18 Taking a break or breaking upเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่ผมก็ยังคงนอนไม่หลับ นอนอยู่บนเตียงนุ่มโดยมีอ้อมกอดของใครบางคนซ้อนจากทางด้านหลัง มิ่งฟ้าเองก็ดูนอนไม่หลับเช่นเดียวกัน มันยังคงใช้จมูกคลอเคลียบนลำคอสลับกับจูบเบา ๆ ที่กระดูกโปนด้านหลัง
วันนี้ผมกับมันเจออะไรมาค่อนข้างหนัก เราไม่ได้พูดเรื่องเฮียอี้กันอีกแต่หวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี ผู้ชายคนนั้นร้ายกาจขณะเดียวกันก็ขี้ขลาด กลัวการต่อสู้และหวังจะไล่บี้เอาแต่คนที่ไม่มีทางขยับลุกขึ้นมาสู้
ลึก ๆ แล้วผมก็ยังคงเสียใจที่เคยตกเป็นเครื่องมือทำร้ายคนที่รัก เป็นความรู้สึกผิดที่ไม่อาจเยียวยาได้ และยังคงเป็นแผลในใจราวกับว่านั่นคือบทลงโทษของผมที่ทำอะไรสิ้นคิดไปในตัวเอง แม้ว่าคนที่กอดอยู่จะบอกว่าไม่เป็นไร นั่นก็เป็นได้แค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังคบกับมันต่อได้อย่างสบายใจเท่านั้น
ปลายนิ้วเรียวที่แตะอยู่บนสะโพกเปลือยค่อย ๆ ขยับไล่ขึ้นมาถึงช่วงเอว เลื้อยขึ้นยังหน้าท้องและผ่านสะดือบุ๋ม มันไม่ได้มีเจตนาจะปลุกอารมณ์เพียงแค่ไล้ไปบนผิวกายด้วยความเคยชิน สักพักก็แนบมือไว้บนหลังมือผม สอดประสานปลายนิ้วเข้ามาโดยที่ยังจูบบนต้นคอไม่หยุด
“เฟย” ส่งเสียงเรียก อีกฝ่ายขานรับแทบจะในทันที พลิกมือมาใช้นิ้วเล่นฝ่ามือขาวเพลิน ๆ “พรุ่งนี้ไปดูหนังกันไหม”
“จะตื่นเหรอ”
“ตื่นเมื่อไรก็ไปไง ไม่ต้องรีบ พรุ่งนี้วันหยุดอีกวัน”
คู่สนทนาครางรับในลำคอเป็นอันตกลงแต่ก็ยังไม่หลับ ผมขยับตัว พลิกเอาหัวมาซบบ่าเปลือยข้างที่มีรอยสักเอาไว้ ใช่ปลายนิ้วไล่ไปยังปีกนกที่กำลังโผบินท่ามกลางความมืด มิ่งฟ้าพับแขนข้างที่ถูกทับมาเล่นผมของผม เรานอนลืมตาในความมืดราวกับกำลังสงสัยว่าเมื่อไรความง่วงจะพลัดพรากสติให้หลุดลอยไปเสียที
“กูอยากรู้เรื่องเฮียอี้”
ถามเพราะยังคาใจเหมือนหนังม้วนเดิมที่ยังเฉลยไม่หมด ไอ้เฟยถอนหายใจ เอี้ยวเสี้ยวหน้ามาจูบที่ขมับแต่กลับถามเสียงเครียด “อยากไปรู้เรื่องมันทำไม”
“ก็...ไม่เข้าใจล่ะมั้ง เขาเกลียดมึงขนาดที่ต้องทำร้ายกันแบบนี้เลยเหรอ”
“คงงั้น เมื่อก่อนกูคิดว่ามันน่าสงสารนะ ที่เฮียเป็นแบบนี้เป็นเพราะผลมาจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ เตี่ยกับม้ามันเข้มงวด เวลาไม่ได้ดั่งใจอะไรก็จะด่ากันแรง ๆ กูยังกลัวเลย โชคดีที่ครอบครัวกูไม่เป็นแบบนั้น นิสัยบางอย่างก็ไม่เหมือนกันด้วย มันเป็นคนเก็บกด มึงก็เห็น มันรักพี่อรที่ไหนล่ะที่ต้องแต่งงานกัน”
“เขามีแฟนเป็นผู้ชายใช่ไหม”
“อืม เพื่อนในกลุ่มตั้งแต่มัธยมนี่ล่ะ ไม่รู้ว่าคบกันนานหรือยัง รู้แค่อาอึ้ม แม่ของมันจับได้ก็เล่นเอาเสียแฟนมันต้องถูกส่งไปเรียนต่อนอกเลย ทางนั้นเขาก็มีหน้ามีตา คิดว่าจับแยกกันแล้วจะเลิกเป็นเกย์ได้ ไอ้เฮียเหมือนจะเลิกยุ่งกับผู้ชายนะ แต่แฟนมันสองสามเดือนก็มีคนใหม่แล้ว พอมารอบกูตอนที่ม้ารู้ มันก็มาคุยด้วย เหมือนคนหัวอกเดียวกัน แต่ผิดตรงที่บ้านกูเสือกเฉย ๆ มันเลยรู้สึกเหมือนโดนทิ้งล่ะมั้ง”
“เขาเลยเกลียดมึงเหรอ”
“นั่นมันจุดเล็ก ๆ ที่เฮียเกลียดน่ะ เกลียดอากงที่รักกูมากกว่า ยิ่งหมั่นไส้กันอยู่แล้วด้วย”
“เขาใจร้ายกับแม่กูมากนะ” พูดพลางนึกย้อนไปถึงวันนั้น ทั้ง ๆ ที่สีหน้าเฮียอี้ดูนิ่งเรียบคล้ายคนนอกที่ไร้ความรู้สึกผมไม่อาจรู้ได้เลยสักนิดว่าอีกฝ่ายกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องที่ทุกอย่างเป็นไปตามเกม
“เลือดเย็น”
คำนี้อาจเหมาะสมที่สุด ไอ้เฟยพยักหน้าเห็นด้วย “มันเป็นปมของคนที่ไม่มีความรักว่ะ อธิบายไม่ได้ กูเคยบอกให้อาอึ้มพาเฮียไปรักษาอยู่นะ ถึงเขาจะดูปกติแต่มึงรู้สึกใช่ไหมว่ามีอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่มันติดอยู่ในใจเขาทำให้กลายเป็นคนแบบนี้”
“คงงั้นมั้ง” ผมตอบเสียงโรย นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ทั้งโกรธทั้งเกลียด แม่คือคนเดียวที่ผมเหลืออยู่ เรามีกันแค่นี้ ตั้งแต่ลืมตา ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อหน้าตาเป็นยังไง เขาตายไปแล้วหรือแค่ทิ้งผมไว้ให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งทำงานหามรุ่งหามค่ำดูแลก็ไม่รู้
มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันแน่น ที่แม่จากไปเพราะผมเองที่ไม่พูดความจริงตั้งแต่ต้น โกหกปิดบังเรื่องไอ้เฟยเพราะหวังว่าเขาที่อยู่ไกลจะสบายใจ แต่กลับกลายเป็นดาบมาทิ่มแทงและปลิดลมหายใจโดยไม่มีแม้แต่โอกาสอธิบายเลยสักครั้ง
ถ้าบอกว่าไม่โกรธเลย เห็นใจและพร้อมจะอโหสิทุกอย่างก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้น ต่อให้พื้นเพเบื้องหลังเขาจะเจออะไรมาก็ตาม เฮียอี้ก็ไม่มีสิทธิทำกับผมและแม่ หรือกระทั่งลูกพี่ลูกน้องของตัวเองแบบนี้ ความกดดันที่ถูกเปรียบเทียบกับน้องทั้ง ๆ ที่เป็นหลานชายคนโตของบ้านคนจีนมันใหญ่หลวงก็จริง หรือกระทั่งรักแรกที่ไม่สมหวังนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีสิทธิ์ผ่านมาทำลายใคร ๆ ได้ดั่งใจ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้จะทำตัวร้ายกาจใส่ใครแค่ไหนเพลิงที่ปะทุอยู่ในใจมันไม่มีวันมอดดับ ยังคงลุกโชนอยู่ด้วยความริษยาตลอดเวลาต่างหาก
เฟยยืดตัวขึ้นจูบหน้าผาก มันบีบมือทั้งสองข้างของผมให้คลายแรงออกจากกัน “มึงไหวนะ”
“อืม...เรื่องก็นานมาแล้ว” ถึงจะพูดไปแบบนั้นผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไหวจริง ๆ ภายใต้ใบหน้าที่ปั้นยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจยังคงกรีดร้อง เหมือนน้ำตานับพัน ๆ ลิตรหลั่งอยู่ในหัวใจ มิ่งฟ้ารวบผมเข้ากอด เยียวยาความรู้สึกนั้นด้วยแขนแกร่งของตัวเอง
ผมรู้ว่ามันไม่ผิด...มันไม่ใช่คนผิด แต่มิ่งฟ้ากลับกำลังตะโกนก้องในใจบอกว่าขอโทษนับพัน ๆ ครั้ง
“ร้องออกมาเถอะตี๋...กูรู้ว่ามึงกำลังแย่”
ผมยกมือขึ้นกอดเอวมัน สุดท้ายก็ไม่อาจกลั้นไหว น้ำตามากมายจากไหนไม่รู้ถั่งโถมออกมาจากกระบอกตา สะอื้นฮักเหมือนเด็กถูกแย่งขนม เพียงแต่ความรู้สึกของผมข้างในนี้มันร้ายกว่านั้น รุนแรงมากกว่านั้น
หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมขอแค่นาทีเดียวที่จะบอกแม่ว่าเฟยดูแลผมดีขนาดไหน เงินจำนวนมากที่ใช้เป็นค่ากินค่าอยู่ในตอนนั้นไม่ใช่เพราะขายตัว ผมทำงานแลกมันมาทุกบาท ร้านอาหาร วาดรูปขาย ทำรายงานให้เพื่อน ถึงแม้ว่าสุดท้ายผมต้องยอมขายศักดิ์ศรีและคนรักเพื่อยื้อชีวิตแม่ไว้ก็ตาม
ถึงแม้ว่าสุดท้าย ผมจะทำให้แม่เสียใจ แต่ที่ผ่านมา...
“กูเชื่อว่าแม่มึงรู้ทุกอย่าง และให้อภัยมึงนะวิน”
ผมพยักหน้า ราวกับคำปลอบนั้นเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเยียวยาจิตใจตัวเองได้ในตอนนี้ อ้อมแขนของเฟยอุ่น และมันเป็นสิ่งเดียวเช่นกันที่ผมหลงเหลืออยู่
“เขาจะไม่ยุ่งกับมึงจริง ๆ ใช่ไหมเฟย กูเสียใครไปไม่ได้อีกแล้ว”
“ไม่หรอก มึงนี่ย้ำคิดย้ำทำ” มันพูดกลั้วหัวเราะ เชยคางผมขึ้นจากหน้าอกแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาให้ ใบหน้าสวยโน้มลงมางับที่ปลายจมูกเบา ๆ เชิงล้อเลียน
“พูดจาไม่รู้เรื่องหรือไง หืม?”
“ก็ห่วง”
นั่นคือสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ มิ่งฟ้ายืนยันอีกครั้งและนั่นเหมือนเป็นคำรักที่หวานหู “กูเป็นอะไรไม่ได้หรอกตี๋ ต้องดูแลมึงไปอีกนาน”
จบประโยคเราต่างเงียบเสียงไปพักใหญ่ กระทั่งผมพูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ “เฮียพูดถึงนักศึกษาที่มึงเลี้ยงไว้”
“มันก็พูดไปเรื่อยน่ะแหละ อยากให้มึงระแวง” มิ่งฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทันควัน กระนั้นผมก็สัมผัสได้ถึงจังหวะลมหายใจบนแผ่นอกที่เปลี่ยนไปชั่วขณะ “อย่าไปคิดอะไรมากกับที่มันพูด”
“กูเชื่อมึงได้จริง ๆ นะเฟย?”
ถามย้ำอีกครั้ง ไอ้เฟยก็พลิกตัวผมให้นอนหงาย ขยับผ้าห่มจนขึ้นมาชิดคอ “ไม่ต้องเชื่อทุกเรื่องก็ได้ แต่เชื่อว่ากูรักมึงเรื่องเดียวก็พอ”
ริมฝีปากอุ่นสัมผัสบนเปลือกตาหลังจากได้ยินประโยคนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมอุ่นใจและหวาดระแวงไปในเวลาเดียวกัน
เช้าวันถัดมาผมตื่นหลังเจ้าของห้อง ซึ่งนับเป็นเรื่องผิดปกติ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนดึกและมีเรื่องเข้ามามากจนเมื่อข่มตาหลับลงสมองก็ถูกปิดสวิตซ์ไปโดยอัตโนมัติ ที่นอนข้าง ๆ กันเย็นเยียบบอกความหมายว่าอีกฝ่ายลุกออกจากที่นอนนานแล้ว ทันทีที่เปิดประตูห้องนอนออกมาก็เห็นคนที่ตามหานั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวที่เกลียดนักหนาเวลาที่ผมแบกงานกลับมาทำบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
โดยอัตโนมัติ ผมขยับเดินเข้าไปใกล้ นวดบ่าให้ชายหนุ่มหันกลับมา ใต้ตาไอ้เฟยคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอนมากกว่าตื่นเช้า
“นอนหรือเปล่าเมื่อคืน”
“อือ” มันตอบในลำคอ ผมไม่ได้ถามต่อแต่พอเดินเข้าไปในครัวกลับเจอแก้วกาแฟใช้แล้วสองใบ ถอนหายใจหน่ายนึกห่วงแต่ก็ไม่อยากบ่น ไอ้เฟยไม่ใช่คนเครียดกับงาน แต่คราวนี้คงหนักพอสมควรถึงได้ยอมอดหลับอดนอนทำงานยันสว่างแบบนี้
“เดี๋ยวกูทำแซนวิชให้กินนะ จะออกไปข้างนอกไหม หรืออยากนอนพัก”
“ออกไปสิ นัดมึงแล้ว เดี๋ยวขอเคลียร์หัวข้อนี่ก่อน”
ผมพยักหน้าแล้วกลับเข้าไปในครัว ทอดไข่ ลวกแฮมกับไส้กรอก หั่นผักวางบนขนมปัง เทน้ำผลไม้กล่องใส่แก้วให้มันแล้วยกมาให้ที่โต๊ะ มิ่งฟ้าเอนหัวมาพิงกับสะโพกผม เมื่อวางถาดอาหารเช้าแล้วก็ลูบเส้นผมสีดำยาวนั่นเบา ๆ เวลาเห็นมันเหนื่อยก็เหนื่อยไปด้วย
“กูว่าไม่ต้องออกไปข้างนอกแล้ว ล้างหน้าล้างตา กินข้าวแล้วพักเถอะ” ดูมันเหนื่อยจริง ๆ แต่เฟยก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ ยกมือขึ้นโอบเอวผมก่อนดึงลงมานั่งตัก คนตัวใหญ่กว่าซบหน้าผากลงบนบ่า อ้อนในแบบของมัน
“ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวด้วยกันเลย ไปเถอะ”
“เฟย เรื่องเที่ยวไม่สำคัญหรอก รู้ใช่ไหม”
สุขภาพของมันต่างหาก ถึงเมื่อก่อนอาจผ่านช่วงเวลาที่ทำงานจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันมาบ่อย ๆ แม้แต่ตัวผมเอง ตอนที่ทำงานโดยไม่มีมันก็โต้รุ่งจนกว่างานจะเสร็จก็ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นเรื่องดี ร่างกายคนเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อใช้งานหนักหนาขนาดนี้ ยิ่งเป็นเรื่องที่มันไม่ได้รักไม่ได้ชอบ แต่ด้วยภาระหน้าที่บีบบังคับให้ทำแล้วด้วยผมยิ่งเป็นห่วง
“เครียดก็พัก”
พูดพลางบีบข้อมือทั้งสองข้าง แต่เฟยก็ส่ายหัวอยู่ดี “อย่าทำให้กูเป็นห่วงได้ไหม” สิ้นประโยคนั้นเจ้าของห้องถึงได้ยอมพยักหน้า เรากอดกันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ๆ กระทั่งผมบังคับให้มันไปล้างหน้าล้างตา กลับมากินมื้อเช้าด้วยกันแล้วก็ส่งมันเข้านอน บังคับอยู่นานสองนาน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเพลียไม่ใช่น้อยใช้เวลากล่อมเพิ่มอีกนิดหน่อยก็ดำดิ่งสู่นิทรา
ผมนอนตะแคงข้าง ๆ มัน มองขนตายาวที่แนบสนิทกันทั้งบนและล่างจนเป็นแพหนา ไล่ปลายนิ้วสัมผัสข้างแก้มแล้วเคลื่อนตัวมาจูบบนหน้าผาก ขยับตัวเข้าใกล้ก่อนจะซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดอุ่น ๆ ของมัน
ราว ๆ เที่ยงวันผมลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งขณะที่เฟยยังคงหลับสนิท ผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ผมลุกขึ้นนั่ง ออกมาเก็บห้องที่ไม่ได้ทำความสะอาดมาตลอดสัปดาห์เหมือนทุกวันอาทิตย์ บางครั้งไอ้เฟยก็ช่วย แต่ผมมักจะสั่งให้มันนั่งเฉย ๆ เสียมากกว่า
โทรศัพท์ของมิ่งฟ้าวางทิ้งไว้ใกล้โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ปิด คำถามที่คาใจบางอย่างผลักดันให้ผมหยิบโทรศัพท์ของมันมาดูอีกครั้ง คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนคือคนจำนวนหนึ่งที่เคยทักมาถูกลบไปจากรายชื่อหมดแล้ว เหลือเพียงบางส่วนที่น่าจะเข้ามาในลักษณะของลูกค้ามากกว่า หนึ่งในนั้นมีคุณนภทีป์ที่ไม่ได้ลบข้อมูลทิ้ง บทสนทนาครั้งสุดท้ายคืออีกฝ่ายทักมาขอโทษหลังจากที่รู้จากพี่เชนทร์ว่าผมกับเฟยคบกันอยู่ ซึ่งถ้าไล่ขึ้นไปดูข้างบนจะเห็นว่าก่อนหน้านี้นภทีป์ก็พยายามมากพอสมควร หากแต่ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ จากคนรักผมกลับไปเลยสักนิด
ใช้เวลาไม่นานในการเปิดอ่านผมก็ปิดไป เลื่อนขึ้นไปดูรายชื่อคนที่มันสนทนาด้วยล่าสุด ใช้ชื่อว่าเมท แต่ไม่ได้ใช้รูปเฟยแล้ว เป็นรูปเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษา หน้าใส ผิวขาวอมชมพู ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ เป็นคนเดียวกับที่ผมเคยเจอที่ลานจอดรถถึงสองครั้ง เวลาที่คุยกันครั้งสุดท้ายคือราว ๆ ตีหนึ่งที่ผมหลับไปแล้ว
0.58 Mate – พี่เฟยครับ ผมนอนไม่หลับ
1.32 Feii – อ่านหนังสือสิ จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ
1.32 Mate – ครับ ผมไม่อยากสอบเสร็จเลย
1.33 Mate – พรุ่งนี้พี่พอมีเวลามาเจอกันหน่อยไหมครับ
1.35 Feii – ไม่ว่าง
1.35 Mate – อยู่กับเขาเหรอครับ
1.36 Feii – อืม
1.40 Mate – น่าอิจฉาจังนะครับ
1.41 Feii – อย่าพูดไม่รู้เรื่อง เขามาก่อนเรา
1.41 Mate – ผมรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ผมก็คงไม่ได้คุยกับพี่
1.41 Mate – และผมคงไม่รักพี่ขนาดนี้
1.50 Feii – เย็นวันพุธ เลิกประชุมแล้วจะแวะไปหา ที่เดิม
1.51 Mate – พี่เฟย ค้างด้วยกันได้ไหมครับ
1.55 Mate – ผมรู้ ผมเหลือเวลาอีกไม่มาก นะครับ
2.00 Mate – สงสารผมเถอะพี่
บทสนทนาสิ้นสุดลงที่ประโยคนั้น มิ่งฟ้าอ่าน แต่ไม่ตอบ น่าแปลกที่ผมสัมผัสได้ทั้งสีหน้าและแววตาของคนทั้งสองเพียงเพราะประโยคไม่กี่ประโยค ความรู้สึกบางอย่างลอยฟุ้งอยู่ในอกหากแต่กลับทำให้รู้สึกคล้ายหายใจไม่ออก เงยหน้าขึ้นมองเพดานไม่ให้น้ำตามันรินออกมา
ต้องมีเหตุผล...มีอะไรสักอย่างที่มันพูดกับผมตรง ๆ ไม่ได้
“ตี๋”
เสียงแหบห้าวที่เรียกทำให้ผมเอี้ยวตัวกลับไป ไอ้เฟยมองโทรศัพท์ในมือผมหน้าซีดเผือด
“ถึงเวลาที่มึงต้องพูดบ้างแล้ว”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ยื่นโทรศัพท์คืนเจ้าของ ไอ้เฟยเองก็นิ่งงันไม่ต่างกัน ไม่แม้แต่จะยื่นมือออกมารับของตัวเองคืนไปด้วยซ้ำ
“อธิบายมาสิ กูฟังอยู่”
“วิน ไม่มีอะไร กำลังจะเลิกแล้ว แต่ช่วงนี้น้องสอบมันเลยขอไว้”
“มึงทำอย่างนี้ได้ยังไง”
ผมถามแม้จะรู้ว่าไม่มีวันได้คำตอบ น้ำตาที่กลั้นอยู่ไหลลงมา ผมเกลียดตัวเองที่อ่อนแอ เกลียดตัวเองที่เจ้าน้ำตาได้ทุกวันแบบนี้
“ทำแบบนี้กับกูได้ยังไง”นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมพูดก่อนจะหนีทุกอย่างออกมา ทุกความรัก ความเจ็บปวด ไม่มีเสียงรั้ง ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้
มีเพียงหัวใจที่แหลกสลาย ที่ผมต้องกอบโกยมันขึ้นมาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นผมจอดรถหน้ารั้วบ้านที่มืดสนิทของพี่ชิต เพิ่งรู้ว่าออกมาแค่ตัวกับกุญแจรถไม่พกอะไรมาสักอย่างก็ตอนที่ปวดกระเพาะหลังจากขับรถเตร่ไปเรื่อย ๆ โชคดีอย่างหนึ่งคือน้ำมันเต็มถัง อีกอย่างคือผมจำเส้นทางมาบ้านรุ่นพี่ที่ทำงานคนสนิทได้แม่น แต่น่าเสียดายที่เจ้าของบ้านไม่อยู่
ไฟสีเหลืองสาดเข้ามา ภรรยาของพี่ชิตลงรถมาเปิดประตูรั้ว ผมบีบแตรเรียกสารถีจึงลดกระจกชะเง้อคอมามอง
“ไอ้วิน?”
ผมดับเครื่อง ลงจากรถ บ้านพี่ชิตอยู่สุดซอย มีพื้นที่มากพอให้จอดรถพักชั่วคราว พอเข้าบ้านได้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ปะป๊าอุ้มลงมาด้วยก็ยกมือไหว้ ผมเคยเจอน้องน้ำมนต์กับคุณสุดาไม่กี่ครั้ง แต่เด็กน้อยกลับจำผมได้แม่น
“มีอะไรหรือเปล่าวะ มาถึงนี่ได้”
“จะมายืมตังค์ครับ” ผมบอกยิ้ม ๆ ซ่อนความรู้สึกขมขื่นไว้ใต้หน้ากาก “พอดีออกมาแถวนี้แล้วลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่คอนโด”
พี่ชิตพยักหน้า ไล่ลูกกับภรรยาเข้าไปในบ้านก่อนจ้องหน้าผมเขม็ง ถามขึ้นมาเสียงเครียด “มีเรื่องอะไร”
“ผม....”
“ยังเห็นข้าเป็นพี่หรือเปล่าวิน เอ็งตัวคนเดียว ถ้ามีอะไรไม่เล่าให้ข้าฟังคิดว่าจะแบกเรื่องพวกนี้ไปถึงเมื่อไร อย่างนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ไม่ได้ตอบในทันทีแต่ก็ยอมสารภาพในที่สุด
“ผม...ทะเลาะกับเฟยมาน่ะครับ แล้วก็ออกมาโดยไม่ได้หยิบอะไรติดตัวมาเลย ผมเลยอยากรบกวนพี่ชิตหน่อย ว่าจะหาโรงแรมพักสักคืนสองคืน”
“หนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรอกนะวิน”
“ผมไม่ได้หนี” ถึงแม้ใจจะอยากแค่ไหน แต่ก็ทำไม่ลง ความรู้สึกบางอย่างย้อนแย้งอยู่ภายในระหว่างที่จะจบเรื่องราวทุกอย่างตรงนี้ หากแต่ใจก็ยังรู้ดีว่าผมทำไม่ได้ ผมอยู่โดยไม่มีมันอีกครั้งไม่ได้ มันกลายเป็นความจำเป็นในชีวิตของผม เช่นเดียวกับความรักของมัน
“ผมแค่อยากจะขอเวลาสักพัก”
“งั้นมาอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้”
ผมส่ายหน้า ไม่ใช่แค่ไม่อยากรบกวน แต่กลัวว่าเฟยจะมาตามหาที่บ้านพี่ชิต ขณะเดียวกัน ก็กลัวว่ามันจะไม่ตามหา ปล่อยให้ผมหายไปเฉย ๆ เหมือนตอนนั้น
ผมกลัวที่จะรับรู้ ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมันจะเป็นยังไงก็ตาม
“ผมอยากได้เวลาส่วนตัว ผมอยากคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง”
“จะลางานด้วยไหม”
“ครับ ถ้ายังไงรบกวนพี่ชิตช่วยเอางานกลับจากบริษัทมาให้ผมได้หรือเปล่า ผมอาจจะแค่ไม่เข้าบริษัท”
“จะหยุดก็ลาหยุดดี ๆ ไปมึง”
มือใหญ่วางบนหัว พี่ชิตมองผมเหมือนพี่ชายที่กำลังห่วงน้อง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน แต่บอกที่อยู่มาก็พอ มือถือก็เอาเครื่องสำรองกูไปใช้ แลกซิมขอเบอร์ใหม่ที่เซเวน อย่างน้อยให้ติดต่อกันได้บ้าง หายไปเฉย ๆ แบบนั้นมันอันตรายเกินไป”
ผมพยักหน้า ยกมือขึ้นไหว้ พี่ชิตถอนหายใจแล้วตบบ่าซ้ำ ๆ
“เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน” นั่นเป็นคำสั่งสุดท้ายที่พี่ชิตบังคับให้ผมทำ
ผมน่าจะรู้ดีตั้งนานแล้วว่าการอยู่คนเดียวไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา มิหนำซ้ำยังพาปัญหามาให้คนอื่นเดือดร้อนอีกด้วย
ช่วงสองสามวันมานี้พี่ชิตงานหนักมากจนแทบจะไม่มีเวลาโทรเช็คว่าผมเป็นยังไงทั้ง ๆที่กำชับแน่นหนาว่าทุกเย็นผมต้องรับโทรศัพท์ ช่วงแรก ๆ ผมนึกสงสารน้องน้ำมนต์ลูกสาวคนโตอยู่ครามครันว่าคุณพ่อยังไม่แก่ก็จู้จี้จุกจิกเสียแล้ว แต่เมื่อกองทัพงานโหมใส่ พี่ชิตกลับเป็นคุณพ่อที่ปล่อยปละละเลยผมได้อย่างเยือกเย็น เวลาอันน้อยนิดพี่ชิตรีบวิ่งกลับไปหาครอบครัว กอดภรรยาและลูกจนค่อย ๆ ขาดการติดต่อไปเรื่อย ๆ
อันที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ได้น้อยใจอะไรหรอก รู้สึกผิดด้วยซ้ำที่ทำให้พี่ชิตลำบาก ได้ยินมาว่าพี่เชนทร์เองก็โดนหางเลขไปด้วย ไอ้เฟยไปตามอาละวาดที่ไซต์ถามว่าเอาผมไปซุกไว้ที่ไหน นิสัยเด็ก ๆ ของเฟย ก็ยังคงแผลงฤทธิ์ทุกครั้งที่เจอเรื่องอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ
ผมตั้งใจว่าจะกลับเข้าไปทำงานตั้งแต่วันนี้ อย่างน้อยให้เฟยเห็นหน้า เวลามีปัญหาจะได้อาละวาดถูกคนเสียทีแต่กลับปวดท้องหนักกว่าทุกวันที่ผ่านมาสุดท้ายเลยได้แต่นอนแหม่บอยู่ที่โรงแรมไม่ได้โทรบอกใครทั้งนั้น
เสียงเรียกเข้าจากมือถือที่วางอยู่ใต้หมอนดังขึ้น โชคดีที่นอนคู้อยู่บนเบาะเลยไม่ต้องขยับตัวมาก เอื้อมมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารอย่างยากลำบากก่อนกดรับ เป็นเบอร์ของคนที่กำลังนึกถึง แต่กลับทักทายออกไปไม่ได้ในทันที
“วิน กินไรป่าววะ วันนี้ข้าเลิกเร็วเดี๋ยวจะแวะไปรับน้องน้ำมนต์ที่เนิร์สเซอรี่เอง”
“..........”
ผมพยายามเปล่งเสียง แต่อาการปวดที่กระเพาะเมื่อขยับตัวก็รุนแรงขึ้นไปอีก สุดท้ายก็ได้แต่หลับตานิ่ง ๆ ขบฟันเข้าหากันจนสั่นไปทั้งหน้า
“วิน ฮัลโหล วิน?”
“...........”
ผมหลับตาลง ขดตัวเข้าหากัน ปล่อยโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแต่เอามือเลื่อนมาบีบที่หน้าท้อง ทุบหลายครั้งกระทั่งกรีดร้องออกมาในที่สุด
“โอ๊ยยยยย!!”
“มีอาการกี่วันแล้วคะ”
“3-4วันครับ”
“มีอาการอื่นร่วมด้วยไหมคะ”
“วันนี้อาเจียนเป็นเลือดครับ ปวดแสบ ๆ ในท้อง”
มือขาวของพยาบาลจดประวัติผมไปขณะที่พี่ชิตนั่งประสานมือตัวเองไว้ตรงหน้าตัก สุดท้ายก็ไม่ได้ไปรับลูกสาวเพราะต้องบึ่งรถมาพาผมเข้าโรงพยาบาลเสียก่อน
“ปกติดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือเครียดหรือเปล่าคะ”
“ช่วงนี้ก็ค่อนข้างมากกว่าปกติครับ”
พยาบาลหลิ่วตามองผม ก่อนหมอเจ้าของไข้จะเดินเข้ามา ผมพยายามเหยียดตัวนอนหงายให้ตรวจ แต่อาการปวดท้องที่ไม่ทุเลาลงก็ทำให้ยืดตัวลำบาก
“น่าจะเป็นอาการเลือดออกในกระเพาะนะครับ จะเอ็กซเรย์ ส่องกล้องหรือทานยาก่อนดีครับ”
“ผมอยากทานยาดูก่อน” โรคกระเพาะไม่น่าร้ายแรงมาก อีกอย่างเพิ่งอาการหนักวันนี้ด้วย
“แต่ตอนนี้ปวดมากเลยครับหมอ”
“ถ้าอย่างนั้นหมอจะฉีดยาให้ก่อน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 7 วัน หรืออาเจียนกับถ่ายเป็นเลือดอีกต้องมาพบหมอใหม่นะครับ เหล้า บุหรี่ ยาแก้ปวดงดทั้งหมด พยายามอย่าเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ”
ผมพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม ที่สั่งมาทั้งหมดเห็นจะเป็นเรื่องยาแก้ปวดอย่างเดียวที่ผมงดได้ ก่อนหน้านี้ปวดหัวไมเกรนบ้างแต่ก็ไม่เกินจะทนไหว
“อาหารก็ทานเป็นอาหารอ่อน ๆ ไปก่อนสักสองสัปดาห์ กินให้ตรงเวลานะครับ”
ผมพยักหน้าอีกครั้งคุณหมอก็ส่งยิ้มให้อ่อนโยนแล้วหันไปสั่งยากับพยาบาล ผมหลับตาลงอีกครั้ง ม่านสำหรับกั้นผู้ป่วยกับคนนอกถูกเลื่อนปิดสัมผัสได้เพียงปลายเข็มและสัมผัสแผ่วเบาจากคุณหมอเท่านั้น
“เรียบร้อยแล้วครับ คุณวายุให้เพื่อนไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วนอนพักจนกว่าจะดีขึ้นค่อยลุกก็ได้นะครับ”
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
เสียงผ้าม่านเลื่อนเปิดออก ผมนอนหลับตาอยู่อย่างนั้นรอเวลาให้ยาออกฤทธิ์ พี่ชิตไม่ได้นั่งรอที่เดิมแล้วคงออกไปจัดการธุระอื่น ๆ กระทั่งเสียงฝีเท้าในห้องตรวจดังขึ้นใกล้เตียงที่ผมนอนอยู่ถึงค่อยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
มิ่งฟ้าทอดสายตาลงมา ขอบตาแดงก่ำแต่ใต้ตากลับดำคล้ำ มันสวมเสื้อสูทแต่กลับดูโทรมลงจนรู้สึกได้ พี่ชิตยืนอยู่นอกประตูไกล ๆ ดูก็รู้ว่าใครเป็นคนตามไอ้เฟยมา
“กลับบ้านกันนะตี๋”
ผมหลับตาลง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ลึก ๆ แล้วก็ยังดีใจที่มีมันยืนอยู่ตรงนี้ โหยหาอ้อมกอดที่อบอุ่นนั่นอีกครั้งต่อให้มันอาจไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียวก็ตาม
“กลับเถอะวิน ไม่ได้จะหนีไม่ใช่เหรอ ใช้เวลากับตัวเองมามากพอแล้วนะ”
พี่ชิตเอ่ยสำทับ ผมพยักหน้าอย่างพ่ายแพ้ เห็นสายตาทุกคนก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำให้เป็นห่วง
“ครับ” ผมตอบประโยคนั้นออกไป ก่อนอาการปวดแสบที่กระเพาะจะรุนแรงขึ้นอีกที
TBC
