกัน  เอาไว้ตอนที่เราพร้อมกันทั้งคู่แล้วเราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกทีก็ได้ครับ”

“คะ...ครับ...”

“เอาละ  เดี๋ยวก็กลับได้แล้วละครับ  ดึกป่านนี้แล้ว  ที่เหลือเดี๋ยวผมเก็บกวาดเอง”

“เอ้อ...ขอบคุณครับ”

ฟุยุกิถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปยังประตูที่เปิดไปยังส่วนที่พักของนัตสึเมะเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบข้าวของ  นัตสึเมะปิดไฟหน้าร้านแล้วเดินตามไปด้วย  ยืนส่งเด็กหนุ่มที่หน้าประตูบ้านเหมือนอย่างเคยทุกวัน  และวันนี้...ก็เป็นพิเศษ

ชายหนุ่มโน้มตัวลงจูบแก้มของฟุยุกิเบา ๆ

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ  ฟุยุกิคุง”

ฟุยุกิยกมือขึ้นลูบแก้มทั้งหน้าแดงก่ำ  อ้อมแอ้มตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบา

“ราตรีสวัสดิ์ครับ...นัตสึเมะซัง...”

ในตอนนั้นเอง  เสียงหวีดแหวเหมือนสายฟ้าฟาดก็ดังขึ้น


“นัตสึเมะ!!!!”

...

นัตสึเมะหันขวับไปตามเสียงนั้นแล้วตกใจจนตัวชาเมื่อเห็นเจ้าของเสียง

“เคย์โกะซัง!?”

เคย์โกะปราดเข้ามาหานัตสึเมะด้วยสีหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ  เธอกระชากฟุยุกิออกห่างจากนัตสึเมะทันที

“เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง  นัตสึเมะ!?  เธอทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง!?”  เคย์โกะกรีดเสียงพลางทุบตีชายหนุ่มด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด

“เคย์โกะซัง!  ใจเย็น ๆ ก่อน!!”  นัตสึเมะพยายามห้าม  เขาเองก็ตกใจกับผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด  แถมยังมาผิดจังหวะพอดีเสียอีก

“เย็นอะไร!?  เธอจะทิ้งฉันใช่มั้ย!  นังนี่มันมีดีตรงไหน!  เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง!!”  เคย์โกะชี้ไปที่ฟุยุกิแล้วก็นิ่งงันไป...คนที่เธอคิดว่าเป็นแฟนสาวของนัตสึเมะกลับเป็น...

เด็กหนุ่มลูกจ้างของร้าน...กำลังยืนกอดกระเป๋าด้วยใบหน้าซีดเผือดและตื่นตะลึง

“นะ...นี่...นี่...”  นิ้วที่ชี้ฟุยุกิสั่นระริก  เธอช็อกกับความจริงที่ไม่คาดฝัน

“เคย์โกะซัง!  ใจเย็น ๆ ก่อน  ผมอธิบายได้นะ!”  นัตสึเมะพยายามเกลี้ยกล่อมแม้จะมองไม่เห็นว่ามันจะเป็นไปได้ก็ตาม

“กรี๊ด!!!!”  เคย์โกะกรีดเสียงร้อง  “นัตสึเมะ!!!!  นี่เธอ...เธอ...!!  เธอทรยศฉัน!  เธอทรยศฉันเหรอ!!  นัตสึเมะ!!!!”

เคย์โกะปราดเข้าไปหาฟุยุกิที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ  แต่นัตสึเมะเร็วกว่า  เขารวบร่างของเคย์โกะไว้แล้วกระชากกลับมาหาตัวเอง

“เคย์โกะซัง!  ฟังผม!  ใจเย็น ๆ แล้วฟังผมก่อน!!”

“ไม่!!  นี่มันอะไร!  นี่มันเรื่องอะไรกัน!?  เธอมีอะไรกับเด็กคนนี้งั้นเหรอ!!  นี่มันเด็กผู้ชายนะ!  นี่เธอ...!!”

เคย์โกะอาละวาด  นัตสึเมะพยายามหยุดเธอสุดชีวิต

และในตอนนั้นเอง...

“พี่จ๋า!!  คุณแม่!!”

หัวใจของนัตสึเมะแทบจะหยุดเต้นกับเสียงเรียกนั้น  คนเดียวที่เขาไม่อยากให้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้...ฮารุกะ!!

แต่ในขณะที่นัตสึเมะรู้สึกเหมือนถูกโยนเข้าไปกลางพายุใหญ่  เขาก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นใครอีกคนวิ่งตามหลังฮารุกะมา

“นัตสึเมะ!  เกิดอะไรขึ้น!?”

“คิริฮาระ!  ช่วยหน่อย!!”

คิริฮาระไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วย  เขาแค่จะมาดื่มกาแฟที่บ้านของนัตสึเมะก่อนไปทำงานเหมือนเคย  ก็พอดีเห็นฮารุกะวิ่งหน้าตาตื่นมาทางนี้  จะเรียกไว้ถามอะไรเธอก็ไม่ยอมตอบเลยวิ่งตามมาด้วย  แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์และตัวละครที่อยู่ตรงหน้า  เขาก็แทบจะเดาเรื่องราวได้ทั้งหมด

...ความแตกแล้ว...

เคย์โกะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของนัตสึเมะกับฟุยุกิแล้ว!!

“เธอหลอกลวงฉัน!  นัตสึเมะ!!  เธอทรยศฉัน!!”  เคย์โกะยังคงกรีดร้องด้วยเสียงอันดัง

“ผมไม่ได้ทรยศคุณนะ!”  นัตสึเมะพยายามเขย่าเรียกสติเธอแต่ก็ไม่เป็นผล

“เธอวางแผนมาตลอดใช่มั้ย!?  เธอจ้างเด็กนี่มาทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลย!  เธอ...เธอ...เธอวางแผนมาตลอด!!  เธอทรยศฉัน!!”

“ผมไม่ได้ทรยศคุณ!  ฟังซี่!”

“เธอจะหักหลังฉันเหมือนพ่อเธอไม่ได้นะ!  นัตสึเมะ!!”

นัตสึเมะหรี่ตาลงด้วยสีหน้าเจ็บปวด  ถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรให้ชัดเจนแล้วสินะ

เขาจับไหล่ของเคย์โกะไว้มั่น  จ้องตาเธอแล้วตะโกนใส่หน้า


“ผมไม่ได้ทรยศคุณ!  ก็ผม...ผมไม่เคยรักคุณเลยนี่!!”


ความเงียบสงัดราวกับความตายเข้าครอบคลุมที่ตรงนั้น  มันกินเวลาแค่ไม่กี่วินาที  แต่สำหรับทุกคนในที่นั้นรู้สึกเหมือนยาวนานชั่วนิรันดร์

แล้วเคย์โกะก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง  น้ำตาไหลอาบแก้ม

“ไม่จริง!!  ไม่จริง!!  ไม่จริง!!!!”

นัตสึเมะตะครุบปากเธอแล้วกระชากเข้าบ้าน

“คิริฮาระ!  ส่งสองคนนั้นกลับบ้านไปที!  เดี๋ยวนี้เลย!!”

ประตูบ้านกระแทกปิดเสียงดัง  นอกจากเสียงกรีดร้องของเคย์โกะที่ดังออกมาให้ได้ยินแล้ว  ไม่มีเสียงใครอีกเลย

แล้ว...ฮารุกะก็ทรุดฮวบลงตรงนั้น

“ฮารุกะจัง!!”  คิริฮาระคว้าร่างเล็ก ๆ ไว้ทันก่อนที่เธอจะล้มไปฟาดอะไรเข้า

“...พะ...พี่...คิริฮาระ...”  ฮารุกะขมุบขมิบปากเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น  น้ำตานองหน้า  “...พี่จ๋า...กับคุณแม่...?”

พอได้สบตาฮารุกะตรง ๆ แบบนี้แล้ว  คิริฮาระเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมนัตสึเมะถึงไม่เคยคิดจะจัดการกับปัญหาในชีวิตของตัวเองให้แล้วเรื่องไปเสียที...นัตสึเมะคงไม่อยากมองตาคู่นี้  ในเวลาที่มีความรู้สึกเช่นนี้...ดวงตาบริสุทธิ์ที่มีบางสิ่งในหัวใจแหลกสลายไป...

นักดนตรีหนุ่มกลืนน้ำลาย  มันก็ดีแล้ว  ที่เขามาอยู่ที่นี่ในตอนนี้พอดี...นัตสึเมะอาจจะรับมือเคย์โกะได้  แต่ไม่มีทางรับมือฮารุกะในตอนนี้ได้แน่  นี่เป็นหน้าที่ของเขา  เป็นบทบาทของเขาที่จะต้องแบ่งปันภาระเหล่านี้ให้กับนัตสึเมะ  เหมือนที่นัตสึเมะเคยช่วยแบ่งปันความทุกข์ของเขามาตลอด

“...ไม่จริง...ใช่มั้ยคะ...?”

คิริฮาระส่ายหน้า  “มันไม่ใช่แบบที่เธอคิด...มันอาจจะเป็นเรื่องจริง  แต่มันมีอะไรมากกว่าที่เธอคิดอีกมาก  พี่เล่าไม่ได้  นัตสึเมะจะต้องเป็นคนเล่าเอง  และฮารุกะจังจะต้องรับฟังจากปากของนัตสึเมะเอง...เข้าใจนะ”

สาวน้อยน้ำตาไหลพราก

“...ไม่เอา...หนูไม่อยากฟัง...”

“ฮารุกะจังจะเบือนหน้าหนีจากความจริงที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้นะ  ต่อให้ไม่มอง  มันก็อยู่ตรงนั้น...ต่อไหนพยายามจะหนีไป  มันก็อยู่ตรงนั้น...เธอต้องรับความจริงให้ได้  ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องยอมรับความจริงนี้ให้ได้”

ฮารุกะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร  ซุกหน้าลงกับอกของคิริฮาระ  มือเล็ก ๆ กำยึดอกเสื้อนั้นไว้แน่นเหมือนโลกนี้ไม่เหลือที่พึ่งอื่นใดอีกแล้ว

คิริฮาระก็กอดเด็กสาวเอาไว้แน่น  มือเรียวลูบเรือนผมนิ่มอย่างอ่อนโยน  กระซิบคำปลอบโยนแผ่วเบาเหมือนปลอบประโลมน้องแท้ ๆ ของตัวเอง...แล้วก็รู้สึกถึงมือที่เอื้อมมาดึงชายเสื้อเบา ๆ

ฟุยุกิยังคงยืนอยู่ตรงนั้น  จ้องมองเขาด้วยสายตาหวั่นไหวและสับสน

“ผม...ก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ใช่มั้ยครับ...?”

คิริฮาระไม่ได้ตอบอะไร  เขาเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ กับคำถามนั้น

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 15 / 31-10-58
«ตอบ #48 เมื่อ31-10-2015 20:41:26 »

นัตสึเมะจำไม่ได้เลยว่าตัวเองทำอย่างไรให้เคย์โกะเงียบไป  เขาคงไม่ได้บีบคอเธอใช่ไหม...หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้ทำอะไรเลย  แต่เธอของขึ้นจนช็อกหมดสติไปเองก็ได้...คงเป็นแบบนั้น  เพราะตอนนี้นัตสึเมะกำลังนั่งเอาหน้าซบฝ่ามืออยู่ข้างเตียงที่มีเคย์โกะนอนนิ่งอยู่  เธอสงบไปแล้ว...แต่น้ำตายังไหลไม่หยุด

ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี  รู้แค่ว่าดีเหลือเกินที่คิริฮาระมาอยู่ที่นั่นตอนนั้นพอดี  ไม่อย่างนั้นฮารุกะจะต้องตามขึ้นมาถึงบนบ้าน  แล้วอะไร ๆ จะต้องวุ่นวายกันไปใหญ่โตแน่

เขาไม่อยากให้ฮารุกะรู้...แต่เธอก็รู้เข้าจนได้  นี่เป็นเรื่องใหญ่...ใหญ่ขนาดทำลายชีวิตน้องสาวตัวน้อยได้ทั้งชีวิตเลยทีเดียว  เขาต้องการคำอธิบายดี ๆ เพื่อบอกเธอ...แต่หาไม่พบ  ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าอย่างไร

ไม่ใช่แค่กับฮารุกะ...แต่กับฟุยุกิด้วย

เขาชอบฟุยุกิ...ชอบแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งจะชอบใครสักคนได้  และเพราะความรู้สึกนี้ทำให้เขาเริ่มคิดที่จะตัดสินปัญหาของตัวเองที่คาราคาซังมาเนิ่นนานเสียที  เขาคิดจะเลิกรากับเคย์โกะ  คิดจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น...อย่างค่อยเป็นค่อยไป

แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้

มันมาถึงเร็วเกินไป  จังหวะมันเลวร้ายเกินไป...อย่าว่าแต่เคย์โกะรับไม่ได้เลย  เขาเองก็ยังรับไม่ได้เหมือนกัน

นัตสึเมะเงยหน้าขึ้นอย่างเลื่อนลอย  ในบ้านไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงลมหายใจปนสะอื้นของเคย์โกะ  คิริฮาระคงพาทั้งสองคนกลับไปแล้ว...แต่ก็คิดอะไรไม่ออกเลย  ในชั่วโมงที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากมายเกินไปจนสมองของเขารับข้อมูลไม่ทัน...ไม่สิ  สมองเขาคงรับทันแต่ไม่สามารถหาวิธีแก้ไขอย่างเยือกเย็นได้เหมือนเคย  เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาทำทุกอย่างลงไปด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ  ทั้งที่ปกป้องฟุยุกิ  ตะโกนใส่เคย์โกะและกระชากเธอเข้ามาในบ้าน...ไม่สมกับเป็นเขาเลยสักนิด

ชายหนุ่มมองคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยสายตาว่างเปล่า  แล้วตัวเขาที่แท้จริงมันเป็นยังไงกันนะ...อิชิกาวะ  นัตสึเมะที่แท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรกันแน่  เขามักจะถนอมน้ำใจคนอื่นมาเสมอไม่ใช่หรือ...ถ้าอย่างนั้น  เขาก็ควรจะไปคิดหาวิธีที่จะถนอมน้ำใจเคย์โกะ  ฮารุกะ  และฟุยุกิให้ได้สินะ

แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก...เขาอาจจะต้องการตัวช่วย

นัตสึเมะเดินโผเผลงจากห้อง  แล้วก็ต้องประหลาดใจ...มีใครบางคนอยู่ที่โต๊ะกินข้าวของเขา

คิริฮาระ  ฮารุกะ  ฟุยุกิ...และพี่ชายของเขา...อากิโตะ

นัตสึเมะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง  ทำไมอากิโตะถึงมาอยู่ที่นี่ได้...อากิโตะมาดื่มกาแฟที่ร้านของเขาบ่อยก็จริง  แต่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ในเวลาแบบนี้นี่นา

เห็นสายตางุนงงของนัตสึเมะแล้วคิริฮาระก็เข้าใจ  เขาลุกจากโต๊ะไปตบไหล่เพื่อนเบา ๆ

“ฉันเรียกพี่อากิโตะมาเองแหละ”

“...ทำไม?”  นัตสึเมะถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ถ้าใครจะเป็นพยานในเรื่องราวของนายได้  คนคนนั้นก็ควรจะเป็นพี่อากิโตะไม่ใช่เหรอ  เพราะแรกเริ่มเดิมที  นายทำไปเพื่อพี่อากิโตะไม่ใช่เหรอ?”

นัตสึเมะหลับตาและระบายลมหายใจยาว  จุดเริ่มต้น...มันเริ่มมานานเหลือเกิน  นานจนเขาแทบจะลืมสาเหตุที่ทำให้มันเริ่มขึ้นไปแล้วด้วยซ้ำ

“...งานก็ยุ่ง  ยังอุตส่าห์มานะ  พี่...”

“ก็เพราะเป็นเรื่องของนายน่ะสิ”  น้ำเสียงทุ้มที่คล้ายคลึงกันตอบกลับมา

นัตสึเมะยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ...ฉากพร้อมแล้ว  ตัวละครครบแล้ว  สถานการณ์ในเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ถอยหลังไม่ได้แล้ว  จะไม่มีการถนอมน้ำใจอะไรกันอีก  จากจุดนี้ไปมีแต่ความจริงให้ต้องเผชิญหน้าเท่านั้น

ชายหนุ่มเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัว  เปิดสวิตช์เครื่องบดกาแฟ

“คิริฮาระ  เอาเอสเปรสโซมั้ย?”

“ถ้านายจะมีแก่ใจชงน่ะนะ”

“อากิโตะจะต้องกลับไปทำงานต่อใช่มั้ย  เอาเป็นมอคค่านะ”

“อื้ม  เอาที่เคยชงให้เป็นประจำนั่นแหละ”

“ฮารุกะ...”

ไม่มีคำตอบ...และนัตสึเมะก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก

“ฟุยุกิคุง...”

“คะ...ครับ!”

นัตสึเมะแค่ยิ้มน้อย ๆ กับคำตอบนั้นโดยไม่พูดอะไรต่อ

ในครัวไม่มีเสียงอะไรอีกนอกจากเสียงของเครื่องบดกาแฟและเครื่องชงกาแฟ  นัตสึเมะเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเหมือนเวลาบริการลูกค้า  ฟุยุกิจ้องมองแผ่นหลังนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม...แต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม  นัตสึเมะจะเล่าเองเมื่อถึงเวลา...เขาบอกเอาไว้อย่างนั้น

ฟุยุกินึกประหลาดใจตัวเองเหมือนกันที่ยังอยู่ที่นี่  นั่งรออยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัดเป็นเวลานานจนกระทั่งนัตสึเมะลงมาจากชั้นบน  ระหว่างนั้นก็มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้นหลายอย่าง  คิริฮาระไม่ได้พาพวกเขากลับไปส่งบ้านตามที่นัตสึเมะสั่ง  แต่กลับโทรศัพท์หาใครบางคนแล้วพาพวกเขาเข้ามานั่งรอในบ้าน  นั่งฟังเสียงอาละวาดโวยวายที่ดังมาจากชั้นบนโดยไม่พูดอะไร  เพียงแค่กอดไหล่ของฮารุกะเอาไว้แน่น  ฮารุกะเองก็ใจแข็งอย่างน่าประหลาด  เธอนั่งฟังเสียงของแม่และพี่ชายโดยไม่ได้ยกมือขึ้นปิดหู  แม้จะร้องไห้แต่ก็พยายามต่อสู้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่  และหลังจากที่เสียงจากข้างบนเงียบไปไม่นาน...อากิโตะก็ปรากฏตัวขึ้น

ส.ส. หน้าใหม่ไฟแรงที่เคยได้เห็นหน้าเฉพาะในโทรทัศน์เดินเข้ามาในบ้านและทักทายคิริฮาระอย่างคุ้นเคย  เป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาด  เขาดูคล้ายกับนัตสึเมะมาก  แต่ก็ดูต่างกันไปหมด  ผมตัดสั้นเรียบร้อยและชุดสูทเป็นทางการดูสมกับเป็นนักการเมือง  แม้เครื่องหน้าจะเหมือนนัตสึเมะแต่กลับไม่มีอะไรคล้ายกันเลย

และที่ฟุยุกิรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือตัวเอง  เขาควรจะวิ่งหนีกลับบ้านไปตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว  แต่เขากลับยังอยู่ที่นี่  อะไรบางอย่างในใจบอกให้เขาอยู่ที่นี่...เขาเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น  ดังนั้น...ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรเขาก็ควรจะอยู่ที่นี่

ถ้วยกาแฟหอมกรุ่นถูกวางลงบนโต๊ะ  รวมถึงตรงหน้าฟุยุกิกับฮารุกะด้วย

“เอ๊ะ?”  ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองนัตสึเมะพร้อมกัน

“คาเฟ่ลาเต้...ใส่นมให้เยอะหน่อย  ถ้านอนได้ก่อนกาแฟออกฤทธิ์ก็ไม่เป็นไรหรอก”  นัตสึเมะยังมีรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเหมือนเคย  “ขอโทษนะ  ที่กาแฟแก้วแรกในชีวิตกลับต้องมาเสิร์ฟในเวลาแบบนี้”

ฮารุกะเม้มริมฝีปากแน่น  แล้วรีบก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา  เสียงแผ่ว ๆ ดังลอดออกมาจากริมฝีปาก

“...ขอบคุณค่ะ...”

ฟุยุกิขยับปากเหมือนจะถามอะไร  แต่แล้วก็เก็บกลืนคำถามนั้นไว้ก่อนจะพยักหน้า

“ขอบคุณมากครับ”

กาแฟ...เครื่องดื่มของผู้ใหญ่  รสชาติของผู้ใหญ่...นัตสึเมะตัดสินใจว่าพวกเขาถึงเวลาที่จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วสินะ

ฟุยุกิกับฮารุกะยกถ้วยกาแฟขึ้นจรดริมฝีปากแล้วลองจิบดู

กาแฟอึกแรกที่ได้ลิ้มรส  ขมปร่า...ทว่าหวานนุ่มละมุนด้วยนมร้อน  สำหรับฟุยุกิแล้วมันหวานกว่าที่คิดพอสมควร  แต่ฮารุกะกลับกระซิบเบา ๆ ว่า

“พี่จ๋า...ขอ...น้ำตาลหน่อยได้มั้ยคะ?”

นัตสึเมะยิ้มแล้วหยิบโหลน้ำตาลมาตั้งให้  ก่อนจะหันกลับไปชงกาแฟสูตรพิเศษให้ตัวเอง  เขาใส่เหล้าวอดก้าลงไปในแก้วไวน์มากกว่าปกติ  หากคิริฮาระไม่ได้ทัดทานไว้  ในเวลาแบบนี้นัตสึเมะควรจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำให้เต็มที่

แก้วไวน์ที่ใส่น้ำตาลทรายกับวอดก้าถูกนำไปลนกับไฟตะเกียงแอลกอฮอล์  นัตสึเมะทอดสายตามองน้ำตาลที่ค่อย ๆ หลอมละลายพลางเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“จะเริ่มจากตรงไหนดี?”

ไม่มีใครตอบอะไรนอกจากคิริฮาระ

“อย่าท่าเยอะ  จะเล่าก็เล่ามันทั้งหมดตั้งแต่ต้นนั่นแหละ”

นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ กับน้ำเสียงหงุดหงิดไม่เก็บอาการนั้น...คิริฮาระหงุดหงิดกับเรื่องของเขามาเป็นสิบปีแล้ว  จะหงุดหงิดเพิ่มอีกสักสองสามนาทีก็คงไม่เป็นไร

“งั้นเอาตั้งแต่ต้นเลยนะ...ตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน  ที่คุณพ่อพาผู้หญิงที่กำลังตั้งท้องคนหนึ่งมาที่บ้านน่ะ...ผู้หญิงคนนั้น  คือเคย์โกะซัง”

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
ปล. ผมว่าคงมีคนอยากมี "ครอบครัว" กับผู้ชายแบบนัตสึเมะไม่น้อยละเนอะ ฮะๆๆ

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
Re: Lock on You 15 / 31-10-58
«ตอบ #49 เมื่อ31-10-2015 22:37:12 »

ช็อก! ช็อกตรงคำว่า "โปรดติดตามตอนต่อไป"  :hao5:
ฟุยุกิโตขึ้นเยอะเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Lock on You 15 / 31-10-58
« ตอบ #49 เมื่อ: 31-10-2015 22:37:12 »





ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
Re: Lock on You 15 / 31-10-58
«ตอบ #50 เมื่อ19-11-2015 01:00:28 »

รู้สึกตัดฉับ ขาดตอนมากค่า ตอนหน้านัตสึเมะคงเคลียร์ปัญหาได้...ใช่มั้ยนะ

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 16 / 29-11-58
«ตอบ #51 เมื่อ29-11-2015 20:03:05 »

สวัสดีครับ
เดือนละครั้งจริงๆด้วยนะครับ ฮะๆๆ กะว่าจะลงตอนกลางเดือนอีกครั้งก็เนทหมดไปแล้วละครับ อด...
เป็นนัตสึเมะก็ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบนี้ละดีแล้ว (คนอ่านต้องไม่ดีด้วยแน่ๆ)
ขออนุญาตฮาร์ดเซลล์ครับ
ผมรวมเล่ม ALL I WANT แล้วครับ จะไปขายในงาน BL EXTRA ที่สนามเป้าวันที่ 13 ธ.ค. นี้ ใครที่สะดวกก็เชิญที่งานนะครับ ส่วนใครที่ไม่สะดวกก็ติดต่อสอบถามได้ที่ hakuro_kokuroอย่าแสดงเมลบนบอร์ด นะครับ

เอาละ มาดูเรื่องราวของนัตสึเมะกันต่อได้เลยครับ
HAKURO

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 16

ตั้งแต่พอรู้ความ  นัตสึเมะกับอากิโตะก็รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน  แม้จะไม่เคยมีปัญหาอะไรและดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นตามปกติ  แต่พ่อแม่ก็ไม่เคยรักกัน  ตระกูลอิชิกาวะเป็นตระกูลทางการเมือง  การแต่งงานแบบการเมืองเพื่อให้ได้มีผู้สืบทอดย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก  พ่อกับแม่ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยมเท่านั้น  พ่อเป็นนักการเมืองที่ดีและทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวได้ไม่บกพร่อง  ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านแม่เรือนคอยดูแลลูก ๆ และดูแลบ้านได้อย่างไม่มีตำหนิ  ถึงพ่อจะมีอีหนูหรือสาว ๆ อยู่บ้างตามประสานักการเมืองเนื้อหอม  แต่ในบ้านก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลย

นัตสึเมะมารู้ว่าพ่อมีใจให้กับแม่บ้างก็เมื่อตอนที่แม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต  พ่อดูซึม ๆ ไปและมักจะพูดติดปากเสมอว่า  ได้เสียเพื่อนคู่คิดไปแล้ว...ระหว่างพ่อกับแม่คงมีความผูกพันกันเช่นนั้น

โชคดีที่แม้จะเสียแม่ไปและพ่อไม่ค่อยมีเวลาให้มากนัก  แต่นัตสึเมะกับอากิโตะก็เป็นเด็กดีพอที่จะไม่ออกนอกลู่นอกทาง  พ่อยังคงมีสาว ๆ ไว้ควงบ้างหรือคอยติดตามรับใช้บ้างแต่ก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่พ่อเอาออกหน้าออกตาแทนแม่

กระทั่งวันหนึ่ง  ตอนนั้นนัตสึเมะอายุได้สิบห้าปี  พ่อก็พาผู้หญิงคนหนึ่งมาที่บ้าน  เธอเป็นผู้หญิงสาวที่ยังสาวมาก...น่าจะอายุมากกว่านัตสึเมะแค่ราวสิบปีเท่านั้น  ดูแล้วยังน่าจะเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลยด้วยซ้ำ

แต่เธอตั้งท้อง

และพ่อก็บอกกับนัตสึเมะและอากิโตะว่า

“นี่เคย์โกะ  ตั้งแต่วันนี้ไปเขาจะเป็นแม่เลี้ยงของพวกแก  ดีกับเขาและน้องในท้องด้วยล่ะ”

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด  จะว่ากะทันหันจนทำอะไรไม่ถูกก็ไม่ใช่  แต่นัตสึเมะไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านเลย  อากิโตะยังดูมีปัญหาค้างคาใจมากกว่าเขาเสียอีก...พ่อที่ไม่เคยมีข่าวคาวอื้อฉาวอะไรกลับพาผู้หญิงสาวมาที่บ้าน  มันมีอะไรน่าสงสัยที่พ่อไม่ยอมเล่าให้ฟัง

แต่หลังจากที่เคย์โกะมาอยู่ร่วมบ้านกับพวกเขาไม่นาน  อากิโตะก็มาบอกกับนัตสึเมะ

“ฉันรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”

“หือ?  เคย์โกะซังน่ะเหรอ?”

“ใช่  เธอเป็นโฮสเตสในบาร์ชั้นสูงที่คุณพ่อชอบไปนั่งน่ะ”

“โฮสเตสเนี่ย...สาวนั่งดริ๊งค์สินะ  แล้วพี่ไปรู้มาจากไหนเนี่ย?”  นัตสึเมะขมวดคิ้ว  ปกติอากิโตะจะไม่ไปจุ้นจ้านกับเรื่องส่วนตัวของผู้ใหญ่เด็ดขาด

“ฉันถามโมริเอะซัง  เลขา ฯ ของคุณพ่อมา  เขาบอกว่าผู้หญิงคนนี้มาติดคุณพ่อนานแล้ว”  อากิโตะกระซิบกระซาบ

“เขามาติดคุณพ่อ...?  ไม่ใช่คุณพ่อไปติดเขาหรอกเหรอ?”

“ปัดโธ่  ไอ้โง่!”  อากิโตะตบกระโหลกน้องชายเบา ๆ  “ฉันหมายถึงว่าเขาจ้องจะจับคุณพ่อมาตั้งนานแล้ว  กะจะเป็นเมียคุณพ่อน่ะ”

“อ้อ...งี้นี่เอง”  นัตสึเมะลูบหัวป้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก  พ่อของเขาเป็นนักการเมืองที่เริ่มมีชื่อเสียงและตำแหน่งหน้าที่กำลังไปได้สวย  ไม่แปลกหรอกถ้าจะมีผู้หญิงมาจ้องจะจับสักคนสองคนน่ะ

“ไม่เดือดร้อนเลยนะ?”

“จะเดือดร้อนทำไม?  ยังไงเคย์โกะซังก็ท้องแล้ว  แล้วคุณพ่อก็พาเข้าบ้านมาแล้วด้วย”

“แก...ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดานะ  เธอเรียนมหา’ ลัยก็จริง  แต่ก็แค่มหา’ ลัยชั้นล่าง  แถมยังทำงานพิเศษเป็นโฮสเตสอีกต่างหาก  ได้ยินว่าเป็นโฮสเตสขายดีที่จ้องแต่ผู้ชายรวย ๆ ตลอดเลยด้วยนะ”

“บาร์ชั้นสูงมันก็ต้องมีแต่ผู้ชายรวย ๆ ซี่...คือฉันก็พอรู้หรอกนะว่าเธอน่าจะเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงใช้เงินมือเติบ  แต่...แล้วยังไงล่ะ?  ไม่เห็นพี่จะต้องเดือดร้อนเลย”

“ก็...เธอยอมปล่อยตัวให้ท้องเพื่อจับคุณพ่อเราให้อยู่หมัดเชียวนะ  ปกติสาวโฮสเตสที่ไหนเขาจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวกันตั้งแต่ยังสาวเล่า  สู้เก็บความสาวเอาไว้ปอกลอกผู้ชายไปอีกหลาย ๆ คนไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ทำไมพี่รู้ดีนักล่ะ?”

“แล้วทำไมแกถึงไม่รู้อะไรเลยล่ะ?”

“รู้ไปก็เท่านั้น...บางทีเธอคงอยากมีครอบครัวที่มั่นคงกับใครสักคนละมั้ง”  นัตสึเมะยักไหล่

“ใจเย็นเหลือเกินนะ”  อากิโตะทอดถอนใจกับปฏิกิริยาเฉยเมยของน้องชาย

“ใจร้อนไปก็เท่านั้น  เตรียมตัวเลี้ยงน้องเถอะ  ฉันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน  แต่พี่เคยมีแล้ว  น่าจะเลี้ยงเป็นสินะ”

“ฉันแก่กว่าแกแค่สองปี  ไอ้งี่เง่า  ไม่เคยเลี้ยงเฟ้ย”

ถึงอากิโตะจะดูไม่พอใจกับความเป็นมาของเคย์โกะ  แต่เมื่อเธอคลอดฮารุกะออกมาเขาก็ดูใจอ่อนลง  ส่วนนัตสึเมะนั้นไม่ต้องพูดถึง  เขาทั้งรักทั้งหลงน้องสาวคนนี้เลยทีเดียว

เคย์โกะเป็นผู้หญิงสวยและทะเยอทะยาน  เธอทำงานเป็นโฮสเตสด้วยเป้าหมายที่ว่าจะหาผู้ชายดี ๆ และร่ำรวยสักคนเพื่อความมั่นคงของชีวิตในอนาคต  และเธอก็ได้ตามหวังจริง ๆ เมื่ออิชิกาวะ  สึคาสะไปที่บาร์และใช้บริการเธออยู่บ่อย ๆ

จากเพื่อนนั่งดื่ม  ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เลยเถิดไปเป็นความสัมพันธ์ทางกาย  แต่จนแล้วจนรอดนักการเมืองอนาคตไกลนี้ก็ไม่คิดจะรับเธอเข้าบ้านหรือควงเธอออกงานเสียที  เคย์โกะจึงวางแผนจะจับผู้ชายคนนี้ให้อยู่มือ  เธอแอบเจาะถุงยางอนามัยก่อนจะมีสัมพันธ์กันและพยายามปล่อยให้ตัวเองตั้งครรภ์

แน่นอนว่าสึคาสะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่เคย์โกะท้อง  แต่เขาก็เป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ไล่เธอไปทำแท้ง  เขาจดทะเบียนสมรสและรับเธอเข้าเป็นสะใภ้ของตระกูลอิชิกาวะแม้จะถูกญาติ ๆ คัดค้านก็ตาม

ในตอนนั้นเคย์โกะเพิ่งอายุยี่สิบห้า  ยังสาวและยังสวยอยู่มาก  แต่เธอไม่มีคุณสมบัติอะไรในการจะเป็นสะใภ้ของอิชิกาวะเลย  เธอไม่เป็นที่ยอมรับของใครในตระกูลทั้งสิ้น  และเมื่อคลอดลูกสาวออกมา  เธอก็ได้รู้ชัด...สึคาสะไม่ได้เห็นความสำคัญของเธอเลยสักนิด  เขาแค่แต่งงานกับเธอเพราะเห็นแก่เด็กในท้องเท่านั้น

แม้ชีวิตจะมั่นคง  มีฐานะทางการเงินเพียบพร้อมเหมือนที่ฝันเอาไว้  แต่เคย์โกะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมและคนรอบตัว  สึคาสะไม่เคยพาเธอไปออกหน้าออกตาที่ไหนในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย  เธอแค่อยู่บ้าน  เลี้ยงลูก  และใช้ชีวิตไปวัน ๆ กับความสุขสบายบนกองเงินกองทองของตระกูลอิชิกาวะ  แต่...ในหัวใจนั้นว่างเปล่า  สึคาสะรักฮารุกะ  ลูกสาวตัวน้อยของเธอ...แต่ไม่เคยรักเธอเลย  ยิ่งแต่งงานเข้ามาในบ้านแล้ว  ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ยิ่งห่างเหินกว่าแต่เก่า  หนำซ้ำ...สึคาสะก็ยังไปมีผู้หญิงคนใหม่ที่มาเป็นชู้รักแทนที่ตำแหน่งเดิมของเธอ

ความว่างเปล่านั้นกัดกินหัวใจของเคย์โกะ  เธอเริ่มมีอาการซึมเศร้า  แม้จะรู้ว่าคนในบ้านไม่ได้รังเกียจลูกสาวของตน  แต่เธอยังปรารถนาที่จะได้รับความรักจากใครสักคน...ความทะเยอทะยานแต่เดิมผนวกเข้ากับความว่างเปล่าในชีวิต  ผลักดันให้เธอมุ่งไปสู่ทิศทางที่ไม่ควรจะไป

...เธอหมายจะมีสัมพันธ์กับอากิโตะ...

อากิโตะกับนัตสึเมะเป็นสองคนที่ใกล้ชิดเธอมากที่สุด  อยู่บ้านเดียวกัน  ได้เจอกันทุกวัน...สึคาสะเสียอีกที่ยุ่งอยู่กับงานและการขยับตำแหน่งจนไม่ค่อยจะกลับบ้าน  ถ้าเธออาศัยโอกาสตอนที่สึคาสะไม่อยู่บ้าน  แผนการคงจะไปได้สวย  อากิโตะในตอนนั้นเพิ่งจะย่างสิบแปด  เป็นช่วงวัยกำลังเหมาะที่จะล่อลวงให้ติดกับ

แต่นัตสึเมะจับสังเกตได้

เขาติดฮารุกะมาก  หลังเลิกเรียนพิเศษมาจะต้องมาขลุกอยู่กับน้องทุกวัน  แน่นอนว่าเคย์โกะก็อยู่ด้วยเสมอ  นัตสึเมะเริ่มติดใจที่เคย์โกะถามเรื่องอากิโตะบ่อย ๆ  ถามไปถึงรายละเอียดยิบย่อยต่าง ๆ เช่นเรื่องของกินที่ชอบ  หรือของสะสม...มันแปลก  พวกเขาอยู่บ้านเดียวกันมาเกือบปีแล้ว  อยู่ ๆ เคย์โกะก็เพิ่งจะมาสนใจอากิโตะขึ้นมาเฉย ๆ  และการมาตะล่อมถามเขาแบบนี้มันก็แปลก  เพราะเคย์โกะกับอากิโตะก็พูดคุยกันได้ตามปกติ  อาจจะไม่สนิทสนมถึงขนาดหยอกล้อเล่นหัวกัน  แต่หลังจากที่มีฮารุกะแล้วอากิโตะก็ลดการตั้งแง่กับเคย์โกะลงและพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ  ถ้าจะถามเรื่องอะไรพวกนี้ก็น่าจะถามกับอากิโตะเอาตรง ๆ เลยก็ได้นี่นา

นัตสึเมะเป็นเด็กฉลาด  แม้จะดูซื่อ ๆ แต่ก็ซ่อนความเฉียบแหลมเอาไว้จนคุณปู่ยังออกปากชม  หากนัตสึเมะตั้งใจจริงก็คงจะเป็นนักการเมืองที่มีอนาคตไกลได้  แต่เพราะเจ้าตัวชอบทำตัวเฉื่อยชาอยู่เสมอ  ทำให้ไม่มีใครไว้วางใจในอนาคตของเด็กหนุ่มนัก
ที่นัตสึเมะทำตัวเฉื่อยชาเป็นเพราะบางครั้งเขาก็อยากให้ตัวเองเฉื่อยชาไปจริง ๆ  ในบางกรณีความฉลาดที่มากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อชีวิต...และกรณีนี้  ความฉลาดก็ทำให้เขารู้เท่าทันความคิดของเคย์โกะ

นัตสึเมะตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง  อากิโตะเป็นลูกชายคนโตของบ้าน  เป็นผู้ที่แบกรับความหวังและหน้าที่ในการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองของตระกูลทางสายนี้  อากิโตะพยายามมาตลอด  ทั้งตั้งใจเรียน  ตั้งใจฝึกกีฬา  ประพฤติตนดี  และเพิ่งก้าวขึ้นสู่การเป็นประธานนักเรียนอันเป็นก้าวสำคัญสู่เส้นทางการเมือง  อากิโตะจะต้องเดินตามรอยที่ปู่และพ่อกรุยทางไว้ให้  ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมแบกรับทุกอย่างเอาไว้ด้วยสำนึกว่ามันเป็นหน้าที่ของลูกคนโตอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจและใช้สิ่งที่แบกรับไว้เป็นแรงผลักดันให้ชีวิตเสียด้วยซ้ำ  ผิดกับนัตสึเมะที่เป็นลูกชายคนรอง  เขาถูกวางไว้ให้สืบทอดวิถีของตระกูลก็จริง  แต่ก็เป็นแค่ตัวหมากรอง ๆ หรือเป็นแค่ผู้ช่วยของอากิโตะเท่านั้น  หากชีวิตของเขาจะนอกลู่นอกทางไปบ้างก็ไม่เสียหายอะไร

แต่กับอากิโตะไม่ใช่...อากิโตะจะมีประวัติที่ด่างพร้อยไม่ได้เด็ดขาด  อากิโตะจะทำให้ปู่กับพ่อผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด  ถ้าปล่อยไปอย่างนี้  อากิโตะที่ใจอ่อนกับเคย์โกะและฮารุกะไปแล้วจะต้องเผลอตัวเข้าจนได้แน่

นัตสึเมะเป็นเด็กฉลาด...แต่ก็เป็นแค่เด็ก  เขาไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรดี  ครั้นจะไปบอกพ่อก็ยังไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้  แต่ถ้าจะรอให้มีหลักฐานอากิโตะก็คงไม่รอดปากเหยี่ยวปากกาแล้ว  นัตสึเมะรักพี่ชาย  พวกเขามีกันแค่สองคนพี่น้องมาตลอด  การปกป้องพี่ชายคนนี้ก็เหมือนกับการปกป้องอนาคตของตระกูลนั่นแหละ...ขอให้อากิโตะปลอดภัยก็พอ  ตัวเขาจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ

ในตอนนั้น  นัตสึเมะตัดสินใจเอาตัวเข้าแลก

“นี่  นัตสึเมะ  อากิโตะน่ะชอบทานไดฟุคุของร้านคุเรฮะที่อยู่หัวมุมสถานีรถไฟใช่มั้ยจ๊ะ?  ฉันจะไปซื้อมาดีมั้ยน้า?”

เคย์โกะเอ่ยขึ้นในวันหนึ่งที่นัตสึเมะเลิกเรียนพิเศษและกลับมาถึงบ้าน  อากิโตะยังไม่กลับ  เขาบอกว่าวันนี้มีประชุมสภานักเรียนและอาจจะกลับค่ำหน่อย

ระยะนี้เคย์โกะเอาอกเอาใจอากิโตะมาก  และเริ่มเดินเกมรุกอย่างเห็นได้ชัด...แต่อากิโตะที่กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องเรียนและเรื่องสภานักเรียนไม่ทันรู้ตัวหรอก

นัตสึเมะกัดริมฝีปาก  เขาตัดสินใจไปแล้วและเขาควรจะชิงลงมือก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินไป

“เคย์โกะซังครับ...”

“จ๊ะ?”

“...พอเถอะครับ”

“เอ๊ะ?”

“อย่า...ไปยุ่งกับอากิโตะเลยครับ”

เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางห้องนั่งเล่น  เคย์โกะยืนตะลึงงัน  นัตสึเมะจ้องเธอไม่วางตา...ไม่แม้แต่จะหลบสายตา  เขาเห็นความหวั่นไหวในแววตาของเธอ  เห็นความรู้สึกผิด  ความเสียใจ  และความรู้สึกตัดพ้อ

“ฉะ...ฉัน...ไม่ได้...”

“อย่าปฏิเสธเลยครับ  ผมอยู่กับคุณมาตลอด  ผมรู้ครับ...รู้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วย”

หญิงสาวไม่รู้จะทำอย่างไร  เธอไม่เคยคิดว่าความจะแตกและไม่เคยเตรียมคำปฏิเสธหรือบอกปัดเอาไว้  เธอไม่คิดว่านัตสึเมะที่ดูเฉื่อยชาจะเท่าทันเธอได้ขนาดนี้  ขนาดอากิโตะยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ...แล้วทำไมนัตสึเมะถึงได้มองเธอทะลุปรุโปร่ง

สายตาจริงจังที่มองตรงมาเหมือนจะจ้องเข้าไปในหัวใจของเธอ  นัตสึเมะไม่ได้ตำหนิอะไร...เขาเพียงแค่มองเท่านั้น  แต่เคย์โกะกลับรู้สึกร้อนรนจนแทบหาที่ยืนไม่ได้  เธออยากปฏิเสธ  อยากจะบอกว่ามันไม่ใช่แบบที่เขาคิด...แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าดวงตาคู่นี้แล้ว  เธอก็จนด้วยคำพูด  เธอรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนจนจนมุม

เคย์โกะทิ้งตัวลงกับโซฟาแล้วซบหน้ากับฝ่ามือ

“แล้วจะให้ฉันทำยังไง!?”  เธอร้องออกมาเหมือนคนไร้ทางหนี

“ทำไมคุณจะต้องทำยังไงด้วยล่ะครับ?”  นัตสึเมะย้อนถาม  เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเคย์โกะจะต้องพยายามทำอะไรผิด ๆ แบบนั้นด้วย

“ก็สึคาสะซัง...พ่อของเธอไม่เคยรักฉันเลยนี่!”

“แต่คุณพ่อรักฮารุกะมากนะครับ”  สำหรับนัตสึเมะแล้ว  การยอมรับลูกสาวก็เท่ากับยอมรับแม่ด้วยนั่นเอง

“เขารักฮารุกะ  แต่ไม่เคยรักฉันเลย!  เข้าใจมั้ย  นัตสึเมะ?  พ่อของเธอไม่เคยรักฉันเลยสักนิด!”

นั่นเป็นคำพูดที่นัตสึเมะไม่เข้าใจ  ก็ทำไมล่ะ...ขนาดกับแม่  พ่อก็ยังไม่ได้รักเลย  พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันด้วยหน้าที่  และต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี  ครอบครัวของเขาไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย  แล้วเคย์โกะจะเรียกร้องหาความรักทำไม

“ฉันก็เป็นผู้หญิงธรรมดานะ  ฉันก็ต้องการความรักความมั่นคงในชีวิต...ฉันรู้  ว่าฉันทะเยอทะยาน  มักใหญ่ใฝ่สูง  ฉันรู้ว่าพวกเธอต้องมองฉันไม่ดีมาตลอด  แต่ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา  ไม่ได้หัวดีอย่างคนอื่น ๆ  เข้ามหา’ ลัยดี ๆ ก็ไม่ได้  เป็นผู้หญิงที่หาที่ไหนก็มี  แต่ฉันอยากจะมีชีวิตที่มั่นคง...ครอบครัวของฉันมีสภาพเศรษฐกิจง่อนแง่นมาตลอด  และฉันเหนื่อยกับสภาพแบบนั้นเต็มทีแล้ว  ฉันก็แค่อยากมีบ้านที่มั่นคงด้านการเงินกับเขาบ้าง  บ้านที่มีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดแคลน  ไม่ต้องวิ่งไปทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนสองที่สามที่เพื่อหาเงินมาช่วยพ่อแม่จ่ายค่าน้ำค่าไฟ...เธอที่โตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมแบบนี้คงไม่เข้าใจสินะ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่เคย์โกะพูดถึงเรื่องครอบครัวของเธอ  นัตสึเมะไม่รู้ว่าเธอพูดความจริงหรือไม่  แต่สำหรับตัวเขาในตอนนั้นแล้ว  นั่นเป็นการเปิดหูเปิดตาครั้งแรกในชีวิต  ถูกแล้ว...เขาอยู่อย่างสุขสบายมาตลอด  ชีวิตไม่จำเป็นต้องคิดอะไรนอกจากเรียนหนังสือไปวันหนึ่ง ๆ  เมื่อถึงเวลาก็มีอาหารให้กิน  หมดวันก็เข้านอน  แค่รับผิดชอบชีวิตส่วนของตัวเอง  เรื่องในบ้านทั้งหมดเป็นหน้าที่ของแม่และแม่บ้านเท่านั้น...เขาไม่เคยรู้หรอกว่าการต้องไปทำงานหาเงินเองเป็นอย่างไร  ยิ่งเป็นการทำงานเพื่อมาช่วยค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่

“งั้น...ก็น่าจะพอแล้วนี่ครับ”  ก็ครอบครัวของเขามั่นคงแล้ว

“นัตสึเมะ...ผู้หญิงน่ะ  ต้องการมากกว่าความมั่นคงทางการเงินนะ  ฉันต้องการความรักด้วย”

เคย์โกะแค่นยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนนัตสึเมะรู้สึกประหลาดใจ  เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะบอกว่า  เอาละ  ในเมื่อเธออยากให้ฉันเปิดเผยตัวตนที่ชั่วร้ายของฉันนักละก็...ฉันจะให้เธอเห็นให้หมดเลย

“จริง ๆ แล้ว...ฉันอยากได้ความรักมากกว่า  อยากมีผู้ชายที่รักฉัน  อยากอยู่กับคนที่รักฉัน  แต่...ความรู้สึกที่ว่าอยากมีความมั่นคงทางการเงินมันฝังหัวฉันเสียจนฉันทนไม่ได้หากไปมีผู้ชายที่รักแล้วต้องปากกัดตีนถีบอีก  ดังนั้นฉันจึงเลือกผู้ชายที่ร่ำรวยไว้ก่อนเสมอ...แต่พอได้มันมาแล้ว  ฉันกลับ...”  หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ อย่างดูถูกตัวเอง  “ฉันนี่มันโลภมากจริง ๆ สินะ”

นัตสึเมะไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจถูกมั้ย  เคย์โกะเป็นผู้หญิงไม่ดี  ทะเยอทะยาน  โลภมาก  เรียกร้องต้องการไม่สิ้นสุด...แต่ทำไมนะ  เห็นสีหน้าแบบนั้นแล้วเขากลับรู้สึกสงสาร  สีหน้าของคนที่รู้ก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด  แต่ก็ไม่อาจหยุดมันได้และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับมัน  น่าสงสาร...และน่าสมเพช

ผู้หญิงคนนี้น่าสงสาร...ตอนนั้นเขาบอกกับตัวเองได้แค่นั้น

“แล้วคุณคิดว่าอากิโตะจะรักคุณได้เหรอ?”

เคย์โกะหัวเราะเบา ๆ  “ชายหญิง...ถ้าได้ใกล้ชิดกันจะต้องรักกันได้แน่  นี่เขาก็อ่อนโยนกับฉันมากขึ้นเยอะแล้วนี่”

ก็จริง...ทั้งที่เคยตั้งแง่กับเคย์โกะมาตลอด  แต่ตอนนี้อากิโตะอ่อนโยนกับเธอมากขึ้นจริง ๆ  ถ้าปล่อยไปแบบนี้...อากิโตะจะรักเธอหรือไม่ก็ไม่รู้หรอก  แต่เขาจะต้องตกหลุมพรางของเธอแน่  จะต้องเป็นไปตามแผนการของเธอแน่

ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมให้เกิดขึ้นได้  ถ้าความแตกขึ้นมา...อย่าว่าแต่กับคนวงนอกเลย  แค่กับคนในตระกูลอากิโตะก็หมดอนาคตแล้ว
นัตสึเมะจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาไม่ได้

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 16 / 29-11-58
«ตอบ #52 เมื่อ29-11-2015 20:06:21 »

“อย่าไปยุ่งกับอากิโตะเลยครับ”  เด็กหนุ่มย้ำอีกครั้ง

“แต่...”

“คุณต้องการคนที่จะอยู่กับคุณใช่มั้ย?”

เคย์โกะพยักหน้าน้อย ๆ

“ผมไง”

หญิงสาวเบิกตากว้าง  ไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้

“นัตสึเมะ!”

“ถ้าคุณต้องการคนอยู่ด้วย  ผมจะอยู่กับคุณเอง  แต่อย่าไปยุ่งกับอากิโตะ”  นัตสึเมะพูดอย่างหนักแน่น

“นี่...นี่เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา!?”

“ถ้าผู้ชายสองคนของบ้านนี้ให้ในสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้  ผมจะให้เอง...แต่คุณต้องไม่ไปยุ่งกับอากิโตะ”

“นัตสึเมะ...นี่มัน...บ้าจริง...!”

ในตอนนั้นเอง  ฮารุกะที่หลับอยู่ในเปลก็ส่งเสียงร้องออกมา  นัตสึเมะผละจากเคย์โกะไปอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นมากอด  เคย์โกะมองดูเด็กหนุ่มที่กำลังปลอบโยนลูกสาวของเธอด้วยสายตาสับสน

นัตสึเมะอ่อนโยน  ใจดี  และรักลูกสาวของเธอมาก...เคย์โกะรู้เรื่องนี้ดีมาตลอด  แต่เขายังเด็กเหลือเกิน  เธอรู้ว่าเธอต้องการผู้ชายแบบนัตสึเมะมาตลอด  แต่ที่เธอเลือกจะเข้าหาอากิโตะเพราะช่วงวัยที่ใกล้กันมากกว่า...ทว่าเมื่อดูถึงความเป็นจริงแล้ว  อากิโตะก็แก่กว่านัตสึเมะแค่สองปีเท่านั้น  ช่องว่างระหว่างอายุของเธอและพวกเขาไม่ได้ใกล้กันตรงไหนเลย  ถ้านัตสึเมะโตกว่านี้ก็ดีสิ...อย่างน้อย  ถ้าอายุเท่าอากิโตะก็ดีสิ...ถ้าแบบนั้นเธอคง...

“เคย์โกะซัง...ผมพูดจริง ๆ นะ”  นัตสึเมะพูดทั้งยังอุ้มฮารุกะที่เลิกร้องโยเยแล้ว  “ถ้าคุณต้องการคนที่จะอยู่ด้วย  ผมจะอยู่กับคุณเอง  ถ้าคุณจะไม่ไปยุ่งกับอากิโตะ...ผมจะอยู่กับคุณเอง”

ในวันนั้นเคย์โกะปฏิเสธข้อเสนอของนัตสึเมะ  แต่เธอก็ถูกสายตามุ่งมั่นจริงจังของเด็กหนุ่มจับไว้เสียแล้ว  ด้วยความสำนึกผิดบางประการหรือไม่อีกทีก็รู้ว่านัตสึเมะจับตามองอยู่ทำให้เธอเว้นระยะห่างจากอากิโตะ  เธอพยายามอยู่นิ่ง ๆ วางตัวตามปกติ  แต่เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม  ความเปลี่ยวเหงาเดิม ๆ ก็ยื่นมือมาผลักหลังเธออีกครั้ง

และเมื่อถึงจุดที่เธอทนกับมันไม่ได้...เธอก็ตอบรับคำพูดของนัตสึเมะ

ความสัมพันธ์ทางกายครั้งแรกเกิดขึ้นอย่างเปิดเผยจนน่าหวาดหวั่น  ในห้องนั่งเล่นที่มีกันเพียงสองคนหลังจากที่แม่บ้านกลับไปแล้วและฮารุกะกำลังหลับอยู่  เคย์โกะสอนนัตสึเมะที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องเชิงกามให้แทบทุกอย่างที่เธอรู้  แม้มันจะรีบร้อน  รวดเร็ว  แต่ก็ทำให้เธออิ่มเอมกับความรู้สึกที่ได้ครอบครองและสอนสั่งหนุ่มน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง

นับแต่วันนั้น  เคย์โกะก็ยึดนัตสึเมะเอาไว้เป็นของเธอ

นัตสึเมะพยายามรักษาระยะห่างไว้เพื่อไม่ให้คนในครอบครัวสงสัย  แม้ความสัมพันธ์จะดำเนินไปอย่างลับ ๆ และเคย์โกะจะรอบคอบพอที่จะไม่แสดงอาการให้ใครรู้  แต่นัตสึเมะก็กลัว...การทำความผิดและมีความลับมันเป็นแบบนี้เอง  เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้

แม้ตัวเองจะเป็นคนออกปากเสนอตัวให้เคย์โกะเอง  แต่ความหวาดกลัวนั้นก็ตามเกาะหลังเขาเหมือนเงาตามตัว  นัตสึเมะไม่เคยมีความลับกับคนในครอบครัวมาก่อน  ดังนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นก็ย่อมมีอาการแสดงออกแม้จะพยายามปกปิดไว้แค่ไหนก็ตาม  เด็กหนุ่มเริ่มพูดคุยน้อยลงและเก็บเนื้อเก็บตัว  สีหน้าท่าทางดูเป็นกังวลจนเพื่อนสนิทอย่างคิริฮาระสังเกตได้  และเมื่อถูกคิริฮาระคาดคั้นเอาหนัก ๆ เข้า  นัตสึเมะจึงยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

คิริฮาระไม่อยากเชื่อหูตัวเอง  นัตสึเมะคนนั้น...นัตสึเมะคนที่เป็นเสมือนพี่ชายของเขาคนนั้น  ทำความผิดร้ายแรงแบบนั้น...แม้เหตุผลที่บอกว่าทำเพื่อปกป้องอากิโตะจะพอฟังขึ้น  แต่สิ่งที่นัตสึเมะทำลงไปมันก็เกินจะรับได้อยู่ดี  หากก็ไม่มีใครรู้ว่าควรทำอย่างไร  คิริฮาระเสียอีกที่เป็นฝ่ายร้องไห้ออกมาก่อน  เล่นเอานัตสึเมะตกอกตกใจ

“ระ...ร้องทำไม!?”

“ฉะ...ฉัน...ช่วยอะไรนายไม่ได้เลย...”  หนุ่มน้อยคิริฮาระยกมือเช็ดน้ำตาป้อย ๆ

“บ้าแล้ว!  ช่วยไม่ได้ก็ไม่ต้องร้องสิ  เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าก็คิดว่าฉันรังแกนายหรอก”  นัตสึเมะมองไปรอบตัวเลิ่กลั่ก  ตอนนี้คือเวลาพักเที่ยงและพวกเขายังอยู่ในโรงเรียน  ถึงจะหาที่หลบมุมพูดคุยกันแล้วแต่การที่คิริฮาระร้องไห้แบบนี้มันไม่ปลอดภัยเลย

“ก็...ก็...ทีนัตสึเมะยังช่วยฉันมาตลอด...แต่ฉันช่วยนายไม่ได้เลยนี่...”

“ฉันไม่ได้ช่วยอะไร...”  ที่ผ่านมานัตสึเมะเพียงแค่รับฟังปัญหาของคิริฮาระและคอยปลอบใจเท่านั้น

แต่สำหรับคิริฮาระแล้ว  นั่นคือความช่วยเหลือสินะ

“นายช่วยรับฟังแล้วไง...แค่นั้นก็พอแล้วนี่”  นัตสึเมะตบไหล่คิริฮาระเบา ๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่นั้น  น้ำตาที่กลั้นไว้มานานไหลออกมาเงียบ ๆ พร้อมกับความรู้สึกโล่งใจบาง ๆ  “พอแล้วละ...ขอบใจมากนะ”

นับแต่นั้นนัตสึเมะกับคิริฮาระก็แบ่งกันความลับซึ่งกันและกัน  ช่วยเยียวยากันและกันแม้จะช่วยอะไรกันไม่ได้ก็ตาม  แต่ความรู้สึกที่เกาะกินใจนัตสึเมะก็ไม่ได้หายไปไหน  นัตสึเมะยังคงรู้สึกผิดและหวาดระแวงกลัวความลับจะรั่วไหลอยู่ตลอดเวลา  นั่นทำให้เขาเหม่อลอย  ไม่มีสมาธิ  และผลการเรียนตกต่ำลง  จนในที่สุดอากิโตะที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองก็ยังรู้สึกถึงความผิดปกตินั้น

“นายเป็นอะไรไปหรือเปล่า  นัตสึเมะ?”

คำถามนั้นธรรมดา  แต่นัตสึเมะสะดุ้งสุดตัว  ไม่แปลกเลยที่อากิโตะจะยิ่งจับสังเกตได้มากขึ้นไปอีก  เขาลากนัตสึเมะไปที่ห้องนอนของเขาแล้วปิดประตูลงกลอน

“เอาละ  ว่ามาซิ  นายเป็นอะไรไป?  อ้อ  ห้ามตอบว่าเปล่าหรือไม่ได้เป็นอะไร  เพราะนายเป็นอยู่เห็น ๆ”  อากิโตะดักคอทันที

นัตสึเมะกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

“...ฉันตอบไม่ได้”

อากิโตะกลอกตา  นึกอยากต่อยน้องชายสักหมัดโทษฐานที่แถหนีคำถามไปจนได้

“ตอบมา  นัตสึเมะ”  คนเป็นพี่ทำเสียงนิ่งข่มขู่

“ฉันตอบไม่ได้...ต่อให้ขู่ให้ตายฉันก็บอกนายไม่ได้”

นัตสึเมะหลบตาแล้วก้มหน้านิ่ง  แค่นั้นอากิโตะก็รู้ได้ว่าจะต้องเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับนัตสึเมะ  ถึงขนาดบอกไม่ได้นี่มันต้องแย่จริง ๆ นั่นแหละ  แต่คนแบบนัตสึเมะจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นได้  น้องชายของเขาใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอด  เรียน  เรียนพิเศษ  อ่านหนังสือ  ขนาดไม่ได้พยายามอะไรมากมายก็ยังสอบได้คะแนนดี ๆ ได้  แต่ช่วงนี้เขาสังเกตว่านัตสึเมะกลับบ้านดึกบ่อย ๆ และคะแนนสอบย่อยก็แย่ลงด้วย  มีลูกพี่ลูกน้องบางคนที่เรียนพิเศษที่เดียวกับนัตสึเมะมาบอกว่านัตสึเมะไม่ได้ไปเรียนพิเศษ  แล้วน้องชายของเขามันไปอยู่ที่ไหนมาถึงได้กลับบ้านค่ำมืดแบบนั้น  ปกติจะต้องรีบแจ้นกลับบ้านมาเล่นกับฮารุกะนี่นา  แล้วนี่ทำตัวเหมือนไม่อยากอยู่บ้านอย่างนั้นแหละ

“...ไม่อยากอยู่บ้าน...เหรอ?”  อากิโตะรำพึงกับความคิดของตัวเอง  แต่เล่นเอานัตสึเมะสะดุ้ง  แน่นอนว่าอากิโตะจับอาการนั้นได้  “นั่นไง!  นายไม่อยากอยู่บ้านจริง ๆ ใช่มั้ย?  เกิดอะไรขึ้น?”

นัตสึเมะอึกอักและเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของฮารุกะดังมาจากห้องนั่งเล่น  เขาก็สะดุ้งอีก

“ฉะ...ฉันจะลงไปดูฮารุกะ...”

นัตสึเมะหาทางบ่ายเบี่ยง  แต่อากิโตะคว้าแขนไว้

“ไม่ต้อง!”  เขาดึงน้องชายกลับมานั่งลงที่เก้าอี้  ลดเสียงลงจนแทบกระซิบ  “นาย...มีปัญหาอะไรกับเคย์โกะซังใช่มั้ย?”

คราวนี้นัตสึเมะหน้าถอดสี  เรื่องมันใกล้ตัวเขาเข้ามาทุกทีแล้ว  และเขาไม่รู้ว่าจะต้องปฏิเสธอย่างไร

“ตอบมา  นัตสึเมะ  ฉันเดาถูกใช่มั้ย?”  อากิโตะคาดคั้น

“...ฉันตอบไม่ได้...”

“ตอบมา  ฉันจะไม่บอกคุณพ่อหรอก  เพราะงั้นพูดออกมาซะ”  เพราะรู้สึกว่าเรื่องจะต้องแย่กว่าที่คิด  อากิโตะจึงตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น  แต่ไหนแต่ไรพวกเขาไม่เคยมีอะไรต้องปิดบังพ่อ  แต่ถ้าจะต้องปิดบังก็แปลว่ามันเลวร้ายมากจริง ๆ

นัตสึเมะหลับตาแน่น  เขาไม่มีทางหนีอีกแล้ว

“...ฉัน...”

เสียงสั่นพร่าลอดริมฝีปากมาไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ

“ฉัน...มีอะไร...กับเคย์โกะซัง...”

หลังจากคำนั้นคือความเงียบยาวนาน  มือของอากิโตะที่จับแขนนัตสึเมะไว้สั่นสะท้าน  เด็กหนุ่มไม่กล้ามองหน้าพี่ชายเพราะกลัวที่จะเห็นสีหน้านั้น  แต่เขาก็รับรู้ความรู้สึกของพี่ชายได้ผ่านมือนั้น

“...ทำไม...?”  อากิโตะเค้นเสียงถามออกมาอย่างยากเย็น

“...เธอ...คิดจะจับพี่...”

“แล้วนายทำบ้าอะไร!?”  อากิโตะเผลอตัวตะโกนออกมา  นัตสึเมะรีบตะครุบปากพี่ชายไว้

“อย่าเสียงดังสิ!  เดี๋ยวข้างล่างได้ยินหรอก”

อากิโตะสูดลมหายใจลึกหลาย ๆ ครั้ง  พยายามทำใจให้นิ่งก่อนจะแค่นเสียงออกมา  “แกทำบ้าอะไร...ทำไมแกไม่บอกฉัน  ไม่บอกคุณพ่อ?”

“บอกแล้วยังไง?  ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานอะไรเลย...เธอแค่คิด  แค่กำลังพยายาม  แต่ถ้าฉันปล่อยไปมันจะต้องทำให้พี่เดือดร้อนแน่  และฉันปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้”

“แล้วทำไมไม่บอกคุณพ่อ?”

“บอกได้เหรอ?  ถ้าคุณพ่อไล่เธอออกจากบ้านล่ะ?  เธอจะเป็นยังไง...ฮารุกะจะเป็นยังไง?  ไม่มีหลักฐานอะไรเลย  มันก็เหมือนฉันกล่าวหาเคย์โกะซังนั่นแหละ”

“แต่ตอนนี้มีหลักฐานแล้ว  ฉันจะไปพูดกับผู้หญิงคนนั้นให้รู้เรื่อง”  อากิโตะถลันไปที่ประตูห้อง

“อย่า!”  คราวนี้นัตสึเมะเป็นฝ่ายคว้าแขนพี่ชายเอาไว้  “พอแค่นี้เถอะ  มันไม่ได้เสียหายอะไรเสียหน่อย  ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย  ปล่อยมันไปแบบนี้เถอะ”

“แกเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย  นัตสึเมะ!?  แกทำแบบนั้นไปได้ยังไง?”

“ก็ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่  มันไม่จบแค่พี่คนเดียวนะ  พี่ต้องสืบทอดตระกูลต่อไม่ใช่เหรอ?  ต่อให้เราปิดเงียบ  แต่ถ้าวันหนึ่งที่พี่เป็นนักการเมืองเจริญรอยตามพ่อแล้ว...แล้วมีใครมาขุดคุ้ยเข้าล่ะ?  นักการเมืองหนุ่มมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับแม่เลี้ยงของตัวเอง...เอาแบบนั้นเหรอ?  มันไม่จบแค่พี่นะ  คุณพ่อก็จบด้วย  ตระกูลเราก็จบด้วย  ชื่อเสียงของอิชิกาวะที่สั่งสมมาจะไม่เหลืออะไรเลยนะ  ไหนจะญาติพี่น้องเราอีกล่ะ  พวกลูกพี่ลูกน้องที่กำลังพยายามอยู่อีกล่ะ...ไม่เหลืออะไรเลยนะ  ฉันถึงได้ทำแบบนี้ลงไปไง”

เจอเหตุผลของนัตสึเมะเข้าไป  อากิโตะก็จุกขึ้นมาถึงคอหอย...มันเป็นการกระทำที่บ้าและโง่  แต่เขาก็เถียงไม่ออก  ที่ผ่านมาเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเคย์โกะหมายหัวเขาเอาไว้  ถ้าเผลอประมาทไปมันจะกลายเป็นเรื่องแบบที่นัตสึเมะพูดมาแน่

“เป็นฉันซะก็ไม่เป็นไรหรอก  ฉันไม่ได้คิดจะสืบทอดตำแหน่งหน้าที่อะไรในตระกูลอยู่แล้ว  ไม่มีใครมาขุดคุ้ยอะไรหรอก...ต่อให้คุ้ยได้  ฉันที่จะไม่เป็นนักการเมืองก็เหมือนแกะดำของตระกูลนั่นแหละ  ทุกคนจะเข้าใจว่าฉันนอกคอกแบบนี้ถึงไม่ได้รับตำแหน่งอะไร  เรื่องมันก็จะจบแค่นั้นเอง”

“นาย...จะไม่เป็นนักการเมืองเหรอ?”  อากิโตะเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้จากปากน้องชายเป็นครั้งแรก

“ฉันไม่เคยอยากเป็นเลย  ที่ผลการเรียนแย่ลงแบบนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องเคย์โกะซังอย่างเดียวหรอกนะ...ฉันเอง  ที่ไม่อยากเอาอะไรอีกแล้ว  ฉันเบื่อที่จะเดินตามทางของอิชิกาวะแล้ว...”

“บ้าจริง...แล้วนายจะไปทำอะไร?”  สำหรับพวกเขาที่ถูกขีดเส้นทางไว้ให้เดินแล้ว  การไปแสวงหาอะไรอื่นนั้นดูจะยากเกินเอื้อม

“ก็คงทำอะไรได้สักอย่างแหละ”  นัตสึเมะตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้  ทั้งที่ก็ยังมองไม่เห็นหนทางข้างหน้าเหมือนกัน  “ปล่อยมันไปแบบนี้เถอะนะ  ฉันไม่เป็นไรหรอก  เคย์โกะซังเขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะไปยุ่งกับพี่แล้วด้วย  แบบนี้ดีแล้วละ  นึกเสียว่าเห็นแก่ฮารุกะก็แล้วกัน...อย่าไปบอกคุณพ่อล่ะ”

“...บอกได้เหรอ  เรื่องแบบนี้น่ะ...”  อากิโตะพูดเสียงอ่อยแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียง  เอื้อมมือไปตบเข่าของนัตสึเมะเบา ๆ  “...ขอโทษนะ  นัตสึเมะ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก  ฉันตัดสินใจทำลงไปเองแหละ...และฉันก็ไม่เป็นไรด้วย  ถ้าพี่โอเคก็ดีแล้วละ”

“มันก็โอเค...แต่มันไม่ดีสักนิดเลยนะ...”


แม้การเปิดเผยความลับกับพี่ชายจะทำให้หัวใจของนัตสึเมะเบาขึ้นบ้าง  แต่ด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่อยากเดินตามเส้นทางของตระกูลทำให้เขาไม่มีสมาธิที่จะเรียนหนังสือและปล่อยให้คะแนนตกต่ำลงจนโดนปู่เรียกพบ

หลังจากโดนคาดโทษ  นัตสึเมะพยายามกลับไปเป็นเด็กดีตามเดิมอีกครั้ง  แต่ก็ค้นพบว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้ว  ความมืดมนเข้ากัดกินหัวใจจนสองเท้าพาตัวเองเดินไปอย่างไม่รู้จุดหมายด้วยความคิดที่ว่าถ้าหายไปจากโลกนี้เสียได้ก็ดี
แต่คนที่หยุดเขาไว้คือคุณป้าเจ้าของร้านกาแฟแห่งนี้


“จากนั้นพี่ก็ทำงานพิเศษที่นี่โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของคุณพ่อกับคุณปู่  ดื้อหัวชนฝาจนทุกคนต้องยอม...ไม่สิ  จนไม่มีใครอยากยุ่งด้วยต่างหาก”  พูดแล้วนัตสึเมะก็หัวเราะ

ฮารุกะทำตาโตกับเรื่องที่ได้ฟังมาจนถึงตอนนี้

“นี่มันอะไรกันคะ!?  ทำไมพี่อากิโตะไม่ห้าม!?”  ฮารุกะร้องเสียงหลงกับเรื่องที่ได้ฟังมาจนถึงตอนนี้

“พี่ด่าแล้ว  มันไม่ฟัง”  ว่าพลางอากิโตะก็ยักไหล่อย่างเอือมระอา  “เธอเคยเห็นนัตสึเมะฟังที่พี่พูดเหรอ?”

“ก็ไม่เคยหรอกค่ะ  แต่อย่างน้อยพี่ก็น่าจะทำอะไรบ้าง...”  หางเสียงอ่อนลงแต่ยังมีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

นัตสึเมะพ่นลมหายใจออกจมูกเหมือนจะโล่งใจน้อย ๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“จนกระทั่งคุณป้าบอกว่าจะเลิกกิจการที่ร้าน  ตอนนั้นก็รู้สึกเคว้งไปชั่วขณะหนึ่ง  แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ไปขอให้คุณพ่อซื้อร้านนี้ให้  แล้วก็ทำร้านนี้ต่อมาเรื่อย ๆ”

เรื่องราวน่าจะจบแค่ตรงนี้  แต่คิริฮาระพูดขึ้นมาว่า

“แล้วก็กลายเป็นคนติดเหล้า  โดยอ้างว่าติดกาแฟ”

“เหล้าเหรอคะ?”  ฮารุกะร้องอีก

“กาแฟไอริชเป็นกาแฟใส่เหล้า  ปกติเขาใส่เหล้ารัมที่ใช้ทำอาหาร  แต่เจ้านี่ใส่วอดก้า  ใส่เยอะด้วย  เมื่อกี้ก็ใส่ไปตั้งหลายฝาใช่มั้ย  เจ้าขี้เมา”  คิริฮาระทำเสียงเหน็บแนม

ฮารุกะกับฟุยุกิทำตาโต

“ทำไมพี่จ๋าถึงติดเหล้าล่ะคะ?”  ฮารุกะถาม  เธอรู้ว่าพวกพี่ชายของเธอดื่มเหล้ากันบ้าง  แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดใช้คำว่าติดได้

“ก็...ถ้าไม่ดื่ม  ก็นอนไม่หลับ...”  นัตสึเมะตอบ  ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม...แต่ก็ดูเศร้าหมอง

“นอนไม่หลับเรื่องอะไรคะ?  อ๊ะ...หรือว่า...”  พูดแล้วฮารุกะก็รู้ได้ด้วยตัวเอง  เธอยกมือขึ้นปิดปากแล้วเหลือบสายตามองไปที่เพดาน...เรื่องแม่ของเธองั้นสินะ

“มันรู้สึกผิดน่ะ  รู้มาตลอดว่ามันไม่ดีก็ยังทำ  ยิ่งโตก็ยิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่อง  มันควรจะมีทางแก้ที่ดีกว่านี้  แต่ก็สงสารเคย์โกะซังจนไม่รู้จะทำอย่างไร  เลยได้แต่ปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้มาตลอด  ยิ่งฮารุกะโตขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น  กลัวว่าสักวันหนึ่ง...ถ้าฮารุกะรู้จะเป็นอย่างไร  จะรู้สึกอย่างไร  จะคิดอย่างไรกับแม่และพี่ชายของตัวเอง...ถ้าฮารุกะรู้แล้วจะเสียใจแค่ไหน  จะเสียผู้เสียคนหรือเปล่า...กลัวมาตลอด  พอกลัวจนนอนไม่หลับก็เลยต้องพึ่งเหล้าแบบนี้แหละ  พอรู้ตัวก็ติดเสียแล้ว”

“นี่มันอะไรกันคะ!?  ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้!?  ทำไมไม่มีใครคิดทำอะไรให้มันดีกว่านี้คะ!?”  ฮารุกะผุดลุกขึ้นยืนอย่างแรงจนถ้วยกาแฟบนโต๊ะเขย่า  “ทำไมทั้งพี่จ๋าทั้งคุณแม่ถึงได้...ทำไมถึงได้ทำเรื่องชั่วร้ายแบบนั้นได้ลงคอคะ!!?”

“ฮารุกะ!  พอแล้ว!!”  คนที่ตวาดขึ้นมาคืออากิโตะ

“แต่...!”

“พี่บอกให้พอ!  ทุกคนมีเหตุผลที่จะทำเรื่องไม่ดีทั้งนั้น  และนี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมากล่าวหาใครว่าชั่วร้ายได้นะ”

เด็กสาวเม้มปากแน่น  สองมือกำแน่นและสั่นระริก  เธอกระแทกตัวลงนั่งที่เดิม...ท่าทางนั้นเหมือนเคย์โกะเวลาถูกขัดใจไม่มีผิด

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 16 / 29-11-58
«ตอบ #53 เมื่อ29-11-2015 20:07:49 »

“เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพราะพี่ทำตัวเองทั้งนั้นแหละ”  นัตสึเมะยิ้มให้น้องสาวอย่างอ่อนโยน  “ทุกอย่างเป็นสิ่งที่พี่ตัดสินใจเองและทำลงไปเองทั้งนั้น  เพราะงั้นฮารุกะไม่ต้องไปโกรธคุณแม่หรอกนะ  พี่ไม่เป็นไรหรอก”

“เป็น!”  คิริฮาระแทรกขึ้นมาทันที  “ทั้งเป็นแล้วก็ผิดด้วย  ผิดทั้งเคย์โกะทั้งนายนั่นแหละ  เล่นปล่อยให้เรื่องมันยืดเยื้อมาจนถึงป่านนี้  คนหนึ่งก็สงสาร  อีกคนก็เรียกร้องหาความรัก...แล้วยังไง?  ตอนนี้นายมีความรักของตัวเองแล้ว  ยังคิดจะผูกติดอยู่กับเคย์โกะอยู่อีกเหรอ?  แล้วฟุยุกิคุงล่ะ  แล้วความสุขของนายล่ะ  มัวแต่คิดถึงคนอื่นอยู่ได้  ทำไมไม่คิดถึงตัวเองบ้าง  คนที่ไม่มีความสุขจะไปทำให้คนอื่นมีความสุขได้ยังไง  ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงฟุยุกิคุงบ้างสิ  นายจะปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังไปแบบนี้เหรอ  แล้วฟุยุกิคุงจะอยู่ในฐานะอะไรของนาย?”

“...มัน...ก็...”

นัตสึเมะเงยหน้าขึ้นมองฟุยุกิ  เด็กหนุ่มก็มองกลับมาด้วยสายตาหวั่นไหว  ที่คิริฮาระว่ามาก็ถูกแล้ว  เขาเพิ่งสารภาพรักกับฟุยุกิไปเมื่อวานนี้เอง  เป็นการพูดตรง ๆ และผ่าซากแบบที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะพูดออกไปเหมือนกัน  นั่นสินะ...ขนาดเรื่องแบบนี้ยังพูดออกไปตรง ๆ ได้  แล้วทำไมเขาถึงปล่อยให้เรื่องเคย์โกะยืดเยื้อมาจนป่านนี้  แล้วถ้าเขาไม่คิดจะจัดการอะไรเลย...ฟุยุกิจะทำอย่างไร

“นายน่ะ  เอาแต่คิดถึงคนอื่น  ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย  แรกสุดก็ฮารุกะ  แล้วก็อากิโตะ  แล้วก็เคย์โกะ  เอาแต่แคร์คนรอบตัวมาตลอด  พอถึงเวลาที่ควรจะต้องแคร์ตัวเองบ้างกลับลังเล  หัวใจของนายมันทำด้วยอะไร  นัตสึเมะ?  นายจะคิดถึงคนอื่นไปจนถึงเมื่อไร  นายเจอคนสำคัญของตัวเองแล้วนี่  แล้วนายจะแคร์คนอื่นไปทำไม  นายต้องแคร์เขาซี่  ฉันน่ะ  ช่วยดูแลฟุยุกิคุงแทนนายไม่ได้แล้วนะ  นายต้องทำเองแล้ว”  คิริฮาระพูดด้วยสีหน้าจริงจังแบบที่นาน ๆ นัตสึเมะจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง

อากิโตะที่ยืนฟังอยู่นานเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองฟุยุกิอย่างประหลาดใจ

“เด็กคนนี้...คนรักของนัตสึเมะงั้นเรอะ?”

“ใช่”

คิริฮาระตอบทันที  แต่ฟุยุกิรีบบอกปัดเป็นพัลวัน

“คะ...คนรักอะไรกันครับ!?  ผมกับนัตสึเมะซังยังไม่...!!”

“เด็กผู้ชาย...น่ะนะ?”  อากิโตะไม่ได้สนใจฟุยุกิแต่กลับถามคิริฮาระต่อด้วยน้ำเสียงงุนงง

“เด็กผู้ชายนี่แหละ”  คิริฮาระพยักหน้า

“...ไม่เห็นเคยออกอาการมาก่อนเลย...”  อากิโตะละคำพูดที่คิดว่าไม่ควรพูดไว้

“ก็น้องชายพี่อากิโตะมัวแต่ยุ่งอยู่กับแม่เลี้ยงไง  เลยไม่มีเวลาไปออกอาการเป็นเกย์น่ะ”  คิริฮาระต่อคำพูดที่อากิโตะละไว้ออกมาอย่างแจ่มแจ้ง  “อ๊ะ  ไม่สิ  นัตสึเมะไม่ใช่เกย์หรอกนะ  ก็แค่ชอบฟุยุกิคุงคนเดียวเท่านั้นแหละ  เรื่องนี้ฉันยืนยันได้”

ฟุยุกิหน้าแดงก่ำกับคำพูดนั้น  ยกมือขึ้นปิดหน้าพยายามเถียงอะไรที่ฟังไม่เป็นภาษามนุษย์  แค่ที่นัตสึเมะสารภาพรักเขามันก็กะทันหันเกินไปอยู่แล้ว  นี่คิริฮาระยังมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพี่ชายกับน้องสาวของนัตสึเมะในสถานการณ์แบบนี้เสียอีก  เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหนแล้ว

“งั้นรึ...คนรักของนัตสึเมะงั้นรึ...”  อากิโตะพึมพำกับตัวเอง  ก่อนจะหันไปพูดกับนัตสึเมะด้วยสีหน้าจริงจัง  “นัตสึเมะ  ถ้างั้นก็ถึงเวลาที่นายต้องตัดสินใจทำอะไรลงไปให้ชัดเจนแล้วละ  ว่านายจะเลือกอยู่กับเด็กคนนี้  หรือจะปกป้องเคย์โกะซังต่อไป”

“...เรื่องนั้น...”  นัตสึเมะได้แต่ก้มหน้านิ่ง

“ไม่มีเวลามาอ้ำอึ้งแล้ว  นายต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลย”

อากิโตะเน้นเสียงแล้วเดินตรงไปที่บันได  ขึ้นไปยังชั้นบน  ก่อนจะกลับมาพร้อมกับเคย์โกะที่ยังไม่ได้สติในอ้อมแขน

“พี่...?”

“จากนี้ฉันจะทำในสิ่งที่คนเป็นพี่ควรทำมาตั้งนานแล้วเสียที  ส่วนนาย...หน้าที่ของนายคือตัดสินใจซะ  ตอบฉันมาซะว่านายจะเลือกใคร”

“ก็...”  นัตสึเมะมีสีหน้าลำบากใจ  แต่ถึงอากิโตะจะไม่คาดคั้น  เขาก็ตัดสินใจไปตั้งนานแล้ว  “ก็ต้องฟุยุกิคุงสิ”

“ดี!  ฉันจะจัดการให้เรื่องมันเรียบร้อย  แล้วจะติดต่อมาทีหลัง”

“พี่คิดจะทำอะไรน่ะ?”

อากิโตะแค่ยักไหล่แต่ไม่ตอบอะไร  เขาหันไปพูดกับฮารุกะ

“ฮารุกะ  กลับกันได้แล้ว”

“อะ...เอ๊ะ?  แต่...แต่หนู...”

“พี่รู้ว่าเธอสับสน  แต่กลับได้แล้ว  นัตสึเมะมีเรื่องที่ต้องคิดและพวกเราก็มีเรื่องที่ต้องทำเหมือนกัน”

พูดแค่นั้นแล้วอากิโตะก็ตรงดิ่งไปที่ประตูบ้านแล้วออกไปทันที  จนฮารุกะต้องรีบตามไปด้วย

เด็กสาวมีท่าทีลังเลอยู่นิดหนึ่ง  เธอหันกลับมามองนัตสึเมะด้วยสายตาหวั่นไหวและสับสน  คิริฮาระคิดว่าเธอจะกลับมากอดพี่ชายสุดที่รักของเธอสักครั้ง  แต่ไม่...ฮารุกะมีสีหน้าเจ็บปวดแล้วตามอากิโตะออกจากบ้านไปโดยไม่แม้แต่จะกล่าวคำอำลา

เมื่อสองพี่น้องอิชิกาวะออกไปแล้ว  ทั้งบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบ

“เอาละ  ฉันก็กลับบ้าน...ไม่สิ  ฉันไปทำงานดีกว่า  ฟุยุกิคุงก็ไปกับผมดีกว่านะ”  คิริฮาระตบบ่าฟุยุกิที่ยังยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น

“เดี๋ยว!  มันอะไรกันน่ะ  พี่เขาคิดจะทำอะไรน่ะ  คิริฮาระ?”  นัตสึเมะดูร้อนรนขึ้นมาอย่างแปลก ๆ

คิริฮาระยักไหล่  “ใครจะไปรู้  นายเป็นน้องแท้ ๆ ยังไม่รู้  แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าพี่อากิโตะคิดอะไรอยู่”

“แต่สังหรณ์ไม่ดีเลยนะ”

คิริฮาระเหยียดยิ้มเหมือนแมวเจ้าเล่ห์

“เชิญสังหรณ์ไปตามสะดวกเถอะ  พ่อนักบุญ  พรุ่งนี้วันพุธหยุดร้านด้วย  สังหรณ์ไปทั้งวันเลยนะ  เดี๋ยววันพฤหัส ฯ ฉันจะพาฟุยุกิคุงกลับมาส่ง”

“หะ...หา!?”  นัตสึเมะกับฟุยุกิร้องออกมาพร้อมกัน

แต่ยังไม่ทันที่ใครจะว่าอะไรต่อ  คิริฮาระก็คว้ากระเป๋าของตัวเองกับของฟุยุกิขึ้นมาแล้วลากฟุยุกิออกจากบ้านไปทันที  แต่ยังไม่วายทิ้งท้าย

“แต่คืนนี้ห้ามดื่มกาแฟขี้เมาอีกแล้วนะ  นายดื่มมากพอแล้ว  ไปนอนซะ”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 17 / 9-12-58
«ตอบ #54 เมื่อ09-12-2015 11:45:33 »

สวัสดีครับ
พอดีผมรักษา 3G มาได้ถึงวันที่ 9 เป็นครั้งแรก (ปกติหมดตั้งแต่วันที่ 5 ไม่รู้ใช้อะไรนัก)
อัพโลดครับ อัพโลด

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 17

นัตสึเมะลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง  แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทาบลงบนใบหน้าของเขาพอดี...แดดส่องตา...เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลยตั้งแต่เปิดร้านมา  เพราะต่อให้เป็นวันหยุดเขาก็ตื่นเช้าเป็นนิสัย  ที่ตื่นสายขนาดนี้มันต้องมีสาเหตุ

ชายหนุ่มยกมือขึ้นแปะหน้าผากตัวเอง  ทั้งที่สมองมึนงงไปหมดแต่ก็ไม่มีไข้...แล้วมึนเรื่องอะไร  นัตสึเมะพยายามนึกทบทวนแต่เหมือนในหัวมันว่างเปล่า  เหมือนบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ มันขาดหายไป...อย่ากระนั้นเลย  ลงไปดื่มกาแฟสักแก้วคงช่วยให้หัวโล่งขึ้น

คำตอบแสดงอยู่ในห้องครัว  ถ้วยกาแฟที่นัตสึเมะชงให้ทุกคนเมื่อคืนยังวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว  นึกออกแล้ว...เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน  แต่นึกออกแล้วยังไงต่อล่ะ...

นัตสึเมะเก็บถ้วยกาแฟทั้งหมดไปวางไว้ในอ่างล้างจานแล้วลงมือชงกาแฟสำหรับตัวเอง  สำหรับตอนเช้า  เขาชอบดื่มกาแฟดำธรรมดามากกว่า  แต่เมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่เหนือประตูบ้านก็ถึงได้รู้ตัวว่าเลยเที่ยงมาแล้ว  ชายหนุ่มกุมขมับ...ไม่ใช่แค่ตื่นสาย  แต่ตื่นบ่ายเลยทีเดียว...เรื่องเมื่อคืนคงช็อกเขามากถึงขั้นหลับยาวขนาดนี้

แต่ในหัวก็โล่งอย่างประหลาด  นัตสึเมะจำได้ว่าเมื่อคืนหลังจากที่ทุกคนกลับไปหมดแล้วเขาก็อาบน้ำแล้วขึ้นเตียง...หลับสนิทมาจนแดดส่องหน้านี่แหละ  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์วอดก้าในกาแฟไอริชที่ดื่มเข้าไป  มันก็แปลกตรงที่เขาก็ดื่มหนักแบบนั้นทุกวันอยู่แล้ว  แต่ไม่เคยมีวันไหนที่หลับสนิทขนาดนี้มาก่อน  ชายหนุ่มเอาหน้าซบลงกับโต๊ะกินข้าวพยายามจะคิด...แต่ก็ไม่รู้จะคิดอะไร  ในสมองมันว่างเปล่าไปหมด

เรื่องที่ผูกมัดชีวิตมาตลอดสิบห้าปีถูกกระตุกปมให้คลายออกไปชั่วคืนเดียว  แม้มันจะยังไม่คลี่คลายออกทั้งหมด  แต่การได้เผยความลับออกไปจนหมดเปลือกกับทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ทำให้โล่งได้ขนาดนี้

ไม่มีกะใจจะทำอะไรแล้ว...นัตสึเมะดื่มกาแฟอุ่น ๆ จนหมดถ้วยแล้วกลับขึ้นไปนอน  ทั้งที่เพิ่งตื่นมาแต่พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับต่อได้ทันที

ในความฝันสีขาวโพลนมีใบหน้าของใครต่อใครปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด  ทั้งตัวเองในวัยเด็กและตอนวัยรุ่น  พ่อแม่และพี่ชาย  คิริฮาระ  เคย์โกะกับฮารุกะ  คุณป้าเจ้าของร้านกาแฟ...และฟุยุกิ  เขาเห็นใบหน้าของตัวเองในช่วงวัยต่าง ๆ ทับซ้อนลงกับใบหน้าของฟุยุกิ  เด็กหนุ่มอ่อนโลกที่สับสนในชีวิตและไม่รู้จะหันไปพึ่งพาใคร  นัตสึเมะรู้สึกเหมือนกำลังมองตัวเองในตอนนั้นผ่านฟุยุกิแล้วก็รู้สึกอยากปกป้อง  บางทีความรู้สึกนั้นอาจจะเกิดขึ้นเพราะอยากปกป้องตนเองที่ไม่สามารถปกป้องได้ในตอนนั้นก็เป็นได้

แต่เขารู้ว่าเขาชอบฟุยุกิ  จะเรียกว่ารักได้หรือยังก็ไม่รู้...แต่เขาชอบฟุยุกิ  อยากเห็นเด็กคนนั้นยิ้มเยอะ ๆ  อยากเห็นสีหน้าตื่นเต้นเวลารู้เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน  อยากจะเห็นสีหน้าต่าง ๆ ของเด็กคนนั้นให้มากกว่านี้...ถ้าอย่างนั้น  ก็คงต้องอยู่เคียงข้างให้ใกล้ชิดกว่านี้สินะ...


 นัตสึเมะรู้สึกเหมือนตัวเองหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่นานราวกับยามเช้าไม่มีวันมาถึง  กระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างมึนงงอีกครั้ง  มือถือของเขามักจะวางไว้ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์และแทบจะไม่เคยร้องเลย  เขามีเพื่อนน้อยและคิริฮาระก็มาหาเขาแทบทุกวัน  คนในครอบครัวก็รู้ดีว่าเขาทำงานจนไม่ค่อยมีเวลารับสายส่วนใหญ่จึงส่งข้อความมาทิ้งไว้  เขามีมันไว้โทรออกไปหาคนอื่นเสียมากกว่า...ถ้ามันดังขึ้นแบบนี้ก็แปลว่ามีเรื่องด่วน

นัตสึเมะเดินกึ่งฝันกึ่งตื่นไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายโดยไม่ทันดูหมายเลขโทรเข้า

“...ครับ?”

“นัตสึเมะ!  นัตสึเมะ  ช่วยด้วย”

เสียงหญิงสาวดังมาจากปลายสาย  นัตสึเมะนึกอยู่ครู่หนึ่งว่านั่นเป็นเสียงใคร

“...เคย์โกะ...ซัง?”

“นัตสึเมะ  ช่วยด้วย!  มาที่บ้านที”

“ที่บ้าน...?  เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”  ชายหนุ่มถามกลับไปเรียบ ๆ  สมองที่มึนจากการนอนยาวยังจับต้นชนปลายไม่ได้  ไม่รับรู้ถึงความร้อนรนในน้ำเสียงนั้น

“ฮารุกะ...ฮารุกะ...”

มีเสียงสะอื้นปนมาด้วย  คราวนี้นัตสึเมะตื่นตัวทันที

“ฮารุกะเป็นอะไร!?”

“ฮารุกะไม่ยอมออกจากห้องมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว  ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน...นัตสึเมะ  ช่วยที...ช่วยพูดกับฮารุกะที”

“ครับ...ครับ  ผมจะไปเดี๋ยวนี้”  นัตสึเมะรับคำแล้ววางสาย

ชายหนุ่มลงไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเอง  ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาดูโทรมและอิดโรยอย่างประหลาด...ทั้งที่นอนตั้งเยอะแล้วแท้ ๆ  ทำไมถึงดูเหนื่อย ๆ กันนะ...แต่ไม่มีเวลาจะคิดแล้ว  เขารีบล้างหน้าล้างตาแล้วกลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า  ท้องฟ้ายามเย็นปรากฏอยู่นอกหน้าต่าง  นัตสึเมะหวีผมที่ยาวเลยบ่าแล้วรวบไว้คร่าว ๆ อย่างเคย  หลังจากที่ขึ้นมานอนเขาคงหลับต่อจนถึงเย็นสินะ  แต่รู้สึกเหมือนหลับไปนานเหลือเกิน

ชายหนุ่มล็อกประตูบ้าน  สองเท้าก้าวยาว ๆ ไปตามเส้นทางคุ้นเคยมุ่งสู่สถานีรถไฟ  ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องทัก

“อ้าว  มาสเตอร์  สวัสดีค่ะ”

“ครับ?”  พอหันไปมองก็พบว่าเป็นเด็กนักศึกษาลูกค้าประจำที่ร้าน

“วันนี้ปิดร้านเหรอคะ?  เมื่อกลางวันแวะไปไม่เห็นเปิด  มีธุระเหรอคะ?”  เธอทักทายอย่างเป็นกันเอง

“ก็วันนี้วันหยุดนี่ครับ”  นัตสึเมะตอบกลับไปอย่างงง ๆ  ทุกคนรู้อยู่แล้วนี่ว่าเขาปิดร้านทุกวันพุธ

“มาสเตอร์ปิดร้านสองวันติดเลยนะคะ?”  นักศึกษาสาวชักงงด้วย

เห็นสีหน้าของเธอแล้ว  เจ้าของร้านกาแฟก็ชักไม่แน่ใจ  เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามไปว่า

“...วันนี้...วันพฤหัส ฯ...?”

“ก็วันพฤหัส ฯ น่ะสิคะ”  เธอเอียงคอตามสไตล์เด็กสาว  ชักสงสัยว่าคุณมาสเตอร์ของเธอเป็นอะไรไปหรือเปล่า

นัตสึเมะกุมขมับ...เขากลับขึ้นเตียงตอนบ่ายแล้วนอนต่อจนเย็นย่ำจริง ๆ นั่นแหละ  แต่ไม่ใช่เย็นวันพุธ  เขาหลับข้ามวันเลยทีเดียว...มิน่า  หน้าตาถึงได้ดูโทรมนัก  ไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนี่เอง

“มาสเตอร์ไม่สบายหรือเปล่าคะ?”

“ก็...นิดหน่อยครับ  ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”  เขาพยายามบอกปัดไป

“ถ้ายังไงพรุ่งนี้ก็หยุดอีกสักวันก็ได้นะคะ  รักษาสุขภาพก่อน  ฉันจะบอกเพื่อน ๆ ให้”

“ขอบคุณมากครับ  ยังไงก็แวะมาดูนะครับ  อาจจะเปิด”  นัตสึเมะยิ้มให้กับความมีน้ำใจของเธอ  “งั้นขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ  หายไว ๆ นะคะ”

นัตสึเมะแยกจากลูกค้าแล้วมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟทั้งยังงงอยู่เล็กน้อย  งงกับตัวเองที่นอนข้ามวันข้ามคืนได้แบบไม่รู้ตัว...แล้วที่เขาไม่เปิดร้านวันนี้  ฟุยุกิคงเป็นห่วงแย่แล้ว  แต่ยังไงก็ต้องไปดูฮารุกะที่บ้านก่อน

บ้านเกิดของนัตสึเมะอยู่ออกไปทางชานเมืองย่านที่อยู่อาศัยของคนที่ค่อนข้างมีฐานะ  บ้านขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่โตโอ่อ่าอะไรมากมายแต่ห้อมล้อมด้วยสวนสวยและต้นไม้ใหญ่หลายต้นคือบ้านที่นัตสึเมะอยู่มาตั้งแต่เกิดจนไปมีร้านกาแฟของตัวเอง  แม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่มีตำแหน่งทางการเมืองมาหลายชั่วคนแต่แม่ของนัตสึเมะตั้งใจจะดูแลบ้านเองจึงเลือกจะมีบ้านหลังเล็ก ๆ  พวกเขามามีแม่บ้านก็ตอนที่แม่เสียชีวิตแล้วนั่นเอง

และคุณแม่บ้านกำลังยืนกระวนกระวายรอรับนัตสึเมะอยู่หน้าบ้าน

“ทานากะซัง...ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ?”

“ก็รอนัตสึเมะซังอยู่นี่แหละค่ะ”

“แล้ว...เกิดอะไรขึ้นครับ  เป็นยังไงบ้าง?”

“ก็ฮารุกะซังไม่ยอมออกจากห้องน่ะสิคะ  แล้วเคย์โกะซังก็ดูฟูมฟายแปลก ๆ ด้วย...ยังไงดีล่ะคะ  ฉันก็ไม่เคยเห็นเคย์โกะซังเป็นอะไรแปลก ๆ แบบนั้นนะคะ”  สีหน้าของคุณแม่บ้านดูเป็นกังวล  เธอรู้ว่านายหญิงของเธออารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นปกติแต่ก็ไม่เคยดูประสาทเสียมากขนาดนี้  และปกติพวกเธอก็เข้ากันได้ดี

นัตสึเมะพอจะรู้สาเหตุที่เคย์โกะดูแปลกในสายตาของทานากะ  ขนาดเขาเองยังเสียศูนย์  เคย์โกะก็คงได้รับผลกระทบไม่น้อยไปกว่ากัน

“ทานากะซังกลับบ้านก่อนก็ได้ครับ  เดี๋ยวผมจัดการเอง”

“...ไม่เป็นไรแน่นะคะ?”  ทานากะยังเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ที่เคย์โกะซังแปลก ๆ คงเพราะ...เข้าวัยทอง...”  นัตสึเมะตอบพร้อมกับยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนให้แม่บ้านสบายใจ

“ว้าย!  หยาบคาย  นัตสึเมะซังละก็”  คุณแม่บ้านร้องพลางตีแขนนัตสึเมะ  “เอาเถอะค่ะ  ถ้าคุณพูดแบบนี้ก็คงไม่เป็นไรหรอก  งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะคะ  ฝากดูเคย์โกะซังกับฮารุกะซังด้วย”

“ครับ  เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”

ทานากะขอตัวกลับ  ไม่ใช่เธอไม่เป็นห่วงแต่เธอรู้ว่านี่น่าจะเป็นปัญหาในครอบครัวซึ่งเธอไม่ควรยุ่ง  บ่อยครั้งที่เคย์โกะมีปัญหาอะไรกับฮารุกะแล้วนัตสึเมะจะถูกเรียกตัวมาเสมอ  และทุกครั้งก็จบลงด้วยดี  ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน  นัตสึเมะคงจัดการปัญหาได้แน่

ชายหนุ่มยืนมองคุณแม่บ้านจนลับตาไปจึงได้เข้าบ้าน  ทันทีที่ก้าวเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น  เคย์โกะกำลังร้องไห้อยู่ในห้องนั่งเล่น  นัตสึเมะเดินเข้าไปหาเธอ

“ไม่เป็นไรนะครับ  เคย์โกะซัง?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตานองหน้า  พอเห็นคนตรงหน้า  หน้าตาที่บิดเบี้ยวจากการร้องไห้ก็ยิ่งเบ้หนักจนหมดสวย

“จะไม่เป็นไรได้ยังไงเล่า  นัตสึเมะบ้า!”  เธอต่อว่าแล้วลุกขึ้นมากอดชายหนุ่มไว้

แต่นัตสึเมะไม่ได้กอดเธอตอบ  เคย์โกะเองก็ประหลาดใจกับปฏิกิริยานั้น  ในที่สุดเธอก็ผละตัวออกแล้วมองหน้านัตสึเมะ...สายตาที่มองตอบกลับมาบอกชัดทุกอย่าง  เขาจะไม่มีอ้อมกอดให้เธออีกแล้ว

“ฮารุกะ...เป็นยังไงบ้างครับ?”

น้ำเสียงนั้นแทบจะทำให้เคย์โกะร้องไห้มากกว่าเดิม  เปล่า...นัตสึเมะไม่ได้เย็นชากับเธอ  ตรงกันข้าม  ทั้งสายตาและน้ำเสียงนั้นอ่อนโยน  ดวงตาคู่นั้นมีแววสงสารจนเกือบจะสมเพชด้วยซ้ำ

ในคืนนั้นเธออาละวาดฟูมฟายจนไม่ได้สติก็จริง  แต่อากิโตะเล่าให้เธอฟังหมดแล้ว  นัตสึเมะเล่าเรื่องระหว่างเขากับเธอให้ทุกคนฟังหมดแล้ว  ตัวอากิโตะเองก็รู้มานานแล้ว...และ...ฮารุกะก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

ดังนั้น...นัตสึเมะจะไม่เป็นของเธออีก  จะไม่มีอ้อมกอดให้เธออีกต่อไปไม่ว่าเธอจะเรียกร้องสักแค่ไหน  นัตสึเมะเลือกแล้ว  เขาตัดสินใจจะจบความสัมพันธ์กับเธอ

ส่วนฮารุกะ...

“...เมื่อวาน...ฮารุกะไปโรงเรียน  พอกลับมาเจอฉัน...ก็...ก็ร้องไห้...แล้วไม่ยอมออกจากห้องอีกเลย...”  เคย์โกะตอบด้วยน้ำเสียงขาดห้วงเพราะแรงสะอื้น

อากิโตะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังหลังจากที่ฮารุกะไปโรงเรียนแล้ว  ทำให้เธอเข้าใจท่าทางกระด้างเย็นชาของลูกสาวที่มีต่อเธอในตอนเช้าได้  และตอนที่ฮารุกะกลับเข้าบ้าน  เธอก็พยายามจะคุย...แต่ลูกสาวไม่ฟัง

“ทะเลาะกันเหรอครับ?”

“ถ้า...ทะเลาะกันก็ดีสิ...”  อย่างน้อยเธอก็จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะง้อลูกสาวได้

“ไม่เป็นไรนะครับ  เดี๋ยวผมจัดการเอง”  นัตสึเมะจับไหล่เคย์โกะแล้วบีบเบา ๆ

แม้จะไม่มีอ้อมกอด  แต่มือใหญ่นั้นยังคงสร้างความเชื่อมั่นให้เคย์โกะได้เสมอ  เธอพยักหน้าน้อย ๆ

“ฝาก...ฮารุกะด้วยนะ...”

นัตสึเมะขึ้นไปบนห้องของน้องสาวพร้อมกับขวดน้ำและถ้วยนมอุ่น ๆ  เขาเคาะประตูห้องเบา ๆ

“ไม่ต้องมายุ่งกับหนู!!”  เสียงแหบพร่าตวาดกลับมา

“ไม่ให้ยุ่งจริง ๆ น่ะเหรอ?”  นัตสึเมะถามกลับไป

ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงเจ้าของห้องกระวีกระวาดมาที่ประตูห้อง  แต่แล้วกลับชะงักก่อนจะเปิดประตู

“พี่จ๋า?”

“พี่เอง”

“พี่จ๋ามาทำไมคะ?”  น้ำเสียงนั้นค่อนข้างเย็นชา

นัตสึเมะลอบถอนใจเบา ๆ  ปฏิกิริยาของฮารุกะเมื่อคืนก่อนบอกชัดว่าเธอรับการกระทำของเขาไม่ได้  จึงไม่แปลกที่เธอจะไม่ยินดีต้อนรับเขาอีกต่อไป  แต่ยังไงเขาก็ต้องดูแลเธอที่เป็นน้องสาวคนเดียวอยู่ดี

“มีคนบอกว่าฮารุกะไม่ยอมออกจากห้องตั้งแต่เมื่อวานแน่ะ  พี่เลยมาดูเสียหน่อย”

“จะมาดูทำไมคะ?  ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยเถอะค่ะ  คุณแม่อยู่ข้างล่าง”  หางเสียงสะบัดและเต็มไปด้วยความประชดประชัน

ชายหนุ่มอมยิ้มกับตัวเองนิด ๆ  น้องสาวตัวน้อยของเขาโตพอจะทำสุ้มเสียงแบบนี้เป็นแล้วหรือนี่

“เจอแล้วละ  เคย์โกะซังเขาเป็นห่วงฮารุกะมาก  เลยโทรตามพี่มานี่แหละ”

“จะมาเป็นห่วงหนูทำไม  เป็นห่วงตัวเองกันเถอะค่ะ”

“จะไม่ให้ห่วงจริง ๆ น่ะเหรอ  แน่ใจนะ?”

คราวนี้ในห้องเงียบไป  ฮารุกะกำลังลังเล  เธอรู้ว่านัตสึเมะรักและเอ็นดูเธอมาก  แต่ในขณะเดียวกันก็เข้มงวดกับเธอไม่น้อย  แม้จะเป็นพี่ชายใจดี  แต่ถ้าดื้อดึงมาก ๆ ก็สามารถทำโทษเธอได้อย่างไม่ลังเลเช่นกัน  ถ้าขืนเธอยังทำฤทธิ์มากไปกว่านี้นัตสึเมะได้กลับไปจริง ๆ แน่

เด็กสาวเปิดประตูห้องในที่สุด  เธอชะโงกหน้าออกมากวาดตามองไปรอบ ๆ

“เคย์โกะซังอยู่ข้างล่าง  ไม่ได้เอาใส่กระเป๋าเสื้อมาด้วยหรอกน่า”  นัตสึเมะประชดนิด ๆ พร้อมรอยยิ้มแล้วเข้าห้องไป

ห้องของฮารุกะตกแต่งน่ารักสมกับเป็นห้องของสาวน้อย  นัตสึเมะวางน้ำและถ้วยนมลงบนโต๊ะเขียนหนังสือของน้องสาว

“ดื่มนมซะ  ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานไม่ใช่เหรอ?”

“...ค่ะ...”  ฮารุกะหยิบถ้วยนมขึ้นมาจิบแต่โดยดี  ผมเผ้าและหน้าตาของเธอยับยู่ยี่พอ ๆ กับเคย์โกะ  รอยช้ำใต้ตาและดวงตาแดงก่ำบอกถึงความทุกข์แสนสาหัสที่ไม่เคยประสบมาก่อน

นัตสึเมะไม่อยากเห็นสีหน้าแบบนี้ของผู้หญิงทั้งสองคนในชีวิต  แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้วก็ช่วยไม่ได้  จากนี้เขาทำได้แค่เฝ้าดูและให้กำลังใจให้ทั้งสองเดินต่อไปได้เท่านั้น

ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน  ครั้งนี้นัตสึเมะไม่ได้เปิดฉากพูดคุยก่อน  ฮารุกะสับสนเกินกว่าที่เขาจะไปเค้นถามหรือกระตุ้นให้เธอพูดได้  เด็กสาวต้องการเวลาปรับตัวปรับใจจนกว่าจะถึงเวลา...แล้วเธอจะพูดออกมาเอง

“หนู...เป็นคนบอกคุณแม่เองว่า...พี่จ๋ามีแฟน”

นัตสึเมะเลิกคิ้วน้อย ๆ  นึกสงสัยว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น  แต่ยังไม่ทันถาม  ฮารุกะก็พูดต่อ

“หนูเห็นพี่จ๋าหอมแก้มคนอื่น...แล้วก็เห็นเสื้อผ้าผู้หญิงในตู้เสื้อผ้าของพี่จ๋า  หนูเลยคิดว่าพี่จ๋ามีแฟนแล้ว”  เด็กสาวอ้อมแอ้ม  “แต่หนู...ไม่คิดว่าจะเป็นคนละเรื่องกัน”

ตอนนี้ฮารุกะคงรู้แล้วว่าเสื้อผ้าในตู้นั่นเป็นของเคย์โกะ  และเธอคงเดาได้จากสถานการณ์เมื่อคืนนั้นว่าคนที่เขาหอมแก้มไปคือฟุยุกิ  เธออยู่ในเหตุการณ์ด้วย  และฟุยุกิก็อยู่ในบ้านตอนที่เขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังด้วย...ฮารุกะอาจจะสับสนยิ่งขึ้นกับเรื่องที่เขาชอบผู้ชายก็เป็นได้

“พี่จ๋าชอบคุณพี่คนนั้นเหรอคะ?”

นั่นไง...ฮารุกะเดาถูก

“ชอบสิ”  นัตสึเมะยอมรับง่าย ๆ

“ถ้าคิดจะไปชอบคนอื่นแล้วทำแบบนั้นกับคุณแม่ทำไมคะ?”  เด็กสาวเสียงแข็ง

“พี่บอกแล้วนี่ว่ามันคนละเรื่องกันน่ะ”

“...เพราะแค่สงสารน่ะเหรอคะ  ถ้าไม่ได้รักแล้วพี่จ๋าไปมีอะไรกับคุณแม่ทำไมคะ?”  ถึงตอนนี้มือที่กุมถ้วยนมก็สั่นระริก

“ความสัมพันธ์ทางกายกับความรัก...มันคนละเรื่องกันนะ  ฮารุกะ”  เสียงของนัตสึเมะสงบนิ่ง  เกือบจะเหมือนเสียงครูเวลาสอนหน้าห้องเรียน

“...เอ๊ะ?”

“ฮารุกะคงคิดสินะว่ารักเท่ากับความสัมพันธ์ทางกาย  แต่พี่จะบอกให้ว่ามันไม่ใช่หรอก...สำหรับผู้ชายแล้วมันไม่ใช่เลย  ในบางส่วนมันใช่  แต่ในบางส่วนมันแยกจากกันโดยสิ้นเชิง...และความสัมพันธ์ของพี่กับเคย์โกะซัง  สองเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย”

“หมายความว่าพี่จ๋ามีอะไรกับคุณแม่ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยงั้นเหรอคะ?”  เสียงของสาวน้อยเริ่มหวีดแหวขึ้นทุกที

“จะว่าแบบนั้นก็ได้”

นอกจากความสงสารแล้ว  ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของสิ่งที่เรียกว่ารัก

“เห็นแก่ตัว!  เห็นแก่ตัวที่สุด!!”  ฮารุกะลุกขึ้นยืน  ถ้วยนมในมือหล่นลงบนพื้นพรมกลิ้งไป  นมสาดเลอะไปทั่ว  “หนูไม่คิดเลยว่าพี่จ๋าจะเห็นแก่ตัวแบบนี้!”

นัตสึเมะมองน้องสาวที่กำลังเกรี้ยวกราด  สมควรแล้วที่เขาจะโดนว่าแบบนี้  และในส่วนลึกเขาก็ดีใจที่ฮารุกะต่อว่าเขาเรื่องนี้  นั่นแปลว่าเธอที่ยังมีความคิดเช่นนี้ยังมีหัวใจที่บริสุทธิ์มากพอ  เธอยังไม่รีบร้อนโตไปเป็นสาวกร้านโลกแบบที่เขาเคยเห็น

“เห็นแก่ตัวทุกคนเลย!  ทั้งพี่จ๋า  ทั้งคุณแม่!  คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง  ไม่คิดถึงใจคนอื่นเลย!  ทั้งที่รู้ว่ามันผิดก็ยังจะทำ  ทั้งที่รู้ว่าสักวันต้องมีคนรู้ก็ยังจะทำ  ไร้สามัญสำนึกที่สุด!!”

“อย่าว่านัตสึเมะแบบนั้นนะ  ฮารุกะ!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตูห้อง  ฮารุกะหันขวับไปดู  แม่ของเธอยืนอยู่ที่นั่น  เมื่อกี้ตอนที่เปิดให้นัตสึเมะเข้ามาเธอลืมล็อกห้อง

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 17 / 9-12-58
«ตอบ #55 เมื่อ09-12-2015 11:47:45 »

“นัตสึเมะไม่ได้เห็นแก่ตัวสักนิดเลยนะ  แม่ผิดเอง!  ทั้งหมดเป็นเพราะแม่เอง!”

“รู้ตัวด้วยเหรอคะ!  คุณแม่ผิดที่ดันเรียกร้องหาอะไรไร้สาระแบบนั้น  แล้วพี่จ๋าก็ผิดที่ดันไปตอบสนองคุณแม่แบบโง่ ๆ!  บ้าที่สุด!  ไร้สาระที่สุด!”  ฮารุกะขึ้นเสียงใส่เคย์โกะ

“ผู้ใหญ่ก็มีเหตุผลของผู้ใหญ่นะ!”  เคย์โกะเถียงกลับ

“เหตุผลไร้สาระน่ะสิคะ!  เรียกร้องหาความรัก...ไม่ได้จากคุณพ่อก็จะไปเอาจากพี่อากิโตะ  แล้วก็มาเรียกร้องกับพี่จ๋า  แล้วคุณแม่ได้อะไรคะ!?  เคยมีใครรักคุณแม่บ้าง!?”

“ก็มีฮารุกะยังไงล่ะ”  นัตสึเมะขัดขึ้นเรียบ ๆ

ฮารุกะชะงักทันที  เธอหันขวับไปหาพี่ชาย  ลมหายใจปั่นป่วนรุนแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว  สองมือที่กำเกร็งสั่นระริก  แววตาฉาบด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ

“ที่โกรธพี่ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะรักเคย์โกะซังหรอกเหรอ”

“หนูโกรธเพราะโกรธค่ะ!  คุณแม่...คุณแม่น่ะ  ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่แล้วยังเรียกร้องอะไรไม่ได้ความอยู่ได้  คนเราถ้ารักตัวเองเสียอย่างจะต้องไปหาความรักจากคนอื่นทำไมคะ!”

“อย่าเอาขี้ปากคนอื่นมาสั่งสอนแม่นะ  ยัยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!!”  เคย์โกะตวาดแว้ด

นัตสึเมะถอนใจกับตัวเองในขณะที่สองแม่ลูกทุ่มเถียงกัน  เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลย  อย่างดีก็แค่เคยโดนเคย์โกะอาละวาดใส่  แต่เคย์โกะก็โตพอที่จะรับฟังเหตุผลแบบผู้ใหญ่แล้ว  ทว่าฮารุกะไม่ใช่...ฮารุกะยังเป็นสาวน้อยแรกแย้มที่โลกทั้งโลกยังสวยงามและต้องมาแปดเปื้อนหม่นหมองเพราะการกระทำของผู้ใหญ่อย่างพวกเขา  นัตสึเมะนึกไม่ออกว่าควรจะพูดเกลี้ยกล่อมหรืออธิบายเหตุผลกับฮารุกะอย่างไร

“ถึงหนูจะจำขี้ปากคนอื่นมาพูด  แต่เพราะคุณแม่ไม่เคยรักตัวเองใช่มั้ยคะ  ถึงได้เรียกร้องจะเอาความรักจากคนอื่น  พอไม่ได้มาก็สรรหาวิธีการโง่ ๆ มาใช้  พอสูญเสียไปก็อาละวาดบ้าบอน่าเกลียดแบบนั้น!!”

เคย์โกะนิ่งอั้นไปกับคำพูดของลูกสาว  อยากจะเถียงก็เถียงไม่ออก  ได้แต่โกรธจนมือไม้สั่นไปหมด

“ฮารุกะที่เกิดและโตมาท่ามกลางความรักจะพูดแบบนั้นใส่แม่ไม่ได้นะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตูห้อง  เป็นเสียงที่นัตสึเมะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในเวลาแบบนี้  เขาหันไปมองทันที

“...คุณพ่อ...?”

อิชิกาวะ  สึคาสะยืนอยู่หน้าประตูห้องของลูกสาวคนเล็กโดยมีอากิโตะยืนอยู่ข้างหลัง

“คุณพ่อมาตั้งแต่เมื่อไรครับ?”  นัตสึเมะลุกจากเตียงน้องสาวที่นั่งอยู่ทันที

“มาพักหนึ่งแล้ว  มัวแต่ตะโกนกันลั่น ๆ แบบนี้น่ะสิถึงได้ไม่ได้ยินเสียงรถ”

สึคาสะกวาดตามองไปรอบห้องและมองหน้าทุกคน  ลูกชายคนรองหน้าตาอิดโรย  ส่วนเมียกับลูกสาวก็ดูกระเซอะกระเซิงเหมือนคนบ้า  เขาถอนใจหนักหน่วงก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ

“ท่าทางทุกอย่างจะเริ่มจากฉันสินะ...และคงถึงเวลาที่เราควรพูดคุยพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที  ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตากันเสียก่อน  พ่อจะรออยู่ข้างล่าง”


โต๊ะกินข้าวของบ้านอิชิกาวะไม่เคยมีสมาชิกมานั่งพร้อมหน้ากันนานแล้ว  ตั้งแต่นัตสึเมะกับอากิโตะย้ายออกไปอยู่ตามลำพังก็มีเพียงเคย์โกะกับฮารุกะเท่านั้นที่ใช้โต๊ะนี้  สึคาสะผู้เป็นพ่อนั้นนาน ๆ ครั้งจึงจะได้แวะมากินมื้อเย็นด้วย

เย็นนี้  สมาชิกครอบครัวทั้งห้าคนนั่งล้อมโต๊ะกินข้าว  แต่ไม่ได้กินอาหารร่วมกัน

ฮารุกะเลือกที่จะนั่งข้างอากิโตะเพราะเป็นคนที่เธอรู้สึกไม่ดีด้วยน้อยที่สุดในตอนนี้  นัตสึเมะกับเคย์โกะนั่งฝั่งตรงข้าม  และมีสึคาสะนั่งหัวโต๊ะ

“เอาละ  ฉันได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากอากิโตะแล้ว”  ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นหลังจากความเงียบยาวนาน  “ท่าทางเรื่องจะเกิดขึ้นเพราะฉันสินะ  แต่แปลก...ที่ทำไมคนต้นเรื่องอย่างฉันถึงไม่เคยรู้อะไรเลยมาเป็นสิบปี”

นัตสึเมะกับเคย์โกะก้มหน้านิ่ง  ไม่แม้แต่จะสบตาหัวหน้าครอบครัว  เพียงแต่นัตสึเมะจะดูสงบกว่าเคย์โกะมาก  เขาแบกรับความรู้สึกนี้มานานจนหัวใจด้านชาไปหมดแล้ว

“พ่อไม่ได้จะกล่าวโทษอะไรแกหรอกนะ  นัตสึเมะ  แต่แกก็รู้ตัวดีอยู่แล้วใช่มั้ยว่าตัวเองทำผิด”

“รู้ครับ”

“ไม่ใช่นะคะ  นัตสึเมะไม่ได้ผิด  ฉันเองต่างหากค่ะที่เป็นคนผิด”  เคย์โกะรีบเถียงแทน

“ใจเย็น ๆ  เคย์โกะ  ว่ากันไปทีละคนดีกว่า”

สึคาสะยกมือห้าม  ทำให้เคย์โกะเงียบลงทันที  เธอนั่งบิดมือตัวเองอย่างร้อนรนในใจ

“นัตสึเมะ  แกเป็นเด็กหัวดี  คิดก่อนลงมือทำมาตลอด  ทำให้พ่อไว้ใจว่าแกจะสามารถตัดสินใจทำอะไรในชีวิตของตัวเองได้ด้วยตัวเอง...แต่ดูเหมือนพ่อจะคิดดีเกินไปสินะ”

นัตสึเมะยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย  “ก็คงงั้นแหละครับ”

“ที่จริงตอนนั้นพ่อก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมอยู่ ๆ แกถึงเปลี่ยนไป  ทำไมอยู่ ๆ แกถึงจะเลิกเรียนแล้วออกไปทำร้านกาแฟ  ตอนที่ซื้อร้านนั้นให้แกพ่อก็สงสัยอยู่  แต่ก็คิดว่าแกคงคิดอะไรตามแบบของแกมาดีแล้วเลยไม่ได้คัดค้านอะไร...แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีสาเหตุแบบนี้”  พูดแล้วสึคาสะก็ถอนใจเบา ๆ  “ตอนนี้แกมีความสุขดีหรือเปล่า?”

“ถ้าเรื่องที่ร้านละก็...ผมสบายดีครับ”  คราวนี้นัตสึเมะสบตาพ่อแล้วยิ้มให้

สึคาสะส่ายหน้า  “ตอบไม่ตรงคำถามนะ  หาทางเลี่ยงได้เจ้าเล่ห์เหมือนเคย...นี่ถ้าแกเล่นการเมืองคงเป็นนายก ฯ ได้ละมั้ง”

“เดี๋ยวก็ล่มจมทั้งประเทศพอดีกันครับ”

“นี่  นัตสึเมะ  ทำไมแกถึงทำอะไรแบบนั้นกับเคย์โกะล่ะ?”  ในที่สุดผู้เป็นพ่อก็เข้าประเด็น

“อากิโตะไม่ได้เล่าเหรอครับ?”  ชายหนุ่มย้อนถาม

“ก็เล่าอยู่  แต่ฉันอยากฟังจากปากแกเองมากกว่า”

นัตสึเมะนิ่งคิดนิดหนึ่งเหมือนจะเลือกคำพูด  แต่แล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้ทุกคนในที่นี้รู้เรื่องนี้หมดแล้ว  เขาไม่จำเป็นต้องสรรหาคำพูดอะไรมาถนอมน้ำใจใครอีกแล้ว

“แรกสุด...ก็เพื่อกันเคย์โกะซังออกจากอากิโตะน่ะครับ  แล้วจากนั้นก็เลยตามเลย...เป็นแบบนี้เคย์โกะซังก็จะไม่ไปยุ่งกับใครอีก  ไม่ไปทำอะไรเสียหายที่ไหนอีก  ใช้ตัวเองเข้าแลกคนเดียวแล้วคุ้มขนาดนี้ก็เลยทำแบบนั้นมาเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้แหละครับ”

“ฉันไม่ไปทำเสียหายที่ไหนหรอกย่ะ”  เคย์โกะอดเคืองกับคำพูดของนัตสึเมะไม่ได้

“ก็เผื่อไปโดนโฮสต์ที่ไหนหลอกเอาอะไรอย่างงี้ไงครับ”  ชายหนุ่มสวนทันควัน

“ทั้งที่ไม่ได้รักเลยเนี่ยนะ”  ผู้เป็นพ่อถามต่อ

คราวนี้นัตสึเมะนิ่งคิดนานกว่าเดิม  ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ

“คุณพ่อ...ก็ไม่ได้รักเคย์โกะซังเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”

เหมือนโยนระเบิดลงกลางโต๊ะ  ทุกคนนิ่งเงียบ  เคย์โกะบีบมือตัวเองแน่นจนสั่น  นั่นเป็นความจริงที่เธอรู้มาตลอดแต่ไม่อยากฟัง  เธอกัดริมฝีปากแน่น  พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมา

แล้วมือใหญ่ก็เอื้อมมาตบไหล่เธอเบา ๆ

“เพราะแบบนี้ไง  ฉันถึงได้บอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะฉัน  ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียทีเดียวหรอก”

“...สึคาสะซัง...?”  เคย์โกะหันไปมองหน้าสามีตามกฎหมายอย่างประหลาดใจ

“ถึงเธอกับนัตสึเมะจะผิดเพราะทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบนั้น  แต่ทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นเพราะฉันดันรับเธอเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่ได้รักเธอเลยนั่นแหละ”

สึคาสะสบตาเคย์โกะแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา  เขาได้เห็นความหวั่นไหวไม่มั่นคงในดวงตาของเธอ  เป็นความหวั่นไหวที่เธอคงรู้สึกมาตลอดเพราะเขา

“ถึงป่านนี้แล้ว  ฉันจะขอพูดตรง ๆ นะ...ที่ผ่านมา  ฉันไม่เคยคิดจะลงเอยกับผู้หญิงคนไหนเลยตั้งแต่อายาเมะตาย  ไม่ใช่ว่าฉันลืมอายาเมะไม่ได้  แต่เพราะฉันคิดว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนจะมาเป็นคู่คิดของฉันได้แบบนั้นอีกแล้ว  อย่างที่พวกลูก ๆ รู้และเธอก็น่าจะรู้  ฉันกับอายาเมะแต่งงานกันด้วยเรื่องทางการเมือง  ไม่ใช่เพราะความรัก  อายาเมะเป็นผู้หญิงที่ถูกเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อเป็นภรรยานักการเมืองเท่า ๆ กับที่ฉันถูกเตรียมมาให้เป็นนักการเมืองนั่นแหละ  การแต่งงานของเรา  การสร้างครอบครัวของเราคือการทำงานเป็นทีม  ฉันกับอายาเมะเป็นพาร์ทเนอร์ที่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อความสำเร็จด้านการงานและด้านครอบครัว  เพื่อให้ฉันเป็นนักการเมืองตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จด้านครอบครัวและเพื่อสร้างทายาทสืบทอดทางการเมืองต่อไป  ดังนั้นเมื่อสูญเสียอายาเมะไป  ฉันจึงคิดว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนจะมาเป็นพาร์ทเนอร์ที่รู้ใจฉันแบบนั้นได้  และตอนนั้นฉันก็เริ่มประสบความสำเร็จด้านการงานแล้ว  ลูก ๆ ก็โตพอจะควบคุมชีวิตตัวเองเป็นแล้ว  ฉันจึงไม่คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนอีก  สำหรับฉันแล้ว  ครอบครัวคือทีมงานที่จะทำให้ตระกูลเดินหน้าต่อไปได้  ในตอนนั้นการสร้างครอบครัวใหม่จึงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว...แต่พูดตามตรงนะ  ฉันรักใครไม่เป็นน่ะ”

นี่เป็นเรื่องที่อากิโตะกับนัตสึเมะรู้ดีมาตลอดชีวิต  แม่ของพวกเขาเคยพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงเรื่องนี้ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ  การถูกเลี้ยงมาด้วยความเป็นจริงทำให้พวกเขารู้สึกว่าการที่พ่อกับแม่ไม่ได้รักกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  พวกเขามีครอบครัวที่ปกติสุขเหมือนคนอื่น ๆ ก็เพียงพอแล้ว...แต่สำหรับเคย์โกะกับฮารุกะที่เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกถึงกับรู้สึกเกร็ง

“ตอนที่เธอมาบอกว่าท้อง  ฉันก็ตกใจและหนักใจนะ  เคย์โกะ  แต่สุดท้ายฉันก็รับเธอเข้ามาไว้ในตระกูล  ทั้งที่รู้ว่าเธอคงจะต้องลำบากกับเครือญาติแบบนี้ของฉันแน่”

“แล้ว...คุณยอมจดทะเบียนกับฉันทำไมคะ?  คุณ...คุณก็น่าจะรู้ว่าฉัน...ฉันเป็นคนยังไง”  เคย์โกะถามเสียงสั่น

“ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนยังไง  เธอทะเยอทะยานและพยายามไขว่คว้าหาชีวิตที่ดีกว่า  และความทะเยอทะยานนั้นผลักดันให้เธอพัฒนาชีวิตตัวเองขึ้นมาได้จนถึงระดับนั้น...ฉันตรวจสอบเบื้องหลังของเธอมาไม่น้อยนะ  เคย์โกะ  แต่ฉันก็ชอบผู้หญิงที่มีความพยายามน่ะ”

สึคาสะยิ้มบาง ๆ  ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาทางสายตาของเขาบอกให้เคย์โกะรู้ว่าคำพูดนั้นคือความจริงใจที่เขามีต่อเธอ

“ฉันรู้ว่าเธอจะต้องลำบากในการแต่งงานเข้าตระกูลของฉัน  แต่ฉันก็รู้อีกว่าผู้หญิงที่มีความพยายามล้นเหลืออย่างเธอจะต้องพยายามแล้วพยายามอีกจนผ่านมันไปได้แน่  และที่สำคัญ...เราไม่มีเหตุผลที่จะไปทำลายชีวิตน้อย ๆ ที่เราทำให้เกิดขึ้นมาไม่ใช่เหรอ?”

ถึงตอนนี้สึคาสะหันไปมองหน้าลูกสาวคนเล็ก  ฮารุกะหน้าแดงก่ำและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“แม้จะรู้ว่าเธอปล่อยให้ตัวเองท้องเพราะมีจุดหมายอะไร  แต่เราก็ไม่มีเหตุผลในการทำลายชีวิตเด็กคนหนึ่ง  ความจริงฉันจะแค่รับฮารุกะมาเป็นลูกเพียงคนเดียวก็ได้  แต่เด็กจำเป็นต้องมีแม่  ควรจะมีแม่ให้อยู่ใกล้ชิดและไม่ต้องอยู่ท่ามกลางเสียงครหาว่าเป็นแม่ที่พ่อไม่ยอมแต่งงานด้วย  ถึงตอนที่จดทะเบียนกับเธอฉันจะไม่แน่ใจนักว่าเธอจะเป็นแม่แบบไหน...แต่ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าเธอเป็นแม่ที่ดีมาก  เคย์โกะ”

“ฉะ...ฉันน่ะเหรอคะ  เป็นแม่ที่ดี?”

“ก็ดูสิ  ฮารุกะโตมาเป็นเด็กผู้หญิงที่ดีแบบนี้แล้วนะ  ถ้าเธอไม่ใช่แม่ที่ดีจะเลี้ยงลูกได้ดีแบบนี้เหรอ?”

“นะ...นั่นเพราะนัตสึเมะ...”  เคย์โกะรีบบอกปัด  เธอคิดว่านัตสึเมะดูแลฮารุกะดีกว่าที่เธอทำเสียอีก

“นัตสึเมะมันก็รักน้องแบบที่มันควรรัก  แต่ที่ฮารุกะถอดแบบเธอมาเป็นเด็กผู้หญิงที่มีความพยายามอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเธอเอาใจใส่มาตลอดหรอกเหรอ  ฮารุกะเรียนไม่เก่งแต่ก็พยายามสุดความสามารถเพราะเธอสั่งสอนมาใช่มั้ย  ฮารุกะอ่อนน้อมและรู้วิธีการเข้าหาผู้ใหญ่เป็นอย่างดีก็เพราะเธออบรมมา  ฉันรู้ว่าเธอเป็นแม่ที่ดี  ก็เพราะลูกของเราโตมาดียังไงล่ะ”

ถึงตอนนี้เคย์โกะก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป  เธอยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วสะอื้นเบา ๆ  สึคาสะลูบหลังเธออย่างอ่อนโยนแล้วหันไปพูดกับลูกสาว

“และเพราะแบบนี้  พ่อถึงได้บอกไงล่ะว่าฮารุกะเกิดและโตมาท่ามกลางความรัก  และฮารุกะจะพูดแบบนั้นกับแม่ไม่ได้”

เด็กสาวเม้มปากแน่น  น้ำตาร่วงเผาะ...เธอรู้ว่าแม่รักเธอมากแค่ไหน  แม้จะจู้จี้ขี้บ่นและมีเรื่องทะเลาะกันบ้างแต่เธอก็รู้ว่าแม่เข้าใจเธอมากแค่ไหน  จะว่าไปแล้วเธอมีปัญหากับแม่น้อยกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ  แม่ของเธอยังสาว  ยังสวย  เป็นคนทันสมัย  แม้จะเข้มงวดในบางเรื่องบ้างแต่ก็เป็นแม่ที่เธอภาคภูมิใจทุกครั้งที่มีการเยี่ยมชมการสอนที่โรงเรียน...ที่เธอต่อว่าแม่ของเธอไปแบบนั้นก็เพราะความโกรธและความไม่เข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้น

“พ่อจะไม่บอกหรอกนะว่าให้ฮารุกะยกโทษให้กับความผิดที่แม่ทำลงไป  แต่พ่อคิดว่าฮารุกะคงรู้ว่าควรจะพูดอะไร”

ฮารุกะเงยหน้าขึ้นทันที

“ขะ...ขอโทษ  ขอโทษที่หนูพูดไม่ดี  ขอโทษค่ะ  คุณแม่!”  พูดแล้วเด็กสาวก็ก้มหน้านิ่ง  กลั้นสะอื้นจนตัวสั่น  อากิโตะต้องเอื้อมมือมาโอบไหล่น้องสาวแล้วปลอบโยนเบา ๆ  “แต่...แต่หนูยังไม่หายโกรธหรอกนะคะ...”

“...ยัยลูกหัวดื้อ...”

“เหมือนเธอไม่มีผิดเลย...”

“อย่าให้ท้ายลูกนะคะ...”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากทุกคนก่อนจะค่อย ๆ เงียบลง  ความเงียบอันเป็นภวังค์แห่งการครุ่นคิดเข้าครอบคลุมห้องกินข้าวเล็ก ๆ นั้นชั่วขณะ

“เพราะฉันรักใครไม่เป็นแบบนี้  เลยผลักดันให้เธอกับนัตสึเมะทำเรื่องเสียหายแบบนั้นลงไป  ถ้ามองอีกแง่ก็เป็นความผิดของฉันเองสินะ”

“สึคาสะซัง...”  เคย์โกะกุมมือผู้เป็นสามีไว้แล้วบีบเบา ๆ  เธอเคยเรียกร้องความรักจากมือนี้ทั้งที่รู้ว่ามันจะไม่มีให้

“ได้ยินว่านัตสึเมะมีแฟนแล้ว...”

“ทำไมมันข้ามไปเรื่องนั้นได้ครับ?”  นัตสึเมะขมวดคิ้ว

“ได้ยินว่าเป็นผู้ชายด้วย...”

คราวนี้นัตสึเมะเงียบ  เหลือบตาหลบจากสายตาทุกคนในครอบครัว  บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงเมื่อครู่กลับอึดอัดขึ้นมาอีกทันที  เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคิริฮาระถึงไม่เคยบอกคนในครอบครัวว่าตัวเองเป็นเกย์...มันลำบากใจแบบนี้เองสิน่า

“สรุปก็คือมันไม่รักเธอแน่ ๆ  เคย์โกะ...ทีนี้เธอจะทำยังไง?”

“ทะ...ทำยังไงน่ะเหรอคะ...?”  เคย์โกะอึ้ง  เธอยอมรับว่าเธอยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย  วันสองวันที่ผ่านมาเธอเอาแต่คร่ำครวญบ้าบอกับเรื่องนี้มาตลอดก็จริง  แต่ไม่ได้มีสติพอจะคิดอะไรเลย

“เคย์โกะ...”  สึคาสะกุมมือภรรยาตามกฎหมายไว้  “ฉันไม่เคยรักใคร  ฉันให้ในสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้จนเธอต้องไปเรียกร้องเอากับลูก ๆ ของฉันและเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น  ฉันจะไม่บอกให้เราลืมเรื่องเลวร้ายที่พวกเธอทำลงไปเพราะฉันทำให้เกิดขึ้น  จะไม่บอกว่าจะยกโทษหรือให้อภัยกับความผิดของพวกเธอ  ทุกความผิดพลาดและความเลวร้ายคือสิ่งที่จะสอนให้เราไม่ทำแบบเดิมซ้ำอีก  เมื่อทุกคนรู้แล้วว่าตัวเองทำผิดอะไร...ก็น่าจะเพียงพอแล้ว  นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวเรา  เป็นรอยแผลที่จะติดตัวเราไปจนตาย  เราจะปิดบังหรือจะเอาไปบอกกับใครก็ได้ทั้งสิ้น  เพียงแต่เรารู้แล้วว่าเราเคยทำความผิดอะไร  และเราต่างได้รับการลงโทษมาจนเพียงพอแล้ว”

นัตสึเมะกับเคย์โกะใช้เวลาตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมากับการรู้สึกผิดในการกระทำของตนและหวาดกลัวที่จะถูกคนที่รักที่สุดล่วงรู้มาตลอด  อากิโตะก็อึดอัดใจมาตลอดช่วงเวลานั้น  ฮารุกะก็ต้องเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

และตัวสึคาสะเอง  เขารู้ดีว่าใจตัวเองร้อนเป็นไฟตอนที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากอากิโตะเมื่อคืนนี้  และต้องใช้เวลาตลอดทั้งวันทบทวนความผิดของตนที่ละเลยครอบครัวจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นโดยที่ตัวเองไม่ได้รู้ตัวเลย  ถึงตอนนี้...เขาควรจะทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวหาทางออกให้กับทุกคนเสียที

“เคย์โกะ  อย่างที่บอก...ฉันไม่เคยรักใคร  ดังนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าจะให้ความรักอย่างที่เธอต้องการได้มั้ย  แต่ฉันอยากให้เราเริ่มต้นกันใหม่  เธอ...พร้อมจะมาเป็นพาร์ทเนอร์ของฉันมั้ย?”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
Re: Lock on You 17 / 9-12-58
«ตอบ #56 เมื่อ09-12-2015 19:37:38 »

ดูคลี่คลายได้ดีมากเลยค่ะ รู้สึกโล่งไปด้วยเลย ^^

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
Re: Lock on You 17 / 9-12-58
«ตอบ #57 เมื่อ09-12-2015 22:32:45 »

คุณพ่อก็ใจดีนี่นา  :katai2-1:

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 18/ 4-1-59
«ตอบ #58 เมื่อ04-01-2016 09:58:02 »

สวัสดีปีใหม่ครับ
เป็นยังไงกันบ้าง วันหยุดไปเที่ยวที่ไหนมาหรือเปล่า?
ผมทำงานอยู่ที่บ้านครับ แถมอินเตอร์เนทมีปัญหาเสียอีก แต่อย่างน้อยก็พอจะมีให้อัพนิยายได้ละนะครับ
เนทมีน้อยใช้สอยประหยัด...มาอ่านกันต่อเลยนะครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 18

“สรุปว่าคุณพ่อจะวางมือทางการเมือง?”  คิริฮาระถามพลางแทะคุกกี้ที่วางแถมมาให้บนจานรองแก้วกาแฟเหมือนเคย

“ก็ไม่เชิงหรอก  แค่จะพักงานสักระยะ...อ้างปัญหาสุขภาพอะไรแบบนี้น่ะ  เดี๋ยวอะไร ๆ ดีขึ้นก็กลับมาลงสนามใหม่”  นัตสึเมะตอบพลางทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟ

“แล้วไปเมืองไทยเนี่ยนะ  คุณพ่อคิดจะไปตากอากาศเหรอ  ร้อนจะตายชัก”  นักดนตรีหนุ่มนึกถึงสภาพอากาศของประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรแล้วแล้วก็นิ่วหน้า...เขาไม่ชอบอากาศร้อน

“ก็วางแผนคร่าว ๆ กันไว้น่ะนะ  คงไม่ได้ไปตากอากาศปรับความเข้าใจกับเมียอย่างเดียวหรอก  เห็นว่าคิดจะเปิดกิจการด้านความงามอะไรสักอย่างให้เคย์โกะซังด้วยน่ะ”

“เห...ฟังดูเข้าทีนี่  น่าจะเหมาะกับตัวปัญหานั่น”  ถึงคิริฮาระจะไม่ชอบเคย์โกะ  แต่เขาก็มองข้อดีข้อด้อยของคนอื่นได้อย่างเป็นกลางพอสมควร  เคย์โกะแต่งตัวเก่งและรักสวยรักงาม  เสื้อผ้าหน้าผมของเธอเพอร์เฟคเสมอ  ถ้าเป็นงานด้านความงามเธอต้องทำได้ดีแน่

“เลิกเรียกเขาว่าตัวปัญหาได้แล้วน่า  ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

“ก็มันติดปาก...ว่าแต่  ฮารุกะจังไปด้วยเหรอ?”  คิริฮาระอดเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กของนัตสึเมะไม่ได้  เรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ใหญ่โตสำหรับเธอมากทีเดียว  แถมตอนนี้เธอกำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่ออีกต่างหาก  ปัญหาด้านความรู้สึกที่มีต่อคนในครอบครัวคงจะแก้ไม่ง่ายนัก

“ไม่หรอก  ฮารุกะคงจะเข้าโรงเรียนประจำน่ะ”  นัตสึเมะบอกพลางถอนใจน้อย ๆ

“เอ๊ะ  ทำไมงั้นล่ะ?”

“ก็...สภาพตอนนี้เขาไม่มีทางยอมไปอยู่กับเคย์โกะซังง่าย ๆ แน่  แล้วจะให้อยู่กับฉันก็...นายก็เห็นปฏิกิริยาของฮารุกะนี่  เขาก็เกลียดขี้หน้าฉันไม่น้อยเหมือนกันแหละ”  พูดแล้วก็เงียบไป...นัตสึเมะดูหงอย ๆ ลงไปบ้างเพราะเรื่องน้องสาวนี่แหละ

“แต่จะเอาไปเข้าโรงเรียนประจำเนี่ยนะ  มันเหมือน...ตัดหางปล่อยวัดเลย”  คิริฮาระบ่นงึมงำ

“เจ้าตัวเขาเสนอเองต่างหาก  โรงเรียนที่ฮารุกะเรียนอยู่ตอนนี้มีหอพักนักเรียนประจำด้วยน่ะ  ยังได้อยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิม  แล้วอย่างน้อยช่วงวัยรุ่นนี่ก็ยังได้อยู่ในกฎระเบียบมีคนดูแลอย่างเคร่งครัด  ก็น่าเป็นห่วงน้อยกว่าอยู่คนเดียวละนะ  แถมเสาร์อาทิตย์ก็ยังกลับบ้านได้ด้วย”

“อ้าว  กลับมาแล้วจะไปอยู่กับใคร?”

“พี่อากิโตะไง  ถ้าคุณพ่อกับเคย์โกะซังไปเมืองไทยแล้ว  พี่อากิโตะก็จะขายแมนชั่นที่อยู่ตอนนี้แล้วกลับมาอยู่ที่บ้านแทนน่ะ  แต่ครั้นจะให้ฮารุกะอยู่กับพี่อากิโตะที่บ้านเลยก็ไม่สะดวก  เพราะพี่เขาคงมีงานยุ่งตามประสานักการเมือง  ไม่มีเวลาดูแลฮารุกะหรอก  แต่ถ้าแค่เสาร์อาทิตย์ก็คงพอจะปลีกตัวมาอยู่กันตามประสาพี่น้องได้ละมั้ง”  พูดถึงตอนนี้แล้วนัตสึเมะก็ดูผ่อนคลายลง

“สมกับเป็นบ้านนายดีนะ  วางแผนการอะไรไว้เรียบร้อยเชียว”

“จริง ๆ ก็เพิ่งจะวางแผนกันคืนวันนั้นแหละ  เพราะคุณพ่อเองมีแผนแค่จะพักงานการเมืองสักพักเพื่อปรับความสัมพันธ์กับเคย์โกะซังเท่านั้นเอง  ที่เหลือก็เพิ่งคุยกันเดี๋ยวนั้นแหละ”

“ประชุมครอบครัวครั้งแรกในรอบสามสิบปีสินะ”  คิริฮาระพยักหน้าหงึก ๆ

“เฮ้ย  ครั้งที่สอง  ครั้งแรกตอนคุณแม่เสีย  คุณพ่อเรียกฉันกับพี่อากิโตะไปคุยอะไรประมาณนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว”  นัตสึเมะเถียง  “แต่ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอก  ก็ต้องรอรัฐบาลหมดวาระก่อน  คุณพ่อถึงจะลาออกน่ะ  ขืนออกตอนนี้มีหวังยุ่งตายชักเลย”

“มันก็อีกไม่กี่เดือนแล้วนี่  ฉันว่าน่าจะมีคนรอเสียบอยู่เยอะนะ  ตำแหน่งพ่อนายน่ะ”

“เพราะมีคนรอเสียบน่ะสิ  ถ้าออกตอนนี้อนาคตของพี่อากิโตะยุ่งตายชักเลย”  แม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่อยู่ในพรรคการเมืองมานาน  แต่การปูทางสำหรับทายาทรุ่นใหม่ให้หนาแน่นมั่นคงก็เป็นเรื่องจำเป็น  เพราะในโลกการเมืองไม่มีอะไรแน่นอนทั้งสิ้น

“อืม...ก็เข้าใจนะ”  นักดนตรีหนุ่มพยักหน้าอีก  “เพราะไปคุยกับที่บ้านมาเยอะแยะเลยปิดร้านจนถึงวันอาทิตย์สินะ”

“สมองมันป่วนไปหมดน่ะ...ไม่สิ  มันกลวงไปหมดจนไม่รู้จะทำยังไงดีมากกว่า  จะเปิดร้านก็ไม่แน่ใจว่าจะชงกาแฟถูกหรือเปล่า  เลยนอน ๆ มันเสียให้เต็มที่  ออกไปเดินเล่นให้หายอยาก  แล้วก็กลับมานอนต่อ...จนรู้สึกว่ามันอยู่ตัวแล้วเลยเพิ่งมาเปิดร้านวันนี้แหละ”  นัตสึเมะพูดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ

“คิโยฮารุเกือบอดตายเลยนะนั่น”

“ทำไมนายไม่บอกเขาเล่า  ฉันก็ไปที่คลับของนายด้วยนี่นา”  ช่วงที่ปิดร้าน  นัตสึเมะออกไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ในเมืองเกือบตลอดวัน  พอตกค่ำก็แวะไปที่คลับของคิริฮาระแล้วก็กลับไปนอน  วนเวียนอยู่อย่างนี้ทุกวัน

“ก็กว่าฉันจะเลิกงานคิโยะก็หลับไปนานแล้ว  แล้วตอนที่เขาออกไปทำงานฉันก็ยังไม่มีสมองจะบอกอะไรเขาหรอก  แค่ตื่นมาส่งกันทุกเช้าได้ก็อัศจรรย์ตัวเองอยู่เนี่ย  อ้อ...แล้วฟุยุกิคุงเขาไม่ห่วงนายบ้างเหรอ?”  คิริฮาระเหลือบตามองลูกจ้างหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ อยู่

“เขามาที่ร้านวันศุกร์  เห็นฉันไม่เปิดร้านเลยไปเรียกที่ด้านหลัง  เลยคุยกันนิดหน่อยว่าจะปิดร้านสองสามวันน่ะ  เขาก็เลยได้หยุดด้วย”

“ไม่...ได้คุยอะไรกันมากกว่านี้หน่อยเหรอ?”  นักดนตรีหนุ่มลดเสียงลงจนเป็นกระซิบ

“เปล่า  ตอนนั้นฉันก็ยังไม่มีสมองเหมือนกัน”  นัตสึเมะยักไหล่  เขารู้ว่าคิริฮาระหมายถึงเรื่องอะไร  แต่ในเวลาแบบนั้นเขาก็ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดเรื่องความรู้สึกของเขากับฟุยุกิอย่างไรดี  เขายังไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านให้ฟุยุกิฟังด้วยซ้ำ

“รีบ ๆ บอกให้เขามั่นใจเสียทีเถอะ  ว่าปัญหาของนายมันจบแล้วและนายพร้อมที่จะดูแลเขาแล้ว”

“พูดบ้า ๆ...มันยังไม่ได้แน่นอนไปถึงขั้นนั้นเสียหน่อย”

“ก็ไปให้ถึงเสียทีสิ”

“เร่งจริง”

“ก็ฉันใจร้อน  ชีวิตฉันก็ค้างคาแค่เรื่องนายคนเดียวนี่แหละ  รีบ ๆ เป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีเถอะ  ฉันจะได้หมดห่วงเสียที”

“พูดอย่างกับคุณยายรอดูหน้าหลานงั้นแหละ  จะรีบตายแล้วหรือไง?”

“โฮ้ย  คนอย่างฉันไม่ตายเร็วหรอก  ต้องรอให้วายะตื่นมาทะเลาะกันก่อนถึงจะตายตาหลับ”

“ครับ ๆ  คุณคิริฮาระ  งั้นก็รีบ ๆ กินแล้วรีบ ๆ ไปทำงานเสียทีเถอะครับ  เดี๋ยวจูอิจิซังด่าเอาจนเฉาตายกันพอดี”

“โอ๊ะ  งัดไม้ตายมาขู่  เถียงไม่ออกละสิท่า”  คิริฮาระทำท่าล้อเลียน  “เอาละ ๆ  ไปก็ได้  แต่ยังไงก็รีบ ๆ มีครอบครัวเสียทีเถอะนะ  นัตสึเมะจัง”

“ทะลึ่ง”

คิริฮาระจากไปพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนเคย  วันนี้แม้จะค่อนข้างค่ำแล้วแต่ยังมีลูกค้าอยู่หลายโต๊ะ  คงเพราะนัตสึเมะปิดร้านหลายวันบรรดาลูกค้าประจำจึงรีบแวะเวียนมาด้วยความเป็นห่วงทันทีที่เห็นว่าเปิดร้าน  เขาอ้างว่าเป็นหวัดเลยต้องหยุดพักผ่อนนานหน่อยเท่านั้นและตอนนี้ก็แข็งแรงดีแล้ว

แต่ในขณะที่นัตสึเมะรู้สึกว่าตัวเองเป็นปกติดี  ฟุยุกิกลับดูไม่ปกติ

นัตสึเมะสังเกตเห็นตั้งแต่เช้าแล้วว่าฟุยุกิดูใจลอยอย่างประหลาด  แม้จะยังชงชาตามออร์เดอร์ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง  แต่เมื่อมีเวลาว่างหรือตอนที่เก็บโต๊ะเพลิน ๆ ก็จะเผลอหยุดมือและเหมือนจะคิดอะไรอยู่  สีหน้าดูมีความกังวลฉาบอยู่บาง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นทุกข์มากมายนัก...แต่ถึงกระนั้น  นัตสึเมะก็เป็นห่วง

“ฟุยุกิคุง  มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”  นัตสึเมะถามขึ้นหลังจากเก็บกวาดและปิดร้านเรียบร้อยแล้ว

“เอ๊ะ...เปล่านี่ครับ”  เด็กหนุ่มปฏิเสธแล้วก็หน้าม่อยลงทันทีเพราะรู้ว่าตัวเองโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย  “คือ...ก็มีนิดหน่อยครับ  แต่ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอก  ไม่ถึงกับต้องให้นัตสึเมะซังเป็นห่วงหรอกครับ”

“ต้องเป็นห่วงสิครับ  ท่าทางเหม่อมาตั้งแต่เช้าแล้ว”

“เรื่องเล็กนิดเดียวครับ  เทียบกับเรื่องของนัตสึเมะซังแล้วไม่เป็นปัญหาเลย”  ฟุยุกิรีบบอกปัด

นัตสึเมะยิ้มน้อย ๆ  “ฟุยุกิคุง  เรื่องของผมน่ะ  ไม่มีปัญหาอะไรแล้วละครับ”

“เอ๊ะ?”

“ก็ว่าจะคุยกับฟุยุกิคุงอยู่พอดีเหมือนกัน  พอจะมีเวลาสักนิดมั้ยครับ  มานั่งคุยกันหน่อยเป็นไง?”  นัตสึเมะเดินนำเข้าไปในตัวบ้านแล้วถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ข้างประตู  ทำให้ฟุยุกิเดินตามเข้าไปด้วย  “นั่งก่อนครับ  เดี๋ยวจะชงกาแฟอร่อย ๆ ให้”

ฟุยุกินั่งลงที่โต๊ะกินข้าวแต่โดยดี  จ้องมองแผ่นหลังที่เคลื่อนไหวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ครัวอย่างคล่องแคล่วแล้วก็รู้สึกโล่งใจว่าได้นัตสึเมะคนเดิมกลับมาแล้ว  นึกย้อนไปแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อเกือบหนึ่งสัปดาห์ก่อนเขาจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ร้ายแรงกดดันแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน  เขาได้รู้เรื่องราวและความลับทั้งหมดที่นัตสึเมะเก็บงำเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ  ตอนแรกเขาคิดจะหนีกลับบ้านเพราะไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร  แต่เมื่อได้ยินคิริฮาระบอกกับฮารุกะว่าจะต้องไม่หนีความจริง  เขาจึงตัดสินใจอยู่...ก็นัตสึเมะบอกกับเขาก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นไม่นานเองว่า  จะเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง...ถ้าคิดจะเป็นครอบครัวกัน...

...ครอบครัว...?

คิดถึงตรงนี้แล้วกายละเอียดของฟุยุกิก็ระเบิดทำลายตัวเอง  เรื่องตึงเครียดของนัตสึเมะมันกระแทกใจเกินไปจนเขาลืมเรื่องนี้ไปเลยตลอดหลายวันมานี้  นัตสึเมะบอกว่าชอบเขาและคิดจริงจังด้วยมาตั้งแต่ต้น...และยังบอกให้เขากลับไปคิดดู...แต่เขายังไม่ได้คิดเลย  มันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อนจนเขาไม่มีโอกาสได้คิดอะไรเลย

แต่เพราะนัตสึเมะพูดแบบนั้น  เขาจึงอยู่ที่นี่ในคืนวันนั้นเพื่อรับรู้เรื่องราวและความจริงทั้งหมดของนัตสึเมะ...ในฐานะผู้เกี่ยวข้องโดยตรง

“เป็นอะไรไปครับ  หน้าแดงเชียว?”

ถ้วยกาแฟหอมกรุ่นวางลงตรงหน้าฟุยุกิพร้อมกับที่คนชงก็นั่งลงด้วย

“ผม...ยังไม่ได้คิดเลยครับ...”

“คิด?”  นัตสึเมะเลิกคิ้วกับสิ่งที่อยู่ ๆ ฟุยุกิก็พูดออกมา

“เรื่องที่นัตสึเมะซังบอกให้กลับไปคิด...คือ...มันมีเรื่องอื่นให้คิดมากเกินไป  ผมเลยลืมคิดเรื่องนั้นไปเลยน่ะครับ”  ฟุยุกิหลบตาแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม

“เรื่อง...นั้น...?”  นัตสึเมะยังจับความไม่ได้

“ก็ที่...บอกให้ผมกลับไปคิดว่า...ผมชอบคุณหรือเปล่า...”  เด็กหนุ่มงึมงำตอบมาจากถ้วยกาแฟ

“อ๊ะ...”  นัตสึเมะชะงักไป...เขาก็ลืมเรื่องนั้นไปสนิทเลยเหมือนกัน

“...ขอโทษนะครับ”

ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ กับคำขอโทษนั้น  “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ  ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ  วันนั้นให้เห็นอะไรแย่ ๆ ไปเยอะเลย...แต่...ก็ไม่เป็นไรแล้วละครับ  ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

“ไม่เป็นไรแล้วเหรอครับ?”  ฟุยุกิรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

“ครับ  ที่บ้านเราคุยกันแล้ว  ก็เรียบร้อยแล้ว”

นัตสึเมะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านให้ฟุยุกิฟังโดยบอกรายละเอียดน้อยกว่าที่เล่าให้คิริฮาระฟัง  คิริฮาระรู้จักเขาและครอบครัวมานานจึงรู้เรื่องในบ้านของเขาดี  ซึ่งเรื่องพวกนั้นฟุยุกิยังไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้ก็ได้

“งั้นเหรอครับ...ค่อยโล่งใจหน่อย”  ฟุยุกิระบายลมหายใจเบา ๆ หลังจากที่ฟังเรื่องจากนัตสึเมะจบ

“ว่าแต่...จากนี้ไปคือปัญหาละครับ”

“เอ๊ะ  อะไรอีกครับ?”

ฟุยุกิมองหน้านัตสึเมะ  แล้วก็พบว่าสายตาที่มองมามีแววกังวลฉาบอยู่บาง ๆ

“ผมเป็นคนแบบนี้  ได้ทำเรื่องแบบที่ฟุยุกิคุงได้รู้ไปแล้ว...ทำเรื่องแบบนั้นแล้วเก็บมันไว้เป็นความลับ  แสร้งตีหน้าเป็นคนดีมาตลอด...แบบนี้แล้ว  ฟุยุกิคุงจะชอบผมหรือเปล่า?”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าความกังวลของนัตสึเมะพุ่งเป้ามาที่เขาโดยตรง  นั่นสินะ...ตอนนี้เขาได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนัตสึเมะทั้งหมดแล้ว  แล้วเขาจะชอบนัตสึเมะหรือเปล่า  เรื่องที่นัตสึเมะทำลงไปมันผิดศีลธรรมและละเมิดความถูกต้องทั้งมวลที่เขาเคยรู้จัก  เป็นความผิดที่หากแพร่ออกไปสู่สังคมแล้วนัตสึเมะจะอยู่ยากเลยทีเดียว  สังคมจะต้องประนามและตัดสินโทษนัตสึเมะแน่...แต่เขาล่ะ  เขารู้สึกอย่างไร

มือที่กุมถ้วยกาแฟเกร็งและสั่นน้อย ๆ  แล้วฟุยุกิก็สูดลมหายใจลึก  พูดออกไปทั้งเสียงสั่นพร่า


“ผม...ผมยังไม่รู้ว่าชอบนัตสึเมะซังหรือเปล่า  แต่...แต่ผมไม่ได้เกลียดนัตสึเมะซังนะครับ”


นัตสึเมะมองร่างที่ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาเขา  ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้ม...หัวใจเหมือนได้รับการเยียวยา

“ขอบคุณครับ  ฟุยุกิคุง”

“เอ๊ะ!  ขะ...ขอบคุณอะไรครับ?  ผม...ผมก็แค่...แค่...”

ฟุยุกิเงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางลนลาน  มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือที่ถือถ้วยกาแฟอยู่เบา ๆ

“ขอบคุณที่ไม่รังเกียจคนอย่างผมครับ”

รอยยิ้มนั้นของนัตสึเมะเป็นรอยยิ้มที่ฟุยุกิคุ้นเคยมาตลอด  รอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยนที่มีให้ตั้งแต่วันแรกที่เขามาที่ร้านกาแฟแห่งนี้  เป็นรอยยิ้มที่คอยประคับประคองเขาไว้เสมอมา  และตอนนี้มันดูมีความหมายและความรู้สึกพิเศษบางอย่างนอกเหนือจากนั้นแฝงอยู่ด้วย

นัตสึเมะเป็นคนที่คอยเฝ้ามองและเป็นกำลังใจให้เขาเรื่อยมา  เป็นคนที่บอกว่าชอบคนไม่เอาไหนอย่างเขาอย่างจริงจัง...แล้วเขาจะเกลียดนัตสึเมะลงได้อย่างไร

เขาชอบนัตสึเมะ  แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบคนรักหรือเปล่า  แต่เขาก็ชอบนัตสึเมะคนนี้...นัตสึเมะคนที่ก่อปัญหา  แก้ปัญหา  และยอมรับปัญหาของตัวเองได้ทั้งหมดคนนี้แหละ

มืออุ่นค่อย ๆ ผละออกไปจับถ้วยกาแฟของตัวเอง  ตอนนั้นเองที่ฟุยุกิสังเกตว่านัตสึเมะไม่ได้ดื่มกาแฟในแก้วไวน์เหมือนเคย

“ไม่ใช่...กาแฟไอริชเหรอครับ?”

“ตั้งแต่คืนวันนั้นก็ไม่ได้ดื่มอีกเลยละครับ”  นัตสึเมะมองถ้วยกาแฟในมือพลางยิ้ม  “เหมือนกับว่ามันโล่งใจจนหลับได้โดยไม่ต้องใช้เหล้าแล้วน่ะ”

“ดีจังเลย”  ฟุยุกิพูดออกมาจากใจจริง

“แต่ก็ยังติดรสหวานอยู่เลยต้องใส่วิปครีมด้วย  ไม่สมกับเป็นเจ้าของร้านกาแฟเลยนะครับ”  ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ  “แถมถ้วยของตัวเองก็ไม่มี  ต้องเอาถ้วยที่ปกติเอาไว้รับแขกมาใช้ก่อน”

“ไม่เป็นไรนี่ครับ  ดื่มของที่ชอบก็ดีแล้ว  แล้วก็ค่อยไปหาถ้วยทีหลังก็ได้”

“นั่นสินะครับ...ว่าแต่  ฟุยุกิคุงมีปัญหาสินะ  ถึงได้เหม่อ ๆ แบบนั้น”  นัตสึเมะย้อนกลับเข้าเรื่องที่สงสัยมาทั้งวัน

“อ๊ะ  ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ  ก็แค่...พี่ชายผมเขาว่าจะแต่งงาน”

“คุณพี่ที่อยู่ด้วยตอนนี้น่ะเหรอครับ?”  ชายหนุ่มนึกไปถึงพี่ชายของฟุยุกิที่เขาเคยเข้าใจผิดว่ามาลวนลามฟุยุกิคนนั้น

“ครับ  เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาพาแฟนไปเจอคุณพ่อที่บ้านน่ะครับ  แบบนี้แล้ว...คงคิดจะแต่งงานแล้วละครับ”

“อ้อ  แล้วมีปัญหาอะไรเหรอครับ?”

“คือ...ถ้าพี่มิโนรุแต่งงาน  ผมอยู่ที่แมนชั่นด้วยคงไม่สะดวก...ผมก็เลยคิดว่าจะหาที่อยู่คนเดียวน่ะครับ”

“แล้ว...?”

“แล้ว...ผม...ไม่เคยอยู่คนเดียวมาก่อนเลย  ออกจากบ้านพ่อมาก็มาอยู่กับพี่มิโนรุ...เลยไม่ค่อยแน่ใจน่ะครับ  แต่...ก็ตั้งใจว่าจะออกมาอยู่คนเดียวแหละครับ”

“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง”  นัตสึเมะพยักหน้าเข้าใจ  ตอนที่เขาคิดจะออกมาอยู่ที่ร้านนี้คนเดียวเขาก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน  ก็นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยพอสมควร  แต่ที่เหม่อลอยบ้างก็ไม่เชิงว่าเป็นกังวลหรอก  แค่จินตนาการไม่ออกว่าตัวเองอยู่คนเดียวแล้วจะเป็นแบบไหนเท่านั้นเอง  จะเอาที่นอนไว้ตรงไหน  จะหาอยู่หากินอย่างไร  ต้องทำอาหารกินเองไหม  แล้วจะอยู่ตรงไหนเดินทางมาทำงานอย่างไร...สารพัดจะคิด

“ยังไม่ทันคุยกับที่บ้านก็เผลอคิดไปว่าจะอยู่ห้องแบบไหนแล้วละครับ”

“ยังไม่ได้คุยหรอกเหรอครับ?”

“กะว่าอาทิตย์นี้จะกลับไปคุยน่ะครับ”

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: Lock on You 18/ 4-1-59
«ตอบ #59 เมื่อ04-01-2016 10:00:07 »

นัตสึเมะพยักหน้ารับ...แต่ที่เขาคิดแล้วไม่ได้พูดออกไปก็คือ  ถ้ากลับไปคุยกับคนที่บ้าน  ความฝันที่จะอยู่คนเดียวของฟุยุกิคงเป็นไปได้ยากแล้วละ

...

“จะไปอยู่คนเดียวทำไม  กลับมาอยู่บ้านสิ”

สึโตมุพูดออกมาแบบไม่ต้องคิดทันทีที่ฟังลูกชายคนเล็กพูดจบ  ฟุยุกิบอกว่ามิโนรุกำลังจะแต่งงานและเขาคงไม่สะดวกที่จะอยู่กับมิโนรุต่อจึงคิดจะย้ายออกไปอยู่คนเดียวที่อื่น

“ที่นี่ไกลออกครับ  ผมไปทำงานไม่ไหวหรอก”  ฟุยุกิให้เหตุผล  ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วบ้านของพวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองโตเกียวด้วยซ้ำ  “แล้วที่ร้านก็เปิดแต่เช้า  ถ้าอยู่ที่บ้านต้องออกไปตั้งแต่รถไฟเที่ยวแรกเลยนะครับ”

“เดี๋ยวฉันไปส่งที่สถานีเอง”

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะครับ”  ฟุยุกิทำหน้างุนงงระคนอ่อนใจ  แต่ไหนแต่ไรมาพ่อของเขาไม่เคยใส่ใจดูแลเขาแบบนี้เลย  ให้ไปโรงเรียนเอง  ให้เดินไปขึ้นรถไฟเอง  ไม่เคยไปรับไปส่งที่ไหนเลยด้วยซ้ำ  แล้วอยู่ ๆ จะมาประคบประหงมเขาอะไรป่านนี้

“ออกไปแล้วจะไปอยู่กับใคร?”

“ผมก็บอกอยู่นี่ไงครับว่าอยู่คนเดียว”

“อยู่ได้เรอะ?  ทำกับข้าวเป็นหรือเปล่า  ไม่สิ  จุดเตาแก๊สเป็นหรือเปล่า  จะหาอยู่หากินยังไง?”

“คุณพ่อครับ  ผมไม่ใช่เด็กประถมนะครับ”  ฟุยุกิโวยวาย  เขาทำเป็นทุกอย่างนั่นแหละ  แม้จะไม่ค่อยได้ความนักก็เถอะ  อยู่กับมิโนรุก็ใช่ว่ามิโนรุจะทำอะไรให้ทุกอย่างเสียเมื่อไร

“กลับมาอยู่ที่บ้านนี่แหละ  สะดวกกว่าตั้งเยอะ”  คนเป็นพ่อวกกลับมาเรื่องเดิม

“สะดวกเรื่องกินอยู่แต่ไม่สะดวกเรื่องเดินทางนะครับ”

ในขณะที่สองพ่อลูกเถียงกัน  เคียวยะได้แต่นั่งมองหน้าพ่อกับน้องสลับกันไปมา  เอ่ยขอบคุณภรรยาที่ยกขนมกับน้ำชามาให้แล้วก็นั่งมองหน้าทั้งสองคนต่อไปโดยมีภรรยาแอบกลั้นขำอยู่ข้าง ๆ  อยู่ ๆ พ่อของเขาก็เกิดจะอยากทะนุถนอมลูกคนเล็กขึ้นมาเสียเฉย ๆ  มีอาการแบบนี้มาตั้งแต่ฟุยุกิเข้าโรงพยาบาลและลาออกจากงานนั่นแหละ  ส่วนฟุยุกิเองก็ไม่เคยเถียงพ่อหรือคนในครอบครัวมาก่อน  อาการแบบนี้เหมือนเข้าวัยต่อต้านช้าไปสิบปียังไงยังงั้น

แต่ดูจากอาการแล้ว  ฟุยุกิไม่น่าจะรบชนะหรอก


“คุณพ่อไม่ยอมท่าเดียวเลยครับ!”

ฟุยุกิกลับมาฟ้องนัตสึเมะในเช้าวันจันทร์  ท่าทางกระฟัดกระเฟียดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนดูตลกเสียจนนัตสึเมะต้องกลั้นหัวเราะ

“ก็คุณพ่อท่านเป็นห่วงนี่ครับ”  ชายหนุ่มพยายามปลอบทั้งเสียงยังสั่น

“เอาแต่พูดว่าแล้วจะอยู่จะกินยังไง  ผมก็ทำอาหารเป็นนะครับ  ทำข้าวเช้ากินเองทุกวัน  แถมบางวันก็ทำข้าวกล่องไปกินที่ทำงานด้วยนะครับ”  ฟุยุกิยังขัดเคือง

“ทำอะไรไปกินเหรอครับ?”

“แซนด์วิชทูน่ามายองเนสครับ”

นัตสึเมะถึงกับกลั้นขำไม่อยู่  นั่นมันเลเวลต่ำกว่าคลับแซนด์วิชที่ขายที่ร้านอีกนะเนี่ย  แค่เอาทูน่ามายองเนสมาทาขนมปังนี่มันเรียกว่าทำข้าวกล่องตรงไหนกัน

“อย่าหัวเราะนะครับ  กินได้นะครับ  อร่อยด้วย”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ  แค่...สารอาหารมันจะไม่ครบถ้วนนะครับ”

“ก็ทำสลัดใส่ไปสิครับ”

“ทำยังไงบ้างครับ?”

“ก็ซอยกะหล่ำปลีเยอะ ๆ แล้วราดมายองเนส”

...ไอ้นั่นไม่เรียกสลัดแน่ ๆ...นัตสึเมะคิดแต่ไม่ได้พูด  แต่ถึงจะไม่พูดก็คงออกไปทางสีหน้าและแววตาหมดแล้ว

“อย่ามาขำนะครับ”  ฟุยุกิค้อนปะหลับปะเหลือกแล้วเดินไปเช็ดโต๊ะทั้งที่เพิ่งจะเช็ดไปเมื่อกี้

ผู้เป็นเจ้าของร้านมองตามแล้วยิ้มกับตัวเอง  ก็คงแบบนี้สินะ  ทางบ้านถึงได้ไม่ไว้ใจให้ออกไปอยู่คนเดียว  ความจริงทำงานที่ร้านก็มีอาหารให้ทั้งสามมื้อจึงไม่ใช่เรื่องน่าห่วงอะไร  แต่เพราะความเป็น  “เด็ก”  ในตัวฟุยุกิมีมากเกินไป  คนที่บ้านจึงอดห่วงไม่ได้
ช่วงเที่ยง  ในร้านมีลูกค้าเยอะเหมือนเคย  มีทั้งที่นั่งกินที่ร้านและที่ซื้อกลับไป  แน่นอนว่าที่โต๊ะด้านในสุดมีอาจารย์สอนวรรณคดีนั่งหนีโลกแห่งความจริงเข้าไปในหนังสืออยู่เหมือนเคยด้วย  แต่ที่ไม่เหมือนปกติคือผู้ที่มาเยือนคนหนึ่ง

“ขอโทษที่มาช่วงยุ่ง ๆ ตอนเที่ยงนะ  แต่ขอคุยกับฟุยุกิหน่อยได้มั้ย?  พอดีวันนี้มีงานค้างอยู่อาจจะกลับบ้านดึกน่ะ”

มิโนรุตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์และบอกกับนัตสึเมะทันที

“อ้อ  ได้สิครับ  ว่าแต่อาริโยชิซังจะรับอะไรมั้ยครับ?”  ก็ยังไม่วายทำหน้าที่คนค้าขายที่ดี

“ขอแซนด์วิชกับกาแฟดำแล้วกันครับ”

ว่าแล้วมิโนรุก็ไปนั่งตรงที่ว่างพร้อมกับมีน้องชายตามไปด้วย

“พี่มีธุระอะไรเหรอ?”  ฟุยุกิลงนั่งอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยความรู้สึกเกรงใจเจ้าของร้านซึ่งตอนนี้กำลังยุ่งกับการรับลูกค้าอย่างมาก

“คุณพ่อกับเคียวยะบอกว่านายอยากย้ายออกไปอยู่คนเดียวเหรอ?”

“ใช่  ก็พี่จะแต่งงานนี่นา  ฉันอยู่ด้วยคงไม่สะดวกหรอก”

“เรื่องนั้นมันก็จริง  แต่ว่า...”

“โอ๊ย  อย่ามาเกลี้ยกล่อมฉันให้อยู่บ้านพ่อนะ  ขืนอยู่บ้านฉันได้ตายเพราะเดินทางมาทำงานแน่”  ฟุยุกิที่ยังหงุดหงิดไม่หายทำเสียงเคือง ๆ

“อันนั้นมันก็ใช่  แต่นายจะอยู่คนเดียวได้ยังไง  นายไม่เคยอยู่คนเดียวเลยนะ”

“ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงล่ะ”

“นี่นายเป็นเด็กขี้เถียงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”  มิโนรุรู้สึกแปลก ๆ กับการต่อปากต่อคำของน้องชาย  แต่ไหนแต่ไรมาฟุยุกิแทบไม่เคยเถียงกับคนในบ้านเลย  เป็นเด็กว่าง่ายพูดอะไรก็เชื่อฟังทั้งนั้น

คราวนี้ฟุยุกิไม่เถียงแต่เม้มปากแล้วทำแก้มป่องนิด ๆ  มิโนรุนึกอยากถ่ายรูปหน้าฟุยุกิตอนนี้แล้วส่งไปให้เคียวยะดู...หน้าดื้อ ๆ แบบนี้มันควรจะทำตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนไหมนะ...

“เฮ่อ...ยังไงก็จะไปอยู่คนเดียวให้ได้สินะ”

“อื้อ”

“แล้ว...หาอยู่หากินเป็นเหรอ?  ไอ้แซนด์วิชแบบที่นายทำกินเองบ่อย ๆ นั่นไม่เรียกอาหารหรอกนะ”

โดนแทงใจดำเข้าพอดี  ฟุยุกิทำหน้าดื้อกว่าเดิม

“ที่ร้านมีให้กินสามมื้ออยู่แล้วนี่”

“แล้วรู้วิธีหาห้องพักเหรอ?”

“อาจารย์บอกว่ารู้จักบริษัทอสังหา ฯ ดี ๆ  ไว้จะแนะนำให้”  ไม่รู้ทำไมฟุยุกิถึงนึกคำพูดเมื่อนานมาแล้วของคิโยฮารุขึ้นมาได้ตอนนี้

“อาจารย์?”

“คนนั้น”  ว่าพลางชี้ไปยังคิโยฮารุที่นั่งไม่สนใจโลกอยู่ด้านในร้าน

“นั่น...อาจารย์ของนายเหรอ?”  มิโนรุถามด้วยความไม่แน่ใจ  ผู้ชายคนนั้นยังดูหนุ่มและดูสบาย ๆ เกินไปจนนึกว่านักศึกษาปริญญาโทอะไรทำนองนั้นด้วยซ้ำ

“อาจารย์ซาคากิ  สอนวรรณคดีเปรียบเทียบอยู่ที่มหา’ ลัยนี้”  พูดแล้วก็ชี้ไปยังรั้วมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

มิโนรุยังนึกไม่ออกว่าอาจารย์วรรณคดีเปรียบเทียบจะไปรู้จักบริษัทอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างไร  แต่ก็ไล่ถามน้องชายต่อไปอีก

“แล้วมีเงินไปวางมัดจำห้องเหรอ?”

“หือ?”

“จะไปเช่าห้องน่ะ  ต้องวางมัดจำเป็นค่าเช่าล่วงหน้าสามเดือนนะ  แล้วก็มีค่ากินเปล่าที่ต้องจ่ายให้เจ้าของห้องเช่าต่างหากด้วย  แถมยังมีค่าประกันด้วยนะ”  มิโนรุแจกแจงคร่าว ๆ

“หะ...หา?”

“ไม่รู้สินะ?”

“ไม่เคยรู้มาก่อนเลย!”

มิโนรุยักไหล่  ก็ไม่แปลก...ถ้ารู้สิแปลก

“แล้วก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้นด้วยสินะ?”

“ไม่มีหรอก!”

เงินเดือนสมัยทำงานก็ไม่เยอะขนาดนั้น  ถึงจะพอมีเงินเก็บบ้างแต่ก็ไม่ได้มีเยอะพอจะเอาไปจ่ายค่าเช่าห้องล่วงหน้าสามเดือนได้หรอก  แล้วเงินเดือนที่ได้รับตอนนี้ก็น้อยกว่าที่เคยได้เสียอีก  ที่อยู่ได้สบาย ๆ อย่างทุกวันนี้ก็เพราะอยู่กับมิโนรุนั่นแหละ

“งั้นก็เลิกคิดได้เลย”  มิโนรุตัดบทพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ

“อือ...”  ฟุยุกิหน้านิ่วคิ้วขมวด  ดูขัดเคืองใจยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

ในตอนนั้นเองที่กาแฟร้อนหอมกรุ่นวางลงตรงหน้ามิโนรุ

“ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ  กาแฟร้อนกับคลับแซนด์วิชได้แล้วครับ”  นัตสึเมะยิ้มพลางวางของที่สั่งลงบนโต๊ะด้วยความนุ่มนวลอย่างมืออาชีพ  “แล้วก็เอิร์ลเกรย์นมร้อนด้วยครับ”

“อะ...เอ๊ะ?  นัตสึเมะซัง...ผมไม่...”  ฟุยุกิรีบบอก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  เห็นท่าทางจะคุยกันนานก็เลยชงมาเผื่อให้น่ะ”

“ไม่นานหรอกครับ  จบแล้วละ...หมดเรื่องกันเสียทีนะ  ยุกิ”  มิโนรุยิ้มแล้วหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่ม

ฟุยุกิโกรธจนหน้าแดง  แต่ก็ไม่รู้ว่าโกรธอะไรแน่...โกรธที่มิโนรุมาทำท่ายิ้มเยาะ  หรือโกรธตัวเองที่มีเงินเก็บน้อย...หรือไม่ก็โกรธตัวเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย

“เรื่องที่จะออกมาอยู่คนเดียวน่ะเหรอครับ?”  นัตสึเมะถาม

“ครับ  เรียบร้อยแล้วละ  เจ้านี่ออกมาอยู่คนเดียวไม่ไหวหรอก  แค่จะเช่าห้องยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเลย”  มิโนรุบอก

“แต่ยังไงพี่ก็จะแต่งงานนี่  แล้วฉันไม่กลับไปอยู่บ้านพ่อหรอกนะ  ถ้ากลับไปมีหวังต้องตื่นตีสี่กลับบ้านสี่ทุ่มน่ะสิ”  ฟุยุกิงัดเอาเหตุผลสุดท้ายที่นึกออกออกมาสู้

“อืม...”  มิโนรุทำหน้าครุ่นคิด  “งั้นก็อยู่กับฉันเก็บเงินไปอีกระยะก็ได้นี่”

“มีมิยูกิซังอยู่ในบ้านด้วยเนี่ยนะ  น้องสามีกับพี่สะใภ้ในบ้านเดียวกันเนี่ยนะ...ความเหมาะสมอยู่ตรงไหน...”

“ไปติดนิสัยจิกกัดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย!?”  มิโนรุแทบสำลักกาแฟ

ฟุยุกิเมินหน้าหนี...ติดมาจากคนแถวนี้แหละ  ฟังเขาจิกกันทุกวันนี่นะ

“ใจเย็น ๆ ก่อนครับ  อาริโยชิซัง  ฟุยุกิคุงด้วย”  นัตสึเมะห้ามทัพ  “ผมมีข้อเสนอนะครับ”

“หือ?”  สองพี่น้องหันไปมองผู้เป็นเจ้าของร้านพร้อมกัน

“ถ้าไม่รังเกียจ  อยู่ที่นี่มั้ยครับ?”

“หา!?”

สองพี่น้องอาริโยชิร้องออกมาพร้อมกัน  และมีใครบางคนหูผึ่งขึ้นมาด้วย

“คือที่ชั้นสองกว้างพอจะกั้นห้องได้อีกห้องเลยละครับ  ถ้าเกรงใจจะจ่ายค่าเช่าด้วยผมก็ยินดีครับ”  นัตสึเมะนำเสนอด้วยรอยยิ้มเรื่อย ๆ อันเป็นเครื่องหมายการค้า

“จะดีเหรอครับ  แค่รับยุกิทำงานที่นี่ก็น่าจะรบกวนคุณแย่แล้ว”  มิโนรุดูเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาทันที

“ดีสิครับ  ไหน ๆ ก็ทำงานที่นี่อยู่แล้ว  จะอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลกนี่ครับ  ผมว่าสะดวกดีด้วย”

“เอ๊ะ...ตะ...แต่ว่า...”  ฟุยุกิเองก็ดูตกใจไม่น้อย

“แค่ข้อเสนอครับ  ลองไปคิดดูก่อนก็ได้  ยังไงอาริโยชิซังก็ยังไม่ได้แต่งงานวันนี้พรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอครับ  ยังมีเวลาให้คิดอีกเยอะครับ”

“เอ้อ...นั่นสินะ...”  มิโนรุดูผ่อนคลายลง

“จะดีเหรอครับ  นัตสึเมะซัง?”  ฟุยุกิถามย้ำ

“ถ้าฟุยุกิคุงว่าดี  ผมก็ว่าดีละครับ...โอ๊ะ  ลูกค้ามาอีกแล้ว  ถ้ายังไงก็ลองไปคิดดูนะครับ  ผมว่าน่าจะเวิร์ค”

พูดแล้วก็รีบกลับเข้าเคาน์เตอร์ไปรับลูกค้ารายล่าสุด  ทิ้งให้ฟุยุกิหน้าแดงเรื่อเพราะพอจะเข้าใจความหมายของคำว่ากลับไปคิดดูของนัตสึเมะระดับหนึ่ง...ก็เหมือนที่ให้ไปคิดเรื่องชอบไม่ชอบนั่นแหละ...นัตสึเมะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว  นี่ก็แค่การชี้นำเท่านั้น

มิโนรุเห็นหน้าแดง ๆ ของน้องชายแล้วก็นึกได้  ฟุยุกิเคยตกหลุมรักผู้ชายคนนี้มาก่อน  ข้อเสนอนี่ย่อมดีต่อฟุยุกิแน่อยู่แล้ว...แต่ผู้ชายคนนี้มีคนรักแล้วนี่นา  แล้วถ้าฟุยุกิมาอยู่ด้วยจะเหมาะสมหรือ...แต่ยังไงลองไปปรึกษาเคียวยะก่อนก็น่าจะดี  อ้อ  ต้องคุยกับฟุยุกิให้แน่นอนด้วยสินะ...

ในขณะที่สองพี่น้องต่างคิดกันไป  คิโยฮารุที่นั่งอยู่ด้านในสุดของร้านก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความแจ้งข่าวด่วนข่าวร้อนประจำวันให้คิริฮาระ

...นัตสึเมะซังเปลี่ยนไป  ต้องติดนิสัยยูคุงมาแน่ ๆ...


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด