► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)  (อ่าน 51275 ครั้ง)

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
โอยชายขวัญของน้องง ชอบผู้ชายแบบนี้จังค่ะ

ออฟไลน์ Miele_M

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
"ชอบนิยายแนวพีเรียดเรื่องนี้มาก"

นี่ขนาดผู้แต่งไม่ค่อยถนัดยังแต่งได้ดีขนาดนี้เทียว?
ทั้งภาษาทั้งรูปแบบการบรรยายในรายละเอียดต่างๆที่มีในเนื้อเรื่อง
ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวมากค่ะ อ่านเพลินสุดๆไม่มีสะดุดเลย o13
ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบจนบัดนี้ติดพี่ขวัญกับน้องเรียมในเวอร์ชั่นนี้เรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆ

ขอเป็นกำลังใจให้จนจบเรื่องเลยนะคะ นิยายแนวพีเรียดดีๆแบบนี้หาอ่านไม่ได้ง่าย
แอบเชียร์ให้ทำเป็นหนังสืออยู่เงียบๆ...โอเคตอนนี้ไม่เงียบแล้วล่ะ :hao7:

ออฟไลน์ SoulFighter

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
น้องเรียมน่ารักอย่างนี้ ไม่แปลกที่พี่ขวัญจะเอ็นดู

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Loverouter

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 446
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +471/-12
ชอบจัง ภาษาสวยมาก อ่านเพลินเลย เป็นอีกเรื่องในดวงใจแน่ๆ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอให้รวมเล่มๆ สาธุ  :hao7:

ขอติดเป็นนิยายในดวงใจ ทั้งภาษา การเล่าเรื่อง ทุกอย่าง ชอบมากค่ะ

มาต่อเถอะนะคะ เดี๋ยวคนอ่านลงแดง 5555  :katai5:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๔




ดังคำพูดสมัยใหม่ที่ว่า "เงินทองนั้นบันดาลได้ทุกสิ่ง" ย่างเข้าเดือนสิบเอ็ด ตึกฝรั่งขนาดใหญ่กว่าเท่าก็ตระหง่านเคียงข้างคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ บรรยากาศที่เวิ้งคลองแสนแสบบัดนี้เปลี่ยนไปจนละม้ายเมืองฝรั่ง ชาวบ้านที่แจวเรือผ่านไปมาต่างก็ต้องชะลอพายชมความงามโอ่อ่า หยุดมอง แทบลืมกะพริบตา

คนซึ่งดูจะตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นกำนันจงรัก พินอบพิเทาแวะเวียนมาพูดคุยกับอธิปแทบจะวันเว้นวัน

พลาดกำไรจากที่ดินผืนงามไปแล้ว คนหัวพ่อค้าอย่างกำนันจงรักก็หวังกอบโกยคืนให้ครบ เขาไม่ใช่คนสุจริต อาศัยเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ไต่เต้าจากเสมียนต่ำต้อยขึ้นมาเป็นกำนันได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี

การขายที่ดินซึ่งไม่ได้กำไรตามควรให้กับอธิปนั้นเปรียบประมาณริ้วแผลให้แสลงสะเก็ดอยู่ร่ำไป วิสัยของคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ทำให้กำนันจงรักคิดว่าหากเส้นสายนั้นทำให้ต้องยอมกลืนเงินเบี้ยแบบไม่เต็มหน่วยเม็ด เขาก็จะเป็นคนย้อนเกล็ดมันกลับเสียเอง สักวันเส้นสายนี้ก็ต้องทำให้ตนได้ประโยชน์มากขึ้น ไม่ทางหนึ่งก็ทางใด อธิปจะเป็นทางลัดสู่ความมั่งคั่งของเขาละครอบครัวในอนาคตอันใกล้นี้

หลังจากสองสามครั้งที่มาเยี่ยมเยียนถึงคฤหาสน์งามในฐานะคนใหญ่คนโตของท้องที่ กำนันเฒ่าก็เริ่มเหน็บสะอิ้งมาด้วยเป็นครั้งคราวเหมือนแวะเยือนเป็นทางผ่าน เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง กระทั่งถึงเวลาเหมาะควร การจะพ่วงจ้อยไปด้วยอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

"พ่อจะพาฉันมาที่นี่ทำไม ไหนว่าจะแวะไปบ้านน้องทิพย์"

"อุวะ! ไอ้ลูกไม่รักดี วัน ๆ เอาแต่คิดจะเฝ้าสาว" กำนันจงรักพูดเสียงฉุนเมื่อเห็นท่าทีเกียจคร้านของลูกชาย แต่สะอิ้งไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้นัก

"คุณพี่ก็อย่าเอ็ดอะไรอ้ายจ้อยมันเลย ลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว จะมองสาวสักคนน้องว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แม่น้ำทิพย์อะไรนั่นก็สวยใช้ได้ ดีกว่าปล่อยให้ไปติดนางลิเกท้ายตลาด หูตาแพรวพราวพิลึก"

สะอิ้งเถียงสามีทันควัน พูดไปก็ลูบเนื้อตัวจ้อย ปลอบประโลมราวกับถ้อยคำตำหนินั้นจะทำให้ผิวระคายแสบร้อน ครั้นพอเห็นสีหน้าเบื่อเสียเต็มประดาของลูกรัก หล่อนก็ไม่วายจะตระหลบกลับมาพูดถึงเจ้าของบ้านอย่างไม่สบอารมณ์

"นี่ก็เหมือนกัน พี่เป็นถึงกำนันของที่นี่ แวะมาแทนที่จะต้อนรับให้สมฐานะ นี่อะไร ให้รอที่ศาลานอกบ้าน"

"เอาเถอะแม่สะอิ้ง รอจนถึงเวลาของเราเถอะ"

กำนันจงรักพูดอย่างอดกลั้น ส่วนจ้อยที่นิ่งอยู่สักพักนั้นได้ลุกขึ้น เดินสำรวจไปรอบ ๆ แล้วหัวเราะหยัน

"มีปัญญาปลูกตึกเสียใหญ่เปล่า แต่ไม่มีปัญญาปลูกไม้ โง่บรม"





อธิปนั้นมองทุกอย่างจากหลังเฉลียงชั้นบน แม้ไม่ได้ยินชัดถ้อยชัดคำแต่การอ่านกำนันจงรักและเหล่าบริวารนั้นไม่ต่างกับการเปิดหนังสือที่เขารู้จักเป็นอย่างดีทุกตัวอักษร ง่ายดาย ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ชายหนุ่มมองเจตนาถึงการมาของอีกฝ่ายออกแต่แรก หากแต่เลือกที่จะเก็บความเคลือบแคลงไว้ในท่วงท่าเรียบนิ่ง ไม่ระคายเหมือนถ่านหินที่ซ่อนความร้อนแต่ภายใน

เพียงสิ่งเดียวที่อธิปคิดไม่ตกก็คือเพราะเหตุใดคนประเภทกำนันจงรักจึงเปลี่ยนใจขายที่ดินให้อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังขายในราคาประเมินตลาดเช่นนี้ ความคิดนั้นได้สะดุดลงเมื่อมีเสียงทักขึ้น

"คราวนี้จะเอายังไงดีพ่ออธิป แห่กันมาอีกแล้ว"

นมละเอียดพูดขึ้นด้วยเสียงหน่าย บ่าวไพร่บริวารคนอื่นก็แสดงออกในสีหน้าด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน

"ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับนม ปล่อยไปจนกว่าจะเหนื่อย"

อธิปตอบสั้น มองกลุ่มคนตรงศาลาริมน้ำที่เริ่มออกท่าหัวเสีย ชายหนุ่มจงใจทิ้งให้อีกฝ่ายรอนานขึ้นในแต่ละวัน ปล่อยให้เป็นหนูตกบ่วง วิ่งวนในโทสะและโมหะตนจนเหนื่อยอ่อน ล่าถอยไปเอง ไม่ต้องเปลืองแรงออกปากไล่ให้ผิดใจกัน

"คิดว่าคงอีกไม่นานหรอก"

ริมฝีปากของชายหนุ่มพร่างรอยยิ้มน้อย ๆ ขณะที่ก้มมองเข็มนาฬิกาบนข้อมือที่เพิ่งจะผ่านไปสิบห้านาทีเท่านั้น

คงมีเวลาจัดการเอกสารอีกสักฉบับสองฉบับกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ร่างสูงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเอกสาร ทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น





เช่นเดียวกับบรรยากาศในคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ที่ยังคงสงบร่มเย็นและดำเนินไปตามปรกติวิสัย ยามเช้าเจ้าบ้านจะออกมาตักบาตรที่ท่าน้ำ ตรวจตราความเรียบร้อยในบ้าน ทีี่คอกม้า และไม้น้อยใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านแตกยอดตลอดแนว ตกบ่ายถ้ามีเอกสารภาษาอังกฤษของวังใหญ่ เขาก็จะจัดการให้เรียบร้อย เสร็จงานก็จะมาสอนดนตรีแก่ลูกชาวบ้านในละแวกนี้ดังกิจวัตรที่ทำทุกวัน

วันนี้เทพมานั่งรอที่ตั่งใต้ร่มพะยอมด้วยอาการกระปรี้กระเปร่า อวดความก้าวหน้าในแบบฝึกหัดให้กับคุณครูได้ชื่นชมในความก้าวหน้า

"พ่อชมว่าผมเป่าเพลงกระต่ายลอยคอเพราะ"

"ขนาดนั้นเทียวรึ"

ชายหนุ่มถามอารมณ์ดี นึกเอ็นดูในความมุ่งมั่นของเด็กตัวน้อย

"จริง ๆ นะครับพี่ขวัญ พี่ทิพย์ก็ยังชม"

แต่ไม่นาน รอยยิ้มก็จางลงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจากอีกฝั่งของรั้ว สะอิ้งบ่นไม่หยุด ขณะที่จ้อยก็วิสาสะเดินสำรวจไปมาเหมือนเป็นบ้านตนเอง แค่เห็นชายหนุ่มก็ให้รู้สึกอ่อนใจ

"กำนันเป็นเพื่อนกับข้างบ้านหรือครับ ผมเห็นมาบ่อย ๆ"

เพื่อนหรือ? สำหรับกำนันจงรักอาจจะนับว่าใช่ แต่กับอีกฝ่าย ขวัญสรวงไม่แน่ใจ

"พี่ก็ไม่แน่ใจ"

ขวัญสรวงยิ้มบาง เลือกจะให้คำตอบเด็กชายตัวน้อยแบบกลาง ๆ

หนึ่งเดือนเศษหลังจากที่เพื่อนบ้านใหม่แวะมาเยี่ยมเยียนที่คฤหาสน์ขัตติยพงศ์ตามธรรมเนียม ขวัญสรวงได้สนทนากับอธิป รู้สึกได้ถึงการวางตนแบบพิธีรีตรองของอีกฝ่าย และเมื่อพิจารณาดูแล้ว การที่คนแบบอธิปจะสนิทสนมกับกำนันจงรักคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

ส่วนเรียมยังคงพูดจาประหยัดถ้อยคำเช่นเดิม ตลอดการพูดคุยและรับประทานอาหารว่างโดยฝีมือสายบุญร่วมกันกัน แผ่นหลังตั้งตรงนั้นยังคงนิ่งสนิท จะมีก็แต่นิลน้ำงามคู่นั้นที่เยื้อนยิ้มอยู่ในแววตายามได้ชิมเล็กชิมน้อย นานครั้งจะได้ยินคำตอบรับสั้น ๆ ว่า "ครับ" ให้พอคนชวนคุยไม่รู้สึกเคอะเขิน

นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ขวัญสรวงได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านซึ่งย้ายมาใหม่ แต่ครั้งเดียวนั่นก็มากพอที่จะมั่นใจได้ว่ามิตรสหายนั้นเป็นเรื่องที่ไกลเกินกว่ากำนันจงรักจะเอื้อมถึง

ร่างสูงใหญ่ลากลมหายใจยาวเมื่อเห็นครอบครัวของกำนันจงรักป้วนเปี้ยนอยู่ในอาณาเขตของฝั่งตรงข้าม วางใหญ่โต ตินั่นตินี่ราวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินยังไม่ถูกถ่ายโอนไปพร้อมกับการซื้อขาย

แม้จะไม่ได้ถามความโดยตรงจากปากผู้เป็นเจ้าของใหม่ก็พอจะคะเนได้เลา ๆ ว่าการปรากฏตัวแทบทุกวันนั้นของคนเหล่านั้นสร้างปัญหากวนใจได้มากขนาดไหน

อธิปนั้นคงไม่เท่าไร

อีกคนนี่สิ จะเป็นอะไรไหม?

ความว้าวุ่นก่อตัวขึ้นเงียบเชียบในใจของชายหนุ่ม ไร้ร่องรอยจนแม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกเฉลียว ใจนึกประหวัดไปถึงคราวที่ตนบีบกำนันจงรักให้ยอมขายที่กลาย ๆ ความไม่นึกญาติดีกับอยุติธรรมทั้งมวลนั้นมีเป็นฟืนอยู่แล้ว แม้นหากไม่มีใครเติมเชื้อก็คงไม่เกิดเปลวอัคคี

ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามที อาการไม่ประสาต่อความละโมบของอีกฝ่ายนั้นจุดเปลวไฟบนขอนที่พร้อมปะทุตลอดเวลาของขวัญสรวงให้โชนแสง

เขาก้าวเดินอย่างเงียบเชียบออกมาจากหลังม่าน คิดว่าเรื่องจะจบ ใครเล่าจะเชื่อว่าความเห็นแก่ได้ของกำนันจงรักนั้นจากลากสายเป็นใยบัว ตัดแล้วก็โยงยางไม่ยอมจบสิ้น หอบลูกเมียมาเช้าถึงเย็นถึงแบบนี้

"พี่ขวัญครับ"

คนที่จมอยู่กับความคิดเบนความสนใจกลับมาอยู่ที่ลูกศิษย์ตรงหน้า ส่งยิ้มให้กับดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ที่มองด้วยความอยากรู้

"แล้วพี่ขวัญเป็นเพื่อนกับข้างบ้านด้วยไหมครับ"

"ทำไมถึงคิดแบบนั้น" ชายหนุ่มถามต่อด้วยความเอ็นดู

"พี่ขวัญมองไปทางบ้านนั้นบ่อย ๆ"

"อ้อ" คนฟังสะดุ้งน้อย ๆ หลายวันผ่านมาเขาไม่ทันได้สังเกตตัวเอง ไม่เอะใจว่าความเป็นกังวลนั้นทำให้เผลอมองไปฝั่งตรงข้ามบ่อยจนแม้แต่เด็กยังรู้สึกได้

"ก็เลยคิดว่าพี่ขวัญจะเป็นเพื่อนกับพี่ที่อยู่ข้างบ้างน่ะหรือ"

"ใช่ครับ" เด็กชายเทพตอบฉะฉาน ก่อนจะลังเลชั่วครู่แล้วถามตรงตามความคิด "ทะเลาะกันหรือครับ"

ได้ยินแล้วคนตัวโตถึงกับกลั้นหัวเราะ บ่าทั้งสองข้างไหวเทิ้ม

"พี่ไม่ได้ทะเลาะกับเขา" ขวัญสรวงตอบยิ้ม ๆ ตามความจริง เห็นอีกฝ่ายทำหน้าโล่งอกก็ยกมือขึ้นลูบหัว เอ่ยขึ้น "วันนี้พอแค่นี้ไหม เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง พี่จะให้เยื้อนไปส่ง"

"ครับ"

เทพตอบ ปิดสมุดโน๊ตแล้วเก็บใส่ถุงผ้าอย่างระมัดระวัง





ตึกฝรั่งสองชั้นที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนนั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบขนมปังขิงตามสมัยนิยม เริญดนุภพตั้งชื่อสำหรับเรียกง่าย ๆ ว่า "ตำหนักน้อย" ตามขนาดที่ดินซึ่งเล็กกว่าตำหนักภัทรกุลเกินครึ่ง ทิศตะวันออกของซึ่งเป็นด้านหน้าของตัวอาคารมีน้ำพุขนาดเล็กล้อมกรอบด้วยพรมหญ้าเขียวชะอุ่ม ตัดกับสีดอกจำปีของตัวตึกจนงามแยบยล ความโอ่อ่านั้นยังประดับประดาด้วยปูนปั้นสลักเถาดอกไม้สีขาว ไล่ไปตั้งแต่หน้ามุข เฉลียง วนจนรอบ

ตัวตำหนักใหญ่เป็นทรงหกเหลี่ยมตีออกทั้งสองข้าง ทิศใต้ซึ่งติดกับลำคลองนั้นเป็นเรือนปั้นหยาทะลุเชื่อมถึงกัน หลังคาซ้อนหลั่นแบบคอสอง ประดับด้วยลูกกรงฉลุไม้เป็นลวดลายเดียวกับตึกใหญ่ ด้านหลังปลูกศาลาเล็ก ๆ ขนาบริมน้ำสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ

ระเบียงชั้นสองของเรือนด้านข้างนี้เป็นมุมที่เรียมลลิตรโปรดปรานเป็นพิเศษ นอกจากเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทุ่งบางกะปิได้ไกลสุดลูกหูลูกตาแล้ว ชานนี้ยังหันหน้าไปทางทิศลม อากาศจึงร่มเย็นแช่มชื่นแต่เช้าจรดค่ำ บ่อยครั้งที่ออกมายืนพักผ่อนก็ให้เผลอหลงลืมกระทั่งเวลา

แม้จะค่อนคล้อยเข้ายามเย็นแล้ว แต่เรียมลลิตรเพิ่งตื่นนอนไม่นานนัก นี่เป็นเวลาปรกติตามวิถีชีวิตที่ปราศจากความเร่งรีบร้อนรน ไม่ต้องทำงาน และใช้เวลางานสังคมเฉพาะงานที่ชื่นชอบเพียงช่วงกลางคืน

ชายหนุ่มสวมลำลอง นุ่งแพรม่วงเปลือกมังคุด และยืนอยู่เงียบ ๆ มองเปลวแดดสีกลีบกุหลาบทอดลำแสงหยอกล้อกับผิวนที

ทว่าความงามพริ้มพรายในสายตาของเรียมลลิตรนั้นเปรียบไม่ได้เลยกับความงามที่ปรากฎต่อหน้าของแขกผู้มาเยือน

"เจ้าของบ้านหรือวะ"

จ้อยพูดขึ้นเหมือนตั้งคำถามกับตัวเอง อารมณ์ที่คุกรุ่นพร้อมจะระเบิดเมื่อครู่เหมือนถูกผ้าผืนนุ่มห่อหุ้มไว้จนกลายเป็นความหวามไหวในพริบตา แปลกประหลาดจนแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้

แม้นไม่ได้มีทรวงอกกลมกลึง หรือสะโพกผายชวนมองแบบหญิงสาว แต่ดวงหน้าอันผ่องกระจ่างนั้นกลับงามสะดุดตากว่าหญิงใดที่จ้อยเคยพานพบ เรือนร่างแม้จะสง่าสมชายชาติ ทว่าอีกด้านก็สะโอดสะองพละพลิ้วเหมือนยอดอ่อนของผักบุ้งน้ำ กรอบหวาน น่าลิ้ม

มีหรือใครจะไม่คิดเชยชิม

"ตรงนั้นน่ะ อยู่ที่นี่รึ"

เสียงตะโกนโหวกเหวกทำให้เรียมลลิตรเหลียวมองด้านล่าง เมื่อเห็นเป็นคนแปลกหน้า ดวงตาฉ่ำน้ำก็ระคนไปด้วยความประหลาดใจและความตกใจพอ ๆ กัน

ความใหญ่โตนั้นถูกปลูกฝังอยู่ในความคิดของจ้อยแต่เล็ก เมื่อมีอำนาจก็ไม่จำเป็นต้องสำรวมเกรงใจ ชายหนุ่มจึงถือตนเป็นคนสำคัญ ละแวกคลองแสนแสบไม่มีใครไม่รู้จักกำนันจงรัก

เช่นกัน ต้องไม่มีใครที่ไม่รู้จักจ้อย

"เป็นเจ้าของบ้าน ทำไมไม่ลงมาต้อนรับ หรือถือว่าบ้านแสนโก้ จะให้แขกยืนคอยจนเมื่อยขาก็ไม่เป็นไร"

เลือดฉีดขึ้นบนผิวแก้มของเรียมลลิตรจนระเรื่อด้วยความอับอาย ถ้อยคำตำหนิไม่ไว้หน้านั้นทำให้ร้อนวาบไปทั้งตัว ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้ง สีหน้าแม้จะยังคงเรียบนิ่งแต่ก็ฉายแววพิพักพิพ่วน ทำอะไรไม่ถูก

ทันใดนั้น

"มีธุระอะไรหรือ"

เสียงอธิปดังขึ้นจากทางด้านหลัง แม้จะไม่ใช่เสียงตะโกนโหวกเหวก แต่น้ำเสียงที่หนักแน่นก็ทำให้ท่าทีกระด้างกระเดื่องนั้นลดลงไปไม่น้อย

จ้อยหันกลับมา ขมวดคิ้ว เผชิญหน้าคนตัวโตที่ขัดจังหวะอย่างถมึงทึง

หากแต่ยังยังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็สาวเท้าเข้ามายืนประชิด เอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวาน น่าเกรงขาม

"บ้านเรายังตกแต่งไม่เรียบร้อย ไม่สะดวกจะรับแขก เชิญที่ศาลาริมน้ำจะดีกว่า"

สีหน้าของจ้อยก่ำขึ้นด้วยความฉุน แต่เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อและแม่เป็นฝ่ายเดินมาทักทายยกมือไหว้คนตรงหน้าก็ได้แต่จำใจกดโทสะไว้แต่ในใจ

"นี่คุณอธิป เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ที่ซื้อที่ต่อจากเราไง ส่วนนี้เจ้าจ้อย ลูกชายของกระผมเองขอรับ"

กำนันจงรักหัวเราะเบิกบาน ส่วนสะอิ้งก็เสริมทันควัน สอดคล้อง

"ยกมือไหว้คุณเขาสิลูก ฝากเนื้อฝากตัวกับคุณอธิปไว้"

จ้อยยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ

อธิปนั้นรับไหว้ตามมรรยาท ดวงตาคมมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา

"ไม่ทราบว่ากำนันจะมา ผมติดงานอยู่ ต้องขอโทษที่ลงมาต้อนรับช้า"

"แล้วนี่คุณอยู่คนเดียวรึ คนอื่น ๆ เล่า"

จ้อยถามแทรกขึ้นทั้งที่มีคำตอบอยู่แล้ว ในใจยังวนเวียนอยู่กับคนบนเฉลียงเมื่อสักครู่

เมื่อผู้เป็นลูกเอ่ยขึ้น ผู้เป็นแม่ก็เสริมตามประสาคนกระหายใคร่รู้ทันที

"นั่นสิคุณ ปลูกเรือนใหญ่โต มีเรือนเล็กเรือนน้อย จะอยู่คนเดียวก็ใช่ที่ คนอื่น ๆ ละคะ จะได้รู้จักมักจี่กันไว้"

อธิปไม่ได้ตอบอะไร แต่ใช้สายตาเย็นยะเยือกและสีหน้าเคร่งขรึมหยุดทุกคำถามของผู้มาเยือน กำนันจงรักเป็นคนแรกที่เอ่ยปากขึ้นมาอย่างรู้ทางลม

"แดดร้อนเหลือ ไปนั่งที่ศาลากันเถอะ"

แม้จะยังนึกสงสัยแต่เมื่อผู้เป็นผู้นำครอบครัวเอ่ยปาก สะอิ้งก็โบกมือตะเพิดจ้อยให้เดินกลับไปที่ร่มศาลา จากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถามถึงเรียมลลิตรอีกเลย




(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




ค่ำนี้ลิเกเรื่องจันทโครพยังเรียกเสียงชื่นชมได้ไม่ขาดเช่นทุกครั้ง เกือบทั้งหมดของเสียงปรบมือนั้นถูกกำนัลแก่ดาวเอกของคณะผู้รับบทเป็นนางโมรา

จันดีมีใบหน้าสวยสะพรั่ง ผมดกดำเป็นพู่ไหมเช่นสาวดรุณี ผิวพรรณขาวกระจ่างเหมือนเนื้อแตงอ่อน ทรวดทรวงอ้อนแอ้น อะไรที่สมควรจะน้อย หล่อนก็มีพอดีตัว เนื้อหนังยังเอิบอิ่ม ไม่ผอมแห้ง ส่วนอะไรที่สมควรจะมี หล่อนก็มีจนล้นเหลือ ซ้ำยังใจกว้างเปิดเผยแบ่งปันให้เป็นอาหารตาชายหนุ่มพอหอมปากหอมคอ ของใดที่ไม่สึกไม่หรอ หล่อนก็ไม่เคยหวง

หากแม้นเปรียบสาวรุ่นทั่วบางกะปิดั่งดอกแก้ว หอมอ่อน เป็นธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่ง จันดีก็เปรียบดังดอกจำปาแดง กรีดกราย ฉูดฉาด หอมฟุ้งไปทั่ว

หล่อนขึ้นชื่อว่ามีท่วงท่าร่ายรำอันชดช้อย จันดีรู้ว่าต้องทำอย่างไรคนดูจะชอบและตบพวงมาลัยให้อย่างไม่นึกเสียดาย โดยเฉพาะวิธีที่หล่อนชะม้ายมอง เล่นเอาหัวใจใครต่อใครหวามไหวไม่สมประดี

แต่สาวเจ้าไม่ปล่อยตัวไปกับใครง่าย ๆ จันดีเลือกเฉพาะคนที่ตอบแทนได้สมน้ำสมเนื้อ ใช่แค่ทรัพย์สินเงินทอง ค่าใช้จ่ายสำหรับหล่อนหมายถึงความมีหน้ามีตาด้วย เมื่อจ้อยคือคนที่ให้ได้ทั้งสองสิ่ง หล่อนก็ปรีดาจะปรนนิบัติต่อเขาเป็นพิเศษ

"พี่จ้อยของจันดี รอนานไหมคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดื่มโอเลี้ยงเย็น ๆ ก่อน"

มือเรียวนวดเฟ้นไปบนเนื้อตัวจ้อยอย่างคล่องแคล่ว คุณสมบัติเหล่านี้นางผุยผู้เป็นแม่สั่งสอนหล่อนมาแต่เล็กแต่น้อย คล่องพอ ๆ กับรำลิเก แม้แต่จ้อยซึ่งวันนี้ดูฉุนเฉียวมึนตึงกว่าทุกครั้งยังอ่อนลงเมื่อต้องสัมผัสพัดวีของหญิงสาว

ชายหนุ่มผ่อนยิ้ม ชอบอกชอบใจ

ทุกวันหลังจากการแสดงเสร็จสิ้น นายศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ติดตามของจ้อยจะกันที่ไว้เป็นส่วนเฉพาะอยู่บริเวณด้านหลังของเวทีสำหรับผู้เป็นนาย เมื่อจันดีผลัดผ้าเปลี่ยนชุดแล้ว หล่อนก็จะนวยนาดมาหาชายหนุ่ม ฉอเลาะอ่อนหวานจนกว่าเขาจะกลับ

ซึ่งบางครั้ง จ้อยก็ไม่ได้กลับ

"ค่ำนี้ให้จันดูแลให้ไหมคะ"

ใบหน้างามรัญจวนไปด้วยความหอมหวานเอนแนบกับแผ่นอกของชายหนุ่มอย่างไม่นึกขวยเขิน แต่วันนี้จ้อยกลับไม่ได้ตอบรับความอ่อนหวานแบบทุกครั้ง เขาเหม่อลอย เย็นชาแบบขอไปทีเท่านั้น

"ไม่ต้องหรอก วันนี้เหนื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว"

"เสียดายที่ีไม่มีโอกาสได้ทานข้าวกับพี่จ้อย" แววตาปลั่งประกายหม่นลงเหมือนใจหาย หล่อนพูดว่า "วันก่อนพ่อค้าที่ตลาดบอกว่าเพิ่งได้กำไลมาจากเมืองจีน เป็นหยกสีขาวหายาก เนื้อก็งาม ของสมเกียรติคู่ควรกับพี่จ้อย จันไม่อยากให้พลาดไปอยู่กับคนอื่นนะคะ"

หญิงสาวเว้นช่วงไปสักพัก แล้วเอ่ยเสียงเศร้า

"ตั้งใจคิดว่าจะพาพี่จ้อยไปดูกัน คงต้องปฏิเสธเขาไป"

ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วยกโอเลี้ยงขึ้นจิบ

"เป็นผู้ชาย จะเอาของแบบนั้นไปทำไม ถ้าจันอยากได้ก็ไปซื้อมา บอกให้เขาไปเก็บเงินกับพี่"

จ้อยพูดอย่างไม่คิดมาก เรื่องเงินทองถือเป็นเล็กน้อยสำหรับเขา

"จันกราบขอบพระคุณที่เมตตานะคะ จันเป็นแค่นางลิเกต่ำต้อย ถ้าพี่จ้อย ไม่กรุณา ชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้แตะของสวยงามแบบนั้น"

หญิงสาวกราบแนบอกของจ้อย นอบน้อมอ่อนหวาน

"ถึงยังไง จันก็เกรงใจ"

"คิดเสียว่าเป็นของชดเชยที่วันนี้พี่ไปกับจันไม่ได้ก็แล้วกัน"

ถือว่าเอ่ยคำลาชัดแจ้งแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน แหวกมือเปิดฉากกั้น ก่อนจะลอดตัวออกไป เขาเดินดุ่ม ๆ ไปยังรถสามล้อถีบที่รออยู่ เมื่อศักดิ์เปิดม่านให้โดยไม่ต้องออกคำสั่ง จ้อยก็ก้าวพรวดขึ้นไปนั่งบนเบาะพร้อมกับอาการครั่นจิตครั่นใจบอกไม่ถูก

ความรู้สึกหวามไหวไปกับคนซึ่งเจอเมื่อตอนบ่ายกรุ่นอยู่ในอกจนไม่มีกระใจทำอย่างอื่น

ไม่เชิงว่าเป็นความเสน่หาอยากลิ้มรสเสียทีเดียว เหล่านี้นับว่าเพี้ยนเสียยิ่งกว่าจับหมูหมามาเทียมเกวียนแทนวัวควาย ครั้นจะปฏิเสธว่าไม่มีอารมณ์รัญจวนแม้แต่น้อยก็ตอบตัวเองได้ไม่เต็มปาก

อดรนทนไม่ได้ จ้อยก็ออกคำสั่งกับคนสนิท

"ศักดิ์ เอ็งไปสืบมาว่าที่ดินเดิมของข้ามีใครมาอยู่บ้าง ชื่ออะไร"

"ได้จ้ะพี่" ศักดิ์รับคำ

"แล้วเอ็งคอยดูให้มั่น อย่าให้พวกมันรู้ตัว วันไหนอ้ายคนที่ชื่ออธิปนั่นไม่อยู่ เอ็งรีบมาบอกข้าทันที"

"จ้ะ" ศักดิ์พูดฉะฉาน สักพักก็ยิ้มกริ่ม "ว่าแต่ตอนนี้ยังไม่ดึก พี่สนใจจะแวะไปบ้านน้ำทิพย์ก่อนหรือเปล่า"

"กลับบ้าน กูไม่มีอารมณ์"

ชายหนุ่มตอบสั้น เต็มเสียงพร้อม ๆ กับดึงม่านปิด





การรอคอยของจ้อยสิ้นสุดลงเมื่อหลายวันถัดมา

อธิปได้รับโทรศัพท์จากวิศาลว่าเกสร ผู้เป็นมารดานั้นป่วยไข้ด้วยโรคประสานธาตุ แม้บัดนี้จะมีอาการไปในทางที่ดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังประมาทไม่ได้ หมอเจ้าของไข้จึงให้พักอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชตรงถนนวังหลัง ชายหนุ่มจึงต้องขับรถเข้าไปในเขตบางกอกน้อยอย่างเร่งด่วน

ใจของอธิปว้าวุ่นด้วยแรงสังหรณ์ประหลาด ความกลัดกลุ้มเรื่องอาการของมารดาก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่นึกพื้นเสีย ประหวั่นอยู่ลึก ๆ กับเรื่องที่ตำหนักจนต้องตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อย

"อาจจะต้องค้างคืนที่นั่นสักสองสามวัน ผมโทรแจ้งกับผู้ช่วยของคุณเริญแล้ว ขอคนมาช่วยเป็นหูเป็นตาที่นี่ในเวลาที่ผมไม่อยู่ คงจะถึงสักวันพรุ่งนี้"

แม้เสียงจะเคร่งสักเพียงใด สีหน้าที่จริงจังนั้นก็ระคนไปด้วยแววพะวักพะวนกับทางนี้อยู่ไม่น้อย

"เรื่องราวอะไรทางนี้คงไม่มีดอกพ่ออธิป อย่างมากก็เรื่องแขกไม่ได้รับเชิญ ไม่มีใครอยู่ก็คงจะกลับไปเอง อย่าเป็นห่วงทางนี้เลย"

ละเอียดพูดขณะแบ่งข้าวกระยาคูที่ลงมือกวนตั้งแต่เมื่อคืน ทันทีที่ทราบข่าวแม่นมก็กะเกณฑ์บ่าวไพร่มาช่วยกันคนละไม้ละมือ ปรุงรสด้วยน้ำผึ้งและน้ำนมอย่างดี ด้วยเชื่อในสรรพคุณว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ให้ผลฉมังสำหรับคนไม่สบายในช่องท้องตามตำรับโบราณ

"ขออย่าเป็นอะไรรุนแรงเลยแม่คุณ บุญรักษา"

หญิงชราโบกมือให้เด็กคนอื่นในบ้านยกปิ่นโตนำไปใส่ไว้ที่รถของอธิป ขณะที่เธอเองค่อย ๆ เดินมาส่งชายหนุ่มที่ชานบ้าน เด็กรับใช้คนอื่น ๆ ในตำหนักน้อยก็ยืนเรียงหน้าเป็นพระอันดับพร้อมเพรียงแล้ว ทุกอย่างเป็นระเบียบจนชายหนุ่มคลายกังวลลงไปมาก กระนั้นความรู้สึกสังหรณ์ใจก็ยังสลัดออกไปไม่สิ้น อธิปตรึกตรองถี่ถ้วน อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะทำให้เบาใจได้มากขึ้น แต่สิ่งนั้นคืออะไร เขายังนึกไม่ออก

เห็นชายหนุ่มยื้อเวลาอยู่นาน นมละเอียดก็ท้วงเรียกสติ

"รีบไปรีบมาเถอะ แม่เกสรคงชื่นใจที่ได้เห็นหน้าลูกรัก"

เมื่อโดนตัดบท คนที่ยืนกอดอกจึงได้ยอมขับรถออกไปแต่โดยดี





แสงเงินแสงทองแตะคลื่นเมฆ ส่องสว่างทั่วผืนฟ้า แต่ในตำหนักน้อยกลับมีบรรยากาศขมุกขมัวเหลือเกิน ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีที่รถของอธิปพ้นอาณาเขตภัทรกุล รถอีกคันก็ผ่านพ้นประตูรั้วเข้ามา

แม้วัยจะล่วงเลยมากว่าค่อนชีวิต แต่หูตาของนมละเอียดยังดีไม่แพ้กับหนุ่มสาว เสียงรถยนต์ที่ไม่คุ้นหูทำให้ผู้เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าบริวารเดินออกมาดูถึงเฉลียง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร หญิงชราถึงกับออกอาการฉุน

"คุณเข้ามาได้ยังไง พ่ออธิปไปข้างนอก ไม่ได้มีใครบอกรึ"

"มี แต่ไม่อยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร เจ้าบ้านคนอื่นมี ออกมารับก็ได้"

จ้อยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน สาวเท้าก้าวเข้ามาในตึกหน้าตาเฉย

"อ้าว! แขกมาเรือน จะใจดำไม่มีใครยกน้ำมาต้อนรับกันเลยหรือไง"

บ่าวไพร่ในบ้านที่ล้วนเป็นหญิงสาวและคนแก่เฒ่าต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก  ด้วยตำหนักภัทรกุลเองนั้นยังไม่เคยต้อนรับแขกที่ไร้มรรยาทเช่นนี้มาก่อน นมละเอียดเดินตามเข้ามาถึงกับตื่นตระหนกเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนนั่งลงบนโซฟาลายเถากุหลาบ ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างเบิกบานนักหนา

"ธุระอะไรเอาไว้วันหลังเถอะคุณ พ่ออธิปไม่อยู่ เราเองไม่สะดวกต้อนรับคน"

เพราะไม่เคยได้พบเจอครอบครัวของกำนันจงรักทางประตูด้านหน้าที่ติดกับถนนใหญ่มาก่อน นมละเอียดจึงระวังแต่ที่ศาลาริมน้ำด้านหลังตำหนัก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาทางรถจึงไม่ได้ออกไปจัดการ กลายเป็นปัญหาแบบนี้

หญิงชราพอรู้ว่าพื้นเพนิสัยวางก้ามของจ้อยเป็นอย่างไร จึงไม่นึกตำหนิแขกยามหน้าประตูซึ่งเป็นคนในท้องที่บางกะปินัก แม้นว่าแข็งขัน ตอบบ่ายเบี่ยงเท่าไร ถ้าอีกฝ่ายจะรั้นก็คงยากจะฝืนทาน เดือดร้อนไปได้ทั้งครอบครัว

"แล้วคุณเรียมอยู่ไหนเสีย ไปแจ้งสิ ว่าลูกกำนันจงรักมา"

นมละเอียดทำท่าจะเป็นลมเมื่อได้ยิน แข้งขาอ่อนยวบแทบจะล้มตึง

เธอรู้จากปากบ่าวไพร่เกี่ยวกับเรื่องคราวก่อนที่กำนันจงรักมา จ้อยได้พบกับคุณเรียมโดยบังเอิญ แม้นนับจากนั้นผู้เป็นนายจะไม่เคยออกปากพูดถึง แต่คนที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กอย่างละเอียดตะหนักดีว่าเรียมลลิตรรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่มที่นั่งกระดิกเท้าสบายอารมณ์คนนี้ คุณเรียมเธอแค่เป็นผู้ดีเกินกว่าจะแสดงมันออกมา ที่อีกฝ่ายเอ่ยปากแบบนี้ คงไม่ใช่ว่าหมายมั่นปั้นมือไว้แต่แรกแล้วหรือไร

"ไม่ต้องรีบก็ได้ ฉันรอได้เรื่อย ๆ มีเวลาทั้งวัน"

กิริยาอาการเหมือนคนไม่ได้รับการอบรมคราวก่อนที่ว่าเลวร้ายแล้วนั้นยังเทียบไม่ได้กับที่แสดงให้ประจักษ์ตรงหน้าในตอนนี้ ละเอียดได้แต่ยืนเม้มปากแน่นด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

"อิฉันเกรงว่าจะไม่สะดวก"

"ไม่สะดวกก็ไปทำงานทำการเสียสิ"

นมละเอียดถึงกับยกมือขึ้นทาบอก เนื้อตัวร้อนวาบขณะเขม้นมองอีกฝ่ายที่กำลังผิวปากด้วยอารมณ์บันเทิงอย่างไม่เชื่อสายตา





เสียงรถยนต์ที่ไม่คุ้นหูทำให้เรียมลลิตรคิดว่าเป็นรถยนต์ที่นำข่าวสารเกี่ยวกับท่านแม่มาจากเริญดนุภพ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแขกผู้มาเยือนในวันก่อน ร่างประเปรียวก็ยืนอึ้งอยู่สักพักก่อนจะเดินลงมาจากบันไดช้า ๆ ท่วงท่าสำรวม งามสง่านั้นยังคงสลักอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว

"คุณหนู" หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ ใจคอไม่ดี

ผิดกับอีกคนที่ผุดลุกขึ้นทันควัน สีหน้าแช่มชื่น

"คราวก่อนไม่ทันได้คุยกัน ดีจริงที่วันนี้มีโอกาสได้เจออีกครั้ง" จ้อยหัวเราะร่าเริง "บังเอิญเสียจริง ฟ้าคงไม่อยากปล่อยให้แขกต้องรอพบเจ้าบ้านอยู่แบบครั้งที่แล้วเป็นแน่"

นมละเอียดสะกดลมหายใจที่ร้อนผ่าวของตัวเองอย่างยากเย็น ตะลึงกับแต่ละคำพูดของอีกฝ่ายจนขนลุกซู่ ต้องรีบเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน หญิงชรากวักมือเรียกบ่าวไพร่ให้มารวมกัน แม้จะเต็มไปด้วยเด็กสาวที่มักคุ้นกับธรรมเนียมวัง ไม่อาจต่อปากกับคนประเภทนั้นได้ แต่ก็คงดีกว่าจะปล่อยให้ผู้ที่ไม่เต็มใจต้อนรับสนทนากับเรียมลลิตรตามลำพัง

ส่วนตัวเธอเองก็ปลีกตัวออกมา แล้วมุ่งไปอีกด้านของตำหนัก

"แม่แดง ช่วยพยุงฉันออกไปที"





ตาคมกวาดตาดูกลุ่มเด็กสาวที่เดินเข้ามาแล้วนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นตามคำสั่งของหญิงชรา รู้ดีว่านี่เป็นคำสั่งของอีกฝ่ายที่กางกำแพงสูงใส่เมื่อครู่ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะเผลอมองดวงหน้าแฉล้มเหล่านั้นเสียเพลินใจ แต่บัดนี้ มันอีกเรื่อง

"ครั้งก่อนเห็นกันไกล ๆ ก็ว่าหน้าตาหล่อเหลาคมคาย"

จ้อยขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงเบาพอได้ยินกันสองคน

"แต่พอได้มองใกล้ ๆ กลับยิ่งสวย สวยเสียยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ยิ่งมองก็ยิ่งสวย"

ลำคอของเรียมลลิตรกดลงเล็กน้อยพร้อมกับอาการร้อนวาบเหมือนฟืนกองใหญ่มาเผาสุม ใบหน้าซ่านจนเป็นสีระเรื่อ พูดอะไรไม่ถูก

จ้อยที่จับจ้องดวงหน้างามอย่างไม่วางตายิ้มถูกอกถูกใจเป็นนักหนา เดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เอ่ยอย่างมีความสุข

"ขออภัยที่เอ่ยกันตามตรง ซึ่งหน้า ที่นี่อยู่กันด้วยความจริงใจ อะไรดีก็เอ่ยชมกันตรง ๆ ไม่พิธีรีตรองเหมือนกับพวกในเมือง"





ตอนที่ขวัญสรวงได้ยินจากปากของเยื้อนว่าแม่นมเก่าแก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ของรั้วติดกันนั้นมาขอพบก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มละมือจากกิจที่ทำอยู่ เดินออกจากเรือนแฝดมาที่ศาลาริมน้ำ เมื่อมาถึงก็เห็นหญิงชราวัยประมาณห้าสิบผุดลุกผุดนั่ง กระวนกระวายจนอยู่แทบไม่ติด

เมื่อร่างสูงใหญ่ปรากฏตรงหน้า ก็รีบเอ่ยแนะนำตัว

"ขอประทานโทษเจ้าค่ะ อิฉันชื่อละเอียด" หญิงชราลุกขึ้นแนะนำตัวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ถอยไปทรุดนั่งด้วยอาการกระสับกระส่ายดังเดิม "อิฉันขออภัยที่มารบกวนตอนค่ำ ขณะนี้คุณอธิปเธอไม่อยู่ อิฉันกำลังร้อนใจ มืดไปหมดสามด้านแปดด้าน"

คุณชายขัตติยพงศ์โบกมือให้เยื้อนออกไปก่อน จากนั้นก็ค่อยนั่งลง เอ่ยถามถึงรายละเอียด

คำตอบอันไม่คาดคิดทำเอาชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ กระนั้นขวัญสรวงก็ไม่ตื่นตระหนกไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขายังคงนิ่งสงบเช่นเดิม ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับก่อนหลังอย่างตรึกตรอง

กำนันจงรักและคุณนายสะอิ้งเป็นคนอย่างไรนั้นเขารู้จักเป็นอย่างดี ส่วนจ้อยนั้นถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อและแม่อย่างไม่ต้องสงสัย เดิมที ขวัญสรวงไม่ได้อยากจะเอามือไปซุกหีบ เข้าไปข้องเกี่ยวกับกิจธุระของเพื่อนบ้าน เท่าที่ทำลงไปคราวก่อนก็นับว่าผิดวิสัยยามปรกติของตนไปมากแล้ว

แต่ยามนี้ เกิดเรื่องขึ้นกับเรียมผู้นั้น แม้จะมั่นใจว่าในครั้งนี้เรื่องคงไม่ลุกลามใหญ่โตด้วยเหตุการณ์นั้นอยู่ในบ้านเรือนที่เป็นเจ้าของ ทว่าในอนาคตเล่า จะให้เขาปิดหูตาไม่รู้ไม่เห็นเสียเลยก็ยากจะตัดใจ

"บ้านใกล้เรือนเคียง โปรดอย่าได้เกรงใจกัน"

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่มีน้ำหนักมั่นคง

นมละเอียดลุกขึ้น ความว้าวุ่นบนสีหน้าค่อย ๆ คลายออกขณะที่ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งในมิตรจิตมิตรใจนั้นก็เอ่ยปาก

"เชิญทางนี้เถิดค่ะ"

ละเอียดเดินเร็วเท่าเร็ว เรียบลำน้ำ ลัดร่มพะยอมผ่านคฤหาสน์ขัตติยพงศ์อย่างคล่องแคล่ว

ไม่นานนักขวัญสรวงก็ก้าวขาเข้าสู่รั้วสีนวลดั่งดอกปีปของตำหนักน้อย





+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ ขอโทษจริง ๆ ที่มาช้า ช่วงปลายปีถือเป้นช่วงวิกฤติจริง
มีงานแทรกตลาด แต่ละอันโหด ๆ ทั้งนั้น เลยไม่ค่อยมีเวลาจะแต่งเลย
ตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของเหล่าตัวประกอบ มีพี่ขวัญกับน้องเรียมนิดเดียว ฮ่าๆ
จะให้คู่นี้จริงกันจริงจังคงต้องอีกนานแสนนานนนน ตามประสานิยายย้อนยุคนั่นเอง

อย่างที่บอกไปแล้วว่าไม่ค่อยถนัดจริง ๆ ยังพิมพ์ ๆ ลบ ๆ เหมือนเดิมเป๊ะ
เรื่องภาษาไม่ใช่ปัญหาอะไรมากครับ ที่เป็นปัญหาในการแต่งจริง ๆ แล้วคือปฏิกิริยาแต่ละอย่างของตัวละคร
คือเรื่องบางเรื่อง คนสมัยนั้นไม่คิดจะทำอะไรประมาณนั้นน่ะครับ ต้องระวังดีๆ
ยังไงก็จะพยายามต่อไปครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน

ช่วงนี้อัพช้านิดนึงอย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ ปลายปีที่งานทะลักตลอด ฮ่าๆ
ไว้มีโอกาสจะมาชวนคุยเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเนื้อหา เผื่อจะทำให้อ่านสนุกขึ้นครับ
พบกันใหม่ตอนหน้า พี่ขวัญตะลุยบักจ้อยครับ แล้วก็....อะไรดีน้อออ :hao7:

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ทำไมทำอย่างนี้ อ่านมาลุ้นทั้งตอนว่าจะเจอกันไหม
สะดุดกึกเลยข่าาาา เฮ้ยยย หมดตอนนนนน #ร้องไห้แปป
งื้ออออออออออ ตอนหน้านะ ต้องให้อยู่ด้วยกันนานๆนะคะ
อยากเห็นพี่ขวัญ น้องเรียมเขาอยู่ด้วยกัน มันอุ่นตา เย็นใจดี ไม่รู้ทำไม
แล้วนี้ยิ่งคุณอธิปไม่อยู่ ยิ่งห้ามปล่อยให้น้องเรียมอยู่คนเดียวเชียว.....
ส่วนจ้อย ... คือแแบ เกลียดคนแบบนี้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
คิดว่าตัวเองสูงส่ง ทุกคนต้องก้มหัวให้ น่ารังเกียจเสียจริง
#สารภาพว่าอ่านข้ามๆตอนของจ้อยไปเลยไม่ชอบคนแบบนี้จริงๆ

ออฟไลน์ pim-lovemj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :katai2-1: เพิ่งตามอ่านทัน ขอคอมเม้นแบบรวบเลยนะคะ
เนื้อเรื่องสนุกมาก เขียนได้ชวนติดตามดีค่ะ
รอติดตามนะคะ  :3123:

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
กรีดร้องงงงงงงงงงงงงง  :hao5:
ร้องเพราะดีใจมากที่เข้าเล้าเป็ดแล้วมาเจอชายขวัญ
และร้องเพราะว่าจบตอนแล้วรู้สึกค้างจังเลยค่าาา 55555

นี่ตอนนี้โกรธด้วยนะ โกรธมากเลยค่ะ
ครอบครัวกำนันนี่จริงๆ เลย มันน่าดีดให้หลุดออกจากวงโคจร
แทบลมจับแทนนมละเอียดกับน้องเรียมแล้วค่ะ ฮึ่มมม ไอ้จ้อยยยยย
เลอค่าแบบน้องเรียมไม่ควรได้รู้จักกับผู้ชายแบบจ้อยเลย
ชายขวัญรีบมาจัดการนะคะ เอาให้เข็ดอย่าให้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีก
(แต่คิดว่าคนอย่างจ้อยไม่น่าจะยอมรามือง่ายๆ ?)

ชายขวัญต้องดูแลน้องนะคะ บ้านใกล้เรือนเคียง
อย่าให้ใครมารุกรานเพื่อนบ้านของเรานอกจากตัวเราเองค่ะ! #เดี๋ยว 5555

รอตอนหน้านะคะ >_<

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ตะโกนดังๆถึงทุ่งบางกะปิ

ค้างงงงงงงงงงงงงงง
งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ตบอิจ้อยที บังอาจนัก!! :katai4:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
อยากอ่านต่อจังงงงงงงงงงงแง้งงงงง กำลังสนุกเลยเจ้าค่า

ออฟไลน์ MrSad

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นานๆทีได้เจอนิยายสไตล์นี้ ชอบมากกกกกก  รอติดตามตอนต่อไปนะ :mew3:

ออฟไลน์ Apitchaya

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กรี๊ดดด
มาต่อแล้ว ขอบคุณนะค้าา

หมั่นไส้ครอบครัวอิกำนันมาก โดยเฉพาะไอ้จ้อย
ไม่เจียมตัวเอาซะเลย
พี่ขวัญจัดการให้น้องเรียมด่วนๆ

ตอนหน้าขอน้องเรียมพี่ขวัญยาวๆเลยนะคะ 55555



ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ว่าแล้วก็กำพริกเม็ดโตๆพร้อมเกลือสมุทรเม็ดใหญ่โยนเข้าเตาอังโล่อย่านุ่มนวลดังโรยผักชี

พนมมือขึ้นตั้งจิตอธิฐานส่งความปราถนาดีไปยังผู้แต่งนิยายเรื่องนี้

ให้เทพาอารักษ์ช่วยดลจิตดลใจให้ผู้แต่งรีบลงตอนต่อของนิยายเรื่องนี้เร็วไว

ออฟไลน์ Loverouter

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 446
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +471/-12
โอ้ยยย ค้าง  :ling1:

พี่ขวัญให้ไวเลย #ทีมพี่ขวัญ

ขอบคุณที่มาต่อฮะ

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
อร้ายยยย ค้างคามากค่ะ
พี่ขวัญนี่คงต้องเป็นหูเป็นตา กำจัดความวุ่นวายแทนคุณอธิปละนะ
ฝ่ายกำนันนี่ร้ายทั้งบ้าน แค่ต้นเรื่องยังนำพาความวุ่นวายมาซะขนาดนี้ :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2
พี่ขวัญเจ้าขาาาาาาา ช่วยหนูเรียมด้วยนะเจ้าคะ หุหุหุหุ :hao6:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ไอ้จ้อย มึงตายยยยย พี่ขวัญออกโรงแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
พี่ขวัญไปช่วยน้องเรียมด่วนๆเลย
อยากรู้ว่าจะเป็นยังไง คงไปนิ่งๆเฉียบๆแหงเลย
ไอ้จ้อยก็นะ มีตา ตาถึง แต่ไม่ที่สุด เล่นของสูงนะนั่น เหอะๆๆ

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ ammamooty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1056
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
อ่านจนทัน เรียมน่ารักอ่ะชอบ คนอื่นอาจจะมองว่าผู้ดีหยิ่งๆแต่จริงๆเขาขี้อายอ่ะดิ><

อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่ะ ขวัญไปฉะ(?)กับ(ไอ้)จ้อยเลย!

ออฟไลน์ SoulFighter

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
เสียใจจจ คิดว่าจะได้อ่านตอนพี่ขวัญกับน้องเรียม TT TT
ไม่เป็นไรๆ รอตอนหน้าก็ได้ ตอนหน้าพี่ขวัญต้องไปช่วยน้องเรียมรับมือกับไอ้จ้อย
เกลียดมันจริงคนอะไรไร้มารยาทสุดๆ พี่เรียมรีบๆจัดการให้มันไปไกลๆเลยค่ะ
 :z6: :z6: :z6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2014 20:28:06 โดย SoulFighter »

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๕




เรียมลลิตรยืนอยู่อย่างนิ่งสงบ ขณะที่อีกฝ่ายที่วางตัวดั่งคนสำคัญของอำเภอบางกะปิยังคงพูดเรื่อยเจื้อย

"เป็นคนพูดไม่เก่งหรอกหรือ หรือว่าเป็นคนขี้อาย ถึงไม่กล้าพูด น่าเสียดายที่รูปโฉมดูงามมีเสน่ห์ แต่พอได้คุยด้วยแล้ว ช่างดูน่าเบื่อเสียจริง"

จ้อยพูดอย่างหมดความอดทน แม้บรรยากาศยามที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นตรงนหน้ารั้นจะทำให้จ้อยตะลึงจนค้างไปหลายนาที ทว่าหลายนาทีที่ผ่านมา เขาพร่ำพูดไปมากมาย แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่ง เอาแต่เหม่อไปนอกหน้าต่าง จากความตื่นเต้นเมื่อครู่จึงกลายเป็นความหน่ายซังกะตายได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ

"จะไม่พูดอะไรสักคำเลยหรือไง"

เรียมลลิตรค่อย ๆ เบือนหน้ากลับมามองอีกฝ่ายและนิ่งนานไปหลายอึดใจ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ

"สวัสดี"

จ้อยตะลึงไปพักใหญ่เมื่ออีกฝ่ายเพียงเอ่ยทักสั้น ๆ ซ้ำยังเป็นคำที่ช่างจืดชืดและแห้งแล้งจนคาดไม่ถึง พูดจบก็หันกลับไปยืนนิ่งเป็นรูปปั้น งดงามและสวยสง่าก็จริง แต่เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ หากมีปฏิกิริยาที่แสดงความรู้สึกกลับมาแม้แต่น้อย จ้อยก็จะตั้งรับถูก โกรธ โมโห เขินอาย หรือดีใจ อะไรสักอย่างทีี่ไม่ใช่ความรู้สึกอันห่างไกลและไม่มีทางไปถึงเช่นนี้

ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะกับตนเอง ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น

"อะไรกัน พูดตั้งยืดยาว ตอบมาสั้น ๆ แค่นี้หรือ"

"อืม"

จ้อยอ้าปากค้าง ไปต่อไม่ถูก เขายกมือยันพนักเหมือนตั้งหลักแล้วเงียบไปพักใหญ่ จนแล้วจนรอด อีกฝ่ายก็ยังคงยืนนิ่ง ชายหนุ่มได้แต่สะบัดหัวมึนงง สุดท้ายก็เหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองคล้าไม่เชื่อหู

"แค่นี้น่ะนะ?"

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเรียมลลิตรปรายที่ไปคนถาม ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีอารมณ์ ทั้งความโทโส ความขวยอาย มีเพียงความสง่างามอันว่างเปล่าและยากจะคาดเดา

จ้อยยังคงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไร ดวงตาของเรียมลลิตรก็ปรายกลับไปที่นอกหน้าต่าง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ความร้าวเสียดแทงขึ้นในใจของจ้อยจนหวิว เขาได้แต่นั่งอึ้ง นึกตำหนิตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ จ้อยเป็นหนุ่มชาวบ้าน แม้ครอบครัวจะมีฐานะ แต่ก็ไม่รู้จักการสำรวมกิริยาเฉกผู้ดี เขาไม่รู้จักกับสังคมเหล่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยนึกว่ามันดูโก้อะไรด้วยซ้ำ พอต้องมาเจอกับผู้ดีที่เป็นผู้ดีจริง ๆ จ้อยก็วางตัวไม่ถูก

อาการทำอะไรไม่ถูกนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาคมคายของจ้อย เคยแต่ไปไหนก็มีแต่คนห้อมล้อมโดยตลอด พูดอะไรใครก็ฟัง ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ไม่เคยมีใครปฏิเสธจ้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิเสธด้วยแววตาแบบนี้

"เอาเถอะ คุณคงถือ ไม่อยากจะคุยกับคนบ้านนอกคอกนา เป็นผู้ดี หยิ่ง เหยียบดินไม่ได้" จ้อยตะบึงตะบอน เป็นอาการแก้เก้อเพราะทำอะไรไม่ถูก

"เปล่า"

เรียมลลิตรตอบ

สีหน้าของจ้อยดีขึ้นนิดหน่อย แต่เมื่อรอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เขารู้สึกเก้อ อับอายขายหน้าอยู่ในใจซ้ำ ๆ จนนับไม่ถ้วน

"งั้นก็ดี เพราะควรจะรู้ไว้ พี่เป็นลูกของกำนัน"

สิ่งนี้คือความภาคภูมิใจของเขา เมื่อไรก็ตามที่เอ่ยขึ้น ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่กล้าปฏิเสธ บ้านของจ้อยอาจจะเป็นแค่กำนัน แต่ธุรกิจโรงสีของพ่อ และเงินกู้ที่จุนเจือทุกคนที่นี่ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันที่ดีว่าครอบครัวของเขานั้นอยู่ในสถานะอะไร แม้เงินทองอาจจะไม่ใช่ความจำเป็นสำหรับอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าระบบอุปถัมป์เกื้อกูลของที่นี่นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่อาศัยในละแวกคลองบางกะปิแห่งนี้

แต่เรียมกลับมองอย่างประหลาด

และเป็นอีกครั้งที่จ้อยถึงกับนิ่งค้าง ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร





ขวัญสรวงมาถึงสักพักแล้ว เขาหยุดสังเกตอยู่นานเพื่อฟังว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไร แต่เมื่อพบว่าแต่ละถ้อยคำนั้นค่อนข้างจะนำไปในทางเกี้ยวพาราสีก็ให้รู้สึกประหลาดใจ อึ้งอยู่ไม่น้อย

ฟังอยู่สักพักด้วยความกระสับกระส่าย กระทั่งหมดความอดทนจึงได้กล่าวออกมา

"ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะ"

เรียมลลิตรเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายร่างสูงที่ก้าวออกมายืนอยู่ตรงกลางบ้าน  ใบหน้าเรียบนิ่งซ่อนแววประหลาดใจ

ขณะที่จ้อยนั้นมองด้วยความตะลึงงัน เกือบไม่เชื่อสายตาที่ขวัญสรวงซึ่งขึ้นชื่อว่าไม่อินังขังขอบกับผู้ใด เดินเข้ามาถึงในบ้านคนอื่น แถมยังเข้ามาขวาง ทะลุกลางปล้องเช่นนี้

"ผมกำลังคุยธุระกับคุณเรียม คุณชายอย่ายุ่งจะดีกว่า"

ขวัญสรวงไม่ตอบ ยืนนิ่งและมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จ้องอยู่อย่างนั้นกระทั่งใบหน้าของจ้อยค่อย ๆ เผือดสีลง กระนั้นชายหนุ่มก็ยังแข็งแกร่งพอจะด้านขืน ไม่ย่อถอยสมกับมีเลือดบิดาเต็มเปี่ยม

"มาถึงที่นี่ จ้อยมีธุระอะไรหรือครับ อย่าได้เกรงใจ หากเป็นเหตุร้อนจะได้ช่วยกันบรรเทา"

จ้อยมองอีกฝ่าย ชั่งใจอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจตอบเลี่ยง

"เอาเถอะ วันหลังผมจะมาใหม่"

"จะสะดวกหรือ?" ขวัญสรวงเอ่ยตามหลัง

ใบหน้าที่ซีดจนแทบไร้สีของจ้อยค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาหันกลับมาจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ถมึงทึง

แต่ขวัญสรวงไม่หยุด

"ในเมื่อได้พบกันวันนี้ ทำไมจึงไม่คุยธุระให้รู้ความ"

คนตัวสูงมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนรอคำตอบ เมื่อเห็นว่ายังคงเงียบ ไม่มีถ้อยคำ จึงเอ่ยต่อ

"หรือธุระของที่ว่านั้นเป็นเรื่องที่หาความไม่ได้"

จ้อยทำท่าเหมือนความอดทนใกล้สิ้นสุด อยากจะกระโจนเข้าไปตะบันอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ขวัญสรวงก็สะกดอีกฝ่ายด้วยแววตาสุขุม เยียบเย็น

บารมีของขัตติยพงศ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเอาชนะได้ง่าย ๆ จ้อยจึงได้แต่ยืนหันรีหันขวาง มองไปรอบ ๆ ตัวด้วยสีหน้าเคร่งเขม็ง ก่อนจะตัดสินใจหันหลังกลับ กระแทกเท้าปึงปัง

ในตอนนั้น เรียมลลิตรกลับเอ่ยในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

"จะมาที่นี่อีกก็ได้"

จ้อยชะงักในสิ่งที่ได้ยิน

"จะนั่งที่โซฟานั่นก็ได้ แต่โปรดอย่าตะโกนเสียงดัง"

เรียมลลิตรค่อย ๆ พูด เว้นจังหวะทีละวรรค

"ไม่ต้องขออนุญาตผม ถ้าพี่อธิปไม่อยู่ นมละเอียดจะเป็นคนดูแลทุกอย่างที่นี่ คุณสามารถบอกใครก็ได้"

นิ่งไปอึดใจ เท้าทั้งสองข้างของจ้อยจึงเริ่มขยับอีกครั้ง เขาเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปช้า ๆ ไม่มีท่าทีแห่งความกราดเกรี้ยวหลงเหลือ

พ้นจากประตูรั้วของคฤหาสน์หลังงาม ชายหนุ่มค่อยชะลอรถจอดริมทาง จ้อยมองไปรอบ ๆ ตัวที่เต็มไปด้วยความสงบ พบว่าวันนี้ต้นข้าวเขียวชะอุ่มกว่าทุกวัน แมลงปอตัวน้อยที่เคยมองว่าบินเกะกะน่ารำคาญ กลับดูน่ามองขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่บางกะปิที่แสนห่างไกลความเจริญ จู่ ๆ ก็ดูร่มรื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ในตอนนั้น จ้อยยกมือขึ้นเกาะพวงมาลัยแล้วยิ้มออกมา





เรียมลลิตรหันกลับไปมองที่แม่นมแล้วพนักหน้าเบา ๆ ก่อนจะก้าวอย่างเชื่องช้าไปทางด้านหลังของตึกที่ติดลำคลอง สีหน้าแม้จะค่อนข้างเผือดสีแต่ก็ยังดูนิ่งเฉย ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน หรือความรู้สึกใดให้สัมผัสได้

เมื่อตรงมาถึงขวัญสรวงที่ยืนอยู่ด้วยอาการกรุ่นนิด ๆ ก็เบี่ยงตัวไปอีกด้านแล้วตรงออกประตูด้านหลังจนคนตัวสูงมองด้วยความแปลกใจ

"เชิญที่ศาลาริมน้ำเถอะค่ะ อยู่ทานอะไรเสียหน่อย"

ละเอียดเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม มองตามร่างเพรียวที่เดินตรงไปทางเรือนไม้สีขาวทรงแปดเหลี่ยมจนลับแล้วหันกลับมาหาแขกร่างกำยำ

"คุณหนูเรียมคงดีใจถ้าคุณชายขวัญจะทานมื้อเย็นเป็นเพื่อน"

ขวัญสรวงที่เดิมตั้งใจว่าจะกลับไปที่เรือนของตนไม่รู้จะปฏิเสธน้ำใจอย่างไร จึงจำต้องเดินตามคนที่ล่วงไปก่อน ตรงไปที่ศาลาริมน้ำ





บอบบางแต่กลับเข้มแข็งนัก

ขณะที่เดินอยู่ ขวัญสรวงก็มองตรงไปที่แผ่นหลังที่ตั้งตรงเบื้องหน้าแล้วครุ่นคิดอยู่ซ้ำ ๆ ในใจ ทั้งที่คาดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้คนที่คุ้นกับความสงบสำรวมมาตลอดจะทานไม่ไหว ทำอะไรไม่ถูก หรือในกรณีที่รุนแรงที่สุดก็คงจะออกปากให้บริวารขับไล่ ไม่บอกศาลา

ตรงกันข้าม กิริยาและความงามสง่าแบบผู้ดีนั้นยังคงอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว นอกจากจะประคับประคองสติตนเองได้อย่างมั่นคงแล้ว ยังแสดงออกถึงน้ำใจอันกว้างขวางชนิดที่ทำให้จ้อยได้แต่ยืนตะลึง แม้แต่เขาเองยังได้แต่มองด้วยความทึ่ง นึกไม่ถึง

ขวัญสรวงอ่านออกว่าความรู้สึกลำบากใจนั้นมีอยู่ไม่น้อย ความวิตกกังวล เสียขวัญคงจะสร้างความเจ็บปวดอยู่ในใจจนรุ่มร้อน แต่ก็ยังเลือกที่จะต้อนรับขับสู้ไม่ให้เสื่อมเสีย เอาไปนินทาได้ว่าเย่อหยิ่ง ไม่สนทนากับคนที่ฐานะต่ำกว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ขวัญสรวงหวนย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่พบกันในคราแรก เรียมยังคงเป็นเรียมที่งดงามเหมือนภาพวาดที่ยากจะเดาความหมาย

คนอะไรแบบนี้ ไม่เคยพบเจอ




(ยังมีต่อนะครับ)  :-[

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




คนที่ว่าในตอนนี้นั้นกลับมีหน้าซีดขาว เรียมลลิตรสั่นเซเหมือนเหมือนคนทรงตัวจะไม่ไหว แต่ก็ฝืนสะกดตนให้นิ่งเป็นปรกติ เมื่อหันมาเห็นขวัญสรวงก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ดวงหน้างามผ่องแผ้วคละเคล้าไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

การเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถยังคงไว้ซึ่งความภูมิฐาน และเมื่อปลายเท้านั้นหยุดที่โต๊ะปูผ้าลินินสีขาวสะอาดและนั่งลง บรรยากาศที่ดูเรียบง่ายธรรมดาเมื่อครู่ก็กลายเป็นความหรูหราขึ้นในพริบตา

ทั้งที่เป็นยามเย็น แต่คล้ายกับมีแสงแดดอุ่นอ่อนยามเช้ารอดผ่านลงมาใต้ร่มชานที่ตีเป็นระแนงไม้สีขาว กลิ่นดอกกุหลาบอังกฤษหอมอ่อน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้เป็นเจ้าเรือนนั้น รายล้อมทุกหนทุกแห่งด้วยความอ่อนหวาน

ขวัญสรวงเผลอมองภาพนั้นอยู่นานจนเรียมลลิตรเอ่ยขึ้น

"เดี๋ยวนมละเอียดก็คงจะเข้ามา"

ความสั่นเครือที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้น ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวของขวัญสรวงปะทุขึ้นอีกครั้ง

จ้อยคงจะไม่ยอมเลิกราเอาเสียง่าย ๆ เหตุการณ์ในวันนี้ และหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา ล้วนเป็นเครื่องแสดงได้เป็นอย่างดีว่าครอบครัวของกำนันจงรักนั้นเป็นเหมือนสะเก็ดไฟที่ีไม่มีใครปรารถนา ตกที่ใด รังแต่สร้างความร้อนไปทั่ว

โดยเฉพาะจ้อย เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าแล้วเป็นคนที่กระทำทุกอย่างด้วยความทะนงองอาจ ปราศจากความกริ่งเกรงต่อผู้ใด กระทั่งนมละเอียดที่เป็นผู้อาวุโส ก็หาได้คิดรับฟังไม่

ยามใดก็ตามที่เรียมต้องอยู่คนเดียวในเรือนที่ห้อมล้อมไปด้วยบริวารที่ส่วนมากเป็นสตรีและผู้สูงอายุ หากเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นมาอีก แม้จะเป็นผู้ชาย ไม่ต่างกับเขา แต่ลำพังจะรับมืออย่างไรไหว

กระแสความคิดที่วิ่งพล่านในใจขวัญสรวงเพลานี้นั้นเปรียบดังนทีล้นแรงดัน ยามเมื่อประตูน้ำได้ถูกเปิดออก ความคิดต่าง ๆ นานาที่กักไว้ก็ไหลหลั่งพรั่งพรู ทบยอดขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นธารธาราอันเชี่ยวกราก รุนแรง

ทว่าสายน้ำนั้นยังคงเย็นฉ่ำชื่นแก่พฤกษาใหญ่น้อยรอบข้างดังเดิมไม่แปรเปลี่ยน แววตาเอื้ออุ่นเท่าอุณหภูมิร่างกายค่อย ๆ วางลงบนใบหน้าเผือดสีด้วยความห่วงใย

ขวัญสรวงเขยิบตัวมานั่งเคียงข้าง สงบนิ่งดั่งไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านร่มเย็น ถ้อยความคิดกระหน่ำถั่งโถมกลั่นออกมาเป็นคำสั้น ๆ

ดังเพียงสำเนียงแห่งสายลม

"ตัวสั่นเป็นลูกหนู น้องพี่"

สายลมที่ว่าเป็นลมอุ่นพอดี แตะแต้มความร้อนรุ่มจนอ่อนกำลัง

เมื่อความกังวลใจคลายออกทีละน้อยด้วยน้ำใจใสเย็นของคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง รอยยิ้มแห่งความขอบคุณก็ค่อย ๆ ฉายขึ้นในดวงตาคู่สวย

เรียมลลิตรยกมือไหว้ เอ่ยเสียงเรียบ

"ขอบคุณครับ"

"พี่เต็มใจ"

ขวัญสรวงตอบยิ้ม ๆ ขณะมองร่างเพรียวที่หันกลับไปนั่งตัวตรง เรียวคอตั้งสง่า สีหน้าเรียบเฉยดังบุคลิกยามปรกติ ความเปลี่ยนแปลงเดียวที่พอสังเกตได้คือดวงหน้าที่ค่อนข้างซีดนั้น บัดนี้ค่อยซับระบายสีฝาดขึ้นจนดูแจ่มใส
ระลอกลมพัดผิวน้ำในคลองจนกลายเป็นละอองคลื่น แววตาอ่อนโยนคู่นั้นยังคงทอดมองอยู่ที่เรียมลลิตรเช่นเดิม คล้ายหลงติดอยู่ในห้วงเวลา กระทั่งยินเสียงผลุบของมัจฉาจึงคืนจากภวังค์ ขวัญสรวงเปรยขึ้นด้วยเสียงสุขุม

"ช่วงแดดร่มลมตกจะเป็นเวลาที่ริมน้ำมีลมพัดเย็นที่สุด โดยเฉพาะหน้าหนาว ถ้าไม่ระวังเห็นจะได้ป่วยไข้"

แววตานั้นหันไปหยุดอยู่ที่สุดปลายเวิ้งน้ำ ตรงจุดซึ่งพระอาทิตย์กำลังจมดวงลงที่กลางคลองแสนแสบ

"แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่งามจับใจ"

เรียมลลิตรค่อย ๆ เบือนสายตาตามรอยยิ้มอุ่นไอแดดของร่างสูงกำยำที่นั่งสงบนิ่งอยู่เคียงกัน

เงาไม้ทอดร่มลงจากสองฟากฝั่ง บ้านเรือนริมคลองน้อยใหญ่แซมด้วยทุ่งสีเขียวสุดลูกหูลูกตา

ลมหยอกใบข้าวทีละใบจนเอนไหวปลิวลิ่ว เหนือผิวน้ำที่ทอประกายระยิบระยับ มีนักระบำตัวน้อยสะบัดกระโปรงสีม่วงอ่อนอยู่ที่กอผักตบชวาอย่างสนุกสนาน เหนือไปบนฟ้า ฝูงนกตัวเล็ก ๆ โผผินบินกลับรังที่สานจากเกลียวเมฆ กลิ่นดิน กลิ่นโคลน กลิ่นดอกไม้อ่อน ๆ ผสานกันเป็นท่วงทำนองบทเพลงที่เรียบง่ายที่สุด อ่อนหวานที่สุด ทุ่งบางกะปิในเวลานี้ละม้ายฉากรักอ่อนหวานในมหาอุปรากร ที่ผู้วาดแต้มสีแสดตัดเส้นด้วยสีม่วงขาบของผืนฟ้าอย่างแยบยล

ขวัญสรวงไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าความสนอกสนใจทั้งหมดของเรียมลลิตรกลับยังประทับอยู่ที่เขา หาใช่ทัศนียภาพที่งามราวกับสวรรค์บนดินไม่

เขาเป็นผู้ซึ่งมีทั้งความเข้มแข็ง และความอ่อนโยนไม่แพ้กับท่านพ่อหรือท่านพี่ สุขุม และยิ้มเก่งแบบที่เรียมลลิตรนึกอิจฉา ยิ่งดูก็ยิ่งละม้าย ยิ่งรู้จักความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น

เมื่อตระหนักถึงความคล้ายคลึงที่ว่า ก็ให้จังหวะที่ขวัญสรวงหันกลับมาพอดี ทั้งคู่จึงสบตากันอยู่พักใหญ่

ฝ่ายหนึ่งส่งยิ้มให้

อีกฝ่ายกลับก้มหน้า ห่อตัวด้วยอาการสะท้านสะเทือน

สายเมฆขาวนวลทาบทออยู่ในใจของเรียมลลิตร วาบลึกในอก จนไม่อาจฝืนสบตาคนที่ยิ้มเอา ๆ ตรงหน้าได้

ขวัญสรวงนึกว่าอีกฝ่ายขดตัวด้วยหนาวละอองลมละอองน้ำ จึงเขยิบมาใกล้ขึ้น พร้อม ๆ กับเบี่ยงตัวขวางทิศ ใช้ทั้งตัวเป็นกำแพงกำบังกั้นลมให้

มุมปากที่กลัดรอยยิ้มตลอดเวลา ใบหน้าที่กระทบแสงแดด ลำคอตั้งตรงฉากกับบ่าที่ผายกว้างกว่าครึ่ง ผมหนา ดำขลับ หวีเรียบเป็นมัน เรียมลลิตรมองมันอยู่อย่างนั้นแล้วกระถดตัวเล็กลงอีก

ขวัญสรวงเหลียวมามองอีกฝ่าย เห็นคนเคียงข้างยังคงขดคู้ก็ส่งยิ้ม กระเถิบตัวมาใกล้เท่าใกล้แล้วอยู่นิ่ง ให้คนไม่สู้ลมได้พักพิง พอรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่น ๆ ที่อยู่แนบอยู่ที่แผ่นหลัง จึงหันกลับไปมองริ้วน้ำที่ถูกสายลมจูบซ้ำ ๆ จนเป็นเกลียวคลื่น

ไม่มีใครพูดอะไรอีกพักใหญ่ ๆ จนกระทั่งนมละเอียดยกถาดเดินเข้ามา





น้ำกระเจี๊ยบที่ดื่มอยู่นั้นต่างจากที่เคยลิ้มลองมาทั้งหมด หากเป็นน้ำกระเจี๊ยบที่ปรุงแบบชาวบ้านทั่วไปจะเปรี้ยวและมีรสฝาดอ่อน ๆ ของกระเจี๊ยบสดที่ปลายลิ้น หรือหากเป็นฝีมือของสายบุญจะใส่พุทราจีนลงไปดับฝาดและรสแหลม จึงมีรสหวานเปรี้ยวเพียงปะแล่ม ไม่กัดลิ้น แต่ที่รสสัมผัสจากการปรุงของนมละเอียดนั้นแตกต่าง รสจะอมเปรี้ยวนำและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของซินนามอนที่มักใช้ในขนมและเครื่องดื่มแบบฝรั่ง

ละเอียดเป็นคนละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต เธอจึงจะเห็นความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย หญิงชรายิ้มอ่อนแล้วอธิบายโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถาม

"ถูกปากไหมคะ อิฉันใส่อบเชยลงไปนิดหนึ่ง ปรุงรสให้เปรี้ยวนำเพื่อเรียกน้ำย่อย จะได้ทานอาหารได้คล่องลิ้นขึ้น"

ขวัญสรวงยิ้มละไม

"เคยคิดว่าที่บ้านปรุงถูกลิ้นที่สุด ไม่มีใครเทียบ เห็นทีผมคงต้องถอนความคิด อร่อยไปอีกแบบ"

"คุณชายพูดเสียคนแก่ชื่นใจ"

ละเอียดหันไปพนักหน้ากับแดง สาวใช้ที่เป็นผู้ช่วย จานอาหารสีขาวสะอาดที่ถูกอุ่นไว้ก็ถูกยกลงบนโต๊ะ ภาชนะโลหะทรงกลมขัดวาวถูกยกออก เผยให้เห็นเป็นอาหาร ตกแต่งแบบเรสทัวรองต์ของฝรั่ง

"สเต็กปลากะพงค่ะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณชายหรือเปล่า"

"นมทานด้วยกันสิครับ"

"ตายจริง ไม่ได้หรอกค่ะ" ละเอียดยกมือขึ้นทาบอก พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่มองแบบไม่เห็นด้วยก็ยิ้มอ่อนอกอ่อนใจ "คุณรับเถอะค่ะ คนแก่จะทานอะไรได้เยอะเจ้าคะ ได้กลิ่นก็อิ่มแล้ว"

ขวัญสรวงยิ้ม นึกในใจว่าเรื่องอายุดูจะเป็นข้ออ้างยอดนิยมสำหรับแม่ครัวฝีมือดีทุกคนหรือเปล่า สายบุญก็คนหนึ่งละ ชวนทีไรก็ออกปากแบบนี้ทุกครั้งจนสุดท้ายเขาต้องเป็นฝ่ายล่าถอย ยอมแพ้ความใจแข็งนั้นไปเสียเอง

นมละเอียดถอยหลังออกไปยืนห่าง ๆ ที่ศาลาจึงมีเพียงขวัญสรวงและเรียมลลิตรรับประทานอาหารกันตามลำพังสองคน

สเต็กปลานั้นมีรสชาติดีสมกับหน้าตา แต่เรียมลลิตรกลับนั่งสงบสง่าและทานเพียงเล็กน้อย

แสงไฟจากโคมสีขาวขุ่นทอดลงบนดวงหน้าของเรียมลลิตร เส้นสายลายเขียนที่ปรากฎในม่านตาของขวัญสรวงนั้นยังคงงามราวกับภาพวาด หน้าผากกลมมน คิ้ว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ใบหู โครงหน้า ลำคอ ทุก ๆ อย่าง ความหลงใหลนั้นยังคงประทับอยู่ไม่เปลี่ยน แต่เป็นภาพวาดที่ถูกจาบจ้วงด้วยแสงแดดจนซีดหมอง

ขวัญสรวงอ่านออกว่าความวิตกกังวลแม้จะบรรเทาลงไปมาก แต่ก็ยังคงอยู่อย่างแข็งขืนในใจของคนตรงหน้า ปรกติแล้วในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจะประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ บัดนี้ ประกายสุดใสกลับตกแต่งด้วยความกำสรดโศกศัลย์ ความอุกอาจของจ้อยอาจทำอะไรเปลือกนอกอันทรนงไม่ได้ แต่กลับกัดกร่อนอยู่ด้านใน ไม่ว่าจะขับไล่เท่าไรก็ยังคงยืนกรานอย่างดื้อรั้น

ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ทบทวนอยู่ซ้ำ ๆ กระทั่งพบหนทางที่จะตัดปัญหาที่กวนใจเหมือนโรคร้าย ยากจะรักษานี้

เพราะไม่อยากให้กระเทือนใจอีกฝ่าย ขวัญสรวงจึงหันไปหาละเอียด เขาขอตัวแล้วเป็นฝ่ายเดินไปหาสตรีสูงวัยที่ยืนอยู่นอกชานศาลาริมน้ำ

"โปรดอย่าคิดว่าผมก้าวก่าย ละลาบละล้วง ผมมีเจตนาดี นมละเอียดบอกว่ากว่าคุณอธิปจะกลับ คงอีกสองสามวันหรือครับ"

"ค่ะ คงต้องเฝ้าไข้อยู่ที่โรงพยาบาล"

"กรุณาฟังผมสักนิด หากในอนาคต ถ้ามีเหตุให้คุณอธิปไม่อยู่ ผมเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุให้ไม่สบายใจเหมือนในวันนี้อีก อย่างน้อย ผมคิดว่าควรจะแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบไว้ ควรจะเป็นผู้ใหญ่ที่ทางนั้นยำเกรง จะได้ปรามกันได้ นมละเอียดคิดเห็นอย่างไร โปรดแจ้งเถิดครับ"

นมละเอียดรู้สึกซาบซึ้งใจแต่ก็ลำบากใจนัก

"อิฉันโทรศัพท์ปรึกษาคุณอธิปแล้ว ก็คิดเห็นไม่ต่างกับคุณชาย แต่จะให้หันไปพึ่งพาใครก็ดูจะมืดแปดด้าน"

มืดแปดด้านเพราะยากจะหาร่มเงาที่เย็นกว่าไม้ใหญ่หยั่งรากลึกอย่างราชสกุลภัทรกุล หากจะให้พึ่งบารมีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า มิต้องให้ระคายพระบารมีองค์สมเด็จ ฯ ดอกหรือ

แค่คิดละเอียดถึงกับจนถ้อยคำ ถ้าลองอ้ายจ้อยได้รู้ว่าคุณหนูของเธอเป็นใคร หน้าไหนจะกล้ากระด้างกระเดื่อง ที่ใหญ่โตน่าเกรงขามและเข้ามาพูดคุยด้วยอย่างไม่นึกถือเชื้อถือตระกูล เธอก็เห็นจะมีแต่พวกขัตติยพงศ์เท่านั้น

ขัตติยพงศ์เป็นราชสกุลที่ห่างไกลจากคำว่าฟุ้งเฟื้อและคร่ำครึ ไม่ใคร่สมาคมสังสรรค์สุรุ่ยสุร่ายแบบผู้ดีสมัยใหม่ แต่ก็ไม่ถือศักดิ์สูงจนเหยียบพื้นดินไม่ได้ นี่คือเหตุผลหลักที่คุณหนูเริญของละเอียดตัดสินใจปลูกตำหนักน้อยที่นี่โดยไม่ลังเล และหากจะกล่าวโดยสรุป คนที่พึ่งพาได้ในสภาพที่ต้องปิดบังฐานะที่แท้จริงนั้น มีเพียงผู้เดียว

คนที่อยู่ตรงหน้าเธอนี่อย่างไร

"เว้นแต่คุณชายจะกรุณา"

"กระผมหรือ?"

ขวัญสรวงถาม นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยเฉลียวมาก่อน

"เจ้าค่ะ คุณหนูเรียมเธอไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับใคร ธุรกิจของครอบครัวก็เกี่ยวข้องกับต่างประเทศเสียเป็นหลัก คุณชายก็อยู่ไม่ไกล เหตุการณ์วันนี้ก็แสดงให้เห็นว่าอ้ายจ้อยยำเกรงคุณชายอยู่มาก"

ชายหนุ่มนึกทบทวน ความจริงที่นมละเอียดพูดขึ้นมานั้นมีน้ำหนักอยู่มาก หากจะมองดูจากรอบ ๆ ด้านแล้ว ในเวลานี้ ใครสักคนที่ว่านั้นดูจะเหมาะกับเขาที่สุด

เช่นนั้นแล้ว ขวัญสรวงจึงตอบรับโดยปราศจากการลังเล





เขาเดินกลับไปหาคนที่นั่งนิ่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำ อาหารตรงหน้าของเรียมลลิตรไม่ได้พร่องไปจากเมื่อครู่แม้แต่น้อย

"อาหารไม่ถูกปากหรือครับ"

"ไม่นี่"

เรียมลลิตรตอบสั้น

พอหมดเรื่องให้กังวล ขวัญสรวงก็เปลี่ยนมาจ้องท่าทางนิ่งเฉยของคนตรงหน้าอย่างเพลินตา นึกไม่ออกว่าตั้งแต่เมื่อไรที่การจำแนกความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นจะกลายเป็นความสนุกในการค้นหา โทนเสียงสูงต่ำ องศาในการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ขยับเพียงน้อยนิด

ไม่หิวอย่างนั้นหรือ หรือว่ามีของที่อยากทานมากกว่า จะใช่ขนมหวานหรือเปล่า ครั้งก่อนดูจะสนใจน่าดู หรือจะเป็นเพราะเหตุผลอื่นกัน ความคิดวนเวียนอยู่แบบนั้นกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น

"ผมมีเรื่องอยากจะถาม"

ขวัญสรวงยิ้มน้อย ๆ นึกสนุกในใจ อะไรกันนะ อะไรกัน

"คนนั้นที่เข้ามาเมื่อบ่าย เขาเป็นคนสติไม่ค่อยดีหรือ"

จ้อยอย่างนั้นหรือ ขวัญสรวงทำหน้างง

"เขาบอกว่าเป็นลูกของกำนัล" เรียมลลิตรสบตาอย่างมุ่งมั่น พูดช้า ชัดถ้อยชัดคำ "ของขวัญที่ให้คน จะมีลูกได้ยังไง"

ของกำนัน กับ ของกำนัล

เมื่อเข้าใจทุกอย่าง ขวัญสรวงก็ยกมือขึ้นตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน เขาหัวเราะ แบบที่ไม่เคยหัวเราะมาก่อนกับใคร

"อะไรหรือ"

เรียมลลิตรถาม ด้วยน้ำหนักเสียงที่มากขึ้น ใบหน้าที่นิ่งเฉยตลอดเวลา ปรากฏแววประท้วงของคนเอาแต่ใจอยู่ครามครัน

ขวัญสรวงนั้นหัวเราะจนตึงท้อง บ่า หัวไหล่ อก สั่นไม่หยุด ถึงจะหัวเราะ แต่ดวงตาเข้มคมนั้นจ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา มองเหมือนไม่อาจจะหยุดมองได้

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ประโยคคำถามซึ่งเคยไหลวนอยู่ในความคิดตลอดกลับกลายเป็นประโยคบอกเล่าที่ชายหนุ่มเอาแต่พูดมันซ้ำ ๆ ตอกย้ำเหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ

คนคนนี้เป็นผู้ชายที่น่ารักที่สุดที่เคยรู้จัก ที่สุด ที่สุดแล้ว

ขวัญสรวงคิดแบบนั้นจริง ๆ





หากเปรียบการพบกันเมื่อครั้งแรกนั้นเป็นห้วงทำนอง Prelude ของบทเพลงดี ๆ สักเพลง ในครั้งนี้ การกลับมาพบกันอีกครั้งของคนทั้งคู่ก็เสมือนการก้าวเข้าสู่ท่อน Interlude เป็นห้วงจังหวะใหม่ที่ตัวโน้ตแต่ละห้องค่อย ๆ เคลื่อนไหวไปกับเนื้อร้องอันเต็มไปด้วยเรื่องราวอันอ่อนหวาน

ช้า ๆ และงดงาม




+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ หลังจากอ่านตอนนี้จบคงจะพบความจริงว่านี่เป็นนิยายแนวพีเรียดที่ไม่เหมือนแนวพีเรียดเอาสักเท่าไร
แถมอะไรที่คิดไว้ก็อาจจะไม่เป็นแบบที่คิด ทั้งหมดก็เพราะน้องเรียมนั่นแหละ บุคลิกอินดี้แบบเกินคาดเดา
แล้วในอนาคตก็คงจะมีมุมแปลก ๆ ด้านอื่นมากขึ้นตอนอยู่กับพี่ขวัญ ซึ่งต้องติดตามต่อไป

เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรรู้จากการอ่านตอนนี้คือ
1. จ้อยไม่ได้ร้ายแบบที่คิดนะ นางแค่แนวโจ๊ะพรึม ๆ เซ่อ ๆ ไม่ฉลาด -"-
2. พี่น้องเขายังไม่ได้จีบกันนะ เขาแค่สนิทกันมากขึ้น ครุคริๆ

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ทุกคำเสนอแนะนะครับ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
แค่เห็นน้องเรียมสนใจหรือชื่นชม? พี่ขวัญ เราก็ดีใจแล้ว
ขำน้องเรื่องกำนัล-กำนันจริงๆนะ
พี่ขวัญหัวเราะซะแบบนี้ น้องเรียมจะตกใจมั้ย
ชอบที่บรรยายบรรยากาศเรื่อยๆ ดูเหมือนมีแสงแดดยามเย็นจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
น่ารักได้อีก ฟินเฟ้ออออ. แบบ คือใสซื่อจริงเรียมเอ๊ย  มุ้งมิ้งมาก ชอบๆ

ออฟไลน์ pim-lovemj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :impress2: พี่ขวัญช่างอบอุ่นเหลือเกินดูแลน้องเรียมให้ดีๆนะคะ น้องน่ารักจังอ่ะ

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2
มันดูมุ้งมิ้ง งุ้งงิ้งดีค่ะ 5555555 อ่านๆไปก็รู้สึกว่าจ้อย ประมาณพ่อแม่รังแกฉัน ไม่ได้ร้ายมากมาย แต่ก็น่าหมันไส้อยุ่ดี

เรียมเหลือทนแล้วนั่นนนนน ขวัญของเรียมมมมมม ครึครึครึ

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
โหหหหหห นี่ไม่ได้จีบเหรออออ แค่นี้ก็เล่นเอาเราเขินจิกหมอนเลยอะ กริ้ดดดด ลลิตรน่ารักที่สุดในโลกเลยจ้าาาา พี่ขวัญก็นะไปหัวเราะน้องเขาได้ไงเนี่ย น่าตีจริงๆ

ชอบ้เรื่องนี้มากกกกกเลยล่ะค่ะ ตีพิมพ์เถอะจริงๆ(ได้ข่าวยังออกไม่กี่ตอนเองนะยะเธอ) 55555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด