พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 15:18:23

หัวข้อ: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 15:18:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

...
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 15:26:47
เกริ่นก่อนนิดนึงนะครับว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอีกเรื่องที่แต่งไว้ คือเรื่องนี้

ระหว่างเราคือ...??? http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0

คือเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันมากนัก แต่ท้ายๆ จะมีตัวละครจากอีกเรื่องมาโผล่นิดหน่อย

ถึงไม่อ่านอีกเรื่อง ก็ไม่มีผลกับเนื้อเรื่อง แต่ถ้าจะอ่านทั้งสองเรื่องก็ควรอ่านไปพร้อมๆ กันเพราะถ้าอ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อน

อาจมีสปอยล์อีกเรื่องนิดหน่อย

ส่วนเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของเพื่อนสองคน ที่เคยเรียนด้วยกันตอนเด็ก แล้วกลับมาเจอกันอีกทีตอนโต

ยังไงก็ลองติดตามติชมกันได้ครับ

พร้อมรับทั้งคำติและคำชมคร๊าบบบบ

หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 15:34:04
(ไม่)รักได้ไง
Cake

“ไม่เจอกันนานเลยนะ”เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นเบื้องหลังผม พร้อมกับรู้สึกว่ามีมือมาสะกิด เลยทำให้ต้องหันกลับไปมอง

“ครับ”ผมรับคำอย่างงงๆ เพราะรู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับคนตรงหน้าที่กล่าวทักผมเลย ชายหนุ่มหน้าตาคมสัน น่าจะสูงสักประมาณ 180 ได้เพราะสูงกว่าผมเสียอีก ผมเองก็ไม่ได้เตี้ยอะไรเพราะสูงตั้ง 175 เหมือนกัน ถึงหน้าตาเค้าจะดูคุ้นๆ แต่ผมก็ไม่คิดว่าเคยรู้จักกันหรอกนะ แล้วในสถานที่แบบนี้อีก แต่พอมองดีๆ หน้าตาแบบนี้เหมือนผมจะเคยเจอหรือเปล่าน้า ชักเริ่มคุ้นๆ ขึ้นมาแล้วหน่อยๆ แต่ก็นึกไม่ออก

วันนี้ผมนัดกันกับเพื่อนมาเที่ยวผับกัน แต่ไอ้เพื่อนตัวดีดันพาผมมาบาร์เกย์เสียได้ บอกตรงๆ ว่าถึงผมจะยอมรับว่าตัวเองเป็นเพศที่สามแต่ผมก็ยังชอบเที่ยวแบบผับทั่วๆไปอยู่ดี เพราะมาที่แบบนี้ทำไมผมรู้สึกแปลกๆ ก็ไม่รู้ มองไปทางไหนก็เจอแต่สายตาหื่นกระหายทั้งนั้น คือเหมือนแต่ละคนต่างมีจุดมุ่งหมายในการมาว่าต้องได้ใครสักคนติดสอยห้อยตามกลับออกไปด้วย แต่ไอ้ผมไม่ได้ต้องการ ผมแค่ชอบสนุกสนาน ชอบเสียงเพลงเวลาเครียดๆ ได้มาปลดปล่อยตัวเต้นแร้งเต้นกาตามประสาแค่นั้นผมก็พอใจแล้ว เลยชอบไปผับธรรมดามากกว่า เพราะถึงแม้จะมีเหมือนกันที่คนจะไปหาคู่แบบที่นี่ แต่มันก็ยังรู้สึกว่าโอเคกว่านี้

“เรารู้จักกันเหรอครับ”ผมถามออกไปอย่างไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้คนตรงหน้านี่คือใคร แต่เค้ายังคงจ้องผมนิ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมพยายามจ้องใบหน้านั้น ถึงตรงนี้จะเป็นทางไปเข้าห้องน้ำ แต่ไฟมันก็ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่นัก ทำให้มองไม่ชัดเท่าที่ควร ผมพยายามนึกใบหน้าที่คุ้นๆ นี่ให้ออก เพราะเหมือนเค้าจะมั่นใจว่าเรารู้จักกัน ใบหน้าของเค้าเริ่มชัดขึ้นๆ

“เกี๊ยง”ผมหลุดชื่อของเค้าออกไป คิดว่าถ้าไม่ใช่ก็ไม่รู้จะนึกถึงใครอีกแล้ว ผมเห็นเค้ายิ้มกว้างเลย แสดงว่าผมตอบถูก ผมเกือบจะลืมเพื่อนคนนี้ไปแล้ว เรารู้จักกันตั้งแต่ประมาณ ป.3 ได้มั้ง แต่มาสนิทกันตอนเรียน ม.ต้น เพราะเรียน เล่น อยู่กลุ่มเดียวกัน อีกอย่างบ้านเค้าก็ไม่ได้ห่างจากบ้านผมนัก แต่พอขึ้น ม.3 เค้าก็ต้องย้าย ตามพ่อไปเรียนที่อื่น ตอนนั้นเหมือนมันกะทันหันเลยไม่ได้ขอที่อยู่ติดต่อ หรือเบอร์โทรอะไรไว้เลย จากเพื่อนที่ตัวผอมแห้งเท่าๆกับผมในวันนั้น ทำไมวันนี้เค้าดูสมส่วน เหมือนจะมีกล้ามมากกว่าผมเหลือเกิน

กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน ตั้งแต่ ม.3 จนตอนนี้ผมเองก็จบมหาวิทยาลัย ทำงานมาหลายปีแล้ว เค้าเองก็คงเช่นกัน นี่เค้าจำผมได้ยังไง เพราะสำหรับผมถ้าเค้าไม่เข้ามาทัก ผมก็คงไม่สังเกตและนึกออกหรอกว่าเค้าคือ ด.ช.ตะเกียงที่ผมเคยรู้จัก

“นึกว่าจะจำกันไม่ได้แล้วซะอีก”ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้ผมอีกครั้ง

“ออกไปคุยข้างนอกได้ไหม พอดีกำลังจะกลับ”ผมรีบบอกเมื่อเห็นเกย์สาวนางหนึ่ง ที่เพื่อนผมแนะนำให้รู้จักกำลังเดินตรงมาที่เราสองคนคุยกันอยู่ ไอ้เพื่อนตัวดีก็ช่างเข้าใจแกล้งผม ก็ทั้งที่รู้ว่าผมไม่ชอบแบบนี้ก็ยังจะมายัดเยียดให้อีก ส่วนแม่นี่ก็ทั้งที่ผมบอกว่าผมไม่ใช่อย่างที่เธอชอบแน่ๆ เธอก็ไม่ยอมฟังผมเลย

“เค้กมาคนเดียวเหรอ”เพื่อนเก่าของผมเริ่มตั้งคำถามอีกครั้งเมื่อเราออกมานั่งที่โต๊ะด้านนอกของผับ ซึ่งไม่ค่อยมีคนเพราะตอนนี้คนส่วนใหญ่จะสนุกสนานกันอยู่ด้านใน เนื่องจากตอนนี้มีโชว์ที่ทางร้านจัดไว้กำลังเริ่ม

“มากับเพื่อนนะ แต่ไม่ค่อยชอบ เลยว่าจะแอบกลับก่อน”ผมตอบไปตามความเป็นจริง ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร เพื่อนเก่าคนนี้ ผมกำลังนึกว่าจะใช้สรรพนามใดกับเค้าดี เมื่อก่อนเราสนิทกันมาก เลยเรียกันมรึง กรู แต่อตอนนี้หลังจากไม่ได้เจอกันมานาน จะเรียกแบบนั้นมันก็ดูขัดๆ ยังไงบอกไม่ถูก

“หมายความว่าไงเหรอที่ว่าไม่ชอบ”เค้าคงจะรู้แหละว่าผมเป็นเกย์ ซึ่งแล้วมันจะมีเหตุผลอะไรเหรอที่จะไม่ชอบที่นี่

“พอดีเพื่อนมันหลอกพามา”ผมบอกออกไปตามความจริง เพราะถ้าเพื่อนผมบอกแต่แรกผมคงไม่มา  ผมยังไม่เคยมาผับนี้เลย เพราะเพิ่งเปิดใหม่ ไอ้เพื่อนผมก็ได้ทีบอกว่ามีผับเปิดใหม่ให้ลองมาดู แต่ตอนนี้เหมือนคนตรงหน้าผมจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด เพราะการบอกเล่าของผมเหมือนเป็นการปฏิเสธว่าผมไม่ใช่เกย์ เมื่อเห็นสายตาสงสัยใครรู้ของเค้าผมเลยบอกต่อ

“ก็ใช่ว่าเกย์ทุกคนจะชอบบาร์เกย์นี่นา”คำบอกเล่าของผมทำให้เค้าเลิกคิ้วมองผมซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าหมายความว่ายังไง ว่าแต่ที่เค้ามาที่นี่ก็แสดงว่าเค้าเป็นเหมือนผมงั้นเหรอ ทำไมเมื่อก่อนผมไม่เห็นรู้สึกว่าเค้าจะเป็นแบบนี้เลยนี่นา

“แล้วนี่นายมากับใครเหรอ”ผมเลือกสรรพนามที่ดูว่าน่าจะเหมาะที่สุดแล้ว ถามไถ่เค้าบ้าง

“จริงๆ เราบังเอิญเห็นใครคนนึงเหมือนจะรู้จักกัน ตอนรถติดไฟแดง ที่สี่แยกที่เลยไปหน่อยนะ เลยให้แทกซี่ที่เรานั่ง ขับตามมาที่นี่”อ้าวงั้นก็แสดงว่าเพื่อนเก่าผมไม่ได้มาเที่ยวที่นี่งั้นหรอกเหรอ

“แล้วนี่เจอเค้าหรือยังล่ะ”ถามออกไปเมื่อเห็นว่าเค้าไม่มีทีท่าว่าจะไปตามหาใครคนนั้นเลย

“สงสัยจะจำคนผิดมั้ง เพราะพอเข้าไปข้างในก็เห็นว่าไม่ใช่”เค้าบอกยิ้มๆ ให้กับผม

“แสดงว่านายไม่ได้เอารถมาเหรอ งั้นให้ไปส่งไหม จะไปไหนเหรอ”ผมแสดงมิตรภาพน้ำใจแก่เพื่อนเก่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเค้าจะต้องออกไปเรียกแทกซี่อีกครั้งถ้าจะออกจากที่นี่

“จริงๆ ก็ว่าจะไปนั่งรถเล่นแค่นั้นแหละ พอดีเบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไร แล้วนี่เค้กจะกลับแล้วเหรอ”ชายหนุ่มเหมือนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเค้าจะผิดหวังอะไร

“จริงๆก็ยังไม่อยากกลับหรอก เพราะพรุ่งนี้ก็วันหยุดอยากไปเมาซะหน่อย แต่ไม่มีเพื่อนไปก็คงต้องกลับบ้านแหละ”ผมบอกออกไปเพราะเพื่อนๆ ก็คงอยู่ในผับนั่นกันหมด ส่วนเพื่อนคนอื่นนอกจากพวกที่อยู่ในผับนั้นก็ไม่มีใครว่างกันเลย

“เค้กยังชอบดื่มเบียร์สดอยู่หรือเปล่า”เพื่อนเก่าถามถึงสิ่งที่เค้าเคยได้รับรู้สมัยเรายังเป็นแค่เด็กม.ต้นแต่ริอาจพากันอยากดื่มแอลกอออล์ ซึ่งตอนนั้นหลังจากลองมาหลายอย่าง ผมก็ได้รู้ว่าผมชอบเบียร์สดที่สุดเลย จนถึงตอนนี้ถึงผมจะดื่มได้หมดทุกอย่าง แต่ก็ยังชอบเบียร์สดมากที่สุดอยู่ดี ผมพยักหน้าตอบคนที่ตั้งคำถามเป็นการยืนยันให้เค้ารับรู้ว่าผมยังพิสมัยการดื่มเบียร์เหมือนเดิม

“งั้นเราไปนั่งลานเบียร์กันไหม ช่วงนี้เห็นมีเยอะแยะเลย อาทิตย์ที่แล้วพอดีเพิ่งไปกับพี่ที่ทำงานมา เค้ามีเล่นดนตรีสดด้วยนะ นายน่าจะชอบ”ข้อเสนอของเค้าน่าสนใจทีเดียว แต่ติดที่วันนี้ผมต้องขับรถเองนี่สิ เพราะถ้าไปดื่มยังไงก็ต้องเมาอยู่แล้ว ผมเองก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อนะ เลยยังถือคติ เมาไม่ขับอยู่

“กลัวขับรถกลับไม่ไหวอ่ะ ช่วงนี้ต้องท่องไว้ว่าเมาไม่ขับ”ผมบอกไปตามตรง

“งั้นเอารถนายไปจอดไว้คอนโดเราก่อนก็ได้ อยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ แล้วเราค่อยไปแทกซี่กัน”อ้าวนี่เค้าอยู่ใกล้ๆ แถวนี้หรอกหรือ

“เอางั้นก็ได้”ผมตัดสินใจเพราะอยากคุยกับเพื่อนเก่าคนนี้อีกเหมือนกัน ถึงเราจะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว แต่มิตรภาพของเราก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม


“นายยังไม่มีแฟนเหรอ”ผมถามด้วยความสงสัย เพราะก่อนที่เราจะมาลานเบียร์ ตอนเอารถไปจอดที่คอนโดของเค้า ผมขอขึ้นไปเข้าห้องน้ำที่ห้องเค้า มองผ่านๆ เหมือนน่าจะอยู่คนเดียว ตอนแรกนึกว่าเค้าจะอยู่กับแฟนเสียอีก

“ยังไม่อยากผูกมัดตัวเองนะ แต่ตอนนี้ก็เริ่มๆ เล็งคนๆนึงไว้แล้วเหมือนกัน”เค้าบอกยิ้มๆ ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม ผมก็พยักหน้าเข้าใจ ว่าเค้าคงยังหวงชีวิตโสดรักอิสระตามประสาผู้ชายทั่วๆ ไป ส่วนผมนะเหรอ เพิ่งถูกทิ้งมาเมื่อไม่นานนี่เอง ซึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ความรักของผมจะจบลงเช่นนั้น สาเหตุส่วนใหญ่มันก็เพราะผมเองนั่นแหละ คือทุกครั้งมันเกิดจากความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน มันไม่ได้เริ่มมาจากความรัก พอลองคบกันไป มันเลยเข้ากันไม่ได้ และผมเองเป็นคนไม่พยายามปรับตัวเข้าหาอีกฝ่าย สุดท้ายคนที่มาคบกับผมก็ทนไม่ได้ต้องขอเลิกกับผมไปเอง

“ถ้าแต่งเมื่อไหร่อย่าลืมส่งการ์ดเชิญด้วยนะ”เสียงหัวเราะของเราเกิดขึ้นพร้อมกัน หลังจากผมพูดจบ เราคุยกันหลายเรื่อง ว่าในช่วงที่เราสองคนไม่ได้เจอกันเลย แต่ละคนไปทำอะไรมาบ้าง เพื่อนเก่าของผมไปเรียนวิศวะ มา จนตอนนี้เป็นวิศวกรหนุ่มหล่อเสียแล้ว  เค้าเพิ่งกลับจากการไปประจำที่ญี่ปุ่นหนึ่งปี เพิ่งกลับมานี่ได้สักสามเดือนแล้ว

เรื่องของเค้าที่เล่าให้ผมฟังก็คงมีแค่นี้เพราะส่วนมากเค้าจะถามผมเสียมากกว่า ผมเริ่มรู้สึกถึงวันเก่าๆ สมัยเราเด็กๆ นี่ถ้าเค้าไม่ได้ย้ายโรงเรียนเมื่อตอนนั้น เราจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้นะเนี่ย แต่ยังไงวันนี้ก็ถือเป็นโชคดีของผมที่โดนเพื่อนลากมาเที่ยววันนี้ เพราะอย่างน้อยๆ ผมก็ได้เจอเพื่อนเก่าคนนี้ ที่ผมได้มาเจอเค้าอีกครั้งเช่นนี้ ทำให้ผมรู้สึกดีใจแถมเป็นสุขใจอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะไม่ได้เจอกันนาน มันเลยรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอกันอีกครั้ง  ตอนนี้ผมเริ่มมึนๆ หน่อยๆ แล้วเพราะดื่มเข้าไปค่อนข้างเยอะแล้วเหมือนกัน



 TBC
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-10-2014 21:40:00
สงสัยจะเมาแล้วมีอะไรกันแน่เลย
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 22:20:12
Ta-kiang

ผมจ้องหน้าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่วางตา ใบหน้านี้สินะที่ผมฝันถึงบ่อยๆ วันนี้ตอนที่ผมนั่งแทกซี่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ แต่พอออกจากคอนโดมาได้เพียงเล็กน้อย ตอนที่ติดไฟแดง สายตาผมก็มองผ่านไปเจอใบหน้านึงที่ผมจำได้ไม่เคยลืม เค้าขับรถมาจอดข้างๆ แทกซี่คันที่ผมนั่ง

“พี่เดี๋ยวตามรถคนนี้ไปนะครับ”

ผมรีบบอกคนขับแทกซี่ให้ตามไป ทันที เปลี่ยนใจที่จะไปสังสรรค์กับเพื่อนแทบจะในทันที ผมตามเค้าไปจนรู้ว่าเค้าน่าจะไปเที่ยว แต่แปลกที่ทำไมถึงมาคนเดียว แต่คิดว่าเค้าคงจะนัดเพื่อนไว้ ตอนแรกอยากจะเข้าไปทักเค้าทันที แต่กว่าผมจะจ่ายค่าแทกซี่เสร็จผมก็มองหาเค้าไม่เจอเสียแล้ว ผมรีบตามเข้าไปด้านในของผับ แต่พอเข้าไปก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่ที่มองมาที่ผม ผมเริ่มแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมที่นี่มีแต่ผู้ชายกันนะ แต่เมื่อมองไปบนเวทีผมก็เข้าใจ เพราะโคโยตี้ที่นี่นั้นเป็นผู้ชายที่ใส่เพียงชั้นในตัวจิ๋ว กำลังโยกย้ายตามเสียงเพลงอย่างยั่วยวน ไม่ต่างจากผู้หญิงที่ทำงานด้านนี้เลย

ผมกลืนน้ำลายลงคงอย่างยากลำบากเมื่อรับรู้ได้ว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นบาร์เกย์ แต่ก็แปลกที่มองจากภายนอกมันก็เหมือนกับผับธรรมดาทั่วไป ถึงผมจะเคยนึกพิสวาสเพศเดียวกันอยู่บ้าง แต่ผู้ชายเพียงคนเดียวที่ผมฝันถึงก็มีแค่เพียงนายเค้ก คนเดียวเท่านั้น ผมเฝ้าคิดถึงเค้ามานาน แต่ไม่รู้จะไปติดต่อกับเค้ายังไง ชีวิตผมที่ผ่านมาแม้จะผ่านการคบหากับผู้หญิงมามากหน้าหลายตา แต่ผมกลับไม่เคยรู้สึกว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะใช่สำหรับผมเสียที ตอนแรกผมตกใจตัวเองที่ทำไมคิดมีใจให้เพศเดียวกัน แต่พอลองนึกว่าต้องมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน  ผมก็รู้สึกจะคลื่นไส้แล้ว ยกเว้นก็แต่คนที่ผมตามเค้ามาวันนี้

ผมมองหาอยู่นานแต่ก็หาเค้าไม่เจอ เพราะภายในผับค่อนข้างสลัวๆ แต่ผมก็ไม่ละความพยายามจนในที่สุดผมก็มองเห็นหลังเค้าไวๆ ตรงทางเดินที่ออกมาจากห้องน้ำ ผมจึงรีบเข้าไปทักทาย แต่เหมือนเค้าจะจำผมไม่ได้ รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ทั้งที่ผมจำเค้าได้ในทันที แต่ทำไมเค้าจำผมไม่ได้ แต่ผมจะคิดเสียว่าผมคงหล่อขึ้นกว่าเดิมมากมั้งเค้าเลยจำไม่ได้ในตอนแรก แต่ยังไงเสียท้ายที่สุดเค้าก็จำผมได้ ก่อนจะชวนผมออกไปคุยกันด้านนอก

ผมแปลกใจแกมผิดหวังเล็กน้อยที่เค้าบอกว่าไม่ชอบสถานที่ที่เราเจอกันในวันนี้ เพราะเค้าโดนเพื่อนหลอกมา ผมเลยไม่ค่อยจะแน่ใจในตัวเค้า จากตอนแรกที่คิดว่าถ้าเค้ามาบาร์เกย์แบบนี้ อะไรมันก็คงง่ายขึ้นถ้าผมจะจีบเค้า แต่พอเค้าเหมือนจะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่อย่างที่ผมเข้าใจ มันเลยอดที่จะคิดไม่ได้ว่าอะไรมันอาจจะยากขึ้น แต่แล้วเค้าก็เฉลยให้ผมฟังอย่างไม่ปิดบัง ว่าตัวเค้าเองเป็นเกย์ แต่ไม่ชอบสถานที่แบบนี้ ก็แปลกดีเหมือนกัน ทว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เค้าจะได้ไม่ต้องมาที่แบบนี้บ่อยๆ เพราะดูท่าที่นี่จะมีคนหมายตาเค้าไว้เยอะเหมือนกันนะ ก็เค้กชิ้นนี้ออกจะน่ากินปานนั้น เค้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากนัก ริมฝีปากแดงๆนั้น ใบหน้าที่ออกจะหวานๆ ถึงแม้จะไม่เท่ากับผู้หญิง แต่มันก็ชวนหลงใหลไม่น้อย

ผมเริ่มคิดแผนการที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับเค้าให้มากขึ้น เพราะเหมือนเค้าจะขอตัวกลับ ผมเลยต้องรีบชวนเค้าไปคุยกันที่อื่นน่าจะดีกว่า จากมันสมองอันชาญฉลาดของผม ได้ประมวลผลเป็นที่เรียบร้อยว่าเค้กของผมชิ้นนี้ เคยพิสมัยการดื่มเบียร์นี่นา แผนการของผมก็เริ่มต้นขึ้น หลังจากตอนแรกที่เค้าเหมือนจะปฏิเสธเพราะกลัวขับรถกลับไม่ไหวถ้าดื่มมาก ผมเลยได้ทีเสนอให้เค้าจอดรถไว้ที่คอนโดของผม เป็นอันว่าแผนการขั้นที่หนึ่งสำเร็จไปได้ด้วยดี แต่แผนขั้นที่สองนี่สิ ผมกำลังคิดจะมอมเค้าแต่ที่เคยรู้จักกันมาตอนนั้นผมดื่มสู้เค้าไม่ได้เลย ถึงตอนนี้ผมจะพัฒนาฝีมือไปมากแล้วก็ไม่รู้จะสู้เค้าได้หรือเปล่า

แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างผมเพราะถึงเค้าจะคอแข็งมากแต่การที่ผมไม่ค่อยช่วยเค้าดื่มเลย นานๆ เข้าเค้าก็เริ่มที่เหมือนจะมึนๆแล้ว ผมยิ้มอย่างมีชัยเมื่อเหยื่อของผมเริ่มเดินตามเกม ดูเค้าจะไม่รู้สึกเลยว่าผมกำลังคิดไม่ซื่อกับเพื่อนเก่าอย่างเค้า แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะยังไงผมจะไม่ยอมปล่อยให้เค้าเป็นของใครอีกแล้ว

“เพราะแบบนี้หรือเปล่าเค้กถึงทำเหมือนไม่เคยแคร์ผมเลย”อยู่ๆก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาพูดขึ้น ผมจ้องหน้ามันเขม็ง ไอ้นี่มันเป็นใครกัน ไม่ชอบขี้หน้ามันเลยสิให้ตาย ผมลอบมองเค้กเล็กน้อย เหมือนเค้าเองก็ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ที่มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาขัดจังหวะของเราสองคน

“หมายความว่ายังไง”เหมือนเค้กเองก็ไม่ค่อยอยากจะเสวนากับไอ้ผู้มาใหม่นี่เท่าไหร่เลย

“ก็เลิกกันไม่กี่วัน เค้กก็มีแฟนใหม่เร็วเหลือเกินนะ หรือว่าที่จริงแล้ว แอบคบกันมานานแล้ว”รอยยิ้มเหยียดๆ นั่นเหมือนจะส่งมาทางผม ผมได้แต่ข่มอารมณ์ไว้ทั้งที่ในใจอยากจะ ต่อยไอ้นี่สักหมัด ผมพอจะเข้าใจเรื่องราวบ้างแล้วจากคำพูดของไอ้นี่ แสดงว่ามันต้องเคยคบกับเค้กแต่เลิกกันไปแล้ว และดูเหมือนมันจะเข้าใจว่าผมกับเค้กเป็นแฟนกัน

“เราไม่ได้แอบคบกันหรอกครับ เราสองคนรักกันมานานแล้ว แต่พอดีที่ผ่านมาผมต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่นเลยไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลเค้าเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว เพราะงั้นคนคั่นเวลาอย่างคุณ ก็คงไม่มีความจำเป็นอีก เพราะเค้กเค้าจะกลับมารักกับผมเหมือนเดิมแล้ว”ไม่รู้อะไรทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น หวังว่าเค้กคงจะไม่โกรธผม แต่ผมไม่ชอบไอ้นี่เพราะงั้นขอถากถางมันหน่อยแล้วกัน หวังว่าเค้กจะรับมุกของผมด้วยนะ

“แน่ใจเหรอว่าคุณยังต้องการคนแบบนี้อยู่อีก”รอยยิ้มน่ารังเกียจนั่นเหมือนจะเยาะเย้ยผมอยู่ในที

“แน่ใจสิครับ”ผมตอบอย่างแน่วแน่ ดูเค้กจะแปลกใจกับการกระทำของผมอยู่พอสมควร แต่ผมก็ส่งสายตาเป็นนัยๆ แล้วว่าปล่อยตามน้ำไปก่อนนะ

“แล้วถ้าคุณบอกว่าเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น งั้นคุณคงไม่รู้สินะ ว่าระหว่างที่คุณไม่อยู่คนที่คุณเห็นอยู่นี่เค้าไปมั่วมาขนาดไหน”สิ้นคำพูดนั้นผมลุกพรวดทันที หมายจะประเคนหมันให้ไอ้นี่เสียหน่อย ทำไมคนที่เคยคบกันเค้าถึงพูดกันแบบนี้เล่า นี่เค้กเคยไปคบกับไอ้นี่ได้ยังไง

“เพี๊ยะ”ผมชะงักไปทันทีเพราะเหมือนผมจะลุกช้ากว่าอีกคน ฝ่ามือของเค้าฟาดลงบนใบหน้าของไอ้คนปากเสียนั่นอย่างแรง จนเห็นเป็นรอยชัดเจน คนรอบข้างเริ่มจะหันมามอง

“ผมจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของผม ผมว่าเราสองคนคงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้วมั้ง จากนี้ไปถือว่าเราคงไม่ต้องรู้จักกันอีก”เค้กพูดเสียงเย็น ไอ้บ้านั่นยังยืนนิ่งสายตาอาฆาตแค้นถูกส่งผ่านออกมาอย่างชัดเจน ผมเดินมาขวางเค้กพร้อมกับเตรียมพร้อมเต็มที่ ถ้ามันคิดจะมีเรื่อง

“ฝากไว้ก่อนเถอะ”มันหันมาสบถก่อนจะเดินจากไปอย่างหัวเสีย สงสัยจะอายคนเพราะคนเริ่มมองเยอะพอสมควร

“กลับเถอะ”เค้าหันมาบอกผม ไอ้ผมถึงจะยังไม่ค่อยอยากกลับเพราะแผนปฏิบัติการมอมเค้กดูเหมือนจะยังไม่เป็นผล เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียวเลย ผมเลยต้องตามใจเค้ากลับ ระหว่างทางเค้านิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลย ผมก็คิดว่าเค้าคงไม่อยากพูดเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าแทกซี่เลยคิดว่าถึงคอนโดผมแล้ว ค่อยคุยกันอีกทีน่าจะดีกว่า

“จอดตรงเซเว่นข้างหน้านี่เลยนะครับ”อยู่ๆ เค้าก็บอกคนขับให้จอดผมหันไปมองเค้าด้วยสายตางงๆ ถึงนี่มันจะใกล้คอนโดผมแล้วก็เหอะ แม้จะใกล้จนเดินไปได้ แต่เค้าจะจอดทำไมกัน เค้าจ่ายค่าแทกซี่ก่อนจะลากผมลงจากรถเดินเข้า เซเว่น ผมมองมือนิ่มของเค้าที่จับมือผมให้เดินตาม อดที่จะยิ้มไม่ได้ เค้าจะรู้ตัวไหมว่าเค้าน่ารักขนาดไหน

“ขอดื่มต่อที่ห้องเกี๊ยงได้ไหม”พอเข้ามาในเซเว่นเค้าก็เฉลยในสิ่งที่ผมข้องใจ ก่อนจะหยิบเบียร์ในตู้แช่ออกมาใส่ตะกร้า ทั้งที่ผมยังไม่ได้อนุญาตเค้าเลย แต่แบบนี้แหละที่ผมต้องการ

“ขอโทษนะ”เค้าหยุดการหยิบเบียร์ก่อนจะหันมามองผมด้วยแววตาเหมือนจะกำลังสับสนกังวลใจ

“ขอโทษอะไรกัน”

“เกี๊ยงรังเกียจเราไหม ที่เป็นเกย์ แถมมั่วไม่เลือกแบบนี้”เหมือนเค้าจะเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ลานเบียร์ ผมรู้สึกเจ็บแปล็บที่ใจเล็กน้อยกับคำพูดที่เค้ายอมรับว่าตัวเองมั่วไม่เลือก แต่ฟังดูน้ำเสียงเหมือนปรดชดตัวเองอยู่ในที นี่ถ้าผมเจอเค้าเร็วกว่านี้ ผมอาจจะไม่ปล่อยให้ใครได้เค้าไปเชยชมหรอก ถึงตอนนี้เค้าจะผ่านอะไรมาแต่มันก็แค่อดีต จากนี้ไปสิถึงจะสำคัญกับผม ผมไม่มีทางรังเกียจเค้าอยู่แล้ว

“ทุกคนต้องมีเหตุผลของตัวเอง มีสิทธิ์คิดและทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ เราไม่เคยรังเกียจเค้กหรอก เคยรู้สึกยังไงจากเมื่อก่อน ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม แม้ว่าเราจะไม่ได้เจอกันมานาน แต่เราก็เชื่อว่าเค้กยังคงเป็นคนดีคนเดิมที่เราเคยรู้จัก”และยังเป็นคนที่เรารักเสมอมา อยากจะพูดออกไปด้วยแบบนี้ แต่ดูคงจะยังไม่เหมาะ แต่คำพูดผมก็น่าจะช่วยให้เค้ารู้สึกดีขึ้น

“ขอบใจนะ นี่เราเห็นว่าเกี๊ยงยังไม่ค่อยได้ดื่ม เลยกะว่าจะซื้อกลับไปดื่มเป็นเพื่อนอีกสักหน่อย นานๆ เราจะได้เจอกันที”เค้ายิ้มให้ผม จนใจผมแทบละลาย นี่เค้าสังเกตด้วยเหรอว่าผมยังไม่ค่อยได้ดื่ม แต่เอะถ้าซื้อกลับไปดื่มอีกแบบนี้ ผมก็สามารถเริ่มแผนการมอมเค้กได้อีกสิเนี่ย เหอๆ แผนการอันชั่วร้ายเริ่มขึ้นในหัวสมองของผมอีกครั้ง

“ขอโทษอีกทีนะ ที่ทำให้เกี๊ยงถูกคนอื่นมองว่าเป็นเกย์”เค้าขอโทษผมอีกครั้งเมื่อเรามาถึงคอนโดของผม และช่วยกันจัดแจงอุปกรณ์การดื่มเสร็จแล้ว

“ไม่หรอก เพราะเราเองเป็นคนเริ่มพูดขึ้นมาแบบนั้นเองนี่เนอะ แต่ไอ้บ้านั่นมันก็เหลือเกิน แล้วเค้กเคยไปคบกับมันได้ไง”ผมเหมือนอารมณ์จะขุ่นๆ ขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงไอ้บ้านั่น แต่พอนึกได้ว่าผมละลาบละล้วงเรื่องของเค้ามากไปหรือเปล่า เพราะเห็นเค้าซึมๆไป

“โทษทีเราคงละลาบละล้วงมากไป”ผมเอ่ยอย่างสำนึกผิด

“ไม่เป็นไรหรอก เราทำตัวเราเองทั้งนั้น เรามันคนขี้เหงาเกี๊ยงก็น่าจะรู้ พอมีใครมาดีด้วยเราก็ไม่ปฏิเสธ แต่พอได้คบกัน เรากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ คนที่เคยคบกับเราเลยไม่ค่อยแฮปปี้ ทั้งเรื่องบนเตียงที่เราไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม เรื่องความเอาใจใส่คนอื่นอีก เราก็ไม่รู้ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น มันเลยทำให้เราคบใครได้ไม่นาน ก็โดนบอกเลิกตลอด”เค้าบอกเสียงเศร้า เค้กที่ผมรู้จักไม่น่าจะเป็นคนที่ไม่ใส่ใจคนอื่นนี่นา นี่แสดงว่าเค้ายังไม่เจอคนที่ใช่สินะ งั้นผมจะทำให้เค้ารู้สึกกับผมเอง

----------------------------
TBC

หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [28-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-10-2014 23:02:24
กำลังมองหาจุดต่อกับเรื่องนู้นอยู่  :hao3:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [28-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 28-10-2014 23:29:00
น่าอ่านทั้งสองเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [28-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-10-2014 06:46:13
เรื่องนี้จะเป็นการเล่าเรื่องผ่าน 2 ตัวละครนะครับ อาจจะเล่าเหตุการณ์เดียวกันบ้าง แต่ต่างมุมมอง หรือบางเหตุการณ์ก็เล่าแค่ฝ่ายเดียว แต่เรื่องก็จะดำเนินแบบสลับกันเล่าคนละตอนจนจบ

ส่วนเรื่องจุดเชื่อมต่อกับอีกเรื่อง จะมีตัวละครจากอีกเรื่องโผล่มาตอนท้ายๆ ไม่เยอะมากครับ คล้ายๆ บทรับเชิญเล็กๆ มากกว่า แต่ที่บอกไว้ก่อนเพราะมันจะไปสปอยล์อีกเรื่องนิดๆ  :hao3:

Cake
ผมลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ รู้สึกปวดหัวอย่างหนัก นี่แสดงว่าเมื่อวานผมดื่มหนักอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย ถึงผมจะเป็นคนที่ดื่มได้เยอะ แต่พอตื่นตอนเช้าผมจะมีอาการเมาค้างเสมอ เพราะอีตอนดื่มไม่ค่อยจะรู้สึก แต่พอตอนตื่นนี่สิ สมองน้อยๆของผมเริ่มคิดว่านี่ผมอยู่ไหน เพราะมองจากสภาพเพดานห้องแล้ว มันไม่ใช่ห้องผมนี่นา ลมหายใจอุ่นๆ ที่รดต้นคอผมอยู่ทำให้ผมใจหายวาบเลยทีเดียว

ใช่แล้วเมื่อวานผมเจอเพื่อนเก่าคนนึงที่เคยสนิทกันมาก เราเจอกันที่ผับ ก่อนเค้าจะชวนผมไปดื่มเบียร์สด แต่แฟนเก่าผมดันมาเจอแถมเข้าใจผิดคิดว่าผมกับเกี๊ยงเป็นแฟนกัน แต่เพื่อนผมก็ทำให้ผมแปลกใจอย่างมากที่เค้าดันตามน้ำเล่นเป็นแฟนกับผม ผมรู้ว่าเค้าคงอยากช่วยผม แต่เมื่อไอ้แฟนเก่าผมพูดว่าผมเป็นคนมั่วไม่เลือก ทั้งที่ผมก็ไม่ได้เป็นขนาดนั้นเสียหน่อย ผมกลัว กลัวว่าเพื่อนเก่าคนนี้จะรู้สึกรังเกียจผมหรือเปล่า ผมจึงชวนเค้ากลับ ผมไม่กล้าที่จะพูดคุยกับเค้า แต่ก็คิดว่าน่าจะชวนเค้าดื่มต่ออีกหน่อย เผื่อผมจะกล้าขอโทษเค้า อีกอย่างผมเห็นเค้าเหมือนจะยังไม่ค่อยได้ดื่มเท่าไหร่เลย แต่หลังจากดื่มเข้าไปอีกครั้ง พอนึกถึงตรงนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเหมือนจะทำให้ผมรู้สึกหน้าชาขึ้นมาทันที ผมรีบยันตัวลุกขึ้น แต่เหมือนคนข้างหลังจะไม่ยอมปล่อยผมจากอ้อมกอด นี่ผมทำอะไรลงไปกันเนี่ย

“อย่าเพิ่งลุกสิ”น้ำเสียงของเจ้าของมือพูดขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลย

“ปล่อยเราก่อนเกี๊ยง”ผมพยายามแกะมือเค้าออก นี่เค้าจะคิดยังไงกับผมกัน ทำไมกันนะผมถึงได้ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จนนี่ผมอาจจะเสียเพื่อนไปก็ได้ ผมไม่น่าปล่อยให้อะไรมันเลยเถิดเลย ถ้าย้อนเวลาได้ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น เราสองคนไม่ได้รักกันอีกอย่างเค้าเองก็ไม่ใช่เกย์ คงแค่อยากจะลิ้มลองอะไรที่แปลกใหม่ และคงคิดไปแล้วด้วยว่าผมง่ายกับใครก็ได้ เพราะไอ้แฟนเก่าก็พูดปาวๆให้เค้าได้ยินแล้วนิว่าผมมันมั่วไม่เลือก

“ยังไม่อยากลุกเลย”เค้าพูดพร้อมกับดึงผมเข้าไปกอดกระชับอีก แล้วมือนั้นก็เริ่มอยู่ไม่สุข ลูบไล้ตั้งแต่แผงอกของผมและต่ำลงไปเรื่อยๆ จนผมต้องจับมือในให้อยู่นิ่งมื่อมันเคลื่อนที่จะลงไปหาส่วนที่อ่อนไหวของผม ที่เหมือนมันจะเริ่มตื่นตัวเพราะสัมผัสจากเค้า เหมือนเลือดในกายผมสูบฉีดแรงขึ้น นี่ทำไมผมมีอารมณ์ตอบสนองกับเพื่อนคนนี้กัน

“ขอโทษนะ เรื่องเมื่อคืนมันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย”ผมเอ่ยอีกครั้งอย่างรู้สึกผิด ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นฝ่ายล่วงเกินเค้า ถึงแม้เค้าจะเป็นฝ่ายกระทำ แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ผมกลัว กลัวมันจะเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา การเริ่มต้นที่ไม่ได้เกิดจากความรัก เค้าคลายอ้อมแขนออกหลังจากที่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด แต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนจะเสียดายนะ แต่ก็ถูกแล้วที่เค้าจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ เค้าเองก็คงรู้สึกตัวแล้วว่าเราได้ทำผิดพลาดไป

“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”ผมหันไปบอกกับเค้าดูสีหน้าเค้ามีแววงุนงงไม่เข้าใจ และเหมือนจะไม่พอใจ เค้าจะเกลียดผมไหมนะ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย แม้เราจะไม่ได้เจอกันมานาน แต่ผมก็ยังรู้สึกผูกพันกับเค้าเหมือนเดิม ผมยังอยากเป็นเพื่อนกับเค้าเหมือนเดิม

“หมายความว่ายังไง พูดเหมือนเมื่อคืนมันเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างนั้นแหละ ทั้งที่เค้กเองก็ดูมีความสุขดีนี่นา”คำพูดของเค้ายิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกไม่ดี นี่ผมรู้สึกดีกับการมีเซกซ์กับเพื่อนที่เค้าไม่ได้มีใจฝักใฝ่เพศเดียวกันอย่างผม เหมือนผมได้ทำให้เค้าแปดเปื้อนเสียแล้ว

“เราเป็นเพื่อนกันนะเกี๊ยง และก็ยังอยากจะเป็นอย่างนั้นต่อไป ถ้าเกี๊ยงยังให้โอกาสเราได้เป็นเพื่อนกันอีก เราสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เราไม่บอกเรื่องนี้กับใครหรอก สบายใจได้จะไม่มีใครรู้ว่าเกี๊ยงเคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน”ผมพยายามหาเหตุผลให้เค้ายังยอมเป็นเพื่อนกับผมอยู่ ผมไม่อยากเสียเพื่อนเพราะอารมณ์ชั่ววูบกับเรื่องแบบนี้

“ถ้าเราไม่อยากเป็นเพื่อนกับเค้กอีกต่อไปล่ะ”น้ำเสียงและแววตาที่ดูจริงจังทำเอาผมต้องสลด เมื่อรู้ว่าเค้าคงไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมอีกต่อไปแล้ว
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 29-10-2014 13:55:44
ไม่อยากเป็นเพื่อน  แต่อยากเป็น  สามี  แทน  อ่ะ  เป็นได้มั้ยล่ะ   น้องเค้กกกกกกกกก

เกี๊ยงจะพูดแบบนี้ใช่ป่ะ  อิอิอิ    :fox2: :fox2: :fox2: :fox2: :fox2: :fox2: :fox2: :fox2:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-10-2014 20:57:45
Ta-kiang

เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกเป็นสุข ที่มีใครอีกคนอยู่ในอ้อมกอด ผมยังนอนต่อไปหลับตาลงเมื่อเห็นว่าเค้ายังไม่ตื่น หวนนึกถึงค่ำคืนที่เร่าร้อนของเราสองคนที่ผ่านมา

“อาบน้ำไหวไหม”ผมถามเค้าเมื่อเบียร์ที่เราสองคนซื้อมาได้หมดลงไปแล้ว ด้วยประสิทธิภาพการทำลายล้างของเค้าล้วนๆ เพราะผมกะจะมอมเค้าเลยไม่ค่อยช่วยดื่ม แต่เหมือนเค้าจะยังมีสติดีอยู่ เพียงแค่เริ่มอ่อนแรงเท่านั้น

“ถ้าไม่อาบจะยอมให้เรานอนด้วยไหมเนี่ย”เค้าถามอย่างยิ้มๆ แสดงว่าไม่ต้องการที่จะอาบน้ำ

“งั้นเดี๋ยวเราเอาบอกเซอร์ให้เปลี่ยน จะได้นอนสบายๆ ไม่อาบก็ได้ไว้เราเช็ดตัวให้ได้”ผมเริ่มคิดอีกแผนการและไม่ทันให้เค้าได้ปฏิเสธ ผมรีบไปรื้อห้าบอกเซอร์ กลับมาหาเค้าที่นอนแผ่อยู่บนเตียง พร้อมกับอุปกรณ์เตียมเช็ดตัวให้

“จะไปไหน”ผมถามเมื่อเห็นเค้าลุกหยิบกางเกงที่ผมหามาให้

“จะไปเปลี่ยนในห้องน้ำ”เค้าตอบเสียงงัวเงีย สงสัยคงจะเพลียมากแล้ว

“เปลี่ยนตรงนี้ก็ได้ เพื่อนกันไม่ต้องอายหรอก จะได้รีบเช็ดตัวรีบนอน”สมองผมเริ่มสั่งการให้คิดแผนการอันชั่วร้ายอีกครั้ง

“ไม่ต้องเช็ดก็ได้นะ”ดูเค้ายังอิดออด แต่ก็หันหลังไปเริ่มถอดเสื้อผ้าออก ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากที่ได้เห็นภาพตรงหน้า อยากจะวิ่งเข้าไปตะครุบเสียให้ได้ แต่ต้องอดทนไว้ เพราะผมมีแผนไว้แล้ว

“โทษทีนะที่ทำให้ลำบาก”ปากเค้ายังคงพูดเสียงงัวเงีย ตอนนี้เค้านอนลงให้ผมเช็ดตัวแล้ว ตอนแรกเค้าขอเสื้อด้วยแต่ผมบอกว่าเดี๋ยวเช็ดเสร็จจะเอามาให้ใส่ แต่ถ้าแผนการของผมสำเร็จเค้าคงไม่ได้ใส่เป็นแน่ ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่น ผมเริ่มปฏิบัติโดยการเช็ดและเน้นบริเวณที่จะกระตุ้นความรู้สึกของเค้า ไม่ว่าจะเป็นยอดอกสีชมพูนั่น หรือท้องน้อยตำลงไปจนถึงส่วนที่มีไรขนอ่อนโผล่พ้นออกมานอกกางเกงนั้น รวมทั้งเช็ดไปบริเวณต้นขา แถมด้วยแกล้งเอามือไปโดนบางอย่างที่อยู่ในกางเกงบอกเซอร์นั่น และเหมือนมันจะได้ผล เมื่อผมสังเกตเห็นบอกเซอร์เริ่มมีการตุงขึ้นมา อยากบอกเหลือเกินว่าอารมณ์ผมก็ไม่ได้ต่างจากเค้าหรอก

“พอ...พอเถอะ”เสียงตะกุกตะกักบอกกับผม เมื่อผมกำลังจะเช็ดลึกเข้าไปด้านในกางเกง แต่ผมไม่ฟัง

“ถ้าไม่เช็ดตรงนี้ด้วยเดี๋ยวมันจะหมักหมมนะ”ผมบอกพร้อมกับสอดผ้าเค้าไปด้านใน เค้าสะดุ้งคงไม่คิดว่าผมจะทำอะไรแบบนี้ จนเค้าต้องพยายามเบี่ยงตัวหลบ แต่ช้ากว่ามือผมเสียแล้ว ผมยิ้มอย่างมีชัยเมื่อสัมผัสได้ว่า ส่วนนั้นของเค้ามันได้ตื่นตัวแล้ว

“ให้ช่วยไหม”ผมเงยหน้าขึ้นไปถามเค้าแต่มือยังคงเกาะกุมส่วนนั้นไว้เหมือนเดิม เค้าส่ายหน้าอย่างอายๆ แต่แววตานั้นกลับเต็มไปด้วยแรงปรารถนา ผมแทบจะห้ามใจไม่ไหวอยู่แล้ว

“โทษทีนะ แต่ช่างมันเถอะ เดี๋ยวมันคงสงบเอง”เค้าบอกอย่างอายๆ พร้อมกับจะถอยหนี แต่ผมเริ่มขยับมือขึ้นลงพร้อมกับดึงบอกเซอร์ร่นลงไปให้ส่วนนั้นของเค้าออกมาได้อย่างสะดวก

“ยะ....อย่า”เสี่ยงสั่นๆ นั้นช่างเร้าอารมณ์ผมเหลือเกิน เค้าลุกขึ้นนั่ง มือก็พยายามผลักผมออกแต่เหมือนเรี่ยวแรงเค้าจะไม่มีเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์นั้นเอง แม้จะเห็นว่าเค้าพยายามขัดขืน แต่ผมก็คงหักห้ามใจตัวเองไม่ไหวแล้ว ผมประกบปากลงไปบนริมฝีปากบางนั้น ก่อนจะเลื่อนลงมาไซร้ซอกคอโดยที่มือก็ยังปฏิบัติภารกินเบื้องล่างต่อไป

“ทำแบบนี้จะดีเหรอ”เสียงหอบเล็กๆ ของเค้าประท้วงดังขึ้น แต่ผมไม่ได้ตอบยังคงดำเนินกิจกรรมต่อไป แล้วในที่สุดเค้าก็เกร็งตัว พร้อมกับขืนออกห่างจากผมแต่ผมไม่ปล่อยเค้า จนเค้าปล่อยของเหลวข้นขุ่นนั้นออกมา ก่อนจะนอนซบลงมาที่ผมอย่างเหนื่อยหอบ

“เราช่วยเค้กแล้วทีนี้ เค้กต้องช่วยเราบ้างนะ”ผมกระซิบที่ข้างหูเค้าพร้อมกับดึงมือเค้ามาจับสอดเข้าไปในกางเกงผมจนสัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่มในตะเกียงน้อยของผม

“ไม่...ไม่ดีมั้ง”เค้าพยายามจะขืนตัวออกห่าง เหมือนจะไม่ยอมทำตามที่ผมร้องขอ แต่มีหรือผมจะยอม

“นี่เค้กจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวได้ไง เราอุตส่าห์ช่วย แล้วไม่คิดจะตอบแทนกันบ้างเหรอ”ผมแสร้งทำเป็นตัดพ้อ ผมรู้ว่าเพื่อนคนนี้มีนิสัยห่วงความรู้สึกคนอื่น และผมต้องใช้ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ เค้ายังมีสีหน้าลังเล ผมเลยประกบริมฝีปากเข้ากับปากของเค้าอีกครั้ง พร้อมกับผมเริ่มขยับมือเค้าที่ผมจับให้มันเกาะกุมตะเกียงน้อยของผมอยู่ โชคดีที่เค้กเป็นเกย์อยู่แล้วเรื่องทุกอย่างเลยค่อนข้างง่ายขึ้น นี่ถ้าเกิดเค้าเป็นผู้ชายปกติ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมจะมาถึงขั้นนี้ได้เร็วขนาดนี้หรือเปล่า

ไม่นานผมก็ไม่ต้องบังคับมือนั้นอีก พอถอนปากออกจากริมฝีปากบางนั้น มันทำให้ผมอยากให้ตะเกียงน้อยได้สัมผัสกับริมฝีปากอันหอมหวานนี่เหลือเกิน ไวเท่าความคิด ผมใช้มือกดให้ศีรษะของเค้าต่ำลงไปด้านล่าง เค้าเหมือนจะอิดออดในตอนแรกเล็กน้อย แต่เมื่อเค้าเงยหน้าขึ้นมาผมก็พยักหน้าให้เค้าเหมือนว่าเค้าเข้าใจถูกแล้วว่าผมต้องการอะไร พร้อมกับส่งสายตาเว้าวอนให้เค้าเต็มที่

และแล้วริมฝีปากนั้นก็ครอบลงบนตะเกียงน้อย สร้างความเสียวซ่านให้ผมอย่างมาก เค้าสร้างความกระสันให้ผมอย่างมาก เหมือนความต้องการที่จะครอบครองตัวเค้าของผมจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก

“พอก่อน”ผมรีบห้ามเมื่อสำนึกได้ว่า ยังไม่อยากเสร็จด้วยริมฝีปากนี้ เค้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างขัดใจ ที่ผมไปขัดขวางการกินไอติมอย่างเอร็ดอร่อยนั้น ผมดึงเค้าเข้ามาจูบอีกครั้ง ก่อนจะจับให้เค้านอนหงายลงไป และผมก็ขึ้นคร่อมที่ตัวเค้า

“เกี๊ยงอาจจะเสียใจนะที่คิดจะทำแบบนี้”คำพูดเหมือนจะไม่อยากให้ผมล่วงล้ำ แต่จากสีหน้าและแววตาแล้วผมว่าเค้าก็กำลังต้องการผมเหมือนกัน ผมไม่ได้ตอบเค้าแต่เริ่มแทรกสอดความแข็งแกร่งเข้าไปในตัวเค้าอย่างช้าๆ เค้าผวาขึ้นมากอดผม ผมค่อยๆดันเข้าไป จนสุดก่อนจะเริ่มขยับจากช้า และเร็ว แรงขึ้น

เหมือนเค้าจะช่ำชองในเรื่องนี้เหลือเกิน เพราะไม่ว่าผมจะรุกแบบไหนเค้าก็รับมือได้แทบจะทุกกระบวนท่า ช่างเป็นเซกซ์ที่ผมมีความสุขมากเหลือเกิน อย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ทั้งเร่าร้อนและเนิ่นนาน กว่าที่พายุรักของเราจะสงบลง

พอสงบลงผมเห็นว่าเค้าคงสร่างเมาแล้ว เลยชวนอาบน้ำด้วยกัน ดูเค้าเหมือนจะอายๆ และกังวลใจบางอย่าง แต่ทนลูกตื้อของผมไม่ไหว และในห้องน้ำเราก็ได้มอบความสุขให้แก่กันอีกหนึ่งยก ก่อนจะกลับมาต่อที่เตียงอีกหนึ่งยก ผมอดที่จะยิ้มกับตัวเองไม่ได้ที่ได้มีอะไรกับคนที่ผมฝันถึงมานาน แต่พอตื่นขึ้นมาปรากฏว่าเค้ากลับมองเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราเป็นความผิดพลาดที่ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นอีก แต่ผมจะไม่ยอมเด็ดขาด

“ถ้าเราไม่อยากเป็นเพื่อนกับเค้กอีกต่อไปล่ะ”ผมสวนออกไปทันทีเมื่อเค้าคิดอยากจะคงความสัมพันธ์ของเราเป็นแค่เพื่อนเหมือนเดิมทั้งที่เรามีอะไรเกินเลยไปขนาดนั้นแล้ว ดูเค้าจะตกใจที่ผมบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับเค้าอีกต่อไป ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าคิดยังไง แต่ผมไม่ยอมให้เค้าไปเป็นของคนอื่นอีกต่อไป ตอนนี้ผมถือว่าเค้าเป็นของผมแล้ว แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงร่างกาย แต่อีกไม่นานเถอะหัวใจของเค้าจะต้องเป็นของผม คนเดียวเท่านั้น

“ถ้าเกี๊ยงต้องการแบบนั้น เราก็ทำให้ได้”เค้ายังคงบอกเสียงเศร้า นี่เค้าคิดว่าผมจะเลิกคบกับเค้าหรือไงกัน แล้วถ้าผมบอกเจตนาที่ผมต้องการจริงๆ เค้าจะว่ายังไง

“ไม่ว่าเราจะต้องการแบบไหน เค้กก็ทำให้เราได้ใช่ไหม”แผนการพิชิตใจเค้าเริ่มขึ้นในหัวผมอีกครั้ง ผมมั่นใจว่าถ้าเป็นไปตามแผน ยังไงเค้าก็ต้องรักผมเข้าสักวันแน่ๆ จะว่าผมหลงตัวเองก็ยอม เพราะยังไงอย่างน้อย เมื่อคืนเค้าก็ยอมมีอะไรกับผมมาแล้ว แสดงว่าเค้าไม่ได้รังเกียจที่จะให้ผมเป็นมากกว่าเพื่อนหรอกน่า

“ได้สิ เราทำเพื่อเพื่อนได้เสมอ”ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะแดงระเรื่อขึ้นมา

“งั้นเค้กมาเป็นแฟนกับเรานะ”ดวงตาของเค้าเบิกกว้างขึ้นทันทีที่ผมพูดจบ ความสงสัยปนกับความไม่แน่ใจฉายชัดขึ้นในแววตานั้น

“ตะ...แต่เรา...เราสองคนไม่ได้รักกันนี่นา”เสียงตะกุกตะกักเอ่ยขึ้น เค้าคงไม่คิดว่าอยู่ๆ เพื่อนเก่าอย่างผมที่เพิ่งจะได้กลับมาเจอกันจะพูดแบบนี้กับเค้า แค่เหตุการณ์เมื่อคืนเค้าก็คงแปลกใจมากแล้ว

“แล้วเค้กรังเกียจเรางั้นเหรอ”

“เราก็ไม่ได้เกลียดอะไรอะไรใน ตัวเกี๊ยงหรอก”เขาเอ่ยเสียงแผ่วซึ่งคำพูดของเค้าก็เข้าทางผมอีกจนได้ ผมชักเริ่มสนุกกับการได้ไล่ต้อนเค้าแบบนี้เสียแล้ว คอยดูเค้กเอ๋ย เดี๋ยวนายจะต้องไม่มีทางหลุดมือจากเราไปได้แน่นอน

“งั้นแปลว่าเค้กรักเรา”ผมทักท้วงเอาเอง

“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น”ผมแกล้งชักสีหน้าเคืองๆ เหมือนจะน้อยใจที่เค้าปฏิเสธผม ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้รังเกียจผมแต่เค้ายังแคร์ผมแค่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น

“คือเรา...ไม่รู้จะว่ายังไง”เค้ายังคงอ้ำอึ้งต่อไป

“สรุปว่าเค้กจะไม่รับผิดชอบเรื่องเมื่อคืนใช่ไหม”แหมผมก็พูดไปได้ ทำยังกะผมเป็นผู้ถูกกระทำงั้นแหละ ทั้งที่เป็นฝ่ายทำเค้า แต่คนอย่างเค้กมันต้องใช้ไม้นี้ เพราะเค้าจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่แน่ๆ

“แล้วทำไมต้องให้รับผิดชอบแบบนี้ด้วย”เค้ายังคงไม่ยอมรับข้อเสนอของผม

“ก็ไหนว่าจะทำตามที่เราต้องการไง”ผมแกล้งพูดเสียงเย็นเหมือนไม่พอใจเค้าอยู่ จนหน้าเค้าซีดหมดแล้ว

“ถ้า...ต้องการแบบนั้นจริงๆ ...เอาอย่างนั้นก็ได้”เสียงเค้าเบาจนผมเกือบจะไม่ได้ยิน แต่อย่างน้อยผมก็พอใจในคำตอบนั้น

หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 29-10-2014 22:37:23
เหมือนเกี๊ยงจะหื่นนะ  :z1:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 29-10-2014 22:46:53
น่ารัก~~~~ แล้วแบบนี้ก็เหลือเหลือแค่การศึกษาดูใจแบบแฟน คุๆ

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 29-10-2014 23:35:10
เกี๊ยงเจ้าเล่ห์ที่สุด o13
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 30-10-2014 01:03:08
แหมๆๆๆแอ๊บเป็นผู้เสียหายเลยนะย่ะ55555
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-10-2014 13:13:47
Cake

“ถ้า...ต้องการแบบนั้นจริงๆ...เอาอย่างนั้นก็ได้”ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องตอบเค้าออกไปแบบนั้น ผมไม่เข้าใจเพื่อนเก่าของผมคนนี้เลย นี่เค้ากำลังจะเล่นตลกอะไรกับผมหรือเปล่า ผมไม่น่าปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับเราสองคนเลย ผมยอมรับว่าการมีอะไรกับเค้าเมื่อคืนมันเป็นครั้งที่ผมมีความสุขมาก มันช่างแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ผมเคยผ่านมา แต่ผมก็คิดว่าเพื่อนเก่าของผมทำไปเพราะสถานการณ์และอารมณ์ที่ควบคุมไม่อยู่ และตอนนี้เค้ากำลังจะทำอะไรกับผมกันแน่ เค้ากำลังโกรธผมอยู่หรือเปล่า ถึงได้ทำอะไรแบบนี้ ผมว่าตอนนี้เค้ากำลังนึกสนุกอยากมีประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แต่ผมละ ตอนนี้ผมกลัว เพราะกำลังรู้สึกว่าในตัวเค้ามีความอบอุ่นอย่างที่ผมเคยตามหามานาน

ความจริงแต่ก่อนผมก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ เค้า แต่มันก็เป็นเพียงความรู้สึกที่เพื่อนสนิทพึงจะมีให้เท่านั้น แต่ตอนนี้ผมกลัวว่าถ้าผมจะถลำตัวไปหาเค้ามากเกินไป วันนึงเกิดเค้าเบื่อประสบการณ์แบบนี้ขึ้นมา วันนั้นผมอาจจะเผลอใจให้เค้าไปแล้วก็ได้ และคนที่จะลำบากก็คือผมเอง

“งั้นเป็นอันว่าตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันแล้วนะ”เสียงของเค้ากระซิบที่ข้างหูของผมก่อนจะดึงผมไปกอดแนบอกกว้างนั้นมากขึ้น นี่ผมตกลงเป็นแฟนกับเค้าไปแล้วเหรอนี่ นี่มันก็ไม่ได้ต่างจากทุกครั้งของผมสักเท่าไหร่หรอก เพราะทุกครั้งที่ผมจะได้คบกับใครมันก็เกิดจากการไปเที่ยวและดื่มจนเมาและจบลงที่เตียงนอนเช่นนี้ ก่อนจะตกลงเป็นแฟนกัน ผมเจอแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนและผมก็รู้จุดจบของเรื่องราวนั้นทุกตอน

แต่ทุกครั้งผมจะไม่ค่อยเสียใจกับการที่ต้องถูกบอกเลิก แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกไม่อยากจบแบบนั้นเลย เพราะตะเกียงเป็นเพื่อนผม ผมไม่อยากให้เค้าเกลียดผมเหมือนคนอื่นๆที่ผมเคยคบด้วย ผมยังอยากให้เราดีต่อกัน แม้ว่าวันนึงจะต้องจบไปก็ขอให้เค้าอย่ารังเกียจผมเลย

“งั้นเรามาทำข้อตกลงกันหน่อยนะ”เค้าจับให้ผมจ้องมองหน้าเค้า นี่ผมต้องมีข้อตกลงอะไรกับเค้าอีกงั้นเหรอ

“ข้อตกลงอะไรกันอีก”ผมถามด้วยความสงสัย

“ข้อตกลงการเป็นแฟนกันของเราสองคนไง”น้ำเสียงที่ตอบกลับมามันเหมือนกับคนที่กำลังสนุกกับการได้มีของเล่นใหม่ยังไงยังงั้น เค้ากำลังเห็นผมเป็นของเล่นของเค้าหรือเปล่านะ ถ้าผมไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากมากไปกว่านี้ผมควรจะหยุดเรื่องนี้น่าจะดีกว่า

“เราว่าให้เราสองคนได้เรียนรู้กันมากกว่านี้ก่อนดีไหม แล้วค่อยมาพูดเรื่องเป็นแฟนกันอีกที ตอนนี้เราขอให้เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม”ผมขอร้องออกไป ถึงแม้ตอนแรกจะบอกว่ายอมเป็นแฟนกับเค้า แต่พอมาคิดอีกทีผมว่าผมไม่ควรที่จะยอมเค้าน่าจะดีกว่า

“อ้าวก็ไหนบอกว่าจะยอมเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้นนะ”เค้าทำท่าไม่พอใจ

“เราคิดดูแล้ว ว่าไม่ควรเป็นแฟนกับเกี๊ยงหรอก เพราะถ้าเกิดวันนึงที่เราสองคนคิดได้ว่าไม่ควรให้เรื่องในวันนี้มันเกิดขึ้น เราทั้งสองอาจจะต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่เราได้ทำลงไปก็ได้”ผมพยายามจะอธิบาย แต่ดูสีหน้าเค้าไม่ค่อยจะพอใจกับสิ่งที่ผมพูดสักเท่าไหร่

“ไม่รู้ละ ยังไงนายก็ตกลงไปแล้วนี่นาว่าจะยอมเป็นแฟนกับเรา ยังไงเมื่อคืนเราสองคนก็เป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนไปแล้ว จะให้เป็นแค่เพื่อนเหมือนเมื่อก่อนมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”เหมือนเค้าจะยังดึงดัน ไม่ยอมรับฟังผม เค้ามีเหตุผลอะไรกันที่จะมาบีบบังคับให้ผมเป็นแฟนกับเค้าแบบนี้

“ถ้ากลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้ เราสองคนก็กลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันก็ได้นะ คิดซะว่าเราสองคนยังไม่ได้เจอกัน ยังไงเราก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้วนี่นา ก็คิดเสียว่ากลับไปดำเนินชีวิตในแบบของแต่ละคนเหมือนเดิม”ถึงผมจะยังอยากเป็นเพื่อนกับเค้า แต่ถ้าจะต้องคบเค้าเป็นแฟน แล้ววันนึงซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่า การเป็นแฟนของเรามันต้องจบลงอย่างไม่สวยงามแน่ๆ ผมก็อยากเก็บแค่ความทรงจำเดิมที่เคยมีต่อเพื่อนคนนี้ไว้ก็พอ ผมจะคิดซะว่า เมื่อคืนผมไม่ได้เจอเค้า พรุ่งนี้ผมจะจำแค่ว่าเคยมีเพื่อนชื่อ เด็กชายตะเกียง เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก ม.ต้น

ดวงตาเค้าเบิกกว้าง สีหน้าแววตา เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เหมือนเค้ากำลังโกรธอย่างมาก แต่ไม่เป็นไรผมจะยอมให้เค้าโกรธผม จะเกลียดก็ไม่เป็นไร การที่โดนคนอื่นเกลียดมันเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของผมไปเสียแล้ว ก็ทุกคนที่เคยคบกับผมเค้าก็เกลียดผมกันทั้งนั้นนี่นา

“ทำไมนายถึงไม่ยอมเป็นแฟนกับเรา”เค้าตะคอกผมเสียงดัง

“เพราะเราเป็นเพื่อนกัน และอีกอย่างเราสองคนไม่ได้รักกัน”ผมตอบออกไปเสียงเรียบ ผมทบทวนดูแล้วว่านี่มันคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ผมไม่ได้รักเค้าในแบบคนรัก ผมรักเค้าในแบบเพื่อน ส่วนเค้าเองก็คงไม่ได้รักผมเช่นกัน
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 30-10-2014 21:01:36
นายเอกชอบคิดเองเออเอง
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-10-2014 22:45:56
Ta-kiang

“เพราะเราเป็นเพื่อนกัน และอีกอย่างเราสองคนไม่ได้รักกัน”คำพูดของเค้าที่เปล่งออกมามันทำให้ผมเลือดขึ้นหน้าทันที ทำไมกันนะทั้งที่ตอนแรกเค้าก็จะยอมเป็นแฟนกับผมอยู่แล้วเชียว แล้วทำไมถึงได้ตัดสินใจใหม่ได้เร็วขนาดนี้ หรือผมจะเร่งรัดเค้าเกินไป แต่ผมไม่อยากรีรออะไรอีกแล้ว ผมเฝ้าฝันถึงเค้ามานาน แล้วเรื่องอะไรจะยอมปล่อยให้เค้าหลุดมือไป แถมดูคำพูดของเค้าสิ บอกว่าถ้าเป็นเพื่อนกันไม่ได้ก็ให้คิดว่าไม่เคยได้เจอกัน ทำไมกันนะเค้าถึงคิดจะตัดเยื่อใยกับผมแบบนี้ ทั้งที่ผมคิดว่าถ้าได้มีอะไรกับเค้าแล้ว เรื่องอะไรๆ มันจะง่ายขึ้น แต่นี่ทำไมดูมันจะยิ่งยุ่งยากกันนะ ผมพยายามสงบสติอารมณ์ให้เย็นลงก่อนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างออกไป

“งั้นเราคงสถานะเป็นเพื่อนกันไว้ก่อนก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ”แววตาสงสัยฉายชัดขึ้นในดวงตาของเค้า คิดเหรอว่าผมจะยอมง่ายๆ

“ข้อแม้อะไร”ดูเค้ายังหวั่นๆในเรื่องข้อแม้ที่ผมจะขอ

“นายต้องยอมมีอะไรกับเราบ้างในระหว่างที่เราคบกันแบบเพื่อนนี้”ข้อแม้ปัญญาอ่อนของผมคงสร้างความประหลาดใจแก่เค้าไม่น้อย

“เพื่อนกันที่ไหน เค้าจะมีอะไรกันแบบนั้นล่ะ”คำพูดคัดค้านของเค้าดันเข้าทางผมพอดีเลย

“ก็นั่นนะสิ เพื่อนที่ไหนจะทำแบบเราสองคนเมื่อคืนกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อนงั้นคนที่ทำแบบนั้นกันเค้าเรียกว่าอะไรกันน้า”ผมแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า จนเค้าหน้าแดงเป็นลูกตำลึง

“งั้นเราขอเป็นแค่คนที่ไม่เคยรู้จักนายแล้วกัน”เค้าปรับสีหน้าก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนผมอดที่จะรู้สึกน้อยใจไม่ได้ ทำไมเค้าเรื่องมากจังนะ ทำยังไงกันเค้าถึงจะยอมเป็นแฟนกับผม

“ตกลงๆ เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดาก็ได้ แต่เราขอโทรหานายทุกวันเลยได้ไหม แล้วก็ออกไปทานข้าว ดูหนังกันบ้าง วันหยุดก็ออกไปเที่ยวด้วยกัน นายมาค้างที่คอนโดเราบ้าง หรือจะให้เราไปค้างที่บ้านนายบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน แล้วก็...”

“เดี๋ยวพอก่อน”เค้าพูดแทรกขึ้นขัดจังหว่ะในการพูดของผม

“นายจะทำแบบนี้ทำไมกัน”เหมือนเค้าจะรำคาญผมเสียแล้ว

“ไม่รู้สิเราแค่อยากอยู่ใกล้ๆ กับนาย รู้สึกอยากเจอ อยากพูดคุย อยากเห็นหน้า เราคิดถึงนายมาตลอดหลายปีที่เราไม่ได้เจอกัน พอได้เจอกันอีกแบบนี้มันเลยเหมือนอยากจะชดเชยช่วงเวลาที่ขาดหายไปมั้ง”ผมเห็นเค้าเหมือนกำลังสับสน คงเพราะกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเอายังไงกับผมดี

“เรากลับก่อนนะ”อยู่ๆ เค้าก็ลุกขึ้นบอก เล่นเอาผมมึนงงไปเลยทีเดียว อยู่ๆ นึกจะกลับก็กลับเลยนี่เหรอ เพราะเค้าไม่ได้ลุกไปอาบน้ำอาบท่าแต่อย่างใด แต่เค้ากลับลุกขึ้นหาเสื้อผ้าใส่

“จะรีบไปไหน วันนี้ไม่ได้ทำงานไม่ใช่เหรอ”ผมรีบห้ามก่อนเค้าจะหนีผมไป

“อยากกลับไปพักผ่อนที่บ้านนะ ไว้เจอกันใหม่นะ”เค้าแกะมือผมที่ยื้อเค้าไว้ แต่ไวเท่าความคิดผมลุกขึ้นกอดเค้าทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ใส่อะไร ทำไมเค้าแต่งตัวเร็วจัง แต่คงเพราะแค่ใส่ลวกๆ ไม่ได้แต่งให้ดูดีอะไร เหมือนเค้าอยากจะรีบไปให้พ้นๆ ผมหรือเปล่า

“อาบน้ำก่อนก็ได้เดี๋ยวเราไปส่งนะ”ผมร้องขอ

“เกี๊ยงลืมไปแล้วเหรอว่ารถเราจอดอยู่ที่นี่ เรากลับเองได้”เค้าบอกเสียงราบเรียบ

“นั่นสินะ ว่าแต่เรายังไม่ได้เบอร์เค้กเลย ขอเบอร์หน่อยสิ”นี่ผมเกือบลืมเรื่องสำคัญไปแล้วนะเนี่ย ถ้าเกิดเค้ากลับไปโดยที่ผมไม่มีเบอร์ของเค้านี่ผมจะไปหาเค้าได้ที่ไหนกัน เพราะบ้านเค้าอยู่ไหนผมก็ยังไม่รู้ ถึงเค้าจะรู้จักคอนโดผม แต่เกิดเค้าไม่อยากเจอผมอีกละจะว่ายังไง  เค้าบอกเบอร์ให้ผม ผมรีบกดเมมไว้อย่างรวดเร็ว แล้วเค้าก็เดินจากไป

ผมได้แต่นั่งถอนหายใจ นี่ผมจะทำให้เค้ารักผมได้จริงๆ ไหมนา ทำไมเหมือนเค้าไม่ค่อยสนใจผมเลย คิดแล้วก็กลุ้ม แต่ไม่เป็นไรเพราะอย่างน้อยการเริ่มต้นอย่างเมื่อคืนก็น่าจะเป็นนิมิตรหมายอันดี แล้วนี่นา

หลังจากเค้ากลับไป ผมก็นอนต่ออีกหน่อยเพราะเมื่อคืนก็สูญเสียพลังงานไปเยอะพอควร เลยกะจะพักผ่อนให้เต็มที่ ผมตื่นมาอีกทีก็บ่ายแล้วเลยลองโทรหาเค้กดู แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมได้ยินมันช่าง

“เลขหมายนี้ยังไม่เปิดให้บริการในระบบ...”อะไรกันทำไมเบอร์ที่เค้าให้ผมไว้มันถึงเป็นแบบนี้ ผมกดโทรใหม่อีกหลายครั้ง แต่มันก็เหมือนเดิม ไม่จริง นี่เค้าไม่ยอมให้เบอร์ผมงั้นเหรอ

“บ้าชิบ”ผมสบถอย่างหัวเสีย แล้วผมจะไปหาเค้าได้ที่ไหนกันละทีนี้
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 30-10-2014 23:09:32
เหมือนเค้กจะผิดหวังมาเยอะ เลยไม่กล้าผูกติดกับอะไร
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 31-10-2014 06:41:01
Cake

อาทิตย์นึงแล้วสินะ ที่ผมได้เจอกับเค้าครั้งก่อน ครั้งนั้นผมรีบกลับออกมา เพราะว่าไม่เข้าใจในตัวเค้าว่าเค้าจะอยากเป็นแฟนกับผมทำไม และก็กลัวด้วย กลัวว่าสักวันที่เค้าไม่ต้องการผมแล้ว ผมอาจจะกลายเป็นคนที่เจ็บเสียเอง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องคิดแบบนั้นด้วย

แต่ผมก็ยังให้เบอร์โทรศัพท์ไปตามที่เค้าขอ แต่นี่ก็ครบอาทิตย์นึงแล้วก็ไม่เห็นว่าเค้าจะโทรมาหาผมเลย เบอร์เค้าผมก็ไม่ได้ขอไว้ ถึงผมจะรู้จักคอนโดเค้า แต่ผมก็คงไม่ไปหาเค้าหรอก เพราะการเป็นแค่เพื่อนเก่ามันคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปหาเค้า นอกจากจะมีธุระ ซึ่งผมก็ไม่มีธุระอะไรกับเค้าเสียด้วยสิ

วันนี้ผมไม่มีอะไรทำ เลยมาเดินเล่นที่ห้าง ไม่ได้ตั้งใจว่าจะซื้ออะไรเป็นพิเศษหรอก แต่พอดีเดินไปเดินมาเห็นเสื้อผ้าถูกใจ เลยเลือกมาซะเยอะเลย ผมเห็นเสื้อผ้าบางตัวที่ดูแล้วถ้านายตะเกียงได้ใส่นี่น่าจะดูดีไม่น้อย เอะ แล้วผมจะไปนึกถึงเค้าทำไมกันละเนี่ย ผมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป หลังจากเห็นว่าข้าวของที่ผมถือมันเริ่มเยอะเกินไปแล้วเลยคิดว่ากลับก่อนดีกว่า

ผมขับรถจากห้างกลับบ้านด้วยเวลาไม่นานนัก เพราะช่วงนี้รถยังไม่ติดเท่าไหร่นัก พอผมกำลังจะขับรถเข้าบ้านหลังจากเจ้าน้องชายตัวดีมาเปิดประตูบ้านให้ ผมก็สังเกตเห็นว่ามีคนขับรถตามผมมาแถมบีบแตรให้ผมรีบเข้าบ้าน เพราะเหมือนเค้าจะเลี้ยวเข้าบ้านผมด้วย ใครกันนะ หรือว่าแขกของพ่อกับแม่ แต่พ่อแม่ผมไปพักร้อนที่ต่างจังหวัดนี่นา คู่นี้แก่แล้วแต่ก็ยังหวานนะครับ ปล่อยให้ลูกชายสองคนอยู่เฝ้าบ้านกันตามลำพัง

“มาหาใครครับ”ผมได้ยินเสียงน้องชายตัวดี เดินไปถามรถคันหลังท่าทางเอาเรื่อง แต่คนที่ก้าวออกมาจากรถทำให้ผมต้องชะงักไป

“ชีสจำพี่ไม่ได้เหรอ”ชายหนุ่มผู้ที่ตามผมมา ย้อนถามน้องผม นี่ไม่รู้เค้าตามผมมาจากไหน หรือว่าเค้ารู้ได้ยังไงว่าบ้านผมอยู่นี่

“กิ๊กคนไหนว่ะเนี่ย กรูจะไปจำมันได้ไหม กิ๊กมรึงมันเยอะเหลือเกิน”น้องชายผมไม่ได้ตอบคำถามของผู้ที่เหมือนจะเป็นแขกของบ้าน แต่เดินมากระซิบกระซาบกับผม ไอ้ชีสห่างจากผมสี่ปี ตอนนี้มันเรียนมหาวิทยาลัยปีสามแล้ว ไอ้นี่ไม่ค่อยเรียกผมว่าพี่หรอก เพราะมันบอกว่าเรียกมรึงกรูดูรักกันดี อีกอย่างผมก็ตัวเล็กกว่ามัน(ถึงจะไม่มากก็เถอะ)มันเลยไม่เห็นว่าผมเป็นพี่

“อ๋อนี่มรึงริพาผู้ชายเข้าบ้านตอนพ่อแม่ไม่อยู่เหรอ”ดูปากมันเอาเถอะครับ นี่มันน้องผมหรือเพื่อนเล่นกันแน่

“ไอ้บ้า แหกตาดูดีๆ ว่านั่นใคร”ผมตบกะโหลกมันพร้อมกับชี้ให้มันดูนายตะเกียงอีกครั้ง ไอ้ชีสจ้องพิจารณาอยู่นาน ก่อนจะดีดนิ้วพร้อมกับพูดชื่อคนที่เค้าเพิ่งจำได้

“พี่เกี๊ยง หวัดดีค้าบบบ”มันยกมือไหว้ในแบบที่กวนตรีนเหลือเกิน

“ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มแล้วนิไอ้น้อง แต่ดูยังกวนประสาทเหมือนเดิมนะเนี่ย”คำทักทายจากเพื่อนผม ถ้าเป็นคนอื่นเค้าคงเคืองไปแล้ว แต่น้องผมนะเหรอยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเพราะว่ามันจะถือเป็นคำชม

“ขอบคุณที่ชมนะเพ่ ว่าแต่นี่จะมาจีบพี่ผมเปล่า”คำพูดของไอ้น้องชายตัวดีทำเอาผมสะดุ้ง จีบผมงั้นเหรอ

“นี่จะเข้าบ้านไหมหรือจะคุยกันตรงนี้”ผมหันไปตำหนิทั้งสองคน อยากคุยกับคุณเพื่อนของผมเหมือนกันว่าไปไงมาไงถึงมาถึงบ้านผมได้ แล้วก็ที่ว่าจะโทรหาผมทั้งที่เอาเบอร์ไปแล้วนั่นอีก ทำไมไม่เห็นโทรหากันเลย

“ไปหาน้ำหาท่ามารับแขกหน่อยสิไอ้ชีส”ผมหันไปบอกน้องชายให้รู้จักทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีหน่อย ไม่ใช่มานอนเอกขเนกดูทีวีอยู่แบบนี้

“แขกเขิกที่ไหนกัน เพื่อนมรึงไม่ใช่เหรอ พี่เกี๊ยงตามสบายเลย คิดซะว่าบ้านตัวเอง”ดูเอาเถอะครับ ดูมัน

“งั้นตามสบายนะ เดี๋ยวเอาของขึ้นไปเก็บก่อน”ว่าแต่น้องแต่ผมก็ไม่ไปหาน้ำให้เค้าเหมือนกันนั่นแหละ

ผมเอาของที่ซื้อมาไปเก็บแล้วก็เดินลงมาเห็นแต่ไอ้ชีสนั่งอยู่คนเดียว แล้วตะเกียงไปไหนเนี่ย

“นี่เกี๊ยงไปไหนแล้ว”ผมถามไอ้เจ้าน้องชายที่ดูจะสนใจรายการบนหน้าจอทีวีเหลือเกิน ผมเห็นมันดูอะไรไม่รู้อยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน อย่างตอนที่ผมชวนไปห้างด้วยมันก็ไม่ไปบอกจะดูทีวี มันจะอะไรขนาดนั้น

“ห่างกันไม่ได้เลยรึไง ตกลงนี่พี่เค้าเป็นแค่เพื่อนมรึงหรือว่าเค้าจะมาเป็นพี่เขยกรูกันแน่หะ”นี่กรูพี่มรึงนะไม่ใช่เพื่อนเล่น ไอ้คุณน้องบังเกิดเหล้า ผมด่ามันผ่านทางสายตา และก็เหมือนมันจะเข้าใจเสียด้วย เก่งเหลือเกินนะ

“นั่นไงมาแล้ว แค่ไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ ไม่ต้องกลัวเค้าหายหรอกน่า”ผมหันไปตามทางที่ไอ้ชีสพูดก็เห็นเค้ากำลังเดินยิ้มมา

“มานี่มีอะไรหรือเปล่า”ผมเอ่ยถามออกไป แต่พอเค้าได้ยินใบหน้ายิ้มแย้มนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งแทบจะในทันที

“ว่าแต่หาบ้านเราเจอได้ไง”
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 31-10-2014 08:24:06
เอาก็เอาเค้าแล้ว

ก็บอกไปสิว่ารักเค้า

อมพะนำอยู่ได้ -3-

หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 31-10-2014 10:06:05
ต่างคนต่างเข้าใจผิด หวังว่าคงเข้าใจกันในเร็วๆนี้นะ o13
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 31-10-2014 23:20:12
เค้กต้องเปืดใจรับให้มากกว่านี้
มัวแต่คิดว่าไม่ได้รักกัน ก็คงยากที่จะรักกัน
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-11-2014 07:50:46
Ta-kiang
หลังจากที่ผมเพียรพยายามโทรหาเค้าอีกหลายรอบ ซึ่งมันก็ไม่เป็นผลเลย นี่แสดงว่าเค้าไม่ได้ให้เบอร์จริงๆ ของเค้ากับผม แล้วนี่มันก็ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ผมกระวนกระวาย เพราะไม่รู้จะไปหาเค้าที่ไหนดี  ขนาดบาร์เกย์ที่ผมเจอเค้าผมยังเคยขับรถไปซุ่มดูแต่ก็ไม่เจอ ทั้งที่เค้าเคยบอกว่าไม่ชอบที่นั่นแต่ผมก็ยังไปดู เพราะจนใจที่จะไปหาที่ไหนได้อีกแล้ว ผมชวนเพื่อนไปนั่งดื่มเบียร์สดที่เราไปด้วยกันวันนั้น ด้วยหวังว่าเค้าอาจจะแวะเวียนไปอีกก็เป็นได้ แต่ผมก็ไม่ได้เจอเค้าเลย วันนี้ผมเซ็งๆ เลยกะว่าจะมาเดินเล่นแก้เซ็งที่ห้างเสียหน่อย แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเซ็งเพราะจิตใจผมเอาแต่คิดถึงเค้า นี่เค้าจะคิดถึงผมบ้างไหมน้า เดินได้ไม่นานผมก็คิดว่ากลับดีกว่าเพราะไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย แต่พอหันหลังจะเดินออกผมก็ต้องตกใจ สายตาผมเหลือบมองเห็นใครบางคน ใครคนที่เฝ้ายึดครองความคิดในหัวผมไว้หมด ผมต้องขยี้ตาดูเพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้คิดถึงเค้าจนตาฝาดไป

“เค้ก”ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ อยากจะวิ่งเข้าไปหาเค้าในทันที ด้วยความดีใจที่ได้เจอกับเค้าอีก สงสัยนี่จะเป็นเพราะบุพเพหรือเปล่า ผมตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปทักเค้า เพราะว่าเดี๋ยวเค้าจะชิ่งหนีผมไปอีก ผมขอเฝ้ามองเค้าอยู่ห่างๆ ก่อนจะดีกว่า ผมเห็นเค้าเลือกเสื้อผ้าอย่างมีความสุข และก็เห็นเค้าไปยืนมองเสื้อผ้าอยู่ชุดนึง แล้วอยู่ๆเค้าก็สะบัดหัว เหมือนกำลังไล่ความคิดบางอย่าง ทำไมเค้าทำตัวได้น่ารักอะไรเช่นนี้ ผมอดที่จะขำกับท่าทีนั้นไม่ได้

ผมคิดว่ายังไงวันนี้มันก็วันหยุดเดี๋ยวยังไงเค้าก็ต้องกลับบ้าน ผมกะว่าจะตามเค้าให้ถึงบ้านเลยจะได้ไปไหว้พ่อ ไหว้แม่ ฝากตัวเป็นลูกเขยด้วย ฮ่าๆ ผมตามเค้าไปจนถึงบ้านได้เจอน้องชายจอมกวนของเค้าด้วยอีกคน ซึ่งผมคิดว่าไอ้นี่น่าจะช่วยอะไรอะไรผมได้บ้างในเรื่องนี้ เค้กดูจะแปลกใจอยู่เล็กน้อยที่ผมตามเค้ามาถึงบ้าน แต่ก็เหมือนไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรเท่าไหร่เลย

“พี่ๆถามจริงๆนะ ตกลงพี่มาในฐานะเพื่อนเก่าไอ้เค้กหรือมาในฐานะอะไรกันแน่”อยู่ๆ ชีสน้องชายของเค้กก็ถามผมขึ้น ในตอนที่เค้กเอาข้าวของที่ซื้อมาขึ้นไปเก็บ

“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”ผมลองหยังเชิงดูก่อนว่าน้องมันจะเป็นมิตรหรือเป็นปฏิปักษ์กับผม

“ก็พี่กับไอ้เค้กน่าจะไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว แล้วอยู่ดีๆ พี่ก็โผล่มาแบบนี้ แถมดูสายตาที่พี่มองพี่ชายผม มันไม่เหมือนที่เพื่อนเค้ามองกันหรอกนะ อีกอย่างพี่ผมก็ออกจะน่ารักปานนั้น ฮ่าๆๆ”แหมดูท่าผมจะมีกองหนุนซะแล้วมั้งเนี่ยเพราะฟังจากที่ชีสพูดนี่เหมือนน้องมันก็ไม่ได้กีดกันที่จะรับผมเป็นพี่เขยเท่าไหร่เลย

“เอ้าว่าไงถามกันแบบลูกผู้ชายเลย พี่จะมาจีบไอ้เค้กมันใช่ไหม”เมื่อกล้าถามขนาดนี้ผมก็ต้องกล้ารับสิครับ

“แล้วชีสคิดว่าพี่พอจะเป็นพี่เขยเราได้หรือเปล่าล่ะ”ผมย้อนถามกลับไป

“อืม อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับพี่แล้วล่ะ เพราะดูทางด้านพี่ชายผมมันยังไม่น่าจะคิดอะไรกับพี่มากเท่าไหร่นะ”คำพูดเค้าทำเอาผมใจแป้วอีกแล้ว นึกว่าจะพูดให้กำลังใจกันหน่อย นี่ดันมาบอกอีกว่าเค้กยังไม่คิดอะไรกับผม แต่ไม่เป็นไรเพราะนี่ก็เพิ่งผ่านมาไม่นานเท่าไหร่

“แต่เชื่อสิว่าพี่ต้องทำให้เค้กรักพี่ให้ได้”ผมตอบออกไปอย่างมาดมั่น

“งั้นก็เต็มที่เลยเพ่ เดี๋ยวผมจะพยายามช่วยอีกแรง”พูดแค่นั้นแล้วชีสก็หันไปสนใจกับทีวีต่อ ผมเลยเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็ได้ยินเสียงของเค้กแว่วๆมา เค้าถามถึงผมด้วยเหมือนกลัวผมจะหายไปงั้นแหละ ผมเลยเดินยิ้มแก้มแทบปริตรงเข้าไปหาเค้า แต่พอเค้าพูดกับผมคำพูดนั้นมันทำผมรู้สึกน้อยใจก็ผมอุตส่าห์คิดถึงเค้า แต่ดูเค้าสิ

“มานี่มีอะไรหรือเปล่า”ผมเริ่มทำหน้าเซ็งขึ้นทันทีที่เค้าถามแบบนั้น นี่ถ้าผมไม่มีธุระอะไรก็คงมาหาเค้าไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย

“ว่าแต่หาบ้านเราเจอได้ไง”จะตอบว่าไงดี ถ้าจะบอกตรงๆว่าแอบตามเค้ามามันก็ไม่ควร

“เค้กยืมรถหน่อยเดะ จะออกไปข้างนอกหน่อย”ยังไม่ทันที่ผมได้ตอบอะไรชีสก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“จะไปไหน”เค้าหันไปถามน้องชาย

“เรื่องของกรูน่า”ดูพี่น้องคู่นี้สนิทกันดี เหมือนเค้กจะไม่ค่อยอยากต่อปากต่อคำกับน้อง เลยยื่นกุญแจรถให้ชีสไป ชีสหันมายักคิ้วให้ผม แสดงว่านี่เค้าจะเปิดโอกาสให้ผมได้อยู่กันสองคนกับเค้กสินะ

“ตกลงมานี่มีอะไรหรือเปล่า”เค้กถามผมอีกครั้งเมื่อชีสออกจากบ้านไป

“คิดถึง ก็เลยมาหา”ผมตอบออกไปพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ใบหน้าเค้าดูแดงระเรื่อ สงสัยจะเขิน ริมฝีปากบางนั้นของเค้ามันช่างยั่วยวนผมเหลือเกิน นี่ถ้าเป็นที่อื่นที่ลับตาคนกว่านี้ผมคงเข้าไปตะครุบเค้าปลุกปล้ำไปแล้ว แต่นี่มันห้องรับแขกบ้านเค้า เกิดมีใครโผล่มามันจะยุ่งเปล่าๆ

“พูดไรของนายเนี่ย”เค้าเหมือนทำเสียงพาลๆ กลบเกลื่อนอาการเขิน แสดงว่าเค้าต้องเริ่มคิดอะไรกับผมมากขึ้นบ้างละน่า ไม่งั้นไม่เขินแบบนี้หรอก

“ก็คิดถึงจริงๆ เพราะนายไม่ยอมให้เบอร์เรา นี่ถ้าไม่บังเอิญเจอนาย และตามมาถึงบ้านแบบนี้ นายคงคิดจะทำเหมือนเราไม่เคยเจอกันเลยใช่ไหม”ผมพยายามทำเสียงน้อยใจเต็มที่ ซึ่งจริงๆ ก็น้อยใจอยู่เหมือนกันที่เค้าไม่ยอมให้เบอร์กับผม

“อ้าวเราให้เบอร์กับนายไปแล้วนี่นา”เค้าดูมีสีหน้าแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ผมพูดถึงเรื่องเบอร์โทรศัพท์ ผมเลยต้องอธิบายให้เค้าฟังว่าเบอร์ที่เค้าให้ผมมานะมันโทรติดซะที่ไหน แถมด้วยการต่อว่าต่อขานเค้าไปอีกเล็กน้อย เพราะเค้าบอกว่ามั่นใจว่าให้เบอร์กับผมถูกต้องแล้ว แต่พอเทียบดูใหม่ เบอร์ที่เค้าเคยให้กับผมไว้ กับเบอร์ของเค้าจริงๆที่เอาให้ผมดู ปรากฏว่ามันผิดอยู่หนึ่งตัวคือที่ผมมีเป็นเลขสอง แต่ที่เค้ามันคือเลขหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเค้าจงใจแกล้งผมหรือผมเองที่กดผิดตั้งแต่แรกก็ไม่รู้

“สงสัยคราวนั้นเรารีบไปหน่อยเลยกดผิด แต่รอบนี้เพื่อความชัวร์ขอลองโทรเข้าหน่อยแล้วกันนะ”ผมยอมเป็นคนผิดพร้อมกับโทรเข้าเบอร์ที่เค้าให้มาใหม่ และคราวนี้ไม่น่าจะพลาดแล้ว แสดงว่าเค้าคงไม่ได้ตั้งใจจะไม่ให้เบอร์กับผมหรอกแต่ผมเองที่ ดันสะเพร่า ไม่ลองโทรตั้งแต่ตอนแรกที่เค้าให้เบอร์ไว้

“เดี๋ยวเราเม็มเบอร์เราให้”ผมถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์เค้ามากดบันทึกแทน เพราะผมคิดอะไรบางอย่างได้ พอเสร็จก็ส่งคืนให้เค้า

“ที่รักเหรอ อะไรกันทำไมต้องตั้งชื่อแบบนี้ด้วย”เค้าเงยหน้าขึ้นมาต่อว่าผม อย่างเคืองๆ แต่ดูไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอก ผมทำเป็นไม่สนใจ ยิ้มยั่วอย่างอารมณ์ดี

“ทีเรายังเม็มเบอร์เค้กว่าที่รักเลย เค้กก็ต้องทำเหมือนกันสิ”ผมทึกทักเอาเอง โดยไม่ให้เค้าได้มีโอกาสโต้แย้งใดๆ

“แล้วนี่ตกลงว่ามาบ้านเราถูกได้ยังไง”เค้าเหมือนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วที่ถามนี่เหมือนจะไม่อยากให้ผมรู้จักบ้านเค้าหรือเปล่าน้า จริงๆ เมื่อก่อนผมก็รู้จักคุ้นเคยกับบ้านเค้า แต่หลังจากขาดการติดต่อไป จนตอนนี้บ้านหลังนี้ก็เป็นหลังใหม่ไม่ใช่หลังเดิมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

“ไม่อยากให้เรามาบ้านเค้กเหรอ”ผมแสร้งตีหน้าเศร้า ต้องเล่นบทพระเอกน่าสงสารเสียหน่อยครับ เผื่อเค้าจะใจอ่อนกับผมเร็วขึ้น และก็เหมือนจะได้ผล เพราะเค้าคงคิดว่าผมกำลังเข้าใจเค้าผิด ผมก็พอรู้อยู่แล้วว่าเค้าไม่ได้เป็นคนใจดำอะไรถึงขนาดจะไม่ให้เพื่อนได้รู้จักบ้าน

“ไม่ใช่อย่างนั้น เราก็แค่สงสัยว่าเกี๊ยงมาที่นี่ถูกได้ยังไง ใครจะไม่อยากให้นายมากันละ เพื่อนกันจะมาเมื่อไหร่ก็ได้”แค่เพื่อนเองเหรอ เอาว่ะตอนนี้เพื่อนแต่อีกเดี๋ยวมันต้องได้มากกว่านี้แหละน่า

“งั้นเรามาทุกวันเลยได้ไหม”ไม่ว่าจะพอมีช่องทางไหนที่เค้าเปิดมาผมต้องรีบคว้าไว้ครับ จะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปนี้คงต้องอาศัยลูกตื๊อให้มากๆ เสียแล้ว น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน แล้วเค้กอ่อนๆ ชิ้นนี้ก็คงเข้าปากผมสักวัน ฮ่าๆ รู้สึกมันจะเป็นคำพูดที่แปร่งๆ ไปนิดนนะเนี่ย

“ตกลงยังไม่ได้บอกเลยว่ามานี่ถูกได้ยังไง”เค้าไม่ยอมตอบรับในคำขอของผม แต่เปลี่ยนเรื่องหันมาตั้งคำถามกับผมแทน

“ก็พอดีตามนายมาจากที่ห้างนะ เห็นรถนายเลยจำได้ แต่จะเรียกนายก็ไม่ได้ยินเลยขับตามมานี่แหละ”ผมไม่ได้โกหกนะ แค่พูดความจริงไม่หมด จะให้บอกได้ไงว่าแอบตามมาเพราะกลัวเค้าไม่ให้มา ต้องเหมือนบังเอิญนิดๆ (แล้วไอ้ที่บอกไปนี่มันบังเอิญตรงไหนฟร่ะ)

หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 01-11-2014 08:34:04
ได้พวกแล้ววว 555
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-11-2014 20:07:40
Cake




“นายทำเป็นด้วยเหรอ”ผมเอ่ยถามแขกผู้มาเยี่ยมเยียนที่ไม่ยอมกลับเสียที จนนี่ก็เริ่มจะบ่ายคล้อย ส่วนไอ้น้องชายตัวดี ก็ยังไม่กลับมาเสียที ไอ้นายตะเกียงนี่ก็มานอนดูทีวีบ้านผมสบายใจเสียเหลือเกิน บอกให้กลับไปตั้งนานก็ไม่ยอมกลับ เค้าบอกไม่ได้เจอกันตั้งนาน ซึ่งไอ้นานของเค้ามันก็แค่อาทิตย์เดียวเอง แล้วมันเพราะใครกันละ ผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ที่เค้าทำเป็นมาว่าผมไม่ยอมให้เบอร์โทรศัพท์กับเค้าทั้งๆ ที่ตัวเค้าเองนั่นแหละมั้งที่สะเพร่าบันทึกเบอร์ผมผิด ว่าแต่วันนี้เค้าบันทึกเบอร์เค้าในโทรศัพท์ผมว่าอะไรนะ ใช่แล้วเค้าแย่งเอามือถือผมไปบันทึกว่า ที่รัก ถึงผมจะต่อว่าเค้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้แก้ไขแต่อย่างใด
 
และตอนนี้เค้ายังจะมาอาสาทำมื้อเย็นให้ผมทานอีกต่างหาก แต่ผมต้องถามออกไปเพื่อความแน่ใจว่า คนอย่างเค้าทำอาหารเป็นด้วยหรือ เพราะไอ้คนอย่างผมนะทำไม่เป็น พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านแบบนี้ถ้าไม่ออกไปกินนอกบ้าน ก็ไปหาซื้อที่สำเร็จรูปแล้วมากินกับไอ้น้องชายตัวดีนั่นแหละ

“เอ้าตอนอยู่ญี่ปุ่นนะเรา ทำเองทุกอย่างแหละ พอดีไม่ค่อยชอบอาหารญี่ปุ่น เลยต้องหัดทำอะไรเอง พอกลับมาอยู่เมืองไทยก็ยังทำเองอยู่นะ แต่ก็ทำกินแค่คนเดียว เพราะยังไม่มีใครมาอยู่ด้วย”เค้าตอบผมกลับมาพร้อมด้วยสายตายิ้มยั่วอย่างเจ้าเล่ห์ จนผมต้องหลบสายตานั้น

“จะกินได้แน่เหรอ”ผมแกล้งพูดออกไป เพราะรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องอยู่กับเค้านานๆ แบบนี้

“แล้วเค้กจะติดใจในฝีมือเรา นายตะเกียงคนนี้ฝีมือเรื่องทำอาหารก็ไม่แพ้เรื่องบนเตียงหรอกนะ”คำพูดของเค้าทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เพราะผมดันนึกถึงเรื่องคืนนั้นที่เราสองคนมีอะไรกัน อีกอย่างเค้าก็ขยับเข้ามานั่งชิดผมเหลือเกินพร้อมกับโน้มหน้าเข้ามาหา จนผมต้องรีบลุกขึ้น เพราะเกรงว่าเดี๋ยวจะอดใจไม่ไหว(ไม่ช่ายยยย)

“งั้นเดี๋ยวเราไปดูของสดในตู้เย็นก่อนนะว่า จะทำอะไรได้บ้าง”ผมรีบปลีกตัวจากเค้าเพราะกลัวว่าผมจะหวั่นไหวไปกับสิ่งที่เค้าทำ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเค้าสักเท่าไหร่ เค้าดูเหมือนกำลังสนุกที่ได้มาวุ่นวายกับผมแบบนี้ แต่ผมละ ผมเองก็รู้สึกดีอยู่หรอกที่ได้มีเค้ามาเยี่ยมเยียนแบบนี้ และก็พอจะรู้เจตนาของเค้าว่าที่เค้าทำนี่หมายความว่ายังไง แต่ผมยังไม่กล้าที่จะเปิดรับเค้า เพราะว่าผมกลัว กลัวว่าเกิดวันนึงเค้าเบื่อขึ้นมา และไม่มีความรู้สึกอย่างตอนนี้กับผมอีกแล้ว เกิดผมเผลอไผลกับเค้าไปในตอนนี้ ถ้าวันที่เค้าเกิดเบื่อมาถึงตอนนั้นผมจะเป็นเช่นไร

“รอด้วยดิ”เค้าวิ่งตามหลังผมมาติดๆ

“โอ้โห นี่คุณแม่เค้กกักตุนเสบียงไว้ให้ลูกชายเยอะขนาดนี้ นี่กะจะทิ้งลูกชายไปเป็นปีเลยหรือเปล่าเนี่ย”เค้าแกล้งพูดล้อๆ เหมือนจะแอบประชดผมด้วยหรือเปล่า เพราะผมก็บอกไปแล้วว่าทำอาหารไม่เป็น แต่ของสดมันก็เยอะจริงๆแหละ ซึ่งคนที่ซื้อมามันก็ผมเอง

“เดี๋ยววันมะรืน พ่อกับแม่ก็กลับมาแล้ว อันนี้เราซื้อมาเองแหละ กะว่าแม่กลับมาจะให้แม่ทำให้ทาน ตอนไปซื้อไม่รู้จะซื้ออะไรบ้างไง เลยซื้อมันเสียทุกอย่าง ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ”ผมอธิบายเสียงอ่อยๆ เพราะจริงๆ ผมอยากกินต้มยำปลาช่อน แต่ไม่รู้ว่าเค้าใช้อะไรทำบ้าง เลยซื้อมาเท่าที่นึกออก ส่วนของอื่นๆ ก็กะว่าน่าจะพอดีกับที่แม่กลับมาแล้วก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะทำอะไรดี แต่แม่ผมทำอะไรก็อร่อยไปหมดแหละ

“แล้วอยากกินอะไรละ”เค้าถามพร้อมกับหยิบดูข้าวของในตู้เย็น

“อยากกินต้มยำปลาช่อน ทำเป็นหรือเปล่า”ผมเอ่ยถามอย่างท้าทาย เหมือนจะสบประมาทเค้าว่าเค้าทำไม่เป็นหรอก

“ก็น่าจะพอทำได้นะ”เค้าทำท่าครุ่นคิดพร้อมกับตอบผม

“จะกินได้แน่เหรอ”ผมทำเสียงสูง บ่งบอกว่าไม่มั่นใจในฝีมือของเค้า แต่เค้ากลับหันหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงยั่วเย้า

“ถ้าต้มยำปลาช่อนที่เราทำมันกินไม่ได้ เค้กก็มากินปลาช่อนตัวโตของเราแทนแล้วกัน”ผมไม่เข้าใจในคำพูดของเค้าว่าหมายความว่ายังไง แต่พอเค้าชี้มือไปที่ซึ่งเป็นที่อาศัยปลาช่อนของเค้า ผมก็ถึงบางอ้อ

“ไอ้ทะลึ่ง”ผมต่อว่าเค้าอย่างฉุนๆ เพราะเหมือนเค้าจะพยายามวกวนมาหาเรื่องแบบนี้เสียจริง

“เค้กนี่เขินน่ารักดีนะ”เค้าละมือจากข้าวของก่อนจะปิดตู้เย็นและเดินเข้ามาหาผม

“จะทำอะไร”ผมถามทันทีที่เค้าเดินเข้ามาหาผม แต่คำตอบที่เค้าให้ผมคือ

“อื๊อ...”ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะเค้าประกบริมฝีปากเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน ผมพยายามขัดขืนแต่เหมือนจะสู้เรียวแรงเค้าไม่ได้เลย ในที่สุดผมก็เผลอไผลไปกับรสจูบอันหอมหวานนั้น เนิ่นนานเหลือเกินกว่าเค้าจะถอนริมฝีปากออก

“ไหนว่าจะทำกับข้าวไง”ผมรีบทักท้วงทันทีที่เค้าถอนริมฝีปากออก แต่สองมือยังคงกอดผมกระชับเข้าหา

“โทษที แต่เราห้ามใจไม่ไหวจริงๆ อยู่ใกล้ๆ เค้กทีไรอยากจะกลืนกินเค้กชิ้นนี้เหลือเกิน”เค้าพูดพร้อมจ้องหน้าผมอย่างแฝงความนัย ผมได้แต่หลบสายตา ผมกำลังสับสน ว่าผมจะต่อต้านเค้าได้อีกนานแค่ไหนกัน ก็อย่างที่บอกว่าผมมันคนอ่อนไหวง่าย แล้วเค้ามาทำกับผมแบบนี้

“เด๋วโทรหาไอ้ชีสก่อนนะ ว่ามันจะกลับมาทานด้วยไหม จะได้ทำเผื่อด้วย”ผมรีบขืนตัวออกจากเค้าทันที ที่เค้าคลายอ้อมกอดออกจากผม ผมรีบเดินออกจากห้องครัวเพื่อจะได้โทรตามไอ้น้องชายตัวดี ให้กลับมาเร็วๆ เพราะผมเริ่มรู้สึกว่าการอยู่กันลำพังกับเพื่อนเก่าคนนี้ เริ่มจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว

แต่คำตอบของน้องชายตัวดีของผมทำเอาผมเซ็งขึ้นมาทันที เพราะตอนนี้มันไปเมาอยู่บ้านเพื่อนเสียแล้ว และอาจจะค้างที่บ้านเพื่อนเนื่องจากเมาและขับรถไม่ไหว เจริญจริงๆเลยไอ้น้องชายผม ผมก็ได้แต่บอกมันไปว่าอย่าดื่มมากนักละ แต่คงไม่ทันแล้วเพราะฟังจากน้ำเสียงแล้ว นี่ถ้าจะฉุดไม่อยู่เสียแล้ว

“ชีสจะกลับมาทานด้วยไหม”เค้าถามผมที่เดินหน้ามุ่ยเข้ามาถึงห้องครัว ผมหยุดเว้นระยะห่างจากเค้าไว้ประมาณห้าเมตร เพื่อป้องกันการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนเมื่อสักครู่

“เมาไปเรียบร้อย สงสัยจะค้างที่บ้านเพื่อนแหละ”ผมตอบออกไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่ดูเค้าจะยิ้มหน้าระรื่นเหลือเกิน เมื่อรู้ว่าน้องชายผมจะไม่ได้กลับมา

“ยิ้มอะไร”ผมอดที่จะพาลเอากับเค้าไม่ได้ นี่ผมกำลังกลัวอะไรกันแน่ กลัวเค้า กลัวใจตัวเอง แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ผมหงุดหงิดนี่สิ

“อย่าเพิ่งอารมณ์บูดสิ มาๆ มาช่วยเราทำกับข้าวกันดีกว่า”เค้าพูดพร้อมกับเดินมาฉุดมือผมตามเข้าไป

“ให้ช่วยอะไร”ผมยังคงอารมณ์ไม่สู้จะดีเท่าไหร่ นี่ผมทำไมต้องหงุดหงิดด้วยนะ จริงๆ น่าจะคิดเสียว่าได้มาทำกิจกรรมอะไรร่วมกับเพื่อนเก่าแค่นั้นก็พอแล้วมั้ง

ผมเป็นลูกมือที่ค่อนข้างจะใช้ได้พอสมควร เพราะอย่างน้อยๆ ผมก็ช่วยแม่ทำประจำ แต่ขนาดช่วยแม่เป็นประจำ ผมก็ยังทำเองไม่เป็นอยู่ดี  จริงๆเพราะการมีคนอื่นทำให้กินมันสบายกว่า ผมเลยไม่ค่อยจะสนใจในรายละเอียดที่เห็นเวลาคนอื่นทำอาหาร ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เค้าให้ผมล้างผักผมก็ล้าง ให้หั่นปลาก็หั่น แค่นั้นแหละครับ จนในที่สุดต้มยำปลาช่อน ก็สำเร็จ พร้อมด้วย ผัดผักและไข่เจียวหมูสับอีกอย่างละจาน ดูจากหน้าตาก็น่ากินอยู่หรอก แต่ไม่รู้รสชาดจะเป็นไง  เราสองคนช่วยกันยกกับข้าวออกไปวางที่โต๊ะทานข้าว จริงๆเกี๊ยงจะทำเยอะกว่านี้ แต่ผมห้ามไว้เพราะทานกันแค่สองคน แค่นี้ก็พอแล้ว เพราะแต่ละอย่างก็ทำมาเสียเยอะทั้งนั้น

“ไม่ทานละ”เค้าเอ่ยปากถามผม ที่ยังคงไม่ลงมือทาน เพราะรอให้เค้าทานก่อน

“ใส่ยาพิษไว้หรือเปล่า นายทานก่อนดิ”ผมแกล้งแซว

“ยาพิษนะไม่มีหรอก แต่ยาเสน่ห์นะไม่แน่”แหมได้ทีนี่เหมือนจะเก็บทุกเม็ดเลยนะคุณเพื่อน ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจกับเค้า แต่อย่างน้อยวันนี้เค้าก็ทำให้วันหยุดของผมไม่ใช่วันน่าเบื่อเท่าไหร่

“อี๊”ผมทำหน้าพะอืดพะอมให้เค้าดูทันทีที่ตักข้าวเข้าปาก เค้าที่กำลังลุ้นว่าอาหารจะถูกปากผมไหม ถึงกับหน้าถอดสี เมื่อเห็นผมมีอาการเช่นนั้น

“ไม่ถูกปากเหรอ”เค้าถามพร้อมกับมองผมที่กำลังกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไปอย่างยากลำบาก ก่อนจะยกน้ำดื่มล้างคอ เมื่อเห็นดังนั้นเค้าก็รีบตักอาหารฝีมือเค้าชิมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็น รอยยิ้มอย่างขบขันของผม

“นี่แกล้งกันใช่ไหม”จริงๆอาหารฝีมือเค้าก็ใช้ได้ทีเดียว แต่ผมหมั่นไส้เลยแกล้งทำเหมือนมันไม่อร่อยแค่นั้นแหละ

“งั้นต้องทานให้หมดด้วยโทษฐานที่แกล้งอำเรา”หลังจากพูดจบเค้าก็ตักกับข้าวให้ผมเสียจนจะล้นจานเลยทีเดียว

“พอแล้ว”ผมรีบห้ามเค้าเพราะไม่งั้นผมคงได้ทานคนเดียวหมดนี่แน่ๆเลย  ผมตักข้าวเข้าปากโดยไม่พูดอะไรกับเค้าอีก เพราะจริงๆก็หิวมากแล้วละ พอกินไปได้สักพักรู้กลับรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องผมอยู่จึงเงยหน้ามองอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม

“มองไร...ไม่กินหรือไง”ผมพูดทั้งๆที่ ข้าวยังอยู่ในปาก เค้ายิ้มพร้อมกับหัวเราะเบาๆ กับท่าทีของผม คือเค้าไม่กินเอาแต่จ้องผม มันเลยรู้สึกแปลกๆ

“ป้อนหน่อยสิ”คนพูดยิ้มจนปากจะฉีกถึงรูหู แต่คนฟังอย่างผม ถลึงตาจนจะหลุดออกจากเบ้า แต่เค้าเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจผม เหมือนจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้พูดออกมาเหลือเกิน ผมละหมั่นไส้จริงๆเชียว

“เราเหมือนคู่รักกันเลยเนอะ”คำพูดเค้าทำเอาช้อนส้อมในมือของผมแทบร่วง ก็ฟังดูคำพูดเค้าเถิด นี่กะจะมารวบหัวรวบหางผมเลยหรือไงเนี่ย

“หมายความว่าไง”

“เอ้าก็ทำกับข้าว ด้วยกันแล้วก็มาทานกันสองคนแบบนี้ เหมือนแบบคู่รักข้าวใหม่ปลามันไง เดี๋ยวกินเสร็จก็อาบน้ำด้วยกัน แล้วค่อยไปกุ๊กกิ๊กกันต่อในห้องนอน เราว่าคงต้องรีบกินรีบเก็บถ้วยจากแล้วละ จะได้มีเวลากุ๊กกิ๊กกันนานๆ”เอากับเค้าสิครับ ว่าไปนั่น ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะรู้ว่าเค้าก็คงพูดเล่นไปอย่างนั้น ไม่ได้จริงจังอะไร จะว่าไปถ้าเรายังติดต่อกันมาตลอด เค้าจะมาคิดอะไรกับผมแบบนี้หรือเปล่าน้า
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 01-11-2014 23:15:25
เค้กต้องรู้ความรู้สึกตัวเองเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 02-11-2014 12:00:28
Ta-kiang
ผมคลุกอยู่บ้านเค้กทั้งวันเลยครับวันนี้ เค้าไล่ผมกลับอยู่หลายครั้ง แต่คนอย่างผมมีหรือจะยอมล่าถอยง่ายๆ ยิ่งได้อยู่กับเค้าสองต่อสองแบบนี้ ผมเริ่มคิดแผนการที่จะได้อยู่กับเค้านานๆ พอเริ่มบ่ายคล้อยผมเลย ชวนเค้าทำกับข้าวกินกันดีกว่า และการจะทำกับข้าวนี่เองทำให้ผมแอบอาศัยความหน้าด้าน ขโมยจูบเค้าเอาดื้อๆ ก็ใครใช้ให้เค้าน่ารักอย่างนี่กันละ ผมเลยอดใจไม่ไหว โชคดีอีกอย่างของผมก็คือ ชีสน้องชายของเค้าที่จะไม่กลับบ้านคืนนี้ ถ้าผมขอค้างนี่ผมจะหน้าด้านเกินไปไหมเนี่ย แล้วจะเอาเหตุผลอะไรมาอ้างกับเค้าดีหว่า

“เดี๋ยวเราล้างให้เอง เค้กไปอาบน้ำอาบท่าก่อนก็ได้”ผมขันอาสา เพื่อหวังผลตอบแทน แต่ดูเหมือนเค้าจะไม่ยอม

“ไม่เป็นไร ช่วยกันทำก็ได้ ปกติเราไม่อาบน้ำเร็วแบบนี้หรอก นี่ก็เพิ่งจะหัวค่ำเอง ปกติชอบอาบน้ำตอนดึกๆ ใกล้ๆเวลาจะนอน หรือวันไหนขี้เกียจก็ไม่อาบมันซะเลย ฮ่าๆๆ”เค้าพูดติดตลก ถ้าเป็นคนอื่นนี่ผมจะแซวซะหน่อยว่าสกปรกไม่ชอบอาบน้ำ แต่กับเค้ายังไงผมก็ร๊ากก หุหุ

“งั้นถ้าขี้เกียจนักให้เราเป็นคนช่วยอาบให้ไหม”ได้ทีของผมละครับ อย่าได้เปิดช่องมาเชียว มาอย่างไหนตอนนี้ไอ้เกี๊ยงขอหน้าด้านหน้าทน เป็นคนหื่นไว้ก่อนละครับ อย่าได้เผลอเชียว ไม่งั้นเค้กชิ้นนี้ได้โดนคนตะกละอย่างผม สวาปามเข้าไปอีกแน่ๆ เค้าได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาให้กับผม

“อยากรู้จังว่าถ้าเราสองคนได้เรียนด้วยกันจนจบ ม.ปลาย ได้ติดต่อกันในช่วงมหาวิทยาลัย ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเป็นยังไง”เค้าละมือจากการแย่งผมเก็บถ้วยจานไปล้าง ก่อนจะเอ่ยออกมาลอยๆ เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ผมก็คิดตามคำถามนั้น เพราะผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าถ้าเรายังได้ติดต่อกันอยู่ ตอนนี้ผมกับเค้าจะเป็นยังไงบ้างน้า พอลองคิดๆ ดูผมก็ยิ้มออกไปแก้มแทบปริกับสิ่งที่ผมคิด

“ยิ้มอะไรของนาย”เค้าหันมามองผมอย่างหมั่นไส้

“ก็คิดว่าถ้าเราได้เจอกันตลอด ป่านนี้เราคงเป็นแฟนกันไปแล้ว และต้องเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาที่สุดในโลกแน่ๆเลย”ผมพูดพร้อมกับทำท่าทางยียวนเค้า จะไม่หวั่นไหวบ้างก็ให้มันรู้ไปสิ

“นายนี่ช่างคิดช่างจินตนาการเหลือเกินนะ”เค้าตอบกลับมาอย่างอายๆ ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้ผมเก็บถ้วยจานไปล้างเพียงลำพัง สมองผมเริ่มสั่งการให้ประมวลผลอีกครั้งว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างขออยู่กับเค้าต่อดี เห็นในตู้เย็นมีเบียร์อยู่หลายกระป๋องพอสมควร แต่เหมือนมันจะไม่มากพอที่จะทำให้เค้าเมาได้ ซึ่งจริงๆ ผมก็ไม่อยากใช้แอลกอฮอล์มาทำให้เค้าเผลอตัวไปกับผมอีกหรอก ผมอยากให้เค้าเต็มใจไปกับผมมากกว่า แต่ผมจะทำไงดีละเนี่ย คิดๆๆๆ สิวะไอ้ตะเกียง

“นี่เกี๊ยง จะล้างจานทั้งคืนไม่กลับบ้านกลับช่องเลยหรือไง”ในขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกนั้น เค้าก็ส่งเสียงตะโกนเรียกผมจากห้องรับแขก ถึงเค้าจะถามเหมือนจะบอกให้ผมกลับแต่ฟังจากน้ำเสียงผมว่าเค้ายังอยากให้ผมอยู่ต่อนะเนี่ย(เข้าข้างตัวเองเต็มที่)

“ถ้าเค้กอยากให้อยู่ล้างทั้งคืนเราก็ยินดี เดี๋ยวล้างจานเสร็จแล้วก็ล้างเนื้อล้างตัวให้เค้กต่อก็ได้”ผมตะโกนตอบออกไป พร้อมกับอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“นี่ไม่เข้าใจจริงๆ เหรอว่าที่ถามนะ มันเป็นการไล่ทางอ้อม”ผมหุบยิ้มแทบจะทันที นี่ตกลงเค้าอยากให้ผมกลับจริงๆ เหรอเนี่ย ผมเดินคอตกออกมาหาเค้าที่ห้องรับแขก ตีสีหน้าเศร้าเต็มที่ ก่อนจะนั่งลงเบียดเค้าตรงโซฟาหน้าทีวี

“เราอุตส่าห์อยากจะอยู่เป็นเพื่อน เห็นว่าต้องอยู่คนเดียว แต่เค้กกลับอยากจะรีบไล่เรากลับงั้นเหรอ”ผมแกล้วทำเสียงสลด ก้มหน้าหลบต่ำ แต่หางตาผมก็ยังแอบเหล่ดูปฏิกิริยาของเค้าอยู่ เหมือนเค้าจะหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนจะตบไหล่ผมเบา

“แหย่เล่นแค่นี้ทำเป็นน้อยใจไปได้ เดี๋ยวนี้เป็นคนขี้น้อยใจไปแล้วเหรอ หัวก็ไม่ล้านซะหน่อย”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงที่อยากให้ผมดีขึ้น แสดงว่าเค้าอาจจะกำลังคิดว่าผมน้อยใจเค้าอยู่แน่ๆ ผมแอบยิ้มโดยไม่ให้เค้าเห็นก่อนจะนึกแผนการอะไรบางอย่างออก

“ถ้าเค้กอยากให้กลับจริงๆ เรากลับก่อนก็ได้”ผมลุกขึ้นยืนโดยไม่มองหน้าเค้า พร้อมกับก้าวขาออกเดิน วิธีนี้ของผมเสี่ยงมากทีเดียวเพราะถ้าเกิดเค้าไม่รั้งผมสักนิดผมก็คงต้องคอตกกลับบ้านไปจริงๆ แต่จากการวิเคราะห์แล้ว เค้กค่อนข้างจะแคร์ความรู้สึกเพื่อนมาก เค้าจะไม่ปล่อยให้เพื่อนที่ดีมากๆ(อย่างผม) กลับไปโดยคิดว่าเค้าไล่แน่นอน ผมค่อยๆ ก้าวเดินพร้อมกับลุ้นในใจ ว่าเค้าจะรั้งผมไหม ก้าวแรกสู่ก้าวสอง สาม เอ้าเฮ้ยเรียกสิ เรียกให้อยู่ต่อหน่อย ผมเริ่มร้อนรนที่เค้าไม่ส่งเสียงเรียกผมไว้หน่อย แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เค้ามีปฏิกิริยายังไง เพราะถ้าจะหันกลับไปมองก็จะเสียแผนหมด

“เกี๊ยง...จะกลับจริงๆเหรอ”น้ำเสียงที่เหมือนจะรู้สึกผิดหน่อยๆ ดังขึ้น ผมยิ้มแก้มแทบปริ แต่ยังหันหลังให้เค้าอยู่ แต่ในใจนี่ตะโกน เยสๆๆ นี่ขนาดเค้ายังไม่ได้ขอให้อยู่ต่อนะ แต่ผมว่านี่มันเป็นสัญญาณแล้วว่าเค้ากำลังกลัวผมเคืองเค้าอยู่แน่ๆ เมื่อก่อนเค้กเป็นแบบนี้บ่อยๆ เพราะเมื่อก่อนเคยมีเพื่อนที่เคืองๆเค้าบ่อยๆ ในเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วเค้กก็ไม่สนใจ เลยกลายเป็นว่ากลายเป็นเรื่องใหญ่โตเกือบเสียเพื่อน เค้กเลยหันมาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อย กับความรู้สึกของคนอื่นๆ มากขึ้น ทั้งที่ครั้งที่มีปัญหาตอนนั้นผมก็ไม่เห็นว่าเค้กจะผิดหรอกนะ เพราะมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ แต่ไอ้เพื่อนตัวดีคนนั้น ดันเป็นบ้าเป็นบออะไรไม่รู้

“อือ”ผมหุบยิ้มก่อนจะพยายามปรับสีหน้า แล้วทำน้ำเสียงให้ดูน้อยใจสุดๆ

“ดื่มเบียร์สักสองสามกระป๋องเป็นเพื่อนกันก่อนได้ไหม”เค้าเอ่ยเสียงเบา นี่เหรอวิธีการง้อเพื่อนของเค้า มาชวนดื่มเบียร์นี่อะนะ เอาน่าอย่างน้อยผมก็จะถือว่าเค้าแคร์ผมละน่าถึงอยากจะรั้งผมไว้อย่างนี้ ผมตีหน้าเศร้าก่อนจะหันกลับไปหาเค้า เห็นเค้าเองก็ทำหน้าหงอๆ ไปเหมือนกัน แต่ผมว่าเค้าทำหน้าแบบนี้ก็น่ารักดี (จริงๆหน้าแบบไหนก็รักทั้งนั้นแหละ)

“อยากให้เราอยู่ต่อจริงๆเหรอ”ผมเดินเข้าไปพูดกับเค้าใกล้ๆ พร้อมกับจ้องมองใบหน้านั้น ใจจริงอยากจะดึงเค้าเข้ามากอด แต่กลัวเค้าจะเปลี่ยนใจจากที่จะให้ผมอยู่ดื่มเบียร์เป็นเพื่อน กลายเป็นไล่ผมกลับไปจริงๆ

“เราไม่ได้ตั้งใจจะไล่เกี๊ยงนะ”เค้ายังคงจะพยายามอธิบาย ไม่ให้ผมคิดมาก แต่ดูเหมือนคนที่คิดมากน่าจะเป็นค้ามากกว่า เพราะผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรเค้าเลย นี่ผมกำลังทำให้เค้ารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า แต่นี่มันก็เพื่อเราสองคนแหละน่า

“ไหนว่าจะดื่มเบียร์ไม่ใช่เหรอ”ผมแสร้งยิ้มนิดๆ ให้กับเค้าทำเหมือนพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ความจริงคือพยายามไม่ยิ้มมากต่างหาก เดี๋ยวเค้าจะจับได้ว่าผมแกล้งเคืองเค้า

“งั้นเดี๋ยวเราไปเอาเบียร์ก่อนนะ”เค้กยิ้มออกมาก่อนจะหันหลังเดินไปเปิดตู้เย็น พอเค้าหันไป ผมได้แต่ยิ้มอย่างผู้มีชัย คืนนี้ผมต้องหาข้ออ้างค้างกับเค้าให้ได้ เอาไงดีหว่า ถึงจะยังคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร ต้องค่อยๆ คิด เดี๋ยวคงมีสักเหตุผล (ข้ออ้าง)แหละน่า

หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [2-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-11-2014 17:22:45
Cake

“นี่เกี๊ยง จะล้างจานทั้งคืนไม่กลับบ้านกลับช่องเลยหรือไง”ผมตะโกนถามคุณเพื่อนหลังจากที่ผมออกมาอยู่บริเวณห้องรับแขกได้นานพอดู แต่คุณเพื่อนที่บอกจะล้างจานให้ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาเลย ผมเลยส่งเสียงแอบแซวเค้าหน่อย แต่เสียงที่เค้าตะโกนตอบกลับมาทำเอาผมแทบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะรู้สึกวันนี้ผมพูดอะไรออกไปนี่มันจะโดนเค้าวนเรื่องมาเข้าตัวผมเสียทุกที

“ถ้าเค้กอยากให้อยู่ล้างทั้งคืนเราก็ยินดี เดี๋ยวล้างจานเสร็จแล้วก็ล้างเนื้อล้างตัวให้เค้กต่อก็ได้”นั่นแหละครับเสียงที่เค้าตอบกลับมา เล่นเอาผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวกับไอ้คำว่าล้างเนื้อล้างตัวให้นี่แหละ ก็ไอ้ครั้งที่แล้วที่ผมเมาไปค้างที่คอนโดเค้าแล้วเรื่องราวมันเลยเถิดก็เพราะที่เค้ามาเช็ดตัวให้ผมนั่นแหละ

“นี่ไม่เข้าใจจริงๆ เหรอว่าที่ถามนะ มันเป็นการไล่ทางอ้อม”ด้วยความหมั่นไส้ผมจึงตอบกลับไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ดูเหมือนว่าเกี๊ยงจะคิดหรือเปล่า เพราะเค้าเดินคอตกมานั่งลงข้างๆผม โดยไม่ยอมมองหน้าผม เค้าก้มหน้าหลบต่ำเหมือนคนกำลังน้อยใจ นี่ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

“เราอุตส่าห์อยากจะอยู่เป็นเพื่อน เห็นว่าต้องอยู่คนเดียว แต่เค้กกลับอยากจะรีบไล่เรากลับงั้นเหรอ”น้ำเสียงหม่นๆของเค้าทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ผมก็ลืมนึกไปว่า ตามมารยาทเราก็ไม่ควรจะไล่แขกกลับ แต่จริงๆผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะไล่กลับนี่นา ก็เห็นเป็นเพื่อนกันแซวเล่นแค่นี้ไม่น่าจะมาน้อยใจนี่นา หรือว่าเพราะเค้าคิดกับผมมากกว่าเพื่อนเลยพาลให้คิดจริงจังแบบนี้ นี่มันจะอะไรกันนักหนา ผมไม่ชอบแบบนี้ ไม่อยากให้เค้ารู้สึกไม่ดี

“แหย่เล่นแค่นี้ทำเป็นน้อยใจไปได้ เดี๋ยวนี้เป็นคนขี้น้อยใจไปแล้วเหรอ หัวก็ไม่ล้านซะหน่อย”ผมพยายามอธิบายว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะไล่เค้าจริง โดยพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงหวังให้เค้าได้เข้าใจในเจตนาที่แท้จริงของผม แต่เหมือนเค้าจะน้อยใจจริงๆ เสียแล้วละมั้งเนี่ย

“ถ้าเค้กอยากให้กลับจริงๆ เรากลับก่อนก็ได้”พอพูดจบเค้าก็ลุกเดินออกไปโดยที่ไม่แม้แต่หันมามองหน้าผมสักนิด นี่เค้าโกรธผมจริงๆ เหรอ ผมมองตามแผ่นหลังของเค้าที่เดินห่างออกไป ทำไมนะทั้งที่จริงๆ ผมก็รู้สึกอยากให้เค้ากลับเหมือนกันเพราะมาคลุกอยู่บ้านผมแทบทั้งวันแล้ว แต่พอเค้าจะกลับออกไปแบบนี้โดยที่คิดว่าผมเป็นคนไล่เค้า ผมกลับรู้สึกว่ายังไม่ควรปล่อยเค้าไปตอนนี้

“เกี๊ยง...จะกลับจริงๆเหรอ”ด้วยความกังวลกลัวเค้าจะโกรธผม ถึงแม้ผมจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้สำหรับเค้ามันเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า มันเลยทำให้ผมต้องร้องขอให้เค้าอยู่ต่ออีกหน่อย อย่างน้อยๆ เพื่อที่เราอาจจะได้ปรับความเข้าใจ เฮ้ย??? ปรับความเข้าใจอะไรกัน ไม่ใช่แฟนกันนะเนี่ย ผมเริ่มคิด แต่ยังไงก็เถอะผมไม่อยากให้เค้าโกรธผม แต่ด้วยเพราะคิดอะไรไม่ทันหรือคนอย่างผมมันคิดได้แค่นี้ก็ไม่รู้ เหตุผลที่จะยื้อให้เค้าอยู่ต่อเพื่อขจัดความขุ่นข้องหมองใจ และความเข้าใจผิดของเค้าต่อเจตนาของผม เหตุผลที่ผมใช้ดันเป็นเรื่องแอลกอฮอล์อีกแล้ว

ผมเดินมาหยิบเบียร์ที่มีในตู้เย็นที่มีอยู่แค่ประมาณ 6-7 กระป๋อง แล้วมีแค่นี้ก็คงดื่มแป๊บเดียวเค้าก็คงกลับแล้ว แล้วจะได้ทันคุยอะไรกันเท่าไหร่เชียว ผมเดินหอบกระป๋องเบียร์พร้อมกับพวกขนมอีกเล็กน้อย ออกไปหาเค้าที่ยังดูซึมๆ อะไรกันทั้งๆ ที่วันนี้เค้าออกจะกวนประสาทผมทั้งวันแล้วแค่ผม แหย่แกล้งไล่กลับบ้านหน่อยเดียวเค้าเป็นได้ขนาดนี้เลยหรือไง

“เดี๋ยวมานะ”งานนี้ไม่รู้ผมผิดหรือเปล่า ถ้าตามความรู้สึกผมว่าผมไม่ผิดแต่ไม่เมื่อเหมือนเค้าจะทำงอนเป็นเด็กๆ แบบนี้ ผมคงต้องง้อหน่อยละมั้ง เลยกะว่าต้องหาอะไรเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์หน่อยจะดีกว่า เพราะลำพังแค่เบียร์ไม่กี่กระป๋องนี่คงช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่หรอกนะ




“อะไรเหรอ”เค้าเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ผมไปหยิบของบางอย่างออกมา พร้อมกับส่งแก้วเบียร์ให้ผม ผมแปลกใจเล็กน้อยเพราะปกติเบียร์กระป๋องแบบนี้ใครเค้าเอามาเทใส่แก้วกัน แถมมันก็แช่เย็นไว้แล้วไม่เห็นจำเป็นที่ต้องไปเอามาใส่น้ำแข็งอีก นี่เค้าคงไปเอาน้ำแข็งจากตู้เย็นมาเพิ่มเป็นแน่ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเค้าเท่าไหร่แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะผมเป็นฝ่ายที่ต้องตอบเค้าก่อนว่าผมไปหยิบอะไรมา ผมยื่นสิ่งนั้นให้เค้าแทนคำตอบ

“อัลบั้มรูปเหรอ”เค้าพึมพำหลังจากหยิบไปเปิดดู มันเป็นพวกรูปเก่าๆ สมัยผมเรียนมัธยม ผมเป็นคนค่อนข้างจะบ้ากล้องอยู่ไม่น้อย เลยมีรูปเยอะไปหมด ทั้งตอน ม.ต้น และ ม.ปลาย รูปของเค้าเองก็มีเยอะเหมือนกัน เพราะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกับผม แต่รูปช่วง ม.ปลาย มันก็ไม่มีเค้าหรอกเพราะเป็นช่วงที่เค้าย้ายไปเรียนที่อื่น ผมลอบมองเค้าอยูเป็นระยะ เห็นเค้าอมยิ้มหน่อยๆ พร้อมกับการเปิดดูรูป

“ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะไล่เกี๊ยงกลับจริงๆนะ”ถึงผมจะรู้สึกว่าผมไม่ผิดอะไรเพราะมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่อยากให้เค้าเก็บเอาไปคิดติดค้างในใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้

“เราก็ยังไม่ได้ว่าอะไรนิ”เค้าตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผม แต่ยังคงเปิดดูรูปไปเรื่อย คิดว่าเค้าไม่น่าจะโกรธผมแล้วมั้งเพราะเห็นเค้าอมยิ้มซะขนาดนั้น ไม่รู้เพราะรูปที่กำลังดูหรือเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เค้าอมยิ้มแบบนั้น

“งั้นก็ดีแล้ว ชนแก้วหน่อย”ผมทำเหมือนเรียกให้เค้าสนใจผมสักหน่อยเพราะ ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเค้าไม่ได้โกรธผมจริงๆ

“เค้กนี่ชอบดื่มจังเลยนะ”เค้าเงยหน้าขึ้นมายกแก้วชนกับผม พร้อมกับยกดื่มจนหมด ก่อนจะถอดรูปนึงออกมาจากอัลบั้มก่อนจะชูให้ผมดู

“ทำไมเหรอ”ผมมองดูรูปใบที่เอาหยิบออกมา มันเป็นรูปผมกับเค้าสองคน น่าเป็นตอนกีฬาสีเพราะชุดที่เค้าใส่เป็นชุดนักกีฬาบาสเกตบอล ส่วนผมก็เป็นชุดประจำสีที่ผมอยู่ ในคอของเค้าคล้องเหรียญรางวัลอยู่ เค้ากอดคอผมชิดอยู่กับเค้า ดูจากรูปแล้วดูเหมือนเค้ากำลังมีความสุขมากเพราะตอนนั้นเราเป็นนักกีฬาและสีเค้าก็ได้ที่หนึ่ง ส่วนสีผมแพ้สีของเค้าในรอบชิงนั่นแหละ

“จำวันนั้นได้ไหม”เค้าถามย้อนถึงเรื่องในอดีต ผมก็พยายามนึกตามว่าวันนั้นมันมีอะไร ปกติวันกีฬาสีมันเป็นวันว่างของผมเพราะไม่ค่อยจะไปเข้าร่วมอะไรกับเค้าเท่าไหร่ ไอ้ผมมันถือคติ “เรียนก็ไม่มา กีฬาก็ยังขาด” เลยไม่ค่อยได้สนใจงานแบบนี้เท่าไหร่ แต่เค้าและเพื่อนๆ คนอื่นๆ จะชอบเล่นบาสกัน ผมก็ไม่ค่อยไปดูเค้าแข่งหรอก เพราะมัวแต่หาเรื่องไปเที่ยวเล่นทำอย่างอื่น จนรอบชิงพอดีว่าเป็นสีของผมเองแล้วก็มีเพื่อนในกลุ่มลงเล่นด้วย ส่วนฝั่งเค้าเองก็มีเพื่อนเราเล่นด้วยเหมือนกันผมเลยโดนเพื่อนๆ บังคับให้ไปดูการแข่ง


“พนันกันไหมว่าสีมรึงหรือสีกรูจะชนะ”เกี๊ยงในวันนั้นพูดขึ้นกับผมตอนที่ใกล้จะถึงเวลาแข่ง ตอนนั้นก็แบบนึกสนุก ไม่คิดหรอกว่าใครจะชนะ เพราะยังไงก็มีเพื่อนเราอยู่ทั้งสองฝั่ง คือไม่ได้เชียร์ฝ่ายไหนเป็นพิเศษ แต่พอโดนท้าแบบนี้ใครมันจะไปยอมละครับ

“สีมรึงก็แค่ฟลุ๊คได้เข้ามาชิงละว้า ยังไงสีกรูก็ชนะอยู่แล้ว จะพนันอะไรว่ามาเลย”ผมเอ่ยอย่างท้าทายทั้งๆ ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทีมไหนจะชนะ เพราะเพื่อนๆ ผมซึ่งอยู่ทั้งฝั่งเค้าและฝั่งผมก็ฝีมือพอๆกันนั่นแหละ แต่อย่างว่าถึงผมไม่ได้เลือดสีเข้มข้นแต่อย่างน้อยก็ต้องเชียร์สีตัวเองไว้ก่อน ใครจะไปยอมแพ้ไอ้เพื่อนตัวดีนี่กันละ

“พนันอะไรกันดีละ”เค้าทำเป็นครุ่นคิด ผมเองก็กำลังคิดเหมือนกันว่าจะพนันอะไรกันดี ถ้าให้ผมเลือก หลังจากการแข่งเสร็จมันก็ต้องมีฉลองงั้นก็ต้อง ให้คนที่แพ้พนันเลี้ยงน่าจะโอเค

“งั้นเอาเบียร์หนึ่งเมา ใครแพ้จ่ายโอเคไหม”ผมเสนอความคิดออกไปแต่เค้ากลับไม่เห็นด้วยกับผม

“ไม่เอาแบบนั้นมันธรรมดาไป เอางี้ดีกว่า ถ้าสีใครชนะคนนั้นมีสิทธิ์ขออะไรก็ได้จากคนที่แพ้ โอเคไหม”ข้อเสนอของเค้ามันก็ไม่เห็นจะแปลกไปจากที่ผมบอกเท่าไหร่เลยนิ เพราะถ้าผมชนะผมก็คงแค่ขออย่างที่ผมบอกไป ส่วนเค้าจะมีอะไรขอผมแปลกประหลาดกว่านี้อีกเหรอ ผมก็พยักหน้ารับข้อเสนอนั้น

แล้วการแข่งก็เริ่มขึ้น ทั้งสองฝ่ายผลัดกันนำอย่างดุเดือด แต่ท้ายที่สุดแล้วฝ่ายสีของผมก็เป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ แพ้จนได้ หลังจากแข่งเสร็จ รับเหรียญเรียบร้อย ก็ถ่ายรูปกันสนุกสนาน เพราะถึงจะแพ้ ชนะยังไงก็เพื่อนกันทั้งนั้น

“มรึงแพ้งั้นกรูก็มีสิทธิ์ ขออะไรก็ได้ใช่ไหม”เค้ามาทวงในสิ่งที่เราสองคนตกลงกันแต่ยังไม่ทันที่ผมจะถาม ว่าเค้าจะขออะไรจากผมเพราะเพื่อนๆ คนอื่นๆ เป็นคนตอบแทน

“ไอ้เค้กกรูได้ยินนะว่ามรึงจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเบียร์ ใช่ไหม”เพื่อนๆได้ยินตอนที่ผมคุยกับเกี๊ยงเลยกลายเป็นว่าวันนั้นผมต้องเลี้ยงเบียร์เพื่อนๆ แต่เหมือนเกี๊ยงจะอยากขออย่างอื่น จากข้อตกลงของเรา ซึ่งไม่น่าจะใช่เบียร์ แต่วันนั้นด้วยความสนุกสนานทำให้ผมเองก็ลืมเรื่องที่เคยตกลงไว้กับเค้าไปสนิทเลย

“วันนั้นที่เกี๊ยงชนะพนันเกี๊ยงจะขออะไรจากเราเหรอ”ผมเอ่ยถามเมื่อนึกทบทวนถึงเรื่องที่ล่วงเลยมานานมากแล้ว จริงๆผมก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว นี่ถ้าเค้าไม่หยิบรูปนี้มาแล้วมาถามผมแบบนี้ผมก็คงจะจำไม่ได้แล้วละ

“วันนั้นเราว่าจะขอเค้กเป็นแฟน”คำตอบเค้าทำเอาผมแทบจะพูดไม่ออก



---------------------------
แวะมาต่อคร๊าบบบบ

ยังไงฝากติชมได้นะครับ

ชอบทั้งคำชมและคำติ จะได้นำไปปรับปรุง

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [3-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 03-11-2014 18:45:20
ว้ายยยยยย

พูดออกไปแล้ววว

หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [3-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 04-11-2014 16:54:30
Ta-kiang

ผมแอบยิ้มอยู่ในใจที่เค้ารั้งให้ผมอยู่ต่อ แถมยังเอาอัลบั้มรูปเก่าๆ สมัยที่เราเคยเรียนด้วยกันมาให้ผมดูอีกด้วย ผมหยิบรูปใบหนึ่งที่ผมกับเค้าถ่ายด้วยกันในงานกีฬาสี เค้าเองน่าจะจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เหมือนผม เพราะเค้ายังไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่ผมจะขอในวันนั้น ผมแกล้งบอกเค้าไปว่า ผมจะขอเค้าเป็นแฟน แต่ในความจริงตอนนั้นผมไม่กล้าขอแบบนั้นหรอก เพราะตอนนั้นผมเองยังไม่มั่นใจ ยังกล้าๆ กลัวๆ อีกอย่างผมไม่รู้ว่าเค้กจะว่ายังไง ถ้าผมขอออกไปแบบนั้น วันนั้นพอเพื่อนๆ เข้าใจว่าเราพนันเบียร์กัน ผมก็เลยตามน้ำ เก็บความรู้สึกเอาไว้ กะว่าอีกไม่นาน ผมจะบอกกับเค้าว่าผมคิดยังไงกับเค้า แต่ใครจะไปคิดว่าครอบครัวผมดันย้ายบ้านกะทันหันขนาดนั้น ผมเลยขาดการติดต่อกับเค้า ตอนแรกผมคิดว่าไม่นานผมอาจจะลืมเค้าได้ ตอนที่จากกันผมเลยไม่ได้บอกเค้าออกไป

แต่พอจากกันไปผมกลับยังคงคิดถึงเค้าอยู่ตลอด จนเวลาล่วงเลยผ่านมา แต่ผมก็ไม่สามารถติดต่อกับเค้าได้อีก ทว่าการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแบบนี้คงต้องเป็นเพราะพรมลิขิตอย่างแน่นอน

“การพนันครั้งนั้นยังถือว่ามีผลอยู่ไหมน้า”ผมเอียงคอถามเค้าเสียงทะเล้น ถึงเวลาจะล่วงเลยมานานแต่ตอนนั้นก็ถือว่าเราสัญญา ตกลงกันไว้แล้ว และผมก็เป็นผู้ชนะ งั้นผมก็ขอทวงสิทธิ์หน่อยแล้วกัน

“ตอนนั้นเราก็เลี้ยงเบียร์ไปแล้วนี่นา อีกอย่างเรื่องมันก็ตั้งกี่ปีมาแล้ว”เค้าก้มสายตาหลบอย่างอายๆ โดยไม่กล้าสบตากับผม ช่างน่ากินเสียจริงๆ เค้กชิ้นนี้ของผม

“แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้ขอ ในสิ่งที่อยากจะขอเลยนี่นา”งานนี้ต้องรีบรุกต่อให้เร็วที่สุดครับ อยู่กันสองต่อสองแบบนี้ โอกาสยิ่งเป็นใจให้ผมเสียจริง เหอๆ

“เรื่องมันตั้งกี่ปีมาแล้ว ถือว่าไม่มีผลแล้วละ”แววตาของเค้าที่หันมาจ้องผมอย่างเอาเรื่อง ทั้งที่แววตานั้นยังมีอาการเคอะเขินอยู่ไม่น้อยทีเดียว ผมอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเปิดอัลบั้มรูปดูไปเรื่อยๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะสมองผมกำลังคิดวางแผนว่าวันนี้จะพิชิตเค้กได้ยังไงดี อีกอย่างรูปในอัลบั้มหลังๆ ก็เป็นรูปสมัย ม.ปลาย ที่ไม่มีผม มีหลายคนที่ผมไม่รู้จักอยู่ในรูป จนตอนแรกว่าจะวางแล้วถ้าไม่เห็นรูปหนึ่งมันช่างท้าทายสายตาผมเหลือเกิน

จริงๆ ผมก็เห็นรูปของคนๆ นี้มาหลายรูปแล้วเหมือนกัน ซึ่งผมไม่รู้จักเค้าเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะมีรูปคู่กับเค้ก หลายรูปเหลือเกิน และรูปที่บาดตาบาดใจที่สุด คือรูปที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อสักครู่ มันเป็นรูปของไอ้นี่ซึ่งชื่อเรียงเสียงใดผมก็ไม่รู้ แต่มันกำลังหอมแก้มเค้กอยู่ แถมเค้กดูยิ้มแย้มเหมือนเต็มใจใครมันหอมแก้มซะอย่างนั้น ตกลงไอ้นี่มันเป็นใครกัน ผมไม่ได้เก็บความสงสัยไว้นานเลย

“ใคร”ผมชี้มือลงที่รูปไอ้บุคคลปริศนาที่ผมข้องใจ พร้อมกับจ้องมองเค้าด้วยสายตาขวางๆ หน่อยๆ ก็ผมหึงนี่นา ถึงจะยังไม่รู้สถานะของไอ้นี่ แต่คนมันหวงนี่หว่าจะให้ทำไงได้ เค้กก้มมองดูรูปที่ผมกำลังชี้อยู่ก่อนจะตอบ

“อ๋อ...พี่ตี้ ทำไมเหรอ”เค้าหันมาตั้งคำถามเอากับผมบ้างประมาณว่าทำไมผมถึงอยากจะรู้จัก และเหมือนเค้าจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมอยากจะรู้

“เค้าเป็นใคร...แล้วทำไมต้องหอมแก้มกันด้วย”น้ำเสียงผมคงเริ่มขุ่นขึ้นแล้ว เพราะดูเค้กเองก็ชะงักไปเหมือนกัน ที่เห็นน้ำเสียงผมเริ่มเปลี่ยนไป แต่เค้กยังคงเงียบไม่ได้ตอบคำถามผม ยิ่งทำให้ผมอยากรู้ขึ้นไปอีกว่าไอ้พี่ตี้นี่คือใคร ผมลองเปิดอัลบั้มรูปไปเรื่อยๆ ปรากฏว่ารูปแนวๆ นี้ยังมีอีกเยอะเลย นี่มันชักจะยังไงแล้วนะ

“ตกลงว่าเค้าเป็นใครกัน”ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับตีสีหน้าเศร้านิดๆ

“พี่ตี้...กับเราเคยเป็นแฟนกัน”เค้าตอบน้ำเสียงตะกุกตะกักเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูดถึง แต่ไอ้คำตอบเค้านี่แทบจะทำผมเลือดขึ้นหน้า ทำไมนะทั้งที่เค้กก็เพิ่งบอกว่าเคยเป็นแฟนกันก็ต้องแสดงว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แต่ทำไมผมยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี อีกอย่างที่น่าเจ็บใจก็คือ การที่เค้กเคยมีแฟนเป็นผู้ชายตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม นั่นแสดงว่าเค้าคงมีใจให้เพศเดียวกันมาตั้งนานอยู่แล้ว นี่ผมไม่น่าปล่อยให้เค้าไปมีคนอื่นมาตั้งมากมายแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าโมโหเค้าหรือโมโหตัวเองกันแน่นะผม

“แล้วตอนนี้ยังติดต่อกันอยู่ไหม”ผมสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนเป็นการข่มอารมณ์หึงหวงบ้าๆ บอๆ ของผม สงสัยผมจะเป็นเอามากเสียแล้วนี่ขนาดเค้กยังไม่ได้ตกลงยอมเป็นแฟนกับผมเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างนี่ผมหึงกระทั่งคนที่เป็นอดีตของเค้าเชียวหรือ

“ตั้งแต่เลิกรากันไปก็ไม่ได้คุยกันแล้วละ เรากับพี่เค้าจบไม่ค่อยสวยหรอกนะ อย่าให้พูดถึงเลย”เหมือนเค้กจะไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไหร่ แถมยังเหมือนจะตัดบทเพื่อไม่ให้ผมซักไซ้ต่ออีกด้วย นั่นสินะคนเรามันก็ต้องมีอดีตด้วยกันทั้งนั้นแล้วอดีตที่มันไม่น่าจดจำเราก็ไม่ควรเก็บมาใส่ใจหรอก คิดได้ดังนั้นผมก็ยิ้มให้เค้าเหมือนปลอบใจ ก่อนยิ้มของผมจะแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ เหอๆ

“ถามอีกนิดได้ไหม”ผมเริ่มคิดอะไรบางอย่างออก ด้วยการใช้ไอ้พี่ตี้นี่เป็นเครื่องมือของผมเสียหน่อยแล้ว

“อะไรเหรอ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”เค้าพูดอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ แต่ผมนี่ยิ้มอย่างผู้มีชัยอีกแล้วเมื่อเหยื่อเริ่มจะกินเบ็ดอีกแล้ว เค้กหันมายักคิ้วรอคำตอบจากผมก่อนจะยกเบียร์ดื่ม

“เค้กกับไอ้พี่ตี้นี่เคยมีอะไรกันหรือเปล่า”คำถามผมเล่นเอาเค้าเกือบจะสำลักเบียร์ ถึงแม้ผมจะไม่อยากรับฟังหรอกว่าเค้าเคยมีอะไรกันถึงไหน แต่เมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งของแผน ผมก็ต้องสานต่อ

“ถะ...ถามทำไมเหรอ”น้ำเสียงติดๆขัดๆ ค่อยๆเปล่งออกมา พร้อมกับใบหน้าของเค้าที่เริ่มมีสีแดงระเรื่อ เค้าไม่ต้องตอบก็รู้ว่าต้องเคยมีอะไรกันแล้วแน่ๆ เอาเถอะยังไงมันก็แค่อดีต ผมต้องท่องคำนี้เอาไว้ ผมถือโอกาสทึกทักเอาเองเสียเลยว่าเค้าคงมีอะไรกันแล้วแหละก่อนจะเริ่มคำถามเพื่อนำเข้าสู่แผนการขั้นต่อไป

“แล้วระหว่างไอ้พี่ตี้นั่นกับเรา ใครทำให้เค้กมีความสุขได้มากกว่ากัน”พอจบคำถามเค้กถึงกับอ้าปากค้างคงไม่คิดว่าผมจะถามอะไรแบบนี้ ตอนนี้ใบหน้าของเค้าที่แดงอยู่แล้วมันยิ่งแดงขึ้นไปอีก บ่งบอกว่าเค้ากำลังเขินอย่างมาก

“ว่าไงละ”ผมเร่งเค้าเมื่อเค้กยังคงไม่ยอมตอบคำถามผม เค้าส่งสายตาค้อนๆ ผมก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเคืองๆ สงสัยคงหมั่นไส้ผมด้วยแน่ๆ

“ใครมันจะไปรู้เล่า”ไอ้คำตอบเลี่ยงๆ แบบนี้แหละที่ผมต้องการ เค้กเอ๋ยคืนนี้นายได้เป็นของหวานก่อนนอนให้เราแน่ๆ

“ทำไมถึงไม่รู้ละ”ในเมื่อเค้าเดินมาตามเกมที่ผมวางแล้ว ผมก็ต้องรีบต้อนเค้าให้จนมุม นี่ผมเป็นจอมวางแผนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย

“ก็...ก็...ก็นั่นแหละ”เค้ายังคงบ่ายเบี่ยง อย่างอายๆ

“อ้าว ตกลงจะรู้เรื่องไหมเนี่ย”ผมถามยิ้มๆ ย้ำเค้าอีกรอบ

“ก็วันที่คอนโดเกี๊ยงเราเมานี่นา ใครจะไปจำมาเปรียบเทียบกันได้เล่า”คำตอบพาซื่อของเค้าหลุดออกมาอย่างลืมตัว คงเพราะอยากตอบเลี่ยงๆให้จบๆ ตัดรำคาญคำถามของผม แต่มันไม่จบง่ายๆ หรอก นะนายเค้ก

“งั้นก็ลองอีกรอบก่อนก็ได้ แล้วนายค่อยตัดสินอีกทีว่าใครทำให้นายมีความสุขได้มากกว่ากัน”พอพูดจบโดยไม่ทันให้เค้าตั้งตัวผมก็โน้มตัวเข้าหา พร้อมกับประกบริมฝีปากเข้าหาริมฝีปากบางของเค้าทันที


-----------------------------------------

แวะมาต่อคร๊าบบบบบ

คู่นี้ก็ยังคงเรื่อยๆ ต่อไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [4-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 04-11-2014 23:58:45
แล้วเกี๊ยงก็ลงท้ายด้วยความหื่น  :jul1:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [4-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-11-2014 18:04:54
Cake


หลังจากที่ผมใจหายใจคว่ำกับการที่เกี๊ยงบอกว่าเคยคิดจะขอผมเป็นแฟน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ อีกอย่างเรื่องมันก็ตั้งนานมาแล้วด้วย แต่ทำไมผมกลับมีความรู้สึกดีๆ กับคำพูดเหล่านั้นกันนะ ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าพูดจริงหรือเปล่า แต่การมีคนที่มารักเรามันก็คงดีกว่ามีคนเกลียด แต่เค้าจะรักเราได้นานแค่ไหนกันละ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมกลัว หลังจากพ้นผ่านเรื่องนี้ไปได้ เกี๊ยงก็มีเรื่องใหม่มากวนใจผมอีกจนได้

ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าถึงสนใจอยากจะรู้จักพี่ตี้ บุคคลผู้ซึ่งผมเคยคบด้วยตอนเรียน ม.ปลายพี่ตี้ย้ายมาเรียนที่เดียวกับผมตอนที่ผมอยู่ ม.4 ส่วนตัวพี่แกตอนนั้นเรียน ม.6 ผมกับพี่ตี้ค่อนข้างจะตัดสินใจคบกันเร็ว แต่มันก็เหมือนความรักแบบเด็กๆ คบกันเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไร นั่นคือในมุมมองของพี่ตี้ละมั้ง เพราะสำหรับผมเองมันเหมือนเราทุ่มเทเต็มที่ แต่พี่เค้ากลับมองผมเป็นแค่ของเล่นชิ้นนึง ผมจึงไม่อยากจะหวนคิดถึงอดีตตอนนั้นเท่าไหร่นัก

ตอนนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไมเกี๊ยงถึงสนใจอยากรู้ว่าพี่ตี้คือใคร เพราะตอนนี้ผมว่าเค้าต้องกำลังคิดอะไรลามกกับผมอีกแล้วแน่ๆ เพราะอยู่ๆ ก็มาถามผมว่าเคยมีอะไรกับพี่ตี้หรือเปล่า ไอ้ผมก็รู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้กับเพื่อนอย่างเค้าฟัง อีกอย่างเพราะวันนี้ผมอยู่กับเค้าสองต่อสองเพียงลำพัง มันยิ่งไม่สมควรมาคุยเรื่องอะไรแบบนี้กันตอนนี้ ไม่อย่างงั้นมันอาจจะเลยเถิดเหมือนครั้งก่อนก็เป็นได้ แต่ดูเหมือนผมจะคิดช้าไป เพราะยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวอะไร

“งั้นก็ลองอีกรอบก่อนก็ได้ แล้วนายค่อยตัดสินอีกทีว่าใครทำให้นายมีความสุขได้มากกว่ากัน”สิ้นคำพูดนั้น ผมก็ถูกจู่โจมด้วยจูบอันเร่าร้อนของเค้าแทบจะทันที ด้วยความที่ผมไม่ได้ตั้งตัวหรืออย่างไรแต่ทำไม ผมถึงคล้อยตามเค้าไปได้ นี่มันอะไรกัน แต่แล้วจู่ๆ

“เค้กๆๆ เค้กลูก ออกมาช่วยแม่ขนของหน่อยลูก”เสียงตะโกนมาจากหน้าบ้านทำให้สติผมกลับคืนก่อนจะผลักเค้าออกห่าง พร้อมกับหอบหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอด และตะโกนตอบเจ้าของเสียง

“ครับแม่”ผมตอบออกไปทั้งที่ยังงงๆ ก็ไหนว่าพ่อกับแม่ผมจะกลับมะรืน แล้วทำไมโผล่มาวันนี้ได้กันละ ผมกับเค้ายืนมองหน้ากันด้วยความตกใจ ประหลาดใจไม่แพ้กัน เค้าคงอยากจะถามผมเหมือนกันเพราะผมบอกไปว่าพ่อกับแม่จะกลับมะรืน ส่วนผมเองก็อยากจะถามแม่เหมือนกันว่าทำไมกลับมาวันนี้ มาขัดจังหวะ เฮ้ยไม่ใช่ ทำไมมากะทันหันแบบนี้ นี่ดีนะที่ไม่โผล่มาเห็นผมกับนายตะเกียงนี่นัวเนียกันอยู่ เพราะถึงแม้พ่อแม่ผมจะรับรู้ว่าผมมีรสนิยม ชอบเพศเดียวกัน แต่ผมก็ไม่เคยพาใครมาทำประเจิดประเจ้อที่บ้านเลยสักครั้ง อย่างมากก็มาทักทายแนะนำให้รู้จักพอเป็นพิธี ผมรีบจัดเสื้อผ้าผมเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินนำเกี๊ยงออกมาหน้าบ้าน

“อ้าวมีเพื่อนอยู่ด้วยเหรอลูก”แม่ผมเอ่ยถามตามมารยาท กับคนที่ยกมือไหว้พ่อกับแม่ผม นี่แม่ผมคงจำเค้าไม่ได้หรอกมั้ง แม้ว่าแต่ก่อนเราจะเป็นเพื่อนสนิทกันและเค้าก็เคยมาค้างกับผมบ่อยๆ แต่วันเวลาผ่านไปนาน และหน้าตารูปร่างของเค้าก็ค่อนข้างจะเปลี่ยนไปเยอะพอควร นี่แม่ผมคงจะคิดว่าเป็นแฟนใหม่ผมอีกตามเคย

“คุณพ่อคุณแม่ จำผมได้ไหมครับ ผมเกี๊ยงไงครับ”ผู้ที่เหมือนจะถูกลืมไปแล้วรีบออกตัวว่าคือใคร ซึ่งก็เรียกความสนใจจากบุพการีทั้งสองของผมได้เป็นอย่างดี เพราะท่านทั้งสองหันมาจ้องมองเค้าเป็นตาเดียวก่อนจะทำท่านึกออก

“อ้าวลูกเกี๊ยงที่เคยมาบ้านเราบ่อยๆ สมัยเด็กๆ นั่นใช่ไหมเค้ก”พ่อผมหันมาถามเอากับผม ซึ่งก็ได้แต่พยักหน้ารับ แล้วตอนนั้นมันเด็กตรงไหน ม.ต้นเค้าก็ถือว่าโตกันแล้ว

“อืมๆ ตอนแรกแม่ก็นึกว่าเป็น...”แม่ผมหยุดพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจะพูดอะไรออกมา ผมรู้ว่าแม่คงกำลังจะบอกว่าคิดว่าเป็นแฟนผม

“เป็นอะไรเหรอครับ”บุคคลที่ถูกกล่าวหาทางความคิด รีบชิงถามเหมือนไม่อยากเป็นแค่ผู้ที่ถูกกล่าวหา ก่อนจะรีบเข้าไปหอบหิ้วข้าวของจากแม่ผมอย่างประจบประแจงจนน่าหมั่นไส้

“ไม่มีอะไรหรอกลูก ว่าแต่นี่ไปไงมายังไง หายเงียบไปตั้งแต่ย้ายโรงเรียนคราวนั้น เลยไม่ได้ติดต่อกับเค้กมันเลยสิ ทางนี้เองก็ย้ายบ้านมานี่หลายปีแล้วเหมือนกัน สบายดีนะ”แม่ผมก็พูดเจื้อยแจ้วไปพร้อมกับช่วยกันหอบหิ้วของเข้าบ้าน ดูเหมือนคุณนายท่านจะซื้อข้าวของมาเยอะเหลือเกิน นี่ขนอะไรมาบ้างละแม่ผม

“ทานข้าวทานปลากันรึยังละนี่”แม่ผมครับพูดไป ถามไปเรื่อยแทบจะไม่เว้นช่องว่างให้ได้ตอบกันเลยทีเดียว

“ทานเรียบร้อยแล้วละครับ”เกี๊ยงตอบแม่ผมอย่างยิ้มแย้ม นี่อย่ามาทำเนียนนะ แม่ใครแม่มันนะโว้ยไม่ต้องแอบมาตีซี้เลย

“อ้าว แล้วนั่นเค้กชวนเพื่อนดื่มอีกแล้วใช่ไหม ชอบจริงๆเลยนะไอ้เหล้าเบียร์นี่ แม่ละสงสัยจริงๆ ว่ามันอร่อยตรงไหน เห็นดื่มกันยังกะน้ำหวาน แล้วนี่ชีสไปไหนละ หือ”แม่ผมพอเห็นหลักฐานวางอยู่คาตาว่าผมดื่มเบียร์ไปก็เริ่มบ่นอีกแล้วครับ จริงๆ แม่ก็ไม่ได้ห้ามดื่มหรอกครับแต่แกชอบบ่นไปแบบนั้นเองจริงๆ ไม่มีอะไรหรอก นี่ก็พาลบ่นไปถึงไอ้เจ้าน้องชายตัวดีของผมอีก ถ้าเกิดบอกความจริงไป ว่าไอ้คุณน้องชายบังเกิดเกล้าไปเมาอยู่บ้านเพื่อน มีหวังได้ฟังแม่ผมบ่นไปอีกยาว ผมหันไปมองพ่อผมก็เห็นพ่อยิ้มๆ แบบปล่อยให้แม่บ่นไปเหอะ

“ไอ้ชีสไปทำรายงานบ้านเพื่อนนะแม่”ผมจำต้องโกหกไปเพื่อให้ท่านสบายใจ การโกหกให้บุพการีสบายใจไม่ถือเป็นบาปน้า(สำหรับผม)เพราะถ้าบอกความจริงไปเดี๋ยวแม่ก็เป็นห่วงเป็นกังวลอีกจะทำให้ท่านทุกข์ใจเปล่าๆ สู้โกหกให้สบายใจจะดีกว่า ผมเห็นเกี๊ยงแอบหันมามองผมด้วยที่โกหกคำโต

“งั้นก็แล้วไป นึกว่าไปเที่ยวเล่นดื่มเหล้าอีกแล้ว”ยังกะรู้เลยครับแม่ผมเดาแม่นจริงๆ อย่างว่าแหละท่านเลี้ยงพวกผมมาทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกๆ ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ อย่างคนมีพิรุธ

“แล้วนี่ลูกเกี๊ยงดื่มไปเยอะไหมเนี่ย ต้องขับรถกลับบ้านกลับช่องอีก ไหวหรือเปล่า เค้กก็ไม่คิดเลยชวนเพื่อนดื่มเดี๋ยวก็ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุอีก จะด่งจะดื่มก็ให้รู้จักคิดหน้าคิดหลังบ้างเกิดเพื่อนฝืนขับรถออกไปจะเป็นยังไง”โหแม่ผมนี่ขนาดเพิ่งกลับมาไม่กี่นาทีแต่ร่ายยาวได้อย่างไม่มีเบรกเลยครับ

“ดื่มไปไม่กี่กระป๋องเองแม่จะเมาอะไรเล่า”ผมรีบแย้งเพราะดื่มไปนิดเดียวแทบจะยังไม่มึนเลยด้วยซ้ำ

“ไอ้เรานะมันดื่มเป็นอาชีพ เจ้าเค้กแต่เกี๊ยงละลูก ว่าไงลูกเกี๊ยงนี่ขับรถกลับไหวหรือเปล่า”ตกลงนี่ใครลูกแม่กันแน่เนี่ย รู้สึกจะห่วงผิดคนหรือเปล่านะแม่ผม

“นี่ผมก็รู้สึกมึนๆ นิดหน่อยแล้วเหมือนกันแหละครับ แต่คิดว่าพักสักครู่ก็คงหาย”คำตอบของเกี๊ยงทำเอาผมหันขวับไปจ้องเค้าเลยทีเดียว ก็จะมงจะมึนอะไรกันละ ทีเมื่อกี้ยังจะปล้ำผมอยู่เลย ตายละหว่าพอนึกเรื่องนี้ขึ้นมาดันรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเสียแล้วผม

“งั้นถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ค้างที่นี่ก่อนก็ได้ เค้กก็ดูแลเพื่อนดีๆ แล้วกัน เดี๋ยวพ่อกับแม่ขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนแล้วกัน วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะลูก”แม่ผมหันมาสั่งลาลูกชายคนใหม่พร้อมกับคำสั่งกลายๆให้ผมดูแลก่อนจะพากันขึ้นชั้นสองไปกับพ่อ

“กลับได้แล้วมั้ง”ผมเอ่ยปากไล่แขกอีกรอบ คราวนี้ไม่เกรงจงเกรงใจ ไม่กลัวเพื่อนน้อยใจแล้วครับ เพราะเริ่มรู้สึกว่าเค้ากำลังคิดจะทำอะไรสักอย่าง

“อ้าวเมื่อกี้ไม่ได้ยินเหรอ คุณแม่บอกว่าถ้าไม่ไหวก็ค้างที่นี่ได้นี่นา”คุณเพื่อนตัวดี ยังคงตีหน้าทะเล้นไม่เห็นว่าอยากจะกลับเลยสักนิด

“ไม่ได้เมาเลยสักนิดไม่ใช่เหรอ”ผมหันมาเก็บพวกเบียร์ที่เราดื่มไป เหมือนเป็นการไล่แขกทางอ้อม

“ว้านึกว่าเค้กจะอยากให้ค้าง เพื่อที่เราสองคนจะได้สานต่อจากเมื่อสักครู่เสียอีก”นั่นไงว่าแล้วว่าต้องวกมาเรื่องนี้อีกจนได้ ไอ้ผมละอุตส่าห์จะไม่คิดแล้วนะเนี่ย แต่ดูเค้าจะพยายามต้อนผมให้จนมุมอยู่ตลอดเลยนะเนี่ย

“เฮ้ย...จะทำอะไรเนี่ย”พอผมหันหลังกลับเข้าหาเค้าผมก็ต้องตกใจเพราะเค้าเล่นมายืนชิดผมอยู่ แถมด้วยความตกใจทำให้ผมเซเพราะจะเบี่ยงตัวออกจากเค้า แต่เค้ากลับเอื้อมมือมารั้งผมไว้ ทำให้ตอนนี้เหมือนเค้ากำลังจะกอดผม ผมเลยต้องรีบห้ามเค้าเสียก่อนเพราะตอนนี้ในบ้านไม่ได้มีแค่ผมกับเค้า(ถ้ามีกันสองคนนี่จะยอมว่างั้น)

“ทำแค่นี้แหละ”เหมือนการห้ามปรามของผมจะไม่เป็นผลเพราะ เค้ากอดกระชับผมเข้าพร้อมกับแนบริมฝีปากมาที่แก้มของผมเนิ่นนาน ก่อนจะค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก ผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่รู้จะทำยังไง ไอ้ครั้นจะขัดขืนก็ไม่รู้ว่าร่างกายเป็นอะไรทำไมไม่ต่อต้านเค้าก็ไม่รู้

“งั้นวันนี้เรากลับก่อนก็ได้ แต่เค้กต้องสัญญาว่าจะให้เรามาหาได้บ่อยๆ นะ”ดวงตาที่มุ่งมั่น แต่เหมือนจะแฝงไปด้วยความหมายอีกหลายอย่างของเค้า จ้องมองลึกลงมาในดวงตาของผม เหมือนกำลังค้นหาคำตอบบางอย่างจากผม แต่ให้ตายซิ ทำไมผมรู้สึกอยากจะสัมผัสริมฝีปากของเค้าที่อยู่ไม่ห่างนั่นจังเลย อย่าบอกนะว่านี่ผมจะเริ่มหวั่นไหวกับเพื่อนคนนี้เสียแล้ว

“แล้วใครเค้าจะไปห้ามนายได้กันละ”ผมจำต้องรีบเบือนหน้าหลบสายตา พร้อมกับตอบรับกลายๆ ว่าอนุญาตให้เค้ามาหาได้บ่อยๆ

“สัญญาแล้วนะ”เกี๊ยงยิ้มกว้างให้กับผม

“อืม”ผมเพียงรับคำสั้นๆเท่านั้น ก่อนจะเดินออกมาส่งเค้ากลับบ้าน

“ฝันดีนะ อย่าลืมฝันถึงเราด้วยละ”


---------------------------------------------
แวะมาต่อเหมือนเดิมคร๊าบบบ

สุขสันต์วันลอยกระทงล่วงหน้านะคร๊าบบบ

พรุ่งนี้แล้ว เที่ยวกันให้สนุก หวังว่าทุกคนจะมีคู่ลอยกระทงกันแล้ว  o22 o22
:bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 06-11-2014 17:34:55
Ta-kiang


ผมจ้องมองเบอร์โทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อ กำลังคิดอยู่ว่าจะโทรหาเค้าหรือไม่โทรดี ใจจริงก็อยากจะโทรนั่นแหละ แต่กลัวเค้าจะหาว่าผมบ้าเพราะเพิ่งกลับจากบ้านเค้าแล้วยังจะโทรหาเค้าอีกเหรอ

“เฮ้อ...”ผมถอนหายใจยาว วันนี้ผมต้องแอบผิดหวังที่อยู่ๆ พ่อแม่ของเค้ากลับมาก่อนกำหนด ผมเลยอดที่จะดำเนินแผนการกับเค้กต่อ แต่ผมจะไปโกรธพวกท่านไม่ได้หรอก เพราะพวกท่านเป็นว่าที่พ่อตา แม่ยายของผม อีกอย่างดูท่าทางพวกท่านก็ดูจะเอ็นดูผมอยู่เหมือนกันนะ  สงสัยผมต้องรีบทำคะแนนจากฝั่งผู้ใหญ่บ้างแล้ว เข้าทางพ่อแม่เค้าก็น่าจะเป็นผลดีกับผมเหมือนกันนะ

“เฮ้ย...”ผมสะดุ้งตกใจหัวใจแทบวาย ที่อยู่ๆ โทรศัทพ์ผมดันแผดเสียงร้องขึ้นมาอย่างดัง พอหยิบขึ้นมาดู หัวใจผมยิ่งเต้นโครมครามมากขึ้นไปอีก ก็คนที่โทรเข้ามาหาผมนี่สิ

“ที่รัก ที่รักงั้นเหรอ นี่เค้กโทรหาเรางั้นเหรอ”ผมได้แต่ตะโกนอยู่คนเดียวแทนที่จะกดรับ เพราะตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูก นี่มันอะไรกันก็แค่เค้าโทรหาผม ผมจะตื่นเต้นทำไมกัน ผมรวบรวมสติก่อนจะกดรับ

“ว่าไงครับที่รัก”ผมทำเสียงเจ้าชู้ส่งไปตามสาย เก๊กเสียงหล่อเต็มที่ อยากรู้จังว่าเค้าคิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงเค้าบ้างไหมน้า แค่ในฐานะเพื่อนคนนึงก็ยังดี  แต่เค้าคงคิดถึงผมบ้างแหละไม่งั้นจะโทรหาผมทำไมกัน

“แม่ให้โทรมาถามว่ากลับถึงบ้านปลอดภัยดีไหม แม่เค้าเป็นห่วงกลัวว่านายเมาขับรถไม่ไหว”ว้าที่แท้ก็คุณแม่ยายที่เป็นห่วงผม นึกว่าเค้าจะห่วงใยผมเสียอีก แต่ไม่เป็นไรเพราะนี่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วละ

“แม่หรือลูกกันแน่น้า ที่เป็นห่วงเรา หือ...เค้กเป็นห่วงเราก็บอกมาเหอะ เอะหรือคิดถึงเราอยากได้ยินเสียงก่อนนอน”คนอย่างนายตะเกียงมันไม่ยอมละความพยายามหรอกน่า

“ใครจะไปห่วงนายกันเล่า เบียร์ก็ดื่มไปนิดเดียว นายเองก็ไม่ได้เมาซะหน่อย แค่โทรมาตามคำสั่งแม่เท่านั้นแหละ”เค้าทำเสียงฮึดฮัดเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่ผมจะคิดว่าเค้าพูดประชดผมเพราะเขิน คิดแบบนี้ผมมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเยอะเลย

“นั่นสินะเค้กก็รู้ว่าเราไม่ได้เมา งั้นก็คงคิดถึงเรามากๆ แน่เลยเพราะขนาดไม่ได้เป็นห่วงยังยอมโทรมาหาเราเลย หรือว่าเค้กเกิดชอบเราขึ้นมาเสียแล้ว”ผมแกล้งแย่เค้าไปอีก

“ใครเค้าจะไปเป็นแบบนั้นกันเล่า ไม่คุยด้วยแล้ว”

“เดี๋ยวๆๆ ...อ้าว วางซะแล้ว”ไม่น่าเลยผมได้คุยกับเค้านิดเดียวเอง แต่แค่นี้มันก็ทำให้ผมหลับฝันดีแน่ๆ เลย

หลังจากวันนั้น ผมก็ยังไม่ได้แวะเวียนไปบ้านของเค้กอีกเลย เพราะช่วงนี้งานผมสุมหัวเหลือเกิน ขนาดแค่เวลาจะโทรหาเค้าผมยังไม่ค่อยจะมี ถ้าผมว่างโทรไปเค้าก็ไม่ว่างซะงั้น จะทำได้ก็แค่เพียงส่ง sms หยอกนิดหยิกหน่อยแค่นั้นเอง แต่ยังไงผมก็ต้องตั้งสติกับการทำงานก่อน แม้จะคิดถึงเค้กแค่ไหนก็เถอะผมจะเสียงานเสียการไม่ได้ เพื่ออนาคตของเราสองคนผมต้องรีบก่อร่างสร้างตัว(เค้าจะยอมมีอนาคตด้วยหรือเปล่ายังไม่รู้เลย)

“เฮ้ย”ผมอุทานด้วยความตกใจ เพราะมีเบอร์นึงโทรเข้ามาหาผม แล้วมันบันไว้ว่า “ที่รัก”ด้วยนี่สิ ครั้งที่สองแล้วที่เค้กโทรหาผม ปกติมีแต่ผมที่โทรไป แม้ครั้งแรกที่เค้าเคยโทรมาจะบอกว่าแม่ให้โทรมาผมก็ดีใจอยู่ดี ครั้งนี้หวังว่าเค้าจะเป็นคนโทรมาเองนะ

“มัวแต่ตื่นเต้นอยู่รึไง รับช้าเหลือเกินเพ่”เสียงที่ออกมาจากปลายสายทำเอาผม ดีใจเก้อ ก็มันใช่เค้กของผมที่ไหนกัน น้ำเสียงกวนๆแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องชายจอมกวนของเค้ก เจ้าชีสนั่นเอง

“ก็นึกว่า...”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบอีกฝ่ายก็สวนมาก่อนแล้วครับ

“นึกว่าที่รักโทรมาละสิ แหมไอ้เค้กก็บันทึกเบอร์พี่ว่าที่รักซะด้วยนิ หรือว่าพี่เป็นคนทำ”ผมไม่ได้ตอบแต่หัวเราะแห้งๆให้อีกฝ่ายทราบว่าผมเป็นคนทำเองนั่นแหละ

“ว่าแต่นี่โทรมามีอะไรกับพี่หรือเปล่า”เพราะอยู่ดีๆ ชีสคงไม่ได้จะโทรมากวนผมเล่นเฉยๆหรอกมั้งเนี่ย

“ก็เห็นพี่หายไปเลย อยากรู้ว่าถอดใจจากพี่ผมไปหรือยังทำไมไม่เห็นมาทำคะแนนเลย ปล่อยให้คนอื่นมาก่อความวุ่นวายอยู่ได้”คนอื่นมาก่อความวุ่นวาย หมายความว่าไงกัน

“มีคนไปจีบเค้กเหรอ”ผมถามด้วยความร้อนรน

“ไม่เชิงหรอกมั้ง อยากรู้ป่ะละ ถ้าอยากรู้เย็นนี้ก็แวะมาโรงพยาบาลหน่อยแล้วกัน”โรงพยาบาล นี่มันอะไรกัน ผมไม่ได้เจอกับเค้กไม่นาน เค้าเป็นอะไรหรือเปล่า

“เค้กเข้าโรงพยายบาลเหรอ”รีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง

“พ่อผมความดันขึ้นนะไม่ใช่ไอ้เค้กหรอก ยังไงเย็นนี้ถ้าว่างก็แวะมาหน่อยแล้วกัน มีหลายๆเรื่องที่พี่น่าจะได้รู้ไว้บ้าง แล้วก็จะได้มาทำคะแนนกับว่าที่พ่อตาด้วยไง นี่ผมเห็นว่าพี่น่าจะรักไอ้เค้กมันจริงนะ ไม่งั้นผมไม่ลงทุนหลอกยืมโทรศัพท์ไอ้เค้กมาทำแบบนี้หรอก”คำพูดของชีสทำเอาผมต้องรีบเคลียร์ทุกอย่างเพื่อเย็นนี้เสียแล้ว ชีสคุยกับผมอีกนิดหน่อยพร้อมกับบอกโรงพยาบาลที่พ่อพวกเค้ารักษาตัวก่อนจะวางสายไป ผมไม่ลืมที่จะขอเบอร์ผู้ช่วยอย่างชีสไว้ด้วย จะได้ไว้ขอคำปรึกษาจากเค้าเพราะชีสคงมีอะไรดีๆแนะนำผมให้พิชิตใจพี่ชายเค้าได้แน่ๆ




ตกเย็นผมเคลียร์งานเรียบร้อย แวะหาซื้อของเยี่ยมคนป่วยเป็นพวกของบำรุงนิดหน่อย ผมไม่ค่อยรู้ว่าคนที่เป็นความดันต้องบำรุงอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ก็เลยซื้อสุ่มไปก่อน หวังว่าที่ผมซื้อไปจะไม่ใช่ของต้องห้ามสำหรับคนป่วยนะ ผมไม่ได้ทานข้าวเย็นไปก่อนตามคำแนะนำของชีส เพราะจะได้ชวนเค้กไปทานข้าวได้ ชีสบอกว่า เค้กจะยังไม่ทานข้าวแน่นอนเพราะปกติจะแวะเฝ้าคุณพ่อก่อน แล้วหัวค่ำตอนกลับค่อยออกมาหาไรกิน คนที่นอนเฝ้าคุณพ่อคือคุณแม่นั่นเอง แต่ชีสก็ไปเฝ้าด้วยเกือบทุกวันแต่กว่าจะไปก็อาจจะดึกหน่อย บางวันเค้กก็อยู่เป็นเพื่อนแม่จนกว่าชีสจะมา หรือบางวันชีสก็จะมาพร้อมแม่จากบ้าน ตอนที่แม่กลับไปเอาของที่บ้านระหว่างที่เค้กเป็นคนอยู่เฝ้าในช่วงเย็น

ผมเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปในห้องคนไข้ที่ชีสบอกไว้ คงไม่ถือเป็นการเสียมารยาทนะเพราะปกติ ห้องในโรงพยาบาลเค้าก็คงไม่มีใครรอให้คนในห้องมาเปิดประตูให้ พอเข้าไปผมเห็นภาพคุณพ่อกับคุณลูกกำลังคุยกันอยู่ แต่คงเพราะเสียงที่ผมเปิดประตูเข้ามาแม้จะไม่ดังมากแต่ก็ทำให้ทั้งสองหันมามองผม

“สวัสดีครับคุณพ่อ”ผมยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำทักทาย ก่อนจะยื่นของเยี่ยมให้กับเค้กซึ่งมองผมอย่างแปลกใจว่าไปยังไงมายังไงถึงได้มานี่ได้

“ไปไงมาไงละลูก”เหมือนคุณพ่อจะรู้ว่าลูกชายตัวเองสงสัยแต่ด้วยเพราะมีฟอร์มคุณพ่อเลยถามแทน

“ก็พอดีแวะไปหาเค้กที่บ้านนะครับ แล้วเห็นชีสบอกว่าคุณพ่ออยู่นี่ก็เลยมาเยี่ยมนะครับ”ผมตอบออกไปอย่างมีไมตรี ก่อนมาผมไม่ได้แวะเข้าไปที่บ้านของพวกเค้าหรอกนะครับ แต่เพื่อความสมจริง เจ้าชีสบอกผมว่ามีช่วงที่คุณแม่ออกไปซื้อของเดี๋ยวจะบอกว่าผมแวะเข้าไปช่วงนั้น นี่ผมไม่ได้วางแผนอะไรเองนะเนี่ย เป็นการให้ความร่วมมือจากเจ้าชีสล้วนๆ โกหกผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ผมจะบาปไหมน้อ

“แล้วนี่เจ้าชีสกับแม่จะมาตอนไหน”คุณพ่อเอ่ยถามถึงอีกสองคน

“เห็นชีสว่ารอคุณแม่ไปซื้อของนะครับตอนที่ผมแวะเข้าไป”อันนี้ต้องโกหกต่อเนื่องเพื่อความสมจริง คุยกันสักพักแม่กับเจ้าชีสก็มาถึง ก็กล่าวทักทายกันพอประมาณ ดีที่ผมพอจะคุ้นเคยกับครอบครัวนี้มาพอสมควรแล้ว แม้จะห่างเหินกันไปนานแต่มันก็ช่วยให้ผมไม่เคอะเขินมากนัก จะมีเขินๆ นิดหน่อยก็ตรงที่คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องมาเป็นพ่อตาแม่ยายผมนี่สิ

“นี่ยังไม่ได้กินข้าวกินปลากันใช่ไหมลูก”คุณแม่เริ่มถามด้วยความห่วงใย เจ้าชีสแอบยักคิ้วให้ผมเล็กน้อยเป็นสัญญานว่าเดี๋ยวผมต้องเริ่มแผนการขั้นต่อไปด้วย

“ยังไม่หิวนะแม่”เค้กตอบเหมือนไม่ค่อยจะใส่ใจ ปกติแม่กับชีสจะทานกันเรียบร้อยมาจากบ้าน เพราะเค้กจะให้ที่บ้านเตรียมไว้ให้ตอนกลับค่อยทานที่บ้าน ส่วนคุณพ่อก็จะทานที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ และวันนี้ชีสน่าจะจัดการให้ผมแล้วว่าไม่ให้คุณแม่เตรียมกับข้าวไว้ให้เค้ก

“แต่แม่ไม่ได้เตรียมกับข้าวไว้ให้นะ เห็นว่าลูกเกี๊ยงมาเลยจะให้ลูกเกี๊ยงพาลูกชายแม่ไปกินข้าวหน่อย ช่วงนี้ยิ่งดูเครียดๆอยู่ ไปกับเพื่อนกับฝูงบ้างเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น ยังไงแม่ฝากหน่อย”คุณแม่คุยกับเค้กก่อนจะหันมาบอกผมอีกที ไอ้ผมก็ตอบตกลงแทบจะทันทียังแอบคิดว่านี่คุณแม่กำลังเปิดทางต้อนรับลูกเขยอย่างผมหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่ปักใจเพราะเหมือนเค้กจะมีปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่า

แถมเจ้าตัวเค้าเองก็ตั้งแง่ปฏิเสธไม่ยอมไปกับผมท่าเดียว แต่ก็โดนคุณแม่พูดโน้มน้าวแกมบังคับ จนในที่สุดก็ยอมมากับผมจนได้ เราไปทานข้าวกันที่ร้านอาหารไทย ที่ตกแต่งร้านได้ดูร่มรื่นดี บรรยากาศเปิดเพลงเบาๆ ใช้ได้ทีเดียวเหมาะกับคู่รักอย่างผม(ขี้ตู่อีกแล้วตู)

“ดูเครียดๆ เป็นไรหรือเปล่า”ผมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเพราะดูๆ เค้กออกจะกังวลอะไรบางอย่างอยู่ไม่น้อย

“เราทำให้พ่อความดันขึ้น ทำให้พ่อต้องเข้าโรงพยาบาล”แล้วเค้กก็ร้องไห้ออกมาเหมือนอัดอั้นมานาน จนผมอดจะตกใจไม่ได้ แต่ก็ปลอบเค้าทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง นี่มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ




------------------------------------
แวะมาต่อก่อนไปลอยกระทงคร๊าบบบบ

สุขสันต์วันลอยกระทงทุกคนนะครับ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [6-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 06-11-2014 23:52:49
แลดูคู่นี้ไม่ค่อยมีปัญหานะ ค่อยๆเรียนรู้กันไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [6-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 08-11-2014 15:37:42
Ta-kiang




“ดีขี้นไหม”ผมยื่นทิชชู่ให้เค้าซับน้ำตา โดยที่ตอนนี้ผมถือวิสาสะย้ายมานั่งข้างเค้าเรียบร้อย จากที่ตอนแรกนั่งอยู่ตรงข้ามกันคนละฝั่ง เค้กเช็ดน้ำตา พร้อมกับพยักหน้าบอกผมว่าเริ่มรู้สึกดีขึ้น คงเพราะได้ร้องได้ออกมาแล้วนั่นเอง ผมเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าการร้องไห้ก็เป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ผ่อนคลายได้เหมือนกัน บางทีอัดอั้นหรือเก็บอะไรไว้ในใจมากๆ บางทีพอร้องไห้มันก็เหมือนได้ระบายออกมา

“เรานี่ขี้แยเนอะ มาร้องได้อะไรเอาตรงนี้ โทษทีนะ”เค้กบอกอย่างเขินๆ นี่คงจะรู้สึกอายๆขึ้นมาละมั้งเนี่ย เพราะดูหน้าเค้ามีสีแดงระเรื่อขึ้นมาหน่อยๆ ว่าแต่นี่เค้าหนักอกหนักใจอะไรกันนะ แถมยังบอกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อเค้าความดันขึ้นอีก แต่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลผมก็เห็นเค้กกับพ่อก็ดีๆ กันอยู่ไม่น่าจะมีอะไรนี่นา ต่อมความอยากรู้ของผมเริ่มทำงานมากขึ้น แต่จะให้ถามตรงๆ มันก็ดูจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“อยากเล่าหรือระบายอะไรไหม”ผมถามออกไปเป็นการหยั่งเชิงเพราะถ้าบางทีเค้าอาจไม่อยากเล่าอะไร ผมก็คงไม่มีสิทธิ์ที่จะละลาบละล้วงเค้าใช่ไหมครับ แต่ถ้าเค้ายอมเล่านี่แสดงว่าเค้าคงเริ่มเปิดใจรับผมมากขึ้นแล้วละมั้ง

“ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี”เค้าเหมือนทำท่านึก นี่แสดงว่าเค้ากำลังจะเล่าให้ผมฟัง ผมยิ้มให้เค้าอย่างที่คิดว่าจริงใจที่สุดในชีวิต กะให้เค้าสัมผัสถึงความจริงใจที่ผมมีให้เค้าบ้าง

“จำผู้ชายคนที่เราเคยเจอที่ลานเบียร์ได้ไหม”คำถามที่เค้าตั้งเอากับผมทำให้นึกย้อนไปเมื่อวันที่ผมได้เจอเค้าครั้งแรกหลังจากไม่ได้เจอกันเสียนาน วันที่ผมตามเค้าไปบาร์เกย์ ก่อนจะไปดื่มกันและจบลงที่คอนโดของผม แค่คิดก็รู้สึกอยากกลับไปวันนั้นอีกสักครั้ง อ้าวเฮ้ย นี่เค้าให้ผมนึกถึงไอ้คนที่เจอกันที่ลานเบียร์นี่นา ผมพยักหน้าว่าจำได้ก็ไอ้คนที่เคยเป็นแฟนกับเค้ก แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงหว่า

“เค้าไปหาเราที่บ้าน ตามไปง้อให้เราคืนดีกับเค้า ตื๊ออยู่หลายวัน แต่โดนเราปฏิเสธตลอดเค้าเลยโมโหมีปากเสียงกันพอสมควร แล้วพ่อดันมาเจอตอนทะเลาะกันพอดี แม้ว่าที่บ้านเราจะรู้ว่าเราเป็นเกย์ แต่พ่อเราที่เป็นโรคความดันอยู่แล้ว และท่านก็เครียดๆ กับที่เราเปลี่ยนคนที่คบด้วยบ่อยๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอไอ้บ้านั้นตะโกนด่าเราปาวๆ ว่าสำส่อนมั่วไม่เลิก พ่อเลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ ถึงพ่อจะบอกว่าไม่ใช่เพราะเรา ไม่อยากจะโทษว่าเป็นความผิดเรา พ่อมักจะบอกว่าท่านแก่แล้วมันก็ต้องมีเจ็บป่วยแบบนี้เป็นธรรมดา แต่เรารู้ว่าที่เป็นแบบนี้มันเพราะตัวเราเอง ทำไมกัน ทำไมเราต้องเป็นคนแบบนี้”เค้กมีน้ำตาปริ่มๆ ออกมาอีกแล้ว จนผมต้องดึงตัวเค้าซบมาที่ผม ฟังแล้วก็ชักนึกโมโหไอ้บ้าลานเบียร์นั่นจริงๆ เลย มาทำให้ครอบครัวเค้าปั่นป่วน แต่เอะจากที่เค้กเล่ามา มันเหมือนจะมีข้อดีสำหรับผมอยู่บ้างนะเนี่ย เพราะถ้าคุณว่าที่พ่อตาไม่อยากให้ลูกชายสุดที่รักเปลี่ยนแฟนบ่อย เดี๋ยวผมจะอาสาเป็นแฟนถาวรให้ลูกชายคุณพ่อเองครับ
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ท่านก็แค่เป็นห่วงเค้กเท่านั้นแหละ จากนี้ไปถ้าไม่อยากให้ท่านเป็นห่วงอีกเค้กก็ไม่ต้องเปลี่ยนแฟนบ่อยๆ แบบนั้นอีกไง แล้วก็ยกตำแหน่งนั้นให้เราเดี๋ยวจะรักษาไว้เท่าชีวิตเลย”ผมพูดที่เล่นทีจริงให้เค้าผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่พอเค้าเงยหน้ามามองผม ผมก็จ้องตอบด้วยแววตาที่มุ่งมั่นเพื่อให้เค้ารับรู้ว่าผมหมายความอย่างที่พูดจริงๆ

“คบเกี๊ยงเป็นแฟนมีแต่พ่อเราจะทรุดหนักกว่าเดิมละไม่ว่า”เค้าพูดอย่างล้อๆ ก่อนจะขืนตัวออกจากผม แหมจะรีบออกไปไหนยังสูดกลิ่นเค้กไม่เต็มปอดเลย

“ไหงงั้นอ่ะ เราออกจะเตรียมตัวเป็นลูกเขยที่ดีรอแล้วนะเนี่ย”เมื่อเห็นเค้าเริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ปฏิบัติการของผมก็ต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง โอกาสอย่างนี้ต้องรีบคว้าครับ แต่เค้าแสร้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดของผม

“ไปนั่งฝั่งนู้นได้แล้ว ทานข้าวกันดีกว่า ชักหิวแล้ว”เค้าผลักไสให้ผมไปนั่งอีกฝั่งตรงข้ามเค้า ผมแกล้งยื้อยุดกับเค้าเล็กน้อย ก่อนจะยอมย้ายไปนั่งอีกฝั่ง

“วันหยุด เราไปดูหนังกันไหม”เสาร์อาทิตย์นี้ผมว่างหลังจากโหมงานหนักมาหลายสัปดาห์แล้ว ส่วนเค้กคิดว่าเค้าไม่น่าจะติดธุระอะไร อีกอย่างดูคุณพ่อเค้าก็คงอีกไม่กี่วันน่าจะกลับบ้านได้แล้ว คงจะไม่เป็นการเสียมารยาทเท่าไหร่ที่จะชวนเค้กออกเดท

“เราไม่ว่างไว้วันหลังแล้วกันนะ”คำตอบของเค้าทำเอาผมต้องถอนหายใจ อะไรกันนึกว่าเค้าจะว่างไปกับผมเสียอีก

“วันหยุดยังต้องทำงานอีกเหรอ”ผมพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจหน่อยๆ เพื่อให้เค้าสงสารเผื่อจะเปลี่ยนใจไม่ทำงาน แล้วไปเดทกับผมแทน เค้าคงไม่เสียการเสียงานเท่าไหร่หรอก แต่ถ้างานเสียมีปัญหาหรือโดนไล่ออกก็ไม่เป็นไร แฟนคนเดียวผมเลี้ยงได้ แหมๆไม่ทันไรดันแช่งให้เค้าโดนไล่ออกซะแล้วผม

“ไม่ได้ทำงานหรอก พอดีต้องไปธุระต่างจังหวัดหน่อย”อ้าวไม่เห็นบอกกันบ้างเลยว่าจะไปต่างจังหวัด (ก็กำลังบอกอยู่นี่ไงฟร่ะ ไอ้ฟาย)

“ไปทำอะไรเหรอ”ถึงจะเสียมารยาทละลาบละล้วง แต่ผมก็ต้องฝึกเค้าเอาไว้หน่อย ให้เค้กชินเวลาเราเป็นแฟนกันจริงๆ จะได้ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังกัน จะไปไหนมาไหนต้องบอกเล่าให้อีกฝ่ายทราบบ้าง

“ไปงานแต่งนะ”

“ไม่เห็นชวนกันบ้างเลย”ผมแสร้งทำเป็นน้อยใจ ทั้งๆที่จะน้อยใจเค้าทำไมเพราะงานแต่งใครก็ไม่รู้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเท่าไหร่

“ไม่ใช่งานเรานิจะได้เชิญใครไปได้ตามใจชอบ”เค้กหันมาว่าผมอย่างไม่จริงจังนัก

“ถ้างานเค้กไม่ต้องเชิญยังไงเราก็ต้องไปอยู่แล้ว”ผมบอกออกไปยิ้มๆ แต่เค้กทำหน้างงๆ อย่างไม่เข้าใจผมเลยต้องอธิบายต่อ

“ก็เราต้องไปเป็นเจ้าบ่าวให้เค้กอยู่แล้วนี่นา จริงไหม”พูดจบก็ยิ้มประจบประแจงเค้าเต็มที่

“ไอ้บ้า ทะลึ่ง”เค้าว่าผมอย่างงอนๆ แต่ผมไม่ถือเค้าหรอก ออกจะน่ารักขนาดนี้ ว่าอะไรผมก็ไม่ถือสาทั้งนั้นแหละ

“แต่จริงๆ งานแต่งนี่ก็เพื่อนเรานี่แหละ เกี๊ยงจำไอ้เอกได้ไหม เพื่อนที่เคยเรียนมัธยมด้วยกันนะ”ผมพยายามนึกถึงเพื่อนคนที่เค้กพูดถึง ก็พอจะจำได้ลางๆ เพราะมันก็หลายปีมาแล้ว ป่านนี้คงเปลี่ยนไปเยอะแล้ว ผมพยักหน้ากับเค้กว่าพอจะจำไอ้เอกนี่ได้บ้าง

“ที่เอกมันไม่เชิญเกี๊ยงคงเพราะไม่มีที่อยู่หรือเบอร์ติดต่อมั้ง แต่ที่มันติดต่อเราได้เพราะตอนม.ปลายมันก็เรียนที่เดิมเหมือนเรานั่นแหละ งานนี้เพื่อนๆ สมัยมัธยมคงไปเยอะพอสมควร”แบบนี้ถ้าผมขอเนียนตามไปด้วยก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรใช่ไหมครับ เพราะก็ถือว่าเจ้าบ่าวเป็นเพื่อนผมเหมือนกัน

“เกี๊ยงจะไปไหมล่ะ แต่เจ้าภาพเค้าไม่ได้เชิญแบบนี้ กล้าไปอยู่เหรอ”แนะดูพูดเข้า ที่รักของผม เค้าไม่ได้เชิญผมแต่เชิญเค้กแค่นี้ผมก็ไปได้แล้ว เพราะอะไรนะเหรอครับ

“เดี๋ยวเราไปในฐานะแฟนเค้กไง แค่นี้ก็ถือว่าเค้าเชิญแล้วเพราะเค้าไม่ได้บอกนิว่าเค้กต้องไปคนเดียว เค้าคงให้พาแฟนได้ด้วยได้ใช่ไหมละ”คนอย่างนายตะเกียงซะอย่าง เนียนไปเรื่อยแหละครับ เค้กกำลังตั้งท่าจะว่าผมอีกแล้วแต่ผมชิงพูดต่อขึ้นเสียก่อน

“แล้วบ้านไอ้เอกไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯนี่เหรอ ทำไมต้องไปแต่งที่ต่างจังหวัดด้วย”ผมเอ่ยออกไปด้วยความสงสัยเพราะจำได้ว่าเพื่อนคนนี้ก็คนกรุงเทพฯ นี่นา เราเรียนด้วยกัน หรือมันย้ายบ้านไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วหว่า

“ก็ไปแต่งที่บ้านแฟนมันไง”เค้กตอบอย่างเสียไม่ได้แต่เหมือนจะยังเคืองๆ ที่ผมตู่เอาว่าจะไปในฐานะแฟนเค้านะเนี่ย

“แล้วตกลงจะให้เราไปด้วยได้หรือเปล่าเนี่ย”ต้องรีบตกลงครับเดี๋ยวจะไม่ได้ไปกับเค้า

“อยากไปก็ไปสิ ใครจะไปห้ามนายได้กันล่ะ”เหอๆ ตอบแบบนี้ก็เสร็จผมสิครับ

“แสดงว่าตกลงเป็นแฟนกับเราแล้วใช่ไหม”เค้าหันมามองผมแทบจะทันทีคงจะไม่เขาใจละสิว่าทำไมผมพูดทึกทักเอาแบบนี้

“ก็ถ้าเราจะไปได้ก็ต้องไปในฐานะแฟนเค้ก แล้วนี่เค้กให้เราไปด้วยก็แสดงว่าเราสองคนเป็นแฟนกันแล้ว ทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย”คำหลังนี่ผมเน้นเป็นพิเศษ พร้อมสายตาเจ้าชู้ที่ส่งให้เค้าอย่างมีความนัยแฝงไว้เต็มที่ แต่เค้ากลับเชิดหน้าใส่ผมซะงั้น จากตอนแรกที่เหมือนจะว่าผม แต่คงวิเคราะห์แล้วว่าพูดอะไรมาไอ้คนอย่างผมมันตีความเอาเข้าตัวหมดอยู่แล้ว เลยถือคติไม่ต่อความยาวสาวความยืดใช่ไหมล่ะ แต่เสียใจด้วยการเงียบเช่นนี้ก็เข้าทางผมเหมือนกัน

“ไม่ตอบนี่แสดงว่าเป็นอันตกลงแล้วนะ”เค้าหันมาอ้าปากเตรียมพร้อมเต็มที่แต่ผมก็ทำหน้าทะเล้นใส่โดยไม่สนใจท่าทีของเค้า ยังไงซะการไปต่างจังหวัดคราวนี้ผมก็จะไปในฐานะแฟนของเค้า เอะว่าแต่ไปนี่ต้องค้างคืนด้วยหรือเปล่าน้า เหอๆ แบบนี้มันต้องมีลุ้นอะไรดีๆ ซะแล้ว

และแล้ววันที่ต้องไปต่างจังหวัดก็มาถึง ตอนนี้คุณพ่อของเค้กก็ออกจากโรงพยาบาลมาเรียบร้อยแล้ว เค้กเองก็ดูสบายใจขึ้นเยอะแล้วละครับ วันนี้เราตกลงกันว่าจะออกเดินทางช่วงเช้าของวันเสาร์เพราะงานเค้าจัดกันตอนเย็น จังหวัดที่เราจะไปกันก็ขับรถประมาณห้าหก ชั่วโมงก็คงถึงบ่ายๆ เห็นเค้กว่าทางเจ้าภาพเตรียมโรงแรมที่พักไว้ให้เหมือนกันแต่อาจจะไม่เพียงพอ เราเลยตกลงกันว่าจะหาที่พักเอง อีกอย่างหลังจากเสร็จงานก็คงค้างคืนก่อน ค่อยกลับตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้ผมละนับวันรอให้ถึงวันนี้วันที่จะได้ไปค้างคืนกับเค้กสองคน งานนี้ยังไงไอ้ตะเกียงต้องกินเค้กให้ได้ ฮ่าๆๆ สงสัยใกล้บ้าเต็มทีแล้วครับผม

“ขับรถดีๆ นะ ถ้าลูกเกี๊ยงไม่ไหวก็เปลี่ยนให้เจ้าเค้กขับบ้างก็ได้นะ”คุณแม่สั่งความตอนที่ผมเข้าไปรับเค้กที่บ้าน

“ไม่ต้องห่วงครับยังไงก็ไหว”ผมบอกออกไปอย่างขึงขัน พร้อมกับเบ่งกล้ามโชว์คุณแม่ซะเลย คุณแม่หัวเราะชอบใจใหญ่แต่อีกคนดูจะเริ่มหมั่นไส้ผมเสียแล้วมั้งนะ ก็กล่าวล่ำลาคุณแม่แล้วก็ออกเดินทางกันครับ ระหว่างทางผมก็หยอดเรื่อยๆ แหละครับ เผื่อเค้กจะยอมใจอ่อนบ้าง เราถึงที่หมายในช่วงบ่ายนิดหน่อย เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลางานเริ่ม หลังจากเลือกโรงแรมที่จะพักได้ และทานอาหารกลางวันที่มาทานเอาตอนบ่ายเรียบร้อยแล้ว ก็กะว่าจะงีบพักซักหน่อยเพราะ รู้สึกล้าๆ จากการขับรถมาเหมือนกัน กะว่าใกล้ถึงเวลาแล้วค่อยพากันอาบน้ำแต่งตัวไปที่งาน

“นอนพักหน่อยไหม”ผมเอ่ยถามอีกคนพร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แถมด้วยการส่งสายตาหื่นๆ ใส่เค้า จริงๆ ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเค้าหรอกนะครับ เพราะเดี๋ยวจะไม่มีแรงไปงานกันเสียก่อน เอาไว้รองานเลิกคืนนี้ดีกว่า เหอๆ

“ตามสบายเถอะเราไม่ง่วง”เค้าตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่ผมว่าเค้าคงกลัวๆ ผมอยู่นะเนี่ยก็เล่นไปนั่งที่โซฟา ดูทีวีอยู่ตั้งไกล แต่ช่างเหอะผมขอนอนพักเอาแรงไว้สำหรับคืนนี้ดีกว่า ว่าแล้วผมก็ค่อยๆ หลับตาลงก่อนจะเริ่มไม่รู้สึกตัวอีก

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่รู้สึกว่าได้ยินเสียงเรียกของใครอีกคน คาดว่าน่าจะได้เวลาอันสมควรที่จะต้องอาบน้ำแต่งตัวกันแล้ว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียเหมือนคนที่ยังไม่อยากตื่น พอลืมตาก็ประเมินสถานการณ์แล้วว่าเค้กเองก็ยังไม่ได้อาบน้ำ สมองผมเริ่มคิดแผนการบางอย่างอีกครั้ง เมื่อเค้าบอกว่าให้ลุกอาบน้ำแต่งตัวเพราะใกล้ได้เวลาแล้ว

“เค้กไปอาบก่อนนะขอนอนต่ออีกนิด อาบเสร็จแล้วเรียกเราด้วยนะ”ผมบอกอย่างงัวเงียแล้วก็แกล้งดึงผ้าห่มคลุมปิดหน้า ให้เหมือนคนที่ยังไม่ตื่นเต็มที่

“งั้นเดี๋ยวเราอาบเสร็จแล้วจะมาเรียกนะ”เค้าบอกก่อนจะลุกออกไป ผมหรี่ตามองเค้าถอดเสื้อผ้าและก็ใส่เพียงผ้าผืนเดียวพันกายท่อนล่างเท่านั้น ผมต้องกลืนน้ำลายลงคงอย่างยากลำบากกับภาพที่เห็น ช่างขาวเนียนเหลือเกิน แต่ก็ต้องบอกกับตัวเองว่าอดทนไว้ก่อน อดทนไว้ พอเค้าหายเข้าห้องน้ำไป ผมก็ตั้งตารอ ว่าเมื่อไหร่เค้าจะออกมาเสียที ผมรออยู่นานพอควรก็เห็นว่าเสียงน้ำจากภายในห้องเงียบลงไปแล้ว แสดงว่าอีกไม่นานเค้าก็คงออกมาแล้ว ผมแกล้งทำเป็นหลับต่อ แต่หูพยายามเงี่ยฟังเสียงว่าเค้าจะออกมาหรือยัง

ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูออกมา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า และเสียงเรียกชื่อผม ให้ตื่น แต่ผมยังคงแกล้งหลับไม่รู้เรื่อง เมื่อเห็นผมยังไม่ตื่น เสียงฝีเท้าก็เหมือนจะใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็มาหยุดอยู่ข้างเตียงที่ผมนอนอยู่ แต่ทำไมเค้าเหมือนนิ่งเงียบอยู่ละ ผมกำลังรู้สึกว่าเค้ากำลังจ้องมองผมอยู่นะเนี่ย ผมได้กลิ่นหอมจางๆ อยู่ใกล้ๆ คงเป็นกลิ่นอะไรไปไม่ได้นอกจากกลิ่นกายของเค้านั่นเอง แม้ไม่ได้ลืมตาผมก็เดาได้ว่าเค้าคงยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแน่นอน หึๆ ผมได้แต่นึกภาพของเค้าว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

“เกี๊ยง ตื่นได้แล้ว”เสียงเรียกอยู่ใกล้ๆ ผม พร้อมกับสัมผัสถึงมือเนียนนุ่มที่ตบเบาๆ ตรงแก้มผม ผมแอบยิ้มในใจก่อนจะลืมตาขึ้น และด้วยความรวดเร็วโดยที่เค้าไม่ทันตั้งตั้ง ผมฉุดเค้าให้ล้มทับลงมาบนตัวผม สองมือกอดรัดเค้าไว้ในทันที รอยยิ้มที่คงจะเจ้าเล่ห์ของผมถูกส่งออกไปให้เค้าได้เห็นในระยะใกล้ๆ เพราะตอนนี้เค้าล้มทับผมอยู่ สีหน้าเค้าดูตกใจไม่น้อย พร้อมกับการที่กำลังดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของผม

“เล่นอะไรเนี่ย ปล่อยเถอะ แล้วลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”เค้าบอกอย่างอายๆ ก่อนจะหยุดดิ้น เพราะยิ่งเค้าดิ้นสภาพเค้ายิ่งดูหล่อแหลมกับการที่มีเพียงผ้าพันกายท่อนล่าง มือผมลูบไล้ไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเค้าอย่างจาบจ้วง พอเห็นเค้านิ่งผมก็ขยับตัวโน้มหน้าขึ้นไปหา สองแก้มของเค้าที่ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีลูกตำลึงช่างน่าลิ้มลองเหลือเกิน แต่ผมว่าริมฝีปากบางนั้นต่างหากที่น่าลิ้มลองมากกว่า ผมค่อยๆ ขยับริมฝีปากเข้าหาเค้า น่าแปลกที่เค้าเองก็ไม่ได้ขัดขืนกลับขยับเข้ามาหาผมเสียด้วยซ้ำ แล้วปากของเราสองคนก็ประกบเข้าหากัน ผมสอดลิ้นเข้าไปหยอกเย้ากับลิ้นของเค้า ซึ่งเค้าไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด ผมลิ้มรสหวานของลิ้นเค้าอย่างโหยหา เพราะผมก็ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสเค้าหรือใครๆ มานานมากแล้ว ความต้องการของผมตอนนี้รู้สึกมันจะมีมากมายแล้วเหลือเกิน 

สองมือที่ลูบไล้แผ่นหลังของเค้าเริ่มเลื่อนต่ำลงไปจนถึง ผ้าที่พันกายท่อนล่าง ก่อนจะหายเข้าไปยังแก้มก้นกลมกลึงของเค้าที่อยู่ภายใต้ผ้านั้น

“อ๊า...”เค้าถอนริมฝีปากออกจากผมก่อนจะมีเสียงที่แหบพร่าหลุดออกจากปาก ผมมองตามริมฝีปากนั้นอย่างเสียดาย มือเค้าเอื้อมมาจับสองมือซุกซนของผมให้หยุดนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยันกายลุกออกจากผม

“ไปอาบน้ำเถอะ”เค้าลุกขึ้นหันหลังให้ผม ทำให้ผมต้องส่งสายตาละห้อยตาม แต่ไม่เป็นไรยังไงคืนนี้ก็ยังมี ยังไงเสียดูเหมือนวันนี้เค้าจะคล้อยตามผมอยู่ไม่น้อย เหมือนความหวังผมจะเริ่มใกล้ความจริงแล้วนะเนี่ย ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ ด้วยหัวใจพองตัว คืนนี้เจอกันใหม่นะเค้กนะ

พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เราก็เดินทางไปยังโรงแรมที่จัดงานทันที เหมือนเค้กจะเขินๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนผมเข้าไปอาบน้ำทำให้เค้าคอยหลบตาผม ไม่กล้ามองหน้าผม แต่ผมว่าเค้าก็น่ารักดีนะ ไม่ว่าเค้กทำอะไรก็ดูน่ารักน่ากินไปหมดแหละครับในสายตาผม ตอนนี้ผมเริ่มไม่ค่อยจะสนใจงานต่งงานแต่งสักเท่าใดแล้วละครับ สนใจแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับห้องพักเสียทีมากกว่า

“ตกลงจะนั่งจ้องกันอยู่แบบนี้ไม่เข้างานใช่ไหม”เค้กสะกิดเรียกผมที่เอาแต่จ้องมองเค้าไม่ยอมลุกเสียทีทั้งที่มาถึงงานแล้ว

“อ้าวเค้กนึกว่าจะเบี้ยวไม่มาเสียแล้ว”เสียงเจ้าบ่าวทักทายทันทีที่เราสองคนเข้าไปถึงทางเข้างาน เค้กหยิบกล่องของขวัญที่เตรียมมาส่งให้คู่บ่าวสาว

“แหมเพื่อนแต่งงานทั้งที ก็ต้องมาร่วมแสดงความยินดี ยังไงก็ยินดีด้วยแล้วกันนะ รีบๆมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองล่ะ”ผมเห็นไอ้เอกเจ้าบ่าวเหล่ๆ มองมาทางผม ผมจำได้แล้วละครับว่าไอ้เอกนี่คือใคร แต่ก่อนตอนที่ผมเรียนกับพวกเค้าเราก็ซี้ปึกกันในระดับนึงเหมือนกัน แต่นี่ดูท่ามันจะจำผมไม่ได้นะเนี่ย

“ใครอ่ะ”ไอเอกกระซิบถามกับเค้ก แต่เค้กกลับหันมามองผมแล้วยิ้มแต่ไม่ได้ตอบ ส่วนไอ้เอกกลับมองมาทางผมอย่างมีเลศนัย

“ไอ้เค้กอย่าบอกนะว่านั้นแฟนมรึง แหมนี่กะพามาเปิดตัวเลยใช่ไหมมรึง”คิดว่าเพื่อนๆ สมัยม.ปลายคงรู้อยู่แล้วละครับว่าเค้กเองชอบผู้ชาย แต่คำพูดไอ้เอกนี่ช่างโดนใจผมจริงๆ แต่ดูเค้กจะไม่ค่อยพอใจคำตอบนั้นเท่าไหร่หรอกนะครับเห็นทำหน้ามุ่ยๆ หน่อยๆ เค้กคงคิดว่าไอ้เอกจะจำผมได้เลยไม่ได้แนะนำ แต่ไอ้เจ้าบ่าวนี่ก็คงจำไม่ได้แหละครับ ก็คนไม่ได้เจอกันตั้งนานนี่เนอะ

“ไอ้บ้า...มรึงแหกตาดูดีๆซิ จำเพื่อนเก่าไม่ได้เลยหรือไง”เค้กต่อว่าพร้อมกับให้ไอ้เอกมองดูผมใหม่ จริงๆ ไม่ต้องว่ามันบ้าก็ได้นะ เพราะไอ้เอกมันก็พูดความจริงถูกแล้วนี่นา

“หน้าคุ้นๆ เหมือนกันนะ แต่นึกไม่ออกว่ะ”ไอ้เอกทำหน้าพยายามนึก ก่อนจะยิ้มออกมา

“ไอ้เกี๊ยง ไอ้เกี๊ยงจริงๆ ใช่ไหม เฮ้ยมาได้ไงเนี่ย”มันเดินเข้ามาจับผมเขย่า ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้เพื่อน แค่เจอเพื่อนเก่าไม่ใช่เจอแฟนเก่าเสียหน่อย

“เออกรูเองแหละ ทำเป็นจำเพื่อนจำฝูงไม่ได้นะมรึง”ผมว่ายิ้มๆ อย่างไม่ได้ถือสา พร้อมกับยื่นของขวัญให้ จริงๆตอนแรกกะว่าจะให้เป็นชิ้นเดียวกันกับเค้ก แต่เค้กไม่ยอมบอกว่าควรจะให้ใครให้มันดีกว่า ผมก็เลยต้องยอมตามใจเค้าครับ

“แล้วมรึงมาได้ยังไง กรูไม่ได้เชิญซะหน่อย”แหมไอ้นี่พูดซะ แต่มันก็คงแซวเล่นๆ ตามประสาเพื่อนฝูงนั่นแหละครับ แม้ไม่ได้เจอกันนานแต่มิตรภาพของเราก็ยังไม่จางหายหรอกครับ

“งั้นกรูกลับก่อนแล้วกันนะ”ผมแกล้งพูดกลับไป

“แหมไอ้นี่กรูล้อเล่นหรอกน่า เพื่อนมาร่วมยินดีทั้งที ยังไงก็ขอบใจมากที่มา ทั้งที่กรูไม่ได้ชวน ไปๆ เข้าไปข้างในกันดีกว่าเพื่อนๆคงดีใจที่ได้เจอมรึง”ไอ้เอกดันหลังผมเข้าไปก่อน แต่ยังฉุดเค้กไว้เพื่อพูดบางอย่าง แม้ไอ้เอกจะกระซิบแต่หูหาเรื่องของผมก็ผึ่งจนได้ยินเกือบจะชัดเจน

“ตอนแรกตกใจหมดนึกว่ามรึงพาแฟนมาเปิดตัว เพราะวันนี้พี่ตี้แกมาด้วยนะมรึง แกถามหามรึงด้วย เหมือนแกอยากจะปรับความเข้าใจบางอย่างกับมรึงนะ”ปรับความเข้าใจ ๆ ใครกันจะมาปรับความเข้าใจกับเค้ก เมื่อกี้ไอ้เอกบอกว่าชื่ออะไรนะ พี่ตี้งั้นเหรอ ชื่อคุ้นๆ แต่ไอ้พี่ตี้นี่มันใครกันว่ะ



----------------------------------------------------
คู่นี้อาจจะไม่หวือหวามาก ก็ต้องรอดูต่อไปนะคร๊าบบบ ว่าจะราบรื่นตลอดหรือเปล่า  o13
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [8-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 09-11-2014 21:55:18
Cake
วันนี้เกี๊ยงมารับผมตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะเดินทางไป งานแต่งของไอ้เอกที่ ตจว.เราไปถึงในตอนบ่ายหน่อยๆ จากการที่ต้องอยู่ในห้องกับเค้าสองคนมันทำให้ผมรู้สึก เกร็งๆ เพราะตั้งแต่วันที่ผมไปร้องไห้ต่อหน้าเค้าอันนั้นผมก็รู้อายๆ อยู่แล้ว แถมคำพูดทึกทักของเค้าที่เหมาเอาว่าผมเป็นแฟนแล้วนั่นอีก ผมยังงงกับตัวเองว่าทำไมผมไม่ปฏิเสธ แล้วยิ่งพอเค้าทึกทักเอาจากที่ผมเงียบแทนที่ผมจะโต้ตอบ แต่ก็เพียงแสดงอาการไม่ค่อยพอใจเท่านั้น แล้วยิ่งตอนนี้ที่พอมาอยู่ในห้องพักกับเค้าสองคน

เจอไอ้สายตาหื่นๆ ของเค้ามันทำให้ผมมีอาการแปลกๆ แปลกยังไงนะเหรอครับก็ผมดันหวั่นไหวขึ้นมานี่นะสิ เลยต้องพยายามอยู่ห่างๆ เค้าเอาไว้ เพราะผมกำลังกลัวใจตัวเอง คงเพราะผมอาจจะห่างเรื่องอย่างว่ามาค่อนข้างพักใหญ่แล้วก็เป็นได้ ทำให้มันหวั่นไหวได้ง่ายๆ แบบนี้ นี่ก็จากครั้งสุดท้ายที่ผมเผลอตัวไปกับเค้าในครั้งนั้น ร่างกายผมก็ไม่ได้ปลดปล่อยอีกเลย พอมาเจอการจ้องผมด้วยสายตาอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยยิ่งต้องอยู่ห่างเค้าไว้น่าจะดีกว่า

แต่ดูเหมือนเกี๊ยงนี่ก็พยายามยั่วผมเหลือเกิน พอเค้าเรียกผมให้นอนพักบนเตียงกับเค้า ผมก็จำต้องปฏิเสธทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกเพลียๆ เหมือนกัน เมื่อเช้าก็ตื่นมาตั้งแต่เช้า ทว่าผมต้องอยู่ให้ห่างเค้าเอาไว้ก่อนเลยแกล้งทำเหมือนสนใจจะดูทีวีเสียเต็มประดา จนเมื่อเห็นว่าเค้าหลับไปแล้วผมเองก็หลับตาลงเหยียดกายตรงโซฟานั่นเอง

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเย็นเห็นเกี๊ยงเองยังหลับอยู่ เลยกะว่าจะปลุกให้เค้าลุกอาบน้ำอาบท่าจะได้สดชื่น แต่เค้าก็ให้ผมอาบก่อน ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าไปชำระร่างกายจนเรียบร้อย แต่ออกมาเรียกเกี๊ยงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ว่าจะปลุกเค้า แต่พอมองเค้าที่หลับแน่นิ่ง ผมกลับเพ่งมองใบหน้ายามหลับของเค้าอยู่อย่างหลงใหล ริมฝีปากของเค้าช่างน่าสัมผัสเหลือเกิน นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย ผมรีบสลัดไล่ความคิดนั้นออกไป ก่อนจะแตะมือเบาๆที่หน้าเค้าเป็นการปลุก ทว่าเค้ากลับดึงผมลงไปนอนทับเค้า

เล่นเอาผมใจหายใจคว่ำ แต่แล้วผมกลับปล่อยให้เค้าทำตามอำเภอใจโดยไม่ได้ขัดขืน เราลิ้มรสหวานจากลิ้นของกันและกัน สมองผมกำลังมึนงงนี่ผมเป็นอะไรกัน ทำไมเหมือนผมกำลังมีความต้องการในตัวเค้า แต่ผมต้องสั่งตัวเองให้หยุดก่อนอะไรมันจะเลยเถิดเดี๋ยวจะไม่ได้ไปงานแต่งไอ้เอกกันพอดี แต่นี่ผมชักจะแปลกใจกับตัวเองเข้าไปทุกทีแล้วนะเนี่ย ผมเป็นอะไรไป ผมรีบบอกให้เกี๊ยงเข้าไปอาบน้ำ ส่วนผมก็แต่งตัวรอ

แอบโล่งใจที่ในที่สุดผมก็พากันมาถึงงานแต่งไอ้เอกจนได้ เราทักทายพูดจากันเล็กน้อย ตอนแรกไอ้เอกจำเกี๊ยงไม่ได้แถมยังคิดว่าเป็นแฟนผมซะอีก นี่ตกลงเราสองคนเหมือนเป็นแฟนกันขนาดนั้นเลยเหรอ

“ตอนแรกตกใจหมดนึกว่ามรึงพาแฟนมาเปิดตัว เพราะวันนี้พี่ตี้แกมาด้วยนะมรึง แกถามหามรึงด้วย เหมือนแกอยากจะปรับความเข้าใจบางอย่างกับมรึงนะ”ไอ้เอกกระซิบบอกกับผมก่อนที่จะเข้าไปในงาน พี่ตี้งั้นเหรอเค้ายังอยากจะมีอะไรคุยกับผมอีกอย่างนั้นหรือ เรื่องของผมกับพี่เค้ามันก็นานมากแล้ว และเราก็ต่างคนต่างไปไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งนาน จะมีอะไรที่อยากจะคุยกับผมอีก

“รีบไปกันเถอะอยากเจอเพื่อนๆ แล้วดูซิจะมีใครจำเราได้บ้าง”เกี๊ยงที่เดินนำไปก่อนกลับมาจูงมือผมเดินตาม ผมมองหาโต๊ะที่มีเพื่อนคนที่พอจะรู้จักก็เจอกลุ่มนึงโบกไม่โบกมือมาทางผม ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเรียกผมนั่นเอง

“โหไม่นึกว่าเพื่อนจะมากันเยอะขนาดนี้”ผมยืนมองที่โต๊ะของเพื่อนๆ พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบโต๊ะ นี่หลายๆ คนไม่ได้เจอกันนานมากแล้วนะเนี่ย มีเพื่อนคนนึงรีบจัดแจงที่นั่งสองที่สำหรับผมกับเกี๊ยง แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆ จะยังดูไม่ออกว่าคนที่มากับผมคือใคร

“นี่ๆ จำได้หรือเปล่าว่านี่ใคร”ผมเลยต้องรีบกระตุ้นให้ทุกคนดูออกว่าไอ้คนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างผมนี่มันคือใคร ว่าแต่แล้วนี่เกี๊ยงมันจะยิ้มอะไรนักหนา

“แฟนคนไหนมรึงหรือไงเค้กกรูจะไปรู้จักไหม”หนึ่งเสียงดังขึ้นมา

“กิ๊กคนล่าสุดมรึงเหรอเนี่ย หล่อใช้ได้เลยนะ”เสียงที่สองตามมา

“ดูเหมาะสมกันดีนะ กะจะมาดูแนวทางงานนี้ไปใช้ในงานแต่งมรึงเหรอเค้ก”สามแล้วครับ

“แหมงานนี้มีหวังกิ๊กใหม่ต้องปะกับกิ๊กเก่าแน่ๆเลย”รู้สึกว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะครับเนี่ย ส่วนไอ้คนข้างๆผมกลับไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย กลับยิ้มรับทุกคำกล่าวหาอย่างสบายอารมณ์เหลือเกิน

“หยุด!!!!!”ผมรีบห้ามเสียงเซ็งแซ่ของบรรดาเพื่อนๆ ที่เริ่มจะวิพากษ์วิจารณ์ผมกับเกี๊ยงไปมากกว่านี้

“นี่พวกมรึงจำเพื่อนเก่าไม่ได้เลยเหรอ นี่เกี๊ยงไง”ผมต้องรีบเฉลยก่อนที่ความเข้าใจผิดจะมากไปกว่านี้ พอผมบอกว่าเกี๊ยงเท่านั้นแหละทุกคนจ้องเค้าเป็นตาเดียวเลย เพราะเพื่อนที่อยู่ในโต๊ะตอนนี้ก็เคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ม.ต้น ตอนที่เกี๊ยงยังเรียนด้วยกันนั่นแหละ

“แล้วมรึงสองคนไปเป็นแฟนกันได้ยังไงวะ สงสัยพวกเราต้องฉลองกันแล้วนะเนี่ยเพื่อนเราได้กันเอง”ตกลงว่าที่บอกไปว่านี่คือเกี๊ยงมันก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยใช่ไหม

“กรูว่าแล้วแมร่งแต่ก่อนเห็นมรึงสองคนตัวติดกันยังกะตังเม ที่แท้ก็แอบกิ๊กกันแต่ไม่ยอมบอกเพื่อนฝูงนี่เอง”ไอ้ตอนนั้นมันติดกันแค่สองคนที่ไหน พวกเมริงก็อยู่กับกรูด้วยตลอดนั่นแหละ มั่วไปเรื่อยจริงๆไอ้พวกนี้

“เฮ้ยไอ้เกี๊ยงมรึงระวังนะวันนี้กิ๊กเก่าไอ้เค้กมันมาด้วย เกิดถ่านไฟเก่าเค้าคุขึ้นมามรึงอาจจะแห้วได้”สนุกกันเข้าไปไอ้เพื่อนพวกนี้

“พวกมรึงเข้าใจอะไรผิดป่ะเนี่ย หรือแดรกเหล้ามากไป พูดเองเออเองกันทั้งนั้น ถามกรูสักคำไหม”ผมบอกอย่างเซ็งๆ แต่พวกมันก็ไม่ค่อยสนใจผมยังหัวเราะสนุกสนานชอบอกชอบใจกันเหมือนเดิม

“ไปไหนเหรอเค้ก”เกี๊ยงฉุดข้อมือผมไว้ตอนที่กำลังจะลุกออกจากโต๊ะ

“ไปห้องน้ำหน่อยนะ”ไม่ได้จะลุกหนีเพื่อนไปไหนหรอกครับ แค่จะไปทำธุระส่วนตัวนิดหน่อยเท่านั้นเอง

“เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน”เค้ารีบลุกตามผม

“อ้าวๆๆๆ นี่จะห่างกันไม่ได้เลยหรือไงพวกมรึง”แล้วเสียงเป่าปาก พร้อมคำแซวก็ตามมาอีกระลอกใหญ่ นี่พวกมันไม่เกรงใจคนอื่นบ้างเลยหรือไงทำยังกะทั้งงานมีกันอยู่แค่นี้ แต่คนอื่นเค้าก็เสียงดังเหมือนกันแหละว้า

“เกี๊ยงอยู่คุยกับเพื่อนๆ เถอะ”ผมแกะมือเค้าออกก่อนจะเดินตามทางไปห้องน้ำ ในห้องน้ำคนค่อนข้างเยอะนิดหน่อยคงเพราะในงานพากันดื่มแอลกอฮอล์เยอะเลยพากันปวดฉี่บ่อยๆ ละมั้ง ผมรออยู่สักพักก็ได้ทำธุระเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ

“น้องเค้กครับ”หนึ่งเสียงเรียกผมตรงทางเดินหน้าห้องน้ำทำให้ผมต้องหันไปมอง พอเห็นหน้าผมก็หลุดชื่อเค้าออกมาเบาๆ

“พี่ตี้”
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [9-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 10-11-2014 07:31:22
โอ้...เรื่องเลี่ยงไม่ได้ของงานแต่งรุ่น...เกี๊ยงจะเอาไง
.สู้ :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [9-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 10-11-2014 22:02:13
Ta-kiang

“เฮ้ยไอ้นั่นใครว่ะ”ผมเอ่ยถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ พร้อมกับชี้ไปที่ผู้ชายอีกคนที่ เดินคุยกับสุดที่รักผมมาอย่างสนิทสนม

“อ๋อพี่ตี้ไง แกย้ายมาเรียนโรงเรียนเราตอนมรึงย้ายไปแล้ว ก็แฟนเก่าไอ้เค้กมันไง แล้วมรึงจะสนใจทำไมไม่เห็นจะเกี่ยวกับมรึงเลยนี่ไอ้เกี๊ยง”อ้าวไอ้นี่เมื่อกี้ยังทึกทักกันไปเองไม่ใช้เหรอว่าผมเป็นแฟนกับเค้ก ทั้งๆ ที่ผมเองยังไม่ได้เอ่ยปากบอกไอ้ผมก็นึกว่าพวกมันเข้าใจกันแล้ว อีกอย่างถ้านั่นคือไอ้พี่ตี้แฟนเก่าเค้ก ผมที่เป็นแฟนปัจจุบันก็ต้องยิ่งรีบทำความรู้จักไว้ไม่ใช่เหรอ เพื่อป้องกันไม่ให้มาวุ่นวายกับเค้กของผมอีก ผมก็ว่าอยู่ว่ามันคุ้นๆ ชื่อไอ้นี่ที่ไหน มันคือคนที่ผมเคยถามเค้กตอนเอารูปให้ผมดูนั่นเอง แต่เค้กก็บอกแค่เพียงว่าจบกันไปนานแล้วและก็จบไม่สวยเท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะยังมาคุยกันสนิทสนมแบบนี้อยู่อีก

“นี่อย่าบอกนะไอ้เกี๊ยงว่าที่พวกกรูแซวเมื่อกี้เป็นเรื่องจริง”อ้าวไอ้พวกนี้พูดแบบนี้มันหมายความว่าไงผมชักจะงงๆ

“แล้วพวกมรึงคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไงกัน”ผมตอบกลับไปอย่างฉุนๆ โดยที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่สองคนไกลออกไป ยังไม่เห็นทีท่าว่าเค้กจะกลับมานั่งที่โต๊ะผมเลยตัดสินใจจะลุกเข้าไปหา

“เดี๋ยวก่อนคุยกันให้รู้เรื่อง นี่มรึงอย่าบอกนะว่ามรึงกับไอ้เค้กเป็นแฟนกันจริงๆ เพราะไอ้ที่พวกกรูพูดกันเมื่อกี้คือแค่แซวไอ้เค้กมันเล่นแค่นั้น ตอนแรกก็คิดว่าไอ้เค้กมันพาแฟนมาอยู่หรอกนะ แต่พอรู้ว่าเป็นมรึงก็เลยคิดว่าไม่มีอะไรแถมเมื่อกี้ไอ้เค้กมันก็เหมือนจะพยายามปฏิเสธอยู่ไม่ใช่เหรอว่าพวกกรูเข้าใจผิดไป”ไอ้เพื่อนตัวดีฉุดแขนผมไว้ พร้อมกับสาธยายให้ฟังอีกยืดยาว ไอ้พวกบ้าเอ๊ย ไอ้เราก็นึกว่าพวกมันคิดว่าผมเหมาะสมกับเค้กจริงๆ ผมพยายามสะบัดแขนลุกขึ้นแต่ยังโดนเพื่อนดึงไว้อยู่

“กรูกำลังจีบเค้กอยู่ชัดเจนไหม”ผมหันมาตอบอย่างจริงจัง พวกเพื่อนเลยหันมาจ้องผมตาวาวกันเลย แถมทำเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อผมสักเท่าไหร่ อะไรของพวกมันกันนี่เห็นผมเป็นคนไม่น่าเชื่อถือไปแล้วรึไงกัน

“ปล่อยสักทีสิวะกรูจะไปหาเค้ก”ผมชักจะเริ่มไม่พอใจพวกเพื่อนๆนี่แล้วนะครับเนี่ย

“พวกกรูไม่เข้าใจว่ะ อธิบายมาให้ละเอียดสิว่ะ ส่วนไอ้เค้กไม่ต้องกลัวมันบุบสลายหรอก กลางงานแต่งแบบนี้ไอ้เค้กกับพี่ตี้คงไม่ทำอะไรกันกลางงานหรอกมรึง ทำเป็นหวงไปได้ แฟนรึก็เปล่า ส่วนสองคนนั้นนะเค้าก็คนเคยรักกัน ปล่อยเค้าคุยกันหน่อยเถอะ”อ้าวไหงเพื่อนผมถึงกลายเป็นว่าเข้าข้างคนอื่นแบบนี้ละเนี่ย มันกรรมอะไรของผมที่มามีเพื่อนแบบนี้กันนะ

สรุปแล้วผมก็ปลีกตัวออกไปหาเค้กไม่ได้เลย เพราะโดนพวกเพื่อนๆ ซักฟอกเรื่องระหว่างผมกับเค้กไอ้ครั้นไม่อยากจะเล่าหรือตอบแบบไม่สบอารมณ์ พวกมันก็หาว่าผมโกหก ผมไม่ได้รักได้ชอบเค้ก จริงๆ น่าจะปล่อยให้เค้กคืนดีกับไอ้พี่ตี้ยังจะดีเสียกว่า พูดมาแบบนี้ผมเลยความอดทนหมดแล้วครับ ลุกออกจากโต๊ะตรงไปหาเค้กทันที ไม่สนใจเสียงทัดทานจากพวกเพื่อนๆ อีก

“เมื่อไหร่จะกลับไปนั่งที่โต๊ะเสียที”ทันทีที่ถึงตัวเค้าผมก็พูดอย่างเคืองๆ เค้าเล็กน้อยโดยไม่สนใจอีกคนข้างๆเค้าเลย ทำเหมือนไอ้นั่นไม่มีตัวตน เพราะจริงๆมันก็ไม่ได้มีตัวตนในสายตาผมหรอก

“ใครเหรอ”ไอ้คนไร้ตัวตนหันไปถามเค้ก พร้อมกับชายตามองมาทางผมอย่างเหยียดๆ แหมถ้าไม่ติดว่านี่เป็นงานมงคลนะ เจอดีแน่

“อ๋อเพื่อนที่มาด้วยวันนี้ที่ผมเล่าให้ฟังไงครับ เค้าเคยเรียนม.ต้น กับพวกผม ชื่อเกี๊ยง ...แล้วเกี๊ยงนี่พี่ตี้ เป็นรุ่นพี่เราตอนม.ปลายไง”เค้กพูดเสียงระรื่นแนะนำให้ผมรู้จักกับไอ้พี่ตี้แฟนเก่าของเค้า ซึ่งผมไม่ได้อยากรู้จักนักหรอกนะ อีกอย่างเค้าบอกว่าผมเป็นแค่เพื่อนที่มาด้วยกันงั้นเหรอ ทำไมผมรู้สึกไม่ชอบคำนี้เลย เค้าน่าจะแนะนำว่าผมเป็นอะไรที่ดูดีกว่านี้ โอเคผมไม่หวังสูงขนาดให้เค้าบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟน แต่ขออะไรที่มันดีกว่าแค่เพื่อนที่มาด้วยกันได้ไหม

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ น้องเกี๊ยง”ผมไม่ได้กล่าวอะไรกับไอ้พี่ตี้ทำเพียงฉุดข้อมือเค้กเตรียมจะลากกลับไปที่โต๊ะ แต่เค้กยังยื้อผมไว้แล้วหันกลับไปคุยกับไอ้พี่ตี้อีก

“พี่ตี้ไปนั่งด้วยกันไหม พวกเพื่อนๆ ผมพี่ก็น่าจะรู้จักทุกคน”จะชวนมันมาทำไมเนี่ย เค้กนะเค้ก ผมชักจะน้อยใจแล้วนะ

ไอ้พี่ตี้นี่ก็กระไรอยู่น่าจะรู้นะว่าเค้กชวนตามมารยาทเพราะทั้งโต๊ะที่ผมอยู่ก็มีแต่เพื่อนรุ่นเดียวกับผม เคยเรียนห้องเดียวกันทั้งนั้น พี่แกก็ยังตามมานั่งอีก แถมแย่งความสนใจของเค้กจากผมไปหมดเลย สรุปว่าทั้งโต๊ะเค้าคุยกันสนุกสนานหมดเว้นผมเป็นส่วนเกินอยู่คนเดียว ที่ผมพูดคุยอะไรด้วยไม่ได้เพราะเค้าเล่นคุยกันแต่เรื่องตอน ม.ปลาย แล้วผมมันไม่ได้เรียนกับพวกเค้านี่สิ พอจะพูดถึงตอนที่ผมเคยอยู่พวกเพื่อนๆ ก็ดันความจำสั้นจำไม่ได้กันซะงั้น จำได้แต่เรื่องราวตอนม.ปลาย ไอ้ผมเลยได้แต่เซ็งแล้วเซ็งอีก นั่งนับเวลาว่าเมื่อจะได้กลับเสียที

เวลาประมาณเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว พิธีการต่างๆ เสร็จสิ้นเรียบร้อย แขกบางส่วนทยอยกลับ และอีกหลายคนเริ่มมึนๆตึงๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะโต๊ะพวกผมเอง เว้นผมไว้คนนึงแล้วกันเพราะไม่มีอารมณ์จะดื่ม ตอนนี้ผมเริ่มจะไม่ใช่แค่น้อยใจเค้กเสียแล้ว แต่ชักจะโกรธๆเสียแล้ว คอยดูเถอะว่าทำให้ผมโกรธแล้วจะเจออะไรบ้าง

“ไปเที่ยวต่อกันไหม”จากที่ตอนแรกนึกว่าจะได้เวลากลับ แต่ไอ้พี่ตี้ครับ มันช่างเป็นมารผจญผมเหลือเกิน ดันออกปากชวนเที่ยวต่ออีก

“ผมว่าดึกแล้ว อีกอย่างนี่ก็เมากันมากแล้วแยกย้ายกันกลับไม่ดีกว่าเหรอครับ”ผมพยายามพูดให้ฟังดูดีที่สุดทั้งที่ในใจอยากจะต่อว่าแรงๆ ก็เหอะ พยายามเสนออีกความเห็นให้ทุกคนได้กลับไปพักผ่อน

“แต่จริงๆ นานๆจะได้เจอกันทั้งที ไปด้วยกันอีกหน่อยก็ดีนะ กรูไปคนนึงละมีใครไปไหม”กลับกลายเป็นเค้กของผมนั่นเองที่ขัดผม แถมเพื่อนๆ ยังเห็นดีเห็นงานกันอีกต่างหาก

“เกี๊ยงจะกลับก่อนก็ได้นะถ้าไม่สนุก เดี๋ยวเราให้พี่ตี้ไปส่งก็ได้”มันชักจะมากไปล้วนะเนี่ย

“มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิ คืนนี้ถึงไหนถึงกัน”แล้วจะคิดบัญชีย้อนหลังให้ดูนะเค้ก มาเล่นกันแบบนี้ ผมจำต้องตามไปกับฝูงเพื่อนจนได้ เพราะยังไงเสียก็ไม่ปล่อยให้ไอ้พี่ตี้คลาดสายตา จะไม่ให้มันมาทำมิดีมิร้ายอะไรเค้กเด็ดขาด ว่าเค้กเองก็อย่าไปใกล้มันนักได้ไหม พูดก็พูดนะครับตั้งแต่ที่ไอ้พี่ตี้ตามไปนั่งที่โต๊ะด้วยผมแทบจะไร้ตัวตนเป็นอากาศ เป็นธาตไปแล้วมั้งสำหรับเค้ก นี่ตกลงเค้าแคร์ผมสักนิดไหมเนี่ย สมองผมตอนนี้มันตื๊อจนคิดไม่ออกแล้วครับว่าจะทำยังไงต่อดี ได้แต่ตามติดเค้าแบบนี้ไปก่อนแหละครับ

“เป็นไรว่ะไอ้เกี๊ยง ไม่สนุกเหรอ”เพื่อนคนนึงเอ่ยถามผมขึ้นหลังจากที่พวกเราทั้งหมดมาต่อกันที่ผับแห่งหนึ่ง ตอนนี้คนอื่นๆ ก็ทั้งดื่ม ทั้งโยกย้ายตามเสียงเพลง แต่ผมตอนนี้ไม่มีอารมณ์แบบนั้นเลย สายตาผมต้องจดจ้องสองคนที่คลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง นี่เค้กกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ จะกลับไปคบกับไอ้พี่ตี้นั่นอีกหรือไงกัน ถึงได้ตัวติดกันแบบนี้ ไอ้ครั้นผมจะไปจับเค้าแยกก็เกรงว่าถ้าเกิดเค้กตอกหน้าผมกลับว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วผมจะทำยังไง ผมด้อยกว่าตรงที่ไม่รู้ว่าเค้กเค้าชอบผมสักนิดหรือเปล่า แต่ไอ้พี่ตี้นั้นถึงแม้จะเลิกรากันไปแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เค้กเคยรัก หรือตอนนี้อาจจะยังมีเยื่อใยอยู่อีกก็เป็นได้

“พี่ตี้แกไม่มีแฟนเหรอว่ะ”ผมเอ่ยถามเพื่อนคนข้างๆ อยากจะทราบข้อมูลพื้นฐานของคู่แข่งบ้าง เผื่อผมจะได้หาทางกำจัดคู่แข่งคนนี้ได้ง่ายขึ้น

“ไม่รู้สิ ได้ข่าวว่าแกไปอยู่เมืองนอกเพิ่งกลับมาไม่นานนี่เอง”ดูท่าแหล่งข้อมูลของผมจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

“แล้วทำไมพี่แกถึงเลิกกับเค้กว่ะ”อันนี้เพื่อนผมน่าจะรู้บ้าง เพราะมันเป็นเรื่องในตอนที่ยังเรียนด้วยกันอยู่ ถึงตอนนี้ปากและหูของผมจะพูดและฟังเพื่อน แต่สายตาผมไม่ได้ละจากเค้กเลย

“ตอนนั้นพี่แกคบกับไอ้เค้กพร้อมกับอีกคนนึง ตอนแรกเค้กมันก็ไม่รู้หรอก แต่ก่อนเค้กมันไม่ประสีประสาเรื่องอย่างนี้ พี่ตี้นี่แฟนคนแรกของมันเลย อย่างว่าคนยังไม่เคยมีแฟนพอมีคนมาจีบ มันก็ต้องมีเผลอใจไปบ้างแหละ อีกอย่างพี่ตี้ก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่ ก็เลยเป็นอันว่าทั้งสองคนตกลงคบกัน แต่เมื่อนานวันเข้าความลับก็เริ่มจะเปิดเผยออกมา ว่านอกจากไอ้เค้กพี่ตี้ก็ยังคบกับอีกคนนึงอยู่”ไอ้พี่ตี้นี่มันเลวจริงๆ แบบนี้เค้กยังจะไปพูดจาดีๆ กับมันอีกเหรอ

“แล้วทำไมพวกมรึงยังเห็นเค้าเป็นคนดีกันอยู่อีกว่ะ ทั้งที่เค้าทำกับเค้กขนาดนั้น” เป็นผมจะกีดกันไม่ให้ไอ้พี่ตี้นี่ได้เจอเค้กอีกเป็นอันขาด

“ตอนนั้นคนที่ร้ายไม่ใช่พี่ตี้หรอกมรึง แต่เป็นกิ๊กอีกคน ของพี่ตี้ต่างหาก พี่ตี้คบกับไอ้เค้กมาก่อน แล้วไอ้นั่นมันชื่อพีท พีทมันมากิ๊กกับพี่ตี้ทีหลัง คือยอมเป็นแค่กิ๊กในตอนแรกไม่ได้เปิดตัวเป็นแฟนเหมือนไอ้เค้ก พี่ตี้ยอมเป็นกิ๊กกับไอ้พีทนั่นเพราะว่า ถ้าไม่ยอมเป็นกิ๊กด้วย คนที่จะเดือดร้อนก็คือไอ้เค้กของเรานี่แหละ โดนไอ้พีทนั่นใส่ร้ายกลั่นแกล้งสารพัด แต่ก็ไม่มีใครจับได้คาหนังคาเขาไงเลยไม่มีใครทำอะไรได้ แล้วนานวันเค้าไอ้พีทมันไม่ทำอะไรเค้กก็จริง แต่มันเริ่มจะอยากเป็นมากกว่า คนรักที่อยู่แต่ในเงา พอถึงวันที่ต้องเลือก พี่ตี้ดันเลือกไอ้เค้ก แต่ผลที่ออกมาคือไอ้เค้กไม่ได้มีชีวิตสงบสุขเลยนั่นเอง พี่ตี้เลยต้องกลับไปคบไอ้พีท แต่ก็ไม่ยืด สุดท้ายก็เลิกกัน จากนั้นพี่ตี้ก็ง้อไอ้เค้กเรื่อยมานะ จนแกเรียนจบนั่นแหละ แต่เค้กมันไม่ยอมดีด้วย ที่พี่ตี้มางานแต่งวันนี้อาจจะอยากมาขอคืนดีกับไอ้เค้กก็ได้ใครจะไปรู้ กรูว่ามรึงจะสู้เค้าได้เหรอ”ไอ้เพื่อนทรยศ เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อน ไม่เข้าข้างกันแล้วยังจะมาเห็นคนอื่นดีกว่า

แต่ผมว่าไอ้พี่ตี้นี่ก็ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย คนรักแค่คนเดียวปกป้องแค่นี้ไม่ได้หรือไง สมแล้วที่เค้กไม่ยอมดีด้วย แต่ตอนนี้เค้กจะยังคิดแบบนั้นอยู่อีกไหม นี่มันอะไรกันนักกันหนา อ้าวๆ แล้วนั่น

“กลับได้แล้ว”ผมตรงปรี่เค้าไปลากแขนเค้กเลยครับ มันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เมื่อกี้ถ้าผมช้าอีกนิด ทั้งสองคนก็จะจูบกันอยู่แล้ว ถ้าเค้กคิดจะคืนดีกันกับไอ้พี่ตี้นั่นจริงๆ ก็ไม่ควรมาทำประเจิดประเจ้อให้ผมเห็นแบบนี้ เพราะเค้าก็รู้ว่าผมคิดยังไงกับเค้า ด้วยอารมณ์ทั้งโมโห น้อยใจ และหึงหวง ทำให้ผมลากเค้าออกมา ไม่รู้สิเมื่อก่อนเค้าจะเคยเป็นของใครมา แต่ตอนนี้ผมอยากให้เค้ามีผมแค่คนเดียว

“เป็นอะไรนะเกี๊ยง เจ็บนะ”เค้าพยายามยื้อไม่เดินตามผมแต่ด้วยเรี่ยวแรงและพละกำลังแล้ว เค้าสู้ผมไม่ได้อยู่แล้ว ก็น่าจะเจ็บอยู่หรอกเพราะมือที่ผมจับเค้าบีบแน่นอยู่พอสมควร

“เค้กคิดยังไงกับเรา บอกมาตรงๆ เลยดีกว่า”ผมลากเค้าออกมาจนนอกผับแล้วครับตอนนี้ เพื่อนๆ คงจะงงๆ อยู่บ้างแต่มีเพียงไอ้พี่ตี้เท่านั้นที่ตามออกมาดู

“เฮ้ๆ ใจเย็นๆ กันก่อนดีกว่าไหม เค้กเป็นไรมากหรือเปล่า”ห่วงกันจังนะ วันนี้ขอเป็นคนเลวสักวันแล้วกันว่ะ

“ทำอะไรนะเกี๊ยง”ทำอะไรเหรอครับ ภาพตอนนี้คือไอ้พี่ตี้ล้มลงไปกองกับพื้น เลือกกบปากไปเรียบร้อย ส่วนผมก็ถูกเค้กฉุดไว้ไม่ให้ซ้ำอีก ใครจะว่ายังไงไม่รู้แต่ผมขอต่อยไอ้นี่หน่อยเท่านั้นแหละ

“ไม่ต้องไปสนใจมัน กลับได้แล้ว”เมื่อเลือดขึ้นหน้าผมก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนแล้วครับ ก็มันเกลียดขี้หน้าไอ้พี่ตี้นั่นนี่หว่า ผมลากเค้กโยนขึ้นรถ แล้วขับออกมาเลย มุ่งตรงกลับที่พักของเราเลย

“ไม่คิดว่าทำเกินไปหน่อยเหรอ”น้ำเสียงเย็นชาจากคนข้างๆ บ่งบอกว่าเค้าก็คงไม่ชอบใจนักกับการกระทำของผม แต่ว่าแล้วการกระทำของเค้าละ แม้เค้าจะยังไม่ได้ยอมเป็นแฟนกับผม แต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าผมคิดยังไงกับเค้า แล้วยังจะมาเหยียบย่ำใจผมอีก คอยดูเถอะว่าจะไม่ปล่อยเค้าไปให้ใครอื่นอีกเด็ดขาด

“ไม่ลงเหรอ”น้ำเสียงผมเองก็คงแข็งๆ พอกับคอของเค้าที่ยังคงนั่งนิ่งเชิดหน้าไม่ยอมลงจากรถหลังจากที่มาถึงโรงแรมที่พักของเราแล้ว

“จะให้อุ้มไหม”ผมหันไปถามอีกครั้ง คราวนี้เค้าลุกอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินนำหน้าผมขึ้นห้องไป โดยไม่รอผมเลย พอถึงห้องปุ๊บผมก็คว้าตัวเค้าดึงเข้าหาทันที แต่เค้าทั้งดิ้นทั้งผลัก ก่อนจะกระทืบลงที่เท้าของผม

“โอ๊ย”ผมเจ็บจนต้องร้องออกมา ส่วนเค้าวิ่งหนีผมเข้าห้องน้ำไป แล้วปิดประตูล็อคทันที

“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะเค้กไม่งั้นเราพังเข้าไปจริงๆ ด้วย”ตอนนี้ผมคิดว่าจะไม่รอให้เค้าเห็นใจหรือใจอ่อนอะไรกับผมอีกแล้ว เมื่อความพยายามแบบนั้นมันเห็นผลช้า ก็เอามันแบบนี้ละว่ะ

“ไม่เราจะอยู่ในนี้แหละไม่อยากออกไปเจอคนบ้า”เค้าตะโกนตอบกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้

“ออกมาคุยกันดีๆ ให้รู้เรื่องก่อน เราอยากรู้ว่าเค้กคิดยังไงกับเรากันแน่ เลือกเอานะว่าจะให้พังประตูเข้าไป หรือจะเปิดออกมาคุยกันดีๆ”น้ำเสียงผมยังไม่ได้อ่อนลงสักเท่าไหร่ แต่เหมือนคำพูดของผมจะได้ผลนะ เพราะเห็นลูกบิดประตูห้องน้ำกำลังขยับแล้ว และพอเค้าแง้มประตูเปิดออก ผมก็พุ่งเข้าไปทันที ก่อนจะล็อคประตู อยู่ในที่แคบๆ นั่น จริงๆห้องน้ำมันก็ไม่ได้แคบมากมายหรอกครับแต่การต้องอยู่ในนั้นสองคนมันก็เหลือพื้นที่อีกไม่มาก

“ไหนว่าจะคุยกันแล้วเข้ามาทำไมในนี้”เค้าบอกอย่างฉุนๆ ขณะที่ผมเข้าประชิดกอดเค้าไว้ สองมือรั้งร่างที่แข็งขืนนั่นเข้ามาหา ก้มหน้าต่ำลงไปหาเค้า แต่เค้ากลับเบี่ยงหลบ

“รู้ไหมว่านายทำเกินไป ที่ไปต่อยพี่ตี้เค้าแบบนั้น”ยิ่งได้ยินชื่อมันผมยิ่งรู้สึกเลือดขึ้นหน้ามากกว่าเดิมอีก

“ไอ้พี่ตี้นั่นมันมีดีอะไรนักหนาเหรอ เดี๋ยวคืนนี้เราจะทำให้เค้กลืมมันไปเลย”สองมือผมเริ่มไม่อยู่สุข เลื่อนต่ำลงไปบีบคลึงบริเวณสะโพกของเค้า ปากและจมูกของผมระดมซุกไซร้ไปทั่วไปหน้าและซอกอย่างไม่ใส่ใจว่าเค้าจะพยายามขัดขืน แต่เพียงไม่นานก็เหมือนว่าอาการต่อต้านนั้นจะเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ  ทำให้ผมเริ่มได้ใจมือไม้เริ่มลูบไล้เข้าไปภายใต้เสื้อของเค้า สัมผัสได้ว่าร่างของเค้กเริ่มจะสั่นระริก ผมว่าเค้าเองก็คงมีความต้องการเหมือนกัน อีกอย่างวันนี้เค้าดื่มเข้าไปเยอะพอสมควรมันคงช่วยเป็นตัวกระตุ้นให้เค้าไม่ต่อต้านผมได้เป็นอย่างดีทีเดียว

“บอกว่าจะคุยกับเราไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมาทำแบบนี้”น้ำเสียงแหบพร่าเหมือนจะพยายามให้ผมหยุด ทั้งที่ร่างกายของเค้าเองตอนนี้คงเต็มไปด้วยความใคร่เช่นเดียวกับผมแล้ว ผมชักนึกขอบคุณไอ้พี่ตี้ที่มันทำให้ผมกลายเป็นคนบ้าบิ่น บุ่มบ่ามกล้าที่จะทำอะไรกับเค้กแบบนี้

“คุยด้วยภาษาพูดมันไม่รู้เรื่องหรอก ต้องภาษากายแบบนี้ต่างหากเข้าใจง่ายกว่าเยอะเลย”ผมกระซิบเสียงแตกพร่า ข้างหูเค้าอย่างหื่นกระสาย รู้สึกหน้าเค้าจะแดงระเรื่อขึ้นมา ผมค่อยๆ ช้อนร่างเค้าขึ้นแล้วอุ้มออกจากห้องน้ำก่อนจะตรงดิ่งไปที่เตียงนอน เค้าไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เสื้อด้านบนของเค้าถูกผมถอดออกอย่างง่ายดาย ผมบรรจงดูดดันเจ้าเม็ดเล็กๆ บนยอดอกนั้น เค้กบิดตัวรับในแต่ละสัมผัสของผม เมื่อเห็นเค้าไม่ขัดขืนใดๆ อีกผมก็ถือโอกาส ถอดกางเกงและชั้นในที่ปกปิดส่วนล่างของเค้า

และแน่นอนผมจัดการจับเสื้อผ้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โถมทับเข้าหาอีกร่างที่อยู่เบื้องล่าง ผมได้ยินเพียงเสียงครางอย่างรัญจวนของเค้ก มือของเค้าแทรกสอดเข้ามาที่เรือนผมที่เปียกชุ่มเพราะเหงื่อ  เหมือนผมจะอดใจไม่ไหวอีกต่อไป ขาของเค้กถูกแยกออกจากกันเพื่อที่จะรองรับร่างของผมที่แทรกเข้าไปตรงระหว่างกลาง ผมช้อนสะโพกของเค้าขึ้นในท่าเตรียม สองตายังคงจับจ้องกับใบหน้าของเค้า ริมฝีปากบางนั้น เผยอเชื้อเชิญผมอย่างยั่วเย้า แต่ผมต้องรีบปฏิบัติการเบื้องล่างก่อน เพราะเกิดเค้กเปลี่ยนใจขึ้นมาผมอาจจะต้องอารมณ์ค้างได้

เมื่อมองหาไม่มีอะไรที่จะมาช่วยหล่อลื่นช่องทางที่ผมกำลังจะเข้าไปสำรวจ น้ำบ่อน้อยจากปากของผมเลยถูกนำมาใช้ ผมป้ายลงตรงปากทางคับแคบนั้น ก่อนจะป้ายที่ปลายตะเกียง(ไม่น้อย)ของผม เมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ผมก็ค่อยๆ ดันแก่นกายเข้าไปในตัวเค้ก อย่างช้าๆ โดยหยุดเป็นระยะ เพราะรู้สึกมันคับแคบเหลือเกิน อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้เค้กเองก็คงไม่ได้มีความสัมพันธ์กับใครเลยนั่นเอง เค้กนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อผมพยายามกดลึกเข้าไป สองมือของเค้าจิกผ้าปูที่นอนจนเกร็ง

ผมขยับกายเข้าออกช้าๆ เมื่อเข้าไปได้จนสุดแล้ว รอให้ช่องทางนั้นขยายเปิดรับผมอย่างเต็มที่ และในที่สุดร่างกายของเราสองคนก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมก้มหน้าลงไปประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากบางนั้นอย่างดูดดื่ม ส่วนสะโพกของผมก็ขยับเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ สองมือลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของเค้า

จากนั้นภายในห้องก็มีเพียงเสียงหอบหายใจ และครวญครางของเราสองคนที่สอดประสาน เราต่างโหมกระหน่ำพายุความต้องการภายในกายเข้าใส่กันและกันอย่างไม่มียั้ง

“ในที่สุดเราก็ได้กินเค้กแล้วนะ”ผมบอกเสียงกระเส่า แต่เค้าไม่ได้ตอบอะไรผมเพราะกำลังกระสับกระส่าย และครวญครางอย่างคนที่กำลังสุขสันต์ ผ่านไปพอสมควร ผมก็ต้องเร่งจังหวะสะโพกถี่ยิบ โดยที่สองมือไม่ลืมที่จะเร่งจังหวะการเกาะกุมเค้กน้อยไปด้วย ไม่นานนักผมก็ปล่อยของเหลวอุ่นๆ เข้าไปภายในตัวเค้า พร้อมๆ กับที่ของเหลวจากเค้าพุ่งออกมาเลอะมือของผม

“บอกแล้วว่าภาษากายของเราเข้าใจง่ายกว่า”ผมนอนทับลงไปบนตัวเค้าและกระซิบบอกด้วยเสียงหอบ เค้าทำเพียงกอกระชับร่างผมเข้าหา เรานอนกอดตระกองกันอยู่อย่างนั้นพักนึง ผมกำลังคิดว่านี่มันยังไม่สาสมกับที่วันนี้เค้ายั่วโมโหผมหรอก นี่มันเพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น

“ปล่อยได้แล้วเราจะไปอาบน้ำ”หลังจากนอนพักอยู่ครู่ใหญ่เค้าก็ผลักผมออก แต่มีหรือผมจะยอม อยากอาบน้ำใช่ไหม ผมอุ้มตัวเค้าลอยไปยังห้องน้ำ และแน่นอนว่าการอาบน้ำมันจะต้องมีกิจกรรมอย่างอื่นร่วมด้วยอย่างแน่นอน ผมคิดไว้แล้วว่าหลังจากอาบน้ำเสร็จกลับมาที่เตียง ก็จะยังไม่ยอมให้เค้าได้นอนง่ายๆ หรอก วันนี้เป็นไงเป็นกัน เช้าไม่กลัวครับงานนี้ นานๆ จะได้กินเค้กแสนอร่อยสักที ขอกินให้อิ่มหนำสำราญหน่อยแล้วกัน

--------------------------------------------------------

แวะมาต่อคร๊าบบบบบ


เหมือนเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนอ่านเท่าไหร่

อาจจะด้วยเรื่องที่เรีียบๆ ไม่หวือหวา แต่ถ้าใครอ่านก็ติชมกันได้นะคร๊าบบบบ

พร้อมรับทุกคำติชม  o13
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 10-11-2014 22:13:47
อ่านค่ะตามอ่านอยู่ ตามอ่านของคุณทั้งสองเรื่อง เข้ามาเช็คทุกวัน แต่เมนท์ไม่เป็น + ไม่เก่ง  :L1:

เชียร์เกี๊ยงนะคะ  พาร์ทนี้ชักตุ่มๆต้อนๆ เกี๊ยงได้กินเค๊กแต่กลัวมาม่าอ๊ะ

เราว่าเกี๊ยงเคลียร์แล้วก็ได้เปรียบเรื่องแฟนเก่าเฮงซวยของเค๊ก แต่ก็กลัวใจเค๊กกับรักแรก ยิ่งมีภูมิหลังแบบนั้นด้วย
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 10-11-2014 22:56:57
เชียร์เกี๊ยงนะครับ

สู้ๆๆ

อย่าปล่อยให้ถ่านไฟเก่าประทุขึ้นมาล่ะครับ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 11-11-2014 00:10:42
งานแต่งของโอเล่กับอ้อน รึเปล่า
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 11-11-2014 05:21:56
มาแสดงตัวค่าาาา  :bye2:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 11-11-2014 21:06:14
Cake


“พี่ตี้”ผมเรียกชื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ

“ไม่ได้เจอกันนานนะ สบายดีเหรอ”เค้าตอบกลับมาอย่างยิ้มแย้มถึงแม้เราจะจบกันไปนานแล้ว และมันอาจจะจบไม่ดีนัก แต่ผมก็ไม่ได้โกรธเกลียดพี่ตี้หรอก เหตุผลของแกที่เราต้องเลิกกันแล้วแกไปคบกับคนอื่น เพราะคิดว่ามันจะดีกว่าผม แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมแกถึงคิดแบบนั้น แต่แกก็คงหวังดีกับผมนั่นแหละ เพราะหลังจากแกไปกันไม่รอดกับ พีท อีกคนที่แกคบหาด้วย พี่ตี้ ก็ยังมาตามง้อขอคืนดีกับผม

แต่ผมไม่คิดจะกลับไปคบกับแกอีก เพราะอะไรนะเหรอครับ เพราะว่าผมคิดว่าผมคงไม่ได้รักแกนั่นเอง มันเป็นแค่ความหลง ความอยากรู้อยากลอง แต่พอขาดไปมันก็เจ็บนะ แต่ไม่ถึงกับจะเป็นจะตาย เราก็ยังอยู่ได้ เลยคิดว่าต่างคนต่างอยู่นั่นแหละมันดีแล้ว เหลือไว้แค่ความเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันก็พอแล้ว

“เห็นเพื่อนผมบอกว่าพี่จะมาปรับความเข้าใจกับผมไม่ใช่เหรอ”ผมถามออกไปอย่างไม่ได้จริงจังเท่าใดนัก เพราะไม่คิดว่าพี่ตี้จะคิดมาทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะเรื่องของเรามันจบลงไปตั้งนานแล้ว แต่ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันนะว่าแกมีจุดประสงค์อื่นอีกหรือเปล่าที่มาคุยกับผม

“เปล่าหรอก พี่ก็แค่จะมาทักทาย คนเคยคุ้นเคยเท่านั้นเอง อีกอย่างเค้กก็มีตัวจริงมาคุมซะขนาดนั้น”พี่ตี้หันมองไปทางเกี๊ยง นี่แสดงว่าแกคงเห็นแล้วละว่าผมมากับใคร

“ยังหรอกพี่ ผมยังไม่แน่ใจเลย”ผมตอบออกไปตามความจริง เพราะแม้ว่าผมจะรู้สึกดีๆ ที่มีเกี๊ยงเค้ามาวุ่นวายในชีวิต แต่ผมก็ยังคงกลัวอยู่ดี การล้มเหลวจากการมีแฟนของผมในหลายๆ ครั้งมันเลยทำให้ผมยังลังเลอยู่นั่นเอง

“ไม่ต้องปิดหรอก พี่ว่าเค้กเองก็คงให้ความสำคัญกับเค้ามากอยู่นะ ไม่งั้นคงไม่พามาเปิดตัวขนาดนี้หรอกมั้ง”พามาเปิดตัวที่ไหนกัน ก็เกี๊ยงเองก็เป็นเพื่อนๆ กันกับพวกผมนี่แหละ ผมอธิบายให้พี่ตี้ฟังว่าความสัมพันธ์ของผมกับเกี๊ยงเป็นมายังไง

“พี่ว่าลองดูอีกสักครั้งก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา ไม่แน่ครั้งนี้เค้กอาจจะเจอตัวจริงก็ได้ เพราะมองดูแล้วนายตะเกียงของเค้กนี่ดูน่าจะเป็นคนรักใครรักจริงอยู่นะ เอางี้พี่ว่าเรามาลองเล่นเกมกันดูดีกว่า”ไม่รู้เพราะอะไรทำไมผมถึงคล้อยตามคำพูดของพี่ตี้ก็ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าแก เหมือนพี่ชายผมคนนึงที่กำลังอยากเห็นน้องมีความสุข นี่แหละมั้งเพราะตอนที่ผมคบกับแกส่วนหนึ่งก็เพราะผมเห็นว่าแกเป็นคนอบอุ่น เหมือนพี่ชายนี่แหละ ก็ผมไม่เคยมีพี่มาก่อนนี่เนอะ มีแต่น้องชายตัวแสบเท่านั้นแหละ

“พี่จะเล่นเกมอะไรเหรอ”แม้จะรู้สึกยังเลอยู่บ้างว่าแกจะเล่นอะไรพิเรนท์หรือเปล่าแต่ก็ยังอดที่จะสงสัยไม่ได้

“เค้าว่ากันว่า คนที่รักมากก็ย่อมหึงมากหวงมาก เพราะงั้นเรามาลอง แกล้งให้เค้าหึงดูไหม”และนั่นเป็นจุดเริ่มต้น การแสดงระหว่างผมกับพี่ตี้ ที่ตอนแรก ก็แค่ให้ผมทำเป็นไม่สนใจเกี๊ยง ทำเมินแล้วหันไปพูดคุยกับพี่ตี้แทน แต่เมื่อแอลกอฮอล์ในกายมันเยอะขึ้น ในตอนที่ไปผับ การถึงเนื้อถึงตัว ของผมกับพี่ตี้มันก็มากขึ้น ด้วยอารมณ์นึกสนุก ของเราทั้งคู่ ที่เห็นท่าทีของเกี๊ยงไม่สบอารมณ์ แต่แล้วก็ได้รู้ว่าผมกับพี่ตี้ คงเล่นแรงกันเกินไป เพราะเกี๊ยงดันโมโหขึ้นมาจนคุมอารมณ์ไม่อยู่

“ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมเกี๊ยงถึงสมควรไปขอโทษพี่ตี้”ผมบอกกับคนที่นอนกอดผมอยู่ ตอนนี้ผมกับเค้ายังกอดตระกองกันอยู่บนเตียงทั้งที่สายจวนเจียนจะเที่ยงอยู่แล้ว เหตุที่ยังนอนกันอยู่ก็เพราะคนข้างๆ ผมนี่แหละครับ ที่กว่าจะยอมปล่อยให้ได้หลับได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบเช้าอยู่แล้ว

“แล้วแบบนี้ก็หมายความว่า เค้กยอมเป็นแฟนกับเราแล้วล่ะสิ”น้ำเสียงดีใจจนออกนอกหน้านั้น ทำเอาผมอดที่จะเขินไม่ได้

“คงงั้นมั้ง”ผมบอกกลับไปอย่างอายๆ ทำไมผมถึงยังอายอยู่ก็ไม่รู้สิ ทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว ผ่านการคบหากับใครมาก็มากมาย แต่หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของผมแล้วนะ จะได้ไม่ต้องเลิกรากับใครอีกแล้ว

“อะไรมันจะง่ายขนาดนี้เนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย”อ้าวยากให้มันยากกว่านี้รึไงกัน

“เค้าว่ากันว่าคนเราไม่รู้หรอกว่าจะต้องตายจากกันวันไหน อาจจะวันนี้พรุ่งนี้ก็เป็นได้ ถ้ารักใครชอบใครก็บอกไปเลยจะได้ไม่ต้องมาเสียดายในภายหลังไง”ผมบอกออกไปตามที่เคยอ่านมาจากที่ไหนสักแห่งก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน แต่ก็บอกไว้ประมาณนี้แหละ

“ทำไมต้องพูดเรื่องความเป็นความตายด้วย คนโบราณเค้าถือนะมันเป็นลางไม่ดี”เค้าบอกผมเสียงเครียดๆ

“แต่เราไม่ใช่คนโบราณนี่นา เราไม่ถือหรอก”ผมบอกออกไปอย่างที่คิดเพราะ ผมว่าแค่การพูดอะไรแบบนี้คงมากำหนดชีวิตเราไม่ได้หรอกมั้ง แต่ผมก็ไม่ได้ไม่เชื่อขนาดจะไปลบหลู่หรืออะไรหรอกนะครับ แต่จะไม่ค่อยถือสามากกว่า

“เอาเถอะ คราวหลังอย่าพูดอีกแล้วกัน...ว่าแต่นี่เราคงต้องไปขอบอกขอบใจพี่ตี้จริงๆ นะเนี่ยที่ทำให้เค้กยอมเป็นแฟนกับเราได้แบบนี้ แต่คราวหลังเค้กอย่ามาแกล้งให้เราหึงแบบนี้อีกนะ เราไม่ชอบเลย”เค้าบอกอย่างงอนๆ พร้อมกับกอดกระชับผมเข้าหาเค้า

เราออกจากโรงแรมในตอนบ่ายๆ ก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพฯเลยถามไอ้เอกดูว่าติดต่อพี่ตี้ได้ไหม จะได้พาเกี๊ยงไปขอโทษแกหน่อย แต่แกกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วเลยได้แต่เบอร์ติดต่อไว้


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามคร๊าบบบบ o13
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [11-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 11-11-2014 23:42:43
ที่แท้ก็เป็นแผนนี่เอง

ร้ายจริงๆ

ชอบมากครับ สนุกดี
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [11-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-11-2014 21:05:31
Ta-kiang

ผมไม่นึกไม่ฝันเลยว่าอะไรมันจะง่ายดายขนาดนี้ แถมจากที่มองไอ้พี่ตี้เป็นตัวมาร ตอนนี้ผมละนึกขอบคุณแกจริงๆ วันนี้เลยกะจะมาขอบคุณแกซะหน่อย หลังกลับจากต่างจังหวัดวันนั้นนี่ก็เกือบอาทิตย์นึงแล้ว เค้กติดต่อพี่ตี้ ว่าผมจะเลี้ยงขอโทษที่วันนั้นไปต่อยแก เรานัดกันที่ลานเบียร์ เพราะเค้กบอกอยากดื่มเบียร์ ซึ่งผมก็เห็นว่าดีเหมือนกัน เพราะถ้าเค้กดื่มเบียร์ ผมอาจจะได้กินเค้กอีกก็ได้ วันนี้ผมต้องพาเค้าไปค้างคอนโดผมให้ได้ เพราะแม้จะตกลงเป็นแฟนกันแล้ว แต่เค้าก็อยู่บ้านเค้าตลอด โอกาสจะได้กินเค้กของผมเลยไม่ค่อยจะมีเลย

“ผมขอโทษจริงๆ นะพี่ ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าพี่กับเค้กจะร่วมมือกันอำผมแบบนี้ จริงๆ น่าจะมาให้ผมยืนยันตรงๆก็ได้ว่าผมรักจริงหวังแต่งขนาดไหน”ผมกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจให้กับ พี่ชายคนใหม่ที่ผมนับถือ

“ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าวันไหนนายทำให้เค้กเสียใจขึ้นมาละก็ คงไม่แค่โดนต่อยคืนแน่ๆ”โหไม่ต้องขู่ก็ได้ครับ ยังไงผมก็ขาดเค้กไม่ได้อยู่แล้วละชีวิตนี้

“ไม่ต้องถึงมือพี่ตี้หรอก เดี๋ยวผมจัดการเองได้”สุดที่รักของผม จะทำอะไรผมละ แบบนี้ใครจะไปกล้าทำเค้าเสียใจกันละครับ เค้าเจ็บผมสิจะยิ่งเจ็บกว่า เราดื่มกันไปคุยกันไป สักพักก็มีโทรศัพท์โทรมาหาพี่ตี้ แกขอตัวไปคุยสักพักก็กลับมา

“สงสัยพี่ต้องขอตัวก่อนแล้วล่ะ มีธุระนิดหน่อย ไว้ถ้าพี่กลับมาไทยเมื่อไหร่เราคงได้ดื่มกันอีกนะ”พี่ตี้แกจะไปอยู่เมืองนอกครับ คงจะทำธุรกิจลงหลักปักฐานที่ต่างประเทศเลย นานๆ กว่าจะได้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอน

“ไม่เป็นไรครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ”เค้กลุกขึ้น ยืนล่ำลาแถมกอดลาอีกต่างหาก จะมากไปหรือเปล่านี่เพ่ หวงนะเฟ้ย ผมส่งสายตาเคืองๆ ให้ไอ้พี่ตี้ แต่เหมือนแกจะจงใจแกล้งผม เลยวางมือลงบนก้นกลมกลึงของเค้กก่อนจะบีบเบาๆ ทำเอาผมตาโตด้วยความหวง

“เล่นอะไรนะพี่ตี้”เค้กตีมือเบาๆ อย่างไม่ได้ถือสา แต่ผมนะถือ อย่ามาเล่นแบบนี้บ่อยๆ เชียวนะไอ้พี่ต้ไม่งั้น ไม่ไว้หน้าจริงๆ ด้วย

“ไอ้ต้องมาทำตาเขียวเลยเกี๊ยง แค่นี้ไม่สึกไม่หรอหรอกน่า”แกหันมาหัวเราะใส่ผม ก่อนจะโบกไม้โบกมือล่ำลา เอาว่ะยกให้แกไว้คนนึงแล้วกัน เพราะแกก็ไม่ได้มาอยู่ทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ หรอก ไม่ถือว่าเป็นศัตรูของผม

“วันนี้เค้กไปค้างกับเรานะ นะๆๆ”ผมพูดพร้อมส่งสายตาหื่นๆ แสดงถึงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าต้องการอะไรจากเค้า หน้าเค้กแดงระเรื่อขึ้นมาทันที น่ารักจริงๆ เลยเค้กของผม ชีวิตผมไม่มีอะไรจะสุขไปกว่านี้อีกแล้ว

“ขอคิดดูก่อนนะ”เค้าทำเป็นไม่สนใจผมแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่ม แต่การดื่มแบบนี้แหละ ยังไงก็ไม่มีทางรอดมือผมไปได้หรอกคืนนี้

“เดี๋ยวไปห้องน้ำก่อนนะครับที่รัก อย่าฉุดผู้ชายที่ไหนมานั่งด้วยละ”ผมพูดอย่างขำๆ เค้าค้อนให้ผมเล็กน้อย ผมแกล้งยิ้มหื่นๆ ใส่เค้าเลยเสมองไปทางอื่น ผมลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์ยังไงก็ได้กินเค้กแน่ๆ กินเค้ก กินเค้ก แค่คิด ตะเกียง(ไม่น้อย) ของผมก็จะดุนกันกางเกงออกมาแล้ว



“เฮ้ย”ผมต้องร้องออกมาเมื่อ ทำธุระเสร็จจากห้องน้ำแล้ว ผมยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ ใครกันอีกละทีนี้ มานั่งดื่มชนแก้วคุยอยู่กับเค้ก นี่เค้าไปฉุดใครมานั่งด้วยละเนี่ย เอ้ยไม่ใช่สิ ใครมันบังอาจมาใกล้ชิดเค้กของผมกัน อารมณ์หึงของผมขึ้นหน้าทันที ผมปั้นหน้าบึ้งตึง เดินไปหาตรงโต๊ะเดิม จ้องมองอีกคนไอ้นี่มันใครกันว่ะ หน้าตาดีเสียด้วย แต่หล่อน้อยกว่าผมแล้วกัน (ไม่เชื่อเหรอ) ก็ได้ๆ มันหล่อพอๆ กับผมนี่แหละ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ ผมไม่ได้สนใจในความหล่อของมัน แต่ผมสนใจว่ามันมาทำอะไรกับแฟนผมต่างหาก

“อ้าวมาแล้วเหรอเกี๊ยง”เค้กหันมาถามผม แต่ก็คงสังเกตเห็นสีหน้าบึ้งตึงของผมแล้ว เค้ายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย จะมายิ้มทำไมละคนกำลังหึงอยู่นะ เดี๋ยวปัดจูบโชว์คนอื่นกลางลานเบียร์นี่ซะเลย

“นี่โอเล่นะ เพื่อนที่ทำงานเราเอง...ส่วนนี่ก็เกี๊ยงนะเล่ เพื่อนเราเอง”เพื่อนงั้นเหรอ ทำไมไม่บอกมันไปเลยว่าผมไม่ใช่แค่เพื่อน เค้กนะเค้ก ก็พอจะเข้าใจว่าบางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน แต่กับไอ้โอเล่ ลูกอมเม็ดละห้าสิบสตางค์นี่ผมว่าบอกมันไปเลยดีกว่า เพื่อป้องกันเอาไว้ไม่งั้นเผื่อมันสนใจเค้กขึ้นมาจะทำไง ก็ดูสายตามันสิ มันวาวเชียวแล้วยิ่งตอนเค้กบอกว่าผมเป็นแค่เพื่อน ผมเห็นด้วยนะว่ามันแอบอมยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”ไอ้ลูกอมสองเม็ดบาทมันกล่าวทักทายผม แต่ผมก็แค่พยักหน้ารับคำทักทายนั้น

“เดี๋ยวคุยกันไปก่อนนะ ขอโทรไปบอกที่บ้านหน่อย ว่าวันนี้อาจจะดึกหน่อย”อ้าวอะไรกัน จะกลับดึกที่ไหนกัน ต้องบอกว่าไม่กลับสิเพราะจะไปค้างกับผม เค้กนะเค้ก เพราะไอ้ลูกอมสองเม็ดบาทนี่คนเดียวเลยมานั่งเป็นก้างแบบนี้ ผมเลยพูดอะไรกับเค้กตรงๆ ไม่ได้ จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยแคร์หรอก แต่เมื่อกี้เห็นเค้กบอกกับหมอนี่ไปว่าผมเป็นเพื่อนงั้นก็คง ไม่อยากให้ผมทำอะไรรุ่มร่ามต่อหน้าหมอนี่เท่าไหร่ หวังว่าไอ้ลูกอมนี่จะเป็นแค่เพื่อนที่ทำงานเท่านั้นจริงๆนะ

“คบกันนานแล้วเหรอครับ”

“ก็เพิ่งตกลงเป็นแฟนกันไม่นานนี่เอง”ผมบอกออกไป เฮ้ย นี่ผมหลุดปากตอบไปได้ไง แต่ก็ช่างเถอะ ดีแล้วละ ว่าแต่ทำไมหมอนี่มันถามแบบนี้ละ มันจะมาเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกันละเนี่ย ผมยังมองไม่ออกเลย

“เมื่อกี้ว่าไงนะ”ผมถามออกไปเพื่อความแน่ใจว่าเค้าจะมาไม้ไหน

“ดูรักกันดีนะครับ”ไอ้ลูกอมมันยังคงพูดต่อ

“ก็คงไม่มีใครมาแยกเราสองคนออกจากกันได้ง่ายๆ หรอกครับ”ผมตอบไปอย่างแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่

“ผมไม่ได้มาจีบแฟนคุณหรอกน่า สบายใจได้”คำพูดของไอ้ลูกอมนี่ทำให้ผมคลายกังวลได้บ้าง เพราะดูท่าทีแล้วก็ไม่ได้เหมือนคนจะมาจีบสุดที่รักของผมหรอก แต่ไอ้ผมมันต้องตั้งการ์ดป้องกันไว้ก่อน ก็แฟนทั้งคนจะไม่ให้หึงได้ไงล่ะ

“เห็นพวกคุณแล้วผมก็อดที่จะอิจฉาไม่ได้”ดูไอ้ลูกอมนี่น้ำเสียงหม่นๆ ลงไปเล็กน้อย ถูกทิ้งมาหรือไงเนี่ยทำหน้ายังกับคนอกหักมางั้นแหละ

“ทะเลาะกับแฟนมาเหรอครับ”ผมถามไถ่อย่างสุภาพ เพราะคิดว่าเค้าคงมาอย่างมิตรไม่ได้มาอย่างศัตรู จริงๆ อยากจะถามว่าเลิกกับแฟนมาเหรอ แต่ถามแบบนี้น่าจะฟังดูดีกว่า ถามตรงไปเดี๋ยวหมอนี่จะคลั่งแล้วอาละวาดเปล่าๆ ยิ่งเห็นยกเบียร์ซดเอาๆ (ยังไงก็อย่าลืมหารช่วยด้วยนะ อย่ามาเนียนกินฟรีล่ะ)

“เค้าไม่อยู่ให้ผมทะเลาะแล้วละ”ชัวร์ครับงานนี้ถูกทิ้งมาแหงมๆ แหมแล้วผมจะพูดว่ายังไงดีละเนี่ย เอาว่ะก็ปลอบเค้าหน่อยคิดซะว่าเหมือนเพื่อนคนนึงเราอกหักมาแล้วกัน

“ถ้าเค้าไม่รักเราแล้วหรือเค้าไปมีคนอื่นที่คิดว่าดีกว่าเราก็ปล่อยเค้าไปเถอะครับ”จริงๆ อยากจะบอกว่าคนที่ทิ้งเราแบบนั้นอย่าไปใส่ใจมันเลย ช่างหัวมัน แต่กลัวว่าไอ้ลูกอมที่จะลุกมาต่อยผมที่ไปว่าแฟนเค้าอย่างนั้น เพราะถ้าเป็นผมเองเกิดสมมติ สมมตินะครับสมมติ (มันไม่มีทางเป็นจริงหรอก) สมมติว่าเค้กทิ้งผมไป แล้วคนอื่นจะมาว่าเค้กเสียๆ หายๆ ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน

“เค้าไม่ได้มีคนอื่น และเค้าก็ยังรักผม นั่นแหละที่มันน่าเศร้า”อ้าวแล้วตกลงมันตายจากไปแล้วหรือไงเนี่ย ยังไงแน่หะไอ้ลูกอม

“ถ้าเค้ายังรักคุณ และคุณก็ยังรักเค้าแล้วมันจะน่าเศร้าตรงไหนละครับ ผมไม่เข้าใจ”ขอถามแบบโง่ๆ แล้วกันนะวันนี้ ขี้เกียจคิดเรื่องคนอื่น

“เพราะการอยู่ด้วยกันมันช่างยากเหลือเกิน”เค้าบอกอย่างเศร้าๆ ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ดูจากสีหน้าและแววตาแล้วคิดว่าเค้า คงกำลังเศร้าอย่างมากเลยทีเดียว การที่คนสองคนมีความรักให้กันมันยังจะมีอุปสรรคอะไรอีกอย่างนั้นหรือ



--------------------------------------------------------------

อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นอ่ะเนอะ ว่าเรื่องนี้กับอีกเรื่องจะมีตัวละครเกี่ยวเนื่องกันนิดหน่อย

ถ้าใครอ่านอีกเรื่องก็คงจะทราบวีรกรรมของไอ้ลูกลมกันดี 555

ก็จะเป็นคล้ายๆ เสริมให้รู้ในมุมของตัวละครนี้เพิ่มอีกนิดหน่อย เผื่อเรียกเสียงหมั่นไส้ยิ่งๆ ขึ้นไป 555

ส่วนจะโผล่มากี่ตอนต้องตามอ่านดูนะคร๊าบบบบบ  o13
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [12-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 12-11-2014 21:19:05
ตามอยู่แล้ว  :L1:  ชอบเกี๊ยงน้า คือนางรู้ใจตัวเองก็เดินหน้าเต็มที่  ขอให้ความรักความดีคงเส้นคงวา  อย่าได้เหมือนอีเล่เลย

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [12-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 12-11-2014 23:13:54
ชอบครับ
มาต่ออีกนะครับ

เกี๊ยงดูรักเค้กมากๆๆจริงๆ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [12-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 13-11-2014 22:31:35
เอาอิโอเล่ออกไป มีอ้อนแล้วก็ไปอยู่กับอ้อนสิ ยังทำท่าจะมาจีบเค้ก
ถ้าเจ้าชู้ ยังงี้ขอให้ไม่มีใคร
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [12-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 15-11-2014 11:29:38
Cake

“เล่ๆ ทางนี้ๆ”ผมเอ่ยปากเรียกเพื่อนร่วมงาน เมื่อเห็นเค้าเดินเข้ามาในลานเบียร์เพียงคนเดียว

“อ้าวเค้ก ว่าไง”เค้าเอ่ยทักทายผม ผมรู้จักกับเค้านานแล้วละ ก็ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่เดียวกัน เล่ทำงานมาก่อนผมแล้ว เค้าชอบมาคุยถามอะไรแปลกๆ กับผม พอได้คุยกันบ่อยๆก็เลยทำให้สนิทกัน ทั้งที่เค้าก็มีแฟน จนตอนนี้แต่งงานมีครอบครัว มีลูกแล้ว แต่เค้ามักจะชอบมาพูดคุยกับผมในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างชายรักชาย ซึ่งเค้าก็รู้อยู่แล้วแหละว่าผมมีรสนิยมอย่างนั้น การเคยได้พูดคุยทำให้ผมเดาได้ว่า

เค้าต้องเคยคบกับผู้ชายด้วยกันมาก่อน และมันก็จริงเสียด้วย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ข่าวว่าชีวิตครอบครัวของเค้าเริ่มสั่นคลอน และเค้าเองนั่นแหละเป็นคนมาพูดคุยและเล่าให้ผมฟังเอง เค้าบอกว่าเวลาเห็นผมแล้วทำให้อดที่จะนึกถึงใครบางคนไม่ได้ เค้าบอกว่าเพราะตัวเค้าเองแคร์สังคมและคนรอบข้าง ทำให้ทำอะไรมันยุ่งวุ่นวายพันตูกันไปหมด กว่าจะเริ่มคิดได้มันก็สายไปเสียแล้ว

“มากับใครเนี่ย นั่งด้วยกันไหม”ผมเอ่ยชวนเมื่อมองหาคนที่มากับเค้าแล้วเหมือนจะไม่มี

“งั้นรบกวนหน่อยนะ ว่าแต่นี่มากับใคร เราไม่ได้มาเป็นส่วนเกินใช่ไหม”เค้าถามไถ่อย่างเกรงใจ จะส่วนเกินอะไรล่ะมีคนมานั่งด้วยแบบนี้สิดี ไอ้หื่นคนของผมจะได้ไม่รุ่มร่ามมากนัก เพราะตอนแรกกะว่าจะใช้พี่ตี้มาช่วยคุ้มกัน ก็ดันกลับไปก่อน

“นั่งได้เรามากับเพื่อนอีกคนนึง พอดีเค้าไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวก็คงมาแล้ว”ผมบอกไปอย่างมีไมตรี ต่อเพื่อนคนนี้

“มีเรื่องไม่สบายใจอีกแล้วเหรอ”เห็นทีท่าของเค้าผมก็พอจะเดาออก เพราะมันเหมือนทุกทีที่เค้าเคยมาปรึกษาผมนั่นเอง ความจริงผมก็ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาที่ดีนักหรอก เพราะบางสถานการณ์ของเค้ามันก็อยากที่จะแนะนำ แต่บางที่การให้เค้าได้มาเล่าหรือระบายบ้างก็น่าจะช่วยให้เค้าดีขึ้นบ้าง

“เราคิดถึงเค้านะเค้ก เราไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี”เรื่องนี้อีกแล้วสินะ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เค้ามาพูดเรื่องนี้ แต่ทุกครั้งที่เค้ามาพูดเรื่องนี้ ผมก็จะแนะนำไม่ให้เค้าไปติดต่อ หรือไปหา ใครคนนั้นที่เค้าคิดถึง เพราะใครคนนั้นเองก็คงต้องการให้มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ นั่นคือความคิดของผมเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ผมชักอยากจะลองให้เค้าได้เจอกันบ้าง แม้ไม่ต้องถึงขั้นกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างแอบๆ เหมือนที่พวกเค้าเคยทำ

แต่แค่ขอได้พบหน้าหรือได้พูดคุยบ้าง แค่นั้นมันอาจจะไม่เป็นไรมากหรอกมั้ง ก็คนมันคิดถึงจะให้ทำยังได้ โอเล่เองก็คงคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เค้าอาจจะต้องการความเห็นจากใครสักคนบ้างเท่านั้นเอง จริงๆ ใจเค้าคงอยากจะไปหาใครคนนั้นอยู่แล้ว ผมว่าบางทีที่เค้ามาคุยกับผมเหมือนเค้าคิดว่าผมเป็นเกย์อาจจะสนับสนุนให้เค้าเลิกกับภรรยา แล้วกับไปหาใครคนนั้นแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าเค้ายังไม่มีลูกด้วยกันผมอาจจะบอกแบบนั้นก็ได้ แต่นี่มันไม่ใช่

“เล่...ถ้าคิดถึงมากก็ลองไปเจอเค้าดูบ้าง แต่อย่าให้มันเกินเลยเพราะตอนนี้เล่จะไปทำอะไรกับเค้าเหมือนแต่ก่อนมันไม่ได้อีกแล้ว”ไม่รู้ว่าผมทำในสิ่งที่ผิดหรือถูกกันแน่ แต่เห็นท่าทางของเค้าผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดแบบนี้

“เค้กว่าเราไปเจอเค้าได้จริงๆนะ”ผมเห็นรอยยิ้มจางๆ จากใบหน้านั้นหลังจากที่แทบจะไม่ค่อยได้เห็นเค้ายิ้มมานานแล้ว นี่ความรักมันทำให้คนเป็นได้ขนาดนี้เชียวหรือ แล้วเรื่องของผมกับเกี๊ยงละเกิดวันนึงเค้าอยากจะไปแต่งงานมีครอบครัว หรือพ่อแม่เค้าต้องการอย่างนั้นผมจะทำยังไง



“เค้กแนะนำแบบนั้นถูกแล้วล่ะ เค้าอยากเจอก็ควรไปเจอ แต่อย่าไปทำอะไรที่มันจะยุ่งยากขึ้นมาอีกก็แล้วกัน”เสียงของเกี๊ยงพูดขึ้นหลังจากที่ผมเล่าให้ฟังว่าโอเล่มานั่งกับผมได้ยังไง ตอนนี้ผมอยู่ที่คอนโดของเกี๊ยงแล้ว ผมว่าจะกลับบ้านแต่เค้าไม่ยอมไปส่งผม ดึงดันว่ายังไงก็จะให้ผมมาค้างด้วยให้ได้ ไม่บอกก็รู้ได้จากสายตาหื่นๆ ของเค้าว่าทำไมอยากให้ผมมาค้างด้วยนักหนา

“น่าสงสารเล่เหมือนกันนะ อยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งยากเหลือเกิน”ผมยังอดที่จะนึกเห็นใจเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ผมไม่ได้เล่ารายละเอียดเรื่องของโอเล่ให้เกี๊ยงฟังหรอกนะครับ บอกแค่ว่าโอเล่นั้นมีคนรักที่เป็นผู้ชาย แต่ต้องแต่งงานกับผู้หญิง

“ตอนนี้ลืมเรื่องเพื่อนของเค้กไว้ก่อนนะ มาสนใจเรื่องของเราสองคนดีกว่า รู้ไหมว่าเราหิวขนาดไหนแล้วตอนนี้ อยากกินเค้กจนจะทนไม่ไหวอีกแล้ว”เค้าพูดพร้อมกับสวมกอดมาที่ผม

“ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ขออาบน้ำก่อนนะ”ผมยืนอุธรณ์เพราะรู้สึกเหนียวตัวอยู่พอควร

“งั้นเดี๋ยวเราถูหลังให้นะ”แต่ดูท่าคำอุธรณ์ของผมจะไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่หรอกมั้งเนี่ย คืนนี้ผมจะได้นอนตอนไหนกันน้า


-------------------------------------------------------
แวะมาต่อคร๊าบบบบ

หลังจากไม่ได้ลงมา 2 วัน ก็ไม่รู้ว่าเค้กคิดถูกหรือผิดที่ให้คำแนะนำกับโอเล่ หึหึ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 15-11-2014 19:43:45
*ถอนหายใจ* เราชอบเรื่องนี้เพราะว่าอ่านแล้วชิลๆ  ไม่ดราม่า (ณ ตอนนี้) 
ชอบเกี๊ยงที่รู้ใจตัวเอง เดินหน้าเต็มที่จนตอนนี้แม่ยกปลึ้มแล้ว

ส่วนโอเล่นั้นมาเห็นเกี๊ยงกับเค๊กก็ทำให้เห็นในส่วนที่ตัวเองได้พลาดไปแล้ว ตราบใดที่ตัวเองยังแคร์สังคมอยู่ จะกลับไปเจอหรือพูดคุยกับแฟ้มอีกกี่ครั้งก็ไม่ช่วยอะไรได้หรอก มีแต่จะทรมาณทั้งตัวเองกับแฟ้มและคนรอบข้างมากขึ้นเท่านั้นเอง

อยากให้โอเล่ตัดใจเอาสักทาง  จะเดินหน้าหรือเดินเลี้ยวไปทางอิ่น

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 15-11-2014 21:59:08
เบื่ออิโอเล่มากเลย ขอให้มันไม่เหลือใคร  :m16:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-11-2014 22:21:52
เอ๊ะ..เรื่องนี้ เป็นของเกี๊ยงกับเค้ก
ไม่ใช่เหรอ

แต่อ่านเจอคนเม้นท์ถึง..ไอ่เล่
ทุกคนเลย

เมิงนี่ดังข้ามเรื่องเลยนะ
ไอ่นี่หนิ..เชี้ย ข้ามทู้

เชื่อเลย
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 16-11-2014 09:53:57
Cake

“ว่าไงมีอะไรกัน”ผมเอ่ยถามอีกสองคนที่เอาแต่นั่งจ้องผมเหมือนกำลังพากันตัดสินใจอะไรบางอย่าง คนนึงคือไอ้น้องชายตัวแสบของผม ไอ้เจ้าชีสนั่นเอง อีกคนคือเพื่อนร่วมงานของผม โอเล่นั่นเอง วันนี้อยู่ๆ โอเล่ก็โทรมาบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย แต่ไม่อยากคุยผ่านโทรศัพท์ ก็เลยนัดกันที่ลานเบียร์ พอกำลังจะออกจากบ้านมา น้องชายผมที่วันนี้เห็นบอกว่าออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็โทรมาบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยเหมือนกัน ผมเลยให้มาเจอที่ลานเบียร์แห่งนี้

“ตกลงใครจะพูดก่อน”ผมยกเบียร์ขึ้นดื่มพร้อมกับมองหน้าทั้งสองอย่างรอฟัง แต่ทั้งสองก็ยังไม่พูดแต่หันมองหน้ากันเองเหมือนกำลังเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนพูดก่อน ทำยังกะจะนำเสนอรายงานให้อาจารย์ฟังหน้าชั้นเรียนอย่างงั้นแหละ

“พี่พูดก่อนแล้วกันครับ เรื่องของผมยังไม่แน่ใจว่าจะเล่าหรือไม่เล่า”ไอ้น้องชายผมเกี่ยงไปที่เพื่อนแล้วครับ ถ้ามันจะไม่อยากเล่าแล้วจะพูดมาทำไมตั้งแต่แรก นี่ผมชักสงสัยว่ามันมีเรื่องอะไรร้ายแรงหรือไงกัน

“แต่พี่ว่า พี่พูดทีหลังน่าจะดีกว่า”เอากันเข้าไปทั้งเพื่อนทั้งน้องจะอะไรกันนักหนาเนี่ย แล้วทั้งสองคนก็หันมองหน้ากันก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่มหมดแก้ว จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนจะแข่งกันว่าใครจะถอนหายใจได้น่าเหนื่อยใจมากกว่ากัน เห็นแล้วก็ได้แต่ปลงๆ ตกลงสองคนนี้เป็นอะไรกันเนี่ย นัดกันมารึไงเนี่ย

“พอๆ ทั้งคู่ เอาเป็นว่าเล่ว่ามาก่อนแล้วกัน ไอ้ชีสมันไร้สาระไม่มีอะไรหรอก”ผมคิดว่าทางเพื่อนน่าจะดูได้เรื่องได้ราวกว่าเป็นเป็นคนตัดสินใจให้เสียเลยว่าจะฟังโอเล่พูดก่อน เพราะปกติที่เค้ามาปรึกษาผมก็มีแต่เรื่องซีเรียสทั้งนั้น และถ้าผมเดาไม่ผิดนี่ก็อาจจะมาปรึกษาปัญหาของเค้าอีกหรือเปล่า นี่เค้าคงยังไม่ได้ไปหาคนที่เค้ารักมาหรอกนะ

“คืองี้นะเค้ก วันนี้เราไปเจอเกี๊ยงมา”

“อ้าวพี่เล่ก็ไปเจอมาเหมือนกันเหรอ”ยังไม่ทันที่เพื่อนผมจะพูดจบ เจ้าน้องชายก็แทรกขึ้นมาซะแล้ว ทีตอนแรกทำเป็นเกี่ยงกันพูดทีนี้ละจะมาแย่งกันพูด ตกลงมันอะไรกันแน่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเกี๊ยงเหรอเนี่ย สองคนมองหน้ากันทำตาปริบๆ อย่างกำลังตัดสินใจ

“ตกลงว่ามีอะไรกัน”ผมถามย้ำอีกครั้ง

“เอางี้ผมเล่าเองพี่”เป็นน้องชายผมที่ออกตัวครับทีนี้

“คืองี้นะเค้ก วันนี้กรูไปเจอพี่เกี๊ยงเค้าไปกับผู้หญิงคนนึง”ชีสหยุดพูดไปสักพักแล้วมองดูผม ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแล้วมันมีอะไร เพราะการที่เค้าจะไปไหนมาไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เกี๊ยงเค้าก็ต้องมีสังคมของเค้า มีเพื่อน มีฝูง ที่ก็คงต้องมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นี่อย่าบอกนะว่าสองคนนี้กลัวว่าผมจะหึงเกี๊ยง

“แล้วมันยังไงต่อ”ผมถามยิ้มๆ อย่างไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเท่าไหร่

“เค้าไปกันสองต่อสอง”โอเล่พูดขึ้นมาบ้าง ทั้งที่ผมคิดว่าจะไม่หึงอะไรแต่ทำไมพอได้ยินแบบนี้ ใจผมมันกระตุกไปแบบนี้ แต่ไม่น่ามีอะไรหรอกมั้ง เค้าก็ต้องมีเพื่อนผู้หญิงบ้างสิ ไม่แปลกหรอก ผมจะไปนั่งหึงเค้ากับทุกคนที่เข้าใกล้ก็ดูจะไม่มีเหตุผลมากไปหน่อยมั้ง

“แล้วผู้หญิงที่ไปกับพี่เกี๊ยงเค้าก็บอกว่าเค้าเป็นแฟนพี่เกี๊ยง”ไอ้ชีสบอกหน้าเครียด มาถึงตรงนี้จะบอกว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะไม่ใช่ แต่ผมกำลังรู้สึกไม่เข้าใจมากกว่า ว่าถ้าคนที่ไปกับเกี๊ยงคือแฟน แล้วผมคืออะไรกันล่ะ

“เกี๊ยงบอกแบบนั้นเหรอ”ผมกลั้นใจถามออกไป ในใจก็คิดว่านี่เป็นแค่การอำกันเล่นหรือเปล่า เพราะทั้งสองคนนี้ก็ไม่น่าจะไปบังเอิญเจอเกี๊ยงในสถานการณ์เดียวกันได้ อีกอย่างผมก็เคยร่วมมือกับพี่ตี้อำเกี๊ยงมาแล้ว หรือคราวนี้เกี๊ยงจะรวมหัวกับสองคนนี้อำผมคืนบ้าง เป็นการแก้เผ็ด แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ

“เค้าไม่ได้พูดแบบนั้น แต่เค้าก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ”โอเล่ช่วยตอกย้ำเข้าไปอีก

“ไม่ได้อำกันเล่นใช่ไหม”ผมยังพยายามคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องจริงแต่สีหน้าของทั้งสองคนก็บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้ล้อผมเล่นแต่อย่างใด

“เค้กถึงกรูจะสนับสนุนพี่เกี๊ยงมาตลอดแต่มาเจอแบบนี้กรูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ะ แต่ยังไงกรูก็ไม่อยากให้มรึงถูกเค้าหลอก ทั้งๆที่กรูว่ากรูน่าจะดูคนไม่ผิด แต่คราวนี้กรูพลาดหรือไงว่ะ”อย่าบอกนะว่าเกี๊ยงกำลังมีคนอื่นจริงๆ

“เค้ก เราไม่อยากให้เค้กต้องมาตกอยู่ในวังวนแบบเดียวกับเรานะ”นั่นสิผมกำลังคิดอยู่เลยว่านี่ผมกำลังเข้าใกล้สถานการณ์คล้ายๆ กับโอเล่เข้าไปทุกทีหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าน้ำตามันเต็มตื้นขึ้นมาจนจะล้นออกมาอยู่แล้ว ใช่แล้วมาถึงตอนนี้ผมยอมรับว่าผมรักเค้า จริงๆ อาจจะรักไปตั้งนานแล้ว แต่ผมกลัว กลัววันนี้มันมาถึงนั่นเอง วันที่เค้าจะเปลี่ยนใจจากผม แต่ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้

มันจะเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ ทั้งที่เค้าแสดงออกว่าเค้าเองยังรักใครและต้องการในตัวผมอยู่ หรือเค้ากำลังเป็นเหมือนที่โอเล่เคยเป็นมา กับการที่จับปลาสองมือ คบสองฝั่ง

“เราควรทำไงดีเล่”ผมหันไปถามเพื่อนที่เมื่อก่อนผมเป็นคนให้คำปรึกษาเค้า แต่วันนี้ผมกลับต้องมาเป็นฝ่ายขอคำปรึกษาจากเค้าเสียแล้ว

“สิ่งที่เราเห็นมันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ เล่ว่า เค้กไปคุยกับเค้าให้รู้เรื่องน่าจะดีกว่า ถ้ามันไม่มีอะไรหรือไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจมันก็ดีไป แต่ถ้ามันเกิดเป็นเหมือนเรื่องที่เล่เคยเจอมา เค้กก็น่าจะรู้ว่าควรทำยังไง”นั่นสินะ เพราะผมคงไม่ยอมถลำลึกไปเหมือนกับเล่และคนนั้นของเล่ ได้ทำไว้แน่ๆ

“งั้นเราว่าเราไปคุยกับเกี๊ยงให้รู้เรื่องเลยดีกว่า”ใช่แล้ว ผมจะไม่ยอมคิดเอาเองไปฝ่ายเดียวหรอก ผมว่าเค้าจะเอายังไงกันแน่ก็บอกกับผมมาตรงๆ เลยจะดีกว่า แต่ถ้าเกิดผมกับเค้าไปด้วยกันไม่ได้อีกในครั้งนี้ พ่อผมจะความดันขึ้นอีกไหมเนี่ย

“งั้นกรูกับพี่เล่นั่งดื่มรออยู่นี่แล้วกัน ถ้าเคลียร์กันแฮปปี้ก็ไม่ต้องกลับมาหรอก แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้น กรูกับพี่เล่ก็จะรอรับขวัญมรึงที่นี่แหละ”ไอ้น้องชายผมพยายามพูดให้ดูผ่อนคลายขึ้นแต่ ผมไม่ค่อยจะรู้สึกดีเท่าไหร่เลยนะเนี่ย

“หวังว่าจะไม่เจอเค้กกลับมานะ”เพื่อนผมพูดยิ้มๆ นั่นหมายความว่าเค้าอวยพรให้ผมปรับความเข้าใจกับเกี๊ยงได้ ผมก็หวังเช่นนั้น หวังว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันไปเอง หรือเป็นเรื่องที่เกี๊ยงอาจจะอยากแกล้งอำผมแค่นั้น

“นี่แช่งให้ไปตายหรือเปล่าถึงได้บอกว่าจะไม่เจอกลับมาอีก”ผมตอบออกไปอย่างติดตลกเช่นกัน แต่ทั้งสองคนกับมีสีหน้าที่แปลกไป

“ไอ้นี่ชอบพูดอะไรเป็นลางไม่ดี ยิ่งดื่มไปด้วยแบบนี้จะขับรถไหวหรือเปล่า ให้ไปเป็นเพื่อนไหม”ทำไมคนรอบข้างผมชอบถือเรื่องคำพูดคำจาแบบนี้กันจังนะ เกี๊ยงก็เคยพูดแล้วครั้งนึงเหมือนกัน ผมปฏิเสธที่จะให้ใครไปเป็นเพื่อน และผมก็ยังไม่ได้เมามายอะไร ยังไหวอยู่

ผมขับรถตรงไปยังคอนโดของเกี๊ยง เห็นว่ารถเค้ายังอยู่ แสดงว่าเค้าอยู่นี่ไม่ได้ออกไปไหน ผมขึ้นไปยังชั้นที่เป็นห้องของเค้า ตอนแรกกะว่าจะกดเรียกให้เค้ามาเปิดประตู แต่เปลี่ยนใจ เพราะเกี๊ยงให้กุญแจกับคีย์การ์ดอีกชุดนึงให้ผมไว้ ผมเลยใช้มันเปิดเข้าไป

“เค้ก”เสียงเค้าเรียกชื่อผมพร้อมด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด

ผมเองก็ตกใจไม่แพ้เค้าหรอก ถาพที่ผมเห็นเค้ากำลังยืนกอดอยู่กับผู้หญิงคนนึง หญิงสาวคนนั้นซบอยู่ที่อกของเกี๊ยง ส่วนเกี๊ยงหันหน้ามาทางผม ทั้งคู่กอดกันอยู่ตรงติดประตูนี่เอง ทำให้ผมเปิดมาเจอในทันที ทั้งสองรีบผละออกจากกันแทบจะทันทีเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป

“เค้กๆ คือมันไม่ใช่อย่างที่เค้กกำลังคิดนะ คือฟังเราอธิบายก่อน”เกี๊ยงพยายามจะอธิบาย แต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากจะฟัง สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดงั้นเหรอ แต่ทำไมคราวนี้ผมกลับรู้สึกว่า ควรเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ผมเดินออกจากตรงนั้น ไม่สนใจทั้งคู่ ผมแทบยังไม่ได้มองหน้าหญิงสาวคนนั้นเสียด้วยซ้ำ เกี๊ยงวิ่งตามผมมา

“ไว้ค่อยคุยกันนะ ขอเวลาเราก่อน”ผมหันไปห้ามไม่ให้เค้าตามผมต่อ เค้ายังมีทีท่าดื้อดึงไม่ยอมทำตามที่ผมพูด แต่ผมอยากทบทวนอะไรอีกสักหน่อย ตอนนี้ผมไม่พร้อมจะฟังเค้า ยังไม่อยากรับรู้ ขอเวลาผมหน่อยแล้วกัน ผมผละออกมาและขับรถบึ่งตรงไปหาโอเล่และชีสทันที

-------------------------------------
รู้สึกโอเล่ไปที่ไหน บรรลัยที่นั่นเลยนะ 555
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 16-11-2014 11:07:19
ม่ายนะ  :katai1:

งานนี้อิเล่ไม่ผิดนะ เอ๊ะนี่ตรูเป็นแม่ยกอิเล่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? (จะว่าไปก็ยังเหลือที่ทางในใจให้มันนิดๆนะว่ามันจะคลานไปหาแฟ้ม)

เราว่าอิเล่ให้คำแนะนำที่ดีนะ คือให้มันเคลียร์ให้มันกระจ่างไปเลย  ยกเว้นว่าอิเล่จะเลวกว่าเดิมคือยุให้เกี๊ยงกับเค้กทะเลาะแล้วเลิก

กันแล้วหวังผลพลอยได้แบบไม่เค๊กก็ความสะใจ  (รู้สึกว่าในสายตาคนอ่านอย่างเรานี่ อิเล่ยิ่งเลวไปทุกที)

สรุป อิเล่เป็นตัวประกอปที่เด่นกว่าตัวเอกเพราะว่าทำร้ายจิตใจคนอ่าน

เกี๊ยงเอ๊ยหาเหตุผลกับวิธีอธิบายดีๆนะเออ ยอมเป็น FC เอ็งแล้วนะ  ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-11-2014 13:45:49
กอดกัน..ก่อนลาจาก

เกี๊ยงจะบอกเหตุผลเดียวกันนี้
กับเค้กหรือเปล่า หุหุ

เชื่อนะ..เชื่อดิ
เหมือนกับที่ไอ่เล่ทำ
..เมื่อก่อนนั้นไง..

ก๊ากกกกกก
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 16-11-2014 18:42:09
ขอให้เป็นเรื่องเข้าใจผิดเหอะ สงสารเค้ก,,,
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 16-11-2014 22:31:30
จะมัวอำพะนำอะไรอยู่ รีบๆตามไปอธิบายสิ
ยิ่งช้ายิ่งเหมือนโกหก เค้กก็นิสัยหนีๆอยู่อย่างนี้แหละ แล้วจะครองรักกันรอดมั้ย
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-11-2014 12:12:28
Ta-kiang

ช่วงนี้ดูชีวิตผมจะมีความสุขสุดๆ แล้ว อะไรๆ ก็ลงตัวไปหมด ความรักระหว่างผมกับเค้กก็กำลังไปได้ด้วยดีทำไมบทจะง่ายมันถึงได้ง่ายขนาดนี้กันนะ แต่จะว่าไปนี่เค้กเคยบอกว่ารักผมสักคำหรือยังนะ แต่ถึงแม้ว่าเค้กจะยังไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ผมก็ไม่ถือสาหรอก ยังไงเค้กก็รักผมอยู่แล้ว ผมออกจะเหมาะกับเค้าขนาดนี้ (เริ่มคิดเองเออเองอีกแล้ว) ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็มีเสียงคนกดอ๊อดที่หน้าห้องผม

ใครกันนะ ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ เพราะปกติก็ไม่ค่อยมีใครมาหาผมเท่าไหร่ หรือว่าเค้กย้อนกลับมาอีก คิดถึงผมละสิ ผมอุตส่าห์บอกเค้าแล้วว่าให้ผมกลับบ้านไปกับเค้าด้วยแต่เค้าดันไม่ยอม สงสัยจะเปลี่ยนใจแล้วมั้งเนี่ย ผมรีบเดินยิ้มแป้นไปเปิดประตู แต่พอเห็นคนที่มาหาผม รอยยิ้มนั้นก็ต้องหุบลง

“จูน”ผมมองหน้าหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่ต่อหน้าผม แต่ผมไม่ค่อยจะรู้สึกยินดีเท่าไหร่นักที่ได้เจอกับเธออีกครั้ง

“จะไม่เชิญเข้าข้างในหน่อยเหรอ”เมื่อเห็นผมยังยืนนิ่งเธอเลยเป็นฝ่ายเสียมายาทเอ่ยขึ้นและไม่ได้รอให้ผมเชื้อเชิญ ก็ถือวิสาสะเข้ามาในห้องผมยังกะเป็นคนคุ้นเคย ใช่อยู่ว่าเมื่อก่อนเธอคือคนคุ้นเคยของผม แต่เราสองคนก็จบกันไปนานมากแล้ว ผมเคยคบกับจูนตั้งแต่ก่อนที่จะไปทำงานที่ญี่ปุ่น แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมเองไม่เคยคิดจริงจังกับใครเลย เพราะผมยังเฝ้าคิดถึงเค้กอยู่ตลอดเวลา แต่จูนเองก็เป็นคนที่ผมคบด้วยนานที่สุดคนนึง

เพราะจูนเป็นคนสบายๆ ไม่เรื่องมาก เราจบกันเพราะจูนเองเจอคนใหม่ ส่วนผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะตอนนั้นก็กำลังจะไปญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่การมาเจอกันครั้งนี้ทำไมผมกลับรู้สึกว่ามันอาจจะมีเรื่องวุ่นวายขึ้นยังไงบอกไม่ถูก

“เกี๊ยงมีใครอยู่หรือเปล่าตอนนี้”เธอเริ่มบทสนทนาขึ้นในขณะที่ผมยังงงๆ อยู่ว่าจูนไปมายังไงรู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่ เพราะไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว

“จูนมานี่ได้ไง แล้วมีธุระอะไรหรือเปล่า”ผมไม่อยากจะเสียมารยาทนักหรอกนะครับ แต่ก็ต้องพูดเป็นการเป็นงานหน่อยเพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมคำนึงถึงคือ เค้ก ผมไม่รู้ว่าเค้าจะคิดยังไงถ้าผมมาเจอกับแฟนเก่าแบบนี้ แน่นอนว่าผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจจากเค้ก แต่ผมก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าเค้กจะไม่มั่นใจในตัวผม

“แสดงว่าตอนนี้เกี๊ยงมีแฟนแล้วจริงๆ ด้วย”เธอไม่ยอมตอบคำถามผม แต่พูดเรื่องนี้มาก็ดีเหมือนกัน จะได้สบายใจด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าจูนจะมาด้วยเหตุผลอะไรแต่สำหรับผมต้องชัดเจนอยู่แล้วว่าตอนนี้ฐานะระหว่างเราเป็นแค่คนเคยคบ เคยรู้จักกันเท่านั้น

“ตอนนี้ผมมีแฟนแล้วและก็รักเค้ามากด้วย มากๆ อย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน”ผมบอกออกไปอย่างหนักแน่น พยายามมองดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่เธอก็ทำเพียงยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินเข้ามาหาผม

“เกี๊ยงมีแฟนแล้วงั้นจูนขอเป็นชู้ก็ได้”สองมือของเธอโอบรอบที่ลำคอของผม ผมรีบแกะมือนั้นออกก่อนจะขยับถอยห่าง

“ไม่ต้องตกใจหรอก จูนล้อเล่น สงสัยจะกลัวแฟนหึงมากนะเนี่ย”ผมยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่านี่ตกลง เธอจะมาเล่นตลกอะไรกับผมหรือเปล่า

“หน้าซีดเชียว จูนแค่มาชวนไปเที่ยว ไม่ได้เจอเกี๊ยงตั้งนานเลยคิดถึงนะ ไปเดินห้างเป็นเพื่อนหน่อยสิ”ผมจะเชื่อเธอได้แค่ไหนกันเนี่ย ไม่ได้ติดต่อกันมาเป็นปีอยู่ๆ จะมาบอกว่าคิดถึงแล้วชวนไปเที่ยวห้างเนี่ยนะ จากที่ผมเคยรู้จักกับเธอมา มันต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นสิ ใจนึงก็อยากปฏิเสธแต่คิดว่าถ้าจูนได้บุกมาขนาดนี้คงไม่ยอมให้ผมปฏิเสธได้ง่ายๆ แน่นอน

“ผมไม่รู้ว่าจูนจะทำอะไรนะ แต่ขอบอกก่อนว่าผมรักแฟนคนนี้มากหวังว่าจูนคงไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงมาทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับแฟนร้าวฉานหรอกนะ”ยังไงเสียผมก็ต้องป้องกันไว้ก่อน บอกกันตรงๆ แบบนี้แหละจะได้ไม่ต้องมากังวล

“อยากเจอแฟนเกี๊ยงจริงๆ เลย ว่าใครกันที่ปราบหนุ่มเจ้าสำราญคนนี้ได้ ถ้าเจอจะแกล้งยั่วให้งอนไปเป็นเดือนเลย”เธอพูดติดตลก แต่ผมรู้ว่าถ้าเจอเค้กนี่ จูนทำอย่างที่พูดแน่ๆ แม้ว่าดูแล้วผมก็พอจะมั่นใจได้ว่าจูนแค่จะหยอกเล่น แต่ผมไม่เสี่ยงให้เค้กรู้เรื่องน่าจะดีกว่า เอาไว้ผมไปเล่าให้ฟังเฉยๆ ก็พอ

เป็นอันว่าผมตามจูนออกไปเดินห้างตามที่เธอชวน จูนบอกว่าหาที่อยู่ผมมาจากที่บริษัท ซึ่งหามายังไงเธอก็ไม่ยอมบอกผม ผมว่าเธอต้องมีความสามารถพิเศษมากๆ ถึงเอาข้อมูลแบบนี้มาได้เพราะปกติข้อมูลพนักงานบริษัทของผมเค้าไม่ค่อยจะเปิดเผยให้คนภายนอกรู้ง่ายๆ หรอกนะ แต่ผมก็พยายามไม่คิดมากเพราะดูแล้วจูนเองก็ไม่ได้จะมาขอคืนดีกับผม หรือมีทีท่าว่าจะอาลัยอาวรณ์ผม แต่ทว่าสงสัยผมจะงานเข้าให้แล้วสิเนี่ย

อะไรนะเหรอครับ ก็ไอ้ผู้ชายที่ผมมองเห็นไกลๆ ที่อยู่กับเด็กหญิงชายคู่นั้น มันไอ้ลูกอมสองเม็ดบาท เพื่อนเค้กนี่หว่า ผมกำลังตั้งท่าจะหลบ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะหลบทำไม เพราะไอ้ลูกอมอาจจะไม่ได้เห็นผม หรือถ้าเห็นมันก็คงไม่คิดอะไรหรอกมั้ง หรือคงไม่เอาไปเล่าในทางไม่ดีให้เค้กฟังหรอกมั้ง ในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะหลบดีหรือเผชิญหน้าดี ไอ้ลูกอมพร้อมเด็กน้อยสองคนก็เดินตรงมาที่ผมแล้ว

“อ้าวบังเอิญจังนะครับคุณเกี๊ยงมาเที่ยวเหรอครับ”ดูจะมนุษยสัมพันธ์ดีเหลือเกินนะเนี่ย เพิ่งเคยรู้จักกันแค่ครั้งเดียวจริงๆ ไม่ต้องมาทักตรูก็ได้นะ แล้วนี่ จูนเป็นอะไรล่ะเนี่ย มาคล้องแขนผมซะงั้น ผมพยายามแกะมือจูนออกแต่ก็ไม่เป็นผล ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ รับคำทักทายจากไอ้ลูกอม

“ลูกอั๋น ลูกอิ๋ง ไหว้คุณอาสิลูกนี่เพื่อนพ่อเล่”เด็กน้อยสองคนทำตามอย่างว่าง่าย นี่ไอ้ลูกอมมันมีลูกแฝดเลยเหรอนี่ แถมแฝดชายหญิงอีก น่ารักน่าชังทั้งคู่เชียว จะว่าไปเรื่องราวชีวิตของไอ้ลูกอมนี่คงจะสับสนวุ่นวายน่าดู จากที่ผมฟังเค้กเล่ามา ผมก้มลงลูบหัวเด็กน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู

“พาลูกๆ มาเที่ยวเหรอครับ”ผมถามกลับไปอย่างมีไมตรี จนแทบลืมไปแล้วว่ามีอีกหนึ่งคนที่คล้องแขนผมอยู่

“ก็พาเด็กๆ มาเที่ยวปกตินั่นแหละครับ แล้วนี่...”ไอ้ลูกอมเว้นวรรคพร้อมกับหันไปมองอีกคน อย่างสงสัยว่าผมมากับใคร แววตาที่มองมาดูข้องใจไม่น้อยเลยทีเดียว แบบนี้ผมคงต้องอธิบายให้กระจ่างแจ้งก่อนที่จะเข้าใจผิด แล้วยิ่งไอ้นี่สนิทกับเค้กอีกเกิดเอาไปพูดผิดๆ มีหวังผมซวยแน่ๆ

“จูนคะ...เป็นแฟนเกี๊ยง”ผมทำได้แค่อ้าปากค้างเพราะคนข้างๆ ดันพูดชิงตัดหน้าผมอย่างรวดเร็วแถมพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเสียเหลือเกิน

“แฟน...”นายลูกอมโอเล่ ทวนคำอย่างข้องใจ

“คือ...ไม่ใช่...”ผมกำลังจะปฏิเสธ แต่เจ้าหนูสองคนดันงอแงขึ้นมา ไอ้นายลูกอมเลยหันไปสนใจลูกๆ ก่อนจะบอกลาผมกับจูนไป ทั้งที่ผมยังไม่ได้อธิบายอะไรเลย ให้มันได้แบบนี้สิ

“ทำไมจูนต้องพูดแบบนั้นด้วย”ผมหันมาต่อว่าอีกคนที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอะไรเลย

“เค้าเป็นคนรู้จักของแฟนเกี๊ยงใช่ไหมละ เค้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่นาว่าเกี๊ยงกับแฟนยังรักกันดี แหย่เล่นแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”มันใช่แบบนั้นที่ไหนกันเล่า ไอ้นายลูกอมโอเล่นี่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกับผมมากมาย แถมเรื่องราวที่โอเล่ประสบพบเจออยู่มันน่าให้ตีความว่าผมกับจูนเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ๆ ชักเครียดแล้วนะเนี่ย

“ขอโทรหาแฟนแป๊บนะ”ผมต้องรีบรายงานเรื่องราวกับเค้กก่อนที่จะเกิดความเข้าใจผิดขึ้น แต่แล้วจูนก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด คือแย่งมือถือผมไปแล้วยัดไว้ในยกทรงของเธอ

“ไว้เที่ยวเสร็จแล้วจะคืน ไม่ต้องกลัวไปหรอกน่า ถ้าแฟนเกี๊ยงเข้าใจผิดจริงๆ จูนจะไปช่วยเคลียร์ให้”ให้มันได้แบบนี้สิ นี่ผมชักจะไม่สนุกแล้วนะ

“ไม่สมเป็นเกี๊ยงเลยนะเนี่ย โกรธกัน งอนกันบ้างชีวิตจะได้มีรสชาติน่าอย่าคิดมากเลย”เหมือนจูนจะยังสนุกกับเรื่องที่เพิ่งได้ทำไป แต่ไอ้ผมนี่สิเริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่สุข เพราะเพิ่งจะคิดว่าเรื่องของผมกับเค้กกำลังไปได้ด้วยดี แต่ถ้าเกิดเค้กไม่ไว้ใจผม แล้วมีปัญหากันมันจะเป็นไงละทีนี้ มันไม่เหมือนกับคราวที่ไอ้พี่ตี้ทำพิษไว้นะเนี่ย เพราะอันนั้นเค้กตั้งใจทำ แต่อันนี้ผมไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นเลย ตอนนั้นผมยังโมโหไอ้พี่ตี้เป็นฟืนเป็นไฟ แล้วถ้าเค้กรู้เรื่องนี้แล้วเข้าใจผิดไปจะไม่โกรธผมเหรอ

“กลับดีกว่านะจูนนะ”ผมเกิดไม่อยากอยู่ต่อแล้ว อยากรีบๆ กลับแล้วจะได้ไปหาเค้กก่อนที่เค้กจะได้รับข่าวสารผิดๆ

“ไปดูหนังก่อน ค่อยกลับนะ นะเกี๊ยงนะ เราไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว ก็บอกแล้วไงถ้าเกี๊ยงมีปัญหาจริงๆ จูนจะช่วยเคลียร์ให้”ถ้าได้พูดแบบนี้แสดงว่าจูนจะไม่ยอมให้ผมกลับง่ายๆ แน่นอน

“ดูหนังแล้วกลับแน่นะ”ผมถามย้ำให้แน่ใจ จูนเองก็ตกปากรับคำหนักแน่น ผมเลยยอมไปดูหนังกับจูน ดีที่เลือกรอบที่เร็วที่สุดเพราะผมเองก็ใจร้อน เป็นกังวลแปลกๆ แล้ว พอได้ตั๋วหนังเราก็รออยู่บริเวณหน้าโรงหนัง ใกล้เวลาดูหนังเต็มที แต่แล้วหัวใจผมก็แทบตกไปอยู่ตาตุ่มอีกครั้ง

“พี่เกี๊ยง”วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย เจอแต่ละคน จากไอ้ลูกอม คราวนี้ถึงคิวเจ้าชีสน้องชายตัวแสบของเค้กอีก กรุงเทพฯห้างมีตั้งเท่าไหร่ ทำไมไม่รู้จักพากันไป ทำไมต้องมาที่เดียวกันด้วย

“ชีสมาดูหนังกับเพื่อนเหรอ”ผมพยายามทักทายให้ปกติ เพราะคิดว่าอีกเดี๋ยวคนข้างๆ ผมถ้ารู้ว่าชีสเป็นใครต้องแกล้งผมอีกแน่ๆ เพราะงั้นผมต้องเนียนทำเหมือนกับว่าเค้กเป็นแค่คนรู้จักคนนึง

“ใครเหรอเกี๊ยง”นั่นไง พอเห็นผมไม่แสดงอาการใดๆ ก็เริ่มจับพิรุธผมแล้วว่านี่ แต่จะว่าไปถ้าผมบอกไปว่าชีสคือน้องชายของแฟนผม อย่างน้อยชีสก็น่าจะยังอยู่ข้างผม คิดได้เช่นนั้นผมก็ตัดสินใจว่าบอกความจริงกับจูนไปจะดีกว่า

“นี่ชีสเป็นน้องชายของ...”

“เพื่อนพี่เกี๊ยง...น้องเพื่อนพี่เกี๊ยงนะครับ”อ้าวแล้วไหงไอ้น้องชายตัวแสบพูดงั้นละเนี่ย

“พี่ชื่อจูนนะ...เป็นแฟนพี่เกี๊ยง”เอาแล้วไหมล่ะ งานเข้าอีกแล้วผม

“คือไม่ใช่อย่างงั้นนะชีส”ผมพยายามจะอธิบาย แต่เหมือนเจ้าชีสจะไม่รับฟัง

“งั้นผมไม่รบกวนแล้วครับ ขอตัวนะครับ”ชีสขอตัวแยกไปหาเพื่อน ผมจะตามไปอธิบาย แต่จูนยื้อไว้เสียก่อน

“คนนี้ไม่ได้จริงๆ นะจูน นั่นนะน้องแฟนผม”ผมบอกจริงจัง

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”ดูเธอจะยังไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เหมือนเดิม แต่ผมไม่ร้อนไม่ได้แล้ว ถึงชีสเองจะเชียร์ผมมาตลอดแต่มาเจอแบบนี้ยังไงชีสก็คงต้องเข้าข้างพี่ชายตัวเองแน่นอน และแบบนี้ถึงผมจะไปอธิบายยังไง เค้กก็อาจต้องมีเคืองผมอยู่ดี

“จูน ผมซีเรียสนะ ไม่เล่นแบบนี้”ผมทำหน้าจริงจังเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ดูอีกคนยังไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่

“ถึงจะซีเรียสก็ไม่ทันแล้วละ น้องเค้าไปไหนแล้วไม่รู้”ผมหันมองรอบๆ ก็ไม่เห็นชีสกับเพื่อนๆ แล้ว ผมเริ่มทนไม่ไหวเลยขอโทรศัพท์คืนจะจูน ตอนแรกก็ไม่ยอมคืนให้ผม แต่เมื่อเห็นผมไม่เล่นด้วยเลยยอมคืน ผมกดโทรหาชีสก็ไม่รับ เค้กเองก็ติดต่อไม่ได้ มองดูเวลานี่ก็เย็นมากแล้วด้วย ผมไม่สนใจจูนอีก เดินหนีไม่สนใจเลย แต่จูนก็ยังวิ่งตามผมมา

“นี่เกี๊ยงโกรธจูนจริงๆ เหรอ นี่แสดงว่าคงแคร์แฟนคนนี้มากสิเนี่ย งั้นจูนไม่แกล้งแล้วก็ได้ คือจริงๆ วันนี้จูนมีเรื่องจะมาปรึกษาเกี๊ยงนะ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง”พอจูนบอกจุดประสงค์จริงๆ ออกมาผมก็โกรธเธอไม่ลงหรอกครับ จริงๆ ก็ไม่ได้โกรธผมแค่กลัวว่าเค้กจะเข้าใจผมผิดเท่านั้นเอง เป็นอันว่าผมเลยต้องรับเป็นที่ปรึกษาให้กับจูนอยู่ดี ผมอยากรีบๆ คุยให้จบเลยกลับมาที่คอนโดเพราะตอนออกไปห้างจูนไม่ได้เอารถไปแต่ไปรถผม เพราะงั้นกลับมาคุยกันทีคอนโดผมนี่แหละจะได้คุยจบแล้วต่างคนต่างแยกย้าย จูนจะไปไหนต่อก็แล้วแต่ ส่วนผมยังไงก็ต้องไปหาเค้กแน่นอน ต้องรีบครับก่อนที่ความเข้าใจผิดจะมาเยือน

----------------------------------------------------
มาส่งนายตะเกียงให้แก้ตัวคร๊าบบบบบ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 17-11-2014 21:39:40
อ้าว ไหนพาร์ทเค้ก โอเล่กับชีสบอกว่า เกี๊ยงไม่ปฏิเสธ
นี่พาร์ทเกี๊ยง นี่เกี๋ยงก็พยายามอธิบาย แต่พวกมันดันไม่ฟัง
น่าตบเรียงตัวทั้งชีและฮีทั้งสองจริงๆ ขอให้เจอแบบนี้บางนะ  :m16:
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-11-2014 22:49:42
เหมือนจะแก้ตัว
นะคุณเกี๊ยง

เชื่อดี..ไม่เชื่อดี
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 17-11-2014 23:29:07
ตบจูนสักทีจะดีไหมเนี๊ยะ???

รีบๆไปอธิบายให้เค้กฟังเร็วๆนะครับ,,,,
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 18-11-2014 12:13:29
Ta-kiang

“ตกลงจูนมีเรื่องอะไร รีบๆ ว่ามาเลยนะเราจะรีบไปเหมือนกัน”ผมรีบบอกอย่างเร่งด่วนหลังจากมาถึงคอนโดของผมแล้ว ดูจูนมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่มากทีเดียว สงสัยคงมีเรื่องกลุ้มใจอยู่แน่ๆ แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก มาชวนผมออกไปข้างนอกทำไม เลยพาลให้ผมมีเรื่องที่ต้องกังวลไปด้วยเลยเนี่ย

“คือหลังจากที่เราเลิกกับเกี๊ยงไป เกี๊ยงจำได้ไหมว่าเราไปคบกับชาวต่างชาติคนนึง”ผมคิดตามที่จูนพูดก็พอจะจำได้ว่าหลังจากที่แยกทางกับผมจูนก็ ไปคบกับฝรั่งคนนึง นี่ก็หลายปีมาแล้ว มันยังจะมีอะไรยุ่งยากอีกหรือ จะเลิกกัน ทะเลาะกันหรืออะไรกัน รีบๆ เล่ามาเถอะน่า

ผมรีบให้จูนเล่าให้ฟังก็พอจะจับใจความได้คร่าวๆ ว่าตอนแรกจูนไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีครอบครัวอยู่แล้ว เลยทุ่มไปสุดตัวและหัวใจ แต่มารู้ทีหลังว่าทางผู้ชายมีครอบครัวอยู่แล้ว แต่แยกกันอยู่มานาน คือเหมือนอยากจะเลิกกัน แต่ฝ่ายภรรยาทางโน้นไม่ยอมเลิก พอจูนรู้ว่าตัวเองกำลังจะอยู่ในฐานนะเมียน้อยเลยอยากจะเลิก แต่ฝ่ายชายก็มาบอกกับจูนว่าไม่คิดหลอกลวงอะไร รักจูนจริงๆ แล้วก็กลับไปฟ้องอย่ากับภรรยาเก่าจนเรียบร้อย ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องราวไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีกแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะพอจูนตัดสินใจจะแต่งงานกับนายฝรั่งนี่ ฝั่งครอบครัวของจูนดันไม่ยอมเพราะไม่พอใจที่พ่อฝรั่งนั่นเคยมาโกหกพกลมว่าไม่ได้มีเมียแล้วมาหลอกจูน

ถึงขนาดว่าพ่อแม่ของจูนจะตัดญาติขาดมิตรเลยถ้าจูนจะแต่งงานกับนายฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ จูนเลยไม่รู้จะทำยังไงเพราะจูนเองตอนนี้ก็รักนายฝรั่งนั่นไปเต็มหัวใจแล้ว

“ผมว่าจูนกับแฟนก็ลองเข้าไปคุยกันดีๆ อีกทีคือมันอาจจะไม่ได้ผลทันที แต่ลองทำให้พวกท่านเห็นว่าจูนกับแฟนรักกันจริงๆ และจริงจัง พวกท่านน่าจะใจอ่อนเข้าสักวัน หรือว่าต้องรีบแต่งงาน”ผมเองก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรเหมือนกันแหละครับ คงพูดได้แค่นี้

“จูนท้อง”ว่าแล้วไหมล่ะ มันน่าจะมีอะไรอยู่แล้ว ไม่งั้นจะมากลุ้ม มาเครียดทำไม จริงไหมครับ แต่ผมคิดว่าการที่จูนท้องอาจจะง่ายขึ้นก็ได้นะเพราะผู้ใหญ่เค้าอาจจะอยากอุ้มหลานก็เป็นได้ ว่าแต่แล้วนี่ทำไมจูนต้องมาปรึกษาผมด้วย เพื่อนฝูงคนอื่นไม่มีแล้วหรือไงกันนะ ไอ้ผมกับเค้ามันก็แทบไม่ได้ติดต่อกันแล้ว หรืออาจจะอายที่ต้องเล่าให้เพื่อนสนิทฟังหรือเปล่า หรือไม่ก็คงอยากจะระบายให้ใครสักคนฟัง เพราะดูแล้วทางออกนั้นจูนคงพอจะหาได้แล้ว แค่อยากมั่นใจอีกหน่อยแค่นั้นเอง

“ยังไงก็สู้ๆ นะ”ผมเดินออกมาส่งที่หน้าประตูให้จูนกลับบ้าน จูนหันกลับมาสวมกอดเข้าที่ผม

“ขอบใจนะ แม้เราไม่ได้เป็นคนรักแต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นี่เนอะ ขอบใจนะที่วันนี้ไปเที่ยวเป็นเพื่อน รีบๆ ไปง้อแฟนละเดี๋ยวจะงอนจนง้อไม่สำเร็จ”เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าทั้งที่ยังสวมกอดผมอยู่

แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ที่เมื่ออยู่ๆ ประตูห้องผมเปิดขึ้นและมันทำให้ผมแทบหัวใจวายเพราะคนที่ยืนหน้าตกใจอยู่ที่ประตูไม่ใช่ใครที่ไหน

“เค้ก”ผมหลุดชื่อเค้าออกไป ดูเค้ามีสีหน้าตกใจมากเลยทีเดียว ผมรีบผละออกจากจูนเดินเข้าไปหาเค้า

“เค้กๆ คือมันไม่ใช่อย่างที่เค้กกำลังคิดนะ คือฟังเราอธิบายก่อน”ผมรีบระล่ำระลัก บอกแต่เค้าไม่ฟังผมเลย เดินลิ่วๆ ออกไปเลย ผมหันกลับไปมองจูนแวบนึงเห็นเธอพยักหน้า ว่าไม่เป็นไร ผมเลยวิ่งตามเค้กไป แต่ไม่ว่าผมจะพูดอะไรยังไงเค้าก็ไม่ยอมฟังผม เค้าบอกขอเวลาเค้าก่อน ทำไมต้องขอเวลาด้วย รีบๆเคลียร์กันจะไม่ดีกว่าเหรอ แต่ผมก็ไม่ได้ตามเค้าไปอยู่ดี กะว่าเค้าคงกลับบ้านเดี๋ยวผมตามไปที่บ้านก็ได้

“เป็นไงบ้าง”จูนเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเดินคอตกกลับมา ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างกังวล ว่าเค้กจะยอมรับฟังผมไหมน้า

“ให้จูนไปช่วยพูดไหม”เธอแสดงน้ำใจ แต่ผมว่าไม่ดีกว่า เอาไว้ถ้าผมอธิบายไม่สำเร็จจริงๆ แบบนั้นค่อยว่ากันใหม่ ผมบอกลาจูนส่งเธอกลับ

“ไม่คิดว่าคนที่เกี๊ยงรักมากขนาดนี้จะเป็นผู้ชาย”เธอเอ่ยถามอีกครั้งก่อนจะกลับ แต่ดูเธอจะไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่

“อย่างว่าแหละความรักมันไม่มีขอบเขตหรอกจริงไหม ยังไงก็ขอให้ง้อเค้าให้สำเร็จนะ”เราต่างยิ้มให้กันก่อนจะแยกย้ายกัน หลังจากจูนกลับไปได้พักใหญ่ๆ ผมก็กะเวลาว่าเค้กน่าจะถึงบ้านแล้ว ก็รีบกดโทรศัพท์ แต่ผมเลือกโทรหาเจ้าชีส เพราะกลัวว่าเค้าอาจจะไม่รับโทรศัพท์ผม

“ว่าไงพี่เขย ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยดีแล้วสิ”เสียงเจ้าชีสอ้อแอ้ๆ เหมือนคนกำลังตึงๆ ได้ที่ นี่แสดงว่าไปดื่มที่ไหนอยู่แน่ๆ แต่คำพูดเหมือนกับว่าชีสยังไม่รู้ว่าเค้กมาเจอผมแล้วเข้าใจผิดไปแล้วนะเนี่ย

“ไม่ได้อยู่กับเค้กเหรอ”ผมถามออกไปอย่างสงสัย

“คืองี้นะ...”ผมเริ่มอธิบายเรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องของจูนและที่เค้กมาเจอผมกับจูนให้ชีสฟัง อย่างละเอียด โชคดีที่แม้ว่าเจ้าชีสจะเมาแต่ก็ยังเข้าใจที่ผมพูด และผมก็ได้รับรู้ว่าก่อนเค้กจะมาได้รับข่าวสารจากทั้งพ่อน้องชายตัวแสบกับเพื่อนมาอย่างไรบ้าง แต่ที่น่าแปลกคือทำไมเค้าไม่กลับไปหาชีสกับโอเล่กันละ ผมวางสายจากชีสก่อนจะโทรเข้าบ้านของเค้า นี่มันก็ยังไม่ดึกมากคิดว่าพ่อตาแม่ยายผมจะยังไม่นอน แต่พอโทรไปเค้กก็ยังไม่ได้กลับบ้าน ผมแกล้งบอกที่บ้านเค้าไปว่าโทรหาเค้กแล้วแต่เค้กไม่รับ

หลังจากวางสายที่บ้านเค้าผมก็ลองโทรเข้าเบอร์เค้ก แต่เค้กไม่ยอมรับโทรศัพท์ผม ผมโทรอยู่หลายทีก็ไม่รับเสียที ผมเลยลองโทรไปบอกให้ชีสเป็นคนโทรหาเค้กหน่อย ว่าผมต้องการจะเคลียร์เรื่องทั้งหมด ตอนนี้เค้าอยู่ไหนกันนะ

“พี่เกี๊ยงไอ้เค้กไม่รับโทรศัพท์ว่ะ เป็นไรหรือเปล่าเนี่ย”เสียงอ้อแอ้ของชีสโทรกลับมาบอกผม ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยออกจากคอนโดไปสมทบกับชีสและไอ้ลูกอมที่ลานเบียร์ พอถึงก็พากันผลัดกระหน่ำโทรหาเค้กแต่ก็ไม่มีใครที่เค้กยอมรับสายเลย ชีสเกิดปิ๊งไอเดียว่าน่าจะลองโทรหาเพื่อนคนอื่นๆ ของเค้กดูบ้างเพราะชีสพอจะมีเบอร์เพื่อนๆ ของเค้กอยู่บ้าง เผื่อว่าเค้กจะไปหาเพื่อน แต่ทุกคนที่ชีสโทรหาก็ไม่มีใครเจอเค้กเลย ตอนนี้ผมชักเป็นห่วงเค้กแล้วสิ ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง ผมลองโทรหาเค้กอีกครั้ง

“ฮัลโหลๆๆ ...เค้กได้ยินหรือเปล่าอยู่ไหนเนี่ย”ผมรีบพูดทันทีที่เค้ารับสาย แต่ทางปลายสายยังเงียบอยู่

“เค้กได้ยินหรือเปล่า”ผมถามย้ำไปอีกรอบ ส่วนอีกสองคนก็จ้องผมพร้อมกับแนบหูเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้

“คุณเป็นอะไรกับเจ้าของโทรศัพท์คะ”เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาผมตกใจไม่น้อย ทำไมเป็นผู้หญิงรับ จะว่าผมโทรผิดก็ไม่น่าจะใช่ หรือว่าเค้กทำโทรศัพท์หาย

“แฟนครับ เป็นแฟน ให้ผมคุยกับแฟนผมหน่อย”ผมบอกออกไปชัดถ้อยชัดคำ

“เป็นอะไรกับคนเจ็บนะคะ”คนเจ็บงั้นเหรอหมายความว่ายังไงกัน เกิดอะไรขึ้นกับเค้ก

“เค้กเป็นอะไรเหรอครับ เค้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน”ผมไม่รู้ว่าผมพูดอะไรออกไปบ้าง รู้แต่ว่าผมเป็นห่วงเค้าและหวังว่าเค้าจะไม่เป็นอะไรมากนะ อีกสองคนก็มีทีท่าตกใจไม่น้อยไปกว่าผมเลย

“คุณใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ตอนนี้เอ่อ...แฟนคุณประสบอุบัติเหตุนะคะ อยู่ที่โรงพยาบาล...ยังไงรบกวนคุณติดต่อทางบ้านแฟนคุณให้ด้วยนะคะ”คนที่รับโทรศัพท์ตอบผมกลับมา

“เค้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้และเป็นห่วง นี่เค้าต้องประสบอุบัติเหตุเพราะผมหรือเปล่า

“มาดูเองจะดีกว่านะคะ”


-----------------------------------------------

แวะมาต่อคร๊าบบบบบบ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 18-11-2014 12:42:27
นู๋เค้กอย่าเป็นอะไรนะ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 18-11-2014 22:01:44
เค้กเป็นอะไรมากมั้ย??

ห่วงเค้ก!!!
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 18-11-2014 22:46:27
คือนางพยายาลที่ไหนเนี่ย ตอบว่า มาดูเองดีกว่านะคะ  o22
คือว่าตอบยังงี้เขาจะรู้มั้ยว่าอาการหนักรึเปล่าหรือขนาดไหน จะได้เตรียมตัวถูก
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-11-2014 22:36:35
Ta-kiang


“เค้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้และเป็นห่วง นี่เค้าต้องประสบอุบัติเหตุเพราะผมหรือเปล่า

“มาดูเองจะดีกว่านะคะ”ทำไมน้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่ค่อยดีแบบนั้นละ คนที่รับโทรศัพท์ผมวางสายไปแล้ว ผมหันมาปรึกษากับอีกสองคนว่าจะเอาไงกันดี ผมนั้นยังไงก็จะไปที่โรงพยาบาลเลยแน่นอนอยู่แล้ว แต่พ่อกับแม่ของเค้กละถ้าโทรไปบอกตอนนี้พวกท่านจะตกใจไหม ครั้นจะให้ชีสขับรถกลับไปรับก็ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ เป็นอันว่าเราสามคนตัดสินใจที่จะยังไม่บอกให้พ่อกับแม่ของเค้กทราบเรื่อง คิดว่าไปดูเค้กก่อน คิดว่าเค้กคงจะไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่างน้อยผมก็หวังอย่างนั้น แล้วค่อยให้พ่อกับแม่ไปเยี่ยมพรุ่งนี้ก็ได้เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว

เราสามคนไปยังโรงพยาบาลตามที่ทราบมา พอไปถึงเค้กถูกแอดมิท อยู่ในห้องผู้ป่วยรวม สภาพเสื้อผ้ายังเป็นชุดที่ผมเจอเค้าครั้งสุดท้าย แต่ตอนนี้มันเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ที่หน้าผากมีคราบเลือดเป็นแนวยาว ตั้งแต่บริเวณหน้าผากไปจนถึงกลางศีรษะ ถูกเย็บไว้อย่างลวกๆ พยาบาลบอกว่าเป็นแค่การห้ามเลือดชั่วคราว เพราะต้องรอผลเอกซเรย์อีกที และอาจจะต้องผ่าตัดแล้วก็จะมีการเย็บใหม่อีกรอบ หมอบอกว่าสมองอาจจะได้รับการกระทบกระเทือน เนื่องจากมีรอยแตกลากยาวตั้งแต่หน้าผากอย่างที่เห็น แต่ตอนนี้ต้องรอผลอีกที

เค้ายังไม่ยอมให้เค้กแยกเข้าพักในห้องผู้ป่วยในแบบที่เป็นส่วนตัว เพราะมันจะห่างจากพวกห้องเครื่องมือที่อาจจะจำเป็นมากกว่า อีกอย่างโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เป็นโรงพยาบาลรัฐบาล ไม่ใช่โรงพยาบาลเอกชน กลางคืนแบบนี้ บุคลากรอาจจะไม่เพียงพอเท่าที่ควร เพราะดูมีคนไข้เยอะพอสมควร

ผมรับอาสาจากพยาบาลเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าคนป่วยของทางโรงพยาบาล เค้าไม่ได้สลบไป แต่ดูเค้าเหม่อๆ ตาลอยๆ แปลกๆ ถามอะไรก็ไม่ตอบ แล้วก็มีของเหลวขุ่นๆ คล้ำๆ ที่ไหลออกทางปากเป็นครั้งคราวเหมือนเค้กจะขยับเขยื้อนตัวลำบากเพราะเค้าทำได้เพียงหันข้างให้ของเหลวที่ไหลออกจากปาก ออกไปด้านข้างเท่านั้น ตอนนี้เจ้าชีสน้ำตาร่วงไปแล้ว ผมเองใจจริงก็แทบกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน เพราะสภาพตอนนี้ของเค้กมันช่างเลวร้ายกว่าที่ผมเตรียมใจมามากพอสมควร

ผลการเอกซเรย์ออกมาแล้ว ปรากฏว่ามีเลือดคั่งในสมอง ผมเองไม่เข้าใจหรอกว่ามันเป็นยังไง แต่หมอบอกว่าต้องผ่าตัด เพราะตอนนี้เลือดที่คั่งมันไปกดเส้นประสาทอยู่ ทำให้เค้กมีอาการอย่างที่พวกผมเห็นตอนนี้คือ สมองสั่งการช้ากว่าปกติหรือไม่รับรู้ในบางอย่างด้วย ถ้าไม่ผ่าตัดโอกาสรอดก็แทบไม่มี แต่ถ้าผ่าตัดโอกาสรอดก็ใช่ว่าจะร้อยเปอร์เซ็นต์ หมอบอกว่า ห้าสิบห้าสิบเท่านั้นเอง

คุณหมอบอกว่าการผ่าตัดต้องให้ญาติเซ็นยินยอมด้วย ใจจริงถ้าให้ผมตัดสินใจยังไงผมก็คงต้องยอมให้เค้าผ่าตัดอยู่แล้ว แต่ว่ามันมีความเสี่ยงแบบนี้ ยังไงก็คงจะยังผ่าตัดไม่ได้ เพราะคุณหมออยากให้พ่อหรือแม่ของเค้กเป็นคนเซ็นต์ยินยอม ผมกับชีสตกลงกันว่าจะให้ชีสแล้วก็โอเล่ขับรถกลับไปรับพ่อกับแม่มา ไม่อยากโทรไปบอกเพราะท่านต้องตกใจแน่นอน ผมกำชับให้ชีสบอกว่าเค้กไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่อาจจะต้องผ่าตัด เท่านั้น ถึงจะเป็นการโกหกพูดความจริงไม่หมดแต่มันก็ดีกว่าให้พวกท่านตกใจจนจะเป็นอะไรตามไปอีก

ผมนั่งเฝ้าเค้กที่นอนนิ่ง ตอนนี้เปลือกตาเค้าปิดลง แต่สักพักก็ลืมขึ้นมาอีก พร้อมกับของเหลวบางอย่างที่ยังไหลออกจากปากเป็นระยะๆ ผมเอื้อมมือไปกุมมือเค้าไว้แน่น ภาวนาว่าอย่าให้เค้าเป็นอะไรเลย ยังไงเค้าก็ต้องหาย ต้องหาย นี่ผมยังไม่ได้อธิบายเรื่องที่เค้าเข้าใจผมผิดเลย ผมนึกหวนไปถึงคำพูดที่เค้กเคยเอ่ยถึงความเป็นความตาย ถึงผมจะไม่ใช่คนงมงายอะไร และคิดว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือนั่นอาจจะเป็นลางบอกเหตุ ที่จริงวันนี้ตอนเค้าออกมาผมไม่น่าปล่อยเค้าเลยน่าจะตื้อตามเค้ามาด้วย เรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

คุณพ่อกับคุณแม่ของเค้กมาถึงในตอนเกือบจะเช้าแล้ว ประมาณตีสี่ ทันที่ที่แม่ของเค้กเห็นสภาพลูกชาย คุณแม่ปล่อยโฮอย่างไม่อายใครเลย คุณพ่อเองก็น้ำตาซึม เพราะนี่คงเป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เค้กเคยเจอมาแล้วมั้ง พยาบาลเล่าให้ฟังว่า คนของมูลนิธิที่นำตัวเค้กมาส่งนั้น ได้รับแจ้งว่ามีคนขับรถเกือบตกสะพาน เค้ายังบอกอีกว่าดีที่รถติดราวกั้นตรงคอสะพาน ไม่งั้นถ้าตกลงไปแม้จะเป็นแค่คลองเล็กๆ แต่ถ้าหมดสติแล้วกว่าจะมีคนไปช่วย อาจจะเป็นอันตรายมากกว่านี้ก็เป็นได้ ที่เค้กหัวแตกน่าจะเป็นแรงกระแทกเพราะเค้กไม่ได้ขาดเข็มขัดนิรภัย โชคดีที่ไม่ได้หลุดออกมานอนตัวรถ แต่สภาพรถก็ดูไม่ได้เลยทีเดียว เค้กไม่ได้ชนกับใคร แต่อาจจะหลับในหรือไม่ก็ขับรถเสียหลัก ซึ่งไม่มีใครทราบได้ นอกจากตัวของเค้กเอง

“เค้กๆ ลูกจำแม่ได้ไหม”คุณแม่รีบระล่ำระลักทันที่ที่เห็นเค้กลืมตาขึ้น ที่ต้องถามแบบนี้เพราะคุณหมอบอกว่าคนไข้อาจมีอาการความจำขาดๆ หายๆ ได้

“แม่”เค้กเอ่ยเสียงแผ่ว เบาจนเหมือนจะกระซิบ แต่แค่ผมได้ยินแค่นั้นผมก็ใจชื้นว่าอย่างน้อยๆ เค้าก็ยังจำความได้ ไม่ได้ความจำเสื่อมแต่อย่างใด

“จำพ่อได้ไหมลูก”คุณพ่อตามเข้าไปหาใกล้ๆ เค้กพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกเบาๆ เหมือนคำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากเค้กมันช่างยากเย็นเหลือเกิน

“เจ็บมากไหม”เจ้าชีสปาดน้ำตาก่อนจะเดินเข้าไปอีกคน คุณพ่อถอยห่างให้ผมกับโอเล่ได้เดินเข้าไปใกล้ๆ

“ชีส...”เค้กเอ่ยเรียกชื่อน้องชายก่อนจะมองด้วยแววตาสงสัย เหมือนเค้าอยากจะถามว่าชีสร้องไห้ทำไม ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ นี่เค้าคงไม่รู้ตัวหรอกว่าสภาพเค้าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง

“เค้ก...จำเราได้อยู่ใช่ไหม”ผมแทรกตัวเข้าไปเอ่ยถามกับเค้าบ้าง เค้าจ้องมองที่หน้าผมก่อนจะขยับปากพูด

“เค้ก...”คำพูดของเค้าทำเอาผมไม่เข้าใจ ทำไมเค้าพูดชื่อตัวเอง เค้าจะพูดอะไร หมายความว่ายังไง

“เค้กจำได้ไหมว่าเราชื่อว่าอะไร”ผมถามย้ำอย่างเป็นกังวล ผมกำลังกลัวว่าเค้าจำคนอื่นได้แต่จะจำผมไม่ได้ เรื่องแบบนี้ผมยิ่งเคยได้ยินมาอยู่ที่คนไข้จะเลือกจำแค่ในส่วนที่เค้าอยากจะจำนี่ถ้า เค้าเลือกที่จะลบผมออกไปล่ะ

“เค้ก”เค้ายังพูดคำเดิม ทีนี้ ทุกคนมองหน้ากันด้วยความเป็นกังวล โอเล่เลยเดินเข้ามาถามในประโยคเดียวกับผมว่าเค้กจำได้ไหมว่าโอเล่ชื่ออะไร แต่คำพูดที่ออกจากปากของเค้กก็เหมือนที่ผม ถาม นั่นคือเค้กพูดชื่อตัวเอง นี่มันอะไรกัน ในขณะที่พวกเรากำลังเป็นงงกันอยู่ว่ามันยังไงกันแน่ คุณหมอก็เดินเข้ามาพร้อมกับ จับตรงนั้นตรงนี้ของเค้ก เอาไฟส่องปากส่องตา ดูแผล แล้วคุณหมอก็เริ่มพูดคุย

“รู้ไหมตอนนี้อยู่ไหน”คุณหมอถามออกไปเสียงดูเป็นมิตร ฟังดูอบอุ่น คนเป็นหมอนี่เค้าเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่านะ ผมและคนอื่นๆ เฝ้ามองคุณหมอพูดคุยกับเค้กอยู่ห่างๆ เค้กเหมือนกลอกตามองไปรอบๆ เพื่อดูว่าเค้าอยู่ที่ไหน

“โรง...บาล”เค้กตอบออกมาช้าๆ มันช้ามากจนเหมือนคนที่เพิ่งหัดพูดยังไงยังงั้นเลย

“โรงพยาบาลอะไรรู้ไหม”โหหมอถามออกมาได้ คนเค้ารถคว่ำมา จะไปรู้ไหมว่าถูกนำส่งโรงพยาบาลไหน แต่เค้กก็ทำท่านึกก่อนจะเงียบไปไม่ตอบ คงเพราะเค้กไม่รู้นั่นเอง

“เป็นคนไทยหรือเปล่าเรา หรือเป็นพม่า”คุณหมอจดๆ อะไรลงในแฟ้มประวัติเล็กน้อยก่อนจะถามทีเล่นทีจริงอีกครั้ง

“พม่า”เสียงเบาๆ ของเค้กพูดขึ้น ทำให้พวกผมทุกคนต้องหันไปมอง ตกลงว่าเค้กจำไม่ได้หรือเลอะเลือนอะไรยังไงกันแน่ คุณหมอหันมาหาทางคุณพ่อคุณแม่ พอทราบว่าทั้งสองท่านคือพ่อแม่ของเค้ก หมอก็เริ่มพูด

“คือคนไข้มีอาการเลือดคั่งในสมอง อาการก็จะเป็นอย่างที่เห็นคือ การตอบสนองจะช้า พูดช้าคิดช้า หรืออาจคิดไม่ออก จำไม่ได้ในบางเรื่อง พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเอ๋อนั่นเองแหละครับ คล้ายๆ กับคนปัญญาอ่อน หมอแนะนำว่าควรจะผ่าตัด แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าการผ่าตัดก็มีโอกาสรอด ห้าสิบห้าสิบ”คุณแม่ของเค้กฟังไปก็น้ำตาร่วงไป

“ถ้าไม่ผ่าตัดละคะ”เสียงของคุณแม่ปนสะอื้นนิดๆ ถามขึ้น หมายความว่าไงกันคุณแม่อย่าบอกนะว่าจะไม่ยอมให้ผ่าตัด

“ก็จะเป็นอย่างที่เห็นต่อไป แล้วก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”คุณหมอบอกเสียงเรียบ

“ถ้าจะผ่าตัดเดี๋ยวหมอจะให้พยาบาลเอาหนังสือยินยอมมาให้เซ็นต์”แล้วคุณหมอก็เดินจากไป

“เดี๋ยวพ่อไปเซ็นต์ยินยอมเอง”คุณพ่อเอ่ยขึ้น

“ไม่นะพ่อ แม่ไม่ยอมให้เซนต์ ผ่าตัดไปเราก็ไม่รู้ว่าเค้กมันจะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่า”คุณทั้งฟูมฟายทั้งอะไรอีกสารพัด ไม่ยอมท่าเดียวยังไงก็ไม่ให้เค้กผ่าตัด คือท่านกลัวว่าเค้กอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกนั่นเอง

ผมและคนอื่นๆ ต้องช่วยกันอธิบาย ต่างๆ นานา ทั้งไปถามข้อมูลจากพยาบาลว่ามันมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน พยาบาลบอกผมมาว่าถ้าเป็นเลือดที่คั่งอยู่ในสมองชั้นนอกก็จะไม่เป็นอันตรายมากเท่าไหร่กับการผ่าตัด ผมไม่รู้ว่าที่เค้กมีเลือดคั่งนี่อยู่ในสมองส่วนไหนแต่ผมก็เอาชื่อของพยาบาลที่ให้ข้อมูลผม มาสมอ้างให้แม่ของเค้กฟังและยืนยันว่าโอกาสที่จะหายมันมีมากกว่าเห็นๆ นั่นแหละครับคุณแม่ถึงยอมที่จะให้เค้กผ่าตัด

โอเล่แยกตัวกลับไปก่อนแล้ว ชีสเองก็พาคุณพ่อคุณแม่กลับบ้านไปจัดเตรียมข้าวของสำหรับมาเฝ้าเค้ก เพราะเค้กคงต้องอยู่โรงพยาบาลอีกพักใหญ่ๆ อันนี้ผมคิดแค่ในทางเดียวนะครับ เพราะมั่นใจว่ายังไงการผ่าตัดก็ต้องผ่านไปได้ด้วยดี ผมบอกคนอื่นๆ ว่าขออยู่รอจนกว่าเค้กจะเข้าห้องผ่าตัด ทั้งที่กว่าจะได้เข้าห้องผ่าตัดก็ต้องเป็นช่วงสายๆ โน่น ตอนนี้มันยังเช้าอยู่เลย แต่ผมเป็นห่วงเค้านี่นา ห่วงมากๆ

“เค้ก...เค้กต้องไม่เป็นไรนะ”ผมบีบมือเค้าเบาๆ พร้อมพูดกับเค้าเบาๆ แม้เค้าจะไม่รับรู้ในสิ่งที่ผมพูดก็เถอะ

พ่อกับแม่ของเค้กพร้อมเจ้าชีสกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วงสาย คุณแม่นั้นตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ ยิ่งเห็นสภาพของเค้กคุณแม่ก็ยิ่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ โทรศัพท์ของเค้กที่ทางเจ้าหน้าที่เก็บมาให้ตอนนี้ต่างมีสายโทรเข้ามาอย่างไม่ขาด คงเพราะหลายคนเริ่มรู้ข่าวแล้ว แต่คนที่รับโทรศัพท์ตอนนี้ก็คือชีส ที่ต้องตอบไปว่าอาการของเค้กเป็นอย่างไรบ้าง

พอถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัดเค้าก็ยกเค้กไปวางบนเตียงอีกเตียงเพื่อเข็นไปยังห้องผ่าตัด ซึ่งไม่อนุญาตให้ ญาติๆ ได้เข้าไป ผมเห็นเค้กลืมตา มองอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเค้า ระยะเวลาในการผ่าตัดจะกินเวลาหลายชั่วโมง คุณพ่อ ของเค้กเลยให้ผมกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ตอนแรกผมก็ไม่ยอม แต่เมื่อเห็นว่ารออยู่ตรงนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ สู้รีบไปรีบกลับมาน่าจะดีกว่า

ผมกลับไปอาบน้ำอาบท่าด้วยความเป็นกังวล พอกลับมาที่โรงพยาบาล เค้กก็ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัดเลย ผมต้องนั่งรอกับคนอื่นๆ อีกเกือบชั่วโมง คุณแม่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด เหมือนเดิม ชีสก็ยังต้องรับโทรศัพท์ของเค้กเป็นระยะ จนในที่สุดเค้าก็เข็นเตียงที่มีร่างของเค้กออกมาจากห้องผ่าตัด เราทุกคนต่างรีบเข้าไปดู แต่คุณหมอบอกเดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่จะเอาไปส่งที่ห้อง ตอนนี้อาการไม่น่าจะมีไรแล้ว แต่ช่วงนี้อาการตอบสนองจะยังช้าๆ อยู่ น่าจะดีขึ้นในไม่ช้า แค่ได้ยินเท่านั้นผมก็ดีใจแล้วครับ

ผมมองร่างที่นอนนิ่งของเค้ก เค้ายังหลับอยู่เพราะยาสลบ ที่แขนทั้งสองข้างของเค้ามีสายน้ำเกลืออยู่ข้างนึง แต่อีกข้างผมไม่รู้ว่าคืออะไร ผมของเค้าถูกโกนออกจนหมด มีผ้าพันแผลปิดไว้ และมีสายยางเล็กๆ เชื่อมต่อออกมาจากหัวของเค้าไปสู่กระปุก เล็กๆ ใสๆ กระปุกหนึ่ง เลือดสีแดงเข้ม ค่อยๆ  ไหลออกมาตามท่อสายยางเล็กๆ นั้น ผมเดาเอาว่านี่คงเป็นการเชื่อมให้เลือดที่ยังคงค้างอยู่ได้ไหลออกมาจนหมด มองดูร่างกายส่วนอื่นๆ เค้กไม่ได้มีบาดแผลที่ไหนเลย มีแค่รอยฟกช้ำบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งถือว่าโชคดีมากทีเดียว เพราะเห็นเค้าว่าสภาพรถนี่เยินจนไม่คิดว่าคนข้างในจะรอดออกมาได้

แต่ยังไงคุณหมอก็ยืนยันแล้วว่าเค้กปลอดภัยก็ไม่น่าจะมีอะไรอีกแล้ว รอแค่ให้เค้กฟื้นเท่านั้นเอง ที่เค้าเป็นแบบนี้ส่วนนึงมันก็มาจากผม ถ้าเค้าหายดีแล้ว ผมจะขอให้เค้าย้ายมาอยู่กับผม และบอกเรื่องระหว่างผมกับเข้าให้พ่อแม่ได้รับรู้ ว่าผมอยากดูแลและปกป้องเค้าขนาดไหน
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [19-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 19-11-2014 23:19:16
รีบๆหายนะเค้ก
อย่าเป็นอะไรนะ,,,,
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [19-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 19-11-2014 23:35:30
มันจะสายไปไหม ถ้ายังไม่รีบ  หรือหมดโอกาสนั้นไป
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [19-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 21-11-2014 12:38:36
Cake

ผมจำได้ว่า ผมขับรถออกมาจากคอนโดของเกี๊ยง แต่นี่ผมอยู่ที่ไหนกัน ผมรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมพยายามนึกว่านี่ผมอยู่ไหน พยายามลำดับเหตุการณ์ว่าผมไปไหนก่อน แต่มันก็เหมือนจะเบลอๆ ยังไงบอกไม่ถูก ใช่แล้วผมจำได้ว่าเหมือนจะขับรถเสียหลัก หรือว่านี่ผมประสบอุบัติเหตุเหรอ แล้วทำไมผมรู้สึกอยากจะอ๊วกแบบนี้ ความรู้สึกเหมือนกำลังสำรอกบางอย่างออกมาจากกระเพาะผมอยากจะลุก ไปอ๊วกในห้องน้ำ แต่เหมือนจะขยับตัวไม่ได้ ผมเลยแค่หันไปด้านข้างให้สิ่งที่ออกมาไหลออกจากปาก ผมเห็นเหมือน ชีสหยิบผ้ามาเช็ดปากให้ผม

แล้วก็เหมือนผมหลับๆ ตื่นๆ นี่ผมเมาหรือไงกันนะ ผมรู้สึกตัวอีกที ตอนที่ทุกคนมายืนล้อมอยู่ตรงที่ผมนอน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อ แม่ ถึงต้องมายืนร้องไห้มองผม ผมน่าจะแค่ประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก เพราะนี่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือปวดตรงไหนเลย แสดงว่าผมคงไม่ได้เป็นอะไรมากสิ

ทุกคนเดินเข้ามาหาผมแล้วก็ถามผมว่าจำพวกเค้าได้ไหม ผมยังงงเลยว่านี่เค้าเล่นอะไรกัน เพราะผมก็ยังจำพวกเค้าได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ชีส เกี๊ยง แล้วก็โอเล่ แต่พอผมพูดออกไป ทำไมเกี๊ยงกับโอเล่ถึงทำหน้าแปลกๆ กันนะ ผมคุ้นๆ ว่าผมกำลังหึงเกี๊ยงอยู่หรือเปล่านะ แต่มันเหมือนลางเลือนไม่แน่ใจว่าตกลงผมยังโกรธเค้าอยู่หรือผมลืมไปแล้วกันแน่

แล้วผมก็รู้สึกว่าหลับๆ ตื่นๆ อยุ่อย่างนั้น มีคุณหมอมาถามผมว่ารู้ไหมว่าผมอยู่ที่ไหน ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกครับ แต่มองจากรอบๆ ข้างที่มีคนใส่ชุดเหมือนหมอ พยาบาล ก็พอจะเดาได้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจทำไมทุกคนต้องพูดเหมือนกับว่าผมจะความจำเสื่อมอย่างนั้นแหละ หรือสมองผมได้รับการกระทบกระเทือนก็ไม่น่าจะใช่เพราะผมก็ไม่ได้เจ็บหรือปวดอะไรนี่นา

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่มีคนพยายามยกตัวผมย้ายไปอีกเตียงนึง ผมไม่รู้ว่าเค้าจะพาผมไปไหน แต่ผมรู้สึกว่าเค้าเข็นเตียงที่ผมนอนแรงเหลือเกินจนผมเวียนหัว แถมบางครั้งตรงพื้นที่มันต่างระดับ เค้าก็ไม่ชะลอเลย จนผมรู้สึกเจ็บเวลาที่เค้าเข็นเลื่อนไป เค้าพาผมมายังห้องๆ นึง เค้าเลื่อนผมเข้าไปนอนตรงที่มีไฟส่อง มีคนอีกสี่ห้าคน เข้ามายืนล้อมรอบผม ทุกคนแต่งตัวมิดขิดปิดปากปิดจมูก เหมือนที่ผมเคยเห็นในหนังเลย มีคนชวนผมคุย ถามอะไรไม่รู้ ผมฟังไม่ค่อยได้ยิน แล้วเค้าก็เอาอะไรไม่รู้เป็นเหมือนกรวยมาครอบที่ปากผม ก่อนจะปล่อยควันอะไรสักอย่างเข้ามา แล้วผมก็เริ่มง่วงแล้วตาผมก็ปิดลง



ผมรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าคอแห้ง ผมพยายามจะเรียกให้เจ้าชีสที่อยู่ใกล้ๆ หยิบน้ำให้ผมหน่อยแต่เหมือนผมจะไม่มีเสียง ผมรู้สึกว่าหน้าซีกซ้ายมัน ชาๆ ตึงๆ ยังไงบอกไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังบวมเหมือนโดนพวกแมลงต่อยมาอะไรแบบนั้น

“เค้ก...ฟื้นแล้วเหรอ”เกี๊ยงเป็นคนสังเกตเห็นผมเลยรีบเข้ามาหา

“นะ...น้ำ”ผมพยายามพูดออกไปอย่างยากลำบาก นี่ทำไมผมถึงพูดยากเย็นนักนะ ตกลงผมเป็นอะไรมากไหมเนี่ย รู้สึกเจ็บตรงซี่โครงเล็กน้อยเวลาขยับ

“อื๊อ...”ผมอยากจะร้องโอ๊ย เพราะเจ็บ แต่เสียงผมมันออกมาแค่นั้นจริงๆ เกี๊ยงมีสีหน้าตกใจขณะกำลังเอาน้ำหยดใส่ปากผม ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยทำไมไม่ให้ผมดูดจากหลอดเลย ไม่ทันใจจริงๆ

“เป็นไรหรือเปล่า ลูก”แม่ผมรีบเค้ามาหาเมื่อเห็นว่าผมน่าจะเจ็บ ผมตอบออกไปเบาๆ ว่าเจ็บ ไม่นานนักก็มีพยาบาลเข้ามาถามอาการ ของผม ผมบอกออกไปว่าเจ็บตรงไหนบ้าง แต่ทำไมพยาบาลเค้าต้องทำท่าทางช่วยลุ้นขนาดนั้นเวลาผมพูด

“โอ๊ย”คราวนี้ผมร้องออกมาดังกว่าทุกครั้ง เพราะมันเจ็บจริงๆ ผมบอกว่าเจ็บแขน เค้าก็ให้ผมลองขยับ ผมก็ขยับได้ แต่มันจะขัดๆ นิดหน่อยแต่พอคุณพยาบาลจับแขนผมยก มันกลับเจ็บจี๊ดขึ้นมาเลย

คุณพยาบาลบอกว่าผมต้องเอกซเรย์ตามร่างกายอีกครั้ง ทำให้ผมต้องถูกย้ายตัวไปกับเตียงเข็นอีกแล้ว แต่คราวนี้เค้าไม่ได้เอาอะไรมาครอบปากผมแล้ว เค้าให้ผมนอนเฉยๆ แล้วก็ฉายไฟลงมาที่ตัวผม
 
ผลออกมาว่าแขนที่ผมรู้สึกเจ็บนั้น กระดูกมันร้าว เค้าบอกว่าต้องใส่เฝือกอ่อนเอาไว้ พอเสร็จเรียบร้อยเค้าก็พาผมกลับไปนอนไว้ที่ห้องเดิม คราวนี้มีเพื่อนๆ ของผมอยู่เต็มเลย แต่ละคนเหมือนเค้ามองผมอึ้งๆ ยังไงไม่รู้ นี่ตกลงสภาพผมมันเป็นยังไงกันนะ ชักอยากจะเห็นสภาพตัวเองแล้วสิ

ทุกคนที่มาเยี่ยมผมต่างถามว่าผมจำพวกเค้าได้ไหม ซึ่งผมก็จำได้หมด ตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วว่าผมน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับสมองแน่ๆ เพราะตอนที่ไปเอกซเรย์ผมเห็นกระปุกเลือด ที่เค้าถือตามไปด้วยซึ่งมันคงต่อออกมาจากหัวผมนี่แหละ แต่ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเหมือนหลับๆ ตื่นๆ อยู่เหมือนเดิมนะ

ผมตื่นมาอีกทีในห้องเหลือแค่ชีสกับแม่เท่านั้น ที่ยังอยู่ในห้องกับผม แต่พอผมลืมตาได้สักพักก็มีอีกคนเข้ามาในห้อง เกี๊ยงนั่นเอง

“ชีส...”ผมพยายามเรียกน้องชาย เจ้าชีสเดินเข้ามาหาผม

“ปวดฉี่”ผมบอกออกไปเพราะรู้สึกปวดฉี่มากๆ แต่ผมเหมือนจะขยับหรือลุกไม่ได้เลย เจ้าชีสไปหยิบอุปกรณ์บางอย่างชูให้ผมดู นี่หมายความว่าผมต้องนอนฉี่บนนี้ใช่ไหม ผมพยักหน้าว่าเอามาเถอะเพราะจะกลั้นไม่ไหวแล้ว

“เดี๋ยวพี่ทำเองชีส”เกี๊ยงเค้ามาแย่งเอาอุปกรณ์รองรับปัสสะวะของผม ก่อนจะรุดม่านกั้น เลยเหลือแค่ผมกับเกี๊ยงที่อยู่ภายในม่านที่กั้นนั้น ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือจะมาเขินอายอะไรอีกแล้วละครับ เพราะผมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

เกี๊ยงกระตุกเชือกผูกกางเกงผมออก ก่อนจะจัดเตรียมความพร้อมให้ผมฉี่ แต่จนแล้วจนรอดทำยังไงผมก็ฉี่ไม่ออก แต่รู้สึกปวดมากๆ ชีสเลยต้องไปเรียกพยาบาล ซึ่งเค้าบอกว่าต้องสวนท่อปัสสวะ คราวนี้ผมรู้สึกอายกว่าเมื่อสักครู่อีกเพราะ ต้องให้พยาบาลเป็นคนมาทำให้ มันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่มีสายอะไรสอดเข้ามาในท่อปัสสวะ แต่ก็แค่แวบเดียว แล้วผมก็มีถุงปัสสะวะห้อยติดตัวมาอีกอย่างเป็นอุปกรณ์เสริม


แวะมาต่อคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 21-11-2014 19:32:30

Ta-kiang

ตอนนี้เค้กฟื้นแล้วก็จริง แต่ผมกลัวเหลือเกินว่าเค้าจะไม่หายเป็นปกติเหมือนเดิม เพราะตอนนี้เค้กจำทุกคน จำอะไรได้หมดแต่เค้าเหมือนต้องใช้เวลาคิด หรือการพูดค่อนข้างช้า จนผิดปกติ แต่ผมก็ยังพยายามเชื่ออย่างที่คุณหมอบอกว่าอีกสักพักก็จะดีขึ้นเอง วันนี้ผมอาสาอยู่เฝ้าเค้กเอง ให้คุณพ่อคุณแม่กลับไปพักผ่อน พร้อมเจ้าชีสตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว เค้กเองก็เอาแต่หลับตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว

“เกี๊ยง...”เสียงแผ่วๆ ยานคางอย่างช้าๆ ของเค้าเรียกผม ผมหันไปมองเห็นสีหน้าเค้าไม่ดีนัก เหมือนกำลังกระสับกระส่ายทุรนทุรายบางอย่าง

“เป็นไรหรือเปล่า”ผมเข้าไปถามอย่างห่วงใยพร้อมกับแตะที่มือเค้าเบาๆ

“ปวด...หัว”เค้าพูดช้าๆ ที่ถ้าฟังจากคำพูดแล้วอาจจะคิดว่าเค้าคงไม่ได้ปวดมากมาย แต่ถ้าเห็นสีหน้าแล้ว ผมว่าเค้ากำลังปวดมากทีเดียว มันก็น่าปวดอยู่หรอก ก็ผ่าตัดสมองนี่นา เห็นว่าที่ผ่าไปนั่นเย็บตั้งสี่สิบกว่าเข็ม แล้วนี่ผมจะทำยังไงดี อย่างจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของเค้าแต่มันคงทำไม่ได้ ผมทำได้เพียงเรียกพยาบาลให้เข้ามาดูเค้าเท่านั้น

“มันจะปวดแบบนี้สักระยะนะคะ ต้องอดทนหน่อย”คุณพยาบาลพูดเสียงอ่อนโยน ปลอบเค้ก แต่ผมว่ามันไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดทุเล่าลงได้หรอกนะ บอกให้อดทนนี่ผมก็ว่าเค้กคงทนเต็มที่แล้วแหละ เค้าแทบจะไม่ร้องออกมาแต่สีหน้าและแววตามันบ่งบอกว่าเค้าเจ็บปวดมากแค่ไหน

“แล้วไม่มียาช่วยบรรเท่าบ้างเหรอครับ”ผมถามด้วยความร้อนรน เพราะไม่อยากเห็นเค้าอยู่ในสภาพนี้

“งั้นเดี๋ยวจะจัดยาแก้ปวดมาให้นะคะ รอสักครู่”แล้วคุณพยาบาลก็เดินออกไป เค้กเองก็พยายามนอนนิ่งๆ เหมือนเค้าไม่อยากให้ผมรู้ว่าเค้าเจ็บปวด แต่ผมสังเกตเห็นมือที่จิกลงบนผ้าปู พร้อมกับริมฝีปากบางของเค้าสั่นระริก แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่ามันคงเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว ผมสอดมือเค้าไปในมือของเค้า และก็สัมผัสได้ว่าเค้าคงเจ็บมากจริงๆ เพราะเค้าบีบมือผมอย่างแรง เหมือนเป็นการข่มความทรมาน

รอไม่นานนักพยาบาลก็กลับมาพร้อมยาสองเม็ด ผมรีบจัดแจงให้กับเค้ก หลังจากทานยาเข้าไปเหมือนเค้าจะเริ่มผ่อนคลายขึ้น แล้วก็ความเจ็บปวดก็คงค่อยๆ หายไปเพราะเค้าบอกว่าดีขึ้นแล้ว

“เค้ก...เราขอโทษนะ ที่เค้กเป็นแบบนี้ส่วนนึงก็คงมาจากเราด้วย แต่เราอยากจะบอกนะว่า ผู้หญิงคนที่เค้กเห็นกอดกับเรานะ ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนคนนึงของเราเท่านั้นจริงๆ”แล้วผมก็เริ่มเล่ารายละเอียดต่างๆ ให้เค้าฟัง จริงๆ อยากให้เค้าหลับพักผ่อน แต่อีกใจก็อยากเล่าให้เค้าเข้าใจผม อีกอย่างเค้าเองก็บอกว่านอนไม่หลับ คงเพราะตอนกลางวัน นอนมาทั้งวันแล้วนั่นเอง

เวลาผ่านไปประมาณแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่เค้กทานยาเข้าไป ตอนนี้เค้าเริ่มมีอาการปวดหัวอีกแล้ว ผมเรียกพยาบาลเพื่อจะขอยาอีกครั้ง แต่พยาบาลปฏิเสธ บอกว่าไม่สมารถให้ยาเพิ่มได้ เพราะมันจะมีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นมา ถ้าทานยาแก้ปวดบ่อยๆ อย่างน้อยต้องทิ้งระยะห่างสักสี่ชั่วโมง คำแนะนำของพยาบาลคือให้อดทน ผมฟังแล้วแทบอยากจะตะโกนใส่หน้าว่าไม่ลองมาเป็นแบบนี้บ้างละ ว่าจะทนไหวไหม แต่ผมก็พอรู้ว่าเค้าทำตามหน้าที่ และก็สมควรอยู่ที่จะทำแบบนั้น

แต่ผมเองก็หงุดหงิดที่ไม่สามารถช่วยอะไร เค้กได้เลย ทำได้แค่นั่งมองดูเค้าบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด เค้างอตัว เหมือนจะเป็นจะตาย น้ำตาของเค้กเริ่มรินไหล แต่ไม่มีเสียงร้องออกจากปากของเค้าเลย เค้กเจ็บที่กาย แต่ผมนี่ใจแทบสลายที่ต้องมาทนดูเค้าทุกข์ทรมานต่อหน้าแต่ไม่สามารถ ช่วยอะไรได้เลย

คืนทั้งคืน เค้กไม่ได้หลับเลยเพราะปวดหัวจนหลับไม่ลง พอตอนกลางวันก็มีเผลอหลับไปบ้าง แต่ดูเหมือนกลางวัน อาการปวดจะมีไม่มากเท่าตอนกลางคืน ช่วงนี้ผมลางานทั้งอาทิตย์เลย เพื่อจะมาอยู่ดูแลเค้ก โชคดีที่หัวหน้าผมใจดี แต่ก็เพราะว่าผมเคลียร์งานทุกอย่างไว้แล้วนั่นเอง แต่ถ้าเกิดว่ามีเรื่องด่วนอะไรเข้ามาผมก็ยังรับเรื่องได้เหมือนเดิม แต่จะอาศัยว่าทำงานที่โรงพยาบาลนี่เลยแล้วค่อย ส่งงานเข้าไปที่บริษัท

คืนที่สองที่ผมมานอนเฝ้าเค้กก็ไม่ได้ต่างจากเดิมคือ เค้กหลับไม่ลงแม้แต่นาทีเดียว เพราะต้องทนรับความเจ็บปวดที่เล่นงานตลอดทั้งคืน ยาแก้ปวดมันไม่ได้ช่วยทุเล่าความเจ็บปวดแม้แต่น้อยแล้วตอนนี้ ผมสงสารเค้กจับใจ

“อดทนไว้นะเค้ก อีกไม่นานก็จะหายแล้ว”ผมพูดปลอบประโลมพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาของเค้ก เค้าพยายามจะเอื้อมมือมาจับมือผม แต่คงเพราะไม่มีแรงเลยขยับมาได้เพียงนิดเดียว ผมเลยยื่นมือให้เค้า เค้าจับมือผมไว้ เหมือนต้องการที่ยึดเหนี่ยว แรงบีบมาที่มือผมมันแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ผมจะรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่มันคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่เค้กได้รับตอนนี้ การถูกผ่าตัดที่สมองซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทสั่งการทั้งหมด มันทำให้ความเจ็บปวดมีมากเหลือเกิน อันนี้ผมฟังจากคุณพยาบาลมาอีกทีนะครับ เค้าบอกว่าตอนแรกก่อนผ่าตัดคนเจ็บจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย เพราะเลือดที่คั่งมันไปกดเส็นประสาทไว้ แต่พอเอาเลือดที่คั่งออก มันจะเจ็บปวดทรมานอย่างหนัก ซึ่งระยะเวลาของอาการนี้ก็แล้วแต่คนว่าจะเป็นมากน้อยขนาดไหน อาจจะวันนึง สองวัน หรือเป็นอาทิตย์ก็มี

แล้วนี่เค้กจะเป็นแบบนี้นานถึงอาทิตย์เลยหรือเปล่า เพราะนี่ขนาดแค่สองวัน ผมเองยังแทบจะทนดูไม่ได้ แล้วเค้กละเค้าจะทนไหวหรือเปล่า ผมต้องพยายามพูดคุยกับเค้าทั้งคืน เพื่อให้เค้าลืมความเจ็บปวดไปบ้าง

“เค้าโกนผมเราออกไปหมดเลยเหรอเกี๊ยง”เค้าพยายามที่จะถามผมทั้งที่ ปากยังสั่นๆ เพราะความเจ็บปวดนั่นเอง ผมบอกตรงๆ ว่าผมเห็นเค้าแล้วผมแทบอยากจะร้องไห้ออกมา เพราะสงสารเค้าจับใจ เค้ายังเหมือนคนเอ๋อๆ หน่อยๆ คือการพูดหรือการรับรู้ยังช้าอยู่ แถมเห็นเค้าเจ็บทรมานแบบนี้ น้ำตาผมแทบกลั้นไม่อยู่ แต่ผมจะไม่ร้องให้เค้าเห็นเด็ดขาด จะไม่ทำเหมือนสมเพศหรือเวทนาเค้าแน่นอน

“พอออกจากโรงพยาบาล มันก็ขึ้นมาน่ารักเหมือนเดิมเองแหละ”ผมบอกเค้าอย่างจริงใจ พยายามทำน้ำเสียงให้อบอุ่นมากที่สุด ผมคงทำให้เค้าได้เท่านี้ ไอ้การจะรับความเจ็บปวดของเค้ามาแทน มันคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ผมอยากจะเจ็บแทนเค้าเหลือเกิน

“ตอนนี้เราคงดูน่าเกลียดมากเลยเนอะ”เค้าพูดพร้อมกับพยายามยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่ยากลำบากสำหรับเค้าเหลือเกิน เพราะผลจากการผ่าตัด มันทำให้ใบหน้าซีกช้ายของเค้ายังบวม ตึงอยู่นิดหน่อย

“ไม่เลย สำหรับเราเค้กก็ยังน่ารักเหมือนเดิม”ผมบอกเค้าด้วยความจริงใจ อยากให้ผ่านช่วงนี้ไปเร็วๆ เหลือเกิน อยากให้เค้าหายเป็นปกติเร็วๆ แต่ผมเคยได้ยินเค้าบอกว่าถ้ามีเคราะห์หนักๆ แบบนี้ หลังจากนั้นจะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต ผมหวังว่าเค้กจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันนะ

“ไม่ต้องมายอกันหรอก ขอกระจกดูหน่อยสิ”เค้กเองคงอยากเห็นสภาพตัวเองเต็มแก่แล้วมั้ง เพราะตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุมาเค้กก็ยังไม่มีโอกาสได้ส่องกระจกเลย แต่ผมยังไม่อยากให้เค้าเห็นตัวเองตอนนี้เท่าไหร่

“ไม่มีหรอก หรือจะให้ไปถอดกระจกในห้องน้ำมาให้”ผมแกล้งพูดแหย่เค้า แต่เหมือนเค้าจะไม่ขำ เพราะดูสายตาจะแอบงอนผมนะนั่น

“งั้นเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปดูก็ได้”นึกว่าจะไม่อยากดูแล้วนะเนี่ย

“แบตหมดนะ ยังไม่ได้ชาร์จเลย”ผมบอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ให้เค้าดู จริงๆ มันก็ไม่ได้หมดหรอกครับ แต่ตอนหัวค่ำผมปิดเครื่องไว้ เพราะคงไม่มีใครมีธุระอะไรกับผมแล้วในช่วงกลางคืน เมื่อหาทางดูหน้าตัวเองไม่ได้เค้ก็นอนนิ่งๆ เฉยๆ เหมือนเดิม แต่จากที่สัมผัสมือของเค้า ผมว่าความเจ็บปวดที่เค้ามีมันยังไม่ได้หมดไปหรอก

“ยังปวดหัวอยู่ไหม”ผมเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน พร้อมกับสองมือผมที่กุมมือเค้าไว้

“มันปวดจนชาไปทั้งตัวแล้ว”เค้าบอกผมเสียงแผ่วลงกว่าเดิม นี่การที่ผมชวนเค้าคุยมันยิ่งให้เค้าปวดมากขึ้นหรือเปล่านะ

“งั้นนอนพักดีกว่าเนอะ เราไม่กวนแล้ว”ผมขยับผ้าห่มที่ร่นลงไปขึ้นมาคลุมให้กับเค้า

“มันหลับไม่ลงหรอก”คำพูดกับสภาพร่างกายดูเหมือนจะไม่สัมพันธ์กันสักเท่าไร่ เพราะร่างกายเค้าคงอยากพักผ่อนเต็มที แต่มันพักไม่ได้เพราะจะข่มตาหลับ ความเจ็บปวดก็จะมาปลุกให้ตื่นอยู่ดี จนตอนนี้ ตาของเค้กดำคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้าแล้วมั้งตอนนี้

แล้วในที่สุดผมก็ดันเผลอหลับจนได้ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเค้ก แต่คงเพราะผมเองก็ไม่ได้พักผ่อนเลยเหมือนกัน มันเลยเผลอหลับไปตอนช่วงเกือบสว่าง มารู้สึกตัวอีกที ตอนที่คุณพ่อคุณแม่ของเค้ก มาถึงในตอนเช้า

“ไปพักบ้างดีกว่ามั้งลูกเกี๊ยง”คุณแม่เค้ามาสะกิดปลุกผม

“เดี๋ยวรอสายๆ หลังจากคุณหมอมาดูอาการเค้กก่อนก็ได้ครับ”ผมตอบออกไปพร้อมกับหันไปมองคนที่อยู่บนเตียง ที่เหมือนจะหลับไปแล้ว ก็คงเหมือนเมื่อวานที่ตอนกลางวันจะไม่ปวดเท่าไหร่เลยหลับได้ และนี่คงเป็นอีกเหตุผลหรือเปล่าที่ตอนกลางคืนไม่หลับ เพราะว่ากลางวันหลับไปแล้ว แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะเวลาหลับในตอนกลางวันของเค้กก็น้อยมากๆ

“แล้วงานการไม่มีปัญหาอะไรนะลูกที่หยุดมาดูเค้กมันแบบนี้”คุณพ่อเข้ามาถามผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“ผมเคลียร์งานหมดแล้วละครับ อีกอย่างก็ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนด้วยแหละครับ”ผมตอบไปตามความจริง แต่ถ้างานมีปัญหาจริงๆ หรือเค้าไม่พอใจที่ผมหยุดจะให้ผมออก ผมก็ไม่ว่าอะไร ตอนนี้ขอดูแลเค้กก่อน เรื่องงานถ้าต้องออกจริงๆ หาใหม่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร คนมีความสามารถอย่างผมมีแต่ใครๆ ต้องการตัว(เข้าข้างตัวเองสุดๆ )

“ขอบใจมากนะ เค้กมันโชคดีแล้วที่มาเจอคนดีๆ อย่างเกี๊ยง”คุณพ่อพูดเหมือนจะรู้แล้วครับว่าผมกับเค้กเป็นอะไรกัน จริงๆ ผมก็ไม่ได้ปิดบังแต่ก็ยังไม่เคยได้บอกพวกท่านอย่างเป็นทางการว่าผมกับเค้กคบกันในฐานะอะไร ไว้รอเค้กหายดีก่อน ผมจะคุยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการอีกทีแล้วกัน

คุณพ่อคุณแม่ไล่ผมไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะให้มากินข้าวที่พวกท่านเตรียมมาให้ ส่วนเค้กตอนนี้ต้องรับทุกอย่างผ่านสายน้ำเกลือเหมือนเดิม หมอยังให้งดอาหารอยู่

เค้กหลับแค่ไม่นานจริงๆ เพราะสักพักก็ตื่นขึ้นมาเหมือนเดิม คุณพ่อคุณแม่ ก็พูดคุยถามไถ่ อย่างเป็นห่วงเป็นใย ผมว่าวันนี้เหมือนเค้กจะพูดชัดขึ้น และความเร็วของการพูดก็ไม่ช้าเหมือนเมื่อวานแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี แม้คำพูดจะยังไม่ปกติก็ตาม แต่อีกไม่นานคงเป็นปกติ อย่างที่คุณหมอบอก เวลาประมาณ เก้าโมงเช้าคุณหมอก็มาดูอาการเหมือนทุกวัน

“มีอาการอะไรอย่างอื่นอีกไหม”คุณหมอถามเค้กหลังจากซักถามรายละเอียดอาการที่ต้องการทราบหมดแล้ว

“นอนไม่หลับเลยครับ มันปวดหัวจนหลับไม่ลง”เค้กบอกคุณหมอออกไป

“อืม...ยังปวดอยู่ใช่ไหม ปวดมากหรือเปล่า”เค้กพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับกับคำถามของคุณหมอ

“งั้นเดี๋ยวหมอให้ยานอนหลับในช่วงเย็นแล้วกัน แต่ถ้าหายปวดเมื่อไหร่ต้องบอกนะ ไม่อยากให้กินยานอนหลับนานๆ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่”ผมตั้งใจฟังคุณหมอพูดอย่างตั้งใจ จริงๆ หมอเค้าคงรู้อยู่แล้วว่าจะปวดและวิธีแก้ก็คือให้กินยานอนหลับ แต่อย่างที่พูดคือถ้าให้ทานติดต่อกันนานๆ มันก็ไม่ดี เลยต้องลองให้คนไข้อดทนดูก่อน ว่าจะหายเร็วขนาดไหน ในกรณีนี้คงเห็นแล้วว่าเค้กอาจจะรับไม่ไหว ซึ่งก็ดีแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องทนดูเค้กเค้าทรมานอี
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 21-11-2014 23:01:29
เค้กจะหายเมื่อไหร่เนี๊ยะ

ห่วงๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 21-11-2014 23:22:41
เกี๊ยงดูแลเค้กให้ดีที่สุดและถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะ  ป้าเชียร์หนูจ๊ะ  o13
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 22-11-2014 00:01:30
คนเอ๋อนี่รู้ตัวด้วยเหรอ ??? นึกว่าคนเอ๋อนี่จะเหมือนเบลอๆตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 22-11-2014 17:50:42
Cake

วันนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว หมอบอกว่ารอให้ครบกำหนดตัดไหมเย็บตรงที่ผ่าตัดก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ตอนนี้ผมเริ่มทานอาหารเหลวได้แล้ว ซึ่งผมไม่ชอบเลยก็มันจืดยิ่งกว่าอะไรไม่มีรสชาดเอาเสียเลย  เกี๊ยงยังคงมาเฝ้าผมทุกวัน ผมละกลัวเค้าเสียงานเสียการ เพราะเห็นว่าลางานมาเป็นอาทิตย์เพื่อดูแลผม เค้ายอมทำเพื่อผมขนาดนี้เลยเหรอ

“สวัสดีคะคุณเค้ก”หญิงสาวคนนึงเข้ามาทักผม แต่ผมไม่ยักกะจำได้ว่าผมเคยรู้จักเธอ แต่ก็ดูคุ้นๆ อยู่นิดหน่อยเธอมาพร้อมกับฝรั่งคนนึงที่ดูสนิทสนมกัน คงเป็นแฟนกันนั่นเอง ผมคงทำหน้าเอ๋ออยู่แน่ๆ เธอเลยยิ้มน้อยๆ พร้อมกับขำเบาๆ

“จูนคะ...คนที่ทำให้เค้กต้องเข้าใจผิดกับเกี๊ยงแถมมาเกิดเรื่องร้ายๆ แบบนี้อีก จูนขอโทษจริงๆ นะคะยกโทษให้จูนด้วยนะ”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าสร้อยลงไปถนัด ผมไม่ถือโทษโกรธเธอหรอกครับ เพราะคงไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อีกอย่างผมเองก็ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยแล้วยังขับรถแบบนั้น ถึงผมจะคิดว่าตัวเองไม่ได้เมา แต่มันก็คงมีส่วนอยู่ไม่น้อย

จูนขอโทษขอโพยผมอีกยกใหญ่ แต่ผมก็บอกออกไปว่าไม่ถือโทษอะไร วันนี้จูนมาแจ้งข่าวดีของเธอด้วยเพราะกำลังจะแต่งงานกับชายหนุ่มคนที่มาด้วยกันนั่นแหละ เห็นแบบนี้ก็อดจะอิจฉาไม่ได้ เพราะผมคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานหรอก

“งั้นเดี๋ยวจูนกลับก่อนแล้วกัน...หายไวๆนะคะจะได้ทันไปงานแต่งจูนด้วย”หลังจากคุยกันอยู่นานจูนก็ร่ำลากลับไปพร้อมแฟนหนุ่ม

“รู้ไหมว่าเราดีใจแค่ไหนที่เห็นเค้กอาการดีขึ้นแบบนี้”เกี๊ยงขยับมานั่งข้างเตียงแล้วกุมมือผมไว้ ผมว่าตอนนี้ผมคงหลงรักผู้ชายคนนี้ไปเต็มหัวใจเสียแล้ว หวังว่าเค้าเองจะรู้สึกแบบผมนะ

“เกี๊ยงรักเราไหม”แม้เค้าจะเคยบอกผมแล้ว แต่คนเราความรู้สึกมันเปลี่ยนไปได้ตลอดนั่นแหละ

“รักสิ...เกี๊ยงรักเค้กมากนะครับ และคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว”เค้าบอกด้วยแววตาห่วงหาและอาทรณ์ ขอให้เค้ารักผมตลอดไปจริงๆทีเถอะ เพราะตอนนี้ผมว่าผมเจอคนที่ใช่แล้ว

“แล้วเค้ก รักเราไหม”เค้าถามผมคืนอย่างยิ้มแย้ม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะอายที่จะพูด แต่จากเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งประสบมา มันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน ถ้าคิดยังไงก็บอกออกไปเถอะ จะได้ไม่เสียใจภายหลังว่าทำไมตอนที่ยังมีโอกาสบอกทำไมไม่บอกออกไป

“เราก็รักเกี๊ยงเหมือนกัน”เค้ายิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของผม ว่าแต่นี่ผมยังไม่เห็นสภาพตัวเองเลยว่าน่าเกลียดมากไหม แล้วนี่ทำไมคนข้างเตียงนี่มาจ้องผมตาหวานเยิ้มขนาดนี้กันเล่า ทั้งที่ว่าจะไม่อาย แต่มันก็เขินเหมือนกันนะ

“อะแฮ่ม...มีพยาบาลดีนี่เองถึงได้หายวันหายคืน”เสียงของใครอีกคนดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นโอเล่มายืนยิ้มมองพวกผมสองคนอยู่

“อ้าวก็คนเค้ารักกันก็ต้องมาดูแลกันเป็นธรรมดา”เกี๊ยงหันไปตอบอย่างอารมณ์ดี

“ดีขึ้นเยอะแล้วนิ อีกเดี๋ยวก็กลับมาดื่มเบียร์เป็นเพื่อนกันได้แล้วสิ”โอเล่พูดแซวอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่เค้าเองก็น่าจะรู้ว่าหมอให้ผมงดแอลกอฮอล์เป็นเวลา 1 ปี แล้วผมจะทำได้ไหมน้า แต่ผมแอบได้ยินหมอคุยกับเกี๊ยงตอนที่แกล้งทำเป็นหลับ ว่าจริงๆ งดแค่หกเดือนก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่เกี๊ยงบอกว่ากลัวจะมีปัญหาอะไรตามมาเลยให้ผมอบอกผมว่างดอย่างน้อยหนึ่งปี

“แล้วนี่เล่ได้ไปหาคนนั้นมาหรือยัง”ผมจำได้ว่าเค้าบอกว่าจะไปหาใครคนนั้นของเค้าในวันคล้ายวันเกิด ซึ่งถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะวันนี้นี่นา หรือเค้าไม่ได้ไป

“เพิ่งกลับมานี่แหละ”ฟังน้ำเสียงแล้วคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“เป็นไงบ้างละ”เกี๊ยงเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง

“เค้าก็มีคนอื่นเข้ามาพัวพันด้วย เหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะยังไม่ได้คบกันหรอก เค้กว่าถ้าเราเลิกกับอ้อนแล้วกลับไปหาเค้าจะผิดไหม”ก็พอจะรู้ว่าเค้าจะเลิกกันแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วแบบนี้

“เล่อยากกลับไปหาเค้า แล้วเค้าละอยากจะกลับมาหาเล่ไหม”ผมไม่รู้จะแนะนำอะไรให้กับเค้าหรอกครับ เพราะผมก็ใช่ว่าจะมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้ มันซับซ้อนเกินกว่าที่คนนอกอย่างผมจะเข้าใจ

“นั่นสินะ...ช่างเถอะเลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า จะมาบ่นเรื่องตัวเองให้คนป่วยฟังแบบนี้ไม่ดีเลย”เค้าปรับสีหน้าให้ปกติ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย ถามไถ่อาการ จนผ่านไปพอสมควรเค้าก็ขอตัวกลับ


และแล้ววันที่ผมจะได้ตัดไหมเย็บก็มาถึง นั่นแสดงว่าผมใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว หลังจากตัดเสร็จเรียบร้อยก็อยู่โรงพยาบาลต่ออีกสองวัน ตอนนี้ผมเริ่มลุกเดินได้แล้ว แต่ก็ยังเดินช้าๆ อยู่ เพราะมีแต่นอนอยู่บนเตียงมานานพอควร ตอนนี้เลยกลายเป็นเหมือนเด็กหัดเดิน ผมมีโอกาสได้ส่องกระจกดูหน้าตัวเองแล้ว มีรอยที่แผลจากการเย็บตั้งแต่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ที่ผมแอบแกะผ้าพันแผลดู แล้วก็มีอีกหนึ่งรอย จากกลางศีรษะลากลงมาทางใบหูด้านซ้าย อันนี้น่าจะเป็นแนวที่เค้าผ่าเปิดกระโหลกผมออกนั่นเอง หน้าตาที่ไม่มีผมบนหัว ก็ดูแปลกตาดี ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีผมขึ้นก็ไม่รู้

“คุณพ่อคุณแม่ครับ ถ้าเค้กหายดีแล้วผมขอให้เค้กย้ายไปอยู่กับผมได้ไหมครับ”อยู่ๆ เกี๊ยงก็พูดขึ้นในวันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ไม่เห็นเค้ามาคุยเรื่องนี้กับผมก่อนเลย อยู่ๆ มาพูดแบบนี้ไม่กลัวพ่อแม่ผมจะตกใจหรือไงกัน

“คือผมกับเค้กรักกันครับ ให้ผมได้ดูแลเค้กนะครับ”เค้าบอกอย่างมาดมั่น พ่อกับแม่ผมมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองเราสองคน

“ตอนนี้เกี๊ยงอยู่คนเดียวใช่ไหมลูก”คุณแม่ผมเอ่ยถามขึ้น เกี๊ยงเองก็พยักหน้า

“พ่อกับแม่ก็พอรู้นะว่าลูกทั้งสองเป็นอะไรกัน แต่ทางฝั่งพ่อแม่ของเกี๊ยงละ พวกท่านจะเข้าใจหรือเปล่า”นั่นสินะผมเองก็ไม่ได้เจอพ่อแม่ของเกี๊ยงเลย ตั้งแต่ที่เกี๊ยงย้ายบ้านคราวนั้น




แวะมาต่อคร๊าบบบ

อิเล่ก็ยังอุตส่าห์มาโผล่เรื่องนี้อีกรอบ 5555
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 22-11-2014 18:58:13
รู้สึกว่าตัวเองนี่มาโซมากๆ  :hao5: ชักอยากเชียร์อิเล่อีกแล้ว ถ้ามันกลับตัวกลับใจนะ

ยังไงก็ขออย่าให้ให้มีปัญหากับทางพ่อแม่เกี๊ยงเลยนะ  :mew2:

อ่านเรื่องนี้สลับกับระหว่างเราแล้วความรู้สึกอัพ แอนด์ ดาวน์ ขึ้นๆลงๆจริงๆ
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 22-11-2014 19:46:10
ขอให้ปัญหาทั้งหลาย พังทลาย มีแต่เรื่องดีๆกับเค้ก

ส่วนเรื่องร้ายๆไปเกิดกับไอโอเล่ แทนนนนน เกลียดดดดดด 
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 22-11-2014 21:53:14
รำคาญอิเล่!!!
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-11-2014 22:04:48
คนอื่นเค้าแสดงอยู่เรื่องเดียว
แต่ไอ่เล่..ไม่ใช่
กร๊ากกก

วิ่งวุ่น..รับจ๊อบตั้งสองเรื่อง
เก่งแฮะ

เออใช่ เนอะมันสับรางเก่ง
ขนาดเมีย...แมร่งยังมีทีเดียวสองคนพร้อมกันได้

ฮ่าฮ่า..ตรูลืมไป
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 23-11-2014 03:00:19
ใช่แล้ว

พ่อแม่เกี๊ยงจะรับเค้กได้หรือไม่ล่ะ???

สู้ๆๆ เป็นกำลังใจให้,,
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: โชติกา บุญเติม ที่ 23-11-2014 04:11:24
เหมือนได้กลิ่นม่าม่า
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 23-11-2014 04:36:11
เกลียดไอ้เล่ มันแบบ เชี่ย ขนาดไม่ได้อ่านอีกเรื่อง แต่คือ เกลียดอะ บอกเลย
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 23-11-2014 13:18:09
สนุกมากๆ
ยังเซ็งยายจูนอยู่ เล่นไม่คิด
หัวข้อ: Re: (ไม่)รักได้ไง [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-11-2014 22:16:02
Ta-kiang

ผมตัดสินใจสารภาพกับพ่อแม่ของเค้กไปแล้วว่า เราสองคนเป็นอะไรกัน แต่ดูเหมือนพวกท่านก็ไม่ได้แปลกใจเท่าใดนัก คงเพราะทราบอยู่แล้วว่าเค้กเองก็คบแต่กับผู้ชายมาตลอด พวกท่านก็เพียงฝากผมดูแลเค้กดีๆ แต่ที่หลายๆคนยังกังวลอยู่ รวมถึงตัวผมเองด้วย นั่นคือพ่อกับแม่ผม ที่อยู่เมืองนอก นี่พวกท่านจะว่ายังไงน้า ผมเองก็ไม่เคยเล่าความสัมพันธ์ของผมกับเค้กให้ พ่อกับแม่ฟังเลย ผมเคยแต่เล่าถึงเค้กในฐานะเพื่อนคนนึง แต่นั่นมันก็ตั้งแต่ตอนที่ผมกับเค้กยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องบอกพวกท่าน ตัวเค้กเองก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อีกไม่นานก็คงจะหายดี พอถึงวันนั้นหวังว่าเรื่องของเราสองคนจะไม่มีอุปสรรคใดๆ อีก

ผมตัดสินใจโทรหาพ่อกับแม่ที่อยู่เมืองนอกโดยกะเวลาให้พอดีกับช่วงเวลาทางโน้น  แต่พอโทรไปปารกฏว่าผมเองที่ต้องประหลาดใจ เพราะพ่อกับแม่ผมบอกว่ากำลังจะกลับมาเมืองไทย ตอนนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อเดินทาง คาดว่าจะถึงเมืองไทยในวันมะรืนนี้ ผมเลยกะว่าจะคุยเรื่องนี้ตอนนั้นเลยแล้วกัน





“พ่อครับ...แม่ครับผมมีเรื่องสำคัญจะบอกครับ”ตอนนี้พ่อกับแม่ผมกลับมาเมืองไทยได้สองวันแล้ว แต่พอดีพวกท่านไปบ้านคุณตาคุณยายที่ต่างจังหวัด ทำให้ผมเพิ่งจะได้เจอพวกท่านวันนี้เอง

“ทำไมจะให้แม่ไปขอสาวที่ไหนให้หรือไง อายุอานามขนาดนี้คงอยากมีครอบครัวแล้วละสิเนี่ยหือ”แม่ผมนี่เหมือนจะอ่านใจผมออก แต่แม่เข้าใจผิดไปนิดที่ว่าผมจะให้ไปขอสาว เพราะคนที่ผมจะให้แม่ไปขอเป็นผู้ชายนะสิครับแม่

“แม่จำเค้กได้ไหมครับ”เมื่อครั้งที่เรายังเรียนด้วยกัน ครอบครัวผมกับเค้กก็ไปมาหาสู่กันอยู่พอสมควร พ่อกับแม่ผมน่าจะจำเค้าได้

“จำได้สิ ก็เกี๊ยงเองก็พูดถึงบ่อยๆ ว่าแต่นี่เห็นว่าประสบอุบัติเหตุ ได้ไปดูเพื่อนบ้างหรือเปล่า”ไม่ใช่แค่ไปดูหรอกครับแม่ ผมไปเฝ้าแทบจะไม่ได้คลาดสายตาเลยด้วยซ้ำ

“เออแล้วไปเจอกันอีกได้ยังไง...เห็นว่าไม่ได้ติดต่อกันตั้งนานแล้วนิ”พ่อผมหลังจากที่เงียบอยู่นานก็ถามขึ้นบ้าง นี่ทั้งสองไม่คิดจะถามผมเลยหรือไงว่าตกลงผมมีเรื่องอะไรจะบอก ผมต้องอธิบายเสียยืดยาวว่าตกลงผมกับเค้กได้มาเจอกันอีกได้ยังไง พ่อกับแม่ผมก็ว่าดีแล้วที่ได้กลับมาเจอกันอีก เพื่อนดีๆ อย่างเค้กให้ผมคบไว้นานๆ พวกท่านเองเห็นว่าเค้กเป็นคนที่นิสัยดีคนนึง แต่ที่ผมต้องการมันไม่ใช่แค่จะให้พวกท่านยอมรับเค้กในฐานะเพื่อนของผม

“พ่อครับแม่ครับ...ถ้าผมกับเค้กเป็นอะไรกันที่มากกว่าเพื่อน...พ่อกับแม่จะว่ายังไง”ในที่สุดผมก็เอ่ยถามออกไป ทั้งสองมีแววตาสงสัยและไม่เข้าใจอยู่ในที

“หมายความว่ายังไงเหรอลูก”แม่ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าผมไม่ได้พูดอะไรผิดไป

“ผมกับเค้กรักกันครับ รักในแบบคนรักไม่ใช่ในแบบเพื่อน”ผมตอบออกไปอย่างจริงจัง พ่อกับแม่ผมหันมองหน้ากันอย่างกำลังตัดสินใจ

“คือ...แม่บอกตรงๆ ว่าแม่อึ้งนะ ที่ลูกของแม่ไปชอบผู้ชายด้วยกัน แต่แม่เชื่อว่าเกี๊ยงคิดทบทวนทุกอย่างดีแล้ว คนเราจะรักจะชอบกันมันฝืนกันไม่ได้หรอก ถ้าเกี๊ยงรักเค้กเค้าจริงๆ และเค้าเองก็รักลูกจริงๆ แม่ก็คงไปขัดขวางไม่ได้”แม่ครับ ผมรักแม่ที่สุดเลย แม้ว่าท่านเองอาจจะยังยอมรับในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ท่านก็รักผมและพยายามจะยอมรับในการกระทำของผม

“แม่เค้าพูดไปขนาดนั้นแล้วพ่อเองก็คงขัดอะไรไม่ได้แล้วมั้ง”ผมเค้าไปกราบบนตักของท่านทั้งสอง ก่อนจะสวมกอดที่เอวของแม่ ผมรู้ว่าแม่เองคงเสียใจที่ผมจะไม่มีหลานให้ท่านอุ้ม สงสัยผมคงต้องรอให้เจ้าชีสน้องชายของเค้กมีลูกแล้วค่อยให้มาเป็นหลานของพ่อแม่ผมด้วยแล้วกัน




“หายดีหรือยังละลูก”พ่อกับแม่ผมเอ่ยถามเค้ก วันนี้ผมพาพ่อกับแม่มาบ้านของเค้ก การทานอาหารเย็นวันนี้เลยเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่เลยทีเดียว ด้วยความที่พ่อแม่ของเราทั้งสองฝ่ายรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว เลยพูดคุยได้อย่างสนิทใจ ผู้ใหญ่เค้าก็ถามสารทุกข์สุขดิบพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป พ่อกับแม่ผมเองก็เหมือนจะชอบเค้กอยู่ไม่น้อย

“พวกพ่อๆ แม่ๆ ก็ขออวยพรให้เราทั้งคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแล้วกันนะ มีอะไรก็คุยกันดีๆ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะ”พ่อผมเป็นฝ่ายเริ่มพูดคนแรก ตามด้วยคนที่เหลือ วันนี้ก็เหมือนเป็นการตกลงอยู่ร่วมกันของผมกับเค้กอย่างเป็นทางการเลย ตอนนี้ตกลงกันแล้วว่าเค้กจะไม่ย้ายไปอยู่คอนโดผม แต่จะให้ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านของเค้กแทน เมื่อเป็นความต้องการของผู้ใหญ่ผมก็คงไม่สามารถขัดอะไรได้ แค่ให้ผมได้อยู่กับเค้กแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ตอนนี้ผมก็ทำได้แค่ตั้งตารอวันที่เค้กจะหายดี มากกว่านี้ เพราะตอนนี้เค้าก็ยังไม่ได้หายดีเต็มร้อย




“เกี๊ยง...เราอยากไปดื่มเบียร์ พาไปหน่อยนะ...นะนะนะ”สุดที่รักของผมอ้อนจนผมเกือบจะใจอ่อน แต่นี่มันเพิ่งผ่านมาเพียงสามเดือนเท่านั้นที่เค้าผ่าตัดมา ทั้งที่ใครๆ ก็บอกเค้าว่าต้องงดให้ได้หนึ่งปี แต่เค้าก็บอกว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะผลเอ็กซเรย์ก็ยืนยันว่าเค้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่เรื่องการดื่มแอลกอฮอล์นี่สิ อย่างน้อยๆ ผมอยากให้เค้างดให้ได้อย่างน้อยสักหกเดือน แต่นี่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมเสียแล้ว

“ไม่ดีม้าง”ผมพยายามจะหาทางบ่ายเบี่ยง

“ช่วงนี้งานเรายุ่งมากๆ เลย คงต้องขอเคลียร์งานก่อน แล้วค่อยไปวันหลังนะ”ผมเริ่มหาข้ออ้าง แต่รู้สึกเรื่องนี้ผมจะใช้บ่อยเกินไปเค้าเลยไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปกับไอ้ชีสก็ได้”ไม่มีทางหรอก เพราะผมสั่งห้ามชีสไว้แล้วเหมือนกัน ผมแกล้งพยักหน้าให้เค้าลองไปชวนชีสดู และแน่นอนเค้าโดนปฏิเสธ แล้วเหยื่อรายต่อไปที่เค้าจะชวนก็คือไอ้ลูกอมสองเม็ดบาท ซึ่งผมก็สั่งไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ตอนแรกผมนึกว่าเค้าจะละความพยายาม แต่เมื่อไม่มีใครเค้าดันจะไปคนเดียวเสียให้ได้

“อย่าคิดว่าเราไม่รู้นะว่าเกี๊ยงห้ามทุกคนไว้ไม่ให้พาเราไป”ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ แกล้งทำเหมือนกำลังวุ่นกับงาน ทั้งที่จริงๆ ช่วงนี้งานผมไม่มีอะไรยุ่งเลยสักนิด

“คืนนี้ไปนอนห้องไอ้ชีสเลย เราจะนอนคนเดียว”อ้าวไหงงั้น ผมรีบหันไปจะโต้แย้ง แต่เหมือนเค้าจะไม่ยอมอุทรให้ผมเลย แล้วแบบนี้คืนนี้ผมก็อดกินเค้กนะสิ ทำไงดีละ นี่ผมเองก็เพิ่งจะได้กินเค้กเมื่อไม่นานมานี่เอง ช่วงเค้าป่วยผมแทบขาดใจ เพราะน้ำตาลในนเลือดมีน้อย ตอนนี้เลยต้องเร่งทานของหวานเสียหน่อย แล้วถ้าวันนี้ไม่ได้กินเค้กผมจะเป็นโรคขาดความหวานไหมน้า

“ไม่เอาหรอก ตอนนี้เราสองคนก็เป็นสามี ภรรยา ที่ถูกต้องตามประเพณี แถมผู้ใหญ่รับรู้แล้ว ทำไมต้องแยกห้องกันนอนด้วย”ผมแกล้งทำเสียงงอนๆ พร้อมเดินเข้าไปกอดเค้า แต่เค้าขืนตัวออกจากผม

“ก็ถ้าวันนี้ไม่พาไปลานเบียร์เราสองคนก็เลิกกันวันนี้เลย”นี่เค้ารักเบียร์มากกว่าผมเลยหรือไงกันนะ ชักจะน้อยใจแล้วนะเนี่ยที่เห็นเบียร์ดีกว่าผม

“เค้กก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าหมอเค้าให้งดพวกแอลกอฮอล์อยู่”ผมพยายามเอาหมอมาอ้าง แต่เหตุผลนี่เค้กเองก็ไปศึกษาข้อมูลมาแล้ว เค้ารวบรัดยืนยันเอาเองว่าสามเดือนก็เพียงพอแล้วสำหรับการงดแอลกอฮอล์

“ขอไปจิบ แค่แก้วเดียวนะ ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างมีเกี๊ยงไปด้วยยังไงก็ปลอดภัยอยู่แล้ว จริงไหม”เค้าหันมาส่งสายตาหวานเยิ้มให้ผม จนในที่สุดผมก็ยอมใจอ่อนจนได้สิน่า






“แค่แก้วเดียวนะ”ผมกำชับเค้าทันทีที่สาวเชียร์เบียร์มารินเบียร์ใส่แก้วให้ เค้าพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม

“พี่เกี๊ยงทำไมต้องตามใจมันด้วย เกิดเป็นอะไรมาจะทำยังไงเนี่ย ถ้าพ่อกับแม่รู้นะโดนด่ากันหมดนี่แหละ”เจ้าชีสที่ติดสอยห้อยมาอีกคนเริ่มบ่นยังกะคนแก่ แต่จริงๆ ก็บ่นเพราะเป็นห่วงพี่เค้านั่นแหละครับ

“มรึงไม่พูดแล้วพ่อกับแม่จะรู้ไหม”เค้กพูดพร้อมกับยกเบียร์ดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ผมกำลังจะอ้าปากห้ามแต่ไม่ทัน แถมยังเรียกให้เด็กเสิร์ฟรินให้ต่ออีก

“ไหนว่าจะดื่มแค่แก้วเดียวไง”ผมรีบห้ามเมื่อเห็นเค้าจะดื่มเกินลิมิตจากที่ขอไว้

“แล้วนี่เราใช้แก้วเกินหนึ่งใบแล้วเหรอ”เข้าใจแถไปเรื่อยนะที่รักผม เพราะเค้ามามุกนี้ผมกับเจ้าชีสเลยต้องรีบจัดการกับเบียร์ให้หมดเร็วที่สุดไม่ให้เหลือไปถึงเค้ก

“นี่พี่เกี๊ยงถามไรหน่อยดิ ว่าพี่รักไอ้เค้กมันตรงไหน ไม่เห็นจะมีดีอะไรเลย ขี้เมาอีกต่างหาก”ฝ่ามือน้อยๆ ของสุดที่รักผมฟาดลงที่หัวของน้องชายโทษฐานที่ไปว่าเค้า

“พี่ชอบทุกอย่างที่เป็นเค้ก เค้าคือทุกอย่างที่พี่รัก แล้วแบบนี้พี่จะไม่รักได้ไงกันละ”ปากพูดไปแต่สายตาจับจ้องคนที่อวดดีอยากมาดื่มแต่แค่แก้วครึ่ง จากเดิมที่เป็นคนคอแข็งตอนนี้เค้ากลับเหมือนคนเมาไปเสียแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกันที่เค้าดื่มได้ไม่เยอะผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก

“แล้วมรึงละไอ้เค้กชอบพี่เกี๊ยงเค้าตรงไหน”เหมือนเจ้าชีสจะเก็บข้อมูลไปทำวิจัยหรือไงเนี่ยถึงมาอยากรู้ข้อมูลว่าผมกับเค้กรักกันที่ตรงไหน

“กรูไม่รู้ ว่ากรูรักไปได้ยังไง สงสัยเพราะกรูเมามั้ง”อ้าวพูดไม่น่ารักเลยแฟนผม

“เมารักหรอกน่า แหมพูดแค่นี้ทำเป็นจะน้อยใจไปได้”เค้าหันมายิ้มให้ผมเมื่อรู้ว่าผมไม่ชอบที่เค้าพูดแบบนั้นคุยกันอีกไม่นานนักเราทั้งสามก็ต้องกลับ เพราะเหมือนเค้กจะไม่ไหวแล้ว เค้าเมาเหมือนคนที่ดื่มไปเยอะมาก แต่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นอะไรมากเท่าไหร่คงแค่เมาเฉยๆ ตามประสาคนที่ไม่ได้ดื่มมานาน




“ก็บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งไปดื่มก็ไม่เชื่อ”ผมเช็ดตัวให้เค้าไป พร้อมกับตำหนิเค้าไป

“ไม่ได้เป็นไรเสียหน่อยทำไมต้องบ่นด้วย”เค้าตอบกลับมาน้ำเสียงงอนๆ แล้วเค้าก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดึงผมเข้าไปหา แล้วก็ซุกตัวเข้ามาหาผม นี่จะมาไม้ไหนของเค้าอีกเนี่ย เหตุการณ์มันคล้ายๆ กับวันแรกที่ผมกับเค้ามีอะไรกันเลย วันนั้นเค้าก็เมา และผมก็เป็นฝ่ายเช็ดตัวให้เค้า และผมแกล้งล่วงเกินเค้าก่อน แต่ครั้งนี้เหมือนเค้าจะอยากให้ผมล่วงเกินนะเนี่ย

เค้ากอดผมแล้วดึงให้ล้มลงบนเตียงกับเค้า ก่อนเค้าจะขึ้นมานั่งทับบนตัวผม สองมือเค้าค่อยๆ บรรจงถอดเสื้อผมออก ส่วนเสื้อผ้าเค้ามันก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้วก็ผมถอดเช็ดตัวให้เค้านี่นา

“รักเกี๊ยงจังเลย”คำพูดเค้าทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่ผมตื่นเต้นกับคำพูดเค้าขนาดนั้นเลยหรือนี่ ยังกะเพิ่งเริ่มจะรักกันเลยนะเนี่ย

ริมฝีปากบางของเค้าประกบลงมาที่ริมฝีปากของผม สงสัยราตรีในคืนนี้จะยังอีกยาวไกลเสียแล้วสำหรับเราสองคน



------------------------------------------
อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้แต่งไว้นานแล้ว แล้วตอนแต่งสารภาพว่าตอนแรกก็จะให้ดราม่านิดหน่อยแหละ

แต่บังเอิญช่วงนั้นขี้เกียจ เลยออกมาแบบนี้แทน 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 24-11-2014 22:55:00
อ่านเรื่องนี้สลับไปกับเรื่องระหว่างเราคือ....   

ชอบเกี๊ยงมากๆ เป็นตัวที่มาเปรียบกับอิเล่แบบฟ้ากับเหว คิดว่าเพราะเกี๊ยงกับเค้กทำให้โอเล่กล้าที่จะกลับไปเผชิญกับความรู้สึกกับสิ่งที่ตัวเองทำผิดไว้  อาจจะไม่ได้ไปข้างหน้าต่อแต่ก็เคลียร์ให้มันจบไปเสีย

เรื่องนี้ถึงจะไม่ดราม่ามากแต่ก็สนุกค่ะ  ตามมาตลอด :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 24-11-2014 23:04:07
ในที่สุดเค้กก็หายแล้ว

หวานกันจีงเลยนะครับคู่นี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 25-11-2014 22:50:35

Cake

“ปวดหัวชิบ”ผมพึมพำกับตัวเอง ขณะที่พยายามยันตัวขึ้นนั่งแล้วเอนหลังพิงกับหัวเตียง ไอ้การที่งดแอลกอฮอล์ไปสักพักแล้วมาดื่มนี่มันเมาได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แถมตื่นมาแฮงค์นี่อีก

“เป็นไงครับพ่อคนเก่ง บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งดื่มก็ไม่เชื่อ”ชายหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวพันกายผืนเดียว ตรงเข้ามายีหัวผมด้วยท่าทีหมั่นไส้อย่างเห็นได้ชัด

“คุณเป็นใคร เข้ามาในห้องผมได้ยังไง”ผมแกล้งทำหน้าตกใจ พร้อมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวจนโผล่ออกมาแค่หัว

“ไม่ตลกนะเค้ก”โหเห็นสีหน้าจริงจังขนาดนี้ไม่กล้าเล่นต่อเลยครับผม ดูเกี๊ยงจะตกใจเสียเหลือเกิน กลัวผมจำเค้าไม่ได้ขนาดนั้นเชียว เห็นว่าก่อนผมผ่าตัดผมดันบอกชื่อเค้าไม่ถูก ตอนที่เค้าถามกับผมว่าผมคือใคร พอหายออกจากโรงพยาบาลมา ก็ถามผมแทบจะทุกวันว่าจำเค้าได้ไหม จะกลัวผมจำไม่ได้อะไรหนักหนา เลยกะว่าจะลองแกล้งเล่นๆ หน่อย แต่เจอสีหน้าท่าทางขนาดนี้ก็ไม่แกล้งแล้วดีกว่า

“ล้อเล่นหรอกน่า”ผมแลบลิ้นพร้อมกับยิ้มกว้าง

“คราวหลังไม่เล่นแบบนี้อีกนะ ตกใจแทบแย่ นึกว่าเค้กจะจำเราไม่ได้จริงๆ ซะอีก”เค้าแทบจะกระโดดขึ้นเตียงมากอดผมเลยก็ว่าได้

“เกี๊ยงก็เห็นว่าเราหายดีแล้ว ทำไมยังต้องกลัวอะไรขนาดนั้น นี่ให้เรากลับไปทำงานยังได้เลยเนี่ย”นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่แทบจะได้เถียงกันทุกวัน ตอนนี้ทุกคนยังไม่ยอมให้ผมทำอะไร อยากกลับไปทำงานก็ไม่ได้

“ไม่รู้ล่ะ แต่เป็นอันว่าเรื่องดื่ม เค้กต้องงดต่อไปอีกนะ เราจะไม่ยอมใจอ่อนให้เค้กดื่มอีกแล้ว เกิดรีบกลับไปดื่มแล้วมีผลข้างเคียงตามมา หรือเกิดเค้กเกิดจำเราไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ เราจะทำยังไง”อ้าวไหงกลับมาลงเรื่องนี้ได้ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย หายดีแล้วจริงๆ

“ไม่เอาอ่ะ ขอซ้อมดื่มเบียร์วันละกระป๋องก็ยังดี”ผมรู้หรอกน่าว่าที่คุณหมอห้าม เพราะไม่อยากให้ผมดื่มแล้วเกิดอุบัติเหตุอีก แต่นี่ถ้าไม่ได้ไปดื่มข้างนอกมันก็ไม่น่าจะมีปัญหานี่นา

“เราขอเรื่องนี้เรื่องเดียวนะเค้ก เมื่อคืนก็เห็นแล้วว่าดื่มไปนิดเดียวยังเมาขนาดนั้น งดต่ออีก 3 เดือนนะทนอีกนิดนึง ทำเพื่อเกี๊ยงได้ไหมครับ”คนพูดมานั่งกอดผมบนเตียงแล้วครับตอนนี้ แถมมาพูดซะเสียงอ่อนเสียงหวานขนาดนี้

“งั้นเราก็งดไม่มีอะไรกันด้วย ตลอด 3 เดือนนี้”จริงๆ ก็กะจะงดเรื่องแอลกอฮอล์ตามที่เค้าขอนั่นแหละครับ แต่แค่อยากแกล้งนิดหน่อยว่าถ้าต้องแลกเรื่องนี้กับการให้ผมงดแอลกอฮอล์เค้าจะว่ายังไง เกี๊ยงชะงักไปนิดหน่อย คงไม่คิดว่าผมจะเล่นไม้นี้ละสิ

“แต่ยังกอดกัน จูบกันได้ใช่ไหม”น้ำเสียงหม่นๆ ถูกเปล่งออกมา พร้อมกับอ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น อะไรกันพ่อคนหื่นนี่ยอมง่ายขนาดนั้นเชียว

“ทำได้จริงๆ เหรอ”ผมถามย้ำเพราะความสงสัย

“เพื่อสุขภาพร่างกายของเค้ก เราทำได้หมดแหละ ต่อให้งดไปจนครบปี เราก็ทำได้”จุกครับ คำพูดผมมาจุกที่คอหอยกันเลยทีเดียว เค้าดูจะเป็นห่วงเป็นใยผมขนาดนี้ แต่ไอ้ตัวผมเองกลับยังคิดอะไรตื้นๆ

“ร้องไห้ทำไม”นิ้วเรียวของเค้าเกลี่ยเช็ดหยดน้ำตาที่แก้มของผม ก็ไม่ได้อยากจะร้องหรอกนะครับ แต่อยู่ๆ มันก็ไหลออกมาเอง

“ขอโทษ”ผมเอ่ยพร้อมกับซุกหน้าเข้าหาอ้อมอกของเค้า

“ขอโทษเรื่องอะไรหือ”

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”ใช่ผมรู้ว่าเค้าห่วงผมมาก ตั้งแต่ตอนที่อยู่โรงพยาบาล ตอนที่ผมเจ็บผมแทบจะเห็นเค้าเจ็บไปกับผม  และตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาเค้าก็ดูแลผมเป็นอย่างดี อาจจะดีเกินไปจนผมเคยตัวเสียด้วยซ้ำ มันเลยกลายเป็นผมเองที่แทบไม่ได้ทำอะไรเพื่อเค้าเลย อย่างไอ้เรื่องแอลกอฮอล์นี่ก็เหมือนกัน ทั้งที่ตอนแรกเค้าอยากให้ผมงด 1 ปี ผมก็ต่อรองจนเหลือ 6 เดือน แต่สุดท้ายนี่เพิ่ง 3 เดือนหลังผ่าตัดผมก็ทนไม่ได้แล้ว

“ถ้าไม่อยากให้เป็นห่วงก็อย่าเพิ่งกลับไปดื่มอีกเลยนะ เอาจริงๆ เราชักจะหึงเบียร์ขึ้นมาแล้วสิ ดูเค้กจะรักเราน้อยกว่าเครื่องดื่มสุดโปรดเสียอีก”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จนผมอดจะยิ้มไม่ได้

“เราไม่งดดื่มก่อนก็ได้ ว่าแต่เกี๊ยงทนได้จริงๆ เหรอ”แม้จะคิดว่าเค้าคงยอมทำได้เพื่อผมทุกอย่าง แต่พอเป็นเรื่องหื่นๆ นี่ชักนึกอยากจะแหย่เค้าขึ้นมาหน่อย

“เรื่องไรอ่ะ”แหม๋ทำเป็นตาใสไม่รู้เรื่องนะพ่อคุณ

“ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหื่นๆ อยากนายตะเกียงจะยอมไม่มาหื่นใส่เราได้จริงๆ นะสิ”ผมพูดติดตลกเพราะจริงๆ ก็ไม่ได้กะจะให้เค้างดเรื่องนี้จริงๆ อยู่แล้ว

“ถ้าให้งดเราก็งดได้นะ แต่กลัวว่าเค้กเองนั่นแหละจะอดใจไม่ไหว เราออกจะหล่อ ล่ำ นิสัยดี ขี้เอาใจขนาดนี้ เราว่าเค้กต้องอดใจกะเราไม่ไหวแน่ๆ” ดูพูดเข้าเถอะครับ หลงตัวเองเป็นที่สุด แฟนใครไม่รู้เนี่ย

“ปล่อยแล้วไปแต่งตัวเลย เราจะได้ไปอาบน้ำบ้าง”ผมรีบผลักเค้าออก เพราะไอ้แววตาที่มันซึ้งๆ ตอนแรกมันเปลี่ยนเป็นแววหื่นเสียแล้ว

“เห็นไหม เค้กกลัวอดใจกะเราไม่ไหวล่ะสิ”

“ไม่คุยด้วยแล้ว อาบน้ำดีกว่า”ผมรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำชำระร่างกายโดยเร็วก่อนที่จะถูกทำมิดีมิร้ายเสียก่อน

หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ออกมาพ่อสุดที่รักของผมก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว คาดว่าคงลงไปเตรียมอาหารเช้าให้ผมแล้วนั่นแหละ คิดแล้วก็อดดีใจไม่ได้ จะมีใครโชคดีเหมือนผมอีกไหมเนี่ย จากที่เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าชีวิตผมคงจะไม่ได้เจอใครที่รักจริง หรือใครที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะที่ผ่านมาผมเจอแต่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่กับเกี๊ยงตอนนี้เค้าช่างเป็นคนที่พิเศษสำหรับผมเหลือเกิน

“มีอะไรกินบ้างครับที่รัก”ผมเดินเข้าไปสวมกอดเค้าจากด้านหลังทันทีที่ลงมาเห็นเค้ากำลังจัดเตรียมอาหารเช้าที่โต๊ะ เกี๊ยงเองดูแปลกใจเล็กน้อย คงเพราะผมไม่ค่อยได้ทำแบบนี้สักเท่าไหร่

“ที่รักเลยเหรอ วันนี้มาแปลกนะเนี่ย”เค้ายังไม่ได้หันมามองผม แต่มือของเค้าเลื่อนมากุมมือผมไว้หลวมๆ

“ไม่ชอบให้เรียกเหรอ”

“ใครบอกล่ะ ชอบมากต่างหาก อยากให้เรียกทุกวันเลย ว่าแต่มานั่งทานข้าวกันก่อนดีกว่า”เค้าแกะมือที่ผมโอบเค้าออก ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่ง

“ไอ้ชีสล่ะ ยังไม่ตื่นเหรอ”ผมเอ่ยถามถึงน้องชายตัวแสบ ที่คาดว่าคงยังไม่ตื่นเนื่องจากเมื่อคืนคงดื่มไปพอสมควร แล้วอีกอย่างวันนี้เป็นวันหยุด คงยังไม่รีบลุกมาง่ายๆ ส่วนพ่อกับแม่ผมแน่นอนว่าออกไปสวีทกันอีกแล้ว คงอีกหลายวันกว่าจะกลับ

“ออกไปแล้วแหละ เห็นว่าเพื่อนชวนไปไหนไม่รู้”

“เกี๊ยง...”ผมเรียกชื่ออีกคนแต่ไม่ได้พูดต่อ จนเค้าต้องเงยหน้ามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

“คือ...เอ่อ”ผมยังอ้ำอึ้งกับสิ่งที่จะพูด เพราะรู้สึกเขินๆ ยังไงบอกไม่ถูก

“มีอะไรหรือเปล่า”เค้าถามพร้อมจ้องหน้าผม ด้วยแววตาสงสัยว่าผมจะพูดอะไรกันแน่

“เรารักเกี๊ยงนะ”พอพูดออกไปเสร็จก็ก้มหน้าทานข้าวต่อทันที ผมเองก็ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ อยากจะบอกเค้าก็ไม่รู้ แต่มันก็แค่รู้สึกว่าอยากพูดออกไปแค่นั้นแหละ

“ได้ยินแบบนี้ชักไม่อยากจะกินข้าวซะแล้วสิ อยากกินเค้กมากกว่า”ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงก็เห็นเค้าจ้องผมอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาเจ้าเล่ห์เสียเหลือเกิน

“กินข้าวก่อนเหอะ ของหวานไว้ทีหลัง”ในเมื่อวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ก็รับมุกเค้าหน่อยครับ

“ไม่คิดเลยว่าจะได้มีวันนี้”หมายความว่ายังไงของเค้า

“ก็วันที่เราสองคนได้รักกันแบบนี้ไง เราแอบชอบเค้กมาตั้งนาน แต่เค้กก็มองเราเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เราเคยฝันว่าอยากตื่นมาเจอเค้กทุกๆ วัน ได้ทำอะไรเพื่อเค้ก เราคงจะมีความสุขมากๆ เลย แล้วตอนนี้เราก็มีความสุขมากๆ เลย ขอบคุณนะที่รักกัน”ไอ้ประโยคพวกนี้มันควรเป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเค้า ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเค้าที่ยอมทำอะไรเพื่อผมขนาดนี้

“ขอบคุณเหมือนกัน สัญญาว่าจะรักกันแบบนี้ตลอดไป”รู้สึกว่าการทานข้าวเช้าวันนี้ช่างเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลย เราสองคนสบตาพร้อมกับยิ้มให้กัน นี่สินะที่เค้าเรียกว่าความสุขที่แท้จริง การได้อยู่กับคนที่เรารัก และรักเรา แค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว และผมจะดูแลรักครั้งนี้ให้เป็นอย่างดีเลย

“รักเกี๊ยงนะ”

END

จบแล้วคร๊าบบบเรื่องนี้

พอดีคนแต่งเริ่มเอียนความหวานของคู่นี้

เลยให้เค้าไปหวานกันเสียให้พอไม่รบกวนเค้าสองคนจะดีกว่า

แต่เดี๋ยวไว้จะมาลงตอนพิเศษให้อีกนิดหน่อยแล้วกันเนอะ

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดนะครับ ยังไงก็ติชมกันได้นะครับ

ยินดีรับฟังและนำไปปรับแก้ไข แล้วก็ยังมีเรื่องที่แต่งไว้เสร็จแล้วจะมาทยอยลงเรื่อยๆ ก็ฝากติดตามกันด้วยเน้อ

ส่วนเรื่องราวของอิเล่ แขกไม่ได้รับเชิญจากอีกเรื่องที่มาโผล่เรื่องนี้ก็ไปตามต่อที่เรื่องนั้นได้ว่าจะลงเอยยังไง

ใกล้จบแล้วเหมือนกัน

ขอบคุณทุกๆ คนที่ตามอ่านอีกครั้งครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 26-11-2014 00:26:58
ตอนจบไม่มีอิเล่มาให้รำคาญใจ  :m4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 26-11-2014 00:46:04
 :กอด1: :L2: :3123: :L1:

ยกให้คนเขียนหมดเลย 

ปลึ้มค่ะ ออกเรึอนเรียบร้อยไปแล้ว 1 คน

ขอให้หมดทุกข์หมดโศกนะเค้กกับเกี๊ยง ต่อไปนี้ก็ขอให้อยู่และรักกันไปนานๆ *อินจัด*

ปูลู  อย่าด่าอิเล่มากเลยนะ  ท่าทางมันจะไม่มีความสุขในชีวิตแน่ๆ อิเล่เป็นลูกลำเอียงของเราอ๊ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-12-2014 22:41:11
ตอนพิเศษ


“งั้นเราขอตัวกลับก่อนเลยแล้วกันนะเค้ก ไว้เจอกันที่ทำงานนะ ไปนะครับคุณเกี๊ยง”สิ้นคำล่ำลาจากเพื่อนของเค้กที่ขอตัวกลับก่อนเพราะต้องรีบกลับไปดูแลลูกๆ ผมก็ยังคง หน้ามุ่ยเหมือนเดิม

“เป็นไรเนี่ย”ดูๆ ทำเราโกรธแล้วยังจะมาถามครับ ก็วันนี้ตอนแรกบอกผมแค่ว่าอยากออกมาดูหนัง ผมก็พามา แต่เริ่มตะหงิดๆ ตั้งแต่ทำไมอยากมาดูรอบเย็นๆ ทั้งที่วันหยุดแบบนี้ผมพามาตั้งแต่เที่ยงๆ บ่ายๆได้

แต่สุดท้ายก็นั่นแหละครับเค้าอยากจะมานั่งลานเบียร์ต่อ แม้นี่จะผ่านมา 6 เดือนแล้วหลังจากที่เค้าผ่าตัด แต่ผมก็ยังไม่อยากให้เค้าดื่มเท่าไหร่นี่นา แล้วเค้าก็เคยสัญญากะผมว่าจะงดจนครบปี แต่เรื่องนี้ผมยังไม่โกรธเท่า เค้าแอบตกลงเรื่องกลับไปทำงานกับที่ทำงานเดิมเรียบร้อยแล้ว นี่ถ้าวันนี้ไม่บังเอิญเจอไอ้นายลูกอมโอเล่เพื่อนเค้านี่ ผมก็จะยังไม่รู้ว่าเค้าจะกลับไปทำงาน

“ไม่ดื่มเหรอ”เค้กยังทำเหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่ยังไม่อธิบายให้ผมฟังเลย ว่านี่มันอะไรกัน

“ไม่ต้องขับรถกลับ”

“เดี๋ยวชีสมาขับให้ มันกำลังจะดูหนังกับเพื่อน หนังจบก็น่าจะพอดีกับที่เราดื่มหมดนี่ อ่ะๆ ดื่มหน่อยจะได้ใจเย็นๆ”นี่ขนาดตีหน้ามุ่ยใส่ขนาดนี้ เค้ายังไม่สำนึกครับ คงเพราะผมไม่เคยโกรธเค้าได้เลยจริงๆ นั่นแหละครับเลยทำให้เค้าคิดว่าครั้งนี้ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเค้าจริงจัง

แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้โกรธขนาดนั้นหรอกครับ แต่มันเคือง เรื่องดื่มเบียร์นี่ไม่เท่าไหร่เพราะมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว แต่ไอ้เรื่องจะกลับไปทำงานแล้วไม่บอกผมนี่สิ ผมบอกตรงๆ ว่าน้อยใจ เพราะเราคุยกันแล้วว่าอยากให้เค้าพักอีกหน่อยและเค้าเองก็รับปากผมแล้ว แต่อยู่ๆ กลับไปตกลงว่าจะทำงานทั้งที่ไม่บอกผมสักคำ

“งั้นเดี๋ยวเรากลับแทกซี่ไปรอที่บ้านนะ”ผมวางกุญแจให้เค้าแล้วก็ลุกขึ้นทันที อารมณ์มันไม่ใช่ว่าโกรธหรอกครับ แต่มันน้อยใจที่เหมือนเค้าเห็นว่าผมไม่ใช่คนสำคัญ จะว่าผมงี่เง่าผมก็ยอมแหละ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าไม่บอกผมทั้งๆ ที่วันมะรืนจะกลับไปทำงานอยู่แล้ว

ผมเดินออกมายืนรอแทกซี่ แม้ใจนึงจะรู้สึกว่าไม่อยากปล่อยเค้าไว้คนเดียว แต่ก็อยากให้เค้ารู้ว่าผมไม่ชอบจริงๆ ที่เค้าทำแบบนี้ ผมกดโทรศัพท์หาเจ้าชีส โชคดีที่เจ้าชีสยังไม่ได้เข้าไปดูหนัง ผมเลยบอกให้ไปดูเค้ก ก็ยังเป็นห่วงเค้าแหละครับ ก็กำชับเจ้าชีสว่าห้ามดื่มแล้วขับรถพาเค้กกลับบ้านดีๆ ผมเรียกแทกซี่อยู่นานเหมือนกันกว่าจะมีคันที่ยอมไปตามที่ผมบอกจุดหมายปลายทาง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่ๆ คนขับทั้งหลายถ้าไม่อยากรับผู้โดยสารแบบนี้จะมาวิ่งทำไม

“ไปด้วยนะ”แล้วผมก็ต้องแปลกใจเมื่อผมกำลังจะเข้าไปนั่งในแทกซี่ เค้กดันโผล่มาจากไหนไม่รู้ พร้อมกับดันตัวเข้ามานั่งในแทกซี่กับผม แม้ในใจจะแอบรู้สึกดีว่าเค้ามาง้อ แต่ก็ยังต้องทำหน้านิ่งๆ ไว้ครับ

“พี่ครับ ถ้าพวกผมจะเหมารถพี่ไปส่งที่บางแสน พี่จะไปไหมครับ”คำถามของเค้าเล่นเอาทั้งผมทั้งพี่แทกซี่ต้องชะงักกันไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเค้าจะอยากไปบางแสนทำไม

แถมพี่แทกซี่ก็ดูใจง่ายเหลือเกิน ตกลงต่อรองราคากันเสร็จบึ่งรถออกจากกรุงเทพทันที แม้ในใจจะอยากรู้ว่านี่เค้กกำลังทำอะไร แต่ผมยังไม่หายโกรธ ผมจะไม่ถามเค้า แต่พอออกมาสักพักไอ้จะให้อยู่เงียบๆ กันแบบนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้

“บอกพ่อกับแม่รึยังว่าจะไปไหนเนี่ย”ผมเอ่ยออกไปลอยๆ

“บอกชีสไว้แล้วว่าอาจจะไม่เข้าบ้าน”เค้าหันมาตอบพร้อมยิ้มให้ผม แหม๋คอยดูเถอะเดี๋ยวจะคิดบัญชีให้หนักเลย

“ของีบนะถึงแล้วปลุกด้วย”อ้าวไหงมาชิงหลับแบบนี้ละ ผมได้แต่อมยิ้มกับตัวเองเมื่ออีกคนหลับตาลงแล้วเอาหัวมาพิงที่ไหล่ผม สุดท้ายผมก็โกรธเค้าไม่ลงอยู่ดีแหละครับ เลยกลายเป็นว่าผมต้องยกไหล่ให้เค้าพิงจนถึงบางแสน

“ยังไงต่อละทีนี้”ผมเอ่ยถามโดยยังแกล้งทำเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจเค้าอยู่ เค้าไม่ตอบแต่เดินตรงไปยังเซเว่นที่อยู่ใกล้ๆ กับชายหาดที่พี่แทกซี่เอาเรามาปล่อย ผมเดินตามไปติดๆ ก็เห็นเค้าหยิบเบียร์มาประมาณ 7-8 กระป๋อง จ่ายเงินแล้วก็เดินลิ่วไปที่ชายหาด

“ขอโทษ”เค้าเอ่ยขึ้นหลังจากที่ผมนั่งลงข้างๆ เค้า นึกว่าจะทำเหมือนไม่มีอะไรต่อไปซะอีก

“ขอโทษที่ไม่บอกเรื่องจะกลับไปทำงาน ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงตลอดเลย ในทุกๆ เรื่อง”เค้าเอนหัวมาพิงที่ผม แต่สายตายังทอดมองท้องทะเลยามค่ำคืน

“แล้วทำไมไม่บอกกันตรงๆ ว่าจะกลับไปทำงาน”ผมเอ่ยเสียงอ่อนลง

“ก็กลัวเกี๊ยงไม่ให้เรากลับไปทำงาน”

“คราวหลังมีอะไรให้พูดกันตรงๆ นะ เราเป็นแฟนกันถ้าคุยด้วยเหตุผล เราก็ยินดีรับฟังเค้กเสมอแหละ”ผมเอื้อมมือไปโอบไหล่เค้าให้ชิดเข้ามาผมอีก

“หายโกรธแล้วช่ายป่ะ”ดูน้ำเสียงเค้าจะร่าเริงมากเกินไปนะ นี่ตกลงรู้สึกผิดบ้างไหมเนี่ยที่ทำให้ผมน้อยใจอยู่เนี่ย

“ยังหรอกจนกว่าจะได้สำเร็จโทษ”ผมแกล้งทำเสียงหื่นๆ

“แล้วนี่จะมาบางแสนทำไม อยากเปลี่ยนบรรยากาศเหรอ”พอได้จังหว่ะผมต้องรีบเปิดช่องให้ตัวเองครับ อย่างน้อยๆ มาถึงนี่แล้วได้อยู่กันสองคนแบบนี้ มันก็ดีไม่น้อย

“ก็อยากมากันสองคนบ้าง เราไม่ได้มาค้างคืนข้างนอกกันเลยตั้งแต่เกี๊ยงมาอยู่ด้วยที่บ้านอ่ะ”นั่นแน่จริงๆ ก็แอบอยากมาสวีทกับผมนี่เอง ว่าแต่นี่ผมหายเคืองเค้าแล้วใช่ไหม ชักจะงงๆ กับตัวเอง สงสัยโดนสับขาหลอกลากมาบางแสนจนเบลอ

“งั้นเรารีบไปหาห้องพักดีกว่าเนอะ”แกล้งแย่เค้าด้วยท่าทีหื่นๆ จนหน้าเค้าเริ่มแดง ก็ไม่รู้ว่าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือแดงเพราะเขินกันแน่

“อยากอยู่แบบนี้อีกสักพัก”จะว่าไปแฟนผมก็โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย

“ดูนั่นสิ ดาวสวยดีว่าไหม”ผมบอกพร้อมกับชี้ให้เค้ามองท้องฟ้า คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ไม่มีดวงจันทร์จึงมองเห็นแต่ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด

“ก็แค่ดาว สวยตรงไหน”เพิ่งจะชมไปว่าโรแมนติก ถอนคำพูดทันไหมเนี่ย

“แฟนใครน้า ไม่โรแมนติกเอาซะเลย”
“ก็ไม่รู้จะดูยังไงนี่นา”เค้าแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ตามที่ผมชี้มันก็มีดาวเต็มไปหมด แต่จริงๆผมก็ไม่รู้ว่าดวงไหนคือดาวอะไร เพราะเคยเรียนมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็จำไม่ได้แล้ว เคยอยู่ชมรมดาราศาสตร์ด้วยแต่แทบไม่เคยไปเข้าร่วมกิจกรรมอะไรกับเค้าเท่าไหร่เลย ที่เข้าไปก็เพราะไม่รู้จะเข้าชมรมอะไรแค่นั้นเอง

“โน่นเห็นนั่นไหม รู้รึเปล่าว่านั่นเค้าเรียกดาวอะไร”ผมแกล้งให้เค้าดูกลุ่มดาวอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่รู้จักอยู่แล้ว แต่อยากแกล้งเค้าแค่นั้นเอง

“ไม่รู้สิ ดาวอะไรเหรอ”เหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“แหมทำเป็นถามเหมือนจะรู้เลยนะ”แล้วเราทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“รู้ไหมว่าความรักของเราเหมือนดาว”คำพูดของผมทำให้เค้กหันมามองด้วยแววตาสงสัย

“ทำไม จะบอกว่าความรักที่เกี๊ยงมีมันมากมายเหมือนดาวที่อยู่บนท้องฟ้า มากเสียจนจะนับไม่ได้หรือเปล่า”โหดูจะหาความโรแมนติกจากแฟนผมนี่ยากจริงๆ เลยสิ

“ไม่ใช่ซะหน่อย”เสียงปฏิเสธของผมดังขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แล้วมันเป็นไงเหรอ”

“ความรักก็เหมือนดาว บางคืนอาจมองไม่เห็นแต่มันก็ไม่เคยหายไปไหน”ผมค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปหาเค้า จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่าย ก่อนจะประทับริมฝีปากลงที่ปากบางนั่น เนิ่นนานและหอมหวาน

“เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน”เค้าพลักผมออก พร้อมกับมองไปรอบๆ คงเพราะนี่เราอยู่กันที่ชายหาด แต่แหมผมก็มีเผลอลืมบ้างนิดหน่อยเอง

“หมายความว่าไงเหรอที่พูดเมื่อกี้”เค้าเริ่มเบี่ยงประเด็นมาชวนผมคุยแทน แต่แขนผมก็ยังกอดกระชับเค้าเข้าหาตัว

“เรื่องอะไร”ผมแกล้งไม่เข้าใจในคำถามของเค้า พร้อมหันหน้าทอดมองไปที่ท้องทะเล

“เอ้าก็ที่ว่าความรักกับดาวอะไรนั่นไง”

“ก็หมายความว่า ความรักของเราก็เปรียบเหมือนดาวไง บางวันเราอาจจะไม่ได้เจอ ไม่ได้คุยกัน แต่ความรักของเราก็ยังอยู่เหมือนเดิม เหมือนดาวที่บางวันเรามองไม่เห็น ทั้งๆที่มันก็ยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ และมันก็จะยังคงอยู่ที่เดิมนั้นตลอดไป”ผมอธิบาย

“แต่เราก็เจอกันทุกวันนิ จะเหมือนกับดาวได้ยังไง”เค้าพยายามจะแย้งผม แต่จริงๆ ผมก็แค่พูดรวมๆ แหละครับอีกหน่อยเค้ากลับไปทำงาน เราอาจจะมีเวลาให้กันน้อยลง หรืออาจจะมีบางวันที่อาจต้องห่างกันบ้าง แค่อยากให้เค้ารู้ว่าผมจะยังเหมือนเดิม

“ช่างมันเหอะ ตอนนี้เราไปหาที่พักกันดีกว่า เราง่วงแล้ว”น้ำเสียงของผมแฝงนัยยะบ้างอย่างไว้อย่างชัดเจน จนโดนเค้กตีเข้าที่แขนอย่างแรง แต่ไม่เป็นไรยังไงคืนนี้เค้าก็ต้องไถ่โทษที่ทำให้ผมเคือง หึหึ



End
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-12-2014 22:43:23
ก็แวะมาลงตอนพิเศษอีกนิดหน่อย ก็ไม่มีอะไรมากนะครับคู่นี้

จบแบบ แฮปปี้แหละเนอะ อาจจะไม่หวานอะไรมากมาย แต่ก็อยากมาส่งท้ายสักนิด

ยังไงก็ขอบคุณทุกๆ คนที่ตามอ่านกันอีกรอบนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 03-12-2014 23:30:12
ขอบคุณมากค่ะ  จบแบบแฮปปี้ก็โอเคแล้วค่ะ เรียบๆแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะน่าเบึ่อ ยังชอบเกี๊ยงมากๆตามเดิม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 04-12-2014 11:35:59
ThankS
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-12-2014 16:34:23
 :pig4: :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 05-12-2014 23:33:15
หวานกันมากๆเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 11-03-2015 17:20:29
เกี๊ยงน่ารักมากเลย ..... ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-06-2016 21:01:13
แวะมาฝาก เรื่องใหม่คร๊าบบบ

ผิดที่ใคร [Right or Wrong]

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0

ยังไงลองไปติ ชม ได้นะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 26-06-2016 12:41:24
อ่านจบพอดี เกี้ยงดูอบอุ่นมากๆ ชอบๆ
ลงเอยด้วยดีนะคู่นี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ จบ[3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 18-08-2016 06:29:20
ตอนพิเศษ
เซอร์ไพรส์ วันครบรอบ


Ta-kiang’s part

“หยุดเดี๋ยวนี้ทั้งคู่เลย ทำกับอาแบบนี้ได้ยังไง”เสียงเจ้าชีสโวยวายวิ่งตามเด็กน้อยฝาแฝด คู่แสบประจำทริป ตอนนี้ผมเค้ก เจ้าชีส นายลูกอมและลูกๆ อยู่กันที่หัวหิน นายลูกอมซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพื่อนซี้ของพวกเราไปแล้ว เห็นว่าชีวิตมันรันทดหรอกครับพวกผมเลยยอมสนิทด้วย คนอะไรจะชีวิตบัดซบได้ขนาดนั้น รักผู้ชายด้วยกันต่ดันแต่งงานกับผู้หญิง สุดท้ายเมียก็ทิ้ง คนรักเก่าก็ไม่เอา เรื่องดีๆ ในชีวิตของหมอนี่คงมีแค่ คู่แสบเด็กแฝดนรกลูกๆ เค้านี่แหละครับ ซึ่งบางทีก็แสบจนผมอยากเบิดกะโหลก

ตอนนี้เราทั้งหมดอยู่หัวหินกันครับ เช่าบ้านไว้หนึ่งหลังสำหรับสุดสัปดาห์นี้ จริงๆ งานนี้ผมกะเซอร์ไพร์สบางอย่างให้กับเค้ก เลยให้นายลูกอมเค้าชวนเค้กมาที่หัวหินนี่ โดยอาศัยคู่แสบลูกๆ เค้าเป็นข้ออ้างกับเค้กว่า จะพาเด็กๆ มาเที่ยว แล้วเจ้าเค้กก็ค่อนข้างเอ็นดูเด็กสองคนนี้เป็นพิเศษอยู่แล้วด้วย ทุกอย่างเลยลงตัวอย่างง่ายดาย

“อาเค้กช่วยอิ๋งด้วย /ช่วยอั๋นด้วย”ตัวแสบทั้งคู่วิ่งมาประกบซ้ายขวาของเค้ก ที่นั่งอยู่ริมสระน้ำกับผมและโอเล่ ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าคู่นี่ไปทำอะไรเจ้าชีสมาหรอกนะครับ แต่พอเจ้าชีส วิ่งตามมา ทั้งผมทั้งเค้กก็หลุดหัวเราะออกมาเพราะสภาพเจ้าชีสตอนนี้ ผมถูกมัดเป็นกระจุกๆ ไว้หลายกระจุก ส่วนบนหน้าก็ถูกวาดลวดลายต่างๆ เต็มหน้าไปหมด

“พี่เล่ ดูลูกพี่ทำกับผมเซ่ อย่าคิดว่าใช้ไอ้เค้กเป็นกำบังแล้วจะรอดนะ”เจ้าชีสทำท่าจะเอาเรื่อง แต่เรื่องนี้ผมเดาตอนจบได้เลยครับว่างานนี้คู่แสบรอดอีกแน่ๆ ไม่ใช่ว่าคนเป็นพ่อจะไม่ดุลูกนะครับ ขานั้นไม่ใช่เกราะป้องกันของคู่นี้ คนที่ให้ท้ายจนเด็กสองคนนี้จะนิสัยเสีย คือแฟนผมนี่แหละครับ สงสัยผมต้องปรามเค้กบ้างเสียแล้วละครับ

“อั๋น อิ๋ง ทำไมทำแบบนี้”โอเล่ถามเจ้าคู่แสบเสียงดุ จนทั้งคู่กระแซะเข้าหาเค้กเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งคู่นี้ฉลาดครับเพราะสิ่งที่ทั้งคู่ทำได้ผล เค้กห้ามไม่ให้โอเล่ดุลูกๆ นี่ตกลงคู่นี้ลูกใครกันแน่เนี่ย

“ไหนบอกอามาสิว่า ทำไมแกล้งอาชีสเค้าแบบนี้”เจ้าเด็กพวกนี้ ผมว่าผมเห็นทั้งคู่แอบแลบลิ้นใส่เจ้าชีส เด็กพวกนี้ร้ายกว่าที่ผมคิดนะครับเนี่ย ปกติตัวผมก็ไม่เคยเจออิทธิฤทธิ์คู่แสบนี่เท่าไหร่หรอกครับ สงสัยคู่นี้จะรู้ว่าไม่ควรแกล้งสามีของพ่อทูนหัวพวกเค้าอย่างผม ส่วนใหญ่ก็เห็นมีแต่เจ้าชีสนี่แหละครับโดนอยู่คนเดียว

“อาชีสไม่ให้ขี่หลัง/ อาชีสไม่ยอมเล่นขอแต่งงาน”โอ้โห ดูเหตุผลของแต่ละคนสิครับ คาดว่าคงอาศัยช่วงที่เจ้าชีสผลอยหลับไป เล่นงานเจ้าชีสเป็นแน่ แต่รอบนี้เค้กดูจะไม่ให้ท้ายทั้งคู่เสียแล้ว แต่เค้กก็ไม่ได้ออกแนวดุนะครับ เป็นการห้ามและเตือนอ้อมๆ มากกว่า แล้วเหมือนเจ้าคู่แสบก็จะรับฟังอย่างสลดเสียด้วย แสดงว่านี่เค้กเองก็เริ่มคิดแล้วเหมือนกันว่าไม่ควรให้ท้ายเจ้าพวกนี้มากไป

แต่ดูเหมือนเจ้าคู่แสบจะสลดได้แปปเดียว เพราะสักพักก็วิ่งฉิวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะมาลงสระ ส่วนคนเป็นพ่อก็เตรียมห่วงยางเล็กๆ ให้กับทั้งคู่ไว้รอครับ นี่ถ้าผมเป็นพ่อคนบ้างจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้นะครับ

“อาชีส เล่นน้ำ”เพิ่งแกล้งกันไปหยกๆ เด็กหนอเด็กนี่ชวนกันเล่นอีกแล้ว ส่วนเจ้าชีสนั่นก็ ตะกี้ยังวิ่งไล่เด็กด้วยความโมโหอยู่เลย ตอนนี้โดดลงสระไปเล่นด้วยกันแล้ว

“นี่ถ้าสองแสบไปอยู่กับแม่ที่เมืองนอก จะไม่เหงาแย่เหรอ”เค้กหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม พร้อมกับหันไปถามนายลูกอม ก็พอรู้นะครับว่าเมียเก่าเค้าตอนนี้ แต่งงานใหม่แล้วก็ย้ายไปอยู่เมืองนอกแล้ว นี่กราฟชีวิตนายลูกอมนี่คงยังดิ่งลงไม่ต่ำพอ สรุปชีวิตเค้าจะไม่เหลือใครเลยรึไงเนี่ย

“ก็คงเหงาแหละ แต่เพื่ออนาคตของลูกๆ อีกอย่างก็ตกลงกับอ้อนไปแล้วด้วย”ใจจริงนายลูกอมนี่ก็คงไม่อยากให้ลูกไปเท่าไหร่หรอกครับผมว่า แต่อย่างว่า การตัดสินใจมันไม่ใช่จากเค้าเพียงคนเดียว

“แล้วกับเค้าคนนั้นละ เห็นเล่ว่าเค้าก็ยังไม่มีใครนิ ทำไมไม่ลองดูอีกสักครั้ง”เค้กเอ่ยถามในสิ่งที่ผมเองก็สงสัย ถ้าเปรียบผมเป็นเค้านะครับ แล้วคนรักผมคือเค้ก ป่านนี้ผมว่าผมคงกลับไปรวบหัวรวบหาง คืนดีกันไปแล้ว แต่อย่างว่า เค้าไม่ใช่ผม และผมก็ไม่ใช่เค้า สถานการณ์ของเรามันต่างกัน ต่างกันมากเลยทีเดียวแหละครับ

“บางทีความรักมันก็คงไม่ได้ถึงการครอบครองเสมอไป แค่เราสองคนอยู่ในความทรงจำของกันและกันมันอาจจะดีกว่า”พระเอกมาก พระเอกจริงๆ ถ้านี่คือละครเรื่องเดียวกัน นายลูกอมคงเป็นพระเอกผู้แสนดี พระเอกผู้เสียสละ ส่วนผมนี่คงตัวร้ายจอมเจ้าเล่ห์

“นี่กูมีเพื่อนเป็นพระเอกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ไหนขอชนป๋องกับพระเอกหน่อยดิ”ไม่อยากให้พ่อพระเอกเค้าเศร้าครับ พูดเรื่องนี้ทีไรหน้าจ๋อยทุกที แถมแฟนผมก็สะกิดเรื่องนี้บ่อยเหลือเกิน พอเข้าใจครับว่าอยากเห็นเพื่อนสมหวังกลับไปหาคนรัก แต่คงต้องให้เวลากับทั้งสองคนอีกเยอะครับ เยอะมากๆ ด้วย

“กูไม่ใช่พระเอกหรอก พระเอกที่ไหนจะทำเรื่องเชี่ยๆ มาตั้งเยอะ จนเรื่องราวมันยุ่งเหยิงขนาดนี้”นั่นไงลากเข้าดราม่าอีกจนได้ ไม่ต้องแปลกใจไปนะครับที่สรรพนามระหว่างผมกับไอ้ลูกอมมันเปลี่ยนไป พอดีความสนิทสนมระหว่างเรามันสวนทางกับความสุภาพ พอสนิทกันมากขึ้น ความสุภาพมันก็น้อยลง

“เค้าคงไม่มีความสุขหรอกถ้าอยู่กับกูแล้ว ต้องรู้สึกผิดตลอดเวลา”ยังครับ ยังไม่จบ นี่ชวนมาสังสรรนะโว้ย ไม่ได้ชวนมาเปิดเสวนาศาลาคนเศร้า

“หยุดครับคุณเพื่อน วันนี้มาสนุกกันดื่มกันดีกว่า”แฟนผมเบรคอารมณ์ของพ่อพระเอกลูกสองด้วยการชวนดื่ม แต่วันนี้ผมจะให้เค้าดื่มมากไม่ได้ เพราะคืนนี้เดี๋ยวผมจะอดเซอร์ไพร์สเค้า ผมรีบส่งซิกให้นายลูกอมว่าต้องรีบเริ่มแผนการก่อนที่เค้กจะเมาเสียก่อน

“อั๋น อิ๋ง ลูกเลิกเล่นแล้ว ไปอาบน้ำกันดีกว่าป่ะ เดี๋ยวพ่อให้เล่นที่เราสัญญากันไว้”สองแสบที่เล่นน้ำอยู่กับเจ้าชีสหันมาขยิบตา อย่างน่าหมั่นไส้ นี่เจ้าเด็กพวกนี้มันไปหัดทำแบบนี้มาจากไหนกันเนี่ย ดูเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน

ผมหันไปสบตากับเจ้าชีสว่าต้องทำอะไรต่อตามที่เราวางแผนกันมา เจ้าชีสเองขึ้นจากสระน้ำ พร้อมกับชิงเข้าบ้านไปอาบน้ำ ตามพ่อลูก 3 คนนั้นไปติดๆ เหลือผมที่นั่งดื่มกับเค้กอยู่สองคน

“อย่าเพิ่งดื่มเยอะละ คืนนี้เรายังมีปาร์ตี้ต่อน้า และคืนนี้เค้กอาจไม่ได้นอน เพราะงั้นอย่าเพิ่งเมานะครับที่รัก”ผมแกล้งทำท่ายั่วยวนเค้า พร้อมขยับเข้าไปพ่นลมหายใจรดต้นคอเค้าใกล้ๆ เค้าผลักผมออกเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าใส่ผมอย่างหน่ายๆ แหมทำเป็นผลักไส เดี๋ยวเถอะ คืนนี้จะจัดให้เรียกหาผมทั้งคืนเลย คอยดู

“ป่ะ เราก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า มารอปาร์ตี้ตอนเย็นต่อกันดีกว่า”ผมเอ่ยชวนเค้าออกจากริมสระ เพื่อเปิดทางให้เจ้าชีสได้ทำตามที่ตกลงไว้ ผมแอบแกล้งเค้าเล็กน้อยในตอนจะอาบน้ำเพื่อถ่วงเวลา กว่าเราทั้งคู่จะอาบน้ำเสร็จก็คาดว่าเจ้าชีสน่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เค้กรู้เพียงว่า เจ้าชีสไปรับอาหารทะเลจากร้านที่เราสั่งไว้มาปิ้งย่างในคืนนี้

“อาเค้ก อาเค้ก”เสียงเจี้ยวจ้าวของเจ้าคู่แสบมาทุบประตูห้องของผมสองคน นี่แสดงว่าปฏิบัติการของพวกผมจะเริ่มขึ้นแล้ว ผมเดินไปเปิดประประตูให้คู่แสบทั้งที่ยังใส่แค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว แต่ไม่ต้องคิดว่าผมทำอนาจารให้เด็กดูนะครับ เจ้าสองแสบนี่แทบจะทำเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ วิ่งผ่านผมไปหาอีกคนอย่างรวดเร็ว

“อาเค้ก พ่อเล่บอกจะให้อิ๋งเล่นขอแต่งงาน อาเค้กเล่นเป็นเจ้าบ่าวให้หน่อยนะคะ”แสบหนึ่งบอกเสียงเจื้อยแจ้ว

“อั๋นขอเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวด้วยนะค้าบ นะค้าบ”แสบสองก็แสดงดีไม่แพ้กันครับ มาถึงตรงนี้น่าจะพอเดาออกแล้วใช่ไหมครับว่าผมจะเซอร์ไพรส์อะไรเค้า อย่าครับอย่าเพิ่งคิดไปไกลว่านี่ผมกับเค้าจะแต่งงานกัน คือจริงๆ ผมก็เคยคิดนะครับว่าจะจัดงานแต่งเล็กๆ กับเค้า แต่พอคุยกันเค้าก็บอกกับผมว่า แค่อยู่ด้วยกันไปอย่างนี้ ทำทุกวันให้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะครับ

แต่ก็อยากมีวันพิเศษอะไรบ้าง และวันนี้คือวันครบรอบ ครบปีที่เราตกลงเป็นแฟนกัน ซึ่งคุณแฟนของผมเนี่ยไม่ค่อยจะจำหรอกครับ ว่าวันไหนคืออะไรบ้าง นี่ไม่รู้วันเกิดผมเค้าจำได้รึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมก็เข้าใจเค้านะครับ ดีเสียอีกที่เค้าจำไม่ได้ ผมจะได้ทำแผนมาเซอร์ไพรส์เรื่อยๆ อย่างวันนี้ก็กะว่า ทำเป็นเหมือนงานแต่งเล็กๆ มีเพื่อน น้องแล้วก็หลานเป็นสักขีพยาน ให้วันครบรอบของเรามีสีสันเพิ่มมาหน่อย

“งั้นอาเค้กขอแต่งตัวหล่อก่อนนะครับ อั๋นกับอิ๋งลงไปเตรียมตัวรอข้างล่างได้เลยครับ”เค้าบอกกับสองแสบอย่างเอ็นดู ซึ่งทั้งคู่ก็ร้องเฮ อย่างยินดี

“โห นี่จะทิ้งเราไปแต่งกะเจ้าพวกแสบนั่นเหรอเนี่ย”เค้าหันมาหัวเราะกับคำพูดของผม ผมพยายามจับสังเกตุว่านี้เค้าเริ่มสงสัยแผนของผมบ้างรึเปล่าเนี่ย แต่จากที่ดูก็ไม่มีพิรุธอะไรนี่นา ผมหยิบชุดสำหรับเราสองคนออกมาวาง เป็นกางขาสั้นสีขาว สบายๆ ทั้งของผมแหละเค้า ส่วนเสื้อก็เป็นเชิ้ตสีขาว แต่มีลวดลายกันคนละแบบ นี่ผมว่าผมเลือกชุดให้ดูมีพิรุธน้อยที่สุดแล้วนะครับ แต่ถ้าเค้กจะจับได้นี่คงเพราะชุดเจ้าคู่แสบนั่นมากกว่า จัดมาซะจะเป็นเทวดา กับนางฟ้าซะขนาดนั้น

“อาเค้กมาแล้วววว”สองแสบช่วยกันประสานเสียงทันทีที่ผมกับเค้กลงบันไดมา แถมกระโดดโลดเต้นกันอย่างสนุกสนาน

“งั้นเดี๋ยวบาทหลวงออกไปรอรับข้างนอกนะครับ บ่าวสาว”ผมกับนายลูกอม รีบแยกตัวออกมาด้านนอก สิ่งที่ผมเห็นถือว่าน่าพอใจครับ มีไฟประดับนิดหน่อย มีมุมที่จะเซอร์ไพรส์ ที่เหลือก็แค่ให้สองแสบนั่นพาเค้กออกมา จากการซักซ้อมไปหลายรอบแม้ทั้งคู่จะเป็นเด็กแต่ผมว่าฝีมือการแสดงของทั้งคู่นี่ก็แพรวพราวพอตัวแหละครับ

“ตือ ดื่อ ดือ ดือ ตื่อ ดื๊อ ดื่อ ดือ”เสียงประสานของสองแสบที่ผิดคีย์บ้าง ถูกคีย์บ้าง ส่งเสียงสัญญานออกมา พร้อมกับภาพของเค้ก ที่เดินออกมาพร้อมกับมีสองแสบขนาบข้าง ผมยืนยิ้มมองภาพที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา โดยที่มีนายลูกอมกับเจ้าชีสที่ส่งเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูอยู่ข้างหลัง

“เป็นเจ้าบ่าวให้เราหน่อยนะ”ห๊ะ ตะกี้เค้กพูดว่าอะไรนะ ผมหน้าเหวอเพราะที่เตี๊ยมกันไว้ มันไม่ใช่แบบนี้ ตามที่ตกลงคือพอสองแสบพาเค้กออกมา ผมต้องเป็นคนเซอร์ไพรส์ขอให้เค้าเป็นเจ้าสาวของผมนิ ผมหันมองหน้านายลูกอมกับเจ้าชีส นี่แผนผมแตกเหรอนี่

“เซอร์ไพรส์”ทั้งคู่บอกกับผมพร้อมกัน ตามด้วยรอยยิ้มที่ผมคิดว่า นี่ผมคงโดนซ้อนแผนเข้าให้แล้ว ผมหันกลับมาหาเค้ก แต่ไอ้เจ้าคู่แสบนี่แลบลิ้นรอผมอยู่แล้ว พร้อมชูมืออย่างผู้มีชัย

“สไปรท์”เสียงตัวแสบทั้งสองตะโกนออกมาจนผม เกือบจะหลุดขำ สรุปนี่จากที่จะมาทำเซอร์ไพรส์ กลายเป็นว่าผมโดนเซอร์ไพรส์กลับเหรอเนี่ย ไอ้ผู้ใหญ่สองคนข้างหลังผมนี่ไม่เท่าไหร่ครับ แต่เด็กแสบสองคนนี่สิ เล่นเนียนต้มผมซะเปื่อยหมดเลย

“สุขสันต์ วันครบรอบนะเกี๊ยง”เค้กส่งยิ้มพร้อมบอกกับผม นี่ใครมันหักหลังผมเนี่ย ผมแกล้งทำงอนมองเค้าอย่างเคืองๆ เคยแต่ทำเซอร์ไพรส์เค้า พอโดนเซอร์ไพรส์กลับแบบนี้ ไปไม่เป็นเลยครับผม

“เราจำได้หรอก แล้วเราก็เตี๊ยมกับพวกนี้ก่อน เกี๊ยงจะมาเตี๊ยมกับพวกนี้เสียอีก”โหยนี่เล่นต้มผมมาตั้งแต่ต้นเลยเหรอเนี่ย เดี๋ยวๆ คืนนี้ผมต้องเอาคืนให้สาสม

“เอ้าบ่าวสาว แลกแหวน หอมแก้ม พิธีจบ เร็วๆ จะได้ปาร์ตี้ต่อ”เสียงเจ้าชีสสั่งเร่งพวกเรา ทั้งผมและเค้กต่างหัวเราะให้กัน ผมดึงเค้ามากอด ก่อนจะหอมแก้มไปหนึ่งฟอดแรงๆ ตามด้วยกระซิบเบา เบา ให้เค้าได้ยินแค่คนเดียว ซึ่งน่าจะได้ผลตามที่ผมต้องการ เพราะตอนนี้เค้กหน้าแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมถอยออกจากเค้าก่อนจะก้มลงอุ้มเจ้าอั๋น ตามด้วยเค้กที่อุ้มอิ๋งขึ้นมา เราถ่ายรูปกันไว้เป็นที่ระลึกอย่างสนุกสนาน ก่อนจะหันมาสนใจอาหาร เครื่องดื่ม วันนี้ช่างเป็นวันที่ผมมีความสุขมากๆ อีกวันนึงเลย

“อิจฉาว่ะ”นายลูกอมพูดขึ้นทำให้ผมต้องละสายตาจากเค้กที่โดนคู่แสบยึดไปครอบครอง ไม่ปล่อยให้เค้กได้มาอยู่กับผมเลย แต่ไม่เป็นไร ไว้ถึงเวลาเข้าหอเมื่อไหร่เค้กชิ้นนี้ก็เป็นของผมคนเดียวอยู่แล้ว

“อิจฉานักก็หาแฟนสิพี่”เจ้าชีสแทรกเข้ามา จนผมต้องหันไปยกมือกดไลค์ให้ เรายกแก้วเครื่องดื่มชนกันอีกครั้ง ก่อนที่จะต่างคนต่างยกจนหมดแก้ว ผมหันไปมองเค้กของผมกับคู่แสบอีกครั้ง แล้วเหลือบดูเวลา นี่ก็ดึกแล้วเจ้าแสบคู่นี้ควรไปนอน และคืนเค้กให้ผมได้แล้ว

“อั๋นอิ๋ง ดึกแล้ว พ่อพาไปนอนป่ะ”ดีมากครับคุณเพื่อน รู้สึกรักมันเพิ่มขึ้นมาเลยครับ

“วันนี้อิ๋งจะนอนกับอาเค้ก/ อั๋นก็จะนอนกับอาเค้ก”นี่ความคิดสองแสบนี่จริงๆ หรือความคิดแฟนผมเนี่ย

“จะพากันนอนกับอาเค้กแล้ว จะให้อาเกี๊ยงไปนอนไหนละลูก”ทำดีมากครับคุณเพื่อนลูกอม

“อาเกี๊ยงไปนอนห้องพ่อไง”พร้อมใจกันตอบยังกะท่องบทกันมาเลยนะไอ้แสบพวกนี้ ผมกำลังจะอ้าปากแย้ง แต่โดนสุดที่รักผมออกปากมาก่อนว่า ผมกับเค้าก็นอนด้วยกันทุกคืนอยู่แล้ว คืนนี้ยกให้หลานสักคืนจะเป็นไรไป ผมอยากจะเถียงใจจะขาด แต่ผมมันคนขี้เกรงใจเมียไงครับ เลยเถียงไม่ออก แต่เมียจ๋า นี่มันคืนวันครบรอบของเรานะ เมียจ๋าจะทำแบบนี้กับผัวไม่ได้

สุดท้าย ผมก็ต้องมานอนเตียงเดียวกับนายลูกอม นี่กราฟชีวิตผมจะดิ่งลงเหมือนมันไม่ครับเนี่ย ที่ต้องมานอนเตียงเดียวกันแบบนี้ ผมแอบเงี่ยหูฟัง เสียงหัวเราะ ของห้องข้างๆ นี่คู่แสบต้องกำลังเยาะเย้ยผมอยู่แน่ๆ

“เอาวันครบรอบผมคืนมา”ทำได้แค่ตะโกนในใจนะครับ



END






















เดี๋ยวครับเดี๋ยว ขอพื้นที่ให้ผมอีกนิด
“มึงว่าลูกมึงหลับรึยังวะโอเล่”ผมสะกิดไอ้คนที่นอนข้างๆ ที่เหมือนจะหลับไปแล้ว

“หลับแล้ว”เสียงอีกคนตอบมางัวเงีย

“งั้นช่วยไรกูหน่อย”

“กูเนี่ยหลับแล้ว...จะนอน”อ้าวไอ้นี่

“มึงจะไปอุ้มลูกย้ายมานอนนี่ หรือจะให้กํไปอุ้มเค้กแล้วมึงย้ายตัวเองไปนอนนั่น”แต่ดูสภาพมันแล้วผมว่าผมไปย้ายคู่แสบนั่นมาเองก็ได้

“หึหึ”


END (จบ...อีกที)

























“อย่าเสียงดังนะมึง เดี๋ยวลูกกูตื่น”

โอ้ยไอ้นี่ไปได้แล้ว ลูกก็ย้ายให้แล้วคราวนี้ขอเป็นเวลาส่วนตัวของนายตะเกียงคนนี้ได้แล้วครับ คืนนี้ผมมีหนังเรื่องยาวให้เล่นทั้งคืน มีใครสนใจอยากดูหนังเรื่องนี้ไหมครับ

“นายตะเกียงกับเค้กแสนอร่อยของเขา”

END (จบจริงๆสักที)







เรื่องปิดไปตั้งนานแล้ว
แต่ไรท์เกิดครึ้มอกครึ้มใจ
เผื่อมีใครคิดถึงเกี๊ยงกับเค้ก (แถมอิเล่กับลูกๆ ด้วย) :hao3:
เอาตอนพิเศษที่เกิดจากความคิดถึง (ของไรท์เอง) มาฝากคร๊าบบบ
555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 30-10-2016 23:58:41
นายเกี๊ยงนี่ทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งหื่น แต่...กลัวเมียจริงๆนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 01-11-2016 03:39:14
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-12-2016 15:54:41
 :L2: :L1: :pig4:

น่ารัก เราก็ชอบอ่าน
เขียนเรื่องโอเล่ด้วยไหม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 26-12-2016 18:32:21
นายตะเกียงน่ารักมาก
ลุ้นมากเหมือนกันกับคู่นี้
กลัวหักมุมมากมายเลยแหล่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 28-10-2017 09:10:21
 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-10-2017 11:27:36
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 29-10-2017 20:49:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: lostinthelight ที่ 26-12-2018 14:05:59
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-12-2018 00:48:12
เคยอ่านแล้วแต่ไม่ได้เม้น..มาอ่านอีกทีความรูสึกเปลี่ยนไป

รูสึกขัดใจกับตัวละครที่...เค้กลองใจเกี๊ยงทั้งที่ตัวเป็นคนไม่มั่นใจในความรู้สึกเอง  :เฮ้อ:

ส่วนเกี๊ยงก็มัวแต่รักษามารยาทกับจูนจนเกือบเสียเค้กไป  :ruready

จูนนี่อีกคนเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นอย่างกับพวกขี้เหงาเอาเวลาไปแกล้งคน..นี่ถ้าเค้าเลิกกันจริงจะแก้ไขยังไง  :m16:

เลยรูสึกอึดอัด...แต่ก็มีตอนพิเศษมาให้ดามใจ คือ ทุกคนโอเครักกันดี จบปิ๊ง  :heaven
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น].........(ไม่)รักได้ไง ตอนพิเศษ เซอร์ไพรส์วันครบรอบ [จบ][18-08-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-01-2020 19:36:10
โห้ยยยยยสนุกกมากเลยอ่ะ กว่าจะเข้าใจกว่าจะได้รักกันดีๆ ต่างคนต่างคิด แต่จบดี แฮปปี้มากค่ะ ชอบๆ สนุกๆ