บทสรุป...................................
หลังจากที่จันทร์แรมใช้นพให้ไปเอาดาบแล้ว นพก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับดาบสองเล่มในมือ
“คุณยายแน่ใจแล้วหรือครับว่าจะใช้ดาบนะ” นพถามย้ำอีกรอบอย่างเป็นกังวล แต่ก็ยังไม่ยอมยื่นส่งดาบให้เธอ “ผมกลัวว่าอาการคุณยายจะทรุดลง”
หากแต่จันทร์แรมไม่ฟัง กลับคว้าดาบทั้งสองเล่มออกมาจากมือของนพอย่างเร็ว
“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นสิตานพ” จันทร์แรมบ่นก่อนจะส่งดาบให้อวิ๋น ซึ่งทำเอาคนรับมองดาบด้วยความมึนงง “รับไปสิคะคุณอวิ๋น อย่าบอกนะว่าลืมวิธีการใช้ดาบไปแล้วนะค่ะ”
จันทร์แรมพูดแซว ซึ่งทำเอาคนฟังยิ้มแห้งๆ
“ไม่ได้ลืมหรอกครับ” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “ทำไมต้องให้ผมถือดาบด้วยล่ะครับ คุณจันทร์แรมจะแสดงวิชาดาบลับขั้นสุดยอดให้ผมดูเฉยๆไม่ใช่รึไงครับ”
จันทร์แรมได้ยินดังนั้นก็รีบส่ายหน้าทันที
“ไม่ใช่แค่แสดงให้ดู แต่ดิฉันจะสอนวิชาดาบนี้ให้คุณอวิ๋นตั้งหากล่ะคะ” พอจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนถึงกับร้องอุทานด้วยความตกใจ
“สอนดาบหรือครับ?!” อวิ๋นพูดอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ “ผมว่าอย่าเลยจะดีกว่า ผมคงไม่เหมาะที่จะเรียนวิชานี้หรอกครับ”
“เหมาะไม่เหมาะนั้นดิฉันจะเป็นคนตัดสินเองค่ะ เพียงแค่คุณอวิ๋นทำตามที่ดิฉันบอกก็พอ”
“แต่ผมเกรงว่า....”
“ดิฉันไม่ต้องการได้ยินคำว่าเกรงใจ” จันทร์แรมพูดแทรก ซึ่งทำเอาอวิ๋นอ้าปากค้าง “ที่ดิฉันสอนก็เพื่อไม่ต้องการให้วิชาการต่อสู้ของซินแซสูญหายไปตั้งหากค่ะ แล้วอีกอย่างดิฉันต้องการให้คุณอวิ๋นกับตานพได้สืบทอดวิชานี้ต่อด้วย”
“อะไรนะครับ ผมก็ต้องเรียนวิชานี้ด้วยงั้นหรือครับคุณยาย” นพพูดอย่างไม่เชื่อหู
“ใช่แล้วนพ ยายจะให้หลานได้เรียนวิชานี้จากคุณอวิ๋นหลังจากที่ยายได้สอนเขาเสร็จแล้วนะ” จันทร์แรมหันมาตอบนพก่อนจะวกสายตากลับไปที่อวิ๋นตามเดิม “ขอความกรุณาช่วยจดจำท่าที่ดิฉันสอนให้ดีนะคะคุณอวิ๋น เพราะดิฉันคงทำให้คุณดูได้เพียงครั้งเดียว...ครั้งเดียวจริงๆ”
ครั้งเดียวที่จะทำให้ดูได้...
เพราะไม่แน่ใจว่าหลังจากทำเสร็จแล้ว ตัวเธอจะเป็นยังไงเนี่ยสิจันทร์แรมคิดอย่างหนักใจ หากแต่เธอกลัวทุกคนเป็นห่วงจึงแสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มออกมา
“ถ้าไม่ตอบก็เป็นอันว่าตกลงนะคะคุณอวิ๋น” จันทร์แรมพูดพลางปล่อยดาบลงบนมือของอีกฝ่าย ก่อนจะปล่อยไม้เท้าออกแล้วเดินเข้าไปในห้องฝึกราวกับคนปกติดีไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อน “มาสิคะคุณอวิ๋น มาเตรียมรับการถ่ายทอดวิชาจากดิฉัน ส่วนนพกับคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้อง ช่วยไปนั่งดูห่างๆหน่อยนะ เพราะฉันไม่แน่ใจว่าคมดาบของฉันจะไปโดนใครบ้างนะ”
เมื่อจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนต่างเดินเข้าไปในห้องก่อนจะนั่งลงพับเพียบที่ข้างกำแพงของห้อง ยกเว้นอวิ๋นที่เดินไปหาจันทร์แรม ซึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ใจกลางของห้องฝึก
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะคุณอวิ๋น เพราะดิฉันจะไม่ใช้ดาบด้านที่คม” จันทร์แรมบอกก่อนล่วงหน้า “ถึงไม่ใช่ด้านคม แต่มันก็สามารถทำให้คุณสลบได้ ดังนั้นขอให้คุณอวิ๋นได้เตรียมใจไว้ก่อนนะคะ”
“คะ…ครับ” อวิ๋นพูดตอบเสียงอ่อย ซึ่งทุกคนที่นั่งจ้องมองอย่างเงียบๆนั้นต่างลุ้นระทึกกับในสิ่งที่จะได้เห็นในต่อไปนี้ แล้วจันทร์แรมกับอวิ๋นก็ก้มหน้าทำความเคารพซึ่งกันและกัน ก่อนที่อวิ๋นกับจันทร์แรมจะเอาดาบออกจากฝักพร้อมกัน โดยอวิ๋นยกดาบขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อม ส่วนจันทร์แรมกลับยืนนิ่งปล่อยตัวตามสบาย ระหว่างที่จดจ้องกันและกัน ทุกคนได้เห็นเหงื่อเม็ดใหญ่ขึ้นบนหน้าอวิ๋นด้วย ครั้นพอทุกคนหันกลับไปมองจันทร์แรมอีกครั้ง กลับพบว่าอีกฝ่ายยืนในท่าสบายๆ ไม่มีอาการอึดอัดเหมือนที่อวิ๋นเป็นในขณะนี้
ฟุบ!อวิ๋นเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นจันทร์แรมพุ่งตัวเข้ามาตวัดดาบใส่ ครั้นยกดาบรับ เขาก็รู้สึกว่าถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจนชาไปทั้งตัว ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย
..........................................
เมฆา…
เม…“คุณอวิ๋น!” อวิ๋นลืมตาขึ้นโพล่งทันทีเมื่อได้ยินคนเรียก ก่อนจะเห็นจันทร์แรมนั่งยองอยู่ข้างเขา
“เฮ้อ ดิฉันนึกว่าคุณอวิ๋นจะสลบไปไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว สงสัยดิฉันจะออกแรงมากไปหน่อย”
“ไม่หรอกครับ ผมผิดเองที่รับดาบคุณไม่ได้จนสลบไป” อวิ๋นพูดพลางลุกขึ้นนั่งก่อนจะเห็นพวกเพื่อนๆนั่งล้อมเขามองดูด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่ท่าดาบที่คุณจันทร์แรมใช้เมื่อครู่นี้ เขาเรียกว่าอะไรงั้นหรือครับ ทำไมผมมองไม่เห็นดาบเลย”
จันทร์แรมยิ้มก่อนจะตอบกลับมาว่า
“
ดาบไร้ลักษณ์”
“ดาบไร้ลักษณ์?”
“ค่ะ ดาบไร้ลักษณ์” จันทร์แรมตอบย้ำอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “มันเป็นดาบที่ไม่มีท่าตายตัว พลัง ความเร็ว นั่นคือเคล็ดลับของดาบไร้ลักษณ์ แต่ถ้าพูดให้ถูก…วิชานี้คือวิชาที่เอาไว้ใช้ฆ่าคนค่ะ”
พอจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนถึงกับอึ้ง
“ทำไม…ทำไมคุณจันทร์แรมถึงเอาวิชานี้มาสอนผมกับนพได้ล่ะครับ” อวิ๋นพูดด้วยความตกตะลึง “ในเมื่อมันเป็นดาบฆ่าคน ทำไมเซ็นแซถึงได้เอาวิชานี้มาสอนคุณกับแฟนของคุณได้ล่ะครับ เซ็นแซไม่กลัวว่าพวกเราจะเอาวิชานี้ไปใช้ในทางไม่ดีเลยรึครับ”
เมื่ออวิ๋นพูดจบ จันทร์แรมก็ส่ายหน้าไปมา
“ไม่เลยค่ะ เซ็นแซรู้ดีว่าพวกเราต้องไม่นำวิชานี้มาฆ่าคนอย่างแน่นอนค่ะ แล้วอีกอย่างดิฉันก็มั่นใจว่าคุณกับตานพต้องไม่เอาวิชานี้ไปใช้ฆ่าคนแน่ เพราะงั้นดิฉันถึงได้ตัดสินใจที่จะสอนวิชานี้ให้ยังไงล่ะคะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะพูดต่อ “ถ้าคิดในทางกลับกัน หากพวกเราใช้ดาบด้านที่ไม่คม วิชาดาบไร้ลักษณ์นี้ก็จะไม่เป็นวิชาที่ฆ่าคนอีกต่อไป แถมนอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้เพื่อป้องกันตัวเองหรือคนรักก็ย่อมได้ค่ะ”
ทุกคนรวมถึงอวิ๋นเมื่อได้รับทราบแล้วต่างพยักหน้าอย่างเข้าใจดี
“มิน่าล่ะ คุณจันทร์แรมถึงยอมลงทุนลงแรมสอนวิชานี้ให้ผมกับนพเพื่อการนี้นี่เอง”
“ค่ะ ถ้าคุณอวิ๋นเข้าใจแล้วดิฉันก็ค่อยโล่งอกหน่อย” จันทร์แรมพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวดิฉันจะไปเอาดาบมาก่อนนะคะ เพราะดาบที่คุณถือมันกระเด็นไปอยู่นู่นแล้ว”
จันทร์แรมเชิดหน้าไปด้านหลังของอวิ๋น ทำให้เขาต้องหันหลังกลับไปดูก่อนจะเห็นว่าดาบที่เขาเคยถือเมื่อครู่นี้มันปักอยู่ที่พื้นไม้ ซึ่งไม่ห่างจากจุดที่เขานั่งอยู่เท่าไหร่ ครั้นจันทร์แรมลุกขึ้นยืนแล้ว กลับเซล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาทุกคนที่กำลังหันไปมองดาบอยู่นั้นต้องรีบหันกลับมามองคนล้มทันที
“คุณจันทร์แรม/คุณยาย/คุณแม่/คุณทวด/รัตติ!”
หากแต่คนถูกเรียกกลับนอนแน่นิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน ซึ่งทำให้ฟางที่เป็นนางพยาบาลรีบเข้าไปดูอาการอย่างรวดเร็ว
“ไม่ไหวค่ะ จากที่ใช้ดาบเมื่อครู่นี้ทำให้ชีพจรของท่านอ่อนลง ต้องนำส่งโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียวค่ะ” ฟางบอก ซึ่งทำให้นพพยักหน้าก่อนจะเข้ามาทำท่าอุ้มจันทร์แรมไปส่งโรงพยาบาล หากแต่คนล้มกลับคว้ามือของนพเอาไว้
“ไม่ต้องไป…ขอฉัน…นอน…ตาย…ที่บ้าน…ดีกว่า”
“คุณยาย!”
“ขอร้องล่ะ ขอฉันนอนอยู่ที่บ้าน…จนกว่าจะ…ถึงเวลา…นั้น” แล้วคนพูดก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ทำให้นพต้องบอกฟางให้เรียกหมอประจำตัวมาดูอาการคุณยายที่บ้านแทน ซึ่งพอหมอมาตรวจดูแล้วถึงกับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง เพราะอาการของจันทร์แรมหนักมากถึงขั้นเกินเยียวยาแล้ว หมอจึงทำได้เพียงแค่ให้น้ำเกลือก่อนจะบอกทุกคนให้เตรียมทำใจไว้ด้วย
“คงอยู่ได้ไม่ถึงพรุ่งนี้” นั่นคือคำบอกของหมอ ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับเศร้า แน่นอนว่าทุกคนอยู่เฝ้าจันทร์แรมไม่ห่างกายจนกระทั่งถึงเวลาตอนกลางคืนซึ่งเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง จันทร์แรมที่หลับไปนานแล้วก็ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณทวดฟื้นแล้วค่ะคุณพ่อ!” แก้วบอก ซึ่งทำเอาทุกคนที่นั่งหงอยเหงาถึงกับกระเถิบเข้าไปรุมล้อมจันทร์แรมที่นอนอยู่บนฟูกด้วยความเป็นห่วง ครั้นนพจะถามคุณยายว่าต้องการน้ำหรือยาดมไหม แต่คนป่วยกลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันรู้ตัวดีว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน ลูกรุ้งเอ๋ย จงอย่าเสียใจเลยถ้าหากแม่จากไป บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อของลูกเป็นคนเก็บหอมรอมริบสร้างขึ้นมาด้วยกับมือของตัวเอง ฉะนั้น ขอให้รักษาเอาไว้ให้ดี แม่ขอยกให้ยัยแก้วนะลูก”
“คุณแม่คะ อย่าเพิ่งพูดมากเลยค่ะ นอนพักผ่อนให้มากๆดีกว่านะคะ” รุ้งพูดไปเช็ดน้ำตาไปพลาง แต่ทว่าคนป่วยกลับไม่ยอมทำตามที่ลูกสาวของตัวเองบอก
“หมั่นทำบุญสร้างกุศลเข้าไว้ ตั้งตัวอยู่ในศีลในธรรม กุศลนั้นจะเป็นเหมือนแก้วคุ้มครองตน” จันทร์แรมพูดจบก็หันไปมองนพกับมีนาที่นั่งอยู่ข้างขวาของเธอ “นพ มีนา อย่าลืมคำอวยพรในวันแต่งงานที่ยายเคยให้ไว้นะลูก”
“ครับคุณยาย ผมกับมีนาจะทำตามที่คุณยายบอกอย่างแน่นอน” นพกัดฟันตอบด้วยความขมขื่น ก่อนที่จันทร์แรมจะหันไปมองแก้ว ซึ่งเอาแต่เช็ดน้ำตาไม่หยุดไม่หย่อน
“ยัยแก้วเอ๋ย เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่นะลูก ไม่มีใครรักหนูเท่าพ่อกับแม่ได้อีกแล้ว”
“ฮือๆ ค่ะคุณทวด” แก้วตอบเสียงสะอื้นไห้ จากนั้นจันทร์แรมจึงหันกลับไปที่นพอีกครั้ง
“ยายฝากมาริโอด้วยนะ ถึงมันจะเกรียน จะดื้อ แต่มันก็เป็นเด็กดี ยายเป็นห่วง กลัวว่าถ้าไม่มียายแล้วมันจะเกเร” จันทร์แรมพูดพลางหันไปมองมาริโอด้วยสายตาอ่อนโยน “นิสัยเกรียนๆก็เพลาลงหน่อยนะมาริโอ เจ้ายังต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง”
ครั้นจันทร์แรมพูดจบ มาริโอถึงกับร้องไห้น้ำตาไหล
“ไม่นะรัตติ เจ้าจะต้องไม่จากข้าไปไหน อยู่กับข้าตลอดนะรัตติ” จันทร์แรมได้ยินที่มาริโอพูดถึงกับส่ายหน้าไปมา ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบหัวมาริโออย่างแผ่วเบา
“ข้าไม่ได้ไปไหนหรอกมาริโอ ข้าจะอยู่ในเจ้าตลอดเวลา เชื่อข้าสิ”
“จริงนะรัตติ เจ้าไม่ได้โกหกข้านะ” มาริโอถามย้ำพลางสูดน้ำมูกที่ไหลย้อยแรงๆ “เจ้าจะอยู่กับข้าตลอดเวลานะรัตติ”
จันทร์แรมพยักหน้าทันทีที่มาริโอพูดจบ ก่อนที่เธอจะหันไปมองฟางซึ่งกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่
“หนูฟาง ที่ผ่านมายายขอบใจหนูมากที่ช่วยดูแลยายมาตลอด” ฟางได้ยินดังนั้นจึงเลิกซับน้ำตาก่อนจะพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“คุณยายอย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูก็รักคุณยายก็เหมือนยายแท้ๆของหนูค่ะ”
“ยายก็รักหนูเหมือนหลานแท้ๆเช่นกัน” พอจันทร์แรมพูดจบ ก็ได้หันหน้าไปมองพวกอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็มีความสุขมากที่ได้รู้จักกับทุกคน”
“คุณจันทร์แรม” ทุกคนพูดชื่อของเธอพร้อมกัน ก่อนที่จันทร์แรมจะหันหน้ากลับมามองฝ้าเพดานแทน
“เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน ขอหลับ...” จันทร์แรมพูดเสียงอ่อย นัยน์ตาสองข้างเริ่มปรือลง “...ตาลงพักสักหน่อย...นะ...ทุกคน”
แล้วนัยน์ตาของจันทร์แรมก็ได้ปิดลงสนิทพร้อมกับลมหายใจค่อยๆหมดลงอย่างช้าๆ ซึ่งทำเอาฟางที่อยู่ใกล้สุดสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงรีบเอานิ้วมืออังจมูกดูพร้อมกับวัดชีพจรข้อมือของจันทร์แรมท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังรอคำตอบจากฟางอยู่ ซึ่งไม่นานนักฟางก็ยืดตัวตรงพร้อมกับเม้มปากแน่นเอ่ยคำตอบให้กับทุกคน
“คุณยายท่าน...ได้จากพวกเราไปแล้วค่ะ”..............................................................
“คุณยายท่าน...ได้จากพวกเราไปแล้วค่ะ”
คำตอบจากฟางทำเอาทุกคนถึงกับร้องไห้ออกมาทันที ผิดกับนพที่นั่งก้มหน้าเม้มปากมือไม้สั่นและไม่ได้ร้องไห้อย่างที่ควรจะเป็น
“ไม่จริง...” จู่ๆนพก็พูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องของทุกคน ซึ่งทำเอาทุกคนหันไปมองนพอย่างสงสัย “...คุณยายจะมาจากพวกเราไปง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน...ผมไม่ยอมหรอก”
“ใจเย็นๆนะคะนพ มีนารู้ว่านพเสียใจที่คุณยายจากพวกเราเร็วเกินไป...แต่ความจริงมันก็คือความจริง...คุณยายท่านได้ไปสบายแล้ว เพราะฉะนั้น...”
ปึง!เสียงของแข็งกระแทกพื้น ทำเอามีนาถึงกับหยุดพูดไปในทันที
“ผมรู้มีนา ผมรู้ เพียงแต่...” นพก้มหน้ากัดฟันพูดด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะนึกถึงคำพูดของคุณยายที่เคยพูดเปรยให้เขาได้ยินอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว “...เพียงแต่คุณยายจะจากโลกนี้ไปโดยที่ท่านยังคิดถึงคุณตาอยู่ได้ยังไงกัน...แบบนี้ก็เท่ากับว่าท่านนอนตายตาไม่หลับนะสิ!”
“ลูกนพ!!” ผู้เป็นแม่ร้องอุทานอย่างไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยินจากปากลูกชาย
“ผมไม่ได้บ้าคิดเองเออเองนะครับคุณแม่ คุณยายเคยพูดกับผมไว้แบบนี้จริงๆ” นพตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองใคร “เพราะเหตุนี้ไง ผมถึงได้ชวนคุณยายเข้าไปเล่นเกมเรียลไลฟ์เพื่อที่จะให้ท่านได้เลิกคิดถึงคุณตา...แต่...แต่ผมคิดผิดทั้งหมด คุณยาย...คุณยายยังคิดถึงคุณตาอยู่มาตลอดจนถึงบัดนี้”
“อะไรที่ทำให้นพคิดแบบนั้นล่ะ บางทีคุณจันทร์แรมอาจจะเลิกคิดถึงคุณนรินทร์ไปแล้วก็ได้” อวิ๋นพูดตามความเข้าใจของตัวเอง เพราะเห็นว่าจันทร์แรมบอกลาทุกคนโดยไม่มีสีหน้าเป็นกังวลเลยซักนิดเดียว ซึ่งคำพูดของอวิ๋นทำเอานพถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นด้วยความเดือดดาล
“เลิกคิดรึ?” นพทวนคำพูดของอวิ๋นอย่างดูแคลน “คุณอวิ๋นคิดว่าคุณยายจะเลิกคิดถึงคุณตาได้ง่ายงั้นรึ ฮึ เสียแรงที่อยู่ข้างคุณยายในเกมมาตั้งนานสองนาน ไม่เคยรู้จักสังเกตคุณยายเลยบ้างซักนิด ทั้งๆที่คุณเองก็น่าจะเคยได้ยินเสียงท่านร้องเพลงในคืนพระจันทร์เต็มดวงตอนอยู่ในเกมนะ ให้ตายสิพับผ่า”
พอนพพูดจบ ก็ทำเอาทุกคนที่เคยเดินทางร่วมกับจันทร์แรมมาด้วยกันถึงกับร้องอ้อ แม้กระทั่งมาริโอเองก็พลอยพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของนพ เพราะทุกคนล้วนเคยได้ยินจันทร์แรมร้องเพลงมาก่อนแล้วจริงๆ
“แล้วเพลงนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับที่คุณจันทร์แรมยังไม่เลิกคิดถึงคุณนรินทร์ล่ะ” อวิ๋นยังคงถามอยู่ไม่เลิกรา ซึ่งทำเอานพนึกอยากจะลุกขึ้นไปต่อยหน้าอวิ๋นแต่เกรงว่ามันจะเป็นการไม่เคารพคุณยายที่เพิ่งจะเสียไปได้หมาดๆ
“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว” นพตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ก็เพราะบทเพลงนั้นเป็นบทเพลงที่คุณตาเป็นแต่งให้คุณยายไว้ก่อนที่ท่านจะเสียไปนะสิ”
พอนพพูดจบ ทำเอาอวิ๋นถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่าบทเพลงที่จันทร์แรมใช้ร้องเพลงทุกคืนพระจันทร์เต็มดวงจะสำคัญต่อจันทร์แรมถึงขนาดนี้
“ขอโทษนะนพ...พอดีฉันไม่คิดว่าจะ...”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ถึงตอนนี้พูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะคุณยายได้ตายไปแล้ว” นพพูดตัดบท ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
ลา...ลัน...ลาจู่ๆ ก็มีเสียงเพลงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ซึ่งทำเอาทุกคนที่นั่งนิ่งถึงกับเงยหน้ามองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่ทุกคนก็สงสัยได้ไม่นาน เสียงเพลงนั้นก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง
“เสียงเพลงนั่น...” นพพูดพลางขมวดคิ้วกับเสียงเพลงที่ได้ยิน “...ไม่ผิดแน่...เพลงนั้นเป็น...เพลงที่คุณยายเคยร้องอยู่เสมอ”
ครั้นนพพูดจบ ก็รีบผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปเลื่อนประตูที่อยู่ด้านข้างซ้ายของของทุกคนออก ซึ่งทำให้ทุกคนรีบลุกขึ้นตามนพไป ก่อนจะเผยให้เห็นสามร่างยืนอยู่นอกตัวบ้าน หากแต่สองในสามนั้นเป็นชายหนุ่มคุ้นตาทุกคนและรู้จักดีอยู่แล้วมาด้วยชุดเดียวที่เคยปรากฏตัวในเกมตอนที่พวกเขาถ่ายรูป แถมนอกจากนี้ที่ด้านหลังของทั้งคู่ยังมีปีกติดอยู่ที่หลังอีกด้วย
“นั่นมัน...คุณโซลกับคุณคีย์ไม่ใช่รึ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” นพพูดพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะเหลือบตามองอีกร่างโปร่งแสงที่เป็นชายหนุ่มอายุราวประมาณสามสิบต้นมาในชุดราชปะแตนยืนอยู่ห่างออกไปจากจุดที่สองคนนั้นยืนอยู่ไม่เท่าไหร่ ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจนแล้ว นัยน์ตาของนพก็ถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกใจ “คุณตา! ไม่จริงน่า?! คุณตา...ตายไปนานแล้ว...จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!!”
ดีที่คุณยายได้เอารูปคุณตาให้นพดูก่อนหน้านี้ ก็เลยทำให้นพจำได้ทันทีที่เห็น เมื่อนพพูดจบ ทุกคนถึงกับตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ยกเว้นรุ้งที่เป็นลูกสาวของจันทร์แรมกับนรินทร์หาได้รู้สึกกลัวไม่ แต่กลับร้องห่มร้องไห้เมื่อได้เห็นร่างวิญญาณของผู้เป็นพ่อแทน
“ผมมาทำตามสัญญาที่บอกไว้ตอนนั้นแล้วนะครับคุณจันทร์แรม” คีย์บอกยิ้มๆ ซึ่งทำให้อวิ๋นกับนพนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในเกม ตอนนั้นอวิ๋นได้ถามจันทร์แรมว่าคีย์พูดกระซิบอะไรกับจันทร์แรม หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มตอบเขากลับมาว่ามันเป็นความลับ
ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เองแต่ทว่านพไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ แถมคุณยายเพิ่งจะเสียไปได้ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ทำให้นพรู้สึกโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ทำตามสัญญาบ้าบออะไรกัน!” นพตวาดเสียงใส่ด้วยความเดือดดาล “พวกนายมันก็แค่พวกสิบแปดมงกุฎ กล้าเอาคนหน้าตาเหมือนคุณตามาล้อพวกเราเล่นแบบนี้ อยากตายนักรึไง!”
ครั้นนพพูดจบ ชายหน้าหวานถึงกับส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มตอบกลับมาว่า
“เรื่องนี้ผมไม่ได้ล้อเล่น ผู้ชายคนนี้คือคุณตาของพวกคุณ ถ้าหากพวกคุณไม่เชื่อก็ลองหันหลังกลับไปดูตอนนี้สิ” พอได้ยินดังนั้นแล้วทุกคนจึงหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นหญิงรูปงามอายุราวประมาณยี่สิบต้นสวมชุดที่สวยงามสง่าแบบกุลสตรีไทย หากแต่ร่างของผู้หญิงคนนี้กลับโปร่งแสงเช่นเดียวกับชายที่มีใบหน้าคล้ายคุณตา
“คุณแม่/คุณยาย?!” เนื่องจากรุ้งเป็นลูกสาวของจันทร์แรมย่อมเคยเห็นแม่ของตัวเองตอนยังสมัยสาวๆ ส่วนนพเคยเห็นรูปคุณยายสมัยสาวๆ ก็เลยสามารถรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือคุณยายของเขา หากแต่คนอื่นๆไม่เคยเห็นรูปจันทร์แรมสมัยสาวๆมาก่อน ก็เลยพากันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“ขอบคุณที่มาตามสัญญาค่ะคุณคีย์ ไม่สิ คุณ
ลูฟาเอล เทวทูตแห่งมวลดอกไม้” จันทร์แรมตอบพลางก้มหน้าขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับมาเพียงว่าไม่เป็นไร
“จันทร์แรม” เสียงทุ้มที่ดังมาจากชายหนุ่มที่นพคิดว่าคล้ายคุณตาได้พูดขึ้นมา “ขอโทษที่ให้คอยนาน ไปกันเถอะ”
ส่วนจันทร์แรมหรือคุณยายของนพในคราบสาวสวยเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็ฉีกยิ้มหวานก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ค่ะนรินทร์” แล้วคุณยายของนพก็สาวเท้าเดินหกระเหินออกนอกตัวบ้านไปโดยผ่านทุกคนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเข้าสวมกอดคุณตาที่กางแขนรอพร้อมอยู่แล้วอย่างแนบแน่น
คุณยายกับคุณตา...
ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที...“ห้ามทิ้งคุณยายอยู่ตามลำพังอีกนะครับคุณตา!” นพตะโกนพูดทั้งน้ำตา “ไม่อย่างนั้นผมจะตามไปจัดการคุณตาที่บนสวรรค์แน่!”
ครั้นนพพูดจบ ทั้งนรินทร์ทั้งจันทร์แรมต่างฉีกยิ้มให้กับนพ
“ไม่ทิ้งหรอกหลานรัก...ตาให้สัญญา”
“ลาก่อนตานพ...ลาก่อนทุกๆคน”
จันทร์แรมเอ่ยคำลากับทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะพลันหายไปอย่างช้าๆพร้อมกับเสียงร้องไห้จากนพผู้ซึ่งเป็นหลานชายที่รักคุณยายมากที่สุด
“นพ” อวิ๋นพูดพลางเอามือมาตบไหล่เบาๆเพื่อต้องการปลอบใจชายหนุ่ม “เขาไปดีแล้ว คุณนรินทร์อุตส่าห์มารับถึงที่แล้ว เพราะงั้นนพเลิกเป็นห่วงคุณยายได้แล้วนะ ป่านนี้ทั้งคู่คงไปสวรรค์แล้วล่ะ”
นพได้ยินที่อวิ๋นพูดก็ได้แต่พยักหน้าไปเช็ดน้ำตาของตัวเองไปพลาง
นั่นสินะ คุณยายของเขาได้จากไปอย่างมีความสุขกับคนที่ตัวเองรักไปแล้ว
ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก...เมื่อนพคิดในใจเสร็จแล้ว ก็หันจะไปเอาเรื่องกับสองหนุ่มนั้นต่อ หากแต่ทั้งคู่กลับยืนลอยกลางอากาศต่อหน้าต่อตาทุกคน
บ้าน่า?! คนธรรมดาที่ไหนจะเหาะเหินเดินอากาศได้!!“ใช่ ถ้าเป็นคนธรรมดานะ” ชายที่ชื่อโซลตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ซึ่งทำเอานพถึงกับสะดุ้งตกใจ “แต่พวกเราสองคนไม่ใช่มนุษย์ แล้วอีกอย่างพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมอบสิ่งที่แม่นางผู้นั้นต้องการแทนคำขอโทษที่พวกเราไปทำให้ครอบครัวของแม่นางในเกมมีอันต้องพลัดพราก แต่ถ้าจะอธิบายให้ฟังเกรงว่าจะยืดยาว เอาเป็นว่าขอให้พวกเจ้าเข้าใจตามนี้แล้วกัน”
เมื่อโซลพูดจบ คนชื่อคีย์ก็รีบอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พวกนพได้ฟังอีกครั้ง ซึ่งทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องได้อย่างรวดเร็ว
“มิน่าล่ะ ว่าทำไมจู่ๆราชาปีศาจถึงนึกเกิดคลั่งทั้งๆที่บริษัทเกมตั้งโปรแกรมให้เป็นราชาปีศาจที่ดี” อวิ๋นพูดทบทวนความคิดของตัวเอง “ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพวกคุณนี่เอง”
“ถ้าพวกคุณเข้าใจแล้วก็ดี ผมจะได้สบายใจขึ้นมาหน่อย” คีย์พูดพลางถอนหายใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะบอกลาทุกคนแล้วพลันหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“นี่พวกเรา...กำลังอยู่ในเกมรึเปล่าเนี่ย” ธีมพูดพลางตบหน้าของตัวเองแรงๆ ราวกับต้องการออกจากเกมในตอนนี้ “ทั้งวิญญาณเอย ทั้งเทวทูตเอย ปนกันมั่วไปหมดแล้ว”
“จะอะไรก็ช่าง แต่เรื่องคุณยายนั้น ผมคิดว่ามันเป็นความจริง...คุณยายตายไปแล้ว ตายไปอย่างมีความสุขกับคนที่ท่านรอมานาน” นพกล่าวขึ้นมาลอยๆโดยไม่สนใจกับคำพูดของธีมเลยซักนิด เมื่อนพพูดจบ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องสว่างสดใสท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
ลาก่อนครับคุณยาย ผมจะไม่มีวันลืมคุณยายไปตลอดชั่วชีวิต อวสาน.................................................
ปล.ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามอ่านนิยายของเราตั้งแต่ต้น ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริงค่ะ ^/\^