ก้าวที่ยี่สิบเอ็ด"มึง..."
พอผมร้องไห้ได้สักพัก
ก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างเตียงฝั่งตรงข้ามกับไอ้กิก
"...."
ทุกคนในห้องต่างก็เงียบ
เหมือนต้องการรอฟังคำพูดต่อไปว่ามันจะพูดว่าอะไร
"พวกมึงออกไปจากห้องก่อนได้ไหม กูมีเรื่องจะคุยกับอิงหน่อย"
มันเรียกผมอย่างสนิทชิดเชื้อ
โดยไม่คิดสักนิดว่าผมเป็นพี่มัน(แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นน้องของผมอยู่แล้วนี่)
"......"
พอมันพูดเสร็จทุกคนในห้องก็เงียบอีกครั้ง
ไม่มีแม้กระทั่งเสียงหายใจของใครสักคน
"เหอะน่า ออกไปตามหมอมาก็ได้ กูไม่ทำอะไรมันหรอก "
เงียบต่อไปอีกสักพัก
ผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตู
พร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนสองสามคนที่ค่อยๆดังหายลับไป
"มึงตาบอดจริงๆใช่ไหม"
ดูคำถามมันสิครับ
ถามมาได้
ใครเขาจะตาบอดเล่นๆ
"อืม.."
ผมตอบพร้อมกับจ้องสายตานิ่งไปยังฝั่งที่เป็นที่มาของเสียง
ประหนึ่งว่าตัวเองมองเห็นหน้ามัน
"มึงเสียใจไหม"
น่าน..
มันยังอุตส่ามาถามอีก
ตาบอดนะครับ
ไม่ใช่ขนแขนร่วงจะได้ไม่เสียใจ
"......"
ผมก็ได้แต่เงียบสิครับ
คำถามบ้าๆแบบนี้ใครจะตอบ
"กูขอโทษนะ"
ผมได้ยินมันพึมพำเสียงเบา
"ว่าไงนะ"
"กูบอกว่ากูขอโทษ ดังพอยัง"
มันเอาปากมาจ่อที่หูผม
แล้วตะโกนเสียงดังจนผมสะดุ้ง
ก็อย่างว่าแหละครับ
ผมไม่รู้เลยนี่ว่ามันมาตอนไหน
จู่ๆก็ส่งเสียงอยู่ข้างหู
"แล้ว..."
ผมถามเสียงเรียบ
"ไม่แล้วไง "
"อืม.."
ผมตอบรับอย่างเหนื่อยหน่าย
เพราะผมก็ไม่รู้ว่ามันจะพูดเพื่ออะไร
ขอโทษเพื่ออะไร
แล้วมันจะพูดอะไรก็ไม่พูดต่อสักที
"........"
"แค่นี้ใช่ไหม ชั้นอยากพักหน่อย รู้สึกปวดตา"
ผมเอนหลังพร้อมกับดึงผ้าห่มมาห่มเพื่อเตรียมจะนอน
"เฮ้ย เดี๋ยวสิ "
"โอ๊ย"
"โอ๊ย"
มันรีบมาดึงตัวผมขึ้นอย่างแรง
จนหัวผมกระแทกกับคางมันเต็มๆ
"อะไรอีกเนี่ย "
ผมพูดอย่างหงุดหงิด
เมื่อไหร่มันจะเลิกทำผมเจ็บสักทีก็ไม่รู้
อยู่กับมันแล้วมีแต่เรื่องไม่จบไม่สิ้นสักที
"กูยังพูดกับมึงไม่เสร็จ"
"มีไรก็ว่ามาสิ อ้ำอึ้งอยู่ได้"
".........."
".........."
"มึง....ต้องไปอยู่กับกู"
นั่นไงครับ
นิสัยเดิมๆ
ถ้าคิดว่าจะได้ยินคำพูดเพราะๆแบบ
ไปอยู่ด้วยกันนะ
ไปอยู่ด้วยกันไหม
เดี๋ยวกูจะดูแลมึงเอง
ไม่มีวันหรอกครับ
รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดก่อนเถอะ
"ไม่.."
ผมเองก็ตอบไปอย่างเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กัน
"ทำไม"
"ไม่รู้ แต่ไม่ไป ชั้นจะอยู่กับไอ้เอิง"
"แล้วมึงคิดหรอว่าน้องมึงจะดูแลมึงได้ มึงจะไปเป็นภาระให้น้องมึงรึไง"
"........"
พอมันพูดคำนี้ก็ทำเอาผมนิ่งไปเหมือนกันครับ
ใช่สิ
ในเมื่อผมกลายเป็นคนพิการแบบนี้
ผมคงต้องไปเป็นภาระให้กับน้องแน่ๆ
ทำไมเรื่องราวร้ายๆมันต้องมาเกิดขึ้นกับผมด้วย
ทำไมผมไม่ตายให้มันจบๆไปก็ไม่รู้
"กู...เอ่อ "
"มันก็ถูกของนาย ชั้นอยู่ต่อไปก็เป็นภาระให้กับน้องเปล่าๆ "
ผมพูดพร้อมกับความคิดที่เด็ดเดี่ยว
กับการตัดสินใจที่จะทำเพื่อความสบายของทุกคน
"อ้าว ตื่นพอดีเลยหรอ"
ไอ้เดฟมันยังไม่พูดอะไร
เสียงคุณหมอก็ดังเข้ามาขัดจังหวะ
พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังมาอีกมากมาย
"ว่าไง ปวดหัวไหม"
คุณหมอเดินมาจับหัวผมไปมา
พร้อมกับเอามือถ่างตาผมออก
"รู้สึกไหมว่ามีแสงแยงตาอยู่"
"ครับ "
ผมตอบไปตามความเป็นจริง
เพราะผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
มันเหมือนกับมีคนเอาไฟฉายมาแยงตาขณะที่เรานอนหลับ
"อืม ...ถ้างั้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ อย่างน้อยก็ยังพอมีทางรักษาหน่อย ไม่ถึงกับบอดสนิท เพราการรับรู้แสงแสดงว่านัยตาของเรายังไม่ได้เสียหายไปเลย เพียงแค่มีความขัดข้องทางระบบประสาทเท่านั้น"
"แล้วพี่ผมจะหายไหมครับ"
"เรื่องหายน่ะมันหายแน่นอนอยู่แล้วครับ เพียงแต่ก็อาจจะต้องอาศัยเวลาหน่อย หรือไม่ก็อาจจะต้องทำการผ่าตัดเร่งด่วน ถ้าปล่อยไว้นานการรักษาก็อาจจะช้าออกไปมาก เพราะการมองไม่เห็นในลักษณะนี้มันเป็นการมองไม่เห็นชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นถาวร พอระบบต่างๆเริ่มรักษาตัวเองได้เดี๋ยวก็จะมองเห็นเอง"
"แล้วใช้เวลานานแค่ไหนครับ"
ไอ้เดฟถามหมอขึ้นบ้าง
"ก็คงไม่นานเท่าไหร่ ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกวิธี"
"แล้วต้องทำยังไงบ้างครับ"
ผมถาม
"ก็อาจจะมีการผ่าตัดเพื่อแก้ไขระบบประสาทภายใน การกินยาคลายระบบประสาท รวมทั้งการบำบัดจิตใจควบคู่ไปด้วย แล้วตาก็จะค่อยๆมองเห็น เพราะการที่คุณมองไม่เห็นครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับระบบประสาทโดยตรง เราจึงต้องเริ่มทำการรักษาที่จิตใจด้วยครับ"
"แล้วค่ารักษามันแพงไหมครับ"
ผมถามเสียงเศร้า
เพราะถ้าพูดถึงเรื่องการผ่าตัดแล้ว
ผมคงไม่มีปัญญาหรอกครับ
ลำพังค่ารักษาเท่าที่เป็นอยู่ก็คงจะแพงมากแล้ว
เงินที่ผมเก็บสะสมไว้อีกไม่นานคงจะหมดแน่นอน
แล้วผมจะเอาเงินที่ไหนไปเป็นค่าเทอมให้น้องผมล่ะครับ
"ก็ค่อนข้างจะแพงเหมือนกันครับ แต่หากคุณไม่ผ่าตัด โอกาสในการหายก็จะน้อยลง หรืออาจจะใช้เวลาเป็นปีๆ "
"....."
พอฟังคำตอบจากคุณหมอผมก็ได้แต่นิ่งเงียบ
เพราะผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป
"จะเริ่มผ่าตัดได้เมื่อไหร่ครับ"
เสียงไอ้เดฟถามขึ้น
"คนไข้พร้อมเมื่อไหร่ก็ทำการผ่าตัดได้ทันทีครับ "
"งั้นคุณจองคิดผ่าตัดไว้ได้เลยครับ เพราะคนไข้พร้อมแล้ว"
ไอ้เดฟมันยังคงพูดต่อ
"ไม่ครับ..ผมยังไม่พร้อม"
ผมพูกแทรกขึ้นก่อนที่ไอ้เดฟมันจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
"เอ่อ.."
คุณหมอทำเสียงเหมือนลำบากใจ
เพราะไม่รู้ว่าจะฟังความจากใครดี
"ทำไมวะ มึงไม่อยากหายรึไง"
ไอ้เดฟถามผมด้วยเสียงที่เริ่มเข้มขึ้น
"เอางี้แล้วกันนะครับ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ตกลงกันได้ ก็ค่อยแจ้งที่ผมอีกที เดี๋ยวผมต้องไปดูคนไข้รายอื่นต่อ พยายามทำใจให้สบายนะครับ "
"เดี๋ยวครับคุณหมอ"
ผมตะโกนเรียกคุณหมอไว้ก่อนที่ท่านจะออกไปจากห้อง
"ว่าไงครับ"
"ผมจะออกจากโรงบาลได้เมื่อไหร่ครับ"
"อ้อ เดี๋ยวเย็นนี้ผมมาตรวจอีกที ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็ออกได้แล้วครับ ขอตัวก่อนนะครับ"
"ครับ ขอบคุณมากครับ"
ผมตอบรับคุณหมอ
"ทำไมมึงไม่ผ่าตัด"
ผมกำลังคิดอะไรเพลินต้องสะดุ้งเพราะเสียงไอ้เดฟที่ดังขึ้นข้างตัว
ใช่สิ
ผมลืมเรื่องมันไปเลย
แล้วน้องๆผมหายไปไหนกันหมดไม่รู้
ทำไมปล่อยให้ไอ้นี่มันมาเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องของผมอยู่ได้
"กูถามทำไมไม่ตอบ"
น้ำเสียงมันยังคงดุดันเช่นเดิม
"ไม่มีเงิน"
ผมตอบมันไปตรงๆ
เพราะถึงแม้จะอ้างโน่นนี่ไปเรื่อย
แต่คนอย่างมันก็คงจะจับได้อยู่ดี
"โธ่โว้ย .... ทำไมมึงถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้วะ นี่มึงโง่หรือมึงปัญญาอ่อนกันเนี่ย"
มันพูดอย่างหัวเสีย
นี่ถ้าเป็นเวลาปกติมันคงหาอะไรมาจับทุ่มไปแล้วแน่ๆ
เพราะเท่าที่ฟังจากน้ำเสียงมัน
คาดว่ามันคงจะโมโหน่าดู
"............."
"มึงใช้สมองส่วนไหนคิด ว่ากูจะเอาเงินมึงมาจ่าย เงินกูมีให้มึงผ่าตัดวันละรอบไปจนตายยังได้ มึงจะมาห่วงทำไม แล้วเรื่องจะออกจากโรงพยาบาล มึงปรึกษาใครรึยังก่อนจะพูด"
"นายมีเงินก็ส่วนนายสิ มันเกี่ยวอะไรกับชั้น "
"ไอ้เอิง มึงมาพูดกับพี่มึงที ก่อนที่กูจะฆ่าคนตายไปซะก่อน เดี๋ยวกูมา"
สักพักผมก็ได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูเสียงดังตามแรงอารมณ์ของคนที่เปิดออกไป
"พี่อิงก็ไปยั่วมัน"
ไอ้เอิงพูด
พร้อมกับเอามือมาลูบที่หัวผม
"พี่พูดจริงๆนะเอิง เราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย ขนาดค่าโรงบาลนี่ก็ปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ตาพี่ก็มองไม่เห็นแล้วด้วย งานพี่ก็ไม่มี เราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายต่อไปล่ะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
เพราะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของผมสักคน
ไม่มีใครเข้าใจว่าไอ้บอดคนนี้มันใกล้จะกลายเป็นคนพิการไปทุกทีแล้ว
"เฮ้อ ถ้าเจ๊ลำบากใจที่จะเอาเงินจากไอ้เดฟ เจ๊ยืมผมก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมไปยืมป๊ามาให้"
ไอ้เดรีบอาสา
"เฮ้ย ไม่เป็นไร เงินเป็นหมื่นเป็นหมื่นเป็นแสน ใครเขาจะให้กันยืมง่ายๆ "
ผมรีบบอกปัดอย่างเกรงใจ
"ใช่ มึงเก็บเงินมึงไว้เหอะ เมียกูคนเดียวกูดูแลได้"
เสียงไอ้เดฟดังขึ้นอยู่หน้าเตียง
โดยที่ผมไม่รู้เลยว่ามันเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
ถ้ารู้ว่ามันแอบฟังอยู่ผมคงจะยอมรับข้อเสนอของไอ้เดไปแล้วแหละ
อย่างน้อยก็จะได้บอกปัดไอ้เดฟได้ง่ายขึ้น
"แล้วจะเอาไงล่ะพี่อิง "
ไอ้กิกพูดอย่างหมดปัญญา
อย่าว่าแต่มันเลยครับ
ขนาดผมเองยังหมดปัญญาเลย
"ไม่ต้องคิดแล้ว กินข้าวกินยาแล้วนอนพัก ยังไงมึงก็ต้องผ่าตัด แล้วต้องนอนพักที่นี่ก่อน ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน "
เสียงไอ้เดฟพูดขึ้น
ทำให้ทุกคนต้องเงียบ
ไม่เว้นแม้กระทั่งผม
ก็จะเอาอะไรไปสู้มันล่ะครับ
ขนดตามองเห็นผมยังแพ้มันทุกครั้ง
นับประสาอะไรกับตอนนี้
"พวกมึงก็ไปเรียนได้แล้วไป ตอนบ่ายกูไม่มีเรียน เดี๋ยวกูดูไว้ให้ "
มันคงจะหันไปบอกพวกน้องๆผมนั่นแหละครับ
ไอ้นี่ได้ทีเอาใหญ่เลยครับ
กล้าสั่งแม้กระทั่งพวกแก๊งหลังอาน
แล้วไอ้พวกนั้นก็ทำตามที่มันบอกจริงๆครับ
ไม่รู้ว่ามันโดนยาเสน่ไอ้เดฟเข้าไปรึเปล่า
"มึงจะกินข้าวได้รึยัง นั่งอ้าปากอยู่นั่นแหละ"
มันหันมาพูดกับผม
หลังจากที่พวกน้องผมพากันออกไปจากห้องแล้ว
"จะให้กินยังไงล่ะ "
ผมถามมันอย่างหมดปัญญา
เพราะผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าช้อนส้อมอยู่ตรงไหนด้วยซ้ำ
ได้แต่กลิ่นของอาหารที่โชยเข้ามา
เมื่อกี้ก็ไม่ได้บอกให้น้องผมมันป้อนให้เรียบร้อย
แล้วผมจะเอาไงล่ะครับ
เหลือแค่ผมกับไอ้เดฟแล้วนี่
"กินไม่ได้ทำไมไม่บอก เห็นกูใจดำนักรึไง"
"............"
.
.
.
"อ้าปาก"
จู่ๆผมก็ต้องสะดุ้งตกใจ
หลังจากที่มันเงียบเสียงไปสักพัก
เพราะมันเอาช้อนมาจ่อที่ปากผมก่อนที่มันจะบอกผมด้วยซ้ำ
แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ
ว่ามันกำลังจะทำอะไร
"เอ้า อ้ากว้างกว่านั้นสิ เห็นไหมเนี่ย ช้อนกินข้าวนะ ไม่ใช่ช้อนชา เดี๋ยวก็หกหรอก"
มันยังคงไม่เลิกดุผมครับ
นี่ผมได้กลายไปเป็นเบี้ยล่างมันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ( ชั้นว่าแกเป็นมาทั้งเรื่องนะอิง from ผู้แต่ง)
"ก็จะไปรู้ได้ไง จำไม่ได้รึไงว่าชั้นตาบอดอยู่"
"กูก็พูดไปงั้นแหละ เอาเวลาที่เถียงมาเคี้ยวข้าวดีกว่า อ้าปาก"
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เอ...
เดี๋ยวไม่เกินห้าร้อยก้าวน่าจะจบแระ
จะเอาจบแบบไหนดีน๊า
มีให้โหวต
ก.คู่กรรม (ตายในอ้อมกอด)
ข.สะพานรักสารสิน (ตายด้วยกัน)
ค.ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ(ผัวตายโดยไม่มีวันได้รู้)
ง.ไปแต่งให้ตายเรื่องอื่นไป เรื่องนี้ไม่ต้อง
ฮ่าๆ ๆ
หวังว่าตอนนี้คงมีอะไรให้หวานบ้างนะ