► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)  (อ่าน 56595 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




เขาดึงร่างที่อยู่ในอ้อมแขนเข้าไปปะทะทรวงอก โน้มใบหน้าลงมาอิงแอบจนใกล้ สบตาคนตรงหน้าอย่างมั่นคง พลันน้ำเสียงห้าวทุ้มก็ทอดหวานชนิดที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน

“อย่าว่าแต่นอนด้วยกัน แม้แต่ยามตื่น พี่ก็อยากตื่นพร้อมกับเจ้า รับประทานข้าวคลุกน้ำพริกด้วยกัน ดูแลเจ้าทั้งยามดีและยามไข้ หน้าร้อนก็จะพัดวี นั่งข้างๆ เจ้า ให้เจ้าอิงหนุนไหล่ หน้าฝน จะเป็นกำบังไอแดด กระแสลมฝน ชี้ชวนดูรุ้งทอดโค้งที่ขอบฟ้า ครั้นพอถึงหน้าหนาว พี่ขวัญจะกอดเจ้าจนอุ่น ให้เจ้านอนหลับสบาย เช่นนี้ เจ้าจะยินดีหรือเปล่า”

ความรู้สึกเต็มตื้นปรี่ขึ้นมาในพระอุระของเรียมลลิตรจนหลั่งล้น อบอุ่นในพระทัยจนพระสุรเสียงกลืนหาย มิอาจตรัสสิ่งใดออกมาได้อีก ทรงเบือนพระพักตร์หนีจากพระอาการเขินอายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระนั้นลมหายใจอุ่นๆ ที่ผ่าวพรมไปทั่วพระศอ ตลอดจนน้ำเสียงนุ่มนวลที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอมั่นคงก็ยังคลอเคลีย วนและเวียนอยู่ไม่ห่างจากพระปรางแม้แต่น้อย

“พี่ฝัน เราจะอยู่ด้วยกันทุกๆ วัน เป็นเช่นนี้ไปจนแก่เฒ่า เจ้าคงไม่เคยรู้ พี่นี่เองที่นอกลู่นอกทาง ทั้งที่เจ้าก็เป็นผู้ชาย แต่กลับคิดไม่ซื่อเช่นนี้กับเจ้าอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที”

ดวงตาหวานเชื่อมทอดมอง จ้องลึกเข้าไปใต้แพขนตางอนงาม ขวัญสรวงยิ้ม...ยิ้มอย่างคนอ่อนอกอ่อนใจ

“เจ้าคงไม่รู้ว่าดวงใจของพี่รู้สึกอย่างไร และต้องต่อสู้กับจิตเบื้องต่ำอันไม่สมควรอย่างยากเย็นเพียงไรในตอนนี้”

เขาดึงมือของคนในอ้อมกอดขึ้นทั้งสองข้าง วางมันบนบนแผ่นอกแข็งแกร่งที่เต้นระส่ำ ลากให้มือคู่นั้นสัมผัสลูบไล้ไปมาช้าๆ ให้ความรู้สึกที่ร้อนผ่าวนี้ค่อยๆ ถ่ายทอดลงสู่ดวงใจของผู้เป็นเจ้าของมือทั้งสองนั้น

นับจากนี้ หากเมื่อมือคู่นี้ได้สัมผัสกับสิ่งใด ความอบอุ่นของหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ภายใต้อุ้งมือนี้จะติดตามไปทุกแห่งหน ให้เจ้าของมือคู่นี้ระลึกขึ้นได้ว่าที่แห่งนี้มีผู้ชายคนหนึ่งรักเขามากมายเพียงไร

ให้หัวใจที่เต้นโลดแรงนี้ กางกั้นทุกสิ่งที่สัมผัส นับแต่นี้ ไม่ว่ามือคู่นี้ได้แตะต้องผู้ใด หัวใจที่หวามไหวดวงนี้จะคอยขวางกั้น กำบัง ให้เจ้าของมือคู่นี้มิอาจสัมผัสกับความอบอุ่นใดได้อีกเลย

ให้มีแต่ผู้ชายที่ชื่อว่า หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ผู้นี้ แต่เพียงผู้เดียว




ขวัญสรวงไม่รู้เลยว่า ณ ขณะนี้เรียมลลิตรทรงรู้สึกหวามพระทัยเพียงไร ผิวเนื้ออุ่นๆ ที่อยู่ใต้ฝ่าพระหัตถ์นั้นอบอุ่นจนทรงไม่อาจละพระหัตถ์จากได้ ผิวกายเรียบลื่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ภายใต้นั้นคือหัวใจที่อุ่นจนร้อนจัด มันเต้นอย่างโลดแรงอย่างที่พระองค์ทรงมิเคยพบพานได้จากผู้ใด ทรงตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มพระพักตร์อิงแนบไปบนบ่ากว้างที่มั่นคงราวกับหินผานั้นราวกับเด็กน้อยโหยหาความอบอุ่นของแสงตะวัน

นิ้วเรียวยาวของขวัญสรวงบรรจงเอื้อมมาปัดแพผมที่กระจายไม่เป็นระเบียบอยู่บนหน้าผากโค้งมนนั้น เกลี่ยเรียงทีละเส้นๆ และทัดเข้ากับหลังใบหูสีระเรื่อ น้ำเสียงทุ้มห้าวยังคงทอดลงอย่างนุ่มนวล

“เจ้ายังไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม”

พระพักตร์นวลระเรื่อของเรียมลลิตรไหวสั่นช้าๆ พระเนตรหลุบลงทอดมองบนพระหัตถ์ทั้งสองข้างขององค์ที่ยังคงผนึกแน่นอยู่บนทรวงอกของหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงเหมือนต้องสาป

ทรงรู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นๆ ทั้งสิบที่ค่อยๆ เคลื่อนสอด แทรกผสานทีละนิ้วๆ จากหลังพระหัตถ์ มันกระหวัดรัดอย่างเชื่องช้าจนแนบแน่น มั่นคงละม้ายว่าจะหลอมจนเป็นผิวเนื้อเดียวกัน

ราวกับฝูงผีเสื้อบินโฉบบนผิวน้ำ ริมฝีปากอิ่มของขวัญสรวงประทับลงแผ่วเบา มันอ่อนหวาน และมิอาจนับครั้งได้ถ้วน ความรู้สึกดื่มด่ำลึกซึ้งค่อยๆ ถ่ายทอดผ่านการสัมผัสเนิบช้า กระหยับพลิ้วแอบอิง กระทั่งแนบสนิทนิ่งนานจนยากจะแยกออก กระนั้น คนตัวโตก็จำฝืนถอนถอยริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

หากแต่ความไม่อิ่มหนำกลับทำให้อดใจกลับไปจูบเบาๆ อีกครั้งอย่างนึกเสียดายไม่ไหว แต่คราวนี้จุมพิตนั้นเพียงแค่สัมผัสละมุนละไม ไม่ช้านานชายหนุ่มก็สู้ประคองอารมณ์หักห้าม ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดถลำ ขวัญสรวงจูบแผ่วๆ อีกครั้งบนใบหู กระซิบถามเหมือนคนจวนสิ้นแรง

“ความบริสุทธิ์ของเจ้ามีเพียงครั้งเดียว มีค่า แน่ใจหรือที่จะมอบให้กับพี่”

สีแดงซ่านขึ้นทั่วพระวรกายจนวูบร้อน เรียมลลิตรวางพระพักตร์อุ่นวาบ แนบลงกลางทรวงอกที่แข็งแกร่งและร้อนผ่าว ทันใดนั้นอ้อมกอดอบอุ่นก็เหมือนจะกลืนพระวรกายองค์จนหายไปในความอ่อนโยนนั้น

“พี่รักเจ้า” ขวัญสรวงเอ่ยกระซิบ “โปรดรับรู้ว่านี่คือคำพูดของลูกผู้ชาย เอ่ยแล้วไม่อาจคืนคำ พี่รักเจ้า ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร และความรู้สึกนี้จะมั่นคงตลอดไป ไม่มีแปรผัน นี่คือสัตย์สัญญา”




ชั่วเวลานั้นเองก็อัศจรรย์เกิดคล้ายหมอกธุมเกตุหมอกธุมเพลิงคลุมทั่วคลองแสนแสบ สีดุจหนึ่งควันไฟดอกไม้เพลิงแผ่กระจายไปรอบๆ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และมักเกิดขึ้นในช่วงหัววันก่อนเที่ยงหรือยามโพล้เพล้ ไม่เคยเห็นเกิดขึ้นในเวลานี้

แต่เล็ก ผู้หลักผู้ใหญ่มักบอกว่าให้ถือพระเกตุสำแดงเดช หมอกขาวจะลงจัดถึงเทียมหัวคนเดิน หนาทึบจนมองอะไรแทบไม่เห็น ด้วยท่านว่าเทพเทวาจะทรงดลให้บังเกิดตอนที่มีเหตุสำคัญๆ แต่เมื่อได้ไปศึกษาที่ต่างประเทศ ขวัญสรวงก็ได้เห็นเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่สามถึงสี่ครั้ง จึงสอบถามอาจารย์ผู้รู้ในมหาวิทยาลัยที่เขาศึกษาอยู่ คำตอบนั้นอธิบายว่าเป็นสิ่งบอกเหตุทางธรรมชาติถึงความผิดปรกติของลมฟ้าอากาศ ยิ่งคนทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่าไร ธรรมชาติก็จะยิ่งแปรปรวนมากขึ้นเท่านั้น

“หมอกลง” เรียมลลิตรตรัสขึ้น ทอดพระเนตรมองไปรอบองค์ ขาวโพลนจนแทบมองอะไรไม่เห็น ทรงกระชับพระหัตถ์กับต้นแขนมั่นคงของผู้ชายตัวโตที่อยู่เคียงข้าง พลันสัมผัสอ่อนละมุนก็แนบลงบนพระปราง เมื่อทรงรู้สึกองค์ ขึงพระเนตรกลับ จุมพิตอ่อนหวานนั้นก็ประทับลงที่เดิมอีกครั้งจนวูบวาบไปทั้งพระพักตร์อีกครั้ง

“ไม่ยุติธรรม พี่ขวัญเอาแต่เป็นฝ่ายจูบ ฝ่ายหอม”

“กอดด้วย” ขวัญสรวงต่อคำให้เสร็จสรรพ ใช่เพียงแต่พูดเปล่า เขารั้นวงแขนเข้ากระชับ เป็นผลให้เจ้าของผิวขาวนวลราวกับตุ๊กตากระเบื้องผู้นั้นแนบลงกับแผ่นอก ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มพร้อมความรู้สึกหวามหวาน เมื่อใกล้กันถึงเพียงนี้ คนตรงหน้าจะได้ยินหรือเปล่าว่าเสียงหัวใจของเขานั้นเต้นแรงเพียงไร

“แต่ผมก็อยากจูบพี่”

เสียงเนิบช้านั้นลงน้ำหนักจนขวัญสรวงหัวเราะคิกทันที ยิ่งเมื่อเห็นดวงตาหวานสวยที่แสนเฉยชาคู่นั้นแสดงออกถึงอาการไม่พอใจอย่างเปิดเผย ชายหนุ่มก็ยิ่งชอบอกชอบใจ เขายื่นหน้าออกไปจนใกล้ ห่างแค่คืบ จึงกระซิบกระเซ้า

“ถ้าเช่นนั้น น้องก็จูบพี่บ้างเป็นไร จูบเท่าที่ต้องการ พี่ยินยอมและยินดี”

จากที่เรื่อแดงเพียงพระปราง พระโลหิตกลับฉีดซ่านซับทั่วพระวรกาย พระฉวีขาวผ่องแทบจะกลายเป็นสีครั่ง เรียมลลิตรยกพระพักตร์อย่างลังเล เดี๋ยวทรงยื่น อีกเดี๋ยวก็ถอยกลับซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ทรงกลั้นพระอัสสาสะนิ่งนานจนเจียนจะขาดพระทัย จึงทรงยอมประทับพระโอษฐ์แนบบนริมฝีปากของผู้ชายตัวโตตรงหน้า แล้วทรงถอยกลับเร็วรี่ด้วยทรงมิอาจต้านทานความรู้สึกกระดากเขิน

จูบนั้นจึงแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นจูบ คล้ายกับว่าเป็นการแตะสัมผัสโดยบังเอิญเพียงเสี้ยววินาทีเสียมากกว่า ขวัญสรวงพิศมองคนหน้าแดงเสียยิ่งกว่าผลลูกหมากสุก กลั้นยิ้มอย่างยากเย็นแสนเข็ญ

“เท่านี้รึ”

ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่ตึงเรียบนั้น เว้นแต่สีหน้าที่แดงฉานขึ้นอีก

“อีกไหม พี่อนุญาต” ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาจนใกล้ ปลายจมูกแตะบนพวงแก้ม ลากคลอเคลียเบาๆ จนไปแตะที่ใบหู “หรือว่าเขิน”

“ไม่เขิน” เสียงหวานขานขับ เบือนสายตาหนี “ไม่เอาแล้ว พี่ขวัญเป็นคนจูบดีกว่า”

คำขอที่อ่อนหวานย่อมถูกตอบสนองด้วยความรู้สึกที่อ่อนหวานทัดเทียมและทันที ขวัญสรวงเคลื่อนศีรษะลงช้าๆ จูบไปบนริมฝีปากอุ่นอิ่ม ขณะเดียวกันสองมือก็ลูบลากสำรวจไปจนทั่ว อีกฝ่ายถอนหนี เขาก็ตามติดประชิดโดยไม่คิดคร้าน

จูบนั้นทำเอาเรียมลลิตรทั้งองค์มิทัน พระปฤษฏางค์เอนลงพิงกับกาบเรือเป็นที่ยึดพัก นับจากนั้นเพียงอึดใจ ผ้าขาวม้าที่ทรงเคียนไว้เหนือพระโสณิก็ถูกปลดออก เช่นเดียวกับพระกรทั้งสองข้างที่ถูกขึงพาดไว้กับกาบเรือ

มิทันจะได้ตรัสสิ่งใด จูบต่อมาก็ถูกประทับลงบนพระถัน โลมเลียอยู่ซ้ำๆ จนทรงบิดพระวรกายหลบหลีกด้วยทรงสะท้าน กว่าที่จะทรงรู้พระองค์ พระวรกายก็ถูกดันขึ้นนั่งอยู่บนลำเรือเสียแล้ว

ผ้าขาวม้าเปียกชุ่มถูกพาดไว้กับลำเรือแบบลวกๆ แล้วขวัญสรวงก็ผละหายให้แปลกพระทัยยิ่ง ความสงสัยนั่นหรือที่ผลักดันให้พยุงองค์ให้ขึ้นประทับด้วยพระกโบร พระเนตรจึงได้แลเห็นว่าเขากำลังผลุบลงไปในน้ำราวกับปลาที่ดำผุดดำว่ายอย่างแคล่วคล่อง

เช่นนั้นจึงทรงวางพระเพลาในคลองแสนแสบ ทอดพระเนตรจนทั่ว เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีขึ้นมาจึงตรัสเรียกด้วยทรงรู้สึกเป็นห่วง ทันใดนั้นจุมพิตอุ่นๆ ก็ประทับลงบนพระเพลาที่แช่อยู่ในน้ำ

ในคลองแสนแสบที่เย็นจับใจ จูบอุ่นๆ ของขวัญสรวงกำลังพรมไล่บนผิวขาวลออ ไล้ขึ้นมาช้าๆ ตั้งแต่หน้าแข้ง ลากเรื่อยมาจนถึงหัวเข่า เรื่อยไปจนถึงต้นขา สลับกันไปทั้งสองข้าง

“พี่ขวัญ”

“คิดถึงหรือ หรืออยากจะให้พี่จูบตรงไหน”

“บ้า”

ชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวหาว่าบ้าผุดขึ้นมาจากน้ำพร้อมรอยยิ้มชวนมอง เขาค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนลำเรือ ยืนทรงตัวอยู่สักพักกระทั่งลำเรือนิ่ง หายคลอน จากนั้นก็ปลดผ้าขาวม้าที่เคียนไว้ที่สะเอวออก

ร่างสูงใหญ่ยามต้องแสงจันทร์นวลนั้นชวนมองจนเกือบหยุดพระอัสสาสะ ลำคอของเขาตั้งตรงสง่าเป็นฉากกับบ่าและหัวไหล่ที่ขนานกับผืนนที แผ่นอกกว้างหนาเพียงไรจากทรงสัมผัสเมื่อครู่ ภาพที่เห็นด้วยสายพระเนตรในเพลานี้ก็มิได้ต่างเลย เขามีร่างหนาหนั่น แขนและขาทั้งสองข้างยาวสมส่วนและแข็งแรง เรียมลลิตรประทับสายพระเนตรอยู่อย่างนั้น นิ่งนานจนให้ละอายพระทัย

คนที่ถูกมองส่งยิ้มกรุ่นๆ กรามแก้มฝาดเป็นริ้วสีเข้มเพราะเลือดลมที่ซับใต้ผิวด้วยความรู้สึกเขินอยู่ในที เขายอบตัวลงนั่ง ก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้า ขึงแขนทั้งสองข้างคร่อมเจ้าของผิวนวลกระจ่างยิ่งกว่าแสงแขคนนั้น อึดใจต่อมา ขวัญสรวงก็จับมืออุ่นๆ ที่สั่นนิดๆ ของอีกฝ่ายขึ้นมา จับให้ลูบช้าๆ ลงไปบนหน้าท้องของเขา

เรียมลลิตรกลั้นพระอัสสาวะด้วยพระทัยที่โลดแล่น ทอดพระเนตรพระหัตถ์ที่ลูบลากช้าๆ บนระลอกลอนเหนือหน้าท้องแกร่งแน่น ยิ่งเคลื่อนลงต่ำเพียงไร ก็คล้ายกับพระทัยจะมอดไหม้เป็นจุลเพียงนั้น

เสียงสูดปากเบาๆ ของขวัญสรวงครางกระซิบที่ข้างหูเมื่อทรงสัมผัสส่วนที่อุ่นร้อนที่สุดบนร่างกายของเขา เมื่อทรงขยับนิ้วพระหัตถ์ช้าเนิบ เสียงครางของเขาก็ยิ่งดังขึ้น

ขวัญสรวงหอบหายใจเหมือนคนเหนื่อย เขายกศีรษะขึ้นมองคนที่อยู่ข้างล่างอย่างเต็มตา หากแต่เมื่อสบตาเพียงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มก็มิอาจอดใจตัวเองไหว เขาจูบลงบนริมฝีปากอิ่มนั้น ลากเลื่อน โลมไล้ไปช้าๆ จนถึงใบหูที่งามดุจกลีบดอกบัวสายสีระเรื่อ

“พี่ขวัญ อย่า” เรียมลลิตรทรงปัดป้อง หากแต่มือที่มีแรงมากกว่ากันหลายเท่ากลับยื้อยุดไว้ พลันเสียงกระซิบผะแผ่วก็ดังขึ้นที่ข้างหู

“จะโกรธพี่หรือเปล่า ถ้าขัดใจ”

“อย่า” พระทัยนั้นอ่อนยวบเพียงไรคงมิต้องเอ่ยถึง หากแต่คำพูดนั้นยังมีเรี่ยวแรงพอขัดขืนอยู่บ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามที “พี่ขวัญ”

“โกรธหรือ”

เห็นใบหน้าแดงก่ำไหวไปมาช้าๆ มือนั้นจึงเลื่อนลง จับขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายค่อยๆ กางออก

“ให้พี่เห็นเจ้าชัดๆ สักหน่อยเถิด อย่าอายเลย”

“พี่ขวัญ” เสียงแผ่วกว่าเสียงกระซิบแว่วขึ้นพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ยังคงปัดป้อง ทว่าเสียงนั้นก็หายไปเมื่อขวัญสรวงประทับริมฝีปากลงไปจนแนบสนิท ...สองมือที่ป้องปัดก็เช่นกัน

แสงระยิบระยับเหนือนภาขับขานบทเพลงแห่งรัตติกาล กล่อมผู้คนทั่วทั้งบางกะปิให้หลับใหลใต้แสงสีเงินยวง ทว่าสายนทีแห่งคลองแสนแสบนั้นกลับมีชีวิตชีวาประหลาด ผักบุ้งชูยอดชันเหนือคุ้งน้ำ เย้าหยอกสายลมเย็นดุจเคลื่อนกายไปสู่ความไพเราะของเสียงดนตรีและความอบอุ่นรัญจวนของห้วงรัก

เหนือไปบนฟากฟ้าผืนกว้าง พระจันทร์กำลังทอดทอลำแสงสีอ่อนอำนวยพร ดินดอนอันกว้างใหญ่ค่อยๆ โอบเข้ามาจนเหลือเพียงคนสองคนที่กอดแนบอิงซบกัน ขวัญสรวงกระซิบชวนเจ้าของดวงตาหวานสวยฟังเสียงใบไม้ไหวพลิ้วพรมเป็นสรรพสำเนียงดุริยางค์ไพเราะ อีกทั้งทอดมองสรรพสิ่งอันงดงามที่โรยตัวอยู่รอบๆ

แลในน้ำก็เห็นมัจฉาสองตัวเกี่ยวกระหวัดเริงรื่น พัวพันกันดุจเกลียวกง กลิ้งล้อไปตามระลอกคลื่น ตัวใหญ่ว่ายไวว่อง ตัวน้อยก็โลดเร่งตามไปจนทันกัน แข่งขันกันอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่มีใครยอมใคร ครั้นแลในอากาศ แม้จะเห็นเพียงแสงระยิบระยับดุจดอกมะลิลาที่บานพริบพรั่งทั้งฟ้า แต่ก็แว่วเสียงสกุณาเกี้ยวหยอกกันเสียฉ่ำหวาน เสียงแว่ว เสียงดัง เสียงสูง เสียงต่ำ ล้วนแต่ผสานผสมกันจนมิอาจฟังเป็นศัพท์ภาษา

บนเรือลำน้อยที่จอดเลียบริมฝั่งน้ำ ขวัญสรวงเหยียดกายขึ้นนั่ง ประคับประคองอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม เขาทอดสายตามอง กระทั่งแลเห็นค้างคาวตัวน้อยโฉบลงบนเครือกล้วยน้ำว้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ในไม่ช้ากล้วยน้ำว้าผลที่สุกที่สุด หวานที่สุดก็ค่อยๆ ถูกแทะชิม ทีละนิด...ทีละนิด...จนหมดทั้งผล

ชายหนุ่มทอดสายตามองอย่างอ่อนโยน มองและยิ้มน้อยๆ อยู่อย่างนั้นด้วยความเอ็นดู ขวัญสรวงลูบไล้ฝ่ามือแทรกลงบนเรือนผมอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายช้าๆ ทะนุถนอม มือหนาค่อยๆ ประคองใบหน้าที่คล้ายจะอิ่มอาบไปด้วยแสงอาทิตย์ยามอัสดงขึ้นมา บรรจงจูบโลมไล้อย่างช้าเชื่อง

เรียมลลิตรยกพระหัตถ์ขึ้นลูบใบหน้าที่คมคายตรงหน้า ทอดมองจนเต็มพระเนตร แล้วพระโอษฐ์ก็ถูกประทับซ้ำลงอีกหลายครั้งจนให้อ่อนพระทัย ตัวการนั้นเล่ายังมีหน้ามานั่งยิ้มเบิกบาน จูบเสร็จก็ยิ้มกริ่ม ไม่ก็หัวเราะน้อยๆ ให้พระองค์ทรงขัดเขินอยู่ร่ำไป

ดูเถิด ไม่ทันไรก็จูบอีกแล้ว

เรียมลลิตรขึงสายพระเนตรจนขวัญสรวงถอนริมฝีปากอย่างใคร่จะไม่เต็มใจ เขาจับร่างที่ยังสั่นนิดๆ ให้นั่งนิ่ง มองดวงตาที่กึ่งจะเคืองกึ่งจะเขินคู่นั้นด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ

“ไหนใครกันที่บอกว่าอยากจะนอนกับพี่นัก”

“เงียบเดี๋ยวนี้นะ”

ท่าทางเง้างอดนั้นเรียกรอยยิ้มของผู้ฟังให้แย้มออกกว้างจนเรียมลลิตรทรงเบือนพระพักตร์หนีด้วยทรงขวยเขิน

หริ่งเรไรขับขานบทเพลงไพเราะ ท่ามกลางท่วงทำนองที่มีธรรมชาติเป็นคีตกวีเรียงร้อยนั้น ผีเสื้อหนุ่มตัวหนึ่งกำลังสยายปีกบินร่อนราวกับรู้จักสายลมเป็นอย่างดี มันหยอกเย้าเหล่าบุปผาที่ไม่เคยมีสิ่งใดต้องแตะมาก่อนอย่างสนุกสนาน กระทั่งพานพบกับความงามพิสุทธิ์กว่าสิ่งใดๆ

หนึ่งปทุมคลี่กลีบออกช้าๆ ส่งกลิ่นหอมอัศจรรย์รัญจวน ราวกับร่ายมนตร์เสน่หาให้หนึ่งผีเสื้อหนุ่มชิมชื่น มันแตะลิ้นบนกลีบดอกไม้บางเบาอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวจะฉีกขาด ทว่ากลับดื่มด่ำทิพยรสหวานล้ำเหมือนไม่มีวันอิ่มเอม ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแม้แต่เรียมลลิตรที่ทอดพระเนตรอยู่ถึงกับพระทัยไหวสั่น

“พี่ขวัญ”

เห็นดวงตาหวานฉ่ำทอดมองกลับมา พระทัยก็สะท้านจนเกือบสิ้นพระสุรเสียง

“อย่าเลยครับ มันสกปรก”

เขายิ้มเล็กๆ มาทางพระองค์...แต่ไม่หยุด

ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนลงไปทีละน้อย เพียงอึดใจนับจากนั้น พระอุระก็แทบจะแยกเป็นเสี่ยง

ทรงวางพระหัตถ์บนบ่าที่กว้างแกร่งของเขา หากแต่แค่ทรงแตะลงเพียงผะแผ่ว พระอุระก็พลันสะดุ้งวาบ อากาศในตอนกลางคืนเยือกเย็นราวกับฤดูหนาว ทว่าผิวของคนตัวโตกลับอุ่นด้วยชีวิตชีวาจนทรงอยากประทับองค์ไว้ในอ้อมกอดนั้นชั่วกัปกัลป์

โมงยามแห่งความรักค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ดวงดาวสะท้อนบนผิวน้ำจนคล้ายกำมะหยี่สีดำทาบตาข่ายแพรคลี่กางทับคลองแสนแสบ เรียมลลิตรทรงคลายพระหัตถ์ทั้งสองข้างวางลงบนกาบเรือ พระฉวีซ่านอุ่นไปทั้งพระวรกายเมื่อถูกเขาจูบพรมไปทั่ว

“ขอนะครับ” ขวัญสรวงทอดเสียงกระซิบหวาน

เห็นอีกฝ่ายหลุบสายตาไหวระริกคู่นั้นลง ชายหนุ่มก็ถ่มน้ำลายลงบนมือแล้วชโลมบนร่างกายตัวเองจนฉ่ำชุ่ม เบียดร่างเข้าแทรก สอดลึกตัวเองเข้าไปหลอมรวมกับร่างของอีกฝ่ายช้าๆ

ความรู้สึกอันแปลกประหลาดจู่โจมเรียมลลิตรอย่างโรมรัน ประเดี๋ยวก็ร้อนจนวาบ ซ่านไปทั้งสรรพางค์ ประเดี๋ยวก็หนาวจนยะเยือก แต่ก็ทรงขืนพระทัยนิ่ง ทอดพระเนตรมองผิวน้ำไหวๆ

ฝูงมัจฉามากมายแทรกตัวเข้าไปในกอบัว ตอดกินความฉ่ำหวานไม่รู้อิ่ม ครั้งแล้วครั้งเล่า สะเทือนสะเทิ้นไปทั้งดอกไม้ที่กำลังบานแย้ม น้ำที่เคยนิ่งใสในคลอง บัดนี้คลอนเป็นระลอกแรง ซ่านกระเซ็นเป็นละอองโปรยปรายดั่งสายพิรุณ

ใช่เพียงจะเป็นแค่กระแสลมโยกคะนองอย่างที่เรียมลลิตรทรงคาดคะเนไว้แต่ตอนแรกไม่ ลมฝนนั้นยิ่งนานก็ยิ่งถั่งโถมจนกลายเป็นพายุโหมกระหน่ำ ผิวน้ำตลบขึ้นม้วนเป็นเกลียวคลื่น ซัดสาดนาวาลำน้อยจนโคลงเคลง ร่ำๆ จะแตกเป็นเสี่ยงเสียให้ได้ พายุนั้นยังคงโหมแรงขึ้นราวกับจะป่นปี้ทุกสรรพสิ่งตรงหน้าให้เห็นธุลี ทรงมิอาจทานทนไหว พระกรเล็กๆ จึงยกขึ้นโอบรอบลำคอและบ่าอันแข็งแกร่งของขวัญสรวงด้วยความหวาดพระทัย

“พี่ขวัญ...พี่ขวัญ”

“เจ็บหรือเปล่า” เสียงทุ้มกระซิบถามอย่างสั่นๆ แต่อีกฝ่ายกลับหลบสายตา ขวัญสรวงจึงโอบวงแขนกระชับแน่น แนบทั้งตัวเข้าชิดกับร่างเล็กๆ ที่โยกไหวไปมาอยู่ในอ้อมแขน ไม่ให้แม้แต่สายลมแผ่วพลิ้วเข้ามากั้นขวาง

ใจกลางของพายุลูกนั้น เรียมลลิตรกำลังทอดพระเนตรความงามจนสะกดลมหายใจเบื้องหน้า ท่ามกลางดวงดาราที่พริบพรั่งทั่วผืนฟ้านั้นมีรอยยิ้มของใครคนหนึ่ง สุกสกาวชวนมองยิ่งกว่าความสวยงามใดที่พระองค์ทรงประสบพานพบ ทรงเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นไป ค่อยๆ ซับเหงื่อกาฬเม็ดเล็กๆ ที่ชโลมทั่วทั้งใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม แลลำตัวที่เคลื่อนไหวอย่างแคล่วคล่องนั้น

ที่ลำคอ บ่า หัวไหล่ ที่แผ่นอก หน้าท้อง ลำตัว และสะโพก ทั้งหมดล้วนอุ่นและชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ทิ้งตัวลงเป็นเส้นสายพรายวาว

“พี่ขวัญ เหนื่อยหรือ”

“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบ น้ำเสียงสั่นกระเส่า

ขวัญสรวงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับฝ่ามืออุ่นๆ ที่ลูบไปทั่วใบหน้าเขา มองลึกลงไปในดวงตาที่หวานสวยคู่นั้นพร้อมๆ กับจูบพรมไปทีละนิ้วๆ อย่างเชื่องช้า หากแต่ความหวานซึ้งที่ล้นปรี่อยู่ในอกนั้นกำลังร้องตะโกนบอกว่า ‘เท่านี้คงยังไม่เพียงพอต่อความรู้สึกอันไหลหลั่งมากมายที่มีหรอก ต้องมากกว่านี้ มากยิ่งกว่านี้นัก’ ร่างสูงใหญ่จึงโน้มตัวลงนาบ จูบลงไปบนเรียวปากอุ่นๆ ด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง

จุมพิตอันอ่อนโยนถูกตอบรับด้วยความรู้สึกที่สวยงามทัดเทียมกัน เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองใบหน้าของขวัญสรวงที่เปียกชุ่มจนวามวาวนั้นอีกครั้ง ทรงรู้สึกถึงความอุ่นซ่านบนผิวกายของเขาก่อนจะปิดพระเนตรลงด้วยความสุขอันลึกล้ำ

นิมิตดั่งฝนดาวตกจำนวนมากมายร่วงพรูลงจากฟ้า ทอดยาวเป็นช่อมาลัยดอกพุดขาวบริสุทธิ์วางแนบเหนือพระอุระของเรียมลลิตร

แล้วจุมพิตที่หวานที่สุดก็ประทับลงบนพระโอษฐ์ในห้วงนาทีนั้น




++++++++++++++++++++++++++++++++++++





ตอนนี้เป็นตอนที่มีส่วนคล้ายบทประพันธ์ดั้งเดิม จำเป็นต้องเก็บไว้
นั่นก็คือขวัญและเรียมพลอดรักกันในน้ำ และนับเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องอย่างนึง
ของเดิมคือจากกัดๆ กันจะเปลี่ยนเป็นรักกัน หันมาดีใส่กัน
แต่ที่เขียนนี้จะเปลี่ยนแค่ทั้งคู่รู้แน่แก่ใจว่าใจตรงกันแล้วนั่นเอง

เลิฟซีนนี้เขียนโดยมีเจตนาไปในทางหวานๆ เน้นสวยงามมากกว่าให้แซ่บแสบซ่าน
ทีนี้จะเขียนให้ออกมาเป็นภาษากวีไปเสียหมดก็กลัวคนอ่านจะงงหรือขี้เกียจอ่านไปเสียก่อน
เอาเป็นว่าพูดย่อๆ ก็คือป๊าบๆ กันนั่นแหละ ส่วนจะอ่านแล้วตีความกันออกมาจืดชืดหรือสะเด็ดสะเด่า
อันนี้คงขึ้นอยู่กับจินตนาการของแต่ละคนตอนอ่านแหละนะ ครุคริๆๆ

ตอนนี้คงเห็นชัดแจ้งขึ้นมาแล้วว่าจริงๆ แล้วน้องเรียมเป็นคนมีบุคลิกยังไง
นับว่าเป็นตัวละครที่ฝ่าขนบตัวนางในนิยายพีเรียดทั้งหมด และนี่เป็นเพียงเบาะๆ เท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่เคยบอกว่านิยายพีเรียดเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นพีเรียดแบบปกติแบบใครเขา
ส่วนพระเอก ถ้าใครคิดว่าอินังพี่ขวัญลิเก๊ลิเก ขอบอกว่าพี่แกลิเกกว่านี้อีก เกรียนด้วย
เป็นคุณชายแบบที่ไม่ได้เป็นคุณชายตามขนบนิยายพีเรียดอีกเช่นกัน
คนเขียนเพี้ยนยังไง ตัวละครก็เพี้ยนๆ แบบนั้นแหละ 555555555555555

สำหรับคนที่ชื่นชอบความแปลกและมีรสนิยมการอ่านคล้ายกับคนแต่ง
ก็อยากให้อ่านต่อไปเรื่อยๆ นะ แนวพีเรียดที่ไม่มีดราม่า
อาจจะอ่านยากหน่อยตรงภาษา แต่ก็อ่านแล้วสบายอกสบายใจนะ
พบกันใหม่เมื่อซ่อมเน็ตเรียบร้อยจ้า น่าจะสุดสัปดาห์นี้แหละ ถ้านัดช่างได้นะ

ปล. อยากแถมภาพหมอกธุมเกตุ หมอกธุมเพลิงแต่ไม่สะดวกเพราะเน็ตไม่พร้อม
อธิบายคร่าวๆ แทนก็แล้วกันครับ มันก็คือหมอกที่ลงหนาจัดแบบที่บอกในเรื่องนั่นแหละ
สองอันนี้จะต่างกันตรงหมอกธุมเกตุจะเป็นหมอกที่ลงจัดในช่วงเช้าจนถึงไม่เกินสิบโมง
ส่วนหมอกธุมเพลิงจะเป็นหมอกที่เกิดในช่วงค่ำ ส่วนมากจะเกิดกับช่วงพระอาทิตย์ตกช้า
แต่ในเรื่องนี้เขียนให้เกิดตอนดึกดื่น ไม่ใช่เวลาปกติของทั้งสองช่วงซึ่งถือว่าวิปริตมาก
เจตนาก็เพื่อเป็นลางบอกเหตุว่านังพี่ขวัญไปกินตับดอกฟ้าโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง เอวังด้วยประการฉะนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2015 14:03:47 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Malila

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ่านแล้วเขินนนนนนน :m25:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
โอ้ยยยยยยยย อีบ่าวคนนี้อยากกรีดร้องเจ้าค่า อะไรจะหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าถึงเพียงนี้ พี่ขวัญท่านเกี้ยวซะอยากจะบิดเป็นเลขแปดเสียจริงๆ นางลิเกอย่างที่นักเขียนว่าจริงๆนั่นแหละ ผู้ชายในอุดมคติเลยนะนั่นน่ะ55555 แต่ตอนแรกๆที่ทำให้น้องเรียมเสียใจ ตอนนั้นอยากจะเข้าไปบีบคอนางมาก ทำกับเรียมของเราได้ไงเนี่ย สงสารน้องเป็นที่สุด เรียมซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง น่ารักมากๆ อย่าทำให้น้องเสียใจอีกนะ #ทีมน้องเรียม

ปล.ตอนแรกจะถามเหมือนกันว่าต้องมีซดมาม่าไหม เพราะอ่านเรื่องไหนๆเป็นอันต้องวางมือกลางคัน (ทนดราม่าไม่ได้จริงๆTT) แต่นักเขียนบอกไม่ม่า หวานล้วนงี้ก็สบายใจมากกกกจ้า สำนวนการแต่งเยี่ยมมากเลยค่ะ เรารักเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ^^

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
กรี๊ด นั่งเขินต้องค้างคาวกินกล้วย

โอ๊ย เปรียบเทียบแบบนี้เขิกว่าพูดตรงๆอีกค่า/กุมแก้ม

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
หวานซึ้งตรึงใจ บทอัศจรรย์ก็ละมุนงดงามดีแท้

เอาเพลงมาฝาก กับความรักอันแสนหวานของคู่นี้


https://www.youtube.com/v/hC2v8ma1CvM

ออฟไลน์ maxiyorka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
โอ๊ยน้องเรียมเด็ดมากลูก รุกเข้าไว้ ถ้าน้องเรียมไม่รุกนี่บทอัศจรรย์นี้คงไม่เกิดเพราะพี่ขวัญกำแพงหนาเกิน55555

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
น้องเรียมมมมาแรงมากค่า ทำเอาพี่ขวัญตั้งตัวแทบไม่ติด
หวานจริงอะไรจริงตอนนี้ คนอ่านก็ตั้งตัวไม่ติดค่า
แอบนึกถึงเรื่องยุ่งๆหลังจากนี้นิดหน่อย ด้วยฐานันดรน้องเรียม
รออ่านต่ออยู่นะคะ

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
โหยยย อยากจะกรีดร้องงงง น้องเรียมนางช่างใสซื่อ แล้วก็ซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองมากๆ
ชอบก็บอกว่าชอบ อยากนอนด้วยก็บอกตรงๆ นางน่ารักน่าหยิกจริงๆ
ไม่แปลกใจเลยที่พี่ขวัญไปไหนไม่รอด เห็นตอนแรกร่ำๆ ปฏิเสธน้อง แต่ก็ตกหลุมน้องเรียมจนได้

ภาษาสวยมาก แต่บางทีก็แอบเข้าใจยากไปนิดนึง แต่โดยรวมแล้วมันดีอะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ มาต่อบ่อยๆ น้า  :L2:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เเปะไว้ ในที่สุดก็มาเเล้ว TT

ออฟไลน์ Patronus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เห็นทีว่าจักต้องตามมาเม้นให้โดยพลัน!

ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงก่อนค่ะ จะบอกว่าเพิ่งเจอเรื่องนี้
แล้วคิดว่าตัวเองมาเจอช้าไป และก็เพิ่งจะตามอ่านทันค่ะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องอ่านช้าๆจริงๆค่ะ
ถึงจะซึมซับความสวยของภาษาได้ทั้งหมด
 
เป็นนิยายวายพีเรียดเรื่องแรกที่เลือกอ่าน
และก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ  ชอบมากๆเลย

จะรอติดตามเรื่องนี้ไปจนจบ (ได้โปรดรวมเล่มด้วยเถอะค่ะ)
 

 o13 o13 o13 o13 o13 o13


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
บทนี้หวานมากกกก
น้องเรียมของพี่ น่าเอ็นดูเสียจริงๆ
้อ้อนขอกันตรงๆแบบนี้พี่ขวัญจะอดใจไหวได้อย่างไร
พี่ขวัญก็หวานซะมดเรียกพี่  :-[

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

"ฝูงมัจฉามากมายแทรกตัวเข้าไปในกอบัว ตอดกินความฉ่ำหวานไม่รู้อิ่ม ครั้งแล้วครั้งเล่า สะเทือนสะเทิ้นไปทั้งดอกไม้ที่กำลังบานแย้ม น้ำที่เคยนิ่งใสในคลอง บัดนี้คลอนเป็นระลอกแรง ซ่านกระเซ็นเป็นละอองโปรยปรายดั่งสายพิรุงมัจฉามากมายแทรกตัวเข้าไปในกอบัว ตอดกินความฉ่ำหวานไม่รู้อิ่ม ครั้งแล้วครั้งเล่า สะเทือนสะเทิ้นไปทั้งดอกไม้ที่กำลังบานแย้ม น้ำที่เคยนิ่งใสในคลอง บัดนี้คลอนเป็นระลอกแรง ซ่านกระเซ็นเป็นละอองโปรยปรายดั่งสายพิรุณ"

ฝูงมัจฉามันมากกว่าหนึ่งนะคะ 555

ปล.อิพี่ขวัญนี่ยังไง ตอนแรกน้องชวนเหมือนจะไม่กิน พอน้องไม่ให้กิน พี่ขวัญกินเฉยย รักพี่ขวัญ อร๊ายยยย  :o8:

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ฮื้ออออ นิยายดีๆแบบนี้ทำไมพึ่งมาอ่านเจอออออ เค้าป่ะๆๆกันแล้วววว มาต่อไวๆน้า ปูเสื่อรอเลยค่ะ ชอบมากกก

ออฟไลน์ MysteriOuS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอฉันรอเธออยู่ ~~~  :mew1:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
บนเรืออออออ กลางน้ำ โรแมนติกมากกกก คิคิ ฟินนนนนน

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ฉันรอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะพ่อขวัญแม่เรียม..

ออฟไลน์ mink2538

  • เว็บสำหรับคนพันธุ์ Y
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
บอกเลยว่าชอบนิยายเรื่องนี้มากเลย
น่ารักทั้งพี่ขวัญ น้องเรียม
ถ้าคนแต่งว่างก็มาต่อบ่อยๆนะค้า >~<
 :L1:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ข้อดีของคนโสดอย่างนึงก็คือการไม่มีคู่ไปลอยกระทง เลยมีเวลาแต่งนิยายมาอัพนั่นเอง  :hao5:

เนื่องจากอัพช้ามาก เลยขอย้อนกลับไปตอนที่แล้วนิดนึงนะครับ
ในตอนที่แล้ว หลังจากบักจ้อยมาแทะโลมน้องเรียมที่แอบหนีมาเล่นน้ำแล้ว
น้องก็เล่นน้ำสบายอกสบายใจจนกระทั่งเจอนังพี่ขวัญ
คราวนี้ล่ะแหม่........ก็สมใจนังพี่ขวัญเขาแหละนะ
เข้าสู่ตอนต่อไป เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อ ต้องติดตาม 55555



+++++++++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ ๑๖




จ้อยยืนกอดอก มองเมล็ดข้าวค่อยๆ ฝัดออกจากเปลือกสีเหลืองทอง กลายเป็นเมล็ดข้าวขาวใส วันนี้ชายหนุ่มตื่นแต่เช้า แถมเข้ามาที่โรงสีที่เป็นกิจการทำรายได้หลักของครอบครัว ใบหน้าหม่นหมองเมื่อหลายวันที่ผ่านมา บัดนี้กลับดูรื่นรมย์ ยิ้มแย้มผ่องใสจนแม้แต่กำนันจงรักหันมามองหน้าเมียของตนด้วยความฉงน สะอิ้งนั้นรู้ว่าผู้เป็นสามีคงมีคำถามอยู่ในใจไม่น้อย หล่อนจึงพูดเปรยๆ ด้วยนิสัยตามใจลูกจนเคยปาก

“จะว่าไปลูกของเรามันก็ขยันนะพ่อ อีกไม่นานหรอก จ้อยมันคงลงมาช่วยพ่อเต็มตัว กิจการใหญ่โต ทีนี้แหละ ไอ้พวกปากหอยปากปูมันคงทำหน้ากันไม่ถูก คราวนี้อิฉันจะหัวร่อให้ดังทั้งคุ้งไปสามวันเจ็ดวัน”

“เป็นอย่างนั้นได้จริงก็ดี กลัวว่าที่มันลุกขึ้นมาเอาการเอางานได้ก็ไม่พ้นเรื่องสาว”

“เอ๊า! พ่อจะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูก ขยันก็คือขยัน จะเพราะเหตุอะไรมันต่างกันตรงไหน ดีเสียอีกที่แม่น้ำทิพย์นั่นทำให้ลูกของเรารู้จักรับผิดชอบ โตเป็นผู้ใหญ่”

“น้ำทิพย์? ลูกนังบานชื่นนั่นหรือ”

“จะใครเสียอีกล่ะ” สะอิ้งยิ้มมีลับลมคมใน “เมื่อวานไอ้ศักดิ์มันมารายงานว่าตาจ้อยบอกให้พายเรือไปหาแม่ทิพย์ ความรักในวัยหนุ่มสาวก็แบบนี้แหละค่ะพี่ พอทะเลาะกันนิดหน่อยก็ไม่มีแก่ใจจะทำอะไร พอดีกัน จิตใจมันค่อยมีกำลัง”

กำนันจงรักทอดถอนใจ ยังไม่เชื่อคำพูดของเมียตนเสียทีเดียวนัก

เมื่อเห็นสามีเอาแต่นิ่ง สะอิ้งก็รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรให้เขาคล้อยตามไปด้วย “ดีเสียอีก นายทับกับแม่บานชื่นนั่นทรัพย์สินก็ไม่ได้ขี้ริ้วเสียทีเดียว ที่นาตั้งหลายสิบไร่ แต่งกันไป มันก็เหมือนกลายเป็นของเรา”

สีหน้าที่คลายออกของกำนันจงรักทำให้สะอิ้งรู้สึกสบายใจขึ้นมาก หล่อนเริ่มมองเห็นอนาคตรำไรว่าอีกไม่ช้าคงได้กลายมาเป็นทองแผ่นเดียวกัน จัดงานมงคลใหญ่โต

ไม่รู้เลยว่าอาการคล้ายกับคนตกอยู่ในห้วงรักของลูกชายนั้นไม่ได้มาจากเด็กสาวที่ชื่อน้ำทิพย์ ทว่ามาจากพระวงศ์พระองค์หนึ่งที่ประทับอยู่ ณ ตำหนักหลังใหญ่เยื้องกัน





ความเบิกบานของจ้อยนั้นเผื่อแผ่ไปถึงจันดีด้วย พออารมณ์ดี เขาก็มีน้ำใจไปรับจันดีมาจากคณะลิเก พากันไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ตลาดให้เธอ

วันนี้จ้อยตามใจจันดีมากกว่าทุกวัน เขาซื้อเครื่องสำอางให้หล่อนหลายชิ้น เครื่องประดับประเภทต่างหู กำไล แต่ละอย่างสนนราคาไม่ใช่น้อย ดูอย่างเช่นสร้อยข้อมือทองคำลายตีนตะขาบนั่นปะไร เขาซื้อให้โดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดชั่งใจ เขาแค่มองผ่านๆ แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี พูดกับหล่อนว่า

“สวยดี ชอบหรือเปล่าล่ะ ถ้าชอบ พี่จะซื้อให้”

ถ้าเป็นจ้อยในยามปรกติ เขาคงจะไม่ตามใจหล่อนมาถึงเพียงนี้ จันดีสงสัยเป็นยิ่งนัก แต่ก็สงบปากสงบคำอย่างรู้งาน หล่อนฉลาดเฉลียวพอจะไม่แกว่งใบให้เรือเสีย แต่ก็แอบลอบไปถามนายศักดิ์จนพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้





คนอารมณ์ดีเพราะพระวงศ์พระองค์เดียวกันนั้นไม่ดีมีเพียงแค่จ้อย ใครคนหนึ่งก็อยู่ในอาการปราโมทย์ไม่หยุดนับตั้งแต่กลับมาจากบางกะปิ

หม่อมแม้นพิศพูดถึงเพื่อนบ้านคนใหม่โดยที่ไม่ทราบถึงพระยศอันสูงส่งของอีกฝ่ายให้ผู้เป็นสามีฟังไม่หยุด

“อะไรกัน ดีขนาดนั้นเทียวรึ” หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตปรารภขึ้นด้วยความสนพระทัย ทรงวุ่นวายกับงานราชการในกระทรวงเสียจนลืมนึกถึงเพื่อนบ้านที่มาอยู่ใหม่ข้างคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ไปเสียแล้วด้วยซ้ำ จำได้เพียงเลือนๆ แต่นึกไม่ออกว่าชื่อกระไร

“เรียมค่ะ ชื่อเรียม” หม่อมแม้นพิศตอบพร้อมรอยยิ้ม “อิฉันอยากให้พี่เขียนได้เห็นเสียจริงค่ะ เธองามอย่างกับตุ๊กตากระเบื้องของฝรั่ง แต่กิริยานี้ซี น่ารักน่าเอ็นดู”

“ฉันว่าก็นับว่าเป็นเรื่องดี เจ้าขวัญได้มีสหายดีๆ เพิ่มขึ้นอีกคน”

คนที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับมุ่ยหน้า “อุ๊ย! อย่าไปนับรวมกับพวกนายกานต์ นายเฉ่ง นายสมิงนั่นซีคะ อิฉันปวดหัวกับพวกนั้นเหลือเกิน แต่ละคน ปรูดปราดเสียจนอิฉันอ่อนใจ”

รอยสรวลผุดผาดขึ้นบนใบหน้าสุขุมของผู้เป็นบิดา ทรงนิ่งเฉยอยู่สักพักก่อนจะตรัสขึ้น “จริงๆ เจ้าขวัญก็โตแล้ว มีสหายดีมากมาย เห็นว่าคราวนี้ควรมีเมียดีเสียที หม่อมคิดว่าอย่างไร ถ้าเดาไม่ผิด ฉันว่านี่ก็กำลังมองหาอยู่ใช่ไหม”

“ที่มองๆ ไว้จะว่ามีก็มีค่ะ แต่จะว่าไม่มีก็ไม่มี อิฉันเห็นว่าพอจะเข้ากันได้ก็มีคนหนึ่ง สวยเทียวค่ะ กิริยางาม แต่ก็รู้สึกยังไม่ถูกใจ” พูดถึงตรงนี้ หม่อมแม้นพิศก็ทอดถอนลมหายใจ




+++++++++++++++++++++++++++++




ต้นเหตุที่ทำให้หม่อมแม้นพิศทดท้อใจอยู่นั้นมิได้กังวลเรื่องการสร้างครอบครัวแบบที่ผู้เป็นมารดากำลังเป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย ขวัญสรวงศึกษาอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน เขาจึงเห็นว่าความรักนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าแค่การหมั้นหมาย สมรส ปลูกเรือน และมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล หลายคู่แต่งงานกันไปเพียงเพราะเหมาะสมแต่กลับไม่อาจประคองนาวาให้ล่องถึงฝั่งได้เพราะปราศจากความรักและความเข้าใจที่คอยหนุนเกื้อ บางคู่ต้องหย่าร้างเป็นข่าวฉาวไปทั่วทั้งที่สังคมต่างมองว่าเหมาะสมกันเหลือเกิน

หม่อมแม้นพิศก็คงตระหนักถึงความจริงในข้อนี้อยู่ไม่น้อย ถึงใจอยากจะเห็นลูกชายเพียงคนเดียวเป็นฝั่งฝาแค่ไหน ก็ได้แต่ลอบถามเป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่เคยออกปากอย่างจริงจัง

ขวัญสรวงจึงคิดอยู่เสมอว่าหากไม่ได้พบกับคนที่ตนคิดจะร่วมเดินเคียงข้างกันไปจนชั่วอายุขัย ก็จะครองตัวเป็นโสด ไม่สมรสกับใคร แต่นั่นเป็นเพียงความคิดก่อนที่เขาจะได้พบกับคนที่เดินอยู่เคียงข้างในยามนี้

หม่อมแม้นพิศจะว่ากระไรบ้างหนอที่เขาได้พบกับคนคนนั้นแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ขวัญสรวงมิอาจคาดเดาได้เลย ลมเอื่อยๆ พัดใบไม้ให้ไหวลู่ ชายหนุ่มก้าวขาตามเงาที่ทอดยาวของคนตรงหน้า สลัดความคิดวุ่นวายในหัวออกไป

“พี่เพิ่งทราบข่าวเรื่องคุณจินดา ภรรยาของคุณเริญจากนมละเอียดเมื่อสาย เห็นว่าท้องอ่อนๆ ได้สองเดือนแล้ว พี่ขอแสดงความยินดีด้วย”

สีพระพักตร์เรียบนิ่งของเรียมลลิตรคล้ายจะมีรอยเยื้อนแย้มฉาบฉานในพระกาฬเนตร ทรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปีติเป็นล้นพ้น “ขอบคุณครับ พี่ดาโทรศัพท์มาบอกเมื่อเช้า พี่เริญดีใจใหญ่ ผมเองก็ดีใจ อธิปได้โทรเลขไปเรียนคุณพ่อและคุณแม่ที่ต่างประเทศแล้ว พอสะดวกท่านคงจะโทรศัพท์กลับมายินดี คุณแม่ท่านเคยเปรยว่าอยากอุ้มหลานไวๆ”

เวลาดีใจมากๆ เรียมมักจะเปลี่ยนเป็นคนช่างเจรจาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ท่าทางสงบสง่าก็คลายออกคล้ายกับเด็กหนุ่มที่โตไม่เท่าไรไม่มีผิด จะเรียกว่าเหมือนกับเจ้าเทพตอนที่เริ่มเป่าขลุ่ยเป็นเพลงก็ว่าได้

“ที่พาพี่มาเดินริมน้ำ น้องคงไม่ได้อยากจะมีหลานให้คุณแม่อุ้มบ้างใช่ไหม” ขวัญสรวงกลั้นรอยยิ้มสุดกำลังในตอนที่กระซิบถามข้างใบหูของคนข้างๆ “พี่ไม่รู้เลย แท้จริงแล้วน้องเป็นคนทะลึ่งดอกหรือ”

อะไรกันนะที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายปากพล่อยเช่นนี้ แต่ดูเถอะดู ดูใบหูที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีระเรื่อนั้นซี แล้วจะให้เขาอดทนขรึมนิ่งได้ไหวหรือ

“เราสองคนต้องช่วยกันแล้วล่ะ จะยอมแพ้พี่เริญได้อย่างไร จริงไหม”

เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองคนเอ่ยถามอยู่พักใหญ่ พระโอษฐ์นั้นเล่า คล้ายกับต้องใช้เวลานานเนิ่นจึงกลั่นพระสุรเสียงออกมาผะแผ่วได้

“หยาบคาย”

ฟังสิ นี่เป็นคำตำหนิที่เจ้าตัวคงหมายมาดว่าแสบสันต์ที่สุดแล้วกระมัง ขวัญสรวงเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อสบกับความกรุ่นในแววตาหวานสวยคู่นั้น

“เงียบไปเลยนะ” เสียงที่เคยเรียบราบ บัดนี้แสดงออกถึงความบึ้งตึงไม่มิดเม้ม

“ไม่ลงก็ไม่ลง” เย้าพอสมควรแล้วขวัญสรวงก็ไม่คิดจะล่วงล้ำน้ำใจอีก ชายหนุ่มยกแขนขึ้นแตะข้อศอกของคนหน้ามุ่ยเบาๆ เสียงอุ่นทุ้มแว่วขึ้นเบาๆ ด้วยความห่วงใย “เมื่อคืน...เป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วง”

พอเรียมลลิตรสบกับดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น เสียงขรึมก็เอ่ยถามอีกครั้ง “รู้สึกไม่สบายตัวบ้างหรือเปล่า”

ทรงผละจากคนที่ยืนอยู่ ย่างพระบาทไปอีกสองสามก้าว พระองค์ก็ทอดพระเนตรมองหมู่พรรณพฤกษาที่เอนลู่ตามแรงลม ก่อนจะตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้แค่ง่วงนิดหน่อย อยากนอนตื่นสายๆ”

อีกแล้ว ท่าทางแบบนั้นทำให้ขวัญสรวงอดไม่ได้อีกแล้ว

“เห็นนมละเอียดบอกว่าน้องตื่นตอนบ่ายโมง พี่ว่านี่ไม่ใช่แค่สายเสียแล้วกระมัง” พูดจบ ชายหนุ่มก็ยิ้มกริ่ม เห็นอีกฝ่ายมองกลับตาเขียว เขาก็แกล้งทำท่าตกใจ “อะไร มองพี่แบบนี้หรือว่าง่วงอีกแล้ว”

“ใช่เสียที่ไหน”

“มานี่สิ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถ้าง่วงก็ซบบ่าพี่ก็ได้” ไม่พูดเปล่า เจ้าของน้ำเสียงเบิกบานก็โอบคนข้างๆ ทั้งตัวไว้เต็มอ้อมแขน พลางยกมือข้างหนึ่งไปกุมมืออีกฝ่ายขึ้นมาวางแนบอก “อุ่นนะ จับดูสิ”

“ปล่อยนะ” พระสุรเสียงที่เรียบเฉย บัดนี้กลับตะกุกตะกักขัดพระทัยยิ่งนัก “ไม่ได้ง่วง ตื่นแล้ว”

“เอ๊า เมื่อกี้ยังบอกว่าง่วง” ขวัญสรวงแกสร้งไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าของบ่ากว้างพยักหน้าที่กลัดรอยยิ้มไว้เหนือมุมปาก วงแขนและมือไม่ได้คลายออกแต่เปลี่ยนเป็นกระชับหลวมๆ พอให้สบาย “ไม่ง่วงก็ช่วยยืนเฉยๆ เถิด หรือจะแกล้งทำเป็นง่วงก็ได้ พี่อยากกอดเจ้า ไม่รู้เลยหรือไร”

เมื่อคนในอ้อมกอดยืนนิ่ง ไม่ขัดขืน ดวงตาคมกริบสีดำขลับก็ค่อยๆ อ่อนลง มันหวานเชื่อมราวกับน้ำตาลที่เคี่ยวจนไหม้ “ตอนนี้ก็เป็นน้าเรียมแล้วสินะ”

ขวัญสรวงทอดสายตามองอยู่อย่างนั้น มองจนอีกฝ่ายเบือนหน้าไปมองแมลงปอตัวน้อยๆ ที่โฉบลงมาแตะผิวน้ำราวกับสนอกสนใจเป็นนักหนา

ในเวลานั้นเองที่เสียงกระซิบแว่วขึ้นเหนือกระหม่อมของคนที่ฝังตัวอยู่ในวงแขน “เป็นอะไร น้าเรียมเขินหรือครับ”





แทบไม่น่าเชื่อว่าบรรยากาศอันอ่อนหวานนี้จะเกิดขึ้นในตำหนักน้อยแห่งนี้ ท่ามกลางความอลหม่านวุ่นวายที่แทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นจลาจลก็ไม่ผิด จะแตกต่างก็เพียงแค่ทุกแห่งหนนั้นอบอวลไปด้วยความชื่นมื่น สุขใจ

“ตอนนี้ที่วังใหญ่คงวุ่นกันน่าดู ฉันเองเห็นทีคงต้องเข้าพระนคร ไปหาหม่อมจินดาแล้วก็ว่าจะพากันเลยไปที่พระบรมมหาราชวัง แจ้งข่าวแก่พระญาติพระวงศ์เสียหน่อย” เริญดนุภพตรัสขึ้นขณะฉลองพระองค์ที่หน้าพระฉาย พระพักตร์เปี่ยมด้วยความปีติอย่างเห็นได้ชัด “ว่าแต่เรียมอยู่ไหนหรืออธิป ว่าจะชวนเข้าไปกราบเด็จป้าเสียด้วยกัน ทรงเคยเปรยๆ ว่าคิดถึง”

พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยกาญจนา ผู้เป็นพระเชษฐภคินีของเสด็จพ่อนั้นทรงโปรดเรียมลลิตรดังพระโอรส มักจะทรงตรัสถามถึงตลอด หากเริญดนุภพจะเข้าไปกราบ แจ้งข่าวเรื่องเกี่ยวกับหม่อมจินดาตั้งครรภ์อ่อนๆ พระองค์ท่านย่อมต้องตรัสถึงเรียมลลิตรด้วยทรงคิดถึงเป็นแน่แท้

“น่าจะเดินเล่นอยู่ที่ริมน้ำครับ ถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะนั่งเล่นอยู่ที่คฤหาสน์ขัตติพงศ์กับคุณชายขวัญ”

เริญดนุภพจึงทอดพระเนตรออกไปทางเฉลียงรับลมทางทิศใต้ เพียงครู่ก็ได้เห็นร่างของทั้งสองคนเดินเลียบริมน้ำ ทอดพระเนตรอยู่ครู่ใหญ่จึงตรัสถามอธิปด้วยพระสุรเสียงที่อ่านความรู้สึกไม่ออก

“สองคนนั้นสนิทสนมกันมากหรือ”

อธิปนิ่งไปชั่วอึดใจจึงเอ่ยขึ้น ไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่เป็นคำขอโทษ “โปรดยกโทษให้กระผมด้วยเถิดครับ ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นเพื่อนคุยได้ไม่สนุก ซ้ำยังต้องเดินทางเข้าพระนครด้วยเรื่องคุณแม่เสียหลายวัน คุณเรียมอยู่ที่นี่คนเดียวคงจะเหงา เลยมีคุณชายขวัญเป็นเพื่อน”

ใช่ว่าอธิปจะมองไม่เห็นความผิดปรกติระหว่างคุณชายขัตติยพงศ์กับพระผู้เป็นนายของตน เพียงแค่ยังไม่แน่ใจเท่านั้น แต่เพราะเขาเห็นว่าคุณชายขวัญสรวงไม่ได้มีเจตนาร้าย อีกทั้งหลายต่อหลายครั้งก็ได้ประจักษ์แล้วว่าเลือดขัตติยพงศ์ผู้นี้มีน้ำใจกับผู้เป็นนายของตนเช่นไร ชายหนุ่มจึงอยากจะดูสถานการณ์อีกสักพัก หากเห็นว่ามีสิ่งใดผิดปรกติจริงๆ อธิปก็ไม่ลังเลที่จะแจ้งให้พระองค์เริญทราบอย่างแน่นอน

ทว่าเห็นสายพระเนตรที่ทอดมองนิ่งอยู่อย่างนั้น อธิปก็เอ่ยต่อด้วยความไม่สบายใจ “เป็นธรรมดาที่ทราบข่าวดีของคุณเริญ คุณเรียมคงอยากจะแจ้งให้คุณชายขวัญที่นับถือกันเป็นเพื่อนให้ทราบครับ”

เริญดนุภพนั้นเป็นคนสุขุมรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ทรงรู้ทันว่าอธิปหรือนมละเอียดนั้นชอบตามใจพระอนุชาแค่ไหน ใช่เพียงแต่บรรดาบริวารบ่าวไพร่ แม้แต่พระบิดา หม่อมมาร์โจลี พระมารดา เสด็จป้า หรือแม้แต่ตัวของพระองค์เองก็อดที่จะตามใจเรียมลลิตรไม่ได้ ข้อนี้หากจะตำหนิผู้ใด พระองค์ก็คงต้องตำหนิตนเองเช่นกัน

“เพลางานลงเสียบ้างเถอะ ถ้าไม่ได้รีบร้อนอะไรก็ช่วยเป็นเพื่อนคุยกับน้องชายของเราหน่อยเป็นไร เรียมจะได้ไม่เหงาจนต้องไปรบกวนคุณชายขวัญ บ่อยครั้งเขาอาจจะว่าเอาได้ เรื่องแบบนี้ถึงเขาไม่ได้ติดขัดอะไร แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลให้เราเอาเปรียบไมตรีของเขา กันไว้เสียเนิ่นๆ ดีกว่าจะให้วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอกทีหลัง” เริญดนุภพตรัสด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนลง

“เข้าไปขัดตอนนี้คงจะไม่เหมาะ ไม่เป็นไร เอาไว้ถ้าคุณเรียมกลับมาค่อยถามดู ถ้าเจ้าตัวอยากจะเข้าไปในพระนคร อธิปก็ช่วยเป็นธุระให้ฉันที ฉันคงต้องไปก่อน ช้าประเดี๋ยวจะค่ำ” ตรัสจบก็ทรงหยิบฉลองพระองค์ขึ้น ก่อนจะเด็จพระราชดำเนินออกกลับเข้าไปที่วังใหญ่ก็ทรงกำชับอธิปอีกครั้ง “แดดลงจัด อธิปปิดบานหน้าต่างฝั่งนี้ทั้งหมดเสียเถิด จะได้ไม่ร้อน”

ในพระทัยของเริญดนุภพนั้นมิได้ทรงเชื่อในคำพูดของอธิปเสียทีเดียว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่

ลำพังแค่เรื่องเรียมลลิตรมีความรักนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่กระไร แต่เรื่องที่หากคนรักนั้นมิใช่หญิงสาวรูปร่างบอบบาง กลับเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายที่สตรีทั้งพระนครเฝ้าฝันถึงนั้นต่างหากที่น่าหนักใจ

แม้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะเป็นหน่อเนื้อ สืบเชื้อสายจากเชื้อพระวงศ์ที่เหมาะสมก็ตามที



++++++++++++++++++++++++++++++++




ยังมีต่อด้านล่างนะครับ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ต่อครับ






พิรงรองมีนัดชมภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องใหม่ซึ่งเป็นรอบกาล่า ทางโรงภาพยนตร์ของกานต์จะบริจาครายได้ทั้งหมดจากการขายตั๋วให้กับมูลนิธิเด็กกำพร้าเพื่อการกุศล แม้ว่าในใจของพิษณุนั้นไม่อยากจะให้พิรงรองเข้าไปสนิทสนมรู้จักกับนายกานต์ที่เขาไม่ใคร่จะถูกชะตาเสียเท่าไร แต่เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของน้องสาวแล้วก็ไม่อาจทัดทานได้

กระนั้นเขาก็ไม่อยากไว้วางใจ พิษณุจึงเอ่ยปากว่าจะมาส่งและรับพิรงรองกลับที่โรงภาพยนตร์ด้วยตนเอง

ตามเวลาแล้วภาพยนตร์น่าจะเพิ่งฉายจบไป เวลานี้ผู้คนในโถงดูพลุกพล่าน ทว่าท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น กลับมีชายผู้หนึ่งในชุดสูทสีดำสนิทที่ดูโดดเด่นกว่าใคร อาจเพราะความคล่องแคล่วของเขา หรืออาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวดูจะขยันโปรยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ชวนมองนั้นให้คนไปทั่ว

“รู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่โรงหนังของเรามีโอกาสต้อนรับสุภาพสตรีสาวสายแบบคุณ สวยแล้วยังใจบุญอีกนะครับ”

“คุณกานต์ต่างหากล่ะคะที่เป็นคนใจบุญ ฉายหนังสนุกๆ ขนาดนี้ แต่คุณกลับไม่ได้อะไรเลย”

ใบหน้าชวนมองไหวไปมานิดๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะโน้มตัวลง กระซิบกระซาบใกล้ๆ กับหญิงสาวคนนั้น “อย่าเอ็ดไปนะครับ กำไรของผมก็คือการได้เห็นสุภาพสตรีแสนสวยมากมายนี่อย่างไรกันครับ ตัวอย่างก็เช่นคุณ”

ทว่าทั้งหมดกลับได้ยินเต็มหูของพิษณุที่บังเอิญเดินผ่านทางด้านหลัง

ไอ้ผู้ชายใช้ไม่ได้ เจ้าชู้ประตูดินแบบนี้จะให้หนูอุ่นเข้าใกล้ได้อย่างไรกัน! เขามองตามกานต์อยู่ห่างๆ เห็นเจ้าของโรงภาพยนตร์รูปหล่อเดินทักทายสาวน้อยคนนั้นคนนี้อยู่เกือบครึ่งชั่วโมงจนกระทั่งเดินไปหากัลยา เพื่อนสนิทของพิรงรองที่ยืนคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ที่มุมหนึ่งที่ไม่ค่อยสะดุดตานัก ชายหนุ่มจึงตั้งใจมองอย่างสังเกต ไม่ให้คลาดสายตา





กานต์เดินเข้าไปทักทายน้องสาวของตน ก่อนจะหันมาทักทายพิรงรองด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาสอบถามเธอและเพื่อนๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่เพิ่งดูจบไป ปิดท้ายด้วยการชวนคุยเรื่องเกี่ยวกับของสวยๆ งามๆ แบบที่ผู้หญิงชอบ แฟชั่น ทรงผม และดนตรีที่กำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศเพื่อไม่ให้พวกเธอเบื่อหน่าย

“พี่เจอน้ำหอมตัวใหม่ กลิ่นคล้ายๆ กับวานิลลา ซื้อมาฝากกัลกับเพื่อนๆ ด้วย”

“ตายจริง แบบนี้กัลไม่กลายเป็นไอศกรีมวานิลลาเคลื่อนที่ได้หรอกหรือคะ แค่ได้ยินก็กลัวแล้ว” กัลยาทำหน้าบอกไม่ถูกจนเพื่อนๆ พากันหัวเราะ แม้แต่กานต์ก็อดที่จะขำอย่างเอ็นดูน้องสาวของตัวเองไม่ได้

“จะว่าไปกลิ่นมันก็คล้ายกับไอศกรีมวานิลลาจริงๆ นั่นแหละ แต่หอม...หอมมาก พี่เทสต์มาแล้ว รับประกัน ใครที่ฉีดน้ำหอมกลิ่นนี้พี่คงอยากอยู่ใกล้ๆ ทั้งวัน หญิงอุ่นลองเอาไปใช้ดูนะครับ”

พิรงรองทำหน้าแหย “หญิงไม่ถนัดฉีดน้ำหอมน่ะสิคะ หญิงว่า...จะสวยทั้งที ทำไมมันยุ่งยากนักก็ไม่รู้”

“รับไปก่อนเถอะ ได้กลิ่นแล้วอาจจะเปลี่ยนใจ” เขากระซิบ “แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าทิ้งนะ พี่เสียดาย ซื้อมาตั้งแพง พี่อนุญาตให้แอบยกให้คุณแม่ก็ได้ แต่อยากบอกนะว่าพี่ซื้อมาให้หญิงอุ่นแล้วหญิงอุ่นไม่ยอมใช้ ไม่อย่างนั้นพี่ได้โดนดุแน่ๆ”

“ได้ค่ะ หญิงรับปากว่าจะโกหกอย่างแนบเนียน ไม่ให้ใครจับได้แน่นอน” พิรงรองหัวเราะอย่างนึกสนุก ก่อนจะหันมาแกล้งตีหน้าเศร้า กึ่งออดอ้อนกึ่งทวงสัญญา “ว่าแต่พี่กานต์จะไม่พาหญิงไปหาพี่ขวัญจริงๆ หรือคะ หญิงเบื่อในเมืองจะแย่แล้ว ผู้คนวุ่นวายกันไปหมด อยากไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง เป็นญาติกันแท้ๆ แต่แทบจะไม่ได้เจอ ตอนงานหญิงก็ไปไหนไม่รู้ แทบจะไม่ได้คุยกัน”

คนฟังทอดถอนใจอย่างรู้สึกผิด ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะพาเธอไป กานต์เองก็เบื่อการเข้าสังคมกับเหล่านักเรียนนอกขี้เต๊ะใจจะขาด แต่ตอนนี้ งานที่นี่ เขาก็ทิ้งไม่ได้จริงๆ “ช่วงนี้ที่โรงหนังวุ่นจริงๆ พี่ต้องคอยดูทุกวัน ปลีกตัวแทบไม่ได้เลย”

เห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทหมองลง กัลยาจึงช่วยเสริมอีกแรง “จริงๆ นะหญิงอุ่น ช่วงนี้พี่กานต์ยุ่งจริงๆ”

“ไม่รู้ละ พี่กานต์จำได้หรือเปล่าคะว่าตอนนั้นที่พี่กานต์ไม่ยอมไปงานเลี้ยงต้อนรับหญิงกลับมาจากปีนัง พี่กานต์สัญญาว่าจะชดเชยอะไรกับหญิงไว้”

“เอ๊ะ...อะไรน้า” กานต์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาล้วงสองมือลงในกระเป๋ากางเกงทำหน้านึก ก่อนจะยืดหลังตัวตรงสง่าพร้อมประดับรอยยิ้มอย่างหนุ่มเจ้าสังคมทรงเสน่ห์ชวนหลงใหล “พี่พูดว่าหญิงจะขออะไรก็ได้หนึ่งอย่างไง พี่ไม่ลืมหรอก เอาแบบนี้ไหม ให้พี่พาไปทานอาหารอร่อยๆ ทานกันก่อน ถือว่าเป็นการชดเชย”

“ที่ไหนคะ” กลุ่มสาวๆ รบเร้าทันที

“ภัตตาคารเพนนินซูลาดีไหม ที่นานอาหารอร่อย จากนั้นพอว่างเมื่อไร พี่จะรีบพาหญิงอุ่นกับกัลไปหาเจ้าขวัญทันที”

พิรงรองครุ่นคิดแต่เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของพี่ชายเดินตรงมาหา หญิงสาวจึงสลัดอาการคิดไม่ตกนั้นออกไป หันมาทักทายพี่ชายที่ยุ่งแสนยุ่งตลอดเวลากลับอุตส่าห์เป็นธุระขับรถมารับส่งให้กับเธอในวันนี้

หญิงสาวยังไม่ทันจะยกมือไหว้ดี พิษณุก็เดินเข้ามากอดอกยืนแทรกกลางระหว่างกานต์กับเธอราวกับไม่เห็นว่ายังมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ตรงนั้น

“พี่ชายทานอะไรมาหรือยัง รับเครื่องดื่มอะไรเย็นๆ หน่อยไหมคะ จะได้ชื่นใจ”

“พี่เรียบร้อยมาแล้ว” เสียงเข้มขรึมของพิษณุทำเอากลุ่มสาวๆ รู้สึกอึดอัดนิดๆ ไม่เว้นแม้แต่พิรงรองที่เขม้นมองพี่ชายของตนด้วยความแปลกใจ สงสัยเสียจริงว่าวันนี้พี่ชายตัวดีของเธอไปกินรังแตนมาจากไหน ทว่าพิษณุยังดูนิ่งเฉยไม่รับไม่รู้

“แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่หรือ” เขาถาม

“หลายเรื่องเทียวค่ะ” พิรงรองตอบ ยังคงแปลกแปร่งอยู่ในใจไม่หาย จนเมื่อเขาถามซ้ำนั่นแหละ เธอจึงตอบคำถามได้ “เอ...เมื่อกี้พูดถึงอะไรอยู่นะ จริงสิ เรื่องภัตตาคารเพนนินซูลา”

ได้ยินแล้วสีหน้าของพิษณุขมึงเครียดขึ้นทันที ทว่าชายหนุ่มตัวปัญหานั่นเล่ายังคงสงบนิ่ง ยิ้มละไมเป็นปรกติของเขา

“ใช่ครับ ภัตตาคารเพนนินซูลาหรือที่หนังสือพิมพ์เรียกว่า ‘ภัตตาคารกินรีนาวา’ กำลังเป็นที่นิยมเลยครับ”

กานต์ชินแล้วกับการรองรับอารมณ์ที่หลากหลายของลูกค้า การทำงานแบบนี้ทำให้เขาต้องเทคแคร์ผู้คนมากมาย และไม่มีครั้งใดที่ลูกค้าผู้แสนบึ้งตึงจะไม่อ่อนลงเพราะความดูแลอย่างพิถีพิถันของเขา กานต์เชื่อว่าหากกระทำแต่สิ่งที่ดีและทำด้วยความปรารถนาดี สุดท้ายแล้วผลที่ได้รับกลับมาก็จะมีแต่เรื่องดีๆ เขาจึงส่งยิ้มให้กับพิษณุด้วยอัธยาศัย แล้วหันกลับมาทางกลุ่มสาวๆ ชวนพวกเธอคุยต่อ

“อาหารที่นั่นอร่อยมาก ดนตรีก็เพราะ ยังคิดถ้ามีโอกาสอยากจะชวนกันไปทานดูสักครั้ง เสียดายที่เขาเปิดเฉพาะแค่ช่วงเช้าเท่านั้น ผมเคยไปหนหนึ่ง นั่งอยู่บนเรือ ลมเย็น บรรยากาศก็ดีมาก เหมือนเรสตัวรองต์ที่อ่าวเบอร์ดีนในฮ่องกงเชียว”

“ไม่เอาหรอกค่ะ กินรีเปลือยอกตรงหัวเรือที่เขาวิพากษ์วิจารณ์กันนั่น หญิงเห็นคงรู้สึกเขินๆ” พิรงรองยิ้มแห้งๆ เธอคงรู้สึกเขินที่นั่งรับประทานอาหารต่อหน้ารูปปั้นเปลือยอกของกินรีตัวใหญ่

“เมืองฝรั่งเขามีรูปปั้นชื่อดังตั้งเยอะ วีนัสเดอมิโลก็เปลือยอก ของแบบนี้แล้วแต่คนจะคิด ว่าไปแล้วภาพกินรีในวรรณคดีก็มีมากมาย เห็นกันมาแต่เด็ก แต่พอเห็นเป็นรูปปั้นกินรีจริงๆ กลับด่าว่าอุจาด ทั้งที่มันก็แค่ศิลปะ” กานต์พูดตรงตามความรู้สึก เขาเห็นรูปปั้นกึ่งเปลือยเหล่านี้นับไม่ถ้วนในพิพิธภัณฑ์ที่ต่างประเทศ “จะว่าไปคนไทยนี้ก็แปลก เห็นอะไรก็คิดเป็นเรื่องอนาจารไปเสียหมด”

“ไม่ใช่ว่าจะเห็นทุกเรื่องเป็นเรื่องอนาจารไปเสียหมดหรอกครับ” จู่ๆ พิษณุก็พูดขึ้น

“คุณอาจเรียนที่ต่างประเทศมาเสียนานจนไม่ค่อยคุ้นชินกับประเพณีวัฒนธรรมไทยเสียมาก อะไรที่ฝรั่งหัวทองว่าดีก็พากันเห่อว่าดีตามไปเสียทุกเรื่องคงไม่ไหว ทั้งที่ความจริง คนไทยไม่ได้เป็นพวกล้าหลัง เรื่องความนึกคิดก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกฝรั่งเลย”

เป็นครั้งแรกที่กานต์หันกลับมามองพิษณุด้วยแววตาประหลาดใจ เขานึกอยากจะโต้ตอบ แต่ยังไม่ทันจะได้พูด เสียงเข้มๆ ของพิษณุก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่เว้นจังหวะให้หายใจ

“ดูท่วงท่าของกินรีนั่นสิ เชิดอกทั้งสองข้างขึ้นเสียขนาดนั้น ใช่จะยืนนิ่งๆ เป็นธรรมชาติแบบรูปปั้นวีนัสเสียเมื่อไร ไหนจะเรื่องที่ทำคูคลองในสวนลุมพินีสกปรกเพราะเศษอาหารนั่นอีก อย่างไรผมก็คิดว่ามันไม่เหมาะสม ที่เขาเรียกว่า ‘ภัตตาคารจ้ำบ๊ะ’ ก็เหมาะสมแล้ว”

เห็นสีหน้าเหวอๆ ของกานต์แล้ว พิรงรองก็นึกตำหนิพี่ชายของตนอยู่ในใจ หญิงสาวรีบช่วยพูด “พี่ชายพูดอะไรก็เป็นจริงเป็นจังไปเสียทุกเรื่อง เราแค่พูดกันเฉยๆ เองค่ะ ไม่ได้คิดว่าจะไปทานอาหารที่นั่นกันหรอก”

ข้อนี้ พิษณุก็ตอบโดนทันควัน “ไม่ไปก็ดีแล้ว ถ้าหญิงอุ่นอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ไปทานอาหารอร่อยๆ นอกวังของเรา เดี๋ยวพี่พาไปทานเอง อาหารไทยอร่อยๆ มีตั้งหลายร้าน อย่างที่ดุสิตธานีได้ข่าวว่าอร่อยจนพวกฝรั่งต้องนั่งเครื่องบินข้ามทะเลมาทานถึงเมืองไทยนี่เชียวละ”

เป็นอีกครั้งที่พิรงรองทั้งตกใจ ทั้งแปลกใจ และทั้งเดาใจของพี่ชายตัวเองไม่ถูก ปรกติแล้วพี่ชายของเธอเป็นผู้ชายประเภทที่เรียกว่าเป็นต้นแบบของชายชาติทหารก็ว่าได้ พิษณุเป็นคนพูดน้อย แทบนับคำได้ แถมเป็นคนใจดี มีความเป็นสุภาพบุรุษ ทว่าพิษณุที่ยืนกอดอกหน้าขรึมเคร่งตรงหน้าของพิรงรองในตอนนี้สิ ราวกับว่าเป็นคนละคน

ราวกับว่ากัลยาและเพื่อนๆ คนอื่นจะรู้สึกไม่แตกต่างกัน พวกเธอจึงชวนพิรงรองไปทักทายกับคนรู้จักคนอื่นๆ ที่มาในงานการกุศลนี้

หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเมื่อคล้อยหลัง พี่ชายของเธอจะหันมาหากานต์ทันที

“คุณกานต์นี่เป็นคนอัธยาศัยดีนะครับ คุยเก่งเสียจริง”

แม้จะรู้สึกไม่ชอบมาพากล กานต์ก็สู้ตอบด้วยรอยยิ้ม “ทำงานแบบนี้ต้องเป็นคนคุยสนุกครับ ผมเองก็ไม่ชอบอะไรตึงเครียดด้วยซี คนไทยน่าจะเรียกว่าเป็นคนสบายๆ หรือเปล่านะครับ”

“ครับ แต่ถ้าสบายจนเกินไป เขาจะเรียกว่าเป็นคนลอยชาย”

คำตอบนั้นทำเอาคนฟังอึ้งไปพักใหญ่ แต่เพียงครู่เดียว กานต์ก็โปรยรอยยิ้มกลับมาให้พิษณุอีกครั้ง ซ้ำยังเอ่ยด้วยเสียงสบายอกสบายใจ “นี่ผมเกือบจะคิดว่าคุณชายพิษณุไม่พอใจผมอยู่แล้วเชียว”

“อย่างนั้นหรือครับ”

“ต้องอย่างนั้นสิครับ เพราะคุณชายไม่พอใจผมจริงๆ จะคอยเดินใกล้ๆ ผมชนิดไม่ให้คลาดสายตาทำไม คนที่เขาไม่ชอบน้ำใจกันก็มีแต่จะอยากห่างกัน จริงไหมครับ ถ้าว่างๆ เรียนเชิญคุณชายที่โรงหนังของผมจะได้หรือไม่ครับ ผมรับรองว่าจะพาคุณชายชมหนังสนุกๆ ด้วยตนเอง ดีหรือไม่ครับ”

คราวนี้กลายเป็นพิษณุที่เป็นฝ่ายสิ้นคำเสียเอง

“มาแล้วค่ะ คุยอะไรกันคะ ดูเครียดๆ ยังไงไม่รู้” พิรงรองเอ่ยทักขึ้นทันทีที่กลับมา เห็นท่าทางของพิษณุนิ่งขรึมผิดปรกติ หญิงสาวจึงหันไปมองทางชายหนุ่มอีกคนที่ยืนหน้าระรื่นอยู่ใกล้ๆ

“เปล่านี่ครับ” กานต์ตอบสั้นๆ ก่อนจะวกกลับมาเรื่องที่คุยค้างไว้ “จริงสิ ที่คุณหญิงบอกว่าอยากจะให้พี่พาไปหานายขวัญ” “จะไปเมื่อไรล่ะ พี่จะได้จัดการงานให้ทัน จะได้ขับรถพาไป”

“รบกวนคุณเสียเปล่าๆ ครับ ผมพาหญิงอุ่นไปเองก็ได้ ยังไงขวัญสรวงก็ญาติกัน ไม่ใช่คนนอกคนไกล” พิษณุเอ่ยขึ้น เหมือนจะพูดเรื่อยๆ แต่ดวงตานั้นคมกริบราวกับปืนที่เล็งปากกระบอกไปยังผู้ร้าย

แต่กานต์ไม่คิดว่าเขาเป็นผู้ร้าย เขาบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจจะช่วยเหลือ ชายหนุ่มจึงยืนยิ้มให้กับดวงตาแข็งกร้าวตรงหน้า ปราศจากความเกรงกลัว

“ผมเองก็ไม่ใช่คนนอกคนไกลเช่นกันครับ เรียนมาด้วยกันที่ยุโรปก็ตั้งหลายปี ดีจริง มีแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น” เขายิ้มให้กับพิษณุ ดวงตาวับวาวผิดไปจากทุกครั้ง “อย่าถือว่ารบกวนกันเลยครับ ผมเคยบอกแล้วไง ผมยินดี”





++++++++++++++++++++++++++++++




ริ้วเมฆสะบัดคลี่ออกเป็นพรมสีขาวทาบยาวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า มีแดดรำไรลอดเป็นลำแสงผ่านร่มกำแพงสีเขียวของต้นยางนาที่ขึ้นเรียงรายตลอดสองฝั่งคลอง เรือไม้ลำหนึ่งค่อยๆ เลาะเลียบเรี่ยตลิ่ง

หากมองจากบนฝั่งจะเห็นว่าตรงจุดที่ค่อนไปทางหัวเรือนั้น มีเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางนั่งเอามือแตะผิวน้ำเล่นเป็นระยะๆ และห่างไปเพียงไม่กี่คืบ เป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่กำลังพายเรืออยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด กางเกงขายาวแบบฝรั่งที่กำลังเป็นที่นิยม แม้มองจากระยะไกลก็แลเห็นว่าสวยสง่าด้วยกันทั้งคู่ ทว่าในความสง่านั้นกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หากเปรียบผู้หนึ่งประดุจไม้ใหญ่ยืนต้น คนที่นั่งพายเรืออยู่นั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับไม้สักทองที่โตเต็มที่ มีราคาสูงราวกับทอง ส่วนอีกคน คงเปรียบได้กับกุหลาบอังกฤษสีขาวที่กำลังแย้มเต็มที่ ราคาไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ดังนั้น หากจะให้แจ้งว่าสิ่งใดงามกว่าสิ่งใดนั้นคงลำบากเต็มที

“แก้มแดงๆ ร้อนหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ทว่าคนฟังนั้นเล่ากลับนิ่งเฉย เฉยราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น

จะให้เรียมลลิตรตรัสตอบว่ากระไร ก็ไม่ใช่เพราะบนเรือลำนี้หรอกหรือที่ต่างคนต่างเผยความรู้สึกอันอ่อนหวานที่สุดเมื่อคืน แล้วเขาจะมาตั้งคำถามกระไรกัน

“ลามก” ขวัญสรวงสรุป

“เปล่า”

“แล้วเพราะเหตุใด” แม้สุ้มเสียงจะจริงจังเพียงไร ทว่าดวงตาของผู้พูดนั้นกลับดูพริบพราวเสียเหลือเกิน

“หรือว่าเป็นไข้” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม ชายหนุ่มก็ยกพายขึ้นพาดบนตัก หาคำตอบนั้นด้วยการเอื้อมมือไปแตะหน้าคนที่เอาแต่นั่งงุด

เขาแตะสำรวจบนใบหน้าที่เอาที่หลบไปหลบมานั้นอยู่นานจนแน่ใจ เมื่อไม่พบว่ามีไข้สุมจึงยอมละมือลงไปวางที่หน้าขา ถอนใจแล้วส่งเสียงพึมพำราวกับบ่นกับตนเอง

“พี่เพิ่งรู้”

เรียมลลิตรยกพระพักตร์ขึ้นมองผู้ชายตัวโตที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความสงสัย จะเรียกว่าเป็นการทอดเนตรมองเต็มพระเนตรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พระองค์ถูกเขาจูงพระหัตถ์ขึ้นมาประทับบนเรือลำนี้ก็คงไม่ผิด

“อะไรหรือครับ” เขาเพิ่งรู้...รู้กระไรหรือ

เสียงทุ้มนั้นคล้ายจะเลื่อนลอยตอนที่เอ่ยตอบ

“แก้มน้องนิ่มถึงเพียงนี้”

เรียมลลิตรกดพระพักตร์ลงมองพระบาทของพระองค์เองโดยพลัน ส่วนขวัญสรวงก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเองแล้วหยิบพายขึ้นมาแจวต่อ

“เราจะไปวัด” เขากล่าว

เรียมลลิตรยังไม่ทันจะได้ตรัสสิ่งใด เสียงทุ้มกังวานก็ดังขึ้นอีกครั้ง “นั่นไง จะถึงแล้ว”





ทั้งที่แดดภายนอกนั้นค่อนข้างที่จะร้อน แต่อุโบสถภายในวัดนั้นกลับเย็นสบายอย่างประหลาด เรียมลลิตรเสด็จประทับด้านในของโบสถ์ ทอดพระเนตรมองจิตรกรรมและสถาปัตยกรรมอันอ่อนช้อยเบื้องหน้า

แม้จะเป็นงานฉลุลายกระจังและหางหงส์แบบง่ายๆ ตามลักษณะของวัดขนาดเล็กในเขตอำเภอชั้นนอกทั่วไป ไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาเป็นระยะเวลานานๆ นั้น เหล่านี้เสมือนภาพที่อัศจรรย์ยิ่งนัก

ขวัญสรวงเห็นคนที่กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างสนใจจึงชวนคุย “จำได้ไหม สองปีก่อนที่น้องมาช่วยทำข้าวตอกดอกไม้ตอนงานขึ้นอุโบสถหลังใหม่ ส่วนหนึ่งของความงดงามเหล่านี้ก็เพราะชาวบ้านบางกะปิช่วยกัน”

เห็นอีกฝ่ายเผลอพยักหน้าไม่หยุดเพราะยังไม่ยอมละสายตาจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่เบื้องหน้าแล้ว ชายหนุ่มจึงอธิบายว่า “พระประธานของอุโบสถหลังนี้คือหลวงพ่อไทร ก่อนจะซ่อมแซมอุโบสถหลังเดิมแล้วสร้างใหม่แบบที่เห็น ชาวบ้านบางกะปิก็นับถือกันมานาน แม้แต่คุณพ่อคุณแม่พี่ก็นับถือ พี่ก็เช่นกัน”

“ผมเคยมาไหว้”

คนฟังไม่ได้ชวนคุยอะไรอีก เขาอมยิ้มแล้วค่อยๆ ยอบตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น พนมมือ กราบสามครั้งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ข้าพเจ้า หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ ขอเอ่ยสัตย์สัญญาต่อหน้าหลวงพ่อไทร และขอมอบคำสาบานนี้ให้แก่เรียมอันเป็นที่รัก”

ความอ่อนโยนโรยตัวลงบนริมฝีปากที่ค่อยๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้มในตอนที่เขามองมาที่เรียมลลิตร

“ข้าพเจ้าขอสาบานว่า ทุกวันที่ห่างไกลกัน ข้าพเจ้าจะคิดถึงเรียม และจะคิดถึงเช่นนี้จนกว่าที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง แม้นทุกวันที่ทะเลาะ ไม่เข้าใจกัน ข้าพเจ้าจะไม่มีวันหันหลังหรือก้าวเดินออกไปจากชีวิตของเรียม จะอยู่ที่เดิมตรงนี้เช่นในวันนี้ และเช่นกัน ทุกวันที่เรียมพบเจออุปสรรคปัญหา เหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้ ข้าพเจ้าจะคอยอยู่เคียงข้างเสมอ และทุกวัน ข้าพเจ้าจะรักเรียม รักเพียงผู้เดียว และจะรักมากขึ้นในทุกๆ วัน” ขวัญสรวงพูดแต่ละคำด้วยความมั่นคง เขาหันกลับไปมองที่พระประธานเบื้องหน้า

“และหากข้าพเจ้า หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ผู้นี้ผิดคำสัตย์สาบานที่ให้ไว้แก่หลวงพ่อไทร และเรียม ขอให้ข้าพเจ้าไม่ได้พบเจอกับความสุขใดๆ อีกเลย อีกทั้งไม่อาจจะรักใครได้อีกเลยทั้งชีวิต”

ราวกับการเปล่งกังวานแต่ละครั้งนั้นเป็นมนตร์สะกดที่ทรงพลานุภาพเป็นล้นพ้น แต่ละพยางค์ที่เอ่ยล้วนชัดถ้อยชัดคำ ปราศจากความหวั่นไหว เรียมลลิตรได้แต่ประทับนิ่งจนกระทั่งเขากระเถิบมานั่งใกล้ๆ แล้วกุมหัตถ์ของพระองค์ในความอบอุ่นนั้น

“เรียม น้องฟังเข้าใจทุกคำใช่ไหม”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ ขวัญสรวงจึงผ่อนรอยยิ้มบางๆ อธิบายว่า “อันที่จริงแล้ว พี่ไม่ได้เคารพหรือศรัทธาในเรื่องพวกนี้มากนัก จะนับถือก็แต่มงคลแห่งองค์พระมหากษัตริย์ มงคลแห่งคำสอนของบิดามารดา และมงคลในพระพุทธศาสนา เพียงสามอย่างนี้ สัตย์สัญญาต่อหน้าหลวงพ่อไทรซึ่งเป็นสิ่งที่พี่เคารพศรัทธาจึงเป็นเครื่องยืนยันในความรู้สึกของพี่ แม้ไม่อาจจะนับได้ว่าความรู้สึกที่พี่มีต่อน้องจะคงอยู่ตลอดกาล แต่พี่ขอให้คำสัญญาว่ามันจะคงมั่นตลอดไปตราบอายุขัยของพี่”

ความติ้นตันในพระทัยนั้นทำให้เรียมลลิตรมิอาจตรัสสิ่งใดได้เลย พระฉวีซ่านซับไปด้วยพระโลหิตทั่วพระวรกาย ทรงได้แต่นั่งนิ่งๆ ตรัสเรียกชื่อของเขาแต่กลับไม่มีสุรเสียงใดมีเรี่ยวแรงพอจะรีดเร้นออกมาจากม่านหมอกแห่งความปราโมทย์ได้เลย

“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้าเพราะเกรงว่าบอกแล้วจะไม่ยอมมา นับจากเมื่อคืนผ่านพ้น พี่แค่อยากให้น้องได้สบายใจ อย่างน้อยก็อยากให้รู้สึกมั่นใจได้ว่าพี่นี้ไม่ได้คิดเอาเปรียบ ให้มั่นใจได้ว่าพี่จริงจังกับเรื่องของเราสองคนเพียงไร น้องโปรดจงสบายใจ”

เขาลุกขึ้นก่อนส่งมือมาให้เรียมลลิตรที่ยังคงนั่งอยู่ “นี่ก็ช้ามากแล้ว ที่บ้านน้องคงเป็นห่วง เรากลับกันเถิด”

“คอยสักประเดี๋ยวเถิดพี่ขวัญ” พระสุรเสียงแรกแทรกตัวออกมาได้ในที่สุด

นอกจากจะไม่ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปจับมือที่รออยู่ตรงหน้าแล้วยังทรงเปลี่ยนจากประทับในท่าพับเพียบเป็นท่าคุกเข่า จากนั้นก็ทรงกราบ แม้จะทรงงกๆ เงิ่นๆ เหมือนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรแต่ก็ทรงประคองพระวรกายขึ้นประทับ กระพุ่มพระหัตถ์ขึ้นพนม ตรัสด้วยพระสุรเสียงเนิบช้า

“ข้าพเจ้า เรียม จะรักพี่ขวัญคนเดียว”

ตรัสเสร็จแล้วก็ทรงกระพุ่มพระหัตถ์นิ่งๆ อยู่อย่างนั้น คล้ายกับทรงพยายามนึกว่าจะตรัสสิ่งใดต่อ หากแต่ความแตกฉานในภาษาไทยของเรียมลลิตรนั้นน้อยนัก ไม่อาจเอ่ยพระปฏิญาณด้วยถ้อยคำมากมายหรือแคล่วคล่องได้เทียบขวัญสรวง สุดท้ายจึงทรงถอดพระทัย ค่อยๆ วางพระหัตถ์ลงบนพระอุรุ

“เท่านี้เองหรือ” ชายหนุ่มข้างๆ นั่งทอดถอนใจด้วยอาการติดจะผิดหวัง

ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น พระหัตถ์พระกรทั้งสองข้างที่กำลังจะวางลงก็ค่อยๆ ยกขึ้นอีกครั้ง ครานี้ สุรเสียงที่ทรงเปล่งออกกระท่อนกระแท่นกว่าเดิมมากนัก ด้วยไม่อาจทรงนึกถ้อยคำที่เหมาะสมออก

“ข้าพเจ้า เรียม ข้าพเจ้า...” ทรงครุ่นคิดถึงพระดำรัสอยู่ พลันเสียงของคนน้อยใจที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ใกล้แสนใกล้กับพระกรรณเหลือเกิน

“เท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว ขอบคุณมากนะ”

มืออุ่นๆ เกาะกุมกระพุ่มพระหัตถ์ของเรียมลลิตร เพียงพริบตา พระฉวีบนหลังพระหัตถ์ก็ถูกประทับด้วยรอยจูบแผ่วเบาของผู้ชายตาหวานเชื่อมและมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า จากนั้นต่างฝ่ายก็ต่างนั่งก้มหน้าอยู่นิ่งๆ ในอุโบสถ ต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่
ขวัญสรวงและเรียมลลิตรมิได้มีโอกาสได้เห็นเลยว่า ขณะที่ตนเองเอื้อนเอ่ยสัตย์สาบานต่อหน้าหลวงพ่อไทรแห่งบางกะปินั้นได้เกิดมหิธานุภาพบางอย่างขึ้น อาทิตย์ทรงกลดกำจายจำรัสรัศมีกลางท้องฟ้า คล้ายว่าเหล่าเทพเทวาเบื้องบนได้เป็นประจักษ์พยานรับรู้ในความรู้สึกที่คนทั้งสองมอบให้แก่กันแล้ว



+++++++++++++++++++++++++++++++++



ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ พบกันใหม่ในตอนหน้า จะพยายามมาอัพให้ไวๆ นะครับ

สำหรับเกร็ดข้อมูลเพิ่มเติมในตอนนี้ คงเป็นเรื่องของ “ภัตตาคารเพนนินซูลา” เรียกเป็นภาษาไทยว่า “ภัตตาคารกินรีนาวา”
ภัตตาคารนี้ตั้งอยู่บริเวณทุ่งศาลาแดง หรือที่ปัจจุบันเรียกว่าศาลาแดงครับ ตัวภัตตาคารจะลอยอยู่ในสระน้ำในสวนลุมพินี
ละแวกนั้นจะมีภัตตาคารที่ขึ้นชื่ออยู่อีกแห่งคือ “ศรีไทยเดิม” จะอยู่บริเวณสระน้ำริมฝั่งถนนวิทยุ
แต่ที่โด่งดังกว่าก็คือตัวภัตตาคารเพนนินซูลานี้ที่มีรูปปั้นกินรีเปลือยอกจนคนสมัยนั้นเรียกว่า “ภัตตาคารจ้ำบ๊ะ”
พอถูกตำหนิจากสังคม ทางภัตตาคารก็เอาผ้าไปคลุมตัวกินรีไว้
นอกจากนี้ภัตตาคารเพนนินซูลายังโดนโจมตีเรื่องการทิ้งขยะลงในน้ำ
ซึ่งกลิ่นของมันรบกวนไปถึงคนไข้ที่อยู่ในร.พ.จุฬาฯ จนเป็นปัญหาอย่างมาก
สุดท้ายภัตตาคารก็ปิดตัวลงเพราะว่าเกิดไฟไหม้ หลงเหลือไว้เพียงแค่ตำนาน




ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
พุ่งตัววว นึกว่าตาฝาด มาอัพแล้นนนน เหมือนได้กลิ่นมาม่า ไม่นะะะะ พึ่งได้กันเองงงงง //ผิด
แต่ชักชอบคู่กานต์พิษณุแล้วสิ ลุ้นว่าจะกิ้บก๊าวกันได้ยังไง งือออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
นึกว่าเบลอเห็นเธอมาอัพ ><

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
กลิ่นมาม่าลอยมาแล้วววว

ออฟไลน์ MysteriOuS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณที่มาต่อน่ะค่ะ  :pig4: :pig4:
 รอตอนต่อไปเจ้าค่ะ  :katai5:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ขวัญเรียม เป็นคู่ที่เกี้ยวกันแล้วคนอ่านอย่างอิฉันต้องเอาหมอนมาจิกแน่นๆตอนอ่านทุกครั้งเลย แอร้ยยยยย

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ลุ้นต่อไป กลัวว่าจะมีใครได้ยินรึเปล่าน่ะสิ...
ี่เริญต้องเห็นอะไรแน่เลย มีบอกให้ปิดม่าน
ทำไมไม่ระวังตัวกันน้าพี่ขวัญน้องเรียม

ขอบคุณสำหรับเกร็ดความรู้เรื่องภัตตาคารนะคะ
เมื่อก่อนใช้ ring ไม่ใช้ call แฮะ

ออฟไลน์ Apitchaya

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น้ำตาจิไหลลลล
ในที่สุดขวัญเรียมของอิชั้นก็มาาาา

น้องเรียมน่ารักมากกก จริงๆพูดเป็นไทยไม่ออก พูดอิ้งเลยจ้าา
พระอาจฟังไม่รู้เรื่อง แต่พี่ขวัญรู้แน่นอนน
น่ารักมากกก ฮือออ

ออฟไลน์ cinnsin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ละมุนมากกกกค่ะ งื้อออ ;////; หวานได้ใจมากเลยคู่ขวัญเรียม
แต่คู่พิษณุกับกานต์นี่น่าจะกัดกันอีกนานหล่ะมั้งเนี่ยย > <

ออฟไลน์ O_cha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
สนุกมากครับ
เขียนเรื่องได้สนุก ชวนติดตาม  ข้อมูลแน่น งานละเอียดดี
พี่ขวัญเกรียนมาก น้องเรียมก็น่ารัก
(น้องเรียมเป็นออทิสติกรึเปล่าครับ?????)



ไม่ได้ log in เข้าเล้ามาเกือบครึ่งปี เพราะไม่มีนิยายที่ถูกใจเลย
เพิ่งมาเจอเรื่องนี้วันนี้แหละ ไม่รู้หลุดรอดสายตาไปได้ยังไง อ่านรวดเดียวเลย
ยังคิดว่าน่าจะมาอ่านตอนใกล้จบก็ดีนะ เพราะเรื่องนี้คนเขียนนานๆ มาต่อทีใช่ป่ะครับ 5555

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

เอาใจช่วยพี่ขวัญนะคะ ดูท่าว่าศึกน้อย (จ้อย) ศึกใหญ่ (พี่เริญ) จะเข้ามาตีขนาบเสียพร้อมกัน  :กอด1:

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากอ่านต่อค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด