พิมพ์หน้านี้ - ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Lucea ที่ 20-09-2014 22:08:05

หัวข้อ: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 20-09-2014 22:08:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0




ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 20-09-2014 22:09:04
ด้วยแรงบันตาลใจจากบทประพันธ์เรื่อง "แผลเก่า" ของ "ครูไม้ เมืองเดิม"
ดัดแปลงสู่เรื่องราวของความรักที่ผูกพันกับคลองแสนแสบอย่างที่คุ้นเคย
แต่นี่จะไม่ใช่ขวัญและเรียม หนุ่มสาวแห่งทุ่งบางกะปิแบบที่มีใครเคยได้อ่าน
เพราะขวัญและเรียมใน "เพลงปีกผีเสื้อ" นี้จะเติบโตในราชสกุลใหญ่ที่รู้จักไปทั่วทั้งพระนคร
รูปร่างหน้าตาดี ร่ำรวย มีการศึกษา เติบโตมาพร้อมกับชีวิตที่หรูหรา

...และทั้งคู่เป็นผู้ชาย

ลืมโศกนาฏกรรมทางความรักและความพลัดพรากแบบเดิม ๆ ทิ้งไป
โลกเปลี่ยนไปแล้ว
ที่คลองแสนแสบนับจากนี้จะเหลือแค่เพียงความรักของขวัญและเรียมที่ทุกคนต้องอิจฉา


เปิดเรื่องใหม่แล้ว คราวนี้เป็นแนวพีเรียด ฝากติดตามกันด้วยนะครับ >///<


:L2: สารบัญ :L2:

ตอนที่ ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2820937#msg2820937)
ตอนที่ ๒.๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2829610#msg2829610)
ตอนที่ ๒.๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2835159#msg2835159)
ตอนที่ ๓.๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2858302#msg2858302)
ตอนที่ ๓.๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2861746#msg2861746)
ตอนที่ ๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2878748#msg2878748)
ตอนที่ ๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2885681#msg2885681)
ตอนที่ ๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2913785#msg2913785)
ตอนที่ ๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2913793#msg2913793)
ตอนที่ ๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg2954179#msg2954179)
ตอนที่ ๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg3106516#msg3106516)
ตอนที่ ๑๐ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg3133093#msg3133093)
ตอนที่ ๑๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg3138230#msg3138230)
ตอนที่ ๑๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg3145531#msg3145531)
ตอนที่ ๑๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg3167713#msg3167713)
ตอนที่ ๑๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43688.msg3239662#msg3239662)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 20-09-2014 22:13:56

ตอนที่ ๑



จังหวัดพระนคร พุทธศักราช ๒๕๐๗



เพียงชั่วขณะที่สายลมกลับมาพัดไหว ผีเสื้อตัวน้อยที่เกาะยอดผักบุ้งริมน้ำก็กระหยับปีกขึ้น กังหันลมสีฟ้าตรงขอบหน้าต่างเริ่มหมุนเป็นเกลียววนอีกครั้ง ลมเย็นแผ่วนั้นผสานกับเสียงขลุ่ยแว่วหวานเกิดท่วงทำนองอันเป็นสีสันคล้ายยินเสียงนกตัวน้อยขับขานบทเพลงไพเราะอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทั้งหมดล้วนเป็นบรรยากาศอันปรกติในอาณาเขตขัตติยพงศ์ที่ใครต่อใครในละแวกอำเภอบางกะปิต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เสียงยวบบนไม้กระดานดึงดวงตาที่ทอดมองอยู่บนวงกระเพื่อมน้ำให้กลับมายังบานประตู ปลายนิ้วซึ่งพลิ้วไหวอยู่บนขลุ่ยฝรั่งหน่วงจังหวะช้าลงก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหวลงสนิทในตอนที่เสียงเคาะปึงปังดังขึ้นหน้าห้อง

“คุณชายครับ คุณชายขวัญ”

คนที่ถูกเรียกชื่อวางฟลุตลงบนที่หน้าตัก

“เยื้อนหรือ มีอะไร”

สิ้นเสียง ผู้ชายในเชิ้ตแขนสั้นสีขาวก็ชะโงกหน้าที่ซึมไปด้วยเหงื่อออกมาจากหลังมุขประตู

“แหม...วิ่งเสียเหนื่อย โทรศัพท์จากท่านพ่อครับ”

“รู้หรือเปล่าว่าเรื่องอะไร”

เจ้าเยื้อนส่ายหัวแทนคำตอบ คิ้วหนาเข้มของขวัญสรวงมุ่นขึ้นเพียงน้อยในตอนที่ลุกตามบ่าวคนสนิทลัดผ่านโถงออกไปที่ด้านล่างของเรือนริมน้ำ




เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตละสายตาจากเอกสารเบื้องหน้าขึ้นมาแล้วกลับมาสนทนากับบุตรชายผู้เอ่ยทักทายจากอีกฝั่งของสาย

“ท่านพ่อ”

“ช่วงนี้ชายติดธุระอะไรไหม”

ขวัญสรวงปฏิเสธ

ได้ยินแล้วผู้เป็นบิดาก็ผ่อนลมหายใจเหมือนวางของหนักลงจากสองแขน “ชายขวัญคงรู้จากแม่พิศแล้วว่าพ่อจำต้องขึ้นไปราชการด่วนที่ทางเหนือสักสี่ห้าวัน แต่อีกสองวันจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินมารังวัดที่ ชายพอจะช่วยเป็นธุระให้ได้ไหม”

“ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ครับท่านพ่อ ผมจะช่วยดูให้อย่างดี”

“ถ้าอย่างนั้นพ่อคงเบาใจ เจ้าของที่ดินริมน้ำติดรั้วเรากำลังจะขายที่ให้กับเจ้าของใหม่ ถึงอย่างไรเราก็อยู่ตรงนี้ เป็นเหมือนเจ้าบ้าน ถ้าคุณหญิงและขวัญไปด้วยน่าจะดีกว่าจะให้ทนายทรงเดชเป็นธุระเพียงลำพัง”

“ใครกันนะครับที่จะมาซื้อที่ตรงนี้”

“ข่าวว่าไม่ใช่พ่อค้าวานิชแต่เป็นข้าราชการระดับสูงในกรม”

แม้ขวัญสรวงจะนึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็รับคำผู้เป็นบิดาอย่างมั่นเหมาะ




คุณหญิงแม้นพิศมองดูบุตรชายที่สนทนาโทรศัพท์กับผู้เป็นบิดาจากศาลาริมน้ำ ยิ่งมองก็ยิ่งพาลให้ปลื้มใจเป็นนักหนา ด้วยว่าร่างสูงใหญ่นั้นช่างงามสง่า ดั่งมิ่งมงคลของสวรรค์ชั้นฟ้าไม่ต่างกับชื่อที่สมเด็จทรงพระราชทานให้เลย

ม.ร.ว. ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ เติบใหญ่เป็นหนุ่มรูปงามนัก ขวัญสรวง หรือที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่าคุณชายขวัญเพิ่งล่วงเบญจเพสมาไม่กี่เดือน แม้ผิวจะไม่เข้มคล้ามแดดแบบชายชาติทหาร แต่บุตรชายของหล่อนก็มีรูปร่างกำยำ หัวไหล่ผึ่งผายงามสง่าไม่แพ้ผู้เป็นบิดา นิสัยที่แม้จะดูมุทะลุในบางครั้งแต่ก็รู้รับผิดชอบดี ทั้งมีสติปัญญาหลักแหลม กอปรกับรู้จักเจรจาพาทีและมีนิสัยไม่ถือตัว นับไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อขวัญสรวงจะเป็นที่หลงใหลใฝ่ฝันของเด็กสาวตลอดคลองบางกะปิ ถ้าไม่ติดที่คฤหาสน์หลังนี้อยู่ในอำเภอชั้นนอกของพระนคร เสียงล่ำลือถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของเธอคงกระฉ่อนไปค่อนเมืองเสียกระมัง  แม้นหากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผู้เป็นมารดาผิดหวังในตัวขวัญสรวง คงจะเป็นเรื่องนิสัยใฝ่ในเสียงดนตรีแทนที่จะรับราชการในกระทรวงกลาโหมเฉกผู้เป็นบิดาเช่นคฤหัสน์ในราชสกุลอื่น ๆ เขาทำกัน ดูเถอะดู ส่งไปร่ำเรียนเมืองฝรั่งมังค่าพ่อก็ยังอุตส่าห์แอบไปเรียนดนตรีพ่วงมาให้ขัดใจผู้เป็นมารดาเล่นเสียอย่างนั้น

คิดแล้วก็น่าเสียดาย แต่เอาเถิด ถ้ามีโอกาสเธอจะลองคุยเรื่องนี้กับท่านชายเขียนนิรมิตดู




ขวัญสรวงเดินออกมาจากเรือนด้านใน ดวงตานิ่งสุขุมมองหาเยื้อน ผู้ที่เป็นทั้งบ่าวและเป็นทั้งเพื่อนเล่นมาแต่ครั้งเยาว์ หากแต่ความคิดทุกอย่างก็หยุดลงเมื่อพบกับคุณหญิงแม้นพิศและสายบัว แม่ครัวคู่มือนั่งส่งยิ้มอยู่ข้างคนที่มองหาในศาลาไม้สีขาวเยื้องจากเรือนแฝดไปไม่ไกล เจ้าของแผ่นหลังกว้างจึงค่อยเดินลัดเงาพะยอมที่แผ่ร่มสีเขียวครึ้มเรี่ยคลองมาที่ริมน้ำ

“หม่อมแม่”

หญิงวัยกลางคนผู้ถูกเรียกค้อนให้กับบุตรชายที่เข้ามาสวมกอดอย่างไว้ตัว

"มาถึงตั้งแต่เมื่อไรครับ"

"สนใจแล้วหรือ นึกว่าวัน ๆ สนใจแต่ขลุ่ยฝรั่งนั่น"

ขวัญสรวงอมยิ้ม หอมแก้มคนหน้าบึ้งอย่างประจบ

“พอ ๆ ลูกคนนี้" ร่างท้วมยิ้มให้อย่างเอ็นดู

"น่าจะบอกก่อน ผมจะได้ไปรับ"

"ไม่ต้องลำบากหรอก แม่ให้นายเปี๊ยกขับรถมาส่งก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร" มืออวบอูมยกขึ้นจับแขนลูกชายด้วยความคิดถึง "ชายขวัญหิวไหม แม่ทำปอเปี๊ยะกุหลาบ เอามาจากวังแน่ะ”

ขึ้นชื่อว่าอาหารชาววัง คุณหญิงแม้นพิศมีฝีมือประดิดประดอยไม่เป็นรองใคร ด้วยหม่อมประไพจำรัสผู้เป็นย่านั้นเคยถวายตัวเป็นนางข้าหลวงมาตั้งแต่ปลายรัชมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ห้า ฝีมือนั้นตกทอดมาถึงหม่อมแม้นพิศผู้เป็นหลานราวกับลอกลายบนผ้า นอกจากบุตรชายที่เธอปลื้มใจจนออกหน้า เห็นจะมีก็เรื่องอาหารตำรับชาววังที่หญิงร่างท้วมยึดอกได้อย่างภาคภูมิ การันตีได้ว่าอาหารทุกอย่างที่ผ่านฝีมือของหล่อนล้วนอร่อยจนลืมกลืนถึงกับออกปากทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แขกที่แวะเวียนมาบ้างในบางเพลา หรือกระทั่งคนในครอบครัวอย่างท่านชายเขียนนิรมิตและขวัญสรวงที่คุ้นลิ้นมาตั้งแต่เด็ก

เห็นริมฝีปากผู้ชายตัวโตยิ้มกริ่ม หม่อมแม้นพิศก็หันไปสั่งบ่าวคนสนิท

“แม่สายบัว เดี๋ยวช่วยจัดใส่จานให้ชายขวัญสักชุด เลือกที่กลีบดอกแย้มสวยเท่านั้นนะ แนบผักแนมพอดีคำแล้วยกมาที่นี่ อ้อ...บุบน้ำแข็งใส่น้ำกระเจี๊ยบในตู้เย็นแล้วยกมาเคียงกันด้วย”

ขวัญสรวงยิ้มในความประณีตจนถึงเจ้ากี้เจ้าการของผู้เป็นมารดา หม่อมแม้นพิศจุกจิกแค่ไหนแต่ก็เป็นที่รักของบ่าวไพร่ทุกคนด้วยเนื้อแท้ที่อัธยาศัยไม่ถือตัว

“ขอเป็นที่ห้องในตึกใหญ่ดีกว่าครับ อยากดูเอกสารเรื่องการรังวัดที่เสียหน่อย”

“งั้นก็ตามใจ” หม่อมแม้นพิศวาดพัดลูกไม้ในมือ “สนใจงานราชการพวกนี้ไว้บ้างก็ดี ชายขวัญเป็นลูกผู้ชาย ควรจะรับราชการสนองคุณแผ่นดิน จะมานั่งเป่าปี่เป่าขลุ่ยเป็นพระอภัยมณีแบบนี้เห็นจะไม่ได้เรื่อง”

“โธ่...หม่อมแม่ ผมไม่คล่องงานเอกสารพวกนี้หรอกครับ ให้เป็นตัวแทนท่านพ่อเป็นครั้งคราวคงพอได้ แต่จะให้ออกหน้าเต็มตัวคงไม่ไหว สู้ให้ไปจับจอบเสียมแบบเจ้าเยื้อนยังถนัดมือกว่า”

“เอ๊ะ! ลูกคนนี้นี่”

ผู้เป็นมารดาฟังแล้วแทบล้มราบลงกับตั่งไม้สักด้วยรู้ดีกว่าขวัญสรวงเป็นคนพูดทีเล่นทีจริงแค่ไหน ไม้ใหญ่ที่ครึ้มร่มรื่น ตลอดจนไม้ดอกไม้ผลที่งอกงามตลอดทั้งปีของคฤหาสน์หลังนี้ล้วนแสดงให้เห็นฝีมือของบุตรชายได้เป็นอย่างดีแล้วว่าขวัญสรวงมีฝีมือด้านนี้ไม่ใช่แค่ราคาคุย

เหมือนท่านชายอย่างกับแกะพิมพ์!

สำหรับใจของผู้เป็นแม่แล้ว แม้อยากให้ขวัญสรวงกลับไปอยู่ที่วังใหญ่ในพระนครกับเธอให้ใกล้หูใกล้มือเพียงไหน ทว่าอีกใจ หม่อมแม้นพิศกลับยอมรับกับตนเองกลาย ๆ ว่าการที่บุตรชายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก ด้วยหากอยู่ในวังเช่นครอบครัวปรกติทุกวันหยุดสุดสัปดาห์สองพ่อลูกคงไม่แคล้วพากันหยิบจอบเสียมไปรดน้ำพรวนดินต้นไม้ทั่วทั้งวังกับเจ้าเยื้อนให้แสลงใจอยู่ร่ำไป

“ก็หัดเอาไว้สิ ของแบบนี้มันฝึกกันได้ จบก็ตั้งเมืองนอกเมืองนา ความสามารถก็ใช่ไม่มี จริงไหมเจ้าเยื้อน”

“ไม่จริงจ้ะ” บ่าวผิวเข้มฉีกยิ้มกว้างแล้วพลันส่ายหัวยิก “เมืองนอกน่ะก็ใช่นะหม่อม แต่คุณชายขวัญแกรักการดนตรีนัก เห็นจะไม่เหมาะกับกระทรวงกลาโหมแบบคุณท่านมังครับ”

“พูดได้ดีมากเยื้อน” ขวัญสรวงหัวเราะชอบใจ

ผิดกับหม่อมแม้นพิศที่ค้อนปะหลับปะเหลือก ถึงจะแสดงออกว่าไม่ชอบใจเป็นนักหนา แต่หัวอกของผู้เป็นมารดาก็ไม่เคยคิดขัดใจผู้เป็นลูกชายได้เลยสักครั้ง




คฤหาสน์แห่งนี้แม้จะไม่ใช่ที่อยู่อาศัยหลักของราชสกุลขัตติยพงศ์แต่ก็มีอาณาเขตกว้างใหญ่สมฐานะ เป็นสัดเป็นส่วน ทั้งอาคารฝรั่งสองชั้นที่ออกแบบด้วยสถาปนิกต่างชาติ ก่อสร้างด้วยปูนและประยุกต์การตกแต่งแบบยุโรป อีกส่วนคือเรือนไม้สักทองที่ปลูกแบบไทย โดยมีศาลาไม้สีขาวริมน้ำเป็นเรือนแฝดที่ปลูกเคียงกันตามลำดับ ด้านหลังเรือนแฝดเป็นโรงม้าขนาดเล็กซึ่งเป็นที่อยู่ของโนอาห์ ม้าพันธุ์เธอโรเบร็ตสีขาวนวลอายุแปดปีเศษ พื้นที่ทั้งหมดโอบรอบด้วยรั้วปูนทาสีโอลด์โรสตัดกับสีขาวเป็นกำแพงชั้นนอก แลห้อมล้อมด้วยพรรณไม้ใหญ่ด้านในเป็นกำแพงธรรมชาติอีกชั้น หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตเลือกอำเภอบางกะปิที่ค่อนข้างห่างไกลจากความวุ่นวายของตัวเมืองอย่างย่านเจริญกรุง เยาวราช หรือวงเวียนราชเทวีปลูกคฤหาสน์หลังนี้ขึ้่นมาสำหรับใช้พักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดแทนที่จะเป็นที่ชายทะเลแถบบางปูแบบข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรมคนอื่น ๆ เพราะนอกจากจะสะดวกในการเดินทางกว่าแล้ว ท่านชายยังรักธรรมชาติและหลงใหลในทัศนียภาพของสองฝั่งคลองบางกะปิหรือคลองแสนแสบเป็นส่วนองค์ แม้ปัจจุบันเรือกสวนไร่นาจะทยอยเปลี่ยนเป็นอาคารบ้านเรือนตามถนนที่ตัดผ่านไปมากจนแทบไม่เหลือเค้ากลิ่นโคลนสาบควายดังแต่ก่อน กระนั้นบางกะปิแห่งนี้ก็ยังคงเสน่ห์ลึกล้ำแบบที่หาไม่ได้ในอำเภอชั้นในไหน ๆ ของพระนคร ปรกติแล้วคฤหาสน์แห่งนี้ปลูกไว้เหมือนสร้างเปล่า นานทีปีหนท่านชายและหม่อมจะเสด็จมาพักผ่อนสักครั้ง หากแต่เมื่อขวัญสรวงกลับจากยุโรปหลังสำเร็จการศึกษาก็ถือวิสาสะย้ายมาพำนักที่คฤหาสน์แห่งนี้แทนวังใหญ่ด้วยพึงใจในวิถีชีวิตเรียบง่ายของที่นี่กว่าแสงสีในนคร

นับจากวันนั้นก็เป็นเวลาสองปีกว่าเข้าไปแล้ว

ขวัญสรวงละสายตาจากเอกสารปิดผนึกจากกรมที่ดินในเวลาโพล้เพล้ จากริมหน้าต่างของตึกฝรั่ง ขอบฟ้าเหมือนถูกเด็กมือบอนจุ่มพู่กันแต้มด้วยสีแสด เกลี่ยสีโทนร้อนสลับสล้างผสมสีเขียวชะอุ่มเหมือนผ้ามัดย้อมที่ผึ่งแดดไว้บนราวตาก มีเสียงนกตัวน้อยขับขานร้องเพลงจุ๊บจิ๊บประสานกับเสียงของผู้ประกาศในจอโทรทัศน์ที่หม่อมแม้นพิศเธอเปิดดูละครอยู่เป็นระยะ ชีวิตสองฝั่งคลองบางกะปิเต็มไปด้วยความเรียบง่าย ห้อมล้อมไปด้วยอ้อมกอดของท้องฟ้าและทุ่งนาสีเขียว ผู้คนที่นี่ตรงไปตรงมาไม่วุ่นวายไปกับแสงสี กระนั้นก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบฝรั่งตามเหมาะสม ไม่ขาดไม่เกิน และความสันโดษของที่แห่งนี้ก็ช่างคล้ายกับเวียนนาที่ขวัญสรวงไปร่ำเรียนการดนตรีมานัก ถึงขั้นหลายปีที่ศึกษาอยู่ออสเตรียชายหนุ่มไม่สู้เป็นโรคคิดถึงบ้านแบบคนอื่น ๆ สักเท่าไร ด้วยรู้สึกบางอย่างที่พ้องกันอย่างเหลือเชื่อจนให้คุ้นเคยกับเมืองฝรั่งราวกับบ้านพักอีกแห่งของครอบครัวซึ่งเคยไปเที่ยวเล่นครั้งยังเยาว์

เสียงฟลุตแว่วดังขึ้นอีกครั้งจากห้องนอนของบุตรชายคนเดียวของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ร้อยเรียงความงดงามที่พอจะจำแนกออกด้วยสายตาห่มหัวใจของทุกชีวิตในคฤหาสน์แห่งนี้รวมถึงชาวบางกะปิทุกคนที่สัญจรผ่านไปมาทั้งทางถนนและทางลำคลอง

บทเพลงซึ่งปราศจากถ้อยภาษาหยอกล้อแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับจากขอบฟ้าอย่างสนุกสนาน ขวัญสรวงทอดสายตาผ่านร่มพะยอมที่รำแพนกิ่งก้านทั่วอาณาเขตขัตติยพงศ์ ภาพซึ่งปรากฏอยู่เบื้องหลังปลายนิ้วที่รัวพรมอยู่บนฟลุตนั้นคือร่างสูงโปร่งที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงริมขอบรั้ว คล้ายกับถูกด้ายที่มองไม่เห็นร้อยความสนใจทั้งหมดให้หยุดอยู่ที่คนคนนั้น ดวงตาเข้มสุขุมจึงไม่อาจละสายตาจากทัศนียภาพแปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนี้ได้เลย

ใครกัน ?

ขวัญสรวงจ้องมองอย่างตั้งคำถาม ชายร่างโปร่งคนนั้นเดินจากไปช้า ๆ ในช่วงที่บทเพลงจบ ทุกย่างก้าวที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอมั่นคง และในตอนที่คุณชายผู้เป็นเจ้าของบ้านลงไปด้านล่างของตึก เด็กหนุ่มคนนั้นก็หายไปจากร่มประดู่แดงที่ริมรั้วเสียแล้ว




อาหารมื้อเย็นเป็นไปอย่างอุดมสมบูรณ์ หม่อมแม้นพิศเป็นคนมือเติบ แม้โดยนิสัยจะไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย หากแต่เมื่อไรก็ตามที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกิน หญิงร่างท้วมจะไม่ยอมให้ถูกครหาว่าเป็นคนตระหนี่เป็นอันขาด น้ำใจนี้เผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนบ้านและเด็กในครัวเรือนทุกคน ลบบรรยากาศของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์อันหน้าเกรงขามจากชาวบ้านละแวกนั้นเมื่อครั้งสร้างเสร็จใหม่ ๆ เสียสิ้น บัดนี้กลับกลายเป็นที่เลื่องลือว่าคฤหาสน์ขัตติยพงศ์นั้นช่างโอบอ้อมอารี งานบุญใด ๆ หากมีโอกาสหม่อมแม้นพิศเธอไม่เคยบอกปัด ด้วยถือค่าว่าชดเชยงานสังคมสโมสรในพระนครแบบหลังบ้านเสด็จหรือพ่อค้าวานิชอื่น ๆ ที่เธอไม่ใคร่จะถูกโฉลกจนบอกผ่านอยู่บ่อยครั้ง

“ตาขวัญชิมอันนี้ดูสิ แกงเผ็ดลิ้นจี่สอดไส้”

“อร่อยครับ แต่หม่อมแม่หาลิ้นจี่ในหน้าฝนได้ยังไงกัน”

หม่อมแม้นพิศยิ้มอย่างภาคภูมิ ต่อให้เอามีดมาบั่น หล่อนก็จะไม่บอกบุตรชายแน่ว่าเป็นลิ้นจี่พันธุ์คัดเฉพาะ นำเข้ามาแค่เพียงหยิบมือจากเซี่ยงไฮ้ กิโลกรัมร่วมเจ็ดบาท

อันที่จริงบุตรชายเธอไม่ใช่คนเรื่องมาก นิสัยกินอยู่ง่ายถอดแบบออกมาจากบิดา เครื่องหน้าที่คมคายได้รูปนั้นก็เช่นกัน จะมีก็เพียงนิสัยช่างเอาอกเอาใจคนอื่น ผิวพรรณละเอียดละออ และรอยยิ้มอันกลัดไว้เหนือมุมปากจนเป็นนิสัยที่ใครก็บอกว่าถ่ายทอดมาจากเธอ กระนั้นนิสัยเห่อลูกของผู้เป็นแม่ก็อดไม่ได้ที่จะดูแลพะเน้าพะนอเต็มที่

"พรุ่งนี้เช้าชายขวัญขับรถพาแม่ไปส่งที่วัดตรงหัวตะพานทีได้ไหม จะพาแม่สายบัวไปช่วยงานที่วัด"

"ได้ครับ"

คุณหญิงแม้นพิศกวักมือเรียกสายบัวให้มาเติมน้ำกระเจี๊ยบที่พร่องแก้วลงไปของบุตรชาย

“แล้วนี่นายเฉ่ง กานต์ นายสมิง เพื่อน ๆ ชายขวัญเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ไม่เห็นหน้าค่าตา”

“ส่วนมากก็ช่วยกิจการที่บ้านครับ เฉ่งต้องดูแลธุรกิจติดน้ำพุของที่บ้าน เห็นว่าพอติดที่วงเวียนราชเทวีก็รับงานไม่หวาดไหว กานต์ก็รับช่วงต่อกิจการโรงภาพยนตร์อีกแห่งจากพ่อ ส่วนงานรถเมล์ของสมิงก็กำลังขยาย ปีนี้คงยุ่งหนักทุกคน”

“จะไปสู้รถรางได้อย่างไรกัน”

หม่อมแม้นพิศรำพึง เธอไม่ค่อยสู้ยานพาหนะที่แล่นเร็วทั้งมีผู้โดยสารอยู่เยอะนัก

“จะว่าไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมา ทุ่งนาละแวกนี้ก็ลดลงทุกปี มีคนย้ายเข้าย้ายออกเยอะ คนที่นี่ก็ย้ายเข้าอำเภอชั้นใน ส่วนคนต่างจังหวัดก็ย้ายเข้ามาเป็นชาวบ้านที่นี่ ที่จะรังวัดที่มะรืนมะเรื่องก็เป็นตัวอย่าง”

ขวัญสรวงพยักหน้ารับด้วยรู้สึกเห็นด้วยกับมารดาทุกประการ หลังกลับจากศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เขาแทบจำบางกะปิแห่งนี้ไม่ได้ หากแต่ในเวลานี้ ชายหนุ่มกลับไพล่นึกไปถึงคนแปลกหน้าริมรั้วเมื่อยามเย็นด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกพิเศษกว่าชาวบ้านปกติทั่วไปในละแวกนี้

“เมื่อเย็นหม่อมแม่ได้เห็นชาวบ้านหน้าใหม่ ๆ บ้างไหมครับ ผู้ชาย วัยและรูปร่างสูงโปร่งน่าจะไล่เลี่ยกับลูก”

“มีเยอะจนจำไม่หวาดไหว ทำไมหรือ อย่าบอกว่าจะหาเพื่อนเที่ยวแทนพวกนั้นอีกนะ”

ขวัญสรวงเหน็บรอยยิ้มไว้เหนือมุมปาก

“แค่ถามดูครับ”



(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 20-09-2014 22:15:16
(ต่อครับๆ)




“คุณชายครับ”

เสียงเรียกของบ่าวคนสนิททำให้คนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการขี่ม้าเหลียวกลับมามอง

“อยู่กันแค่นี้ ไม่ต้องเรียกเต็มยศก็ได้ ตอนเด็ก ๆ เรียกยังไงก็เรียกแบบนั้นเถอะ”

บ่าวรับใช้ผิวเข้มที่โตมาด้วยกันเอามือป้องปากแล้วข่มเสียงพูด

“ลองขืนเรียกแบบนั้นสิ หม่อมแม่คุณชายได้แพ่นกระหม่อมไอ้เยื้อนแยกเป็นเสี่ยง”

ขวัญสรวงส่ายหัวยิ้มขัน ขณะที่บังคับม้าเดินกลับมาก็คิดถึงวีรกรรมต่าง ๆ ของเจ้าเยื้อน

หม่อมแม่มักเทียวไปเทียวมาระหว่างที่วังใหญ่กับที่นี่ มาทีก็จะอยู่ค้างสองสามวัน ยกโขยงแม่บ้านกันมาเป็นกองทัพเสียวุ่นวาย และเหมือนเทพเทวาแกล้งหยอก มากี่คราหม่อมแม่ก็มักจะได้เรื่องกับเจ้าเยื้อนร่ำไปจนเดี๋ยวนี้เจอกันเมื่อไรกลายเป็นต่างฝ่ายต่างระแวงจับผิดกันไปโดยปริยาย

“ว่าแต่มีอะไร ?”

“สี่โมงครึ่งตามที่คุณชายสั่งให้ช่วยเตือนแล้วครับ”

ผู้ออกคำสั่งไว้แต่บ่ายถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองสนุกจนลืมเวลาไปเสียหลายชั่วโมง ขวัญสรวงทรงตัวลงจากอานม้าแล้วจูงไปส่งให้เยื้อน กำชับให้เอาไปเก็บที่คอก อาบน้ำ แปรงขน ให้น้ำและอาหารตามเวลา

"คุณชายจะออกไปข้างนอกหรือครับ"

ขวัญสรวงไหวหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วมุ่งตรงไปที่เรือนใหญ่ ชายหนุ่มกลับขึ้นไปที่ห้องนอน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อย ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ที่ขอบหน้าต่าง กังหันสีฟ้ายังหมุนวนเช่นทุกบ่าย ดวงตาสุขุมทอดมองดูช่อมะม่วงที่ลงดินไว้เมื่อปีกลายถูกสายลมพัดหยอกจนไหวลู่ สักพักมือกว้างก็หยิบฟลุตออกมาจากกล่องกำมะหยี่




ร่างสูงกำบำเดินไปที่ศาลาไม้ริมน้ำ ความนึกสงสัยในคนแปลกหน้าเมื่อวานทำให้ชายหนุ่มเลือกที่จะลงมานั่งเป่าฟลุตที่ด้านล่างในวันนี้ ขวัญสรวงไม่ได้ตื่นเต้น กระตือรือร้น หากเพียงแค่อยากรู้ในบรรยากาศอันดูเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคนอื่นซึ่งสัมผัสได้เมื่อวานเป็นแค่ความรู้สึกเพียงวูบหรือมีสิ่งใดที่มากกว่านั้น

เสียงฟลุตดังขึ้นในจังหวะที่สายลมพัดยอดผักกระเฉดริมคลองจนเคลื่อนไปบนผิวน้ำ และเพียงไม่นานร่างโปร่งที่อยู่ในความคิดตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมาก็ปรากฏตัวขึ้นที่แห่งเดิม ขวัญสรวงหลับตาลงพร้อมกับมุมปากที่ยกกระหวัดขึ้นสูง เขาเลือกเล่นเพลงที่มีท่วงทำนองเบิกบาน ละม้ายว่าเสียงตัวโน้ตแต่ละตัวนั้นกำลังทดแทนถ้อยรู้สึกที่ดังแว่วในใจ

บทเพลงจากเครื่องดนตรีสีเงินวาวถูกสลับสับเปลี่ยนอีกสามถึงสี่เพลง หากแต่ดวงตาเข้มลุ่มลึกกลับไม่ผละจากชายหนุ่มที่ยืนเอามือไพล่หลังฟังอยู่ริมรั้วแม้แต่นิด เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่มองตรงมายังเขา ผิดก็เพียงที่ว่าแววตาคู่นั้นดูว่างเปล่าปราศจากความรู้สึกใด

เจ้าของเสียงเพลงมองคนไม่คุ้นหน้าอย่างพิจารณา ผมสีดำขลับถูกหวีเสยไปด้านหลังด้วยสีผึ้งจนเรียบ เด็กหนุ่มคนนั้นสวมเสื้อลำลองสีอ่อนที่ให้ความรู้สึกเหมือนหมอกสีนวลละม่อมในยามเช้าของต้นฤดูหนาว กางเกงแพรสีขาบที่สวมอยู่ดูคล้ายกับสีของทะเลสาบกลางหุบเขา คนคนนี้ให้ความรู้สึกแปลกตาไม่เหมือนคนอื่น แม้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชาวบ้านปรกติ หากแต่บรรยากาศที่รายล้อมกลับดูมีรสนิยมและลุ่มลึกเฉกผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว

บทเพลงจบลงพร้อมกับริมฝีปากที่เปื้อนยิ้ม ขวัญสรวงลุกขึ้นยืนแล้วเดินลอดทิวไม้ออกรั้วขัตติยพงศ์เพื่อไปหาเจ้าของนัยน์ตาหวานโศกพริ้มเพรา หากแต่เมื่อเสียงฟลุตหยุด อีกฝ่ายก็เริ่มขยับตัวอีกครั้งเช่นกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกุหลาบเจือมากับสายลมแผ่วพลิ้ว ดวงตาเข้มที่เจือแววสงสัยของชายหนุ่มมองดูคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ค่อย ๆ เดินเลียบผ่านรั้วสีโอลด์โรสนั้นช้า ๆ

ปลายเท้าของชายคนนั้นย่างเพียงเล็กน้อย ขณะที่ท่อนบนของร่างกายก็นิ่งราวกับไม่มีการขยับใด ๆ ขวัญสรวงอ่านภาษาแห่งการเคลื่อนไหวนั้นได้ว่านั่นไม่ใช่ความสำรวม ทว่าเป็นความงามสง่าด้วยท่วงท่าอันผึ่งผาย ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นหยุดฝีเท้านิ่งอยู่ที่ใต้ร่มประดู่แดงที่แผ่ออกมาจากริมรั้ว ทุกการเคลื่อนไหว ทุกอิริยาบถดูคล้ายจะไม่กริ่งเกรงต่ออาณาเขตที่กว้างใหญ่ของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์แม้แต่น้อย

ละม้ายยูงที่รำแพนหางท้าทายผืนฟ้ากว้างไม่ผิดเพี้ยน

ยากจะเรียกว่าเป็นชาวบ้านในละแวกนี้ด้วยบรรยากาศอันทำให้รู้สึกอึดอัดนิด ๆ ที่ห้อมชายหนุ่มผิวขาวกระจ่างผิดแผกคนทั่วไป ขวัญสรวงไม่ได้หวั่นกลัวกับความรู้สึกนั้น ไม่แม้แต่จะรู้สึกสะท้านใด ๆ ในการปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบที่ริมรั้ว ตรงกันข้ามที่บรรยากาศนั้นกลับกระตุ้นความกระหายใคร่รู้ถึงลักษณะพิเศษที่เป็นอัตลักษณ์ที่อยู่เบื้องหน้า

“คุณชอบเสียงฟลุตหรือครับ”

เจ้าของบ่าและลำคอที่ตั้งตรงนั้นนิ่งแลสงบราวกับไม่ได้ยินถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย ครั้นเมื่อขวัญสรวงจะเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความสงสัย เสียงแผ่วเบาและทุ้มสุภาพก็ดังขึ้นเพียงสั้น ๆ พร้อมกับแววตาหวานที่กดลงบนดอกผักบุ้ง

“เปล่าครับ”

ร่างสูงอมยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน เมื่อวานก็ครั้งหนึ่ง วันนี้ก็อีกครั้ง ขวัญสรวงนึกตั้งคำถามในใจเล่น ๆ ว่าหากไม่ชอบในเสียงดนตรีแล้วชายคนนี้จะหยุดยืนฟังได้ครึ่งค่อนชั่วโมงเชียวหรือ

“ในบรรดาเครื่องดนตรีฝรั่ง ปกติแล้วเสียงฟลุตจะเทียบเท่ากับเสียงของนก แต่สำหรับเพลง Butterfly Etude กลับแตกต่างที่ใส่จินตนาการลงไปในเพลงให้เป็นเสียงกระพือปีกของฝูงผีเสื้อ ผมชอบเสียงของฟลุตมาก มันให้ความรู้สึกเหมือนท้องฟ้าโล่ง ๆ ที่มีนกตัวเล็ก ๆ บินอยู่บนนั้น”

“ครับ”

จากด้านข้าง ดวงตาคมลึกจับจ้องอยู่ที่ใบหูที่โค้งสมส่วนและแพขนตาที่โค้งงอนตรงหน้าอย่างลืมตัว โดยปรกติแล้วผู้คนมักคิดว่าใบหน้า ผิวพรรณ หรือแม้แต่รูปร่างของผู้ชายนั้นดูกระด้างและหนาเทอะทะ แต่ขวัญสรวงมั่นใจว่าไม่ว่าใครที่ได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ คงต้องยอมรับโดยดุษณีว่าผู้ชายคนนี้นับเป็นข้อยกเว้น

“บ้านคุณอยู่แถวนี้หรือครับ ผมไม่เคยเห็นหน้าเลย หรือว่าเพิ่งจะย้ายมาอยู่”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลียวมามองเขาเพียงครู่ก่อนจะย้อนกลับไปจ้องแสงสีทองที่สะท้อนอยู่เหนือคุ้งน้ำ

“เพิ่งจะย้ายมาอยู่ครับ”

ชายหนุ่มผิวขาวละเอียดพูดช้าเนิบ ชัดถ้อยชัดคำ สุ้มเสียงแผ่วเบาดั่งคำกระซิบทว่าให้น้ำหนักที่ทรงพลังนัก

ขวัญสรวงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ รู้จักคนมาก็มาก แต่ไม่มีครั้งไหนที่เพียงการสบตาเพียงวูบ ถ้อยคำแค่ไม่กี่คำจะทำให้เขาเกิดอาการคล้ายประหม่าแบบแปลก ๆ เช่นนี้ หากแต่อาการนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ แล้วก็หายไปคล้ายกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“แล้วชอบที่นี่ไหม”

เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มใต้แพขนตาหนานั้นทอแสงอุ่นนุ่มนวล

ภาพตรงหน้านั้นดึงมุมปากของคนที่ลอบมองอยู่ให้กระหวัดยิ้ม

“ผมเห็นที่นี่มาตั้งแต่เด็ก อยู่กับมันมานานจนแม้แต่หลับตาก็ยังนึกภาพได้" ขวัญสรวงวาดฟลุตขึ้นถือสองมือด้วยท่าทีสบาย ๆ แล้วทอดสายตามองเวิ้งฟ้าเบื้องหน้า "ที่นี่ไม่เคยเงียบเหงา ตอนเช้าจะมีชาวบ้านพายเรือไปตักบาตรที่วัด มีเรือขายผลไม้ขายอาหารพายล่องตลอดวัน พอโพล้เพล้พระอาทิตย์จะตกที่ริมน้ำมุมโน้น  ที่ตรงนี้จึงเป็นเวิ้งโค้งของคลองที่ให้วิวสวยที่สุด ผมชอบที่นี่มาก ชอบจนคิดว่าตัวเองคงจะอยู่ที่นี่ตลอดไป”

ชายหนุ่มคนนั้นยินคำพูดของขวัญสรวงอย่างไม่ใส่ใจนัก แววตาสวยชวนมองนั้นยังคงดูว่างเปล่า เฉกเช่นสีหน้างดงามดุจภาพวาดก็ยังคงปราศจากความรู้สึกใด ๆ

แม้จะเป็นเช่นนั้น หากแต่ด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไปทำให้ขวัญสรวงรู้สึกว่าชายแปลกหน้าซึ่งยืนประชิดอยู่กำลังรู้สึกพึงพอใจในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปอยู่ไม่น้อย

ผู้ชายคนนี้มีบุคลิกที่ประหลาดนัก ขวัญสรวงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าร่างที่แบบบางกว่าเพียงน้อยนั้นซุกซ่อนความรู้สึกนึกคิดไว้มากมายเพียงไหน ชั่วขณะนั้นเองที่คุณชายหนุ่มไพล่นึกขอบคุณท่านพ่อที่ส่งไปร่ำเรียนอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยศิลปินและผู้มีใจรักในเสียงดนตรีจนรู้สึกคุ้นชินกับท่าทางที่ค่อนข้างยากต่อการอ่านความรู้สึกของผู้คนเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง ขวัญสรวงจึงไม่ใคร่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก เขาเพียงแค่มองว่าคนทุกคนก็คล้ายกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่อาจพิจารณาคุณค่าเพียงปกที่พิมพ์สวยงาม หากแต่ต้องให้เวลาในการศึกษาทีละแผ่น ทีละหน้า ทีละประโยคอักษรกระทั่งเข้าใจถ่องแท้จึงจะสรุปตีความได้

เจ้าของดวงตาสีเข้มยังคงลอบมองใบหน้าที่เรียบนิ่งของคนข้างกาย พยายามอ่านความนัยในความสงบสุขุมนั้น ทว่าทุกสิ่งยังดูนิ่งเรียบเหมือนแพรอ่อนนุ่มที่ถักทอไร้ตะเข็บ ขวัญสรวงไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไรในท่าทีเฉยเมยตรงหน้า หากแต่กลับค่อย ๆ ใช้เวลาแต่ละวินาทีขณะนี้มองลักษณะที่เหมาะเจาะสมส่วนพอดีนั้นอย่างค้นคำตอบ

กระโหลกศีรษะนั้นทุยได้รูปรับกับหน้าผากที่โค้งมน ผิวขาวละเอียดตัดกับดวงหน้า รวงแก้มฝาดเหมือนสีเกสรดอกชมพู่มะเหมี่ยว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นก็ดูแปลกตานัก รวมถึงสันจมูกที่ตั้งตรงดูไม่มีข้อตินั้นก็เช่นกัน แม้แต่ริมฝีปากที่เป็นสีกลีบบัว พิศดูอย่างไรก็ไม่ละม้ายกับคนที่มีเชื้อสายไทยแท้หรือแม้แต่ไทยผสมจีนแบบที่มักเห็นจากครอบครัวพ่อค้าวานิชทั่วไป

“คุณเป็นลูกครึ่งหรือ”

นิ่งไปสักพัก ในที่สุดชายแปลกหน้าคนนั้นก็เบือนหน้ามาทางเขาเพียงเล็กน้อยแล้วตอบคำถามแผ่วเบา ประหยัดทั้งคำพูดและน้ำเสียงแบบทุกครั้ง

“ครับ คุณแม่เป็นฝรั่ง”

ขวัญสรวงตอบรับด้วยอาการยิ้มแย้ม ยังคงรักษาท่วงท่าและระยะห่างเท่าเดิม

“อายุเท่าไรแล้ว”

“ปีนี้ยี่สิบสาม”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นน้อง พี่อายุยี่สิบห้า ชื่อ...ขวัญ น้องชื่ออะไรหรือครับ”

ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นนั้นขยับเพียงน้อย ก่อนเสียงแผ่วเหมือนสายลมเอื่อยจะดังแว่วในความเงียบ

“เรียมครับ”

“เป็นชื่อที่เพราะดีนะ”

ขวัญสรวงจรดฟลุตที่ริมฝีปาก แล้วเสียงดนตรีแว่วหวานก็ดังขึ้นที่ริมคลองแสนแสบอีกครั้ง



++++++++++++++++++++++++



สวัสดีครับ เปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว  คราวนี้ขอลองของกับแนวย้อนยุคดูครับ
อ่านตอนแรกจบแล้วบางคนคงคุ้นกับชื่อพระเอกกับนายเอกบ้าง
ใช่แล้วครับ มันคือการหยิบเอา "แผลเก่า" ของครูไม้ เมืองเดิม
มาดัดแปลง หยิบเอาองค์ประกอบนั่นนิดนี่หน่อยมายำเป็นเรื่องใหม่
และเนื้อเรื่องก็ไม่เหมือนกับแผลเก่าแบบที่เคยอ่านจากนิยายหรือดูในละครหรือหนัง
แต่จะเป็นยังไงต่อไป ฝากติดตามกันด้วยนะครับ ฮิฮิ

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ครับ ไม่เคยแต่ง อ่านก็น้อยมาก
ไม่ค่อยมีความรู้กับแนวการเขียนพีเรียดมาก ฝากแนะนำติชมด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: KhunToOk ที่ 20-09-2014 23:20:11
น่าติดตามค่าาา รอตอนต่อไปนะคะ ชอบแนวนี้ อิอิ  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 21-09-2014 10:17:09
 :mc4:  เรื่องใหม่ๆ รอน้องแมกซ์สุดเกรียนอยู่น้าา.
ตอนแรกอ่านก็ว่าอยู่ละพระเอกชื่อขวัญ อย่างนี้นายเอกจะชื่อเรียมหรือเปล่าหว่า ปรากฏว่าใช่จริงๆด้วย55555
รอตอนต่อไปค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 21-09-2014 14:39:32
ิอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกำลังนั่งมองภาพวาดบนฝาผนังเลยค่ะ
บรรยากาศมันดูสวยงาม ละเอียด แล้วก็ประณีตยังไงไม่รู้ >_<

อีกอย่างที่รู้สึกได้ก็คือ เราอยากถลาซบอกแน่นๆ ของคุณชายขวัญมาก 55555555
 :-[ :-[ :-[
ชอบบุคลิคของคุณชายมากเลยค่ะ อ่ายแล้วรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายแบบนี้ แอร๊ยยย
ส่วนน้องเรียมนี่.. มามาดนิ่งๆ เชียว

ความรักของคู่นี้น่าติดตามมาก รอตอนต่อไปค่าาา
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 21-09-2014 23:08:59
ชอบแนวนี้!!
โอ้เย่ หาอ่านยาก
ขอแปะไว้ก่อนยังอ่านไม่จบ
เดี๋ยวจะไปนอนอ่านต่อในโทรศัพท์แล้วเดี๋ยวจะไม่ได้เม้นกันพอดี
มาเม้นในคอมก่อน ฮ่าๆ

ชอบ ชอบ ชอบ !!
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 22-09-2014 00:09:03
ขวัญเรียมเวอร์ชั่นใหม่ น่าติดตาม :mc4: :mc4:  รอตอนต่อไปค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 22-09-2014 01:58:08
ทำไมน้องเรียมพูดน้อยจังคะ แงงง
อยากรู้จักน้องเรียมมากกว่านี้แล้ว
รอตอนต่อไปปป

 o13
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 22-09-2014 10:38:13
ชอบคุณชายขวัญจัง
สุขุม เคลิ้ม
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: romsai ที่ 25-09-2014 23:09:10
หลงรักน้องเรียมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑ ♫ ♬ ♪ (๒๐ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 26-09-2014 00:15:57
ขวัญของเรียม จะจบเศร้าเหมือนแผลเก่ารึเปล่านี่
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 29-09-2014 21:13:36
สวัสดีครับ ขอบคุณที่ติดตามกันครับ
สำหรับคนที่กลัว Tragedy เป็น Sad Ending งานนี้หายห่วงครับ
เพราะคนแต่งมันบ้าบอพอจะแต่งตามใจตัวเองไว้ก่อน ฮ่าๆ
ยังไงอยากให้คนที่ชอบแนวนี้ติดตามต่อไปครับ
วันนี้ขอแวะมาอัพตอนที่ ๒ ต่อ แต่ว่ามันยาวมากกกก...
คราวนี้ขอแบ่งออกเป็นตอนย่อย ๒ ตอนครับ
๒.๒ จะตามมาในคราวต่อไปครับ แหะๆ



+++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ ๒.๑




ช่วงเวลาสั้น ๆ และการพูดคุยไม่กี่ประโยคยังคงสลักในความคิดของขวัญสรวงมาโดยตลอด ทั้งที่ชายหนุ่มไม่เคยนึกฝันว่าจะจดจำอะไรได้มากมายนัก หากแต่เมื่อทุกครั้งที่หยิบฟลุตขึ้นมาเป่า ภาพในตอนนั้นกลับสะท้อนขึ้นในตาอย่างไม่มีเหตุผลจนแม้แต่ตัวเองก็ยังอดที่จะรู้สึกประหลาดใจในความช่างจดช่างจำนี้ไม่ได้

นับจากเย็นวันนั้นก็เป็นเวลาร่วมสองเดือนแล้ว แต่คุณชายขวัญกลับไม่เคยพบหรือเจอเรียมอีกเลย

ยามแดดล่มลมตก บทเพลงจะหวานแว่วอยู่ใต้ชายคาศาลาริมน้ำกระทั่งดวงอาทิตย์พลบหายไปในปุยเมฆ เป็นอย่างนี้ทุกวันเหมือนเป็นกิจวัตรอันขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว

โดยปรกติ ขวัญสรวงมีหน้าที่ช่วยดูเอกสารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับท่านชายเขียนนิรมิตผู้เป็นบิดา นอกเหนือจากนั้นซึ่งนับเป็นเวลาว่าง ถ้าไม่เล่นดนตรีหรือเจ้าโนอาห์ คุณชายหนุ่มก็จะมักใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากเมืองนอกหัดดนตรีให้กับเด็ก ๆ ในละแวกคลองบางกะปิสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย

คุณชายขัตติยพงศ์ใช้ไม้ไผ่ที่หาได้ไม่ยาก เลือกเอาขนาดที่เหมาะเจาะแล้วตัดมารอไว้จนไม้แห้งสนิท จากนั้นก็ขัดมันจนไร้เสี้ยน เหลาลิ้น เจาะรูและประกอบจนกลายเป็นขลุ่ยเพียงออให้นักดนตรีตัวน้อยฝึกหัด ส่วนมากก็เป็นลูกหลานของชาวบ้านละแวกนี้

"เริ่มเป็นเพลงขึ้นแล้วนะเทพ"

ดวงตากลมใสของลูกศิษย์ตัวน้อยเป็นประกายแวววับเมื่อถูกชม

"จริงหรือครับพี่ขวัญ"

มือกว้างวางลงบนกระหม่อมของเด็กชายอย่างนึกเอ็นดู

"พี่จะโกหกเราทำไม"

"แบบนี้ผมก็อวดแม่ได้แล้วสิ"

ความอ่อนเดียงสาทำให้ริมฝีปากที่อยู่บนใบหน้าสุขุมอุ่นขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากความแปลกหน้ากลายเป็นความคุ้นเคย จากเสียงอู้อี้กลายเป็นท่วงทำนองไพเราะ เพลงแขกบรเทศดังเจื้อยแจ้ว ผิดบ้างถูกบ้างแต่ก็เพราะชื่นใจนักด้วยความตั้งใจของผู้หัดเป่า กระทั่งเสียงหนึ่งหวานกังวานขึ้นจากริมรั้ว

"เทพ"

ทันทีที่ยินเสียงพี่สาว เด็กชายเจ้าของชื่อก็ทิ้งทุกอย่าง ขาเล็ก ๆ ทั้งสองข้างแทบจะกระโดดแผล็วไปหาต้นเสียง

"พี่ทิพย์"

น้ำทิพย์โอบวงแขนรอบบ่าเจ้าตัวน้อยที่ยืนส่งยิ้มแป้น เทพเป็นลูกหลง อายุห่างจากหล่อนที่เป็นพี่สาวร่วมสิบปี ยามที่น้องชายมาเรียนขลุ่ยกับคุณชายขัตติยพงศ์ แม่จะไหว้วานให้มาเป็นธุระให้เสียทุกครั้ง ขามารับกลับก็มักจะมีปิ่นโตพ่วงติดมือมาฝากด้วยถือเป็นของตอบแทนน้ำใจให้กับคุณครูเสมอ

"พี่ขวัญจ๊ะ แม่ให้เอาปิ่นโตมาให้"

เจ้าของบ้านค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มที่กลัดไว้เหนือมุมปาก

"พี่ฝากขอบคุณน้าชื่นด้วยนะทิพย์ จริง ๆ ไม่น่าลำบากเลย"

ใบหน้าพริ้มเพราของสาวน้อยไหวแผ่วอย่างสงบเสงี่ยม รวงแก้มฝาดขึ้นเป็นริ้ว

"พอดีพ่อได้ปลาช่อนนามาหลายตัว ทานกันเองยังไงก็ไม่หมด แม่คิดว่าพี่ขวัญอาจจะชอบ เลยทำมาเผื่อจ้ะ"

"พี่คงอ้วนเพราะน้าชื่นกับทิพย์เอาสักวัน"

น้ำทิพย์หัวเราะน้อย ๆ ด้วยความขันและเคอะเขิน ทุกครั้งที่อยู่ตรงหน้าร่างสูงกำยำนั้น แลอาการปราโมทย์จนเกินพอดีทำให้หล่อนเกิดความประหม่า ยิ่งเมื่อเจ้าของรอยยิ้มอุ่นเอื้อเอ่ยคุยด้วยอย่างไม่เคยนึกถือตัว ดวงตาสุกใสก็ได้แต่หลุบลงมองชายซิ่นตนเองเสียทุกครั้ง ไม่กล้าแม้สบตา

"ไว้ทิพย์จะกลับมารับปิ่นโตวันหลังนะจ้ะพี่ขวัญ"

ยังไม่ทันที่คนซึ่งถือปิ่นโตอยู่จะได้พูดตอบอะไร ร่างเล็กนั้นก็จูงน้องชายต่างวัยตัดผ่านร่มพะยอมออกจากรั้วไปไกลเสียแล้ว






ห่อหมกปลาช่อนนาส่งกลิ่นหอมฉุยแข่งอาหารอีกสองสามชนิดจากฝีมือของสายบุญ น้าแท้ ๆ ของสายบัวและเป็นคนเก่าแก่ของบ้านที่หม่อมแม้นพิศส่งมาดูแลกับข้าวกับปลาคนในคฤหาสน์หลังนี้ให้บริบูรณ์

ข้าวสวยร้อน ๆ ที่หุงพร้อมใบเตยจนหอมตักวางบนจานกระเบื้องแต้มลายสีน้ำเงินตุ่นแบบพอดีทัพพีด้วยฝีมือหญิงวัยกลางคนร่างผอมแห้ง

"ทานด้วยกันสิครับป้าบุญ"

"คนแก่จะกินอะไรได้นักหนาล่ะคะ วันละมื้อตอนสาย ๆ ก็อิ่มไปทั้งวันแล้ว คุณชายเถอะค่ะ ทานเยอะ ๆ" มือเล็กแกร็นคดข้าวเติมอีกครึ่งทัพพี

"กินข้าวที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนฝีมือแม่กับป้าบุญ"

เล่นเอาคนถูกชมยิ้มแก้มปริ ข้าวทุกมื้อของสายบุญจะหุงเช็ดน้ำแบบโบราณในไหข้าวที่ทำจากไม้เนื้อแข็งทั้งต้นตัดเป็นท่อนและคว้านเอาเนื้อไม้ตรงกลางออก เมล็ดข้าวจึงนิ่มอร่อยกว่าการหุงด้วยหม้ออลูมิเนียมหรือหม้อหุงข้าวสำเร็จรูปที่นิยมกันในสมัยนี้นัก ถึงขนาดที่เพียงได้กลิ่นตอนสุกใหม่ ๆ ก็เผลอกลืนน้ำลายไปเสียหลายอึก ไม่เว้นแม้แต่เจ้าเยื้อนที่กวาดเรียบเสียหมดหม้อแทบทุกวัน

"ว่าไงเยื้อน กินด้วยกันไหม"

บ่าวผิวเข้มแอบเหล่มองป้าบุญแล้วส่ายหัวขยาด

"เจ้าของแกรักแกหวงเสียขนาดนั้น"

"ตอนเด็ก ๆ ยังกินด้วยกันได้"

คนเป็นบ่าวรีบแจ้นเข้ามายกมือปรามแทบไม่ทัน

"พุทโธ่! มันจะไปเหมือนกันได้ยังไงครับ ตอนนั้นไอ้เยื้อนยังเป็นเด็ก แถมคุณชายก็แอบไปกินที่ก้นครัวตอนคุณหญิงท่านไม่เห็นด้วย"

"นี่ก็ไม่มีใครเห็นนี่" ขวัญสรวงเอ่ย

"ใครว่า?" เยื้อนเหล่ไปทางร่างผอมซูบที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เสียงห้าวบีบเสียเล็กเหมือนกลัวใครจะได้ยิน "ไม่เกินมะรืนมะเรื่องได้หูขาดกัน"

คนฟังส่ายหัวด้วยอาการขัน เริ่มตักอาหารทานอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเหตุผลพิลึกที่ได้ยินคล้ายว่าเป็นเรื่องที่ไร้น้ำหนักความ

"อร่อยไหมครับ"

"รสชาติดี"

"ดีเพราะมีอะไรพิเศษหรือเปล่าหนอ"

ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองบ่าวคนสนิทอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ครั้นพอเห็นกิริยาทะเล้นห่ามก็ให้นึกอ่อนใจ

มือกว้างหนาวางช้อนส้อมแล้วหันมามองคนยิ้มแฉ่งโชว์ฟันขาวเรียงซี่ก่อนจะเปรยขึ้น

"คราวนี้อะไรอีก"

"ก็ไม่มีอะไร" เยื้อนลากเสียงสูง "เขาแค่สงสัยกันว่าพักหลังที่คุณชายขัตติยพงศ์ผู้หล่อเหลาไปนั่งเล่นดนตรีที่เรือนริมน้ำเวลาเดิม ๆ ทุกวันเพราะรอใครหรือเปล่า"

"รอใคร?"

เยื้อนบุ้ยหน้าไปยังจานห่อหมกซึ่งพร่องไปมากกว่าอาหารจานอื่น ๆ

"สงสัยว่าสาวน้อยทั่วพระนครจะอกหักก็คราวนี้"

เจ้าของบ่ากว้างนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ ในความเรียบสุขุมเป็นปรกติ จะมีก็เพียงแค่ดวงตาคมเข้มที่เป็นประกายประหลาดกว่าทุกครั้ง

กำลังรอใครอย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ ข้อสังเกตของเยื้อนไม่เคยอยู่ในความคิดของขวัญสรวงเลยสักนิด






คุณหญิงแม้นพิศมาถึงที่คฤหาสน์ในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับข้าวปลาอาหารวางบนกระจาด อะไรที่เป็นของคาวที่มีน้ำ หม่อมเธอก็ให้เด็กรับใช้ใส่ถุงพลาสติกมัดยางที่ปากมาเป็นอย่างดี พวกขนมก็รองด้วยใบตองเจียนเรียงหลั่นเป็นระเบียบดูน่ารับประทาน

รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าอวบอูมดูอิ่มเอิบกว่าทุกครั้งในตอนที่ขวัญสรวงกระพุ่มมือไหว้ สองมือลูบหน้าลูบหลังบุตรชายที่สูงกว่าครึ่งอย่างเอ็นดู

"ไหว้พระเถอะลูกคนนี้ มาทุกสัปดาห์ก็ไหว้ทุกสัปดาห์"

"โบราณว่าพ่อและแม่ก็เหมือนพระประจำบ้านของลูกนี่ครับ"

มืออวบอูมตีต้นแขนของคนช่างเจรจาอย่างเอ็นดู

ขวัญสรวงแสร้งสะดุ้งเจ็บทว่ารอยยิ้มกลับพรายพรั่งกระจ่างทั้งใบหน้า ดวงตาคมขำหันไปมองสายบุญเชิงให้สัญญาณ บ่าวที่รออยู่แล้ว เห็นเข้าก็ยกขันน้ำมาให้คุณหญิงทันที

น้ำฝนลอยดอกมะลิบรรเทาอาการกระหายได้ชะงัก คุณหญิงส่งขันเงินขัดเกลี้ยงให้กับบ่าวพลางมองสำรวจตรวจตราไปรอบ ๆ

"ใกล้หน้าฝนยอดมะม่วงแตกช่อกันน่าดู"

"โตทันข้าวเหนี่ยวมะม่วงของหม่อมแม่ปีหน้าแน่นอนครับ" ขวัญสรวงยักยิ้มกว้าง "ว่าแต่นี่ขนอะไรมาเสียเยอะแยะครับ"

"สัปดาห์หน้าที่วัดจะมีงานขึ้นอุโบสถใหม่ เห็นว่าจะทำบุญเข้าพรรษาไปด้วยกันเลย ที่วังเรามีข้าวของพวกนี้ไม่ขัดสน ก็เอามาช่วยบุญกันไป"

ชายหนุ่มมองคนขับรถเปิดกระโปรงด้านหลังขึ้นให้อากาศถ่ายเท ในนั้นเป็นหลัวไม้ไผ่ขนาดย่อมหลายใบ แต่ละใบล้วนบรรจุรวงข้าวทีี่สุกจนเหลืองผ่องจนพูน

"ข้าวพวกนี้ด้วยหรือครับ"

หม่อมแม้นพิศพยักหน้า "วัดจะทำข้าวตอกดอกไม้กัน ครั้งนี้เป็นงานใหญ่ ต้องเผื่อเวลาล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ บ่ายนี้ถ้าชายขวัญไม่มีธุระจะไปด้วยกันกับแม่ไหม"

มือกว้างหยิบรวงข้าวฟ่างที่ยังไม่ฝัดสีขึ้นมาดูแล้วรับคำโดยไม่คิดอะไร






งานใหญ่ของหม่อมแม้นพิศนั้นใหญ่สมกับที่จาระไนไว้ ทั้งที่งานบุญยังไม่มาถึงแต่ที่ลานวัดกลับเนืองไปด้วยชาวบ้าน บ้างนำกับข้าวกับปลามาช่วย บ้างก็มาช่วยแรงจนเกือบจะล้นลานวัด

"คนเยอะจังครับ"

ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตานักเมื่อลานเคยที่โล่งกว้างกลับคลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านมากมาย ไม่เว้นกระทั่งเด็กตัวน้อย

"ก็ต้องเยอะสิชายขวัญ ขึ้นอุโบสถไม่ได้มีบ่อย นี่แม่ว่าคนจะมาครบทั้งอำเภอ"

หม่อมแม้นพิศว่าพลางเดินนำบ่าวไพร่ซึ่งลำเลียงกระจาดของกินจุกจิกและหลัวไม้บรรจุรวงข้าวฟ่างไปร่วมบุญกับของชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ด้านหลังอุโบสถใหม่อย่างแคล่วตล่อง ขณะที่ขวัญสรวงซึ่งน่าจะคุ้นเคยกับท้องที่กว่าได้แต่ยืนมองไปรอบตัวคล้ายจะหาใคร

"สาว ๆ เขาขึ้นโครงอยู่ในศาลา ฯ โน่นแน่ะคุณชาย"

เจ้าเยื้อนยิ้มมีนัยอย่างคนสู่รู้ หากแต่ผู้เป็นนายยังคงยืนเงียบ บ่าวหัวใสก็จัดแจงขยายความต่อ

"น้าชื่นแกก็มานะ"

ขวัญสรวงได้แต่ส่ายหน้าระอาก่อนจะเดินนำไปอีกทางที่กลุ่มชาวบ้านผู้ชายรวมกลุ่มกันคั่วทรายให้ร้อนอยู่ ชายหนุ่มไม่ได้มองหาน้ำทิพย์หรือใครทั้งนั้น




(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 29-09-2014 21:15:45
(ต่อครับ)




อีกด้านหนึ่งที่ศาลาการเปรียญ สาวน้อยที่ถูกเอ่ยถึงกำลังช่วยผู้เป็นแม่มัดหญ้ากระเทียมขึ้นเป็นโครงโค้งอย่างแข็งขัน คลายออกบ้างหลุดบ้างตามประสาคนไม่เคยมือ นานครั้งจึงจะมีสักชิ้นที่พอใช้การได้แต่ก็ไม่ได้สลักเสลางามพอจะอวดใคร ขณะนั้นเองที่บานชื่นผินใบหน้าขึ้นจากที่กำลังสอนอยู่ เห็นหม่อมแม้นพิศเข้ามาในศาลา ฯ ก็รีบยกมือขึ้นไหว้ตามประสาคุ้นเคยนับถือ น้ำทิพย์เองก็ปฏิบัติตามอย่างสำรวม

คนสวมชุดลูกไม้สีชมพูกลีบบัวรับไหว้ด้วยเมตตา

"ลูกสาวแม่ชื่นหรือ หน้าตาจิ้มลิ้มเข้าที"

"ทิพย์น่ะค่ะคุณหญิง ปีนี้ก็สิบแปด"

"จำแทบไม่ได้ ไหนเงยหน้าขึ้นสิแม่หนู"

น้ำทิพย์เงยหน้าขึ้น ความตื่นเต้นโสมนัสทำให้เด็กสาวมัดหญ้ากับโครงลวดผิด ๆ ถูก ๆ จนหม่อมแม้นพิศสรวลขึ้นในความไม่ประสา

"มานี่สิ เดี๋ยวฉันสอนให้"

สองมือที่เล็กแต่เอิบอิ่มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว งานจำพวกนี้หม่อมเธอฝึกมาแต่เด็ก ฝีมือประดิษฐ์ประดอยจึงฉมังนัก ไม่นานมัดหญ้าแห้งก็เริ่มขึ้นเป็นโครงสวยงาม ดวงตากลมใสของสาวน้อยได้แต่มองตามด้วยความทึ่งและชื่นชมอย่างเปิดเผย

"หม่อมมาคนเดียวหรือเจ้าคะ" บานชื่นถามขึ้นขณะขึ้นโครงลวด

"มากับตาขวัญน่ะจ้ะแม่ชื่น คั่วทรายอยู่ทางศาลาด้านโน้น" แววตาที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจของผู้เป็นแม่ฉายไปยังเบื้องหน้า

น้ำทิพย์ไล่สายตาตามไปยังแผ่นหลังที่กว้างงามสง่านั้น แม้จะมองจากที่ไกลแสนไกล หากแต่รอยยิ้มธรรมชาติซึ่งแต้มแต่งใบหน้าสุขุมและคมคายอยู่นั้นกลับทำให้เด็กสาวต้องรีบงุดหน้าลงด้วยอาการขวยเขิน






ข้าวตอกดอกไม้เป็นประเพณีที่สืบทอดมาจากทางเหนือ กระจายสู่ท้องถิ่นต่างในภาคกลางรวมถึงภาคอื่น ๆ เป็นงานที่ต้องใช้แรงคนจำนวนมาก ชาวบ้านที่มาช่วยจึงมักต้องแบ่งงานกันไป งานที่ใช้แรงน้อยอย่างขึ้นโครงด้วยหญ้ากระเทียมหรือมัดโครงด้วยลวดและเชือกจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง ขณะที่ฝ่ายชายจะรับผิดชอบงานคั่วรวงข้างฟ่างกับทรายในกระทะให้ร้อนจนแตกเป็นข้าวตอกดอกไม้ด้วยใช้แรงไม่ใช่เล่นทั้งยังร้อนเหลือใจ

รวงข้าวฟ่างซึ่งหม่อมแม้นพิศเธอนำมาถวายนั้นอยู่ในวัยกำลังสาว ไม่อ่อนจนเกินไปเพราะจะทำให้คั่วแล้วไม่แตกออกเป็นช่อ และไม่แก่จัดเพราะจะทำให้ไม่มีความเหนียวจนหักและขาดได้ง่าย

ข้าวทุกรวงจากวังขัตติยพงศ์ล้วนถูกคัดมาเป็นอย่างดีจากนครสวรรค์และราชบุรีสื่อความตามคติที่ว่าเป็นพืชพรรณที่งอกเงยในเมืองแห่งสรวงสวรรค์และเมืองแห่งพระราชาตามลำดับ จึงบริบูรณ์พร้อมแก่การเป็นเครื่องบวงสรวงเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในงานมงคลพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นสำคัญ

ขวัญสรวงหยิบพลั่วขึ้นตักทรายที่ร้อนวางทับรวงข้างฟ่าง รอเวลาให้เมล็ดข้าวจะแตกดอกสวยโดยมีเยื้อนและเปี๊ยกเป็นผู้ช่วย ทำแบบนี้ไปทีละรวงจนครบร้อย ทรายที่คั่วไว้จะเริ่มดำจนต้องเปลี่ยน บ่าวทั้งสองอาสาลงแรงไปยกกระสอบใหม่มาลงใหม่ ชายหนุ่มจึงได้แต่จับเรียงรวงดอกไม้สีขาวที่ส่งกลิ่นหอมให้เป็นระเบียบ

ระหว่างที่ยังคงรออีกฝ่ายลำเลียงกลับมาจากหลังวัด ดวงตาสีดำขลับพลันหยุดมองที่ภาพซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศอันเป็นปรกติของวัดที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

รถยนต์โอลด์สโมบิลสีฟ้าอ่อนแล่นเรื่อยเรียบถนนกระทั่งเลี้ยวเข้าจอดที่ลานวัด แม้ว่ารถเครื่องจะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยง่ายในถนนย่านเจริญกรุง วังบูรพา หรือราชวงศ์ แต่สำหรับอำเภอบางกะปิที่ถือเป็นชั้นนอกของพระนครแล้วนั้น อย่าว่าแต่รถยนต์คันโตนำเข้าจากเมืองฝรั่งมังค่า กระทั่งรถยนต์ขนาดกะทัดรัดธรรมดาก็ถือได้ว่าหาได้ยากนัก จึงนับไม่ใช่การแปลกหากสายตาทุกคู่ในบริเวณนั้นจะจับจ้องไปยังรูปทรงเหลี่ยมโก้สีสวยที่เหมือนหลุดจากหน้าข่าวสังคมในหนังสือพิมพ์มาอวดโฉมอยู่ต่อหน้าในระยะไม่กี่วา

ขวัญสรวงจำรถยนต์คันนั้นได้ และจดจำผู้ชายร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีเข้มดูโก้เนี้ยบที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถได้เช่นกัน ผู้ชายคนนั้นคือ อธิป ผู้ประสงค์ซื้อที่ดินติดกับคฤหาสน์ขัตติยพงศ์เมื่อช่วงเดือนหกก่อนนั่นเอง

มือกว้างพาดพลั่วลงกับไม้ใหญ่ข้างศาลา ความที่พึงใจในชีวิตเรียบง่ายไม่เอิกเกริกและไม่ใคร่เอาตัวเองไปอยู่ในสังคมจนดูวุ่นวาย ชายหนุ่มจึงเดินเลี่ยงออกไปอีกด้านแทนที่จะขลุกรวมอยู่กับกลุ่มชาวบ้านที่ชะเง้อแง้มองผู้มาเยือนอย่างตื่นเต้น

ทว่าปลายเท้าทั้งสองข้างกลับต้องชะงักกึกเมื่อเห็นประตูอีกฝั่งที่เพิ่งถูกเปิดออกด้วยคนขับรถนั้นมีใครอีกคนที่ก้าวลงมา

เรียม

เรียมคนนั้นแต่งกายในชุดแฟชั่นแบบฝรั่ง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวงาช้างกับกางเกงขายาวสีเบจอ่อน ๆ มีสายซัสเปนเดอร์สีน้ำตาลเข้าชุดคาดจากสะเอวรั้งฉากกับบ่าสมส่วนทั้งสองข้างและสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลหุ้มข้อเข้าชุดกัน นอกจากผมเส้นละเอียดที่ถูกเสยขึ้นด้วยสีผึ้งจนเรียบ เผยให้เห็นกระโหลกที่ทุยโค้งรับกับเครื่องหน้าอันพิศพิลาสทว่าเรียบเฉยจนยากจะอ่านความรู้สึกแล้ว เจ้าของรูปร่างสมส่วนซึ่งเคลื่อนไหวราวกับคนที่ครอบครองเวลาทั้งหมดของโลกเอาไว้นั้นยังคงดูงามสง่าและมีรสนิยมกว่าผู้คนทั้งหมดที่ขวัญสรวงเคยเห็น

รถยนต์รุ่นล่าสุดที่แสนหรูหราแทบจะตีราคาเทียมเศษเหล็กในพริบตานั้น และบรรยากาศรอบตัวก็ดูเปลี่ยนไปเมื่อผู้เป็นเจ้าของดวงหน้ากระจ่างละม้ายไม่เคยต้องแดดเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าสำรวม ดูภูมิฐานเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ความเด่นสะดุดตานั้นเดินเคียงไปกับอธิปที่ในอุโบสถ ถอดรองเท้าและก้าวย่างอย่างเชื่องช้าเข้าไปด้านใน

ขวัญสรวงมองอธิปจุดธูปและส่งให้กับเรียมอย่างประคบประหงม นึกค่อนผู้ชายร่างสูงคนนั้นที่ปฏิบัติกับอีกฝ่ายเสียยิ่งกว่าสตรีผู้แสนบอบบาง ทะนุถนอมราวกับเป็นแก้วล้ำค่าที่พร้อมแตกสลายได้ทุกเมื่อก็ไม่ปาน

ขวัญสรวงเดินส่ายหัวไปกับภาพที่ไม่เห็นความน่าสนใจ ไม่ทันได้รู้สึกเลยว่าตนได้เดินเข้ามายังศาลาการเปรียญที่กลุ่มผู้หญิงกำลังมัดขดหญ้าแห้งขึ้นโครงกันตั้งแต่เมื่อไร กระทั่งเสียงของผู้เป็นมารดาดังขึ้น

"ชายขวัญ แม่อยู่ทางนี้ลูก"

ร่างสูงที่ถูกเอ่ยหลุดจากความเหม่อลอย มุมปากที่นิ่งสนิทยกหยักยิ้มให้กับหม่อมแม้นพิศ โดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้น้าชื่นที่นั่งอยู่เคียงกันด้วยเคารพในอาวุโส

"นี่ยังพูดถึงชายขวัญกันอยู่ แม่ชื่นเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ลูกหาเต็มเมืองแล้วหรือเรา"

"มิได้ครับหม่อมแม่" คนตัวใหญ่เอ่ยตอบ ดวงตาวาดประกายรอยยิ้มสุขุมชวนมอง ขวัญสรวงนั่งขัดสมาธิกับพื้นข้าง ๆ กับน้ำทิพย์ พอหันไปยิ้มให้อีกคนที่นั่งใกล้ สาวน้อยก็ยิ้มตอบอย่างสำรวม

น้ำทิพย์ขยับวงขาที่นั่งพับเพียบให้แคบลง เก็บชายผ้าที่ปลายซิ่นไม่ให้เกะเกะผู้ชายตัวโตที่นั่งเสมอพื้นกับตนอย่างไม่ถือวรรณะที่สูงกว่า

"เจ้าเทพลูกชายน้ามาเอาขลุ่ยมาเป่าอวดน่าดู พอเริ่มฟังเป็นทำนองปุ๊บ พ่อเจ้าประคุณก็เป่าได้ทั้งวันจนปวดหู"

"ตายจริง" หม่อมแม้นพิศสรวลขึ้นอย่างนึกเอ็นดู

ขวัญสรวงได้แต่ยิ้มรับ ทว่าแววตาคมกลับจ้องไปที่ยังลานวัดนอกศาลา ฯ  ด้วยความนึกครั่นคร้ามสงสัยในชายหนุ่มสังคมผู้มาเยือนทั้งสองคน

ไม่นานนักร่างสูงของอธิปเดินก้าวออกมาจากด้านในโดยไร้วี่แววของผู้ที่มาด้วยกัน แววตาคมที่คอยสังเกตอยู่นานสองนานถึงหันไปมองที่อุโบสถใหม่โดยด้วยความฉงน

"มีอะไรหรือขวัญ"

คนตัวใหญ่สะดุ้งแต่ยังเก็บอาการไว้ได้อย่างเงียบเชียบ

"เปล่าครับ แค่มองอะไรเพลิน ๆ"

บานชื่นที่ฟังอยู่ส่งยิ้มให้ชายหนุ่มตัวโตที่นั่งขัดสมาธิหลังตรง

"ทิพย์บอกน้าว่าคุณชายขวัญชอบแกงเทโพหรือจ้ะ ย่างหน้าฝนผักบุ้งงามน้าจะได้แกงฝากทิพย์ไปให้"

"ครับ" เสียงทุ้มขรึมตอบ ทว่านัยน์ตากลับยังคงสอดส่องหาใครคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ในอุโบสถไม่เลิกลา และเมื่อจนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย อาการที่เคยสงบสุขุมก็เริ่มดูลุกลี้ลุกลน

"ครับนี่อะไรชายขวัญ มองอะไรนี่เรา ตอบให้ดี ๆ"

ขวัญสรวงยิ้มอ่อน ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมานั่งนิ่งแต่โดยดี

"ผมว่าห่อหมกปลาช่อนนาของน้าชื่นอร่อยมากครับ"

หม่อมแม้นพิศ บานชื่น และน้ำทิพย์หันกลับมามองหน้ากันด้วยความงุนงง กระทั่งคนที่อาวุโสสุดยกมือขึ้นตีที่หลังมือของคนตัวโตเบา ๆ อย่างนึกคลางแคลง ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นบุตรชายที่สุขุมเยือกเย็นดูหลุกหลิกแบบนี้

"แม่ชื่นเขาถามถึงแกงเทโพ ไม่ใช่ห่อหมกปลาช่อนนา"

คนเพิ่งรู้สึกตัวชะงักจนนิ่งเงียบ ได้แต่ระบายรอยยิ้มตัวเองกลบเกลื่อน

"เพิ่งทานเมื่อวันก่อนครับ"

"จริงสิ พอดีเมื่อวันก่อนชื่นเพิ่งทำห่อหมกปลาช่อนนาไปให้คุณชายเธอลองทานดูน่ะค่ะ พี่ทิดแกได้ปลาช่อนตัวโตมา ใบยอที่ท้ายคลองก็แตกยอดอ่อน" บานชื่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

คุณหญิงแม้นพิศเขม้นมองบุตรชายที่เอาแต่นั่งนิ่งแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยอ่อนใจ

"ว่าแต่ชายเดินมาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าจะมาเหล่สาวคนไหน บอกแม่มานะ"

คำถามนึกสนุกของสตรีร่างท้วมทำเอาเด็กสาวที่นั่งพับเพียบอยู่เคียงข้างถึงกับประหม่า หัวไหล่เล็ก ๆ ของน้ำทิพย์คล้ายหดงุ้มลง ปลายนิ้วทั้งสิบถักสานต่ออย่างไม่กล้าส่งเสียง

ผิดกับเจ้าของหัวไหล่กว้างที่นั่งผึ่งผายเหยียดตรงซึ่งอยู่เคียงกัน

"มิได้ครับ แค่เดินมาดูหม่อมแม่"

ขวัญสรวงตอบเสียงเรื่อย กวาดตาที่เต็มไปด้วยคำถามไปทั่ว กระทั่งได้พบกับคำตอบเมื่ออีกฝ่ายลัดร่มชายคาตามแนวกุฏิศาลามายืนเก้งก้างอยู่ที่หน้ากระทะคั่วทราย ดวงตาสีดำขลับจึงฉายแววโล่งใจก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่คนซึ่งสวมกางเกงสีน้ำตาล คอยจับจ้องอย่างนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรต่อไป




คนเก้งก้างไม่รู้จะทำอะไรที่ว่ากำลังยืนหลังตรง จ้องมองกระทะที่เริ่มระอุร้อนตรงหน้า ใบหน้าชวนมองแลซ้ายขวาคอยดูว่าคนที่เหลือทำอะไร แต่ทุกคนก็ดูจะสนใจกับงานตรงหน้าของตนเอง

ลังเลชั่วครู่ มือสมส่วนก็เอื้อมไปหยิบข้าวฟ่างขึ้นมาหนึ่งกำมือก่อนจะตัดสินใจวางลงไปบนทรายที่ร้อนจนเป็นไอ มองกระทะที่อยู่ข้าง ๆ แล้วย่อตัวลงยื่นหน้าเข้าไปมองเสียจนใกล้




เดี๋ยวก็ได้ประทุใส่หน้าเอาหรอก

ขวัญสรวงได้แต่ไหวศีรษะไปมาแล้วพูดกับตัวเองขณะที่มองอีกฝ่ายซึ่งยังคงจ้องมองเมล็ดข้าวฟ่างที่คั่วอยู่บนทรายร้อนจัดอยู่แบบนั้นโดยไม่คิดถอยหนี

ร่างผึ่งผายนั่งกอดอก หันมาสนใจกับหัวข้อสนทนาที่อยู่ตรงหน้า ช่างปะไร เดี๋ยวผู้ดูแลก็คงจะรีบแจ้นมา ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเสียขนาดนั้น

"เจ้าเทพติดคุณชายขวํยเหลือเกิน อะไร ๆ ก็คุณชายมาก่อนเสียทุกที น้าจะรบกวนฝากให้คุณชายช่วยอบรมดูแลน้องทีจะได้ไหม"

"ครับ"

ความที่เป็นคนมีน้ำใจอารี ขวัญสรวงรับปากแบบไม่อิดออด แม้จะดูนิ่งสงบเป็นปรกติ และไม่สนใจอะไรมากกว่าเรื่องราวที่ผู้เป็นแม่กำลังคุยอยู่กับน้าบานชื่น ทว่าความคิดกลับลอยไปหาเด็กหนุ่มที่ดูเงอะเงิ่นคนเดิม คิ้วเข้มของขวัญสรวงขมวดขึ้นช้า ๆ อย่างแน่นเหนียวละม้ายว่าจะไม่ยอมคลายออกได้ง่าย ๆ

ป่านนี้จะมีคนเตือนบ้างหรือยังนะ

อดรนทนไม่ไหว คนหน้าตึงก็หันกลับไปมองต้นเหตุแห่งความกังวลเสียรู้แล้วรู้รอด จริงดังคาดเมื่อดวงหน้าที่งามหมดจดนั้นยังคงจ้องมองเมล็ดข้าวสีเหลืองนวลหลายรวงในกระทะอย่างใจจดจ่อเช่นเดิม ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่ามันอันตรายแค่ไหน

เดี๋ยวคงจะร้อนจนถอยออกมาเองนั่นละ เสียงในใจของขวัญสรวงพูดแบบนั้น

"ขอบใจคุณชายมากนะที่เมตตาเจ้าเทพ ทิพย์ขอบคุณหม่อมท่านกับคุณชายด้วยเสียสิลูก"

"ขอบพระคุณหม่อมท่านมากค่ะ" น้ำทิพย์พนมมือไหว้นอบน้อม จากนั้นก็ขยับตัวหันมาทางขวัญสรวงแล้วกระพุ่มมือขึ้น พวงแก้มปลั่งเป็นสีชมพูระเรื่อ

"ขอบคุณคุณชายมากค่ะ"

จู่ ๆ ขวัญสรวงก็ขยับตัวลุกขึ้นจนหม่อมแม้นพิศตกใจ

"มีอะไรหรือชายขวัญ"

"เดี๋ยวผมมานะครับ"

พูดจบขวัญสรวงก็รีบเดินออกไป หม่อมแม้พิศและบานชื่นมองตามอยู่สักพักเมื่อเห็นว่าร่างสูงตรงไปที่กลุ่มผู้ชายที่คั่วทรายอยู่ก็ไม่รู้สึกติดใจอะไร ทั้งสองหันกลับมาพูดคุยเรื่องที่ค้างไว้ต่อ

น้ำทิพย์ค่อย ๆ ลดมือทั้งสองข้างลง เด็กสาวได้แต่มองตามชายหนุ่มที่ผลุนผลันออกไปด้วยอาการเก้อระคนแปลกใจ





+++++++++++++++++++++++++





จริงๆ แล้วตอนที่สองจะต้องยาวกว่านี้ แต่ไม่ไหวแล้ว เยอะมาก
ขออนุญาตหั่นตอนเป็นสองตอนย่อยแล้วกันนะครับ
การเดินเรื่องของเรื่องนี้จะเรื่อยเอื่อยตามประสาพีเรียดหน่อยนะครับ
สำหรับคนที่รอน้องเรียมอยู่ ใจเย็นนิดนึงนะครับ ตอนหน้าเรียมจะพูดขึ้นอีกนิดละ 55555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกัน ฝากแนะนำคอมเมนต์เสนอแนะด้วยนะครับ ^ ^

อนุญาตแจ้งข่าวเรื่องนังแม็กซ์สำหรับคนที่ตามอยู่หน่อยนะครับ
พอดีพิมพ์ตอนใหม่ไปแล้วแต่คอมเครื่องนั้นมีปัญหา เปิดแล้วชอบดับ
เดี๋ยวขอแบกไปซ่อมก่อนนะครับ เสร็จแล้วจะรีบมาอัพแน่นอน
เรื่องของเรื่องคือขี้เกียจพิมพ์ใหม่นั่นเอง แอบเสียดาย 55555

พบกันสัปดาห์หน้าเนอะ พยายามจะรักษาระดับการอัพประมาณนี้ไว้ครับ :D
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lactobacillus_casei ที่ 29-09-2014 23:47:44
พี่ขวัญหลุกหลิก พี่ขวัญหึงใช่ไหมมมมมม

เรียม เรียมน่ารัก หลงเรียมแม้ตอนนี้จะไม่บทพูดใดๆ ตอนที่แล้วแล้วก็นับคำได้ 5555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 30-09-2014 06:12:40

สวัสดีคุณพี่ค่ะ เพิ่งได้เข้ามาอ่าน  :กอด1:

เป็นนิยายที่ละเมียดละไมจนน้องเม้นต์ไม่ถูกกันเลยทีเดียว   :o8: งั้นยกยอดรอเม้นต์นังแมกซ์ละกัน 555  :z2:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 30-09-2014 22:37:50
คือชอบอะ คือใช่อะเรื่องนี้ มันละมุนละม่อม มันหวานหอมดอกจำปี กริ้ดดดดค่ะกริ้ดดดด


ชอบเรื่องราวสบายค่ะ ใสๆน่ารักค่อยเป็นค่อยไปเนอะ ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 01-10-2014 09:49:49
พี่ขวัญหึงอะเดะะะะะะ
รีบไปดูแลเล้ยยยย
แต่ทิพย์คิดไปไกลละม้างง
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 01-10-2014 11:07:50
เฮ้ยยยยยยย น่ารักกก เรียมโมเอะมากกกกกกกกกกกกกกกก
พี่ขวัญรีบไปดูเลย ไม่รู้ข้าวดีดใส่หน้าเรียมรึยัง
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 03-10-2014 17:36:48
ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบชายขวัญ
อยากถลาไปซบอกคุณชายจริงๆ เลยค่ะ
ชอบผู้ชายที่มีบุคลิคอบอุ่น อ่อนโยน ขี้เล่นนิดๆ แบบนี้ โอ้ยย ก๊าววว

เหมือนนั่งมองภาพวาดสีน้ำจริงๆ นั่นแหละ
ตอนนี้หนูเรียมดูน่ารักนะคะ >_<
ถึงจะยังไม่มีบทพูดอะไร แต่ตอนใส่ข้าวฟ่างลงบนทรายร้อนแล้วนั่งมองนี่คือ..
ให้ความรู้สึกแบบ ไร้เดียงสามากกก ลืมมาดนางพญา(?)ที่สร้างเอาไว้เลย 5555
น่ารักมากจริงๆ ค่ะ

รอตอนหน้าน้า  :o8:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 03-10-2014 21:20:23
ติดเรื่งนี้นะคะ นักเขียนขา รีบมาต่อน้าา ชอบจังเลย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-10-2014 22:41:52

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSa1x-fc3_JCNDVX-OaOANKKbjIZzOq23n1F1pTsAFMAFhj0rbF0Q)

มาจองที่คะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๑ ♫ ♬ ♪ (๒๙ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 05-10-2014 11:40:20
น่าติดตามมากเลยค่ะ

อยากรู้จริงๆว่าน้องเรียมคิดอะไรอยู่

ชอบที่ชายขวัญแทนตัวเองว่าพี่แล้วเรียกน้องเรียมว่าน้อง ฟินมากค่ะ 55555

ไม่ทันไรชายขวัญก็หึงน้องเรียมละ รีบมาต่อนะคะนะคะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 05-10-2014 22:03:27
ตอนที่ ๓




ดวงตาใหญ่กลมจ้องมองรวงสีเหลืองสุกตรงหน้าด้วยอาการใคร่สงสัยความที่เติบโตและร่ำเรียนอยู่ยุโรปแต่เยาว์ ทั้งมารดาผู้เป็นดั่งครูคนแรกยังเป็นฝรั่งตาสีน้ำข้าวทำให้เรียมลลิตรไม่ประสากับขนบจารีตของแผ่นดินไทยนัก ชายหนุ่มไม่เคยเห็นดอกไม้ที่เกิดจากการคั่วข้าว ไม่รู้จักกระทั่งข้าวรวงที่สุกร่วงเมื่อเหลืองสวย กระทั่งใบเขียวเรียวของต้นข้าว มือขาวที่ดูคล้ายจะบอบบางนักก็ไม่เคยต้องสัมผัสมาก่อน

ชีวิตแม้จะได้ผ่านพบสิ่งที่ชาวบ้านร้านช่องไม่ใคร่ได้โอกาสเห็นจนกลายเป็นความสามัญปรกติ แต่กับสิ่งธรรมดาที่ใคร ๆ ต่างรู้จักกลับกลายเป็นของให้กระตือรือร้นสำหรับชายหนุ่มร่างประเปรียว เมล็ดข้าวที่คั่วจนแตกดอกขาวดูงามประหลาด ทั้งกลิ่นอ่อน ๆ ของดอกข้าวตอนสุกก็ช่างหอมแปลกนัก หลังพิเคราะห์รอบข้างอยู่พักใหญ่ เจ้าของดวงหน้างามพิสุทธิ์ก็มั่นใจว่าตนเองน่าจะพอทำได้

แววตาสีน้ำตาลเข้มแลใสกระจ่างยามได้หยิบจับสิ่งเล็กสิ่งน้อย พวงแก้มใสก็เริ่มปลั่งจนกลายเป็นสีชมพูจัดด้วยไอร้อนจากทรายคั่วจนขึ้นสี ผ่านมาหลายนาทีแต่รวงข้าวนับสิบกำกลับไม่มีทีท่าจะแตกดอกสวยเหมือนคนอื่น กระทั่งเรียมลลิตรผู้ไม่ประสาลองยื่นมือไปแตะให้คลายสงสัย พลันร่างกายก็ลอยหวือเหมือนถูกพระพายหอบ กว่าจะรู้สึกตัวก็ยืนอยู่ในวงแขนของใครคนหนึ่งเสียแล้ว

"อย่าเข้าไปใกล้แบบนั้น"

เสียงกังวานลึกกระซิบที่ข้างหู และเมื่อชำเลืองกลับก็สบกับดวงตาสุขุมดำขลับจับจ้องอยู่ประชิดไม่วางตา เรียมลลิตรได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ สักพักดวงหน้านวลกระจ่างก็ให้หลุบลงอย่างนึกขวย

"ไม่เจ็บอะไรใช่ไหม" ร่างที่หนากำยำกว่าครึ่งเอ่ยถาม

ศีรษะของคนในอ้อมอกเพียงแค่ไหวน้อย ๆ แทนคำตอบ

"ดีแล้ว"

ขวัญสรวงผ่อนลมหายใจเหมือนโล่งอก หมดห่วงว่าอีกฝ่ายไม่บาดเจ็บอะไรก็คลายวงแขนทั้งสองข้างออก เดินผละออกไปหยิบเอาพลั่วที่อิงไว้ใต้ร่มไม้ตักรวงข้าวซึ่งเริ่มไหม้ออกจากเม็ดทรายสีดำเข้ม

"แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่"

คนตัวโตตั้งคำถามกับเจ้าของพวงแก้มปลั่งนวลที่ปั้นหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย แปลกที่ชายหนุ่มกลับเห็นความตื่นเต้นอ่อนเดียงสาระคนอยู่กับแววแห่งความดื้อดันเอาแต่ใจในความนิ่งเฉยคล้ายปั้นปึ่งนั้น

"ผมอยากลองทำดู"

เรียมลลิตรค่อย ๆ พูดทีละคำ

"แล้วทำเป็นหรือ"

สิ้นคำถาม ใบหน้าที่งามเหมือนกุหลาบยามแรกแย้มพยักลงน้อย ๆ เอ่ยชัดถ้อยชัดคำเป็นการยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิด

"คิดว่าคงพอทำได้"

ดวงตาเข้มคมพินิจรวงข้าวที่เพิ่งตักออกมาจากเตาร้อน แต่ละช่อแลกระดำกระด่างเหลือ แดกดอกบ้างไม่แตกดอกบ้างให้อ่อนใจ

"ทรายมันดำแล้ว ต้องรอเปลี่ยนก่อน"

"อย่างนั้นหรือ"

จากรวงข้าวนับสิบที่เพิ่งถูกตักขึ้นมา ขวัญสรวงสุ่มหยิบรวงหนึ่งแล้วชูขึ้น

เรียมลลิตรค่อยย่อตัวลงมองรวงข้าวที่แตกดอกชนิดขาด ๆ เกิน ๆ ส่วนของดอกที่แตกออกก็สีหมองไม่นวลกระจ่างแบบคนอื่น ยิ่งมองก็ยิ่งคร้านให้นึกละอาย

"ทำไม่เป็นก็น่าจะถาม" คนตัวใหญ่เอ่ยเสียงเนือย

"ถามได้หรือ? แล้วถามใคร?"

คนที่รวบเอารวงข้าวทั้งหมดออกจากกระทะนั้นส่ายหัวอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองรอบตัว ตั้งใจจะกวักมือเรียกใครสักคนมาช่วยอธิบาย หากแต่ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นต่างก็พาลยิ้มแหย ไม่ก็ก้มหน้าทำงานแสร้งไม่รู้ไม่เห็นกลบเกลื่อน โดยพร้อมเพรียง ไม่มีใครกล้าตีเสมอมาคุยกับอีกฝ่ายที่ดูเป็นหนุ่มสังคมภูมิฐานทุกกระเบียดขนาดนั้น

เห็นแล้วคุณชายขัตติยพงศ์ก็จำต้องถอนความคิดตนเก็บลงหีบพับไว้

"คนที่มาด้วยกันเขาไม่ได้บอกให้ฟังหรือ"

"ไม่ใช่ว่าไม่บอกหรอก เราพูดคุยกันเยอะแต่อธิปไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้"

คนฟังขึงตามองเจ้าเสียงเรียบช้าที่แช่มชื่นขึ้นทันตา สองมือหยิบรวงข้าวคั่วแตกดอกขึ้นมาดูใกล้ ๆ อย่างสนอกสนใจ

"นี่เรียกอะไรหรือ"

"เขาเรียกว่าข้าวตอกดอกไม้" ขวัญสรวงตอบเสียงขุ่น

"ข้าวตอกแบบที่เป็นขนมหรือ"

"ทำนองนั้นกระมัง"

"ทานได้ไหม"

"อย่าดีกว่า"

"ข้าวโพดคั่วแบบฝรั่งยังทานได้"

"ข้าวพวกนี้คั่วกับทราย มันสกปรก"

ใบหน้างามพิลาสคล้ายภาพวาดนั้นนิ่งไปนานจนขวัญสรวงเหลือบมองด้วยความฉงนกระทั่งริมฝีปากอิ่มเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วนิ่ง

"ผมทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า"

คนตัวโตชะงักงันกับถ้อยคำเรียบ ๆ ที่เปรยขึ้นอย่างไม่คิดฝัน เสียงผะแผ่วที่เจือด้วยแววตัดพ้อนั้นช่างจี้จุดกระด้างในใจของขวัญสรวงจนอ่อน

หากถามว่าขวัญสรวงรู้สึกรำคาญใจหรือเปล่าที่ต้องมาคอบตอบคำถามแบบนี้ ชายหนุ่มพร้อมจะตอบโดยไม่คิดลังเลว่าเปล่า ติดจะปราโมทย์ด้วยซ้ำที่เห็นอีกฝ่ายตั้งใจใฝ่รู้ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะกับใครน้ำใจและความจริงใจของคุณชายขัตติยพงศ์ก็ล้วนอยู่ในการแสดงออกอย่างเปิดเผย แต่หากถามว่าไม่พอใจตรงไหน ชายหนุ่มกลับตอบไม่ถูก

ตอบไม่ถูกเสียจริง ๆ

"ใช่อย่างนั้นเสียเมื่อไร"

ผู้ชายตัวโตพูดแล้วก้มหน้านิ่ง ไม่คิดต่อคำ สองมือรวบรวงข้าวที่เสียแล้วฝัดเมล็ดให้ร่วงออก แยกเอาไว้คั่วทำดอกไม้โปรยหน้าอุโบสถพิธีอย่างขมักเขม้น

พระอาทิตย์ค่อย ๆ ขยับขึ้นสู่จุดสูงสุดบนท้องฟ้า นกกระจิบตัวน้อยส่งเสียงจุ๊บจิ๊บสลับเสียงอึงอลของชาวบ้านที่มาช่วยงานบุญที่วัดจนเนืองแน่นเหมือนบทเพลงที่บรรเลงซ้ำ ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นท่วงทำนองใหม่ ใต้ร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านกำบังแดดริมศาลาโปร่ง เสียงหนึ่งซึ่งแว่วเทียมสายลมก็ดังขึ้นอย่างที่ใครอาจไม่ทันสังเกต

"พี่สอนให้ไหม"

เรียมลลิตรเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาที่แฝงด้วยแววปิติ

"จะไม่รบกวนหรือครับ"

ใบหน้าสุขุมของคุณชายขัตติยพงศ์ไหวเบา ๆ จนแทบไม่รู้สึก

"ไม่หรอก" ขวัญสรวงตอบเสียงเรียบเรื่อย "ถ้าไม่รีบไปไหน พี่จะสอนให้"

พูดจบก็ก้มหน้ากอบเมล็ดข้างฟ่างที่ร่วงจากรวงขึ้นใส่กระจาดสานด้วยไม้ไผ่ ไม่รู้สึกยินดียินร้าย เอ่ยแล้วก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยให้ติดใจ






หลังจากช่วยท่านเจ้าอาวาสดูท่อน้ำที่รั่วอยู่จนพลอยเสียเวลาไปนานนม บริวารทั้งสองที่หายไปนานสองนานก็เข็นกระบะทรายกลับมาด้วยอาการเร่งรีบ ถึงศาลาได้เห็นผู้เป็นนายกำลังอธิบายชายหนุ่มท่าทางดูภูมิฐาน แต่งกายด้วยชุดฝรั่งดูเนี้ยบ สะอาดหมดจดก็ค่อยย่องสำรวมอย่างรู้เวลา

"มาแล้วหรือ เอาขึ้นไฟเลย"

ได้ยินคำสั่ง คนเป็นบ่าวก็กุลีกุจอแข็งขัน เสร็จแล้วก็ให้ถอยไปยืนอยู่ด้านหลัง คอยดูว่าผู้เป็นนายจะเรียกหาอะไร

"ใครวะเปี๊ยก งามสง่ายิ่งนัก ท่าทางเธอก็ดูเป็นผู้ดี ฝรั่งรึ?"

"ข้าก็ไม่รู้ ในพระนครก็ไม่เคยเห็นใครเทียม คนอะไรอย่างกับตุ๊กตา"

"จริงของเอ็ง ยิ่งอยู่กับคุณชายขวัญยิ่งเด่น สง่าโก้ไปคนละแบบ" เยื้อนเอ่ยพลางชะเง้อมอง พึมพำเหมือนกับจะพูดกับตัวเอง

"งามอย่างกับภาพวาด"

ใช่เพียงแต่เยื้อนและเปี๊ยก ชาวบ้านคนอื่น ๆ ในละแวกนั้นก็ต่างลอบมองชายหนุ่มทั้งสองด้วยความชื่นชม เค้าความสุขุมสง่าของคุณชายขัตติยพงศ์เธอนั้นมีมาแต่เดิมอยู่แล้ว หากแต่ความคุ้นเคยนั้นทำให้กลายเป็นความชินตา แต่เมื่ออยู่กับท่านชายที่ดูงามประหลาดท่านนั้น ความชินตานั้นก็กลายเป็นความสะดุดตาขึ้่นมาทันที โดยเฉพาะรอยยิ้มที่เยื้อนแย้มอยู่ในดวงตาหวานสีน้ำตาลเข้มของบุรุษแปลกหน้าที่ไม่มีใครรู้จัก

งามจนคนที่ได้เห็นต่างก็อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มตามด้วยความชื่นชม

ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชายตัวสูงที่เป็นผู้สนทนาด้วย

"เลือกเอาที่ต้นสวย ๆ ครับ"

มุมปากของขวัญสรวงยกขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่เอาแต่เขม้นมองรวงข้าวราวกับจะสำรวจไปทีละเม็ด

"เลือกเป็นไหม"

ใบหน้านิ่งเฉยไม่ยินดียินร้ายตามขนบผู้ดีเพียงไหวเล็ก ๆ เคอะเขินด้วยที่เลือดในกายมีความเป็นไทยของผู้เป็นบิดาอยู่ถึงครึ่งแต่กลับไม่ประสาเพียงนี้

"คิดว่าเป็น"

"เป็นก็เป็น"

คนที่คุ้นเคยกับกิจกรรมนี้ดีลอบยิ้มขณะที่ย่อตัวนั่งลงเคียงกัน ใบหน้าคมขรึมขยับเข้ามาใกล้ อธิบายช้า ๆ เป็นขั้นตอน

"เวลาเลือก เลือกเอารวงที่กำลังดี ข้าวเต็มรวง ไม่แน่นนักแต่ก็ไม่ร่วงจนดูน้อย ทำออกมาจะได้สวย"

"ใครก็รู้ แต่มันคล้ายกันไปหมด"

นิ้วมือยาวเรียวเหมือนวาดก็หยิบจับรวงข้าวแต่ละต้นช้า ๆ พินิจพิเคราะห์ พยายามจะหาต้นที่ดีที่สุดไม่ให้เสียชื่อ กระทั่งฝ่ามือหนาของคนตัวโตที่นั่งข้าง ๆ ทาบทับลงบนหลังมือแล้วรวบรัดหยิบขึ้นมาต้นหนึ่ง

"ต้นนี้กำลังดี"

อีกครั้งที่ยามชำเลืองกลับก็ให้พบกับดวงตาเข้มขรึมที่มองจ้องอยู่ในระยะที่ห่างเพียงคืบ

"ค่อย ๆ วางลงบนทราย" ขวัญสรวงกล่าวหน้านิ่ง

ร่างประเปรียมหันกลับไปสนใจกับสิ่งตรงหน้า คำเตือนครู่ก่อนให้ระวังของร้อน เรียมลลิตรจึงรั้งมืออย่างระมัดระวัง

มีหรือที่คนเอ่ยเตือนจะไม่สังเกตเห็น?

"กลัวร้อนหรือ?"

เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เจ้าทฤษฎีก็วิสาสะโอบประคองมือขาวละออนั้นให้เคลื่อนไปบนกระทะช้า ๆ กดนิ้วมือให้ลงต้นหนึ่งและหยิบอีกต้นมาวางเคียงกันในตำแหน่งพอเหมาะกระทั่งสำเร็จ

"ขอบคุณครับ"

ได้ยินเสียงหวานเรียบ ขวัญสรวงก็พยักหน้าขรึม เอื้อมมือไปหยิบพลั่วมาเขี่ยทรายจากด้านข้างขึ้นมากลบรวงข้าวจนมิด

"ทำแต่น้อยช่อจะสวยกว่า แต่ละครั้งต้องรอจนข้าวแตกออกจากเปลือกสักสิบนาที โชคดีเราได้กระทะใหญ่ ทำทีละสองต้นก็ได้"

"จนกว่าจะหมดนั่นหรือ"

ร่างสูงกำยำส่ายหน้า "จนกว่าจะได้หมื่นช่อ"

"มากจัง"

ขวัญสรวงหยักยิ้มให้กับน้ำเสียงเรียบเรื่อยที่แฝงด้วยความประหลาดใจ

"นี่เป็นงานใหญ่ ไม่ได้มีบ่อย งานบุญคราวนี้ชาวบ้านถึงมาลงแรงช่วยกันล่วงหน้าเป็นสัปดาห์เพื่อให้ทัน นี่ก็น่าจะได้หลายพันแล้ว"

ดวงหน้าที่งามพยักช้าเนิบรับ ครุ่นคิด

"คนถึงเยอะนัก"

แสงแดดทอกระจ่างทั่วฟ้า ลอดร่มไม้เป็นสายสีเหลืองอ่อนตกกระทบใบหน้าคมคายที่ดูไม่ใส่ใจกับผู้คนที่ขวักไขว่เฉกเช่นอีกคนที่คอยแต่เมียงมองพิจารณาไปทั่ว ขวัญสรวงนิ่งสงบ วางแววตาอันอ่อนละไมแบบไม่บ่อยนักที่ใครจะได้เห็นลงบนสีชมพูอ่อนของริมฝีปากที่เรียบเป็นเส้นตรงเบื้องหน้า

"เขาเชื่อว่าทำบุญร่วมกันก็จะได้เกิดมาร่วมกุศลกันทุกชาติไป"

พูดจบก็สบกับดวงตาสีอ่อนที่กำลังแย้มยิ้มน้อย ๆ ในดวงตา






ลมพัดโกรกไอร้อนของแดดเข้ามาในร่มจนอ้าว คนที่นั่งหลังตรงตลอดเวลากำลังลืมกิริยาเรียบเฉยไปเสียสนิท แผ่นหลังสมส่วนโน้มมาข้างหน้า หัวไหล่ก็งุ้มงอขณะแลมองดอกไม้สีขาวจากฝีมือตัวเอง สีหน้าแม้อาจจะนิ่งเฉยทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นมีประกายแห่งความพอใจนัก

"ขอกลับไปสักช่อได้ไหม"

รอยยิ้มบางจนแทบไม่รู้สึกติดอยู่ที่ริมฝีปากสีกลีบบัว

"จะเอากลับไปทั้งสองช่อก็ได้ ข้าวยังมีเหลือเฟือ" ขวัญสรวงตอบ อดไม่ได้ที่จะยิ้มกับภาพแห่งความกระตือรือร้นที่เห็น

"แค่ช่อเดียวก็พอ อีกช่อตั้งใจว่าจะทำบุญถวายวัด"

จากรอยยิ้มที่ยกขึ้นเพียงมุมปากค่อย ๆ คลายออกจนกลายเป็นรอยยิ้มที่ไม่แอบซ่อนและตรงไปตรงมา

สำหรับขวัญสรวงแล้ว ผู้ชายที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกคนนี้เป็นคนที่แปลกนัก ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าคำพูดหรือคำถามที่เอ่ยจากน้ำเสียงที่แทบจะราบเรียบตลอดเวลานั้นเป็นแบบไหน ไม่ใช่แค่คำพูด การกระทำก็ไม่ต่าง ไม่มีอะไรคาดเดาได้ และอาจจะเป็นสิ่งนี้ที่ทำให้คุณชายขัตติยพงศ์คอยเฝ้าสังเกตสังกาอีกฝ่ายอยู่ตลอด

"ขอบคุณครับพี่ขวัญ"

คนตัวโตชะงักไปหลายอึดใจ ก่อนเสียงลึกกังวานจะเอ่ยขึ้นว่า

"ไม่เป็นไรครับ น้องเรียม"

ขวัญสรวงหันไปหยิบข้าวรวงใหม่ขึ้นไปวางบนเตาแล้วตักทรายกลบ กิริยาเร่งรีบที่ประหลาดเทียมกันนั้นแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจ



(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 05-10-2014 22:07:21
(ต่อครับ)




เสร็จธุระแล้ว อธิปก็เดินหาร่างประเปรียวที่หายไปจากสถานที่ที่นัดไว้ไปทั่ววัด จากอุโบสถไล่ไปตามศาลาต่าง ๆ ที่รายเรียงกระทั่งเห็นเจ้าของดวงหน้าพริ้มเพรากำลังหยิบข้าวฟ่างวางลงบนกระทะ

แม้จะเป็นภาพที่ให้ประหลาดใจยิ่งนัก แต่ความเป็นกังวลนั้นมีมากกว่า

"อยู่ที่นี่เองหรือครับ"

อารามรีบร้อนทำให้เพิ่งสังเกตเห็นร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ อธิปยกมือไหว้ชายหนุ่มเจ้าของที่ติดกับผืนดินซึ่งเจรจาอยู่ เขารู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี รู้ก่อนที่จะได้พบหน้าจริงในวันที่มีรังวัดและระวังชี้เมื่อสองเดือนก่อน ชื่อของ ม.ร.ว. ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ บุตรชายเพียงคนเดียวของ ม.จ. เขียนนิรมิต อธิบดีในกระทรวงกลาโหมกับหม่อมแม้นพิศนั้นเป็นที่เลื่องลือพอสมควร ทั้งความสามารถด้านการดนตรี หรือแม้แต่ความคมคายของสติปัญญาที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปร่างหน้าตา แม้จะมีเพียงส่วนน้อยที่ได้พบเห็นด้วยไม่ใคร่สมาคมกับใครดั่งลูกผู้ดีคนอื่น ๆ แต่ส่วนน้อยที่ว่าต่างก็พูดต่อกันจนกลายเป็นเสียงของผู้คนทั้งพระนคร

ไม่คิดว่าจะบังเอิญจะมาพบในอำเภอชั้นนอกแบบนี้

"มาติดต่อเรื่องที่หรือครับ" ขวัญสรวงเอ่ยทักในตอนที่รับไหว้

"ครับ แต่ยังตกลงเรื่องราคากันไม่ได้"

อธิปตอบพลางย่างเท้าเข้ามาใกล้คนที่ตามหาอยู่ พลันสายตาก็สะดุดกับสิ่งที่อีกฝ่ายถือในมือ อากัปกิริยาที่ดูปิติแตกต่างจากทุกครั้งทำให้ชายหนุ่มนึกแปลกใจ

"นั่นอะไรครับ"

"ข้าวตอกดอกไม้ สวยไหมอธิป" เรียมลลิตรตอบช้าเนิบ

เห็นรอยยิ้มแย้มพรายในแววตาสีอ่อน ชายหนุ่มก็พลอยยิ้มตาม

"สวยครับ"

ขวัญสรวงไม่ใคร่ใยดีกับว่าที่ผู้เป็นเพื่อนบ้านเท่าไรนัก ยังพึงใจกับชีวิตสงบสันติของตนเองมากกว่าจะข้องเกี่ยวกับชีวิตเอิกเกริกแบบหนุ่มสังคมสมัยใหม่ แม้จะมีเพื่อนฝูงในแวดวงอยู่มาก หากแต่คุณชายขัตติยพงศ์ก็เลือกที่จะผูกมิตรสนิทด้วยเพียงไม่กี่คน

ร่างสูงเบี่ยงตัวออกมาทิ้งระยะ ใบหน้าคมสันพยักหน้าเพียงน้อย บริวารทั้งสองที่คอยอยู่ห่าง ๆ ก็รุดเข้ามาโดยไม่ต้องออกเสียงให้วุ่นวาย

"ลงมือกันต่อเถอะเยื้อน เปี๊ยก จะได้เสร็จเสียที"

บ่าวผิวเข้มกุลีกุจอแข็งขัน หากแต่เมื่อวางรวงข้าวบนทรายแล้วต้องรออีกหลายอึดใจอย่างไม่มีทางเลี่ยง เยื้อนและเปี๊ยกจึงได้แต่นั่งยิ้มแฉ่ง ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้อธิปเยี่ยงบ่าวที่ได้รับการอบรมมาดี

"ว่าไงเยื้อน สบายดีนะ"

"สบายดีครับ" เยื้อนตอบเสียงดังฟังชัด "มาธุระเรื่องโฉนดที่กับกำนันหรือครับ"

ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตเรียบโก้แบบฝรั่งพยักหน้ารับอย่างเคร่ง ๆ

"ยังไม่ได้ความเหมือนเดิม"

เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ไอ้เยื้อนก็ได้แต่ยิ้มแหย รีบเสเปลี่ยนเรื่อง "แถวนี้น้ำดี ปลูกข้าวปลูกผลไม้งามนะครับ"

ขวัญสรวงได้แต่อ่อนใจในความช่างจุ้นของบ่าวสนิท จะห้ามปรามก็ดูจะขัดมารยาทเมื่ออีกฝ่ายกลับสนทนาอย่างไม่ถือตัวแม้แต่น้อย ผิดกับภาพของหนุ่มสังคมนักเรียนนอกปรกติที่ตนเองอคติล่วงหน้าไปไกล

"เปล่าหรอก นี่ก็ตั้งใจจะสร้างบ้านน่ะ" อธิปตอบ

ถ้อยคำที่ได้ยินนั้นแม้แต่ขวัญสรวงเองก็ยังให้แปลกใจ มีหรือที่ผู้เป็นบ่าวจะไม่ร้องเสียงหลง

"ที่กว่ายี่สิบไร่ แบบนี้ไม่ใหญ่เป็นวังดอกหรือ"

"ไม่ถึงขนาดหรอก" คนฟังยิ้มขำ

"คุณจะมาอยู่สินะครับ" เปี๊ยกถามอย่างตื่นเต้น

"ไม่ใช่หรอก" ใบหน้าหล่อเหลาไหวนิด ๆ แล้วเบือนสายตาไปมองร่างประเปรียวที่ยืนอยู่เคียงข้าง

"แต่เป็นคุณเรียม"

คำตอบที่ได้ยินนั้นเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของขวัญสรวงอย่างประหลาดมาตั้งแต่ที่เห็นทั้งคู่ก้าวลงมาจากรถยนต์คันโก้นั้น

แปลกประหลาดมากทีเดียว






คนที่จะมาเป็นเพื่อนบ้านในอนาคตตัวจริงกลับไปพร้อมกับอธิปเมื่อครึ่งค่อนชั่วโมงก่อน คล้อยหลังจากแขก บ่าวสนิทจอมจุ้นอย่างเจ้าเยื้อนก็เริ่มคันยุบยิบตามประสาคนสู่รู้อยู่ไม่สุขจนคนตัวโตสู้รำคาญแทน เพียงมีช่องให้แทรกประเด็น เจ้าเยื้อนก็จัดแจงได้อย่างแนบเนียน ถามจบก็ยิ้มโชว์ฟันขาวเสียนอบน้อม

"คุณเรียมคนนั้นใครน่ะคุณชาย"

ขวัญสรวงหน้านิ่ง เอ่ยเรียบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ

"ปกติก็รู้ทุกเรื่องไม่ใช่รึ"

"อุ๊บ่ะ! คุณชายก็พูดเป็นเล่น"

เยื้อนย่นหัวคิ้วจนเป็นริ้วขมวด แต่เพียงครู่เดียวรอยยับก็คลี่ออกเป็นแววตาเคลิบเคลิ้มชื่นชม

"หน้าตาจิ้มลิ้มอย่างกับตุ๊กตาฝรั่ง ตอนที่คุยอยู่กับคุณชายมีแต่ชาวบ้านแอบมองจนเหลียวหลัง นี่ขนาดพวกสาว ๆ ยังไม่ได้เห็นนะ"

คนพูดพูดเสียใหญ่โต พูดจบก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

"คนที่งามเสียยิ่งกว่าภาพเขียนแบบนั้นจะมาอยู่ข้าง ๆ เราจริงหรือครับ บุญของไอ้เยื้อนแล้ว จะได้เห็นคนหน้าตาแบบนั้นทุกวัน"

ถามเองแล้วก็ตอบเอาเองจนคนเป็นนายส่ายหน้า

"เพลา ๆ หน่อยไอ้เยื้อน"

หน้าคล้ำกรำแดดให้สลดลงนิด แต่ก็ยังไม่วายพล่ามพูดตามประสา "แต่กำนันรักแกคงโก่งราคาน่าดู ยิ่งถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายดูท่าว่าจะร่ำรวยขนาดนี้"

ขวัญสรวงถอนใจยาว เขี่ยทรายจากข้างกระทะขึ้นกลบข้าวรวงสุดท้ายที่เหลือ เสร็จแล้วก็เสียบพลั่วไปกับกองทรายที่คั่วจนไหม้เป็นสีดำที่อยู่ใกล้ ๆ

"ถ้าเขาไม่ตกลงกับราคา แบบนี้ก็อดเป็นเพื่อนบ้านกับขัตติยพงศ์สิครับ ราคาแพงไปนักมันก็ไม่ไหวนา" เยื้อนลุกขึ้น กอบข้าวตอกดอกไม้ขึ้นเต็มสองมือ "คุณชายจะไม่ช่วยคุยกับกำนันจงรักให้เขาหน่อยหรือครับ คุณเรียมเธอก็ไม่น่าจะรู้จักใคร"

"จะไปทำอย่างนั้นทำไม ไม่ใช่ธุระของเรา"

เมื่อผู้เป็นนายพูดตัดบท บ่าวอย่างเยื้อนก็ได้แต่สงบคำ






รถยนต์สีฟ้าอ่อนสัญชาติอเมริกันแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ จากทัศนียภาพของทุ่งนาสีเขียวกลายเป็นบ้านไม้ขนาดสองชั้น กระทั่งกลายเป็นตึกปูนแบบสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่

หากแต่ทั้งหมดล้วนไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความสนใจของชายหนุ่มที่สวมรองเท้าหนังสีดำมันปลาบที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันนั้นแม้แต่น้อย

อธิปกำลังตรวจสัญญาซื้อขายเทียบกับเอกสารจากกรมที่ดินอย่างละเอียดละออ ก่อนจะเก็บเข้าซองกระดาษสีน้ำตาลแล้วมัดป่านบนปากซองอย่างดี

แม้จะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยม แต่อธิปกลับเลือกจะทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของร่างประเปรียวที่นั่งอยู่ด้านข้างตามคำแนะนำของผู้เป็นพ่อ ตัวงานเกือบทั้งหมดแทบไม่ได้ข้องเกี่ยวกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาแต่กลับเป็นการดูแลอำนวยความสะดวกและเป็นเพื่อนสนทนาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างกลับทำให้อธิปรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ทำงานใกล้ชิดท่านชายพระองค์นั้น


พระองค์เจ้า เรียมลลิตร ภัทรกุล

เจ้านายของชายหนุ่มเป็นคนนิ่งสุขุม มีความเป็นธรรมชาติอย่างไม่ปรุงแต่ง ทั้งยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสากว่าผู้ใดที่อธิปเคยพบเจอรู้จัก คนทั่วไปอาจจะคิดว่าทั้งหมดนั้นคือกิริยาไว้ตัวอย่างนักเรียนนอกสมัยใหม่ที่เติบโตในราชสกุลใหญ่โต แต่ความเป็นจริงแล้วเจ้านายของอธิปเป็นเพียงคนไม่ชอบความวุ่นวายทั้งยังมีนิสัยขี้อายยิ่งนัก ส่วนบุคลิกที่เงียบขรึมแลน้ำเสียงนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากการอบรมในแบบผู้ดีเก่าจากพระพี่เลี้ยงในตำหนักแต่เยาว์ รูปลักษณ์กระทั่งกิริยาจึงพริ้มเพราดั่งแพรเนื้อนวลชั้นดี ไม่ฉูดฉาดบาดตา งามสมดั่งชื่อที่พระบิดาทรงประทานให้ว่า "เรียมลลิตร"

บุรุษที่พร้อมด้วยความงามสง่า

"พระองค์ทรงรู้จักกับคุณชายขวัญมาก่อนหรือเพคะ"

อธิปถามจากภาพที่เห็นในวัด ปรกติแล้วไม่ใคร่เห็นผู้เป็นนายสนทนากับใครจนดูสนิทสนมนัก

ดวงตางามหมดจดละจากภาพเบื้องหน้าและนิ่งไปสักครู่ ในที่สุดเรียมลลิตรก็เอ่ยขึ้น

"ไม่เชิงว่าอย่างนั้น"

"กระหม่อม" ชายหนุ่มเอ่ยรับด้วยเสียงนอบน้อม

เรียมลลิตรไม่เคยยินดียินร้ายอะไร และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องใด ๆ เป็นพิเศษ ทว่าตั้งแต่กลับออกมาจากวัดที่อำเภอบางกะปิ ผู้เป็นนายก็เอาแต่มองต้นข้าวรวงเล็กที่คั่วจนแตกดอกขาวด้วยความสนอกสนใจ อธิปในฐานะที่เป็นผู้ช่วยจึงได้แต่นั่งมองด้วยรอยยิ้มชื่นบานจากดวงใจ

"ทรงชอบข้าวตอกดอกไม้หรือเพคะ ประสงค์ให้กระหม่อมจัดหาเป็นส่วนองค์ไหม"

แม้จะนิ่งเงียบไม่มีการขยับไหว แต่ริมฝีปากที่กวาดสีจนอิ่มก็แย้มขึ้นเล็กน้อยเป็นการแสดงความปราโมทย์เท่าที่จะแสดงออกได้โดยไม่เคอะเขิน

"ไม่เป็นไรหรอกอธิป ไม่มีดอกไหนเหมือนดอกนี้"

เสียงช้าเนิบตามแบบของคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

ไม่ประสงค์สิ่งใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มจึงได้แต่นิ่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กระทั่งเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้น

"อธิป เรามีเรื่องอยากขอร้อง"

"เพคะ"

"อย่างที่เคยพูดไป เราอยากให้อธิปเลิกใช้ราชาศัพท์กับเรา ฟังดูเหมือนเราเป็นคนแก่เลย" เอ่ยจบเจ้าของใบหน้านวลกระจ่างก็นิ่งเงียบเป็นเชิงถาม

อธิปเป็นคนที่เข้าใจบุคลิกอันดื้อดึงโดยลักษณะเฉพาะตัวของผู้เป็นนายเป็นอย่างดี และโดยปรกติเขาก็พร้อมทำตามประสงค์ทุกอย่างด้วยความยินดี เว้นแต่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวด้วยรู้สึกเหมือนตีเสมอกับผู้เป็นนายจนเกินสมควร

"กระหม่อมเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยพระองค์ เกรงว่าหากเสด็จท่านทราบจะกริ้วได้เพคะ"

"อธิปอยู่กับเรามาหลายปี แสวงหรือนมละเอียดก็เหมือนกัน"

เจ้าของดวงตาหวานสีน้ำตาลแลออกไปยังภาพความวุ่นวายที่ดูมีชีวิตชีวาด้านนอกหน้าต่าง

"ท่านพ่อไม่ใช่คนถือพระยศแบบนั้นหรอก ท่านแม่ยิ่งแล้วใหญ่ ท่านพี่ อธิปก็รู้จักเป็นอย่างดี"

ทุกถ้อยคำล้วนคมคายและเป็นความจริงทุกประการจนคนที่เป็นผู้ช่วยหมดเหตุผลจะโต้แย้ง

"ไม่ได้หรือ"

ใบหน้าคมเข้มจนปัญญาจะขืนจึงยิ้มและตอบด้วยท่าทีที่สบายขึ้น

"ครับ คุณชาย"

"เรียกว่าเรียมก็พอ"

"ครับ คุณเรียม"

ดวงตาที่ดูไร้ความรู้สึกมีแววแห่งรอยยิ้มผุดผาดขึ้น

"อีกเรื่องที่เราอยากขอคือเรื่องราคาที่ผืนแปลงนั้น ตัวเงินไม่ได้ทำให้เราลำบากไม่ใช่หรือ"

"กระหม่อม..." อธิปเอ่ยขึ้นตามนิสัย แต่ก็ชะงักด้วยนึกขึ้นมาได้ว่าเพิ่งรับปากไป "ผมเห็นว่าที่ดินน้อยลงจากโฉนดเดิมตอนระวังชี้และสอบที่ดินคราวก่อน แม้ตัวเงินจะไม่ได้เท่าไร แต่การที่เจ้าของแปลงที่ดินกลับตีราคาค่างวดขึ้นกว่าเท่านั้นดูไม่สมควรเลย"

เรียมลลิตรเงียบไปสักพักราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเนื้อเสียงที่ราบเรียบและแววตาที่หม่นลง

"อย่างนั้นหรือ"

คล้ายกับถ้อยคำที่เปรยขึ้นกลาง ๆ แต่หากพิจารณาลักษณะน้ำเสียงสูงต่ำที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ลักษณะการพูด และสถานการณ์ขณะนั้นก็จะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าประสงค์สิ่งใด อธิปทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเรียมลลิตรมานานพอประมาณ แม้แต่ถ้อยคำสั้น ๆ ที่ยากจะคาดเดาความหมาย ชายหนุ่มก็เข้าใจเป็นอย่างดี

ครั้งนี้ก็เช่นกัน อธิปนึกตำหนิตนเองครั้งใหญ่ที่ลืมคิดถึงความรู้สึกของผู้เป็นนาย ชายหนุ่มจึงเอ่ยคำมั่นด้วยความรู้สึกอันนอบน้อม

"ผมจะจัดการให้ครับ"






ค่ำนั้น อธิปได้โทรศัพท์ปรึกษาพระองค์เจ้า เริญดนุภพ ผู้เป็นพระเชษฐาของเรียมลลิตร ความคิดที่จะสร้างตำหน้กอันใหญ่โตรโหฐานที่อำเภอบางกะปิซึ่งเป็นเขตอำเภอชั้นนอกอันห่างไกลจากวงสังคมแห่งนั้นมาจากความเป็นห่วงของพี่ชายที่มีต่อน้องชายอันเป็นที่รักด้วยบริสุทธิ์ใจ

ตั้งแต่กลับมาจากยุโรป ตำหนักภัทรกุลต่างก็มีแขกมาเยือนไม่เว้นแต่ละวันทั้งหญิงและชาย เริญดนุภพที่ทำงานดูแลบริษัทมากมายที่เป็นกิจการของที่บ้านอยู่ ต่อให้ห่วงใยแค่ไหนก็ไม่อาจปลีกตัวมาดูแลน้องรักได้ดั่งความคิด

ชายหนุ่มจึงเลือกผู้ช่วยจากผู้ที่ไว้ใจมากที่สุด จนได้บุตรชายของวิศาล ทนายประจำตระกูลมาช่วยดูแล

"อธิปลองคุยดูแล้วกัน ถ้าเรียมชอบ เท่าไรก็ไม่ติดขัด"

"กระหม่อม"

"ขออย่างเดียว อย่าให้ใครรู้ถึงพระยศของเรียม กระทั่งขัตติยพงศ์ที่เป็นราชสกุลเช่นกันก็ห้าม"

เมื่อปลายสายรับคำอย่างมุ่งมั่น เริญดนุภพก็วางโทรศัพท์ด้วยความเบาใจ

เพราะรู้ว่าเรียมลลิตรนั้นช่างไม่ประสาต่อเล่ห์อุบายของกลุ่มผู้ดีใหม่ที่ถือมรรยาทฝรั่งแบบถึงเนื้อถึงตัวเป็นธรรมเนียม เริญดนุภพจึงเลิกที่จะสร้างตำหนักอีกแห่งที่ใหญ่โตพรั่งพร้อมทุกอย่างไม่แพ้ตำหนักที่พญาไท เลือกผืนดินแปลงที่งามที่สุดของคุ้งน้ำบางกะปิ และด้วยบังเอิญ ที่ดินผืนนั้นอยู่ติดกับคฤหาสน์ขัตติพงศ์ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ชายหนุ่มเบาใจขึ้นมาก

ราชสกุลขัตติยพงศ์ทำงานสนองคุณแผ่นดินมาหลายรัชสมัย เกียรติประวัติ คุณงามความดีเป็นที่รู้จักไปทั่วพระนคร หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตนั้น แม้จะไม่สนิทสนมแต่ก็ดูคล้ายจะคุ้นเคยกับบิดาอยู่บ้าง เริญดนุภพเองก็เคารพในความเป็นผู้ใหญ่น่าเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย

หากจะเป็นห่วงก็เพียงแค่เรื่องเดียว

เริญดนุภพไม่รู้ว่าคุณชายขวัญสรวงเป็นคนเช่นไร





+++++++++++++++++++++++++




สุภาษิตประจำวันนี้ขอเสนอสุภาษิต "ว่าแต่เขา อิ(พี่ขวัญ)เหนาเป็นเอง"
เขม่นอธิปสารพัดแล้วดูพี่แกทำเข้า ฮ่าๆๆๆ
ใครว่าชีวิตของพี่ขวัญว่าสุขสบายจนน่าอิจฉาแล้ว เจอน้องเรียมก่อน

เพื่อไม่ให้เป็นการงง ขอลำดับพระยศของท่าน ๆ ทั้งหลายนะครับ
เรียงจากลำดับสูงไปลำดับที่ต่ำกว่านะครับ

พ่อและแม่ของเรียม
v
พี่เริญและน้องเรียม
v
พ่อและแม่ของพี่ขวัญ
v
พี่ขวัญ
v
อธิป, น้ำทิพย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ ใจจริงอยากจะต่อเป็น ๒.๓ มาก
แต่ตัดขึ้นเป็นตอน ๓ เลยก็แล้วกัน ไม่เป็นไร ไม่ซีเรียส (แล้วจะบอกทำไม)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ ฝากติดตามเชียร์พี่ขวัญกับน้องเรียมต่อด้วยนะ

ปล. ได้คอมมาเมื่อไหร่จะอัพ LIE ที่ค้างไว้ต่อด้วยนะ 5555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 05-10-2014 23:21:10
ชอบตอนเรียกกันว่าพี่ขวัญน้องเรียม
มันแบบอ้ากกกกกกกกกกกก
แหมพี่ขวัญมีใจล่ะสิ๊
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: mutoo ที่ 05-10-2014 23:34:43
แปลว่าคุณปู่ของนายเอกเป็นกษัตริย์ เพราะคุณพ่อนายเอกเป็นถึงสมเด็จเจ้าฟ้าถูกมั้ยคะ
เพราะว่าตำแหน่งพระองค์เจ้า(เหมือนเราเคยอ่านๆเจอในนิยาย บางทีเค้าเรียกเสด็จในกรมฯ) เป็นลูกของสมเด็จเจ้าฟ้า
แล้วบุตรของพระองค์เจ้า(ชาย)คือหม่อมเจ้า , บุตรของหม่อมเจ้า(ชาย)คือม.ร.ว.
แต่คำว่าท่านชายใช้เรียกหม่อมเจ้าเท่านั้น เห็นมีคำตอนที่เลขานายเอกเรียกนายเอกว่าท่านชายองค์นี้ เราก็เลยงงนิดๆ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=1492 ลองอ่านลิงค์นี้ดูค่ะ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2 อีกอันค่ะ ช่วยกันเช็ค

อีกอย่างสมัยก่อนมีตู้เย็นกับน้ำแข็งแล้วเหรอ ตัวเองกะให้เนื้อเรื่องตรงกับช่วงพ.ศ.ไหนอ่ะ
ไม่อยากให้พลาด เพราะเราจะเตรียมซื้อหนังสือ อิอิ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 06-10-2014 12:39:37
สวัสดีครับ

พอดีที่คุณ mutoo ทักมา เลยขออนุญาตตั้งขึ้นเป็นหัวข้อเผื่อแผ่อธิบายสำหรับคนอ่านทุกคนเลยแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนใจจริงไม่อยากพิมพ์อธิบายเท่าไร เพราะมันเท่ากับเป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงบางส่วน ถึงไม่ใช่ประเด็นที่มีผลต่อเนื้อเรื่องมากก็ตาม แต่คิดว่าเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นของคนอ่านก็ยินดีครับ

ในส่วนของลำดับชั้น เป็นอย่างที่เขียนครับ พูดง่าย ๆ คือเรียมเป็นหลานของ King ครับ แต่เกิดมาจากสายมารดาเจ้าจอม (เมียรองๆๆๆๆ)
(สำหรับในส่วนของการเรียกแบบลำลองที่หลุดมาหนึ่งจุดนั้นเกิดจากการพิมพ์ผิด เช่นเดียวกับคำอื่น ๆ ที่หลุดออกมาประปรายในตอนนี้อีกหลายจุด ต้องขอโทษในเรื่องคำผิดด้วยครับ)

ประเด็นเรื่องพระยศไม่ใช่เรื่องที่มีความสำคัญต่อเนื้อหาของเรื่องนี้ครับ และไม่อยากให้คิดไปไกลว่าจะไปดึงสาแหรกราชสกุลมามาเกี่ยวพันเป็นลำดับชั้นจนน่ากังวล อย่าเพิ่งตกใจกันไปครับ นี่อาจจะเป็นเพียงไม่กี่ตอนที่มีการเอ่ยถึงเกี่ยวกับปูมหลังของตัวเรียม ทั้งหมดเพื่อให้น้ำหนักกับอุปนิสัย การพูด การแสดงออก และรูปแบบการใช้ชีวิตที่สุขสบายครับ ตัวละครที่ช่วยซัพพอร์ตให้กับฝั่งเรียมคือพี่ชาย และเลขา และทั้งคู่ก็ไม่เกี่ยวกับระบบราชการครับ ทั้งเรื่องพ่อก็ไม่โผล่ครับ แม่อาจโผล่ประปราย หายห่วง

ส่วนที่มีการใช้คำราชาศัพท์ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงการร้องขอของเรียมให้พูดด้วยคำสามัญในการพูดคุยทั้งเรื่อง (ซึ่งถือว่าผิดปกติที่ควรเป็นและจำเป็นต้องมีฉากนี้) ประเด็นเรื่องพระยศแม้จะเป็นสิ่งสำคัญแต่สำหรับเรื่องนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีความสำคัญ ขวัญและเรียมในเรื่องนี้จะเหมือนกับขวัญและเรียมในแผลเก่าในแง่การใช้ชีวิตอยู่ในคลองแสนแสบ มีทุ่งนา เพียงแต่เป็นเวอร์ชั่นที่มั่งคั่ง จากเป่าขลุ่ยไทยก็เป็นฟลุต จากขี่ควายก็เป็นขี่ม้าน่ะครับ สรุป เป็นนิยายรักครับ เดินเรื่องด้วยเรื่องรัก ๆ ของตัวละคร

เรื่องยุคสมัย อย่างที่ได้เขียนไว้ในตอนแรกครับ เพราะอาจจะอยู่ตั้งแต่บรรทัดแรกหลายคนอาจจะเผลอมองผ่าน แต่อยากให้ความสำคัญกับตรงนี้ด้วยครับเพราะจะมีผลต่อการอ่านอีกประมาณแสนประโยคนับจากนี้ 55555

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จะขอลำดับช่วงเวลาแบบที่พอจะเห็นภาพนะครับ เรียงจากเก่าไปใหม่ครับ

แผลเก่าต้นฉบับ > แดง ไบเล่ย์ 2499 อันธพาลครองเมือง > สุภาพบุรุษจุฑาเทพ > พี่เบิร์ด ธงไชย์ แมคอินไตย์เกิด > เรื่องนี้ ( 2507)

น่าจะเห็นภาพขึ้นนะครับ สำหรับคนอ่านพีเรียดที่มี mindset อยู่ว่าแนวย้อนยุคเหมือนจะต้องสมัยรัชกาลที่ 5 นุ่งโจงกระเบน เสื้อราชปะแตน เรียกกันแบบเจ้าพระยาอะไรทำนองนี้อยากให้ลบภาพพวกนั้นไปก่อนครับ นี่เป็นสวมชุดสูทแบบฝรั่งและเป็นเรื่องราวที่เกิดในสมัยรัชกาลปัจจุบัน ในยุคที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีเครื่องปรับอากาศ โรงหนัง จุฬาลงกรณ์เปิดเกือบครบทุกคณะ และมีการบินไทยถึงแม้ตอนนั้นจะมีแค่สี่เส้นทางก็เถอะ แต่ละปีมีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ไวมาก ความสับสนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ภาษาที่ติดจะเป็นภาษาคล้ายราชาศัพท์นั้นเกิดจากตัวละครเกือบทั้งหมดในเรื่องเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตแบบมีพิธีรีตรองครับ นั่นคือพูดและเล่าเรื่องด้วยภาษา(ติดจะ)โบราณบ้าง แต่เรื่องค่อนข้างสมัยใหม่ครับ




อันนี้ชวนคุยเล่นครับ เรื่องนี้รวมเล่มหรือเปล่า ปกติจะซ่ามาก แต่เรื่องนี้ยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดครับ เอาแค่ไม่ท้อจนแต่งจบไม่จบหรือเปล่านี่ก่อนแหละ ยอมรับจริงว่าไม่ถนัดแนวนี้ครับ แต่ละตอนใช้เวลานานมาก ประมาณสัก 20 เท่าอัพของเวลาที่คนทั่วไปใช้ในอ่านได้เลยมั้ง เวลาหาข้อมูลมาจัดเรียงระบบอีกไม่นับ ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกที่ไม่เกี่ยวกับเวลานะ ความทุ่มเทเอย ความอิสระที่เสียไปเอย แต่นี่คือเลือกแล้วไง มีสิ่งที่เสียไปเยอะแต่มันก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ได้กลับมาเยอะนะ ซึ่งมันก็มีความสุขตามอัตภาพอยู่ 5555

คือต้องแจงเพราะไม่ได้ดราม่าเรียกร้องอะไรนะครับ ไม่ได้ขอคอมเมนต์หรือความเห็นใจอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ แค่แวะมาอ่านก็ดีใจแล้ว เพราะนี่ก็พอใจจะเขียนเองแบบเสนอหน้ามาเองไม่มีใครขอ ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจกันครับ เมนต์ก็ดี ไม่เมนต์ก็ดีไปอีกแบบ(ไม่ต้องเกรงใจใครมากที่อัพช้าดี 555) แต่แค่อยากบอกว่าตัวนักเขียนก็อยากท้าทายตัวเองทำอะไรใหม่ ๆ ให้ตัวเองไปเรื่อย ๆ ดังนั้นถ้ามีอะไรที่มีประโยชน์อยากเสนอแนะก็เต็มที่เลยครับ ไม่ใช่เห็นว่าตอบยาวแล้วไม่กล้าพิมพ์ อะไรที่ทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น จัดมาแบบไม่ต้องเกรงใจครับ 55555555

อ้อ...อีกเหตุผลที่ไม่ค่อยอยากจะพิมพ์ตอบใครเพราะพิมพ์สั้นไม่ค่อยเป็นนี่แหละครับ ถือว่าอ่านขำ ๆ แล้วกันนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 06-10-2014 14:35:23
ถึงจะอย่างนั้น แต่เนื้อเรื่องน่ารักๆแบบที่เราชอบงี้ก็อยากจะให้รวมเล่มจังเลยน้า

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: mutoo ที่ 06-10-2014 14:54:19
มาตอบยาวแบบนี้ คนอ่านชอบใจค่ะ เข้าใจขึ้นอีกเป็นกระบุงโกย
กดไลค์ๆๆๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 06-10-2014 16:52:52

อ่านแล้วอยากบอกคุณชายเริญเหลือเกินว่า..

อ้างถึง
"เขาเชื่อว่าทำบุญร่วมกันก็จะได้เกิดมาร่วมกุศลกันทุกชาติไป"

คุณชายขวัญก็เป็นคนแบบนี้ล่ะค่ะ แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม  :-[
เผลอแป๊บเดียวนี่หยอดกันแล้วหรอคะะะะะะะะะ แอร๊ยยยยย แต่เราชอบนะ
อ่านตอนนี้แล้วเขินค่ะ 555555555555

ชอบที่เรียกกันว่าพี่ขวัญกับน้องเรียมมากเลย
รู้สึกมันกิ๊บก๊าวในหัวใจ รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความหวาน
น้องเรียมน่ารักมาก ตอนแรกนึกว่าอธิปจะดูร้ายๆ ซะอีก (นี่ก็คิดไปเอง กร้ากก)
แต่พออ่านตอนนี้แล้วแบบ..อื้มมม อธิปก็น่ารักดีนะคะ >,<

นั่งจดจ่อรอตอนหน้าเลยล่ะค่ะ ฮริ้งงงง
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 06-10-2014 19:30:49
อ่านแล้วปลื้มมมมมมม ทั้งเรียมและขวัญเลยอ่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 06-10-2014 19:57:30
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญของเรียมมมมม
เขินแทน พี่ขวัญแกหยอดซะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lactobacillus_casei ที่ 07-10-2014 00:48:09
พี่ขวัญ แกมาเนียนๆ แต่ได้กำไรไปเยอะนะ ตอนนี้โอบประคองบ้างละ จับมือบ้างละ เฮียเนียนมากกกกกกกกกก

น้องเรียม เห้ย ไม่ใช่ พระองค์เจ้า เรียมลลิตร ภัทรกุล ช่างงดงามยิ่งนัก ต่อไปนี้จะพูดจาอะไรเกี่ยวกับพระองก็ต้องระวังก็เกรงจะถูกบั่นหัว 555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 08-10-2014 14:28:31
อุปสรรคชิ้นใหญ่เลยนะคะยศทั้งคู่เนี่ย..
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 08-10-2014 19:45:14
น้องเรียมขี้อายนี่เอง
น่ารักมากเลยค่ะ  พี่ขวัญช่วยน้องเรียมเรื่องที่หน่อยสิคะ
จะได้ย้าวมทอยู่ใกล้กันไวๆ

ฟินน้องเรียมมาก ดอกไหนๆก็ไม่เท่าดอกที่ทำกับพี่ขวัญใช่ไหมลูกกกกก
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 11-10-2014 13:48:21
ชอบที่คนเขียนใส่ใจในนิยายและรายละเอียด+อธิบายให้คนอ่านเข้าใจง่ายๆ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
*******************************************
ก็ให้น้องเรียมไปอยู่กับพี่ขวัญเลย ง่ายดี #ผิดดดดด 55555555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 13-10-2014 18:24:24
รอนานแล้วน้า.....มาต่อไวๆและต่อให้จบน้าเรื่องนี้ ชอบค่ะ >_<
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 14-10-2014 00:04:11
ปูเสื่อรอเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๒.๒ ♫ ♬ ♪ (๕ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 15-10-2014 02:50:40
เซอร์ไพรส์มากที่น้องเรียมมีศักดิ์สูงกว่าพี่ขวัญอีก
รออ่านต่อค่ะ น่ารักมาก เขินมากๆๆ กรี๊ดอะ >_<)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 28-10-2014 21:06:26
ตอนที่ ๓




คนที่เริญดนุภพนึกครุ่นสงสัยกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในคลองราวกับเป็นชาวบ้านที่เติบโตมากับท้องนาเสียเพลินใจ

แต่เล็ก ขวัญสรวงไม่เคยนึกรังเกียจกรวดหินกลิ่นดินโคลน ความสนุกของเด็กน้อยไม่ใช่การได้จับของเล่นฝรั่งอย่างลูกผู้ดีทั่วไป ต่อให้เป็นโมเดลหุ่นยนต์ใหม่เอี่ยม ไม่เกินสัปดาห์ของเล่นสีสวยราคาแพงก็ตกทอดไปสู่เยื้อน สมุนตัวจ้อยวัยไล่เลี่ยกันเสียทุกครั้ง

กลับกลายเป็นการได้ส่องนก หยิบสวิงไล่ช้อนปลา ปีนป่ายเก็บลูกไม้แบบชาวบ้านต่างหากที่เรียกรอยยิ้มให้ผุดพรายขึ้นบนใบหน้ามอมแมมของคุณชายตัวน้อย ครั้นถึงเวลาที่ต้องตามผู้เป็นบิดาไปวังอื่น ๆ หม่อมแม้นพิศก็ได้แต่แอบเปิดกระเป๋า หยิบยาดมก็ขึ้นมาสูดฟืดใหญ่ด้วยอับอายขายหน้า แผลที่ตกสะเก็ด รอยเขียวเป็นจ้ำ กระทั่งผิวซึ่งคล้ำแดดกว่าลูกผู้ดีคนอื่นล้วนทำให้ขวัญสรวงกลืนไปกับบ่าวไพร่ในวังต่าง ๆ เสียถนัดตา ถ้าไม่ติดว่าเป็นหัวโจกพาคุณชายอื่นทะโมนตามก็คงแยกไม่ออกว่าเด็กที่ยิ้มแฉ่งชนิดไม่กลัวใครผู้นี้นั่นแหละคือคุณชายแห่งราชสกุลขัตติยพงศ์

เติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวนิสัยเหล่านี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก กาลเวลาทำได้เพียงสลักความนิ่งสุขุมไว้ในดวงตาคมคู่นั้น ขวัญสรวงก็ยังคงเป็นขวัญสรวงที่ไม่ว่าใครเห็นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อนึกถึงวีรกรรมครั้งเยาว์ จะมีก็แต่ผู้เป็นแม่ที่เอาแต่ถอนใจใส่ด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งชัง

"อีกแล้วหรือลูกคนนี้ ชายขวัญจะให้แม่เป็นลมให้ได้ใช่ไหม"

เสียงเหนื่อยของหม่อมแม้นพิศดังขึ้นที่ศาลาริมน้ำ มีสายบัวกับเจ้าเยื้อนลอบยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่ด้านหลัง

"สาวสวยที่ไหนมายืนอยู่ตรงนี้นะเยื้อน"

คนในคลองส่งยิ้มชวนมอง รอยยิ้มที่เจือไปด้วยความซนไม่ต่างจากขวัญสรวงตัวน้อยสักนิด

"ยังจะมาทะเล้นอีก ขึ้นมาเลย แดดร้อน ๆ เดี๋ยวก็ได้เป็นไข้เอา คืนนี้ชายต้องไปงานกับแม่นะ"

นอกจากจะไม่สลดให้กับผู้เป็นมารดาที่ทำท่าปั้นปั่งแล้ว เจ้าของรอยยิ้มแฉล้มยังมุดหัวดำลงไปในน้ำอีกรอบ

"ดูทำเข้าซิ"

มืออวบอูมวาดพัดในมืออย่างอ่อนใจ เวลาอารมณ์ดี บุตรชายเธอจะสลัดมาดขรึมนิ่งเป็นชายหนุ่มอารมณ์แจ่มใส ช่างประจบ ขี้เล่น ต่อให้ดุเท่าไรก็ดื้อตาใสไม่รู้ไม่ชี้ พอหล่อนไปฟ้องสามี ท่านชายเขียนนิรมิตก็จะหัวเราะชอบใจแล้วพูดว่า

"แม่พิศจะเอาอะไรกับเด็กผู้ชาย"

เป็นเสียอย่างนี้ คำเทศน์ของหม่อมแม้นพิศจึงได้อวสานเพียงเสียงระบายลมหายใจยาวพรืดไปคนเดียวเสียทุกครั้ง

เพราะรู้นิสัยใจคอมาแต่ยังน้อย เอ็ดตะโรไม่เท่าไรคนที่เอาแต่นั่งค้อนก็ปรับสีหน้าเป็นปรกติ เดินไปนั่งรับลมบนตั่งไม้สักอันเป็นที่ประจำ

แสงแดดลอดเงาพะยอมลงแตะผิวกระเพื่อมน้ำเป็นประกายริ้วระยับ ไม่นานนักพลิ้วน้ำก็ไหวแรงขึ้นพร้อมด้วยเสียงเอะอะมะเทิ่งเป็นระยะ มองอยู่อึดใจหม่อมแม้นพิศก็เอ่ยถามบ่าวคนสนิทขณะเรือพายที่เพิ่งพ้นหัวมุมคลองแสนแสบค่อย ๆ จอดเทียบท่าน้ำฟากตรงข้ามพร้อมกับร่างอ้อนแอ้นคุ้นตา

"นั่นแม่ทิพย์นี่ มากับใคร"





น้ำทิพย์ยิ้มอึดอัดให้กับชายหนุ่มตรงหน้าแล้วหลุบตาลงมองผ้าซิ่นสองผืนที่เพิ่งไปซื้อมาจากตลาดตามคำสั่งของผู้เป็นแม่ด้วยอาการประดักประเดิก ผ้าเหล่านี้ต้องสั่งให้พ่อค้าที่ตลาดนำมาจากร้านขายผ้าใหญ่ในพระนคร ตั้งใจสำหรับใส่ตอนงานบุญใหญ่ที่จะมาถึง ผืนสีส้มอิฐนี้เป็นของแม่ ส่วนสีฟ้าเข้มอีกผืนเป็นของเธอเอง

"พี่ว่าจะต้องสวยที่สุดแน่แท้ สีฟ้าเหมาะกับทิพย์กว่าใคร"

"ไม่หรอกจ้ะพี่จ้อย"

น้ำทิพย์ประหยัดถ้อยคำ

ความบังเอิญที่ไปพบกับคุณนายสะอิ้งในร้านขายผ้า เด็กสาวที่ได้รับการสอนสั่งมาเป็นอย่างดีก็ยกมือไหว้ ทักทายตามธรรมเนียมชั่วครู่แล้วตั้งใจจะขอตัว แต่คุณนายสะอิ้งกลับออกปากให้จ้อยนั่งเรือมาส่งที่บ้าน ครั้นจะขัดผู้ใหญ่ก็คงไม่เหมาะ น้ำทิพย์จึงได้แต่กล่าวขอบคุณในเมตตาน้ำใจ

"วันเข้าพรรษา ให้พี่มารับนะ"

จ้อยเอ่ยขึ้นขณะส่งน้ำทิพย์ขึ้นท่า เด็กสาวถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะตอบด้วยเสียงพึมพำ

"อย่าเลยจ้ะ ทิพย์ไปกับแม่ได้ รบกวนเปล่า ๆ"

"จะรบกวนอะไร ไอ้ศักดิ์มันก็พายให้ ใช่ไหมวะ"

พูดจบ จ้อยก็หันไปหัวเราะเบิกบานกับบ่าวที่แจวไม้พายอยู่ด้านหลัง ปล่อยให้เด็กสาวนั่งทำหน้าไม่ถูก

นารีนั้นมีรูปเป็นทรัพย์ ในบรรดาสาวบางกะปิที่ย่างเข้าสู่รุ่น น้ำทิพย์นั้นแม้จะไม่สวยเด่นสะดุดตาแบบสาวชาวกรุง ผัดหน้าด้วยเครื่องสำอาง ผมม้วนเป็นลอน สวมกระโปรงฟูฟ่อง หากแต่ใบหน้าผ่องใสนั้นก็ดูงามละออสมตัว ยิ่งพิศก็ยิ่งน่ามอง ความสวยแบบไม่ปรุงแต่งนี้ทำให้ชายหนุ่มหลายคนพยายามเข้ามาพูดคุย แต่เด็กสาวก็ไม่เคยนึกสนใจใคร วางตัวอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด จะเว้นก็แต่ชายหนุ่มฟากตรงข้ามผู้นั้นที่ดวงตากลมใสมักอดไม่ได้ที่จะลอบมองด้วยความชื่นชมอยู่เป็นเนือง

น้ำทิพย์คิดว่าเขาพิเศษกว่าใคร

"พี่มารับ ทิพย์จะได้ปลอดภัย"

เด็กสาวได้แต่เงียบและก้มหน้านิ่ง กระทั่งจ้อยหน้าตึงขึ้นด้วยอาการขัดใจ
"หรือจะไม่รับน้ำใจพี่"

เอ่ยขึ้นมาแบบนี้ น้ำทิพย์ก็ได้แต่จำใจตอบรับด้วยความยำเกรง สำนึกที่คุณนายสะอิ้งให้การช่วยเหลือหยิบยืมเงินทองมาลงข้าวเมื่อปีกลายนั้นค้ำคอจนเด็กสาวปฏิเสธไม่ลง

ดวงตาอันเศร้าสร้อยจึงได้แต่ลอบมองไปที่คุณชายขวัญสรวงอยู่ห่าง ๆ อย่างทุกครั้งก่อนจะเดินขึ้นท่าไป





ข่าวเกี่ยวกับน้ำทิพย์เข้าถึงหูของหม่อมแม้นพิศในที่สุด เรื่องที่จ้อยคอยเทียวรับเทียวขื่ออย่างออกหน้าออกตานั้นไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ซักไซ้ได้เท่ากับข่าวลือแปลก ๆ ว่าบุตรชายของเธออาจจะมีใจให้เด็กสาวชาวบ้านหน้าตาสะสวยคนนั้น

ประหลาดใจจนต้องถามซ้ำ

"แน่ใจรึ?"

พอได้ยิน เจ้าเยื้อนก็ตบเข่าตัวเองดังฉาด

"แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกขอรับ พักหลังคุณชายชอบนั่งเหม่อเหมือนรอใคร คราวก่อนที่ไปวัดก็คอยชะโงกหา ถึงขนาดข้าวจากปิ่นโตบ้านนั้นก็ชมว่าอร่อยเหาะเชียวนะหม่อม"

หม่อมแม้นพิศไม่ได้ปักใจเชื่อคำพูดของจอมสอดรู้อย่างเจ้าเยื้อนด้วยรู้นิสัยว่าชอบเติมเรื่องเอาอรรถรสเสียมาก จากสายตาของผู้เป็นมารดาแล้ว ที่เห็นคราวก่อนเธอก็ไม่ใคร่นึกว่าบุตรชายตัวดีจะสนใจเด็กน้ำทิพย์เป็นพิเศษ แต่เมื่อยินคำยืนยันจากปากสายบุญแม่ครัวคนเก่าแก่อีกเสียง เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ดูเป็นเรื่องน่าขบคิดขึ้นมาทันที

"แล้วแม่ทิพย์ล่ะ ดูเป็นยังไงบ้าง"

"สาวที่ไม่หลงใหลคุณชายขวัญคงไม่มีหรอกมังคะ"

คราวนี้เป็นน้ำเสียงที่เจือมาพร้อมกับท่าทางหัวเราะน้อย ๆ ของสายบัว

ถึงจะเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ชีวิตที่ผ่านมาเจียนห้าสิบปีก็สั่งสอนให้รู้จักรอบคอบ ข่าวลือแม้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาวก็เหมือนกับไฟไหม้ฟาง ประมาทก็ไม่แคล้วจะได้เสียหายก่อนทันดับ ไพล่คิดแล้วหม่อมแม้นพิศก็ได้แต่เก็บความเคลือบแคลงไว้ในใจ เอาเถอะ จวบเหมาะโอกาสเธอจะลอบถามบุตรชายระหว่างไปงานเลี้ยงของท่ายชายภูวดลคืนนี้ดู


กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ปลุกเรียมลลิตรให้ตื่นขึ้นในตอนเย็น แม้อาการงัวเงียจะสร่างไปบ้างแล้วหากแต่เจ้าของดวงหน้าพริ้มเพรานั้นยังคงนิ่งเฉย ไม่ขยับลุกไปไหนเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง

เพียงครู่ เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับอธิปที่เดินเข้ามา

"ตื่นแล้วหรือครับ"

ทั่วทั้งห้องสว่างไสวขึ้นช้า ๆ จนเห็นภาพทุกอย่างชัดเจน ม่านสีเขียวอ่อนถูกรวบเก็บไว้ตรงมุมวงกบ เผยให้เห็นแสงแดดอุ่นอ่อนที่เกลี่ยทั่วผืนฟ้า

"ไม่แสบตาจนเกินไปใช่ไหมครับ"

เจ้าของห้องส่ายหน้าเบา ๆ อธิปจึงละมือลงจากม่านแล้วเดินมาหยุดยืนที่ข้างเตียงพร้อมรอยยิ้มซึ่งคลี่แย้มดั่งคำทักทาย

หลายวันมานี้เขาเพียรพยายามติดต่อกับเจ้าของผืนที่ดินตรงอำเภอบางกะปิ จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็ไม่เจรจาพาทีด้วย เหมือนนกรู้ คล้ายกับว่ากำนันจงรักจงใจสร้างเงื่อนไขในการโก่งราคาโฉนดที่ดิน เคราะห์ดีที่ผู้เป็นนายของอธิปไม่ได้เร่งรัด เริญดนุภพเองก็เข้าใจในเรื่องราวและไม่คิดตำหนิอะไร กระนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

อธิปพับความกังวลไว้แล้วเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างยิ้มแย้ม "วันนี้มีงานเลี้ยงของหม่อมเจ้าภูวดล คุณเรียมจะไปตามที่ทางนั้นเชิญมาไหมครับ"

"พี่เริญไปไหม"

"คุณเริญติดรับรองลูกค้าที่เพิ่งบินมาถึงจากกัลกัตตาครับ เอ่ยว่าให้ลองถามคุณเรียมดู"

เรียมลลิตรนิ่งไปชั่วขณะ สักพักก็จะตอบรับคำเชิญด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นทุกครั้ง

ไม่นานนักนมละเอียดก็เดินนำกลุ่มแม่บ้านเข้ามา ชุดสูทแบบสากลหลากสีนับสิบตัวถูกแขวนอยู่บนราวไม้ ไล่ตามโทนสีและรูปแบบการตัดเย็บที่ต่างกันตามลักษณะของสาบ กระดุม และชายเสื้อ มีตั้งแต่แบบพอดีสะโพกจนไปถึงแบบฟร็อคเทล ประมุขคนเล็กของตำหนักมองชุดต่าง ๆ ที่เรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลายนาทีผ่านไปจนเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด เหล่าแม่บ้านทีี่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดต่างอดทนรออย่างใจเย็นว่าผู้เป็นนายจะเลือกชุดใด โปรดชุดไหนเป็นพิเศษหรือไม่โปรดสักชุด แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สงบนิ่งจนแต่ละคนอดไม่ได้ที่จะประหม่าตื่นเต้น

และในที่สุดเรียมลลิตรก็เอ่ยขึ้น

"พักเรื่องเสื้อผ้าเอาไว้เถอะ ไม่ต้องรีบร้อนอะไรไม่ใช่หรือ"

ในน้ำเสียงที่เรียบเฉยและถ้อยคำธรรมดานั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นไว้วางใจในการคัดสรรของนมละเอียดจนรู้สึกได้ ริมฝีปากของหญิงชราแย้มขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้ม พิศใบหน้าที่กำลังเบือนไปทางบ่าวรับใช้ที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อยนั้นอย่างสำนึกในความกรุณา กระทั่งดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันกลับมาจุดเดิม

"หิวแล้ว"

"คุณหนูอยากทานอะไรหรือเจ้าคะ"

นิ่งไปเล็กน้อยเหมือนใช้ความคิด สุดท้ายคนที่นั่งตรงหน้าก็เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแบบทุกครั้ง

"อะไรก็ได้ครับนม"





ไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้ อันที่จริง แทบจะไม่มีการพูดคุยระหว่างมื้ออาหารด้วยซ้ำ กระทั่งถ้วยชาหอมกรุ่นถูกวางลงตรงหน้าหลังอาหารค่ำผ่านไป

"นี่เป็นชากุหลาบจากไร่ทางเหนือของเราครับ คุณเริญประสงค์ให้ลองทำขึ้น คิดว่าคุณเรียมคงชอบ"

เรียมลลิตรพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากยกขึ้นจิบ เป็นการแสดงความรู้สึกพึงใจเท่าที่จะแสดงออกได้ผ่านท่วงทีไม่ยินดียินร้ายตามที่ได้การอบรมมา อธิปที่คุ้นเคยกับการแสดงออกของผู้เป็นนายอย่างดีเข้าใจได้ทันทีว่าดวงหน้าที่ดูจะนิ่งเฉยนั้นกำลังให้ความสนใจในชาที่ดืิ่มอยู่ไม่น้อย

"ตลาดชาที่ทำจากดอกไม้อาจจะยังใหม่ที่บ้านเราแต่กำลังโตมากที่ต่างประเทศ นอกจากชากุหลาบก็จะมีชามัลเบอร์รี่ อีกไม่นานตัวอื่น ๆ คงจะตามมาอีก"

"สดชื่นดี"

"คุณเริญคงดีใจ"

อธิปพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมก่อนจะส่งสัญญาณให้กับนมละเอียดที่รออยู่หน้าห้อง

เหมือนรออยู่แล้ว แม่นมวัยค่อนหกสิบเดินเข้ามาพร้อมกับชุดสูทผ้าวูลสีน้ำตาลนวล ผ้าฝรั่งเหล่านี้หม่อมมาร์โจรี หรือหม่อมมาศจรวย ผู้เป็นพระมารดามักจะเลือกสรรและส่งมาให้บุตรชายทั้งสองจากยุโรปอยู่เสมอ นมละเอียดจะเป็นคนเรียกช่างเทเลอร์ฝีมือดีมาวัดตัวที่ตำหนักแล้วจัดการตัดเย็บเป็นชุดสูททรงต่าง ๆ ให้กับพระองค์ท่านทั้งสอง

"คุณหนูสวมสีอ่อนแล้วอย่างกับเทวดาตัวน้อย ๆ" หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุนละม่อม

ละเอียดนั้นละเอียด เป็นระเบียบ และเรียบร้อยสมชื่อ แม่นมอาวุโสผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องรู้จักธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งไทยและฝรั่งเสียยิ่งกว่าใครจนหม่อมมาศจรวยเบาใจ ให้เป็นธุระจัดการทางนี้ระหว่างที่ตามราชการของพระองค์เจ้าเริงฤทธีภัทร พระบิดาของเริญดนุภพและเรียมลลิตรไปยุโรปหลายปี นานครั้งก็จะส่งจดหมายเป็นภาษาอังกฤษกลับมาพร้อมข้าวของเครื่องใช้จิปาถะ

"คุณหนูช่างประพิมพ์ประพายคล้ายหม่อมแม่เหลือเกิน ผิวขาวละออ ปากนิดจมูกหน่อย ดวงตาก็สวยนัก คุณหนูเริญยังสู้ไม่ได้"

เรียมลลิตรไหวหน้าเพียงเล็กน้อยเชิงไม่เห็นพ้องนัก ด้วยลึก ๆ แล้วชายหนุ่มนึกนิยมในรูปร่างหน้าตาที่ดูคมขำของพี่ชายเสียมากกว่า เริญดนุภพมีใบหน้าละม้ายกับท่านพ่ออยู่มาก ขณะที่ตนเองนั้นกลับติดไปทางหม่อมแม่ ผิวพรรณจึงนวลใสเป็นยองใยเหมือนไม่เคยต้องแดด

มือขาวเรียวจิบน้ำชาสีอ่อนก่อนจะเปรยถึงความพิถีพิถันของนมละเอียดด้วยเสียงช้าแผ่ว

"จริง ๆ ไม่เห็นต้องลำบาก ไปไม่นานก็คงกลับ"

อธิปยิ้มพลางส่ายหน้าขณะที่รับชุดสูทมาจากนมละเอียด เขานิ่งไปอึดใจก่อนจะให้เหตุผลที่น่าฟัง

"ถึงอย่างนั้นก็ต้องเผื่อได้พบกับเพื่อนของคุณเริญครับ คุณเรียมเองก็อาจจะพบมิตรสหายที่ในงานด้วย"

"ไม่ค่อยรู้จักใครหรอก"

"หม่อมเจ้าภูวดลเป็นคนใหญ่คนโต เป็นข้าราชการชั้นสูงที่ทำงานสนองคุณแผ่นดินมานาน งานวันนี้ถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงต้อนรับบุตรีที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนการเรือนที่ปีนังแต่ก็มีคนมาร่วมยินดีมาก ไม่แน่ว่าคุณเรียมอาจจะได้พบกับคนที่รู้จักก็ได้ครับ"

พูดจบ ชายหนุ่มร่างสูงก็หันไปมองนมละเอียดแล้วยิ้มให้กันอย่างรู้นัย แม้เรียมลลิตรจะมองคนทั้่งสองเชิงตั้งคำถาม แต่ก็ไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกมาอีก ชายหนุ่มจึงได้แต่คิดว่าคงเป็นคำพูดเผื่อเหลือเผื่อขาดตามประสาคนรอบคอบอย่างอธิป




(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 28-10-2014 21:09:17
(ต่อครับ)




ราชสกุลขัตติยพงศ์เป็นราชสกุลใหญ่ มีญาติกาตามสาแหรกกระจายอยู่ทั่วพระนคร หม่อมจ้าภูวดลก็นับเป็นพี่น้องห่าง ๆ กับหม่อมเจ้าเขียนนิรมิต เมื่อมีงานมงคล หม่อมแม้นพิศจึงไม่ลังเลที่จะก็ตอบรับด้วยความยินดี ครั้นผู้เป็นสามีติดงานราชการที่ต่างจังหวัดก็ออกโรงเคี่ยวเข็ญบุตรชายให้มาเป็นเพื่อน ถึงขั้นต้องไปรับที่บางกะปิด้วยตนเอง

อันนิสัยเรื่องไม่นิยมคบค้าสมาคมนั้นถ่ายทอดลงมาสู่ขวัญสรวงพอสมควร แม้เจ้าตัวจะไม่ใคร่ออกงานประเภทพบปะสังสรรค์เท่าไรนัก แต่เรื่องให้ไปช่วยงานกิจพิธีประเภทงานบุญ งานบวช กระทั่งงานอวมงคลอย่างสนิทสนมราวกับเป็นญาติพี่น้องตนชายหนุ่มกลับทำได้ไม่นึกคร้าน ไม่ถือยศฐา ยากดีมีจนก็ไม่เคยนึกรังเกียจรังงอน

เสียงชื่นชมสะท้อนกลับมาสู่ผู้เป็นบิดามารดาให้ได้ยินตลอด เรื่องนึกตำหนิบุตรชายที่ไม่ยอมมาทำงานเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเลยมีน้ำหนักเบาบางนัก พอขัดตาหม่อมแม้นพิศก็ค่อนบ้างเป็นครั้งคราว จบแล้วก็จบกัน ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างปากพูด

"ไม่ต้องคิดเข้าไปช่วยงานที่ด้านหลังอีกนะ คราวนี้ไม่ฟังกันจะหยิกให้เนื้อเขียวเทียว"

สิ้นคำ คนตัวสูงก็ยื่นแขนให้ผู้เป็นมารดาหยิกไว้เสียแต่เนิ่น ๆ

"เบา ๆ นะครับ"

ได้ยินแล้วหม่อมแม้นพิศถึงกลับบึ้งตึงใส่ แต่ขวัญสรวงกลับยิ้มสบายใจ

"ยังจะมีหน้ามายืนยิ้ม รู้จักสมาคมเอาไว้บ้าง ไม่ใช่มัวแต่หลงสาวบางกะปิจนลืมสังคมพระนคร"

"ใครครับ?" คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัย

ครั้นจะตะล่อมต่อ หม่อมแม้นพิศก็ถูกเจ้าภาพตรงเข้ามาเอ่ยทักเสียก่อน

"พี่พิศ มาถึงนานหรือยังคะ"

พอถูกหม่อมอำไพ ภริยาของหม่อมเจ้าภูวดลทักทายด้วยกิริยาอัชฌาสัย อารามตั้งใจที่จะซักไซ้ลูกชายตัวดีให้รู้ความจึงตกไป





งานเลี้ยงต้อนรับที่วังของหม่อมเจ้าภูวดลนั้นยิ่งใหญ่สมกับตำแหน่งข้าราชการระดับสูงในกระทรวงใหญ่ ไม่เพียงแต่ผู้เป็นบิดาที่เป็นที่นับถือในสังคม บุตรชายคนโตก็รับราชการเป็นนายทหารถึงยศพันตรี ส่วนบุตรีที่เพิ่งกลับจากศึกษาก็ลือว่างามหมดจดนัก

เรียมลลิตรมาถึงที่งานในเวลาเกือบสองทุ่ม แม้จะไม่รู้จักกับเจ้าภาพเป็นส่วนตัวมาก่อน แต่กระบวนธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมชายหนุ่มล้วนทำได้คล่องแคล่วงามสง่าตามที่ได้รับการบ่มเพาะจากเหล่าแม่นมมาแต่เยาว์ ไม่ว่าใครที่ได้เห็นล้วนแต่ประทับใจในความไม่ถือตน ทั้งยังดูภูมิฐาน และที่สะดุดตากว่าสิ่งใดคือรูปโฉมที่งามสมราวกับพรหมช่างปั้น

ตามประสาคนเก็บเนื้อเก็บตัว ดำรัสกับหม่อมเจ้าภูวดลพอประมาณแล้วร่างประเปรียวก็ปลีกตัวออกไปชมการแสดงวงดนตรีควอร์เต็ตอยู่ที่ลานเฉลียงหินอ่อนนอกตัวตึกอันโอ่อ่า ให้อธิปผู้คล่องแคล่วรับหน้ากับผู้หลักผู้ใหญ่ในโถงรับรองแทนเริญดนุภพอยู่ด้านในด้วยสันทัดกว่า

บริเวณด้านนอกนี้ค่อนข้างไม่วุ่นวายคับคั่ง ทั้งยังมีสายลมพละพลิ้วพอเย็นสบาย เรียมลลิตรหันหน้าออกจากแสงจากโคมระย้าสว่างไสว ยลเพียงแสงจากดวงดาวรายระยับบนผืนแพรสีดำที่กางออกเวลาพลบค่ำ

แสงสลัวของไฟดวงเล็ก ๆ ที่กระจายทั่วท้องฟ้าทำให้เจ้าของดวงตาหวานสวยไม่ทันได้สังเกตดีว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่เฉลียงมาแต่ก่อนหน้าแล้ว

"ชอบดาวหรือครับ"

ใบหน้าคมเข้มในแสงเงานั้นคลี่รอยยิ้มออก ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบทหารจะก้าวออกมายืนอยู่ข้างกัน

"ผมชื่อพิษณุครับ ยินดีที่ได้รู้จัก"
 




ชายหนุ่มที่เพิ่งเอ่ยแนะนำตัวเป็นบุตรคนโตของหม่อมเจ้าภูวดลและหม่อมอำไพ ใบหน้าคมขำเช่นผู้เป็นบิดา ทว่ารูปร่างผ่าเผยและมีผิวคล้ามแดดสมดั่งเป็นนายทหาร พิษณุสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร สันทัดกับปืนผาหน้าไม้และระเบียบวินัยมากกว่าคลุกคลีทักทายคนนั้นคนนี้แบบสังคมนักธุรกิจ ถ้าไม่ติดที่เป็นงานเลี้ยงต้อนรับพิรงรอง ผู้เป็นน้องสาวและไม่อยู่ในฐานะของเจ้าภาพก็คงจะไม่ยอมออกจากรมมาให้เห็นตัว

พิษณุปลีกตัวจากความวุ่นวายด้านในออกมายืนรับลมที่เฉลียงอยู่สักพัก ความที่เป็นคืนเดือนมืด ดวงดาวบนท้องฟ้าจึงงามระยับชวนมองกว่าปรกติ จนอดไม่ได้ที่จะมองประกายแสงวิบวับเหล่านั้นแล้วตั้งคำถามกับตนเองว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้แหงนหน้าขึ้นมองความสวยงามของราตรีเช่นนี้

กระทั่งมีใครคนหนึ่งเงยหน้ามองดาวดวงน้อย ๆ เหล่านั้นเช่นกัน

ในตอนแรกนายทหารหนุ่มได้แต่นึกขำที่นอกจากตนแล้วยังมีสหายร่วมอุดมการณ์ นึกพิศวาสความงามบนฟากฟ้ากว่าความหรูหราอู้ฟู่ของงานเลี้ยงในคืนนี้ แถมยังดูท่าจะเป็นหนุ่มสังคมที่ดูงามสง่าไม่น้อย แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ยืนมองแสงวิบวับอยู่ก็ถึงกับทึ่งในดวงหน้าที่งามประหลาดตรงหน้า

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ดาราดารดาษดูจะด้อยค่าเมื่อเทียบกับความงามของดวงตาคู่นั้น พิษณุเผลอมองผู้ชายในชุดสูทสีน้ำตาลนวลอยู่เนิ่นนาน และพลันอึดใจที่ได้สติ เขาก็เอ่ยทัก

"ไม่คิดว่าจะมีคนชอบดาวกว่าแสงไฟในงานเลี้ยงแบบนี้" เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม "คุณชื่ออะไรหรือครับ"

เรียมลลิตรมองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่ไม่ตระหนก ยินดียินร้าย มีแต่ความนิ่งเฉยเป็นปรกติเฉกเช่นทุกครั้งในขณะที่เอ่ยตอบ

"เรียมครับ"

ได้ยินเสียงเรียบแผ่วผนวกกับท่าทีไว้ตัวผิดกับลูกคหบดีทั่วไป พิษณุก็มองร่างประเปรียวตรงหน้าอย่างครุ่นคิด เขารู้จักสหายของบิดาก็มาก สังคมเพื่อนพ้องของตนเองก็ไม่น้อย กระทั่งต่อให้นับรวมกับราชสกุลอื่น ๆ ที่ได้พานพบแต่เยาว์วัย ทุกคนล้วนเติบโตอยู่ในสังคมชั้นสูง ทว่าไม่มีใครดูงามสง่าเทียบได้กับเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเรียมคนนี้

ไม่มีจริง ๆ

"ท่าทางจะชอบดาวมากเลยนะ"

นิ่งไปสักพัก เจ้าของใบหน้าที่งดงามตอบอย่างเชื่องช้า

"แค่ไม่ได้ไม่ชอบอะไร"

นั่นเป็นคำตอบแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่พิษณุเคยได้ยินมา เช่นเดียวกับความภูมิฐานที่ดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและแววตาอ่อนโยนคู่นั้น แววตาแสนจะงดงามที่ให้ความรู้สึกสวยงามแบบดวงดาว

ความรู้สึกที่ทำให้หม่อมราชวงศ์จากราชสกุลที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพยำเกรง ดำรงยศนายทหารยศใหญ่โตรู้สึกว่าตนเองนั้นสูงเพียงผืนแผ่นดิน
"ผมไม่เคยได้ยินใครให้คำตอบแบบนี้เลย"

พิษณุเปรยขึ้นขณะที่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

เป็นครั้งแรกที่ร่างสูงผึ่งผายคิดว่านอกเหนือจากอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว โลกนี้ยังมีสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นสนใจให้กับเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ





อธิปพยายามหาเส้นสายที่พอจะพูดคุยให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องผืนดินบางกะปิที่คาราคาซังอยู่ แต่ความตั้งใจนั้นค่อนข้างคว้าน้ำเหลว ชายหนุ่มพบว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในงานเลี้ยงของท่านชายภูวดลส่วนมากนั้นเป็นนักธุรกิจที่กว้างขวางในพระนคร ไม่ก็สายการทหารที่ไม่สันทัดเรื่องจำพวกนี้นัก ที่เหลือก็จะเป็นเหล่าผู้หญิงที่ดูจะเพลิดเพลินกับนาฎศิลป์ร่ายรำและดนตรีเอาเสียเป็นส่วนใหญ่

อันที่จริงแล้วอธิปมีคนที่อยากจะปรึกษาในใจแต่แรกแล้ว ทั้งยังมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกันในงานคืนนี้ ติดที่ว่าใครคนนั้นดูจะมึนตึงไว้ตัวกับเขาเป็นพิเศษนับตั้งแต่การพบกันที่วัดคราวก่อน

และอธิปก็พอจะเดาเหตุผลได้เลา ๆ

"ไม่ได้พบกันเสียนานนะครับ หวังว่าคุณชายคงสบายดี"

อธิปเอ่ยทักชายหนุ่มในชุดสูทแบบฝรั่งดูโก้แปลกตากว่าที่เคยเห็น

ขวัญสรวงแค่ยิ้มน้อย ๆ ตอบตามมรรยาทก่อนจะกลับไปยืนนิ่ง มองการแสดงรำฉุยฉายบนเวทีซึ่งถูกยกขึ้นสูงราวสามคืบ

"คุณชายมาคนเดียวหรือครับ"

"ท่านพ่อติดราชการที่ต่างจังหวัด ผมมากับท่านแม่ครับ"

ชายหนุ่มตอบสั้นที่สุด ตัดช่องการสนทนาของอธิปจนเจ้าตัวได้แต่ยืนอึ้ง ชมการร่ายรำอันแสนอ่อนช้อยอยู่เงียบเชียบ

เรื่องการวางเฉยไม่ข้องเกี่ยวกับใครของคุณชายขวัญสรวงนั้นเข้าหูอธิปพอระแคะระคายอยู่บ้าง ยิ่งเป็นเรื่องปฏิเสธการตีสนิทใช้เส้นสายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ด้วยแล้วยิ่งถือว่าอยู่ในสายขัตติยพงศ์อย่างเข้มข้น

ชายหนุ่มเห็นพ้องกับเริญดนุภพทุกประการ ไม่ว่าอย่างไร คนของขัตติยพงศ์ก็จะไม่เข้ามาก้าวก่ายจนเกินพอดี ทั้งอุปนิสัยโอบอ้อมอารีมีน้ำใจของเจ้าบ้านนั้นก็น่าคบหา หากผู้อยู่อาศัยติดกันเป็นคฤหาสน์ริมคลองบางกะปิหลังนั้นได้จริง งานของอธิปที่จะต้องคอยกันคนที่เข้าหาผู้เป็นนายให้ไม่สบายใจหม่อมมาร์โจรีและเริญดนุภพก็จะง่ายขึ้นอีกหลายเท่า แต่ความสะดวกนั้นก็นับเป็นเรื่องเล็กนักเมื่อเทียบกับความปลอดภัยที่ได้เป็นเพื่อนบ้านรั้วติดกัน

ขัตติยพงศ์เหมาะที่สุดแล้ว

อธิปเบนความสนใจกลับไปสู่ภาพตรงหน้าอีกครั้งเมื่อเสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับเสียงชื่นชมนางรำที่เพิ่งแสดงจบ ประจวบเหมาะที่จะทลายความมึนตึงเป็นพิเศษของคนที่ยืนขรึมเคร่งเหมือนรูปปั้น

แต่กลายเป็นว่าขวัญสรวงกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเองจนอธิปแปลกใจ

"คุณมาคนเดียวหรือ"

สิ่งที่ได้ยินเรียกว่าสร้างประหลาดใจให้กับอธิปอยู่ไม่น้อย ตลอดเวลาที่ได้ทำการสืบค้นมา ข่าวลือหนาหูเอ่ยว่าคุณชายขวัญสรวงไม่ใคร่สมาคมกับใคร นอกจากการดนตรีก็ไม่คิดก้าวก่ายสนใจเรื่องของคนอื่น ทั้งหวงแหนความเป็นส่วนตัวยิ่งนัก ใครจะไปใครจะมาไม่เคยนับเป็นเรื่องสลักสำคัญ

มิใช่หรือ?

"มิได้ครับ ผมมากับเรียม" อธิปตอบพลางสังเกตสังกาอีกฝ่าย

ทว่าขวัญสรวงยังคงสุขุมขรึมเป็นปรกติ สุ้มเสียงทุ้มยังเรียบเรื่อยขณะเอ่ยถามเหมือนว่ากำลังชวนคุยเรื่องธรรมดาทั่วไป ไม่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ
"ไม่อยู่ดูการแสดงด้วยกันหรือ"

"เขาไม่ค่อยชอบความเอิกเกริกหรอกครับ"

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งในตอนที่นักแสดงชุดใหม่เดินเรียงแถวเข้ามาแล้วย่อตัวลงนั่งกับพื้นรอจังหวะ ขณะที่เสียงดนตรีแว่วขึ้น ขวัญสรวงก็เปรยว่า
"ก็ไม่แปลกที่คุณมาจะสนุกตรงนี้ ผมเข้าใจ"

คำพูดและน้ำเสียงนั้นเรียบง่าย เป็นปรกติทุกอย่าง แต่อธิปกลับรู้สึกชาไปทั้งตัวด้วยความรู้สึกถูกตำหนิหยาม

ขวัญสรวงยังคงยืนนิ่งไม่รู้ร้อนหนาว ดูจะสนใจการแสดงการรำชุดต่อไปอย่างสนอกสนใจเป็นพิเศษด้วยซ้ำ

"ผมคงต้องขอตัวก่อนครับ"

อธิปรีบกวาดตามองหาคนที่อยู่ในบทสนทนาทันที เขาใช้เวลาอยู่ในโถงรับรองเพื่อเรื่องไม่เป็นเรื่องนานเกินไป เห็นควรแก่เวลาที่ไปดูแลเรียมลลิตรแล้วเสียที ร่างสูงมองไปที่เฉลียงหินอ่อนด้านนอกตามที่ผู้เป็นนายเคยเอ่ยปากแสดงว่าเป็นที่นัดหมาย

เรียมลลิตรยืนอยู่ที่ริมเสาที่ทำจากหิน แต่บัดนี้ข้างกายกลับมีชายหนุ่มในชุดทหารอยู่ สังเกตจากความสง่างาม อธิปก็พอจะนึกออกว่าเป็นใคร

หม่อมราชวงศ์พิษณุอย่างนั้นหรือ?





+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ คราวนี้ต้องขอโทษจริงๆ ที่มาค่อนข้างช้า เจองานแทรกเข้าไปแบบไม่สามารถมาต่อได้จริงๆ
แอบตกใจที่มีคนรออ่านอยู่ ต้องขอบคุณมากๆ นะครับ สัญญาว่าจะเขียนให้จบครับ
ตอนนี้มีตัวละครโผล่ออกมาอีกแล้ว เนื่องจากเรื่องนี้คงเป้นเรื่องยาว ตัวละครเลยมาเยอะหน่อย
อย่าเพิ่งโกรธที่ออกมาเบียดพื้นที่พี่ขวัญกับน้องเรียมเลยนะ
เดี๋ยวพอย้ายไปอยู่ข้างกันก็จะมีแต่สองตัวนี้ละ แต่คงอีกสักพักนะ อย่าเพิ่งรีบเบื่อกันเน้อ

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ เดี๋ยวจะรีบชดเชยกับที่หายไปให้
ขอบคุณที่ติดตามกันครับ บวกให้ทุกเมนต์แล้วกราบงามๆ อีกสามสิบที
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 28-10-2014 22:46:11
จะรอวันที่ทั้งคู่อยู่ใกล้กันนะคะ รอน้ำหวานอย่างใจจดใจจ่ออิอิ อยากจิกหมอนสะบัดหน้ากรีดร้องเพราะความหวานของสองคนนี้ค่ะ555555

รอเรื่องนี้มาอัพตลอดเลย หลังรักความน่ารักของเรียม ถึงจะออกมาไม่กี่ตอนแต่ก็พอรู้ว่าเจ้าตัวต้องนิสัยมึนๆใสน่ารักแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 29-10-2014 15:11:50
ชายขวัญของน้องงงงงงงง  :hao5:

ชอบเวลาที่คนเขียนบรรยายถึงชายขวัญจังเลยค่ะ
อ่านไปยิ้มตามไป ชอบผู้ชายอบอุ่น ขี้เล่น ใจดี สุขุมนิดๆ แบบนี้
เป็นผู้ชายแบบที่อยากเจอในชีวิตจริง กร้ากกกกกกก (อ่านแล้วเพ้อมาก ฮือออ TvT) ชอบบบ

ตอนนี้ชายขวัญกับหนูเรียมยังไม่ได้เจอกันเลย
อดใจอยากให้เจอกันไม่ไหวแล้ว >_<
ดูเหมือนว่าคุณชายจะมีคู่แข่งโผล่มาแล้วรึเปล่าคะ?
เป็นนายทหารหนุ่มซะด้วย แอร๊ยยยย เราก็ชอบคนในเครื่องแบบเหมือนกันนะ
แต่ แต่.. เรื่องนี้ชายขวัญอีสเดอะเบสท์ค่ะ! *ชูป้ายไฟโบกไปมา*

นี่ตลกตอนชายขวัญแอบแซะอธิป ถถถถถถ เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย 5555555
ผูกมิตรกันไว้สิคะ อีกไม่นาน(?)จะได้เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันแล้วนะ

รอตอนหน้า อยากให้เจอกันไวๆ แย้วว >_<
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 29-10-2014 17:17:50
ไม่ทันไร คู่แข่งพี่ขวัญก็โผล่มาซะแล้ว
แต่ชอบคนวางตัวแบบพี่ขวัญจังเลย
นิ่งๆ แต่จริงๆก็เป็นเด็กเวลาอยู่กับที่บ้าน พี่ขวัญน่ารัก
ส่วนน้องเรียม นิ่งเกิน นิ่งมากๆ แต่ตอนเจอพี่ขวัญที่วัดก็ดีนะ
มีพูดคุยกัน น่ารักอ่า
รอสองคนนี้เค้าจีบกันรักกันอยู่ค่ะ
นี่เราเข้ามาดูแทบทุกวันเลยว่ามาต่อรึยัง
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-10-2014 19:10:18
ชอบภาษา เนื้อเรื่อง อละการบรรยายค่ะ
ถ้ารวมเล่มไม่พลาดแน่นอน :)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 29-10-2014 20:11:21
ชอบบบบบบ เมื่อไหร่เค้าจะจีบกัน หวานกัน สวีทกัน หุหุหุ กัดผ้าเขินล่วงหน้า 55555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 30-10-2014 13:07:26
ตอนแรกก็นึกว่าใคร แหมมมคุณพิษณุ
แทบจะหงาย นึกว่าเรียมกะขวัญจะเจอกัน
ฮือออออออ รอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อค่า
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓ ♫ ♬ ♪ (๒๘ ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 01-11-2014 12:50:27
เค้ารอเรื่องนี้~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ให้พี่ขวัญกะน้องเรียมเจอกันหน่อยยยยย
พลาดท่าโดนทำคะแนนนำไม่รู้ด้วยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 01-11-2014 21:47:15
ตอนที่ ๓.๒





ตลอดบทสนทนาทั่วไปตามมรรยาท ดวงตาของขวัญสรวงพะวักพะวนกวาดมองไปทั่ว กระทั่งสะดุดกับคนที่มองหาอยู่ที่เฉลียงด้านนอก หากแต่เคียงข้างกันนั้นกลายเป็นคนในเครื่องแบบสีเขียวเข้มคุ้นตา

พิษณุ

ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ญาติกาห่าง ๆ คนนี้เป็นชายชาติทหาร หนักแน่น ไว้ใจได้ก็จริง แต่อาการแจ่มใสช่างคุยผิดไปจากปรกติในยามนี้ชวนให้รู้สึกนึกแคลงใจอย่างบอกไม่ถูก กระนั้นคุณชายขัตติยพงศ์ก็ไม่ละลาบละล้วง ถือเป็นธุระเกินจำเป็น

มูลเหตุแห่งความกังวลในใจนั้นคือเรื่องกระแสลมที่โยกแรง อากาศช่วงฤดูฝนเป็นสิ่งที่ไม่ควรวางใจ ขวัญสรวงอยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตกับฝนฟ้าจนพอรู้จักว่าช่วงเวลานี้ของทุกปี สายลมอันแช่มชื่นมักจะหอบอาการป่วยไข้มาพร้อมกับความเย็นเป็นร่ำไป

กับคนที่บอบบางดั่งกลีบพุดซ้อนยามต้องลมแล้ว จะทนไหวหรือ

อาการเดือดเนื้อร้อนใจที่อุบัติขึ้นอย่างประหลาดนั้นกลายเป็นความอยู่ไม่สุข จะไปยื่นมือเข้าไปติงก็ดูจะก้าวก่ายเกินสนิทสนม ครั้นจะเพิกเฉยไม่รับรู้เอาเสียเลยก็ผิดวิสัย ลงท้ายชายหนุ่มจึงตัดสินใจวางความว้าวุ่นทั้งหมดลงกับอธิปแทน

บอกแล้วก็บอกกัน ถือว่าได้สะกิดชี้แล้ว จะดูแลจัดการอย่างไรก็ไม่เซ้าซี้ให้มากความ

ภวังค์ความคิดกลับมาสู่เบื้องหน้า คืนนี้การแสดงบนเวทีในวังของหม่อมเจ้าภูวดลผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด จบการรำนาฏศิลป์แบบไทยชุดใหญ่ก็เป็นการแสดงบัลเล่ต์แบบฝรั่ง สร้างความประทับใจแก่แขกผู้มาร่วมงานไม่น้อย หากแต่ความประทับใจนั้นกลับไม่อาจเทียบได้กับความปิติปรีดาที่ได้เห็นตัวจริงของคุณชายขัตติยพงศ์ งามสง่าสมคำร่ำลือนัก

กว่าที่ชายหนุ่มจะปลีกตัวจากผู้คนที่ห้อมล้อมก็ใช้เวลาอีกพอประมาณ ขวัญสรวงเลือกที่จะเลี่ยงความวุ่นวายโดยลัดผ่านส่วนจัดวางอาหารที่บัดนี้ค่อนข้างบางตาผู้คน ไม่คิดว่าจะได้พบคนซึ่งสมควรจะอยู่กับพิษณุและอธิปที่เฉลียงด้านนอกนั้นโดยบังเอิญ

เรียมลลิตรกำลังมองจ้องขนมไทยนานาชนิดที่จัดวางพอดีคำอยู่ในกระทงเจียนใบตอง แต่ละอย่างดูประณีตบรรจง ชวนตื่นตาสำหรับคนที่คุ้นกับขนมเมืองฝรั่งมาแต่เยาว์เหลือล้น

ขวัญสรวงจ้องมองคิ้วงามที่เขม็งขมวดบนดวงหน้าเฉยเมยนั้นอย่างนึกเอ็นดู คราวก่อนก็ข้าวตอก คราวนี้จะอะไรอีก พิศอยู่พอสมควรก็เอ่ยขึ้น

"ชอบขนมไทยหรือ"

คนที่มองจ้องขนมชิ้นเล็กอยู่นานสองนานมีแววประหลาดใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายยืนยิ้มอารมณ์ดีอยู่ตรงหน้า เพียงครู่เดียวอากัปอาการนั้นก็เหมือนจมสู่ห้วงมหาสมุทรกว้างใหญ่ เหลือไว้เพียงความเรียบเย็นดูสบายตาชื่นอารมณ์

"นั่นเรียกว่าขนมฝอยทอง"

"ฝอยทอง"

เรียมลลิตรทวนคำช้า ๆ เหมือนให้สลักจำไว้มั่น มืองามเรียวบรรจงหยิบกระทงกลัดทางมะพร้าวขึ้นพินิจแพสีเหลืองปลั่งดั่งสีทองสุกด้วยความสนใจ สักพักก็พึมพำออกมาด้วยอาการทึ่ง

"ค่อย ๆ จับเรียงทีละเส้นหรือ"

ดวงตาใสพิสุทธิ์ตรงหน้ายังคงมองมาเหมือนรอฟังคำตอบด้วยใจจดจ่อ ตรงกันข้ามกับขวัญสรวงที่นิ่งเพราะชะงักกับคำถามไปพักใหญ่ พอตั้งสติได้ ชายหนุ่มก็ถึงกับกลั้นรอยยิ้มอย่างอดไม่ไหว

เรียมลลิตรมิได้เห็นร่องรอยเอ็นดูนั้น เปรยขึ้นขณะคืนกระทงใบตองกลับที่เดิม นึกเสียดายเกินกว่าจะทานลง

"กว่าจะได้สักอัน คงหมดร่วมวัน"

ริมฝีปากของคนที่มองอยู่นานพรายด้วยรอยยิ้ม ขวัญสรวงหยิบส้อมสีเงินเล็ก ๆ จิ้มลงบนเส้นสายสีอร่ามที่ถูกพับจนเล็กกระจุ๋มกระจิิ๋ม ยกขึ้น แล้วส่งให้คนที่เอาแต่มองจ้อง

"ทานเถอะ คนทำคงปลื้มใจถ้าน้องทาน"

ลังเลชั่วครู่ เรียมลลิตรก็เอื้อมไปรับส้อมจากมือกว้างหนาตรงหน้า ลิ้มรสแล้วกลีบปากบางก็คลี่แย้มนิด ๆ ถูกอกถูกใจนักหนา ดวงตาซึ่งปรกติดูหวานฉ่ำอยู่เสมอ เพลานี้กลับวามวาวพราวพรั่งดั่งนิลน้ำงาม

เห็นแล้ว คนที่ส่งให้ก็ยิ้มดีใจ

"เข้ามาข้างในก็ดีแล้ว ไม่รู้หรือว่าละอองน้ำค้างในตอนดึกทำให้เป็นหวัดกันนักต่อนัก" เสียงทุ้มแจ่มใสดังขึ้นขณะที่ผู้พูดเจ้ากี้เจ้าการปัดป่ายหยดน้ำเล็ก ๆ ซึ่งเกาะพราวบนสูทสีน้ำตาลนวลจนชื้น เรียมลลิตรไม่ได้สบตาเจ้าของมือคู่นั้น ได้แต่ยินเสียงพูดทุ้มอุ่นของขวัญสรวง

"เปียกไปหมดแล้ว"

ซับอยู่อีกสักพักเรียมลลิตรก็เอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็เอาแต่ก้มศีรษะน้อย ๆ ให้อีกฝ่ายจัดแจงด้วยความรู้สึกคร้ามอายจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร คราวก่อนเขาก็เมตตาสอนให้ คราวนี้ก็ทำตัวให้เขาเป็นกังวลอีก

"อ้าว! เลยเอาแต่ก้มหน้า"

ขวัญสรวงเอ่ยด้วยเสียงเบิกบานราวกับผนึกรอยยิ้มไว้ในถ้อยประโยค

สายตาที่จับต่ำอยู่เพียงระดับอกหนากว้างตลอดเวลาจึงยกดวงหน้าขึ้น ในใจของเรียมลลิตรนั้นหลากไปด้วยถ้อยคำแห่งความซาบซึ้งน้ำใจ แต่ครั้นเมื่อประทับสายตาลงบนใบหน้าสุขุมที่เจือรอยยิ้มเล็ก ๆ เหนือมุมปากนั้น เสียงในใจก็สลายไปพร้อมกับสีชมพูอ่อนที่เรื่อขึ้นใต้ผิวบางด้วยความกระเดียดกระดาก

ขวัญสรวงเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน ชายหนุ่มเอาแต่ยืนมองใบหน้าที่เนียนดั่งแพรเนื้อนวลอย่างเงียบเชียบ นิ่ง และเนิ่นนานหลายนาที คราวก่อนที่สวมเสื้อผ้ากึ่งลำลองก็ว่างามสะดุดตานัก แต่พอแต่งเต็มชุดแบบฝรั่งยิ่งงามล้ำอย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มได้แต่เผลอมองจนลืมเวลา จวบจนอีกฝ่ายอมยิ้มขึ้นบาง ๆ จึงรู้สึกตัวแล้วยิ้มตอบอย่างนึกเอ็นดู

"เรียม"

เสียงทุ้มอ่อนนั้นดั่งแสงนวลของจันทร์กระจ่าง เย็นแช่มชื่นไม่แพ้ลมในช่วงปลายฝนต้นหนาวขณะต้องผิว

"ไม่ได้พบกันนาน น้องสบายดีรึ ไม่ป่วยไม่ไข้"

เรียมลลิตรก้มหน้าลงคล้ายกับพยักหน้ารับ อีกครั้งที่ดวงตาคู่งามวางบนแผ่นอกหนากว้างเบื้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ กลัดเหนือกลีบปากเรื่อดั่งใครเอาชาดมาแต้ม





หนึ่งในงานของอธิปคือการเป็นหูเป็นตาให้กับเริญดนุภพ งานที่ว่านั้นรวมไปถึงการกันหนุ่มสาวหัวสมัยใหม่เกินจำเป็นให้ห่างจากเรียมลลิตร คนเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นผู้ลากมากดีมีสกุล ร่ำเรียนเมืองนอกมานานจนลืมกิริยาอัชฌาสัยแบบเมืองเราไปเสียสิ้น สตรีก็หูตาแพรวพราว บุรุษก็ช่างเปิดกว้าง เหลือ ถูกใจแล้วก็ไม่เกี่ยงหญิงหรือชาย

แต่อธิปไม่คิดว่านายทหารผู้เคร่งขรึมอย่างพิษณุจะเอากับเขาด้วย

แม้หม่อมเจ้าภูวดลจะประสูติในหม่อมห้าม แต่ขัตติยพงศ์นั้นขึ้นชื่อเรื่องการวางตัวสมเกียรติจนร่ำลือไปทั้งพระนครมาแต่ไหน พิษณุก็เช่นกัน ลือว่าเขาเป็นคนเอาการเอางาน ไม่หลุกหลิกหรือใคร่สังสรรค์ในสโมสรนายทหารแบบคนอื่น นอกจากวังที่ราชปรารภก็มีแต่กรมที่สังกัด เรียบ และตรงไปตรงมาแบบนี้เช่นเดียวกับนิสัย

เมื่อได้สนทนาพาทีด้วยแล้ว พิษณุไม่ได้ให้ความรู้สึกต่างไปจากข่าวที่ได้ยินมาเลย ยังเป็นนายทหารหนุ่มที่มีความคิดความอ่าน นิ่งขรึม พูดน้อยแบบวิสัยทหาร เอ่ยแต่ละครั้งไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกจนอธิปคิดว่าบางทีตนเองอาจกังวลจนคิดเล็กคิดน้อยมากไป

กระนั้นเขาก็ไม่ประมาท ตามประสาคนเป็นทนายที่มีความรอบคอบเป็นที่ตั้ง ชายหนุ่มจึงทำทีเป็นออกปากว่ามีอาหารอร่อยอยากให้เรียมลลิตรลองไปชิมนัก

"อาหารด้านในอร่อยนัก นายน่าจะชอบ"

อธิปจงใจสร้างความสนิทสนมอันคลุมเครือเพื่อปกปิดฐานะที่แท้จริง แม้จะเป็นเจ้าภาพอย่างพิษณุ เขาก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องแจกแจง ไม่ถามกันซึ่งหน้า อธิปก็ไม่คิดปริปาก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และเรียมลลิตรผู้คุ้นแต่อาหารแบบฝรั่งก็ตื่นเต้นอยู่กับความงามแปลกตาของอาหารไทย หลงอยู่ในนั้นเสียเป็นเวลานานเสียทุกครั้ง

"น่่าจะอิ่มจนพุงกาง ป่านนี้ถึงไม่ยอมออกมา"

อธิปเปรยขึ้นมาลอย ๆ ระหว่างห้วข้อพูดคุย ฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน พิษณุยิ้มน้อย ๆ ด้วยความยินดี

"ว่าแต่เจ้าของงานคืนนี้ล่ะครับ ผมยังไม่ทันได้แสดงความยินดี"

เจ้าของงานที่อธิปเอ่ยขึ้นนั้นหมายถึงหม่อมราชวงศ์พิรงรอง น้องสาวของพิษณุที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาจากปีนัง

เอ่ยถึงผู้เป็นน้อง แววตาอันเคร่งขรึมของนายทหารหนุ่มก็แสดงความอ่อนโยนออกมาให้เห็น

"ขานั้นเขาอยู่ไม่นิ่งหรอกครับ ร่ำเรียนการเรือนมาแต่กลับว่องไวปรู๊ดปร๊าดจนทุกคนส่ายหัว"

ชายหนุ่มแค่พยักหน้ารับ ตลอดการพูดคุยที่ออกรส ความสนใจของอธิปติดอยู่กับผู้เป็นนายซึ่งกำลังสนทนาอยู่กับขัตติยพงศ์อีกคนที่ด้านในตึก

ขวัญสรวงนั้นถือเป็นข้อยกเว้น อธิปเห็นแล้วว่าชายหนุ่มเป็นคนลึกซึ้ง หลักแหลมแยบคายไม่ใช่น้อย เหนืออื่นใดคือผู้เป็นนายของอธิปเองก็ดูจะกระตือรือร้นสนใจกว่าทุกครั้ง ตื่นเต้นและมีความสุขจนสังเกตได้

แค่ประการหลังก็เป็นเหตุผลอันเพียงพอสำหรับทุกอย่างแล้ว

สิ่งเดียวที่ยังคงเป็นหนามคอยทิ่มแทงให้แปลบใจก็คือการเจรจาที่ดินอันยืดเยื้อไม่จบสิ้นของผู้เป็นเจ้าของเดิม ได้คืบจะเอาศอกอยู่ร่ำไป แม้นึกอยากจะตอกกลับด้วยกฏหมายที่ร่ำเรียนมาให้เป็นบทเรียนล้ำค่าแค่ไหน แต่ความสุขของผู้เป็นนายนั้นสำคัญกว่าสิ่งใดสำหรับอธิป

ยิ่งคุณชายขวัญสรวงดูจะเข้ากับเรียมลลิตรได้ดีแค่ไหน ความสำคัญที่ต้องยิ่งต้องเจรจาซื้อขายที่ดินให้แล้วเสร็จก็มีมากขึ้นตามลำดับ





หลายนาทีผ่านไป ชายหนุ่มสองคนยืนอยู่เงียบ ๆ ในจุดซึ่งไม่เป็นที่สังเกต ขวัญสรวงอธิบายขนมไทยนานาชนิดตรงหน้าไล่ไปทีละอย่าง ตั้งแต่ขนมประเภทที่ทำยากอย่างจ่ามงกุฏ ไปจนถึงขนมทั่วไปอย่างทองหยิบ ขนมบ้าบิ่น ตะโก้แก้ว บัวลอยถั่วเขียว ขนมอินทนิล หรือประเภทที่ไม่ต้องพิธีรีตรองมากนักอย่างมะกรูดลอยแก้ว แม้เรียมลลิตรจะไม่ได้ซักถามให้วุ่นวายแต่แววตาที่จับจ้องตลอดเวลานั้นบ่งความสนใจของผู้ฟังอยู่ไม่น้อย

"ขนมไทยมีหลายอย่าง เอาไว้แวะมาที่บ้านพี่ สายบุญ แม่ครัวที่บ้านรู้เรื่องพวกนี้กว่าพี่มาก คุณแม่ยิ่งเก่ง"

"ไปได้หรือ"

น้ำเสียงที่เรียบเฉยนั้นแฝงไปด้วยความตื่นเต้น ขวัญสรวงมองภาพนั้นด้วยอารมณ์ผ่องใสเป็นพิเศษ

"ทำไมถึงไม่ได้ เรื่องแค่นี้ไม่ได้เดือดร้อนอะไร"

ยืนนิ่งอยู่สักพัก อธิปก็เดินกลับมาจากเฉลียงหินอ่อนด้านนอก สง่าผ่าเผยไม่แพ้กับหน่อเนื้อที่สืบเชื้อสายมาจากราชสกุล

"คุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือครับ น่าสนุก"

เรียมลลิตรเปรยขึ้น แม้จะเป็นเสียงที่เรียบแผ่วทว่าจังหวะการพูดนั้นเร็วขึ้นจนสังเกตได้

"อธิป ไว้เราไปบ้านพี่ขวัญได้ไหม"

คำว่า "พี่ขวัญ" นั้นสะดุดหูของชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่นัก กระนั้นอธิปก็ซ่อนความประหลาดใจระคนความสงสัยนั้นไว้อย่างระมัดระวัง

"ได้น่ะได้ครับ ถ้าย้ายไปอยู่ที่บางกะปิ บ้านข้างกัน จะไปเมื่อไรก็ได้"

เสียงทุ้มนั้นเว้นห้วงเป็นจังหวะยาว

"หวังก็แต่ให้กำนันจงรักยอมพูดคุยดี ๆ"

ขวัญสรวงที่คิดว่าจะรับฟังเฉย ๆ ถามขึ้นด้วยความสงสัย

"มีอะไรหรือครับ"

"ผมพยายามติดต่อกับทางกำนัน แต่ทางนั้นกลับไม่สะดวกรับสายเสียครั้ง ฝากให้ติดต่อกลับก็เงียบ รุ่งขึ้นก็ให้เสมียนแจ้งว่าอยากจะขอราคาให้สมน้ำสมเนื้อ พอรับปากก็ขอเพิ่มอีกเรื่อย ๆ จนผมจนใจ"

อธิปพูดเท่าที่พูดได้ เห็นท่าทีอันเฉยเมยของอีกฝ่ายตั้งแต่สนทนาคราวก่อนก็ถอดใจเรื่องที่จะเอ่ยขอความช่วยเหลือ

"จริงสิ คงต้องกลับแล้ว ลาคุณชายละครับ"

เห็นอธิปขอตัว เรียมลลิตรก็กระพุ่มมือไหว้ตามแล้วปลีกกลับออกไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านนอก

ขวัญสรวงนิ่ง ไม่ได้เดินตามออกมาส่ง ร่างสูงกำยำยืนเอามือไพล่หลังมองตามอีกฝ่ายพากันเดินไปขึ้นรถ กระทั่งโอลด์สโมบิลสีฟ้าเริ่มเคลื่อนตัวในความมืด

หม่อมแม้นพิศที่เพิ่งเดินออกมากับหม่อมอำไพเห็นบุตรชายยืนมองไปด้านนอกแล้วนิ่งเหมือนรออะไรบางอย่างก็หยุด เขม้นมองสนใจ

รถยนต์ที่เรียมลลิตรกับอธิปนั่งออกไปพ้นหัวมุมแล้วขวัญสรวงจึงหันหลังเดินกลับไปเข้างาน ใบหน้าขรึมคมคายจึงดูจริงจังและมีแววครุ่นคิดบางอย่าง ริมฝีปากที่มักแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม เหยียดตรึงผิดปรกติวิสัย

นั่นเป็นครั้งแรกที่หม่อมแม้นพิศเห็นแววตาของเด็กที่มีต่อขนมหวานสีสวยจากตัวลูกชายของเธอ




(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 01-11-2014 21:49:12
(ต่อครับ)





งานเข้าพรรษาถูกจัดขึ้นพร้อมกับงานปิดทองฝังลูกนิมิตขึ้นอุโบสถหลังใหม่ที่สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของชาวบ้านบางกะปิ

ใบหน้าของหม่อมแม้นพิศอิ่มเอิบผ่องใส คุณหญิงขัตติยพงศ์แต่งกายด้วยผ้าลูกไม้สีขาวสะอ้านกับซิ่นสีเขียวก้านมะลิ งามเรียบแต่อ่อนช้อยชวนมองด้วยความประณีตเรียบร้อยสมกับที่สืบสาแหรกมาจากนางสนองพระโอษฐ์องค์สมเด็จพระอัยกีแห่งพระพุทธเจ้าหลวงพระองค์ก่อน

ปิดทอง หย่อนสมุด ดินสอ และเข็มกับด้ายลงไปแล้ว หม่อมเธอก็ประนมมืออธิษฐานจิตแก่ศิลานิมิตให้พระบิดาแห่งผืนแผ่นดิน พุทธศาสนา ตลอดจนครอบครัวบริวารแข็งแรงสุขภาพ ปราศจากอุปัททวะโรคภัย ให้แดนสยามเป็นดั่งเขตแดนแห่งสีมา เป็นเขตสถิตย์แห่งมิ่งมงคล ตลอดจนดลบันดาลให้บุตรชายพบกับคนอันเป็นที่รัก อยู่กินใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในเร็ววัน

วัยที่ล่วงเลยสู่ความชราทีละน้อย หัวอกคนเป็นแม่ไม่ได้เป็นห่วงสิ่งใดนัก  ด้วยรู้นิสัยบุตรชายว่าเป็นคนรู้คิด ไม่ใช่คนสุรุยสุร่าย ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ก็มากพอจะใช้ชีวิตได้สุขสบาย ขวัญสรวงเป็นคนรับผิดชอบ ช้าหรือเร็วก็คงผลิใบเติบใหญ่เป็นไม้งามเจริญตามบิดา ยามนี้ในใจของคุณหญิงเธอกลัดหนองก็เพียงเรื่องคู่ครองของบุตรอันเป็นที่รัก หากได้คนดีสมเสมอกัน ครอบครัวก็ไม่รุ่มร้อน ร่มเย็นไปถึงบ่าวไพร่ทั้งขัตติยพงศ์

แววตาแห่งความปรานีทอดมองบุตรชายที่นั่งอมยิ้มอยู่เคียงข้าง ขวัญสรวงยื่นศอกออกมา เอ่ยเสียงแจ่มใส

"วันนี้ขออนุญาตควงผู้หญิงที่สวยที่สุดในพระนครจะได้ไหมครับ"

"ทะลึ่งทะเล้นนักเทียว ลูกคนนี้"

มืออวบอูมตีลงบนต้นแขนคนตัวโตเบา ๆ ก่อนจะทิ้งนำหนักกับวงแขนที่มั่นคงนั้น หม่อมแม้นพิศพยุงตัวลุกขึ้น เดินไปด้วยกันโดยมีบ่าวรับใช้คอยตามอยู่ห่าง ๆ อีกที





ขวัญสรวงส่งมารดาที่เฉลียงศาลาการเปรียญตามคำร้องขอ ตุณหญิงขัตติยพงศ์แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอบางกะปิไปเสียแล้ว นานวันก็ยิ่งพึงใจกับความเป็นอยู่เรียบง่าย สนทนาปราศรัยกับชาวบ้านที่นี่เสียยิ่งกว่าคนในพระนครเสียอีก

"คุณพี่ ไม่ได้เจอเสียนาน สบายดีนะคะ" สตรีในชุดลูกไม้สีชมพูเข้มรุดขึ้นมาเอ่ยทัก

สะอิ้งเป็นสาวใหญ่วัยสี่สิบที่มักแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาดแบบสาวรุ่น เหลืองก็ต้องเหลืองสด เขียวก็ต้องเขียวจัด ตำแหน่งเมียใหญ่ของกำนันจงรักซึ่งมีอิทธิพลในละแวกนี้อยู่ไม่น้อยทำให้หล่อนชูคอระหงไปทั่ว เจอใครก็วางตัวว่าอยู่อีกขั้น เป็นผู้ลากมากดีในแบบที่หล่อนจินตนาการเอาตามละครวิทยุ ทุกครั้งที่พบกับหม่อมแม้นพิศก็มักจะตีสนิทเสมอเทียม แต่ท่านแม่ก็สงบพอจะไม่ถือโทษโกรธความ

"ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งใหญ่โตเท่าไร ตัวเราก็ควรต้องยิ่งเล็กลงเท่านั้น ไม่ชอบที่เขาทำบาตรใหญ่ก็อย่าได้เป็นแบบเขา"

คำพูดที่ผู้เป็นมารดาพร่ำสอนอยู่เสมอนั้นพลอยทำให้ขวัญสรวงทุเลาจากอารมณ์กรุ่นเคืองเสียทุกครั้ง

"น้องคิดถึงคุณพี่อยู่ทุกวัน คุยกับใครก็ไม่ถูกคอเหมือนคุณพี่" สะอิ้งเอ่ยเสียงดังไปทั้งศาลา

ผู้เป็นมารดาคงรู้นิสัยของขวัญสรวงดีจึงหันมาส่งยิ้มให้ รอยยิ้มที่เปรียบดังสายน้ำเย็นนั้นชะโลมไฟในทรวงของชายหนุ่มจนดับสิ้น ไม่เหลือแม้แต่เชื้อ

"ชายขวัญออกไปเดินเล่นเถอะ กลับแล้วแม่จะให้คนไปตาม"

ใช่ว่าจะเดาใจผู้เป็นแม่ไม่ออก เมื่อออกปาก เขาก็พร้อมปฏิบัติตามอย่างไม่นึกคร้าน ชายหนุ่มจึ่งหันไปพยักหน้าน้อย ๆ กับบ่าวที่ยืนถือตะกร้าอยู่ด้านหลัง

"สายบัว เธออยู่ตรงนี้เถิด มีอะไรก็ให้ไปตาม"

ขวัญสรวงยืนมองหม่อมแม้นพิศอยู่อีกสักพัก เมื่อเห็นสายบัวเดินไปตามน้าบานชื่นและคนอื่น ๆ มาคั่นกลางระหว่างสะอิ้ง จนใบหน้าเขรอะเครื่องสำอางของเมียใหญ่กำนันจงรักค่อย ๆ มึนตึงด้วยความขัดเคืองจึงเบาใจ ยอมปลีกตัวออกไป





ขาทั้งสองข้างของขวัญสรวงมาหยุดยืนที่หน้าพุ่มข้าวตอกดอกไม้ บัดนี้รวงข้าวเล็ก ๆ ที่ใช้เวลาทำกว่าสัปดาห์ถูกมัดขึ้นเป็นช่อประดับบายศรีขนาดใหญ่อยู่ในอุโบสถ ขาวละม่อมดุจดอกไม้ที่ผลิดอกจากปุยเมฆบนชั้นสวรรค์ พิศก็ให้ยิ่งนึกถึงดวงตาพร่างหยาดน้ำค้างที่เคยมองอย่างซักถามไม่หยุดหย่อน ถ้ามาเห็นความงดงามตรงนี้คงได้นั่งตอบคำถามจนหมดแรง

ดวงตาคมละจากบายศรีที่รายประดับรอบพระประธาน ขวัญสรวงไม่ได้มาเพื่อหยุดชื่นชมความงามของรวงดอกไม้นับหมื่นเช่นนี้ หากแต่จงใจมาเพื่อรอพบใครคนหนึ่ง พร้อมกับธุระบางอย่างที่สำคัญกว่าความน่าอัศจรรย์ของรวงดอกฟ้าตรงหน้านี้มาก

"อ้าว! คุณชายขวัญ นาน ๆ จะได้เจอกันที"

ได้ยินเสียงคนที่รอคอย ขวัญสรวงยกมือขึ้นไหว้ ทักเสียงเย็น

"สวัสดีครับ บังเอิญได้พบกำนันที่นี่"

นิสัยเมียเป็นอย่างไร นิสัยผัวก็ไม่ต่าง ความเป็นคนช่างสังเกต ขวัญสรวงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะเช่นนั้นสีหน้าของชายหนุ่มจึงไม่ได้แสดงออกถึงความประหลาดใจเมื่อชายร่างท้วมดูกร่างอย่างกำนันจงรักจะรีบเข้ามาทักทายราวกับสนิมชิดเชื้อมานานแสนนาน

"แล้วนี่มากับหม่อมท่านรึ"

ขวัญสรวงพยักหน้ารับ สุ้มเสียงหนักแน่นกังวาน

"กำนันสบายดีนะครับ"

"สบายดี ๆ"

เพราะตรึกตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว หลักจากทักทายตามอัธยาศัย ชายหนุ่มก็เปิดเข้าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ประหยัดเวลา ไม่ถือพิธีรีตรอง

"พบกำนัน ผมว่าจะถามเรื่องที่ดินอยู่พอดี ไม่รู้ว่าคิดเห็นยังไง"

เฒ่าผู้กว้างขวางแห่งคลองบางกะปินิ่งไปสักพักแล้วยิ้มกริ่มอารมณ์ดี อิ่มเอมนักที่วันนี้คุณชายขัตติยพงศ์ผู้แสนถือตนเป็นฝ่ายยำเกรงเข้าหา

"ที่ติดต่อจะมาขอซื้อนั่นหรือ เรื่องนั้นผมไม่มีปัญหาหรอก"
กำนันจงรักพูดเสียงกังวาน นิสัยเอารัดเอาเปรียบนั้นดั่งเช่นลายที่สลักบนผิวหนัง กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเทียบเท่ากับอวัยวะชิ้นสำคัญมาช้านานแล้ว

"จะติดที่ว่าอยากจะเก็บที่ริมน้ำไว้เป็นมรดกให้ไอ้จ้อย ใครจะรู้ว่าอีกหน่อยบางกะปิอาจจะเจริญ มีโรงหนังแบบฝรั่งหรือรถเมล์รถรางแบบอำเภอชั้นในเขามี ที่ตรงนั้นเป็นที่งามนะคุณชาย ยิ่งติดกับคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ด้วยยิ่งงาม ผมอยากให้มันสมน้ำสมเนื้อ ไม่ให้ลูกชายมันมาตามว่าเอาทีหลังได้"

ขวัญสรวงนึกขันอยู่เพียงแต่ในใจตนเอง ในท่วงท่าอันสงบนิ่งความหน่ายต่อการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นกำลังต่อสู้อย่างเข้มข้นอยู่ภายใน

"ผมทราบว่ามาทางนั้นน่าจะเป็นคนใหญ่คนโตอยู่ไม่น้อย"

แม้พื้นฐานจะไม่ละเอียดละออแต่กำนันจงรักไม่ใช่คนโง่ เกริ่นมาแค่นี้ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการพูดถึงอะไร เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าขวัญสรวงจะหยิบยกขึ้นมาพูด

เรื่องเป็นคนใหญ่โตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกินความคิดกำนันเฒ่าแต่แรกแล้ว แต่ถึงกับต้องออกปากอย่างนี้ เห็นว่าใหญ่โตที่ว่าอาจจะไม่ใช่แค่ใหญ่โตธรรมดา เสียแล้ว เช่นนั้นความกังวลของกำนันจงรักจึงวกมาสู่เรื่องสนนราคาที่ดิน หากไม่สมเหตุสมผลจนอีกฝ่ายร้องประเมิน คนที่ลำบากอาจไม่แคล้วเป็นตน

หากแต่หมูมาให้กินถึงที่ จะให้คนละโมบอย่างจงรักถอดใจง่าย ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก กำรี้กำไรกว่าสองเท่าล่อใจให้กำนันจงรักตัดใจยากเย็น

"อย่างนั้นเชียวรึ?"

ขวัญสรวงพยักหน้า ตอบเสียงเรียบเอาการเอางาน

"คนที่ซื้อที่ทีละหลายสิบไร่ได้ ไม่เคยเห็นว่าเป็นเศรษฐีธรรมดา ทางนั้นน่าจะเป็นพ่อค้าวานิช มีธุรกิจหลายอย่าง"

อิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของกำนันจงรักนั้นปกคลุมแค่คุ้งน้ำบางกะปิ เกินกว่านั้นสิงห์เฒ่าก็รู้ประมาณตนว่าอาจเป็นได้แค่เปลวไฟเล็ก ๆ บนก้านไม้ขีด โลกที่นอกเหนือจากคลองแสบแสบจะเป็นอย่างไรนั้นไม่เคยรู้ แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนมั่งมี การอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ผูกสมัครรักใคร่ไว้แต่เนิ่น ๆ บางทีอาจจะดีกับตนและครอบครัวยิ่งกว่า

"ที่พูดมาก็น่าคิด คุณชายคิดว่ายังไงล่ะ"

"ผมว่าน่าจะลดราคาที่ลงจากเดิมอีกสักนิด ให้พ้องตามโฉนดที่แก้ไขใหม่"

กำนันจงรักเสียงแข็งขึ้นทันที

"อย่างนั้นไม่ได้หรอก เห็นจะมากเกินไป"

ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่ายังคงนิ่งเฉย พูดเสียงเรียบแต่เฉียบขาดนัก

"ถ้าทางนั้นเรียกระวังชี้อีกรอบว่าหลักเขตเคลื่อนได้ยังไง กังวลว่ากำนันอาจจะมีปัญหากับกรมที่ดินได้ กลัวเรื่องจะลามไปใหญ่โต"

คำพูดที่เกินจะคาดคิดของขวัญสรวงทำให้กำนันจงรักหนาวไปถึงสันหลัง ทั้งที่วัน ๆ ชายหนุ่มดูจะไม่สนใจความเป็นไปสักอย่างแต่กลับรอบรู้อย่างลึกซึ่้ง

เรื่องรังวัดที่มีปัญหานั้นมาจากอุบายของกำนันจงรักเอง สิงห์เฒ่าไม่คิดว่าจะมีใครรู้เหตุ และที่ยิ่งคิดไม่ถึงก็คือขัตติยพงศ์จะออกหน้าแบบนี้ เหงื่อกาฬเม็ดเล็ก ๆ กลั่นซึมบนมือหนาหยาบที่เต็มไปด้วยริ้วรอย นี่ไม่ใช่คำปรึกษาอย่างที่ขวัญสรวงเอ่ยสักนิด

มันเป็นคำสั่งแบบไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธได้ชัด ๆ

"ถ้าคุณชายเมตตา ผมก็คงต้องพึ่งบารมีคุณชาย"

กำนันเฒ่าจำใจตอบ รู้ดีว่าบิดาของคนที่ยืนผึ่งผายอยู่ตรงหน้านั้นใหญ่โตถึงเพียงไหนในกระทรวง

ขวัญสรวงยิ้มเรื่อย พูดตรงตามความรู้สึก

"อย่าคิดแบบนั้นเลยครับ ตัวผมเองไม่ได้รับราชการแบบท่านพ่อ อำนาจอะไรคงไม่มี เห็นแก่ที่กำนันจงรักก็เป็นคนคุ้นกันก็กังวล ไม่อยากให้มีปัญหา"

มาถึงขั้นนี้แล้ว กำนันจงรักได้แต่กำมือแน่น ใบหน้าแดงก่ำอวบอูมบิดเบี้ยว ลงท้ายก็จำพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

"เช่นนั้นกระผมก็ไม่ติดขัดอะไร"





แดดยามเช้าอาบผิวสีอุ่นจนกลายเป็นสีทองนวล ตักบาตรถวายดอกไม้แล้วเสร็จ ขวัญสรวงก็คุกเข่าจรดมือรับพรมงคลจากพระสงฆ์ รอกระทั่งท่านพายเรือออกจากท่าน้ำไปจึงเหยียดตัวขึ้นแลสวมรองเท้า

ดอกผักบุ้งสีขาวแซมม่วงคลอเคลียสายเมฆที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ มีสีแสดแต้มจุดดำของปีกผีเสื้อกระพือพลิ้วเย้าสายลมเหนือน้ำสีเขียวใสในคลองที่กระเพื่อมจนเป็นริ้ว มือหนากว้างหยิบเมล็ดข้าวสุกที่เหลือในขันแล้วโปรยลงน้ำ ทอดสายตามองมัจฉาน้อยใหญ่ผลุบขึ้นผลุบลงอย่างเพลินใจ

"ตกลงเรื่องซื้อขายที่ของกำนันจงรักเป็นยังไงบ้าง"

ขวัญสรวงเอ่ยถามขณะโปรยข้าวสุกบนฝ่ามืออีกครั้ง

"น่าจะเรียบร้อยดีแล้วนะครับคุณชาย ได้ข่าวว่ากำนันแกขายราคาตามประเมินจริง ลดลงกว่าที่ตั้งไว้ตอนแรกโขเลย อีกประเดี๋ยวก็คงได้เริ่มสร้างพระราชวังกัน"

ขณะที่เก็บข้าวของต่าง ๆ บนถาดให้เป็นระเบียบ บ่าวคนสนิทก็เหน็บเล็กแนมน้อยไปตามประสาอย่างอดไม่ได้ พูดไปก็ทำหน้าตื่นเต้นเสียออกหน้าไป

"เขาลือกันว่าจะสร้างแบบฝรั่งทั้งหมด คนออกแบบก็เป็นฝรั่งจากอิตาลีเชียวนะครับ สร้างเสร็จก็อยู่เคียงกับคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ คงจะใหญ่โตโอฬาริก กำนันแกคงยืดน่าดูที่ท้องที่นี้จะมีตึกฝรั่งสวย ๆ แถมที่ดินเดิมก็ยังเป็นของแกอีก นี่ก็เห็นว่าโอนที่ทำสัญญากันแล้ว ราคาดีจนน่าตกใจ"

ท่าทางของขวัญสรวงดูจะไม่ใส่ใจนัก และเมื่อได้ยินคำตอบที่พล่ามมาเสียยาวก็แค่ส่งเสียง "อืม" รับสั้น ๆ แล้วเดินขึ้นเรือนไป ทิ้งให้บ่าวคนสนิทได้แต่บ่นปอดแปดตามหลังด้วยความขี้สงสัย

"มันต้องมีอะไรแน่ละ มีแน่ ๆ อยากรู้เสียจริงว่าใครไปพูดอะไรแกถึงได้พลิกลิ้นเป็นคนละคนแบบนั้น"




+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ ขอบคุณมาก ๆ ที่ติดตามอ่านกันนะครับ
จบตอนนี้ไปก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดก็จะได้ย้ายมาอยู่ใกล้กันซะที
ซึ่งก็แปลว่านื้อเรื่องจะเริ่มเป็นรูปเป็นทรงมากขึ้น ขาดแค่เติมตัวละครอีกหน่อยน่าจะดีขึ้นครับ

เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ตัวละครเยอะอีกเรื่อง แต่ไม่ต้องกังวลครับ
โผล่มาหยอมแหยมเป็นตัวละคร ABCD อะไรแบบนี้ไป
จะว่าไปแล้ว พิษณุนี่เป็นตัวละครที่น่ากลัวสำหรับคนแต่งมากครับ
เพราะพีเรียดกับเครื่องแบบทหารนี่มันช่างเอื้อกันนัก
เรื่องของเรื่องคือเดี๋ยวพี่ขวัญที่ไม่เป็นโล้เป็นพายจะดับอนาถเอา 555555

หลังจากแต่งไปประมาณนึงแล้วก็พบว่าพีเรียดนี่มันช่างเป็นทางที่ไม่ถนัดเอาซะเลย
ความอึดอัดที่ีสุดก็คืออาการพิรี้พิไรของแต่ละตัว ขัดใจมาก อยากจะให้พูดจาเห็นดำเห็นแดงกันไปจริงๆ
แต่ความอดทนอดกลั้นก็ได้มาซึ่งจังหวะจะโคนแบบนิยายพีเรียดอย่างที่ตั้งใจ พอใจประมาณนึงครับ

โม้มาเยอะละ พบกันตอนหน้าครับ ฝากติดตามด้วยนะ ^ ^
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 01-11-2014 22:36:01
ไม่ถนัดพีเรียดหรือเนี่ย ส่วนตัวแล้วเราอ่านก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะคะ เขียนได้ลื่นไหลมากๆขอชื่นชม

รอทั้งสองคนสวีทหวานแววกันอย่างใจจดใจจ่อนะ5555555

ปล.หลงรักนักเขียน มาต่อไวดีค่ะ เป็นกำลังใจให้ ^^
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 01-11-2014 22:45:40
โอ้ยยย ดีใจ มาอัพแล้ว

ยาวด้วย 555555

ชอบตอนนี้มาเลย พี่ขวัญดูอยากได้น้องเรียมมาอยู่ใกล้ๆ
ไปขอมาลยเซ่

น้องเรียมก็น่ารักเหลือเกิน ฮือออ
ฟินมากกก 
ไงตอนต่อไปรีบมาต่อนะคะ รักคนเขียน 55555555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 01-11-2014 22:57:08
โอ้ยยยย ชอบบบบ คิดแล้วว่าพี่ขวัญต้องจัดการให้น้องเรียมมม อิอิอิ
อิตากำนันไรนี้จะมาสร้างปัญหาอะไรอีกไหม แกคงแค้นน่าดู แต่คิดว่าพี่ขวัญคงแก้เกมส์ได้แน่นอนถ้าเกิดอะไรขึ้น
คือแบบ ไม่รู้สิ ชอบอะ ชอบบบบ ชอบอีกอย่างเวลาพี่ขวัญเรียกน้องเรียม ว่าน้อง
มันดูแบบ แบบ แบบไงดีอะ น่ารักอะ ชอบบบ เขินด้วย
ชอบเวลาที่พี่ขวัญกับน้องเรียมอยู่ด้วยกัน คุยกันอะ แค่นั้นมันก็อิ้มๆ มันดูฟรุ้งฟริ้งกิงก่องแก้วมากกก
ออร่าแห่งความสุขขจรขจายไปเลยงี้ น้องเรียมก็ดูมีใจ แลดูสดใสเวลาอยู่กะพี่ขวัญ
โง้ยยยยยยยยยยยยยย สรุป มาต่ออีกเร็วๆน๊าาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 02-11-2014 02:12:34
เรียกกันแบบพี่ขวัญกะน้องเรียม
เอื้อออออออออออออชอบบบค่าาา
ถ้าระหว่างสร้างอยากดูการทำงาน
น้องเรียมก็มาอยู่กับพี่ขวัญสิ
บ้านใกล้เรือนเคียงอิๆๆๆๆๆ

คุณพิษณุนี่คงไม่จบแค่นี้โฮ
ชอบเวลาเขาคุยกัน ดูแบบอมยิ้ม ฟีลกู๊ดดี
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 02-11-2014 14:28:35
พี่ขวัญกับน้องเรียมมุ้งมิ้งน่ารักมากกกก TvT
ไม่แน่ใจว่าระหว่างฝอยทองกับบรรยากาศตอนสองคนนี้อยู่ด้วยกันอะไรมันจะหวานกว่า
แต่ชอบมากเลยค่ะ ชอบตอนที่พี่ขวัญเรียกน้องเรียมว่าน้อง มันแบบ โฮกกกกกกกกกกกก
นี่อยากถลาเข้าไปซบอกชายขวัญจริงๆ นะคะนี่  :-[

แต่บอกตามตรง ยิ่งอ่านเรายิ่งสงสารอธิปค่ะ 5555555555
มันเป็นความรู้สึกแบบ โอ้ยย ทั้งสงสารทั้งเอ็นดู คืองานราษฏงานหลวงอธิปเยอะมาก
แล้วยังโดนชายขวัญแซะอยู่เนื่องๆ แบบนี้รู้สึกเห็นใจ 55555555555 (แล้วขำทำไมเนี้ย กร้ากกก)

นอกจากชายขวัญแล้วขอชูป้ายไฟอธิปด้วยคนนะคะ 5555555
ส่วนพิษณุนี่อย่างที่คนเขียนบอกเลยค่ะ หนุ่มในเครื่องแบบนี้มันราศีจับดีจริงๆ  :-[ :-[ :-[

แต่จะว่าไปบรรยากาศระหว่างพิษณุกับอธิปก็ดูมีอะไรให้จิ้นดีนะคะ 5555555555

ชอบมากค่ะ
รอตอนหน้า เค้าจะได้มาอยู่ใกล้กันแล้ว ชายขวัญนี่นอกจากจะขี้เล่น อบอุ่นใจดี ยังแอบมีมุมร้ายลึกแบบนี้ คนอ่านยิ่งปลื้มค่า  :hao5:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 02-11-2014 15:49:26
ชอบบรรยากาศเวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกัน มันมีความสุขมากอะ
อีกนิด เค้าก็จะจีบกันแล้วใช่มั้ยคะ ตื่นเต้นนน
กรี๊ดใส่หมอนรอ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 05-11-2014 15:04:26
ชอบมากกกก
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 06-11-2014 12:46:55
พี่ขวัญจัดการให้เสร็จสรรพ หึหึหึ
อย่างนี้หม่อมแม่ของพี่ขวัญไม่ต้องกังวลเรื่องคู่ครองแล้วล่ะค่า555
แล้วถึงชายพิษณุเค้าเป็นทหาร แต่ทางคุณอธิป(และพี่เริญ?)
ก็ดูจะให้คะแนนไปทางพี่ขวัญของเราเยอะกว่าอย่างเห็นได้ชัด
น้องเรียมเองก็ดูสนอกสนใจพี่ขวัญดี ไม่ใช่แค่นิ่งๆใส่ ฮี่ๆๆ

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 06-11-2014 16:31:25
โอยชายขวัญของน้องง ชอบผู้ชายแบบนี้จังค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Miele_M ที่ 06-11-2014 19:56:08
"ชอบนิยายแนวพีเรียดเรื่องนี้มาก"

นี่ขนาดผู้แต่งไม่ค่อยถนัดยังแต่งได้ดีขนาดนี้เทียว?
ทั้งภาษาทั้งรูปแบบการบรรยายในรายละเอียดต่างๆที่มีในเนื้อเรื่อง
ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวมากค่ะ อ่านเพลินสุดๆไม่มีสะดุดเลย o13
ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบจนบัดนี้ติดพี่ขวัญกับน้องเรียมในเวอร์ชั่นนี้เรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆ

ขอเป็นกำลังใจให้จนจบเรื่องเลยนะคะ นิยายแนวพีเรียดดีๆแบบนี้หาอ่านไม่ได้ง่าย
แอบเชียร์ให้ทำเป็นหนังสืออยู่เงียบๆ...โอเคตอนนี้ไม่เงียบแล้วล่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: SoulFighter ที่ 08-11-2014 20:00:24
น้องเรียมน่ารักอย่างนี้ ไม่แปลกที่พี่ขวัญจะเอ็นดู

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 14-11-2014 17:12:25
ชอบจัง ภาษาสวยมาก อ่านเพลินเลย เป็นอีกเรื่องในดวงใจแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๓.๒ ♫ ♬ ♪ (๑ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 15-11-2014 14:12:13
ขอให้รวมเล่มๆ สาธุ  :hao7:

ขอติดเป็นนิยายในดวงใจ ทั้งภาษา การเล่าเรื่อง ทุกอย่าง ชอบมากค่ะ

มาต่อเถอะนะคะ เดี๋ยวคนอ่านลงแดง 5555  :katai5:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 18-11-2014 21:11:17
ตอนที่ ๔




ดังคำพูดสมัยใหม่ที่ว่า "เงินทองนั้นบันดาลได้ทุกสิ่ง" ย่างเข้าเดือนสิบเอ็ด ตึกฝรั่งขนาดใหญ่กว่าเท่าก็ตระหง่านเคียงข้างคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ บรรยากาศที่เวิ้งคลองแสนแสบบัดนี้เปลี่ยนไปจนละม้ายเมืองฝรั่ง ชาวบ้านที่แจวเรือผ่านไปมาต่างก็ต้องชะลอพายชมความงามโอ่อ่า หยุดมอง แทบลืมกะพริบตา

คนซึ่งดูจะตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นกำนันจงรัก พินอบพิเทาแวะเวียนมาพูดคุยกับอธิปแทบจะวันเว้นวัน

พลาดกำไรจากที่ดินผืนงามไปแล้ว คนหัวพ่อค้าอย่างกำนันจงรักก็หวังกอบโกยคืนให้ครบ เขาไม่ใช่คนสุจริต อาศัยเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ไต่เต้าจากเสมียนต่ำต้อยขึ้นมาเป็นกำนันได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี

การขายที่ดินซึ่งไม่ได้กำไรตามควรให้กับอธิปนั้นเปรียบประมาณริ้วแผลให้แสลงสะเก็ดอยู่ร่ำไป วิสัยของคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ทำให้กำนันจงรักคิดว่าหากเส้นสายนั้นทำให้ต้องยอมกลืนเงินเบี้ยแบบไม่เต็มหน่วยเม็ด เขาก็จะเป็นคนย้อนเกล็ดมันกลับเสียเอง สักวันเส้นสายนี้ก็ต้องทำให้ตนได้ประโยชน์มากขึ้น ไม่ทางหนึ่งก็ทางใด อธิปจะเป็นทางลัดสู่ความมั่งคั่งของเขาละครอบครัวในอนาคตอันใกล้นี้

หลังจากสองสามครั้งที่มาเยี่ยมเยียนถึงคฤหาสน์งามในฐานะคนใหญ่คนโตของท้องที่ กำนันเฒ่าก็เริ่มเหน็บสะอิ้งมาด้วยเป็นครั้งคราวเหมือนแวะเยือนเป็นทางผ่าน เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง กระทั่งถึงเวลาเหมาะควร การจะพ่วงจ้อยไปด้วยอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

"พ่อจะพาฉันมาที่นี่ทำไม ไหนว่าจะแวะไปบ้านน้องทิพย์"

"อุวะ! ไอ้ลูกไม่รักดี วัน ๆ เอาแต่คิดจะเฝ้าสาว" กำนันจงรักพูดเสียงฉุนเมื่อเห็นท่าทีเกียจคร้านของลูกชาย แต่สะอิ้งไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้นัก

"คุณพี่ก็อย่าเอ็ดอะไรอ้ายจ้อยมันเลย ลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว จะมองสาวสักคนน้องว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แม่น้ำทิพย์อะไรนั่นก็สวยใช้ได้ ดีกว่าปล่อยให้ไปติดนางลิเกท้ายตลาด หูตาแพรวพราวพิลึก"

สะอิ้งเถียงสามีทันควัน พูดไปก็ลูบเนื้อตัวจ้อย ปลอบประโลมราวกับถ้อยคำตำหนินั้นจะทำให้ผิวระคายแสบร้อน ครั้นพอเห็นสีหน้าเบื่อเสียเต็มประดาของลูกรัก หล่อนก็ไม่วายจะตระหลบกลับมาพูดถึงเจ้าของบ้านอย่างไม่สบอารมณ์

"นี่ก็เหมือนกัน พี่เป็นถึงกำนันของที่นี่ แวะมาแทนที่จะต้อนรับให้สมฐานะ นี่อะไร ให้รอที่ศาลานอกบ้าน"

"เอาเถอะแม่สะอิ้ง รอจนถึงเวลาของเราเถอะ"

กำนันจงรักพูดอย่างอดกลั้น ส่วนจ้อยที่นิ่งอยู่สักพักนั้นได้ลุกขึ้น เดินสำรวจไปรอบ ๆ แล้วหัวเราะหยัน

"มีปัญญาปลูกตึกเสียใหญ่เปล่า แต่ไม่มีปัญญาปลูกไม้ โง่บรม"





อธิปนั้นมองทุกอย่างจากหลังเฉลียงชั้นบน แม้ไม่ได้ยินชัดถ้อยชัดคำแต่การอ่านกำนันจงรักและเหล่าบริวารนั้นไม่ต่างกับการเปิดหนังสือที่เขารู้จักเป็นอย่างดีทุกตัวอักษร ง่ายดาย ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ชายหนุ่มมองเจตนาถึงการมาของอีกฝ่ายออกแต่แรก หากแต่เลือกที่จะเก็บความเคลือบแคลงไว้ในท่วงท่าเรียบนิ่ง ไม่ระคายเหมือนถ่านหินที่ซ่อนความร้อนแต่ภายใน

เพียงสิ่งเดียวที่อธิปคิดไม่ตกก็คือเพราะเหตุใดคนประเภทกำนันจงรักจึงเปลี่ยนใจขายที่ดินให้อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังขายในราคาประเมินตลาดเช่นนี้ ความคิดนั้นได้สะดุดลงเมื่อมีเสียงทักขึ้น

"คราวนี้จะเอายังไงดีพ่ออธิป แห่กันมาอีกแล้ว"

นมละเอียดพูดขึ้นด้วยเสียงหน่าย บ่าวไพร่บริวารคนอื่นก็แสดงออกในสีหน้าด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน

"ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับนม ปล่อยไปจนกว่าจะเหนื่อย"

อธิปตอบสั้น มองกลุ่มคนตรงศาลาริมน้ำที่เริ่มออกท่าหัวเสีย ชายหนุ่มจงใจทิ้งให้อีกฝ่ายรอนานขึ้นในแต่ละวัน ปล่อยให้เป็นหนูตกบ่วง วิ่งวนในโทสะและโมหะตนจนเหนื่อยอ่อน ล่าถอยไปเอง ไม่ต้องเปลืองแรงออกปากไล่ให้ผิดใจกัน

"คิดว่าคงอีกไม่นานหรอก"

ริมฝีปากของชายหนุ่มพร่างรอยยิ้มน้อย ๆ ขณะที่ก้มมองเข็มนาฬิกาบนข้อมือที่เพิ่งจะผ่านไปสิบห้านาทีเท่านั้น

คงมีเวลาจัดการเอกสารอีกสักฉบับสองฉบับกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ร่างสูงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเอกสาร ทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น





เช่นเดียวกับบรรยากาศในคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ที่ยังคงสงบร่มเย็นและดำเนินไปตามปรกติวิสัย ยามเช้าเจ้าบ้านจะออกมาตักบาตรที่ท่าน้ำ ตรวจตราความเรียบร้อยในบ้าน ทีี่คอกม้า และไม้น้อยใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านแตกยอดตลอดแนว ตกบ่ายถ้ามีเอกสารภาษาอังกฤษของวังใหญ่ เขาก็จะจัดการให้เรียบร้อย เสร็จงานก็จะมาสอนดนตรีแก่ลูกชาวบ้านในละแวกนี้ดังกิจวัตรที่ทำทุกวัน

วันนี้เทพมานั่งรอที่ตั่งใต้ร่มพะยอมด้วยอาการกระปรี้กระเปร่า อวดความก้าวหน้าในแบบฝึกหัดให้กับคุณครูได้ชื่นชมในความก้าวหน้า

"พ่อชมว่าผมเป่าเพลงกระต่ายลอยคอเพราะ"

"ขนาดนั้นเทียวรึ"

ชายหนุ่มถามอารมณ์ดี นึกเอ็นดูในความมุ่งมั่นของเด็กตัวน้อย

"จริง ๆ นะครับพี่ขวัญ พี่ทิพย์ก็ยังชม"

แต่ไม่นาน รอยยิ้มก็จางลงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจากอีกฝั่งของรั้ว สะอิ้งบ่นไม่หยุด ขณะที่จ้อยก็วิสาสะเดินสำรวจไปมาเหมือนเป็นบ้านตนเอง แค่เห็นชายหนุ่มก็ให้รู้สึกอ่อนใจ

"กำนันเป็นเพื่อนกับข้างบ้านหรือครับ ผมเห็นมาบ่อย ๆ"

เพื่อนหรือ? สำหรับกำนันจงรักอาจจะนับว่าใช่ แต่กับอีกฝ่าย ขวัญสรวงไม่แน่ใจ

"พี่ก็ไม่แน่ใจ"

ขวัญสรวงยิ้มบาง เลือกจะให้คำตอบเด็กชายตัวน้อยแบบกลาง ๆ

หนึ่งเดือนเศษหลังจากที่เพื่อนบ้านใหม่แวะมาเยี่ยมเยียนที่คฤหาสน์ขัตติยพงศ์ตามธรรมเนียม ขวัญสรวงได้สนทนากับอธิป รู้สึกได้ถึงการวางตนแบบพิธีรีตรองของอีกฝ่าย และเมื่อพิจารณาดูแล้ว การที่คนแบบอธิปจะสนิทสนมกับกำนันจงรักคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

ส่วนเรียมยังคงพูดจาประหยัดถ้อยคำเช่นเดิม ตลอดการพูดคุยและรับประทานอาหารว่างโดยฝีมือสายบุญร่วมกันกัน แผ่นหลังตั้งตรงนั้นยังคงนิ่งสนิท จะมีก็แต่นิลน้ำงามคู่นั้นที่เยื้อนยิ้มอยู่ในแววตายามได้ชิมเล็กชิมน้อย นานครั้งจะได้ยินคำตอบรับสั้น ๆ ว่า "ครับ" ให้พอคนชวนคุยไม่รู้สึกเคอะเขิน

นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ขวัญสรวงได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านซึ่งย้ายมาใหม่ แต่ครั้งเดียวนั่นก็มากพอที่จะมั่นใจได้ว่ามิตรสหายนั้นเป็นเรื่องที่ไกลเกินกว่ากำนันจงรักจะเอื้อมถึง

ร่างสูงใหญ่ลากลมหายใจยาวเมื่อเห็นครอบครัวของกำนันจงรักป้วนเปี้ยนอยู่ในอาณาเขตของฝั่งตรงข้าม วางใหญ่โต ตินั่นตินี่ราวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินยังไม่ถูกถ่ายโอนไปพร้อมกับการซื้อขาย

แม้จะไม่ได้ถามความโดยตรงจากปากผู้เป็นเจ้าของใหม่ก็พอจะคะเนได้เลา ๆ ว่าการปรากฏตัวแทบทุกวันนั้นของคนเหล่านั้นสร้างปัญหากวนใจได้มากขนาดไหน

อธิปนั้นคงไม่เท่าไร

อีกคนนี่สิ จะเป็นอะไรไหม?

ความว้าวุ่นก่อตัวขึ้นเงียบเชียบในใจของชายหนุ่ม ไร้ร่องรอยจนแม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกเฉลียว ใจนึกประหวัดไปถึงคราวที่ตนบีบกำนันจงรักให้ยอมขายที่กลาย ๆ ความไม่นึกญาติดีกับอยุติธรรมทั้งมวลนั้นมีเป็นฟืนอยู่แล้ว แม้นหากไม่มีใครเติมเชื้อก็คงไม่เกิดเปลวอัคคี

ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามที อาการไม่ประสาต่อความละโมบของอีกฝ่ายนั้นจุดเปลวไฟบนขอนที่พร้อมปะทุตลอดเวลาของขวัญสรวงให้โชนแสง

เขาก้าวเดินอย่างเงียบเชียบออกมาจากหลังม่าน คิดว่าเรื่องจะจบ ใครเล่าจะเชื่อว่าความเห็นแก่ได้ของกำนันจงรักนั้นจากลากสายเป็นใยบัว ตัดแล้วก็โยงยางไม่ยอมจบสิ้น หอบลูกเมียมาเช้าถึงเย็นถึงแบบนี้

"พี่ขวัญครับ"

คนที่จมอยู่กับความคิดเบนความสนใจกลับมาอยู่ที่ลูกศิษย์ตรงหน้า ส่งยิ้มให้กับดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ที่มองด้วยความอยากรู้

"แล้วพี่ขวัญเป็นเพื่อนกับข้างบ้านด้วยไหมครับ"

"ทำไมถึงคิดแบบนั้น" ชายหนุ่มถามต่อด้วยความเอ็นดู

"พี่ขวัญมองไปทางบ้านนั้นบ่อย ๆ"

"อ้อ" คนฟังสะดุ้งน้อย ๆ หลายวันผ่านมาเขาไม่ทันได้สังเกตตัวเอง ไม่เอะใจว่าความเป็นกังวลนั้นทำให้เผลอมองไปฝั่งตรงข้ามบ่อยจนแม้แต่เด็กยังรู้สึกได้

"ก็เลยคิดว่าพี่ขวัญจะเป็นเพื่อนกับพี่ที่อยู่ข้างบ้างน่ะหรือ"

"ใช่ครับ" เด็กชายเทพตอบฉะฉาน ก่อนจะลังเลชั่วครู่แล้วถามตรงตามความคิด "ทะเลาะกันหรือครับ"

ได้ยินแล้วคนตัวโตถึงกับกลั้นหัวเราะ บ่าทั้งสองข้างไหวเทิ้ม

"พี่ไม่ได้ทะเลาะกับเขา" ขวัญสรวงตอบยิ้ม ๆ ตามความจริง เห็นอีกฝ่ายทำหน้าโล่งอกก็ยกมือขึ้นลูบหัว เอ่ยขึ้น "วันนี้พอแค่นี้ไหม เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง พี่จะให้เยื้อนไปส่ง"

"ครับ"

เทพตอบ ปิดสมุดโน๊ตแล้วเก็บใส่ถุงผ้าอย่างระมัดระวัง





ตึกฝรั่งสองชั้นที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนนั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบขนมปังขิงตามสมัยนิยม เริญดนุภพตั้งชื่อสำหรับเรียกง่าย ๆ ว่า "ตำหนักน้อย" ตามขนาดที่ดินซึ่งเล็กกว่าตำหนักภัทรกุลเกินครึ่ง ทิศตะวันออกของซึ่งเป็นด้านหน้าของตัวอาคารมีน้ำพุขนาดเล็กล้อมกรอบด้วยพรมหญ้าเขียวชะอุ่ม ตัดกับสีดอกจำปีของตัวตึกจนงามแยบยล ความโอ่อ่านั้นยังประดับประดาด้วยปูนปั้นสลักเถาดอกไม้สีขาว ไล่ไปตั้งแต่หน้ามุข เฉลียง วนจนรอบ

ตัวตำหนักใหญ่เป็นทรงหกเหลี่ยมตีออกทั้งสองข้าง ทิศใต้ซึ่งติดกับลำคลองนั้นเป็นเรือนปั้นหยาทะลุเชื่อมถึงกัน หลังคาซ้อนหลั่นแบบคอสอง ประดับด้วยลูกกรงฉลุไม้เป็นลวดลายเดียวกับตึกใหญ่ ด้านหลังปลูกศาลาเล็ก ๆ ขนาบริมน้ำสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ

ระเบียงชั้นสองของเรือนด้านข้างนี้เป็นมุมที่เรียมลลิตรโปรดปรานเป็นพิเศษ นอกจากเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทุ่งบางกะปิได้ไกลสุดลูกหูลูกตาแล้ว ชานนี้ยังหันหน้าไปทางทิศลม อากาศจึงร่มเย็นแช่มชื่นแต่เช้าจรดค่ำ บ่อยครั้งที่ออกมายืนพักผ่อนก็ให้เผลอหลงลืมกระทั่งเวลา

แม้จะค่อนคล้อยเข้ายามเย็นแล้ว แต่เรียมลลิตรเพิ่งตื่นนอนไม่นานนัก นี่เป็นเวลาปรกติตามวิถีชีวิตที่ปราศจากความเร่งรีบร้อนรน ไม่ต้องทำงาน และใช้เวลางานสังคมเฉพาะงานที่ชื่นชอบเพียงช่วงกลางคืน

ชายหนุ่มสวมลำลอง นุ่งแพรม่วงเปลือกมังคุด และยืนอยู่เงียบ ๆ มองเปลวแดดสีกลีบกุหลาบทอดลำแสงหยอกล้อกับผิวนที

ทว่าความงามพริ้มพรายในสายตาของเรียมลลิตรนั้นเปรียบไม่ได้เลยกับความงามที่ปรากฎต่อหน้าของแขกผู้มาเยือน

"เจ้าของบ้านหรือวะ"

จ้อยพูดขึ้นเหมือนตั้งคำถามกับตัวเอง อารมณ์ที่คุกรุ่นพร้อมจะระเบิดเมื่อครู่เหมือนถูกผ้าผืนนุ่มห่อหุ้มไว้จนกลายเป็นความหวามไหวในพริบตา แปลกประหลาดจนแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้

แม้นไม่ได้มีทรวงอกกลมกลึง หรือสะโพกผายชวนมองแบบหญิงสาว แต่ดวงหน้าอันผ่องกระจ่างนั้นกลับงามสะดุดตากว่าหญิงใดที่จ้อยเคยพานพบ เรือนร่างแม้จะสง่าสมชายชาติ ทว่าอีกด้านก็สะโอดสะองพละพลิ้วเหมือนยอดอ่อนของผักบุ้งน้ำ กรอบหวาน น่าลิ้ม

มีหรือใครจะไม่คิดเชยชิม

"ตรงนั้นน่ะ อยู่ที่นี่รึ"

เสียงตะโกนโหวกเหวกทำให้เรียมลลิตรเหลียวมองด้านล่าง เมื่อเห็นเป็นคนแปลกหน้า ดวงตาฉ่ำน้ำก็ระคนไปด้วยความประหลาดใจและความตกใจพอ ๆ กัน

ความใหญ่โตนั้นถูกปลูกฝังอยู่ในความคิดของจ้อยแต่เล็ก เมื่อมีอำนาจก็ไม่จำเป็นต้องสำรวมเกรงใจ ชายหนุ่มจึงถือตนเป็นคนสำคัญ ละแวกคลองแสนแสบไม่มีใครไม่รู้จักกำนันจงรัก

เช่นกัน ต้องไม่มีใครที่ไม่รู้จักจ้อย

"เป็นเจ้าของบ้าน ทำไมไม่ลงมาต้อนรับ หรือถือว่าบ้านแสนโก้ จะให้แขกยืนคอยจนเมื่อยขาก็ไม่เป็นไร"

เลือดฉีดขึ้นบนผิวแก้มของเรียมลลิตรจนระเรื่อด้วยความอับอาย ถ้อยคำตำหนิไม่ไว้หน้านั้นทำให้ร้อนวาบไปทั้งตัว ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้ง สีหน้าแม้จะยังคงเรียบนิ่งแต่ก็ฉายแววพิพักพิพ่วน ทำอะไรไม่ถูก

ทันใดนั้น

"มีธุระอะไรหรือ"

เสียงอธิปดังขึ้นจากทางด้านหลัง แม้จะไม่ใช่เสียงตะโกนโหวกเหวก แต่น้ำเสียงที่หนักแน่นก็ทำให้ท่าทีกระด้างกระเดื่องนั้นลดลงไปไม่น้อย

จ้อยหันกลับมา ขมวดคิ้ว เผชิญหน้าคนตัวโตที่ขัดจังหวะอย่างถมึงทึง

หากแต่ยังยังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็สาวเท้าเข้ามายืนประชิด เอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวาน น่าเกรงขาม

"บ้านเรายังตกแต่งไม่เรียบร้อย ไม่สะดวกจะรับแขก เชิญที่ศาลาริมน้ำจะดีกว่า"

สีหน้าของจ้อยก่ำขึ้นด้วยความฉุน แต่เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อและแม่เป็นฝ่ายเดินมาทักทายยกมือไหว้คนตรงหน้าก็ได้แต่จำใจกดโทสะไว้แต่ในใจ

"นี่คุณอธิป เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ที่ซื้อที่ต่อจากเราไง ส่วนนี้เจ้าจ้อย ลูกชายของกระผมเองขอรับ"

กำนันจงรักหัวเราะเบิกบาน ส่วนสะอิ้งก็เสริมทันควัน สอดคล้อง

"ยกมือไหว้คุณเขาสิลูก ฝากเนื้อฝากตัวกับคุณอธิปไว้"

จ้อยยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ

อธิปนั้นรับไหว้ตามมรรยาท ดวงตาคมมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา

"ไม่ทราบว่ากำนันจะมา ผมติดงานอยู่ ต้องขอโทษที่ลงมาต้อนรับช้า"

"แล้วนี่คุณอยู่คนเดียวรึ คนอื่น ๆ เล่า"

จ้อยถามแทรกขึ้นทั้งที่มีคำตอบอยู่แล้ว ในใจยังวนเวียนอยู่กับคนบนเฉลียงเมื่อสักครู่

เมื่อผู้เป็นลูกเอ่ยขึ้น ผู้เป็นแม่ก็เสริมตามประสาคนกระหายใคร่รู้ทันที

"นั่นสิคุณ ปลูกเรือนใหญ่โต มีเรือนเล็กเรือนน้อย จะอยู่คนเดียวก็ใช่ที่ คนอื่น ๆ ละคะ จะได้รู้จักมักจี่กันไว้"

อธิปไม่ได้ตอบอะไร แต่ใช้สายตาเย็นยะเยือกและสีหน้าเคร่งขรึมหยุดทุกคำถามของผู้มาเยือน กำนันจงรักเป็นคนแรกที่เอ่ยปากขึ้นมาอย่างรู้ทางลม

"แดดร้อนเหลือ ไปนั่งที่ศาลากันเถอะ"

แม้จะยังนึกสงสัยแต่เมื่อผู้เป็นผู้นำครอบครัวเอ่ยปาก สะอิ้งก็โบกมือตะเพิดจ้อยให้เดินกลับไปที่ร่มศาลา จากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถามถึงเรียมลลิตรอีกเลย




(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 18-11-2014 21:13:49
(ต่อครับ)




ค่ำนี้ลิเกเรื่องจันทโครพยังเรียกเสียงชื่นชมได้ไม่ขาดเช่นทุกครั้ง เกือบทั้งหมดของเสียงปรบมือนั้นถูกกำนัลแก่ดาวเอกของคณะผู้รับบทเป็นนางโมรา

จันดีมีใบหน้าสวยสะพรั่ง ผมดกดำเป็นพู่ไหมเช่นสาวดรุณี ผิวพรรณขาวกระจ่างเหมือนเนื้อแตงอ่อน ทรวดทรวงอ้อนแอ้น อะไรที่สมควรจะน้อย หล่อนก็มีพอดีตัว เนื้อหนังยังเอิบอิ่ม ไม่ผอมแห้ง ส่วนอะไรที่สมควรจะมี หล่อนก็มีจนล้นเหลือ ซ้ำยังใจกว้างเปิดเผยแบ่งปันให้เป็นอาหารตาชายหนุ่มพอหอมปากหอมคอ ของใดที่ไม่สึกไม่หรอ หล่อนก็ไม่เคยหวง

หากแม้นเปรียบสาวรุ่นทั่วบางกะปิดั่งดอกแก้ว หอมอ่อน เป็นธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่ง จันดีก็เปรียบดังดอกจำปาแดง กรีดกราย ฉูดฉาด หอมฟุ้งไปทั่ว

หล่อนขึ้นชื่อว่ามีท่วงท่าร่ายรำอันชดช้อย จันดีรู้ว่าต้องทำอย่างไรคนดูจะชอบและตบพวงมาลัยให้อย่างไม่นึกเสียดาย โดยเฉพาะวิธีที่หล่อนชะม้ายมอง เล่นเอาหัวใจใครต่อใครหวามไหวไม่สมประดี

แต่สาวเจ้าไม่ปล่อยตัวไปกับใครง่าย ๆ จันดีเลือกเฉพาะคนที่ตอบแทนได้สมน้ำสมเนื้อ ใช่แค่ทรัพย์สินเงินทอง ค่าใช้จ่ายสำหรับหล่อนหมายถึงความมีหน้ามีตาด้วย เมื่อจ้อยคือคนที่ให้ได้ทั้งสองสิ่ง หล่อนก็ปรีดาจะปรนนิบัติต่อเขาเป็นพิเศษ

"พี่จ้อยของจันดี รอนานไหมคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดื่มโอเลี้ยงเย็น ๆ ก่อน"

มือเรียวนวดเฟ้นไปบนเนื้อตัวจ้อยอย่างคล่องแคล่ว คุณสมบัติเหล่านี้นางผุยผู้เป็นแม่สั่งสอนหล่อนมาแต่เล็กแต่น้อย คล่องพอ ๆ กับรำลิเก แม้แต่จ้อยซึ่งวันนี้ดูฉุนเฉียวมึนตึงกว่าทุกครั้งยังอ่อนลงเมื่อต้องสัมผัสพัดวีของหญิงสาว

ชายหนุ่มผ่อนยิ้ม ชอบอกชอบใจ

ทุกวันหลังจากการแสดงเสร็จสิ้น นายศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ติดตามของจ้อยจะกันที่ไว้เป็นส่วนเฉพาะอยู่บริเวณด้านหลังของเวทีสำหรับผู้เป็นนาย เมื่อจันดีผลัดผ้าเปลี่ยนชุดแล้ว หล่อนก็จะนวยนาดมาหาชายหนุ่ม ฉอเลาะอ่อนหวานจนกว่าเขาจะกลับ

ซึ่งบางครั้ง จ้อยก็ไม่ได้กลับ

"ค่ำนี้ให้จันดูแลให้ไหมคะ"

ใบหน้างามรัญจวนไปด้วยความหอมหวานเอนแนบกับแผ่นอกของชายหนุ่มอย่างไม่นึกขวยเขิน แต่วันนี้จ้อยกลับไม่ได้ตอบรับความอ่อนหวานแบบทุกครั้ง เขาเหม่อลอย เย็นชาแบบขอไปทีเท่านั้น

"ไม่ต้องหรอก วันนี้เหนื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว"

"เสียดายที่ีไม่มีโอกาสได้ทานข้าวกับพี่จ้อย" แววตาปลั่งประกายหม่นลงเหมือนใจหาย หล่อนพูดว่า "วันก่อนพ่อค้าที่ตลาดบอกว่าเพิ่งได้กำไลมาจากเมืองจีน เป็นหยกสีขาวหายาก เนื้อก็งาม ของสมเกียรติคู่ควรกับพี่จ้อย จันไม่อยากให้พลาดไปอยู่กับคนอื่นนะคะ"

หญิงสาวเว้นช่วงไปสักพัก แล้วเอ่ยเสียงเศร้า

"ตั้งใจคิดว่าจะพาพี่จ้อยไปดูกัน คงต้องปฏิเสธเขาไป"

ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วยกโอเลี้ยงขึ้นจิบ

"เป็นผู้ชาย จะเอาของแบบนั้นไปทำไม ถ้าจันอยากได้ก็ไปซื้อมา บอกให้เขาไปเก็บเงินกับพี่"

จ้อยพูดอย่างไม่คิดมาก เรื่องเงินทองถือเป็นเล็กน้อยสำหรับเขา

"จันกราบขอบพระคุณที่เมตตานะคะ จันเป็นแค่นางลิเกต่ำต้อย ถ้าพี่จ้อย ไม่กรุณา ชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้แตะของสวยงามแบบนั้น"

หญิงสาวกราบแนบอกของจ้อย นอบน้อมอ่อนหวาน

"ถึงยังไง จันก็เกรงใจ"

"คิดเสียว่าเป็นของชดเชยที่วันนี้พี่ไปกับจันไม่ได้ก็แล้วกัน"

ถือว่าเอ่ยคำลาชัดแจ้งแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน แหวกมือเปิดฉากกั้น ก่อนจะลอดตัวออกไป เขาเดินดุ่ม ๆ ไปยังรถสามล้อถีบที่รออยู่ เมื่อศักดิ์เปิดม่านให้โดยไม่ต้องออกคำสั่ง จ้อยก็ก้าวพรวดขึ้นไปนั่งบนเบาะพร้อมกับอาการครั่นจิตครั่นใจบอกไม่ถูก

ความรู้สึกหวามไหวไปกับคนซึ่งเจอเมื่อตอนบ่ายกรุ่นอยู่ในอกจนไม่มีกระใจทำอย่างอื่น

ไม่เชิงว่าเป็นความเสน่หาอยากลิ้มรสเสียทีเดียว เหล่านี้นับว่าเพี้ยนเสียยิ่งกว่าจับหมูหมามาเทียมเกวียนแทนวัวควาย ครั้นจะปฏิเสธว่าไม่มีอารมณ์รัญจวนแม้แต่น้อยก็ตอบตัวเองได้ไม่เต็มปาก

อดรนทนไม่ได้ จ้อยก็ออกคำสั่งกับคนสนิท

"ศักดิ์ เอ็งไปสืบมาว่าที่ดินเดิมของข้ามีใครมาอยู่บ้าง ชื่ออะไร"

"ได้จ้ะพี่" ศักดิ์รับคำ

"แล้วเอ็งคอยดูให้มั่น อย่าให้พวกมันรู้ตัว วันไหนอ้ายคนที่ชื่ออธิปนั่นไม่อยู่ เอ็งรีบมาบอกข้าทันที"

"จ้ะ" ศักดิ์พูดฉะฉาน สักพักก็ยิ้มกริ่ม "ว่าแต่ตอนนี้ยังไม่ดึก พี่สนใจจะแวะไปบ้านน้ำทิพย์ก่อนหรือเปล่า"

"กลับบ้าน กูไม่มีอารมณ์"

ชายหนุ่มตอบสั้น เต็มเสียงพร้อม ๆ กับดึงม่านปิด





การรอคอยของจ้อยสิ้นสุดลงเมื่อหลายวันถัดมา

อธิปได้รับโทรศัพท์จากวิศาลว่าเกสร ผู้เป็นมารดานั้นป่วยไข้ด้วยโรคประสานธาตุ แม้บัดนี้จะมีอาการไปในทางที่ดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังประมาทไม่ได้ หมอเจ้าของไข้จึงให้พักอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชตรงถนนวังหลัง ชายหนุ่มจึงต้องขับรถเข้าไปในเขตบางกอกน้อยอย่างเร่งด่วน

ใจของอธิปว้าวุ่นด้วยแรงสังหรณ์ประหลาด ความกลัดกลุ้มเรื่องอาการของมารดาก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่นึกพื้นเสีย ประหวั่นอยู่ลึก ๆ กับเรื่องที่ตำหนักจนต้องตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อย

"อาจจะต้องค้างคืนที่นั่นสักสองสามวัน ผมโทรแจ้งกับผู้ช่วยของคุณเริญแล้ว ขอคนมาช่วยเป็นหูเป็นตาที่นี่ในเวลาที่ผมไม่อยู่ คงจะถึงสักวันพรุ่งนี้"

แม้เสียงจะเคร่งสักเพียงใด สีหน้าที่จริงจังนั้นก็ระคนไปด้วยแววพะวักพะวนกับทางนี้อยู่ไม่น้อย

"เรื่องราวอะไรทางนี้คงไม่มีดอกพ่ออธิป อย่างมากก็เรื่องแขกไม่ได้รับเชิญ ไม่มีใครอยู่ก็คงจะกลับไปเอง อย่าเป็นห่วงทางนี้เลย"

ละเอียดพูดขณะแบ่งข้าวกระยาคูที่ลงมือกวนตั้งแต่เมื่อคืน ทันทีที่ทราบข่าวแม่นมก็กะเกณฑ์บ่าวไพร่มาช่วยกันคนละไม้ละมือ ปรุงรสด้วยน้ำผึ้งและน้ำนมอย่างดี ด้วยเชื่อในสรรพคุณว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ให้ผลฉมังสำหรับคนไม่สบายในช่องท้องตามตำรับโบราณ

"ขออย่าเป็นอะไรรุนแรงเลยแม่คุณ บุญรักษา"

หญิงชราโบกมือให้เด็กคนอื่นในบ้านยกปิ่นโตนำไปใส่ไว้ที่รถของอธิป ขณะที่เธอเองค่อย ๆ เดินมาส่งชายหนุ่มที่ชานบ้าน เด็กรับใช้คนอื่น ๆ ในตำหนักน้อยก็ยืนเรียงหน้าเป็นพระอันดับพร้อมเพรียงแล้ว ทุกอย่างเป็นระเบียบจนชายหนุ่มคลายกังวลลงไปมาก กระนั้นความรู้สึกสังหรณ์ใจก็ยังสลัดออกไปไม่สิ้น อธิปตรึกตรองถี่ถ้วน อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะทำให้เบาใจได้มากขึ้น แต่สิ่งนั้นคืออะไร เขายังนึกไม่ออก

เห็นชายหนุ่มยื้อเวลาอยู่นาน นมละเอียดก็ท้วงเรียกสติ

"รีบไปรีบมาเถอะ แม่เกสรคงชื่นใจที่ได้เห็นหน้าลูกรัก"

เมื่อโดนตัดบท คนที่ยืนกอดอกจึงได้ยอมขับรถออกไปแต่โดยดี





แสงเงินแสงทองแตะคลื่นเมฆ ส่องสว่างทั่วผืนฟ้า แต่ในตำหนักน้อยกลับมีบรรยากาศขมุกขมัวเหลือเกิน ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีที่รถของอธิปพ้นอาณาเขตภัทรกุล รถอีกคันก็ผ่านพ้นประตูรั้วเข้ามา

แม้วัยจะล่วงเลยมากว่าค่อนชีวิต แต่หูตาของนมละเอียดยังดีไม่แพ้กับหนุ่มสาว เสียงรถยนต์ที่ไม่คุ้นหูทำให้ผู้เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าบริวารเดินออกมาดูถึงเฉลียง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร หญิงชราถึงกับออกอาการฉุน

"คุณเข้ามาได้ยังไง พ่ออธิปไปข้างนอก ไม่ได้มีใครบอกรึ"

"มี แต่ไม่อยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร เจ้าบ้านคนอื่นมี ออกมารับก็ได้"

จ้อยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน สาวเท้าก้าวเข้ามาในตึกหน้าตาเฉย

"อ้าว! แขกมาเรือน จะใจดำไม่มีใครยกน้ำมาต้อนรับกันเลยหรือไง"

บ่าวไพร่ในบ้านที่ล้วนเป็นหญิงสาวและคนแก่เฒ่าต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก  ด้วยตำหนักภัทรกุลเองนั้นยังไม่เคยต้อนรับแขกที่ไร้มรรยาทเช่นนี้มาก่อน นมละเอียดเดินตามเข้ามาถึงกับตื่นตระหนกเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนนั่งลงบนโซฟาลายเถากุหลาบ ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างเบิกบานนักหนา

"ธุระอะไรเอาไว้วันหลังเถอะคุณ พ่ออธิปไม่อยู่ เราเองไม่สะดวกต้อนรับคน"

เพราะไม่เคยได้พบเจอครอบครัวของกำนันจงรักทางประตูด้านหน้าที่ติดกับถนนใหญ่มาก่อน นมละเอียดจึงระวังแต่ที่ศาลาริมน้ำด้านหลังตำหนัก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาทางรถจึงไม่ได้ออกไปจัดการ กลายเป็นปัญหาแบบนี้

หญิงชราพอรู้ว่าพื้นเพนิสัยวางก้ามของจ้อยเป็นอย่างไร จึงไม่นึกตำหนิแขกยามหน้าประตูซึ่งเป็นคนในท้องที่บางกะปินัก แม้นว่าแข็งขัน ตอบบ่ายเบี่ยงเท่าไร ถ้าอีกฝ่ายจะรั้นก็คงยากจะฝืนทาน เดือดร้อนไปได้ทั้งครอบครัว

"แล้วคุณเรียมอยู่ไหนเสีย ไปแจ้งสิ ว่าลูกกำนันจงรักมา"

นมละเอียดทำท่าจะเป็นลมเมื่อได้ยิน แข้งขาอ่อนยวบแทบจะล้มตึง

เธอรู้จากปากบ่าวไพร่เกี่ยวกับเรื่องคราวก่อนที่กำนันจงรักมา จ้อยได้พบกับคุณเรียมโดยบังเอิญ แม้นนับจากนั้นผู้เป็นนายจะไม่เคยออกปากพูดถึง แต่คนที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กอย่างละเอียดตะหนักดีว่าเรียมลลิตรรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่มที่นั่งกระดิกเท้าสบายอารมณ์คนนี้ คุณเรียมเธอแค่เป็นผู้ดีเกินกว่าจะแสดงมันออกมา ที่อีกฝ่ายเอ่ยปากแบบนี้ คงไม่ใช่ว่าหมายมั่นปั้นมือไว้แต่แรกแล้วหรือไร

"ไม่ต้องรีบก็ได้ ฉันรอได้เรื่อย ๆ มีเวลาทั้งวัน"

กิริยาอาการเหมือนคนไม่ได้รับการอบรมคราวก่อนที่ว่าเลวร้ายแล้วนั้นยังเทียบไม่ได้กับที่แสดงให้ประจักษ์ตรงหน้าในตอนนี้ ละเอียดได้แต่ยืนเม้มปากแน่นด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

"อิฉันเกรงว่าจะไม่สะดวก"

"ไม่สะดวกก็ไปทำงานทำการเสียสิ"

นมละเอียดถึงกับยกมือขึ้นทาบอก เนื้อตัวร้อนวาบขณะเขม้นมองอีกฝ่ายที่กำลังผิวปากด้วยอารมณ์บันเทิงอย่างไม่เชื่อสายตา





เสียงรถยนต์ที่ไม่คุ้นหูทำให้เรียมลลิตรคิดว่าเป็นรถยนต์ที่นำข่าวสารเกี่ยวกับท่านแม่มาจากเริญดนุภพ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแขกผู้มาเยือนในวันก่อน ร่างประเปรียวก็ยืนอึ้งอยู่สักพักก่อนจะเดินลงมาจากบันไดช้า ๆ ท่วงท่าสำรวม งามสง่านั้นยังคงสลักอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว

"คุณหนู" หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ ใจคอไม่ดี

ผิดกับอีกคนที่ผุดลุกขึ้นทันควัน สีหน้าแช่มชื่น

"คราวก่อนไม่ทันได้คุยกัน ดีจริงที่วันนี้มีโอกาสได้เจออีกครั้ง" จ้อยหัวเราะร่าเริง "บังเอิญเสียจริง ฟ้าคงไม่อยากปล่อยให้แขกต้องรอพบเจ้าบ้านอยู่แบบครั้งที่แล้วเป็นแน่"

นมละเอียดสะกดลมหายใจที่ร้อนผ่าวของตัวเองอย่างยากเย็น ตะลึงกับแต่ละคำพูดของอีกฝ่ายจนขนลุกซู่ ต้องรีบเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน หญิงชรากวักมือเรียกบ่าวไพร่ให้มารวมกัน แม้จะเต็มไปด้วยเด็กสาวที่มักคุ้นกับธรรมเนียมวัง ไม่อาจต่อปากกับคนประเภทนั้นได้ แต่ก็คงดีกว่าจะปล่อยให้ผู้ที่ไม่เต็มใจต้อนรับสนทนากับเรียมลลิตรตามลำพัง

ส่วนตัวเธอเองก็ปลีกตัวออกมา แล้วมุ่งไปอีกด้านของตำหนัก

"แม่แดง ช่วยพยุงฉันออกไปที"





ตาคมกวาดตาดูกลุ่มเด็กสาวที่เดินเข้ามาแล้วนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นตามคำสั่งของหญิงชรา รู้ดีว่านี่เป็นคำสั่งของอีกฝ่ายที่กางกำแพงสูงใส่เมื่อครู่ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะเผลอมองดวงหน้าแฉล้มเหล่านั้นเสียเพลินใจ แต่บัดนี้ มันอีกเรื่อง

"ครั้งก่อนเห็นกันไกล ๆ ก็ว่าหน้าตาหล่อเหลาคมคาย"

จ้อยขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงเบาพอได้ยินกันสองคน

"แต่พอได้มองใกล้ ๆ กลับยิ่งสวย สวยเสียยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ยิ่งมองก็ยิ่งสวย"

ลำคอของเรียมลลิตรกดลงเล็กน้อยพร้อมกับอาการร้อนวาบเหมือนฟืนกองใหญ่มาเผาสุม ใบหน้าซ่านจนเป็นสีระเรื่อ พูดอะไรไม่ถูก

จ้อยที่จับจ้องดวงหน้างามอย่างไม่วางตายิ้มถูกอกถูกใจเป็นนักหนา เดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เอ่ยอย่างมีความสุข

"ขออภัยที่เอ่ยกันตามตรง ซึ่งหน้า ที่นี่อยู่กันด้วยความจริงใจ อะไรดีก็เอ่ยชมกันตรง ๆ ไม่พิธีรีตรองเหมือนกับพวกในเมือง"





ตอนที่ขวัญสรวงได้ยินจากปากของเยื้อนว่าแม่นมเก่าแก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ของรั้วติดกันนั้นมาขอพบก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มละมือจากกิจที่ทำอยู่ เดินออกจากเรือนแฝดมาที่ศาลาริมน้ำ เมื่อมาถึงก็เห็นหญิงชราวัยประมาณห้าสิบผุดลุกผุดนั่ง กระวนกระวายจนอยู่แทบไม่ติด

เมื่อร่างสูงใหญ่ปรากฏตรงหน้า ก็รีบเอ่ยแนะนำตัว

"ขอประทานโทษเจ้าค่ะ อิฉันชื่อละเอียด" หญิงชราลุกขึ้นแนะนำตัวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ถอยไปทรุดนั่งด้วยอาการกระสับกระส่ายดังเดิม "อิฉันขออภัยที่มารบกวนตอนค่ำ ขณะนี้คุณอธิปเธอไม่อยู่ อิฉันกำลังร้อนใจ มืดไปหมดสามด้านแปดด้าน"

คุณชายขัตติยพงศ์โบกมือให้เยื้อนออกไปก่อน จากนั้นก็ค่อยนั่งลง เอ่ยถามถึงรายละเอียด

คำตอบอันไม่คาดคิดทำเอาชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ กระนั้นขวัญสรวงก็ไม่ตื่นตระหนกไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขายังคงนิ่งสงบเช่นเดิม ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับก่อนหลังอย่างตรึกตรอง

กำนันจงรักและคุณนายสะอิ้งเป็นคนอย่างไรนั้นเขารู้จักเป็นอย่างดี ส่วนจ้อยนั้นถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อและแม่อย่างไม่ต้องสงสัย เดิมที ขวัญสรวงไม่ได้อยากจะเอามือไปซุกหีบ เข้าไปข้องเกี่ยวกับกิจธุระของเพื่อนบ้าน เท่าที่ทำลงไปคราวก่อนก็นับว่าผิดวิสัยยามปรกติของตนไปมากแล้ว

แต่ยามนี้ เกิดเรื่องขึ้นกับเรียมผู้นั้น แม้จะมั่นใจว่าในครั้งนี้เรื่องคงไม่ลุกลามใหญ่โตด้วยเหตุการณ์นั้นอยู่ในบ้านเรือนที่เป็นเจ้าของ ทว่าในอนาคตเล่า จะให้เขาปิดหูตาไม่รู้ไม่เห็นเสียเลยก็ยากจะตัดใจ

"บ้านใกล้เรือนเคียง โปรดอย่าได้เกรงใจกัน"

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่มีน้ำหนักมั่นคง

นมละเอียดลุกขึ้น ความว้าวุ่นบนสีหน้าค่อย ๆ คลายออกขณะที่ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งในมิตรจิตมิตรใจนั้นก็เอ่ยปาก

"เชิญทางนี้เถิดค่ะ"

ละเอียดเดินเร็วเท่าเร็ว เรียบลำน้ำ ลัดร่มพะยอมผ่านคฤหาสน์ขัตติยพงศ์อย่างคล่องแคล่ว

ไม่นานนักขวัญสรวงก็ก้าวขาเข้าสู่รั้วสีนวลดั่งดอกปีปของตำหนักน้อย





+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ ขอโทษจริง ๆ ที่มาช้า ช่วงปลายปีถือเป้นช่วงวิกฤติจริง
มีงานแทรกตลาด แต่ละอันโหด ๆ ทั้งนั้น เลยไม่ค่อยมีเวลาจะแต่งเลย
ตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของเหล่าตัวประกอบ มีพี่ขวัญกับน้องเรียมนิดเดียว ฮ่าๆ
จะให้คู่นี้จริงกันจริงจังคงต้องอีกนานแสนนานนนน ตามประสานิยายย้อนยุคนั่นเอง

อย่างที่บอกไปแล้วว่าไม่ค่อยถนัดจริง ๆ ยังพิมพ์ ๆ ลบ ๆ เหมือนเดิมเป๊ะ
เรื่องภาษาไม่ใช่ปัญหาอะไรมากครับ ที่เป็นปัญหาในการแต่งจริง ๆ แล้วคือปฏิกิริยาแต่ละอย่างของตัวละคร
คือเรื่องบางเรื่อง คนสมัยนั้นไม่คิดจะทำอะไรประมาณนั้นน่ะครับ ต้องระวังดีๆ
ยังไงก็จะพยายามต่อไปครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน

ช่วงนี้อัพช้านิดนึงอย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ ปลายปีที่งานทะลักตลอด ฮ่าๆ
ไว้มีโอกาสจะมาชวนคุยเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเนื้อหา เผื่อจะทำให้อ่านสนุกขึ้นครับ
พบกันใหม่ตอนหน้า พี่ขวัญตะลุยบักจ้อยครับ แล้วก็....อะไรดีน้อออ :hao7:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 18-11-2014 21:41:34
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ทำไมทำอย่างนี้ อ่านมาลุ้นทั้งตอนว่าจะเจอกันไหม
สะดุดกึกเลยข่าาาา เฮ้ยยย หมดตอนนนนน #ร้องไห้แปป
งื้ออออออออออ ตอนหน้านะ ต้องให้อยู่ด้วยกันนานๆนะคะ
อยากเห็นพี่ขวัญ น้องเรียมเขาอยู่ด้วยกัน มันอุ่นตา เย็นใจดี ไม่รู้ทำไม
แล้วนี้ยิ่งคุณอธิปไม่อยู่ ยิ่งห้ามปล่อยให้น้องเรียมอยู่คนเดียวเชียว.....
ส่วนจ้อย ... คือแแบ เกลียดคนแบบนี้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
คิดว่าตัวเองสูงส่ง ทุกคนต้องก้มหัวให้ น่ารังเกียจเสียจริง
#สารภาพว่าอ่านข้ามๆตอนของจ้อยไปเลยไม่ชอบคนแบบนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 18-11-2014 22:18:49
 :katai2-1: เพิ่งตามอ่านทัน ขอคอมเม้นแบบรวบเลยนะคะ
เนื้อเรื่องสนุกมาก เขียนได้ชวนติดตามดีค่ะ
รอติดตามนะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 18-11-2014 23:06:52
กรีดร้องงงงงงงงงงงงงง  :hao5:
ร้องเพราะดีใจมากที่เข้าเล้าเป็ดแล้วมาเจอชายขวัญ
และร้องเพราะว่าจบตอนแล้วรู้สึกค้างจังเลยค่าาา 55555

นี่ตอนนี้โกรธด้วยนะ โกรธมากเลยค่ะ
ครอบครัวกำนันนี่จริงๆ เลย มันน่าดีดให้หลุดออกจากวงโคจร
แทบลมจับแทนนมละเอียดกับน้องเรียมแล้วค่ะ ฮึ่มมม ไอ้จ้อยยยยย
เลอค่าแบบน้องเรียมไม่ควรได้รู้จักกับผู้ชายแบบจ้อยเลย
ชายขวัญรีบมาจัดการนะคะ เอาให้เข็ดอย่าให้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีก
(แต่คิดว่าคนอย่างจ้อยไม่น่าจะยอมรามือง่ายๆ ?)

ชายขวัญต้องดูแลน้องนะคะ บ้านใกล้เรือนเคียง
อย่าให้ใครมารุกรานเพื่อนบ้านของเรานอกจากตัวเราเองค่ะ! #เดี๋ยว 5555

รอตอนหน้านะคะ >_<
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 18-11-2014 23:44:42
ตะโกนดังๆถึงทุ่งบางกะปิ

ค้างงงงงงงงงงงงงงง
งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 18-11-2014 23:47:36
ตบอิจ้อยที บังอาจนัก!! :katai4:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 19-11-2014 10:20:54
อยากอ่านต่อจังงงงงงงงงงงแง้งงงงง กำลังสนุกเลยเจ้าค่า
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: MrSad ที่ 19-11-2014 12:22:46
นานๆทีได้เจอนิยายสไตล์นี้ ชอบมากกกกกก  รอติดตามตอนต่อไปนะ :mew3:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 19-11-2014 17:22:05
กรี๊ดดด
มาต่อแล้ว ขอบคุณนะค้าา

หมั่นไส้ครอบครัวอิกำนันมาก โดยเฉพาะไอ้จ้อย
ไม่เจียมตัวเอาซะเลย
พี่ขวัญจัดการให้น้องเรียมด่วนๆ

ตอนหน้าขอน้องเรียมพี่ขวัญยาวๆเลยนะคะ 55555


หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 19-11-2014 21:26:33
ว่าแล้วก็กำพริกเม็ดโตๆพร้อมเกลือสมุทรเม็ดใหญ่โยนเข้าเตาอังโล่อย่านุ่มนวลดังโรยผักชี

พนมมือขึ้นตั้งจิตอธิฐานส่งความปราถนาดีไปยังผู้แต่งนิยายเรื่องนี้

ให้เทพาอารักษ์ช่วยดลจิตดลใจให้ผู้แต่งรีบลงตอนต่อของนิยายเรื่องนี้เร็วไว
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 19-11-2014 21:50:02
โอ้ยยย ค้าง  :ling1:

พี่ขวัญให้ไวเลย #ทีมพี่ขวัญ

ขอบคุณที่มาต่อฮะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 22-11-2014 14:49:05
อร้ายยยย ค้างคามากค่ะ
พี่ขวัญนี่คงต้องเป็นหูเป็นตา กำจัดความวุ่นวายแทนคุณอธิปละนะ
ฝ่ายกำนันนี่ร้ายทั้งบ้าน แค่ต้นเรื่องยังนำพาความวุ่นวายมาซะขนาดนี้ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 22-11-2014 18:28:01
พี่ขวัญเจ้าขาาาาาาา ช่วยหนูเรียมด้วยนะเจ้าคะ หุหุหุหุ :hao6:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 22-11-2014 22:08:13
ไอ้จ้อย มึงตายยยยย พี่ขวัญออกโรงแล้ว
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 23-11-2014 01:04:22
พี่ขวัญไปช่วยน้องเรียมด่วนๆเลย
อยากรู้ว่าจะเป็นยังไง คงไปนิ่งๆเฉียบๆแหงเลย
ไอ้จ้อยก็นะ มีตา ตาถึง แต่ไม่ที่สุด เล่นของสูงนะนั่น เหอะๆๆ

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 25-11-2014 09:34:30
อ่านจนทัน เรียมน่ารักอ่ะชอบ คนอื่นอาจจะมองว่าผู้ดีหยิ่งๆแต่จริงๆเขาขี้อายอ่ะดิ><

อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่ะ ขวัญไปฉะ(?)กับ(ไอ้)จ้อยเลย!
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๔ ♫ ♬ ♪ (๑๘ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: SoulFighter ที่ 25-11-2014 20:21:53
เสียใจจจ คิดว่าจะได้อ่านตอนพี่ขวัญกับน้องเรียม TT TT
ไม่เป็นไรๆ รอตอนหน้าก็ได้ ตอนหน้าพี่ขวัญต้องไปช่วยน้องเรียมรับมือกับไอ้จ้อย
เกลียดมันจริงคนอะไรไร้มารยาทสุดๆ พี่เรียมรีบๆจัดการให้มันไปไกลๆเลยค่ะ
 :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 25-11-2014 21:48:43
ตอนที่ ๕




เรียมลลิตรยืนอยู่อย่างนิ่งสงบ ขณะที่อีกฝ่ายที่วางตัวดั่งคนสำคัญของอำเภอบางกะปิยังคงพูดเรื่อยเจื้อย

"เป็นคนพูดไม่เก่งหรอกหรือ หรือว่าเป็นคนขี้อาย ถึงไม่กล้าพูด น่าเสียดายที่รูปโฉมดูงามมีเสน่ห์ แต่พอได้คุยด้วยแล้ว ช่างดูน่าเบื่อเสียจริง"

จ้อยพูดอย่างหมดความอดทน แม้บรรยากาศยามที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นตรงนหน้ารั้นจะทำให้จ้อยตะลึงจนค้างไปหลายนาที ทว่าหลายนาทีที่ผ่านมา เขาพร่ำพูดไปมากมาย แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่ง เอาแต่เหม่อไปนอกหน้าต่าง จากความตื่นเต้นเมื่อครู่จึงกลายเป็นความหน่ายซังกะตายได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ

"จะไม่พูดอะไรสักคำเลยหรือไง"

เรียมลลิตรค่อย ๆ เบือนหน้ากลับมามองอีกฝ่ายและนิ่งนานไปหลายอึดใจ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ

"สวัสดี"

จ้อยตะลึงไปพักใหญ่เมื่ออีกฝ่ายเพียงเอ่ยทักสั้น ๆ ซ้ำยังเป็นคำที่ช่างจืดชืดและแห้งแล้งจนคาดไม่ถึง พูดจบก็หันกลับไปยืนนิ่งเป็นรูปปั้น งดงามและสวยสง่าก็จริง แต่เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ หากมีปฏิกิริยาที่แสดงความรู้สึกกลับมาแม้แต่น้อย จ้อยก็จะตั้งรับถูก โกรธ โมโห เขินอาย หรือดีใจ อะไรสักอย่างทีี่ไม่ใช่ความรู้สึกอันห่างไกลและไม่มีทางไปถึงเช่นนี้

ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะกับตนเอง ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น

"อะไรกัน พูดตั้งยืดยาว ตอบมาสั้น ๆ แค่นี้หรือ"

"อืม"

จ้อยอ้าปากค้าง ไปต่อไม่ถูก เขายกมือยันพนักเหมือนตั้งหลักแล้วเงียบไปพักใหญ่ จนแล้วจนรอด อีกฝ่ายก็ยังคงยืนนิ่ง ชายหนุ่มได้แต่สะบัดหัวมึนงง สุดท้ายก็เหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองคล้าไม่เชื่อหู

"แค่นี้น่ะนะ?"

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเรียมลลิตรปรายที่ไปคนถาม ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีอารมณ์ ทั้งความโทโส ความขวยอาย มีเพียงความสง่างามอันว่างเปล่าและยากจะคาดเดา

จ้อยยังคงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไร ดวงตาของเรียมลลิตรก็ปรายกลับไปที่นอกหน้าต่าง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ความร้าวเสียดแทงขึ้นในใจของจ้อยจนหวิว เขาได้แต่นั่งอึ้ง นึกตำหนิตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ จ้อยเป็นหนุ่มชาวบ้าน แม้ครอบครัวจะมีฐานะ แต่ก็ไม่รู้จักการสำรวมกิริยาเฉกผู้ดี เขาไม่รู้จักกับสังคมเหล่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยนึกว่ามันดูโก้อะไรด้วยซ้ำ พอต้องมาเจอกับผู้ดีที่เป็นผู้ดีจริง ๆ จ้อยก็วางตัวไม่ถูก

อาการทำอะไรไม่ถูกนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาคมคายของจ้อย เคยแต่ไปไหนก็มีแต่คนห้อมล้อมโดยตลอด พูดอะไรใครก็ฟัง ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ไม่เคยมีใครปฏิเสธจ้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิเสธด้วยแววตาแบบนี้

"เอาเถอะ คุณคงถือ ไม่อยากจะคุยกับคนบ้านนอกคอกนา เป็นผู้ดี หยิ่ง เหยียบดินไม่ได้" จ้อยตะบึงตะบอน เป็นอาการแก้เก้อเพราะทำอะไรไม่ถูก

"เปล่า"

เรียมลลิตรตอบ

สีหน้าของจ้อยดีขึ้นนิดหน่อย แต่เมื่อรอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เขารู้สึกเก้อ อับอายขายหน้าอยู่ในใจซ้ำ ๆ จนนับไม่ถ้วน

"งั้นก็ดี เพราะควรจะรู้ไว้ พี่เป็นลูกของกำนัน"

สิ่งนี้คือความภาคภูมิใจของเขา เมื่อไรก็ตามที่เอ่ยขึ้น ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่กล้าปฏิเสธ บ้านของจ้อยอาจจะเป็นแค่กำนัน แต่ธุรกิจโรงสีของพ่อ และเงินกู้ที่จุนเจือทุกคนที่นี่ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันที่ดีว่าครอบครัวของเขานั้นอยู่ในสถานะอะไร แม้เงินทองอาจจะไม่ใช่ความจำเป็นสำหรับอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าระบบอุปถัมป์เกื้อกูลของที่นี่นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่อาศัยในละแวกคลองบางกะปิแห่งนี้

แต่เรียมกลับมองอย่างประหลาด

และเป็นอีกครั้งที่จ้อยถึงกับนิ่งค้าง ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร





ขวัญสรวงมาถึงสักพักแล้ว เขาหยุดสังเกตอยู่นานเพื่อฟังว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไร แต่เมื่อพบว่าแต่ละถ้อยคำนั้นค่อนข้างจะนำไปในทางเกี้ยวพาราสีก็ให้รู้สึกประหลาดใจ อึ้งอยู่ไม่น้อย

ฟังอยู่สักพักด้วยความกระสับกระส่าย กระทั่งหมดความอดทนจึงได้กล่าวออกมา

"ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะ"

เรียมลลิตรเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายร่างสูงที่ก้าวออกมายืนอยู่ตรงกลางบ้าน  ใบหน้าเรียบนิ่งซ่อนแววประหลาดใจ

ขณะที่จ้อยนั้นมองด้วยความตะลึงงัน เกือบไม่เชื่อสายตาที่ขวัญสรวงซึ่งขึ้นชื่อว่าไม่อินังขังขอบกับผู้ใด เดินเข้ามาถึงในบ้านคนอื่น แถมยังเข้ามาขวาง ทะลุกลางปล้องเช่นนี้

"ผมกำลังคุยธุระกับคุณเรียม คุณชายอย่ายุ่งจะดีกว่า"

ขวัญสรวงไม่ตอบ ยืนนิ่งและมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จ้องอยู่อย่างนั้นกระทั่งใบหน้าของจ้อยค่อย ๆ เผือดสีลง กระนั้นชายหนุ่มก็ยังแข็งแกร่งพอจะด้านขืน ไม่ย่อถอยสมกับมีเลือดบิดาเต็มเปี่ยม

"มาถึงที่นี่ จ้อยมีธุระอะไรหรือครับ อย่าได้เกรงใจ หากเป็นเหตุร้อนจะได้ช่วยกันบรรเทา"

จ้อยมองอีกฝ่าย ชั่งใจอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจตอบเลี่ยง

"เอาเถอะ วันหลังผมจะมาใหม่"

"จะสะดวกหรือ?" ขวัญสรวงเอ่ยตามหลัง

ใบหน้าที่ซีดจนแทบไร้สีของจ้อยค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาหันกลับมาจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ถมึงทึง

แต่ขวัญสรวงไม่หยุด

"ในเมื่อได้พบกันวันนี้ ทำไมจึงไม่คุยธุระให้รู้ความ"

คนตัวสูงมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนรอคำตอบ เมื่อเห็นว่ายังคงเงียบ ไม่มีถ้อยคำ จึงเอ่ยต่อ

"หรือธุระของที่ว่านั้นเป็นเรื่องที่หาความไม่ได้"

จ้อยทำท่าเหมือนความอดทนใกล้สิ้นสุด อยากจะกระโจนเข้าไปตะบันอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ขวัญสรวงก็สะกดอีกฝ่ายด้วยแววตาสุขุม เยียบเย็น

บารมีของขัตติยพงศ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเอาชนะได้ง่าย ๆ จ้อยจึงได้แต่ยืนหันรีหันขวาง มองไปรอบ ๆ ตัวด้วยสีหน้าเคร่งเขม็ง ก่อนจะตัดสินใจหันหลังกลับ กระแทกเท้าปึงปัง

ในตอนนั้น เรียมลลิตรกลับเอ่ยในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

"จะมาที่นี่อีกก็ได้"

จ้อยชะงักในสิ่งที่ได้ยิน

"จะนั่งที่โซฟานั่นก็ได้ แต่โปรดอย่าตะโกนเสียงดัง"

เรียมลลิตรค่อย ๆ พูด เว้นจังหวะทีละวรรค

"ไม่ต้องขออนุญาตผม ถ้าพี่อธิปไม่อยู่ นมละเอียดจะเป็นคนดูแลทุกอย่างที่นี่ คุณสามารถบอกใครก็ได้"

นิ่งไปอึดใจ เท้าทั้งสองข้างของจ้อยจึงเริ่มขยับอีกครั้ง เขาเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปช้า ๆ ไม่มีท่าทีแห่งความกราดเกรี้ยวหลงเหลือ

พ้นจากประตูรั้วของคฤหาสน์หลังงาม ชายหนุ่มค่อยชะลอรถจอดริมทาง จ้อยมองไปรอบ ๆ ตัวที่เต็มไปด้วยความสงบ พบว่าวันนี้ต้นข้าวเขียวชะอุ่มกว่าทุกวัน แมลงปอตัวน้อยที่เคยมองว่าบินเกะกะน่ารำคาญ กลับดูน่ามองขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่บางกะปิที่แสนห่างไกลความเจริญ จู่ ๆ ก็ดูร่มรื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ในตอนนั้น จ้อยยกมือขึ้นเกาะพวงมาลัยแล้วยิ้มออกมา





เรียมลลิตรหันกลับไปมองที่แม่นมแล้วพนักหน้าเบา ๆ ก่อนจะก้าวอย่างเชื่องช้าไปทางด้านหลังของตึกที่ติดลำคลอง สีหน้าแม้จะค่อนข้างเผือดสีแต่ก็ยังดูนิ่งเฉย ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน หรือความรู้สึกใดให้สัมผัสได้

เมื่อตรงมาถึงขวัญสรวงที่ยืนอยู่ด้วยอาการกรุ่นนิด ๆ ก็เบี่ยงตัวไปอีกด้านแล้วตรงออกประตูด้านหลังจนคนตัวสูงมองด้วยความแปลกใจ

"เชิญที่ศาลาริมน้ำเถอะค่ะ อยู่ทานอะไรเสียหน่อย"

ละเอียดเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม มองตามร่างเพรียวที่เดินตรงไปทางเรือนไม้สีขาวทรงแปดเหลี่ยมจนลับแล้วหันกลับมาหาแขกร่างกำยำ

"คุณหนูเรียมคงดีใจถ้าคุณชายขวัญจะทานมื้อเย็นเป็นเพื่อน"

ขวัญสรวงที่เดิมตั้งใจว่าจะกลับไปที่เรือนของตนไม่รู้จะปฏิเสธน้ำใจอย่างไร จึงจำต้องเดินตามคนที่ล่วงไปก่อน ตรงไปที่ศาลาริมน้ำ





บอบบางแต่กลับเข้มแข็งนัก

ขณะที่เดินอยู่ ขวัญสรวงก็มองตรงไปที่แผ่นหลังที่ตั้งตรงเบื้องหน้าแล้วครุ่นคิดอยู่ซ้ำ ๆ ในใจ ทั้งที่คาดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้คนที่คุ้นกับความสงบสำรวมมาตลอดจะทานไม่ไหว ทำอะไรไม่ถูก หรือในกรณีที่รุนแรงที่สุดก็คงจะออกปากให้บริวารขับไล่ ไม่บอกศาลา

ตรงกันข้าม กิริยาและความงามสง่าแบบผู้ดีนั้นยังคงอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว นอกจากจะประคับประคองสติตนเองได้อย่างมั่นคงแล้ว ยังแสดงออกถึงน้ำใจอันกว้างขวางชนิดที่ทำให้จ้อยได้แต่ยืนตะลึง แม้แต่เขาเองยังได้แต่มองด้วยความทึ่ง นึกไม่ถึง

ขวัญสรวงอ่านออกว่าความรู้สึกลำบากใจนั้นมีอยู่ไม่น้อย ความวิตกกังวล เสียขวัญคงจะสร้างความเจ็บปวดอยู่ในใจจนรุ่มร้อน แต่ก็ยังเลือกที่จะต้อนรับขับสู้ไม่ให้เสื่อมเสีย เอาไปนินทาได้ว่าเย่อหยิ่ง ไม่สนทนากับคนที่ฐานะต่ำกว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ขวัญสรวงหวนย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่พบกันในคราแรก เรียมยังคงเป็นเรียมที่งดงามเหมือนภาพวาดที่ยากจะเดาความหมาย

คนอะไรแบบนี้ ไม่เคยพบเจอ




(ยังมีต่อนะครับ)  :-[
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 25-11-2014 21:52:25
(ต่อครับ)




คนที่ว่าในตอนนี้นั้นกลับมีหน้าซีดขาว เรียมลลิตรสั่นเซเหมือนเหมือนคนทรงตัวจะไม่ไหว แต่ก็ฝืนสะกดตนให้นิ่งเป็นปรกติ เมื่อหันมาเห็นขวัญสรวงก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ดวงหน้างามผ่องแผ้วคละเคล้าไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

การเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถยังคงไว้ซึ่งความภูมิฐาน และเมื่อปลายเท้านั้นหยุดที่โต๊ะปูผ้าลินินสีขาวสะอาดและนั่งลง บรรยากาศที่ดูเรียบง่ายธรรมดาเมื่อครู่ก็กลายเป็นความหรูหราขึ้นในพริบตา

ทั้งที่เป็นยามเย็น แต่คล้ายกับมีแสงแดดอุ่นอ่อนยามเช้ารอดผ่านลงมาใต้ร่มชานที่ตีเป็นระแนงไม้สีขาว กลิ่นดอกกุหลาบอังกฤษหอมอ่อน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้เป็นเจ้าเรือนนั้น รายล้อมทุกหนทุกแห่งด้วยความอ่อนหวาน

ขวัญสรวงเผลอมองภาพนั้นอยู่นานจนเรียมลลิตรเอ่ยขึ้น

"เดี๋ยวนมละเอียดก็คงจะเข้ามา"

ความสั่นเครือที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้น ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวของขวัญสรวงปะทุขึ้นอีกครั้ง

จ้อยคงจะไม่ยอมเลิกราเอาเสียง่าย ๆ เหตุการณ์ในวันนี้ และหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา ล้วนเป็นเครื่องแสดงได้เป็นอย่างดีว่าครอบครัวของกำนันจงรักนั้นเป็นเหมือนสะเก็ดไฟที่ีไม่มีใครปรารถนา ตกที่ใด รังแต่สร้างความร้อนไปทั่ว

โดยเฉพาะจ้อย เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าแล้วเป็นคนที่กระทำทุกอย่างด้วยความทะนงองอาจ ปราศจากความกริ่งเกรงต่อผู้ใด กระทั่งนมละเอียดที่เป็นผู้อาวุโส ก็หาได้คิดรับฟังไม่

ยามใดก็ตามที่เรียมต้องอยู่คนเดียวในเรือนที่ห้อมล้อมไปด้วยบริวารที่ส่วนมากเป็นสตรีและผู้สูงอายุ หากเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นมาอีก แม้จะเป็นผู้ชาย ไม่ต่างกับเขา แต่ลำพังจะรับมืออย่างไรไหว

กระแสความคิดที่วิ่งพล่านในใจขวัญสรวงเพลานี้นั้นเปรียบดังนทีล้นแรงดัน ยามเมื่อประตูน้ำได้ถูกเปิดออก ความคิดต่าง ๆ นานาที่กักไว้ก็ไหลหลั่งพรั่งพรู ทบยอดขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นธารธาราอันเชี่ยวกราก รุนแรง

ทว่าสายน้ำนั้นยังคงเย็นฉ่ำชื่นแก่พฤกษาใหญ่น้อยรอบข้างดังเดิมไม่แปรเปลี่ยน แววตาเอื้ออุ่นเท่าอุณหภูมิร่างกายค่อย ๆ วางลงบนใบหน้าเผือดสีด้วยความห่วงใย

ขวัญสรวงเขยิบตัวมานั่งเคียงข้าง สงบนิ่งดั่งไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านร่มเย็น ถ้อยความคิดกระหน่ำถั่งโถมกลั่นออกมาเป็นคำสั้น ๆ

ดังเพียงสำเนียงแห่งสายลม

"ตัวสั่นเป็นลูกหนู น้องพี่"

สายลมที่ว่าเป็นลมอุ่นพอดี แตะแต้มความร้อนรุ่มจนอ่อนกำลัง

เมื่อความกังวลใจคลายออกทีละน้อยด้วยน้ำใจใสเย็นของคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง รอยยิ้มแห่งความขอบคุณก็ค่อย ๆ ฉายขึ้นในดวงตาคู่สวย

เรียมลลิตรยกมือไหว้ เอ่ยเสียงเรียบ

"ขอบคุณครับ"

"พี่เต็มใจ"

ขวัญสรวงตอบยิ้ม ๆ ขณะมองร่างเพรียวที่หันกลับไปนั่งตัวตรง เรียวคอตั้งสง่า สีหน้าเรียบเฉยดังบุคลิกยามปรกติ ความเปลี่ยนแปลงเดียวที่พอสังเกตได้คือดวงหน้าที่ค่อนข้างซีดนั้น บัดนี้ค่อยซับระบายสีฝาดขึ้นจนดูแจ่มใส
ระลอกลมพัดผิวน้ำในคลองจนกลายเป็นละอองคลื่น แววตาอ่อนโยนคู่นั้นยังคงทอดมองอยู่ที่เรียมลลิตรเช่นเดิม คล้ายหลงติดอยู่ในห้วงเวลา กระทั่งยินเสียงผลุบของมัจฉาจึงคืนจากภวังค์ ขวัญสรวงเปรยขึ้นด้วยเสียงสุขุม

"ช่วงแดดร่มลมตกจะเป็นเวลาที่ริมน้ำมีลมพัดเย็นที่สุด โดยเฉพาะหน้าหนาว ถ้าไม่ระวังเห็นจะได้ป่วยไข้"

แววตานั้นหันไปหยุดอยู่ที่สุดปลายเวิ้งน้ำ ตรงจุดซึ่งพระอาทิตย์กำลังจมดวงลงที่กลางคลองแสนแสบ

"แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่งามจับใจ"

เรียมลลิตรค่อย ๆ เบือนสายตาตามรอยยิ้มอุ่นไอแดดของร่างสูงกำยำที่นั่งสงบนิ่งอยู่เคียงกัน

เงาไม้ทอดร่มลงจากสองฟากฝั่ง บ้านเรือนริมคลองน้อยใหญ่แซมด้วยทุ่งสีเขียวสุดลูกหูลูกตา

ลมหยอกใบข้าวทีละใบจนเอนไหวปลิวลิ่ว เหนือผิวน้ำที่ทอประกายระยิบระยับ มีนักระบำตัวน้อยสะบัดกระโปรงสีม่วงอ่อนอยู่ที่กอผักตบชวาอย่างสนุกสนาน เหนือไปบนฟ้า ฝูงนกตัวเล็ก ๆ โผผินบินกลับรังที่สานจากเกลียวเมฆ กลิ่นดิน กลิ่นโคลน กลิ่นดอกไม้อ่อน ๆ ผสานกันเป็นท่วงทำนองบทเพลงที่เรียบง่ายที่สุด อ่อนหวานที่สุด ทุ่งบางกะปิในเวลานี้ละม้ายฉากรักอ่อนหวานในมหาอุปรากร ที่ผู้วาดแต้มสีแสดตัดเส้นด้วยสีม่วงขาบของผืนฟ้าอย่างแยบยล

ขวัญสรวงไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าความสนอกสนใจทั้งหมดของเรียมลลิตรกลับยังประทับอยู่ที่เขา หาใช่ทัศนียภาพที่งามราวกับสวรรค์บนดินไม่

เขาเป็นผู้ซึ่งมีทั้งความเข้มแข็ง และความอ่อนโยนไม่แพ้กับท่านพ่อหรือท่านพี่ สุขุม และยิ้มเก่งแบบที่เรียมลลิตรนึกอิจฉา ยิ่งดูก็ยิ่งละม้าย ยิ่งรู้จักความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น

เมื่อตระหนักถึงความคล้ายคลึงที่ว่า ก็ให้จังหวะที่ขวัญสรวงหันกลับมาพอดี ทั้งคู่จึงสบตากันอยู่พักใหญ่

ฝ่ายหนึ่งส่งยิ้มให้

อีกฝ่ายกลับก้มหน้า ห่อตัวด้วยอาการสะท้านสะเทือน

สายเมฆขาวนวลทาบทออยู่ในใจของเรียมลลิตร วาบลึกในอก จนไม่อาจฝืนสบตาคนที่ยิ้มเอา ๆ ตรงหน้าได้

ขวัญสรวงนึกว่าอีกฝ่ายขดตัวด้วยหนาวละอองลมละอองน้ำ จึงเขยิบมาใกล้ขึ้น พร้อม ๆ กับเบี่ยงตัวขวางทิศ ใช้ทั้งตัวเป็นกำแพงกำบังกั้นลมให้

มุมปากที่กลัดรอยยิ้มตลอดเวลา ใบหน้าที่กระทบแสงแดด ลำคอตั้งตรงฉากกับบ่าที่ผายกว้างกว่าครึ่ง ผมหนา ดำขลับ หวีเรียบเป็นมัน เรียมลลิตรมองมันอยู่อย่างนั้นแล้วกระถดตัวเล็กลงอีก

ขวัญสรวงเหลียวมามองอีกฝ่าย เห็นคนเคียงข้างยังคงขดคู้ก็ส่งยิ้ม กระเถิบตัวมาใกล้เท่าใกล้แล้วอยู่นิ่ง ให้คนไม่สู้ลมได้พักพิง พอรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่น ๆ ที่อยู่แนบอยู่ที่แผ่นหลัง จึงหันกลับไปมองริ้วน้ำที่ถูกสายลมจูบซ้ำ ๆ จนเป็นเกลียวคลื่น

ไม่มีใครพูดอะไรอีกพักใหญ่ ๆ จนกระทั่งนมละเอียดยกถาดเดินเข้ามา





น้ำกระเจี๊ยบที่ดื่มอยู่นั้นต่างจากที่เคยลิ้มลองมาทั้งหมด หากเป็นน้ำกระเจี๊ยบที่ปรุงแบบชาวบ้านทั่วไปจะเปรี้ยวและมีรสฝาดอ่อน ๆ ของกระเจี๊ยบสดที่ปลายลิ้น หรือหากเป็นฝีมือของสายบุญจะใส่พุทราจีนลงไปดับฝาดและรสแหลม จึงมีรสหวานเปรี้ยวเพียงปะแล่ม ไม่กัดลิ้น แต่ที่รสสัมผัสจากการปรุงของนมละเอียดนั้นแตกต่าง รสจะอมเปรี้ยวนำและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของซินนามอนที่มักใช้ในขนมและเครื่องดื่มแบบฝรั่ง

ละเอียดเป็นคนละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต เธอจึงจะเห็นความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย หญิงชรายิ้มอ่อนแล้วอธิบายโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถาม

"ถูกปากไหมคะ อิฉันใส่อบเชยลงไปนิดหนึ่ง ปรุงรสให้เปรี้ยวนำเพื่อเรียกน้ำย่อย จะได้ทานอาหารได้คล่องลิ้นขึ้น"

ขวัญสรวงยิ้มละไม

"เคยคิดว่าที่บ้านปรุงถูกลิ้นที่สุด ไม่มีใครเทียบ เห็นทีผมคงต้องถอนความคิด อร่อยไปอีกแบบ"

"คุณชายพูดเสียคนแก่ชื่นใจ"

ละเอียดหันไปพนักหน้ากับแดง สาวใช้ที่เป็นผู้ช่วย จานอาหารสีขาวสะอาดที่ถูกอุ่นไว้ก็ถูกยกลงบนโต๊ะ ภาชนะโลหะทรงกลมขัดวาวถูกยกออก เผยให้เห็นเป็นอาหาร ตกแต่งแบบเรสทัวรองต์ของฝรั่ง

"สเต็กปลากะพงค่ะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณชายหรือเปล่า"

"นมทานด้วยกันสิครับ"

"ตายจริง ไม่ได้หรอกค่ะ" ละเอียดยกมือขึ้นทาบอก พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่มองแบบไม่เห็นด้วยก็ยิ้มอ่อนอกอ่อนใจ "คุณรับเถอะค่ะ คนแก่จะทานอะไรได้เยอะเจ้าคะ ได้กลิ่นก็อิ่มแล้ว"

ขวัญสรวงยิ้ม นึกในใจว่าเรื่องอายุดูจะเป็นข้ออ้างยอดนิยมสำหรับแม่ครัวฝีมือดีทุกคนหรือเปล่า สายบุญก็คนหนึ่งละ ชวนทีไรก็ออกปากแบบนี้ทุกครั้งจนสุดท้ายเขาต้องเป็นฝ่ายล่าถอย ยอมแพ้ความใจแข็งนั้นไปเสียเอง

นมละเอียดถอยหลังออกไปยืนห่าง ๆ ที่ศาลาจึงมีเพียงขวัญสรวงและเรียมลลิตรรับประทานอาหารกันตามลำพังสองคน

สเต็กปลานั้นมีรสชาติดีสมกับหน้าตา แต่เรียมลลิตรกลับนั่งสงบสง่าและทานเพียงเล็กน้อย

แสงไฟจากโคมสีขาวขุ่นทอดลงบนดวงหน้าของเรียมลลิตร เส้นสายลายเขียนที่ปรากฎในม่านตาของขวัญสรวงนั้นยังคงงามราวกับภาพวาด หน้าผากกลมมน คิ้ว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ใบหู โครงหน้า ลำคอ ทุก ๆ อย่าง ความหลงใหลนั้นยังคงประทับอยู่ไม่เปลี่ยน แต่เป็นภาพวาดที่ถูกจาบจ้วงด้วยแสงแดดจนซีดหมอง

ขวัญสรวงอ่านออกว่าความวิตกกังวลแม้จะบรรเทาลงไปมาก แต่ก็ยังคงอยู่อย่างแข็งขืนในใจของคนตรงหน้า ปรกติแล้วในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจะประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ บัดนี้ ประกายสุดใสกลับตกแต่งด้วยความกำสรดโศกศัลย์ ความอุกอาจของจ้อยอาจทำอะไรเปลือกนอกอันทรนงไม่ได้ แต่กลับกัดกร่อนอยู่ด้านใน ไม่ว่าจะขับไล่เท่าไรก็ยังคงยืนกรานอย่างดื้อรั้น

ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ทบทวนอยู่ซ้ำ ๆ กระทั่งพบหนทางที่จะตัดปัญหาที่กวนใจเหมือนโรคร้าย ยากจะรักษานี้

เพราะไม่อยากให้กระเทือนใจอีกฝ่าย ขวัญสรวงจึงหันไปหาละเอียด เขาขอตัวแล้วเป็นฝ่ายเดินไปหาสตรีสูงวัยที่ยืนอยู่นอกชานศาลาริมน้ำ

"โปรดอย่าคิดว่าผมก้าวก่าย ละลาบละล้วง ผมมีเจตนาดี นมละเอียดบอกว่ากว่าคุณอธิปจะกลับ คงอีกสองสามวันหรือครับ"

"ค่ะ คงต้องเฝ้าไข้อยู่ที่โรงพยาบาล"

"กรุณาฟังผมสักนิด หากในอนาคต ถ้ามีเหตุให้คุณอธิปไม่อยู่ ผมเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุให้ไม่สบายใจเหมือนในวันนี้อีก อย่างน้อย ผมคิดว่าควรจะแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบไว้ ควรจะเป็นผู้ใหญ่ที่ทางนั้นยำเกรง จะได้ปรามกันได้ นมละเอียดคิดเห็นอย่างไร โปรดแจ้งเถิดครับ"

นมละเอียดรู้สึกซาบซึ้งใจแต่ก็ลำบากใจนัก

"อิฉันโทรศัพท์ปรึกษาคุณอธิปแล้ว ก็คิดเห็นไม่ต่างกับคุณชาย แต่จะให้หันไปพึ่งพาใครก็ดูจะมืดแปดด้าน"

มืดแปดด้านเพราะยากจะหาร่มเงาที่เย็นกว่าไม้ใหญ่หยั่งรากลึกอย่างราชสกุลภัทรกุล หากจะให้พึ่งบารมีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า มิต้องให้ระคายพระบารมีองค์สมเด็จ ฯ ดอกหรือ

แค่คิดละเอียดถึงกับจนถ้อยคำ ถ้าลองอ้ายจ้อยได้รู้ว่าคุณหนูของเธอเป็นใคร หน้าไหนจะกล้ากระด้างกระเดื่อง ที่ใหญ่โตน่าเกรงขามและเข้ามาพูดคุยด้วยอย่างไม่นึกถือเชื้อถือตระกูล เธอก็เห็นจะมีแต่พวกขัตติยพงศ์เท่านั้น

ขัตติยพงศ์เป็นราชสกุลที่ห่างไกลจากคำว่าฟุ้งเฟื้อและคร่ำครึ ไม่ใคร่สมาคมสังสรรค์สุรุ่ยสุร่ายแบบผู้ดีสมัยใหม่ แต่ก็ไม่ถือศักดิ์สูงจนเหยียบพื้นดินไม่ได้ นี่คือเหตุผลหลักที่คุณหนูเริญของละเอียดตัดสินใจปลูกตำหนักน้อยที่นี่โดยไม่ลังเล และหากจะกล่าวโดยสรุป คนที่พึ่งพาได้ในสภาพที่ต้องปิดบังฐานะที่แท้จริงนั้น มีเพียงผู้เดียว

คนที่อยู่ตรงหน้าเธอนี่อย่างไร

"เว้นแต่คุณชายจะกรุณา"

"กระผมหรือ?"

ขวัญสรวงถาม นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยเฉลียวมาก่อน

"เจ้าค่ะ คุณหนูเรียมเธอไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับใคร ธุรกิจของครอบครัวก็เกี่ยวข้องกับต่างประเทศเสียเป็นหลัก คุณชายก็อยู่ไม่ไกล เหตุการณ์วันนี้ก็แสดงให้เห็นว่าอ้ายจ้อยยำเกรงคุณชายอยู่มาก"

ชายหนุ่มนึกทบทวน ความจริงที่นมละเอียดพูดขึ้นมานั้นมีน้ำหนักอยู่มาก หากจะมองดูจากรอบ ๆ ด้านแล้ว ในเวลานี้ ใครสักคนที่ว่านั้นดูจะเหมาะกับเขาที่สุด

เช่นนั้นแล้ว ขวัญสรวงจึงตอบรับโดยปราศจากการลังเล





เขาเดินกลับไปหาคนที่นั่งนิ่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำ อาหารตรงหน้าของเรียมลลิตรไม่ได้พร่องไปจากเมื่อครู่แม้แต่น้อย

"อาหารไม่ถูกปากหรือครับ"

"ไม่นี่"

เรียมลลิตรตอบสั้น

พอหมดเรื่องให้กังวล ขวัญสรวงก็เปลี่ยนมาจ้องท่าทางนิ่งเฉยของคนตรงหน้าอย่างเพลินตา นึกไม่ออกว่าตั้งแต่เมื่อไรที่การจำแนกความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นจะกลายเป็นความสนุกในการค้นหา โทนเสียงสูงต่ำ องศาในการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ขยับเพียงน้อยนิด

ไม่หิวอย่างนั้นหรือ หรือว่ามีของที่อยากทานมากกว่า จะใช่ขนมหวานหรือเปล่า ครั้งก่อนดูจะสนใจน่าดู หรือจะเป็นเพราะเหตุผลอื่นกัน ความคิดวนเวียนอยู่แบบนั้นกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น

"ผมมีเรื่องอยากจะถาม"

ขวัญสรวงยิ้มน้อย ๆ นึกสนุกในใจ อะไรกันนะ อะไรกัน

"คนนั้นที่เข้ามาเมื่อบ่าย เขาเป็นคนสติไม่ค่อยดีหรือ"

จ้อยอย่างนั้นหรือ ขวัญสรวงทำหน้างง

"เขาบอกว่าเป็นลูกของกำนัล" เรียมลลิตรสบตาอย่างมุ่งมั่น พูดช้า ชัดถ้อยชัดคำ "ของขวัญที่ให้คน จะมีลูกได้ยังไง"

ของกำนัน กับ ของกำนัล

เมื่อเข้าใจทุกอย่าง ขวัญสรวงก็ยกมือขึ้นตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน เขาหัวเราะ แบบที่ไม่เคยหัวเราะมาก่อนกับใคร

"อะไรหรือ"

เรียมลลิตรถาม ด้วยน้ำหนักเสียงที่มากขึ้น ใบหน้าที่นิ่งเฉยตลอดเวลา ปรากฏแววประท้วงของคนเอาแต่ใจอยู่ครามครัน

ขวัญสรวงนั้นหัวเราะจนตึงท้อง บ่า หัวไหล่ อก สั่นไม่หยุด ถึงจะหัวเราะ แต่ดวงตาเข้มคมนั้นจ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา มองเหมือนไม่อาจจะหยุดมองได้

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ประโยคคำถามซึ่งเคยไหลวนอยู่ในความคิดตลอดกลับกลายเป็นประโยคบอกเล่าที่ชายหนุ่มเอาแต่พูดมันซ้ำ ๆ ตอกย้ำเหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ

คนคนนี้เป็นผู้ชายที่น่ารักที่สุดที่เคยรู้จัก ที่สุด ที่สุดแล้ว

ขวัญสรวงคิดแบบนั้นจริง ๆ





หากเปรียบการพบกันเมื่อครั้งแรกนั้นเป็นห้วงทำนอง Prelude ของบทเพลงดี ๆ สักเพลง ในครั้งนี้ การกลับมาพบกันอีกครั้งของคนทั้งคู่ก็เสมือนการก้าวเข้าสู่ท่อน Interlude เป็นห้วงจังหวะใหม่ที่ตัวโน้ตแต่ละห้องค่อย ๆ เคลื่อนไหวไปกับเนื้อร้องอันเต็มไปด้วยเรื่องราวอันอ่อนหวาน

ช้า ๆ และงดงาม




+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ หลังจากอ่านตอนนี้จบคงจะพบความจริงว่านี่เป็นนิยายแนวพีเรียดที่ไม่เหมือนแนวพีเรียดเอาสักเท่าไร
แถมอะไรที่คิดไว้ก็อาจจะไม่เป็นแบบที่คิด ทั้งหมดก็เพราะน้องเรียมนั่นแหละ บุคลิกอินดี้แบบเกินคาดเดา
แล้วในอนาคตก็คงจะมีมุมแปลก ๆ ด้านอื่นมากขึ้นตอนอยู่กับพี่ขวัญ ซึ่งต้องติดตามต่อไป

เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรรู้จากการอ่านตอนนี้คือ
1. จ้อยไม่ได้ร้ายแบบที่คิดนะ นางแค่แนวโจ๊ะพรึม ๆ เซ่อ ๆ ไม่ฉลาด -"-
2. พี่น้องเขายังไม่ได้จีบกันนะ เขาแค่สนิทกันมากขึ้น ครุคริๆ

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ทุกคำเสนอแนะนะครับ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 25-11-2014 22:08:24
แค่เห็นน้องเรียมสนใจหรือชื่นชม? พี่ขวัญ เราก็ดีใจแล้ว
ขำน้องเรื่องกำนัล-กำนันจริงๆนะ
พี่ขวัญหัวเราะซะแบบนี้ น้องเรียมจะตกใจมั้ย
ชอบที่บรรยายบรรยากาศเรื่อยๆ ดูเหมือนมีแสงแดดยามเย็นจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 25-11-2014 22:10:57
น่ารักได้อีก ฟินเฟ้ออออ. แบบ คือใสซื่อจริงเรียมเอ๊ย  มุ้งมิ้งมาก ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 25-11-2014 22:39:41
 :impress2: พี่ขวัญช่างอบอุ่นเหลือเกินดูแลน้องเรียมให้ดีๆนะคะ น้องน่ารักจังอ่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 25-11-2014 23:47:21
มันดูมุ้งมิ้ง งุ้งงิ้งดีค่ะ 5555555 อ่านๆไปก็รู้สึกว่าจ้อย ประมาณพ่อแม่รังแกฉัน ไม่ได้ร้ายมากมาย แต่ก็น่าหมันไส้อยุ่ดี

เรียมเหลือทนแล้วนั่นนนนน ขวัญของเรียมมมมมม ครึครึครึ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 26-11-2014 00:55:48
โหหหหหห นี่ไม่ได้จีบเหรออออ แค่นี้ก็เล่นเอาเราเขินจิกหมอนเลยอะ กริ้ดดดด ลลิตรน่ารักที่สุดในโลกเลยจ้าาาา พี่ขวัญก็นะไปหัวเราะน้องเขาได้ไงเนี่ย น่าตีจริงๆ

ชอบ้เรื่องนี้มากกกกกเลยล่ะค่ะ ตีพิมพ์เถอะจริงๆ(ได้ข่าวยังออกไม่กี่ตอนเองนะยะเธอ) 55555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: narunarutoboyz ที่ 26-11-2014 10:40:51
อ่านมาตั้งเเต่ต้น ชอบในภาษามากๆๆๆ ยอมรับว่ามีอึดอัดที่ตัวละครทำอะไรไม่ทันใจคนศตวรรษนี้เล้ยยยย
แต่เข้าใจค่ะ เพียงเเค่มันลุ้นจนเกร็งมากๆเฉยๆเพราะเราก็ชอบดูละครไทยเเนวนี้เป็นปกติอยู่เเล้ว
ยิ่งมาเป็นนิยายวายในยุคนั้นด้วยเเล้วนี่แอบฟินพ่วงความรู้สึกเป็นห่วงค่ะ เพราะคนสมัยนั้นนี่ไม่ยอมรับออกสื่อเลย
แม้จะมีการเล่นเพื่อนหรือมีนายในในวังกันจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะทำใจยอมรับกันได้เท่าสมัยนี้
เอาเป็นว่านั้นคือเรื่องในอนาคต ไว้เราไปเครียดพร้อมกัน ตอนนี้ขอเอ็นดู๊เอ็นดูวน้องเรียมก่อนดีกว่า
โอ๊ยยยยยยย ไอ้เราก็นึกว่าเครียดเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องของกำนัล ลูกกำนัน
โถวววววววว พ่อยอดขมองอิ่มของเจ้!!  :man1: นี่นึกออกเลยนะว่าถ้ารู้ความจริงจากปากพี่ขวัญ
คงเเจกค้อนนิ่งๆให้พี่ขวัญไปหลายอยู่ อิอิ

ส่วนเรื่องจ้อย จากตอนก่อนหน้านี้ดูน่าหมั่นไส้ ไปๆมาๆกลายเป็นเเค่เด็กโก๊ะๆคนนึงสินะ
ไม่รู้ว่ามโนไปเองจัดจนคิดว่าจ้อยจะมีคู่ นี่คุณLucea จ้อยจะมีรึเปล่าคะ? อิอิ  :teach:

จะติดตามและเป็นกำลังใจให้เรื่องนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงวันรวมเ่มเลย คึคึคึคึ o3  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 26-11-2014 17:09:12
โอ้ยยยยยย
จะตายกับประโยคตัวสั่นเป็นลูกหนูเลยน้องพี่
คือละมุนนนน
อีกหน่อยจะเป็นตัวสั่นเป็นลูกหนูเลยมียพี่ ไรแบบนี้ป่ะค้าา 55555

น้องเรียมนี่ผู้ดีแบบสุดๆ ฟินมาก
พี่ขวัญมาหาน้องบ่อยๆนะ เดี๋ยวจ้อยได้มาอีกแน่
 ดีใจมากเลยค่ะที่มาอัพ เป็นกำลังใจให้มาอัพตอนต่อไปไวๆนะคะ 55555555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 04-12-2014 23:52:08
นี่ขนาดยังไม่ได้จีบเลยนะคะะะะ
กรี๊ดดดดดดด หวานมุ้งมิ้งมาก ฮืออออ
กินน้ำตาลไปหลายก้อนแล้วค่ะ ฮือออ ชอบบบ
บรรยากาศหวานๆ อุ่นๆ ละมุนๆ แบบนี้มันคืออะไรกันนนน

 :hao5:

น้องเรียมน่ารัก น่าเอ็นดู น่าถนอม เลอค่าเหลือเกิน
ชายขวัญเองก็อบอุ่น ใจดี สุขุม นุ่มลึก ดูเป็นผู้ใหญ่ ดูแลน้องได้
กิ่งทองใบหยกเป็นยังไงก็เพิ่งจะได้รู้  :-[

อ่านไปเขินไปค่ะ ฮืออออ
ขนาดยังไม่ได้จีบนะะะ ยังไม่ได้จีบบบ ทำไมเราเขินแล้ว แงง
ถ้าจีบกันจะไม่เขินกว่านี้หรอคะ? อยากเขินอีกเยอะๆ จังเลยค่ะ
ชอบมาก ออกตัวปกป้องน้องขนาดนี้ ทำดีมากค่ะชายขวัญ

นี่ขำมากตอนจ้อยป้อน้องเรียมแล้วโดนถูกน้องตอบกลับไปอย่างเย็นชา
ภาษาปัจจุบันแถวบ้านเรียกเงิบ 5555555555 คอยดูซิว่าต่อไปจ้อยจะทำยังไง
ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆ นะคะ เพราะจ้อยมีส่วนช่วยให้ชายขวัญกับน้องเรียมได้ใกล้ชิดกัน

ฮี่ๆ รอตอนหน้าาาาาา >__<
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 05-12-2014 00:46:05
แวะมาสองค่ะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 10-12-2014 01:01:38
เพลานั้นล่วงเลย รอต่อค่อนแคล้ว ตอนหก
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 12-12-2014 20:37:50
กรี้ดดดดดดดดดดด เพิ่งได้กลับมาอ่านฮืออออออ
หลังจากต้องทุ่มเวลาไปกับไฟนอลหรรษา
ตอนนี้ข้ากลับมาแร้นนน555555
(แต่คนเขียนยังไม่กลับมาเลย 5555)

โง้ยยยยยยยยยย น้องเรียมมม น้องเรียมของพี่ งื้อออ
น่ารัก น่ารัก น่ารักกก ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านี้
พี่ขวัญก็นะ เท่จรุงงง อยากให้เขาอยู่ด้วยกันเยอะๆ
พี่ขวัญพาน้องไปเที่ยว เปิดหูเปิดตา
ใกล้ๆก็พาตลาด ไกลๆก็พาเที่ยว ทะเล ออกตจว ไปเลย

ส่วนจ้อย.... ถ้านายไม่ร้าย เราจะยอมให้นายเป็นเพื่อนกะน้องเรียมก็ได้
แต่ถ้านายเป็นคนไม่ดี คิดจะมาตักผลประโยชน์เหมือนพ่อแม่นายละก็...
เราจะขอให้นายมีผัววววววววว !!!!
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 17-12-2014 01:49:12
น้องเรียมพูดน้อยจังเลยค่ะ อยากจะรู้สิว่าผู้พิทักษ์ชื่อพี่ขวัญเมื่อไหร่จะได้พิทักษ์ใจน้องเรียม
ชอบเรื่องนี้ที่ภาษาของคุณ Lucea ภาษาสวยอีกแล้ว ไม่เคยผิดหวังจริงๆ ยิ่งมาอ่านเจอกลิ่นไทยๆไปแบบนี้ หลงเต็มๆ
เรื่องนี้ผูกปมอยู่ที่คุณเรียม เชื้อพระวงศ์ตาหวานของแม่ๆนี่แหละค่ะ อยากอ่านต่อแล้วน้า 
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๕ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 23-12-2014 07:43:09
สนุกมาก ๆ เลยค่ะ
ภาษาละเมียดละไม ชอบมาก
อยากอ่านตอนต่อไปจัง แล้วจะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 25-12-2014 23:34:17
ตอนที่ ๖





อธิปพับจดหมายจากนมละเอียดใส่ซองแล้วพูดกับสาวใช้ที่รออยู่

"ขอบใจแดงมากนะ ฝากบอกนมละเอียดด้วยว่าเสร็จธุระทางนี้ จะรีบกลับ ไม่ต้องเป็นห่วง"

เด็กสาวพนมมือรับคำมั่นเหมาะ กล่าวคำลาแล้วรีบเดินกลับไปที่รถ

เทียบกับความรู้สึกเมื่อวานตอนที่ได้ทราบเรื่องแล้วก็นับว่าใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังนับว่าห่างไกลจากความโล่งใจ ชายหนุ่มยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เฝ้าไข้ของเกสรผู้เป็นมารดาที่ป่วยด้วยโรคประสานธาตุ อาการป่วยไข้ของบุพการีนั้นถูกปัดเป่ารักษาด้วยทีมแพทย์ฝีมือดี แต่ความทุกข์ร้อนที่บางกะปินั้นเล่าจะเป็นอย่างไร

เมื่อไม่อาจประจักษ์ด้วยตาก็ยากคะเนได้ว่าเพื่อนบ้านที่ยื่นมือเข้ามาช่วยนั้นรู้สึกต่อเรื่องที่เกิดขึ้นแบบไหน อันไมตรีซึ่งคุณชายขวัญสรวงหยิบยื่นให้กับผู้เป็นนายของอธิปนั้นมีอยู่มากก็จริง แต่ทั่วพระนครก็รู้แจ้งว่าราชสกุลขัตติยพงศ์นั้นเป็นพวกถือสันโดษพอ ๆ กับเกียรติของตน ไม่เอาใครมาแต่ไหน

ชายหนุ่มจึงได้แต่พะวักพะวน หายใจก็ไม่คล่อง กระทั่งได้ยินเสียงเรียกจึงหันกลับมามอง เหมือนจงใจแกล้ง เมื่อจู่ ๆ พวกขัตติยพงศ์ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า อธิปปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ เอ่ยทัก

"คุณพิษณุ คุณพิรงรอง สวัสดีครับ"

พันตรี หม่อมราชวงศ์ พิษณุ และหม่อมราชวงศ์พิรงรองทักทายตอบตามมรรยาท จากนั้นผู้เป็นนายทหารก็เอ่ยขึ้น

"ไม่คิดว่าจะได้พบกันที่นี่ คุณอธิปไม่สบายอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ค่อยดี"

"มิได้ครับ ผมมาเยี่ยมคุณแม่ ท่านป่วยเป็นโรคประสานธาตุ อาการทุเลาลงบ้างแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนเพลีย" อธิปตอบ สีหน้าดูยิ้มแย้มขึ้น "ว่าแต่คุณชายมาทำธุระอะไรที่โรงพยาบาลหรือครับ"

พิษณุหันไปมองน้องสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วยิ้ม

"พาหนูอุ่นมาเยี่ยมเพื่อนครับ"

อธิปร้องอ้ออย่างเข้าใจ

"เพื่อนหนูอุ่นเป็นไข้หวัดใหญ่ค่ะคุณอธิป จามไม่หยุด คุณแม่เลยบังคับให้มาตรวจที่ศิริราช"

หม่อมราชวงศ์พิรงรอง หรือหนูอุ่นสับทับ อธิปจึงพยักหน้ารับคำ พูดตามน้ำ

"อากาศเปลี่ยน คนไม่สบายเยอะ"

หม่อมราชวงศ์พิรงรองนั้นเป็นคนไว้ตัวตามประสาสตรี สำรวม ระมัดระวัง แต่ก็มีความคิด ฉลาดเฉลียวคล่องแคล่วกว่าหญิงสาวส่วนมากในยุคสมัยนั้นมาก

ความฉลาดเฉลียวนี้เองที่ช่วยเจ้าตัวแยกแยะความเหมาะสม พิงรงรองสามารถสนทนาพาทีกับชายหนุ่มได้พอ ๆ กับเพื่อนผู้หญิงด้วยกันโดยปราศจากความรู้สึกกระดากอาย ตราบใดที่หัวข้อในการพูดคุยนั้นไม่ได้สื่อไปในทางผูกสมัครรักใคร่ เธอก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องต้องหลบซ่อนไม่สมควรแต่อย่างใด ข้อนี้เป็นสิ่งซึ่งอธิปนึกนิยมอยู่ในใจนับตั้งแต่การพบกันที่งานเลี้ยงในวังของหม่อมเจ้าภูวดลเมื่อหลายเดือนก่อน

พูดคุยทักทายได้สักพัก หญิงสาวก็เอ่ยปากตรง ๆ กับอธิปอย่างเป็นธรรมชาติ

"หนูอุ่นต้องขอประทานโทษกับคุณอธิปด้วยค่ะ พอดีต้องไปธุระต่อ เกรงว่าจะไปไม่ทัน"

ถ้อยคำตัดบทเอาเสียดื้อ ๆ นั้น หากเป็นคนอื่นพูดคงดูผิดมรรยาททางสังคมเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเป็นหญิงสาวที่บุคลิกคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉานอย่างพิรงรองแล้วนั้น กลับกลืนไปกับคำพูดธรรมดาได้อย่างเหลือเชื่อ

พิษณุเสียอีกที่ดูจะเป็นฝ่ายเกรงใจ

"หนูอุ่น ทำไมถึงพูดแบบนั้น"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณชาย"

เมื่อเห็นอธิปไม่ถือโทษโกรธเคือง นายทหารหนุ่มจึงดูเบาใจขึ้น แต่ก็ไม่วายเอ็ดผู้เป็นน้องสาวด้วยสายตา

"กระผมคงไม่รบกวนแล้ว ต้องขอประทานโทษที่วันนี้ไม่สะดวกไปเยี่ยม ต้องพาหนูอุ่นไปธุระต่อ ขอให้คุณแม่คุณอธิปหายไข้โดยไวครับ ถ้าสะดวก กระผมจะถือโอกาสมาเยี่ยมในคราวหลัง"

"ขอบคุณคุณชายมากครับ"

พอจะเอ่ยปากลา พิษณุก็ถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

"แล้วนี่คุณอธิปมาคนเดียวหรือครับ"

"ครับ แต่ช่วงบ่ายคุณพ่อคงตามมา"

ได้ยินเช่นนั้น พิษณุจึงเอ่ยปากลาแล้วปลีกตัวออกมา





"เมื่อครู่ พี่ชายถามถึงใครหรือคะ"

พิรงรองถามขึ้น ระหว่างที่รถยนต์แล่นออกจากพื้นที่ของโรงพยาบาลศิริราชไปแล้ว พิษณุชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามความคิด

"พี่แค่ถามเผื่อ"

"หนูอุ่นเห็นพี่ชายเหมือนมองหาใคร เลยนึกว่าพี่ชายอาจถามถึงคนรู้จัก"

คนเป็นพี่ชายได้ยินแล้วก็ยิ้มเรื่อย ๆ ก่อนจะถามถึงจุดหมายปลายทาง

"ให้พี่ไปส่งที่สะพานหัวช้างต่อใช่ไหม"

"ค่ะ หนูอุ่นนัดกับกัลยาเอาไว้ พี่ชายรู้ไหมคะว่าโรงหนังที่เพิ่งเปิดใหม่ของครอบครัวเพื่อนหนูอุ่นคนนี้ ทันสมัยไม่แพ้กับเมืองฝรั่งเลย ถ้าไม่ติดธุระอะไรอยู่ดูด้วยกันสิคะ"

คำตอบของพิษณุคือ

"ไม่ดีกว่า"

หญิงสาวถอนใจกับคำตอบที่ได้ยิน ในหัวสมองของพี่ชายเธอคงมีแต่เรื่องยุทธศาสตร์การทหารและภาระหน้าที่ในการปกปักษ์ผืนแผ่นดินสยาม ไม่เคยมีเรื่องความสนุกสนานบันเทิง ไม่เคยมีอะไรมากกว่านั้น เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็ก และก็คงจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน

พิรงรองไม่รู้เลยว่าในความคิดของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่เคยคิดถึงแต่เรื่องหน้าที่ ความรับผิดชอบนั้น บัดนี้กลับมีใครคนหนึ่งที่เคยพบกันโดยบังเอิญเมื่อหลายเดือนก่อนแทรกตัวเข้ามา

ออกจะเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แม้แต่พิษณุเองก็ฉงนกับความคิดชั่ววูบซึ่งพลุ่งขึ้นมาในตอนที่เห็นอธิป





อีกด้านของโรงพยาบาลที่พิษณุเพิ่งจากมา อธิปกลับมาเข้าห้องพักฟื้นของผู้เป็นมารดาก็พบกับเริญดนุภพยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ เอ่ยทักด้วยความปิติระคนความประหลาดใจ

"คุณเริญ"

เริญดนุภพรับไหว้ด้วยท่าทีสบาย ๆ

"กระหม่อมต้องขอประทานโทษเพคะ เสด็จถึงนานแล้วหรือกระหม่อม"

"ไม่เอาน่าอธิป เคยบอกแล้วนี่ อย่าใช้ราชาศัพท์กับเราและน้องเรียมเลย"

"ขอรับ"

"ครับก็พอ" เริญดนุภพเอ่ยยิ้ม ๆ "เราเพิ่งมาถึง อาการคุณแม่ เห็นว่าหมอบอกว่าดีขึ้นมากใช่ไหม"

"ครับ พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ต้องพักฟื้นอีกสักระยะ"

สีหน้าของคนมาเยี่ยมดูโล่งใจไปมาก

"ต้องขอโทษด้วยที่มาช้า เพิ่งกลับมาจากฮ่องกง ทราบเรื่องจากน้องดาก็ตรงมาที่นี่เลย"

น้องดาที่ว่านั้นหมายถึงหม่อมจินดา คู่ชีวิตของเริญดนุภพ ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปีกลายที่อังกฤษ เมื่อกลับถึงประเทศไทย วิศาลผู้เป็นบิดาเป็นผู้ดำเนินการเรื่องเอกสารทางกฎหมายต่าง ๆ ให้ นั่นเป็นครั้งแรกที่อธิปได้รู้เรื่องเกี่ยวกับสมาชิกในราชสกุลภัทรกุล และระลึกจดจำได้อย่างแม่นยำทุกพระองค์

"ขอบคุณหม่อมจินดามากครับ ช่วยเป็นธุระให้ผมกับคุณพ่อมากมาย ไม่อย่างนั้นคงฉุกละหุกกว่านี้"

"อย่าถือเป็นธุระเลย อธิปเองก็ช่วยเราไว้มาก" เริญดนุภพเอ่ยด้วยความเมตตา ไม่ถือเรื่องใหญ่โต "เรียมเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม"

"สุขภาพแข็งแรงดีครับ อาหารไทยก็ทานเก่งขึ้นมาก เคยชมว่าถูกปาก"

น้ำเสียงของอธิปฟังดูร่าเริงแจ่มใส แต่เพียงครู่เดียวก็เจื่อนลงด้วยความไม่สบายใจ

"แต่ช่วงสองวันที่ผมมาที่นี่เกิดเหตุนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตอนนี้คงไม่มีปัญหาแล้ว"

"เรื่องอะไรหรือ"

"คล้าย ๆ กับเดิมน่ะครับ"

สีหน้าของอธิปดูไม่ใคร่สบายใจนักในตอนที่ตอบคำถาม

เริญดนุภพเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

"ไม่จบไม่สิ้นเอาเสียจริง ๆ สินะ แล้วนี่ทำอย่างไร"

"ต้องขอบคุณเพื่อนบ้านน่ะครับ"

"หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตนั่นหรือ"

"มิได้ครับคุณเริญ เป็นคุณชายขัตติยพงศ์"

สีหน้าของเริญดนุภพเผยแววประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับนิ่งเป็นปรกติ

"ขวัญสรวงนั่นหรือ"

เมื่ออธิปรับคำ ชายหนุ่มก็พยักหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้าซึ่งอยู่มุมห้องด้านท่าทีผ่อนคลาย

"ว่าไปแล้วตั้งแต่ตำหนักน้อยสร้างเสร็จ ก็ยังไม่ได้ไปดูเลยสักครั้ง เห็นทีคราวนี้คงต้องไปดูให้เห็นด้วยตาว่างามสมกับที่น้องดาเขาชมนักหนาหรือเปล่า แล้วจะได้ไปเยี่ยมเรียมด้วย ดูว่าจะทานอาหารไทยเก่งขึ้นจริงหรือเปล่า"

ถือโอกาสอันดีที่จะได้ไปพบตัวจริงของคุณชายขัตติยพงศ์สักครั้ง





ระหว่างที่พาชมคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ ขวัญสรวงกลับลอบมองเรียมลลิตร สำรวจอย่างเพลินตาพลางนึกชมรสนิยมในการแต่งกายของอีกฝ่ายอยู่ในใจ

ลักษณะการแต่งกายของเรียมลลิตรนั้นแตกต่างจากคนทั่วไปที่มักจะสวมเสื้อและกางเกงในโทนสีที่ใกล้กันตามสมัยนิยม เช่นถ้าสวมเสื้อสีฟ้า กางเกงก็มักจะเป็นสีกรมท่าเข้าชุด แต่ชายหนุ่มกลับสวมกางเกงผ้าวูลสีเทานวล แม้จะตัดกับสีฟ้าอ่อนของตัวเสื้อเชิ้ต แต่กลับดูเข้าชุดกันอย่างประหลาด

อาจเพราะผ้าพันคอผืนเล็กที่ซ่อนชายไว้ในเสื้อนั้นที่ร้อยโทนสีซึ่งตัดกันได้อย่างฉลาด ลักษณะการแต่งกายแบบนี้คล้ายกับเหล่าสังคมชั้นสูงในยุโรปกำลังนิยม ผู้ชายจะแต่งกายด้วยโทนสีเรียบซึ่งต่างกันเล็กน้อยแต่เลือกเครื่องประดับอย่างอื่นให้ล้อกันเป็นลูกเล่น ทำให้ดูลงตัว

เช้าวันนี้ ขวัญสรวงเลาะรั้วด้านหลังไปพบนมละเอียดเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการให้เรียมลลิตรมาพักที่คฤหาสน์ขัตติพงศ์ชั่วคราว อย่างน้อยก็ช่วงวันสองวันนี้ ระหว่างที่รออธิปกลับมาจากตัวเมืองพระนคร หากมีผู้ใดมาขอพบ เมื่อเจ้าบ้านไม่อยู่ก็จะได้มีเหตุผลสมควรแก่การปฏิเสธไม่ต้อนรับใคร

"ช่วงที่อธิปไม่อยู่ก็มาพักที่นี่ก่อน ถือว่ากันไว้แต่เนิ่น ๆ ไม่ได้ลำบากอะไร บ้านนี้มีหลายห้อง ปิดไว้ไม่ได้ใช้ ดีเสียอีก ถือว่าได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ พี่จะพาไปดูห้อง อยู่อีกปีกของตึก"

เจ้าบ้านพาเดินตรงไปยังห้องที่อยู่สุดปลายทางเดินที่มักใช้เป็นห้องพักอาศัยของแขก ขณะที่ผ่านห้องหนึ่ง เรียมลลิตรก็หยุดยืนนิ่ง คล้ายสนอกสนใจ

ห้องนั้นอยู่เยื้องไปจากห้องนอนของขวัญสรวงเพียงเล็กน้อย เป็นห้องที่มีขนาดกะทัดรัดแต่สามารถเห็นทัศนียภาพของคลองบางกะปิจากอีกฝั่งได้สวยกว่าห้องใด

ขวัญสรวงเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองนิ่งนานก็ครุ่นคิด สักพักก็ตัดสินใจเดินนำเข้าไปด้านใน

ลำแสงอ่อน ๆ ลอดคลื่นเมฆเข้ามาทางหน้าต่าง กระทบฟูกหนาหุ้มแพรสีนวลที่ขึงจนตึงเรียบ เตียงนอนยกเสาขึ้นจากมุมทั้งสี่ด้าน คลุมด้วยมุ้งตาพริกไทยอย่างดี อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะเครื่องแป้งขัดมุกพร้อมกับบานคันฉ่อง ตั้งพานและโถสลักลายดอกพุดตาน ข้างกันเป็นตลับเครื่องใช้จุกจิกเข้าชุด ด้านล่างมีกระโถนที่ทำจากเงินแท้วางไว้ ถัดไปไม่ไกลนั้นเป็นพื้นที่ในส่วนที่ใช้พักผ่อนอ่านหนังสือ ทีโต๊ะทำงานและเก้าอี้สลักเสลาเป็นลวดลายอ่อนช้อยเข้าชุดกัน

"ชอบไหม หรืออยากจะดูห้องอื่นอีก"

"ที่ไหนก็ได้ครับ"

ขวัญสรวงอมยิ้ม ชายหนุ่มยื่นมือออกมาด้านหน้าแล้วยกค้างไว้อย่างนั้น

"มานี่สิ"

นิ่งไปสักพัก เรียมลลิตรจึงยกมือขึ้นวางบนฝ่ามืออุ่น ขวัญสรวงค่อย ๆ จูงมือของอีกฝ่ายให้เดินไปด้วยกัน กระทั่งถึงที่หน้าต่าง จึงใช้มืออีกข้างเปิดม่านออก

แพสีเขียวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าดุจพรมอ่อนนุ่มที่ปูทอดไปจนสุดริมน้ำ เยื้องไปทางด้านซ้าย กิ่งพะยอมที่ใกล้กับวงกบมีนกกระจาบทำรังอยู่ แม่นกตัวจ้อยกำลังทอฟางเส้นเล็ก ๆ สานกันจนเป็นรูปร่างคล้ายน้ำเต้าทรงเพรียว

"มีนกทำรังด้วย"

ขวัญสรวงยิ้ม ออกแรงที่มือซึ่งเกาะกุมอยู่เพียงน้อยเพื่อเรียกให้อีกฝ่ายหันไปมองอีกด้าน

"ดูนั่นสิ"

จากสายตาที่ทอดมองไปบนกิ่งไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหน้าต่าง เรียมลลิตรเห็นกระรอกสองตัวกำลังแทะลูกไม้ หางฟูฟ่องของพวกมันแกว่งไกวไปมาคล้ายกำลังหยอกสายลม

เหมือนจะเห็นว่าถูกจ้องมองอยู่ เจ้าของพวงหางสีน้ำตาลนวลเหล่านั้นจึงชะเง้อหน้าขึ้นมองกลับ พอเรียมลลิตรเอียงคอ ขยับตัวให้มองชัดขึ้น พวกมันก็รีบวิ่งซุน กระโดดขึ้นกิ่งไม้ต้นนั้นต้นนี้เหมือนเด็กวัยกำลังซนสองคนวิ่งหนีคุณครูอยู่ในสนามเด็กเล่น เรียกรอยยิ้มของคนที่มองอยู่ให้คลี่แย้มด้วยความเอ็นดู

"น่ารักจังนะคะ"

เสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ต่างกับเสียงลมต้องกิ่งไม้นั้นสะดุดหูของขวัญสรวง แรงสั่นสะเทือนน้อย ๆ กำซาบไปทั่วอกจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ

"นะคะ?"

เรียมลลิตรสบตาของคนที่มองอยู่ ไม่ได้พูดสิ่งใด แต่เยื้อนยิ้มในแววตา

ขวัญสรวงชะงัก เงียบไปพักใหญ่ ขณะที่ร่างแบบบางหันกลับไปมองทิวทัศน์เบื้องหน้า ดวงตาคมก็คอยลอบมองใบหน้างามพิสุทธิ์ด้านข้างนั้นด้วยความรู้สึกหวิว ๆ ในอก

สายลมเอื่อยอ่อนต้องผิว พัดความร้อนบนเนื้อตัวให้จางหาย แต่ในใจของชายหนุ่มนั้นกลับอุ่นวาบราวกับสัมผัสแสงอรุณยามเช้า

"พี่นึกไม่ถึง"

เรียมลลิตรค่อย ๆ หันกลับมามอง เงียบนิ่งเหมือนรอฟังด้วยความฉงน

"ที่พูดคะ”



(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 25-12-2014 23:36:26
(ต่อครับ)



เสียงทุ้มขรึมนั้นเว้นห้วงไปอีกพักใหญ่ จึงพูดต่อ

“พี่ว่าเหมาะกับน้อง"

ร่องรอยแห่งความสงสัยคลายออกเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แย้มขึ้นในดวงตาคู่สวย เรียมลลิตรเอ่ยนิ่ม ๆ ตามนิสัย

"เมื่อยังเด็ก ผมชอบเล่นสนุก เช้าจดเย็นลืมเวลา แล้วจะโดนนมละเอียดเอ็ด โดนจับนั่งพับเพียบ เอาไม้ตีตาตุ่ม หัดให้สำรวม พูดคะขา จะได้คลายซนลงบ้าง"

เรียมลลิตรเล่าไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ตัวว่าเผลอสนทนามากกว่าทุกครั้ง ทั้งยังใช้น้ำเสียงสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากเกินกว่าที่ตนเองจะคาดคิด

"จำได้ว่าตอนนั้นนั่งนานจนตะคริวกินเท้าไปหมด หิวจนปวดท้อง นมละเอียดให้ทำอะไรก็ทำ ไม่พยศ พอนานเข้าก็ติดเป็นนิสัย"

ขวัญสรวงยืนรับฟังอย่างเงียบ ๆ แต่ละถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาตินั้นทำให้ยิ้มกริ่มอย่างเพลิดเพลิน

“นึกภาพน้องซนไม่ออก”

“ซนครับ ผมโดนก้านมะยมหวดประจำ”

ขวัญสรวงหัวเราะ กระนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกทึ่ง

ใครจะคิดว่าคนที่ดูนิ่งสง่า กิริยาวาจางดงาม สำรวมสุภาพแบบนี้ ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผู้ใหญ่ปวดหัวเพราะซนมาก่อน ชายหนุ่มจึงได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสนใจ มีความสุขที่ได้รับฟังเรื่องต่าง ๆ อย่างไม่รู้เบื่อ จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

จวบจนกระทั่งความเบิกบานใจเกินกว่าเหตุนั้นบรรเทาลงจนปรกติ ชายหนุ่มจึงกระชับมือที่เกาะกุมขึ้นแล้ววกกลับมาพูดถึงเรื่องที่ค้างไว้

"อยู่ที่นี่จะซนเท่าไรก็ได้ พี่ไม่ดุ สัญญาว่าจะไม่เด็ดก้านมะยมมาเฆี่ยน”

เรียนลลิตรเผลอหัวเราะเบา ๆ รวงแก้มปลั่งเป็นสีชมพูระเรื่อ

“กลางวันก็อยู่เสียที่นี่ ขาดเหลืออะไรก็บอกให้นมละเอียดจัดหา สายบุญก็ได้ บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ไม่ยุ่งยากอะไร นานเข้า คนที่ราวีเขาจะได้เลิกราไปเอง ไม่ขุ่นข้องหมองใจกัน"

ได้ยินแล้ว คนหนีร้อนมาพึ่งเย็นก็เอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ

จากหน้าต่างของห้องที่ยืนอยู่นั้น สามารถมองเห็นบริเวณด้านข้างของตำหนักน้อยได้เช่นกัน แม้จะไม่ถ้วนทั่วอาณาเขตแต่ก็มากพอจะให้ประจักษ์ถึงทัศนียภาพเกือบทั้งหมดด้วยไม่มีร่มไม้สูงกำบัง ขวัญสรวงจึงแนะตามเหมาะสม

"ที่บ้านน้องควรปลูกต้นไม้ไว้บ้าง มีไม้มงคลหลายอย่าง นอกจากจะร่มรื่น ให้ดอกให้ผล ร่มไม้เหล่านี้ยังช่วยพรางสายตาคนนอก เป็นกุศโลบายของคนโบราณท่าน"

"กุศโลบาย?"

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มของคนตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ขวัญสรวงแกล้งแชเชือน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำเป็นไม่ได้ยิน

ผ่านไปสักครู่ ใบหน้าเรียบเฉยจึงหันมามองพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความฉงน ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายอมยิ้มเบิกบานใจหนักหนา

"ทำไมต้องยิ้ม"

ยิ่งปราม เหมือนยิ่งยุ คนตัวโตกว่าจึงยิ้มเอา ๆ

"พี่ยิ้มไม่ได้หรือ"

เรียมลลิตรมองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์กรุ่น เพราะความไม่สันทัดแตกฉานในภาษาไทย คราก่อนที่เข้าใจผิดเรื่อง "ลูกของกำนัน" กับ "ของกำนัล" จึงถูกขวัญสรวงหยอกเย้าเสียพักใหญ่ พอครานี้ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "กุศโลบาย" ขวัญสรวงคนเดิมก็เอาแต่ยิ้มเย้า ชื่นมื่นนักหนา

ร่างประเปรียวเบือนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉุนไปอีกด้าน ก่อนจะเอี้ยวตัว ก้าวขากลับไปทางประตู

แต่ขวัญสรวงนั้นขืนแรง ไม่ยอมปล่อยมือ

"จะไปไหนหรือ"

"มานานแล้ว นมละเอียดคงรอ สมควรกลับเสียที"

จริงอยู่ที่ใบหน้านั้นยังคงเรียบนิ่งเป็นปรกติ หากแต่เสียงแผ่วเนิบกลับลงน้ำหนักคำกว่าทุกครั้ง

มีหรือที่คนช่างสังเกตจะไม่รู้สึก

ขวัญสรวงรีบเอียงหน้าหนีไปอีกด้าน กำมืออีกข้างหลวม ๆ แล้วยกมาป้องเหนือริมฝีปาก จากนั้นก็ลอบหัวเราะจนร่างที่สูงใหญ่สั่นไหว

แม้ว่าหันหลังอยู่ หากแต่บ่าและหัวไหล่ที่กระเพื่อมน้อย ๆ นั้นก็ชัดเจนพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายหันหน้าไปอีกด้านเพราะเหตุใด เรียมลลิตรจึงเอ่ยปากอีกครั้ง

"อะไร"

คนตัวโตค่อย ๆ หันกลับมาด้วยท่วงท่าที่ดูขรึม ทว่าดวงตาอันสุขุมคู่นั้น บัดนี้กลับดูขี้เล่น แจ่มใส เบิกบานเต็มที่ ยิ่งไม่มีคำตอบให้ คนที่เอ่ยถามก็ยิ่งปั้นปึ่ง

"งอนหรือ"

เอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งคล้ายกับว่าเป็นคนแปลกหน้ากัน ไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อไม่ได้มีถ้อยคำใดกลับ คนอารมณ์ดีนักหนาก็เอ่ยต่ออย่างไม่ลดละ

"ทำไมเรียมต้องงอนพี่"

คนถูกถามไม่ได้ตอบความ แต่มุ่นหัวคิ้วขมวดขึ้น ริมฝีปากบางเรียบเชิดจนรั้นรับกับปลายจมูก

ขวัญสรวงนั้นกลับยิ่งเบิกบานใจ ถึงขนาดแกล้งออกแรงดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วตะครุบตัวเอาไว้ด้วยสองแขน

คนตัวสูงทิ้งน้ำหนักลงนั่งที่ขอบหน้าต่าง ดึงอีกฝ่ายที่ขืนตัวไว้ให้เข้ามาใกล้ขึ้นอีก ยิ่งฝืน ก็ยิ่งออกแรงรั้ง กระทั่งเรียมลลิตรนั่งลงบนตักนั่นแหละ ขวัญสรวงจึงพอใจ

ใบหน้าคมคายแหงนขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มกังวานจะแว่วขึ้น

"ทำไมน้องจึงชอบเอาแต่ใจนัก"

"อย่าทึกทักแบบนั้น"

รอยย่นระหว่างหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ทั้งยังใบหน้าที่แสดงความรู้สึกไม่ชอบใจ ล้วนทำให้ขวัญสรวงอมยิ้ม

"เดี๋ยวนี้แสดงความรู้สึกได้ด้วยหรือ"

"แล้วทำไมถึงต้องแสดงไม่ได้ล่ะ?"

น้ำเสียงผะแผ่วนั้นยังคงเชื่องช้า แต่ผู้พูดนั้นเอ่ยมันขึ้นทันควัน

"ผมจะกลับแล้ว"

ขวัญสรวงไม่ปล่อยมือ

"พี่ไม่ให้กลับ"

เมื่ออีกฝ่ายดื้อแพ่ง เรียมลลิตรจึงทำได้แค่เพียงเบือนหน้าไปอีกด้านแล้วนิ่งเงียบเป็นรูปปั้น

"เรียม” คนตัวสูงเอ่ยเสียงกระซิบ “น้องพี่ โปรดฟังก่อน"

การหยอกนั้นสิ้นสุดไปนานแล้ว ขวัญสรวงกอดคนที่นั่งอยู่บนตักตัวเองเต็มมือ แม้จะเป็นอากัปกิริยาที่ค่อนข้างแปลก แต่เมื่อเทียบกับความไม่สบายจิตใจที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึกก็เปรียบดังธุลีเล็ก ไม่มีความหมายใดให้ชายหนุ่มใส่ใจ

ใบหน้าคมเข้มเอียงเข้าหา เอ่ยแต่ละถ้อยคำด้วยความสัตย์

"พี่เป็นห่วง อยากให้เสียอยู่ที่นี่ด้วยกัน น้องอยู่ที่บ้าน ถึงใกล้เท่านี้แต่ก็ไกลพี่ ไม่รู้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง พี่ก็พลอยกังวล"

เสียงทุ้มนั้นเว้นห้วง คล้ายจะรอว่าคนฟังว่าว่ากล่าวสิ่งใด แต่เมื่อทุกสิ่งยังคงนิ่งดังเดิม ขวัญสรวงจึงเปรยต่อด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ

"ใช่เพียงแต่พี่ นมละเอียดก็คงกลัดกลุ้ม เรียมไม่สงสารท่านหรือ"

แผ่นหลังนั้นยังคงสง่าตั้งตรงเป็นฉาก เปรียบดังกำแพงสููงทรงพลัง เรียมลลิตรยังคงเงียบ ไม่ขยับแม้แต่น้อย จนคนพูดชักใจคอไม่ดี แง่งอนก็เรื่องหนึ่ง แต่ความสุขสงบปลอดภัยจากแขกที่เจ้าบ้านคงไม่เต็มใจต้อนรับนั้นสำคัญกว่ามาก

ขวัญสรวงลากลมหายใจยาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"อยู่ที่นี่ มีอะไรจะได้ช่วยกันดูแล พี่เต็มใจ ไม่ถือเป็นเรื่องลำบากให้ต้องเกรงใจกัน"

เงียบไปชั่วครู่เหมือนครุ่นคิดตรึกตรอง สุดท้ายคนไม่ยอมพูดจาก็เอ่ยปากขึ้น

"ไม่ชอบให้จ้อยมาที่บ้านอย่างนั้นหรือ"

ใบหน้าที่ไม่สบายใจของคนที่ปรกติมักยิ้มแย้มอยู่เสมอทำให้เรียมลลิตรเป็นกังวลเกินกว่าจะใส่ใจกับความหมางเมินเล็กน้อย

"เขาเป็นคนอันตรายหรือ"

ขวัญสรวงนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกหลายหลาก ไม่เชิงว่าสิ้นคำตอบ แต่ลังเลว่าจะพูดอย่างไรเสียมากกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจเรียกเต็มปากได้ว่าถูกหลู่เกียรติ อารมณ์ฮึกเหิมของจ้อย สุดท้ายก็เปรียบได้เพียงสุนัขเห่าใบตองแห้ง ความต่างนั้นมีมากเสียเกินกว่าจะนำมาเทียมกัน

เรียมลลิตรเองก็เงียบไปนานเหมือนครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น

"ถ้าทำให้ทุกคนเป็นกังวลขนาดนั้น จะบอกให้เขาไม่มาอีกแล้วกัน"

ยังมีแก่ใจเป็นห่วงจ้อยอีกหรือ

ขวัญสรวงเอ่ยคำถามนั้นกับตนเองในขณะที่สบดวงตาคู่สวย แววตาคู่นั้นกำลังแสดงความรู้สึกผิดอยู่ในที

แม้ภายนอกจะคล้ายคนนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก แต่ขวัญสรวงกลับตระหนักรับรู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อ เห็นแก่ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้าเป็นคนอื่นคงไม่จบลงด้วยความรู้สึกเมตตาปรานีของเจ้าบ้าน ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าน้ำใจของเรียมลลิตรนั้น มีพลานุภาพเหนือกว่าความใหญ่โตของจ้อยเหลือคณา

"หิว"

จู่ ๆ คนที่นั่งอยู่บนตักก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อเห็นคนที่นั่งกอดมองอย่างตกตะลึงก็เอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงช้าเนิบ

"หิวแล้ว"

ความตึงเครียดค่อย ๆ คลี่ออก ขวัญสรวงยิ้มขึ้นทันที ลืมเรื่องไม่สบายใจต่าง ๆ ไปเสียสิ้น

"อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม"

"ไม่รู้" เรียมลลิตรตอบสั้น

"อาหารน่าจะพร้อมแล้ว วันนี้สายบุญคงทำกับข้าวหลายอย่าง พี่ว่าเราลงไปดูข้างล่างกันไหม" ขวัญสรวงจับร่างเปรียวที่อยู่บนตักให้ลุกขึ้นขึ้น แล้วเดินนำออกไปจากห้อง "แต่คงต้องรีบหน่อย บ่ายนี้ ลูกศิษย์จะมาที่บ้าน"

เรียมลลิตรพยักหน้าน้อย ๆ รับอย่างไม่ติดขัด ก่อนจะเอ่ยถาม

"ได้สิ แล้วนายสิทธิ์เป็นใครหรือ"

คนตัวสูงหันขวับกลับมามอง ทั้งที่รู้ว่าจะต้องโดนอีกฝ่ายคาดโทษเข้าให้อีก แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ

"อะไร"

จำเลยไม่ได้ตอบคำถามแต่ฉีกยิ้มกว้างเต็มที่ เรียมลลิตรรับรู้ได้ในขณะนั้นเองว่าตนคงไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างแตกฉาน และเมื่อขวัญสรวงไม่มีทีท่าว่าจะให้คำตอบ จึงค่อย ๆ พูดทีละคำเหมือนจะเปรยกับตนเอง

"อธิปน่าจะรู้จัก"

เพียงประโยคสั้น ๆ ที่แว่วขึ้นนั้นกลับทำให้รอยยิ้มของขวัญสรวงค่อย ๆ เจื่อนลงอย่างง่ายดาย





ช่วงเวลากลางวัน ท้ายตลาดอันเป็นที่ตั้งของเวทีลิเกจะค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงแผ่นป้ายเขียนด้วยลายมือว่าค่ำนี้จะมีการแสดงลิเกเรื่องใดพอให้พอรู้ว่ายามตะวันลับไปจากขอบฟ้าไปแล้ว ความคึกคักจึงจะกลับมาอีกครั้ง

ชีวิตชีวานั้นซ่อนอยู่หลังเวที เมื่อไม่ได้ทำการแสดง ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตของตนเอง บ้างก็ฟังละครวิทยุ บ้างก็นอนคุดคู้ บ้างก็นั่งเล่นไพ่ พวกช่างศิลป์ทำฉากก็จะทำงานซ่อมแซมสีที่ถลอกจางของตน

คณะลิเกเทวราชของนางผุยประกอบด้วยนักแสดง เหล่าช่างที่คอยดูแลเปลี่ยนอุปกรณ์ เหล่าแม่ครัวคอยหุงหาอาหาร รวมแล้วก็ร่วมยี่สิบชีวิต ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหลังเวที ไม่แบ่งแยกชายหรือหญิง เด็กหรือชรา กินด้วยกัน นอนด้วยกันหลังฉากไม้ตีกั้นง่าย ๆ แห่งนั้น

จันดีเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด หล่อนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนางผุย เจ้าของคณะลิเก ข้อนี้จึงนับเป็นข้อยกเว้น หล่อนจึงมีที่พักแยกออกมาต่างหาก มีความเป็นส่วนตัว ห้องหับน้ำท่าสะดวกสบายต่างจากคนอื่น

บ่ายนี้ ขณะที่นางผุยกำลังคิดบัญชีรายรับรายจ่ายของคณะลิเกเทวราช จันดี ผู้เป็นลูกสาวกลับเพลิดเพลินกับการดูเครื่องประดับแพรวพรรณในหีบ ทุกอย่างล้วนเป็นของงาม มีราคาสมกับผู้เป็นเจ้าของห้อง ในตอนที่หญิงสาวกำลังส่องกำไลหยกชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้มาจากจ้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของนายดำ หัวหน้าฝ่ายช่างศิลป์ของคณะลิเก

"แม่ผุย จันดี นายศักดิ์มาขอพบ"

หลังจากได้ยินเสียงตอบรับของเจ้าคณะ ประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมกับนายศักดิ์ ผู้ติดตามของจ้อยซึ่งคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

"ดำ เอ็งออกไปก่อน ข้าจะคุยธุระ"

สิ้นคำสั่งของนางผุย ประตูก็ปิดสนิทลงอีกครั้ง

ศักดิ์หันมาหาหญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่กลางห้อง จันดีรู้ดีว่าควรทำอย่างไร หล่อนส่งยิ้มหวาน ใบหน้าที่งามแฉล้มจึงยิ่งดูสวยสะกดใจ

"พี่ศักดิ์มีธุระอะไรกับจันดีหรือเปล่าจ้ะ"

ศักดิ์พยักหน้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้น

"ข้าแวะมาบอกว่าวันนี้พี่จ้อยคงไม่มา ไม่ต้องรอให้เสียเวลา"

"จ้ะพี่ จันดีต้องขอบใจพี่ศักดิ์มากนะจ๊ะที่ส่งข่าว"

หล่อนตอบเสียงหวานใส เป็นกันเอง ปราศจากอาการขวยเขิน ผิดกับนางผุยที่ดูจะประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลง

"เป็นอะไรรึ หรือว่าไม่สบาย"

"สบายน่ะสบายดี แต่พักนี้ไม่รู้เป็นอะไร ดูเบื่อ ๆ ไม่มีอารมณ์ออกไปรื่นเริงอะไรเหมือนเมื่อก่อน"

"หรือจะเบื่อนางจันเข้าแล้ว" นางผุยโพล่งขึ้นอย่างคนที่นั่งไม่ติด "ติดพันสาวใหม่หรือ นายของพ่อศักดิ์มีมองสาวคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า"

"ไม่เห็นนะ"

"หรือว่านางน้ำทิพย์ ลูกแม่บานชื่นนั่น เห็นว่าหน้าตากิริยาใช้ได้"

"ไม่ใช่หรอก ไม่เห็นจะไปบ้านนายเทิดแบบแต่ก่อน" ศักดิ์ส่ายหัวเหมือนจนปัญญา "ส่งข่าวแค่นี้ ข้ากลับละ เผื่อจะเรียกใช้ ไม่อยู่จะลำบาก"

"เดี๋ยวสิพ่อศักดิ์" นางผุยรั้งไว้

หล่อนเปิดลิ้นชัก หยิบห่อผ้าแพรจีนสีเลือดนกที่ใส่เงินเอาไว้ขึ้นมาแล้วเดินมาส่งให้กับศักดิ์ที่ยืนอยู่หน้าประตู

"ยังไงก็ขอบใจพ่อศักดิ์มากนะที่มาส่งข่าว มีอะไรก็อย่าลืมมาบอกกัน"

สีหน้าเคร่ง ๆ ของศักดิ์ดูอารมณ์ดีขึ้น ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำแล้วรีบกลับไป คล้อยหลังไปแล้ว นางผุยจึงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบหมากที่เชี่ยนไว้ขึ้นมาเคี้ยวด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันมาสอบสวนหญิงสาวที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่หน้ากระจกบานเล็ก

"เอ็งไปทำอะไรให้พ่อจ้อยไม่ชอบใจหรือเปล่า"

จันดีหัวเราะน้อย ๆ อย่างคนอิ่มสุข ดวงตาดูใสเป็นประกาย

"แม่จะไปเดือดร้อนทำไมล่ะจ้ะ เขาจะมาก็มา ไม่มาก็ไม่มา"

"นางจัน เอ็งระวังให้ดีเถอะ อย่าหวังจะได้สบายง่าย ๆ นางเด็กน้ำทิพย์นั่นข้าเคยเห็น สวยน้อยเสียปะไร"

นางผุยบ้วนหมากที่เคี้ยวไว้ลงกระโถน หันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

"ข้าจะเตือนไว้ ถ้ายังไม่อยากตกสวรรค์ก็รีบจับพ่อจ้อยเสียให้อยู่หมัด คนมีฐานะ เป็นถึงลูกกำนัน ไม่ได้มีมาถึงเอ็งมากนักหรอกนะ"

"แม่ก็คิดมากไป"

"เอ็งสิคิดน้อยไป คิดว่าพวกทองหยอง ต่างหู กำไล เครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เอ็งได้มามันเยอะหรือไร รวมกันจะสักกี่ร้อย ขายเป็นเงินไม่เท่าไรก็หมด แต่ถ้าเอ็งได้กับพ่อจ้อย เอ็งจะสบายไปทั้งชาตินะนางจัน"

"แล้วใครบอกว่าฉันไม่คิดล่ะ"

คำตอบง่าย ๆ ของจันดีทำเอาผุยชะงัก มองลูกสาวตัวเองอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวหยิบหวีขึ้นมา แปรงเส้นผมที่ยาวประบ่าช้า ๆ จนคลี่สยายออกดั่งพู่ไหม

"พี่จ้อยก็ดีนะ แต่ถ้าไม่ดีที่สุด ฉันก็ไม่อยากลงแรงให้เหนื่อย"

"เอ็งหมายถึงอะไร"

จันดีวางหวีลงบนโต๊ะ หยิบดอกมะลิซ้อนที่วางอยู่บนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเหน็บหู แล้วคลานมานั่งพับเพียบตรงหน้านางผุยด้วยกิริยาอ่อนช้อย

"แม่จ้ะ เขาว่าที่ปลายเวิ้งคลองแสนแสบมีปลาตัวโตอยู่"

สีหน้าของผู้เป็นแม่แสดงอาการตกใจไม่น้อย

"เอ็งหมายถึง..."

"คฤหาสน์ใหญ่โตอย่างกับวังตั้งสองหลังตรงนั้น จันยังไม่เคยเห็นเลย ได้ยินแต่ชาวบ้านเขาพูดว่างามนัก ลือกันอีกว่าคุณชายขวัญสรวงที่อยู่ในคฤหาสน์ก็งามไม่แพ้กัน"

"นี่เอ็ง..."

จันดีพยักหน้าน้อย ๆ พวงแก้มแดงปลั่ง หล่อนยิ้มเห็นฟันสะอาดขาว ดูราวกับเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเวลาที่อ้อนผู้ใหญ่เพื่อขอของเล่น

“จันไปเที่ยวเล่นได้ไหมจ้ะ”

"ทำไมจะไม่ได้ เอ็งนี้มันถูกใจข้าเสียจริง" นางผุยพูดเสียงฮึกเหิม หยิบหมากขึ้นเคี้ยว ชอบอกชอบใจนัก "ไม่เสียแรงที่ข้าฟูมฟักสั่งสอนมาเองกับมือ"




+++++++++++++++++++++++++





ฉลองคริสต์มาส + คอมใหม่ ลงสองตอน
อ่านต่ออีกตอนนึงนะครับ เอาให้ตายกันไปข้างนะฮะนะฮะ!!! :katai4:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 25-12-2014 23:38:16
ตอนที่ ๗





หลังชมภาพยนตร์จบ พิรงรองก็เดินออกมาพร้อมกัลยา และได้พบกับเจอกับกานต์ที่ยืนตรวจตราความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่โดยบังเอิญ

กานต์เป็นผู้ชายรูปร่างสูง คล่องแคล่ว อัธยาศัยดี และมีความคิดที่ค่อนข้างล้ำหน้ากว่ากลุ่มนักธุรกิจในวัยเดียวกัน ในตอนที่กัลยาบอกกับเธอว่าพี่ชายของเธอจะเปิดโรงภาพยนตร์ขึ้นที่ละแวกสะพานหัวช้าง นำเข้าหนังฝรั่งเรื่องดัง ๆ จากต่างประเทศมาฉายให้สลับกับหนังบ้านเรากับคนไทยได้ดู พิรงรองยังคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ผ่านมาแค่ไม่กี่ปี ความทุ่มเทของพี่กานต์ก็สัมฤทธิ์ผลด้วยสติปัญญาและความไม่ย่อท้อ แถมยังเป็นโรงภาพยนตร์ซึ่งใหญ่โตหรูหรายิ่งกว่าที่ปีนังเสียอีก

พิรงรองไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปทัก นับจากคราวก่อนที่ชายหนุ่มซื้อตุ๊กตาจากอังกฤษมาเป็นของฝากให้กับกัลยาและเธอตอนไปเยี่ยมที่ปีนังก็ไม่ได้พบกันอีกเลย

"สวัสดีค่ะพี่กานต์"

พิรงรองยกมือไหว้นอบน้อม

"หนูอุ่น" เขารับไหว้ เอ่ยถาม "มาดูหนังกับแก้วหรือ"

หญิงสาวพยักหน้า ยิ้มแย้มผ่องใส "หนูอุ่นเพิ่งได้รับจดหมายจากเพื่อนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่าหนังเรื่องนี้สนุกมาก ไม่คิดว่าจะได้ดูที่นี่"

"สงสัยเพราะพี่รู้ว่าคนแถวนี้น่าจะชอบ เลยขอซื้อเขามา"

กานต์ตอบสีหน้าเฉยเมยแล้วหันไปอมยิ้มให้กับกัลยาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แสร้งทำท่าน้อยใจ

"พี่กานต์สนิทกับหนูอุ่นกว่าแก้วที่เป็นน้องสาวแท้ ๆ เสียอีก"

"ก็เราคุยกับพี่เสียที่ไหน วัน ๆ เอาแต่เย็บปักถักร้อย ไม่เหมือนกับหนูอุ่น ไม่มีใครเคยเห็นในครัวเลยเสียครั้ง"

ถ้อยคำหยอกกระเซ้าทำเอาเด็กสาวทำหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนกัลยาก็ได้แต่ขันในความช่างประชดประชันของพี่ชายตนเอง

"พี่กานต์ชอบแกล้งเพื่อนของแก้ว"

"ใครจะไปกล้าแกล้ง พี่ชมต่างหาก" ชายหนุ่มยืนกรานเสียงแข็ง ทำหน้าตาย "ว่าแต่ทำไมหนูอุ่นถึงทำหน้ามุ่ยใส่พี่ หรือว่ากำลังหิว"

"ตายจริง"

คราวนี้กัลยาถึงกับต้องยกมือป้องปากหัวเราะ ขณะที่พิรงรองที่่ยืนตีขรึมทำโกรธเคืองได้ไม่นานก็หลุดหัวเราะตาม

เพราะมีอารมณ์ขันเสียอย่างนี้นี่ละ พิรงรองถึงนิยมกานต์นักหนา

"หนูอุ่นจะไปฟ้องท่านพ่อ ให้ท่านพ่อสั่งคนเอาปืนมายิง"

"ตาย ๆ พี่ตายพอดี" กานต์ทำท่าเจ็บปวด "กลายเป็นทำดีไม่ได้ดี นั่นสินะ เรามันไม่ใช่คุณชายขวัญสรวงคนดัง"

ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ เจตนาอิงไปถึงเพื่อนรักที่ไม่ได้พบเจอมาร่วมปี ด้วยรู้ดีว่าพิรงรองนั้นปลื้มอีกฝ่ายมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

พูดถึงตรงนี้ พิรงรองก็หัวเราะชอบใจ แต่สักพักก็กลับมาทำหน้าเบื่อ

"หนูอุ่นอยากให้พี่กานต์ได้เจอกับพี่พิษณุนักเทียว พี่ชายเป็นคนทื่อเหมือนไม้บรรทัด หนังละครไม่คิดจะดู อารมณ์ขันก็ไม่มี ไม่รู้จักบันเทิงอะไรเอาเสียเลย ไม่เหมือนกับพี่ขวัญ ถ้าพี่ชายหนูอุ่นได้เท่าครึ่งแบบนั้นคงจะดี"

กานต์ไม่เคยพบกับหม่อมราชวงศ์ พันตรี พิษณุ ขัตติยพงศ์ ความรู้จักนั้นล้วนผ่านคำบอกเล่าของกัลยา ซึ่งผู้เป็นน้องสาวเองก็ได้รับฟังมาจากหม่อมราชวงศ์พิรงรอง ผู้เป็นเพื่อนรูมเมทด้วยกันที่ปีนังอีกที

ความสนใจของกานต์ที่มีนั้นเป็นเพราะหม่อมราชวงศ์พิรงรอง หรือ หนูอุ่นนั้นเป็นญาติกาห่าง ๆ กับขวัญสรวงผู้เป็นสหายสนิท ต่างกันเพียงว่าขวัญสรวงนั้นสืบเชื้อสายมาจากราชสกุลสายหลัก ขณะที่อีกฝ่ายเป็นสายรองลงไป กระนั้นก็ถือเป็นขัตติยพงศ์ เป็นเครือญาติที่มีอัธยาศัยไมตรีต่อกัน

"พี่ยุ่ง ๆ ไม่เจอขวัญนานหลายเดือนแล้ว สบายดีไหม"

"คราวก่อนที่บ้านจัดงาน ดู ๆ แล้วก็สบายดีนะคะ"

พิรงรองตอบตามที่ตนเองคิด ทำเอาคนที่เอ่ยปากถามต้องขันในความไม่อ้อมค้อมผิดวิสัยสตรีคนอื่น ๆ ที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น

กัลยาก็ช่างเรียบร้อย ชอบการบ้านการเรือน ขณะที่เพื่อนสนิทกลับกลายเป็นคุณหนูไม่เกรงกลัวคน อาจเป็นเพราะพิรงรองเติบโตในครอบครัวนายทหาร จึงมีอุปนิสัยเข้มแข็งไม่แพ้บุรุษก็เป็นได้

"พี่กานต์คะ” หญิงสาวส่งเสียงประจบ “ถ้าว่าง ๆ เราขับรถไปเยี่ยมพี่ขวัญที่ทางโน้นดีไหมคะ หนูเองก็ไม่เคยไปบางกะปิเลย คุณแม่บอกว่าที่นั่นร่มรื่น รถยนต์ไม่พลุกพล่านแบบในเมือง มีทุ่งนาเขียว ๆ สุดลูกตา ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร"

"ทำไมหนูอุ่นถึงไม่ให้พี่ชายเราพาไปเสียเล่า"

กานต์ถามขณะเหลือบขึ้นมองนาฬิกาขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ในโถง จึงไม่ทันเห็นว่าพิรงรองแอบทำหน้าแหย

"ไม่เอาหรอกค่ะ น่าเบื่อแย่"

"เขาจะไม่ยิงพี่ตายหรือ เที่ยวได้พาน้องสาวไปไหน ๆ"

ดวงหน้าพริ้มเพราไหวไปมาด้วยเจตนาปฏิเสธ

"พี่ชายหนูอุ่นก็เหมือนกับพ่อค่ะ แต่ชอบวางท่าเหมือนกับเสือไว้ขู่คนเขาให้กลัว ถ้าใครได้รู้จักตัวจริง จะรู้ว่าพี่พิษณุใจดีมาก"

ความช่างเจรจาของพิรงรองทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเอ็นดู เขากระเซ้าต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก

"ยังไงก็เขาก็เป็นนายทหารนะ ยิงแม่น"

พิรงรองหยุดพูดไปชั่วขณะแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูงกว่า

"พี่กานต์พูดเหมือนจะกลัว แต่ดูสิคะ หนูอุ่นเห็นยิ้มเอา หัวเราะเอา"

เมื่อหลักฐานปรากฏชัดเจน ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับเอาง่าย ๆ ไม่คิดปฏิเสธ เขายกนิ้วชี้ขึ้นเคาะนาฬิกาข้อมือของตัวเอง แล้วเอ่ยชักชวน

"ไปเถอะ นานทีได้พบกัน พี่จะพาน้อง ๆ ไปทานบะหมี่ปูที่ท่าราชวงศ์ รีบไป ประเดี๋ยวจะได้ค่ำเสียจริง"

พิรงรองหันมาสบตากับกัลยา เพียงครู่เดียวสองสาวก็หันกลับพยักหน้าให้กานต์ที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าเหมือนรู้คำตอบอยู่แต่แรกแล้วโดยพร้อมเพรียง





มื้ออาหารอันบริบูรณ์ด้วยฝีมือของสายบุญและนมละเอียดนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับคนที่ไม่คุ้นกับอาหารไทยโดยเฉพาะอาหารตำรับชาววังเป็นอย่างมาก เรียมลลิตรทานจนครบทุกจาน ขณะที่เจ้าบ้านอย่างขวัญสรวงเองก็ดูจะเจริญอาหารกว่าทุกวัน

สองแม่ครัวเอกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นอกจากช่วยกันจัดแจงสำรับคาวหวานชนิดไม่บกพร่องแล้วยังพูดคุยถูกอัธยาศัยเหมือนรู้จักกันมาแรมปี แม้แต่เยื้อนเองก็ดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

อิ่มหนำแล้ว คนตัวโตก็เดินนำผู้เป็นเพื่อนบ้านลงจากตัวตึกใหญ่ ลัดเลาะร่มพะยอมไปตามเรือนปั้นหยาที่ปลูกขนาบกัน ขวัญสรวงอธิบายถึงพรรณไม้นานาชนิดซึ่งเรียงรายอยู่ในคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ ทั้งไม้ใหญ่ยืนต้น ทั้งไม้พุ่มไม้เลื้อย กระทั่งพืีชผักสวนครัวหรือสมุนไพรต่าง ๆ ต่อเนื่องจากที่คุยค้างไว้ก่อนรับประทานมื้อเที่ยง

เรียมลลิตรยืนนิ่ง ฟังอย่างสงบ ปราศจากอาการยินดียินร้าย ผิดกับผู้พูดที่คอยเอียงคอมองอย่างตั้งใจ ดวงตาสีนิลเข้มของขวัญสรวงนั้นดูจะวับแวมผิดปรกติ แม้ชายหนุ่มจะกำลังเอ่ยถึงพรรณพฤกษาตรงหน้า ทว่าในใจกลับจดจ่ออยู่ที่การอ่านความรู้สึกนึกคิดของคนที่ยืนเคียงข้างผ่านท่าทีเล็ก ๆ น้อย ๆ อันแตกต่างคล้ายเป็นเรื่องสลักสำคัญ

อีกฝ่ายแม้จะนิ่งเฉยไม่ซักถาม แต่ก็ไม่มีท่าทีของความเบื่อหน่าย ขวัญสรวงจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเรียมลลิตรคงชื่นชอบต้นไม้อยู่ไม่น้อย

"ไว้พี่จะปลูกให้ที่บ้าน มีต้นไม้แซม ตกบ่ายจะได้ร่ม ไม่ร้อน"

เรียมลลิตรมองรอยยิ้มของคนตรงหน้าอยู่สักพัก จึงเอ่ยเสียงเนิบ แววตาที่เรียบสงบนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ

"จะปลูกหรือ"

คนตัวสูงกำยำไม่ได้ตอบคำถามนั้นตรง ๆ ด้วยคำพูด ทว่าความอุ่นอ่อนในดวงตาล้วนแสดงทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน ขวัญสรวงยิ้มแย้ม ยังคงรักษาความสงบสุขุมไว้ดังเดิม

เงาไม้ทอดกายเป็นพรมพื้น ขวัญสรวงและเรียมลลิตรเดินเคียงกันไปทางทิศศาลาหลังน้อยที่ปลูกขึ้นเลียบริมน้ำ ยังไม่ถึงดีสายลมก็โยกคลื่นใบไม้สีเขียวประสานเสียงกับเพลงขลุ่ยแว่วหวาน บอกว่าลูกศิษย์ตัวน้อยประจำที่ รอเรียนเพลงอยู่แล้ว

"เทพ ถึงแล้วหรือ"

ขวัญสรวงเอ่ยขึ้น

เด็กชายเทพเมื่อเห็นคุณครูที่รออยู่เดินมาแต่ไกลก็วางเลาขลุ่ยคู่ใจ ผุดขึ้นยืนยิ้มแป้น แต่เมื่อเห็นว่าข้างกายของขวัญสรวงมีใครอีกคนที่ไม่คุ้นหน้าก็รีบสงบเรียบร้อยตามผู้เป็นพ่อและแม่ได้พร่ำสอนเสมอ กระนั้นใบหน้าและผิวพรรณผ่องแผ้วเหมือนไม่เคยต้องแดดของคนที่ยืนอยู่หลังขวัญสรวงก็สวยสะดุดตาเด็กน้อยนัก

อาการใคร่รู้ เทพยื่นคอ ชะโงกซ้ายขวามองชายผู้งามสง่าท่านนั้น พอได้เห็นชัดเจน ดวงตาใสแจ๋วก็เบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น หลุดสำรวมกลายเป็นท่าประหลาดชวนขัน

เด็กน้อยหลุดความคิดจากในใจตนออกมาเป็นเสียงพึมพำ

"สวยจังเลย"

ผู้ที่เพิ่งเดินมาถึงได้ยินเข้าก็อดยิ้มเอ็นดูออกมาไม่ได้ ขวัญสรวงแสร้งกระแอมเสียงเข้ม ท่าทางที่ล่องลอยชวนฝันของเทพจึงถูกสลัดออกกลายเป็นท่วงท่าเอาจริงเอาจังตามประสาเด็ก

"พี่เรียม เป็นเพื่อนกับพี่"

เมื่อขวัญสรวงพูดจบ เด็กน้อยก็รีบกระพุ่มมือขึ้นไหว้ แนะนำตัวด้วยน้ำเสียงฉะฉานที่แฝงอาการประหม่า

"ผมชื่อเทพครับ มาเรียนเพลงกับพี่ขวัญ"

เรียมลลิตรยกมือขึ้นรับไหว้ ดวงตาสีน้ำตาลพราวพร่างไปด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ

"เทพมาเรียนขลุ่ยที่นี่ทุกสัปดาห์ ตอนนี้ก็เป่าเป็นเพลงได้มาก อีกไม่นานเห็นทีคงได้สอนเพลงฝรั่ง"

ขวัญสรวงเอ่ยอธิบาย ก่อนจะหันไปทางเทพ

"ที่สอนไปวันก่อน ฝึกได้ถึงไหนแล้ว"

เมื่อผู้พร่ำสอนวิชาเอ่ยถาม ลูกศิษย์ตัวน้อยก็รีบหยิบขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก ชั่วขณะสั้น ๆ บทเพลงไพเราะที่เรียมลลิตรได้ยินเมื่อครู่ก็แว่วขึ้นอีกครั้ง

สดับเสียงดนตรีอันซื่อตรงไร้เดียงสา ความรุ่มร้อนจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนก็ค่อยคลายบรรเทา อาการประหวั่นลึก ๆ ในใจอ่อนลงราวกับถูกแพรเพลาะหอมกรอมหุ้มคลุมไว้ กลายเป็นความนิ่งสงบร่มเย็นเป็นปรกติ

ดวงตาที่แจ่มใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของเรียมลลิตรทำให้มุมปากของคนที่ยืนเคียงใกล้วาดขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ

นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งซึ่งขวัญสรวงปรารถนาให้เรียมลลิตรอยู่ที่ขัตติยพงศ์ ดนตรีนั้นมีสรรพคุณช่วยบำบัด คลายความกังวลไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่บริสุทธิ์นั้น บทเพลงเปรียบดังธารนทีใสสะอาด ชะล้างความรุ่มร้อนแผดเผาให้ทุเลาผ่อนคลาย

เพราะลูกศิษย์ตัวน้อยนั้นเป่าบทเพลงอย่างตั้งใจ คนเป็นครูจึงไม่อยากขัดจังหวะรบกวน จังหวะที่จะเดินขึ้นไปบนศาลา ขวัญสรวงจึงค่อย ๆ โน้มใบหน้ามาใกล้ ชวนคุยด้วยน้ำเสียงพอได้ยินกันสองคน

"เทพมีพรสวรรค์ สำหรับเด็กวัยนี้ เพลงนี้โดยเฉพาะตอนเปลี่ยนท่อนถือว่าเล่นยาก"

เรียมลลิตรนั้นตั้งใจจะก้าวขาขึ้นบันไดศาลาริมน้ำ หากแต่เมื่อได้ยินเสียงทุ้มลึกกระซิบที่ข้างหูก็พลันชะงัก ความรู้สึกที่สาวเท้าตามมาติด ๆ คือความประหม่าขวยเขินจากความใกล้ชิดอันไม่คุ้นเคย จังหวะก้าวนั้นจึงพลั้งพลาด ร่างประเปรียวเซคล้ายจะเซเสียจังหวะ

ทันใดนั้น ร่างกายกลับถูกรองรับจากด้านหลังอย่างมั่นคง

"น้องพี่ โปรดระวัง"

แผ่นอกที่หนากว่าเกือบครึ่งรับน้ำหนักทั้งหมดของเรียมลลิตรจากทางด้านหลัง มือทั้งสองข้างของขวัญสรวงค่อย ๆ จับข้อมือแบบบางที่ยังอยู่ในอาการค้าง ประคับประคองสมดุลของคนตัวเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขน เอ่ยด้วยความเป็นห่วง

"ไม่เจ็บแพลงใช่ไหม"

เงียบไปอึดใจ ใบหน้าของเรียมลลิตรจึงไหวเพียงเล็กน้อยพร้อมกับอาการตกใจที่ค่อย ๆ กลับมานิ่งสงบ ทุกอย่างยังคงเป็นปรกติ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่แสดงกระแสความรู้สึกอันหลากหลั่งประดังประเดเพียงบางเบา

สำหรับขวัญสรวงนั้น เพลานี้ในใจกลับไพล่กังวลไปอีกอย่าง

เพราะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีจึงซุกซ่อนกิริยาไว้ด้วยความนิ่งสง่า อีกฝ่ายน่าจะยังคงเสียขวัญไปกับการปรากฏตัวอันอุกอาจของจ้อยเมื่อคราวก่อน จิตใจจึงไม่อยู่กับเนื้อตัว

ความห่วงใยนั้นประทับอยู่เต็มอก จากที่เพียงประคับประคองอยู่ด้านหลัง คุณชายขัตติยพงศ์ออกน้ำหนักบนฝ่ามือหนาทั้งสองข้างขึ้นเพียงแผ่ว โอบคนที่อยู่ในวงแขนให้กระชับชิดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง

"พุทธานุภาพนำผล เกิดสรรพมงคลน้อยใหญ่
เทวาอารักษ์ทั่วไป ขอให้เป็นสุขสวัสดี
ธรรมานุภาพนำผล เกิดสรรพมงคลเสริมศรี
เทพช่วยรักษาปรานี ให้สุขสวัสดีทั่วกัน
สังฆานุภาพนำผล เกิดสรรพมงคลแม่นมั่น
เทเวศร์คุ้มครองป้องกัน สุขสวัสดิสรรพทั่วไป"


เรียมลลิตรแม้จะไม่เข้าใจในคำพูดทั้งหมดแต่ก็พอจับใจความได้ ความตื้นตันจึงพลุ่งขึ้นมาจากในอกวูบหนึ่ง แต่เมื่อรู้ตระหนักถึงความใกล้ชิด เลือดฝาดก็ฉีดซับขึ้นใต้ผิวจนกรุ่นพร้อมกับความรู้สึกระลอกถัดมา

ร่างแบบบางค่อยถอยออกมาห่าง เว้นระยะอย่างไว้ตัว

ต่างคนต่างมองกันอยู่อึดใจ ขวัญสรวงที่ปรกติมักจะเป็นฝ่ายชวนคุยอยู่เสมอกลับนิ่งเงียบ สบตาอยู่อย่างนั้น

"โคลงกลอนหรือครับ ไพเราะ"

เรียมลลิตรเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

"เนื้อเพลงที่เทพกำลังเป่า"

ขวัญสรวงตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วหันกลับไปมองเด็กน้อย

"พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์คำร้องขึ้น เพื่อขอให้เทพเทวาช่วยดลบันดาลไพร่ฟ้าเป็นสุขร่มเย็น เรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับดวงใจ"

"ขวัญ?"



(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 25-12-2014 23:39:35
(ต่ออีกครึ่งที่เหลือเน้อ)



คนที่ชื่อพ้องกันพยักหน้าพลางมองหัวคิ้วที่ขมวดขึ้นตรงหน้าด้วยความเบิกบาน มืออุ่น ๆ ของเจ้าบ้านวาดขึ้นเต็มวงแขน เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเดินขึ้นไปบนศาลาริมน้ำก่อนแล้วจึงกระหยับก้าวตามขึ้นไป

"คนไทยเชื่อว่าขวัญเป็นส่วนประกอบของจิตใจ พี่ก็มี น้องเองก็มี"

ทว่ารอยย่นระหว่างคิ้วยังคงไม่คลายออกไปจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย คนพูดจึงเอื้อมมือมาแตะเหนืออกของเรียมลลิตร ออกแรงกดเบา ๆ ที่เหนือหัวใจ

"ขวัญอยู่ในนี้"

เรียมลลิตรกระถดตัวไปด้านหลัง หลุบตาลงด้วยอาการกระดากในใจ

ผิดกับเจ้าของฝ่ามืออุ่น ๆ นั้น รอยยิ้มคลี่ขึ้นบนใบหน้าขรึมสุขุมของขวัญสรวง เขาดูผ่อนคลายอารมณ์ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบสายตาไปมองที่เด็กชายตัวน้อยที่เพิ่งเล่นเพลงจบอย่างเร่งรีบผิดวิสัยสำรวม ระวังกิริยา

กระแสความรู้สึกที่ครอบงำทำให้เรียมลลิตรซ่อนสีหน้าได้ยากลำบาก คล้ายกับตกอยู่ท่ามกลางอารมณ์อันหลากหลาย จะสามารถทวนความเชี่ยวกรากไปจนถึงฝั่งหรือต้องจมอยู่ตรงนี้ หาทางออกไม่เจอก็ไม่อาจรู้ได้

"หนูเทพ"

เรียมลลิตรเอ่ยเสียงเนิบ ความซาบซึ้งและความขวยเขินทั้งหมดกลัดซ่อนเอาไว้เพียงแต่ในใจ ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา

"เล่นมานานแล้วหรือ"

เด็กชายตัวน้อยแหงนหน้าขึ้นจากขลุ่ยและสมุดจดทำนองเพลง รีบขานรับ

"ประมาณหนึ่งปีครับ"

"ไพเราะ"

"จริงหรือครับพี่เรียม"

แววตาไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความปิติจนขวัญสรวงที่ยืนนิ่งอยู่อมยิ้ม

"พี่เรียมไม่ได้ปดหรอกเทพ"

เมื่อได้รับการยืนยันมั่นเหมาะ อาการดีใจแบบกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อครู่ของเด็กชายเทพก็กลายเป็นความเบิกบานเต็มที่

"ถ้าพี่เรียมชอบ ผมจะเป่าเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังทุกวันเลยครับ แต่ว่าพี่เรียมต้องมาที่บ้านพี่ขวัญบ่อย ๆ นะครับ คุณพ่ออนุญาตให้ผมมาได้แต่บ้านพี่ขวัญ"

"ได้สิ"

ขวัญสรวงหัวเราะเบิกบานกับเหตุผลของเด็กชายแล้วจึงเอ่ยกำชับ

"มัวแต่คุยเล่น ไปซ้อมเพลงต่อได้แล้วเจ้าตัวเล็ก อย่าเถลไถล กวนใจพี่เรียม"

พอถูกตักเตือน เทพก็รีบก้มลงซ้อมเพลงต่อ บทเพลงดังขึ้นซ้ำ ๆ จบแล้วก็เล่นใหม่ราวกับแผ่นเสียงที่มีชีวิต





แสงแดดฤดูหนาวกระทบผิวน้ำในลำคลองเกิดระลอกแสงเจิดจ้าพลิ้วไหว ขวัญสรวงยิ้มได้อยู่แค่เพียงอึดใจก็หวนคิดทบทวน ความสงบร่มเย็นจะอยู่ได้นานเพียงไรเมื่อเค้าแห่งปัญหานั้นโคจรมาเรื่อย ถ้าเป็นคนแบบจ้อยก็คงจะพอปรามให้เกรงใจได้ แต่ถ้าเมื่อไรมีใครที่ขวัญสรวงไม่อาจรับมือไหว จะดับไฟที่มาถึงบ้านได้อย่างไร สิ่งที่ทำไปจึงก็ไม่นับว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดถูกวิธี อารามร้อนใจคิดไม่ตก จึงวกเข้าอธิปเหมือนจะคาดโทษ

"อธิปไม่น่าไปนาน ทิ้งให้น้องอยู่แบบนี้ พี่ไม่สบายใจ"

ถ้าเป็นยามปรกติ ขวัญสรวงคงนึกไปถึงบ่าวไพร่ในเรือน ผู้หญิงและผู้สูงวัยนั้นจะเป็นหูเป็นตา คอยดูแลบ้านหลังใหญ่โตได้ปลอดภัยเยี่ยงไร

แต่เมื่อผู้เป็นเจ้าบ้านนั้นเป็นชายหนุ่มเช่นเดียวกับตนเอง จะมองว่าเป็นเรื่องบริวารรับใช้ก็ไม่เต็มปาก ขวัญสรวงจึงผลักมูลเหตุมาที่อธิป พลางถามตัวเองซ้ำ ๆ ในใจว่าจะดันทุรัง ขายผ้าเอาหน้ารอดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

ทั้งยังเหมาะควรแล้วหรือไม่ที่จะเอาตนเข้ามาเป็นตัวแทนอย่างที่นมละเอียดร้องขอ เมื่อช้าหรือเร็วอธิปก็ต้องกลับมา ขวัญสรวงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรที่เข้าไปก้าวก่ายจุ้นจ้านเกินพอดี

ท่าทางกระวนกระวายใจของชายหนุ่มทำให้เรียมลลิตรเอ่ยถาม

"ไม่สบายใจอะไรหรือครับ"

ทั้งที่เป็นคำถามง่ายแสนง่าย แต่ขวัญสรวงกลับพูดไม่ออก ชายหนุ่มระงับความรู้สึก เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"คุณแม่ของคุณอธิปป่วยไข้หนักหรือ"

"พ้นขีดอันตรายแล้วครับ ไม่ถึงกับเจ็บหนัก แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง"

ถ้อยคำที่ได้ยินนั้นทำให้เบาใจ แต่ถ้อยคำในใจ ยิ่งได้ยินเสียงสะท้อนเดิม ๆ ก็ยิ่งให้หงุดหงิดตัวเอง สุดท้ายขวัญสรวงก็ตัดสินใจตรงเข้าสู่คำถาม ไม่เสียเวลาอ้อมค้อมเป็นพิธีการ

"พี่ห่วงเจ้ามาก มากเท่ากับนมละเอียดหรือคนอื่น ๆ วานนี้นมละเอียดทุกข์ร้อน ไม่รู้จะหันไปหาใครจึงเล่าเรื่องจ้อยให้ฟังทั้งหมด พี่จึงทราบเรื่อง"

ขวัญสรวงหันมาสบตาด้วยความมุ่งมั่น แสดงออกถึงความจริงจัง

"ขออย่าให้ถือพี่เป็นคนไกล ละลาบละล้วง พี่ต้องขอโทษ หากคำถามจะทำให้น้องไม่สบายใจ แต่อธิปเกี่ยวข้องอย่างไรกับน้องหรือ"

ความคลุมเครือมิใช่นิสัยปรกติของชายหนุ่ม เมื่อขาดความชัดเจน เขาก็ไม่ลังเลที่จะเอ่ยถาม

เค้าหน้าของอธิปนั้นก็ต่างจนเกินกว่าที่จะคิดได้ว่าเป็นญาติกา แต่ในเมื่อไม่ใช่เครือญาติเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องดูแลกันเสียมากมาย ถึงขนาดสร้างคฤหาสน์ใหญ่โตจนแทบจะเรียกว่าวังให้แบบนี้ยิ่งดูจะเป็นไปไม่ได้เลย

"หรือเป็นญาติพี่น้องโดยห่าง"

ในใจของขวัญสรวงนั้นมีคำตอบที่คิดไว้หลากหลาย แต่มีเพียงหนึ่งคำตอบที่แสร้งทำเป็นไม่เห็น

ไม่อยากจะเห็นมันเป็นจริงขึ้นมา





น้ำทิพย์ถือปิ่นโตใส่อาหารมาฝากขวัญสรวง ตั้งใจจะมารับเทพกลับบ้านอย่างทุกครั้ง แต่เมื่อเดินมาถึงศาลาริมน้ำก็ให้รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นคุณชายขวัญสรวงนั่งสนทนากับใครคนหนึ่งอยู่

พบว่ามีแขก เด็กสาวจึงค่อย ๆ เดินอย่างสำรวม ลัดเลาะร่มไม้เข้ามาด้วยความระมัดระวัง ไม่ส่งเสียงดังให้ขัดขังหวะ แต่เมื่อเข้ามาระยะใกล้จึงได้เห็นสีหน้าของผู้เป็นเจ้าบ้าน ก็ให้รู้สึกฉงน

คุณชายขวัญสรวงในความคิดของน้ำทิพย์นั้นเป็นชายหนุ่มสุขุม ใจเย็น จะกลายเป็นคนขี้เล่นอารมณ์ดีก็เฉพาะกับคนในครอบครัวและผู้ที่สนิทสนม เขาเป็นยิ้มง่าย โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ และเพราะเป็นพี่สาวของเทพ ความอบอุ่นของรอยยิ้มนั้นจึงเผื่อแผ่มาถึงเธอด้วย

แต่บัดนี้คุณชายขวัญสรวงกลับดูไม่เหมือนคนที่เคยรู้จัก ท่าทางนั้นยังคงดูนิ่งสุขุมก็จริง ทว่าแววตากลับดูร้อนรนยิ่งนัก และทั้งที่ดูกระวนกระวายอย่างนั้น แต่ดวงตาคมเข้มกลับฉายแววแห่งความอ่อนโยนลึกล้ำยิ่งกว่าทุกครั้งที่น้ำทิพย์เคยเห็น

เด็กสาวค่อย ๆ เลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่แขกซึ่งกำลังสนทนาด้วยความสงสัย

ทันทีที่เห็นใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างกับคุณชายขัตติยพงศ์ น้ำทิพย์ก็หลุบตาลงอย่างประหม่า เหมือนฟ้าที่ไม่อาจเทียมกรวดดิน ผู้ชายคนนั้นช่างงามสวย สง่า และสุภาพ ทั้งยังดูเป็นคนในสังคมชั้นสูงเสียจนเด็กสาวไม่มั่นใจว่าตนเองจะคู่ควรที่จะมองหรือไม่

หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นระส่ำ เลือดฝาดซับพวงแก้มจนกลายเป็นสีระเรื่อ แต่เล็กจนโต น้ำทิพย์ใช้ชีวิตส่วนมากกับในทุ่งนา มีต้นข้าวเป็นเหมือนเพื่อนสนิท  ส่วนเด็กสาวคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันที่เคยเห็น ถึงเป็นคนผิวพรรณขาวนวลแต่ส่วนมากก็กรำแดดจนสากกร้าน ต่อให้เปรียบกับคนที่มีฐานะ ไม่ต้องทำงานเอาหลังสู้แสงตะวันก็ไม่อาจเทียบกับผู้ชายคนนั้นได้แม้แต่น้อย

จริงอยู่ที่ว่าคุณชายขวัญสรวงนั้นก็สวยสง่า แต่ก็เป็นความสวยแบบชายหนุ่มรูปงาม แต่กับคนคนนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ความสมส่วนแบบผู้ชายนั้นยังคงอยู่ คิ้วเข้มคม จมูกเป็นสันสูง ลำคอตรงสง่า หัวไหล่กว้าง ผึ่งผาย แต่ทั้งหมดคล้ายถูกแต้มด้วยความรู้สึกอ่อนหวานแบบสตรีอย่างประณีต ริมฝีปากเป็นสีแดงเรื่องาม ผิวพรรณก็เนียนลออดั่งกลีบดอกไม้ต่างประเทศที่ดูหรูหรา ผู้ชายคนนั้นคล้ายกับรวมความสวยงามของผู้ชายและผู้หญิงไว้ในร่างกายได้อย่างพอเหมาะลงตัว

หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดจากไม่เข้าหู ผิดมรรยาทสังคมพระนครหรือเปล่า แล้วชายรูปงามดูโก้ขนาดนั้นจะรู้สึกเดียดฉันท์เด็กสาวบ้านนอกธรรมดาเกินกว่าจะสนทนาด้วยไหม น้ำทิพย์จึงได้แต่ยืนค้างอยู่กับที่ วางตัวไม่ถูก ไม่กล้าพอจะขยับเข้าไปใกล้กว่านี้แม้แต่เพียงก้าวเดียว



คนที่ทำให้เด็กสาวคนหนึ่งเกิดอาการประหม่ากำลังตอบคำถามของขวัญสรวงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"อธิปไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางสายเลือดหรอกครับ เขาไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้อง"

พูดจบ เรียมลลิตรก็นิ่งสงบ เฉยเสียจนอ่านความรู้สึกไม่ออก

คำตอบที่ได้ยินนั้นทำให้ขวัญสรวงเงียบไปพักใหญ่ จากที่พยายามให้เหตุผลกับตนเองมาตลอดว่าคงเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวพันทางบิดาที่เป็นคนไทยกลับต้องมาพบกับความกระอักกระอ่วน

ความที่ได้ศึกษาด้านการดนตรีมาจากต่างประเทศทำให้ชายหนุ่มรู้ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก อาจเพราะส่วนหนึ่งของคนที่ไปร่ำเรียนศิลปะดนตรีนั้นล้วนมีจิตใจอ่อนไหวแบบศิลปิน

ส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้คือบุปผาชน และเลือกที่จะแสวงหาความสุขตามที่ตนเห็นควรว่าจะเป็นมากกว่าจะยึดถือตามกรอบวิถีของสังคม บางส่วนเป็นคนที่เห็นความสำคัญในแก่นของความรักมากกว่านิยามตามขนบธรรมเนียมประเพณี

รักคือรัก รักที่ความรัก รักที่นิสัยใจคอ ใช่ที่ฐานะความเหมาะสม หรือแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ที่เรียกว่า "เพศ"

ขวัญสรวงไม่ได้รู้สึกสนับสนุนหรือต่อต้านในแนวความคิดเหล่านี้ เหมือนกับดนตรี บางคนชอบเพลงคลาสสิก ขณะที่บางคนอาจชอบดนตรีสมัยใหม่ เพราะคิดแบบนั้นมาโดยตลอด เขาจึงคบหาเป็นมิตรสหายได้กับทุกคนอย่างไม่ติดใจ และไม่เคยรู้สึกอคติ ปิดหูปิดตา ไม่รับรู้

แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น ในใจของคุณชายขัตติยพงศ์กลับแย้งไม่จบสิ้นเหมือนจะไม่ยอมรับ

"พี่ไม่ค่อยเข้าใจ"

เรียกว่าไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองคิดจะตรงกว่า ถ้าเป็นไปได้ ขวัญสรวงก็ไม่อยากให้อธิปเกี่ยวพันกับคนตรงหน้าแบบนั้น บางที อาจจะเพราะเกรงว่าเป็นแนวคิดแบบคนต่างชาติที่ทันสมัยเกินไปกับสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมชาวบ้านที่บางกะปิแห่งนี้





"พี่ทิพย์!"

เสียงตะโกนของเทพที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงวิ่งลงฝีเท้าตึง ๆ ทำให้ขวัญสรวงหันไปมอง เมื่อเห็นเด็กสาวยืนถือปิ่นโตยืนนิ่งอยู่ ก็จำฝืนยิ้มบนความว้าวุ่นในใจอย่างยากเย็น

"ทิพย์ วันนี้มาเร็ว"

เจ้าบ้านลุกขึ้นต้อนรับ เห็นเด็กสาวยกมือไหว้ก็รับไหว้ตามมรรยาท

เพราะขวัญสรวงยืนอยู่ตรงนั้น ความเคารพทำให้น้ำทิพย์จำใจยอบตัวเดินเข้ามาแต่โดยดี แต่เด็กสาวก็ก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะมองแขกของเจ้าบ้านด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว

"พอดีแม่ตำน้ำพริกกะปิมาฝากค่ะ กลัวผักที่ต้มกะทิไว้จะชืดเสียหมด"

"ขอบใจนะ"

ขวัญสรวงเอ่ยขณะที่รับปิ่นโตมา ไม่ลืมจะหันไปแนะนำร่างประเปรียวที่ยืนอยู่ด้านใน

"ทิพย์ นี่คุณเรียม ติดใจเสียงขลุ่ยเสียแล้ว ชมว่าเทพเล่นเพลงเพราะนัก"

คนพูดหันมาสบตาเรียมลลิตรพร้อมรอยยิ้ม แล้วเอ่ย

"น้องพี่ นี่ทิพย์ เป็นพี่ของเจ้าตัวซน"

สายตา น้ำเสียง และคำเรียกที่ไม่ค่อยได้เห็นขวัญสรวงใช้กับใคร ทำให้น้ำทิพย์ยืนทื่อ แขนขาเย็นเยียบแต่ภายใน เนื้อตัวกับร้อนซ่าน เพราะอะไรไม่ทราบได้ เด็กสาวกลับรู้สึกเขินอายแทนจนทำอะไรไม่ถูก

เทพแทรกตัวขึ้นมาหาเรียมลลิตร สองแขนเล็ก ๆ จับข้อมือของพี่ชายที่เพิ่งรู้จักวันนี้ตามประสาเด็กไร้เดียงสา

เรียมลลิตรยกมือขึ้นลูบหัวเทพเบา ๆ อมยิ้มแต่เพียงน้อยอย่างนึกเอ็นดู จากนั้นก็หันมาทางเด็กสาวที่เอาแต่ก้มหน้า

"สวัสดีครับคุณทิพย์"

เรียมลลิตรพูดอย่างเชื่องช้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สุภาพ

แค่คำทักทายสั้น ๆ ใจเอยก็พลันเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน น้ำทิพย์จับชายซิ่นของตนเอง ซ่อนความรู้สึกแปรปรวนอย่างยากลำบาก

เป็นเวลานานกว่าที่เด็กสาวจะยกมือขึ้นมาไหว้แบบขัดเขิน และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วจนแทบจะไม่ได้ยิน

"สวัสดีค่ะคุณเรียม"




+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ ลงสองตอนฉลองให้กับวันคริสต์มาส หายไปนานเพราะคอมเจ๊งต้องขอโทษจริงๆ ครับ
กว่าจะซื้อเครื่องใหม่ กว่าจะจัดการกับโปรแกรมกับไฟล์ต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้วก็นานเอาเรื่อง
ขอบคุณที่ยังติดตามกันครับ หายไปครบเดือนพอดีเลย เห็นแล้วตกใจเหมือนกัน

สรุปคร่าวๆ เกี่ยวกับสองตอนที่เพิ่งลงไปนะครับ เขาเริ่มหยอด ๆ กันแล้ว (เห็นไหมๆ 555)
ส่วนใครที่คิดว่าพี่ขวัญเป็นสุภาพบุรุษมาดขรึม น่าจะเห็นได้ว่าความเกรียนพี่แกเริ่มออกแล้วไง (เคยบอกแล้วนะ)
สองตอนที่ลงไปมีตัวละครใหม่ออกมาเต็มตัวสองคน คนแรกเป็นน้องสาวของพิษณุ เป็นสาวสมัยใหม่
อีกคนเป็นหนุ่มสังคม ออกแนวกะล่อนเพลย์บอยนิดๆ จะอลเวงยังไง อันนี้ต้องติดตามต่อไป
จากตอนที่เพิ่งจบไป คิดว่าคงทำให้คนไม่ชอบใจน้ำทิพย์น้อยลงบ้าง นางไม่ใช่ตัวอิจฉานะ
อย่าไปเขม่นนางเลย อ่านต่อไปเรื่อยๆ จะพบว่าจริงๆ แล้วนางเป็นสาววายดีๆ นั่นเอง 5555555

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะครับ พบกันใหม่ตอนหน้านะเจ้าฮะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 26-12-2014 10:01:41
มาแล่นนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: BUNNz4 ที่ 26-12-2014 12:56:22
มาแล้วๆ :hao5:
สองตอนรวดยาวๆเอาซะคนอ่านปลื้มปริ่ม
โดยเฉพาะชายขวัญ ....แหมๆ รู้สึกว่าจะรุกคืบหน้าขึ้นเยอะเลยนะพ่อคู๊ณ :hao7:
พิโถพิถัง ดูเหมือนว่าหลายคนเหลือเกินอยากจะมาเยือนวังรัก เอ๊ย วังน้อยของน้องเรียมกับพี่ขวัญ
รอดูความอลเวงจ้า อยากเห็นตอนคุณเริญปร๊ะกับชายขวัญ หุหุ
คนแต่งสู้ๆ เป็นกำลังใจให้จ้า รอมาต่ออยู่นะจ๊ะ :z13:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 26-12-2014 15:03:54
ตอนแรกก็เกือบอคติกับน้ำทิพย์ไปเหมือนกันนะ55555 แต่พอมาอ่าน2ตอนนี้ก็พบว่า....คนที่ควรไม่ชอบน่าจะเป็นจันดีกับจ้อยเสียมากกว่า ...มั้งอิอิ

ค่อยๆหวานกันปายยยย ชอบจังเลยค่ะ น่ารักดีคู่นี้ แต่คุณขวัญเกรียนไปไหมคะ ชอบแกล้งน้องจังเลยนะ ชิชิ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 28-12-2014 19:31:49
ชายขวัญของน้องงงงงงงงงงงงงงง

เป็นผู้ชายที่ชวนให้เขินอะไรอย่างนี้
ตอนจับน้องเรียมนั่งตักนั่นคืออะไรรรรรร
เอาจ้อยมาอ้างใช้มั้ยยย ทำไมเป็นคนแบบนี้ 55555555

อ่านแล้วกรี๊ดมากเลยค่ะ แงงง  :hao5:
บทสนาของชายขวัญกับน้องเรียม ชวนเขินมากจริงๆ
ผู้ชายอบอุ่น ใจดี แต่ขี้เล่น มีหัวเราะขำตอนน้องเรียมไม่เข้าใจภาษาไทยด้วย
ชอบตอนง้อมากเลย นั่งตักคืออะไรรรร ฮือออออออ เขินนนนนนนนนน  :hao5:
ลายเริ่มออกแล้วนะคะชายขวัญ เริ่มเยอะแล้วค่ะ พระเอกนี่มันนนน *ทุบอกรัวๆ* 555555555

มีโทษอธิปอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยนะ โถถถ นี่ยิ่งสงสารอธิปเข้าไปใหญ่
ขนาดตัวไม่ได้อยู่ ยังโดนชายขวัญเขม่นเลย อยากปลอบใจอธิปปปปป >_<

อยากรู้ว่าตัวละครที่เพิ่มมาใหม่อย่างหนูอุ่นกับพี่กานต์จะมีบทบาทอะไร
เดาทางไม่ถูกเลยค่ะ แต่ก็ชอบบุคลิคของพี่กานต์นะ ถถถถถถถถถถถ
นี่อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกชอบตัวละครเกือบทุกคนในเรื่องเลย
ชายขวัญงี้ อธิปงี้ คุณพิษณุงี้ (นายทหารช่างก๊าวใจจริงๆ) นี่ยังมีพี่กานต์มาทำให้เราหวั่นไหวอีก
แอร๊ยยยยยยยย แต่ยังไงก็ชูป้ายไฟให้กับชายขวัญนะคะ

รอตอนหน้าาาา >________<
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 28-12-2014 22:55:37
พี่ขวัญของน้องเรียมมมมมม อะไรจะมุ้งมิ้งขนาดนี้ น่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-12-2014 23:54:36
เหมือนจะมีคู่มาให้จิ้นอีกหนึ่งค่ะ
พ่อทหารกับหนุ่มเพลย์บอย หึหึหึ

ส่วนวันนี้พี่ขวัญสรวงแอบเอานั่งเรียมนั่งตัก กำไรชัดๆ  :hao6:

ภาษาสวยมากค่ะ รวมเล่มเมื่อไหร่ ไม่พลาด
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 29-12-2014 02:11:39
เอ้าละ จะเม้นละนะ ฮึบบบ!!!
ยัยจันดี !!!! นางคิดการใหญ่ ใฝ่สูงมากกกกกกก
แล้วคนแม่นี้อัลไลลลลล คือแบบบบบ สอนกันแบบนี้อิชั้นรับไม่ได้ ถถถถถถถ
แต่เชื่อว่าพี่ขวัญน้องเรียมจะสามารถปัดฝุ่นควันพวกนี้ไปได้ ไม่ให้กลิ่นติดตัวหรอก

พอละ มาพูดถึงพี่ขวัญน้องเรียมกันเถอะ !!!!!!!!!!
งื้อออออออออออออ เขินไปอีกกกก นั้งตักไปอีกกกกกกกกก โง้ยยยย
ตอนที่น้องเรียมงอนเนี้ยยยย ยิ้มตามพี่ขวัญเลย
แบบน่ารักอะ น่ารักจนอยากแกล้งอีก งื้อออออ
ชอบเวลาเขาอยู่ด้วยกันอะ มันดูเย็นตาดี จริงๆนะ แบบไม่รู้สิชอบบบ
อยากให้อยู่ด้วยกัน อยากให้เรียนรู้กันและกัน
สารภาพเลยว่าพอตอนคนอื่นนี้อ่านข้ามๆ ถถถถ

แต่ตอนนี้พี่ขวัญกำลังจะเข้าใจน้องผิดนะ
แล้วน้องจะกล้าบอกไหมนะว่าอธิปเป็นอะไร เพราะคงไม่อยากให้พี่ขวัญรู้รึเปล่า
ว่าจริงๆฐานะน้องเรียมคืออะไร งื้ออออ แต่ไม่อยากให้พี่ขวัญเข้าใจผิดเลยอะ
กลัวพี่ขวัญเข้าใจผิดแล้วจะระวังตัว ห้ามใจตัวเองงี้
เราชอบตอนพี่ขวัญแกล้งน้อง หยอดน้อง น้องเรียมต้องจัดการใหพี่เขาเข้าใจนะ
ชอบที่พี่ขวัญเรียกเรียมว่าน้องอะ น้องพี่งี้ โอ้ยตายยยยยยย
รอวันที่น้องเรียมจะแทนตัวเองว่าน้องกับพี่ขวัญแทนคำว่าผมนะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 29-12-2014 11:30:51
ชอบที่น้องเรียมเอ่ยถึงอธิป ตอนที่พี่ขวัญแกล้งไม่ยอมตอบเวลาน้องเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำที่ใช้
สมน้ำหน้า แกล้งน้องดีนัก
นี่ถ้าไม่มีฉากอ้อน ดึงน้องมากอด คะแนนจะติดลบมากกว่านี้ค่ะ
เห็นแก่ความมุ้งมิ้งตรงนี้ เราเลยให้เสมอตัว ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 30-12-2014 00:41:56
หลงรักเรียม :mew3:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: lovekimkina ที่ 06-01-2015 21:38:09
กรี้ดดดดดดดดดด ดึงไปนั่งตักกัน คืออะไรคะ
ดีงามมากค่ะพี่ขวัญ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 08-01-2015 17:21:57
พี่ขวัญของน้อง
อ่านละแบบบโอ้ยยยยยเรียมน่ารักอ่ะะชอบ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: taengoo ที่ 12-01-2015 00:11:31
ชอบมากกกกกกก
ชอบนิยายพีเรียดอยู่แช้ว
อ่รแล้วจะเขินกว่าปกติสิบล้านเท่า >///<

เคยแวะมาส่องๆจองที่ไว้ แต่ไม่กล้าอ่น
กะจะรอให้จบก่อน เพราะกลัวโดนลอยแพ
แต่ทนไม่ไหว แล้วก็ไม่ผิดหวัง
เขินมากกกกกก >///<

ห้ามทิ้งเด็ดขาดนะคะ
แต่งให้จบนะ
รู้สึกได้ถึงความละเอียด และตั้งใจเลยอะ
ขนาดบอกว่าเป็นแนวที่ไม้ถนัด แต่อ่านแล้วรู้เลยว่ามีการศึกษาหาข้อมูล
ภาษาที่ใช้ก็ลื่นไหล เหมาะกับยุคสมัยด้วย

ไม่รู้อะ เค้าเริ่มอ่านแล้ว ติดแล้ว เขินแล้ว
ห้ามทิ้งเค้านะ >///<
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 28-01-2015 18:16:29
หายไปนานจังเลย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๖-๗ ♫ ♬ ♪ (๒๕ ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 30-01-2015 12:42:55
หูยยยย
คิดถึงพี่ขวัญกับน้องเรียมแล้ว
เดือนกว่าเเล้วนาาา

ฉันมารอพี่ที่เล้าทุกวันเลยนะ ~
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-02-2015 16:15:13
ตอนที่ ๘





คืนนั้น ขวัญสรวงนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ความสงสัยเรื่องอธิปที่ยังไม่ได้รับคำตอบนั้นทำให้ยากจะข่มตาหลับ ชายหนุ่มเอาแต่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเย็น ตั้งใจไว้ว่าหลังจากน้ำทิพย์กับเทพกลับไปแล้วจะไถ่ถามต่อ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สบโอกาส

นมละเอียดเดินมาตามเจ้าตัวกลับไปที่บ้านตั้งแต่ทั้งสองคนยังไม่ได้พ้นชายศาลาด้วยซ้ำ กลับมาอีกครั้งก็ตอนช่วงอาหารมื้อค่ำ ขวัญสรวงทานอาหารน้อยกว่าทุกครั้ง ด้วยจิตใจนั้นพะวักพะวนอยู่กับคำถามซึ่งมีต่อคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ทว่านับแต่เกิดเรื่องวุ่น คนพูดน้อยก็ได้กลายเป็นแขกคนสำคัญของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ไปเสียแล้ว

สายบุญที่ปรกติมักไม่ค่อยสนทนากับเพื่อนของเขาคนไหนดูจะถูกใจกับเพื่อนบ้านคนนี้เป็นพิเศษ ถึงกับชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไม่หยุด เมื่อคนหนึ่งเล่า อีกคนก็ถามด้วยอาการอยากรู้ ต่อความกันไม่จบ ลงท้ายนมละเอียดกับจ้อยก็มาสมทบ แล้วเรื่องราวก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ของพระนครจนเขาได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ

ชีวิตที่เคยเรียบง่าย พอใจกับที่ตนมีอยู่ของขวัญสรวงกลับพบกับความหน่ายเป็นครั้งแรก

ชายหนุ่มนึกรำคาญบ่าวไพร่ในบ้านที่มีมากเกินความจำเป็นขึ้นมาโดยไร้เหตุผล ถึงกับคิดเล่น ๆ ว่าจะขอบิดาอยู่คนเดียวลำพังก็ดีไปอีกแบบ กับข้าวกับปลาก็หากินเอาตามที่มี ผักหญ้าที่นี่ก็มีไม่ขัดสน ไม่พอก็จับจ่ายที่ตลาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งม้าที่เลี้ยงดูไว้ก็ไม่ได้ยากเกินกำลังของขวัญสรวงนัก เสาร์อาทิตย์ก็ให้เด็กรับใช้จากวังใหญ่ติดรถมากับผู้เป็นมารดา ดูแลความสะอาดสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอ





"ที่แกเคยพูด มันก็จริง"

ขวัญสรวงเปรยกับบ่าวคนสนิทในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เยื้อนที่เพิ่งวางกาแฟร้อนลงตรงหน้าผู้เป็นนายก็ได้แต่ทำหน้าฉงน

"เรื่องอะไรหรือครับคุณชาย"

"ก็เรื่องที่...ช่างเถอะ"

คนร้องหากาแฟโดยที่ไม่คิดแม้แต่จะจิบสักนิดนั่งขมวดคิ้ว ก่นในใจ

ก็เรื่องที่สายบุญเป็นคนพูดมากเกินไปในบางครั้งนั่นปะไร

"อ้าว แล้วกัน ไอ้เยื้อนจะรู้ไหม"

บ่าวผิวเข้มนั่งเกาหัวหน้ายุ่ง

"ไม่มีอะไร จะไปทำอะไรก็ไปทำเสียเถิด"

"ขอรับคุณชาย ว่าแต่วันนี้นึกครึ้มอะไรหนอ ถึงลงที่นี่แต่เช้า ทุกทีเห็นคุณชายนั่งทำงานอยู่ในห้อง"

เยื้อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่เกรงกลัวว่าจะไปก้าวก่ายผู้เป็นนายจนเกินมรรยาทของบ่าวรับใช้ เพราะรู้ว่าคุณชายขวัญสรวงนั้นเป็นคนเมตตา ไม่ถือยศถือนายบ่าวกับตนหรือบ่าวไพร่บริวารคนอื่นเสียเท่าไร

"ไอ้นี่ จะไปไหนก็ไป"

แม้จะพูดเรียบเรื่อย ไม่ได้ตะเพิดเป็นการจริงจัง แต่ใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มนั้นก็ทำให้เยื้อนรู้ดีว่าไม่ใช่เวลาเล่นความ จิตใจที่ภักดีทำให้บ่าวหนุ่มไถ่ถามด้วยความรู้สึกอยากอาสาบรรเทา

"คุณชายมีอะไรให้กระผมรับใช้หรือเปล่าครับ เรื่องเล็กใหญ่ ขอให้บอก ไอ้เยื้อนยินดีทำทั้งหมด"

แต่ขวัญสรวงกลับส่ายหัวยืนยันคำเดิม เยื้อนรีรออยู่สักพัก จึงยอมก้าวออกไปอย่างคอตกราวกับว่าเป็นฝ่ายกลัดกลุ้มเอาเสียเอง

บริวารคล้อยหลังไปแล้ว คนตัวสูงก็ชะเง้อมองไปที่บันได พลางถามตัวเองในใจว่าใครที่ไหนจะช่วยอย่างไรได้ ในเมื่อแม้แต่ตนก็ไม่รู้แน่ว่าปัญหาที่รบกวนจิตใจอยู่ แท้จริงคืออะไรด้วยซ้ำ

ครู่ใหญ่ เสียงวิ่งตึงตังที่มาพร้อมกับอาการหอบจนตัวโยนของเยื้อนก็ทำให้คุณชายขัตติยพงศ์แปลกใจ





รถยนต์คันใหญ่ชะลอมาช้า ๆ ตั้งแต่ก่อนถึงปลายรั้วของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ เมื่อถึงประตูใหญ่ก็ไม่ได้กดแตรแบบทุกครั้ง นายเปี๊ยกเป็นผู้ลงจากรถมาเปิดประตูใหญ่ จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นด้วยเสียงเงียบกริบ

สายบุญคอยให้การต้อนรับอยู่แล้วอย่างรู้กัน หม่อมแม้นพิศเมื่อลงมาจากด้านหลังของรถก็ส่งกระเป๋าถือใบเล็กที่มักติดตัวอยู่เสมอให้กับสายบัวบ่าวรับใช้ ก่อนจะตรงไปหาแม่บ้านคนสนิทที่ยืนรออยู่

"เพื่อนของชายขวัญที่ว่าล่ะแม่สายบุญ"

"ยังไม่ลงมาจากข้างบนเลยเจ้าค่ะ"

"อะไร้"

หม่อมแม้นพิศอุทานเสียงเบา สีหน้าอิหลักอิเหลื่อ ผิดกับสายบุญที่ยังคงยิ้มกริ่มไม่เลิก

"แม่คนนี้นี่" ผู้เป็นนายมองอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะพูดต่อ "แต่ถึงขนาดชายขวัญชวนมาพักที่บ้านก็น่าจะนับได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเสียยิ่งกว่านายกานต์ นายเฉ่ง นายสมิงที่ฉันรู้จัก"

ข่าวลือเรื่องแขกผู้มาเยือนจากปากคนเก่าแก่ในบ้านจะเป็นอย่างไรก็ดี หม่อมแม้นพิศเพียงแค่รับฟังอย่างไว้หู ด้วยอยากประจักษ์แก่สายตาตนเสียมากกว่า ซึ่งขวัญสรวงก็เดินมาพอดี

"หม่อมแม่ ผมไม่ทราบว่าจะมาวันนี้"

ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้เป็นมารดา สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

"คิดถึงก็เลยแวะมาสักหน่อย ชายขวัญ สบายดีนะ" ใบหน้านวลปลั่งแม้ย่างเข้าสู่วัยสี่สิบปลาย ๆ ทักทายตามอัธยาศัย ก่อนจะเข้าประเด็น "แม่สายบุญบอกว่าเพื่อนบ้านมาพักที่บ้านเราหรือ"

"ครับ เมื่อคืน"

หม่อมแม้นพิศจึงเอ่ย ทำนองว่าชวนคุยต่อ

"จะว่าไป บ้านหลังนั้นใหญ่เสียยิ่งกว่าวัง โอ่โถงใหญ่โต ตอนที่สร้างก็สร้างเสียเร็วอย่างเทพท่านเนรมิต เสร็จแล้วก็เห็นเงียบ ๆ ไม่เอิกเกริก ไม่คิดว่าจะมีคนมาอยู่แล้ว ชายขวัญสนิทสนมกับเขาหรือ"

สนิทครับ"

จริงดังคาด หม่อมแม้นพิศคิดอยู่ในใจ ก่อนจะมุ่งสู่ประเด็น

"ดีแล้ว แล้วนี่เพื่อนลูกอยู่ไหน"





คุณชายขัตติยพงศ์เดินนำมารดามาที่โถงรับแขก เป็นเวลาเดียวกับที่เรียมลลิตรซึ่งได้ยินเสียงพูดคุยกันได้รุดมาจากชั้นบน เมื่อพบว่าขวัญสรวงมีแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ร่างโปร่งบางก็กระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อม แล้วถอยไปยืนด้านข้างอย่างสุภาพ

"สวัสดีครับ"

หม่อมแม้นพิศรับไหว้ด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทของบุตรชายอย่างถนัดถนี่ หล่อนก็มองด้วยความนึกทึ่ง แม้จะยังสงวนท่าทีอยู่มิคลาย แต่ก็ออกปากกับสายบุญด้วยความชื่นชม

"ลูกครึ่งหรือ ฉันเพิ่งรู้"

"เจ้าค่ะ เห็นว่าแม่เป็นแหม่มชาวอังกฤษ"

หม่อมแม้นพิศพยักหน้ารับเนิบ ๆ แสดงความพอใจอยู่ไม่น้อย ก่อนจะหันไปหาบุตรชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

"งามอย่างกับพระลอ ตาสวย น่าเอ็นดู ชื่ออะไรหรือพ่อขวัญ"

"เรียมครับ"

ขวัญสรวงยิ้มกริ่ม ใบหน้าผ่องใสจนน่าหยิกให้เนื้อเขียว

"ไม่ต้องมาทำยิ้มใส่ฉัน พ่อตัวดี ก่อเรื่องอะไรเอาไว้บ้าง อย่านึกว่าแม่ไม่รู้"

จากนั้น ขวัญสรวงรับฟังคำเทศน์ของหม่อมแม้นพิศอยู่พักใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็ยิ้มสู้หัวเราะใส่สลับกับบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไปเท่าที่จำเป็น ส่วนเรื่องที่เขาออกหน้ากับจ้อยนั้นก็ไม่ถือว่าแปลกเลยที่จะทำให้ผู้เป็นมารดาเป็นห่วง

ก่อนจะย้ายมาพักอาศัยที่บางกะปินี้ หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตผู้เป็นบิดาออกปากย้ำว่าอย่าใช้ความเป็นราชสกุลขัตติยพงศ์ ตลอดจนยศถาบรรดาศักดิ์กับผู้ใด ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ตาม

"จะเป็นที่นับถือยำเกรงของผู้ใด ก็ให้ได้ด้วยพระคุณ ไม่ใช่พระเดช"

ขวัญสรวงยึดถือคำสั่งสอนของบิดาอย่างตั้งมั่นมาโดยตลอด กระทั่งมาถึงเรื่องของกำนันจงรักและครอบครัว เพียงแค่ได้ยินก็รู้สึกขัดหูขัดใจนัก

ปล่อยให้หม่อมแม้นพิศเอ็ดตะโรอยู่พักใหญ่จนเหนื่อยจะพูด ชายหนุ่มก็ส่งเสียงทุ้มกังวาน แกล้งยกมือไหว้ท่วมหัว

"สาธุ"

มือที่ประนมไว้แผ่ออก แล้วแตะเรี่ยจากศีรษะลงมาถึงบ่าทั้งสองข้าง

"โบราณท่านถึงว่าบิดามารดานั้นเป็นเหมือนพระในบ้าน"

"ต๊าย" หม่อมแม้นพิศร้องเสียงหลง ก่อนจะหยิกเนื้อที่ต้นแขนของบุตรชายพัลวัน "เห็นอะไรเป็นเรื่องสนุกไปเสียหมด น่าบิดให้เนื้อหลุดนักเทียว"

“ผมได้แขนขาดกันพอดี”

เมื่อเห็นมารดาหัวเราะ ขวัญสรวงก็หันไปยิ้มให้กับเรียมลลิตร ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงแต่มองด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายที่ประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ





เป็นเพราะได้ยินว่าแขกของบ้านนั้นให้ความสนใจในเรื่องประเพณีวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะอาหารไทยเป็นพิเศษ หม่อมแม้นพิศจึงพาเรียมลลิตรชมโรงครัวของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ด้วยตนเอง ทั้งยังแสดงฝีมือปลายจวักด้วยการทำแกงขี้เหล็กกับปลาย่างสูตรพิเศษให้ได้ลิ้มลอง

หลังมื้ออาหารอันบริบูรณ์ ขวัญสรวงตั้งใจจะสอบถามเรื่องของอธิปที่ยังติดพันจากเมื่อวานก่อน และเพราะเรียมลลิตรนั้นดูจะพึงใจในต้นไม้นานาพันธุ์เป็นพิเศษ เขาจึงเอ่ยปากชวนให้อีกฝ่ายไปเดินชมสวนด้วยกัน

"ไปที่ริมน้ำกันไหม เช้านี้พี่เห็นลูกกระรอกอยู่ที่นั่น"

เรียมลลิตรนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

"หม่อมท่านเอ่ยชวนให้ไปที่ครัว จะสอนวิธีทำอาหารง่าย ๆ ให้"

ขวัญสรวงถอนใจให้กับความผิดหวัง ปรับอารมณ์ในอกเพียงครู่ก็ตอบด้วยเสียงแจ่มใส ติดตลก

"ประหลาดจริง ไม่คิดว่าจะชอบงานครัวด้วย นี่เลยกลายเป็นคนสนิทของท่านแม่พี่ไปเสียแล้วสิ น้องจะฝึกไปทำไมหรือ นมละเอียดหรือแม่บ้านก็ทำอร่อยถึงเพียงนั้น หรือตั้งใจจะหัดทำให้ใครชิมเป็นพิเศษ"

เพราะไม่ทันได้คิดว่าคำถามที่เพิ่งเอ่ยถึงนั้นจะได้รับความจริงที่ทำให้ร้าวแปลบเพียงใด ร่างสูงจะชะงักไปพักใหญ่ในตอนที่ได้ยินคำตอบ

"ใครจะอยากชิม เห็นทีจะมีแต่อธิป"

เมื่อขวัญสรวงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรียมลลิตรจึงชวนคุยต่อ

"ไม่รู้ทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง"

อารมณ์ขุ่นมัวก่อนขึ้นในอก ภายนอก ขวัญสรวงมักจะทำท่าไม่แยแสต่ออธิป ถือทรนงว่าตนเองก็เป็นผู้สืบเชื้อสายตรงเพียงคนเดียวแห่งราชสกุลขัตติยพงศ์ ทำงานสนองคุณพระเจ้าแผ่นดินรัตนโกสินทร์มาหลายรัชสมัย ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว แต่ลึก ๆ แล้ว เขากลับหวั่นไหวเมื่อความภาคภูมิใจเหล่านั้น หากเทียบกับอธิป กลับดูไม่มีความสำคัญใดในสายตาของอีกฝ่ายแม้แต้น้อย

"อย่ากังวลไปเลย"

คนตัวสูงยิ้มแห้งแล้ง สุ้มเสียงก็ไร้ชีวิตชีวา

"รีบไปเถิด ป่านนี้หม่อมแม่คงรอแล้ว พี่เองก็ต้องขอตัวเสียที"

พูดจบ ขวัญสรวงก็หันตัวกลับไปอีกด้าน จึงไม่อาจรู้ว่าอีกคนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

สีหน้าเคร่งเครียดและน้ำเสียงเรียบนิ่งผิดปรกติเมื่อครู่ของขวัญสรวงนั้น ทำให้เรียมลลิตรไม่กล้าเอ่ยปากชวนให้ไปหัดทำอาหารเป็นเพื่อน แม้แต่ความคิดที่ว่าอยากให้อีกฝ่ายชิมอาหารเป็นคนแรกก็จำล้มพับไปด้วยความเกรงใจ

แขกของบ้านยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งสายบัวเดินมาตามจึงหันหลัง ก้าวไปยังครัว





หลายวันต่อมา ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดำเนินไปคล้ายวันแรกในความรู้สึกที่กลมเกลียว เป็นกันเองกว่า เรียนลลิตรกลายเป็นเพื่อนสนทนาที่ถูกอกถูกใจหม่อมแม้นพิศนักหนา ทั้งยังดูจะเป็นขวัญใจของคนทั้งขัตติยพงศ์ ไม่ว่าจะมองไปเวลาไหน ขวัญสรวงก็มักจะเห็นรอยยิ้มของผู้เป็นมารดาสลับกับเสียงพูดแจ่มใสบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน

ครั้งนี้ หม่อมแม้นพิศอยู่นานกว่าทุกครั้ง ถึงกับให้นายเปี๊ยกขับรถกลับไปที่วังใหญ่ในพระนครเพื่อแจ้งข่าวแก่หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตผู้เป็นสามี และเอาข้าวของจากในโรงครัวที่พรั่งพร้อมกว่ามาเติมที่นี่อีกหลายอย่าง

อาการเห่อเกิดขึ้นในคฤหาสน์ขัตติพงศ์ได้อย่างเหลือเชื่อ บริวารหนุ่มสาวไปจนถึงแก่เฒ่าก็ตื่นเต้นที่ได้เห็นฝรั่งมังค่าชัด ๆ แถมฝรั่งคนที่ว่ายังงามเสียยิ่งกว่าพระเอกในละครทีวี

อันว่าอาการโสมนัสเหล่านั้นกลับไม่มีใครเกินมารดาของขวัญสรวง เย็นวันหนึ่งหลังจากมื้ออาหาร ระหว่างที่เรียมลลิตรกำลังบอกเล่าเรื่องเมืองฝรั่งแก่สายบุญ สายบัว นมละเอียด และบริวารคนอื่น ๆ ในบ้านเหมือนทุกครั้ง หม่อมแม้นพิศก็รำพึงออกมาให้เขาได้ยินว่า

"ต่างพินิจพิศโฉมอุณากรรณ
ว่างามดังอสัญแดหวา
อันบุรุษสุดสิ้นแดนชวา
ทั้งในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน
บ้างว่าเปรียบเทวัญนั้นเห็นผิด
ดูจริตรูปร่างเหมือนนางสวรรค์
นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ
ดังบุหลันวันเพ็ญอำไพ


ชายขวัญคิดอย่างนั้นไหม"

ขวัญสรวงไม่ได้ตอบสิ่งใด แม้ว่าในใจจะนึกเห็นพ้องโดยไม่มีขเอโต้แย้งก็ตาม

หากจะต่าง ก็ต่างกันก็ตรงที่ว่ามาณพหนุ่มนาม "อุณากรรณ" ซึ่งเป็นตัวละครในวรรณคดีเรื่องอิเหนานั้น แท้จริงแล้วคือนางบุษบาแสร้งแปลงเป็นบุรุษ แต่เด็กหนุ่มที่ห้อมล้อมไปด้วยรอยยิ้มตรงนั้นนั้นกลับเป็นบุรุษรูปงามที่หากมองอีกด้านก็พริ้มเพราไม่แพ้สตรีใดโดยแท้จริง

ตลอดเวลาหลายวันนั้น ขวัญสรวงนั้นได้แต่มองห่าง ๆ อยู่แบบนั้น หากแม้มีโอกาสสนทนาก็เป็นการพูดคุยที่แสนสั้นจนน่าใจหาย ซ้ำการพูดคุยทั้งหมดก็เกิดท่ามกลางผู้เป็นมารดา และบ่าวไพร่คนเก่าแก่ในบ้าน

ความกลัดกลุ้มที่ไม่ได้บรรเทามาหลายวันจึงเสมือนแผลกลัดหนอง แม้จะยังคงระงับสติอารมณ์ได้โดยวิสัยของคนสุขุมรอบคอบ แต่อาการแสบร้อนนั้นเล่าก็ดั่งมัจฉาที่มีชีวิต ยังคงวนเวียนอยู่ในอก ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

หากเปรียบแล้ว ชายหนุ่มในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนหน้าชื่นอกตรม



(ยังมีต่ออีกนะครับ) :hao7:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-02-2015 16:17:39
(ต่อนะครับ)





คืนหนึ่ง ยามเมื่อแผลร้ายกลุ้มรุมเร้าจนนอนไม่หลับ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมาผลัดผ้า เคียนขาวม้าแล้วตรงไปที่ศาลาริมน้ำ ก่อนจะลงไปแหวกว่ายน้ำฆ่าเวลาเล่น หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าความรุ่มร้อนจะถูกชะล้างไปกับธารน้ำไหล แต่ยิ่งมองก็ยิ่งให้รู้สึกหดหู่

แสนแสบเพลานี้ต่างจากตอนกลางวันเหมือนเป็นสายนทีคนละแห่ง ปรกติแล้ว เมื่อขวัญสรวงทอดมองลงมาที่ลำคลองสายนี้ก็จะได้พบกับภาพชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่บนผิวน้ำดั่งบทเพลงอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาไปตลอดทั้งวัน หากแต่ยามนี้ แสนแสบแทบไม่ต่างจากบทเพลงรักที่ดำดิ่งเข้าสู่ความกำสรดล้ำลึก ทุกแห่งมีแต่ความเงียบเหงา ปราศจากความแบ่งบานแจ่มใส

โดยทั่วไปแล้ว หากไม่ใช่ดนตรีก็เห็นจะมีแต่สายน้ำที่เป็นเหมือนเพื่อนยากของชายหนุ่ม ทุกข์ร้อนเพียงใด ได้ดำผุดดำว่ายสักพักก็คลายบรรเทา หากแต่คนนอนไม่หลับกลับยังคงลอยนิ่งอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเย็นเยียบแห่งนี้ พร้อมกับอาการข่มใจแทบไม่มิด แม้ว่าจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม

ความรู้สึกแปลกประหลาดยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด และต้นเหตุก็หนีไม่พ้นเพื่อนบ้านคนใหม่ จะยามที่ใครคนนั้นสนใจเขาก็ดี ไม่สนใจก็ดี ยามหัวเราะ บึ้งตึง แม้แต่ยามเอาแต่ใจก็ดี ทุกอิริยาบถการกระทำ ไม่ว่าจะเล็กน้อยอย่างไร ขวัญสรวงก็ไม่อาจจะสลัดหลุดออกจากความคิดได้เลย

ครั้นพอเห็นสนิทสนมกลับใครยิ่งกว่าตน ความรู้สึกแปลก ๆ ที่คล้ายจะระคนไปด้วยโมหะและความริษยาก็จู่โจมในอกอย่างสาหัส เริ่มจากอธิป พิษณุ จนมาถึงจ้อย กระทั่งในตอนนี้ กลับไม่เว้นแม้ผู้เป็นมารดา หรือแม้แต่บ่าวไพร่บริวาร ขวัญสรวงไม่ชอบความรู้สึกนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็สิ้นปัญญาจะขจัดออกไปจากใจ

"เรียม"

คนลอยคออยู่ในคลองสะดุ้งวาบในอกด้วยความตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ

ขวัญสรวงสูดลมหายใจเรียกสติ เอ่ยถามออกไป

"ยังไม่นอนหรือ"

ดวงตาหวานโศกซึ่งดูเหมือนไร้ความรู้สึกหยุดที่ขวัญสรวงเพียงครู่ แล้วกวาดมองไปรอบบริเวณด้วยความสนอกสนใจ จนคนเอ่ยทักเป็นกังวล รีบว่ายกลับเข้ามาใกล้ศาลาริมน้ำเสียเอง

"ดึกดื่น ทำไมถึงออกจากตึก พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ที่นี่ไม่เหมือนในเมือง กลางคืนน้ำค้างแรง ไม่ชิน น้องจะเป็นหวัดเอาได้"

เขาเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ทว่าคนที่ทั้งอยากเห็นหน้าและไม่อยากเห็นหน้าในเวลาเดียวกันนั้น ยังคงยังคงนิ่งเฉยจนขวัญสรวงระอาใจ

ครู่หนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจึงหันกลับมาที่ชายหนุ่มในน้ำอีกครั้ง และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงช้าเนิบ ปราศจากความยินดียินร้าย

"น้ำคลองนี่เล่นได้หรือ"

คนถูกถามพยักหน้ารับ และโดยที่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งใด ร่างที่ยืนสง่าก็หันตัว ถอดรองเท้าแตะ แล้วตั้งท่าจะก้าวลงน้ำ

ขวัญสรวงตกใจเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มรีบยกสองมือขึ้นห้ามทันที

"เดี๋ยวสิ จะทำอะไรน่ะ"

"อยากเล่นบ้าง"

เรียมลลิตรยังคงตอบด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

"ได้บอกนมละเอียดแล้วหรือ"

ปลายเท้านั้นชะงักไปชั่วขณะ ผ่านไปหลายอึดใจ ร่างบางยังคงเงียบราวกับไม่ได้ยินคำถาม

"อย่าบอกนะ ว่าหนีออกมา"

"ไม่ได้หนี" เรียมลลิตรพึมพำ เว้นห้วง "แค่ยังไม่ได้บอก"

ใบหน้าที่เจื่อนลงจนเห็นได้ ทำให้ขวัญสรวงลากลมหายใจยาวยืด

"น้ำคลองมีกลิ่นดิน ต่อให้ใสสะอาด ก็ไม่เท่ากับน้ำฝนหรือน้ำประปา อีกอย่างตอนนี้ก็ดึกแล้ว ผู้ใหญ่ก็ไม่ทราบเรื่อง พี่เห็นว่าไม่สมควร"

"พี่ขวัญยังเล่นได้"

นี่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ หรืออย่างไรกัน ขวัญสรวงได้แต่เอ็ดตะโรอยู่ในใจ และถึงแม้จะบ่นอุบแบบนั้น แต่คำพูดที่เปล่งออกมากลับเป็นฝ่ายผ่อนปรน ยอมตามใจเอาเสียเอง

"อย่าลงมาเลย ประเดี๋ยวเท้าจะเลอะดินเลนเสียเปล่า"

เจ้าของริมฝีปากเชิดรั้นดูอ่อนลงถนัดตา กระนั้นก็ยังยืนหยัดไม่ถอย

"พี่ขวัญก็เลอะ"

"พี่เลอะไม่เป็นไรดอก ไม่อยากให้เท้าน้องต้องสกปรก"

เรียมลลิตรยืนนิ่งด้วยความลังเล กระทั่งขวัญสรวงเสริมขึ้นว่า

"ถ้าอยากเล่นน้ำ นั่งเล่นบนท่าเถิด ยื่นขาลงมา พี่จะคอยอยู่ใกล้เป็นเพื่อน"

แม้จะอิดออด แต่ร่างประเปรียวก็ก้าวกลับขึ้นไปบนศาลาอีกครั้ง แล้วยืนรอคนให้คำสัตย์อย่างสงบนิ่ง

ขวัญสรวงขึ้นจากน้ำ ลูบเนื้อตัวจนหมาด เคียนผ้าขาวม้าที่เอวตนเองซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำจนร่นลงแนบต้นขาตนเองใหม่ให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินมารุนหลังคนที่ยืนอยู่เบา ๆ ไปที่อีกฝั่งของศาลาที่มีชายเรี่ยริมน้ำ

เห็นอีกฝ่ายหย่อนขาลงในคลองแล้ว จึงยอบตัวนั่งข้าง ๆ คนหน้าบึ้ง

"จริง ๆ เลยนะ"

ถึงแม้จะบ่นอย่างเสียไม่ได้ ทว่าริมฝีปากคนพูดกลับเผยอรอยยิ้ม ใช่เพียงแต่ความแบ่งบานจะผุดผายบนใบหน้า ในใจนั้นเล่าก็แทบไม่ต่าง อารมณ์อ่อนหวานลึกล้ำแทรกตัวเข้าแทนที่อาการสาหัสไปทั่วทั้งอกของชายหนุ่มจนพองแน่น

เดิมทีเดียว เขาคิดว่ามันคงเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เมื่อผ่านไปก็จะพัดปลิวแหลกสลายเหมือนสายเมฆยามถูกลมบนโบก แต่การณ์กับไม่ใช่อย่างนั้น ยิ่งนานวัน ความรู้สึกที่ว่ากลับสำแดงตนเฉกไม้แกร่งทานแดดฝน ยิ่งนานยิ่งผลิงามงอกเงย ยิ่งหยั่งรากมั่นคง

ขวัญสรวงไม่ทราบเลยว่าอาการเหล่านั้นก็แทบไม่ต่างกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้าง

สีชมพูซ่านขึ้นใต้ผิวบาง อารมณ์แปลกประหลาดที่ใกล้เคียงกับอับอายและความวาบหวามกำลังปะทะกันอยู่ในใจของเรียมลลิตรอีกครั้ง ยิ่งได้เห็นรูปร่างผึ่งผายกำยำยามไม่มีสิ่งใดปกปิดนั้นอย่างชัดแจ้งก็ให้ยิ่งละอายแก่ใจ เกิดเป็นลูกผู้ชายเฉกเช่นเดียวกัน แต่ไฉนตนเองกลับมีรูปร่างอ้อนแอ้นจนไม่อาจเทียมเทียบกับขวัญสรวงได้

ส่วนความรู้สึกอีกอย่างที่พลุ่งขึ้นมานั้น กลับน่าอับอายเสียยิ่งกว่า

หลายวันที่ผ่านมาเรียมลลิตรไม่ได้มีโอกาสพูดคุยตามลำพังกับขวัญสรวงเช่นแต่ก่อนนัก เป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ในยามที่ได้ชิดใกล้ อาการสะดุ้งวาบในอกจึงซ่านจนรู้สึกหวิว ๆ แววตาอ่อนโยนที่จ้องมองอย่างไม่ปกปิด ความใส่ใจ และรอยยิ้มที่เปิดเผยอย่างเป็นธรรมชาติช่างเหมือนหอกแหลมคมที่แทงทะลุเข้าเป้า เหล่านี้ล้วนทรงพละกำลังยิ่งนัก แม้จะปิดประตูลั่นดาลแน่นหนาอย่างไร ก็ไม่อาจเป็นผล

ดวงตาหวานสวยได้แต่มองเงาสะท้อนของคนที่นั่งใกล้ ๆ บนผิวน้ำ ไม่กล้าแม้แต่จะมองแบบปกติด้วยความสุจริตใจ น่าตลกเสียจริงที่นึกขวยเขินกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้ เรียมลลิตรได้แต่ปรามาสตัวเองอยู่ในใจซ้ำ ๆ

ห้วงเวลาที่เดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความเงียบก็ได้ร่ายมนตราให้เข้าสู่ห้วงอารมณ์หวามไหว

ท่ามกลางความวิจิตรที่แต่งแต้มด้วยธรรมชาติ ชายหนุ่มสองคนยังคงนั่งเลียบลำน้ำอยู่ใต้ชายคาไม้ฉลุ มองดูดวงไฟกลมโตสีนวลบนฟ้าลอยเรี่ยเหนือเงาสะท้อนสีนิลของพวงเมฆ สายลมพัดระลอกริ้วฉาบแสงสีเงินยวง เป็นประกายวิบวับเหมือนปิ่นเพชรระยับตายามต้องแสงไฟ

ขวัญสรวงลอบมองคนที่นั่งข้าง ๆ เป็นระยะ แสงจันทร์กระทบผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลอ่อนจนเป็นมันวาว และแม้ว่าจะงามจับใจเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบได้กับประกายของหยดน้ำที่หยอกแสงอยู่ในดวงตาคู่นั้น ชายหนุ่มพยายามแล้วที่จะห้ามใจไม่ให้มองจ้องรอยยิ้มจาง ๆ ที่แย้มสะพรั่งอยู่ในแววตาหวานงาม แต่ก็ทำได้เพียงครู่ ไม่กี่อึดใจ เขาก็กลับไปเผลอไผลต่อความงามจับตาจับใจนั้นอยู่ซ้ำซาก ไม่จบสิ้น

"อยู่ที่นี่เบื่อหรือเปล่า ที่นี่ไม่มีแสงสี ผักปลาถึงจะอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สะดวกสบายเหมือนกับในเมือง ไม่มีสโมสร ร้านค้าหรูหรา มีก็แต่ทุ่งนา ผักบุ้งสุดลูกหูลูกตา"

"ไม่หรอก"

ตอบคำถามแล้ว ต่างฝ่ายต่างนิ่งกันไปพักใหญ่ ก่อนที่เจ้าของเสียงทุ้มจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความหวั่นไหว

"แล้วอยู่กับพี่เบื่อไหม"

ลึก ๆ ในใจของขวัญสรวงเหมือนกับคนซึ่งก้าวเดินอยู่บนสะพานอันเปราะบาง แค่เพียงลมไหวแผ่วเบาก็สะท้านสะเทือนได้อย่างง่ายดาย เขาไม่ได้ทำอาหารเก่งแบบผู้เป็นมารดา ไม่ได้ดูโก้เป็นหนุ่มสังคมแบบอธิป เขาแทบไม่ต่างอะไรกับหนุ่มเจ้าสำราญด้วยซ้ำ งานการก็ไม่มีเป็นชิ้นเป็นอันแบบพิษณุ ถึงจะช่วยงานผู้เป็นบิดาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย แม้หากจะตัดเปลือกนอกเหล่านั้นไปเสียสิ้นแล้วนับแต่เพียงจิตใจอันเป็นเนื้อแท้ ขวัญสรวงก็ไม่อาจหาญแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาได้เหมือนจ้อยด้วยซ้ำ

ตรึกครองแล้ว ชายหนุ่มก็มองเห็นแต่ความมืดหม่น ไม่มีทีท่าว่าตนจะพบดวงไฟสว่างไสวรออยู่ที่ปลายสะพานแม้แต่น้อย

แต่เรียมลลิตรกลับพูดว่า

"สนุก"

ดวงตาสีน้ำตาลหวานคู่นั้นแสดงรอยยิ้มอุ่นอ่อน งามยิ่งกว่าดวงดาริกาจนคนฟังถึงกลับกลั้นลมหายใจ

"น่าจะเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิต"

สิ้นสำเนียง ขวัญสรวงนิ่งไปเหมือนไม่เชื่อหู ทุกอย่างเกินความคาดหมายของเขาไปไกลเหลือเกิน

นัยน์ตาของทั้งคู่หันมาสบมองกันเพียงครู่ แล้วเรียมลลิตรก็หลุบสายตาลงวางบนเงาสะท้อนของพระจันทร์บนผิวน้ำ ก่อนจะกระหยับขาเบา ๆ ไปมาในลำคลอง เกิดเป็นเสียงจังหวะ

จังหวะนั้น ถี่พอกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของคนที่ยังไม่อาจละสายตาไปได้

ขวัญสรวงค่อย ๆ เขยิบตัวเข้ามาใกล้ เอียงคอมองจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาวาบหวาม

นัยน์ตาที่พริบพราวเสียยิ่งกว่าดาวทั่วทั้งฟ้านั้นทำให้เรียมลลิตรทำอะไรไม่ถูก กรามแก้มเข้มขึ้นจนระเรื่อโดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งก้มหน้า กระหยับขาไปมาอยู่อย่างนั้น

ผิวอ่อน ๆ ที่เปลี่ยนเป็นสีหมากสุกงอมทำให้ใจของขวัญสรวงโลดแล่นไปด้วยอารมณ์หวามไหว ดวงตาคมจึงฉายประกายอ่อนหวาน คนตัวสูงค่อย ๆ ช้อนตามองขึ้น จ้องลึกลงไปในนัยน์ตาหวานสวยนั้นอย่างไม่คิดผละหนี

"เรียม"

เจ้าของชื่อยังคงนิ่งเฉย

"เรียม"

เสียงทุ้มลึกเอ่ยเรียกอีกครั้ง พร้อมกับกระเถิบตัวเข้ามาใกล้จนแขนที่เท้าอยู่บนพื้นไม้และลำตัวของคนทั้งคู่เบียดกัน

แน่นขึ้น

...และแน่นขึ้น

พักใหญ่ กว่าที่คนถูกเรียกซ้ำ ๆ จะยอมหันมาอย่างเชื่องช้า และพริบตานั้น ริมฝีปากของเรียมลลิตรก็แตะสัมผัสกับความอุ่นหวานโดยไม่ทันตั้งตัว

"พี่ขวัญ"

คนถูกเรียกชื่อขานอือในลำคอ

"จูบทำไม"

"ไม่รู้"

ขวัญสรวงไหวศีรษะไปมาขณะตอบ

"แต่ว่าเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน"

"นั่นสิ" ร่างสูงครวญ "เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ทำไมกัน ทำไมก็ไม่รู้"

ชายหนุ่มตอบตรงตามความรู้สึก แม้แต่เขาก็หาคำตอบไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะแท้จริงแล้วนั้น เป็นตัวเขาเองที่ไม่อยากจะหาคำตอบ ขวัญสรวงเองก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ ส่วนที่รู้และแน่ใจในขณะปัจจุบันนี้มีแต่ใบหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า แค่นี้เท่านั้น

ขวัญสรวงจูบอีกครั้ง

สัมผัสอ่อนโยนที่หวานหอมโรยตัวลงบนฝีปากใหม่ อุ่น วาบหวาม และเนิ่นนานนักกว่าจะผละจากด้วยระยะห่างแค่เพียงคืบ

"ทำไม"

"ไม่รู้...ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากจูบ"

พูดจบ ขวัญสรวงก็จูบอีกครั้ง

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ใบหน้าซึ่งยังคงนิ่งเฉยไร้ความรู้สึกของอีกฝ่ายเกลี่ยด้วยสีชมพูฝาดจนทั่ว กระจายไปถึงใบหู ไล่ลงไปถึงลำคอ ขวัญสรวงมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่ระรัวไม่เป็นจังหวะ

"โกรธหรือเปล่า"

คราวนี้เรียมลลิตรนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบสั้นด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน

"ไม่รู้"

รอยเล็ก ๆ ยกตัวขึ้นที่มุมปากของคนรอฟังอยู่ ทั้งที่น่าจะเดาคำตอบได้แล้ว แต่ขวัญสรวงก็ยังโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้จนแนบชิดแล้วกระซิบถามอีกครั้ง

"เรียมโกรธพี่ไหม"

"ไม่รู้"

คำตอบเดิมยกมุมปากของคนตัวโตให้เหยียดออกเป็นรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่จะแนบลงสัมผัสกับสีแดงฝาดที่ห่างเพียงลมหายใจกั้นตรงหน้าอีกครั้งเหมือนเด็กตัวน้อยที่ติดใจในรสขนมหวาน

หัวไหล่เกยกันจนเบียด หยดน้ำเล็ก ๆ บนผมของขวัญสรวงทิ้งตัวลงบนแก้มที่ร้อนวาบของเรียมลลิตรอย่างเชื่องช้า

ความอ่อนหวานเจ้าเอยใยจึงไม่ประทับติดตรึงแค่เพียงริมฝีปาก ไฉนจึงไหลซึมลงผ่านผิวกายและกระจายไปทั่วทั้งร่าง จนประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็นวูบวาบเยี่ยงนี้

"พี่ขวัญ"

"ครับ"

พอขวัญสรวงรับคำ เรียมลลิตรก็ได้แต่นิ่งเงียบไปเหมือนคนจนคำพูด กระทั่งร่างสูงที่รอฟังอยู่กลับมาเป็นฝ่ายชวนคุยเสียเอง

"หนาวหรือเปล่า"

ใบหน้าที่ยังคงระเรื่อเป็นสีผลหมากสุกแดงไหวสะเทิ้นเล็กน้อย ก่อนหลุบลงมองผิวน้ำเบื้องหน้าที่เป็นวงตามแรงแกว่งเท้า วงแล้ววงเล่าอยู่อย่างนั้น

ขวัญสรวงเผยอรอยยิ้ม ค่อย ๆ เอื้อมมืออกไปกุมมือของเรียมลลิตรไว้

"ถ้ายังไม่ง่วง เราอยู่ตรงนี้กันต่ออีกสักนิดเถอะนะ"

เมื่อคนที่พูดด้วยยังคงนั่งนิ่ง ไม่ปฏิเสธ เจ้าของคำถามที่เอาแต่อมยิ้มก็เอียงใบหน้าไปใกล้คนที่นั่งหลังตรงอยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ วางน้ำหนักลงบนบ่าเล็กที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนเหมือนกุหลาบแรกแย้ม

ริ้วรอยที่ขมวดตึงระหว่างคิ้วมานานคลายออกจนสิ้น พร้อม ๆ กับดวงตาสีดำขลับที่พริ้มหลับลง




+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ มาช้าหน่อยเพราะเปื่อยมาราธอน พอหายก็เลยต้องเคลียร์งานที่หมักไว้ตอนป่วยเป็นประวิง
อาศัยเติมวันละนิดวันละหน่อย ผลเลยเป็นฉะนี้ ต้องขอโทษที่มาช้า และขอบคุณที่ยังตามอ่านกันนะ
หลังจากอ้อยสร้อยมานาน เขาเริ่มจีบกันจริงจังแล้ว พี่ขวัญเกรียนอีกแล้ว เนียนสุดในเรื่อง 55555
ตอนนี้มีความโรคจิตบางอย่างของคนแต่งที่พยายามประยุกต์ประโยคคลาสสิกของแผลเก่าเอาไว้
คนที่พอจะคุ้นกับเรื่องแผลเก่าของต้นฉบับครูไม้เมืองเดิม คงพอจะคุ้นกับบทพูดบางประโยคบ้างนะครับ
เป็นเรื่องที่ภาษาอาจดูยุ่งยากนิดหน่อย แต่อารมณ์เรื่องจะอ่านสบายๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะเน้อ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ครับ สารภาพว่าเรื่องนี้แต่งยากไปอีกแบบ เพราะไม่ใช่แนวถนัดเลย (ย้ำอีกรอบ)
แถมอัพก็ช้า ตอนนี้ดีใจที่มีคนอ่านแล้วชอบ แถมยังตามอ่านต่อด้วย ขอบคุณมากๆ นะครับ T^T

พบกันใหม่ตอนหน้าน้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: narunarutoboyz ที่ 04-02-2015 16:54:50
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด บ้าที่สุด เขินอายอ๊าาาาา  :-[
หายไปนานมากกกก แต่ก็ตั้งตาคอย ไม่เสียเเรงจริงๆค่ะ
กลับมาปุ๊ป พี่ขวัญกะน้องเรียมก็จูจุ๊บกันเเล้ววววว ดีใจที่สุดเลย ฮิ้ววววววววว

ตอนพี่ขวัญทำดราม่าไอ้เราก็พลอยอึดอัดไปด้วย ใกล้เข้ามาอีกนิด ชะชะ ชิดเข้าไปอีกหน่อย  :hao7:
พี่ขวัญสู้ๆๆๆๆๆ น้องเรียมก็คงต้องเขินตัวเเตกเข้าสักวัน อิอิ รักกันเร็วๆน๊าาาาาา

เป็นกำลังใจให้คนเขียนเน้ออออออ ติดตามตอนต่อไปค่าาาาา :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 04-02-2015 16:56:01
กริ๊ดดดด ขอจิ้ม(ก้น เอ้ย5555555) ก่อนน้าาาาาา

ในที่สุด...ก็อัพเย้
ในที่สุด...ก็จีบกันจริงจังซะที
ในที่สุด...ก็ได้อ่านสักที เย้ๆๆๆ

ขอบคุณมากค่าาา จิกหมอนตลอดด หวานมาก
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: --รมยกร-- ที่ 04-02-2015 17:04:53
แปะ ไว้ก่อน เดี่ยวเข้ามาอ่านทีหลัง
ตามแบบฉบับนักเขียนบรมอาจารย์ไม้เมืองเดิมจริงๆ พระเอกจะรักกับพี่สาว แต่จะมีเหตุให้ร้างลาไป ส่วนนางเอกตัวจริงจะเป็นน้องสาวที่แอบหลงพระเอก เกือบทุกเรื่องด้วยนะ เท่าที่เราอ่านนิยายของท่านมา

แต่ ฉบับวายจะยังไงน้าาาา ชอบนิยายพีเรียดมาก กลิ่นอายลูกทุ่งมันอยู่ในสายเลือด  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 04-02-2015 19:11:02
อยากบอกว่าเอายศทหารตามหลังฐานันดรมิได้นะ......ต้องนำยศทหารขึ้นต้นยศกำเนิด
ในตอน7 หม่อมราชวงศ์ พันตรี พิษณุ ขัตติยพงศ์  ต้องเป็น พันตรี หม่อมราชวงศ์ พิษณุ ขัตติยพงศ์
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 04-02-2015 20:52:01
ฮือออออ ชอบบบบ
จูบละมุนมาก (เหมือนโดนเอง)
ไม่ชวนนัองไปนั่งเล่นกันที่ห้องนอนละจ้ะชายขวัญ
เรียมก็น่ารักจนคนทั้งบ้านหลง
หวังว่าแม่พี่ขวัญจะไม่รังเกียจน้องทีหลังนะ เป็นสาววายเถิดจะเกิดผล

เก็บตังค์รัวๆเลยจ้าา เผื่อมีโอกาสได้อุดหนุน
อยากเก็บพี่ขวัญน้องเรียมไว้ในอ้อมอก 5555555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 04-02-2015 22:13:41
โอ้ยยยยยยย โอ้ยยยยยยยย โอ้ยยยยยยย
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
โง้ยยยยยยยยยยย นี่บิดจนที่นอนจะขาดแล้ว
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย น้องเรียมมมมมมมมมมมม
น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกก น่ารักมากกกกกก ฮือออออออ
ตอนที่ตอบพี่ขวัญว่าไม่รู้นี้แบบ กรี้ดดดดดดด
ทำไมน้องน่ารักได้ถึงเพียงนี้
พี่จิไม่ท๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
อึมครึมฝนจะตกมาทั้งตอน มาเจอฉากจบไป
ผมนี่เขินม้วนหน้าม้วนหลังเลย งื้ออออออ
แล้วพี่ขวัญเว้ยยยยยยย จูบน้องแล้วอะ จูบแล้ว ผิดผีแล้ว รับผิดชอบด้วยยยย!!!!
ไม่ใช่ทีเดียวด้วยนะ มีซ้ำๆอีกกก น้องเรียมก็ยอมพี่มัน โอ้ยยยย
ไม่ไหวๆ คนอ่านอกจิแตกละ
คนเขียนค่อยๆเขียนทีละนิด คนอ่านก็อ่านทีละนิดเหมือนกัน
อ่าน5บรรทัด ไปหาน้ำกิน อ่านอีก4บรรทัด เปิดเว็บอื่น
ไม่ใช่อะไร กลัวจบตอนเร็ว พออ่านจบก็ทุรนทุราย งื้อออออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: taengoo ที่ 04-02-2015 23:11:47
เขินนนนนนนนน
งื้ออออออออ บ้าๆๆๆ
-/////-
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: PEEM_JANG ที่ 05-02-2015 00:01:45
 :ling1: :ling1: :ling1: คือเขิน คือจิกหมอน คือกัดผ้าอ่ะ  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 05-02-2015 02:11:31
เขินค่า :ling1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: lovekimkina ที่ 05-02-2015 12:14:49
พี่ขวัญของเรียมมมมมมม แอร้ยยยย
เดี๋ยวนี้เขามีการพัฒนา... จุดพลุฉลอง
พี่ขวัญขี้หึงนะเรา ชอบบบบบ
รักเรื่องนี้จังเลย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 05-02-2015 20:12:59
หวานมากอ่ะ อิชั้นเขินแทนเลย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 09-02-2015 21:14:00
บ้าที่สุดเลยค่ะ!!
ทำไมชายขวัญเป็นคนแบบนี้
กรี๊ดดดดดดดดดดด!!   :hao5: :hao5: :hao5:

พี่ขวัญคนบ้า ฮืออออออ เขินมากอะไรมาก
คนอะไรเนียนมาก ช่วงแรกๆ ยังมาทำหวงน้อง เหวี่ยงคนโน้นคนนี้ไปทั่ว
หงุดหงิดไปหมด แต่พอได้มานั่งริมน้ำกับน้องเรียมหน่อย เอาใหญ่เชียวนะคะ!!

แหม่ะ! ตอนแรกนึกว่าจะได้เล่นน้ำแบบแนบชิดกันหนุงหนิงซะอีกค่ะ
แต่แบบ แอร๊ยยยยยยยย ถึงเราจะแอบเสียดายที่ไม่มีฉากเล่นน้ำกุ๊กกิ๊ก
แต่ตอนจูบมันเหนือความคาดหมายมากๆ ค่ะ! ฮึ่ยยย! น่าจะรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าชายขวัญน่ะร้าย!
น้องเรียมไปไม่เป็นเลย ถถถถถถถถถถถถ ไม่รู้ว่าทำไมถึงจูบก็เลยลองจูบน้องซ้ำๆ ดูจะได้รู้หรอคะ!?
ร้ายกาจเกินไปแล้วค่ะ! ยอมเลย ยอมมมมมมมมมมมม 5555555555555

 :-[

เอาจริงๆ ตอนนี้เริ่มสงสารน้องเรียมแล้วค่ะ พี่ขวัญร้ายมากอะไรมาก
กลัวน้องตามไม่ทัน ตอนนี้ขอยกป้ายไฟให้น้องเรียมแล้วกันนะคะ >_<
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 20-02-2015 16:51:54
ฟินข้ามโลกเลยค่าาาาา

เขิน-///-
หวานเกินไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 23-02-2015 01:16:14
คิดถึงอีกแล้วววววว
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 06-04-2015 13:09:01
คนเขียนหายไปไหน หายไปกับสงกรานต์รึเปล่า ฮือออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 06-04-2015 13:49:48
กลับมาาาาาาาาาาาาได้รึเปล่าาา
กลับมาหาฉันทีได้มั้ยคนดี

คิดถึงแล้วน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 05-05-2015 04:30:32
เป็นเดือนแล้วน๊าาา
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 31-05-2015 02:58:24
ใยถึงทิ้งน้องไปได้นานเพียงนี้
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ม่วงระย้า ที่ 04-06-2015 07:14:10
ชอบแนวย้อนยุคมากเลย สนุกค่ะ มาต่ิอเถอะนะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 04-06-2015 11:10:46
หายไปไหนอ่าาาาาาาาาาาตัวเองจ๋าาาาาา กลับมาเต๊อะะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๘ ♫ ♬ ♪ (๔ กุมภาพันธ์)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 04-06-2015 23:16:11
รอนานจนตะเตือนใตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๙ ♫ ♬ ♪ (๒๗ มิถุนายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 27-06-2015 17:03:55
ขอโทษด้วยครับที่หายไปนาน พอดีทำบ้านใหม่ เวลาหมดไปกับบ้านจนไม่มีเวลาแต่งเลยครับ
ขณะนี้บ้านก็ยังไม่เสร็จดี แต่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากแล้ว เอาเป็นว่าชีวิตเริ่มกลับมาปกติสุขอีกครั้ง
แม้ว่าจะยังไม่ใช่เต็มที่ก็ตาม แต่ก็ดีกว่าช่วงที่ผ่านๆ มามากครับ ถ้ามีอะไรจะแจ้งในเฟสเรื่อยๆ แล้วกันนะครับ

ความเดิมตอนที่แล้ว พี่ขวัญเริ่มเกิดอาการหวงน้องจากคนรอบๆ ตัว ทีนี้พอน้องมาหาถึงที่
ทีนี้พี่ขวัญแกว่ายน้ำ อาบแสงจันทร์รอมานาน เลยกลายร่างเป็นหมาป่าล่าเหยื่อทันที
จบตอนที่ว่าพวกเขาจุ๊บๆๆๆๆ กันแล้ว จากนี้ไปจะเป็นยังไงต่อ โปรดติดตามอ่านครับ ^ ^

ปล. 1 มีการปรับลักษณะการเขียนใหม่ให้ถูกต้องขึ้น และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ช้าครับ
เนื่องจากโดยปกติแล้วคนโบราณจะให้เกียรติกับเรื่องยศศักดิ์มาก
จำเป็นต้องเอ่ยพระยศนำหน้าชื่อเพื่อเป็นการให้เกียรติครับ
ทีนี้ดูตัวละครแต่ละตัวเถิดเจ้าข้าเอ๊ย คนแต่งอยากจะร้องไห้ โดยเฉพาะน้องเรียม อยากจะร้องไห้

ปล. 2 ลงตอนใหม่ฉลองให้กับการสมรสที่เท่าเทียมกันทั้ง 50 รัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาครับ ฮูเร่!

ปล. 3 อ่านช้าๆ นะ ตอนนึงแต่งน้านนาน คือเราแต่งไม่ทันคนอ่านนั่นเอง 55555+



+++++++++++++++++++++++++++++++++



ตอนที่ ๙


หนึ่งวันหลังจากนั้น หม่อมแม้นพิศก็เดินทางกลับไปที่วังขัตติยพงศ์ในพระนครด้วยอารมณ์แจ่มใส ส่วนผู้พำนักอาศัยชั่วคราวย้ายกลับไปที่เรือนตัวเองในตอนเย็นวันเดียวกัน นมละเอียดแจ้งแต่เพียงว่าเมื่อเหตุการณ์อะไรๆ ก็ดูสงบเงียบ ไม่มีวี่แววของจ้อยหรือครอบครัวของกำนันจงรักที่จะมาระรานอีก ก็เห็นสมควรที่กลับไปพักที่เรือน ไม่รบกวนให้เกรงใจกันไปกว่านี้

เมื่อคนที่เคยให้เขายืมหัวไหล่ต่างหมอนจากไปโดยไม่ได้มาบอกลาด้วยตนเอง หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงจึงแบกความว้าวุ่น อัดอั้นตันใจกับสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อคืนวานนัก

ไม่กล้าไปพบหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่คิดอะไรได้อย่างที่ผ่านมา จากที่เคยชี้ชวนกันชมนกชมไม้ กระเซ้า สนทนากันระหว่างที่เทพกำลังเรียนดนตรี หรือแม้แต่เล่นเพลงไพเราะให้ฟัง บัดนี้ชายหนุ่มได้แต่นั่งกระสับกระส่าย หักห้ามอารมณ์อ่อนหวาน และใช้เวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าปรกติทำงานจิปาถะ มากเท่าที่จะมากได้

ถึงกับโทรศัพท์ไปหาบิดาเพื่อเป็นธุระจัดการงานเอกสารต่างๆ ของกระทรวง จากที่เคยรับผิดชอบในส่วนของเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ในครั้งนี้ ชายหนุ่มเอ่ยปากถึงเอกสารราชการทั่วไปที่เป็นภาษาไทยเพิ่มเติมขึ้นอีก

ข้ออ้างว่าอยากศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเอกสารทั้งสองภาษา และอยากเรียนรู้งานราชการให้เข้าใจถ่องแท้ทำให้หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตถึงกับออกอาการแปลกใจ หากแต่ความปราโมทย์ที่บุตรชายเพียงคนเดียวนึกสนใจใฝ่รู้งานสนองคุณแผ่นดินนั้นเหมือนสายลมพัดเป่าความสงสัยให้ปลิวหาย ไม่มีเหลือ

วันถัดมา อาการเหม่อลอยเหมือนแผลที่เริ่มช้ำเขียว แทนที่จะทุเลา จิตใจไม่เป็นวุ่นวายเสียยิ่งกว่าเดิม เขาสอนเทพเล่นดนตรีได้อย่างไม่มีสมาธิเท่าที่ควร หลายครั้งที่ความคิดหวนกลับไปถึงกิริยาที่สำรวม งามสง่าทุกกระเบียดนิ้ว คิดถึงใบหน้าแอร่มที่ไร้ความรู้สึกนั่น ผมและดวงตาที่เป็นสีอ่อนกว่าคนทั่วไป คิดถึงแก้มแดงปลั่งบนผิวเนียนละเอียด จำได้ว่ามันนุ่มแค่ไหนในตอนที่ริมฝีปากเขาแตะสัมผัส กระทั่งจูบผะแผ่วราวกับปีกของผีเสื้อยามกระหยับบิน ทุกรอยประทับยังคงตราตรึงเหมือนสลักลงบนหินผา

เรียมทำให้หัวใจของเขากลายเป็นฝั่งน้ำที่เต็มเปี่ยม เย็นชื่นตลอดเวลา คุณชายขัตติยพงศ์ต้องสะกดความรู้สึกของจนเองหลายครั้ง และทุกครั้งก็ยากลำบากขึ้นทุกที

อาการนิ่งเงียบแปลกๆ นั้นทำให้น้ำทิพย์รู้สึกผิดสังเกต บ่อยครั้งที่หญิงสาวลอบมองเขาด้วยความเป็นห่วง หากแต่ชายหนุ่มที่ดูร่าเริงสดใสตลอดเวลากลับเงียบขรึม ไม่แม้แต่จะหยอกเย้ายามน้องชายของเธอยกมือไหว้และเอ่ยคำลาแบบทุกที

เขาไม่ยิ้มแย้มให้กับเทพหรือเธอ คุณชายขวัญสรวงเหมือนคนที่ครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเอ่ยถาม เขาก็ยิ้มพรายดังปรกติ จนน้ำทิพย์ได้แต่พูดกับตนเองว่าบางทีเธออาจจะคิดมากเกินไป

เด็กสาวไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนั้น ชายหนุ่มรู้สึกอย่างไรกับอาการกลับไม่ได้ไปไม่ถึงของตนเองตลอดสองวันมานี้ พอน้ำทิพย์และเทพคล้อยหลังไปจนลับแล้ว เขาถึงได้นั่งลงเต็มน้ำหนักบนตั่งไม้ใต้ร่มพะยอม ถอนหายใจอยู่หลายครั้งเหมือนคนจนใจ





คุณชายขัตติยพงศ์ไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครฟัง เขาไม่ไว้ใจตัวเองว่าจะสามารถรักษาสีหน้า ตลอดจนน้ำเสียงให้พ้นจากความสงสัยได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ และไม่มีผู้ใดที่สามารถจับกระแสบางเบาทว่าล้ำลึกที่แล่นไปมาอยู่ในแววตาที่คอยมองเหม่อไปทางเรือนฝรั่งหรูหราซึ่งปลูกขนาบ ห่างกันเพียงรั้วกั้นอยู่เป็นระยะๆ ได้ แม้แต่ความระแคะระคายก็ไม่ปรากฏ

ไม่เว้นแม้กระทั่งกานต์ ผู้เป็นเพื่อนที่คบหากันมานานหลายปี

“ไม่ได้เจอตั้งนาน ยังเหมือนเดิมนี่หว่า”

“จะให้กลายเป็นมิตร ชัยบัญชาหรือยังไง” เขาตอบติดหัวเราะ เดินนำไปเรือนไม้ ครู่เดียว เยื้อนยกกาแฟพร้อมกับปาท่องโก๋สูตรโบราณที่ถือเป็นสูตรพิเศษ ทอดจนเป็นสีทองนวลมาวางที่โต๊ะ

เป็นอันรู้กันว่า บ้านขัตติยพงศ์นั้นขึ้นชื่อเรื่องอาหารเป็นนักหนา ไม่เว้นแม้กระทั่งปาท่องโก๋ที่จำเพาะว่าต้องทอดด้วยน้ำมันใหม่ๆ ในกระทะทองเหลืองเท่านั้น ปาท่องโก๋ตำรับขัตติยพงศ์จึงได้กรอบนอก แต่เนื้อข้างในนุ่มและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่เหมือนใคร เป็นของโปรดที่กานต์ชื่นชอบถึงกับเคยขอซื้อสูตรไปขายที่โรงภาพยนตร์ของตนเองในพระนคร แต่แม่สายบุญนั้นหวงสูตร ไม่ขาย แต่ทำให้ทานกันฟรีๆ ทุกครั้งที่กานต์แวะมาหา จึงมีปาท่องโก๋หอมกรุ่มมาไม่อั้น

“ไม่ได้แวะมาพักเดียว บางกะปิเปลี่ยนแปลงขนาดนี้เชียวหรือวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคฤหาสน์ใหญ่โตขนาดนี้ปลูกขึ้นเคียงขัตติยพงศ์ ตึกแบบนี้ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือสถาปนิกต่างชาติ โอ่โถงกว่าที่นี่เสียอีก นี่ใครเป็นเจ้าของกันวะ” หนุ่มเจ้าสำราญถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ เขาทานปาท่องโก๋ไปสองตัวจึงจิบกาแฟหอมกรุ่น เอนหลังพิงพนักเก้าอี้

“เห็นว่าเป็นพ่อค้าวานิช” คนถูกถามพยายามตอบรวบรัดที่สุด

“แบบนั้นก็ไม่แปลก” กานต์พยักหน้าเหมือนคนเข้าใจอะไรง่ายๆ เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง พลางเอ่ยเสริมว่า “สมัยนี้ประเทศไทยเราทำธุรกิจกับต่างประเทศ คนที่รู้ภาษา มีช่องทางกำรี้กำไรเป็นเศรษฐีกันถ้วนหน้า ฝรั่งเองก็เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไม่น้อย อย่างว่า แผ่นดินเราอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อยากกินผักก็เด็ดผักข้างบ้านมากิน อยากกินกบ กินปลา ก็แค่ลงไปจับในน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านถึงได้ตรัสว่าแผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินทองสำหรับพวกเราทุกคน”

คุณชายขวัญสรวงยังคงนิ่ง เขาเห็นด้วยกับที่กานต์พูดทุกอย่าง ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ปลูกผักอะไรก็งอกงาม พืชพรรณธัญญาหารมีตลอดทั้งปี เทียบกับต่างประเทศที่เขาได้ไปร่ำเรียนมา ที่นั่นมีอากาศหนาวเย็นสบายกว่าก็จริง แต่ที่ดูจะงามก็เห็นจะมีแต่ดอกไม้ต่างๆ ส่วน พืชผัก ผลไม้นั้นยังถือว่ามีค่อนข้างน้อย

จู่ๆ กานต์ก็พยักพเยิดไปทางคฤหาสน์ที่ปลูกในรั้วข้างๆ ตั้งคำถามใหม่ “แล้วคนที่อยู่ในนั้นหน้าตาเป็นยังไง สวยไหม”

คนฟังสะดุ้งวาบในอก แต่ก็สู้ทำใจแข็ง วางท่าทีขรึมสุขุม   

“เป็นผู้ชาย” เขาเอ่ยสั้นๆ

ส่วนที่ถามว่าสวยไหม ชายหนุ่มอยากจะตอบเพื่อนรักเหลือเกินว่าคนคนนั้นจะเรียกว่าทั้งสวย ทั้งงามสง่ากว่าใครๆ ที่เคยพบมา แต่ก็สู้สะกดถ้อยคำเอาไว้ให้อยู่เพียงแค่ในอกตน

ทว่ากานต์กลับหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องสนุก

“หมดกัน ทีแรกก็นึกว่าที่เอาแต่อยู่บางกะปิจนถึงกับทิ้งเพื่อนฝูงสังคมเพราะดันไปติดใจใครแถวนี้เข้า ลืมพระนครไปแล้วหรือไรวะ จนหญิงอุ่น เพื่อนน้องสาวฉันร่ำๆ อยากจะให้ฉันขับรถพามาเห็นที่นี่กับตาให้ได้ว่ามีอะไรดีนัก สโมสรอะไรก็ไม่ไป เรียนดนตรีมา แต่เพลงไหนกำลังนิยมที่เมืองนอกรู้บ้างไหม นี่ไอ้สมิงมันก็ฝากมาบ่นแล้ว”

ปล่อยให้เพื่อนรักพูดเรื่อยเจื้อย หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงได้แต่นิ่งฟัง นานๆ ทีจึงตอบกลับไปสั้นๆ อันที่จริง ตัวเขาตระหนักถึงข้อนี้มานานแล้ว และที่กานต์พูดก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดเลย ทุกเรื่องที่ไถ่ถามล้วนมีคำตอบ แต่ชายหนุ่มกลับสิ้นถ้อยคำ เมื่ออีกฝ่ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่กานต์คาดคะเน

คนที่ทำให้เขาติดอยู่ที่นี่จนไม่อยากจะไปไหนคนนั้นเป็นผู้ชาย ผู้ชายเหมือนๆ กับเขานี่เอง





ลมโกรกพัดเย็นและทุ่งนาสีเขียวสดที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาไม่ได้ทำให้ความเบื่อหน่ายคลายบรรเทาแม้แต่น้อย ตามประสาคนที่ใช้ชีวิตในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน จันดีไม่ชอบความร้อนอบอ้าว แดดจ้าทำให้เธอหงุดหงิด และถ้าไม่ใช่เพราะเป้าหมายในใจ หล่อนคงจะไม่สู้ตื่นตั้งแต่บ่ายสองโมงมาเพื่อให้ผิวขาวๆ ที่เฝ้าทะนุถนอมมาหลายปีต้องแสบพองแบบนี้

“เอ็งห้ามบอกเรื่องนี้ให้ไปถึงหูพี่จ้อยเป็นอันขาดนะ ไม่อย่างนั้นเอ็งกับข้าได้พากันซวย” คนที่ถือไม้พายอยู่บ่นอุบ ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะมานัก แต่ก็ยอมทำด้วยเงินทองที่รับมาจากนางผุยเป็นน้ำใจมาโดยตลอด

“จ้ะพี่ จันดีรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูดหรอกนะจ๊ะพี่ศักดิ์” หญิงสาวเยื้อนแย้ม ตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน

หล่อนเป็นคนไหว้วานให้นายศักดิ์ ลูกน้องคนสนิทของจ้อยให้ช่วยพายเรือมาดูบ้านของน้ำทิพย์ หญิงสาวอีกคนที่จ้อยดูจะจริงจังด้วยมากกว่านางเอกลิเกอย่างหล่อน ข่าวลือว่าน้ำทิพย์เป็นเด็กสาวที่เพียบพร้อมนั้นเป็นเรื่องที่ได้ยินเข้าหูของจันดีมานาน ทุกครั้งหากมีคนเอ่ยชมความงามของจันดีที่ทำให้ผู้ชายทั่วทั้งบางกะปิหลงใหล ก็จะมีชื่อของน้ำทิพย์ผุดขึ้นมาเหมือนเปรียบเทียบให้หล่อนดูด้วยลงเท่านั้น เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อนเคยภาคภูมิใจ ล้วนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าเมื่อเปรียบกับผู้หญิงคนนั้น เกลียดก็แสนเกลียด แต่ผู้หญิงแบบน้ำทิพย์นั้นกลับไม่อยู่ในความสนใจของหล่อนเลยแม้แต่น้อย

คุณชายขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ต่างหากที่ทำให้หล่อนดั้นด้นมาถึงที่นี่ เสียงล่ำลือที่ว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามเพียงไรนั้นเล่าที่ทำให้หล่อนอยากจะได้เห็น ได้ปรนนิบัติพัดวีให้ชื่นหัวจิตหัวใจสักครั้ง

จันดีเคยเห็นคนมีเชื้อสายทางเจ้าประเภทหม่อมอะไรต่อมิอะไรมากมายจากในละครทีวี แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงว่าคุณชายพวกนั้นจะหล่อเหลาเหมือนอย่างพระเอกในละครไหม หล่อนจบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่สี่ก็จริง แต่เพราะเอาแต่รักสวยรักงาม และเที่ยวเล่นไปกับเด็กชายมากมายที่มารุมเกี้ยวมากกว่าจะสนใจใฝ่เรียนแบบคนอื่นๆ จันดีจึงอ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่ตัว ภาพข่าวต่างๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ หล่อนจึงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คนไหนเป็นเจ้า คนไหนไม่ใช่

“ปรกตินังทิพย์มันจะช่วยน้าบานชื่นทำนา ไม่พาควายไปกินหญ้าก็จะอยู่แต่ในบ้าน จะมีก็แต่ช่วงบ่ายแก่ๆ นี่แหละที่กลับมาช่วยแม่ของมันทำกับข้าวที่บ้าน หรือไม่ก็ไปรับน้องชายกลับจากเรียน”

คำพูดของศักดิ์เข้าหูซ้ายก็ทะลุออกทางหูขวาของหญิงสาว ความสนใจของจันดีอยู่ที่ว่าเมื่อไรจะถึงคฤหาสน์ใหญ่โตของคุณชายขวัญสรวง และจะมีบุญตาได้มีโอกาสเห็นเขาหรือไม่

“ว่าแต่เอ็งอยากจะมาดูหน้านังทิพย์มันทำไมวะ หรือนึกจะหึงจะหวงกันขึ้นมา” เหมือนจะถามด้วยความสงสัย แต่ศักด์ก็เป็นคนสรุปความเอาเองทั้งหมด “พูดก็พูดเถอะวะนังจัน เรื่องนี้เอ็งต้องทำใจ ถึงยังไงกำนันก็ต้องให้ลูกชายของแกดองกับบ้านตาทับอยู่ดี ที่นาก็ไม่น้อย นังทิพย์มันก็สวยหยอกเสียทีไหน”

“จันดีรู้จ้ะ” หล่อนยิ้มอ่อนหวานตอบไปตามเรื่อง ก่อนจะหันไปลอบถอนหายใจหน่าย กระทั่งสะดุดตากับคฤหาสน์หลังโตที่ปลูกขนาบริมน้ำ ความกระฉับกระเฉงสดใสจึงคืนมา

“โอ้โห พี่ศักดิ์จ้ะ นั่นมันพระราชวังหรืออะไรกัน เกิดมาฉันไม่เคยเห็นบ้านหลังไหนทั้งใหญ่โตและโก้แบบนี้เลย อย่างกับปราสาทบนวิมานเทวดาแน่ะ นี่หรือเปล่าจ๊ะ วังขัตติยพงศ์ที่ชาวบ้านที่ตลาดเขาพูดถึงกัน”

ท่าทางตื่นเต้นของจันดีทำให้ศักดิ์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเอ็นดู “ไม่ใช่โว้ย ของพวกขัตติยพงศ์คือถัดไปที่ย่อมกว่านั่น แล้วก็ไม่ใช่วัง นี่มันแค่คฤหาสน์ วังขัตติยพงศ์น่ะเห็นว่าอยู่ที่อำเภอชั้นใน ใหญ่กว่านี้ไม่รู้กี่เท่า ผู้ดีอะไรจะมาปลูกวังที่บ้านนอกแบบนี้”

“แล้วใครกันจ๊ะ ที่ปลูกเรือนเป็นวังแบบนั้น” หญิงสาวทอดสายตามองไปทางตึกฝรั่งทาสีจำปา หล่อนส่งยิ้มอ่อนเดียงสา ฟันเรียงขาวเป็นระเบียบ

ศักดิ์มองภาพเบื้องหน้าด้วยอาการหลงใหลอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นดวงตากลมใสมองจ้องเหมือนรอฟังคำตอบ ก็สลัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าของตัวเองออกไป

“ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมาก เห็นว่าเป็นพวกเศรษฐีที่รวยจากการค้าขาย แต่ใครเป็นเจ้าของ ข้าก็ไม่แน่ใจ”

ใบหน้าอ่อนหวานพยักน้อยๆ รับรู้ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่คฤหาสน์ขัตติยพงศ์

สำหรับจันดีแล้ว หล่อนคิดมาโดยตลอดว่าพ่อค้าขายของกระจุกระจิกจนพอมีฐานะ จะไปสู้ผู้ดีมีเชื้อสายได้อย่างไรกัน ต่อให้ร่ำรวยเพียงใด ก็ไม่ได้ทำให้หล่อนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหม่อมเดินไปไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้ ร่ำรวยไม่ใช่เรื่องยาก เป็นผู้ลากมากดีต่างหาก ไม่ใช่ว่าใครก็จะเป็นได้ หญิงสาวครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งนายศักดิ์เอื้อมมือมาสะกิด

“นังทิพย์มันออกมาเก็บผักบุ้งที่ท่าน้ำอยู่นั่นไง เอ็งอยากเห็นหน้านักไม่ใช่รึ”

เหมือนมองแค่พอเป็นพิธี จันดีหันไปมองน้ำทิพย์แค่เพียงครู่ ก่อนจะกลับมาชะเง้อเข้าไปที่คฤหาสน์ขัตติยพงศ์ดังเดิม มองสำรวจจนกระทั่งเห็นศาลาริมน้ำ

ที่นั่น หล่อนเห็นผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ดูงามสง่ากว่าใครๆ ที่หล่อนเคยเห็นมาทั้งชีวิต แสงแดดลอดร่มไม้เล่นเงาบนผมสีดำขลับหวีเรียบแสกข้างของเขาจนเป็นเงาสะท้อน เขามีใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา ผิวพรรณขาวสะอาดผ่องใสขับริมฝีปากสีระเรื่อให้เด่นชัดจนชวนมอง ผู้ชายคนนี้ งามยิ่งกว่าพระเอกละครที่จันดีเคยดูเสียอีก อันที่จริง เขางามเสียยิ่งกว่าภาพในจินตนาการทั้งหมดที่หล่อนเคยนึกฝันมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กสาวเสียด้วยซ้ำ หล่อนยกมือขึ้นกุมทรวงอกอย่างลืมตัว ด้วยบัดนี้ หัวใจนั้นได้สูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายรุนแรงเหลือเกิน

“พี่ศักดิ์จ๊ะ ผู้ชายตัวสูงๆ คนนั้นคือคุณชายขวัญที่ชาวบ้านเขาพูดกันหรือเปล่า” จันดีเอ่ยถามเสียงสั่น

“คนนั้นแหละ คุณชายขวัญสรวง”

เมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของคนที่นั่งพายเรืออยู่ หญิงสาวก็จ้องมองเขาอย่างไม่วางตาอยู่หลายนาที และเพราะอยู่ไม่ห่างกันหรือสัญญาณอะไรก็ไม่อาจทราบได้ จันดีจึงหันกลับไปทางน้ำทิพย์ จ้องมองอย่างเต็มตา พินิจพิเคราะห์อยู่จนแน่ใจ หญิงสาวก็รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนกับใครโยนฟืนโยนไฟลงมาสุมในอกของหล่อน

มองปราดเดียวก็รู้ แม่น้ำทิพย์อะไรนั่นรู้สึกอย่างไรกับคุณชายขวัญสรวง!

จันดีสูดลมหายใจเข้าและออกอยู่หลายครั้งกว่าจะพอดับอาการรุมๆ ที่เจียนปะทุในอกได้ หล่อนหันกลับมาทางจ้อย ตีสีหน้าอย่างคนห่วงกังวล แล้วพูดเสียงเศร้า

“เรื่องพี่จ้อย พูดก็พูดเถอะจ้ะ พอฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว ที่พี่ศักดิ์บอกว่าพี่จ้อยดูแปลกๆ ไปช่วงนี้ จันดีสังหรณ์ว่าคงไม่แคล้วเพราะนางวันทองสองใจ”

“เอ็งหมายความว่าอะไร”

เสียงผ่อนลมหายใจแผ่วขึ้น ก่อนที่ดวงตาหวานใสจะตวัดขึ้นมองคนตรงหน้า แกล้งฝืนร่าเริงด้วยรอยยิ้มอย่างคนที่มีอะไรในใจ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พี่ศักดิ์ถือเสียว่าจันดีไม่ได้พูดอะไรเสียเถอะจ้ะ พูดไปพี่ศักดิ์ก็คงมองฉันคิดอกุศล”

มีหรือที่คนอย่างศักดิ์จะไม่หลงในจริตไร้เดียงสาของหล่อน เขาถามอีกครั้ง หล่อนก็ตอบปฏิเสธ และพอเขาเริ่มคาดคั้นหนักขึ้น หล่อนก็แสร้งเป็นกระดากปาก แต่จำต้องพูดเพราะเป็นห่วงจ้อยสุดจิตสุดใจ

“เรื่องทำนองนี้ถ้าไม่หูหนวกตาบอดจริงๆ ผู้หญิงด้วยกัน แค่ดูประเดี๋ยวเดียวก็รู้ ถึงพี่จ้อยจะดูแลเป็นอย่างดี แต่ใจแม่ทิพย์คงชอบคุณชายขวัญเธอมากกว่า ก็เหมือนอย่างนางวันทองนั่นแหละ ขุนช้างก็ดี ขุนแผนนางก็รัก พี่จ้อยอาจพอระแคะระคาย ก็เลยพลอยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เห็นพี่ศักดิ์บอกว่าพักหลังๆ พี่จ้อยดูเหม่อๆ ไม่อยากข้าวปลาจนซูบผอมไม่ใช่หรือจ๊ะ”

“เป็นอย่างนี้หรอกหรือ ข้าไม่เคยคิดเลย” ศักดิ์เม้มริมฝีปากแน่น หน้าขมึงเครียด “ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่เอ็งพูดจริง ข้าก็ไม่รู้จะช่วยพี่จ้อยได้ยังไง พวกไอ้ผู้ดีนี่ไม่ใช่คนที่ชาวบ้านอย่างเราจะไปทำอะไรได้”

“เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่จ้ะ พี่ศักดิ์คนเดียวอาจจะทำไม่ได้” จันดีพูด ชม้ายดวงตามองอีกฝ่ายอย่างมีจริต “แต่พี่ศักดิ์ก็ยังมีจันดีนี่จ๊ะ”

พอศักดิ์มองหล่อนเหมือนจะถาม หล่อนก็แสร้งเอี้ยวตัว ทำทีว่าหลบแดดใต้ร่มไม้ คอเสื้อกว้างหลวมหลุดลงจากไหล่ข้างหนึ่ง เผยหัวไหล่เนียนนวลผุดผ่อง แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเจียมเนื้อเจียมตัว

“ฉันพูดแบบคนไม่มีเกียรติจะเสียนะจ๊ะ จันดีก็แค่นางยี่เก เป็นผู้หญิงต่ำต้อย พี่จ้อยเมตตาจันดีขนาดนี้ ถ้ามีอะไรที่พอบรรเทาความทุกข์ร้อนพี่เขาได้ จันดีก็อยากจะทำอะไรเพื่อตอบแทนบ้าง”

หล่อนพลิกขาไปอีกด้าน เหมือนจะเปลี่ยนเพื่อพลิกไปนั่งพับเพียบ ชายผ้าถุงร่นขึ้น เผยให้เห็นปลีน่องขาวเนียน เป็นภาพที่ชวนวาบหวาม แต่หญิงสาวกลับมองศักดิ์ที่กลืนน้ำลายเอื๊อกเหมือนไม่รู้เรื่อง

“แบบนี้ดีไหมจ๊ะ เก็บเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้ระหว่างเราสองคน จันดีอยากช่วยพี่จ้อยอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดหวังจะได้อะไรตอบแทน ทุกวันนี้จันดีรู้ตัวว่าที่ได้รับความเมตตาจากพี่จ้อยก็มากเสียยิ่งกว่ามากแล้ว จันดีจะช่วยกันคุณชายขวัญให้ออกห่างจากแม่ทิพย์เองจ้ะ เรื่องนี้ ขอแค่พี่ศักดิ์ช่วยให้จันดีได้พบกับคุณชายขวัญก็พอ”

“เอ็งหมายถึง...”

คราวนี้จันดีโน้มตัวลงอีกครั้ง คอเสื้อที่หย่อนลง เผยให้เห็นทรวงอกอวบอิ่มที่เบียดชิด ดวงตากลมดำมองมาที่ศักดิ์ แล้วยิ้มอ่อนหวาน

“จันดีอยากให้พี่จ้อยมีความสุข ผู้หญิงแบบจันดีคงตอบแทนน้ำใจของพี่เขาได้เพียงเท่านี้แหละจ๊ะ”





หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงยืนกอดอก ทอดสายตามองผีเสื้อตัวน้อยบินโฉบผักบุ้งที่แตกดอกสีขาว ขีดริ้วสีม่วงเข้มลากไปรวมอยู่ที่โคนดอก แต่ภาพที่เห็นในม่านตากลับเป็นริมฝีปากที่มอบสัมผัสละมุนละไมจนเขาลืมไม่ลง

เข้าสู่วันที่สี่แล้ว เขาเหมือนจะหลบหน้าอีกฝ่าย ก้มหน้าก้มตาทำงานเช้าจรดค่ำชนิดที่เจ้าเยื้อนไม่กล้าเข้ามากวนแบบทุกที จนเมื่อเย็นวาน เยื้อนเล่าว่านมละเอียดแวะมาหา บอกว่าคุณเรียมเหมือนจะถามถึง แต่เมื่อเขาถามกลับว่าถามว่าอย่างไร คำตอบที่ได้ยินกลับทำให้หัวใจที่โลดแล่นของเขากลับไปอ่อนแรงลงเช่นเดิม

“คุณเรียมเธอไม่ได้พูดออกมาหรอกคุณชาย เธอเป็นคนพูดน้อย นมละเอียดบอกว่าปรกติก็มีคุณชายขวัญนั่งคุยเป็นเพื่อน พอคุณชายไม่ได้ไป คุณเรียมเธอก็คงจะเหงาน่ะสิ”

หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงถอนหายใจเมื่อนึกถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองได้มาหยุดยืนที่หน้าห้องพักที่อยู่ติดกันได้อย่างไร

ไม่กี่วันก่อน ใครคนหนึ่งพักอาศัยอยู่ในห้องนี้ ใกล้เข้ามาจนห่างกับเขาเพียงผนังกั้น หากแต่บัดนี้ ระยะห่างของเขากับใครคนนั้นถอยกลับไปห่างเท่ากับแต่ก่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เช่นเดียวกับเท้าที่ขยับเข้าไปภายในห้องนั้น พอได้กลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ของน้ำหอมฝรั่งยังเจือจางอยู่ในอากาศ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปยังแพใบไม้เขียวชอุ่มร่มรื่นที่ทอดยาวไปถึงคลองแสนแสบ ต้นไม้เหล่านี้เคยทำให้เขาผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หากแต่ตอนนี้ มันกลับมีตัวตนเพียงต้นไม้สูงใหญ่ไม่กี่ต้นเท่านั้น

ชายหนุ่มลากสายตามองไปที่เรือนฝรั่งที่ปลูกติดกับอาณาเขตของขัตติยพงศ์ อยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าของเรือนอันโอ่อ่านั้นรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขากระทำลงไป มองอยู่สักพัก ระลอกลมก็พัดพาเสียงเพลงแว่วมา

ตอนแรก คนตัวโตคิดว่าตนเองหูฝาด แต่เมื่อตั้งอกตั้งใจฟังให้ดีๆ นั่นก็เป็นเพลงจริงๆ เขายืนฟังอยู่สักพัก ได้ยินเสียงนักร้องในแผ่นเสียงขับขานความในใจเป็นภาษาอังกฤษ ตั้งใจฟังจนกระทั่งจบก็ยิ้มออกมา

นี่เป็นรอยยิ้มแรกในหลายๆ วันที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ขรึมจนแทบไร้ความรู้สึก และรอยยิ้มก็แย้มพรายขึ้นกว่าเดิมอีกเมื่อบทเพลงเดิมถูกเล่นขึ้นอีกครั้ง

แค่นี้เขาก็โล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ที่เหลือก็แค่เรื่องเดียวที่ยังค้างคา หาคำตอบไม่ได้สักที




(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๙ ♫ ♬ ♪ (๒๗ มิถุนายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 27-06-2015 17:06:32
(ต่อครับ)




เสียงของ Mel Carter กำลังขับขานเพลงที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในทวีปยุโรปและอเมริกา Hold Me, Thrill Me, Kiss Me ถ้าไม่ใช่เพราะกานต์ที่แวะมาเยี่ยมเยียนวันก่อนไม่พูดถึง เขาคงนึกว่ามีแต่ Elvis Presley, Dorris Day หรือวงดนตรีที่เขาเคยฟังผลงานอยู่บ้างอย่าง The Temptations เท่านั้นที่โด่งดัง

เพลงนั้นยังคงเล่นวนไม่หยุดจนกระทั่งเขาเดินมาถึงด้านใน และได้พบกับนมละเอียด

“คุณชายขวัญ มาหาคุณเรียมหรือคะ” หญิงชราทักขึ้นด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “อิฉันกำลังริ้วมะปรางอยู่พอดีเลยค่ะ ว่าจะแบ่งไปให้คุณชายที่บ้าน แต่ยังไม่เสร็จดี”

“ขอบใจนมละเอียดมากครับ เห็นที ผมคงต้องอ้วนเป็นแน่”

“พุทโธ่พุทถัง คุณชาย” นมละเอียดหัวเราะอย่างคนครึ้มใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเหมือนเข้ามานั่งอยู่ในใจ “คุณเรียมเธออยู่ที่ห้องหนังสือค่ะ เดี๋ยวอิฉันให้แม่แดงขึ้นไปตามมาพบนะคะ”

ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นเหมือนท้วง “เดี๋ยวก่อนครับ พอดีผมมีเรื่องอยากจะสอบถามนมละเอียดนิดหน่อย เรื่องคุณแม่ของอธิปน่ะครับ”

“อาการดีขึ้นมาแล้วค่ะ แต่คุณเริญ พี่ชายของคุณเรียมน่ะค่ะ เธอเป็นห่วง อยากให้อธิปเฝ้าไข้แม่เกสรต่ออีกสักพัก แต่ประเดี๋ยวพ่อคนนั้นก็คงจะต้องหนีกลับมานี่ล่ะค่ะ ฟังกันที่ไหน ห่วงคุณเรียมยิ่งกว่าอะไร”

หากนมละเอียดสังเกตดีๆ คงได้เห็นว่าคนฟังหน้าถอดสีเพียงไรในตอนที่ได้ยินประโยคท้ายนั้น แต่ชายหนุ่มก็สู้ใจแข็ง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงปรกติ

“ผมเข้าใจครับ เป็นญาติกันก็ต้องห่วงกันธรรมดา”

นมละเอียดรีบส่ายหน้า

เป็นเพราะคุ้นเคยสนิทสนมจนไว้ใจ เมื่อเห็นว่ามีอัธยาศัยเพิ่งพากันได้ในยากเดือดร้อน ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรไปเสียหมดทุกอย่าง แม่นมที่คุ้นเคยกับราชสกุลภัทรกุลมานานจึงพูดมากกว่าปรกติวิสัยของคนที่กุมความลับได้เป็นเยี่ยม

“ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณเรียมเธอมีพี่ชายแค่คนเดียว ญาติกาคนอื่นๆ ทำธุรกิจอยู่ที่เมืองฝรั่งกันหมด คุณเริญเธอก็ช่างเดินทางบ่อยเหลือ แทบไม่อยู่ ก็เลยให้อธิปที่เป็นลูกชายของพ่อวิศาล คนเก่าคนแก่ที่เป็นเลขานุการมาช่วยเป็นหูเป็นตา คอยระวังให้ มีอะไร คุณเรียมจะได้ใช้สอยได้ เพราะคุณเริญเมตตากับครอบครัวของพ่อวิศาลและแม่เกสรมากนั่นแหละค่ะ พ่ออธิปก็เลยยิ่งเคารพคุณเรียมมากเสียยิ่งกว่าใคร”

สิ่งที่ได้ยินนั้นกระจ่างจนทำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉาพองจนแน่นคับไปทั้งอก คนหน้าถอดสีเมื่อครู่ ยิ้มกริ่มผ่องใส “แบบนี้นี่เอง”

“ไป แม่แดง ไปบอกคุณเรียมเธอว่าคุณชายมา” นมละเอียดหันไปบอกเด็กคนสนิท ทว่าช้ากว่าคนยิ้มตาพราวที่ลุกขึ้นยืนแล้ว

“คงกำลังยุ่งกันอยู่ ถ้าไม่ถือเป็นการเสียมารยาทเกินไป แบบนี้ดีไหมครับ ผมเดินไปเองก็ได้ จะได้ไม่ลำบาก แค่นี้เอง”

“ตายจริง เสียมารยาทอะไรเล่าคะคุณชาย” หญิงชรารีบร้อง

“ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าผมเหมือนคนในครอบครัว เป็นคนใกล้ ไม่ใช่คนไกล แค่นี้ ผมเดินไปเองก็ได้ครับ ทำงานกันอยู่ จะได้ไม่ลำบากกันเปล่าๆ”

“เอาแบบนั้นหรือคะ”

“แบบนั้นแหละครับ” เขายิ้มละไมจนแม้แต่นมละเอียดยังมองด้วยความแปลกใจ





ร่างสูงใหญ่ก้าวช้าๆ ไปตามท่วงทำนองของแผ่นเสียงฝรั่งที่เปิดค่อนข้างดัง จนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องที่ได้ยินเสียงดนตรีชัดเจนที่สุด เขายกมือขึ้น ตั้งท่าจะเคาะประตูแต่กลับเปลี่ยนใจ ค่อยๆ แง้มบานประตูออกแล้วพินิจถึงบรรยากาศที่อยู่ภายในห้อง

โซฟาหนังสีคาราเมลกรุล้อมด้วยชั้นหนังสือที่ทำจากไม้ขัดจนขึ้นเงา จัดวางด้วยหนังสือต่างประเทศหลายร้อยเล่ม มีโคมไฟตั้งพื้นแบบฝรั่งตั้งประชิดทั้งสองด้านส่องแสงหรุบหรู่ ใกล้กันเป็นโต๊ะไม้สักทองทรงเตี้ยเข้าชุดกันวางเคียง ประดับด้วยแจกันดอกกุหลาบสีอ่อนบางสะพรั่ง มีเครื่องเรือนและของตกแต่งบ้านมากมายซึ่งล้วนแต่ดูภูมิฐาน ภาพวาดสีน้ำมัน รูปปั้น ตลอดจนเครื่องเล่นแผ่นเสียงรูปทรงทันสมัย ทุกสิ่งสวยงามชวนตื่นตะลึง

ทว่าท่ามกลางสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุด สิ่งที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นร่างผอมบางที่มีสีหน้าไม่นำพาต่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น

คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกลัดกระดุม สวมทับด้วยเสื้อคาดิแกนสีขาวขลิบริ้วสีน้ำตาลเข้มตัดกับกางกางผ้าสีเทาแกมเขียว นั่งหลังตรง ปลายเท้าทั้งสองข้างวางชิดอยู่บนพื้นพรม

หลังจากหยุดยืนนิ่งที่หน้าประตูเพื่อชื่นชมความงดงามดุจต้องมนตร์นั้นอยู่หลายนาที หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็เคาะลงบนประตูไม้ที่ประณีตงดงาม รอยยิ้มเล็กๆ กลัดอยู่เหนือมุมปากขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวาน

“ที่เปิดเพลงดังขนาดนี้เพราะจงใจให้พี่ได้ยินใช่หรือเปล่า”

พระองค์เจ้าเรียมลลิตรเบือนพระพักตร์มาทางต้นเสียงเพียงเล็กน้อย แล้วหันกลับไปตามเดิม มิได้ปรารภสิ่งใด

ดวงตาสีเข้มช่างสำรวจของผู้มาเยือนเขม้นมองทุกองค์ประกอบอันเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วนั้นอย่างละเอียดลออ หัวไหล่ยังคงผึ่งผายตั้งตรง งามสง่าราวกับรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึก ทว่าริมฝีปากอิ่มสีที่เชิดรั้นรับกับปลายจมูกนั้นกลับเรียกรอยยิ้มของคุณชายขัตตยพงศ์ให้เบิกบานขึ้น

“กำลังโกรธพี่อยู่ใช่ไหม”

คนถามยังคงวางสายตาอยู่บนใบหน้าขาวนวลที่ยังคงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ หากแต่อาการตระแหน่แง่งอนที่ปรากฏบนหยักรั้นของริมฝีปากนั้นชัดเจนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

ทั้งที่อยากจะหาเรื่องรวน แต่หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็อดทนมองภาพนั้นอย่างใจเย็น จนในที่สุด พระองค์เจ้าเรียมลลิตรก็ตรัสเสียงเนิบ แต่ลงน้ำหนักเสียงทุกคำ “ทำไมต้องโกรธ”

คนตัวโตอมยิ้มน้อยๆ แล้วงับบานประตู ก้าวขาตรงไปที่โซฟากลางห้อง หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงเอื้อมมือไปจับต้นแขนของคนที่นั่งอยู่ ออกแรงฉุดให้ลุกขึ้น ขณะเดียวกัน เขาก็นั่งลงแทนที่เสร็จสรรพ

กว่าที่อีกฝ่ายจะทันได้แม้แต่อุทานตกใจ ร่างที่บางกว่าเกือบครึ่งก็ถูกดึงให้นั่งลงบนตักของเจ้าของรอยยิ้มแจ่มใสเอาเสียแล้ว พอเจ้าของห้องจะตั้งสติได้ หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็แอบฉวยจังหวะเผลอ หอมแก้มดังฟอด ซ้ำยังกอดเสียแน่น

“เป็นคนที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย” เขาเอ่ยเสียงระรื่น

สีหน้าเรียบนิ่งเมื่อครู่ บึ้งขึ้นแทบจะทันใด “ปล่อยนะ”

“ไม่ปล่อย” ชายหนุ่มตอบทันควัน คลอนศีรษะไปมาตามท่วงทำนองของแผ่นเสียงที่เล่นวนเสียหลายครั้งจนเริ่มจะร้องตามได้ “Hold Me, Thrill Me, Kiss Me เนื้อเพลงแบบนี้ พี่จะถือว่าเจ้าบอกให้พี่กอดเจ้า ช่วยทำให้หัวใจของเจ้าเต้นแรงอีกครั้ง และตอนนี้ เจ้ากำลังบอกให้พี่จูบเจ้า”

พูดจบ ก็ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ คุณชายขัตติยพงศ์ปรือตาลงช้าๆ ประทับจูบอันแสนอ่อนโยนบนเรียวปากที่ตามมาหลอกหลอนอยู่ในห้วงคิดคะนึงมาหลายคืน

ละม้ายละอองฝนที่โปรยปรายลงบนผิวน้ำ หยาดน้ำเล็กๆ ที่พรูจากผืนฟ้าลงมาฉ่ำชื่นชื้นชัฏ เม็ดแล้ว เม็ดเล่า สัมผัสของจากเจ้าของดวงตาหวานเชื่อมนั้นก็นุ่มนวล มิได้ต่างกันเลย

“อย่างอนสิ พี่ก็มาหาอย่างที่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ” เขาถาม แต่เมื่อใบหน้างามแอร่มยังคงนิ่ง ไม่พูด เอาแต่หลบสายตา คุณชายขวัญสรวงก็เอ่ยต่อ

“หลายวันมานี้ พี่ต้องจัดการเอกสารต่างประเทศให้กับคุณพ่อตั้งมากมาย แล้วไหนจะต้องสอนดนตรีให้กับเทพอีก ความสงบเรียบร้อยในบ้านก็ต้องดูแล เหนื่อยแสนเหนื่อย คนแถวนี้จะไม่เห็นใจกันบ้างเลยหรือไร”

อยากจะรู้เหมือนกัน จะใจดำ ไม่พูดอะไรกับเขาได้ลงคอเชียวหรือ

“บอกมาก่อน คิดถึงพี่หรือเปล่า”

พระองค์เจ้าเรียมลลิตรได้แต่นิ่ง อ้ำอึ้ง ร่างบางพยายามกระถดตัวออกห่าง แต่อ้อมแขนที่ตระกองกอดนั้นช่างแข็งแรงยิ่งนัก จึงไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าเขยิบขยับตัวได้เพียงเล็กน้อยเลย “อึดอัด”

“เอ...หรือว่าเอาแต่คิดถึงอธิป” หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงกระเซ้าพร้อมรอยยิ้มต่อทันที

ความจริงที่เพิ่งรับรู้จากปากของนมละเอียดหรือไร ที่ทำให้หัวใจของเราปราโมทย์เช่นนี้ เขาถาม แกล้งถาม ทั้งที่รู้คำตอบนั้นอยู่เต็มอกอยู่แล้ว

“จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร คุณแม่ของอธิปไม่สบาย”

เห็นอีกฝ่ายพยายามอธิบายด้วยเสียงเนิบช้าก็ยิ่งชื่นใจเหลือเกิน คุณชายขวัญสรวงมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา ซ่อนรอยยิ้มและความปั่นป่วนวาบๆ ในอกไว้ด้วยความเคร่งขรึมอย่างแนบเนียน

“ไม่เคยจูบกันแบบที่ทำกับพี่ใช่ไหม” เขาซักต่อ เมื่อเห็นคนในอ้อมแขนมองอึ้งเหมือนไม่เชื่อหู ก็แกล้งย้ำความสงสัยอีกครั้ง “ว่ายังไง”

“อย่ามาดูถูกกันแบบนี้” พระองค์เจ้าเรียมลลิตรตรัสออกไปด้วยน้ำเสียงตำหนิ คิดว่าเขาจะหยุด แต่เปล่า เจ้าของร่างสูงใหญ่กลับรุกไล่ด้วยคำถามอื่นต่อ

“กอดล่ะ”

คนฟังได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะพูดสิ่งใดออกมา จึงปล่อยให้ถ้อยคำขาดหายไปเสียอย่างนั้น คิดว่าเขาจะโกรธ หรือปรามาส แต่เปล่า เขากลับกอดแน่นขึ้น และจูบพรมลงบนแก้มอย่างแสนอ่อนโยน คลอเคลียแนบชิดอยู่อย่างนั้น

เสียงของ Mel Carter ยังคงขับขานบทเพลงเดิมต่อไป กอดฉัน ทำให้หัวใจฉันประหม่าตื่นเต้น และโปรดจูบฉัน วนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งจบเพลง พระองค์เจ้าเรียมลลิตรจึงเริ่มบังคับอารมณ์ของตัวเองได้ เขายิ้มให้กับเจ้าของใบหน้าที่วางอยู่บนหัวไหล่ สงบสง่าราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“คุณแม่เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ซื้อแผ่นเสียงเพลงฝรั่งที่กำลังนิยมที่นั่นมาให้หลายแผ่น มีโน้ตเพลงของฟลุตด้วย ผมเขียนจดหมายไปขอให้คุณแม่ซื้อมาฝาก จะไปหยิบมาให้ พี่ขวัญปล่อยก่อนเถอะ”

บทเพลงเดิมเริ่มต้นบรรเลงอีกครั้ง คนตัวโตค่อยๆ คลายวงแขนออกแต่โดยดี แต่ก็ลุกขึ้นเดินตามไม่ให้ห่าง พอจะหยิบกล่องบุผ้าพิมพ์ลายที่บรรจุข้าวของที่ส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมากว่าซีกโลก เขาก็รีบแย่งไปช่วยถือและเปิดออกให้ จนพระองค์เจ้าเรียมลลิตรได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายด้วยความขอบคุณ





ขณะที่กำลังแยกหนังสือโน้ตเพลงออกจากหนังสือประเภทอื่น จู่ๆ คุณชายขัตติยพงศ์ก็กลับมาวางวงแขนรอบตัวของพระองค์เจ้าเรียมลลิตรเช่นเดิมอีก

สีเลือดแล่นซ่านขึ้นใต้ผิวบางของพระองค์เจ้าเรียมลลิตรอีกครั้ง แต่ก็ยังสู้รักษาสีหน้าและน้ำเสียงให้พ้นสัมผัสอันหวานชื่นจากเจ้าของอ้อมกอดนั้น

“ปล่อยก่อนเถิด ผมเคลื่อนไหวไม่สะดวก”

คนฟังดูไม่ใคร่สนใจนัก เขายิ้มหวาน ชี้ชวนไปอีกเรื่อง “ดูสิ โศกสปันต้นนั้นทอดเงาถึงแค่ชานเรือนเอง พอตกบ่าย แดดก็จะส่องตรงมาถึงที่ห้องนี่จนร้อนอ้าว คิดดูแล้ว พี่อยากจะปลูกต้นไม้รอบบ้านหลังนี้บ้าง จะได้ร่มรื่น และเป็นกำบังให้กับสายตาคนที่ผ่านไปผ่านมาด้วย อย่างน้อยก็จากความสอดรู้สอดเห็นของครอบครัวของกำนันจงรัก หรือลูกชายอย่างจ้อย” เขาเว้นจังหวะไปครู่ ด้วยไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์คราวก่อนจนเกิดอาการนึกเคือง

“พรุ่งนี้พี่จะให้ไอ้เยื้อนมันช่วยลงต้นไม้รอบๆ บ้านให้” ไม่ต้องรอให้คนในอ้อมกอดตอบสิ่งใด หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็เอ่ยสรุปความเอาว่าเจ้าของบ้านตกลงเห็นดีเห็นงามตามไปแล้ว

จบเรื่องหนึ่ง เขาก็เอ่ยถึงอีกเรื่องอันเป็นสิ่งที่กังวลอยู่ในใจออกมาต่อ แทบจะทันที

“พี่ขออะไรได้ไหม กับคนบ้านนั้น พี่ไม่อยากให้ไปคุยอะไรด้วยนัก ไม่ใช่คนที่น่าสมาคมด้วยเลย” คุณชายขัตติยพงศ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น คราวนี้เขาพลิกตัวคนในอ้อมแขนให้หันกลับมาเผชิญหน้า สบตา รอฟังคำตอบอย่างหมายมั่น

คอยดูเถิด ถ้าไม่พูดอะไร เขาก็จะไม่ปล่อย หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่คิดปล่อย

ความฉงนปรากฏขึ้นในดวงตาสีเปลือกละมุดเพียงครู่ แม้ความกังวลจะยังประทับอยู่ในส่วนลึก แต่พระองค์เจ้าเรียมลลิตรก็เปรยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเรียบ ทีละวรรคๆ

“ไม่ได้ยุ่งอะไรด้วยสักนิด เขาคงแค่อยากมาชมบ้าน มาประเดี๋ยว พอไม่เจอใครก็คงกลับ ถึงอย่างไรเขาก็เจ้าของที่เดิม”

คุณชายขัตติยพงศ์เอ่ยขึ้นแทบจะทันที “เป็นเจ้าของเดิมก็ไม่ควร เรื่องนี้เจ้าควรแยกให้ออก นี่ไม่ใช่นิสัยเผื่อแผ่โอบอ้อมอารีของคนไทย คนไทยแบ่งปัน การแบ่งปันไม่ได้หมายความถึงการเสียสละความเป็นส่วนตัวแบบนี้ ดังนั้น แค่ให้เข้าบ้านมาก็ไม่ได้ คนแบบนั้น จะไปไว้ใจได้อย่างไร”

“เขาจะมาขโมยของหรือ”

เพราะอยู่ใกล้จนเกือบจะชิด เขาจึงเห็นแววตาคู่นั้นว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเพียงไหน ไม่ต่างอะไรกับลูกกวางตัวน้อยที่ไม่รู้ถึงความกระหายเลือดเนื้อของเสื้อร้าย เรียมเอย น้องคงไม่รู้ดอกว่าคนประเภทนั้นหวังสิ่งใดในตัวเจ้าบ้าง แต่ก็เพราะเป็นอย่างนี้มิใช่หรือ เขาจึงหลงใหลเหมือนคนหัวปักหัวปำเช่นนี้

ครุ่นคิดอยู่สักพัก รอยยิ้มเล็กๆ ก็ผุดพรายขึ้นบนบนปากอิ่ม

คุณชายขัตติยพงศ์ปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ โน้มน้าวด้วยเสียงทุ้มชวนฟัง “พี่ไม่อยากทำผู้ใหญ่เป็นห่วงหรือตำหนิได้ คุณแม่พี่กำชับมาให้พี่ดูแลน้องเป็นอย่างดี แม้แต่นมละเอียดก็ยังออกปากกับพี่ แม้แต่พี่เองก็เป็นห่วงน้องยิ่งนัก หรือว่าน้องอยากให้พวกท่านและตัวพี่เป็นกังวลกัน”

“พวกเขาแค่อยากมาดูที่นี่ไม่ใช่หรือ”

“ยังจะเถียงอีก” น้ำเสียงจริงจัง แต่รอยยิ้มบางๆ กลับพริ้มพรายอยู่บนใบหน้าของคนแกล้งเย้า แววตาที่เต็มไปด้วยความวิตกแสดงแจ่มชัดอยู่ตรงหน้าถึงเพียงนี้ จะไม่ให้เขาปลื้มใจได้อย่างไร อดไม่ได้ คนตัวโตจึงแกล้งเย้าต่อ

“หรือนี่จะแกล้งให้โมโหใช่ไหม โทษฐานที่พี่ไม่ได้มาหาตั้งหลายวัน”

คนฟังชะงักไปครู่ใหญ่ เหมือนไม่รู้ว่าจะแย้งอย่างไรดี แต่คนเอ่ยนี่ซี กลับดูชื่นมื่นเป็นนักหนา

เรียมเอย คงไม่รู้กระมังว่าหัวใจของเขากำลังเต้นระส่ำเพราะดวงตาคู่นั้นของเจ้า และคงไม่รู้ว่าได้เผลอเผยความรู้สึกบางอย่างออกมาเพียงใด ชัดเจนจนสัมผัสได้แม้ยามที่ดวงตาของเจ้ายังคงหลุบหลู่อยู่กับแสงแดดรำไรที่ทอดผ่านกิ่งใบของโศกสปันริมชานระเบียง

ปลายจมูกประทับลงบนพวงแก้ม พออีกฝ่ายนิ่งตัวแข็งเหมือนกับทำอะไรไม่ถูก ริมฝีปากของคุณชายขัตติยพงศ์ก็แตะลงบนสีกลีบบัวที่ประดับอยู่บนใบหน้าอย่างละมุนอ่อนหวาน

“พี่ขวัญ อย่า... พี่ขวัญทำอย่างนี้ทำไม”

หัวใจของหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงเบาหวิวเสียยิ่งกว่าในคราแรก แววตาหวามไหวอยู่ตรงหน้านั้นเปรียบสายลมเย็นที่วาบลึกไปถึงความรู้สึกอันสับสนในใจ พัดความว้าวุ่นจนกระจายหายกลายเป็นความแช่มชื่นจนอิ่มเอิบ

“ไม่รู้” เขายิ้มกริ่มตอบ ดวงตาหวานเชื่อมมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แต่พี่ไม่เคยแม้แต่คิดจะทำแบบนี้กับใคร”

ไม่ใช่เสียงกระซิบ ชายหนุ่มเอ่ยชัดเต็มน้ำเสียงทุกถ้อยคำ




+++++++++++++++++++++++++++++++++




ตัวจิ๊ดประจำเรื่องเริ่มสำแดงฤทธิ์แล้ว จะลงเอยยังไงลองตามๆ ต่อไปนะครับ
ตอนนี้ คงได้เห็นแล้วว่าอิพี่ขวัญมันเกรียนขนาดไหน ชงให้ตัวเองตลอด
ความเกรียนของพระเอกจะเกรียนขึ้นเรื่อยๆ ส่วนน้องเรียมก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ถึงจะสวยจนคนตกตะลึง แต่ก็ขี้งอน ขี้เอาแต่ใจจนตกตะลึงไม่แพ้กัน
ตอนนี้เลเวลยังแพ้อิพี่ขวัญอยู่ คิดว่าอีกไม่นาง น้องคงพัฒนาตัวเองมาสู้ได้อย่างทักเทียม ฮ่าๆ
สรุปแล้วเรื่องนี้เป็นนิยายพีเรียดที่โปรดอย่าคาดหวังอะไรมาก มันเป็นเรื่องผัวเมียละเหี่ยใจนั่นเอง

อีกเรื่องที่อยากสอบถามกันคือเกี่ยวกับเรื่องลักษณะการเขียนที่จำเป็นจะต้องใช้คำราชาศัพท์ประกอบครับ
คิดว่าอ่านยากเกินไปไหม ถ้าพอไหว นับจากตอนนี้ไปก็จะแต่งทำนองนี้ไปจนจบครับ
แต่ถ้าคิดว่ายากไป คนแต่งจะลดพระยศของน้องลงให้เป็นหม่อมเจ้าแทน ง่ายๆ แบบนี้แหละ 555+
ยังไงก็ช่วยแสดงความคิดเห็นกันทีนะครับ ถ้าไม่แสดงความคิดเห็น ก็จะคงพระยศเดิมต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ

มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับตอนที่อัพนี้ต่อด้านล่างด้วย แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ ^ ^
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๙ ♫ ♬ ♪ (๒๗ มิถุนายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 27-06-2015 17:10:49
เป็นความตั้งใจว่าถ้าพอมีเวลาจะมาชวนคุยหลังจากอัพแต่ละตอนเกี่ยวกับนั่นโน่นนี่ในตอนที่เพิ่งอัพไป

เริ่มต้นจากการริ้วมะปรางของนมละเอียด มันก็คือการคว้านเม็ด แกะสลักมะปราง แล้วเอาไปชุบน้ำเชื่อม เนื่องจากมะปรางมีผิวที่บอบบางมาก ช้ำได้ง่ายๆ เลย ดังนั้น ใครที่ทำอะไรแบบนี้ได้จึงถือว่าเซียนมากครับ จัดว่าเป็นหนึ่งในสี่อย่างที่กุลสตรีโดยเฉพาะชาววังจะต้องทำให้ได้ อีกสามอย่างก็คือการทำขนมเบื้อง ทำบายศรี แล้วก็จีบพลูครับ

(http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2011/04/D10414017/D10414017-1.jpg)



ต่อมา ว่ากันด้วยเรื่องต้นไม้ในบ้านน้องเรียม นั่นก็คือโศกสปัน สมัยนี้จะเรียกเป็นว่าอโศกสปัน หรือโสกสปันครับ เพราะเขาเชื่อว่าชื่อของมันพ้องกับคำว่า “โศก” ที่หมายถึงโศกเศร้านั่นเอง จึงได้เปลี่ยนชื่อครับ โศกสปันเป็นไม้ต้นใหญ่ครับ ดอกสวยงามมาก คนแต่งอยากจะมีปลูกที่บ้านสักต้น และนี่คือดอกของมันครับ

(http://f.ptcdn.info/527/015/000/1392096318-1-o.jpg)

แต่เดี๋ยวก่อน โปรดชมขนาดของพวงดอกมันก่อน นี่คือภาพเทียบกับขนาดฝ่ามือครับ

(http://wachalife.com/pic/all-other/other000003/imgs/542407.jpg)



ปิดท้ายด้วยเพลงเจ้าปัญหาประจำตอนครับ ตอนแรกตั้งใจว่าจะใช้เพลงของเอลวิส แต่พอคิดๆ ดูแล้ว น้องเรียมคงไม่ถึงขนาดเป็นแฟนเพลงของเอลวิสแน่ๆ หวยเลยมาลงที่เมล คาร์เตอร์นั่นเอง เหมาะเจอะพอดีมาก ตอนที่เขียน รู้สึกว่าน้องเรียมประท้วงอะไรได้น่ารักขนาดนี้ คนที่สนใจลองไปหาเนื้อเพลงดูจากในกูเกิลแล้วกันนะ ^ ^

http://www.youtube.com/watch?v=DwGZHfMMXSQ (http://www.youtube.com/watch?v=DwGZHfMMXSQ)

สำหรับตอนที่ ๑๑ ขอจบเพียงเท่านี้
ภาพและคลิปทั้งหมดมาจากอินเตอร์เน็ต กราบขอบพระคุณมาก ณ ที่นี้ด้วยขอรับ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๙ ♫ ♬ ♪ (๒๗ มิถุนายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 27-06-2015 18:36:46
กริ้ดดดด จิ้มก่อนเดี๋ยวมาอ่านค่าาา คิดถึงเรื่องนี้จับใจ
...............
พี่ขวัญดูท่าจะหัวปลักหัวปรำอย่างว่าแหละค่ะ555555 แต่เราชอบมากเลยนะผู้ชายรักจริงเนี่ย อิอิ ส่วนน้องเรียมโคตรรรน่ารัก ดื้อแบบเรียบร้อย เป็นผู้ดีที่ดูดีสุดดด

ส่วนชะนีที่ดูร้ายกาจนั่น ดูท่าแล้วจะทำให้มีมาม่าชามโตรึเปล่า สำหรับเราไม่อยากให้มีเลยง่ะอยากให้เรื่องนี้สายๆน่ารักอย่างงี้ตลอดไปจัง เพราะทั้งคู่หวานแลวน่ารักมากจ้า

เรื่องทำบ้านใหม่ ขอให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีนะคะ ^_^ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๙ ♫ ♬ ♪ (๒๗ มิถุนายน)
เริ่มหัวข้อโดย: lovekimkina ที่ 29-06-2015 00:56:27
ดูคุณพี่เหมจบก็ทำให้อิชั้นนึกถึงคุณชายขวัญ!? เอ่อ เกี่ยวไหม ไม่รู้
แต่เปิดมาดู เห็นอัพแล้วแทบกรีดร้องค่ะ คุณชายขวัญของน้องงงง...เรียม
ถ้าจะกอดจูบขนาดเน้ เรียกแม่มาขอเลยเถอะเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 23-07-2015 19:45:07
สวัสดีครับ ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันอยู่นะครับ ขอบคุณมากๆ ครับ

หลังจากตอนที่แล้วที่ได้สอบถามเกี่ยวกับการปรับการเขียน
โดยใช้คำราชาศัพท์ผสมตามแบบที่สมควรเป็นตามมารยาทการเขียนแนวพีเรียด
คือต้องให้เกียรติแก่ตัวละคร ที่นี้ด้วยตามพระยศของน้องเรียมเลยมีผลให้ควรใช้ราชาศัพท์
ซึ่งช่วงแรกๆ พยายามเลี่ยง แกล้งไม่รู้ไม่เห็น แต่พออ่านๆ ไปก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหลือเกิน
เลยได้สอบถามไป ผลก็คือเป็นเอกฉันท์ว่าให้ใช้ราชาศัพท์ต่อเพื่อความถูกต้องจะดีกว่า
ดังนั้น นับจากนี้การเขียนตอนต่อๆ ไปจะใช้ลักษณะการเขียนตามแนวทางนี้นะครับ

สำหรับตอนต่อไป พี่เริญได้มาเจอะกับชายขวัญแล้ว จะเป็นยังไงลองตามอ่านกันดูครับ




++++++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ ๑๒




เสด็จมาถึงยังไม่ทันได้ทรงขึ้นประทับบนตำหนักดี ก็ทอดพระเนตรเห็นชายแปลกหน้ากำลังลงต้นไม้บริเวณโดยรอบอย่างขมีขมัน มีนางต้นห้องอีกสี่ห้าคนตีวงล้อมเป็นวงกลมมุงดูอยู่รอบๆ เริญดนุภพจึงหันไปตรัสถามอธิปด้วยทรงสงสัย

“คนนั้นเป็นใครหรืออธิป”

“นายเยื้อน เป็นบ่าวของขัตติยพงศ์กระหม่อม”

คำราชาศัพท์ที่อธิปเผลอเอ่ยด้วยความพลั้งปากด้วยเคยชินทำให้เริญดนุภพขึงพระเนตร เช่นนั้นชายหนุ่มจึงเพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ สีเลือดบนใบหน้าจึงซีดเผือดลงด้วยความสำนึกผิด

“ขออภัยครับ ผมจะระวังให้มากขึ้น จะไม่ให้เป็นเช่นนี้อีกครับ”

เริญดนุภพโบกพระหัตถ์เบาๆ อย่างลุแก่โทษ “ฉันเข้าใจ แต่คอยระวังหน่อย ไม่อย่างนั้นจะได้เป็นเรื่อง”
ทรงไม่ประสงค์ให้ผู้ใดรับรู้พระฐานะแท้จริงของพระอนุชา แม้กระทั่งพระองค์เอง การที่มีเชื้อพระวงศ์มาประทับที่เขตอำเภอชั้นนอกก็เพื่อความเป็นส่วนองค์ ยิ่งพำนักในที่อันห่างไกลจากผู้ที่รู้เห็นเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้มากเท่าไรก็ยิ่งดีแก่ทุกฝ่าย

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากหลุดแพร่งพรายออกไปคงได้กลายเป็นที่อื้อฉาวไม่ใช่เพียงแค่ในพระบรมมหาราชวัง แต่ได้เป็นที่โจษจันไปทั่วพระนคร แม้แต่เริญดนุภพเองก็อาจถูกตำหนิจากพระญาติวงศ์องค์อื่นๆ ด้วยทรงกระทำสิ่งที่ไม่สมเกียรติพระยศ เรื่องนี้ก็เรื่องหนึ่ง ซึ่งก็นับว่านักหนาพอแล้ว ยังมิได้ทรงนับรวมกับอีกเรื่องที่น่าหนักพระทัยไม่แพ้กัน นั่นก็คือถ้าข่าวแพร่สะพัดออกไป ไม่ช้านาน ปัญหาเดิมๆ ที่เรียมลลิตรทรงประสบก็เห็นจะได้เวียนกลับมาให้หมองพระทัยกันอีกครา แล้วพระอุบายขององค์ที่ต้องการให้พระอนุชาได้ประทับอย่างสงบสันติก็คงกลายเป็นความสูญเปล่า นี่เองเป็นสาเหตุหลักๆ สองประการที่ทรงกริ่งเกรงพระทัยยิ่งนัก

ส่วนปัญหาเล็กน้อย ประเภทเรื่องที่ไม่ทรงโปรดถ้อยคำราชาศัพท์ด้วยเพราะมิใช่สิ่งที่รื่นพระกรรณของเริญดนุภพเอาเสียเท่าไรนั้นเป็นอาทิ ทรงพยายามไม่ถือพระทัยนัก

เช่นเดียวกับพระอนุชา อาจเพราะทรงประสูติเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูของพระชนนีที่เป็นชาวฝรั่งเศส ทั้งหม่อมแม่ท่าน ทั้งเรียมลลิตร หรือแม้กระทั่งองค์เองก็ไม่ทรงสันทัดเรื่องคำราชาศัพท์เฉกพระญาติพระวงศ์องค์อื่นๆ จะมีก็แต่พระบิดา พระองค์เจ้าเรืองฤทธีภัทรที่ทรงตรัสราชาศัพท์ได้คล่องพระโอษฐ์ แต่เพราะทรงประทับอยู่ที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลานาน ภาษาที่ทรงใช้จึงเป็นภาษาต่างประเทศเอาเสียมาก ต้นห้องบริวารดารดาษก็เป็นชาวต่างชาติไม่น้อย เริญดนุภพจึงทรงไม่ค่อยได้ยินใช้ราชาศัพท์เท่าไรนัก

หลังจากกลับมาที่ประเทศไทย ทรงเป็นนักธุรกิจ ติดต่อเรื่องค้าขายกับชาวต่างชาติมากกว่าปฏิสันถารกันในหมู่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง จึงทรงสันทัดการเจรจาด้วยต่างประเทศมากกว่า

เริญนุภพทอดพระเนตรมองไปรอบๆ ตำหนักน้อย แลทรงเห็นกล้าไม้ปลูกกระจายไปทั่ว บางต้นเป็นต้นเล็กๆ สูงเพียงคืบ บางต้นก็สูงราวเมตรกว่า และเมื่อทรงพิจารณาโดยละเอียดจนตระหนักแน่ในพระทัยก็แย้มพระโอษฐ์

บ่าวของขัตติยพงศ์คนนี้ช่างปลูกช่างคิด ลงไม้พุ่ม ไม่เลื้อย พืชผักสวนครัวจำพวกฟักทอง มะเขือเปาะ ตำลึง แตงกวา พริกขี้หนู มะนาวแซมกับไม้ใหญ่อย่างมะม่วง มะขาม ขนุน ได้อย่างลงตัว ต้นไม้ที่มีอายุไม่นานประเภทกล้วยน้ำว้าก็อยู่เป็นมุมเป็นระเบียบ ไม่ห่างจากส่วนที่เป็นโรงครัว

คนที่คิดอะไรรอบคอบแบบนี้ต้องเป็นคนที่เข้าใจธรรมชาติของต้นไม้ แลไตร่ตรองถึงอนาคตการใช้สอยมาเป็นอย่างดีแล้วจึงเว้นระยะห่างพอเหมาะพอควร ต้นไม้เหล่านี้ผ่านไปไม่กี่ปีคงเติบใหญ่จนร่มรื่นไปทั่ว ออกดอกออกผลจนงดงามไปทั้งตำหนัก ทรงชื่นชมอยู่ในพระทัยจนกระทั่งนมละเอียดเดินมาถึงองค์พร้อมกับนางต้นห้องคนสนิท

ละเอียดกระพุ่มมือไหว้เริญดนุภพ หันไปหยิบชามแก้วเจียระไนที่บรรจุด้วยน้ำฝนลอยดอกมะลิมาจากมือของแดง แล้วหันกลับมาส่งยิ้มละไม กระซิบพอได้ยิน

“เสด็จพระองค์ชาย ทูนหัวของหม่อม ทรงลูบพระพักตร์เสียหน่อยเถิดเพคะ จะได้ทรงชื่นพระทัย” ก่อนจะถอยเว้นระยะห่างออก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดต่อด้วยภาษาปรกติสามัญ “ขออิฉันสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ ทั้งคุณเริญทั้งคุณเรียม ช่างไม่สงสารคนแก่กันบ้างเลย เหาจะได้ขึ้นหัวอิฉันเอา”

เริญดนุภพแย้มสรวล ยกพระหัตถ์ขึ้น ทรงหยิบผ้าขนหนูสีขาวอ่อนนุ่มซับน้ำจนหมาดเช็ดพระพักตร์ ตรัสถามแม่นมคนเก่าแก่ในบ้านด้วยน้ำเสียงผ่อนสบาย

“ทำไมคนของขัตติยพงศ์ถึงมาปลูกต้นไม้ในตำหนักเราหรือนม หรือเรียมอยากให้ปลูก ทางนั้นเขาจึงส่งคนมาช่วย”

หญิงชรายิ้มกริ่มส่งเสียงตอบ “ที่ไหนล่ะเจ้าคะ คุณชายขวัญเธอมีน้ำใจ เป็นคนออกปากเสียเองทั้งหมด”

ในตอนแรก เริญดนุภพค่อนข้างหวั่นพระทัย เกรงว่าคุณชายขัตติยพงศ์จะมีกิริยาอัชฌาสัยไปในทางที่ไม่ต่างกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในพระบรมมหาราชวัง เห็นการเย้าแหย่พระอนุชาองค์เป็นเรื่องสนุก หากแต่เมื่อได้ยินคำอธิบายจากปากคนเก่าคนแก่ของวัง ความไม่สบายพระทัยก็คลายลง

“เธอเป็นห่วง เห็นว่าที่นี่โปร่งเกินไป ตกบ่ายแดดจะร้อนอ้าว แลต้นไม้พวกนี้พอโต นอกจากจะบังแดด ยังบังสายตาอ้ายพวกสอดรู้ได้ดีนักเทียว อิฉันเองก็เห็นด้วยกับคุณชายเธอตรงนี้ ส่วนต้นอะไรต้องปลูกตรงไหน อิฉันไม่สันทัด เธอชี้เองทั้งหมด อะไรเป็นไม้มงคลที่ควรปลูก เธอก็จัดแจงเป็นธุระหามาให้คุณเรียมเธอเลือก แต่คุณเรียมเธอสิ”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ สีหน้าของนมละเอียดก็คล้ายจะระย่อจนเริญดนุภพต้องทรงกลั้นสรวล ตรัสถามทั้งที่ทรงพอจะทราบเหตุผลเลาๆ อยู่ในพระทัยแล้ว “แล้วเจ้าเรียมเลือกอะไรล่ะ”

คล้ายจะรออยู่แล้ว นมละเอียดตอบแทบจะทันที “จะเลือกอะไรเล่าเจ้าคะ คุณเรียมเธอเลือกเสียที่ไหน เธอจะเอาทั้งหมด ไม้ผลก็จะเอา ไม้ดอกก็สวย ไม้ต้นไม้พุ่มดีไปเสียหมด จนคุณชายขวัญสรวงเธอพิพักพิพ่วน ทำอะไรไม่ถูกสิเจ้าคะ”

ทรงเหลือบพระเนตรไปมองอธิป เห็นอีกฝ่ายกำลังกลั้นรอยยิ้มอยู่ก็หันมาตรัสถามต่ออย่างนึกสนุก “นมหมายถึงคุณชายถูกเจ้าเรียมงอนใส่ใช่ไหม”

“เจ้าค่ะ” นมละเอียดตอบ ยิ้มน้อยๆ แบบที่แยกไม่ออกว่าเป็นความแจ่มใสหรือความอ่อนอกอ่อนใจ “คุณเรียมเธอไม่พูดด้วย พอคุณชายเธอออกไปสั่งงานนายเยื้อน เธอก็แอบเอาต้นไม้ไปปลูกเองที่ระเบียงห้องนอนนั่นให้ ต้นยูงทองนะเจ้าคะ ไม่ใช่ต้นเล็กๆ แบบมะกรูดโหระพา โตเต็มที่ก็ตั้งสี่สิบเมตร คุณเรียมเธอจะแอบปลูกที่ระเบียงห้องนอนให้ได้ พอคุณชายขวัญเธอแหงนหน้าขึ้นไปมองแล้วเห็นเข้า เธอก็เลยขอให้อิฉันพาขึ้นไป ยกเอาลงมาปลูกให้ที่เยื้องศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ”

เริญดนุภพสรวลขึ้นด้วยพระอารมณ์เบิกบานพระทัย พระองค์ทราบจากอธิปแล้วว่าทั้งที่ไม่ทราบความจริง แต่คุณชายขัตติยพงศ์นั้นกลับมีน้ำใจเอื้อเฟื้อให้แก่เรียมลลิตรและราชสกุลภัทรกุลมากถึงเพียงใด จึงทรงไม่ถือว่าความสนิทสนมนี้เป็นการลู่พระเกียรติหรือตีเสมอพระอนุชาแม้แต่น้อย ด้วยองค์เองก็มิได้โปรดธรรมเนียมถือยศถืออย่างแต่เดิมอยู่แล้ว อีกประการที่ทรงตระหนักนั้นก็สำคัญไม่ได้แพ้กัน

หากจะว่าไปแล้ว ที่อำเภอบางกะปิแห่งนี้ ทั้งพระองค์ ทั้งเรียมลลิตรต่างก็ใช้ชีวิตเป็นเพียงแค่สามัญชน เป็นแค่นายเริญ นายเรียม หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงผู้นั้นต่างหากที่เป็นเชื้อพระวงศ์ มีพระยศที่สูงกว่า

ส่วนพระอนุชา ถึงจะเป็นคนดื้อดึงเอาแต่พระทัยมาแต่ไหนแต่ไร แต่โดยปรกติแล้วจะทรงดื้อเงียบ วางพระพักตร์นิ่งเฉย ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่แค่มาอยู่ที่นี่ไม่นาน คุณชายขวัญสรวงผู้นั้นกลับทำให้เรียมลลิตรที่มีดวงพระพักตร์ดุจน้ำนิ่งเช่นนั้นแสดงออกถึงพระอารมณ์ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าดีพระทัย

ก่อนหน้านี้ เริญดนุภพรู้สึกสนพระทัยในคุณชายขัตติยพงศ์เพียงเพราะหม่อมราชวงศ์ผู้นี้จะมาเป็นเพื่อนบ้านใหม่ของราชสกุลภัทรกุล หากแต่บัดนี้ ความสนพระทัยในตัวคุณชายขวัญสรวงนั้น ทวีไปไกลกว่าที่ทรงเคยตั้งพระทัยมาก

“แล้วนี่เจ้าเรียมอยู่ที่ไหน”

คราวนี้นมละเอียดผ่อนลมหายใจออกมาแล้วยิ้มเหมือนจะกลั้นขัน “จะที่ไหนเล่าเจ้าคะคุณเริญ เธอจะปลูกเองเสียให้ได้ ผู้ชายตัวโตๆ สองคนแย่งกระถางต้นไม้ใบเล็กๆ แค่นั้น อิฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรเจ้าค่ะ”





ขวัญสรวงผ่อนลมหายใจแล้วมองคนที่นั่งกระง่องกระแง่ง เอาพลั่วตักดินใส่หลุมกลบไม่ทันจะเต็มดีก็หยิบบัวมารดน้ำจนโชกชุ่มไปเสียหมด จนเขาต้องรีบเอื้อมมือไปดึงบัวรดน้ำต้นไม้กลับแทบไม่ทัน

รดแบบนี้ จะได้ตายเสียก่อนจะโตปะไร

เขากำลังเข้าใจผิดหรือเปล่า เรียมกำลังโกรธเขาอยู่ แต่ขวัญสรวงก็ยอมรับผิดในข้อนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเขานี่เอง ยั่วกระเซ้าจนอีกฝ่ายนั่งตาคว่ำอยู่แบบนี้ เพียงเพราะอยากเห็นสีหน้าที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ไม่ใคร่แสดงออกมาให้ใครได้เห็นนัก

แค่ยอมรับว่าผิดนะ ส่วนเรื่องที่คิดจะหยุด ไม่เลย

ในตอนแรกที่เขาให้เยื้อนช่วยยกต้นไม้ต่างๆ มาจากที่บ้านราวสิบห้าชนิด รวมปริมาณหลายสิบต้น โดยเลือกเอาต้นที่น่าจะมีประโยชน์ ปลูกง่าย และมีความแข็งแรงพอจะไม่เป็นปัญหามาให้เลือกลงดิน ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นคล้ายจะสุกใสเป็นประกายด้วยความปราโมทย์ ริมฝีปากที่เรียบนิ่งก็เหมือนจะแย้มออกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ตั้งใจฟังเขาอย่างสนอกสนใจ แต่แค่ขวัญสรวงอธิบายว่าคงลงปลูกไม่ได้ทั้งหมด เพราะไม่อย่างนั้น พอต้นไม้เติบใหญ่จะแน่นจนเกินงาม เจ้าของดวงตาวิบวับยิ่งกว่าหยาดน้ำค้างก็ถอยกลับไปนิ่งเฉย นั่งหัวไหล่ตั้ง ไม่พูดไม่จาอะไรอีก ไม่ว่าเขาชวนคุยอะไร รูปปั้นที่มีชีวิตนั้นก็ไม่เอ่ยตอบ จนเขาเดินออกไปสั่งเยื้อนให้ปลูกต้นอะไร ทิศใด ตำแหน่งไหนให้ถูกตามหลักมงคล ใครจะคิดว่าเรียมคนนั้นจะให้สาวใช้ในบ้านช่วยกันยกกระถางต้นยูงทองไปซ่อนที่ระเบียงห้องนอน ร้อนถึงเขาต้องขึ้นไปเอาลงมา

ขวัญสรวงพอนึกออกว่าคนที่นั่งรดน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายคงจดจำจากต่างประเทศ พวกฝรั่งนิยมปลูกไม้เล็กๆ ในกระถางวางแต่งที่ชานระเบียงให้สวยงามร่มรื่น ก็คิดจะทำแบบเดียวกัน เมื่อเขาเห็นว่าเจ้าบ้านก็ชอบทุกต้น เมื่อไม่ติดขัด ขวัญสรวงจึงเลือกต้นที่ยังเล็กเกินไปออก ใครจะคิด

“น้องให้พวกเด็กๆ ยกกระถางขึ้นมาบนนี้ทำไมหรือ”

“เห็นว่าด้านล่างแออัด ปลูกที่นี่ก็ได้ ระเบียงห้องกว้าง” คนตัวเล็กเอื้อมมือไปหยิบบัวที่วางอยู่ขึ้นรดน้ำต้นยูง รดเอาๆ ไม่มองหน้าเขาสักนิด

กว้างน่ะกว้างจริง แต่ก็กว้างแค่เพียงสำหรับไม้ดอกไม้ประดับ ใช่ไม้ยืนต้นเสียเมื่อไร ชายหนุ่มโต้ตอบอยู่ในใจ

ฉวยยูงทองกระถางนี้ขึ้นมาคงเพราะนึกว่าต้นเล็กๆ แบบนี้ โตเต็มที่ก็ไม่กี่คืบเสียกระมัง ขวัญสรวงหันไปมองเหล่าบริวารของเจ้าของบ้านที่ยืนยิ้มแหย ไม่กล้าขัด แล้วพยักหน้าเพื่อบอกว่าเดี๋ยวเขาจะจัดการเอง

ปลอดผู้คนแล้ว เขาก็ย่อตัวนั่งลง ค่อยๆ แจกแจง “ต้นยูงต้องปลูกกับดินนะ”

“ในกระถางก็มีดินไม่ใช่น้อย ปลูกตรงนี้ ไม่ต้องรบกวนพี่ขวัญ ผมดูแลได้อย่างใกล้ชิด” ดูเถอะ ดูพ่อตอบเข้าซี

เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าพักหลังๆ เรียมดูจะงอนเขาบ่อยเหลือเกิน อาการเหล่านี้ไม่มีใครดูรู้ แม้กระทั่งละเอียดที่เป็นแม่นมคนสนิทก็ดูจะไม่สังเกตเห็น เพราะคนขี้งอนยังคงวางเฉยเป็นปรกติ กิริยาท่าทีล้วนยังคงความภูมิฐานไว้ทุกกระเบียด แต่ความงามสง่าเหล่านั้นไม่อาจปกปิดขวัญสรวงได้

เขาเป็นคนช่างสังเกต และหากไม่ใช่เพราะเจ้าตัวมักทำท่าไม่รู้สึกรู้สา ขวัญสรวงก็คงไม่มองชนิดไม่ให้คลาดการอ่านคำตอบผ่านการแสดงออกที่ไม่ใช่การพูดเช่นนี้ จนพบว่าใบหน้าเล็กเท่างบน้ำอ้อยนั้นมักมีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ เวลาที่ดีใจ ดวงตาคู่นั้นจะผ่องแผ้วคล้ายประกายเพชรระยับบนฟากฟ้ายามราตรี แต่หากเขาพูดอะไรขัดอารมณ์เข้านิด แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่ริมฝีปากอิ่มน้ำก็รั้นขึ้นแทบจะทันที แล้วก็จำเพาะว่าเป็นกับเขาเพียงเท่านั้นด้วยสิ

ไม่ใช่ว่ารำคาญหรืออึดอัดกระไร เพียงแค่เขาไม่ค่อยเข้าใจ

“พี่เต็มใจ อย่าถือว่าเป็นเรื่องรบกวนกระไรเลย”

คนถือฝักบัวยังคนนิ่งเงียบ ทำท่าคล้ายจะไม่ได้ยิน

ชายหนุ่มแจกแจงต่อ ไม่ทดท้อ “ปลูกในกระถางไม่นานก็เฉาตาย ยูงทองหรือหางนกยูงนี่เป็นไม้ยืนต้น โตเต็มที่สูงหลายสิบเมตร รากจะแผ่ออกด้านข้าง ปลูกใกล้ตึกก็เห็นจะไม่ควร ไม่สักกี่ปี ปูนพวกนี้เห็นจะได้ร้าว น้องปลูกที่นี่ไม่ได้หรอก ต้องลงดินที่ไกลจากตัวตึก อย่างน้อยก็หลายสิบเมตร”

ขวัญสรวงอธิบายอย่างใจเย็น แต่ผลก็คือเรียมยกกระถางหนีเขาหน้าตาเฉย

“เดี๋ยวก่อนสิ จะยกไปไหน”

“จะยกไปปลูก”

ลงท้ายกลายเป็นว่าขวัญสรวงก็ทำอะไรแบบที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำมาก่อน นั่นก็คือการแย่งกระถางคืนจากคนนั่งหลังตรง หน้าเชิดเอาดื้อๆ ยื้อกันไปยื้อกันมาเป็นเด็ก ที่น่าตลกกว่านั้นก็คือเขากลับรู้สึกว่ามันสนุกขึ้นมานี่สิ

นี่ก็อีกเช่นกัน การยั่วเย้าให้อีกฝ่ายงอนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความเบิกบานใจให้กับขวัญสรวงเป็นนักหนา ทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าเรียบเฉยแสดงอารมณ์อันหลากหลายต่อหน้าเขา มันทำให้หัวใจของขวัญสรวงโลดแล่นอย่างประหลาด ได้เห็นรวงแก้มอิ่มใสเจือไปด้วยสีชมพูอ่อนๆ ได้เห็นดวงตาที่ไม่ใคร่จะจับจ้องสิ่งใดเป็นระยะเวลานานๆ หันมาจ้องมองเขาเขม็งอยู่อย่างนั้น

หลายครั้งที่เขาอยากจะจับเจ้าของใบหน้ามากอดเสียให้แน่น สารภาพผิด จุมพิตเบาๆ บนพวงแก้ม แล้วเอ่ยคำขอโทษจากดวงใจ แต่ถ้ากระทำอุกอาจแบบนั้น เขาเองจะมีศักดิ์ศรีอะไรเหนือไปกว่าจ้อย เขาก็จะกลายเป็นคนที่สิ้นเกียรติเทียมกัน และคร้านบ่าวไพร่จะได้ซุบซิบนินทากันจนเป็นเรื่อง ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจำต้องอยู่เพียงแค่ในความคิดเพียงเท่านั้น

สบโอกาส พ้นสายตาคนอื่นเมื่อไร เขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้รอยยิ้มเล็กๆ ฉายขึ้นบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง จะกระทำทุกอย่าง จะอ้อนวอนจนกว่าเรียมจะยอมยกโทษ กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม




(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 23-07-2015 19:49:22
(ต่อครับ)




เริญดนุภพทอดพระเนตรมองภาพพระอนุชาขององค์ด้วยความสนพระทัย ข้างๆ กันนั้นคือหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงที่กำลังพรวนดินอย่างแคล่วคล่อง แข็งขัน ยิ่งทอดพระเนตรก็ให้ยิ่งประหลาดพระทัย ถึงกับหันไปมองหน้าอธิปและนมละเอียดเป็นเชิงถามว่าพระองค์มิได้พระเนตรฝาดไปใช่หรือไม่

เริญดนุภพไม่เคยทอดพระเนตรเห็นหม่อมราชวงศ์คนใดสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น แลสวมรองเท้าแตะ คุกเข่าลงกับพื้น รดน้ำ พรวนดิน ทำงานของบ่าวไพร่ให้เนื้อตัวสกปรกแบบนี้มาก่อน ทั้งที่คุณชายขัตติยงพงศ์จะเรียกใช้บ่าวก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่กลับเลือกจะลงมือทำด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่งานหรือหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย

ไม่เพียงเท่านั้น หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงผู้นี้ยังกระทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ เขาดูคล่องแคล่ว ไม่กลัวเปรอะเปื้อน แสดงให้เห็นว่าเขาน่าจะมีความรู้ด้านนี้ไม่ต่างกับหม่อมเจ้าเขียนนิรมิต พระบิดา เรื่องนี้เคยกระทบพระกรรณอยู่บ้าง ทว่าทรงไม่ได้สนพระทัยนัก ด้วยรู้สึกว่าน่าจะเป็นเพียงข่าวลือพูดกันสนุกสนานปาก กระทั่งทรงได้ประจักษ์แก่พระเนตรถึงได้เข้าพระทัยว่าสิ่งที่ทรงได้ยินมานั้น ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อที่เกินจริงเลย

ราชสกุลนี้นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ ตงฉินแล้ว ไม่ว่าสายหลักของราชสกุล หรือกระทั่งสายรอง ล้วนไม่ใช่คนติดความอู้ฟู่หรูหรา หนักเอาเบาสู้ ไม่เกี่ยงว่าเป็นงานอะไร ไม่ใช่คนหยิบโหย่ง

ตัวจริงของคุณชายการดนตรีเป็นคนแบบนี้เองหรือ ประหลาดเสียจริง

และถ้าหากหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงผู้นั้นถือว่าเป็นคนประหลาดแล้ว พระอนุชาขององค์นั้นยิ่งประหลาดเสียกว่า เพราะเรียมลลิตรก็ทรงแข็งขันกับการปลูกกล้าต้นนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน จนถึงกับทรงเหลียวพระพักตร์ไปยังอธิปอีกครั้ง เป็นเชิงตรัสถามว่านั่นใช่พระอนุชาขององค์จริงแท้หรือ

“กระผมจะเข้าไปห้ามคุณชายขวัญเองครับ” พูดจบ อธิปก็สาวเท้าตรงรี่ไปทางคุณชายขวัญสรวงทันที หากแต่ไม่ติดพระกรที่ทรงยกขึ้นมาห้ามไว้

อธิปชะงักเท้า มองพระพักตร์ของเสด็จพระองค์ท่านเหมือนไม่เข้าใจ ก่อนจะหันกลับไปมองนมละเอียดเชิงปรึกษา เมื่อหญิงชราไหวหน้าน้อยๆ แทนคำตอบว่าอย่าเพิ่งเข้าไปยุ่ง อธิปจึงยอมกลับมายืนสงบ

“ฉันไม่ได้โกรธ แต่แค่แปลกใจ ปกติน้องชายของฉันไม่ใช่คนที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้” ได้ยินรับสั่งจากพระโอษฐ์ อธิปจึงผ่อนความร้อนใจลงไปบ้าง กระนั้นก็ความกระวนกระวายก็ใช่จะคลายบรรเทาไปเสียหมด

เริญดนุภพทอดพระเนตรมองอยู่นิ่งนาน ทรงสะกดพระอารมณ์ที่แปรปรวนในพระอุระ ตรัสถามพระองค์เองว่าควรจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดี

หากถือตามธรรมเนียมก็ทรงต้องเข้าไปห้ามปรามอนุชาด้วยไม่เห็นสมควรที่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงจะทรงกระทำสิ่งใดแบบนี้ ทั้งยังทรงไม่คำนึงแก่จริยวัตรที่สืบทอดมาแต่บรรพกาล สูงก็ให้อยู่ให้รู้ว่าสูง อย่าลดตัวไปคลุกคลีเทียมผืนแผ่นดินให้ระคายเคืองพระยศ หากแม้นมีพระวงศ์พระญาติพระองค์หนึ่งพระองค์ใดได้ทอดพระเนตรเห็นเข้าจะได้กริ้วได้ และอาจกระทบกระเทือนไปถึงเสด็จพระองค์ท่านผู้เป็นพระบิดาและหม่อมพระผู้เป็นมารดาให้เสื่อมเสีย

หากแต่ลึกลงไปในพระอุระแล้วนั้น เริญดนุภพกลับแช่มชื่นพระทัยยิ่งนักที่ได้ทรงเห็นพระอนุชาองค์ทรงใช้ชีวิตเยี่ยงปรกติสามัญชน มีชีวิตที่เป็นอิสระ มิใช่เป็นดั่งวิหคอันงามสง่าเทียมฟ้า ทว่าถูกขังอยู่แต่ในกรงเหนือระลอกเมฆเฉกเช่นดำเนินมาตั้งแต่ครั้งพระเยาว์จนถึงพระชันษาที่ทรงเป็นผู้ใหญ่ ขนบและกฎมณเฑียรบาลตั้งแต่สมัยก่อนล้วนอยู่คงมั่นเสียยิ่งกว่ากำแพงหนา ซึ่งทรงตระหนักดีว่าสิ่งนั้นนำมาซึ่งความกำสรดลึกล้ำเพียงใด

เรียมลลิตรมีชีวิตที่ห่างไกลจากคำว่าความสุขมานานนัก ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในพระทัยของเริญดนุภพมาตั้งแต่พระเยาว์ ในขณะที่พระองค์ทรงได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนแบบเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แต่เพราะเหตุผลบางประการ พระอนุชากลับต้องแยกไปเรียนเพียงลำพังในพระบรมมหาราชวัง จนทรงเติบใหญ่พอเสด็จประภาสไปไหนได้ เรียมลลิตรก็ทรงถูกส่งไปศึกษาต่อที่เมืองฝรั่งเพียงลำพัง ซึ่งในพระฐานะพระเชษฐานั้นนับเป็นความปวดร้าวพระทัยยิ่งนัก

ตรึกตรองมาถึงข้อนี้ก็ทรงตัดสินพระทัยได้โดยปราศจากความลังเล และแม้สิ่งที่พระองค์ทรงเลือกที่จะกระทำนี้จะไม่อาจชดเชยกับห้วงเวลาครั้งสมัยทรงพระเยาว์ที่ไม่เหมือนคนอื่นได้เลย แต่ก็ดีกว่าที่จะทรงนิ่งเฉย ไม่ทำสิ่งใด

“นมละเอียด อธิป ทั้งสองคนคิดว่าน้องฉันกำลังมีความสุขอยู่หรือเปล่า”

คนที่ถูกเอ่ยถามหันหน้ามามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่นมละเอียดจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“มิได้เลยค่ะคุณเริญ เธอน่าจะกำลังโกรธสุดๆ ตรองดูสิเจ้าคะ พื้นก็แข็ง เนื้อตัวก็มอมเปื้อนไปหมด แถมแดดก็ร้อนเหลือ ถ้าเธอเป็นคนโผงผางมากกว่านี้เอาเสียหน่อย ไม่ใช่คนกิริยานุ่มนวลเช่นนี้ ต่อว่าคุณชายขวัญได้ เธอคงทำไปแล้ว”

“จริงของนม” เริญดนุภพสรวลขึ้นเหมือนเห็นด้วย ทอดพระเนตรมองอยู่สักพักก็กลับระบายพระอัสสาสะแผ่วเบา “เช่นนั้น เพราะเหตุใดเราจึงรู้สึกว่าน้องของเรากำลังมีความสุข”

สิ้นพระสุรเสียง นมละเอียดก็ยิ้มขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ “ในฐานะที่เลี้ยงดูคุณเรียมเธอมาตั้งแต่เล็ก อิฉันยืนยันได้ว่าสิ่งที่คุณเริญคิดนั้นมิได้ผิดไปจากความจริงเลยเจ้าค่ะ เธอกำลังฉุนอยู่ก็จริง แต่ลึกลงไปในใจ คุณเรียมเธอกำลังมีความสุข เธอสุขโดยที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่ทันเฉลียวรู้ตัว” พูดถึงตรงนี้ ละเอียดก็ยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้า สั่นสะอื้นจนไม่อาจพูดต่อไปได้

อธิปยกมือขึ้นแตะข้อมือของแม่นมที่ผูกพันมากับพระองค์เจ้าเรียมลลิตรมาตั้งแต่ทรงมีพระชันษาเพียงไม่กี่ขวบปีจนกระทั่งบัดนี้ หญิงชราผู้นี้ก็ยังภักดีอยู่เคียงข้างเสด็จพระองค์ท่าน หรือ “คุณหนูเรียม” ของเธอไม่มีห่าง เขาอมยิ้มก่อนจะหันกลับไปทางพระองค์ชาย ก้มหน้าลงนอบน้อมแล้วเปล่งเสียงกังวานชัดเจน “ผมเองก็เห็นด้วยครับ”

เริญดนุภพผ่อนพระอัสสาสะอีกครั้ง ต่างที่ว่าครั้งนี้ทรงมีรอยแย้มสรวลประดับบางๆ เหนือพระโอษฐ์ด้วย





เสียงแว่วๆ ของอธิปทำให้ขวัญสรวงเงยหน้าขึ้นจากต้นไม้แล้วเหลียวกลับมามอง เขาเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งจึงเพ่งพินิจ ผู้ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ดูงามสง่า ผมดำเป็นมันหวีเรียบเรียงเป็นระเบียบ แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบดูโก้ และกางเกงผ้าวูลสีเทาเข้มตัดเย็บอย่างดีเข้าชุดกับรองเท้าหนังสีดำมัน ผู้ชายคนนั้นโดดเด่นสะดุดตาแม้แต่อยู่ไกลๆ และเมื่อยิ่งพิเคราะห์โดยละเอียด จึงได้เห็นว่าใบหน้าคมคายนั้นกลับมีเค้าหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายกับคนที่นั่งเอามือตบดินอยู่ข้างๆ เขาในเวลานี้อยู่ไม่น้อย

นี่คงจะเป็นพี่ชายของเรียมเป็นแน่

เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มก็เช็ดไม้เช็ดมือให้สะอาด รีบลุกขึ้น แล้วรุดตรงไปที่ชายคนนั้นทันที ยังไม่ถึงดีก็หยุดปลายเท้า ประนมมือไหว้และเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“สวัสดีครับ ผมอยู่ข้างๆ บ้านนี้ ดีใจที่ได้มีโอกาสพบกัน คุณเป็นพี่ชายของเรียมหรือเปล่าครับ”

เริญดนุภพยกพระหัตถ์ประนมรับไหว้ด้วยความแปลกพระทัย หม่อมราชวงศ์คนนี้แปลกเสียจริง ทั้งที่กำเนิดในราชสกุล แลเป็นสายหลักของขัตติยพงศ์อันลือเลื่องไปทั้งพระนครโดยแท้ แต่กลับไม่ได้วางตัวอยู่เหนือใคร กลับสุภาพนอบน้อม มีมรรยาท แลเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ผู้อื่นก่อนโดยไม่ถือพระยศ

“คุณชายขวัญใช่ไหมครับ” ทรงตรัสอย่างไม่ถือองค์ แล้วหันพระพักตร์ไปทางพระอนุชาที่สาวพระบาทตามมาช้าๆ “เรียม น้องสบายดีนะ”

เรียมลลิตรประนมหัตถ์ไหว้พระเชษฐา ปฏิสันถารเสร็จแล้ว จึงตรัสถามอย่างดีพระทัย “ท่านพี่มาได้อย่างไรกัน”

“พี่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ พอว่าง ทราบข่าวเรื่องน้าเกสรจึงได้รีบไปเยี่ยม เสร็จแล้วเลยให้อธิปช่วยพามา”

เรียมลลิตรทรงพูดคุยกับพี่เชษฐาอยู่สักพัก จึงหันพระพักตร์มาทางอธิป ตรัสถามด้วยทรงห่วงใย “คุณแม่อาการดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

ดวงใจของอธิปชื้นขึ้นด้วยน้ำพระทัยที่ทรงประทานให้ ชายหนุ่มก้มหน้าด้วยสำนึกในพระเมตตาเป็นล้นพ้น ก่อนจะจำต้องเอ่ยตอบราวกับสนทนาทั่วไป

“สบายดีแล้วครับ แต่ยังต้องพักรักษาตัว ทานอาหารอ่อนๆ ไปอีกสักพัก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คุณหมอบอกว่าสัปดาห์หน้าก็จะหายเป็นปรกติครับ ขอบใจที่ถามด้วยความเป็นห่วง” ชายหนุ่มจงใจตอบเสียงหวานตามที่ได้รับคำสั่งมาจากบิดา ทว่าในครั้งนี้ คุณชายขวัญสรวงกลับยืนนิ่งเฉย ไม่มีอาการค้นหาคำตอบอย่างที่ผ่านมา

ได้ยินคำตอบจากปากของคนสนิท เรียมลลิตรนิ่งเฉย ไม่ตรัสสิ่งใด มีแต่พระเนตรที่ทรงคลายกังวลลงเท่านั้นที่ทรงแสดงออก

“ผมต้องขอโทษ แต่งตัวไม่สุภาพ ไม่ทราบว่าจะได้พบกับคุณ” ขวัญสรวงหันไปเอ่ยขอโทษกับชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จัก

“อายุเราน่าจะพอกัน เรียกผมว่าเริญเถอะครับ คุณชาย เพื่อนบ้านกัน อยู่ติดกันแค่นี้ ไม่ต้องเกรงใจกันดอกครับ” เริญดนุภพตรัสด้วยพระสุรเสียงสบายๆ “จริงสิ ผมทราบจากอธิปว่าคุณชายช่วยเหลือน้องของกระผมไว้ตั้งหลายเรื่อง คอยเป็นธุระให้โดยไม่ถือว่าผมกับน้องก็เป็นเพียงแค่พ่อค้าวานิชธรรมดา ทั้งที่คุณชายเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ในราชสกุลขัตติยพงศ์แท้ๆ ต้องขอบคุณมากจริงๆ ครับ”

“โปรดอย่าได้คิดเช่นนั้นเลยครับ” ขวัญสรวงรีบยกมือห้ามด้วยความลำบากใจ “ท่านพ่อของกระผมทรงสอนตั้งแต่ตอนที่ผมเป็นเด็กๆ ว่าอย่าได้ถือว่าการที่เราเกิดมาในราชสกุลนั้นจะทำให้ขัตตยพงศ์เราอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ ความดีต่างหากที่ควรเป็นสิ่งที่ใช้จำแนกมนุษย์เรา มิใช่ชาติกำเนิด หากคุณเริญนับถือในน้ำใจของผม โปรดคิดว่าผมเป็นเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจต่อกัน เป็นสหาย หรือเป็นญาติที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความปรารถนาดี”

“ถึงอย่างนั้นก็ยิ่งต้องตอบแทน ถ้าไม่รังเกียจ เย็นนี้เชิญร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเสียหน่อยเถอะครับ โปรดอย่าได้ปฏิเสธน้ำใจผมกับน้องเลย”

“ขอบคุณคุณเริญมากครับ”

เริญดนุภพแย้มพระโอษฐ์ ทรงไม่ได้อยากปด ทว่าความจำเป็นทำให้ทรงต้องจำปิดความจริงในบางเรื่องเอาไว้ หากแต่เมื่อคุณชายขัตติยพงศ์เป็นผู้ออกปากว่าไม่ถือเรื่องชาติกำเนิด นับถือกันที่น้ำใจจริงดั่งสัตย์แล้ว ในทางกลับกันก็ไม่ควรจะหมางใจหากพระองค์จะทรงไม่นับว่าเป็นการที่องค์และพระอนุชาดำรงพระยศเป็นพระองค์เจ้าเป็นเรื่องสลักสำคัญเช่นกัน

“นี่ทำอะไรกันอยู่หรือ” เริญดนุภพตรัสถามพระอนุชา

“ปลูกต้นไม้ครับ”

“ปลูกเป็นกับเขาด้วยหรือ”

เริญดนุภพสรวลขึ้นแทบจะทันทีเมื่อเห็นพระอนุชาขึงพระเนตรมองมา ทรงพับแขนฉลองพระองค์ ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะปลูกด้วย”

แววบึ้งตึงในดวงพระเนตรของเรียมลลิตรคลายออกจนแลเห็นความสุกสกาว ทรงก้าวพระบาทไปทางต้นไม้ที่ทั้งคู่ช่วยกันปลูกเมื่อครู่ หากแต่ขวัญสรวงกลับเอ่ยขัดขึ้น

“อย่าเลยครับ เสื้อผ้าคุณจะเลอะเอาเสียเปล่า”

เป็นอีกครั้งที่เริญดนุภพทอดพระเนตรมองบุรุษตรงหน้าด้วยพระอารมณ์กึ่งประหลาดใจกึ่งประทับใจ ท่าทีแน่วแน่จริงจังของคุณชายขวัญสรวงทำให้ทรงสรวลเบาๆ ในพระศอ

อย่างที่ทรงดำริไว้ไม่มีผิด ขัตติยพงศ์นี้เป็นเพื่อนบ้านที่เหมาะสมที่สุดกว่าใครแล้ว และคุณชายขวัญสรวงเองก็ดีสมกับที่พระองค์ทรงคาดคะเนไว้เช่นกัน

“แค่เสื้อผ้า ผมไม่ถือเรื่องพวกนั้นดอกครับ ถ้าคุณชายไม่ถือว่านี่เป็นการตีเสมอ โปรดให้ผมกับน้องชายได้ร่วมปลูกต้นไม้กับคุณชายเถอะครับ”

เมื่อได้รับการยืนกรานจากอีกฝ่าย ขวัญสรวงก็จึงต้องจำยอมทั้งที่ลึกๆ แล้วก็ยังรู้สึกว่าเสื้อผาแพงๆ เหล่านั้นจะสกปรกให้เสียดาย “ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้ด้วยกันเถิดครับ ถัดจากต้นยูงทอง ผมว่าจะไปดูต้นไม้รอบๆ ที่ให้เจ้าเยื้อนลงดินให้เสียหน่อย คุณเริญมาช่วยดูอีกแรงก็ดีครับ เผื่อว่าอยากได้ต้นอะไรเป็นพิเศษ ถ้าที่บ้านมี ผมจะแบ่งมาให้”

“ดีเลยครับ” เริญดนุภพแย้มพระโอษฐ์ สาวพระบาทไปพร้อมๆ กับเรียมลลิตร ตามหลังคุณชายขัตติยพงศ์อย่างไม่รีบเร่ง โดยมีอธิปและนมละเอียดเว้นระยะตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทรงตรัสกับองค์เองในพระอุระด้วยความแปลกพระทัย

หลังการสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค เรื่องที่ทรงไม่เคยนึกถึงมาก่อนนั้นมีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือทรงไม่คาดมาก่อนว่าจะถูกชะตากับหม่อมราชวงศ์ผู้นี้ มากถึงเพียงนี้





+++++++++++++++++++++++++++++++




ผ่านไปอีกตอน ตอนนี้พี่ขวัญกับน้องเรียมโดนพี่เริญขโมยซีนไปบ้าง
ตอนต่อไปก็ยังจะคงโดยคนอื่นขโมยซีนอีกเช่นกัน
พอปรับเป็นราชาศัพท์ ความเร็วลดลงเยอะเลย แต่เอาแบบนี้ดีกว่านะ
ให้ถูกต้องตามลักษณะที่ควรจะเป็นดีกว่าเนอะ ยังไงก็จะพยายามอัพให้เร็วขึ้นนะครับ

หัวเลขตอนอาจจะไม่ตรงกันบ้างนะครับ เรื่องของเรื่องคืองงกับพวกซอยตอน
ขอตัดขึ้นตอนใหม่ไปเลยแล้วกัน ทีนี้จะแก้ก็เดี๋ยวงงกัน เอาเป็นว่ากดตามสารบัญก็แล้วกันเนอะ ^ ^
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 23-07-2015 20:13:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 23-07-2015 21:19:22
น้องเรียมบทน้อยมากกกกตอนนี้ TT บ่าวเศร้ายิ่งนักเจ้าค่ะ ส่วนคุณพี่นี่จะมีคู่รึเปล่าคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 23-07-2015 22:29:41
ติดตามอ่านมาตลอด แต่ไม่ได้เข้ามาเม้นเลย ขอโทษจริงๆ นะคะ
ชอบเนื้อเรื่อง และการใช้ภาษามากเลยค่ะ เพราะไม่ค่อยได้พบเจอได้ในนิยายทั่วๆ ไป
อาจจะมาต่อช้าบ้าง แต่มาแต่ละทียาวสะใจ
จะติดตามต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 23-07-2015 22:32:23
เข้ามาอ่านได้ ๑ ตอน ชอบภาษาชอบบรรยากาศละมุนมาก
เดี๋ยวตอนที่เหลือจะรีบตามอ่านนะคะ
ปล.ไม่เคยอ่านแผลเก่าเลย แต่พอจะรู้จักขวัญเรียมมาบ้าง
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 24-07-2015 06:21:30

พี่ขวัญรีบโกยคะแนนเลยนะคะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 25-07-2015 00:38:40
ยังคงต้องใช้ความละเมียดละไมในการอ่านเช่นเคยค่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ รออ่านอยู่เสมอ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 25-07-2015 02:51:34
อัพแล้ววว นึกว่าตาฝากเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-07-2015 15:39:55
อ่านทันเเล้วเข้ามารอ

บ้างตอนอ่านไปนิเขินสุดๆ ทั้งที่ภาษาก็ดูเรียบง่าย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 27-07-2015 18:31:53
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ ตอนนี้อ่านทันแล้ว

ชอบภาษา การบรรยายมากเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้มานะคะ

ที่สำคัญตอนนี้ชอบตัวละครเรียมลลิตรมากเลยค่ะ เป็นคนที่น่าเอ็นดู น่าทะนุถนอมอะไรขนาดนี้ หลงรักไปแล้วเรียบร้อย ส่วนขวัญสรวงก็ร้ายอย่าบอกใครเลย พอเข้ามาอยู่กับเรียมแล้วดูเหมาะสมกันมากๆ เลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ สู้ๆ จะรออ่านจนจบเลยค่ะ  :hao5: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๐ ♫ ♬ ♪ (๒๓ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 28-07-2015 18:06:20
โธ่ พ่อขวัญ  คนดีอะไรอย่างนี้เนี่ย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 28-07-2015 19:02:18
ตอนที่ ๑๓



เช่นเดียวกับวันอื่นๆ อากาศบนพาไลวันนี้ปลอดโปร่ง มีลมพัดเย็นสบาย ทว่าจ้อยที่นั่งอยู่บนตั่งใต้ร่มทองหลางกลับรู้สึกกระสับกระส่าย หลายวันมานี้แม้แต่อ่านหนังสือพิมพ์ หรือเปิดโทรทัศน์ดูรายการต่างๆ ก็ทำได้เพียงครู่ ไม่นานก็เบื่อหน่าย สุดท้ายใจก็กลับหวนไปถึงเจ้าของดวงตาหวานล้อแสงคู่นั้นที่ได้พบเจอกันเมื่อสัปดาห์ก่อน

บ่อยครั้งที่นางสะอิ้งต้องเอ่ยปากถาม นางเลี้ยงจ้อยมาแต่อ้อนแต่ออก มีหรือว่าจะไม่เห็นว่าลูกชายของนางมีอาการเหม่อแปลกๆ ไม่ออกไปเที่ยวเล่นที่ตลาด อาหารที่ชอบก็ไม่อยาก แต่จ้อยก็บอกปัดไปสั้นๆ ว่าขี้เกียจ เพียงเท่านั้นนางสะอิ้งก็เลิกสนใจซักไซ้อีก นางรู้นิสัยลูกชายสุดรักดีว่าพอนึกจะขี้เกียจ ก็หมดแรงจะทำอะไร ไว้ขยันอารมณ์ดี ประเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาทำอะไรเอง

นางไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อยว่าจ้อยแค่ตอบไปส่งๆ ให้จบเรื่องไปเท่านั้น เขาไม่ได้ขี้เกียจ เพียงแค่ในเวลานี้แค่ไม่คิดอยากจะไปตะลอนไหนแบบที่เคยไป เพราะเมื่อออกจากบ้านทีไรก็ไม่แคล้วอยากจะแวะไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์หลังโตนั้นเสียแทบทุกที

แต่เขาจะต้อนรับหรือ

นี่คือสิ่งที่จ้อยคิดหนัก คราวก่อนที่พบกัน ใช่ว่าจ้อยจะไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้างตามนิสัย เขาไม่เคยต้องตรึกตรองหรือเกรงใจใคร เพราะแต่เล็ก นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่พอใจเด็กคนไหนก็พาพวกไปชกต่อย ตกเย็นพ่อก็มาจัดการจนเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าหืออือ

ที่บางกะปิ จ้อยความถูกต้องเสมอ มันเคยเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยก็จนกระทั่งในตอนที่มายืนอยู่ต่อหน้าเจ้าของคฤหาสน์หลังนั้น

คนอะไรไม่เคยพบเคยเจอ นอกจากจะงดงามเสียยิ่งกว่าสาวสะคราญทุกคนที่จ้อยเคยเห็นมาแล้ว คนคนนั้นดูราวจะไม่ใช่คนที่จ้อยสามารถคาดเดาอะไรได้เลย

ก็ใครเล่าจะไปคิดว่าเจ้าของบ้านจะตอบกลับมาด้วยความเวทนาแบบนั้น ไม่ใช่คำพูดแสดงน้ำใจไม่ถือสานั่นดอก แต่เป็นความหมางเมินที่มอบคืนให้แก่ความกักขฬะของเขาต่างหาก

จะมาอีกก็ได้หรือ มันก็แค่คำพูดไปตามมรรยาท คนคนนั้นแม้แต่หางตาก็ไม่เคยมีตัวตนของจ้อยอยู่ด้วยซ้ำ

ยิ่งคิด จ้อยก็ยิ่งโทโส อาการหงุดหงิดนั้นสั่งสมขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งถึงจุดอิ่ม ถ้าเป็นน้ำก็เปรียบกับน้ำปริ่มตุ่มกลางฤดูฝน พระพิรุณสะบั้นความอบอ้าวด้วยห่าฝนแห่งความพิโรธ ไฉนเลยน้ำในตุ่มจะระเหยแห้งไปกับแสงอาทิตย์ ความรู้สึกในใจของจ้อยก็เช่นกัน ไม่เคยลด มีแต่จะล้น

อดรนทนไม่ไหว เขาจึงเรียกศักดิ์มาให้ออกเรือไปบ้านน้ำทิพย์ ซึ่งบ่าวสนิทก็จัดการได้รวดเร็ว ไม่ชักช้ารอนานให้รำคาญใจ ระหว่างทาง จ้อยแวะที่ร้านค้าในตลาด เลือกซื้อของที่ดีที่สุด แพงที่สุดจนพะรุงพะรัง

ข้าวของมากมายที่อัดแน่นบนเรือนั้น เทียบไม่ได้เลยกับความใหญ่โตโอฬารของศักดิ์ศรี เรือไม้ลำกว้างแล่นไปตามคลองแสนแสบ ไม่เคยหลบ หรือแม้แต่ชะลอให้กับเรือลำใดในบางกะปิ เป็นอย่างนี้มานานและจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจ้อยจะพอใจ

มีหลายครั้งที่มีกลุ่มชาวบ้านที่มองเขม็งมาอย่างตำหนิ แต่เมื่อจ้อยจ้องกลับ ชาวบ้านเหล่านั้นก็หลบสายตาแล้วพายเลี่ยงหนีไปเอง เห็นแล้ว จ้อยก็หัวเราะเสียงดังก้องไปทั่วคุ้งน้ำ

ใช่แล้ว เขาไม่เห็นจะต้องสนใจ คนอย่างไอ้จ้อยไม่เคยต้องเกรงใจใครในบางกะปิ โดยเฉพาะไอ้เศรษฐีตีนแดงนั่น จะผู้ชายรึก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิง





เรือแล่นลิ่วมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นบ้านของน้ำทิพย์ ยังไกลนักกว่าจะถึงท่า แต่ความคิดถึงอันเป็นตะกอนขุ่นในใจก็พาลให้สายตาของจ้อยก็เหลือบมองไปที่คฤหาสน์หลังโตนั้นอย่างอดไม่ได้เสียแล้ว

จะว่าไปที่ดินแห่งนี้ควรจะตกทอดมาเป็นของจ้อยในอนาคต แต่พ่อของเขากลับเปลี่ยนใจ ขายต่อให้กับเจ้าของใหม่ด้วยราคาที่ไม่ได้กำไรอะไร จ้อยไม่ได้เสียดาย เขาจึงไม่คิดแม้แต่จะถามถึงเหตุผล หากแต่เหตุการณ์เมื่อวันก่อน บางสิ่งบางอย่างทำให้จ้อยสงสัยว่าจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับอ้ายหม่อมราชวงศ์น่าเหม็นขี้หน้าคนนั้นหรือไม่

วันนั้น นอกจากจะเข้ามาถึงในบ้านคนอื่นอย่างผิดวิสัยไม่ผูกมิตรกับใครจนสนิทสนมแล้ว แววตาที่อ้ายคุณชายขวัญสรวงทอดมองมาที่เขานั้น ไม่ใช่แววตาของคนสบายๆ ใจเย็นเป็นน้ำแบบที่ชาวบ้านพูดกันเลย

ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ แม้ความนิ่งขรึมจะยังคงอยู่ แต่ที่สะท้อนอยู่ในนั้นคือความแข็งกร้าว ห่างไกลจากความขี้เล่น จ้อยอ่านมันออก นั่นเป็นสายตาของคนที่พร้อมประหัตถ์ประหารใครก็ได้ทุกเมื่อ และที่จ้อยสงสัยก็คือมันหมายความว่าอย่างไร

คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เพ่งมองไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอย่างสำรวจ กวาดตามองไปรอบๆ เหมือนเสาะหาอะไรบางอย่างให้แน่ใจ กระทั่งพบกับภาพเคลื่อนไหวรางๆ เดินเรียบริมน้ำ ซึ่งเขาจำได้ดีว่านั่นคือใคร

ไอ้หม่อมราชวงศ์คนนั้นมาที่นี่อีกแล้วรึ

เห็นดังนั้น จ้อยก็เอ่ยปากเร่งให้ศักดิ์ออกแรงแจวเรือให้ไวขึ้น “ไอ้ศักดิ์ เอ็งพายให้มันไวๆ หน่อยสิวะ ชักช้า น่ารำคาญ”

ยิ่งเรือแล่นเข้ามาใกล้ ความเลือนรางที่เห็นก็ยิ่งเด่นชัด และเมื่อยิ่งมอง ความอึดอัดขัดใจก็ยิ่งลุกลามเหมือนมีใครจุดไต้มาสุมรุม เพราะเห็นได้ชัดว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันนั้นไม่ได้แค่เดินรับลมเล่มริมคลองเสียคนเดียวอย่างที่เข้าใจ ข้างกายนั้นคือคนที่ทำให้ดวงจิตดวงใจของจ้อยปั่นป่วนมาตลอดสองสัปดาห์ และไม่ได้เดินกันเฉยๆ แบบคนทั่วไปที่รู้จักกัน

อ้ายคุณชายนั่นกำลังมองเรียมด้วยสายตาที่หวานเสียยิ่งกว่ามดแดงจ้องผลมะม่วงสุก!

คล้ายจะเห็นว่าสายตาฉุนๆ ของนายไปหยุดอยู่ที่ใด คนแจวจึงหยุดเรือนิ่ง ศักดิ์พาดพายลงบนตัก หันไปทางเดียวกันกับจ้อย และนั่งมองภาพนั้นเงียบๆ





แดดยามบ่ายลอดแสงผ่านเงาไม้ กระทบผิวน้ำคล้ายเพชรมงกุฎระยิบระยับ เหนือเปลวแสงวับวาวมีดอกบัวขาวบานสล้างประดับเป็นยอด คลี่กลีบดอกแย้มเรียงเลียบคลองบางกะปิ สลับกับยอดผักบุ้ง ผักกระเฉด เรียงรายเป็นพรมถักประณีตปูเหนือระลอกน้ำ

หลังจากช่วยกันนำต้นไม้ทั้งหมดลงดิน เจ้าของบ้านผู้พี่ก็เชื้อเชิญให้เพื่อนบ้านอยู่ร่วมรับประทานอาหาร โดยมีคุณเริญ คุณเรียม และขวัญสรวงร่วมรับมื้อเที่ยงด้วยกัน ส่วนอธิปนั้นขอตัวไปจัดการธุระเร่งด่วนและตรวจตราความเรียบร้อยต่างๆ ในบ้านหลังจากที่ไม่อยู่หลายวัน

นมละเอียดแสดงฝีมือทำอาหารฝรั่งเสียหลายอย่าง ทั้งซุปใสแบบฝรั่งเศส สลัดอกเป็ดกับน้ำสลัดสูตรเฉพาะ และสเต็กปลาทอดราดซอสเนย นางประยุกต์โดยใช้ปลากะพงขาวแบบไทยๆ แทนที่จะเป็นลิ้นหมาแบบต้นตำรับ อร่อยเหาะจนทุกคนเอ่ยปากชมเสียหลายครั้ง ก่อนจะปิดท้ายอาหารมื้อเที่ยงอันบริบูรณ์ด้วยของหวานแบบไทยๆ อันได้แก่ ขนมชั้นพับเป็นลายดอกกุหลาบและกล้วยไข่เชื่อมราดหัวกะทิเค็มปะแล่มที่เคี่ยวพอขึ้นข้น

หลังจากนั้น บทสนทนาบนโต๊ะอาหารก็เป็นไปอย่างเพลิดเพลินจนกินเวลาหลายชั่วโมง ขวัญสรวงเพิ่งทราบว่าคุณเริญนั้นมีอายุเท่ากัน แต่สมรสแล้วเมื่อปีกลาย ไม่ได้ครองสถานะโสดอีกต่อไปเช่นเขา ส่วนอธิปนั้นอายุน้อยกว่าหนึ่งปี ชายหนุ่มทั้งสองคนจึงนับกันเป็นสหาย ไม่เรียกกันว่าคุณหรือคุณชายให้ห่างเหิน ขณะที่เรียมนั้น ถึงจะพูดน้อยเช่นเดิม นานๆ จะตอบสั้นๆ ว่า ‘ครับ’ แล้วก็กลับไปนั่งนิ่ง ทว่าดวงตากลมใสสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นก็มองอย่างสนอกสนใจ ล่วงเลยมาถึงเกือบบ่ายสองโมงจึงแยกย้าย

อธิปกลับมาอีกครั้ง เขาเอ่ยเชื้อเชิญเจ้าของบ้านผู้พี่เพื่อให้ตรวจสอบบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้าน ขวัญสรวงจึงปลีกตัวแยกมากับเรียมผู้น้องที่ปรารถนาจะออกมาเดินเล่นริมน้ำ

อาการตระแหน่แง่งอนจางหายไปพร้อมกับความหิวแล้ว คนตัวสูงยกมือไพล่หลัง เดินเคียงข้างบุรุษร่างเล็กกว่าไปช้าๆ ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ หลายครั้งที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววฉงน มีคำถามสะท้อนเป็นภาพซ้อนอยู่ในแววตา เรียมไม่เหมือนกับใครที่เขาเคยรู้จัก ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่พูดด้วยสายตา ไม่พูดจาเรื่อยเจื้อย แต่พูดเฉพาะที่คิดว่าสำคัญหรือประสงค์ใคร่รู้ให้คลายสงสัย

ครั้งหนึ่งเมื่อดวงตาหวานสวยคู่นั้นทอดมองไปหยุดที่ผีเสื้อตัวใหญ่โดยไม่ละสายตา ผีเสื้อตัวนั้นมีพื้นปีกสีดำ ปีกคู่หน้าเป็นสีเทา ส่วนปีกคู่หลังเป็นสีน้ำเงินเหลือบ โดดเด่นงามสง่ากว่าทุกตัว

“ผีเสื้อติ่งนางละเวง” เขาเอ่ยแทนใจอีกฝ่าย “ตัวผู้ จึงไม่มีติ่งห้อยที่ปลายปีก เรียกอีกชื่อว่าผีเสื้อถุงเงิน”

เห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่นานขยับเข้ามาใกล้ด้วยความสนใจ ขวัญสรวงจึงเอ่ยต่อ

“ที่ชื่อว่าผีเสื้อติ่งนางระเวงก็เพราะว่ามันมีปีกขนาดใหญ่ สวยสง่าเหมือนกับนางละเวง”

“นางละเวง?”

“เป็นตัวละครหนึ่งในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี นางละเวงวัณฬา เป็นหญิงฝรั่ง แต่งตัวด้วยชุดสุ่มขนาดใหญ่ แต่ตัวนิดเดียวเหมือนกับเจ้าผีเสื้อนี่แหละ” เขาอธิบาย “เมื่อก่อนแถวนี้มีมาก สมัยพี่ยังเป็นเด็ก ตามท่านพ่อมาที่นี่ จะเห็นผีเสื้อแบบนี้เต็มไปหมดที่ริมน้ำ ท่านพ่อของพี่บอกว่าพวกตัวเมียจะตอมดอกไม้ ส่วนพวกตัวผู้จะอยู่ตามริมน้ำ แต่เดี๋ยวนี้น้อยลงไปเยอะ นานๆ จะได้เห็นสักตัว”

เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองผีเสื้อตัวนั้นอยู่นิ่งนาน สักพักก็ตรัสถาม “จับมันไปเลี้ยงได้ไหม”

รอยยิ้มของผู้ชายตัวสูงผุดพรายขึ้นที่มุมปากทันที

อย่างที่ขวัญสรวงคิดไว้ไม่ผิด ลองชอบอะไรแล้วก็อยากได้เป็นเด็กๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นโอบสะเอวของคนที่ยืนเคียงข้าง รุนหลังให้ขยับเข้าไปดูใกล้ๆ

“จับน่ะได้ แต่ปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติจะดีกว่า ไม่มีใครอยากถูกจับขังอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่นเพื่อนคุยหรอก จริงไหม”แววตาคู่สวยหม่นลงแทบจะทันที ขวัญสรวงสังเกตอยู่แต่แรกแล้ว เมื่อเห็น เขาจึงพูดต่อ “ถ้าอยากเห็นมัน ก็แค่ออกมาเดินเล่นอีก พี่จะมาเป็นเพื่อน”

เห็นแววตาคู่นั้นกลับมาสดใสอีกครั้ง เขาจึงประคองเรียมเดินไปข้างหน้าช้าๆ ก่อนจะเฉไฉวกกลับเข้ามาสู่เรื่องที่อยู่ในใจมานานหลายวัน “จริงสิ พี่ไม่เคยรู้ว่าน้องมีพี่ชาย อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกันกับพี่ หรือแม้แต่เรื่องของอธิป ก็ไม่รู้มาก่อนเลย จนได้ยินจากปากของคนเก่าคนแก่ในบ้านเมื่อไม่นานมานี้เอง”

“ตอนรับประทานอาหาร พี่เริญก็พูดนี่ครับ”

“นั่นก็ใช่” เขาตอบ อมยิ้มน้อยๆ “แต่อย่างน้อย ก็น่าจะเล่าให้ฟังบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้พี่เป็นกังวลเสียนาน”

เรียมลลิตรทรงนิ่งเฉย อยากจะทรงตอบแต่ไม่รู้ว่าจะตอบว่ากระไร กระทั่งเจ้าของรอยยิ้มกริ่มข้างๆ เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า

“ใจดำ”

พระขนงขมวดขึ้นราวกับจะบอกว่าทรงไม่เห็นด้วย หากแต่คนตัวสูงที่ยืนข้างกันนั่นเล่ากลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น เขายิ้มกว้าง เผยฟันขาวสะอ้านเรียงเป็นระเบียบ

“คนใจดำ”

เขายื่นหน้ามาย้ำอีกครั้งใกล้ๆ หู จนเรียมลลิตรวางสีพระพักตร์ไม่ถูก

อันที่จริงแล้ว ขวัญสรวงมิได้ถือโทษใดๆ กับเรียมแม้แต่น้อย เขาแค่แกล้งเย้า ส่วนหนึ่งก็เพราะเคืองที่เอาแต่มองผีเสื้อโฉบราชินีแห่งไม้น้ำไปมาจนแทบไม่มองมาที่เขาเอาเสียเลย เรื่องเริญ เรื่องอธิปก็ไม่เคยคิดจะบอก ปล่อยให้เขากลัดกลุ้มจนไม่เป็นอันทำอะไร อีกส่วนก็เพราะอยากกระเซ้าเย้าเล่นให้อีกฝ่ายโกรธ

โกรธ...แล้วเขาจะได้ง้อ ไม่มีกระไรมากไปกว่านั้น

คุณชายขัตตยพงศ์ซ่อนรอยยิ้มละไมไว้ในสีหน้าขรึมสุขุม “ก็ปล่อยให้พี่เป็นห่วงไม่ใช่หรือ ปล่อยให้พี่ต้องคอยเป็นกังวล ทั้งที่ทางนี้ก็มีคนมากมายยินดีเป็นธุระให้อยู่แล้ว ทั้งพี่ชายของน้อง ทั้งอธิป แต่น้องกลับปล่อยให้พี่ร้อนรน กลัวว่าหากคลาดสายตาแล้ว จะมีใครมาทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า”

ยิ่งเห็นสีหน้าไม่สบายใจของอีกฝ่าย ขวัญสรวงก็ยิ่งบอกกับตัวเองว่าการวางสีหน้านิ่งเฉยแบบเรียมนั้นช่างลำบากยุ่งยากเสียเหลือเกิน เช่นในขณะนี้ที่เขาพยายามอย่างหนัก ซ่อนอารมณ์เบิกบานบนหน้าจนเกร็งไปหมด และแม้จะอดทนอดกลั้นไว้ได้เก่งกาจเพียงใด ความรู้สึกส่วนลึกในใจนั้นช่างตรงกันข้าม ความสุขทำท่าจะไหลพรูเป็นน้ำตกที่ยากจะห้ามไม่ให้สายน้ำไหล

หากหม่อมแม่หรืออ้ายเยื้อนมาเห็นเข้า คงได้ล้อเขาสนุกปากเป็นแน่ แต่ที่นี่ไม่มีผู้ใด อาการซุกซนเป็นเด็กๆ จึงออกมาวิ่งพล่านรอบๆ ตัวคนหน้าเสียเช่นนี้

“แกล้งพี่ ไม่ใยดีเลย แบบนี้ ถ้าไม่ให้เรียกว่าใจดำ ควรจะเรียกว่าอะไร” เขาปิดท้ายด้วยดวงตาหวานฉ่ำและเสียงอ้อน

นิ่งไปสักพัก เรียมลลิตรก็ตรัสด้วยพระสุรเสียงเนิบช้า “ไม่ได้ใจดำนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้น พี่จะเชื่อ” เขาตอบเสียงเศร้า หลิ่วตามองสีหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยต่อด้วยใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม “แต่จากนี้อธิปก็กลับมาแล้ว ไหนจะเริญ พี่ชายแท้ๆ อีก พี่ชายข้างบ้านคงจะไม่จำเป็นอีกแล้ว”

สีพระพักตร์ของเรียมลลิตรขณะนี้ฉาบไปด้วยแววหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ทรงยืนเงียบ ตรัสอะไรไม่ออก

ตรงกันข้ามกับอีกคน บัดนี้ดวงใจของขวัญสรวงกำลังโลดแล่นด้วยความปิติปราโมทย์ อย่างน้อย เรียมก็แสดงให้รู้ว่าเขายังคงมีความสำคัญเพียงใด แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ขวัญสรวงแทบไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาคอยเฝ้าดูแลใกล้ๆ อีกแล้วก็ตาม

หลังจากตรึกตรองดูในพระทัยอยู่นาน จึงได้ตระหนักว่าต้นเหตุนั้นเป็นเพราะองค์เองเล่า เขาและคนอื่นๆ จึงต้องลำบากเป็นกังวล อีกทั้งยังต้องธุระให้มากถึงเพียงนี้ เรียมลลิตรตั้งพระทัยจะขอโทษคุณชายขวัญสรวง ยังไม่ทันตรัสก็ทอดพระเนตรเห็นเรือพายลำใหญ่หยุดนิ่งอยู่กลางลำคลอง แปลกเสียจริง เหตุใดจึงหยุดอยู่เช่นนั้นอยู่นานสองนาน อีกทั้งคนทั้งสองบนเรือก็เหมือนมองมาทางพระองค์อย่างไม่ละสายตา

ทรงพิจารณาอีกครั้งโดยถี่ถ้วน เมื่อทรงทราบว่าใครอยู่บนเรือลำนั้นก็ตรัสขึ้นด้วยความแปลกพระทัย “เอ๊ะ นั่นนายจ้อยหรือเปล่าครับ ผ่านมาแถวนี้หรือ มองมาทางนี้”

ขวัญสรวงมองไปทางท่าเรือฝั่งตรงข้ามทันที และเมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่เรือลำนั้น สัญชาตญาณบางอย่างทำให้ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกมายืนข้างหน้าคนตั้งคำถามโดยไม่รู้ตัว อารมณ์เบิกบานขี้เล่นเมื่อครู่เหมือนถูกกระแสลมพัดปลิวหายไปเสียสิ้น คงเหลือแต่แววตาที่นิ่งขรึมจนดูคล้ายเป็นคนละคน




(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 28-07-2015 19:07:22
(ต่อครับ)




เพราะเป็นวันหยุดตามตารางงาน พิษณุจึงไม่ได้เข้าที่กรมในวันนี้ พอมีเวลาว่าง เขาก็มีอารมณ์เบิกบานพอจะขันอาสาไปส่งพิรงรองที่โรงภาพยนตร์ด้วยความเป็นห่วงตามประสาพี่ชาย หญิงอุ่นเพิ่งกลับมาจากศึกษาที่ปีนังไม่นาน ไม่คุ้นกับที่ทางในจังหวัดพระนครนัก แม้ว่าจะมีกัลยา เพื่อนสนิทไปชมด้วย แต่เขาก็ไม่ยากวางใจ

พิษณุปฏิเสธที่จะร่วมรับชมด้วย เขามิได้มีอคติใดกับการรับชมภาพยนตร์ แต่ก็มิได้โปรดปรานกิจกรรมเหล่านี้มากเป็นพิเศษ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไปออกกำลังกายกับเพื่อนที่กรมระหว่างรอ และจะมารับเธอกลับเมื่อถึงเวลาเหมาะสม

เป็นเพราะเจอผู้หลักผู้ใหญ่ในกรมขณะจะกลับออกมา พิษณุจึงมาถึงช้ากว่าเวลานัดประมาณสิบนาที เขามองหาพิรงรอง เมื่อไม่พบก็จึงยืนรออยู่ที่นัดหมายก็ใจไม่ดีนัก แต่ก็ให้คิดว่าเธอคงไปรับประทานอาหารว่างกับเพื่อน ประเดี๋ยวก็คงจะกลับมา

ทว่าผ่านไปหลายนาทีพิษณุก็ยังไม่เห็นวี่แววของผู้เป็นน้องสาว จากที่คิดว่าคงไม่เป็นกระไรก็เริ่มกระวนกระวาย หากแต่เขาก็ยังคงสงบ เพราะวิสัยนายทหารที่หล่อหลอมมาแต่เล็ก พิษณุจึงรอบคอบมั่นคง ไม่คิดอะไรบุ่มบ่ามตื่นตูม

เขาคิดว่าบางทีตั๋วอาจจะจำหน่ายหมด และพิรงรองก็คงจะตัดสินใจดูหนังเรื่องอื่นซึ่งเข้าช้ากว่าก็อาจเป็นได้ แต่หากไม่ใช่ จะมีเหตุอันใดที่ทำให้หญิงอุ่นไม่อยู่รอเขาตามที่นัดกันไว้

เขาควรจะออกตามหา หรือควรรออยู่ที่จุดนัดหมายต่อดี พิษณุชั่งน้ำหนักในใจอยู่หลายนาที แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าควรจะเลือกหนทางไหนดีกว่า เขาจึงยืนอยู่กับที่ ไตร่ตรองทบทวนในใจ พลางเหลือบมองไปรอบๆ โรงหนังเป็นระยะ

กานต์มาตรวจตราความเรียบร้อยที่โรงภาพยนตร์ตามกิจวัตร เขาเห็นชายหนุ่มสวมเสื้อยืดคอโปโลสีเหลืองยืนไหล่ผาย หลังตรงสง่า ผู้ชายคนนั้นยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นมาเป็นชั่วโมงโดยไม่ขยับไปไหน นานๆ ทีจะเหลียวมองไปรอบๆ สักหนแล้วก็กลับไปยืนนิ่งเป็นรูปปั้นใหม่

กานต์เห็นเขาเหลือบมองรอบฉายภาพยนตร์ที่ติดอยู่ที่ผนังอยู่บ่อยๆ ดวงตาคมเข้มกะพริบเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ ความที่เป็นคนเข้าสังคมเก่ง มีอัธยาศัย ผนวกกับที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งนี้ด้วย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสอบถาม เผื่อว่าเขาคนนั้นจะต้องการความช่วยเหลืออะไร

“สวัสดีครับ มารับชมภาพยนตร์หรือครับ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า” กานต์ถามด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

ในตอนนั้นดวงตาสีเข้มเหลือบมามองทางเขาเหมือนงวยงง แต่กานต์ก็ยิ้มกลับอย่างเป็นมิตร และโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดสิ่งใด ชายหนุ่มก็เอ่ยเชื้อเชิญเขา

“ได้ชมเรื่อง ‘เงิน เงิน เงิน’ ที่คู่ขวัญ มิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์แสดงนำหรือยังครับ เรื่องนี้ เสด็จพระองค์ชายเล็ก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการทรงกำกับ ได้รับความนิยมที่โรงภาพยนตร์ของเรามากเลยครับ”

“มิได้ครับ” พิษณุตอบสั้น ด้วยว่าเกรงใจจึงไม่อาจเอ่ยออกไปว่าตนไม่ได้ชื่นชอบการชมภาพยนตร์เท่าไรนัก

ขณะที่กานต์ซึ่งเห็นแววตาอีกฝ่ายหลุบลงเหมือนหนักใจ จึงเดาว่าผู้ชายคนนี้คงรับชมไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ชื่นชอบภาพยนตร์แนวนั้นสักเท่าไร เขาจึงแนะนำอีกเรื่องซึ่งเป็นแนวที่ต่างกัน

“ส่วนเรื่องที่เพิ่งเข้าสัปดาห์นี้ก็คือเรื่องเจ้าเมือง นำแสดงโดยสมบัติ เมทะนีและพิศมัย วิไลศักดิ์ครับ เป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตการต่อสู้ สนุกไม่แพ้กัน”

ทว่าท่าทีนิ่งเฉยของอีกฝ่ายนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย กานต์รู้ว่าตัวเลือกของตนนั้นยังไม่ใช่ บางที ผู้ชายคนนี้อาจชอบภาพยนตร์จากต่างประเทศ

“ภาพยนตร์ฮอลลิวูดก็มีนะครับ เราพากย์เป็นภาษาไทย บันทึกแบบเสียงในฟิล์มครับ ฉายทันเกือบเท่ากับเมืองฝรั่ง”

“มิได้ครับ” เขาตอบทื่อ คราวนี้หันกลับมามองที่กานต์เป็นครั้งแรก “กระผมเพียงแค่มารับน้องสาวเท่านั้นครับ ไม่ได้ตั้งใจมารับชมภาพยนตร์”

เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแล้ว กานต์จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “น้องสาวของคุณชมเรื่องอะไรหรือครับ”

“ไม่ทราบครับ เธอบอกแค่เพียงว่าให้มารับตอนประมาณสี่โมงเย็น” พิษณุตอบ พลางเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือของตนเอง “นี่ก็เกือบจะห้าโมงแล้ว แต่ผมยังไม่พบ”

เช่นนั้น ที่นั่งก็มีมากมาย ไฉนจึงยืนเฉยเสียเป็นชั่วโมง คุณไม่เมื่อยบ้างหรือไร

นี่คือสิ่งที่กานต์อยากอยากจะถามนัก แต่เมื่อได้สังเกตใกล้ๆ ได้เห็นแวววิตกกังวลฉายชัดผ่านดวงตาคมเข้มคู่นั้น เขาจึงเลือกจะเก็บคำพูดเชิงเสียดสีนั้นไว้เพียงในใจ ผู้ชายคนนี้คงจะรักน้องสาวมาก หากมองในข้อนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ชวนน่าประทับใจไม่น้อย เขาเองก็เป็นถึงเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ควรจะมีมิตรจิตมิตรใจมิใช่หรือ

“ถ้าอย่างนั้นเชิญนั่งรอทางนี้ก่อนจะดีไหมครับ นั่งอยู่ตรงนั้นจะมองเห็นรอบๆ ได้ดีกว่า” กานต์ผายมือไปยังม้านั่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เห็นรูปปั้นค่อยๆ ขยับ จึงเป็นคนเดินนำไป

“มีเรื่องที่เพิ่งจบไปช่วงประมาณบ่ายสามโมงห้าสิบนาที ส่วนรอบต่อไปก็จะจบประมาณห้าโมงครึ่ง” เห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบ ไม่พูดไม่จา ก็ถามคำถามต่อ “คุณพอจะบอกให้ผมทราบได้ไหมครับว่าน้องสาวคุณมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เธอแต่งตัวแบบไหนในวันนี้ ผมจะให้เด็กๆ ช่วยดูให้”

สีหน้าของเขามีร่องรอยของความหนักใจ กระนั้นก็ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงกังวาน

“ขอบคุณครับ” เขานิ่งไปอีกพักหนึ่งเหมือนทำท่านึก ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาทีละประโยค “น้องสาวของผมอายุสิบเจ็ดปี ตัวค่อนข้างสูง ผิวขาว ดวงตากลมโต ผมยาวประบ่า ดัดเป็นลอนแบบสมัยนิยม แต่งตัวด้วยชุดประโปรงสีฟ้าอ่อน ผูกโบที่ผมเป็นสีเดียวกันครับ”

สิ่งที่ได้ยินสะกิดให้กานต์ชะงักไปนิดหน่อย ซึ่งพิษณุสังเกตเห็นในข้อนี้ จึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าคุณได้เห็นน้องสาวของผม”

ศีรษะของคนที่ทิ้งตัวลงนั่งก่อน ไหวช้าๆ ขณะที่ตอบคำถาม “ผมกำลังนึกทบทวนอยู่ครับ ตอนนี้นึกออกแค่เพียงหนึ่งคน แต่คิดดูแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ครับ”

กานต์ตอบตามความคิด เขาคิดว่าเห็นผู้หญิงลักษณะเช่นที่ผู้ชายคนนี้เอ่ยมาคนหนึ่ง แต่คิดอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

ชายหนุ่มยังจำได้ดีว่าหม่อมราชวงศ์หญิงพิรงรองเอ่ยถึงพี่ชายของเธอว่าอย่างไร

“พี่ของหญิงไม่เหมือนกับพี่ขวัญหรือพี่กานต์หรอกค่ะ พี่เป็นคนไม่ชอบกิจกรรมบันเทิงทุกรูปแบบ เฉยชา อย่างกับคนไม่มีความรู้สึก ชีวิตและลมหายใจมีแต่เรื่องทหารแล้วก็ทหาร วันทั้งวัน พี่พิษณุจะสวมเครื่องแบบทหารตลอดเวลาเลยค่ะ ขนาดอยู่ที่บ้านก็ยังใส่เสื้อยืดของทหาร ไม่เคยใส่เสื้อผ้าปรกติ จนหญิงคิดว่าเครื่องแบบพวกนั้นคงเป็นส่วนประกอบหนึ่งของผิวหนังพี่พิษณุไปเสียแล้ว”

ยังมีถ้อยคำเปรียบเปรยอีกมากมายทำนองว่าพี่ชายเป็นหุ่นยนต์บ้าง เป็นเรือรบบ้าง แต่ละอย่างไม่พ้นการสื่อถึงความเจ้าระเบียบแบบชายชาติทหาร ที่สำคัญ กัลยาน้องสาวของเขาเองก็มักจะนำมาเล่าสู่กันตอนที่เขาบอกให้เชิญชวนพี่ชายของเพื่อนสนิทมาดูหนังบ้าง

“คงไม่ละค่ะ หญิงอุ่นบอกพี่ชายของเธอไม่มีวันเข้ามาเหยียบโรงหนังแบบคนอื่นๆ หรอก ถ้าชวนไปยิงปืนเมื่อไร พี่พิษณุคงจะไม่ปฏิเสธ”

ตระหนักถึงข้อนี้ ความคิดที่ว่าจะเป็นคนเดียวกันนั้นจงลบทิ้งไปจากความคิด กานต์หันมาชวนอีกฝ่ายคุย เจตนาให้เป็นเรื่องขบขัน เพื่อคลายความกังวลเรื่องน้องสาวของชายหนุ่มคนนั้นลงไปบ้าง

“ที่ผมคิดว่าไม่น่าใช่ก็เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวผมเองครับ มาชมภาพยนตร์ที่นี่บ่อยๆ แต่ลักษณะของพี่ชายตามที่เธอเปรยให้ผมและน้องได้ยิน แตกต่างจากคุณมากเชียวครับ เธอมักบอกว่าพี่ชายของเธอเป็นหุ่นยนต์เสาไฟฟ้าบ้างละ เอาแต่ขลุกอยู่กับงาน ไม่มีความรู้สึกบ้างละ แล้วก็ไม่ค่อยออกไปไหน แถมหน้าเขาก็ดุอย่างกับยักษ์”

พิษณุชะงักไปกับถ้อยคำที่กระทบหูนัก ยิ่งอีกฝ่ายพูด เขาก็ยิ่งคิดถึงน้องสาวช่างเจรจาคนนั้น เพราะหญิงอุ่นมักจะเอ่ยเสียดสีถึงความแข็งกระด้างของเขาอยู่เป็นประจำ แต่ละคำ ตรงราวกับคาสเซ็ตต์บันทึกเสียง!

“แต่คุณไม่ใช่เลย ผมว่าคุณมีสายตาที่อ่อนโยน จึงไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกัน” กานต์สรุปในตอนจบ

พิษณุระบายลมหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอประทานโทษครับ เธอคนนั้นมีชื่อว่าอะไรหรือครับ”

“คุณหญิงอุ่นครับ หม่อมราชวงศ์พิรงรอง”

กานต์ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส หากแต่หัวคิ้วของอีกฝ่ายขมวดขึ้นจนเป็นปม ซ้ำยังถามกลับด้วยเสียงนิ่งๆ “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนหรือครับ”

ท่าทีนั้นทำให้เจ้าของโรงภาพยนตร์ตั้งใจมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นจะนึกอยากจะสะอึกขึ้นมาดื้อๆ ผิวที่คล้ามแดดนั้นพรางตาให้ลืมสังเกตถึงความจริงที่ว่า เค้าหน้าของชายหนุ่มนั้นก็มีส่วนคล้ายเหมือนกันอยู่ไม่น้อย แต่เป็นไปในทางเข้มขรึมของบุรุษเพศมากกว่าความอ่อนหวานแบบหม่อมราชวงศ์พิรงรอง

เอาละสิ!

กานต์กลืนน้ำลายเหนี่ยวๆ ลงคอ เอ่ยถามทั้งที่พอจะทราบคำตอบอยู่แล้ว “หรือว่าคุณคือ...”

ยังไม่ทันจะได้ยินคำตอบจากปากอีกฝ่าย เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งก็แว่วขึ้นมาแต่ไกล ตอบทุกความสงสัยจนกระจ่าง

“ท่านพี่” พิรงรองโบกมือน้อยๆ แล้วก้าวไวๆ เข้ามาหาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ท่านพี่มาถึงนานหรือยังคะ หนูอุ่นต้องขอโทษจริงๆ พอดีกัลยา เพื่อนของหนูอุ่นทำต่างหูที่คุณแม่ให้ตอนวันเกิดหาย หนูอุ่นเลยไปช่วยหาเป็นเพื่อน คิดว่าตกอยู่ที่ห้องน้ำ แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ จนมาเจอที่ร้านอาหารค่ะ มัวแต่ร้อนใจ เลยไม่ทันได้ดูเวลา” หญิงสาวหันไปสบตากับกัลยา เพื่อนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ

“จริงค่ะ หนูซุ่มซ่าม ทำตุ้มหูหล่น นึกเสียดายเลยช่วยกันหา”

“ใช่ค่ะ ดังนั้น วันนี้ท่านพี่ต้องห้ามเอ็ดหนูอุ่นนะเจ้าคะ” เธอขานรับเป็นพี่เป็นขลุ่ย

ปกติแล้ว หากพิรงรองแทนตัวเองว่า ‘หนูอุ่น’ แทน ‘หญิงอุ่น’ เมื่อไร พี่ชายก็จะอ่อนให้กับเธออย่างเห็นได้ชัด ทว่าคราวนี้พิษณุกลับยังมีท่าทีตึงแข็งไม่คลายจนเธอแปลกใจ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนหวาน “พี่ชายคะ”

เห็นสายตาประจบของน้องสาว มีหรือที่พี่ชายจะไม่ใจอ่อน พิษณุผ่อนลมหายใจ ตอบสั้น “หนูอุ่นไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

เพราะรู้ดีว่าพี่ชายไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เมื่อเขาตัดบทเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรอีก พิรงรองก็คลายความกังวลลงไป

หญิงสาวหันกลับมายิ้มให้กับชายหนุ่มที่นับถือเป็นเหมือนกับพี่ชายอีกคน เห็นเขานั่งเงียบผิดปกติ เธอก็ยิ้มให้แล้วเอ่ยแนะนำ น้ำเสียงยินดี

“นี่รู้จักกันแล้วหรือคะ พี่กานต์คะ นี่อย่างไรคะ คุณชายพิษณุ พี่ชายของหนูอุ่นเองค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” กานต์ตอบไม่ค่อยเต็มเสียง

คราวนี้พิรงรองหันไปทางพี่ชายของเธอ เอ่ยแนะนำกับพิษณุบ้าง “พี่ชายคะ นี่พี่กานต์ที่หญิงเคยพูดถึงบ่อยๆ อย่างไรล่ะคะ พี่กานต์ใจดี เป็นเพื่อนพี่ชายขวัญด้วยค่ะ นี่พี่กานต์รับปากว่าจะขับรถพาหญิงไปหาพี่ชายขวัญที่บางกะปิด้วย”

พิษณุสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งทื่อ น้ำเสียงที่เอ่ยก็แข็งไม่แพ้กัน “กระผมขอบคุณในน้ำใจมากครับ แต่บางกะปิก็ไกลอยู่มาก กลัวว่าจะรบกวนคุณกานต์เปล่าๆ ไว้พี่ขับรถพาหนูอุ่นไปเองนะ”

แต่ไหนแต่ไร กานต์ไม่ใช่คนเกรงกลัวกำแพงแห่งความห่างเหินอยู่แล้ว เขาเป็นคนทำธุรกิจเกี่ยวกับบันเทิง พบปะผู้คนหลายประเภท พูดจาเหมือนขวานผ่าซากบ้าง เจ้าระเบียบบ้าง หรือประเภทที่ไม่พูดอะไรเลยก็มี

แต่กานต์ไม่เคยถอยสักประเภท

“ไม่เป็นการรบกวนหรอกครับ ที่บางกะปิร่มรื่น อากาศปลอดโปร่ง ผมเองถ้าว่างๆ ก็ไปหาชายขวัญบ้างอยู่แล้ว” เขาตอบด้วยรอยยิ้มแจ่มใส

ผิดกับพิษณุที่เขม้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคมกริบ ชายหนุ่มกำลังพิจารณาถึงท่าทีกรุ้มกริ่มไหลลื่นเป็นธรรมชาติของอีกฝ่ายแล้วก็สรุปได้อย่างมั่นใจเลยว่าผู้ชายที่ชื่อกานต์คนนี้ เป็นคนเจ้าชู้ ไว้ใจไม่ได้ขนาดไหน

เขาคงไม่ติดอกติดใจอะไรมากถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่พี่ชายของกัลยา เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของพิรงรอง ซึ่งนั่นหมายถึงนายกานต์คนนี้ก็จะมีมิตรภาพระหว่างหญิงสาวทั้งสองคน เป็นสะพานแห่งสายใยชั้นดีทอดเทียบมาสู่น้องสาวของเขา

และตามประสาพี่ชายที่รักและห่วงน้องสาวเสียยิ่งกว่าชีวิต มีหรือที่พิษณุจะยอมให้กานต์ได้ก้าวข้ามผ่านสะพานนั้นมาสู่กลางใจของน้องสาวเขาได้ง่ายๆ

แต่ถ้าจะรั้นข้ามมาถึงอีกฝั่งให้จงได้ ก็ต้องผ่านปราการด่านหน้าอย่างพิษณุให้ได้เสียก่อน



+++++++++++++++++++++++++++



ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะครับ ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกัน
สำหรับตอนนี้อิพี่ขวัญยังคงความเกรียนอย่างต่อเนื่อง ส่วนน้องก็ตกเป็นเหยื่อไป
ตอนหน้าคงได้มีฉากปะทะระหว่างพี่ขวัญกับจ้อยมาเบาๆ
ส่วนพิษณุนี่เขียนไปก็เหนื่อยใจไป พยายามกดไม่ให้ออกมาเท่าไหร่
กลัวว่าจะเด่นข่มพระเอกของเรื่องไป พีเรียดกับคนในเครื่องแบบนี่ไม่ได้เลยจริงๆ ฮ่าๆๆ
ช่างนี้ระบบระเบียบชีวิตดีขึ้น ยังไงจะพยายามมาอัพให้ไวๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 28-07-2015 19:12:04
มาถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนนี้นี้กันบ้าง เริ่มต้นจากพาไล

(http://www.openbase.in.th/files/khonthai.com-pic031.jpg)
พาไลคือบริเวณที่เห็นในภาพ เป็นลักษณะเฉพาะของเรือนไทยในภาคกลาง
บักจ้อยจะชอบไปนั่งปั้นจิ๋มปั้นเจ๋อตากลมอยู่ที่พาไลตามประสาคนขยันตัวเป็นขน

ต่อมาก็คือผีเสือติ่งนางระเวง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Great Mormon
ที่เห็นในภาพนี้คือตัวเมีย จะมีติ่งห้อยลงมาจากปีกด้านล่าง
(http://www.biogang.net/upload_img/biodiversity/biodiversity-127716-3.jpg)

ส่วนอันนี้จะเป็นตัวผู้ เรียกอีกชื่อว่าผีเสื้อถุงเงิน สีจะเหลือบแวววาว
มองเผินๆ จะเหมือนตัวเมียสวยกว่า แต่เปล่าเลยครับ
เพราะว่าตอนขยับปีกบิน ตัวผู้จะสวยมากๆ เลย
(http://www.mx7.com/i/a7d/dRSWUi.JPG)

ส่วนนางละเวงวัณฬาอันเป็นที่มาของชื่อเนี่ย เป็นตัวละครในเรื่องพระอภัยมณี
เพราะแต่งตัวแบบฟู่ฟ่าจัดเต็มแบบตะวันตกนี่เองเลยเป็นที่มาของชื่อผีเสื้อนี้
ผีเสื้อติ่งนางระเวง และผีเสื้อถุงเงินเป็นผีเสื้อขนาดใหญ่
ปีกกางออกเต็มที่จะมีขนาดกว้างถึง 12-15 เซนติเมตร
ดังนั้นจึงเด่นมาก น้องเรียมเห็นแล้วอยากได้ไปเลี้ยงเองซะให้ได้

มาถึงโปสเตอร์หนังกันบ้าง นี่คือเรื่อง ‘เงิน เงิน เงิน’ ที่ทำสถิติรายได้สูงมาก
และได้รับรางวัลหลายรางวัล รวมทั้งรางวัลตุ๊กตาทองในปีถัดมาด้วย
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/178/25178/images/5_4_52BookFair37/moneyPoster.jpg)

ส่วนอันนี้เป็นเรื่องเจ้าเมือง สมบัติ เมทะนี และมี้ พิสมัย นั่นเอง
(http://www.thaifilm.com/imgUpload/reply304541_1.jpg)

สำหรับตอนนี้ น่าจะมีแค่นี้นะครับ พบกันใหม่ตอนหน้าเน้ออออ... ^ ^
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 28-07-2015 22:16:30
ยังยืนยันคำเดิมว่าเอ็นดูเรียมลลิตรมากจริงๆ ค่ะ น่ารักน่าหยิกน่ากอดมากๆ  :กอด1:

ว่าแต่จ้อยกำลังสับสนในตัวเองใช่หรือเปล่าเนี่ย 55555555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 28-07-2015 23:01:56
เรียมทำไมน่าหยิกถึงเพียงนี้คะ! น่ารักที่สุดในโลกอะคนอะไรรร ก็คงไม่ผิดถ้าจะมีหนุ่มๆสาวๆรุมตอมคิคิ ส่วนพี่ขวัญชอบแกล้งน้องเรียมอ่าเดี๋ยวจะโดนงอนจริงจังนะยะหึหึ

ส่วยนายจ้อยถ้ามาร้ายก็อย่าพายเรือมาค่ะ อยู่บ้านเห๊อะ และนายพิษณุ เราว่าเราชอบนะ(แต่นางคงมาชอบนุ้งเรียมของเราแหงมๆโฮฮ) พี่แกดูพระเอ๊กพระเอกจัง ดีงามจ้า
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-07-2015 00:19:31
หวังว่าพี่ชายจะกันทาได้นะ ไม่ใช่ไปตกหลุมซะเอง 555

เรียนน่ารักน่าเอ็นดูจริง >< หลงให้หมดทั้วคุ้งทั้วเเคว
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 29-07-2015 01:58:07
พิษณุกับกานต์รึป่าวอะคะ
จะลุ้นขึ้นรึป่าวเอ่ย 5555

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 29-07-2015 05:38:30
อ่านถึงคุณชายขวัญพาลทำให้นึกถึงปลาไหล  ลื่นไปได้เรื่อยกับน้อง

คู่รองออกแล้วหรือเปล่าเอ่ย

สมัยยังเป็นวันรุ่นอยู่เคยคุยกับคุณยายเรื่องมิตร ชัยบัญชา คุณยายก็บรรยายให้ฟังว่าหล่อเหลายังไง  เล่นหนังนี่คุณยายต้องหาโอกาสไปดูทุกเรื่อง   คุยเพลินจนคุณตาเดินเข้ามาได้ยินก็โกรธคุณยายเป็นฟืนเป็นไฟ จำได้คุณตาว่าคุณยายแรงๆว่าผู้หญิงดีๆที่มีสามีแล้วเขาไม่มานั่งพร่ำเพ้อถึงผู้ชายอื่นหรอกนะ     ติ่งดาราสมัยนั้นก็คงได้แค่นี้แหละค่ะ

คุณอุ่นเรียกพี่ชายว่าท่านพี่นี่ไม่ชินเลยค่ะ   แค่เรานะคะ  ไม่ได้บ่นอะไรหรอกค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 29-07-2015 08:09:03
โถ น้องเรียม อยากให้น้องเรียมพูดคุยแสดงความรู้สึกกับพี่ขวัญอีกนิด
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 29-07-2015 20:28:57
สนุกค่ะ ละเมียดมาก
อ่านแล้วเหมือนลอยตัวเอื่อยๆในลำธารเย็นๆ มีปลาตอดเท้าเพลินๆ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๑ ♫ ♬ ♪ (๒๘ กรกฎาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: theG ที่ 30-07-2015 11:05:48
เพิ่งได้มาอ่าน อย่างแรกเลยก็คือ นับถือในการใช้ภาษาค่ะ  :katai2-1:
ยอมรับว่าบางอันเราอ่านก็ไม่เข้าใจบ้าง แต่จะพยายามค่ะ 5555555 (แต่มันก็ยากจัง) TT

พี่ขวัญตอนแรก แอบคิดไปเองว่าคงสุภาพบุรุ๊ษษษษษสุภาพบุรุษ ที่ไหนได้...  :-[ ร้ายนี่หว่าคุณพี่ ฟฟฟฟ
เดี๋ยวก็เนียนจับมือ นั่งตัก กอด หอมแก้ม จูบ โอ้ยยย นี่ถ้าเป็นน้องเรียมคงละลายตายไปแล้วววว

ส่วนเรื่องจ้อยนี่จะเอาไง เอ็งอย่ามาร้ายนะเฮ่ยยย ตอนแรกแอบเห็นใจเล็กๆ เพราะเห็นว่าเป็นหมาวัดมองดอกฟ้าหรอกนะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังนะ ชิชะ

ส่วนนางจันดี ... บาย บาย บาย ไม่ได้อะไร แต่คิดว่าต่ำต้อยอย่างนางคงไม่มีทางเทียบเคียงน้องเรียมได้อยู่แล้ว เราเบาใจ (มั้ง)

ส่วนพี่พิษณุ...ขอให้ตกหลุมที่ชื่อกานต์เร็วๆนะ จะรอดูคนหวงน้องต้องเสียศูนย์ 555

รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่ออยู่นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-08-2015 21:40:41
ตอนที่ ๑๔




จ้อยพูดห้วนๆ กับบ่าวคนสนิทให้เทียบเรือขึ้นไปบนฝั่ง นึกอยากจะเผชิญหน้ากับความผยองของไอ้คุณชายวางท่านั้นดูสักครั้ง เอาให้รู้กันไปว่าไอ้จ้อย ลูกกำนันจงรักคนนี้ก็เป็นชายชาตรีองอาจ ไม่หวั่นเกรงผู้ใดทั้งสิ้น แต่ไอ้ศักดิ์กลับฝ่อ บอกว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้พวกสกุลเจ้า เขาจึงฮึดฮัดขึ้นมาทันที

“เออ ดี! ใครก็แตะมันไม่ได้ อีกหน่อยคนทั้งบางกะปิไม่ต้องยกมือกราบตีนมันเช้าเย็นหรอกหรือ”

“อพิโธ่! มันจะเป็นอย่างนั้นได้กระไรเล่าครับ ถ้าพวกชาวบ้านจะไหว้กราบ ก็มาไหว้เจ้านายของไอ้ศักดิ์ไม่ดีกว่าหรือ เห็นช่วงจะลงข้าวใหม่ทีไรก็แห่มาไหว้ปลกๆ กันถึงที่บ้าน ถ้ากำนันจงรักไม่เมตตาก็อดตายกันทั้งนั้น จริงไหมครับ” ศักดิ์รู้นิสัยของจ้อยดี จึงยกเอาข้อนี้ขึ้นมาพูดเหมือนค่อยๆ เอาน้ำเย็นราดลงบนถ่านที่กำลังร้อน “ลำพังแค่คุณจ้อย คุณชายขวัญสรวงไม่มีทางสู้ได้อยู่แล้ว นี่คุณจ้อยยังมีไอ้ศักดิ์คนนี้อีกทั้งคน มันจะไปคณามือได้ยังไงเล่าครับ”

คำพูดที่ได้ยินทำให้จ้อยเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด แต่โทสะก็ยังไม่ดับ “ถ้าอย่างนั้น เอ็งก็รีบพายเรือไปเทียบที่ท่านั้นสิวะ!”

“แล้วคุณคนนั้นเขาจะไม่ตกใจหรือครับ” ศักดิ์ถามขึ้น พอเห็นคนเป็นนายเงียบ ก็รีบพูดต่ออย่างที่ได้ยินมาจากคุณนายสะอิ้ง “กระผมเคยได้ยินคุณนายสะอิ้งพูดว่าบ้านนี้มีบารมีในพระนครนัก ตอนนี้พ่อกำนันกับคุณนายอยากจะให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้มีแต่อำนาจ แต่เราก็เปี่ยมน้ำใจไม่แพ้พวกขัตติยพงศ์นั่น มีทั้งอำนาจ มีทั้งน้ำใจ พอทางนั้นเห็นในข้อนี้ เขาย่อมอยากคบหากับเรามากกว่าพวกเจ้าพวกเชื้อ แล้วทีนี้เรื่องคุณชายนั่นจะจัดการเมื่อไรก็ได้ครับ มันก็แค่เรื่องขี้ประติ๋วสำหรับคุณจ้อยของกระผมเท่านั้นเอง”

“แต่ข้าไม่ชอบ เห็นมันเสนอหน้าอยู่อย่างนี้ มันขวางหูขวางตาเหลือเกิน” จ้อยกระแทกเสียงดัง ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ เขาไม่สน

ข้อนี้เองที่ตรงกับแผนการของจันดีที่คุยกันเมื่อคราวก่อน ศักดิ์รอจังหวะนี้อยู่แล้ว จึงตอบอย่างว่องไว

“ถ้าเรื่องนี้กระผมพอจะมีแผนการอยู่บ้าง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระผมเถอะครับ คุณจ้อยอย่าได้เป็นห่วง ได้เรื่องยังไงจะรีบมารายงาน วันนี้แวะไปหาแม่ทิพย์ก่อนเถอะนะครับ ไม่ได้พบกันนาน ป่านนี้แม่ทิพย์คงจะคิดถึงคุณจ้อย นายของไอ้ศักดิ์คนนี้จะแย่”

แต่อารมณ์เบิกบานของจ้อยสิ้นไปแล้ว เขาจึงตอบกลับอย่างไม่ใยดี “ข้าไม่มีอารมณ์ เอ็งพายเรือกลับบ้าน ไปเดี๋ยวนี้”

“อ้าว แล้วข้าวของที่ซื้อมาพวกนี้ล่ะครับ” จ้อยหน้าเหรอ

ตามประสาคนที่ถูกตามใจ มีเงินทองใช้ไม่ขัดสนมาตลอด จ้อยจึงตอบไปว่า “เอ็งจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเอ็ง ข้ายกให้”

สิ้นคำสั่งของนาย เรือไม้ก็ค่อยๆ หมุนหัวเรือกลับ ทิ้งภาพของพระองค์เจ้าเรียมลลิตรและหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงไว้เป็นเพียงภาพลิบๆ ที่อยู่ด้านหลัง





ยามที่แสงเงินแสงทองทาบทอลงจากฟากฟ้า ย่อมเกิดทั้งแสงและเงา หากฝั่งที่ถูกผลักให้อยู่กับความหม่นมืดของเงานั้นคือจ้อย ขวัญสรวงก็คงเป็นฝั่งที่ได้รับแสงสว่างอันอบอุ่นนั้น

เขาลูบมือไปบนลำคอของโนอาห์ ม้าพันธุ์เธอโรเบร็ตเพศผู้ที่เป็นเสมือนเพื่อนคอยรับฟังเรื่องราวต่างๆ ในยามนี้ ขวัญสรวงไม่อาจบอกเล่าความรู้สึกขณะนี้กับใคร ขณะเดียวกัน หากจะเก็บกักเอาไว้แต่เพียงในใจ ความปราโมทย์โสมนัสก็ปรี่ล้นเกินกว่าจะทนได้ไหว กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้

“โนอาห์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าฉันทุกข์ร้อนกับเรื่องที่นายจ้อยทำท่าจะมารังควานอีกเพียงใด ฉันรู้ว่าครอบครัวของกำนันจงรักนั้นเหมือนกับสะเก็ดไต้ ตกที่ใดก็ร้อน พวกเขาไม่น่าไว้ใจเลย เฉพาะสายตาที่นายจ้อยมองมาที่เรียมด้วยโทสะนั้น ฉันมองไม่เห็นทางอื่นนอกจากการเผชิญหน้ากัน แต่ความกังวลของฉันแทบจะมลายสิ้นเมื่อเรียมตั้งคำถามกับฉัน”

พูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็อดจะยิ้มด้วยอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาไม่ได้

“เขากระซิบถามฉันว่า ‘พายของเขาหักหรือครับ จึงไปไหนไม่ได้’ ดูสิโนอาห์ เขาถามฉันแบบนั้น” ขวัญสรวงแผ่วเสียงลงเนิบและอ่อนหวานแบบที่ตนเองได้ยินมา

เขายังยิ้มอยู่อีกนานหลายนาทีกว่าจะปรับเป็นน้ำเสียงทุ้มกังวานในยามปรกติ “ดีแล้วที่ครั้งนี้นายจ้อยยอมพายเรือกลับไปโดยง่าย ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ยอม คงต้องมีเรื่องราวกัน”

อาชาสีขาวส่งเสียงเบาๆ และขยับเท้ากุบกับราวกับรับรู้ความหมายของแต่ละคำพูดของนาย ขวัญสรวงตบไปบนหลังคอของมันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจยาว เงาหม่นบางๆ เหมือนก้อนเมฆทาบลงบนดวงหน้าแจ่มใสเมื่อครู่

“โนอาห์ ฉันบอกกับตัวเองไม่ถูกเสียจริง ยิ่งฉันอยู่ใกล้เขาเท่าไรก็ยิ่งเห็นว่าจิตใจเขาช่างบริสุทธิ์และสะอาด ไม่อาจทันเล่ห์เหลี่ยมคนสมัยนี้ ฉันพลอยกังวลแทนเขาไปเสียหมด อยากเป็นธุระดูแลไปเสียทุกเรื่อง จนหนักเข้า ความรู้สึกนี้ได้กลายเป็นความหวงแหนไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ฉันกอด ฉันหอมเขา เริ่มคิดไปไกล ซึ่งไม่ควรเลย แต่จะฝืนหรือหยุดก็ช่างยากเย็น”

ขวัญสรวงพูดทุกความรู้สึกที่ไม่เคยแพร่งพรายออกมา หลั่งไหลเหมือนธารน้ำตก ไม่จบสิ้น

“ฉันคิดเรื่องนี้อยู่ทุกคืน คิดและคิด ฉันคิดถึงเขาเหมือนคนบ้า” คำพูดนั้นหยุดที่รอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นยากที่จะบอกได้ว่าเป็นยิ้มแห่งความสุขหรือเยาะหยันกับความคิดอันไม่สมควรของตน

หากแต่เมื่อได้ระบายความรู้สึกที่สั่งสมมานานออกจนหมด เมฆหมอกที่บดบังความแจ่มใสก็คล้ายจะถูกระลอกลมพัดไล่จนสลาย ขวัญสรวงหยักรอยยิ้มบางเบา หากแต่อิ่มล้นด้วยความสุขทั้งดวงใจ

“จะให้ฉันทำกระไร ก็เขาช่างน่ารักจริงๆ”





จ้อยยังคิดวนไปวนมาเกี่ยวกับเรื่องมาตอนเย็น จนบัดนี้เขายังไม่อาจหาคำตอบชนิดไม่มีข้อกังขาให้กับตัวเองได้ว่า แววตาที่คุณชายขวัญสรวงใช้มองผู้มาอยู่ใหม่คนนั้นหมายถึงอะไร ระยะที่ค่อนข้างไกลนั้นอาจจะทำให้เขาตาฝาด แต่อีกใจกลับแย้งว่าความรู้สึกของตัวเองไม่น่าจะผิด

เมื่อไม่มีคำอธิบายที่เหมาะกับใจ ชายหนุ่มจึงแจวเรือออกมายังที่เดิมอีกครั้ง มองชะแง้หลังคาบ้านหลังใหญ่ของเรียมราวกับว่าจะมีคำตอบใดๆ ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตรอบรั้วตรงหน้า

จ้อยเทียบเรือเลียบริมน้ำ มองอยู่นานจนมืดค่ำ จนกระทั่งเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่ศาลาริมน้ำ



เรียมลลิตรฉลองพระองค์เพียงผ้าขาวม้าเคียนไว้ที่พระกฤษฎี ย่างพระบาทช้าๆ เลี่ยงไม่ให้เป็นที่สังเกตไปยังศาลาริมน้ำเพื่อที่จะทรงแอบลองเล่นน้ำในคลองแบบคนอื่นๆ บ้าง

ในเมื่อหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงยังมาสามารถเล่นน้ำในคลองได้เช่นเดียวกับชาวบ้านปรกติ พระองค์ก็ควรจะกระทำได้เช่นเดียวกันมิใช่หรือ แล้วเหตุอันใดตอนที่ทรงทูลขอประทานอนุญาตกับองค์เริญจึงทรงห้าม แม้แต่นมละเอียดหรืออธิปก็ยังไม่เห็นด้วย

ไม่ยุติธรรม เรียมลลิตรดำริกับองค์เองอย่างนั้น พระองค์จึงรออยู่ในห้องจนถึงค่ำที่ทุกคนขึ้นเรือนไปแล้ว ผลัดฉลองพระองค์เพียงผ้าขาวม้าเช่นเดียวกับที่ทรงทอดพระเนตรเห็นจากขวัญสรวงเมื่อวานก่อน ผ้าขาวม้านี้ทรงได้มาจากการตรัสส่วนองค์กับแดง ต้นห้องคนหนึ่งในตำหนักเมื่อหัวค่ำ ด้วยทรงรู้ว่าแดงไม่ใช่คนช่างซัก ไม่ถึงสิบห้านาที นางก็นำผ้าขาวม้าผืนใหม่เอี่ยมเรี่ยมมาถวาย โดยที่ทรงไม่ต้องตอบคำถามซักไซ้แบบที่ทรงออกปากกับนมละเอียด

ยังไม่ทันถึงที่ศาลาริมน้ำดีก็ทอดพระเนตรเห็นนายจ้อย ยืนยิ้มกริ่มอยู่ที่ท่าน้ำ มีเรือที่ทอดพระเนตรเห็นเมื่อตอนบ่ายเทียบอยู่เบื้องหลัง พระอารมณ์เบิกบานเมื่อครู่ก็คลายออกโดยไม่รู้ตัว

ทรงรับปากกับหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงไปแล้วว่าจะทรงไม่สนทนากับนายจ้อยให้ทุกคนเป็นห่วงอีก หากแต่บัดนี้เขามาถึงเรือนชาน และที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดอีก พระองค์ควรทำอย่างไร จะทรงไม่ต้อนรับก็เสียมรรยาท กลายเป็นเรื่องบาดหมางโดยใช่เหตุ

ตัดสินพระทัยแล้วก็ทรงย่างพระบาทตรงเข้าไปในศาลาริมน้ำดังเดิม เรียมลลิตรไม่ได้ทรงยกพระหัตถ์กระพุ่มไหว้ เพียงแค่ตรัสด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ ปราศจากความก้าวร้าว “ฉันแต่งตัวไม่สุภาพ ต้องขอโทษด้วย ไม่คิดว่าจะพบคุณที่นี่”

ยังไม่ทันจะตรัสถามว่ามีธุระกระไร อีกฝ่ายก็ชิงพูดเสียแล้ว “ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ”

จ้อยก้าวขึ้นมาจากท่า เดินเข้ามายังศาลาริมน้ำ กวาดตามองไปรอบๆ สังเกตสังกา เมื่อไม่เห็นใครก็หันกลับมาจ้องมองที่คนตรงหน้า สายตาหลุกหลิกคู่นั้นแสดงออกอย่างเปิดเผยว่ากำลังไล่สำรวจร่างกายของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดวางตา

“ผิวละเอียดขาวเนียนอะไรเช่นนี้ ผู้ชายอะไร งามเสียจนผู้หญิงยังอาย” จ้อยพึมพำเบาๆ กับตัวเองด้วยความรู้สึกทึ่ง เขาไล่สายตาต่ออย่างไม่หวั่นเกรง มองและมอง สำรวจทุกรายละเอียด

ใช่เพียงจะงามลออแค่ผิวพรรณเสียเมื่อไร เนื้อตัวก็งามแอร่มอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม กิริยาก็ช่างสำรวมสุภาพเรียบร้อย ปากนิดจมูกหน่อย ใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มพริ้มเพรา น่ามองไปทั้งตัว แม้หน้าอกที่แบนเรียบเช่นเดียวกับเขา แต่ยอดถันก็ช่างระเรื่องามเป็นสีกลีบบัวแตกต่างจากจ้อยหรือใครต่อใคร

ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเองใกล้ๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายคนนี้ชวนหลงใหลเสียยิ่งกว่าสตรีใดๆ เสียอีก

เรียมลลิตรทอดพระเนตรเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่มองไม่หยุด ผิวพระปรางก็ซ่านขึ้นด้วยความอายจนแดงเรื่อ ทรงไม่เคยฉลองพระองค์ด้วยแพรพรรณน้อยชิ้นเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นมาก่อนจึงรู้สึกขวยเขินจนร้อนวาบไปทั้งพระพักตร์

หากแต่เมื่อทรงตรึกตรองดูแล้ว หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็แต่งตัวเช่นนี้ตอนสนทนากับองค์มิใช่หรือ นั่นคงเท่ากับว่านี่คือปรกติวิสัยของชาวบ้านปรกติกระทำกัน ในเมื่อแฝงองค์มาเป็นชาวบางกะปิ ก็ทรงต้องใช้ชีวิตได้เหมือนอย่างชาวบางกะปิเขาทำกันให้ได้

ทรงระบายพระอัสสาสะผะแผ่ว ฝืนตรัสถามสุภาพ “มีธุระอะไรหรือ”

“เอาไว้ทีหลังเถอะ” จ้อยเปลี่ยนเรื่องพูด จำละสายตาพร้อมกับปรามอารมณ์รัญจวนที่จู่โจมอย่างรุนแรงในอกจนร้อนวาบไปทั่วทั้งร่างขณะนี้

ชายหนุ่มสูดลมหายใจฟึดฟัด กดน้ำเสียงให้เป็นปรกติ “คุณเรียมสบายดีรึ”

เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองอีกฝ่ายอย่างสังเกต ตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นๆ “สบายดีครับ นี่ก็มืดแล้ว คุณพูดธุระเสียเถิด”

“จะไม่ถามไถ่กันหน่อยหรือว่าสบายดีหรือเปล่า”

จ้อยตวัดสายตาไปจ้องเขม็ง หากแต่เมื่ออีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง ซ้ำยังไม่มีวี่แววว่าจะพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่คิดสนใจจะเคี่ยวเข็ญอีก เปลี่ยนเป็นประชดเสียงแดกดันต่อ ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น

“อะไร้ จะไม่เชิญให้นั่งเสียหน่อยเชียวรึ บ้างช่องก็ออกจะใหญ่โต แค่น้ำใจจะแบ่งให้คนอาศัยในละแวกเดียวกันจะไม่มีให้กันบ้างเลยหรือไร” ทั้งน้ำเสียง ทั้งกิริยาท่าทางล้วนกระด้างจนทำเอาเรียมลลิตรอ่อนพระทัย




(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-08-2015 21:41:52
(อีกครึ่งตอนที่เหลือครับ)





จ้อยก็เดินไปนั่งโดยไม่ต้องรอให้ใครเชิญทั้งนั้น เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง นั่งขยับไปขยับมาพลางเหลือบมองไปทางอีกฝ่ายที่นั่งลงตรงเก้าอี้นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นระยะ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด จะมีก็เพียงสายตาของจ้อยที่เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด ขณะที่เรียมลลิตรนั้นยังคงความสงบสง่าไม่ไหวติง เป็นอย่างนั้นอยู่พักใหญ่จึงทรงได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นลอยๆ

“คุณควรจะแต่งตัวให้ดีๆ อากาศเย็น ประเดี๋ยวไม่สบาย”

“ไม่เอา” เรียมลลิตรตรัสตอบเนิบๆ

“นี่คุณจะนั่งอยู่อย่างนี้หรือยังไง”

“เดี๋ยวฉันจะเล่นน้ำในคลอง”

เล่นน้ำในคลอง? แบบนี้ใครผ่านไปผ่านมาก็คงได้เห็นไปทั่วน่ะสิ! จ้อยทำหน้าหงุดหงิดอยู่นับนาที สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นโผงผางด้วยอารมณ์อันแท้จริง

“จะบ้าหรือ ไม่กลัวโดนใครฉุดไปนอนด้วยหรือไงกัน คุณก็น่าจะรู้ว่าคนแถวนี้มันไว้ใจได้เสียทุกคนเมื่อไร ผมเองก็ไม่ใช่คนที่คุณจะไว้ใจได้ คุณเข้าใจคำว่า ‘นอน’ ไหม”

“เข้าใจ”

“นั่นละ ผู้ชายเรา ลองถ้าชอบใครก็อยากจะนอนด้วยทั้งนั้น”

พระขนงขมวดขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนจะค่อยๆ คลายกลับไปเป็นปรกติ ตรัสถามขึ้นว่า “ถ้าชอบก็ต้องอยากนอนด้วยหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แสดงออกด้วยวิธีอื่นไม่ได้หรือ”

จ้อยอึ้งชะงักไปหลายนาที เขากลืนก้อนน้ำลายลงลำคอแห้งผาก ถ้อยคำไหลลื่นแห้งแล้งอยู่ในเส้นเสียงเพียงเพราะคำถามนั้น

จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดทุกอย่าง ความรักใคร่ชอบพอไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยอารมณ์วาบหวานรัญจวนไปเสียทุกครั้ง ยังมีวิธีการแสดงถึงความรู้สึกหวานซึ้งจากหัวใจได้มากมาย แต่ที่เขาเลือกจะพูดไปอย่างนั้นมันคนละประเด็น ถึงตอนนี้จ้อยก็ยังไม่อยากจะยอมรับว่าที่พูดก็เพราะรู้สึกห่วงใยอีกฝ่ายมากมายล้นพ้น แต่ครั้นจะพูดไปตรงๆ ก็คงได้อับอายขายหน้า ผู้ชายจะมานั่งเป็นห่วงผู้ชายด้วยกันเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาในทางชู้สาวอย่างนั้นหรือ ตลกสิ้นดี!

“ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ชอบใคร อย่างน้อยก็ต้องพูด” เขายังดึงดัน ไม่ยอมแพ้จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายเงียบนิ่งไปนานอย่างใช้ความคิด

“คำพูดเองก็สำคัญไม่น้อยกว่าการกระทำสินะ” เรียมลลิตรตรัสขึ้นมาอีกครั้ง

“สำคัญสิ ถ้ารู้สึก อย่างน้อยก็ต้องบอกให้รู้”

“ฉันคิดว่าคนเรามีวิธีแสดงออกถึงความรู้สึกนั้นได้หลายวิธีเสียอีก”

อีกแล้ว จ้อยโดนต้อนจนสิ้นคำพูดง่ายๆ อีกแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะโดนรุกไล่ด้วยเหตุและผลแยบยลเช่นนี้ เขาพยายามหลีกเลี่ยงจะแสดงออกถึงความปรารถนาดีจากหัวใจอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ใครเลยจะคิดว่าอีกฝ่ายจะแหลมคมอย่างนั้น เช่นนี้แล้วจ้อยจะพูดอะไรได้อีก

“ว่าแต่ธุระที่ว่าคืออะไรหรือครับ”

จ้อยมองคนที่เอ่ยถามด้วยแววตาหม่นสลด ทั้งที่ใช้วาจาจาบจ้วงหยาบคาย แต่อีกฝ่ายกลับยังถามด้วยน้ำเสียงสุภาพสำรวม ทั้งยังไม่มีอารมณ์ดูถูกรังเกียจหรือโทโสแม้แต่น้อย ทุกสิ่งเหมือนยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อย ไม่มีอะไรจะไปตีเสมอได้เลย

‘เขาต่างกับเราถึงเพียงนี้ ถ้ายังวางตัวเป็นนักเลงบาตรใหญ่ก็ยิ่งจะไม่มีวันขึ้นมาเสมอกัน’ ตระหนักถึงความจริงในข้อนี้แล้ว จ้อยก็ไม่อาจปล่อยใจตนให้ไหลต่ำไปในความสามานย์ได้อีก จึงตัดสินใจพูดความจริงออกไปตรงๆ

“ธุระนั่นไม่มีหรอก ก็แค่พายเรือผ่านมา เห็นพอดีก็เลยขึ้นมาทัก”

เรียมลลิตรผ่อนพระอัสสาสะอีกครั้ง ตรัสเนิบช้า “ฉันขอบคุณในน้ำใจของคุณ แต่นี่ก็ค่ำแล้ว นายจ้อยกลับบ้านเถิด”

“ยังไม่อยากกลับ อยากนั่งอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ” เห็นเจ้าของบ้านพูดดีด้วยไมตรีจิต จ้อยก็ดื้อดึง ต่อโมงยามแห่งความสุขนี้ไปเรื่อยๆ

พึงใจแล้วที่จะนั่งมองเรียมด้วยแววตาประจบออดอ้อน ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำ จ้อยก็ยินดีนั่งมองไปอย่างนี้จนถึงเช้า เขาทอดสายตาอ่อนหวานอยู่อย่างนั้น เห็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลสวยมองเขานิ่งๆ อยู่หลายนาทีแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ถึงโตแล้ว แต่ลูกทุกคนก็ยังเด็กในสายตาของผู้ใหญ่ นายจ้อยนั่งอยู่ที่นี่ คุณพ่อคุณแม่ท่านจะเป็นห่วง”

นี่มันเหตุผลอะไรกัน! จ้อยทั้งนึกขันและนึกทึ่ง

ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้ ไม่เคยมีมาก่อน คนคนนี้แปลกเสียจริง มีความคิดที่บริสุทธิ์ใสสะอ้านได้อย่างเหลือเชื่อ และเช่นกัน น่ารักได้อย่างเหลือเชื่อทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย

จ้อยลุกขึ้นยืน ตรงเข้าไปหาคนที่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นตรงนั้นแล้วยอบตัวลงนั่งยองๆ กับพื้น มองหยาดน้ำค้างพราวใสในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น “ที่พูดแบบนี้ เป็นเพราะคุณเองเป็นห่วงผมอย่างนั้นใช่ไหม”

เรียมลลิตรตรัสตอบช้าๆ ด้วยพระสุรเสียงที่ปราศจากความรู้สึก “กลางคืนคลองแถวนี้มืดมาก ดึกกว่านี้พายเรือจะมองเห็นหรือ ฉันว่าอันตราย จากนี้ไปบ้านคุณ อีกไกลมิใช่หรือ”

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะลากลับ” จ้อยพูด ยิ้มกว้าง “แต่ช่วยตอบคำถามให้ผมได้สบายใจหน่อย พรุ่งนี้หรือวันอื่นๆ ผมจะพายเรือมาหาคุณเรียมที่นี่ ในเวลานี้ได้อีกหรือไม่”

ไม่มีเสียงใดๆ เอื้อนเอ่ยกลับ คนที่นั่งอยู่บนม้าเพียงแค่มองเขาอยู่อย่างนั้น

ผ่านมากี่นาทีแล้วกัน จ้อยถามกับตัวเองอย่างนั้นทั้งที่เพิ่งพูดจบไปหยกๆ เขาเผลอกั้นลมหายใจตัวเองขณะที่มองใบหน้านั้น ในระยะใกล้ๆ เช่นนี้

“นอนไม่หลับหรือ” ในที่สุด เสียงเนิบช้าก็ถามขึ้น

จ้อยเผลอดีใจไปกว่าเหตุทั้งที่ข้อความนั้นไม่ใช่คำพูดอนุญาตใดๆ เลย เขาคิดว่าอย่างน้อย เรียมก็ไม่ได้นึกรังเกียจเขาจนถึงขั้นไม่อยากพูดคุยด้วย ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับความยินดี เขาปะเหลาะกลับ

“ผมนอนไม่หลับ กลัดกลุ้มเหมือนสุมไฟมันทุกคืน ถ้าได้เพื่อนคุย ผมคงจะนอนฝันดี”

เรียมลลิตรไม่ได้ตรัสสิ่งใดอีก ทรงประทับบนม้านั่งนิ่งๆ กระทั่งมือของอีกฝ่ายเลื่อนมากุมพระหัตถ์ พร้อมกับน้ำเสียงปีติที่ดังกังวาน

“ผมจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้”

พูดจบแล้ว เจ้าของรอยยิ้มชื่นบานก็เดินกลับไปขึ้นเรือแต่โดยดี เรียมลลิตรทอดพระเนตรเห็นเรือไม้ของจ้อยค่อยๆ หายไปกับความมืดของคลองแสนแสบยามราตรี





คฤหาสน์ขัตติยพงศ์ในเวลานี้เงียบสนิท บ่าวไพร่ในเรือนกำลังเตรียมพักผ่อนจากวันที่กำลังจะผ่านพ้น สายบุญตรวจตราความเรียบร้อยในตึกฝรั่งแล้วก็เดินเข้าห้องนอนของนาง ตระหลบมุ้งลงมาจากข้างบน ล้มตัวลงนอน ขณะที่เยื้อนซึ่งมีหน้าที่สำรวจฟืนไฟห้องหับในเรือนไม้ปั้นหยาเองก็กำลังจะหลับเช่นกัน

คงมีเพียงแต่เจ้าของบ้านที่ยังคงตาสว่าง กระปรี้กระเปร่าด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ ขวัญสรวงนั่งมองพระจันทร์ทอแสงนวลเกี้ยวยอดไม้ ไม่ว่ากิ่งก้านจะไกวไหวเกลียวเช่นไร ก็ยังเห็นแสงบุหลันก็ยังคงทอดตัวมาใกล้ พรอดคำรักรำพันอยู่ทุกค่ำคืน

แสงแขก็คงไม่ต่างอะไรกับเขากระมัง คอยเอาตัวเข้าไปใกล้ใครคนนั้นอยู่เสมอ มีโอกาสก็เข้าไปอยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่มีโอกาส เขาก็สร้างโอกาสขึ้นเสียเอง ต้นไม้รอบของเรียมเป็นอาทิ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนขอบหน้าต่างขยับตัวอีกครั้ง หยิบฟลุตที่วางอยู่บนตักขึ้นมาเป่า

เสียงดนตรีหวานแว่วทำให้บ่าวไพร่ที่กำลังจะเข้านอนต่างอมยิ้มขึ้นมาโดยพร้อมเพรียง แต่เมื่อเพลงที่กำลังเล่นอยู่นั้นกลับแตกต่างไปจากทุกครั้ง สายบุญ เยื้อน หรือแม้แต่นางต้นห้องคนอื่นๆ ต่างก็แปลกใจ เพราะเพลงที่คุณชายขัตติยพงศ์กำลังบรรเลงอยู่ หาได้เป็นเพลงคลาสสิกแบบฝรั่งเหมือนทุกครั้ง กลับเป็นเพลง ‘แค่คืบ’  เพลงประกอบภาพยนตร์ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนั้น

...แค่คืบเท่านั้น ฉันให้งงงัน มิกล้าเอ่ย
พบกันทุกวันกับทรามเชย แต่ยังมิเคยจะเอ่ยบอกรัก

เสียงเพลงแผ่วพลิ้วกระซิบผ่านสามลมไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานหลังจากนั้น บ่าวไพร่ทุกชีวิตในรั้วขัตติยพงศ์ก็นอนหลับด้วยความสุข

จบเพลงแล้วแต่ถ้อยคำในใจนั้นยังล้นเอ่อ ขวัญสรวงนึกถึงใบหน้าของเรียม แล้วเริ่มเป่าฟลุตขึ้นมาด้วยความรู้สึกคิดถึง พ้นไปหนึ่งท่อน เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้

เจ้าของร่างสูงใหญ่ตรงไปยังโต๊ะทำงานเล็กๆ ในห้องนอน วางฟลุตลงบนนั้น แล้วหยิบกระดาษและดินสอขึ้นมาเขียนตัวโน้ตที่เพิ่งเป่าลงไปทีละวรรค ทีละห้องเพลง ทำซ้ำๆ อยู่แบบนี้จนกระทั่งถึงโน้ตตัวสุดท้าย

ขวัญสรวงแต่งทำนองเพลงขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ แต่ควรจะตั้งชื่อบทเพลงนี้ว่ากระไรนั้น ยังนึกไม่ออก

เขาทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ สิ่งใดที่จะสื่อได้ถึงเจ้าของดวงตากลมใสดั่งหยาดน้ำค้างคู่นั้นได้ ไพล่นึกไปถึงผีเสื้อปีกเหลือบสีน้ำทะเลสะท้อนแดดที่เห็นเมื่อตอนบ่าย เรียมชอบมันนัก และเขาก็ชอบมันเช่นกัน

ครุ่นคิดอยู่สักพัก มือกว้างก็จรดปลายดินสอลงไปบนกระดาษ เขียนด้วยรายมือเรียงเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อยว่า ‘เพลงปีกผีเสื้อ’

เขานั่งมองท่วงทำนองเพลงบนกระดาษ ตัวโน้ตแต่ละตัวล้วนเป็นถ้อยคำที่เหมาะกับใจ ขวัญสรวงเก็บมันลงในซองกระดาษอย่างดี วางเอาไว้ในลิ้นชัก แล้วนั่งอมยิ้มด้วยความรู้สึกสุขไปทั้งใจ

หากแม้ว่าเวลานี้ยังมีใครสักคนที่ยังคงตื่นอยู่ คนนั้นคงได้ยินเสียงทุ้มอ่อนหวานของใครคนหนึ่งกำลังร้องเพลงแค่คืบ ด้วยความหวานละไมในหัวใจ

“...แค่คืบจริงจริง เหมือนผีมาสิงอยู่ในอุรา
จนใจที่ปาก ฉันมิกล้า เอื้อนเอ่ยวาจา...ว่ารักเธอ”



++++++++++++++++++++++++++++++


จริงๆ แล้วตอนนี้เป็นตอนที่ยาวมากๆ นะครับ ถ้าลงไปพร้อมกันคงอ่านตาทะลักแน่เลย
เลยขอแบ่งออกเป็นสองตอนจะได้อ่านแล้วไม่ตาลายกันไปซะก่อน
ขอแบ่งไว้ครึ่งนึง ปัดเป็นตอนต่อไปดีกว่า จะพยายามมาอัพให้เร็วๆ นะ ฮือๆ

ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามอ่านกันครับ ตอนหน้าอย่าพลาดกันนะ
แต่งยากมาก  แต่งไปปาดเหงื่อไป มึนกับพวกคำราชาศัพท์ 555555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 04-08-2015 23:06:37
คุณเรียมคงไม่รู้ตัวว่าเหมือนให้ความหวังจ้อยไปแล้ว ...

พี่ขวัญเข้าคงเดือด :katai5:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-08-2015 23:14:42
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 05-08-2015 00:18:06
โอ้ยยย นึกว่าพ่อขวัญจะมาเจอ ดันเป่าเพลงอยู่ซะได้ มันน่าจับตีพ่อเรียมจริงๆ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 05-08-2015 02:02:01
อ่านตอนต้นแบบเบื่อจ้อยแล้วอะ อะไรนักหนา
ไปๆมาๆ โอ๊ยแกร แกมันพระรองชัดๆ
รอตอนต่อไปค่ะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 05-08-2015 02:04:50
จ้อยไม่มีถอยแน่งานนี้  ได้กำลังใจมาเพียบ เห็นเนื้อในคุณเรียมก่อนพี่ขวัญอีกมั๊ง
จะรอดูว่าจ้อยจะอัพตัวตนเพื่อคุณเรียมได้หรือเปล่า   คุณชายเป็นได้เหนื่อยแน่งานนี้
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 05-08-2015 07:00:54

นึกว่าพี่ขวัญจะลงมาเจอคุณเรียมเล่นน้ำคลองซะอีก  :o8:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 05-08-2015 10:52:09
เบื่อจ้อย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 05-08-2015 13:16:37
ต้องขอโทษจริงๆ ถ้าเราจะบอกว่าตอนนี้เบื่อเรียมมากกกกก
คนอะไรจะไม่รู้เดียงสาขนาดนั้น  :เฮ้อ:
พี่ขวัญก็บอกไปแล้วว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับจ้อย
นี่อะไรไม่หลบแล้วยังมาแก้ผ้าให้เขานั่งจ้องนั่งมองอีก
นี่ถ้าไม่โดนฉุดก็คงจะไม่รู้ตัวสินะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 06-08-2015 10:11:06
จ้อยเป็นคนแรกที่เห็นเนื้อตัวน้องเรียม..... แค่คิดก็สงสารพีีขวัญแทนแล้วอ่า เฮ้ออ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๒ ♫ ♬ ♪ (๔ สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 06-08-2015 23:20:12
เบื่อจ้อยยยยยยยยย
ไม่ชอบผู้ชายแบบนี้
แล้วน้องเรียมนี่ ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้
ว่าใครมาดีมาร้าย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 01-09-2015 13:26:18
ก่อนเริ่มตอนใหม่ขอเข้าสู่ช่วงคนเขียนขอบ่นหน่อยครับ  :o8:

ที่หายไปนี่เป็นเพราะอินเตอร์เน็ตที่บ้านเจ๊งครับ ตามช่างมาซ่อมปรากฏก็พังอีก
ปรากฏว่าช่างบอกว่าเราท์เตอร์เสีย ต้องซื้อใหม่ พอไปซื้อที่ศูนย์ รุ่นที่ให้ไวไฟได้เท่ากับที่ใช้อยู่หมด! ดี้ดี
งานก็เลิกค่ำมืด นี่เพิ่งไปซื้อมาได้เมื่อวันก่อน แต่ก็ยังติดไม่ได้เพราะคิวว่างของช่างไม่ตรงกับที่ว่างเลย
อันที่จริงตอนนี้แต่งเสร็จมาสักพักแล้ว แต่ลงไม่ได้เพราะแบบนี้นั่นเอง
จะแอบโพสต์ที่ออฟฟิศก็ไม่ได้เพราะว่าอยู่ไม่ติดออฟฟิศเลยสักวัน (วันนี้พอดีเข้าออฟฟิศเลยแอบโพสต์ซะเลย)

ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากส่งสายตาพิฆาตกัน บักจ้อยก็แจวเรือกลับบ้าน แต่แอบมาหาน้องเรียมใหม่ตอนดึก
บังเอิญว่าน้องก็ช่างประจวบเหมาะแอบหนีลงมาเล่นน้ำในคลองไปซะได้
ผลก็คือโดนบักจ้อยแทะโลมไปตามระเบียบ ซึ่งน้องเรียมก็นั่งคุยกับเขาเสียได้ วอนมาก
จะเป็นยังไงต่อ โปรดติดตามตอนต่อไปฮับ เป็นตอนที่ยาวหน่อย ตัวหนังสือก็แน่น ค่อยๆ อ่านนะ





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++





ตอนที่ ๑๕





“ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ชอบใคร อย่างน้อยก็ต้องพูด”

คำพูดของจ้อยยังคงติดค้างอยู่ในพระทัยของเรียมลลิตร ทรงสลัดไม่หลุดแม้จะผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว แม้การที่ทรงว่ายน้ำในคลอง ดำริกับองค์ว่าน่าจะสนุก แต่เมื่อพระทัยยังทรงพะวักพะวนอยู่กับหลากถ้อยคำเหล่านั้น เรื่องที่น่าเบิกบานพระทัยก็กลายเป็นเรื่องที่ทรงทำไปอย่างนั้นเอง

ทรงลอยองค์นิ่งๆ อยู่ในลำคลอง กระทั่งเงาตะคุ่มปรากฏขึ้นที่ท่าน้ำติดกัน เรียมลลิตรทอดพระเนตรร่างสูงกำยำค่อยๆ ก้าวอย่างผึ่งผายออกมาสู่ลำแสงสีเงินยวงของพระจันทร์ พระโอษฐ์จึงคลี่แย้มออก




เป็นอีกคืนที่ขวัญสรวงเบิกบานใจเกินกว่าจะข่มตานอน เมื่อหัวใจตระหนักแน่แก่ความรู้สึกอ่อนหวานอันมีต่อคนที่อยู่ข้างบ้าน ดวงจิตดวงใจก็เหมือนอัดแน่นไปด้วยห้วงอารมณ์ละมุนละไมจนไม่อาจหลับลงง่ายๆ

เขาลงในน้ำ ตั้งใจจะดำผุดดำว่ายจนกว่าจะลืมความคิดอันไม่สมควรนี้ ได้ข่มตาหลับลงเสียที

ขวัญสรวงวักน้ำเย็นๆ ในคลองขึ้นลูบหน้า พอหันพลิกตัวกลับ หมายมาดจะดำน้ำ ก็เห็นคนที่อยู่ในความคิดตลอดวันมาลอยอยู่ตรงหน้า ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าตัวเองคงตาฝาด แต่เมื่อมองดูชัดๆ ว่ามันหาใช่ภาพมายาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาด้วยห้วงความคิดถึงไม่ ความรู้สึกตกใจและดีใจก็จู่โจมในอกพร้อมๆ กัน

“เรียม” เขาเอ่ยขึ้นแล้วนิ่งไปนานเหมือนสรรหาคำพูดที่เหมาะควร อึดใจใหญ่ น้ำเสียงทุ้มนุ่มจึงค่อยๆ ถักทอถ้อยคำต่อ “ทำไมมาอยู่ที่นี่ น้ำเย็น เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

เรียมลลิตรแหงนพระพักตร์ ทิ้งองค์ลอยบนผิวนที พยุงพระวรกายเหมือนกับทรงว่ายน้ำอยู่ในท่ากรรเชียง เพียงแต่พระกรทั้งสองข้างแนบอยู่กับพระปรัศว์ มิได้ทรงตวัดวาดบนสายน้ำ

ครู่หนึ่งจึงตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา “ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส ผมอยู่สวิมมิงคลับในมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่ใช่ระดับนักกีฬา แต่ก็พอว่ายพอได้ ช่วงฮอลิเดย์ก็ไปว่ายบ่อยๆ”

ขวัญสรวงพินิจร่างประเปรียวที่ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำโดยละเอียด สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่ว่ายพอได้ แต่น่าจะเรียกว่าว่ายได้ดีด้วยซ้ำ ตระหนักได้เช่นนี้ความกังวลก็ค่อยบรรเทา แต่ก็ใช่ว่าจะหมดสิ้นเสียทีเดียว

“ที่นั่นไม่มีใครว่ายน้ำในคลองหรือแม่น้ำ เราว่ายน้ำกันในสระ ไม่นานก็ขึ้น นึกไม่ออกว่าประเทศไทย คนสามารถว่ายน้ำในคลองกันได้ทั้งวันนั้นเป็นไปได้ยังไง น้ำในคลองต่างกับน้ำในสระตรงไหน จนได้มาว่าย”

ตั้งใจจะทักท้วง แต่เมื่ออีกฝ่ายที่ปรกติไม่ค่อยพูดกลับเอ่ยเหมือนชวนคุย ใจของขวัญสรวงก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คำห้ามปรามในใจเปลี่ยนเป็นคำถามกลัดรอยยิ้มนิดๆ ขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“แล้วได้รู้หรือยัง”

ไม่มีคำตอบออกจากริมฝีปากฝาดสีเรื่อจนอิ่มนั้น มีแต่รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของผู้มองพองแน่นอยู่ในอก

เจ้าของรอยยิ้มนั้นกระพุ้งน้ำช้าๆ เคลื่อนตัวที่นอนหงายอยู่มาใกล้จนศีรษะที่ลอยเหนือริ้วน้ำ แนบลงกลางแผ่นอกของขวัญสรวง โดยปรกติแล้วเขาควรถอยตัวออกห่าง แต่ชายหนุ่มกลับยืนนิ่ง มองเรือนผมสีน้ำตาลเข้มคลี่สยายในสายน้ำ และเพียงเขายกมือขึ้นสัมผัสเบาๆ พู่ไหมเส้นเล็กละเอียดเหล่านั้นก็ช่างราวกับมีชีวิต เส้นผมหนานุ่มค่อยๆ สอดลอดผ่านนิ้วมือแต่ละนิ้วราวกับจะยั่วเย้า ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของมันก็ไม่ได้ต่างสักเท่าไรเลย

มือกว้างค่อยๆ ยกขึ้น ลากปลายนิ้วเคลื่อนผ่านเบาๆ จากใบหู ไล่ลงสู่คาง ดวงตาเข้มคมทอดมองใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่คืบด้วยประกายแห่งความอ่อนหวาน

สบตากัน ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบกันไปพักใหญ่ นึกขึ้นได้ก็รีบหลบสายตากันทั้งคู่

ขวัญสรวงเป็นฝ่ายที่ผลักสายตาของตนกลับไปยังดวงหน้างามดุจภาพวาดนั่นก่อน คลอเคลียอยู่อย่างนั้นในระยะที่ค่อยๆ บีบเข้าหากันทีละน้อยๆ จนเหลือไม่ถึงคืบ กระทั่งเสียงผะแผ่วแว่วขึ้น

“พี่ขวัญ” เรียมลลิตรเปล่งพระสุรเสียงขึ้น สบพระเนตรกับดวงตาอ่อนหวานคู่นั้นอยู่นิ่งนาน แล้วตรัสเรียบๆ “ผมชอบพี่ขวัญ”
คนได้ยินชัดเต็มสองหูผงะอึ้งไปหลายนาที ซ้ำยังเผลอกลั้นลมหายใจโดนไม่รู้ตัว ตาสบตา ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงจังหวะเร่งเร้าในอกที่ค่อยๆ แรงขึ้น...แรงขึ้น

คล้ายกับว่าละเมอเพ้อพกหรือหูแว่วไปเอง จู่ๆ ขวัญสรวงก็เอ่ยขึ้นราวกับได้ยินประโยคเมื่อครู่ไม่ถนัด

“เมื่อกี้...ว่าอะไรนะ”

“ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ชอบใครก็ต้องกล้าพูด เพราะคำพูดก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการแสดงออก”

ดวงตาคมเข้มดั่งสีของท้องฟ้าในเวลานี้จ้องมองคนตรงหน้าอยู่อึดใจ เมื่อตั้งหลักจากท่าทางและคำพูดของอีกฝ่ายได้ เขาก็จูงมือ รีบพาว่ายมาที่เรือที่จอดเลียบแอบอยู่ข้างๆ ท่าน้ำ



เรือลำนี้ถูกคลุมผ้าใบไว้ไม่ให้แสงแดดเลียจนไม้ดูเก่าชำรุดไวกว่าอายุการใช้งานที่ควรจะเป็น เมื่อก่อนจะไปไหนมาไหน ขวัญสรวงก็จะใช้เรือลำนี้ แต่สองสามปีที่ผ่านมา ถนนหนทางของบางกะปิเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนจำแทบไม่ได้ ขัตติยพงศ์นั้นไม่ใช่ลูกหลานบางกะปิแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาจึงถนัดเดินทางบนบกมากกว่าทางน้ำ เมื่อมีถนนลาดยางมะตอยตัดผ่าน มีทางสำหรับเดินได้สะดวกขึ้นมาก เรือจึงถูกเก็บไว้ ไม่มีใครสนใจ บริเวณที่เก็บเรือแห่งนี้ก็ร้างลาถูกลืมจากผู้คน ทั้งจากพวกขัตติยพงศ์ และชาวบางกะปิ

เขาจูงมืออีกฝ่ายว่ายหลบมาที่นี่ ตั้งใจจะพูดคุยไถ่ถามกันเสียให้รู้เรื่อง แต่เมื่อพอได้มาอยู่ใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ รินรดกันแบบนี้ ที่อยากจะพูดกลับพูดไม่ออก ขวัญสรวงเป็นฝ่ายหลุบสายตาหลบ จนอีกฝ่ายเป็นคนถามขึ้นเสียเอง

“พี่ขวัญรังเกียจหรือ”

รังเกียจนั่นหรือ เขาอยากจะหัวร่อนัก

ถ้าความคิดในเชิงต่อต้านนั้นบังเกิดเพียงเสี้ยวเพียงน้อยในใจ ขวัญสรวงคงสบายใจกว่านี้ แต่นอกจากจะไม่มีอาการดังกล่าวแล้ว เขายังทำตัวเป็นปรปักษ์ด้วยการก้าวไปยืนอยู่ในซีกความรู้สึกที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่รู้สึกเดียดฉันท์แม้แต่นิด ซ้ำยังรู้สึกปรีดาปราโมทย์เสียด้วยซ้ำ

ใบหน้าคมคายไหวไปมาเล็กน้อย ก่อนจะบ่ายเบี่ยงด้วยเสียงขรึมๆ “เอาไว้คุยกันวันหลังเถอะ ตอนนี้ขึ้นมาจากน้ำก่อน”

“ไม่เอา”

เห็นแววตาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ทั้งอ่อนใจ ทั้งหนักใจ น้ำเสียงจริงจังเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความอ่อนหวาน เอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ขึ้นมาเถิด เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ไม่เอา”

ขวัญสรวงพยุงตัวเข้าไปใกล้จนชิด ยกสองแขนสวมกอดร่างเล็กบางจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา กังวลเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ล้มหมอนนอนไม่สบาย ชายหนุ่มค่อยๆ ตะล่อมถามอีกครั้งด้วยความห่วงใย ไม่สบายใจ

“ตัวสั่นๆ ไม่หนาวหรือ”

“หนาว”

“หนาวแล้วทำไมจึงดื้อ ไม่ขึ้นไปข้างบน พี่เป็นห่วง ประเดี๋ยวจะเป็นหวัด”

“ตอนนี้อุ่น ไม่ค่อยหนาวแล้ว”

เจ้าของเสียงอ้อมแอ้มขานตอบผะแผ่วพร้อมหลุบหน้าลง คนตั้งคำถามจึงเพิ่งตระหนักถึงวงแขนของตนที่ตระกองกอดด้วยความห่วงใย ขวัญสรวงโอบร่างที่ฝังอยู่ในอ้อมแขนแน่นขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหลียวกลับมามองแบบเขินๆ ประเดี๋ยวมอง ประเดี๋ยวก็หลบสายตา เขาจึงเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าลงไปใกล้ จ้องมองดวงตากลมสวยคู่นั้น หนีไปทางใด ขวัญสรวงก็ดั้นด้นตามไปจ้องมองอยู่อย่างนั้นด้วยรู้สึกอยากต้อนให้จนมุม ดูสิว่าจะหนีไปไหนพ้น

แต่ใครเลยจะคิดว่าเมื่อยิ่งจ้อง ยิ่งมอง จะยิ่งกลายเป็นเขาเองที่ตกอยู่ในอาการเคอะเขิน ไม่อยากสู้สบตาเอาเสียเอง

ก็ความแวววาวที่สะท้อนอยู่ใต้แพงานตาหนางอนนั้นเล่าที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นเช่นนี้ ใช่เพียงแต่มันจะหยอกแสงสะท้อนของดวงจันทร์กลางฟ้าเสียเมื่อไร ดวงตาหวานสวยคู่นั้นดูจะกำลังหยอกเย้ากับห้วงอารมณ์ที่ยากจะสะกดกลั้นในใจของเขาให้กระโจนสู่ดินแดนแห่งความรัญจวนโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดีไปพร้อมๆ กันด้วยนี่สิ

หลายครั้งที่ขวัญสรวงออกคำสั่งกับตัวเองว่าให้เลิกมองดวงตาวาววับคู่นั้น แต่ห้ามเท่าไร ถ้อยคำที่ควรเปล่งออกมาได้อย่างเต็มน้ำเสียงก็กลืนหายไปสิ้น ได้แต่พูดเลี่ยงๆ ไปเสียทุกครา ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ถึงมาพูดกับพี่” เขาถามเสียงขรึม

ไม่มีคำตอบออกจากปากของอีกฝ่าย คนที่อยู่ตรงหน้ายังคงเงียบ มองสบตาเขาอยู่อย่างนั้นอย่างชั่งใจ

“เรียม น้องต้องบอกพี่ เกิดอะไรขึ้น”

“เมื่อกี้ จ้อยพายเรือผ่านมา เขาขึ้นมาคุยที่ศาลาริมน้ำ”

เพียงได้ยินเท่านั้น ดวงตานิ่งสุขุมของชายหนุ่มก็แทบจะโชนเป็นคบเพลิงร้อนแรงในพริบตา แต่คนพูดดูจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความร้อนที่แผดเผาจนทุรนทุรายอยู่ในใจของเขาเลย ใบหน้างามสง่านั้นยังนิ่ง ปราศจากความรู้สึกเช่นทุกครั้ง

“เขาบอกว่าลูกผู้ชาย ถ้าชอบใครก็ต้องกล้าพูด ยังบอกอีกว่า ผู้ชายเรา ลองถ้าชอบใคร ก็อยากจะนอนด้วยทั้งนั้น”

“เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน” ขวัญสรวงส่งเสียงตะกุกตะกัก ทั้งฉุน ทั้งตื่นตระหนก เขาทบทวนความคิด เมื่อแน่ใจว่าคุมอารมณ์โทโสได้นิ่งแล้วจึงเอ่ยถามให้มั่นใจ “จ้อยมาที่นี่ เขา...นายจ้อยพูด...เกี้ยวพาราสี ชวนน้องไป เอ่อ...นอนอย่างนั้นหรือ”

แทนคำตอบ เรียมลลิตรกดพระพักตร์ลงนิ่ง

ในทีแรก ความโกรธนั้นทำเอาเนื้อตัวของขวัญสรวงแทบสั่นเต้น เขาอึ้งไปพักใหญ่ด้วยกระแสอารมณ์อันหลากหลายที่บังเกิดขึ้นในใจพร้อมๆ กัน ทั้งโมโห ทั้งเป็นห่วง แต่ทั้งหมดนั้นกลายเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเทียบกับอารมณ์หวามไหวหลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ จ้อยมาที่นี่ เกี้ยวพาราสี เอ่ยชักชวนอย่างสามหาว ซึ่งด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง คงถูกเจ้าตัวปฏิเสธกลับไป แล้ว...

“ก็เลยมาพูดแบบนี้กับพี่หรือ” เขาเอ่ยสรุปเรื่องราวทั้งหมดออกมาเพียงประโยคสั้นๆ

“ครับ”

รู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างฟาดเข้ากลางกระหม่อมแรงๆ ขวัญสรวงกะพริบตาหลายครั้ง กลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงลำคอ แล้วเงียบงันไปพักใหญ่

“ผมอยากนอนกับพี่ขวัญ”

“ใครพูดอะไรก็เชื่อไปเสียหมดเลยหรือ หรือไม่คิดว่าจะถูกจ้อยหลอกเอาบ้างเทียว” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โกรธจ้อยก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็คือโกรธที่อีกฝ่ายช่างไร้เดียงสาจนน่าตีให้เข็ดเสียนี่กระไร และที่โกรธที่สุด คงไม่พ้นตัวเองที่อยากจะตำหนิคนตรงหน้าให้เข็ดหลาบ แต่ใจนั้นสิ อ่อนยวบจนพูดอะไรไม่ออกได้เสียทุกครั้ง

ขวัญสรวงพ่นลมหายใจกรุ่นด้วยโทสะ ตัดบทด้วยน้ำเสียงระอิดระอาใจ “คนแบบนั้นไปเชื่อถือคำพูดได้กระไรกัน”

“ไม่ได้เชื่อไปทุกคน แต่พอลองคิดดูแล้วก็เห็นด้วย เพราะรู้สึกแบบนั้น”

หมายความว่า... ขวัญสรวงขึ้นประโยคคำถามนั้นในใจ แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งที่อยู่ในความคิด อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้น

“เรานอนกัน ได้หรือเปล่า”

สีหน้าเรียบเรื่อย ดวงตานิ่งเฉย ทว่ารวงแก้มนั้นกลับปลั่งเป็นสีผลหมากสุก คนตัวโตถึงกลับหยุดลมหายใจที่ได้เห็นภาพนั้น แต่ขวัญสรวงก็สู้อุตส่าห์ทำเป็นไม่เห็น กลั้นใจตอบปัดไปด้วยเห็นว่าไม่สมควรจะฉวยโอกาสจากความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

“ไม่ได้ เพราะว่าพี่ไม่คิดจะนอนกับน้อง”

ความสงัดเข้ามาแทนที่ทุกสรรพเสียง เงียบจนแม้แต่ผู้พูดก็ยังรู้สึกใจหาย

ขวัญสรวงเงยหน้าขึ้นด้วยความร้อนใจ เห็นอีกฝ่ายสบตานิ่งอยู่ก็พูดอะไรไม่ออก เขาจะตอบว่ากระไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกัน ซ้ำยังรู้เรื่องรู้ราวกับคำพูดของตนแค่ไหน ชายหนุ่มไม่อาจมั่นใจได้เลย

ปีติในใจนั้นก็ใช่ แต่แล้วเป็นอย่างไร เขาก็จำต้องเก็บซ่อนเอาไว้ให้มิดเม้นด้วยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น...มิใช่หรือ

“เข้าใจแล้ว”

ในที่สุด ความเงียบงันอันน่าอึดอัดก็คลี่ออก ได้ยินแล้วขวัญสรวงก็ลอบถอนใจโล่งอก แต่ยังไม่ทันจะได้ผ่อนระบายความหนักอึ้งสักเสี้ยว คำถามใหม่กลับจู่โจมแทบจะทันใด

“แล้วเมื่อไรจะคิด”

“หา?” คนตัวโตร้อง

“ช่วยคิดเร็วๆ หน่อยได้ไหม”

อ้ำอึ้งอยู่สักพัก ขวัญสรวงก็ยืนยันคำปฏิเสธแข็งขัน “พี่หมายถึงไม่ ไม่แบบจะไม่เลย”

“ทำไม”

“เพราะเราทำแบบนั้นไม่ได้”

“ทำไม”

คราวนี้ชายหนุ่มถึงกับถอนใจจนหมดปอด เขาควรจะพูดว่ากระไรเล่า

“รู้หรือเปล่าว่า ‘นอน’ มันหมายถึงอะไร” ขวัญสรวงถามกลับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ดื้อดึงตอบแทบจะทันที

“ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ประสาอะไรเสียหน่อย โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ทำไมจะไม่รู้”

ก็นั่นแหละที่เรียกว่าเด็ก ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง จับหัวไหล่ของอีกฝ่ายพลิกกลับมาเผชิญหน้า “น้องพี่ ความรู้สึกพวกนี้ มันเป็นเรื่องที่มีไว้สำหรับผู้ชายแบบเราๆ ใช้พูดกับผู้หญิง”

“แล้วผมพูดกับพี่ขวัญไม่ได้หรือ”

“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ชายกับผู้ชาย”

“เราแค่ยังไม่ได้ทำต่างหาก แต่ถ้าทำก็จะเป็นไปได้” เรียมลลิตรตรัสกลับ ไม่ลดละ “ที่ต่างประเทศ ผมเห็นผู้ชายกับผู้ชายคบกันตั้งมากมาย”

“นั่นก็ใช่ แต่เราสองคนอยู่เมืองไทย เราเป็นคนไทย เป็นผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน คนไทยถือว่ามันคือสิ่งแปลกประหลาด ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้แบบเมืองฝรั่ง”

“เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้านั่นหรือ”

“เครื่องใช้ไฟฟ้า?” ขวัญสรวงทวนคำอย่างไม่เข้าใจ

“ครั้งหนึ่งคนไทยก็ไม่เคยเห็นโทรทัศน์ ตู้เย็น พัดลม ทุกคนมองว่าประหลาด เป็นเหมือนเวทย์มนตร์ของภูตผี แต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้จัก และเห็นว่าการมีโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือมีพัดลมไว้ที่บ้านเป็นเรื่องปรกติ ส่วนใครจะไม่มีก็ไม่ใช่เรื่องที่ถือว่าแปลก มิใช่หรือ”

ทรงตรัสทีละคำๆ พลางทอดพระเนตรสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายด้วยท่วงทีสบายๆ

“อย่างการประกวดนางงาม สมัยก่อนก็เป็นเรื่องน่าละอาย รับไม่ได้ แต่วันหนึ่งก็คนไทยนี่เองมิใช่หรือที่ส่งนางงามไปประกวดเวทีเมืองฝรั่ง จนคุณอาภัสรา หงสกุลได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาลกลับมา กลายเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาให้กับแผ่นดินไทย ทุกคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องดี ชื่นชมกันหลายวัน”

ความแยบคายเฉียบคมทำให้คนฟังได้แต่นิ่ง จนคำพูดจนแย้งไม่ออก ขวัญสรวงไม่เคยได้ยินใครพูดแบบนี้มาก่อน ประหลาดใจจนไม่คิดว่าจะมีคนคิดแบบนี้

“นั่นก็จริง” เขายอมรับ

“ผมเห็นว่าประเทศไทยกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต่อให้สิ่งนั้นเป็นการฝืนความเชื่อที่มีมานาน แต่ถ้าวันหนึ่ง ทุกคนได้รู้ความจริงว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรแบบที่คิดกันไปก่อนหน้า การที่ผมกับพี่ขวัญจะรักกันก็จะไม่ใช่เรื่องแปลก” เรียมลลิตรตรัสต่อเป็นจังหวะคงที่สม่ำเสมอ “อีกอย่าง สิ่งนี้ก็เป็นความรู้สึกที่ดี ไม่ใช่ความพยาบาทริษยา อยากให้คนอื่นเป็นทุกข์ ผมจึงไม่คิดว่าความรู้สึกผมเป็นสิ่งผิด”

น้ำเสียงนั้นไม่มีวี่แววของความอึดอัด ยังคงช้าเนิบ ดูเป็นการสนทนาปรกติทั่วไป คล้ายเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่ขวัญสรวงกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้อยคำทั้งหมดทั้งมวลนั้นช่างไม่ต่างอะไรกับคมหอกนับร้อยพันที่พุ่งตรงเข้าทะลวงทะลุหัวใจ กำแพงความคิดที่สร้างขึ้นเสียแน่นหนาก่อนหน้านั้น พังภินท์ลงจนแทบไม่มีเหลือ แต่ละถ้อยคำที่เอ่ยจึงไม่ได้เต็มน้ำเสียงอย่างทุกครั้ง

“ใช่ว่าทุกคนจะรับได้”

“นั่นก็ใช่ครับ แต่คนไทยเป็นคนมีเหตุผล เมื่อเข้าใจก็จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ เหล่านั้นเช่นเดียวกับที่ชาวต่างชาติยอมรับ ผมเชื่อว่าสักวัน ความรู้สึกระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจะกลายเป็นเรื่องปรกติ เหมือนการประกวดนางงาม เหมือนการมีเครื่องใช้ไฟฟ้า มีรถยนต์หรือเรือยนต์ในบ้าน”

ขวัญสรวงมองใบหน้าของอีกฝ่าย พินิจพิจารณา ปรกติแล้ว ชายผู้นี้มีวิธีพูดที่แตกต่างจากทุกคนที่เขาเคยรู้จัก นั่นคือการพูดผ่านดวงตา แต่ในครั้งนี้อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะใช้คำพูดในการสื่อสาร นั่นคงเป็นเพราะว่าเหตุผลเหล่านี้นั้นมีความจำเป็นและเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจ้าตัวอยู่ไม่น้อย ข้อนี้เองทำให้ชายหนุ่มตระหนักว่าความรู้สึกที่ต้องการเผยให้เขารับรู้นั้นเป็นเรื่องที่จริงจังเพียงไร หากแต่เขาที่ผ่านโลกมาเยอะกว่า ความอาวุโสของประสบการณ์ชีวิตทำให้ชายหนุ่มไม่อยากไว้วางใจ

“พี่เองก็เชื่อว่าสักวันคงเป็นเช่นนั้น ถึงเราจะยังไม่รู้จุดสิ้นสุดของระยะเวลาที่ว่าก็ตามที” เขาพูด “แต่เรียมเอย น้องเป็นคนไหวพริบดี ซื่อตรงต่อความรู้สึกกว่าใคร แต่น้องก็บริสุทธิ์นัก เราสองคนเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ความรู้สึกของน้องอาจเพียงเกิดขึ้นชั่วครู่ ไม่ได้หล่อหลอมผ่านกาลเวลา สั่งสมจนมั่นคงดุจหินผา จะแน่ใจได้อย่างไรว่าน้องรู้สึกแบบนั้นต่อพี่จริงๆ ไม่ใช่แค่อารมณ์หวั่นไหว”

ทั้งที่ลึกๆ ในใจก็หวาดกลัวกับความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แต่ขวัญสรวงก็จำกลั้นใจ ซ่อนความรู้สึกหวามไหวในใจของตนเองเอาไว้ใต้ความสุขุมแน่นิ่ง จวบจนกว่าจะมั่นใจแล้ว เขาจะไม่มีวันปล่อยให้มันเล็ดลอดออกมาทำร้ายทั้งตัวเอง และคนที่เขาห่วงใยกว่าใคร

เห็นอีกฝ่ายสบตานิ่ง เจ้าของเสียงทุ้มกังวานก็ทั้งปรามและท้วงให้สะกิดใจอีกครั้ง “น้องเป็นคนดื้อ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่เคยแพ้ก็จริง แต่โปรดอย่าแข็งกล้าเสียจนไม่รู้จักกลัวต่อสิ่งใดแบบนี้เลย พี่ไม่สบายใจ”

“ใจร้าย”

หากแต่ครั้งนี้ ยากเย็นเหลือเกิน

“พี่เปล่า ไม่เคยแม้แต่จะคิดสักครั้ง” เขาตอบคำสัตย์

“ใจร้าย”

ยากจริง...ยากมาก และยากขึ้นเรื่อยๆ เขาจะทนกับแววตาและน้ำเสียงแบบนั้นได้นานสักแค่ไหนกัน

“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องมาพูดกัน” มือเล็กๆ แกะอ้อมแขนที่โอบรอบของเขา แต่ขวัญสรวงกลับดื้อแพ่ง ยิ่งกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น

“เข้าใจว่าอะไร”

“เข้าใจก็แล้วกัน”

“ก็แบบนี้แหละที่ไม่เข้าใจ ฟังก่อน ฟังพี่” จากโอบประคองหลวมๆ ขวัญสรวงออกแรงกอดจนแน่น เต็มแขนทั้งสองข้าง

“ไม่ฟัง ปล่อยนะ”

“ไม่ ยังไงก็ไม่ปล่อย จะกอดมันแบบนี้แหละ”

เขาปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำ แต่เมื่อเห็นดวงตาหวานสวยคู่นั้นมีหยาดน้ำฉ่ำคลอขึ้นมา ส่วนแข็งในใจก็พลันโอนอ่อนโดนไม่รู้ตัว เผลอเผยความรู้สึกส่วนลึกออกมาทั้งหมด

“เรียม...พี่ไม่ได้ใจร้าย ไม่เคยคิดรังแกน้ำใจเจ้า ขอให้เจ้าโปรดรับรู้ไว้เถิด ความรู้สึกของพี่นี้ห่างไกลเกินกว่าความชอบ มันอาจไกลเกินที่เจ้าเคยคะเนถึง เพราะพี่รัก...รักเจ้าคนเดียว รักแบบที่ไม่เคยรักใคร”




(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 01-09-2015 13:28:07
(ต่อครับ)




เขาดึงร่างที่อยู่ในอ้อมแขนเข้าไปปะทะทรวงอก โน้มใบหน้าลงมาอิงแอบจนใกล้ สบตาคนตรงหน้าอย่างมั่นคง พลันน้ำเสียงห้าวทุ้มก็ทอดหวานชนิดที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน

“อย่าว่าแต่นอนด้วยกัน แม้แต่ยามตื่น พี่ก็อยากตื่นพร้อมกับเจ้า รับประทานข้าวคลุกน้ำพริกด้วยกัน ดูแลเจ้าทั้งยามดีและยามไข้ หน้าร้อนก็จะพัดวี นั่งข้างๆ เจ้า ให้เจ้าอิงหนุนไหล่ หน้าฝน จะเป็นกำบังไอแดด กระแสลมฝน ชี้ชวนดูรุ้งทอดโค้งที่ขอบฟ้า ครั้นพอถึงหน้าหนาว พี่ขวัญจะกอดเจ้าจนอุ่น ให้เจ้านอนหลับสบาย เช่นนี้ เจ้าจะยินดีหรือเปล่า”

ความรู้สึกเต็มตื้นปรี่ขึ้นมาในพระอุระของเรียมลลิตรจนหลั่งล้น อบอุ่นในพระทัยจนพระสุรเสียงกลืนหาย มิอาจตรัสสิ่งใดออกมาได้อีก ทรงเบือนพระพักตร์หนีจากพระอาการเขินอายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระนั้นลมหายใจอุ่นๆ ที่ผ่าวพรมไปทั่วพระศอ ตลอดจนน้ำเสียงนุ่มนวลที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอมั่นคงก็ยังคลอเคลีย วนและเวียนอยู่ไม่ห่างจากพระปรางแม้แต่น้อย

“พี่ฝัน เราจะอยู่ด้วยกันทุกๆ วัน เป็นเช่นนี้ไปจนแก่เฒ่า เจ้าคงไม่เคยรู้ พี่นี่เองที่นอกลู่นอกทาง ทั้งที่เจ้าก็เป็นผู้ชาย แต่กลับคิดไม่ซื่อเช่นนี้กับเจ้าอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที”

ดวงตาหวานเชื่อมทอดมอง จ้องลึกเข้าไปใต้แพขนตางอนงาม ขวัญสรวงยิ้ม...ยิ้มอย่างคนอ่อนอกอ่อนใจ

“เจ้าคงไม่รู้ว่าดวงใจของพี่รู้สึกอย่างไร และต้องต่อสู้กับจิตเบื้องต่ำอันไม่สมควรอย่างยากเย็นเพียงไรในตอนนี้”

เขาดึงมือของคนในอ้อมกอดขึ้นทั้งสองข้าง วางมันบนบนแผ่นอกแข็งแกร่งที่เต้นระส่ำ ลากให้มือคู่นั้นสัมผัสลูบไล้ไปมาช้าๆ ให้ความรู้สึกที่ร้อนผ่าวนี้ค่อยๆ ถ่ายทอดลงสู่ดวงใจของผู้เป็นเจ้าของมือทั้งสองนั้น

นับจากนี้ หากเมื่อมือคู่นี้ได้สัมผัสกับสิ่งใด ความอบอุ่นของหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ภายใต้อุ้งมือนี้จะติดตามไปทุกแห่งหน ให้เจ้าของมือคู่นี้ระลึกขึ้นได้ว่าที่แห่งนี้มีผู้ชายคนหนึ่งรักเขามากมายเพียงไร

ให้หัวใจที่เต้นโลดแรงนี้ กางกั้นทุกสิ่งที่สัมผัส นับแต่นี้ ไม่ว่ามือคู่นี้ได้แตะต้องผู้ใด หัวใจที่หวามไหวดวงนี้จะคอยขวางกั้น กำบัง ให้เจ้าของมือคู่นี้มิอาจสัมผัสกับความอบอุ่นใดได้อีกเลย

ให้มีแต่ผู้ชายที่ชื่อว่า หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ผู้นี้ แต่เพียงผู้เดียว




ขวัญสรวงไม่รู้เลยว่า ณ ขณะนี้เรียมลลิตรทรงรู้สึกหวามพระทัยเพียงไร ผิวเนื้ออุ่นๆ ที่อยู่ใต้ฝ่าพระหัตถ์นั้นอบอุ่นจนทรงไม่อาจละพระหัตถ์จากได้ ผิวกายเรียบลื่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ภายใต้นั้นคือหัวใจที่อุ่นจนร้อนจัด มันเต้นอย่างโลดแรงอย่างที่พระองค์ทรงมิเคยพบพานได้จากผู้ใด ทรงตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มพระพักตร์อิงแนบไปบนบ่ากว้างที่มั่นคงราวกับหินผานั้นราวกับเด็กน้อยโหยหาความอบอุ่นของแสงตะวัน

นิ้วเรียวยาวของขวัญสรวงบรรจงเอื้อมมาปัดแพผมที่กระจายไม่เป็นระเบียบอยู่บนหน้าผากโค้งมนนั้น เกลี่ยเรียงทีละเส้นๆ และทัดเข้ากับหลังใบหูสีระเรื่อ น้ำเสียงทุ้มห้าวยังคงทอดลงอย่างนุ่มนวล

“เจ้ายังไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม”

พระพักตร์นวลระเรื่อของเรียมลลิตรไหวสั่นช้าๆ พระเนตรหลุบลงทอดมองบนพระหัตถ์ทั้งสองข้างขององค์ที่ยังคงผนึกแน่นอยู่บนทรวงอกของหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงเหมือนต้องสาป

ทรงรู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นๆ ทั้งสิบที่ค่อยๆ เคลื่อนสอด แทรกผสานทีละนิ้วๆ จากหลังพระหัตถ์ มันกระหวัดรัดอย่างเชื่องช้าจนแนบแน่น มั่นคงละม้ายว่าจะหลอมจนเป็นผิวเนื้อเดียวกัน

ราวกับฝูงผีเสื้อบินโฉบบนผิวน้ำ ริมฝีปากอิ่มของขวัญสรวงประทับลงแผ่วเบา มันอ่อนหวาน และมิอาจนับครั้งได้ถ้วน ความรู้สึกดื่มด่ำลึกซึ้งค่อยๆ ถ่ายทอดผ่านการสัมผัสเนิบช้า กระหยับพลิ้วแอบอิง กระทั่งแนบสนิทนิ่งนานจนยากจะแยกออก กระนั้น คนตัวโตก็จำฝืนถอนถอยริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

หากแต่ความไม่อิ่มหนำกลับทำให้อดใจกลับไปจูบเบาๆ อีกครั้งอย่างนึกเสียดายไม่ไหว แต่คราวนี้จุมพิตนั้นเพียงแค่สัมผัสละมุนละไม ไม่ช้านานชายหนุ่มก็สู้ประคองอารมณ์หักห้าม ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดถลำ ขวัญสรวงจูบแผ่วๆ อีกครั้งบนใบหู กระซิบถามเหมือนคนจวนสิ้นแรง

“ความบริสุทธิ์ของเจ้ามีเพียงครั้งเดียว มีค่า แน่ใจหรือที่จะมอบให้กับพี่”

สีแดงซ่านขึ้นทั่วพระวรกายจนวูบร้อน เรียมลลิตรวางพระพักตร์อุ่นวาบ แนบลงกลางทรวงอกที่แข็งแกร่งและร้อนผ่าว ทันใดนั้นอ้อมกอดอบอุ่นก็เหมือนจะกลืนพระวรกายองค์จนหายไปในความอ่อนโยนนั้น

“พี่รักเจ้า” ขวัญสรวงเอ่ยกระซิบ “โปรดรับรู้ว่านี่คือคำพูดของลูกผู้ชาย เอ่ยแล้วไม่อาจคืนคำ พี่รักเจ้า ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร และความรู้สึกนี้จะมั่นคงตลอดไป ไม่มีแปรผัน นี่คือสัตย์สัญญา”




ชั่วเวลานั้นเองก็อัศจรรย์เกิดคล้ายหมอกธุมเกตุหมอกธุมเพลิงคลุมทั่วคลองแสนแสบ สีดุจหนึ่งควันไฟดอกไม้เพลิงแผ่กระจายไปรอบๆ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และมักเกิดขึ้นในช่วงหัววันก่อนเที่ยงหรือยามโพล้เพล้ ไม่เคยเห็นเกิดขึ้นในเวลานี้

แต่เล็ก ผู้หลักผู้ใหญ่มักบอกว่าให้ถือพระเกตุสำแดงเดช หมอกขาวจะลงจัดถึงเทียมหัวคนเดิน หนาทึบจนมองอะไรแทบไม่เห็น ด้วยท่านว่าเทพเทวาจะทรงดลให้บังเกิดตอนที่มีเหตุสำคัญๆ แต่เมื่อได้ไปศึกษาที่ต่างประเทศ ขวัญสรวงก็ได้เห็นเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่สามถึงสี่ครั้ง จึงสอบถามอาจารย์ผู้รู้ในมหาวิทยาลัยที่เขาศึกษาอยู่ คำตอบนั้นอธิบายว่าเป็นสิ่งบอกเหตุทางธรรมชาติถึงความผิดปรกติของลมฟ้าอากาศ ยิ่งคนทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่าไร ธรรมชาติก็จะยิ่งแปรปรวนมากขึ้นเท่านั้น

“หมอกลง” เรียมลลิตรตรัสขึ้น ทอดพระเนตรมองไปรอบองค์ ขาวโพลนจนแทบมองอะไรไม่เห็น ทรงกระชับพระหัตถ์กับต้นแขนมั่นคงของผู้ชายตัวโตที่อยู่เคียงข้าง พลันสัมผัสอ่อนละมุนก็แนบลงบนพระปราง เมื่อทรงรู้สึกองค์ ขึงพระเนตรกลับ จุมพิตอ่อนหวานนั้นก็ประทับลงที่เดิมอีกครั้งจนวูบวาบไปทั้งพระพักตร์อีกครั้ง

“ไม่ยุติธรรม พี่ขวัญเอาแต่เป็นฝ่ายจูบ ฝ่ายหอม”

“กอดด้วย” ขวัญสรวงต่อคำให้เสร็จสรรพ ใช่เพียงแต่พูดเปล่า เขารั้นวงแขนเข้ากระชับ เป็นผลให้เจ้าของผิวขาวนวลราวกับตุ๊กตากระเบื้องผู้นั้นแนบลงกับแผ่นอก ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มพร้อมความรู้สึกหวามหวาน เมื่อใกล้กันถึงเพียงนี้ คนตรงหน้าจะได้ยินหรือเปล่าว่าเสียงหัวใจของเขานั้นเต้นแรงเพียงไร

“แต่ผมก็อยากจูบพี่”

เสียงเนิบช้านั้นลงน้ำหนักจนขวัญสรวงหัวเราะคิกทันที ยิ่งเมื่อเห็นดวงตาหวานสวยที่แสนเฉยชาคู่นั้นแสดงออกถึงอาการไม่พอใจอย่างเปิดเผย ชายหนุ่มก็ยิ่งชอบอกชอบใจ เขายื่นหน้าออกไปจนใกล้ ห่างแค่คืบ จึงกระซิบกระเซ้า

“ถ้าเช่นนั้น น้องก็จูบพี่บ้างเป็นไร จูบเท่าที่ต้องการ พี่ยินยอมและยินดี”

จากที่เรื่อแดงเพียงพระปราง พระโลหิตกลับฉีดซ่านซับทั่วพระวรกาย พระฉวีขาวผ่องแทบจะกลายเป็นสีครั่ง เรียมลลิตรยกพระพักตร์อย่างลังเล เดี๋ยวทรงยื่น อีกเดี๋ยวก็ถอยกลับซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ทรงกลั้นพระอัสสาสะนิ่งนานจนเจียนจะขาดพระทัย จึงทรงยอมประทับพระโอษฐ์แนบบนริมฝีปากของผู้ชายตัวโตตรงหน้า แล้วทรงถอยกลับเร็วรี่ด้วยทรงมิอาจต้านทานความรู้สึกกระดากเขิน

จูบนั้นจึงแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นจูบ คล้ายกับว่าเป็นการแตะสัมผัสโดยบังเอิญเพียงเสี้ยววินาทีเสียมากกว่า ขวัญสรวงพิศมองคนหน้าแดงเสียยิ่งกว่าผลลูกหมากสุก กลั้นยิ้มอย่างยากเย็นแสนเข็ญ

“เท่านี้รึ”

ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่ตึงเรียบนั้น เว้นแต่สีหน้าที่แดงฉานขึ้นอีก

“อีกไหม พี่อนุญาต” ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาจนใกล้ ปลายจมูกแตะบนพวงแก้ม ลากคลอเคลียเบาๆ จนไปแตะที่ใบหู “หรือว่าเขิน”

“ไม่เขิน” เสียงหวานขานขับ เบือนสายตาหนี “ไม่เอาแล้ว พี่ขวัญเป็นคนจูบดีกว่า”

คำขอที่อ่อนหวานย่อมถูกตอบสนองด้วยความรู้สึกที่อ่อนหวานทัดเทียมและทันที ขวัญสรวงเคลื่อนศีรษะลงช้าๆ จูบไปบนริมฝีปากอุ่นอิ่ม ขณะเดียวกันสองมือก็ลูบลากสำรวจไปจนทั่ว อีกฝ่ายถอนหนี เขาก็ตามติดประชิดโดยไม่คิดคร้าน

จูบนั้นทำเอาเรียมลลิตรทั้งองค์มิทัน พระปฤษฏางค์เอนลงพิงกับกาบเรือเป็นที่ยึดพัก นับจากนั้นเพียงอึดใจ ผ้าขาวม้าที่ทรงเคียนไว้เหนือพระโสณิก็ถูกปลดออก เช่นเดียวกับพระกรทั้งสองข้างที่ถูกขึงพาดไว้กับกาบเรือ

มิทันจะได้ตรัสสิ่งใด จูบต่อมาก็ถูกประทับลงบนพระถัน โลมเลียอยู่ซ้ำๆ จนทรงบิดพระวรกายหลบหลีกด้วยทรงสะท้าน กว่าที่จะทรงรู้พระองค์ พระวรกายก็ถูกดันขึ้นนั่งอยู่บนลำเรือเสียแล้ว

ผ้าขาวม้าเปียกชุ่มถูกพาดไว้กับลำเรือแบบลวกๆ แล้วขวัญสรวงก็ผละหายให้แปลกพระทัยยิ่ง ความสงสัยนั่นหรือที่ผลักดันให้พยุงองค์ให้ขึ้นประทับด้วยพระกโบร พระเนตรจึงได้แลเห็นว่าเขากำลังผลุบลงไปในน้ำราวกับปลาที่ดำผุดดำว่ายอย่างแคล่วคล่อง

เช่นนั้นจึงทรงวางพระเพลาในคลองแสนแสบ ทอดพระเนตรจนทั่ว เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีขึ้นมาจึงตรัสเรียกด้วยทรงรู้สึกเป็นห่วง ทันใดนั้นจุมพิตอุ่นๆ ก็ประทับลงบนพระเพลาที่แช่อยู่ในน้ำ

ในคลองแสนแสบที่เย็นจับใจ จูบอุ่นๆ ของขวัญสรวงกำลังพรมไล่บนผิวขาวลออ ไล้ขึ้นมาช้าๆ ตั้งแต่หน้าแข้ง ลากเรื่อยมาจนถึงหัวเข่า เรื่อยไปจนถึงต้นขา สลับกันไปทั้งสองข้าง

“พี่ขวัญ”

“คิดถึงหรือ หรืออยากจะให้พี่จูบตรงไหน”

“บ้า”

ชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวหาว่าบ้าผุดขึ้นมาจากน้ำพร้อมรอยยิ้มชวนมอง เขาค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนลำเรือ ยืนทรงตัวอยู่สักพักกระทั่งลำเรือนิ่ง หายคลอน จากนั้นก็ปลดผ้าขาวม้าที่เคียนไว้ที่สะเอวออก

ร่างสูงใหญ่ยามต้องแสงจันทร์นวลนั้นชวนมองจนเกือบหยุดพระอัสสาสะ ลำคอของเขาตั้งตรงสง่าเป็นฉากกับบ่าและหัวไหล่ที่ขนานกับผืนนที แผ่นอกกว้างหนาเพียงไรจากทรงสัมผัสเมื่อครู่ ภาพที่เห็นด้วยสายพระเนตรในเพลานี้ก็มิได้ต่างเลย เขามีร่างหนาหนั่น แขนและขาทั้งสองข้างยาวสมส่วนและแข็งแรง เรียมลลิตรประทับสายพระเนตรอยู่อย่างนั้น นิ่งนานจนให้ละอายพระทัย

คนที่ถูกมองส่งยิ้มกรุ่นๆ กรามแก้มฝาดเป็นริ้วสีเข้มเพราะเลือดลมที่ซับใต้ผิวด้วยความรู้สึกเขินอยู่ในที เขายอบตัวลงนั่ง ก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้า ขึงแขนทั้งสองข้างคร่อมเจ้าของผิวนวลกระจ่างยิ่งกว่าแสงแขคนนั้น อึดใจต่อมา ขวัญสรวงก็จับมืออุ่นๆ ที่สั่นนิดๆ ของอีกฝ่ายขึ้นมา จับให้ลูบช้าๆ ลงไปบนหน้าท้องของเขา

เรียมลลิตรกลั้นพระอัสสาวะด้วยพระทัยที่โลดแล่น ทอดพระเนตรพระหัตถ์ที่ลูบลากช้าๆ บนระลอกลอนเหนือหน้าท้องแกร่งแน่น ยิ่งเคลื่อนลงต่ำเพียงไร ก็คล้ายกับพระทัยจะมอดไหม้เป็นจุลเพียงนั้น

เสียงสูดปากเบาๆ ของขวัญสรวงครางกระซิบที่ข้างหูเมื่อทรงสัมผัสส่วนที่อุ่นร้อนที่สุดบนร่างกายของเขา เมื่อทรงขยับนิ้วพระหัตถ์ช้าเนิบ เสียงครางของเขาก็ยิ่งดังขึ้น

ขวัญสรวงหอบหายใจเหมือนคนเหนื่อย เขายกศีรษะขึ้นมองคนที่อยู่ข้างล่างอย่างเต็มตา หากแต่เมื่อสบตาเพียงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มก็มิอาจอดใจตัวเองไหว เขาจูบลงบนริมฝีปากอิ่มนั้น ลากเลื่อน โลมไล้ไปช้าๆ จนถึงใบหูที่งามดุจกลีบดอกบัวสายสีระเรื่อ

“พี่ขวัญ อย่า” เรียมลลิตรทรงปัดป้อง หากแต่มือที่มีแรงมากกว่ากันหลายเท่ากลับยื้อยุดไว้ พลันเสียงกระซิบผะแผ่วก็ดังขึ้นที่ข้างหู

“จะโกรธพี่หรือเปล่า ถ้าขัดใจ”

“อย่า” พระทัยนั้นอ่อนยวบเพียงไรคงมิต้องเอ่ยถึง หากแต่คำพูดนั้นยังมีเรี่ยวแรงพอขัดขืนอยู่บ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามที “พี่ขวัญ”

“โกรธหรือ”

เห็นใบหน้าแดงก่ำไหวไปมาช้าๆ มือนั้นจึงเลื่อนลง จับขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายค่อยๆ กางออก

“ให้พี่เห็นเจ้าชัดๆ สักหน่อยเถิด อย่าอายเลย”

“พี่ขวัญ” เสียงแผ่วกว่าเสียงกระซิบแว่วขึ้นพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ยังคงปัดป้อง ทว่าเสียงนั้นก็หายไปเมื่อขวัญสรวงประทับริมฝีปากลงไปจนแนบสนิท ...สองมือที่ป้องปัดก็เช่นกัน

แสงระยิบระยับเหนือนภาขับขานบทเพลงแห่งรัตติกาล กล่อมผู้คนทั่วทั้งบางกะปิให้หลับใหลใต้แสงสีเงินยวง ทว่าสายนทีแห่งคลองแสนแสบนั้นกลับมีชีวิตชีวาประหลาด ผักบุ้งชูยอดชันเหนือคุ้งน้ำ เย้าหยอกสายลมเย็นดุจเคลื่อนกายไปสู่ความไพเราะของเสียงดนตรีและความอบอุ่นรัญจวนของห้วงรัก

เหนือไปบนฟากฟ้าผืนกว้าง พระจันทร์กำลังทอดทอลำแสงสีอ่อนอำนวยพร ดินดอนอันกว้างใหญ่ค่อยๆ โอบเข้ามาจนเหลือเพียงคนสองคนที่กอดแนบอิงซบกัน ขวัญสรวงกระซิบชวนเจ้าของดวงตาหวานสวยฟังเสียงใบไม้ไหวพลิ้วพรมเป็นสรรพสำเนียงดุริยางค์ไพเราะ อีกทั้งทอดมองสรรพสิ่งอันงดงามที่โรยตัวอยู่รอบๆ

แลในน้ำก็เห็นมัจฉาสองตัวเกี่ยวกระหวัดเริงรื่น พัวพันกันดุจเกลียวกง กลิ้งล้อไปตามระลอกคลื่น ตัวใหญ่ว่ายไวว่อง ตัวน้อยก็โลดเร่งตามไปจนทันกัน แข่งขันกันอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่มีใครยอมใคร ครั้นแลในอากาศ แม้จะเห็นเพียงแสงระยิบระยับดุจดอกมะลิลาที่บานพริบพรั่งทั้งฟ้า แต่ก็แว่วเสียงสกุณาเกี้ยวหยอกกันเสียฉ่ำหวาน เสียงแว่ว เสียงดัง เสียงสูง เสียงต่ำ ล้วนแต่ผสานผสมกันจนมิอาจฟังเป็นศัพท์ภาษา

บนเรือลำน้อยที่จอดเลียบริมฝั่งน้ำ ขวัญสรวงเหยียดกายขึ้นนั่ง ประคับประคองอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม เขาทอดสายตามอง กระทั่งแลเห็นค้างคาวตัวน้อยโฉบลงบนเครือกล้วยน้ำว้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ในไม่ช้ากล้วยน้ำว้าผลที่สุกที่สุด หวานที่สุดก็ค่อยๆ ถูกแทะชิม ทีละนิด...ทีละนิด...จนหมดทั้งผล

ชายหนุ่มทอดสายตามองอย่างอ่อนโยน มองและยิ้มน้อยๆ อยู่อย่างนั้นด้วยความเอ็นดู ขวัญสรวงลูบไล้ฝ่ามือแทรกลงบนเรือนผมอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายช้าๆ ทะนุถนอม มือหนาค่อยๆ ประคองใบหน้าที่คล้ายจะอิ่มอาบไปด้วยแสงอาทิตย์ยามอัสดงขึ้นมา บรรจงจูบโลมไล้อย่างช้าเชื่อง

เรียมลลิตรยกพระหัตถ์ขึ้นลูบใบหน้าที่คมคายตรงหน้า ทอดมองจนเต็มพระเนตร แล้วพระโอษฐ์ก็ถูกประทับซ้ำลงอีกหลายครั้งจนให้อ่อนพระทัย ตัวการนั้นเล่ายังมีหน้ามานั่งยิ้มเบิกบาน จูบเสร็จก็ยิ้มกริ่ม ไม่ก็หัวเราะน้อยๆ ให้พระองค์ทรงขัดเขินอยู่ร่ำไป

ดูเถิด ไม่ทันไรก็จูบอีกแล้ว

เรียมลลิตรขึงสายพระเนตรจนขวัญสรวงถอนริมฝีปากอย่างใคร่จะไม่เต็มใจ เขาจับร่างที่ยังสั่นนิดๆ ให้นั่งนิ่ง มองดวงตาที่กึ่งจะเคืองกึ่งจะเขินคู่นั้นด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ

“ไหนใครกันที่บอกว่าอยากจะนอนกับพี่นัก”

“เงียบเดี๋ยวนี้นะ”

ท่าทางเง้างอดนั้นเรียกรอยยิ้มของผู้ฟังให้แย้มออกกว้างจนเรียมลลิตรทรงเบือนพระพักตร์หนีด้วยทรงขวยเขิน

หริ่งเรไรขับขานบทเพลงไพเราะ ท่ามกลางท่วงทำนองที่มีธรรมชาติเป็นคีตกวีเรียงร้อยนั้น ผีเสื้อหนุ่มตัวหนึ่งกำลังสยายปีกบินร่อนราวกับรู้จักสายลมเป็นอย่างดี มันหยอกเย้าเหล่าบุปผาที่ไม่เคยมีสิ่งใดต้องแตะมาก่อนอย่างสนุกสนาน กระทั่งพานพบกับความงามพิสุทธิ์กว่าสิ่งใดๆ

หนึ่งปทุมคลี่กลีบออกช้าๆ ส่งกลิ่นหอมอัศจรรย์รัญจวน ราวกับร่ายมนตร์เสน่หาให้หนึ่งผีเสื้อหนุ่มชิมชื่น มันแตะลิ้นบนกลีบดอกไม้บางเบาอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวจะฉีกขาด ทว่ากลับดื่มด่ำทิพยรสหวานล้ำเหมือนไม่มีวันอิ่มเอม ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแม้แต่เรียมลลิตรที่ทอดพระเนตรอยู่ถึงกับพระทัยไหวสั่น

“พี่ขวัญ”

เห็นดวงตาหวานฉ่ำทอดมองกลับมา พระทัยก็สะท้านจนเกือบสิ้นพระสุรเสียง

“อย่าเลยครับ มันสกปรก”

เขายิ้มเล็กๆ มาทางพระองค์...แต่ไม่หยุด

ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนลงไปทีละน้อย เพียงอึดใจนับจากนั้น พระอุระก็แทบจะแยกเป็นเสี่ยง

ทรงวางพระหัตถ์บนบ่าที่กว้างแกร่งของเขา หากแต่แค่ทรงแตะลงเพียงผะแผ่ว พระอุระก็พลันสะดุ้งวาบ อากาศในตอนกลางคืนเยือกเย็นราวกับฤดูหนาว ทว่าผิวของคนตัวโตกลับอุ่นด้วยชีวิตชีวาจนทรงอยากประทับองค์ไว้ในอ้อมกอดนั้นชั่วกัปกัลป์

โมงยามแห่งความรักค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ดวงดาวสะท้อนบนผิวน้ำจนคล้ายกำมะหยี่สีดำทาบตาข่ายแพรคลี่กางทับคลองแสนแสบ เรียมลลิตรทรงคลายพระหัตถ์ทั้งสองข้างวางลงบนกาบเรือ พระฉวีซ่านอุ่นไปทั้งพระวรกายเมื่อถูกเขาจูบพรมไปทั่ว

“ขอนะครับ” ขวัญสรวงทอดเสียงกระซิบหวาน

เห็นอีกฝ่ายหลุบสายตาไหวระริกคู่นั้นลง ชายหนุ่มก็ถ่มน้ำลายลงบนมือแล้วชโลมบนร่างกายตัวเองจนฉ่ำชุ่ม เบียดร่างเข้าแทรก สอดลึกตัวเองเข้าไปหลอมรวมกับร่างของอีกฝ่ายช้าๆ

ความรู้สึกอันแปลกประหลาดจู่โจมเรียมลลิตรอย่างโรมรัน ประเดี๋ยวก็ร้อนจนวาบ ซ่านไปทั้งสรรพางค์ ประเดี๋ยวก็หนาวจนยะเยือก แต่ก็ทรงขืนพระทัยนิ่ง ทอดพระเนตรมองผิวน้ำไหวๆ

ฝูงมัจฉามากมายแทรกตัวเข้าไปในกอบัว ตอดกินความฉ่ำหวานไม่รู้อิ่ม ครั้งแล้วครั้งเล่า สะเทือนสะเทิ้นไปทั้งดอกไม้ที่กำลังบานแย้ม น้ำที่เคยนิ่งใสในคลอง บัดนี้คลอนเป็นระลอกแรง ซ่านกระเซ็นเป็นละอองโปรยปรายดั่งสายพิรุณ

ใช่เพียงจะเป็นแค่กระแสลมโยกคะนองอย่างที่เรียมลลิตรทรงคาดคะเนไว้แต่ตอนแรกไม่ ลมฝนนั้นยิ่งนานก็ยิ่งถั่งโถมจนกลายเป็นพายุโหมกระหน่ำ ผิวน้ำตลบขึ้นม้วนเป็นเกลียวคลื่น ซัดสาดนาวาลำน้อยจนโคลงเคลง ร่ำๆ จะแตกเป็นเสี่ยงเสียให้ได้ พายุนั้นยังคงโหมแรงขึ้นราวกับจะป่นปี้ทุกสรรพสิ่งตรงหน้าให้เห็นธุลี ทรงมิอาจทานทนไหว พระกรเล็กๆ จึงยกขึ้นโอบรอบลำคอและบ่าอันแข็งแกร่งของขวัญสรวงด้วยความหวาดพระทัย

“พี่ขวัญ...พี่ขวัญ”

“เจ็บหรือเปล่า” เสียงทุ้มกระซิบถามอย่างสั่นๆ แต่อีกฝ่ายกลับหลบสายตา ขวัญสรวงจึงโอบวงแขนกระชับแน่น แนบทั้งตัวเข้าชิดกับร่างเล็กๆ ที่โยกไหวไปมาอยู่ในอ้อมแขน ไม่ให้แม้แต่สายลมแผ่วพลิ้วเข้ามากั้นขวาง

ใจกลางของพายุลูกนั้น เรียมลลิตรกำลังทอดพระเนตรความงามจนสะกดลมหายใจเบื้องหน้า ท่ามกลางดวงดาราที่พริบพรั่งทั่วผืนฟ้านั้นมีรอยยิ้มของใครคนหนึ่ง สุกสกาวชวนมองยิ่งกว่าความสวยงามใดที่พระองค์ทรงประสบพานพบ ทรงเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นไป ค่อยๆ ซับเหงื่อกาฬเม็ดเล็กๆ ที่ชโลมทั่วทั้งใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม แลลำตัวที่เคลื่อนไหวอย่างแคล่วคล่องนั้น

ที่ลำคอ บ่า หัวไหล่ ที่แผ่นอก หน้าท้อง ลำตัว และสะโพก ทั้งหมดล้วนอุ่นและชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ทิ้งตัวลงเป็นเส้นสายพรายวาว

“พี่ขวัญ เหนื่อยหรือ”

“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบ น้ำเสียงสั่นกระเส่า

ขวัญสรวงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับฝ่ามืออุ่นๆ ที่ลูบไปทั่วใบหน้าเขา มองลึกลงไปในดวงตาที่หวานสวยคู่นั้นพร้อมๆ กับจูบพรมไปทีละนิ้วๆ อย่างเชื่องช้า หากแต่ความหวานซึ้งที่ล้นปรี่อยู่ในอกนั้นกำลังร้องตะโกนบอกว่า ‘เท่านี้คงยังไม่เพียงพอต่อความรู้สึกอันไหลหลั่งมากมายที่มีหรอก ต้องมากกว่านี้ มากยิ่งกว่านี้นัก’ ร่างสูงใหญ่จึงโน้มตัวลงนาบ จูบลงไปบนเรียวปากอุ่นๆ ด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง

จุมพิตอันอ่อนโยนถูกตอบรับด้วยความรู้สึกที่สวยงามทัดเทียมกัน เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองใบหน้าของขวัญสรวงที่เปียกชุ่มจนวามวาวนั้นอีกครั้ง ทรงรู้สึกถึงความอุ่นซ่านบนผิวกายของเขาก่อนจะปิดพระเนตรลงด้วยความสุขอันลึกล้ำ

นิมิตดั่งฝนดาวตกจำนวนมากมายร่วงพรูลงจากฟ้า ทอดยาวเป็นช่อมาลัยดอกพุดขาวบริสุทธิ์วางแนบเหนือพระอุระของเรียมลลิตร

แล้วจุมพิตที่หวานที่สุดก็ประทับลงบนพระโอษฐ์ในห้วงนาทีนั้น




++++++++++++++++++++++++++++++++++++





ตอนนี้เป็นตอนที่มีส่วนคล้ายบทประพันธ์ดั้งเดิม จำเป็นต้องเก็บไว้
นั่นก็คือขวัญและเรียมพลอดรักกันในน้ำ และนับเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องอย่างนึง
ของเดิมคือจากกัดๆ กันจะเปลี่ยนเป็นรักกัน หันมาดีใส่กัน
แต่ที่เขียนนี้จะเปลี่ยนแค่ทั้งคู่รู้แน่แก่ใจว่าใจตรงกันแล้วนั่นเอง

เลิฟซีนนี้เขียนโดยมีเจตนาไปในทางหวานๆ เน้นสวยงามมากกว่าให้แซ่บแสบซ่าน
ทีนี้จะเขียนให้ออกมาเป็นภาษากวีไปเสียหมดก็กลัวคนอ่านจะงงหรือขี้เกียจอ่านไปเสียก่อน
เอาเป็นว่าพูดย่อๆ ก็คือป๊าบๆ กันนั่นแหละ ส่วนจะอ่านแล้วตีความกันออกมาจืดชืดหรือสะเด็ดสะเด่า
อันนี้คงขึ้นอยู่กับจินตนาการของแต่ละคนตอนอ่านแหละนะ ครุคริๆๆ

ตอนนี้คงเห็นชัดแจ้งขึ้นมาแล้วว่าจริงๆ แล้วน้องเรียมเป็นคนมีบุคลิกยังไง
นับว่าเป็นตัวละครที่ฝ่าขนบตัวนางในนิยายพีเรียดทั้งหมด และนี่เป็นเพียงเบาะๆ เท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่เคยบอกว่านิยายพีเรียดเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นพีเรียดแบบปกติแบบใครเขา
ส่วนพระเอก ถ้าใครคิดว่าอินังพี่ขวัญลิเก๊ลิเก ขอบอกว่าพี่แกลิเกกว่านี้อีก เกรียนด้วย
เป็นคุณชายแบบที่ไม่ได้เป็นคุณชายตามขนบนิยายพีเรียดอีกเช่นกัน
คนเขียนเพี้ยนยังไง ตัวละครก็เพี้ยนๆ แบบนั้นแหละ 555555555555555

สำหรับคนที่ชื่นชอบความแปลกและมีรสนิยมการอ่านคล้ายกับคนแต่ง
ก็อยากให้อ่านต่อไปเรื่อยๆ นะ แนวพีเรียดที่ไม่มีดราม่า
อาจจะอ่านยากหน่อยตรงภาษา แต่ก็อ่านแล้วสบายอกสบายใจนะ
พบกันใหม่เมื่อซ่อมเน็ตเรียบร้อยจ้า น่าจะสุดสัปดาห์นี้แหละ ถ้านัดช่างได้นะ

ปล. อยากแถมภาพหมอกธุมเกตุ หมอกธุมเพลิงแต่ไม่สะดวกเพราะเน็ตไม่พร้อม
อธิบายคร่าวๆ แทนก็แล้วกันครับ มันก็คือหมอกที่ลงหนาจัดแบบที่บอกในเรื่องนั่นแหละ
สองอันนี้จะต่างกันตรงหมอกธุมเกตุจะเป็นหมอกที่ลงจัดในช่วงเช้าจนถึงไม่เกินสิบโมง
ส่วนหมอกธุมเพลิงจะเป็นหมอกที่เกิดในช่วงค่ำ ส่วนมากจะเกิดกับช่วงพระอาทิตย์ตกช้า
แต่ในเรื่องนี้เขียนให้เกิดตอนดึกดื่น ไม่ใช่เวลาปกติของทั้งสองช่วงซึ่งถือว่าวิปริตมาก
เจตนาก็เพื่อเป็นลางบอกเหตุว่านังพี่ขวัญไปกินตับดอกฟ้าโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง เอวังด้วยประการฉะนี้
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Malila ที่ 01-09-2015 17:19:33
อ่านแล้วเขินนนนนนน :m25:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 02-09-2015 00:50:50
โอ้ยยยยยยยย อีบ่าวคนนี้อยากกรีดร้องเจ้าค่า อะไรจะหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าถึงเพียงนี้ พี่ขวัญท่านเกี้ยวซะอยากจะบิดเป็นเลขแปดเสียจริงๆ นางลิเกอย่างที่นักเขียนว่าจริงๆนั่นแหละ ผู้ชายในอุดมคติเลยนะนั่นน่ะ55555 แต่ตอนแรกๆที่ทำให้น้องเรียมเสียใจ ตอนนั้นอยากจะเข้าไปบีบคอนางมาก ทำกับเรียมของเราได้ไงเนี่ย สงสารน้องเป็นที่สุด เรียมซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง น่ารักมากๆ อย่าทำให้น้องเสียใจอีกนะ #ทีมน้องเรียม

ปล.ตอนแรกจะถามเหมือนกันว่าต้องมีซดมาม่าไหม เพราะอ่านเรื่องไหนๆเป็นอันต้องวางมือกลางคัน (ทนดราม่าไม่ได้จริงๆTT) แต่นักเขียนบอกไม่ม่า หวานล้วนงี้ก็สบายใจมากกกกจ้า สำนวนการแต่งเยี่ยมมากเลยค่ะ เรารักเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-09-2015 16:47:05
กรี๊ด นั่งเขินต้องค้างคาวกินกล้วย

โอ๊ย เปรียบเทียบแบบนี้เขิกว่าพูดตรงๆอีกค่า/กุมแก้ม
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 02-09-2015 17:56:04
หวานซึ้งตรึงใจ บทอัศจรรย์ก็ละมุนงดงามดีแท้

เอาเพลงมาฝาก กับความรักอันแสนหวานของคู่นี้


https://www.youtube.com/v/hC2v8ma1CvM
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: maxiyorka ที่ 02-09-2015 22:59:12
โอ๊ยน้องเรียมเด็ดมากลูก รุกเข้าไว้ ถ้าน้องเรียมไม่รุกนี่บทอัศจรรย์นี้คงไม่เกิดเพราะพี่ขวัญกำแพงหนาเกิน55555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 02-09-2015 23:44:35
น้องเรียมมมมาแรงมากค่า ทำเอาพี่ขวัญตั้งตัวแทบไม่ติด
หวานจริงอะไรจริงตอนนี้ คนอ่านก็ตั้งตัวไม่ติดค่า
แอบนึกถึงเรื่องยุ่งๆหลังจากนี้นิดหน่อย ด้วยฐานันดรน้องเรียม
รออ่านต่ออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 03-09-2015 00:34:19
โหยยย อยากจะกรีดร้องงงง น้องเรียมนางช่างใสซื่อ แล้วก็ซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองมากๆ
ชอบก็บอกว่าชอบ อยากนอนด้วยก็บอกตรงๆ นางน่ารักน่าหยิกจริงๆ
ไม่แปลกใจเลยที่พี่ขวัญไปไหนไม่รอด เห็นตอนแรกร่ำๆ ปฏิเสธน้อง แต่ก็ตกหลุมน้องเรียมจนได้

ภาษาสวยมาก แต่บางทีก็แอบเข้าใจยากไปนิดนึง แต่โดยรวมแล้วมันดีอะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ มาต่อบ่อยๆ น้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-09-2015 12:43:05
เเปะไว้ ในที่สุดก็มาเเล้ว TT
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Patronus ที่ 04-09-2015 14:09:59
เห็นทีว่าจักต้องตามมาเม้นให้โดยพลัน!

ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงก่อนค่ะ จะบอกว่าเพิ่งเจอเรื่องนี้
แล้วคิดว่าตัวเองมาเจอช้าไป และก็เพิ่งจะตามอ่านทันค่ะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องอ่านช้าๆจริงๆค่ะ
ถึงจะซึมซับความสวยของภาษาได้ทั้งหมด
 
เป็นนิยายวายพีเรียดเรื่องแรกที่เลือกอ่าน
และก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ  ชอบมากๆเลย

จะรอติดตามเรื่องนี้ไปจนจบ (ได้โปรดรวมเล่มด้วยเถอะค่ะ)
 

 o13 o13 o13 o13 o13 o13

หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 04-09-2015 15:23:14
บทนี้หวานมากกกก
น้องเรียมของพี่ น่าเอ็นดูเสียจริงๆ
้อ้อนขอกันตรงๆแบบนี้พี่ขวัญจะอดใจไหวได้อย่างไร
พี่ขวัญก็หวานซะมดเรียกพี่  :-[
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 06-09-2015 06:53:26

"ฝูงมัจฉามากมายแทรกตัวเข้าไปในกอบัว ตอดกินความฉ่ำหวานไม่รู้อิ่ม ครั้งแล้วครั้งเล่า สะเทือนสะเทิ้นไปทั้งดอกไม้ที่กำลังบานแย้ม น้ำที่เคยนิ่งใสในคลอง บัดนี้คลอนเป็นระลอกแรง ซ่านกระเซ็นเป็นละอองโปรยปรายดั่งสายพิรุงมัจฉามากมายแทรกตัวเข้าไปในกอบัว ตอดกินความฉ่ำหวานไม่รู้อิ่ม ครั้งแล้วครั้งเล่า สะเทือนสะเทิ้นไปทั้งดอกไม้ที่กำลังบานแย้ม น้ำที่เคยนิ่งใสในคลอง บัดนี้คลอนเป็นระลอกแรง ซ่านกระเซ็นเป็นละอองโปรยปรายดั่งสายพิรุณ"

ฝูงมัจฉามันมากกว่าหนึ่งนะคะ 555

ปล.อิพี่ขวัญนี่ยังไง ตอนแรกน้องชวนเหมือนจะไม่กิน พอน้องไม่ให้กิน พี่ขวัญกินเฉยย รักพี่ขวัญ อร๊ายยยย  :o8:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 18-11-2015 21:58:41
ฮื้ออออ นิยายดีๆแบบนี้ทำไมพึ่งมาอ่านเจอออออ เค้าป่ะๆๆกันแล้วววว มาต่อไวๆน้า ปูเสื่อรอเลยค่ะ ชอบมากกก
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: MysteriOuS ที่ 18-11-2015 22:54:50
รอฉันรอเธออยู่ ~~~  :mew1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 19-11-2015 01:42:55
บนเรืออออออ กลางน้ำ โรแมนติกมากกกก คิคิ ฟินนนนนน
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 19-11-2015 21:15:17
ฉันรอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะพ่อขวัญแม่เรียม..
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๓ ♫ ♬ ♪ (๑ กันยายน)
เริ่มหัวข้อโดย: mink2538 ที่ 24-11-2015 18:57:23
บอกเลยว่าชอบนิยายเรื่องนี้มากเลย
น่ารักทั้งพี่ขวัญ น้องเรียม
ถ้าคนแต่งว่างก็มาต่อบ่อยๆนะค้า >~<
 :L1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 25-11-2015 22:18:09
ข้อดีของคนโสดอย่างนึงก็คือการไม่มีคู่ไปลอยกระทง เลยมีเวลาแต่งนิยายมาอัพนั่นเอง  :hao5:

เนื่องจากอัพช้ามาก เลยขอย้อนกลับไปตอนที่แล้วนิดนึงนะครับ
ในตอนที่แล้ว หลังจากบักจ้อยมาแทะโลมน้องเรียมที่แอบหนีมาเล่นน้ำแล้ว
น้องก็เล่นน้ำสบายอกสบายใจจนกระทั่งเจอนังพี่ขวัญ
คราวนี้ล่ะแหม่........ก็สมใจนังพี่ขวัญเขาแหละนะ
เข้าสู่ตอนต่อไป เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อ ต้องติดตาม 55555



+++++++++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ ๑๖




จ้อยยืนกอดอก มองเมล็ดข้าวค่อยๆ ฝัดออกจากเปลือกสีเหลืองทอง กลายเป็นเมล็ดข้าวขาวใส วันนี้ชายหนุ่มตื่นแต่เช้า แถมเข้ามาที่โรงสีที่เป็นกิจการทำรายได้หลักของครอบครัว ใบหน้าหม่นหมองเมื่อหลายวันที่ผ่านมา บัดนี้กลับดูรื่นรมย์ ยิ้มแย้มผ่องใสจนแม้แต่กำนันจงรักหันมามองหน้าเมียของตนด้วยความฉงน สะอิ้งนั้นรู้ว่าผู้เป็นสามีคงมีคำถามอยู่ในใจไม่น้อย หล่อนจึงพูดเปรยๆ ด้วยนิสัยตามใจลูกจนเคยปาก

“จะว่าไปลูกของเรามันก็ขยันนะพ่อ อีกไม่นานหรอก จ้อยมันคงลงมาช่วยพ่อเต็มตัว กิจการใหญ่โต ทีนี้แหละ ไอ้พวกปากหอยปากปูมันคงทำหน้ากันไม่ถูก คราวนี้อิฉันจะหัวร่อให้ดังทั้งคุ้งไปสามวันเจ็ดวัน”

“เป็นอย่างนั้นได้จริงก็ดี กลัวว่าที่มันลุกขึ้นมาเอาการเอางานได้ก็ไม่พ้นเรื่องสาว”

“เอ๊า! พ่อจะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูก ขยันก็คือขยัน จะเพราะเหตุอะไรมันต่างกันตรงไหน ดีเสียอีกที่แม่น้ำทิพย์นั่นทำให้ลูกของเรารู้จักรับผิดชอบ โตเป็นผู้ใหญ่”

“น้ำทิพย์? ลูกนังบานชื่นนั่นหรือ”

“จะใครเสียอีกล่ะ” สะอิ้งยิ้มมีลับลมคมใน “เมื่อวานไอ้ศักดิ์มันมารายงานว่าตาจ้อยบอกให้พายเรือไปหาแม่ทิพย์ ความรักในวัยหนุ่มสาวก็แบบนี้แหละค่ะพี่ พอทะเลาะกันนิดหน่อยก็ไม่มีแก่ใจจะทำอะไร พอดีกัน จิตใจมันค่อยมีกำลัง”

กำนันจงรักทอดถอนใจ ยังไม่เชื่อคำพูดของเมียตนเสียทีเดียวนัก

เมื่อเห็นสามีเอาแต่นิ่ง สะอิ้งก็รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรให้เขาคล้อยตามไปด้วย “ดีเสียอีก นายทับกับแม่บานชื่นนั่นทรัพย์สินก็ไม่ได้ขี้ริ้วเสียทีเดียว ที่นาตั้งหลายสิบไร่ แต่งกันไป มันก็เหมือนกลายเป็นของเรา”

สีหน้าที่คลายออกของกำนันจงรักทำให้สะอิ้งรู้สึกสบายใจขึ้นมาก หล่อนเริ่มมองเห็นอนาคตรำไรว่าอีกไม่ช้าคงได้กลายมาเป็นทองแผ่นเดียวกัน จัดงานมงคลใหญ่โต

ไม่รู้เลยว่าอาการคล้ายกับคนตกอยู่ในห้วงรักของลูกชายนั้นไม่ได้มาจากเด็กสาวที่ชื่อน้ำทิพย์ ทว่ามาจากพระวงศ์พระองค์หนึ่งที่ประทับอยู่ ณ ตำหนักหลังใหญ่เยื้องกัน





ความเบิกบานของจ้อยนั้นเผื่อแผ่ไปถึงจันดีด้วย พออารมณ์ดี เขาก็มีน้ำใจไปรับจันดีมาจากคณะลิเก พากันไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ตลาดให้เธอ

วันนี้จ้อยตามใจจันดีมากกว่าทุกวัน เขาซื้อเครื่องสำอางให้หล่อนหลายชิ้น เครื่องประดับประเภทต่างหู กำไล แต่ละอย่างสนนราคาไม่ใช่น้อย ดูอย่างเช่นสร้อยข้อมือทองคำลายตีนตะขาบนั่นปะไร เขาซื้อให้โดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดชั่งใจ เขาแค่มองผ่านๆ แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี พูดกับหล่อนว่า

“สวยดี ชอบหรือเปล่าล่ะ ถ้าชอบ พี่จะซื้อให้”

ถ้าเป็นจ้อยในยามปรกติ เขาคงจะไม่ตามใจหล่อนมาถึงเพียงนี้ จันดีสงสัยเป็นยิ่งนัก แต่ก็สงบปากสงบคำอย่างรู้งาน หล่อนฉลาดเฉลียวพอจะไม่แกว่งใบให้เรือเสีย แต่ก็แอบลอบไปถามนายศักดิ์จนพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้





คนอารมณ์ดีเพราะพระวงศ์พระองค์เดียวกันนั้นไม่ดีมีเพียงแค่จ้อย ใครคนหนึ่งก็อยู่ในอาการปราโมทย์ไม่หยุดนับตั้งแต่กลับมาจากบางกะปิ

หม่อมแม้นพิศพูดถึงเพื่อนบ้านคนใหม่โดยที่ไม่ทราบถึงพระยศอันสูงส่งของอีกฝ่ายให้ผู้เป็นสามีฟังไม่หยุด

“อะไรกัน ดีขนาดนั้นเทียวรึ” หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตปรารภขึ้นด้วยความสนพระทัย ทรงวุ่นวายกับงานราชการในกระทรวงเสียจนลืมนึกถึงเพื่อนบ้านที่มาอยู่ใหม่ข้างคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ไปเสียแล้วด้วยซ้ำ จำได้เพียงเลือนๆ แต่นึกไม่ออกว่าชื่อกระไร

“เรียมค่ะ ชื่อเรียม” หม่อมแม้นพิศตอบพร้อมรอยยิ้ม “อิฉันอยากให้พี่เขียนได้เห็นเสียจริงค่ะ เธองามอย่างกับตุ๊กตากระเบื้องของฝรั่ง แต่กิริยานี้ซี น่ารักน่าเอ็นดู”

“ฉันว่าก็นับว่าเป็นเรื่องดี เจ้าขวัญได้มีสหายดีๆ เพิ่มขึ้นอีกคน”

คนที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับมุ่ยหน้า “อุ๊ย! อย่าไปนับรวมกับพวกนายกานต์ นายเฉ่ง นายสมิงนั่นซีคะ อิฉันปวดหัวกับพวกนั้นเหลือเกิน แต่ละคน ปรูดปราดเสียจนอิฉันอ่อนใจ”

รอยสรวลผุดผาดขึ้นบนใบหน้าสุขุมของผู้เป็นบิดา ทรงนิ่งเฉยอยู่สักพักก่อนจะตรัสขึ้น “จริงๆ เจ้าขวัญก็โตแล้ว มีสหายดีมากมาย เห็นว่าคราวนี้ควรมีเมียดีเสียที หม่อมคิดว่าอย่างไร ถ้าเดาไม่ผิด ฉันว่านี่ก็กำลังมองหาอยู่ใช่ไหม”

“ที่มองๆ ไว้จะว่ามีก็มีค่ะ แต่จะว่าไม่มีก็ไม่มี อิฉันเห็นว่าพอจะเข้ากันได้ก็มีคนหนึ่ง สวยเทียวค่ะ กิริยางาม แต่ก็รู้สึกยังไม่ถูกใจ” พูดถึงตรงนี้ หม่อมแม้นพิศก็ทอดถอนลมหายใจ




+++++++++++++++++++++++++++++




ต้นเหตุที่ทำให้หม่อมแม้นพิศทดท้อใจอยู่นั้นมิได้กังวลเรื่องการสร้างครอบครัวแบบที่ผู้เป็นมารดากำลังเป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย ขวัญสรวงศึกษาอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน เขาจึงเห็นว่าความรักนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าแค่การหมั้นหมาย สมรส ปลูกเรือน และมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล หลายคู่แต่งงานกันไปเพียงเพราะเหมาะสมแต่กลับไม่อาจประคองนาวาให้ล่องถึงฝั่งได้เพราะปราศจากความรักและความเข้าใจที่คอยหนุนเกื้อ บางคู่ต้องหย่าร้างเป็นข่าวฉาวไปทั่วทั้งที่สังคมต่างมองว่าเหมาะสมกันเหลือเกิน

หม่อมแม้นพิศก็คงตระหนักถึงความจริงในข้อนี้อยู่ไม่น้อย ถึงใจอยากจะเห็นลูกชายเพียงคนเดียวเป็นฝั่งฝาแค่ไหน ก็ได้แต่ลอบถามเป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่เคยออกปากอย่างจริงจัง

ขวัญสรวงจึงคิดอยู่เสมอว่าหากไม่ได้พบกับคนที่ตนคิดจะร่วมเดินเคียงข้างกันไปจนชั่วอายุขัย ก็จะครองตัวเป็นโสด ไม่สมรสกับใคร แต่นั่นเป็นเพียงความคิดก่อนที่เขาจะได้พบกับคนที่เดินอยู่เคียงข้างในยามนี้

หม่อมแม้นพิศจะว่ากระไรบ้างหนอที่เขาได้พบกับคนคนนั้นแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ขวัญสรวงมิอาจคาดเดาได้เลย ลมเอื่อยๆ พัดใบไม้ให้ไหวลู่ ชายหนุ่มก้าวขาตามเงาที่ทอดยาวของคนตรงหน้า สลัดความคิดวุ่นวายในหัวออกไป

“พี่เพิ่งทราบข่าวเรื่องคุณจินดา ภรรยาของคุณเริญจากนมละเอียดเมื่อสาย เห็นว่าท้องอ่อนๆ ได้สองเดือนแล้ว พี่ขอแสดงความยินดีด้วย”

สีพระพักตร์เรียบนิ่งของเรียมลลิตรคล้ายจะมีรอยเยื้อนแย้มฉาบฉานในพระกาฬเนตร ทรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปีติเป็นล้นพ้น “ขอบคุณครับ พี่ดาโทรศัพท์มาบอกเมื่อเช้า พี่เริญดีใจใหญ่ ผมเองก็ดีใจ อธิปได้โทรเลขไปเรียนคุณพ่อและคุณแม่ที่ต่างประเทศแล้ว พอสะดวกท่านคงจะโทรศัพท์กลับมายินดี คุณแม่ท่านเคยเปรยว่าอยากอุ้มหลานไวๆ”

เวลาดีใจมากๆ เรียมมักจะเปลี่ยนเป็นคนช่างเจรจาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ท่าทางสงบสง่าก็คลายออกคล้ายกับเด็กหนุ่มที่โตไม่เท่าไรไม่มีผิด จะเรียกว่าเหมือนกับเจ้าเทพตอนที่เริ่มเป่าขลุ่ยเป็นเพลงก็ว่าได้

“ที่พาพี่มาเดินริมน้ำ น้องคงไม่ได้อยากจะมีหลานให้คุณแม่อุ้มบ้างใช่ไหม” ขวัญสรวงกลั้นรอยยิ้มสุดกำลังในตอนที่กระซิบถามข้างใบหูของคนข้างๆ “พี่ไม่รู้เลย แท้จริงแล้วน้องเป็นคนทะลึ่งดอกหรือ”

อะไรกันนะที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายปากพล่อยเช่นนี้ แต่ดูเถอะดู ดูใบหูที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีระเรื่อนั้นซี แล้วจะให้เขาอดทนขรึมนิ่งได้ไหวหรือ

“เราสองคนต้องช่วยกันแล้วล่ะ จะยอมแพ้พี่เริญได้อย่างไร จริงไหม”

เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองคนเอ่ยถามอยู่พักใหญ่ พระโอษฐ์นั้นเล่า คล้ายกับต้องใช้เวลานานเนิ่นจึงกลั่นพระสุรเสียงออกมาผะแผ่วได้

“หยาบคาย”

ฟังสิ นี่เป็นคำตำหนิที่เจ้าตัวคงหมายมาดว่าแสบสันต์ที่สุดแล้วกระมัง ขวัญสรวงเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อสบกับความกรุ่นในแววตาหวานสวยคู่นั้น

“เงียบไปเลยนะ” เสียงที่เคยเรียบราบ บัดนี้แสดงออกถึงความบึ้งตึงไม่มิดเม้ม

“ไม่ลงก็ไม่ลง” เย้าพอสมควรแล้วขวัญสรวงก็ไม่คิดจะล่วงล้ำน้ำใจอีก ชายหนุ่มยกแขนขึ้นแตะข้อศอกของคนหน้ามุ่ยเบาๆ เสียงอุ่นทุ้มแว่วขึ้นเบาๆ ด้วยความห่วงใย “เมื่อคืน...เป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วง”

พอเรียมลลิตรสบกับดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น เสียงขรึมก็เอ่ยถามอีกครั้ง “รู้สึกไม่สบายตัวบ้างหรือเปล่า”

ทรงผละจากคนที่ยืนอยู่ ย่างพระบาทไปอีกสองสามก้าว พระองค์ก็ทอดพระเนตรมองหมู่พรรณพฤกษาที่เอนลู่ตามแรงลม ก่อนจะตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้แค่ง่วงนิดหน่อย อยากนอนตื่นสายๆ”

อีกแล้ว ท่าทางแบบนั้นทำให้ขวัญสรวงอดไม่ได้อีกแล้ว

“เห็นนมละเอียดบอกว่าน้องตื่นตอนบ่ายโมง พี่ว่านี่ไม่ใช่แค่สายเสียแล้วกระมัง” พูดจบ ชายหนุ่มก็ยิ้มกริ่ม เห็นอีกฝ่ายมองกลับตาเขียว เขาก็แกล้งทำท่าตกใจ “อะไร มองพี่แบบนี้หรือว่าง่วงอีกแล้ว”

“ใช่เสียที่ไหน”

“มานี่สิ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถ้าง่วงก็ซบบ่าพี่ก็ได้” ไม่พูดเปล่า เจ้าของน้ำเสียงเบิกบานก็โอบคนข้างๆ ทั้งตัวไว้เต็มอ้อมแขน พลางยกมือข้างหนึ่งไปกุมมืออีกฝ่ายขึ้นมาวางแนบอก “อุ่นนะ จับดูสิ”

“ปล่อยนะ” พระสุรเสียงที่เรียบเฉย บัดนี้กลับตะกุกตะกักขัดพระทัยยิ่งนัก “ไม่ได้ง่วง ตื่นแล้ว”

“เอ๊า เมื่อกี้ยังบอกว่าง่วง” ขวัญสรวงแกสร้งไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าของบ่ากว้างพยักหน้าที่กลัดรอยยิ้มไว้เหนือมุมปาก วงแขนและมือไม่ได้คลายออกแต่เปลี่ยนเป็นกระชับหลวมๆ พอให้สบาย “ไม่ง่วงก็ช่วยยืนเฉยๆ เถิด หรือจะแกล้งทำเป็นง่วงก็ได้ พี่อยากกอดเจ้า ไม่รู้เลยหรือไร”

เมื่อคนในอ้อมกอดยืนนิ่ง ไม่ขัดขืน ดวงตาคมกริบสีดำขลับก็ค่อยๆ อ่อนลง มันหวานเชื่อมราวกับน้ำตาลที่เคี่ยวจนไหม้ “ตอนนี้ก็เป็นน้าเรียมแล้วสินะ”

ขวัญสรวงทอดสายตามองอยู่อย่างนั้น มองจนอีกฝ่ายเบือนหน้าไปมองแมลงปอตัวน้อยๆ ที่โฉบลงมาแตะผิวน้ำราวกับสนอกสนใจเป็นนักหนา

ในเวลานั้นเองที่เสียงกระซิบแว่วขึ้นเหนือกระหม่อมของคนที่ฝังตัวอยู่ในวงแขน “เป็นอะไร น้าเรียมเขินหรือครับ”





แทบไม่น่าเชื่อว่าบรรยากาศอันอ่อนหวานนี้จะเกิดขึ้นในตำหนักน้อยแห่งนี้ ท่ามกลางความอลหม่านวุ่นวายที่แทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นจลาจลก็ไม่ผิด จะแตกต่างก็เพียงแค่ทุกแห่งหนนั้นอบอวลไปด้วยความชื่นมื่น สุขใจ

“ตอนนี้ที่วังใหญ่คงวุ่นกันน่าดู ฉันเองเห็นทีคงต้องเข้าพระนคร ไปหาหม่อมจินดาแล้วก็ว่าจะพากันเลยไปที่พระบรมมหาราชวัง แจ้งข่าวแก่พระญาติพระวงศ์เสียหน่อย” เริญดนุภพตรัสขึ้นขณะฉลองพระองค์ที่หน้าพระฉาย พระพักตร์เปี่ยมด้วยความปีติอย่างเห็นได้ชัด “ว่าแต่เรียมอยู่ไหนหรืออธิป ว่าจะชวนเข้าไปกราบเด็จป้าเสียด้วยกัน ทรงเคยเปรยๆ ว่าคิดถึง”

พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยกาญจนา ผู้เป็นพระเชษฐภคินีของเสด็จพ่อนั้นทรงโปรดเรียมลลิตรดังพระโอรส มักจะทรงตรัสถามถึงตลอด หากเริญดนุภพจะเข้าไปกราบ แจ้งข่าวเรื่องเกี่ยวกับหม่อมจินดาตั้งครรภ์อ่อนๆ พระองค์ท่านย่อมต้องตรัสถึงเรียมลลิตรด้วยทรงคิดถึงเป็นแน่แท้

“น่าจะเดินเล่นอยู่ที่ริมน้ำครับ ถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะนั่งเล่นอยู่ที่คฤหาสน์ขัตติพงศ์กับคุณชายขวัญ”

เริญดนุภพจึงทอดพระเนตรออกไปทางเฉลียงรับลมทางทิศใต้ เพียงครู่ก็ได้เห็นร่างของทั้งสองคนเดินเลียบริมน้ำ ทอดพระเนตรอยู่ครู่ใหญ่จึงตรัสถามอธิปด้วยพระสุรเสียงที่อ่านความรู้สึกไม่ออก

“สองคนนั้นสนิทสนมกันมากหรือ”

อธิปนิ่งไปชั่วอึดใจจึงเอ่ยขึ้น ไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่เป็นคำขอโทษ “โปรดยกโทษให้กระผมด้วยเถิดครับ ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นเพื่อนคุยได้ไม่สนุก ซ้ำยังต้องเดินทางเข้าพระนครด้วยเรื่องคุณแม่เสียหลายวัน คุณเรียมอยู่ที่นี่คนเดียวคงจะเหงา เลยมีคุณชายขวัญเป็นเพื่อน”

ใช่ว่าอธิปจะมองไม่เห็นความผิดปรกติระหว่างคุณชายขัตติยพงศ์กับพระผู้เป็นนายของตน เพียงแค่ยังไม่แน่ใจเท่านั้น แต่เพราะเขาเห็นว่าคุณชายขวัญสรวงไม่ได้มีเจตนาร้าย อีกทั้งหลายต่อหลายครั้งก็ได้ประจักษ์แล้วว่าเลือดขัตติยพงศ์ผู้นี้มีน้ำใจกับผู้เป็นนายของตนเช่นไร ชายหนุ่มจึงอยากจะดูสถานการณ์อีกสักพัก หากเห็นว่ามีสิ่งใดผิดปรกติจริงๆ อธิปก็ไม่ลังเลที่จะแจ้งให้พระองค์เริญทราบอย่างแน่นอน

ทว่าเห็นสายพระเนตรที่ทอดมองนิ่งอยู่อย่างนั้น อธิปก็เอ่ยต่อด้วยความไม่สบายใจ “เป็นธรรมดาที่ทราบข่าวดีของคุณเริญ คุณเรียมคงอยากจะแจ้งให้คุณชายขวัญที่นับถือกันเป็นเพื่อนให้ทราบครับ”

เริญดนุภพนั้นเป็นคนสุขุมรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ทรงรู้ทันว่าอธิปหรือนมละเอียดนั้นชอบตามใจพระอนุชาแค่ไหน ใช่เพียงแต่บรรดาบริวารบ่าวไพร่ แม้แต่พระบิดา หม่อมมาร์โจลี พระมารดา เสด็จป้า หรือแม้แต่ตัวของพระองค์เองก็อดที่จะตามใจเรียมลลิตรไม่ได้ ข้อนี้หากจะตำหนิผู้ใด พระองค์ก็คงต้องตำหนิตนเองเช่นกัน

“เพลางานลงเสียบ้างเถอะ ถ้าไม่ได้รีบร้อนอะไรก็ช่วยเป็นเพื่อนคุยกับน้องชายของเราหน่อยเป็นไร เรียมจะได้ไม่เหงาจนต้องไปรบกวนคุณชายขวัญ บ่อยครั้งเขาอาจจะว่าเอาได้ เรื่องแบบนี้ถึงเขาไม่ได้ติดขัดอะไร แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลให้เราเอาเปรียบไมตรีของเขา กันไว้เสียเนิ่นๆ ดีกว่าจะให้วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอกทีหลัง” เริญดนุภพตรัสด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนลง

“เข้าไปขัดตอนนี้คงจะไม่เหมาะ ไม่เป็นไร เอาไว้ถ้าคุณเรียมกลับมาค่อยถามดู ถ้าเจ้าตัวอยากจะเข้าไปในพระนคร อธิปก็ช่วยเป็นธุระให้ฉันที ฉันคงต้องไปก่อน ช้าประเดี๋ยวจะค่ำ” ตรัสจบก็ทรงหยิบฉลองพระองค์ขึ้น ก่อนจะเด็จพระราชดำเนินออกกลับเข้าไปที่วังใหญ่ก็ทรงกำชับอธิปอีกครั้ง “แดดลงจัด อธิปปิดบานหน้าต่างฝั่งนี้ทั้งหมดเสียเถิด จะได้ไม่ร้อน”

ในพระทัยของเริญดนุภพนั้นมิได้ทรงเชื่อในคำพูดของอธิปเสียทีเดียว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่

ลำพังแค่เรื่องเรียมลลิตรมีความรักนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่กระไร แต่เรื่องที่หากคนรักนั้นมิใช่หญิงสาวรูปร่างบอบบาง กลับเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายที่สตรีทั้งพระนครเฝ้าฝันถึงนั้นต่างหากที่น่าหนักใจ

แม้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะเป็นหน่อเนื้อ สืบเชื้อสายจากเชื้อพระวงศ์ที่เหมาะสมก็ตามที



++++++++++++++++++++++++++++++++




ยังมีต่อด้านล่างนะครับ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 25-11-2015 22:21:13
ต่อครับ






พิรงรองมีนัดชมภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องใหม่ซึ่งเป็นรอบกาล่า ทางโรงภาพยนตร์ของกานต์จะบริจาครายได้ทั้งหมดจากการขายตั๋วให้กับมูลนิธิเด็กกำพร้าเพื่อการกุศล แม้ว่าในใจของพิษณุนั้นไม่อยากจะให้พิรงรองเข้าไปสนิทสนมรู้จักกับนายกานต์ที่เขาไม่ใคร่จะถูกชะตาเสียเท่าไร แต่เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของน้องสาวแล้วก็ไม่อาจทัดทานได้

กระนั้นเขาก็ไม่อยากไว้วางใจ พิษณุจึงเอ่ยปากว่าจะมาส่งและรับพิรงรองกลับที่โรงภาพยนตร์ด้วยตนเอง

ตามเวลาแล้วภาพยนตร์น่าจะเพิ่งฉายจบไป เวลานี้ผู้คนในโถงดูพลุกพล่าน ทว่าท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น กลับมีชายผู้หนึ่งในชุดสูทสีดำสนิทที่ดูโดดเด่นกว่าใคร อาจเพราะความคล่องแคล่วของเขา หรืออาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวดูจะขยันโปรยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ชวนมองนั้นให้คนไปทั่ว

“รู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่โรงหนังของเรามีโอกาสต้อนรับสุภาพสตรีสาวสายแบบคุณ สวยแล้วยังใจบุญอีกนะครับ”

“คุณกานต์ต่างหากล่ะคะที่เป็นคนใจบุญ ฉายหนังสนุกๆ ขนาดนี้ แต่คุณกลับไม่ได้อะไรเลย”

ใบหน้าชวนมองไหวไปมานิดๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะโน้มตัวลง กระซิบกระซาบใกล้ๆ กับหญิงสาวคนนั้น “อย่าเอ็ดไปนะครับ กำไรของผมก็คือการได้เห็นสุภาพสตรีแสนสวยมากมายนี่อย่างไรกันครับ ตัวอย่างก็เช่นคุณ”

ทว่าทั้งหมดกลับได้ยินเต็มหูของพิษณุที่บังเอิญเดินผ่านทางด้านหลัง

ไอ้ผู้ชายใช้ไม่ได้ เจ้าชู้ประตูดินแบบนี้จะให้หนูอุ่นเข้าใกล้ได้อย่างไรกัน! เขามองตามกานต์อยู่ห่างๆ เห็นเจ้าของโรงภาพยนตร์รูปหล่อเดินทักทายสาวน้อยคนนั้นคนนี้อยู่เกือบครึ่งชั่วโมงจนกระทั่งเดินไปหากัลยา เพื่อนสนิทของพิรงรองที่ยืนคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ที่มุมหนึ่งที่ไม่ค่อยสะดุดตานัก ชายหนุ่มจึงตั้งใจมองอย่างสังเกต ไม่ให้คลาดสายตา





กานต์เดินเข้าไปทักทายน้องสาวของตน ก่อนจะหันมาทักทายพิรงรองด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาสอบถามเธอและเพื่อนๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่เพิ่งดูจบไป ปิดท้ายด้วยการชวนคุยเรื่องเกี่ยวกับของสวยๆ งามๆ แบบที่ผู้หญิงชอบ แฟชั่น ทรงผม และดนตรีที่กำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศเพื่อไม่ให้พวกเธอเบื่อหน่าย

“พี่เจอน้ำหอมตัวใหม่ กลิ่นคล้ายๆ กับวานิลลา ซื้อมาฝากกัลกับเพื่อนๆ ด้วย”

“ตายจริง แบบนี้กัลไม่กลายเป็นไอศกรีมวานิลลาเคลื่อนที่ได้หรอกหรือคะ แค่ได้ยินก็กลัวแล้ว” กัลยาทำหน้าบอกไม่ถูกจนเพื่อนๆ พากันหัวเราะ แม้แต่กานต์ก็อดที่จะขำอย่างเอ็นดูน้องสาวของตัวเองไม่ได้

“จะว่าไปกลิ่นมันก็คล้ายกับไอศกรีมวานิลลาจริงๆ นั่นแหละ แต่หอม...หอมมาก พี่เทสต์มาแล้ว รับประกัน ใครที่ฉีดน้ำหอมกลิ่นนี้พี่คงอยากอยู่ใกล้ๆ ทั้งวัน หญิงอุ่นลองเอาไปใช้ดูนะครับ”

พิรงรองทำหน้าแหย “หญิงไม่ถนัดฉีดน้ำหอมน่ะสิคะ หญิงว่า...จะสวยทั้งที ทำไมมันยุ่งยากนักก็ไม่รู้”

“รับไปก่อนเถอะ ได้กลิ่นแล้วอาจจะเปลี่ยนใจ” เขากระซิบ “แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าทิ้งนะ พี่เสียดาย ซื้อมาตั้งแพง พี่อนุญาตให้แอบยกให้คุณแม่ก็ได้ แต่อยากบอกนะว่าพี่ซื้อมาให้หญิงอุ่นแล้วหญิงอุ่นไม่ยอมใช้ ไม่อย่างนั้นพี่ได้โดนดุแน่ๆ”

“ได้ค่ะ หญิงรับปากว่าจะโกหกอย่างแนบเนียน ไม่ให้ใครจับได้แน่นอน” พิรงรองหัวเราะอย่างนึกสนุก ก่อนจะหันมาแกล้งตีหน้าเศร้า กึ่งออดอ้อนกึ่งทวงสัญญา “ว่าแต่พี่กานต์จะไม่พาหญิงไปหาพี่ขวัญจริงๆ หรือคะ หญิงเบื่อในเมืองจะแย่แล้ว ผู้คนวุ่นวายกันไปหมด อยากไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง เป็นญาติกันแท้ๆ แต่แทบจะไม่ได้เจอ ตอนงานหญิงก็ไปไหนไม่รู้ แทบจะไม่ได้คุยกัน”

คนฟังทอดถอนใจอย่างรู้สึกผิด ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะพาเธอไป กานต์เองก็เบื่อการเข้าสังคมกับเหล่านักเรียนนอกขี้เต๊ะใจจะขาด แต่ตอนนี้ งานที่นี่ เขาก็ทิ้งไม่ได้จริงๆ “ช่วงนี้ที่โรงหนังวุ่นจริงๆ พี่ต้องคอยดูทุกวัน ปลีกตัวแทบไม่ได้เลย”

เห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทหมองลง กัลยาจึงช่วยเสริมอีกแรง “จริงๆ นะหญิงอุ่น ช่วงนี้พี่กานต์ยุ่งจริงๆ”

“ไม่รู้ละ พี่กานต์จำได้หรือเปล่าคะว่าตอนนั้นที่พี่กานต์ไม่ยอมไปงานเลี้ยงต้อนรับหญิงกลับมาจากปีนัง พี่กานต์สัญญาว่าจะชดเชยอะไรกับหญิงไว้”

“เอ๊ะ...อะไรน้า” กานต์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาล้วงสองมือลงในกระเป๋ากางเกงทำหน้านึก ก่อนจะยืดหลังตัวตรงสง่าพร้อมประดับรอยยิ้มอย่างหนุ่มเจ้าสังคมทรงเสน่ห์ชวนหลงใหล “พี่พูดว่าหญิงจะขออะไรก็ได้หนึ่งอย่างไง พี่ไม่ลืมหรอก เอาแบบนี้ไหม ให้พี่พาไปทานอาหารอร่อยๆ ทานกันก่อน ถือว่าเป็นการชดเชย”

“ที่ไหนคะ” กลุ่มสาวๆ รบเร้าทันที

“ภัตตาคารเพนนินซูลาดีไหม ที่นานอาหารอร่อย จากนั้นพอว่างเมื่อไร พี่จะรีบพาหญิงอุ่นกับกัลไปหาเจ้าขวัญทันที”

พิรงรองครุ่นคิดแต่เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของพี่ชายเดินตรงมาหา หญิงสาวจึงสลัดอาการคิดไม่ตกนั้นออกไป หันมาทักทายพี่ชายที่ยุ่งแสนยุ่งตลอดเวลากลับอุตส่าห์เป็นธุระขับรถมารับส่งให้กับเธอในวันนี้

หญิงสาวยังไม่ทันจะยกมือไหว้ดี พิษณุก็เดินเข้ามากอดอกยืนแทรกกลางระหว่างกานต์กับเธอราวกับไม่เห็นว่ายังมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ตรงนั้น

“พี่ชายทานอะไรมาหรือยัง รับเครื่องดื่มอะไรเย็นๆ หน่อยไหมคะ จะได้ชื่นใจ”

“พี่เรียบร้อยมาแล้ว” เสียงเข้มขรึมของพิษณุทำเอากลุ่มสาวๆ รู้สึกอึดอัดนิดๆ ไม่เว้นแม้แต่พิรงรองที่เขม้นมองพี่ชายของตนด้วยความแปลกใจ สงสัยเสียจริงว่าวันนี้พี่ชายตัวดีของเธอไปกินรังแตนมาจากไหน ทว่าพิษณุยังดูนิ่งเฉยไม่รับไม่รู้

“แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่หรือ” เขาถาม

“หลายเรื่องเทียวค่ะ” พิรงรองตอบ ยังคงแปลกแปร่งอยู่ในใจไม่หาย จนเมื่อเขาถามซ้ำนั่นแหละ เธอจึงตอบคำถามได้ “เอ...เมื่อกี้พูดถึงอะไรอยู่นะ จริงสิ เรื่องภัตตาคารเพนนินซูลา”

ได้ยินแล้วสีหน้าของพิษณุขมึงเครียดขึ้นทันที ทว่าชายหนุ่มตัวปัญหานั่นเล่ายังคงสงบนิ่ง ยิ้มละไมเป็นปรกติของเขา

“ใช่ครับ ภัตตาคารเพนนินซูลาหรือที่หนังสือพิมพ์เรียกว่า ‘ภัตตาคารกินรีนาวา’ กำลังเป็นที่นิยมเลยครับ”

กานต์ชินแล้วกับการรองรับอารมณ์ที่หลากหลายของลูกค้า การทำงานแบบนี้ทำให้เขาต้องเทคแคร์ผู้คนมากมาย และไม่มีครั้งใดที่ลูกค้าผู้แสนบึ้งตึงจะไม่อ่อนลงเพราะความดูแลอย่างพิถีพิถันของเขา กานต์เชื่อว่าหากกระทำแต่สิ่งที่ดีและทำด้วยความปรารถนาดี สุดท้ายแล้วผลที่ได้รับกลับมาก็จะมีแต่เรื่องดีๆ เขาจึงส่งยิ้มให้กับพิษณุด้วยอัธยาศัย แล้วหันกลับมาทางกลุ่มสาวๆ ชวนพวกเธอคุยต่อ

“อาหารที่นั่นอร่อยมาก ดนตรีก็เพราะ ยังคิดถ้ามีโอกาสอยากจะชวนกันไปทานดูสักครั้ง เสียดายที่เขาเปิดเฉพาะแค่ช่วงเช้าเท่านั้น ผมเคยไปหนหนึ่ง นั่งอยู่บนเรือ ลมเย็น บรรยากาศก็ดีมาก เหมือนเรสตัวรองต์ที่อ่าวเบอร์ดีนในฮ่องกงเชียว”

“ไม่เอาหรอกค่ะ กินรีเปลือยอกตรงหัวเรือที่เขาวิพากษ์วิจารณ์กันนั่น หญิงเห็นคงรู้สึกเขินๆ” พิรงรองยิ้มแห้งๆ เธอคงรู้สึกเขินที่นั่งรับประทานอาหารต่อหน้ารูปปั้นเปลือยอกของกินรีตัวใหญ่

“เมืองฝรั่งเขามีรูปปั้นชื่อดังตั้งเยอะ วีนัสเดอมิโลก็เปลือยอก ของแบบนี้แล้วแต่คนจะคิด ว่าไปแล้วภาพกินรีในวรรณคดีก็มีมากมาย เห็นกันมาแต่เด็ก แต่พอเห็นเป็นรูปปั้นกินรีจริงๆ กลับด่าว่าอุจาด ทั้งที่มันก็แค่ศิลปะ” กานต์พูดตรงตามความรู้สึก เขาเห็นรูปปั้นกึ่งเปลือยเหล่านี้นับไม่ถ้วนในพิพิธภัณฑ์ที่ต่างประเทศ “จะว่าไปคนไทยนี้ก็แปลก เห็นอะไรก็คิดเป็นเรื่องอนาจารไปเสียหมด”

“ไม่ใช่ว่าจะเห็นทุกเรื่องเป็นเรื่องอนาจารไปเสียหมดหรอกครับ” จู่ๆ พิษณุก็พูดขึ้น

“คุณอาจเรียนที่ต่างประเทศมาเสียนานจนไม่ค่อยคุ้นชินกับประเพณีวัฒนธรรมไทยเสียมาก อะไรที่ฝรั่งหัวทองว่าดีก็พากันเห่อว่าดีตามไปเสียทุกเรื่องคงไม่ไหว ทั้งที่ความจริง คนไทยไม่ได้เป็นพวกล้าหลัง เรื่องความนึกคิดก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกฝรั่งเลย”

เป็นครั้งแรกที่กานต์หันกลับมามองพิษณุด้วยแววตาประหลาดใจ เขานึกอยากจะโต้ตอบ แต่ยังไม่ทันจะได้พูด เสียงเข้มๆ ของพิษณุก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่เว้นจังหวะให้หายใจ

“ดูท่วงท่าของกินรีนั่นสิ เชิดอกทั้งสองข้างขึ้นเสียขนาดนั้น ใช่จะยืนนิ่งๆ เป็นธรรมชาติแบบรูปปั้นวีนัสเสียเมื่อไร ไหนจะเรื่องที่ทำคูคลองในสวนลุมพินีสกปรกเพราะเศษอาหารนั่นอีก อย่างไรผมก็คิดว่ามันไม่เหมาะสม ที่เขาเรียกว่า ‘ภัตตาคารจ้ำบ๊ะ’ ก็เหมาะสมแล้ว”

เห็นสีหน้าเหวอๆ ของกานต์แล้ว พิรงรองก็นึกตำหนิพี่ชายของตนอยู่ในใจ หญิงสาวรีบช่วยพูด “พี่ชายพูดอะไรก็เป็นจริงเป็นจังไปเสียทุกเรื่อง เราแค่พูดกันเฉยๆ เองค่ะ ไม่ได้คิดว่าจะไปทานอาหารที่นั่นกันหรอก”

ข้อนี้ พิษณุก็ตอบโดนทันควัน “ไม่ไปก็ดีแล้ว ถ้าหญิงอุ่นอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ไปทานอาหารอร่อยๆ นอกวังของเรา เดี๋ยวพี่พาไปทานเอง อาหารไทยอร่อยๆ มีตั้งหลายร้าน อย่างที่ดุสิตธานีได้ข่าวว่าอร่อยจนพวกฝรั่งต้องนั่งเครื่องบินข้ามทะเลมาทานถึงเมืองไทยนี่เชียวละ”

เป็นอีกครั้งที่พิรงรองทั้งตกใจ ทั้งแปลกใจ และทั้งเดาใจของพี่ชายตัวเองไม่ถูก ปรกติแล้วพี่ชายของเธอเป็นผู้ชายประเภทที่เรียกว่าเป็นต้นแบบของชายชาติทหารก็ว่าได้ พิษณุเป็นคนพูดน้อย แทบนับคำได้ แถมเป็นคนใจดี มีความเป็นสุภาพบุรุษ ทว่าพิษณุที่ยืนกอดอกหน้าขรึมเคร่งตรงหน้าของพิรงรองในตอนนี้สิ ราวกับว่าเป็นคนละคน

ราวกับว่ากัลยาและเพื่อนๆ คนอื่นจะรู้สึกไม่แตกต่างกัน พวกเธอจึงชวนพิรงรองไปทักทายกับคนรู้จักคนอื่นๆ ที่มาในงานการกุศลนี้

หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเมื่อคล้อยหลัง พี่ชายของเธอจะหันมาหากานต์ทันที

“คุณกานต์นี่เป็นคนอัธยาศัยดีนะครับ คุยเก่งเสียจริง”

แม้จะรู้สึกไม่ชอบมาพากล กานต์ก็สู้ตอบด้วยรอยยิ้ม “ทำงานแบบนี้ต้องเป็นคนคุยสนุกครับ ผมเองก็ไม่ชอบอะไรตึงเครียดด้วยซี คนไทยน่าจะเรียกว่าเป็นคนสบายๆ หรือเปล่านะครับ”

“ครับ แต่ถ้าสบายจนเกินไป เขาจะเรียกว่าเป็นคนลอยชาย”

คำตอบนั้นทำเอาคนฟังอึ้งไปพักใหญ่ แต่เพียงครู่เดียว กานต์ก็โปรยรอยยิ้มกลับมาให้พิษณุอีกครั้ง ซ้ำยังเอ่ยด้วยเสียงสบายอกสบายใจ “นี่ผมเกือบจะคิดว่าคุณชายพิษณุไม่พอใจผมอยู่แล้วเชียว”

“อย่างนั้นหรือครับ”

“ต้องอย่างนั้นสิครับ เพราะคุณชายไม่พอใจผมจริงๆ จะคอยเดินใกล้ๆ ผมชนิดไม่ให้คลาดสายตาทำไม คนที่เขาไม่ชอบน้ำใจกันก็มีแต่จะอยากห่างกัน จริงไหมครับ ถ้าว่างๆ เรียนเชิญคุณชายที่โรงหนังของผมจะได้หรือไม่ครับ ผมรับรองว่าจะพาคุณชายชมหนังสนุกๆ ด้วยตนเอง ดีหรือไม่ครับ”

คราวนี้กลายเป็นพิษณุที่เป็นฝ่ายสิ้นคำเสียเอง

“มาแล้วค่ะ คุยอะไรกันคะ ดูเครียดๆ ยังไงไม่รู้” พิรงรองเอ่ยทักขึ้นทันทีที่กลับมา เห็นท่าทางของพิษณุนิ่งขรึมผิดปรกติ หญิงสาวจึงหันไปมองทางชายหนุ่มอีกคนที่ยืนหน้าระรื่นอยู่ใกล้ๆ

“เปล่านี่ครับ” กานต์ตอบสั้นๆ ก่อนจะวกกลับมาเรื่องที่คุยค้างไว้ “จริงสิ ที่คุณหญิงบอกว่าอยากจะให้พี่พาไปหานายขวัญ” “จะไปเมื่อไรล่ะ พี่จะได้จัดการงานให้ทัน จะได้ขับรถพาไป”

“รบกวนคุณเสียเปล่าๆ ครับ ผมพาหญิงอุ่นไปเองก็ได้ ยังไงขวัญสรวงก็ญาติกัน ไม่ใช่คนนอกคนไกล” พิษณุเอ่ยขึ้น เหมือนจะพูดเรื่อยๆ แต่ดวงตานั้นคมกริบราวกับปืนที่เล็งปากกระบอกไปยังผู้ร้าย

แต่กานต์ไม่คิดว่าเขาเป็นผู้ร้าย เขาบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจจะช่วยเหลือ ชายหนุ่มจึงยืนยิ้มให้กับดวงตาแข็งกร้าวตรงหน้า ปราศจากความเกรงกลัว

“ผมเองก็ไม่ใช่คนนอกคนไกลเช่นกันครับ เรียนมาด้วยกันที่ยุโรปก็ตั้งหลายปี ดีจริง มีแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น” เขายิ้มให้กับพิษณุ ดวงตาวับวาวผิดไปจากทุกครั้ง “อย่าถือว่ารบกวนกันเลยครับ ผมเคยบอกแล้วไง ผมยินดี”





++++++++++++++++++++++++++++++




ริ้วเมฆสะบัดคลี่ออกเป็นพรมสีขาวทาบยาวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า มีแดดรำไรลอดเป็นลำแสงผ่านร่มกำแพงสีเขียวของต้นยางนาที่ขึ้นเรียงรายตลอดสองฝั่งคลอง เรือไม้ลำหนึ่งค่อยๆ เลาะเลียบเรี่ยตลิ่ง

หากมองจากบนฝั่งจะเห็นว่าตรงจุดที่ค่อนไปทางหัวเรือนั้น มีเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางนั่งเอามือแตะผิวน้ำเล่นเป็นระยะๆ และห่างไปเพียงไม่กี่คืบ เป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่กำลังพายเรืออยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด กางเกงขายาวแบบฝรั่งที่กำลังเป็นที่นิยม แม้มองจากระยะไกลก็แลเห็นว่าสวยสง่าด้วยกันทั้งคู่ ทว่าในความสง่านั้นกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หากเปรียบผู้หนึ่งประดุจไม้ใหญ่ยืนต้น คนที่นั่งพายเรืออยู่นั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับไม้สักทองที่โตเต็มที่ มีราคาสูงราวกับทอง ส่วนอีกคน คงเปรียบได้กับกุหลาบอังกฤษสีขาวที่กำลังแย้มเต็มที่ ราคาไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ดังนั้น หากจะให้แจ้งว่าสิ่งใดงามกว่าสิ่งใดนั้นคงลำบากเต็มที

“แก้มแดงๆ ร้อนหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ทว่าคนฟังนั้นเล่ากลับนิ่งเฉย เฉยราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น

จะให้เรียมลลิตรตรัสตอบว่ากระไร ก็ไม่ใช่เพราะบนเรือลำนี้หรอกหรือที่ต่างคนต่างเผยความรู้สึกอันอ่อนหวานที่สุดเมื่อคืน แล้วเขาจะมาตั้งคำถามกระไรกัน

“ลามก” ขวัญสรวงสรุป

“เปล่า”

“แล้วเพราะเหตุใด” แม้สุ้มเสียงจะจริงจังเพียงไร ทว่าดวงตาของผู้พูดนั้นกลับดูพริบพราวเสียเหลือเกิน

“หรือว่าเป็นไข้” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม ชายหนุ่มก็ยกพายขึ้นพาดบนตัก หาคำตอบนั้นด้วยการเอื้อมมือไปแตะหน้าคนที่เอาแต่นั่งงุด

เขาแตะสำรวจบนใบหน้าที่เอาที่หลบไปหลบมานั้นอยู่นานจนแน่ใจ เมื่อไม่พบว่ามีไข้สุมจึงยอมละมือลงไปวางที่หน้าขา ถอนใจแล้วส่งเสียงพึมพำราวกับบ่นกับตนเอง

“พี่เพิ่งรู้”

เรียมลลิตรยกพระพักตร์ขึ้นมองผู้ชายตัวโตที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความสงสัย จะเรียกว่าเป็นการทอดเนตรมองเต็มพระเนตรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พระองค์ถูกเขาจูงพระหัตถ์ขึ้นมาประทับบนเรือลำนี้ก็คงไม่ผิด

“อะไรหรือครับ” เขาเพิ่งรู้...รู้กระไรหรือ

เสียงทุ้มนั้นคล้ายจะเลื่อนลอยตอนที่เอ่ยตอบ

“แก้มน้องนิ่มถึงเพียงนี้”

เรียมลลิตรกดพระพักตร์ลงมองพระบาทของพระองค์เองโดยพลัน ส่วนขวัญสรวงก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเองแล้วหยิบพายขึ้นมาแจวต่อ

“เราจะไปวัด” เขากล่าว

เรียมลลิตรยังไม่ทันจะได้ตรัสสิ่งใด เสียงทุ้มกังวานก็ดังขึ้นอีกครั้ง “นั่นไง จะถึงแล้ว”





ทั้งที่แดดภายนอกนั้นค่อนข้างที่จะร้อน แต่อุโบสถภายในวัดนั้นกลับเย็นสบายอย่างประหลาด เรียมลลิตรเสด็จประทับด้านในของโบสถ์ ทอดพระเนตรมองจิตรกรรมและสถาปัตยกรรมอันอ่อนช้อยเบื้องหน้า

แม้จะเป็นงานฉลุลายกระจังและหางหงส์แบบง่ายๆ ตามลักษณะของวัดขนาดเล็กในเขตอำเภอชั้นนอกทั่วไป ไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาเป็นระยะเวลานานๆ นั้น เหล่านี้เสมือนภาพที่อัศจรรย์ยิ่งนัก

ขวัญสรวงเห็นคนที่กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างสนใจจึงชวนคุย “จำได้ไหม สองปีก่อนที่น้องมาช่วยทำข้าวตอกดอกไม้ตอนงานขึ้นอุโบสถหลังใหม่ ส่วนหนึ่งของความงดงามเหล่านี้ก็เพราะชาวบ้านบางกะปิช่วยกัน”

เห็นอีกฝ่ายเผลอพยักหน้าไม่หยุดเพราะยังไม่ยอมละสายตาจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่เบื้องหน้าแล้ว ชายหนุ่มจึงอธิบายว่า “พระประธานของอุโบสถหลังนี้คือหลวงพ่อไทร ก่อนจะซ่อมแซมอุโบสถหลังเดิมแล้วสร้างใหม่แบบที่เห็น ชาวบ้านบางกะปิก็นับถือกันมานาน แม้แต่คุณพ่อคุณแม่พี่ก็นับถือ พี่ก็เช่นกัน”

“ผมเคยมาไหว้”

คนฟังไม่ได้ชวนคุยอะไรอีก เขาอมยิ้มแล้วค่อยๆ ยอบตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น พนมมือ กราบสามครั้งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ข้าพเจ้า หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ ขอเอ่ยสัตย์สัญญาต่อหน้าหลวงพ่อไทร และขอมอบคำสาบานนี้ให้แก่เรียมอันเป็นที่รัก”

ความอ่อนโยนโรยตัวลงบนริมฝีปากที่ค่อยๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้มในตอนที่เขามองมาที่เรียมลลิตร

“ข้าพเจ้าขอสาบานว่า ทุกวันที่ห่างไกลกัน ข้าพเจ้าจะคิดถึงเรียม และจะคิดถึงเช่นนี้จนกว่าที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง แม้นทุกวันที่ทะเลาะ ไม่เข้าใจกัน ข้าพเจ้าจะไม่มีวันหันหลังหรือก้าวเดินออกไปจากชีวิตของเรียม จะอยู่ที่เดิมตรงนี้เช่นในวันนี้ และเช่นกัน ทุกวันที่เรียมพบเจออุปสรรคปัญหา เหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้ ข้าพเจ้าจะคอยอยู่เคียงข้างเสมอ และทุกวัน ข้าพเจ้าจะรักเรียม รักเพียงผู้เดียว และจะรักมากขึ้นในทุกๆ วัน” ขวัญสรวงพูดแต่ละคำด้วยความมั่นคง เขาหันกลับไปมองที่พระประธานเบื้องหน้า

“และหากข้าพเจ้า หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ผู้นี้ผิดคำสัตย์สาบานที่ให้ไว้แก่หลวงพ่อไทร และเรียม ขอให้ข้าพเจ้าไม่ได้พบเจอกับความสุขใดๆ อีกเลย อีกทั้งไม่อาจจะรักใครได้อีกเลยทั้งชีวิต”

ราวกับการเปล่งกังวานแต่ละครั้งนั้นเป็นมนตร์สะกดที่ทรงพลานุภาพเป็นล้นพ้น แต่ละพยางค์ที่เอ่ยล้วนชัดถ้อยชัดคำ ปราศจากความหวั่นไหว เรียมลลิตรได้แต่ประทับนิ่งจนกระทั่งเขากระเถิบมานั่งใกล้ๆ แล้วกุมหัตถ์ของพระองค์ในความอบอุ่นนั้น

“เรียม น้องฟังเข้าใจทุกคำใช่ไหม”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ ขวัญสรวงจึงผ่อนรอยยิ้มบางๆ อธิบายว่า “อันที่จริงแล้ว พี่ไม่ได้เคารพหรือศรัทธาในเรื่องพวกนี้มากนัก จะนับถือก็แต่มงคลแห่งองค์พระมหากษัตริย์ มงคลแห่งคำสอนของบิดามารดา และมงคลในพระพุทธศาสนา เพียงสามอย่างนี้ สัตย์สัญญาต่อหน้าหลวงพ่อไทรซึ่งเป็นสิ่งที่พี่เคารพศรัทธาจึงเป็นเครื่องยืนยันในความรู้สึกของพี่ แม้ไม่อาจจะนับได้ว่าความรู้สึกที่พี่มีต่อน้องจะคงอยู่ตลอดกาล แต่พี่ขอให้คำสัญญาว่ามันจะคงมั่นตลอดไปตราบอายุขัยของพี่”

ความติ้นตันในพระทัยนั้นทำให้เรียมลลิตรมิอาจตรัสสิ่งใดได้เลย พระฉวีซ่านซับไปด้วยพระโลหิตทั่วพระวรกาย ทรงได้แต่นั่งนิ่งๆ ตรัสเรียกชื่อของเขาแต่กลับไม่มีสุรเสียงใดมีเรี่ยวแรงพอจะรีดเร้นออกมาจากม่านหมอกแห่งความปราโมทย์ได้เลย

“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้าเพราะเกรงว่าบอกแล้วจะไม่ยอมมา นับจากเมื่อคืนผ่านพ้น พี่แค่อยากให้น้องได้สบายใจ อย่างน้อยก็อยากให้รู้สึกมั่นใจได้ว่าพี่นี้ไม่ได้คิดเอาเปรียบ ให้มั่นใจได้ว่าพี่จริงจังกับเรื่องของเราสองคนเพียงไร น้องโปรดจงสบายใจ”

เขาลุกขึ้นก่อนส่งมือมาให้เรียมลลิตรที่ยังคงนั่งอยู่ “นี่ก็ช้ามากแล้ว ที่บ้านน้องคงเป็นห่วง เรากลับกันเถิด”

“คอยสักประเดี๋ยวเถิดพี่ขวัญ” พระสุรเสียงแรกแทรกตัวออกมาได้ในที่สุด

นอกจากจะไม่ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปจับมือที่รออยู่ตรงหน้าแล้วยังทรงเปลี่ยนจากประทับในท่าพับเพียบเป็นท่าคุกเข่า จากนั้นก็ทรงกราบ แม้จะทรงงกๆ เงิ่นๆ เหมือนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรแต่ก็ทรงประคองพระวรกายขึ้นประทับ กระพุ่มพระหัตถ์ขึ้นพนม ตรัสด้วยพระสุรเสียงเนิบช้า

“ข้าพเจ้า เรียม จะรักพี่ขวัญคนเดียว”

ตรัสเสร็จแล้วก็ทรงกระพุ่มพระหัตถ์นิ่งๆ อยู่อย่างนั้น คล้ายกับทรงพยายามนึกว่าจะตรัสสิ่งใดต่อ หากแต่ความแตกฉานในภาษาไทยของเรียมลลิตรนั้นน้อยนัก ไม่อาจเอ่ยพระปฏิญาณด้วยถ้อยคำมากมายหรือแคล่วคล่องได้เทียบขวัญสรวง สุดท้ายจึงทรงถอดพระทัย ค่อยๆ วางพระหัตถ์ลงบนพระอุรุ

“เท่านี้เองหรือ” ชายหนุ่มข้างๆ นั่งทอดถอนใจด้วยอาการติดจะผิดหวัง

ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น พระหัตถ์พระกรทั้งสองข้างที่กำลังจะวางลงก็ค่อยๆ ยกขึ้นอีกครั้ง ครานี้ สุรเสียงที่ทรงเปล่งออกกระท่อนกระแท่นกว่าเดิมมากนัก ด้วยไม่อาจทรงนึกถ้อยคำที่เหมาะสมออก

“ข้าพเจ้า เรียม ข้าพเจ้า...” ทรงครุ่นคิดถึงพระดำรัสอยู่ พลันเสียงของคนน้อยใจที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ใกล้แสนใกล้กับพระกรรณเหลือเกิน

“เท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว ขอบคุณมากนะ”

มืออุ่นๆ เกาะกุมกระพุ่มพระหัตถ์ของเรียมลลิตร เพียงพริบตา พระฉวีบนหลังพระหัตถ์ก็ถูกประทับด้วยรอยจูบแผ่วเบาของผู้ชายตาหวานเชื่อมและมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า จากนั้นต่างฝ่ายก็ต่างนั่งก้มหน้าอยู่นิ่งๆ ในอุโบสถ ต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่
ขวัญสรวงและเรียมลลิตรมิได้มีโอกาสได้เห็นเลยว่า ขณะที่ตนเองเอื้อนเอ่ยสัตย์สาบานต่อหน้าหลวงพ่อไทรแห่งบางกะปินั้นได้เกิดมหิธานุภาพบางอย่างขึ้น อาทิตย์ทรงกลดกำจายจำรัสรัศมีกลางท้องฟ้า คล้ายว่าเหล่าเทพเทวาเบื้องบนได้เป็นประจักษ์พยานรับรู้ในความรู้สึกที่คนทั้งสองมอบให้แก่กันแล้ว



+++++++++++++++++++++++++++++++++



ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ พบกันใหม่ในตอนหน้า จะพยายามมาอัพให้ไวๆ นะครับ

สำหรับเกร็ดข้อมูลเพิ่มเติมในตอนนี้ คงเป็นเรื่องของ “ภัตตาคารเพนนินซูลา” เรียกเป็นภาษาไทยว่า “ภัตตาคารกินรีนาวา”
ภัตตาคารนี้ตั้งอยู่บริเวณทุ่งศาลาแดง หรือที่ปัจจุบันเรียกว่าศาลาแดงครับ ตัวภัตตาคารจะลอยอยู่ในสระน้ำในสวนลุมพินี
ละแวกนั้นจะมีภัตตาคารที่ขึ้นชื่ออยู่อีกแห่งคือ “ศรีไทยเดิม” จะอยู่บริเวณสระน้ำริมฝั่งถนนวิทยุ
แต่ที่โด่งดังกว่าก็คือตัวภัตตาคารเพนนินซูลานี้ที่มีรูปปั้นกินรีเปลือยอกจนคนสมัยนั้นเรียกว่า “ภัตตาคารจ้ำบ๊ะ”
พอถูกตำหนิจากสังคม ทางภัตตาคารก็เอาผ้าไปคลุมตัวกินรีไว้
นอกจากนี้ภัตตาคารเพนนินซูลายังโดนโจมตีเรื่องการทิ้งขยะลงในน้ำ
ซึ่งกลิ่นของมันรบกวนไปถึงคนไข้ที่อยู่ในร.พ.จุฬาฯ จนเป็นปัญหาอย่างมาก
สุดท้ายภัตตาคารก็ปิดตัวลงเพราะว่าเกิดไฟไหม้ หลงเหลือไว้เพียงแค่ตำนาน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000012689304.JPEG)

(http://f.ptcdn.info/001/003/000/1362924749-kinnareena-o.jpg)
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 25-11-2015 22:56:18
พุ่งตัววว นึกว่าตาฝาด มาอัพแล้นนนน เหมือนได้กลิ่นมาม่า ไม่นะะะะ พึ่งได้กันเองงงงง //ผิด
แต่ชักชอบคู่กานต์พิษณุแล้วสิ ลุ้นว่าจะกิ้บก๊าวกันได้ยังไง งือออ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-11-2015 00:54:23
นึกว่าเบลอเห็นเธอมาอัพ ><
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 26-11-2015 11:38:35
กลิ่นมาม่าลอยมาแล้วววว
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: MysteriOuS ที่ 26-11-2015 15:09:01
ขอบคุณที่มาต่อน่ะค่ะ  :pig4: :pig4:
 รอตอนต่อไปเจ้าค่ะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 26-11-2015 20:54:50
ขวัญเรียม เป็นคู่ที่เกี้ยวกันแล้วคนอ่านอย่างอิฉันต้องเอาหมอนมาจิกแน่นๆตอนอ่านทุกครั้งเลย แอร้ยยยยย
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 27-11-2015 22:45:15
ลุ้นต่อไป กลัวว่าจะมีใครได้ยินรึเปล่าน่ะสิ...
ี่เริญต้องเห็นอะไรแน่เลย มีบอกให้ปิดม่าน
ทำไมไม่ระวังตัวกันน้าพี่ขวัญน้องเรียม

ขอบคุณสำหรับเกร็ดความรู้เรื่องภัตตาคารนะคะ
เมื่อก่อนใช้ ring ไม่ใช้ call แฮะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: Apitchaya ที่ 28-11-2015 00:25:44
น้ำตาจิไหลลลล
ในที่สุดขวัญเรียมของอิชั้นก็มาาาา

น้องเรียมน่ารักมากกก จริงๆพูดเป็นไทยไม่ออก พูดอิ้งเลยจ้าา
พระอาจฟังไม่รู้เรื่อง แต่พี่ขวัญรู้แน่นอนน
น่ารักมากกก ฮือออ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 06-12-2015 14:04:38
ละมุนมากกกกค่ะ งื้อออ ;////; หวานได้ใจมากเลยคู่ขวัญเรียม
แต่คู่พิษณุกับกานต์นี่น่าจะกัดกันอีกนานหล่ะมั้งเนี่ยย > <
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: O_cha ที่ 07-12-2015 00:04:35
สนุกมากครับ
เขียนเรื่องได้สนุก ชวนติดตาม  ข้อมูลแน่น งานละเอียดดี
พี่ขวัญเกรียนมาก น้องเรียมก็น่ารัก
(น้องเรียมเป็นออทิสติกรึเปล่าครับ?????)



ไม่ได้ log in เข้าเล้ามาเกือบครึ่งปี เพราะไม่มีนิยายที่ถูกใจเลย
เพิ่งมาเจอเรื่องนี้วันนี้แหละ ไม่รู้หลุดรอดสายตาไปได้ยังไง อ่านรวดเดียวเลย
ยังคิดว่าน่าจะมาอ่านตอนใกล้จบก็ดีนะ เพราะเรื่องนี้คนเขียนนานๆ มาต่อทีใช่ป่ะครับ 5555
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 07-12-2015 15:56:04

เอาใจช่วยพี่ขวัญนะคะ ดูท่าว่าศึกน้อย (จ้อย) ศึกใหญ่ (พี่เริญ) จะเข้ามาตีขนาบเสียพร้อมกัน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 13-05-2016 15:26:09
อยากอ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: มะฮอกกานี ที่ 01-10-2016 20:59:16
รออยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: pacharauksara ที่ 14-10-2016 10:10:29
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ เสียดายคนเขีนนไม่มาต่อ
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 10-12-2016 03:13:27
คนอ่านกลับมาแล้ว คนเขียนกลับมาอะย้างงงง
คิดถึงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 25-09-2019 14:52:00
กลับมาอัพสัก2บรรทัดก็ด้ายยยย แง้