[เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]  (อ่าน 25814 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: (ไม่)รักได้ไง [17-11-2014]
«ตอบ #60 เมื่อ17-11-2014 23:29:07 »

ตบจูนสักทีจะดีไหมเนี๊ยะ???

รีบๆไปอธิบายให้เค้กฟังเร็วๆนะครับ,,,,

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: (ไม่)รักได้ไง [17-11-2014]
«ตอบ #61 เมื่อ18-11-2014 12:13:29 »

Ta-kiang

“ตกลงจูนมีเรื่องอะไร รีบๆ ว่ามาเลยนะเราจะรีบไปเหมือนกัน”ผมรีบบอกอย่างเร่งด่วนหลังจากมาถึงคอนโดของผมแล้ว ดูจูนมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่มากทีเดียว สงสัยคงมีเรื่องกลุ้มใจอยู่แน่ๆ แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก มาชวนผมออกไปข้างนอกทำไม เลยพาลให้ผมมีเรื่องที่ต้องกังวลไปด้วยเลยเนี่ย

“คือหลังจากที่เราเลิกกับเกี๊ยงไป เกี๊ยงจำได้ไหมว่าเราไปคบกับชาวต่างชาติคนนึง”ผมคิดตามที่จูนพูดก็พอจะจำได้ว่าหลังจากที่แยกทางกับผมจูนก็ ไปคบกับฝรั่งคนนึง นี่ก็หลายปีมาแล้ว มันยังจะมีอะไรยุ่งยากอีกหรือ จะเลิกกัน ทะเลาะกันหรืออะไรกัน รีบๆ เล่ามาเถอะน่า

ผมรีบให้จูนเล่าให้ฟังก็พอจะจับใจความได้คร่าวๆ ว่าตอนแรกจูนไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีครอบครัวอยู่แล้ว เลยทุ่มไปสุดตัวและหัวใจ แต่มารู้ทีหลังว่าทางผู้ชายมีครอบครัวอยู่แล้ว แต่แยกกันอยู่มานาน คือเหมือนอยากจะเลิกกัน แต่ฝ่ายภรรยาทางโน้นไม่ยอมเลิก พอจูนรู้ว่าตัวเองกำลังจะอยู่ในฐานนะเมียน้อยเลยอยากจะเลิก แต่ฝ่ายชายก็มาบอกกับจูนว่าไม่คิดหลอกลวงอะไร รักจูนจริงๆ แล้วก็กลับไปฟ้องอย่ากับภรรยาเก่าจนเรียบร้อย ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องราวไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีกแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะพอจูนตัดสินใจจะแต่งงานกับนายฝรั่งนี่ ฝั่งครอบครัวของจูนดันไม่ยอมเพราะไม่พอใจที่พ่อฝรั่งนั่นเคยมาโกหกพกลมว่าไม่ได้มีเมียแล้วมาหลอกจูน

ถึงขนาดว่าพ่อแม่ของจูนจะตัดญาติขาดมิตรเลยถ้าจูนจะแต่งงานกับนายฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ จูนเลยไม่รู้จะทำยังไงเพราะจูนเองตอนนี้ก็รักนายฝรั่งนั่นไปเต็มหัวใจแล้ว

“ผมว่าจูนกับแฟนก็ลองเข้าไปคุยกันดีๆ อีกทีคือมันอาจจะไม่ได้ผลทันที แต่ลองทำให้พวกท่านเห็นว่าจูนกับแฟนรักกันจริงๆ และจริงจัง พวกท่านน่าจะใจอ่อนเข้าสักวัน หรือว่าต้องรีบแต่งงาน”ผมเองก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรเหมือนกันแหละครับ คงพูดได้แค่นี้

“จูนท้อง”ว่าแล้วไหมล่ะ มันน่าจะมีอะไรอยู่แล้ว ไม่งั้นจะมากลุ้ม มาเครียดทำไม จริงไหมครับ แต่ผมคิดว่าการที่จูนท้องอาจจะง่ายขึ้นก็ได้นะเพราะผู้ใหญ่เค้าอาจจะอยากอุ้มหลานก็เป็นได้ ว่าแต่แล้วนี่ทำไมจูนต้องมาปรึกษาผมด้วย เพื่อนฝูงคนอื่นไม่มีแล้วหรือไงกันนะ ไอ้ผมกับเค้ามันก็แทบไม่ได้ติดต่อกันแล้ว หรืออาจจะอายที่ต้องเล่าให้เพื่อนสนิทฟังหรือเปล่า หรือไม่ก็คงอยากจะระบายให้ใครสักคนฟัง เพราะดูแล้วทางออกนั้นจูนคงพอจะหาได้แล้ว แค่อยากมั่นใจอีกหน่อยแค่นั้นเอง

“ยังไงก็สู้ๆ นะ”ผมเดินออกมาส่งที่หน้าประตูให้จูนกลับบ้าน จูนหันกลับมาสวมกอดเข้าที่ผม

“ขอบใจนะ แม้เราไม่ได้เป็นคนรักแต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นี่เนอะ ขอบใจนะที่วันนี้ไปเที่ยวเป็นเพื่อน รีบๆ ไปง้อแฟนละเดี๋ยวจะงอนจนง้อไม่สำเร็จ”เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าทั้งที่ยังสวมกอดผมอยู่

แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ที่เมื่ออยู่ๆ ประตูห้องผมเปิดขึ้นและมันทำให้ผมแทบหัวใจวายเพราะคนที่ยืนหน้าตกใจอยู่ที่ประตูไม่ใช่ใครที่ไหน

“เค้ก”ผมหลุดชื่อเค้าออกไป ดูเค้ามีสีหน้าตกใจมากเลยทีเดียว ผมรีบผละออกจากจูนเดินเข้าไปหาเค้า

“เค้กๆ คือมันไม่ใช่อย่างที่เค้กกำลังคิดนะ คือฟังเราอธิบายก่อน”ผมรีบระล่ำระลัก บอกแต่เค้าไม่ฟังผมเลย เดินลิ่วๆ ออกไปเลย ผมหันกลับไปมองจูนแวบนึงเห็นเธอพยักหน้า ว่าไม่เป็นไร ผมเลยวิ่งตามเค้กไป แต่ไม่ว่าผมจะพูดอะไรยังไงเค้าก็ไม่ยอมฟังผม เค้าบอกขอเวลาเค้าก่อน ทำไมต้องขอเวลาด้วย รีบๆเคลียร์กันจะไม่ดีกว่าเหรอ แต่ผมก็ไม่ได้ตามเค้าไปอยู่ดี กะว่าเค้าคงกลับบ้านเดี๋ยวผมตามไปที่บ้านก็ได้

“เป็นไงบ้าง”จูนเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเดินคอตกกลับมา ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างกังวล ว่าเค้กจะยอมรับฟังผมไหมน้า

“ให้จูนไปช่วยพูดไหม”เธอแสดงน้ำใจ แต่ผมว่าไม่ดีกว่า เอาไว้ถ้าผมอธิบายไม่สำเร็จจริงๆ แบบนั้นค่อยว่ากันใหม่ ผมบอกลาจูนส่งเธอกลับ

“ไม่คิดว่าคนที่เกี๊ยงรักมากขนาดนี้จะเป็นผู้ชาย”เธอเอ่ยถามอีกครั้งก่อนจะกลับ แต่ดูเธอจะไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่

“อย่างว่าแหละความรักมันไม่มีขอบเขตหรอกจริงไหม ยังไงก็ขอให้ง้อเค้าให้สำเร็จนะ”เราต่างยิ้มให้กันก่อนจะแยกย้ายกัน หลังจากจูนกลับไปได้พักใหญ่ๆ ผมก็กะเวลาว่าเค้กน่าจะถึงบ้านแล้ว ก็รีบกดโทรศัพท์ แต่ผมเลือกโทรหาเจ้าชีส เพราะกลัวว่าเค้าอาจจะไม่รับโทรศัพท์ผม

“ว่าไงพี่เขย ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยดีแล้วสิ”เสียงเจ้าชีสอ้อแอ้ๆ เหมือนคนกำลังตึงๆ ได้ที่ นี่แสดงว่าไปดื่มที่ไหนอยู่แน่ๆ แต่คำพูดเหมือนกับว่าชีสยังไม่รู้ว่าเค้กมาเจอผมแล้วเข้าใจผิดไปแล้วนะเนี่ย

“ไม่ได้อยู่กับเค้กเหรอ”ผมถามออกไปอย่างสงสัย

“คืองี้นะ...”ผมเริ่มอธิบายเรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องของจูนและที่เค้กมาเจอผมกับจูนให้ชีสฟัง อย่างละเอียด โชคดีที่แม้ว่าเจ้าชีสจะเมาแต่ก็ยังเข้าใจที่ผมพูด และผมก็ได้รับรู้ว่าก่อนเค้กจะมาได้รับข่าวสารจากทั้งพ่อน้องชายตัวแสบกับเพื่อนมาอย่างไรบ้าง แต่ที่น่าแปลกคือทำไมเค้าไม่กลับไปหาชีสกับโอเล่กันละ ผมวางสายจากชีสก่อนจะโทรเข้าบ้านของเค้า นี่มันก็ยังไม่ดึกมากคิดว่าพ่อตาแม่ยายผมจะยังไม่นอน แต่พอโทรไปเค้กก็ยังไม่ได้กลับบ้าน ผมแกล้งบอกที่บ้านเค้าไปว่าโทรหาเค้กแล้วแต่เค้กไม่รับ

หลังจากวางสายที่บ้านเค้าผมก็ลองโทรเข้าเบอร์เค้ก แต่เค้กไม่ยอมรับโทรศัพท์ผม ผมโทรอยู่หลายทีก็ไม่รับเสียที ผมเลยลองโทรไปบอกให้ชีสเป็นคนโทรหาเค้กหน่อย ว่าผมต้องการจะเคลียร์เรื่องทั้งหมด ตอนนี้เค้าอยู่ไหนกันนะ

“พี่เกี๊ยงไอ้เค้กไม่รับโทรศัพท์ว่ะ เป็นไรหรือเปล่าเนี่ย”เสียงอ้อแอ้ของชีสโทรกลับมาบอกผม ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยออกจากคอนโดไปสมทบกับชีสและไอ้ลูกอมที่ลานเบียร์ พอถึงก็พากันผลัดกระหน่ำโทรหาเค้กแต่ก็ไม่มีใครที่เค้กยอมรับสายเลย ชีสเกิดปิ๊งไอเดียว่าน่าจะลองโทรหาเพื่อนคนอื่นๆ ของเค้กดูบ้างเพราะชีสพอจะมีเบอร์เพื่อนๆ ของเค้กอยู่บ้าง เผื่อว่าเค้กจะไปหาเพื่อน แต่ทุกคนที่ชีสโทรหาก็ไม่มีใครเจอเค้กเลย ตอนนี้ผมชักเป็นห่วงเค้กแล้วสิ ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง ผมลองโทรหาเค้กอีกครั้ง

“ฮัลโหลๆๆ ...เค้กได้ยินหรือเปล่าอยู่ไหนเนี่ย”ผมรีบพูดทันทีที่เค้ารับสาย แต่ทางปลายสายยังเงียบอยู่

“เค้กได้ยินหรือเปล่า”ผมถามย้ำไปอีกรอบ ส่วนอีกสองคนก็จ้องผมพร้อมกับแนบหูเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้

“คุณเป็นอะไรกับเจ้าของโทรศัพท์คะ”เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาผมตกใจไม่น้อย ทำไมเป็นผู้หญิงรับ จะว่าผมโทรผิดก็ไม่น่าจะใช่ หรือว่าเค้กทำโทรศัพท์หาย

“แฟนครับ เป็นแฟน ให้ผมคุยกับแฟนผมหน่อย”ผมบอกออกไปชัดถ้อยชัดคำ

“เป็นอะไรกับคนเจ็บนะคะ”คนเจ็บงั้นเหรอหมายความว่ายังไงกัน เกิดอะไรขึ้นกับเค้ก

“เค้กเป็นอะไรเหรอครับ เค้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน”ผมไม่รู้ว่าผมพูดอะไรออกไปบ้าง รู้แต่ว่าผมเป็นห่วงเค้าและหวังว่าเค้าจะไม่เป็นอะไรมากนะ อีกสองคนก็มีทีท่าตกใจไม่น้อยไปกว่าผมเลย

“คุณใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ตอนนี้เอ่อ...แฟนคุณประสบอุบัติเหตุนะคะ อยู่ที่โรงพยาบาล...ยังไงรบกวนคุณติดต่อทางบ้านแฟนคุณให้ด้วยนะคะ”คนที่รับโทรศัพท์ตอบผมกลับมา

“เค้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้และเป็นห่วง นี่เค้าต้องประสบอุบัติเหตุเพราะผมหรือเปล่า

“มาดูเองจะดีกว่านะคะ”


-----------------------------------------------

แวะมาต่อคร๊าบบบบบบ

Singleman

  • บุคคลทั่วไป
Re: (ไม่)รักได้ไง [18-11-2014]
«ตอบ #62 เมื่อ18-11-2014 12:42:27 »

นู๋เค้กอย่าเป็นอะไรนะ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: (ไม่)รักได้ไง [18-11-2014]
«ตอบ #63 เมื่อ18-11-2014 22:01:44 »

เค้กเป็นอะไรมากมั้ย??

ห่วงเค้ก!!!

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: (ไม่)รักได้ไง [18-11-2014]
«ตอบ #64 เมื่อ18-11-2014 22:46:27 »

คือนางพยายาลที่ไหนเนี่ย ตอบว่า มาดูเองดีกว่านะคะ  o22
คือว่าตอบยังงี้เขาจะรู้มั้ยว่าอาการหนักรึเปล่าหรือขนาดไหน จะได้เตรียมตัวถูก

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: (ไม่)รักได้ไง [18-11-2014]
«ตอบ #65 เมื่อ19-11-2014 22:36:35 »

Ta-kiang


“เค้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้และเป็นห่วง นี่เค้าต้องประสบอุบัติเหตุเพราะผมหรือเปล่า

“มาดูเองจะดีกว่านะคะ”ทำไมน้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่ค่อยดีแบบนั้นละ คนที่รับโทรศัพท์ผมวางสายไปแล้ว ผมหันมาปรึกษากับอีกสองคนว่าจะเอาไงกันดี ผมนั้นยังไงก็จะไปที่โรงพยาบาลเลยแน่นอนอยู่แล้ว แต่พ่อกับแม่ของเค้กละถ้าโทรไปบอกตอนนี้พวกท่านจะตกใจไหม ครั้นจะให้ชีสขับรถกลับไปรับก็ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ เป็นอันว่าเราสามคนตัดสินใจที่จะยังไม่บอกให้พ่อกับแม่ของเค้กทราบเรื่อง คิดว่าไปดูเค้กก่อน คิดว่าเค้กคงจะไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่างน้อยผมก็หวังอย่างนั้น แล้วค่อยให้พ่อกับแม่ไปเยี่ยมพรุ่งนี้ก็ได้เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว

เราสามคนไปยังโรงพยาบาลตามที่ทราบมา พอไปถึงเค้กถูกแอดมิท อยู่ในห้องผู้ป่วยรวม สภาพเสื้อผ้ายังเป็นชุดที่ผมเจอเค้าครั้งสุดท้าย แต่ตอนนี้มันเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ที่หน้าผากมีคราบเลือดเป็นแนวยาว ตั้งแต่บริเวณหน้าผากไปจนถึงกลางศีรษะ ถูกเย็บไว้อย่างลวกๆ พยาบาลบอกว่าเป็นแค่การห้ามเลือดชั่วคราว เพราะต้องรอผลเอกซเรย์อีกที และอาจจะต้องผ่าตัดแล้วก็จะมีการเย็บใหม่อีกรอบ หมอบอกว่าสมองอาจจะได้รับการกระทบกระเทือน เนื่องจากมีรอยแตกลากยาวตั้งแต่หน้าผากอย่างที่เห็น แต่ตอนนี้ต้องรอผลอีกที

เค้ายังไม่ยอมให้เค้กแยกเข้าพักในห้องผู้ป่วยในแบบที่เป็นส่วนตัว เพราะมันจะห่างจากพวกห้องเครื่องมือที่อาจจะจำเป็นมากกว่า อีกอย่างโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เป็นโรงพยาบาลรัฐบาล ไม่ใช่โรงพยาบาลเอกชน กลางคืนแบบนี้ บุคลากรอาจจะไม่เพียงพอเท่าที่ควร เพราะดูมีคนไข้เยอะพอสมควร

ผมรับอาสาจากพยาบาลเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าคนป่วยของทางโรงพยาบาล เค้าไม่ได้สลบไป แต่ดูเค้าเหม่อๆ ตาลอยๆ แปลกๆ ถามอะไรก็ไม่ตอบ แล้วก็มีของเหลวขุ่นๆ คล้ำๆ ที่ไหลออกทางปากเป็นครั้งคราวเหมือนเค้กจะขยับเขยื้อนตัวลำบากเพราะเค้าทำได้เพียงหันข้างให้ของเหลวที่ไหลออกจากปาก ออกไปด้านข้างเท่านั้น ตอนนี้เจ้าชีสน้ำตาร่วงไปแล้ว ผมเองใจจริงก็แทบกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน เพราะสภาพตอนนี้ของเค้กมันช่างเลวร้ายกว่าที่ผมเตรียมใจมามากพอสมควร

ผลการเอกซเรย์ออกมาแล้ว ปรากฏว่ามีเลือดคั่งในสมอง ผมเองไม่เข้าใจหรอกว่ามันเป็นยังไง แต่หมอบอกว่าต้องผ่าตัด เพราะตอนนี้เลือดที่คั่งมันไปกดเส้นประสาทอยู่ ทำให้เค้กมีอาการอย่างที่พวกผมเห็นตอนนี้คือ สมองสั่งการช้ากว่าปกติหรือไม่รับรู้ในบางอย่างด้วย ถ้าไม่ผ่าตัดโอกาสรอดก็แทบไม่มี แต่ถ้าผ่าตัดโอกาสรอดก็ใช่ว่าจะร้อยเปอร์เซ็นต์ หมอบอกว่า ห้าสิบห้าสิบเท่านั้นเอง

คุณหมอบอกว่าการผ่าตัดต้องให้ญาติเซ็นยินยอมด้วย ใจจริงถ้าให้ผมตัดสินใจยังไงผมก็คงต้องยอมให้เค้าผ่าตัดอยู่แล้ว แต่ว่ามันมีความเสี่ยงแบบนี้ ยังไงก็คงจะยังผ่าตัดไม่ได้ เพราะคุณหมออยากให้พ่อหรือแม่ของเค้กเป็นคนเซ็นต์ยินยอม ผมกับชีสตกลงกันว่าจะให้ชีสแล้วก็โอเล่ขับรถกลับไปรับพ่อกับแม่มา ไม่อยากโทรไปบอกเพราะท่านต้องตกใจแน่นอน ผมกำชับให้ชีสบอกว่าเค้กไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่อาจจะต้องผ่าตัด เท่านั้น ถึงจะเป็นการโกหกพูดความจริงไม่หมดแต่มันก็ดีกว่าให้พวกท่านตกใจจนจะเป็นอะไรตามไปอีก

ผมนั่งเฝ้าเค้กที่นอนนิ่ง ตอนนี้เปลือกตาเค้าปิดลง แต่สักพักก็ลืมขึ้นมาอีก พร้อมกับของเหลวบางอย่างที่ยังไหลออกจากปากเป็นระยะๆ ผมเอื้อมมือไปกุมมือเค้าไว้แน่น ภาวนาว่าอย่าให้เค้าเป็นอะไรเลย ยังไงเค้าก็ต้องหาย ต้องหาย นี่ผมยังไม่ได้อธิบายเรื่องที่เค้าเข้าใจผมผิดเลย ผมนึกหวนไปถึงคำพูดที่เค้กเคยเอ่ยถึงความเป็นความตาย ถึงผมจะไม่ใช่คนงมงายอะไร และคิดว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือนั่นอาจจะเป็นลางบอกเหตุ ที่จริงวันนี้ตอนเค้าออกมาผมไม่น่าปล่อยเค้าเลยน่าจะตื้อตามเค้ามาด้วย เรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

คุณพ่อกับคุณแม่ของเค้กมาถึงในตอนเกือบจะเช้าแล้ว ประมาณตีสี่ ทันที่ที่แม่ของเค้กเห็นสภาพลูกชาย คุณแม่ปล่อยโฮอย่างไม่อายใครเลย คุณพ่อเองก็น้ำตาซึม เพราะนี่คงเป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เค้กเคยเจอมาแล้วมั้ง พยาบาลเล่าให้ฟังว่า คนของมูลนิธิที่นำตัวเค้กมาส่งนั้น ได้รับแจ้งว่ามีคนขับรถเกือบตกสะพาน เค้ายังบอกอีกว่าดีที่รถติดราวกั้นตรงคอสะพาน ไม่งั้นถ้าตกลงไปแม้จะเป็นแค่คลองเล็กๆ แต่ถ้าหมดสติแล้วกว่าจะมีคนไปช่วย อาจจะเป็นอันตรายมากกว่านี้ก็เป็นได้ ที่เค้กหัวแตกน่าจะเป็นแรงกระแทกเพราะเค้กไม่ได้ขาดเข็มขัดนิรภัย โชคดีที่ไม่ได้หลุดออกมานอนตัวรถ แต่สภาพรถก็ดูไม่ได้เลยทีเดียว เค้กไม่ได้ชนกับใคร แต่อาจจะหลับในหรือไม่ก็ขับรถเสียหลัก ซึ่งไม่มีใครทราบได้ นอกจากตัวของเค้กเอง

“เค้กๆ ลูกจำแม่ได้ไหม”คุณแม่รีบระล่ำระลักทันที่ที่เห็นเค้กลืมตาขึ้น ที่ต้องถามแบบนี้เพราะคุณหมอบอกว่าคนไข้อาจมีอาการความจำขาดๆ หายๆ ได้

“แม่”เค้กเอ่ยเสียงแผ่ว เบาจนเหมือนจะกระซิบ แต่แค่ผมได้ยินแค่นั้นผมก็ใจชื้นว่าอย่างน้อยๆ เค้าก็ยังจำความได้ ไม่ได้ความจำเสื่อมแต่อย่างใด

“จำพ่อได้ไหมลูก”คุณพ่อตามเข้าไปหาใกล้ๆ เค้กพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกเบาๆ เหมือนคำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากเค้กมันช่างยากเย็นเหลือเกิน

“เจ็บมากไหม”เจ้าชีสปาดน้ำตาก่อนจะเดินเข้าไปอีกคน คุณพ่อถอยห่างให้ผมกับโอเล่ได้เดินเข้าไปใกล้ๆ

“ชีส...”เค้กเอ่ยเรียกชื่อน้องชายก่อนจะมองด้วยแววตาสงสัย เหมือนเค้าอยากจะถามว่าชีสร้องไห้ทำไม ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ นี่เค้าคงไม่รู้ตัวหรอกว่าสภาพเค้าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง

“เค้ก...จำเราได้อยู่ใช่ไหม”ผมแทรกตัวเข้าไปเอ่ยถามกับเค้าบ้าง เค้าจ้องมองที่หน้าผมก่อนจะขยับปากพูด

“เค้ก...”คำพูดของเค้าทำเอาผมไม่เข้าใจ ทำไมเค้าพูดชื่อตัวเอง เค้าจะพูดอะไร หมายความว่ายังไง

“เค้กจำได้ไหมว่าเราชื่อว่าอะไร”ผมถามย้ำอย่างเป็นกังวล ผมกำลังกลัวว่าเค้าจำคนอื่นได้แต่จะจำผมไม่ได้ เรื่องแบบนี้ผมยิ่งเคยได้ยินมาอยู่ที่คนไข้จะเลือกจำแค่ในส่วนที่เค้าอยากจะจำนี่ถ้า เค้าเลือกที่จะลบผมออกไปล่ะ

“เค้ก”เค้ายังพูดคำเดิม ทีนี้ ทุกคนมองหน้ากันด้วยความเป็นกังวล โอเล่เลยเดินเข้ามาถามในประโยคเดียวกับผมว่าเค้กจำได้ไหมว่าโอเล่ชื่ออะไร แต่คำพูดที่ออกจากปากของเค้กก็เหมือนที่ผม ถาม นั่นคือเค้กพูดชื่อตัวเอง นี่มันอะไรกัน ในขณะที่พวกเรากำลังเป็นงงกันอยู่ว่ามันยังไงกันแน่ คุณหมอก็เดินเข้ามาพร้อมกับ จับตรงนั้นตรงนี้ของเค้ก เอาไฟส่องปากส่องตา ดูแผล แล้วคุณหมอก็เริ่มพูดคุย

“รู้ไหมตอนนี้อยู่ไหน”คุณหมอถามออกไปเสียงดูเป็นมิตร ฟังดูอบอุ่น คนเป็นหมอนี่เค้าเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่านะ ผมและคนอื่นๆ เฝ้ามองคุณหมอพูดคุยกับเค้กอยู่ห่างๆ เค้กเหมือนกลอกตามองไปรอบๆ เพื่อดูว่าเค้าอยู่ที่ไหน

“โรง...บาล”เค้กตอบออกมาช้าๆ มันช้ามากจนเหมือนคนที่เพิ่งหัดพูดยังไงยังงั้นเลย

“โรงพยาบาลอะไรรู้ไหม”โหหมอถามออกมาได้ คนเค้ารถคว่ำมา จะไปรู้ไหมว่าถูกนำส่งโรงพยาบาลไหน แต่เค้กก็ทำท่านึกก่อนจะเงียบไปไม่ตอบ คงเพราะเค้กไม่รู้นั่นเอง

“เป็นคนไทยหรือเปล่าเรา หรือเป็นพม่า”คุณหมอจดๆ อะไรลงในแฟ้มประวัติเล็กน้อยก่อนจะถามทีเล่นทีจริงอีกครั้ง

“พม่า”เสียงเบาๆ ของเค้กพูดขึ้น ทำให้พวกผมทุกคนต้องหันไปมอง ตกลงว่าเค้กจำไม่ได้หรือเลอะเลือนอะไรยังไงกันแน่ คุณหมอหันมาหาทางคุณพ่อคุณแม่ พอทราบว่าทั้งสองท่านคือพ่อแม่ของเค้ก หมอก็เริ่มพูด

“คือคนไข้มีอาการเลือดคั่งในสมอง อาการก็จะเป็นอย่างที่เห็นคือ การตอบสนองจะช้า พูดช้าคิดช้า หรืออาจคิดไม่ออก จำไม่ได้ในบางเรื่อง พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเอ๋อนั่นเองแหละครับ คล้ายๆ กับคนปัญญาอ่อน หมอแนะนำว่าควรจะผ่าตัด แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าการผ่าตัดก็มีโอกาสรอด ห้าสิบห้าสิบ”คุณแม่ของเค้กฟังไปก็น้ำตาร่วงไป

“ถ้าไม่ผ่าตัดละคะ”เสียงของคุณแม่ปนสะอื้นนิดๆ ถามขึ้น หมายความว่าไงกันคุณแม่อย่าบอกนะว่าจะไม่ยอมให้ผ่าตัด

“ก็จะเป็นอย่างที่เห็นต่อไป แล้วก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”คุณหมอบอกเสียงเรียบ

“ถ้าจะผ่าตัดเดี๋ยวหมอจะให้พยาบาลเอาหนังสือยินยอมมาให้เซ็นต์”แล้วคุณหมอก็เดินจากไป

“เดี๋ยวพ่อไปเซ็นต์ยินยอมเอง”คุณพ่อเอ่ยขึ้น

“ไม่นะพ่อ แม่ไม่ยอมให้เซนต์ ผ่าตัดไปเราก็ไม่รู้ว่าเค้กมันจะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่า”คุณทั้งฟูมฟายทั้งอะไรอีกสารพัด ไม่ยอมท่าเดียวยังไงก็ไม่ให้เค้กผ่าตัด คือท่านกลัวว่าเค้กอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกนั่นเอง

ผมและคนอื่นๆ ต้องช่วยกันอธิบาย ต่างๆ นานา ทั้งไปถามข้อมูลจากพยาบาลว่ามันมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน พยาบาลบอกผมมาว่าถ้าเป็นเลือดที่คั่งอยู่ในสมองชั้นนอกก็จะไม่เป็นอันตรายมากเท่าไหร่กับการผ่าตัด ผมไม่รู้ว่าที่เค้กมีเลือดคั่งนี่อยู่ในสมองส่วนไหนแต่ผมก็เอาชื่อของพยาบาลที่ให้ข้อมูลผม มาสมอ้างให้แม่ของเค้กฟังและยืนยันว่าโอกาสที่จะหายมันมีมากกว่าเห็นๆ นั่นแหละครับคุณแม่ถึงยอมที่จะให้เค้กผ่าตัด

โอเล่แยกตัวกลับไปก่อนแล้ว ชีสเองก็พาคุณพ่อคุณแม่กลับบ้านไปจัดเตรียมข้าวของสำหรับมาเฝ้าเค้ก เพราะเค้กคงต้องอยู่โรงพยาบาลอีกพักใหญ่ๆ อันนี้ผมคิดแค่ในทางเดียวนะครับ เพราะมั่นใจว่ายังไงการผ่าตัดก็ต้องผ่านไปได้ด้วยดี ผมบอกคนอื่นๆ ว่าขออยู่รอจนกว่าเค้กจะเข้าห้องผ่าตัด ทั้งที่กว่าจะได้เข้าห้องผ่าตัดก็ต้องเป็นช่วงสายๆ โน่น ตอนนี้มันยังเช้าอยู่เลย แต่ผมเป็นห่วงเค้านี่นา ห่วงมากๆ

“เค้ก...เค้กต้องไม่เป็นไรนะ”ผมบีบมือเค้าเบาๆ พร้อมพูดกับเค้าเบาๆ แม้เค้าจะไม่รับรู้ในสิ่งที่ผมพูดก็เถอะ

พ่อกับแม่ของเค้กพร้อมเจ้าชีสกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วงสาย คุณแม่นั้นตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ ยิ่งเห็นสภาพของเค้กคุณแม่ก็ยิ่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ โทรศัพท์ของเค้กที่ทางเจ้าหน้าที่เก็บมาให้ตอนนี้ต่างมีสายโทรเข้ามาอย่างไม่ขาด คงเพราะหลายคนเริ่มรู้ข่าวแล้ว แต่คนที่รับโทรศัพท์ตอนนี้ก็คือชีส ที่ต้องตอบไปว่าอาการของเค้กเป็นอย่างไรบ้าง

พอถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัดเค้าก็ยกเค้กไปวางบนเตียงอีกเตียงเพื่อเข็นไปยังห้องผ่าตัด ซึ่งไม่อนุญาตให้ ญาติๆ ได้เข้าไป ผมเห็นเค้กลืมตา มองอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเค้า ระยะเวลาในการผ่าตัดจะกินเวลาหลายชั่วโมง คุณพ่อ ของเค้กเลยให้ผมกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ตอนแรกผมก็ไม่ยอม แต่เมื่อเห็นว่ารออยู่ตรงนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ สู้รีบไปรีบกลับมาน่าจะดีกว่า

ผมกลับไปอาบน้ำอาบท่าด้วยความเป็นกังวล พอกลับมาที่โรงพยาบาล เค้กก็ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัดเลย ผมต้องนั่งรอกับคนอื่นๆ อีกเกือบชั่วโมง คุณแม่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด เหมือนเดิม ชีสก็ยังต้องรับโทรศัพท์ของเค้กเป็นระยะ จนในที่สุดเค้าก็เข็นเตียงที่มีร่างของเค้กออกมาจากห้องผ่าตัด เราทุกคนต่างรีบเข้าไปดู แต่คุณหมอบอกเดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่จะเอาไปส่งที่ห้อง ตอนนี้อาการไม่น่าจะมีไรแล้ว แต่ช่วงนี้อาการตอบสนองจะยังช้าๆ อยู่ น่าจะดีขึ้นในไม่ช้า แค่ได้ยินเท่านั้นผมก็ดีใจแล้วครับ

ผมมองร่างที่นอนนิ่งของเค้ก เค้ายังหลับอยู่เพราะยาสลบ ที่แขนทั้งสองข้างของเค้ามีสายน้ำเกลืออยู่ข้างนึง แต่อีกข้างผมไม่รู้ว่าคืออะไร ผมของเค้าถูกโกนออกจนหมด มีผ้าพันแผลปิดไว้ และมีสายยางเล็กๆ เชื่อมต่อออกมาจากหัวของเค้าไปสู่กระปุก เล็กๆ ใสๆ กระปุกหนึ่ง เลือดสีแดงเข้ม ค่อยๆ  ไหลออกมาตามท่อสายยางเล็กๆ นั้น ผมเดาเอาว่านี่คงเป็นการเชื่อมให้เลือดที่ยังคงค้างอยู่ได้ไหลออกมาจนหมด มองดูร่างกายส่วนอื่นๆ เค้กไม่ได้มีบาดแผลที่ไหนเลย มีแค่รอยฟกช้ำบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งถือว่าโชคดีมากทีเดียว เพราะเห็นเค้าว่าสภาพรถนี่เยินจนไม่คิดว่าคนข้างในจะรอดออกมาได้

แต่ยังไงคุณหมอก็ยืนยันแล้วว่าเค้กปลอดภัยก็ไม่น่าจะมีอะไรอีกแล้ว รอแค่ให้เค้กฟื้นเท่านั้นเอง ที่เค้าเป็นแบบนี้ส่วนนึงมันก็มาจากผม ถ้าเค้าหายดีแล้ว ผมจะขอให้เค้าย้ายมาอยู่กับผม และบอกเรื่องระหว่างผมกับเข้าให้พ่อแม่ได้รับรู้ ว่าผมอยากดูแลและปกป้องเค้าขนาดไหน

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: (ไม่)รักได้ไง [19-11-2014]
«ตอบ #66 เมื่อ19-11-2014 23:19:16 »

รีบๆหายนะเค้ก
อย่าเป็นอะไรนะ,,,,

Singleman

  • บุคคลทั่วไป
Re: (ไม่)รักได้ไง [19-11-2014]
«ตอบ #67 เมื่อ19-11-2014 23:35:30 »

มันจะสายไปไหม ถ้ายังไม่รีบ  หรือหมดโอกาสนั้นไป

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: (ไม่)รักได้ไง [19-11-2014]
«ตอบ #68 เมื่อ21-11-2014 12:38:36 »

Cake

ผมจำได้ว่า ผมขับรถออกมาจากคอนโดของเกี๊ยง แต่นี่ผมอยู่ที่ไหนกัน ผมรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมพยายามนึกว่านี่ผมอยู่ไหน พยายามลำดับเหตุการณ์ว่าผมไปไหนก่อน แต่มันก็เหมือนจะเบลอๆ ยังไงบอกไม่ถูก ใช่แล้วผมจำได้ว่าเหมือนจะขับรถเสียหลัก หรือว่านี่ผมประสบอุบัติเหตุเหรอ แล้วทำไมผมรู้สึกอยากจะอ๊วกแบบนี้ ความรู้สึกเหมือนกำลังสำรอกบางอย่างออกมาจากกระเพาะผมอยากจะลุก ไปอ๊วกในห้องน้ำ แต่เหมือนจะขยับตัวไม่ได้ ผมเลยแค่หันไปด้านข้างให้สิ่งที่ออกมาไหลออกจากปาก ผมเห็นเหมือน ชีสหยิบผ้ามาเช็ดปากให้ผม

แล้วก็เหมือนผมหลับๆ ตื่นๆ นี่ผมเมาหรือไงกันนะ ผมรู้สึกตัวอีกที ตอนที่ทุกคนมายืนล้อมอยู่ตรงที่ผมนอน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อ แม่ ถึงต้องมายืนร้องไห้มองผม ผมน่าจะแค่ประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก เพราะนี่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือปวดตรงไหนเลย แสดงว่าผมคงไม่ได้เป็นอะไรมากสิ

ทุกคนเดินเข้ามาหาผมแล้วก็ถามผมว่าจำพวกเค้าได้ไหม ผมยังงงเลยว่านี่เค้าเล่นอะไรกัน เพราะผมก็ยังจำพวกเค้าได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ชีส เกี๊ยง แล้วก็โอเล่ แต่พอผมพูดออกไป ทำไมเกี๊ยงกับโอเล่ถึงทำหน้าแปลกๆ กันนะ ผมคุ้นๆ ว่าผมกำลังหึงเกี๊ยงอยู่หรือเปล่านะ แต่มันเหมือนลางเลือนไม่แน่ใจว่าตกลงผมยังโกรธเค้าอยู่หรือผมลืมไปแล้วกันแน่

แล้วผมก็รู้สึกว่าหลับๆ ตื่นๆ อยุ่อย่างนั้น มีคุณหมอมาถามผมว่ารู้ไหมว่าผมอยู่ที่ไหน ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกครับ แต่มองจากรอบๆ ข้างที่มีคนใส่ชุดเหมือนหมอ พยาบาล ก็พอจะเดาได้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจทำไมทุกคนต้องพูดเหมือนกับว่าผมจะความจำเสื่อมอย่างนั้นแหละ หรือสมองผมได้รับการกระทบกระเทือนก็ไม่น่าจะใช่เพราะผมก็ไม่ได้เจ็บหรือปวดอะไรนี่นา

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่มีคนพยายามยกตัวผมย้ายไปอีกเตียงนึง ผมไม่รู้ว่าเค้าจะพาผมไปไหน แต่ผมรู้สึกว่าเค้าเข็นเตียงที่ผมนอนแรงเหลือเกินจนผมเวียนหัว แถมบางครั้งตรงพื้นที่มันต่างระดับ เค้าก็ไม่ชะลอเลย จนผมรู้สึกเจ็บเวลาที่เค้าเข็นเลื่อนไป เค้าพาผมมายังห้องๆ นึง เค้าเลื่อนผมเข้าไปนอนตรงที่มีไฟส่อง มีคนอีกสี่ห้าคน เข้ามายืนล้อมรอบผม ทุกคนแต่งตัวมิดขิดปิดปากปิดจมูก เหมือนที่ผมเคยเห็นในหนังเลย มีคนชวนผมคุย ถามอะไรไม่รู้ ผมฟังไม่ค่อยได้ยิน แล้วเค้าก็เอาอะไรไม่รู้เป็นเหมือนกรวยมาครอบที่ปากผม ก่อนจะปล่อยควันอะไรสักอย่างเข้ามา แล้วผมก็เริ่มง่วงแล้วตาผมก็ปิดลง



ผมรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าคอแห้ง ผมพยายามจะเรียกให้เจ้าชีสที่อยู่ใกล้ๆ หยิบน้ำให้ผมหน่อยแต่เหมือนผมจะไม่มีเสียง ผมรู้สึกว่าหน้าซีกซ้ายมัน ชาๆ ตึงๆ ยังไงบอกไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังบวมเหมือนโดนพวกแมลงต่อยมาอะไรแบบนั้น

“เค้ก...ฟื้นแล้วเหรอ”เกี๊ยงเป็นคนสังเกตเห็นผมเลยรีบเข้ามาหา

“นะ...น้ำ”ผมพยายามพูดออกไปอย่างยากลำบาก นี่ทำไมผมถึงพูดยากเย็นนักนะ ตกลงผมเป็นอะไรมากไหมเนี่ย รู้สึกเจ็บตรงซี่โครงเล็กน้อยเวลาขยับ

“อื๊อ...”ผมอยากจะร้องโอ๊ย เพราะเจ็บ แต่เสียงผมมันออกมาแค่นั้นจริงๆ เกี๊ยงมีสีหน้าตกใจขณะกำลังเอาน้ำหยดใส่ปากผม ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยทำไมไม่ให้ผมดูดจากหลอดเลย ไม่ทันใจจริงๆ

“เป็นไรหรือเปล่า ลูก”แม่ผมรีบเค้ามาหาเมื่อเห็นว่าผมน่าจะเจ็บ ผมตอบออกไปเบาๆ ว่าเจ็บ ไม่นานนักก็มีพยาบาลเข้ามาถามอาการ ของผม ผมบอกออกไปว่าเจ็บตรงไหนบ้าง แต่ทำไมพยาบาลเค้าต้องทำท่าทางช่วยลุ้นขนาดนั้นเวลาผมพูด

“โอ๊ย”คราวนี้ผมร้องออกมาดังกว่าทุกครั้ง เพราะมันเจ็บจริงๆ ผมบอกว่าเจ็บแขน เค้าก็ให้ผมลองขยับ ผมก็ขยับได้ แต่มันจะขัดๆ นิดหน่อยแต่พอคุณพยาบาลจับแขนผมยก มันกลับเจ็บจี๊ดขึ้นมาเลย

คุณพยาบาลบอกว่าผมต้องเอกซเรย์ตามร่างกายอีกครั้ง ทำให้ผมต้องถูกย้ายตัวไปกับเตียงเข็นอีกแล้ว แต่คราวนี้เค้าไม่ได้เอาอะไรมาครอบปากผมแล้ว เค้าให้ผมนอนเฉยๆ แล้วก็ฉายไฟลงมาที่ตัวผม
 
ผลออกมาว่าแขนที่ผมรู้สึกเจ็บนั้น กระดูกมันร้าว เค้าบอกว่าต้องใส่เฝือกอ่อนเอาไว้ พอเสร็จเรียบร้อยเค้าก็พาผมกลับไปนอนไว้ที่ห้องเดิม คราวนี้มีเพื่อนๆ ของผมอยู่เต็มเลย แต่ละคนเหมือนเค้ามองผมอึ้งๆ ยังไงไม่รู้ นี่ตกลงสภาพผมมันเป็นยังไงกันนะ ชักอยากจะเห็นสภาพตัวเองแล้วสิ

ทุกคนที่มาเยี่ยมผมต่างถามว่าผมจำพวกเค้าได้ไหม ซึ่งผมก็จำได้หมด ตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วว่าผมน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับสมองแน่ๆ เพราะตอนที่ไปเอกซเรย์ผมเห็นกระปุกเลือด ที่เค้าถือตามไปด้วยซึ่งมันคงต่อออกมาจากหัวผมนี่แหละ แต่ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเหมือนหลับๆ ตื่นๆ อยู่เหมือนเดิมนะ

ผมตื่นมาอีกทีในห้องเหลือแค่ชีสกับแม่เท่านั้น ที่ยังอยู่ในห้องกับผม แต่พอผมลืมตาได้สักพักก็มีอีกคนเข้ามาในห้อง เกี๊ยงนั่นเอง

“ชีส...”ผมพยายามเรียกน้องชาย เจ้าชีสเดินเข้ามาหาผม

“ปวดฉี่”ผมบอกออกไปเพราะรู้สึกปวดฉี่มากๆ แต่ผมเหมือนจะขยับหรือลุกไม่ได้เลย เจ้าชีสไปหยิบอุปกรณ์บางอย่างชูให้ผมดู นี่หมายความว่าผมต้องนอนฉี่บนนี้ใช่ไหม ผมพยักหน้าว่าเอามาเถอะเพราะจะกลั้นไม่ไหวแล้ว

“เดี๋ยวพี่ทำเองชีส”เกี๊ยงเค้ามาแย่งเอาอุปกรณ์รองรับปัสสะวะของผม ก่อนจะรุดม่านกั้น เลยเหลือแค่ผมกับเกี๊ยงที่อยู่ภายในม่านที่กั้นนั้น ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือจะมาเขินอายอะไรอีกแล้วละครับ เพราะผมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

เกี๊ยงกระตุกเชือกผูกกางเกงผมออก ก่อนจะจัดเตรียมความพร้อมให้ผมฉี่ แต่จนแล้วจนรอดทำยังไงผมก็ฉี่ไม่ออก แต่รู้สึกปวดมากๆ ชีสเลยต้องไปเรียกพยาบาล ซึ่งเค้าบอกว่าต้องสวนท่อปัสสวะ คราวนี้ผมรู้สึกอายกว่าเมื่อสักครู่อีกเพราะ ต้องให้พยาบาลเป็นคนมาทำให้ มันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่มีสายอะไรสอดเข้ามาในท่อปัสสวะ แต่ก็แค่แวบเดียว แล้วผมก็มีถุงปัสสะวะห้อยติดตัวมาอีกอย่างเป็นอุปกรณ์เสริม


แวะมาต่อคร๊าบบบบ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
«ตอบ #69 เมื่อ21-11-2014 19:32:30 »


Ta-kiang

ตอนนี้เค้กฟื้นแล้วก็จริง แต่ผมกลัวเหลือเกินว่าเค้าจะไม่หายเป็นปกติเหมือนเดิม เพราะตอนนี้เค้กจำทุกคน จำอะไรได้หมดแต่เค้าเหมือนต้องใช้เวลาคิด หรือการพูดค่อนข้างช้า จนผิดปกติ แต่ผมก็ยังพยายามเชื่ออย่างที่คุณหมอบอกว่าอีกสักพักก็จะดีขึ้นเอง วันนี้ผมอาสาอยู่เฝ้าเค้กเอง ให้คุณพ่อคุณแม่กลับไปพักผ่อน พร้อมเจ้าชีสตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว เค้กเองก็เอาแต่หลับตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว

“เกี๊ยง...”เสียงแผ่วๆ ยานคางอย่างช้าๆ ของเค้าเรียกผม ผมหันไปมองเห็นสีหน้าเค้าไม่ดีนัก เหมือนกำลังกระสับกระส่ายทุรนทุรายบางอย่าง

“เป็นไรหรือเปล่า”ผมเข้าไปถามอย่างห่วงใยพร้อมกับแตะที่มือเค้าเบาๆ

“ปวด...หัว”เค้าพูดช้าๆ ที่ถ้าฟังจากคำพูดแล้วอาจจะคิดว่าเค้าคงไม่ได้ปวดมากมาย แต่ถ้าเห็นสีหน้าแล้ว ผมว่าเค้ากำลังปวดมากทีเดียว มันก็น่าปวดอยู่หรอก ก็ผ่าตัดสมองนี่นา เห็นว่าที่ผ่าไปนั่นเย็บตั้งสี่สิบกว่าเข็ม แล้วนี่ผมจะทำยังไงดี อย่างจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของเค้าแต่มันคงทำไม่ได้ ผมทำได้เพียงเรียกพยาบาลให้เข้ามาดูเค้าเท่านั้น

“มันจะปวดแบบนี้สักระยะนะคะ ต้องอดทนหน่อย”คุณพยาบาลพูดเสียงอ่อนโยน ปลอบเค้ก แต่ผมว่ามันไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดทุเล่าลงได้หรอกนะ บอกให้อดทนนี่ผมก็ว่าเค้กคงทนเต็มที่แล้วแหละ เค้าแทบจะไม่ร้องออกมาแต่สีหน้าและแววตามันบ่งบอกว่าเค้าเจ็บปวดมากแค่ไหน

“แล้วไม่มียาช่วยบรรเท่าบ้างเหรอครับ”ผมถามด้วยความร้อนรน เพราะไม่อยากเห็นเค้าอยู่ในสภาพนี้

“งั้นเดี๋ยวจะจัดยาแก้ปวดมาให้นะคะ รอสักครู่”แล้วคุณพยาบาลก็เดินออกไป เค้กเองก็พยายามนอนนิ่งๆ เหมือนเค้าไม่อยากให้ผมรู้ว่าเค้าเจ็บปวด แต่ผมสังเกตเห็นมือที่จิกลงบนผ้าปู พร้อมกับริมฝีปากบางของเค้าสั่นระริก แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่ามันคงเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว ผมสอดมือเค้าไปในมือของเค้า และก็สัมผัสได้ว่าเค้าคงเจ็บมากจริงๆ เพราะเค้าบีบมือผมอย่างแรง เหมือนเป็นการข่มความทรมาน

รอไม่นานนักพยาบาลก็กลับมาพร้อมยาสองเม็ด ผมรีบจัดแจงให้กับเค้ก หลังจากทานยาเข้าไปเหมือนเค้าจะเริ่มผ่อนคลายขึ้น แล้วก็ความเจ็บปวดก็คงค่อยๆ หายไปเพราะเค้าบอกว่าดีขึ้นแล้ว

“เค้ก...เราขอโทษนะ ที่เค้กเป็นแบบนี้ส่วนนึงก็คงมาจากเราด้วย แต่เราอยากจะบอกนะว่า ผู้หญิงคนที่เค้กเห็นกอดกับเรานะ ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนคนนึงของเราเท่านั้นจริงๆ”แล้วผมก็เริ่มเล่ารายละเอียดต่างๆ ให้เค้าฟัง จริงๆ อยากให้เค้าหลับพักผ่อน แต่อีกใจก็อยากเล่าให้เค้าเข้าใจผม อีกอย่างเค้าเองก็บอกว่านอนไม่หลับ คงเพราะตอนกลางวัน นอนมาทั้งวันแล้วนั่นเอง

เวลาผ่านไปประมาณแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่เค้กทานยาเข้าไป ตอนนี้เค้าเริ่มมีอาการปวดหัวอีกแล้ว ผมเรียกพยาบาลเพื่อจะขอยาอีกครั้ง แต่พยาบาลปฏิเสธ บอกว่าไม่สมารถให้ยาเพิ่มได้ เพราะมันจะมีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นมา ถ้าทานยาแก้ปวดบ่อยๆ อย่างน้อยต้องทิ้งระยะห่างสักสี่ชั่วโมง คำแนะนำของพยาบาลคือให้อดทน ผมฟังแล้วแทบอยากจะตะโกนใส่หน้าว่าไม่ลองมาเป็นแบบนี้บ้างละ ว่าจะทนไหวไหม แต่ผมก็พอรู้ว่าเค้าทำตามหน้าที่ และก็สมควรอยู่ที่จะทำแบบนั้น

แต่ผมเองก็หงุดหงิดที่ไม่สามารถช่วยอะไร เค้กได้เลย ทำได้แค่นั่งมองดูเค้าบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด เค้างอตัว เหมือนจะเป็นจะตาย น้ำตาของเค้กเริ่มรินไหล แต่ไม่มีเสียงร้องออกจากปากของเค้าเลย เค้กเจ็บที่กาย แต่ผมนี่ใจแทบสลายที่ต้องมาทนดูเค้าทุกข์ทรมานต่อหน้าแต่ไม่สามารถ ช่วยอะไรได้เลย

คืนทั้งคืน เค้กไม่ได้หลับเลยเพราะปวดหัวจนหลับไม่ลง พอตอนกลางวันก็มีเผลอหลับไปบ้าง แต่ดูเหมือนกลางวัน อาการปวดจะมีไม่มากเท่าตอนกลางคืน ช่วงนี้ผมลางานทั้งอาทิตย์เลย เพื่อจะมาอยู่ดูแลเค้ก โชคดีที่หัวหน้าผมใจดี แต่ก็เพราะว่าผมเคลียร์งานทุกอย่างไว้แล้วนั่นเอง แต่ถ้าเกิดว่ามีเรื่องด่วนอะไรเข้ามาผมก็ยังรับเรื่องได้เหมือนเดิม แต่จะอาศัยว่าทำงานที่โรงพยาบาลนี่เลยแล้วค่อย ส่งงานเข้าไปที่บริษัท

คืนที่สองที่ผมมานอนเฝ้าเค้กก็ไม่ได้ต่างจากเดิมคือ เค้กหลับไม่ลงแม้แต่นาทีเดียว เพราะต้องทนรับความเจ็บปวดที่เล่นงานตลอดทั้งคืน ยาแก้ปวดมันไม่ได้ช่วยทุเล่าความเจ็บปวดแม้แต่น้อยแล้วตอนนี้ ผมสงสารเค้กจับใจ

“อดทนไว้นะเค้ก อีกไม่นานก็จะหายแล้ว”ผมพูดปลอบประโลมพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาของเค้ก เค้าพยายามจะเอื้อมมือมาจับมือผม แต่คงเพราะไม่มีแรงเลยขยับมาได้เพียงนิดเดียว ผมเลยยื่นมือให้เค้า เค้าจับมือผมไว้ เหมือนต้องการที่ยึดเหนี่ยว แรงบีบมาที่มือผมมันแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ผมจะรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่มันคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่เค้กได้รับตอนนี้ การถูกผ่าตัดที่สมองซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทสั่งการทั้งหมด มันทำให้ความเจ็บปวดมีมากเหลือเกิน อันนี้ผมฟังจากคุณพยาบาลมาอีกทีนะครับ เค้าบอกว่าตอนแรกก่อนผ่าตัดคนเจ็บจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย เพราะเลือดที่คั่งมันไปกดเส็นประสาทไว้ แต่พอเอาเลือดที่คั่งออก มันจะเจ็บปวดทรมานอย่างหนัก ซึ่งระยะเวลาของอาการนี้ก็แล้วแต่คนว่าจะเป็นมากน้อยขนาดไหน อาจจะวันนึง สองวัน หรือเป็นอาทิตย์ก็มี

แล้วนี่เค้กจะเป็นแบบนี้นานถึงอาทิตย์เลยหรือเปล่า เพราะนี่ขนาดแค่สองวัน ผมเองยังแทบจะทนดูไม่ได้ แล้วเค้กละเค้าจะทนไหวหรือเปล่า ผมต้องพยายามพูดคุยกับเค้าทั้งคืน เพื่อให้เค้าลืมความเจ็บปวดไปบ้าง

“เค้าโกนผมเราออกไปหมดเลยเหรอเกี๊ยง”เค้าพยายามที่จะถามผมทั้งที่ ปากยังสั่นๆ เพราะความเจ็บปวดนั่นเอง ผมบอกตรงๆ ว่าผมเห็นเค้าแล้วผมแทบอยากจะร้องไห้ออกมา เพราะสงสารเค้าจับใจ เค้ายังเหมือนคนเอ๋อๆ หน่อยๆ คือการพูดหรือการรับรู้ยังช้าอยู่ แถมเห็นเค้าเจ็บทรมานแบบนี้ น้ำตาผมแทบกลั้นไม่อยู่ แต่ผมจะไม่ร้องให้เค้าเห็นเด็ดขาด จะไม่ทำเหมือนสมเพศหรือเวทนาเค้าแน่นอน

“พอออกจากโรงพยาบาล มันก็ขึ้นมาน่ารักเหมือนเดิมเองแหละ”ผมบอกเค้าอย่างจริงใจ พยายามทำน้ำเสียงให้อบอุ่นมากที่สุด ผมคงทำให้เค้าได้เท่านี้ ไอ้การจะรับความเจ็บปวดของเค้ามาแทน มันคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ผมอยากจะเจ็บแทนเค้าเหลือเกิน

“ตอนนี้เราคงดูน่าเกลียดมากเลยเนอะ”เค้าพูดพร้อมกับพยายามยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่ยากลำบากสำหรับเค้าเหลือเกิน เพราะผลจากการผ่าตัด มันทำให้ใบหน้าซีกช้ายของเค้ายังบวม ตึงอยู่นิดหน่อย

“ไม่เลย สำหรับเราเค้กก็ยังน่ารักเหมือนเดิม”ผมบอกเค้าด้วยความจริงใจ อยากให้ผ่านช่วงนี้ไปเร็วๆ เหลือเกิน อยากให้เค้าหายเป็นปกติเร็วๆ แต่ผมเคยได้ยินเค้าบอกว่าถ้ามีเคราะห์หนักๆ แบบนี้ หลังจากนั้นจะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต ผมหวังว่าเค้กจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันนะ

“ไม่ต้องมายอกันหรอก ขอกระจกดูหน่อยสิ”เค้กเองคงอยากเห็นสภาพตัวเองเต็มแก่แล้วมั้ง เพราะตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุมาเค้กก็ยังไม่มีโอกาสได้ส่องกระจกเลย แต่ผมยังไม่อยากให้เค้าเห็นตัวเองตอนนี้เท่าไหร่

“ไม่มีหรอก หรือจะให้ไปถอดกระจกในห้องน้ำมาให้”ผมแกล้งพูดแหย่เค้า แต่เหมือนเค้าจะไม่ขำ เพราะดูสายตาจะแอบงอนผมนะนั่น

“งั้นเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปดูก็ได้”นึกว่าจะไม่อยากดูแล้วนะเนี่ย

“แบตหมดนะ ยังไม่ได้ชาร์จเลย”ผมบอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ให้เค้าดู จริงๆ มันก็ไม่ได้หมดหรอกครับ แต่ตอนหัวค่ำผมปิดเครื่องไว้ เพราะคงไม่มีใครมีธุระอะไรกับผมแล้วในช่วงกลางคืน เมื่อหาทางดูหน้าตัวเองไม่ได้เค้ก็นอนนิ่งๆ เฉยๆ เหมือนเดิม แต่จากที่สัมผัสมือของเค้า ผมว่าความเจ็บปวดที่เค้ามีมันยังไม่ได้หมดไปหรอก

“ยังปวดหัวอยู่ไหม”ผมเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน พร้อมกับสองมือผมที่กุมมือเค้าไว้

“มันปวดจนชาไปทั้งตัวแล้ว”เค้าบอกผมเสียงแผ่วลงกว่าเดิม นี่การที่ผมชวนเค้าคุยมันยิ่งให้เค้าปวดมากขึ้นหรือเปล่านะ

“งั้นนอนพักดีกว่าเนอะ เราไม่กวนแล้ว”ผมขยับผ้าห่มที่ร่นลงไปขึ้นมาคลุมให้กับเค้า

“มันหลับไม่ลงหรอก”คำพูดกับสภาพร่างกายดูเหมือนจะไม่สัมพันธ์กันสักเท่าไร่ เพราะร่างกายเค้าคงอยากพักผ่อนเต็มที แต่มันพักไม่ได้เพราะจะข่มตาหลับ ความเจ็บปวดก็จะมาปลุกให้ตื่นอยู่ดี จนตอนนี้ ตาของเค้กดำคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้าแล้วมั้งตอนนี้

แล้วในที่สุดผมก็ดันเผลอหลับจนได้ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเค้ก แต่คงเพราะผมเองก็ไม่ได้พักผ่อนเลยเหมือนกัน มันเลยเผลอหลับไปตอนช่วงเกือบสว่าง มารู้สึกตัวอีกที ตอนที่คุณพ่อคุณแม่ของเค้ก มาถึงในตอนเช้า

“ไปพักบ้างดีกว่ามั้งลูกเกี๊ยง”คุณแม่เค้ามาสะกิดปลุกผม

“เดี๋ยวรอสายๆ หลังจากคุณหมอมาดูอาการเค้กก่อนก็ได้ครับ”ผมตอบออกไปพร้อมกับหันไปมองคนที่อยู่บนเตียง ที่เหมือนจะหลับไปแล้ว ก็คงเหมือนเมื่อวานที่ตอนกลางวันจะไม่ปวดเท่าไหร่เลยหลับได้ และนี่คงเป็นอีกเหตุผลหรือเปล่าที่ตอนกลางคืนไม่หลับ เพราะว่ากลางวันหลับไปแล้ว แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะเวลาหลับในตอนกลางวันของเค้กก็น้อยมากๆ

“แล้วงานการไม่มีปัญหาอะไรนะลูกที่หยุดมาดูเค้กมันแบบนี้”คุณพ่อเข้ามาถามผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“ผมเคลียร์งานหมดแล้วละครับ อีกอย่างก็ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนด้วยแหละครับ”ผมตอบไปตามความจริง แต่ถ้างานมีปัญหาจริงๆ หรือเค้าไม่พอใจที่ผมหยุดจะให้ผมออก ผมก็ไม่ว่าอะไร ตอนนี้ขอดูแลเค้กก่อน เรื่องงานถ้าต้องออกจริงๆ หาใหม่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร คนมีความสามารถอย่างผมมีแต่ใครๆ ต้องการตัว(เข้าข้างตัวเองสุดๆ )

“ขอบใจมากนะ เค้กมันโชคดีแล้วที่มาเจอคนดีๆ อย่างเกี๊ยง”คุณพ่อพูดเหมือนจะรู้แล้วครับว่าผมกับเค้กเป็นอะไรกัน จริงๆ ผมก็ไม่ได้ปิดบังแต่ก็ยังไม่เคยได้บอกพวกท่านอย่างเป็นทางการว่าผมกับเค้กคบกันในฐานะอะไร ไว้รอเค้กหายดีก่อน ผมจะคุยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการอีกทีแล้วกัน

คุณพ่อคุณแม่ไล่ผมไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะให้มากินข้าวที่พวกท่านเตรียมมาให้ ส่วนเค้กตอนนี้ต้องรับทุกอย่างผ่านสายน้ำเกลือเหมือนเดิม หมอยังให้งดอาหารอยู่

เค้กหลับแค่ไม่นานจริงๆ เพราะสักพักก็ตื่นขึ้นมาเหมือนเดิม คุณพ่อคุณแม่ ก็พูดคุยถามไถ่ อย่างเป็นห่วงเป็นใย ผมว่าวันนี้เหมือนเค้กจะพูดชัดขึ้น และความเร็วของการพูดก็ไม่ช้าเหมือนเมื่อวานแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี แม้คำพูดจะยังไม่ปกติก็ตาม แต่อีกไม่นานคงเป็นปกติ อย่างที่คุณหมอบอก เวลาประมาณ เก้าโมงเช้าคุณหมอก็มาดูอาการเหมือนทุกวัน

“มีอาการอะไรอย่างอื่นอีกไหม”คุณหมอถามเค้กหลังจากซักถามรายละเอียดอาการที่ต้องการทราบหมดแล้ว

“นอนไม่หลับเลยครับ มันปวดหัวจนหลับไม่ลง”เค้กบอกคุณหมอออกไป

“อืม...ยังปวดอยู่ใช่ไหม ปวดมากหรือเปล่า”เค้กพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับกับคำถามของคุณหมอ

“งั้นเดี๋ยวหมอให้ยานอนหลับในช่วงเย็นแล้วกัน แต่ถ้าหายปวดเมื่อไหร่ต้องบอกนะ ไม่อยากให้กินยานอนหลับนานๆ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่”ผมตั้งใจฟังคุณหมอพูดอย่างตั้งใจ จริงๆ หมอเค้าคงรู้อยู่แล้วว่าจะปวดและวิธีแก้ก็คือให้กินยานอนหลับ แต่อย่างที่พูดคือถ้าให้ทานติดต่อกันนานๆ มันก็ไม่ดี เลยต้องลองให้คนไข้อดทนดูก่อน ว่าจะหายเร็วขนาดไหน ในกรณีนี้คงเห็นแล้วว่าเค้กอาจจะรับไม่ไหว ซึ่งก็ดีแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องทนดูเค้กเค้าทรมานอี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2014 08:31:16 โดย norita_boyV2 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
« ตอบ #69 เมื่อ: 21-11-2014 19:32:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
«ตอบ #70 เมื่อ21-11-2014 23:01:29 »

เค้กจะหายเมื่อไหร่เนี๊ยะ

ห่วงๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
«ตอบ #71 เมื่อ21-11-2014 23:22:41 »

เกี๊ยงดูแลเค้กให้ดีที่สุดและถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะ  ป้าเชียร์หนูจ๊ะ  o13

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
«ตอบ #72 เมื่อ22-11-2014 00:01:30 »

คนเอ๋อนี่รู้ตัวด้วยเหรอ ??? นึกว่าคนเอ๋อนี่จะเหมือนเบลอๆตลอดเวลา

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
«ตอบ #73 เมื่อ22-11-2014 17:50:42 »

Cake

วันนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว หมอบอกว่ารอให้ครบกำหนดตัดไหมเย็บตรงที่ผ่าตัดก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ตอนนี้ผมเริ่มทานอาหารเหลวได้แล้ว ซึ่งผมไม่ชอบเลยก็มันจืดยิ่งกว่าอะไรไม่มีรสชาดเอาเสียเลย  เกี๊ยงยังคงมาเฝ้าผมทุกวัน ผมละกลัวเค้าเสียงานเสียการ เพราะเห็นว่าลางานมาเป็นอาทิตย์เพื่อดูแลผม เค้ายอมทำเพื่อผมขนาดนี้เลยเหรอ

“สวัสดีคะคุณเค้ก”หญิงสาวคนนึงเข้ามาทักผม แต่ผมไม่ยักกะจำได้ว่าผมเคยรู้จักเธอ แต่ก็ดูคุ้นๆ อยู่นิดหน่อยเธอมาพร้อมกับฝรั่งคนนึงที่ดูสนิทสนมกัน คงเป็นแฟนกันนั่นเอง ผมคงทำหน้าเอ๋ออยู่แน่ๆ เธอเลยยิ้มน้อยๆ พร้อมกับขำเบาๆ

“จูนคะ...คนที่ทำให้เค้กต้องเข้าใจผิดกับเกี๊ยงแถมมาเกิดเรื่องร้ายๆ แบบนี้อีก จูนขอโทษจริงๆ นะคะยกโทษให้จูนด้วยนะ”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าสร้อยลงไปถนัด ผมไม่ถือโทษโกรธเธอหรอกครับ เพราะคงไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อีกอย่างผมเองก็ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยแล้วยังขับรถแบบนั้น ถึงผมจะคิดว่าตัวเองไม่ได้เมา แต่มันก็คงมีส่วนอยู่ไม่น้อย

จูนขอโทษขอโพยผมอีกยกใหญ่ แต่ผมก็บอกออกไปว่าไม่ถือโทษอะไร วันนี้จูนมาแจ้งข่าวดีของเธอด้วยเพราะกำลังจะแต่งงานกับชายหนุ่มคนที่มาด้วยกันนั่นแหละ เห็นแบบนี้ก็อดจะอิจฉาไม่ได้ เพราะผมคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานหรอก

“งั้นเดี๋ยวจูนกลับก่อนแล้วกัน...หายไวๆนะคะจะได้ทันไปงานแต่งจูนด้วย”หลังจากคุยกันอยู่นานจูนก็ร่ำลากลับไปพร้อมแฟนหนุ่ม

“รู้ไหมว่าเราดีใจแค่ไหนที่เห็นเค้กอาการดีขึ้นแบบนี้”เกี๊ยงขยับมานั่งข้างเตียงแล้วกุมมือผมไว้ ผมว่าตอนนี้ผมคงหลงรักผู้ชายคนนี้ไปเต็มหัวใจเสียแล้ว หวังว่าเค้าเองจะรู้สึกแบบผมนะ

“เกี๊ยงรักเราไหม”แม้เค้าจะเคยบอกผมแล้ว แต่คนเราความรู้สึกมันเปลี่ยนไปได้ตลอดนั่นแหละ

“รักสิ...เกี๊ยงรักเค้กมากนะครับ และคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว”เค้าบอกด้วยแววตาห่วงหาและอาทรณ์ ขอให้เค้ารักผมตลอดไปจริงๆทีเถอะ เพราะตอนนี้ผมว่าผมเจอคนที่ใช่แล้ว

“แล้วเค้ก รักเราไหม”เค้าถามผมคืนอย่างยิ้มแย้ม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะอายที่จะพูด แต่จากเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งประสบมา มันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน ถ้าคิดยังไงก็บอกออกไปเถอะ จะได้ไม่เสียใจภายหลังว่าทำไมตอนที่ยังมีโอกาสบอกทำไมไม่บอกออกไป

“เราก็รักเกี๊ยงเหมือนกัน”เค้ายิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของผม ว่าแต่นี่ผมยังไม่เห็นสภาพตัวเองเลยว่าน่าเกลียดมากไหม แล้วนี่ทำไมคนข้างเตียงนี่มาจ้องผมตาหวานเยิ้มขนาดนี้กันเล่า ทั้งที่ว่าจะไม่อาย แต่มันก็เขินเหมือนกันนะ

“อะแฮ่ม...มีพยาบาลดีนี่เองถึงได้หายวันหายคืน”เสียงของใครอีกคนดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นโอเล่มายืนยิ้มมองพวกผมสองคนอยู่

“อ้าวก็คนเค้ารักกันก็ต้องมาดูแลกันเป็นธรรมดา”เกี๊ยงหันไปตอบอย่างอารมณ์ดี

“ดีขึ้นเยอะแล้วนิ อีกเดี๋ยวก็กลับมาดื่มเบียร์เป็นเพื่อนกันได้แล้วสิ”โอเล่พูดแซวอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่เค้าเองก็น่าจะรู้ว่าหมอให้ผมงดแอลกอฮอล์เป็นเวลา 1 ปี แล้วผมจะทำได้ไหมน้า แต่ผมแอบได้ยินหมอคุยกับเกี๊ยงตอนที่แกล้งทำเป็นหลับ ว่าจริงๆ งดแค่หกเดือนก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่เกี๊ยงบอกว่ากลัวจะมีปัญหาอะไรตามมาเลยให้ผมอบอกผมว่างดอย่างน้อยหนึ่งปี

“แล้วนี่เล่ได้ไปหาคนนั้นมาหรือยัง”ผมจำได้ว่าเค้าบอกว่าจะไปหาใครคนนั้นของเค้าในวันคล้ายวันเกิด ซึ่งถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะวันนี้นี่นา หรือเค้าไม่ได้ไป

“เพิ่งกลับมานี่แหละ”ฟังน้ำเสียงแล้วคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“เป็นไงบ้างละ”เกี๊ยงเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง

“เค้าก็มีคนอื่นเข้ามาพัวพันด้วย เหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะยังไม่ได้คบกันหรอก เค้กว่าถ้าเราเลิกกับอ้อนแล้วกลับไปหาเค้าจะผิดไหม”ก็พอจะรู้ว่าเค้าจะเลิกกันแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วแบบนี้

“เล่อยากกลับไปหาเค้า แล้วเค้าละอยากจะกลับมาหาเล่ไหม”ผมไม่รู้จะแนะนำอะไรให้กับเค้าหรอกครับ เพราะผมก็ใช่ว่าจะมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้ มันซับซ้อนเกินกว่าที่คนนอกอย่างผมจะเข้าใจ

“นั่นสินะ...ช่างเถอะเลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า จะมาบ่นเรื่องตัวเองให้คนป่วยฟังแบบนี้ไม่ดีเลย”เค้าปรับสีหน้าให้ปกติ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย ถามไถ่อาการ จนผ่านไปพอสมควรเค้าก็ขอตัวกลับ


และแล้ววันที่ผมจะได้ตัดไหมเย็บก็มาถึง นั่นแสดงว่าผมใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว หลังจากตัดเสร็จเรียบร้อยก็อยู่โรงพยาบาลต่ออีกสองวัน ตอนนี้ผมเริ่มลุกเดินได้แล้ว แต่ก็ยังเดินช้าๆ อยู่ เพราะมีแต่นอนอยู่บนเตียงมานานพอควร ตอนนี้เลยกลายเป็นเหมือนเด็กหัดเดิน ผมมีโอกาสได้ส่องกระจกดูหน้าตัวเองแล้ว มีรอยที่แผลจากการเย็บตั้งแต่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ที่ผมแอบแกะผ้าพันแผลดู แล้วก็มีอีกหนึ่งรอย จากกลางศีรษะลากลงมาทางใบหูด้านซ้าย อันนี้น่าจะเป็นแนวที่เค้าผ่าเปิดกระโหลกผมออกนั่นเอง หน้าตาที่ไม่มีผมบนหัว ก็ดูแปลกตาดี ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีผมขึ้นก็ไม่รู้

“คุณพ่อคุณแม่ครับ ถ้าเค้กหายดีแล้วผมขอให้เค้กย้ายไปอยู่กับผมได้ไหมครับ”อยู่ๆ เกี๊ยงก็พูดขึ้นในวันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ไม่เห็นเค้ามาคุยเรื่องนี้กับผมก่อนเลย อยู่ๆ มาพูดแบบนี้ไม่กลัวพ่อแม่ผมจะตกใจหรือไงกัน

“คือผมกับเค้กรักกันครับ ให้ผมได้ดูแลเค้กนะครับ”เค้าบอกอย่างมาดมั่น พ่อกับแม่ผมมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองเราสองคน

“ตอนนี้เกี๊ยงอยู่คนเดียวใช่ไหมลูก”คุณแม่ผมเอ่ยถามขึ้น เกี๊ยงเองก็พยักหน้า

“พ่อกับแม่ก็พอรู้นะว่าลูกทั้งสองเป็นอะไรกัน แต่ทางฝั่งพ่อแม่ของเกี๊ยงละ พวกท่านจะเข้าใจหรือเปล่า”นั่นสินะผมเองก็ไม่ได้เจอพ่อแม่ของเกี๊ยงเลย ตั้งแต่ที่เกี๊ยงย้ายบ้านคราวนั้น




แวะมาต่อคร๊าบบบ

อิเล่ก็ยังอุตส่าห์มาโผล่เรื่องนี้อีกรอบ 5555

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #74 เมื่อ22-11-2014 18:58:13 »

รู้สึกว่าตัวเองนี่มาโซมากๆ  :hao5: ชักอยากเชียร์อิเล่อีกแล้ว ถ้ามันกลับตัวกลับใจนะ

ยังไงก็ขออย่าให้ให้มีปัญหากับทางพ่อแม่เกี๊ยงเลยนะ  :mew2:

อ่านเรื่องนี้สลับกับระหว่างเราแล้วความรู้สึกอัพ แอนด์ ดาวน์ ขึ้นๆลงๆจริงๆ

Singleman

  • บุคคลทั่วไป
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #75 เมื่อ22-11-2014 19:46:10 »

ขอให้ปัญหาทั้งหลาย พังทลาย มีแต่เรื่องดีๆกับเค้ก

ส่วนเรื่องร้ายๆไปเกิดกับไอโอเล่ แทนนนนน เกลียดดดดดด 

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #76 เมื่อ22-11-2014 21:53:14 »

รำคาญอิเล่!!!

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #77 เมื่อ22-11-2014 22:04:48 »

คนอื่นเค้าแสดงอยู่เรื่องเดียว
แต่ไอ่เล่..ไม่ใช่
กร๊ากกก

วิ่งวุ่น..รับจ๊อบตั้งสองเรื่อง
เก่งแฮะ

เออใช่ เนอะมันสับรางเก่ง
ขนาดเมีย...แมร่งยังมีทีเดียวสองคนพร้อมกันได้

ฮ่าฮ่า..ตรูลืมไป

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #78 เมื่อ23-11-2014 03:00:19 »

ใช่แล้ว

พ่อแม่เกี๊ยงจะรับเค้กได้หรือไม่ล่ะ???

สู้ๆๆ เป็นกำลังใจให้,,

ออฟไลน์ โชติกา บุญเติม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #79 เมื่อ23-11-2014 04:11:24 »

เหมือนได้กลิ่นม่าม่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
« ตอบ #79 เมื่อ: 23-11-2014 04:11:24 »





ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #80 เมื่อ23-11-2014 04:36:11 »

เกลียดไอ้เล่ มันแบบ เชี่ย ขนาดไม่ได้อ่านอีกเรื่อง แต่คือ เกลียดอะ บอกเลย

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #81 เมื่อ23-11-2014 13:18:09 »

สนุกมากๆ
ยังเซ็งยายจูนอยู่ เล่นไม่คิด

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
«ตอบ #82 เมื่อ24-11-2014 22:16:02 »

Ta-kiang

ผมตัดสินใจสารภาพกับพ่อแม่ของเค้กไปแล้วว่า เราสองคนเป็นอะไรกัน แต่ดูเหมือนพวกท่านก็ไม่ได้แปลกใจเท่าใดนัก คงเพราะทราบอยู่แล้วว่าเค้กเองก็คบแต่กับผู้ชายมาตลอด พวกท่านก็เพียงฝากผมดูแลเค้กดีๆ แต่ที่หลายๆคนยังกังวลอยู่ รวมถึงตัวผมเองด้วย นั่นคือพ่อกับแม่ผม ที่อยู่เมืองนอก นี่พวกท่านจะว่ายังไงน้า ผมเองก็ไม่เคยเล่าความสัมพันธ์ของผมกับเค้กให้ พ่อกับแม่ฟังเลย ผมเคยแต่เล่าถึงเค้กในฐานะเพื่อนคนนึง แต่นั่นมันก็ตั้งแต่ตอนที่ผมกับเค้กยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องบอกพวกท่าน ตัวเค้กเองก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อีกไม่นานก็คงจะหายดี พอถึงวันนั้นหวังว่าเรื่องของเราสองคนจะไม่มีอุปสรรคใดๆ อีก

ผมตัดสินใจโทรหาพ่อกับแม่ที่อยู่เมืองนอกโดยกะเวลาให้พอดีกับช่วงเวลาทางโน้น  แต่พอโทรไปปารกฏว่าผมเองที่ต้องประหลาดใจ เพราะพ่อกับแม่ผมบอกว่ากำลังจะกลับมาเมืองไทย ตอนนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อเดินทาง คาดว่าจะถึงเมืองไทยในวันมะรืนนี้ ผมเลยกะว่าจะคุยเรื่องนี้ตอนนั้นเลยแล้วกัน





“พ่อครับ...แม่ครับผมมีเรื่องสำคัญจะบอกครับ”ตอนนี้พ่อกับแม่ผมกลับมาเมืองไทยได้สองวันแล้ว แต่พอดีพวกท่านไปบ้านคุณตาคุณยายที่ต่างจังหวัด ทำให้ผมเพิ่งจะได้เจอพวกท่านวันนี้เอง

“ทำไมจะให้แม่ไปขอสาวที่ไหนให้หรือไง อายุอานามขนาดนี้คงอยากมีครอบครัวแล้วละสิเนี่ยหือ”แม่ผมนี่เหมือนจะอ่านใจผมออก แต่แม่เข้าใจผิดไปนิดที่ว่าผมจะให้ไปขอสาว เพราะคนที่ผมจะให้แม่ไปขอเป็นผู้ชายนะสิครับแม่

“แม่จำเค้กได้ไหมครับ”เมื่อครั้งที่เรายังเรียนด้วยกัน ครอบครัวผมกับเค้กก็ไปมาหาสู่กันอยู่พอสมควร พ่อกับแม่ผมน่าจะจำเค้าได้

“จำได้สิ ก็เกี๊ยงเองก็พูดถึงบ่อยๆ ว่าแต่นี่เห็นว่าประสบอุบัติเหตุ ได้ไปดูเพื่อนบ้างหรือเปล่า”ไม่ใช่แค่ไปดูหรอกครับแม่ ผมไปเฝ้าแทบจะไม่ได้คลาดสายตาเลยด้วยซ้ำ

“เออแล้วไปเจอกันอีกได้ยังไง...เห็นว่าไม่ได้ติดต่อกันตั้งนานแล้วนิ”พ่อผมหลังจากที่เงียบอยู่นานก็ถามขึ้นบ้าง นี่ทั้งสองไม่คิดจะถามผมเลยหรือไงว่าตกลงผมมีเรื่องอะไรจะบอก ผมต้องอธิบายเสียยืดยาวว่าตกลงผมกับเค้กได้มาเจอกันอีกได้ยังไง พ่อกับแม่ผมก็ว่าดีแล้วที่ได้กลับมาเจอกันอีก เพื่อนดีๆ อย่างเค้กให้ผมคบไว้นานๆ พวกท่านเองเห็นว่าเค้กเป็นคนที่นิสัยดีคนนึง แต่ที่ผมต้องการมันไม่ใช่แค่จะให้พวกท่านยอมรับเค้กในฐานะเพื่อนของผม

“พ่อครับแม่ครับ...ถ้าผมกับเค้กเป็นอะไรกันที่มากกว่าเพื่อน...พ่อกับแม่จะว่ายังไง”ในที่สุดผมก็เอ่ยถามออกไป ทั้งสองมีแววตาสงสัยและไม่เข้าใจอยู่ในที

“หมายความว่ายังไงเหรอลูก”แม่ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าผมไม่ได้พูดอะไรผิดไป

“ผมกับเค้กรักกันครับ รักในแบบคนรักไม่ใช่ในแบบเพื่อน”ผมตอบออกไปอย่างจริงจัง พ่อกับแม่ผมหันมองหน้ากันอย่างกำลังตัดสินใจ

“คือ...แม่บอกตรงๆ ว่าแม่อึ้งนะ ที่ลูกของแม่ไปชอบผู้ชายด้วยกัน แต่แม่เชื่อว่าเกี๊ยงคิดทบทวนทุกอย่างดีแล้ว คนเราจะรักจะชอบกันมันฝืนกันไม่ได้หรอก ถ้าเกี๊ยงรักเค้กเค้าจริงๆ และเค้าเองก็รักลูกจริงๆ แม่ก็คงไปขัดขวางไม่ได้”แม่ครับ ผมรักแม่ที่สุดเลย แม้ว่าท่านเองอาจจะยังยอมรับในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ท่านก็รักผมและพยายามจะยอมรับในการกระทำของผม

“แม่เค้าพูดไปขนาดนั้นแล้วพ่อเองก็คงขัดอะไรไม่ได้แล้วมั้ง”ผมเค้าไปกราบบนตักของท่านทั้งสอง ก่อนจะสวมกอดที่เอวของแม่ ผมรู้ว่าแม่เองคงเสียใจที่ผมจะไม่มีหลานให้ท่านอุ้ม สงสัยผมคงต้องรอให้เจ้าชีสน้องชายของเค้กมีลูกแล้วค่อยให้มาเป็นหลานของพ่อแม่ผมด้วยแล้วกัน




“หายดีหรือยังละลูก”พ่อกับแม่ผมเอ่ยถามเค้ก วันนี้ผมพาพ่อกับแม่มาบ้านของเค้ก การทานอาหารเย็นวันนี้เลยเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่เลยทีเดียว ด้วยความที่พ่อแม่ของเราทั้งสองฝ่ายรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว เลยพูดคุยได้อย่างสนิทใจ ผู้ใหญ่เค้าก็ถามสารทุกข์สุขดิบพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป พ่อกับแม่ผมเองก็เหมือนจะชอบเค้กอยู่ไม่น้อย

“พวกพ่อๆ แม่ๆ ก็ขออวยพรให้เราทั้งคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแล้วกันนะ มีอะไรก็คุยกันดีๆ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะ”พ่อผมเป็นฝ่ายเริ่มพูดคนแรก ตามด้วยคนที่เหลือ วันนี้ก็เหมือนเป็นการตกลงอยู่ร่วมกันของผมกับเค้กอย่างเป็นทางการเลย ตอนนี้ตกลงกันแล้วว่าเค้กจะไม่ย้ายไปอยู่คอนโดผม แต่จะให้ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านของเค้กแทน เมื่อเป็นความต้องการของผู้ใหญ่ผมก็คงไม่สามารถขัดอะไรได้ แค่ให้ผมได้อยู่กับเค้กแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ตอนนี้ผมก็ทำได้แค่ตั้งตารอวันที่เค้กจะหายดี มากกว่านี้ เพราะตอนนี้เค้าก็ยังไม่ได้หายดีเต็มร้อย




“เกี๊ยง...เราอยากไปดื่มเบียร์ พาไปหน่อยนะ...นะนะนะ”สุดที่รักของผมอ้อนจนผมเกือบจะใจอ่อน แต่นี่มันเพิ่งผ่านมาเพียงสามเดือนเท่านั้นที่เค้าผ่าตัดมา ทั้งที่ใครๆ ก็บอกเค้าว่าต้องงดให้ได้หนึ่งปี แต่เค้าก็บอกว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะผลเอ็กซเรย์ก็ยืนยันว่าเค้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่เรื่องการดื่มแอลกอฮอล์นี่สิ อย่างน้อยๆ ผมอยากให้เค้างดให้ได้อย่างน้อยสักหกเดือน แต่นี่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมเสียแล้ว

“ไม่ดีม้าง”ผมพยายามจะหาทางบ่ายเบี่ยง

“ช่วงนี้งานเรายุ่งมากๆ เลย คงต้องขอเคลียร์งานก่อน แล้วค่อยไปวันหลังนะ”ผมเริ่มหาข้ออ้าง แต่รู้สึกเรื่องนี้ผมจะใช้บ่อยเกินไปเค้าเลยไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปกับไอ้ชีสก็ได้”ไม่มีทางหรอก เพราะผมสั่งห้ามชีสไว้แล้วเหมือนกัน ผมแกล้งพยักหน้าให้เค้าลองไปชวนชีสดู และแน่นอนเค้าโดนปฏิเสธ แล้วเหยื่อรายต่อไปที่เค้าจะชวนก็คือไอ้ลูกอมสองเม็ดบาท ซึ่งผมก็สั่งไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ตอนแรกผมนึกว่าเค้าจะละความพยายาม แต่เมื่อไม่มีใครเค้าดันจะไปคนเดียวเสียให้ได้

“อย่าคิดว่าเราไม่รู้นะว่าเกี๊ยงห้ามทุกคนไว้ไม่ให้พาเราไป”ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ แกล้งทำเหมือนกำลังวุ่นกับงาน ทั้งที่จริงๆ ช่วงนี้งานผมไม่มีอะไรยุ่งเลยสักนิด

“คืนนี้ไปนอนห้องไอ้ชีสเลย เราจะนอนคนเดียว”อ้าวไหงงั้น ผมรีบหันไปจะโต้แย้ง แต่เหมือนเค้าจะไม่ยอมอุทรให้ผมเลย แล้วแบบนี้คืนนี้ผมก็อดกินเค้กนะสิ ทำไงดีละ นี่ผมเองก็เพิ่งจะได้กินเค้กเมื่อไม่นานมานี่เอง ช่วงเค้าป่วยผมแทบขาดใจ เพราะน้ำตาลในนเลือดมีน้อย ตอนนี้เลยต้องเร่งทานของหวานเสียหน่อย แล้วถ้าวันนี้ไม่ได้กินเค้กผมจะเป็นโรคขาดความหวานไหมน้า

“ไม่เอาหรอก ตอนนี้เราสองคนก็เป็นสามี ภรรยา ที่ถูกต้องตามประเพณี แถมผู้ใหญ่รับรู้แล้ว ทำไมต้องแยกห้องกันนอนด้วย”ผมแกล้งทำเสียงงอนๆ พร้อมเดินเข้าไปกอดเค้า แต่เค้าขืนตัวออกจากผม

“ก็ถ้าวันนี้ไม่พาไปลานเบียร์เราสองคนก็เลิกกันวันนี้เลย”นี่เค้ารักเบียร์มากกว่าผมเลยหรือไงกันนะ ชักจะน้อยใจแล้วนะเนี่ยที่เห็นเบียร์ดีกว่าผม

“เค้กก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าหมอเค้าให้งดพวกแอลกอฮอล์อยู่”ผมพยายามเอาหมอมาอ้าง แต่เหตุผลนี่เค้กเองก็ไปศึกษาข้อมูลมาแล้ว เค้ารวบรัดยืนยันเอาเองว่าสามเดือนก็เพียงพอแล้วสำหรับการงดแอลกอฮอล์

“ขอไปจิบ แค่แก้วเดียวนะ ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างมีเกี๊ยงไปด้วยยังไงก็ปลอดภัยอยู่แล้ว จริงไหม”เค้าหันมาส่งสายตาหวานเยิ้มให้ผม จนในที่สุดผมก็ยอมใจอ่อนจนได้สิน่า






“แค่แก้วเดียวนะ”ผมกำชับเค้าทันทีที่สาวเชียร์เบียร์มารินเบียร์ใส่แก้วให้ เค้าพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม

“พี่เกี๊ยงทำไมต้องตามใจมันด้วย เกิดเป็นอะไรมาจะทำยังไงเนี่ย ถ้าพ่อกับแม่รู้นะโดนด่ากันหมดนี่แหละ”เจ้าชีสที่ติดสอยห้อยมาอีกคนเริ่มบ่นยังกะคนแก่ แต่จริงๆ ก็บ่นเพราะเป็นห่วงพี่เค้านั่นแหละครับ

“มรึงไม่พูดแล้วพ่อกับแม่จะรู้ไหม”เค้กพูดพร้อมกับยกเบียร์ดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ผมกำลังจะอ้าปากห้ามแต่ไม่ทัน แถมยังเรียกให้เด็กเสิร์ฟรินให้ต่ออีก

“ไหนว่าจะดื่มแค่แก้วเดียวไง”ผมรีบห้ามเมื่อเห็นเค้าจะดื่มเกินลิมิตจากที่ขอไว้

“แล้วนี่เราใช้แก้วเกินหนึ่งใบแล้วเหรอ”เข้าใจแถไปเรื่อยนะที่รักผม เพราะเค้ามามุกนี้ผมกับเจ้าชีสเลยต้องรีบจัดการกับเบียร์ให้หมดเร็วที่สุดไม่ให้เหลือไปถึงเค้ก

“นี่พี่เกี๊ยงถามไรหน่อยดิ ว่าพี่รักไอ้เค้กมันตรงไหน ไม่เห็นจะมีดีอะไรเลย ขี้เมาอีกต่างหาก”ฝ่ามือน้อยๆ ของสุดที่รักผมฟาดลงที่หัวของน้องชายโทษฐานที่ไปว่าเค้า

“พี่ชอบทุกอย่างที่เป็นเค้ก เค้าคือทุกอย่างที่พี่รัก แล้วแบบนี้พี่จะไม่รักได้ไงกันละ”ปากพูดไปแต่สายตาจับจ้องคนที่อวดดีอยากมาดื่มแต่แค่แก้วครึ่ง จากเดิมที่เป็นคนคอแข็งตอนนี้เค้ากลับเหมือนคนเมาไปเสียแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกันที่เค้าดื่มได้ไม่เยอะผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก

“แล้วมรึงละไอ้เค้กชอบพี่เกี๊ยงเค้าตรงไหน”เหมือนเจ้าชีสจะเก็บข้อมูลไปทำวิจัยหรือไงเนี่ยถึงมาอยากรู้ข้อมูลว่าผมกับเค้กรักกันที่ตรงไหน

“กรูไม่รู้ ว่ากรูรักไปได้ยังไง สงสัยเพราะกรูเมามั้ง”อ้าวพูดไม่น่ารักเลยแฟนผม

“เมารักหรอกน่า แหมพูดแค่นี้ทำเป็นจะน้อยใจไปได้”เค้าหันมายิ้มให้ผมเมื่อรู้ว่าผมไม่ชอบที่เค้าพูดแบบนั้นคุยกันอีกไม่นานนักเราทั้งสามก็ต้องกลับ เพราะเหมือนเค้กจะไม่ไหวแล้ว เค้าเมาเหมือนคนที่ดื่มไปเยอะมาก แต่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นอะไรมากเท่าไหร่คงแค่เมาเฉยๆ ตามประสาคนที่ไม่ได้ดื่มมานาน




“ก็บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งไปดื่มก็ไม่เชื่อ”ผมเช็ดตัวให้เค้าไป พร้อมกับตำหนิเค้าไป

“ไม่ได้เป็นไรเสียหน่อยทำไมต้องบ่นด้วย”เค้าตอบกลับมาน้ำเสียงงอนๆ แล้วเค้าก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดึงผมเข้าไปหา แล้วก็ซุกตัวเข้ามาหาผม นี่จะมาไม้ไหนของเค้าอีกเนี่ย เหตุการณ์มันคล้ายๆ กับวันแรกที่ผมกับเค้ามีอะไรกันเลย วันนั้นเค้าก็เมา และผมก็เป็นฝ่ายเช็ดตัวให้เค้า และผมแกล้งล่วงเกินเค้าก่อน แต่ครั้งนี้เหมือนเค้าจะอยากให้ผมล่วงเกินนะเนี่ย

เค้ากอดผมแล้วดึงให้ล้มลงบนเตียงกับเค้า ก่อนเค้าจะขึ้นมานั่งทับบนตัวผม สองมือเค้าค่อยๆ บรรจงถอดเสื้อผมออก ส่วนเสื้อผ้าเค้ามันก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้วก็ผมถอดเช็ดตัวให้เค้านี่นา

“รักเกี๊ยงจังเลย”คำพูดเค้าทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่ผมตื่นเต้นกับคำพูดเค้าขนาดนั้นเลยหรือนี่ ยังกะเพิ่งเริ่มจะรักกันเลยนะเนี่ย

ริมฝีปากบางของเค้าประกบลงมาที่ริมฝีปากของผม สงสัยราตรีในคืนนี้จะยังอีกยาวไกลเสียแล้วสำหรับเราสองคน



------------------------------------------
อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้แต่งไว้นานแล้ว แล้วตอนแต่งสารภาพว่าตอนแรกก็จะให้ดราม่านิดหน่อยแหละ

แต่บังเอิญช่วงนั้นขี้เกียจ เลยออกมาแบบนี้แทน 555

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อ่านเรื่องนี้สลับไปกับเรื่องระหว่างเราคือ....   

ชอบเกี๊ยงมากๆ เป็นตัวที่มาเปรียบกับอิเล่แบบฟ้ากับเหว คิดว่าเพราะเกี๊ยงกับเค้กทำให้โอเล่กล้าที่จะกลับไปเผชิญกับความรู้สึกกับสิ่งที่ตัวเองทำผิดไว้  อาจจะไม่ได้ไปข้างหน้าต่อแต่ก็เคลียร์ให้มันจบไปเสีย

เรื่องนี้ถึงจะไม่ดราม่ามากแต่ก็สนุกค่ะ  ตามมาตลอด :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2014 00:08:06 โดย Kano Jou »

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ในที่สุดเค้กก็หายแล้ว

หวานกันจีงเลยนะครับคู่นี้

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1

Cake

“ปวดหัวชิบ”ผมพึมพำกับตัวเอง ขณะที่พยายามยันตัวขึ้นนั่งแล้วเอนหลังพิงกับหัวเตียง ไอ้การที่งดแอลกอฮอล์ไปสักพักแล้วมาดื่มนี่มันเมาได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แถมตื่นมาแฮงค์นี่อีก

“เป็นไงครับพ่อคนเก่ง บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งดื่มก็ไม่เชื่อ”ชายหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวพันกายผืนเดียว ตรงเข้ามายีหัวผมด้วยท่าทีหมั่นไส้อย่างเห็นได้ชัด

“คุณเป็นใคร เข้ามาในห้องผมได้ยังไง”ผมแกล้งทำหน้าตกใจ พร้อมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวจนโผล่ออกมาแค่หัว

“ไม่ตลกนะเค้ก”โหเห็นสีหน้าจริงจังขนาดนี้ไม่กล้าเล่นต่อเลยครับผม ดูเกี๊ยงจะตกใจเสียเหลือเกิน กลัวผมจำเค้าไม่ได้ขนาดนั้นเชียว เห็นว่าก่อนผมผ่าตัดผมดันบอกชื่อเค้าไม่ถูก ตอนที่เค้าถามกับผมว่าผมคือใคร พอหายออกจากโรงพยาบาลมา ก็ถามผมแทบจะทุกวันว่าจำเค้าได้ไหม จะกลัวผมจำไม่ได้อะไรหนักหนา เลยกะว่าจะลองแกล้งเล่นๆ หน่อย แต่เจอสีหน้าท่าทางขนาดนี้ก็ไม่แกล้งแล้วดีกว่า

“ล้อเล่นหรอกน่า”ผมแลบลิ้นพร้อมกับยิ้มกว้าง

“คราวหลังไม่เล่นแบบนี้อีกนะ ตกใจแทบแย่ นึกว่าเค้กจะจำเราไม่ได้จริงๆ ซะอีก”เค้าแทบจะกระโดดขึ้นเตียงมากอดผมเลยก็ว่าได้

“เกี๊ยงก็เห็นว่าเราหายดีแล้ว ทำไมยังต้องกลัวอะไรขนาดนั้น นี่ให้เรากลับไปทำงานยังได้เลยเนี่ย”นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่แทบจะได้เถียงกันทุกวัน ตอนนี้ทุกคนยังไม่ยอมให้ผมทำอะไร อยากกลับไปทำงานก็ไม่ได้

“ไม่รู้ล่ะ แต่เป็นอันว่าเรื่องดื่ม เค้กต้องงดต่อไปอีกนะ เราจะไม่ยอมใจอ่อนให้เค้กดื่มอีกแล้ว เกิดรีบกลับไปดื่มแล้วมีผลข้างเคียงตามมา หรือเกิดเค้กเกิดจำเราไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ เราจะทำยังไง”อ้าวไหงกลับมาลงเรื่องนี้ได้ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย หายดีแล้วจริงๆ

“ไม่เอาอ่ะ ขอซ้อมดื่มเบียร์วันละกระป๋องก็ยังดี”ผมรู้หรอกน่าว่าที่คุณหมอห้าม เพราะไม่อยากให้ผมดื่มแล้วเกิดอุบัติเหตุอีก แต่นี่ถ้าไม่ได้ไปดื่มข้างนอกมันก็ไม่น่าจะมีปัญหานี่นา

“เราขอเรื่องนี้เรื่องเดียวนะเค้ก เมื่อคืนก็เห็นแล้วว่าดื่มไปนิดเดียวยังเมาขนาดนั้น งดต่ออีก 3 เดือนนะทนอีกนิดนึง ทำเพื่อเกี๊ยงได้ไหมครับ”คนพูดมานั่งกอดผมบนเตียงแล้วครับตอนนี้ แถมมาพูดซะเสียงอ่อนเสียงหวานขนาดนี้

“งั้นเราก็งดไม่มีอะไรกันด้วย ตลอด 3 เดือนนี้”จริงๆ ก็กะจะงดเรื่องแอลกอฮอล์ตามที่เค้าขอนั่นแหละครับ แต่แค่อยากแกล้งนิดหน่อยว่าถ้าต้องแลกเรื่องนี้กับการให้ผมงดแอลกอฮอล์เค้าจะว่ายังไง เกี๊ยงชะงักไปนิดหน่อย คงไม่คิดว่าผมจะเล่นไม้นี้ละสิ

“แต่ยังกอดกัน จูบกันได้ใช่ไหม”น้ำเสียงหม่นๆ ถูกเปล่งออกมา พร้อมกับอ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น อะไรกันพ่อคนหื่นนี่ยอมง่ายขนาดนั้นเชียว

“ทำได้จริงๆ เหรอ”ผมถามย้ำเพราะความสงสัย

“เพื่อสุขภาพร่างกายของเค้ก เราทำได้หมดแหละ ต่อให้งดไปจนครบปี เราก็ทำได้”จุกครับ คำพูดผมมาจุกที่คอหอยกันเลยทีเดียว เค้าดูจะเป็นห่วงเป็นใยผมขนาดนี้ แต่ไอ้ตัวผมเองกลับยังคิดอะไรตื้นๆ

“ร้องไห้ทำไม”นิ้วเรียวของเค้าเกลี่ยเช็ดหยดน้ำตาที่แก้มของผม ก็ไม่ได้อยากจะร้องหรอกนะครับ แต่อยู่ๆ มันก็ไหลออกมาเอง

“ขอโทษ”ผมเอ่ยพร้อมกับซุกหน้าเข้าหาอ้อมอกของเค้า

“ขอโทษเรื่องอะไรหือ”

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”ใช่ผมรู้ว่าเค้าห่วงผมมาก ตั้งแต่ตอนที่อยู่โรงพยาบาล ตอนที่ผมเจ็บผมแทบจะเห็นเค้าเจ็บไปกับผม  และตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาเค้าก็ดูแลผมเป็นอย่างดี อาจจะดีเกินไปจนผมเคยตัวเสียด้วยซ้ำ มันเลยกลายเป็นผมเองที่แทบไม่ได้ทำอะไรเพื่อเค้าเลย อย่างไอ้เรื่องแอลกอฮอล์นี่ก็เหมือนกัน ทั้งที่ตอนแรกเค้าอยากให้ผมงด 1 ปี ผมก็ต่อรองจนเหลือ 6 เดือน แต่สุดท้ายนี่เพิ่ง 3 เดือนหลังผ่าตัดผมก็ทนไม่ได้แล้ว

“ถ้าไม่อยากให้เป็นห่วงก็อย่าเพิ่งกลับไปดื่มอีกเลยนะ เอาจริงๆ เราชักจะหึงเบียร์ขึ้นมาแล้วสิ ดูเค้กจะรักเราน้อยกว่าเครื่องดื่มสุดโปรดเสียอีก”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จนผมอดจะยิ้มไม่ได้

“เราไม่งดดื่มก่อนก็ได้ ว่าแต่เกี๊ยงทนได้จริงๆ เหรอ”แม้จะคิดว่าเค้าคงยอมทำได้เพื่อผมทุกอย่าง แต่พอเป็นเรื่องหื่นๆ นี่ชักนึกอยากจะแหย่เค้าขึ้นมาหน่อย

“เรื่องไรอ่ะ”แหม๋ทำเป็นตาใสไม่รู้เรื่องนะพ่อคุณ

“ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหื่นๆ อยากนายตะเกียงจะยอมไม่มาหื่นใส่เราได้จริงๆ นะสิ”ผมพูดติดตลกเพราะจริงๆ ก็ไม่ได้กะจะให้เค้างดเรื่องนี้จริงๆ อยู่แล้ว

“ถ้าให้งดเราก็งดได้นะ แต่กลัวว่าเค้กเองนั่นแหละจะอดใจไม่ไหว เราออกจะหล่อ ล่ำ นิสัยดี ขี้เอาใจขนาดนี้ เราว่าเค้กต้องอดใจกะเราไม่ไหวแน่ๆ” ดูพูดเข้าเถอะครับ หลงตัวเองเป็นที่สุด แฟนใครไม่รู้เนี่ย

“ปล่อยแล้วไปแต่งตัวเลย เราจะได้ไปอาบน้ำบ้าง”ผมรีบผลักเค้าออก เพราะไอ้แววตาที่มันซึ้งๆ ตอนแรกมันเปลี่ยนเป็นแววหื่นเสียแล้ว

“เห็นไหม เค้กกลัวอดใจกะเราไม่ไหวล่ะสิ”

“ไม่คุยด้วยแล้ว อาบน้ำดีกว่า”ผมรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำชำระร่างกายโดยเร็วก่อนที่จะถูกทำมิดีมิร้ายเสียก่อน

หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ออกมาพ่อสุดที่รักของผมก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว คาดว่าคงลงไปเตรียมอาหารเช้าให้ผมแล้วนั่นแหละ คิดแล้วก็อดดีใจไม่ได้ จะมีใครโชคดีเหมือนผมอีกไหมเนี่ย จากที่เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าชีวิตผมคงจะไม่ได้เจอใครที่รักจริง หรือใครที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะที่ผ่านมาผมเจอแต่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่กับเกี๊ยงตอนนี้เค้าช่างเป็นคนที่พิเศษสำหรับผมเหลือเกิน

“มีอะไรกินบ้างครับที่รัก”ผมเดินเข้าไปสวมกอดเค้าจากด้านหลังทันทีที่ลงมาเห็นเค้ากำลังจัดเตรียมอาหารเช้าที่โต๊ะ เกี๊ยงเองดูแปลกใจเล็กน้อย คงเพราะผมไม่ค่อยได้ทำแบบนี้สักเท่าไหร่

“ที่รักเลยเหรอ วันนี้มาแปลกนะเนี่ย”เค้ายังไม่ได้หันมามองผม แต่มือของเค้าเลื่อนมากุมมือผมไว้หลวมๆ

“ไม่ชอบให้เรียกเหรอ”

“ใครบอกล่ะ ชอบมากต่างหาก อยากให้เรียกทุกวันเลย ว่าแต่มานั่งทานข้าวกันก่อนดีกว่า”เค้าแกะมือที่ผมโอบเค้าออก ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่ง

“ไอ้ชีสล่ะ ยังไม่ตื่นเหรอ”ผมเอ่ยถามถึงน้องชายตัวแสบ ที่คาดว่าคงยังไม่ตื่นเนื่องจากเมื่อคืนคงดื่มไปพอสมควร แล้วอีกอย่างวันนี้เป็นวันหยุด คงยังไม่รีบลุกมาง่ายๆ ส่วนพ่อกับแม่ผมแน่นอนว่าออกไปสวีทกันอีกแล้ว คงอีกหลายวันกว่าจะกลับ

“ออกไปแล้วแหละ เห็นว่าเพื่อนชวนไปไหนไม่รู้”

“เกี๊ยง...”ผมเรียกชื่ออีกคนแต่ไม่ได้พูดต่อ จนเค้าต้องเงยหน้ามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

“คือ...เอ่อ”ผมยังอ้ำอึ้งกับสิ่งที่จะพูด เพราะรู้สึกเขินๆ ยังไงบอกไม่ถูก

“มีอะไรหรือเปล่า”เค้าถามพร้อมจ้องหน้าผม ด้วยแววตาสงสัยว่าผมจะพูดอะไรกันแน่

“เรารักเกี๊ยงนะ”พอพูดออกไปเสร็จก็ก้มหน้าทานข้าวต่อทันที ผมเองก็ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ อยากจะบอกเค้าก็ไม่รู้ แต่มันก็แค่รู้สึกว่าอยากพูดออกไปแค่นั้นแหละ

“ได้ยินแบบนี้ชักไม่อยากจะกินข้าวซะแล้วสิ อยากกินเค้กมากกว่า”ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงก็เห็นเค้าจ้องผมอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาเจ้าเล่ห์เสียเหลือเกิน

“กินข้าวก่อนเหอะ ของหวานไว้ทีหลัง”ในเมื่อวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ก็รับมุกเค้าหน่อยครับ

“ไม่คิดเลยว่าจะได้มีวันนี้”หมายความว่ายังไงของเค้า

“ก็วันที่เราสองคนได้รักกันแบบนี้ไง เราแอบชอบเค้กมาตั้งนาน แต่เค้กก็มองเราเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เราเคยฝันว่าอยากตื่นมาเจอเค้กทุกๆ วัน ได้ทำอะไรเพื่อเค้ก เราคงจะมีความสุขมากๆ เลย แล้วตอนนี้เราก็มีความสุขมากๆ เลย ขอบคุณนะที่รักกัน”ไอ้ประโยคพวกนี้มันควรเป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเค้า ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเค้าที่ยอมทำอะไรเพื่อผมขนาดนี้

“ขอบคุณเหมือนกัน สัญญาว่าจะรักกันแบบนี้ตลอดไป”รู้สึกว่าการทานข้าวเช้าวันนี้ช่างเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลย เราสองคนสบตาพร้อมกับยิ้มให้กัน นี่สินะที่เค้าเรียกว่าความสุขที่แท้จริง การได้อยู่กับคนที่เรารัก และรักเรา แค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว และผมจะดูแลรักครั้งนี้ให้เป็นอย่างดีเลย

“รักเกี๊ยงนะ”

END

จบแล้วคร๊าบบบเรื่องนี้

พอดีคนแต่งเริ่มเอียนความหวานของคู่นี้

เลยให้เค้าไปหวานกันเสียให้พอไม่รบกวนเค้าสองคนจะดีกว่า

แต่เดี๋ยวไว้จะมาลงตอนพิเศษให้อีกนิดหน่อยแล้วกันเนอะ

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดนะครับ ยังไงก็ติชมกันได้นะครับ

ยินดีรับฟังและนำไปปรับแก้ไข แล้วก็ยังมีเรื่องที่แต่งไว้เสร็จแล้วจะมาทยอยลงเรื่อยๆ ก็ฝากติดตามกันด้วยเน้อ

ส่วนเรื่องราวของอิเล่ แขกไม่ได้รับเชิญจากอีกเรื่องที่มาโผล่เรื่องนี้ก็ไปตามต่อที่เรื่องนั้นได้ว่าจะลงเอยยังไง

ใกล้จบแล้วเหมือนกัน

ขอบคุณทุกๆ คนที่ตามอ่านอีกครั้งครับ

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ตอนจบไม่มีอิเล่มาให้รำคาญใจ  :m4:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
 :กอด1: :L2: :3123: :L1:

ยกให้คนเขียนหมดเลย 

ปลึ้มค่ะ ออกเรึอนเรียบร้อยไปแล้ว 1 คน

ขอให้หมดทุกข์หมดโศกนะเค้กกับเกี๊ยง ต่อไปนี้ก็ขอให้อยู่และรักกันไปนานๆ *อินจัด*

ปูลู  อย่าด่าอิเล่มากเลยนะ  ท่าทางมันจะไม่มีความสุขในชีวิตแน่ๆ อิเล่เป็นลูกลำเอียงของเราอ๊ะ  :mew2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2014 00:50:53 โดย Kano Jou »

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
ตอนพิเศษ


“งั้นเราขอตัวกลับก่อนเลยแล้วกันนะเค้ก ไว้เจอกันที่ทำงานนะ ไปนะครับคุณเกี๊ยง”สิ้นคำล่ำลาจากเพื่อนของเค้กที่ขอตัวกลับก่อนเพราะต้องรีบกลับไปดูแลลูกๆ ผมก็ยังคง หน้ามุ่ยเหมือนเดิม

“เป็นไรเนี่ย”ดูๆ ทำเราโกรธแล้วยังจะมาถามครับ ก็วันนี้ตอนแรกบอกผมแค่ว่าอยากออกมาดูหนัง ผมก็พามา แต่เริ่มตะหงิดๆ ตั้งแต่ทำไมอยากมาดูรอบเย็นๆ ทั้งที่วันหยุดแบบนี้ผมพามาตั้งแต่เที่ยงๆ บ่ายๆได้

แต่สุดท้ายก็นั่นแหละครับเค้าอยากจะมานั่งลานเบียร์ต่อ แม้นี่จะผ่านมา 6 เดือนแล้วหลังจากที่เค้าผ่าตัด แต่ผมก็ยังไม่อยากให้เค้าดื่มเท่าไหร่นี่นา แล้วเค้าก็เคยสัญญากะผมว่าจะงดจนครบปี แต่เรื่องนี้ผมยังไม่โกรธเท่า เค้าแอบตกลงเรื่องกลับไปทำงานกับที่ทำงานเดิมเรียบร้อยแล้ว นี่ถ้าวันนี้ไม่บังเอิญเจอไอ้นายลูกอมโอเล่เพื่อนเค้านี่ ผมก็จะยังไม่รู้ว่าเค้าจะกลับไปทำงาน

“ไม่ดื่มเหรอ”เค้กยังทำเหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่ยังไม่อธิบายให้ผมฟังเลย ว่านี่มันอะไรกัน

“ไม่ต้องขับรถกลับ”

“เดี๋ยวชีสมาขับให้ มันกำลังจะดูหนังกับเพื่อน หนังจบก็น่าจะพอดีกับที่เราดื่มหมดนี่ อ่ะๆ ดื่มหน่อยจะได้ใจเย็นๆ”นี่ขนาดตีหน้ามุ่ยใส่ขนาดนี้ เค้ายังไม่สำนึกครับ คงเพราะผมไม่เคยโกรธเค้าได้เลยจริงๆ นั่นแหละครับเลยทำให้เค้าคิดว่าครั้งนี้ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเค้าจริงจัง

แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้โกรธขนาดนั้นหรอกครับ แต่มันเคือง เรื่องดื่มเบียร์นี่ไม่เท่าไหร่เพราะมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว แต่ไอ้เรื่องจะกลับไปทำงานแล้วไม่บอกผมนี่สิ ผมบอกตรงๆ ว่าน้อยใจ เพราะเราคุยกันแล้วว่าอยากให้เค้าพักอีกหน่อยและเค้าเองก็รับปากผมแล้ว แต่อยู่ๆ กลับไปตกลงว่าจะทำงานทั้งที่ไม่บอกผมสักคำ

“งั้นเดี๋ยวเรากลับแทกซี่ไปรอที่บ้านนะ”ผมวางกุญแจให้เค้าแล้วก็ลุกขึ้นทันที อารมณ์มันไม่ใช่ว่าโกรธหรอกครับ แต่มันน้อยใจที่เหมือนเค้าเห็นว่าผมไม่ใช่คนสำคัญ จะว่าผมงี่เง่าผมก็ยอมแหละ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าไม่บอกผมทั้งๆ ที่วันมะรืนจะกลับไปทำงานอยู่แล้ว

ผมเดินออกมายืนรอแทกซี่ แม้ใจนึงจะรู้สึกว่าไม่อยากปล่อยเค้าไว้คนเดียว แต่ก็อยากให้เค้ารู้ว่าผมไม่ชอบจริงๆ ที่เค้าทำแบบนี้ ผมกดโทรศัพท์หาเจ้าชีส โชคดีที่เจ้าชีสยังไม่ได้เข้าไปดูหนัง ผมเลยบอกให้ไปดูเค้ก ก็ยังเป็นห่วงเค้าแหละครับ ก็กำชับเจ้าชีสว่าห้ามดื่มแล้วขับรถพาเค้กกลับบ้านดีๆ ผมเรียกแทกซี่อยู่นานเหมือนกันกว่าจะมีคันที่ยอมไปตามที่ผมบอกจุดหมายปลายทาง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่ๆ คนขับทั้งหลายถ้าไม่อยากรับผู้โดยสารแบบนี้จะมาวิ่งทำไม

“ไปด้วยนะ”แล้วผมก็ต้องแปลกใจเมื่อผมกำลังจะเข้าไปนั่งในแทกซี่ เค้กดันโผล่มาจากไหนไม่รู้ พร้อมกับดันตัวเข้ามานั่งในแทกซี่กับผม แม้ในใจจะแอบรู้สึกดีว่าเค้ามาง้อ แต่ก็ยังต้องทำหน้านิ่งๆ ไว้ครับ

“พี่ครับ ถ้าพวกผมจะเหมารถพี่ไปส่งที่บางแสน พี่จะไปไหมครับ”คำถามของเค้าเล่นเอาทั้งผมทั้งพี่แทกซี่ต้องชะงักกันไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเค้าจะอยากไปบางแสนทำไม

แถมพี่แทกซี่ก็ดูใจง่ายเหลือเกิน ตกลงต่อรองราคากันเสร็จบึ่งรถออกจากกรุงเทพทันที แม้ในใจจะอยากรู้ว่านี่เค้กกำลังทำอะไร แต่ผมยังไม่หายโกรธ ผมจะไม่ถามเค้า แต่พอออกมาสักพักไอ้จะให้อยู่เงียบๆ กันแบบนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้

“บอกพ่อกับแม่รึยังว่าจะไปไหนเนี่ย”ผมเอ่ยออกไปลอยๆ

“บอกชีสไว้แล้วว่าอาจจะไม่เข้าบ้าน”เค้าหันมาตอบพร้อมยิ้มให้ผม แหม๋คอยดูเถอะเดี๋ยวจะคิดบัญชีให้หนักเลย

“ของีบนะถึงแล้วปลุกด้วย”อ้าวไหงมาชิงหลับแบบนี้ละ ผมได้แต่อมยิ้มกับตัวเองเมื่ออีกคนหลับตาลงแล้วเอาหัวมาพิงที่ไหล่ผม สุดท้ายผมก็โกรธเค้าไม่ลงอยู่ดีแหละครับ เลยกลายเป็นว่าผมต้องยกไหล่ให้เค้าพิงจนถึงบางแสน

“ยังไงต่อละทีนี้”ผมเอ่ยถามโดยยังแกล้งทำเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจเค้าอยู่ เค้าไม่ตอบแต่เดินตรงไปยังเซเว่นที่อยู่ใกล้ๆ กับชายหาดที่พี่แทกซี่เอาเรามาปล่อย ผมเดินตามไปติดๆ ก็เห็นเค้าหยิบเบียร์มาประมาณ 7-8 กระป๋อง จ่ายเงินแล้วก็เดินลิ่วไปที่ชายหาด

“ขอโทษ”เค้าเอ่ยขึ้นหลังจากที่ผมนั่งลงข้างๆ เค้า นึกว่าจะทำเหมือนไม่มีอะไรต่อไปซะอีก

“ขอโทษที่ไม่บอกเรื่องจะกลับไปทำงาน ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงตลอดเลย ในทุกๆ เรื่อง”เค้าเอนหัวมาพิงที่ผม แต่สายตายังทอดมองท้องทะเลยามค่ำคืน

“แล้วทำไมไม่บอกกันตรงๆ ว่าจะกลับไปทำงาน”ผมเอ่ยเสียงอ่อนลง

“ก็กลัวเกี๊ยงไม่ให้เรากลับไปทำงาน”

“คราวหลังมีอะไรให้พูดกันตรงๆ นะ เราเป็นแฟนกันถ้าคุยด้วยเหตุผล เราก็ยินดีรับฟังเค้กเสมอแหละ”ผมเอื้อมมือไปโอบไหล่เค้าให้ชิดเข้ามาผมอีก

“หายโกรธแล้วช่ายป่ะ”ดูน้ำเสียงเค้าจะร่าเริงมากเกินไปนะ นี่ตกลงรู้สึกผิดบ้างไหมเนี่ยที่ทำให้ผมน้อยใจอยู่เนี่ย

“ยังหรอกจนกว่าจะได้สำเร็จโทษ”ผมแกล้งทำเสียงหื่นๆ

“แล้วนี่จะมาบางแสนทำไม อยากเปลี่ยนบรรยากาศเหรอ”พอได้จังหว่ะผมต้องรีบเปิดช่องให้ตัวเองครับ อย่างน้อยๆ มาถึงนี่แล้วได้อยู่กันสองคนแบบนี้ มันก็ดีไม่น้อย

“ก็อยากมากันสองคนบ้าง เราไม่ได้มาค้างคืนข้างนอกกันเลยตั้งแต่เกี๊ยงมาอยู่ด้วยที่บ้านอ่ะ”นั่นแน่จริงๆ ก็แอบอยากมาสวีทกับผมนี่เอง ว่าแต่นี่ผมหายเคืองเค้าแล้วใช่ไหม ชักจะงงๆ กับตัวเอง สงสัยโดนสับขาหลอกลากมาบางแสนจนเบลอ

“งั้นเรารีบไปหาห้องพักดีกว่าเนอะ”แกล้งแย่เค้าด้วยท่าทีหื่นๆ จนหน้าเค้าเริ่มแดง ก็ไม่รู้ว่าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือแดงเพราะเขินกันแน่

“อยากอยู่แบบนี้อีกสักพัก”จะว่าไปแฟนผมก็โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย

“ดูนั่นสิ ดาวสวยดีว่าไหม”ผมบอกพร้อมกับชี้ให้เค้ามองท้องฟ้า คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ไม่มีดวงจันทร์จึงมองเห็นแต่ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด

“ก็แค่ดาว สวยตรงไหน”เพิ่งจะชมไปว่าโรแมนติก ถอนคำพูดทันไหมเนี่ย

“แฟนใครน้า ไม่โรแมนติกเอาซะเลย”
“ก็ไม่รู้จะดูยังไงนี่นา”เค้าแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ตามที่ผมชี้มันก็มีดาวเต็มไปหมด แต่จริงๆผมก็ไม่รู้ว่าดวงไหนคือดาวอะไร เพราะเคยเรียนมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็จำไม่ได้แล้ว เคยอยู่ชมรมดาราศาสตร์ด้วยแต่แทบไม่เคยไปเข้าร่วมกิจกรรมอะไรกับเค้าเท่าไหร่เลย ที่เข้าไปก็เพราะไม่รู้จะเข้าชมรมอะไรแค่นั้นเอง

“โน่นเห็นนั่นไหม รู้รึเปล่าว่านั่นเค้าเรียกดาวอะไร”ผมแกล้งให้เค้าดูกลุ่มดาวอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่รู้จักอยู่แล้ว แต่อยากแกล้งเค้าแค่นั้นเอง

“ไม่รู้สิ ดาวอะไรเหรอ”เหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“แหมทำเป็นถามเหมือนจะรู้เลยนะ”แล้วเราทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“รู้ไหมว่าความรักของเราเหมือนดาว”คำพูดของผมทำให้เค้กหันมามองด้วยแววตาสงสัย

“ทำไม จะบอกว่าความรักที่เกี๊ยงมีมันมากมายเหมือนดาวที่อยู่บนท้องฟ้า มากเสียจนจะนับไม่ได้หรือเปล่า”โหดูจะหาความโรแมนติกจากแฟนผมนี่ยากจริงๆ เลยสิ

“ไม่ใช่ซะหน่อย”เสียงปฏิเสธของผมดังขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แล้วมันเป็นไงเหรอ”

“ความรักก็เหมือนดาว บางคืนอาจมองไม่เห็นแต่มันก็ไม่เคยหายไปไหน”ผมค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปหาเค้า จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่าย ก่อนจะประทับริมฝีปากลงที่ปากบางนั่น เนิ่นนานและหอมหวาน

“เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน”เค้าพลักผมออก พร้อมกับมองไปรอบๆ คงเพราะนี่เราอยู่กันที่ชายหาด แต่แหมผมก็มีเผลอลืมบ้างนิดหน่อยเอง

“หมายความว่าไงเหรอที่พูดเมื่อกี้”เค้าเริ่มเบี่ยงประเด็นมาชวนผมคุยแทน แต่แขนผมก็ยังกอดกระชับเค้าเข้าหาตัว

“เรื่องอะไร”ผมแกล้งไม่เข้าใจในคำถามของเค้า พร้อมหันหน้าทอดมองไปที่ท้องทะเล

“เอ้าก็ที่ว่าความรักกับดาวอะไรนั่นไง”

“ก็หมายความว่า ความรักของเราก็เปรียบเหมือนดาวไง บางวันเราอาจจะไม่ได้เจอ ไม่ได้คุยกัน แต่ความรักของเราก็ยังอยู่เหมือนเดิม เหมือนดาวที่บางวันเรามองไม่เห็น ทั้งๆที่มันก็ยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ และมันก็จะยังคงอยู่ที่เดิมนั้นตลอดไป”ผมอธิบาย

“แต่เราก็เจอกันทุกวันนิ จะเหมือนกับดาวได้ยังไง”เค้าพยายามจะแย้งผม แต่จริงๆ ผมก็แค่พูดรวมๆ แหละครับอีกหน่อยเค้ากลับไปทำงาน เราอาจจะมีเวลาให้กันน้อยลง หรืออาจจะมีบางวันที่อาจต้องห่างกันบ้าง แค่อยากให้เค้ารู้ว่าผมจะยังเหมือนเดิม

“ช่างมันเหอะ ตอนนี้เราไปหาที่พักกันดีกว่า เราง่วงแล้ว”น้ำเสียงของผมแฝงนัยยะบ้างอย่างไว้อย่างชัดเจน จนโดนเค้กตีเข้าที่แขนอย่างแรง แต่ไม่เป็นไรยังไงคืนนี้เค้าก็ต้องไถ่โทษที่ทำให้ผมเคือง หึหึ



End

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
ก็แวะมาลงตอนพิเศษอีกนิดหน่อย ก็ไม่มีอะไรมากนะครับคู่นี้

จบแบบ แฮปปี้แหละเนอะ อาจจะไม่หวานอะไรมากมาย แต่ก็อยากมาส่งท้ายสักนิด

ยังไงก็ขอบคุณทุกๆ คนที่ตามอ่านกันอีกรอบนะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด