(ต่อครับ)
เขาดึงร่างที่อยู่ในอ้อมแขนเข้าไปปะทะทรวงอก โน้มใบหน้าลงมาอิงแอบจนใกล้ สบตาคนตรงหน้าอย่างมั่นคง พลันน้ำเสียงห้าวทุ้มก็ทอดหวานชนิดที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน
“อย่าว่าแต่นอนด้วยกัน แม้แต่ยามตื่น พี่ก็อยากตื่นพร้อมกับเจ้า รับประทานข้าวคลุกน้ำพริกด้วยกัน ดูแลเจ้าทั้งยามดีและยามไข้ หน้าร้อนก็จะพัดวี นั่งข้างๆ เจ้า ให้เจ้าอิงหนุนไหล่ หน้าฝน จะเป็นกำบังไอแดด กระแสลมฝน ชี้ชวนดูรุ้งทอดโค้งที่ขอบฟ้า ครั้นพอถึงหน้าหนาว พี่ขวัญจะกอดเจ้าจนอุ่น ให้เจ้านอนหลับสบาย เช่นนี้ เจ้าจะยินดีหรือเปล่า”
ความรู้สึกเต็มตื้นปรี่ขึ้นมาในพระอุระของเรียมลลิตรจนหลั่งล้น อบอุ่นในพระทัยจนพระสุรเสียงกลืนหาย มิอาจตรัสสิ่งใดออกมาได้อีก ทรงเบือนพระพักตร์หนีจากพระอาการเขินอายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระนั้นลมหายใจอุ่นๆ ที่ผ่าวพรมไปทั่วพระศอ ตลอดจนน้ำเสียงนุ่มนวลที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอมั่นคงก็ยังคลอเคลีย วนและเวียนอยู่ไม่ห่างจากพระปรางแม้แต่น้อย
“พี่ฝัน เราจะอยู่ด้วยกันทุกๆ วัน เป็นเช่นนี้ไปจนแก่เฒ่า เจ้าคงไม่เคยรู้ พี่นี่เองที่นอกลู่นอกทาง ทั้งที่เจ้าก็เป็นผู้ชาย แต่กลับคิดไม่ซื่อเช่นนี้กับเจ้าอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที”
ดวงตาหวานเชื่อมทอดมอง จ้องลึกเข้าไปใต้แพขนตางอนงาม ขวัญสรวงยิ้ม...ยิ้มอย่างคนอ่อนอกอ่อนใจ
“เจ้าคงไม่รู้ว่าดวงใจของพี่รู้สึกอย่างไร และต้องต่อสู้กับจิตเบื้องต่ำอันไม่สมควรอย่างยากเย็นเพียงไรในตอนนี้”
เขาดึงมือของคนในอ้อมกอดขึ้นทั้งสองข้าง วางมันบนบนแผ่นอกแข็งแกร่งที่เต้นระส่ำ ลากให้มือคู่นั้นสัมผัสลูบไล้ไปมาช้าๆ ให้ความรู้สึกที่ร้อนผ่าวนี้ค่อยๆ ถ่ายทอดลงสู่ดวงใจของผู้เป็นเจ้าของมือทั้งสองนั้น
นับจากนี้ หากเมื่อมือคู่นี้ได้สัมผัสกับสิ่งใด ความอบอุ่นของหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ภายใต้อุ้งมือนี้จะติดตามไปทุกแห่งหน ให้เจ้าของมือคู่นี้ระลึกขึ้นได้ว่าที่แห่งนี้มีผู้ชายคนหนึ่งรักเขามากมายเพียงไร
ให้หัวใจที่เต้นโลดแรงนี้ กางกั้นทุกสิ่งที่สัมผัส นับแต่นี้ ไม่ว่ามือคู่นี้ได้แตะต้องผู้ใด หัวใจที่หวามไหวดวงนี้จะคอยขวางกั้น กำบัง ให้เจ้าของมือคู่นี้มิอาจสัมผัสกับความอบอุ่นใดได้อีกเลย
ให้มีแต่ผู้ชายที่ชื่อว่า หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ผู้นี้ แต่เพียงผู้เดียว
ขวัญสรวงไม่รู้เลยว่า ณ ขณะนี้เรียมลลิตรทรงรู้สึกหวามพระทัยเพียงไร ผิวเนื้ออุ่นๆ ที่อยู่ใต้ฝ่าพระหัตถ์นั้นอบอุ่นจนทรงไม่อาจละพระหัตถ์จากได้ ผิวกายเรียบลื่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ภายใต้นั้นคือหัวใจที่อุ่นจนร้อนจัด มันเต้นอย่างโลดแรงอย่างที่พระองค์ทรงมิเคยพบพานได้จากผู้ใด ทรงตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มพระพักตร์อิงแนบไปบนบ่ากว้างที่มั่นคงราวกับหินผานั้นราวกับเด็กน้อยโหยหาความอบอุ่นของแสงตะวัน
นิ้วเรียวยาวของขวัญสรวงบรรจงเอื้อมมาปัดแพผมที่กระจายไม่เป็นระเบียบอยู่บนหน้าผากโค้งมนนั้น เกลี่ยเรียงทีละเส้นๆ และทัดเข้ากับหลังใบหูสีระเรื่อ น้ำเสียงทุ้มห้าวยังคงทอดลงอย่างนุ่มนวล
“เจ้ายังไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม”
พระพักตร์นวลระเรื่อของเรียมลลิตรไหวสั่นช้าๆ พระเนตรหลุบลงทอดมองบนพระหัตถ์ทั้งสองข้างขององค์ที่ยังคงผนึกแน่นอยู่บนทรวงอกของหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงเหมือนต้องสาป
ทรงรู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นๆ ทั้งสิบที่ค่อยๆ เคลื่อนสอด แทรกผสานทีละนิ้วๆ จากหลังพระหัตถ์ มันกระหวัดรัดอย่างเชื่องช้าจนแนบแน่น มั่นคงละม้ายว่าจะหลอมจนเป็นผิวเนื้อเดียวกัน
ราวกับฝูงผีเสื้อบินโฉบบนผิวน้ำ ริมฝีปากอิ่มของขวัญสรวงประทับลงแผ่วเบา มันอ่อนหวาน และมิอาจนับครั้งได้ถ้วน ความรู้สึกดื่มด่ำลึกซึ้งค่อยๆ ถ่ายทอดผ่านการสัมผัสเนิบช้า กระหยับพลิ้วแอบอิง กระทั่งแนบสนิทนิ่งนานจนยากจะแยกออก กระนั้น คนตัวโตก็จำฝืนถอนถอยริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง
หากแต่ความไม่อิ่มหนำกลับทำให้อดใจกลับไปจูบเบาๆ อีกครั้งอย่างนึกเสียดายไม่ไหว แต่คราวนี้จุมพิตนั้นเพียงแค่สัมผัสละมุนละไม ไม่ช้านานชายหนุ่มก็สู้ประคองอารมณ์หักห้าม ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดถลำ ขวัญสรวงจูบแผ่วๆ อีกครั้งบนใบหู กระซิบถามเหมือนคนจวนสิ้นแรง
“ความบริสุทธิ์ของเจ้ามีเพียงครั้งเดียว มีค่า แน่ใจหรือที่จะมอบให้กับพี่”
สีแดงซ่านขึ้นทั่วพระวรกายจนวูบร้อน เรียมลลิตรวางพระพักตร์อุ่นวาบ แนบลงกลางทรวงอกที่แข็งแกร่งและร้อนผ่าว ทันใดนั้นอ้อมกอดอบอุ่นก็เหมือนจะกลืนพระวรกายองค์จนหายไปในความอ่อนโยนนั้น
“พี่รักเจ้า” ขวัญสรวงเอ่ยกระซิบ “โปรดรับรู้ว่านี่คือคำพูดของลูกผู้ชาย เอ่ยแล้วไม่อาจคืนคำ พี่รักเจ้า ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร และความรู้สึกนี้จะมั่นคงตลอดไป ไม่มีแปรผัน นี่คือสัตย์สัญญา”
ชั่วเวลานั้นเองก็อัศจรรย์เกิดคล้ายหมอกธุมเกตุหมอกธุมเพลิงคลุมทั่วคลองแสนแสบ สีดุจหนึ่งควันไฟดอกไม้เพลิงแผ่กระจายไปรอบๆ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และมักเกิดขึ้นในช่วงหัววันก่อนเที่ยงหรือยามโพล้เพล้ ไม่เคยเห็นเกิดขึ้นในเวลานี้
แต่เล็ก ผู้หลักผู้ใหญ่มักบอกว่าให้ถือพระเกตุสำแดงเดช หมอกขาวจะลงจัดถึงเทียมหัวคนเดิน หนาทึบจนมองอะไรแทบไม่เห็น ด้วยท่านว่าเทพเทวาจะทรงดลให้บังเกิดตอนที่มีเหตุสำคัญๆ แต่เมื่อได้ไปศึกษาที่ต่างประเทศ ขวัญสรวงก็ได้เห็นเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่สามถึงสี่ครั้ง จึงสอบถามอาจารย์ผู้รู้ในมหาวิทยาลัยที่เขาศึกษาอยู่ คำตอบนั้นอธิบายว่าเป็นสิ่งบอกเหตุทางธรรมชาติถึงความผิดปรกติของลมฟ้าอากาศ ยิ่งคนทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่าไร ธรรมชาติก็จะยิ่งแปรปรวนมากขึ้นเท่านั้น
“หมอกลง” เรียมลลิตรตรัสขึ้น ทอดพระเนตรมองไปรอบองค์ ขาวโพลนจนแทบมองอะไรไม่เห็น ทรงกระชับพระหัตถ์กับต้นแขนมั่นคงของผู้ชายตัวโตที่อยู่เคียงข้าง พลันสัมผัสอ่อนละมุนก็แนบลงบนพระปราง เมื่อทรงรู้สึกองค์ ขึงพระเนตรกลับ จุมพิตอ่อนหวานนั้นก็ประทับลงที่เดิมอีกครั้งจนวูบวาบไปทั้งพระพักตร์อีกครั้ง
“ไม่ยุติธรรม พี่ขวัญเอาแต่เป็นฝ่ายจูบ ฝ่ายหอม”
“กอดด้วย” ขวัญสรวงต่อคำให้เสร็จสรรพ ใช่เพียงแต่พูดเปล่า เขารั้นวงแขนเข้ากระชับ เป็นผลให้เจ้าของผิวขาวนวลราวกับตุ๊กตากระเบื้องผู้นั้นแนบลงกับแผ่นอก ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มพร้อมความรู้สึกหวามหวาน เมื่อใกล้กันถึงเพียงนี้ คนตรงหน้าจะได้ยินหรือเปล่าว่าเสียงหัวใจของเขานั้นเต้นแรงเพียงไร
“แต่ผมก็อยากจูบพี่”
เสียงเนิบช้านั้นลงน้ำหนักจนขวัญสรวงหัวเราะคิกทันที ยิ่งเมื่อเห็นดวงตาหวานสวยที่แสนเฉยชาคู่นั้นแสดงออกถึงอาการไม่พอใจอย่างเปิดเผย ชายหนุ่มก็ยิ่งชอบอกชอบใจ เขายื่นหน้าออกไปจนใกล้ ห่างแค่คืบ จึงกระซิบกระเซ้า
“ถ้าเช่นนั้น น้องก็จูบพี่บ้างเป็นไร จูบเท่าที่ต้องการ พี่ยินยอมและยินดี”
จากที่เรื่อแดงเพียงพระปราง พระโลหิตกลับฉีดซ่านซับทั่วพระวรกาย พระฉวีขาวผ่องแทบจะกลายเป็นสีครั่ง เรียมลลิตรยกพระพักตร์อย่างลังเล เดี๋ยวทรงยื่น อีกเดี๋ยวก็ถอยกลับซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ทรงกลั้นพระอัสสาสะนิ่งนานจนเจียนจะขาดพระทัย จึงทรงยอมประทับพระโอษฐ์แนบบนริมฝีปากของผู้ชายตัวโตตรงหน้า แล้วทรงถอยกลับเร็วรี่ด้วยทรงมิอาจต้านทานความรู้สึกกระดากเขิน
จูบนั้นจึงแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นจูบ คล้ายกับว่าเป็นการแตะสัมผัสโดยบังเอิญเพียงเสี้ยววินาทีเสียมากกว่า ขวัญสรวงพิศมองคนหน้าแดงเสียยิ่งกว่าผลลูกหมากสุก กลั้นยิ้มอย่างยากเย็นแสนเข็ญ
“เท่านี้รึ”
ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่ตึงเรียบนั้น เว้นแต่สีหน้าที่แดงฉานขึ้นอีก
“อีกไหม พี่อนุญาต” ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาจนใกล้ ปลายจมูกแตะบนพวงแก้ม ลากคลอเคลียเบาๆ จนไปแตะที่ใบหู “หรือว่าเขิน”
“ไม่เขิน” เสียงหวานขานขับ เบือนสายตาหนี “ไม่เอาแล้ว พี่ขวัญเป็นคนจูบดีกว่า”
คำขอที่อ่อนหวานย่อมถูกตอบสนองด้วยความรู้สึกที่อ่อนหวานทัดเทียมและทันที ขวัญสรวงเคลื่อนศีรษะลงช้าๆ จูบไปบนริมฝีปากอุ่นอิ่ม ขณะเดียวกันสองมือก็ลูบลากสำรวจไปจนทั่ว อีกฝ่ายถอนหนี เขาก็ตามติดประชิดโดยไม่คิดคร้าน
จูบนั้นทำเอาเรียมลลิตรทั้งองค์มิทัน พระปฤษฏางค์เอนลงพิงกับกาบเรือเป็นที่ยึดพัก นับจากนั้นเพียงอึดใจ ผ้าขาวม้าที่ทรงเคียนไว้เหนือพระโสณิก็ถูกปลดออก เช่นเดียวกับพระกรทั้งสองข้างที่ถูกขึงพาดไว้กับกาบเรือ
มิทันจะได้ตรัสสิ่งใด จูบต่อมาก็ถูกประทับลงบนพระถัน โลมเลียอยู่ซ้ำๆ จนทรงบิดพระวรกายหลบหลีกด้วยทรงสะท้าน กว่าที่จะทรงรู้พระองค์ พระวรกายก็ถูกดันขึ้นนั่งอยู่บนลำเรือเสียแล้ว
ผ้าขาวม้าเปียกชุ่มถูกพาดไว้กับลำเรือแบบลวกๆ แล้วขวัญสรวงก็ผละหายให้แปลกพระทัยยิ่ง ความสงสัยนั่นหรือที่ผลักดันให้พยุงองค์ให้ขึ้นประทับด้วยพระกโบร พระเนตรจึงได้แลเห็นว่าเขากำลังผลุบลงไปในน้ำราวกับปลาที่ดำผุดดำว่ายอย่างแคล่วคล่อง
เช่นนั้นจึงทรงวางพระเพลาในคลองแสนแสบ ทอดพระเนตรจนทั่ว เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีขึ้นมาจึงตรัสเรียกด้วยทรงรู้สึกเป็นห่วง ทันใดนั้นจุมพิตอุ่นๆ ก็ประทับลงบนพระเพลาที่แช่อยู่ในน้ำ
ในคลองแสนแสบที่เย็นจับใจ จูบอุ่นๆ ของขวัญสรวงกำลังพรมไล่บนผิวขาวลออ ไล้ขึ้นมาช้าๆ ตั้งแต่หน้าแข้ง ลากเรื่อยมาจนถึงหัวเข่า เรื่อยไปจนถึงต้นขา สลับกันไปทั้งสองข้าง
“พี่ขวัญ”
“คิดถึงหรือ หรืออยากจะให้พี่จูบตรงไหน”
“บ้า”
ชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวหาว่าบ้าผุดขึ้นมาจากน้ำพร้อมรอยยิ้มชวนมอง เขาค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนลำเรือ ยืนทรงตัวอยู่สักพักกระทั่งลำเรือนิ่ง หายคลอน จากนั้นก็ปลดผ้าขาวม้าที่เคียนไว้ที่สะเอวออก
ร่างสูงใหญ่ยามต้องแสงจันทร์นวลนั้นชวนมองจนเกือบหยุดพระอัสสาสะ ลำคอของเขาตั้งตรงสง่าเป็นฉากกับบ่าและหัวไหล่ที่ขนานกับผืนนที แผ่นอกกว้างหนาเพียงไรจากทรงสัมผัสเมื่อครู่ ภาพที่เห็นด้วยสายพระเนตรในเพลานี้ก็มิได้ต่างเลย เขามีร่างหนาหนั่น แขนและขาทั้งสองข้างยาวสมส่วนและแข็งแรง เรียมลลิตรประทับสายพระเนตรอยู่อย่างนั้น นิ่งนานจนให้ละอายพระทัย
คนที่ถูกมองส่งยิ้มกรุ่นๆ กรามแก้มฝาดเป็นริ้วสีเข้มเพราะเลือดลมที่ซับใต้ผิวด้วยความรู้สึกเขินอยู่ในที เขายอบตัวลงนั่ง ก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้า ขึงแขนทั้งสองข้างคร่อมเจ้าของผิวนวลกระจ่างยิ่งกว่าแสงแขคนนั้น อึดใจต่อมา ขวัญสรวงก็จับมืออุ่นๆ ที่สั่นนิดๆ ของอีกฝ่ายขึ้นมา จับให้ลูบช้าๆ ลงไปบนหน้าท้องของเขา
เรียมลลิตรกลั้นพระอัสสาวะด้วยพระทัยที่โลดแล่น ทอดพระเนตรพระหัตถ์ที่ลูบลากช้าๆ บนระลอกลอนเหนือหน้าท้องแกร่งแน่น ยิ่งเคลื่อนลงต่ำเพียงไร ก็คล้ายกับพระทัยจะมอดไหม้เป็นจุลเพียงนั้น
เสียงสูดปากเบาๆ ของขวัญสรวงครางกระซิบที่ข้างหูเมื่อทรงสัมผัสส่วนที่อุ่นร้อนที่สุดบนร่างกายของเขา เมื่อทรงขยับนิ้วพระหัตถ์ช้าเนิบ เสียงครางของเขาก็ยิ่งดังขึ้น
ขวัญสรวงหอบหายใจเหมือนคนเหนื่อย เขายกศีรษะขึ้นมองคนที่อยู่ข้างล่างอย่างเต็มตา หากแต่เมื่อสบตาเพียงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มก็มิอาจอดใจตัวเองไหว เขาจูบลงบนริมฝีปากอิ่มนั้น ลากเลื่อน โลมไล้ไปช้าๆ จนถึงใบหูที่งามดุจกลีบดอกบัวสายสีระเรื่อ
“พี่ขวัญ อย่า” เรียมลลิตรทรงปัดป้อง หากแต่มือที่มีแรงมากกว่ากันหลายเท่ากลับยื้อยุดไว้ พลันเสียงกระซิบผะแผ่วก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“จะโกรธพี่หรือเปล่า ถ้าขัดใจ”
“อย่า” พระทัยนั้นอ่อนยวบเพียงไรคงมิต้องเอ่ยถึง หากแต่คำพูดนั้นยังมีเรี่ยวแรงพอขัดขืนอยู่บ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามที “พี่ขวัญ”
“โกรธหรือ”
เห็นใบหน้าแดงก่ำไหวไปมาช้าๆ มือนั้นจึงเลื่อนลง จับขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายค่อยๆ กางออก
“ให้พี่เห็นเจ้าชัดๆ สักหน่อยเถิด อย่าอายเลย”
“พี่ขวัญ” เสียงแผ่วกว่าเสียงกระซิบแว่วขึ้นพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ยังคงปัดป้อง ทว่าเสียงนั้นก็หายไปเมื่อขวัญสรวงประทับริมฝีปากลงไปจนแนบสนิท ...สองมือที่ป้องปัดก็เช่นกัน
แสงระยิบระยับเหนือนภาขับขานบทเพลงแห่งรัตติกาล กล่อมผู้คนทั่วทั้งบางกะปิให้หลับใหลใต้แสงสีเงินยวง ทว่าสายนทีแห่งคลองแสนแสบนั้นกลับมีชีวิตชีวาประหลาด ผักบุ้งชูยอดชันเหนือคุ้งน้ำ เย้าหยอกสายลมเย็นดุจเคลื่อนกายไปสู่ความไพเราะของเสียงดนตรีและความอบอุ่นรัญจวนของห้วงรัก
เหนือไปบนฟากฟ้าผืนกว้าง พระจันทร์กำลังทอดทอลำแสงสีอ่อนอำนวยพร ดินดอนอันกว้างใหญ่ค่อยๆ โอบเข้ามาจนเหลือเพียงคนสองคนที่กอดแนบอิงซบกัน ขวัญสรวงกระซิบชวนเจ้าของดวงตาหวานสวยฟังเสียงใบไม้ไหวพลิ้วพรมเป็นสรรพสำเนียงดุริยางค์ไพเราะ อีกทั้งทอดมองสรรพสิ่งอันงดงามที่โรยตัวอยู่รอบๆ
แลในน้ำก็เห็นมัจฉาสองตัวเกี่ยวกระหวัดเริงรื่น พัวพันกันดุจเกลียวกง กลิ้งล้อไปตามระลอกคลื่น ตัวใหญ่ว่ายไวว่อง ตัวน้อยก็โลดเร่งตามไปจนทันกัน แข่งขันกันอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่มีใครยอมใคร ครั้นแลในอากาศ แม้จะเห็นเพียงแสงระยิบระยับดุจดอกมะลิลาที่บานพริบพรั่งทั้งฟ้า แต่ก็แว่วเสียงสกุณาเกี้ยวหยอกกันเสียฉ่ำหวาน เสียงแว่ว เสียงดัง เสียงสูง เสียงต่ำ ล้วนแต่ผสานผสมกันจนมิอาจฟังเป็นศัพท์ภาษา
บนเรือลำน้อยที่จอดเลียบริมฝั่งน้ำ ขวัญสรวงเหยียดกายขึ้นนั่ง ประคับประคองอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม เขาทอดสายตามอง กระทั่งแลเห็นค้างคาวตัวน้อยโฉบลงบนเครือกล้วยน้ำว้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ในไม่ช้ากล้วยน้ำว้าผลที่สุกที่สุด หวานที่สุดก็ค่อยๆ ถูกแทะชิม ทีละนิด...ทีละนิด...จนหมดทั้งผล
ชายหนุ่มทอดสายตามองอย่างอ่อนโยน มองและยิ้มน้อยๆ อยู่อย่างนั้นด้วยความเอ็นดู ขวัญสรวงลูบไล้ฝ่ามือแทรกลงบนเรือนผมอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายช้าๆ ทะนุถนอม มือหนาค่อยๆ ประคองใบหน้าที่คล้ายจะอิ่มอาบไปด้วยแสงอาทิตย์ยามอัสดงขึ้นมา บรรจงจูบโลมไล้อย่างช้าเชื่อง
เรียมลลิตรยกพระหัตถ์ขึ้นลูบใบหน้าที่คมคายตรงหน้า ทอดมองจนเต็มพระเนตร แล้วพระโอษฐ์ก็ถูกประทับซ้ำลงอีกหลายครั้งจนให้อ่อนพระทัย ตัวการนั้นเล่ายังมีหน้ามานั่งยิ้มเบิกบาน จูบเสร็จก็ยิ้มกริ่ม ไม่ก็หัวเราะน้อยๆ ให้พระองค์ทรงขัดเขินอยู่ร่ำไป
ดูเถิด ไม่ทันไรก็จูบอีกแล้ว
เรียมลลิตรขึงสายพระเนตรจนขวัญสรวงถอนริมฝีปากอย่างใคร่จะไม่เต็มใจ เขาจับร่างที่ยังสั่นนิดๆ ให้นั่งนิ่ง มองดวงตาที่กึ่งจะเคืองกึ่งจะเขินคู่นั้นด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ
“ไหนใครกันที่บอกว่าอยากจะนอนกับพี่นัก”
“เงียบเดี๋ยวนี้นะ”
ท่าทางเง้างอดนั้นเรียกรอยยิ้มของผู้ฟังให้แย้มออกกว้างจนเรียมลลิตรทรงเบือนพระพักตร์หนีด้วยทรงขวยเขิน
หริ่งเรไรขับขานบทเพลงไพเราะ ท่ามกลางท่วงทำนองที่มีธรรมชาติเป็นคีตกวีเรียงร้อยนั้น ผีเสื้อหนุ่มตัวหนึ่งกำลังสยายปีกบินร่อนราวกับรู้จักสายลมเป็นอย่างดี มันหยอกเย้าเหล่าบุปผาที่ไม่เคยมีสิ่งใดต้องแตะมาก่อนอย่างสนุกสนาน กระทั่งพานพบกับความงามพิสุทธิ์กว่าสิ่งใดๆ
หนึ่งปทุมคลี่กลีบออกช้าๆ ส่งกลิ่นหอมอัศจรรย์รัญจวน ราวกับร่ายมนตร์เสน่หาให้หนึ่งผีเสื้อหนุ่มชิมชื่น มันแตะลิ้นบนกลีบดอกไม้บางเบาอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวจะฉีกขาด ทว่ากลับดื่มด่ำทิพยรสหวานล้ำเหมือนไม่มีวันอิ่มเอม ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแม้แต่เรียมลลิตรที่ทอดพระเนตรอยู่ถึงกับพระทัยไหวสั่น
“พี่ขวัญ”
เห็นดวงตาหวานฉ่ำทอดมองกลับมา พระทัยก็สะท้านจนเกือบสิ้นพระสุรเสียง
“อย่าเลยครับ มันสกปรก”
เขายิ้มเล็กๆ มาทางพระองค์...แต่ไม่หยุด
ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนลงไปทีละน้อย เพียงอึดใจนับจากนั้น พระอุระก็แทบจะแยกเป็นเสี่ยง
ทรงวางพระหัตถ์บนบ่าที่กว้างแกร่งของเขา หากแต่แค่ทรงแตะลงเพียงผะแผ่ว พระอุระก็พลันสะดุ้งวาบ อากาศในตอนกลางคืนเยือกเย็นราวกับฤดูหนาว ทว่าผิวของคนตัวโตกลับอุ่นด้วยชีวิตชีวาจนทรงอยากประทับองค์ไว้ในอ้อมกอดนั้นชั่วกัปกัลป์
โมงยามแห่งความรักค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ดวงดาวสะท้อนบนผิวน้ำจนคล้ายกำมะหยี่สีดำทาบตาข่ายแพรคลี่กางทับคลองแสนแสบ เรียมลลิตรทรงคลายพระหัตถ์ทั้งสองข้างวางลงบนกาบเรือ พระฉวีซ่านอุ่นไปทั้งพระวรกายเมื่อถูกเขาจูบพรมไปทั่ว
“ขอนะครับ” ขวัญสรวงทอดเสียงกระซิบหวาน
เห็นอีกฝ่ายหลุบสายตาไหวระริกคู่นั้นลง ชายหนุ่มก็ถ่มน้ำลายลงบนมือแล้วชโลมบนร่างกายตัวเองจนฉ่ำชุ่ม เบียดร่างเข้าแทรก สอดลึกตัวเองเข้าไปหลอมรวมกับร่างของอีกฝ่ายช้าๆ
ความรู้สึกอันแปลกประหลาดจู่โจมเรียมลลิตรอย่างโรมรัน ประเดี๋ยวก็ร้อนจนวาบ ซ่านไปทั้งสรรพางค์ ประเดี๋ยวก็หนาวจนยะเยือก แต่ก็ทรงขืนพระทัยนิ่ง ทอดพระเนตรมองผิวน้ำไหวๆ
ฝูงมัจฉามากมายแทรกตัวเข้าไปในกอบัว ตอดกินความฉ่ำหวานไม่รู้อิ่ม ครั้งแล้วครั้งเล่า สะเทือนสะเทิ้นไปทั้งดอกไม้ที่กำลังบานแย้ม น้ำที่เคยนิ่งใสในคลอง บัดนี้คลอนเป็นระลอกแรง ซ่านกระเซ็นเป็นละอองโปรยปรายดั่งสายพิรุณ
ใช่เพียงจะเป็นแค่กระแสลมโยกคะนองอย่างที่เรียมลลิตรทรงคาดคะเนไว้แต่ตอนแรกไม่ ลมฝนนั้นยิ่งนานก็ยิ่งถั่งโถมจนกลายเป็นพายุโหมกระหน่ำ ผิวน้ำตลบขึ้นม้วนเป็นเกลียวคลื่น ซัดสาดนาวาลำน้อยจนโคลงเคลง ร่ำๆ จะแตกเป็นเสี่ยงเสียให้ได้ พายุนั้นยังคงโหมแรงขึ้นราวกับจะป่นปี้ทุกสรรพสิ่งตรงหน้าให้เห็นธุลี ทรงมิอาจทานทนไหว พระกรเล็กๆ จึงยกขึ้นโอบรอบลำคอและบ่าอันแข็งแกร่งของขวัญสรวงด้วยความหวาดพระทัย
“พี่ขวัญ...พี่ขวัญ”
“เจ็บหรือเปล่า” เสียงทุ้มกระซิบถามอย่างสั่นๆ แต่อีกฝ่ายกลับหลบสายตา ขวัญสรวงจึงโอบวงแขนกระชับแน่น แนบทั้งตัวเข้าชิดกับร่างเล็กๆ ที่โยกไหวไปมาอยู่ในอ้อมแขน ไม่ให้แม้แต่สายลมแผ่วพลิ้วเข้ามากั้นขวาง
ใจกลางของพายุลูกนั้น เรียมลลิตรกำลังทอดพระเนตรความงามจนสะกดลมหายใจเบื้องหน้า ท่ามกลางดวงดาราที่พริบพรั่งทั่วผืนฟ้านั้นมีรอยยิ้มของใครคนหนึ่ง สุกสกาวชวนมองยิ่งกว่าความสวยงามใดที่พระองค์ทรงประสบพานพบ ทรงเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นไป ค่อยๆ ซับเหงื่อกาฬเม็ดเล็กๆ ที่ชโลมทั่วทั้งใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม แลลำตัวที่เคลื่อนไหวอย่างแคล่วคล่องนั้น
ที่ลำคอ บ่า หัวไหล่ ที่แผ่นอก หน้าท้อง ลำตัว และสะโพก ทั้งหมดล้วนอุ่นและชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ทิ้งตัวลงเป็นเส้นสายพรายวาว
“พี่ขวัญ เหนื่อยหรือ”
“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบ น้ำเสียงสั่นกระเส่า
ขวัญสรวงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับฝ่ามืออุ่นๆ ที่ลูบไปทั่วใบหน้าเขา มองลึกลงไปในดวงตาที่หวานสวยคู่นั้นพร้อมๆ กับจูบพรมไปทีละนิ้วๆ อย่างเชื่องช้า หากแต่ความหวานซึ้งที่ล้นปรี่อยู่ในอกนั้นกำลังร้องตะโกนบอกว่า ‘เท่านี้คงยังไม่เพียงพอต่อความรู้สึกอันไหลหลั่งมากมายที่มีหรอก ต้องมากกว่านี้ มากยิ่งกว่านี้นัก’ ร่างสูงใหญ่จึงโน้มตัวลงนาบ จูบลงไปบนเรียวปากอุ่นๆ ด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง
จุมพิตอันอ่อนโยนถูกตอบรับด้วยความรู้สึกที่สวยงามทัดเทียมกัน เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองใบหน้าของขวัญสรวงที่เปียกชุ่มจนวามวาวนั้นอีกครั้ง ทรงรู้สึกถึงความอุ่นซ่านบนผิวกายของเขาก่อนจะปิดพระเนตรลงด้วยความสุขอันลึกล้ำ
นิมิตดั่งฝนดาวตกจำนวนมากมายร่วงพรูลงจากฟ้า ทอดยาวเป็นช่อมาลัยดอกพุดขาวบริสุทธิ์วางแนบเหนือพระอุระของเรียมลลิตร
แล้วจุมพิตที่หวานที่สุดก็ประทับลงบนพระโอษฐ์ในห้วงนาทีนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนนี้เป็นตอนที่มีส่วนคล้ายบทประพันธ์ดั้งเดิม จำเป็นต้องเก็บไว้
นั่นก็คือขวัญและเรียมพลอดรักกันในน้ำ และนับเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องอย่างนึง
ของเดิมคือจากกัดๆ กันจะเปลี่ยนเป็นรักกัน หันมาดีใส่กัน
แต่ที่เขียนนี้จะเปลี่ยนแค่ทั้งคู่รู้แน่แก่ใจว่าใจตรงกันแล้วนั่นเอง
เลิฟซีนนี้เขียนโดยมีเจตนาไปในทางหวานๆ เน้นสวยงามมากกว่าให้แซ่บแสบซ่าน
ทีนี้จะเขียนให้ออกมาเป็นภาษากวีไปเสียหมดก็กลัวคนอ่านจะงงหรือขี้เกียจอ่านไปเสียก่อน
เอาเป็นว่าพูดย่อๆ ก็คือป๊าบๆ กันนั่นแหละ ส่วนจะอ่านแล้วตีความกันออกมาจืดชืดหรือสะเด็ดสะเด่า
อันนี้คงขึ้นอยู่กับจินตนาการของแต่ละคนตอนอ่านแหละนะ ครุคริๆๆ
ตอนนี้คงเห็นชัดแจ้งขึ้นมาแล้วว่าจริงๆ แล้วน้องเรียมเป็นคนมีบุคลิกยังไง
นับว่าเป็นตัวละครที่ฝ่าขนบตัวนางในนิยายพีเรียดทั้งหมด และนี่เป็นเพียงเบาะๆ เท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่เคยบอกว่านิยายพีเรียดเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นพีเรียดแบบปกติแบบใครเขา
ส่วนพระเอก ถ้าใครคิดว่าอินังพี่ขวัญลิเก๊ลิเก ขอบอกว่าพี่แกลิเกกว่านี้อีก เกรียนด้วย
เป็นคุณชายแบบที่ไม่ได้เป็นคุณชายตามขนบนิยายพีเรียดอีกเช่นกัน
คนเขียนเพี้ยนยังไง ตัวละครก็เพี้ยนๆ แบบนั้นแหละ 555555555555555
สำหรับคนที่ชื่นชอบความแปลกและมีรสนิยมการอ่านคล้ายกับคนแต่ง
ก็อยากให้อ่านต่อไปเรื่อยๆ นะ แนวพีเรียดที่ไม่มีดราม่า
อาจจะอ่านยากหน่อยตรงภาษา แต่ก็อ่านแล้วสบายอกสบายใจนะ
พบกันใหม่เมื่อซ่อมเน็ตเรียบร้อยจ้า น่าจะสุดสัปดาห์นี้แหละ ถ้านัดช่างได้นะ
ปล. อยากแถมภาพหมอกธุมเกตุ หมอกธุมเพลิงแต่ไม่สะดวกเพราะเน็ตไม่พร้อม
อธิบายคร่าวๆ แทนก็แล้วกันครับ มันก็คือหมอกที่ลงหนาจัดแบบที่บอกในเรื่องนั่นแหละ
สองอันนี้จะต่างกันตรงหมอกธุมเกตุจะเป็นหมอกที่ลงจัดในช่วงเช้าจนถึงไม่เกินสิบโมง
ส่วนหมอกธุมเพลิงจะเป็นหมอกที่เกิดในช่วงค่ำ ส่วนมากจะเกิดกับช่วงพระอาทิตย์ตกช้า
แต่ในเรื่องนี้เขียนให้เกิดตอนดึกดื่น ไม่ใช่เวลาปกติของทั้งสองช่วงซึ่งถือว่าวิปริตมาก
เจตนาก็เพื่อเป็นลางบอกเหตุว่านังพี่ขวัญไปกินตับดอกฟ้าโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง เอวังด้วยประการฉะนี้