พิมพ์หน้านี้ - The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: dragon123 ที่ 26-08-2014 18:37:53

หัวข้อ: The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 26-08-2014 18:37:53
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
*****************************************************************************************








บทนำ

............................
 
“คุณทวดค่ะคุณทวด หนูมาหาคุณทวดแล้วนะคะ”

เสียงเจื้อยแจ้วดังลอดผ่านเจ้าของหูที่กำลังนั่งเอนหลังบนเก้าอี้โยกไม้อย่างเงียบๆ นัยน์ตาสีดำส่องประกายเงาคนสองร่างผู้เป็นเหลนกับหลานชายตรงหน้า

“คุณยายครับ ผมกับลูกมาเยี่ยมคุณยายนะครับ เอ่อ...ลูกแก้ว สวัสดีคุณทวดสิ”

ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายของเธอยกมือไหว้พร้อมกับบอกลูกสาวของตนให้ยกมือไหว้ตาม

“สวัสดีค่ะคุณทวด”

“อืม ไหว้พระเถอะลูก” คุณทวดกล่าวเสียงเนิบนาบ ด้วยวัยอายุหนึ่งร้อยสิบปีไม่ได้บั่นทอนสุขภาพเธอแม้แต่น้อย มีเพียงแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่แสดงถึงอายุให้คนอื่นรู้ว่าเธอมีชีวิตยืนยาวมากแค่ไหน ถึงสุขภาพจะไม่ได้ทรุดโทรมไปตามวัย แต่เรี่ยวแรงก็เริ่มลดถอยลงเพราะอายุอยู่ดี “ตานพเอ้ย ยายเคยบอกแล้วไงว่าถ้างานยุ่ง ไม่ต้องมาเยี่ยมยายถึงจังหวัดพิษณุโลกหรอก ลำบากเปล่าๆ”

นพหรือนพเดช หลานชายของยายผู้มีอายุ 35 ปีแต่งงานได้ห้าปีก็มีลูกแก้วโผล่มาเป็นแก้วตาขวัญใจให้เชยชมเล่น แต่ทว่านพกลับมิได้พาลูกสาวของเขามาให้ท่านได้ชื่นชม ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่างเขาจึงพาลูกบินมาหาถึงที่โดยไม่ได้บอกกล่าวกับท่านเลยแม้ซักนิดเดียว

“ไม่ลำบากหรอกครับคุณยาย ผมตั้งหากที่ต้องกราบขอขมาคุณยายที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนคุณยายเสียนาน ก็ตั้งแต่คุณพ่อของผมเสียไป งานก็เลยยุ่งๆ จนถึงตอนนี้เพิ่งจะมาหาได้นี่แหละครับ” นพเดชบอกเหตุผลของตัวเองที่มาไม่ได้ นั่นก็เพราะเมื่อครึ่งปีที่แล้วพ่อของนพเพิ่งจะเสียไป ทำให้ต้องจัดงานศพอยู่เสียหลายวัน และนอกจากนี้คุณยายเองก็ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย เนื่องจากท่านแก่มากเกินไปจึงไม่สามารถไปร่วมงานได้ ก็เลยทำให้เขาอดที่จะแสดงตัวลูกสาวให้คุณยายได้ชื่นชมเลยสักที “คุณแม่เองก็แอบบ่นอยู่เหมือนกันครับว่าคิดถึงคุณยาย แต่ก็ไม่สามารถมาได้เพราะติดงานการกุศล ผมหวังว่าคุณยายคงจะไม่โกรธลูกสาวของตัวเองหรอกนะครับ”

“ไม่โกรธเลย ดีออกที่รู้จักรับผิดชอบงานที่ตัวเองทำ ไม่เสียแรงที่ยายเลี้ยงมากับมื

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทนำ 26/8/57)
เริ่มหัวข้อโดย: numildkub ที่ 26-08-2014 18:45:35
เข้ามาปูเสื่อกลิ้งรอ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทนำ 26/8/57)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-08-2014 18:46:23
พล็อตใหม่มาแนวเกมออนไลน์หรอคะ แหวกแนวมากกก (แต่ชอบนะ เราขาเล่นเกม)

รอดูต่อปายยยยย   :really2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทนำ 26/8/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 26-08-2014 21:36:41
บทที่ 1 เข้าเกม

........................
 
“ขอต้อนรับท่านเข้าสู่เกมเรียลไลฟ์ค่ะ”

เสียงโอเปอเรเตอร์ประกาศ ซึ่งทำให้เธอถึงกับงุนงง เพราะเธอจำได้ว่าเธอเพิ่งจะกดปุ่มเริ่มเกมไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีเอง

“เนื่องจากไอดีของคุณได้ทำการล็อกระบบไอดีไว้อัตโนมัติแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตนกับทางบริษัทเกมค่ะ”

ก็ดี เพราะเธอไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเกมเลยสักนิด

เธอคิดในใจ

“กรุณาตั้งชื่อตัวละครของคุณด้วยค่ะ”

โอเปอเรเตอร์บอก ซึ่งทำเอาคนฟังแทบขมวดคิ้ว

“ต้องตั้งชื่อด้วยเหรอจ้ะ”

เธอถามอย่างสงสัย แต่ทว่าระบบหาได้ตอบคำถามของเธอไม่

“กรุณาตั้งชื่อตัวละครของคุณด้วยค่ะ”

ดูท่าโอเปอเรเตอร์จะไม่ฟังคำพูดของเธอเลยสักนิด

เอาเถอะ ตอบๆไปก็เสียหมดเรื่อง

“แก้วกัลยา” เธอตอบเพราะว่าชื่อนี้เป็นชื่อเก่าของคุณแม่

“ขอโทษด้วยค่ะ ชื่อนี้มีคนตั้งไว้แล้ว กรุณาระบุชื่อที่คุณต้องการด้วยค่ะ”

“เจนจิรา”

อันนี้เป็นชื่อเพื่อนสนิทคนแรกสมัยมัธยมของเธอเอง

“ขอโทษด้วยค่ะ ชื่อนี้มีคนตั้งไว้แล้ว กรุณาระบุชื่อที่คุณต้องการด้วยค่ะ”

“จินตนา”

“ขอโทษด้วยค่ะ ชื่อนี้มีคนตั้งไว้แล้ว กรุณาระบุชื่อที่คุณต้องการด้วยค่ะ”

คนตั้งชื่อเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทีละนิด เพราะชื่อที่เธอคิดไม่สามารถตั้งได้ แถมชื่อนี้ก็ดันเป็นชื่อของคุณน้าที่เสียไปนานแล้ว

“นางเงือกน้อย”

อันนี้เธอประชด ซึ่งผลปรากฏว่านางเงือกน้อยมีคนตั้งไว้ก่อนแล้ว

ฮึ่ม อะไรก็ไม่ได้สักอย่าง!

ด้วยความโมโหปนหงุดหงิดใจที่ไม่สามารถตั้งชื่อได้ดั่งใจ เธอจึงตอบส่งเดชไปว่า

“ราตรีพิสุทธิ์”

“ชื่อนี้คุณสามารถตั้งได้ค่ะ” เสียงโอเปอเรเตอร์ตอบ ซึ่งทำให้เธออ้าปากค้าง เพราะชื่อนี้เป็นชื่อที่สามีชอบใช้เรียกเธอเสมอ “เนื่องจากเกมนี้มีชื่อว่าเรียลไลฟ์ ซึ่งเป็นเกมที่จำลองชีวิตจริง ดังนั้นคุณจึงไม่มีสิทธิ์เลือกตัวละครตามที่คุณชอบ”

อะไรนะ ไม่มีให้เลือกตัวละครด้วยงั้นหรือ?

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ทางบริษัทจะส่งคุณราตรีพิสุทธิ์ไปเกิดเลยนะคะ”

“เดี๋ยวก่อนสิคุณโอเปอเรเตอร์ฉันยังไม่เข้าใจ...”

เธอร้องเรียกอย่างเร็วเพราะเธอกลัวว่าโอเปอเรเตอร์จะส่งเธอไปเกิดโดยที่เธอยังไม่รู้เรื่องเกมเลยสักนิด แต่ทว่าเธอพูดยังไม่ครบประโยคดี จู่ๆ ก็เกิดแสงสีขาวส่องจ้าจนเธอต้องรีบหลับตาลงอย่างเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เธอก็รู้สึกว่าร่างกายของเธอนั้นขยับไม่ได้ตามที่ใจต้องการ แถมยังลืมตาขึ้นไม่ได้อีกด้วย

ทำยังไงดี ใครก็ได้ช่วยได้

“อุแว้! อุแว้!”

จู่ๆ เสียงร้องทารกก็ดังขึ้น ซึ่งทำให้เธอถึงกับมึนงง เพราะเธอไม่รู้ว่าต้นเสียงนั้นมาจากไหน แล้วทำไมถึงมีเสียงเด็กทารกร้องดังอยู่แถวนี้ได้

“ขณะนี้ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้เกิดขึ้นแล้ว”

เสียงระบบเกมดังขึ้น ซึ่งทำให้เธอพอจะเดาได้คร่าวๆขึ้นมาบ้างแล้ว

หรือว่าเสียงเด็กทารกเมื่อครู่นี้จะเป็น... เธอคิดในใจอย่างแทบไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่ออยู่ดี เมื่อเธอขยับตัวได้เพียงแค่มือเท่านั้น ให้ตายสิ เป็นเด็กทารกแล้วจะเล่นเกมยังไงล่ะเนี่ย

แต่ด้วยความที่เธอใช้ชีวิตมานานร้อยปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จึงไม่หวาดหวั่นกับเรื่องที่เจอในตอนนี้

ถ้าตอนนี้เราเป็นทารกจริง งั้นก็ต้องมีใครสักคนคอยเลี้ยงดูเราสิ

เธอคิดในใจ เพราะตามปกติแล้วทารกจะเกิดได้ก็เพราะมีคนให้กำเนิด ดังนั้นแม่ของเธอจะต้องอยู่แถวๆนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ เธอก็รู้สึกว่าร่างของเธอถูกยกขึ้นกลางอากาศ

นั่นไงมีจริงๆด้วย

เธอคิดในใจอย่างยินดี แต่ทว่าความคิดของเธอก็ต้องมีอันพับเก็บลงไปทันทีที่เสียงของระบบประกาศดังขึ้นมาว่า

“ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้มังกรระดับ 80 เป็นแม่ค่ะ”

อะไรนะ! มังกรงั้นหรือ?!

คราวนี้เป็นตัวเธอเองที่ต้องตกใจแทน เพราะแทนที่เธอจะมีแม่เป็นมนุษย์ กลับมีแม่เป็นมังกรซะได้

มังกรก็มังกร

เธอคิดอย่างโล่งอก เพราะดูท่าแล้วเกมนี้จะสมจริงตามที่โอเปอเรเตอร์บอกไว้ไม่มีผิด

สงสัยเกมนี้มันจะส่งให้เกิดแบบสุ่มมั้ง?

เธอคิดอย่างคาดเดา ถ้าสมมุตว่าเกมมันส่งให้เธอไปเกิดในห้องน้ำล่ะ

คิดแล้วน่าขนลุก

ราตรีพิสุทธิ์คิดพลางส่ายหน้าไปมากับความคิดงี่เง่าของตัวเอง เกมคงไม่ใจร้ายถึงขนาดส่งผู้เล่นไปเกิดในห้องน้ำหรอก

แผล็บ!

จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างมาโดนเข้าที่ใบหน้าของเธอ ทำเอาราตรีพิสุทธิ์รู้สึกสะดุ้งตกใจ

“ลูกแม่นี่ช่างน่ารักจริงเชียว เกิดมาก็ร้องเสียงดังไพเราะเสนาะหูแบบนี้ คงไม่แคล้วเหมือนท่านพ่อแน่” เสียงหวานพูดชม ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์คิดได้ว่าเสียงหวานนี้คงจะเป็นท่านแม่ของเธอ “เจ้าเกิดในยามราตรี แม่ขอตั้งชื่อว่า...”

“ราตรีพิสุทธิ์”

ถึงจะดูสมจริง แต่ทว่าเกมก็ยังคงเป็นเกมอยู่ดี ดังนั้นแม่มังกรตัวนี้จึงตั้งชื่อเธอตามที่เธอเคยบอกไว้กับโอเปอเรเตอร์ของเกม

“จริงสิ จนป่านนี้แล้วแม่ยังไม่ได้ให้เจ้าดูดนมเลย คงจะหิวแล้วสิท่า” ท่านแม่บอก ซึ่งทีแรกราตรีพิสุทธิ์ไม่รู้สึกหิว แต่พออีกฝ่ายพูดขึ้นก็ทำให้เธอหิวขึ้นมาแล้วจริงๆ

แม้กระทั่งความรู้สึกหิวก็ยังสร้างได้...

ไม่เลวเลยทีเดียว

เธอคิดในใจอย่างชื่นชมกับความสมจริงของเกม แต่แล้วก็ฉุกคิดถึงคำพูดของท่านแม่เมื่อครู่นี้ได้

ดูดนมงั้นหรือ? อย่าบอกนะว่า...

แล้วทันใดนั้นเธอก็รู้สึกอะไรบางอย่างสอดเข้ามาในปากอย่างนิ่มนวล ซึ่งทีแรกเธอตกใจจนเกือบจะอ้าปากเพื่อคลายสิ่งที่เข้าไปในปากของเธอออก แต่ด้วยไออุ่นจากมือของท่านแม่มาตบเข้าที่ก้นของเธอสองสามครั้งอย่างแผ่วเบา ผนวกกับรสชาติของน้ำนมที่เพิ่งจะปลดปล่อยออกมาจากสิ่งนั้นด้วย ทำให้เธอเคลิบเคลิ้มจนเผลอดูดน้ำนมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ดูดน้ำนมจากแม่มังกร จึงเลื่อนระดับพื้นฐานให้เป็นเด็กทารกระดับ 1”

เสียงระบบดังขึ้นขัดจังหวะการดูดดื่มนม ทำให้เธอสะดุ้งตกใจจนอ้าปากคลายสิ่งนั้นออกอย่างรวดเร็ว

นี่เราเผลอดูดนมท่านแม่ไปได้ยังไงเนี่ย!

ด้วยความเขินอายจึงทำให้เธอพยายามส่ายหน้าหนีกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งทำให้ท่านแม่เข้าใจผิดว่าเธอรู้สึกอิ่มนมแล้ว จึงเลิกที่จะให้นมกับเธอทันที

“ดูดนมน้อยนักนะเรา อย่างนี้ต้องลงโทษกันเสียหน่อย” ท่านแม่พูดพลางอุ้มร่างเธอขึ้นกอดอย่างแนบแน่นราวกับต้องการจะแกล้งเธอ แต่ก็ไม่ลืมที่จะลูบหลังของราตรีพิสุทธิ์เพื่อให้เธอได้เรอบ้าง พอเธอได้เรอตามสมใจอยากแล้ว ท่านแม่จึงอุ้มเธอลงในท่านอนต่อ “ตอนนี้ลูกยังลืมตาไม่ได้นะจ้ะ ไว้ผ่านไปห้าวันแล้วลูกก็จะได้เห็นหน้าแม่ อ้อ แล้วก็หน้าท่านพ่อของลูกด้วยนะ”

ห้าวัน! นี่เราต้องตามืดบอดไปอย่างนี้ถึงห้าวันเชียว

ราตรีพิสุทธิ์คิดอย่างหนักใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านแม่บอก

“หือ? ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะลูก ยังหิวนมอยู่อีกหรือจ้ะ” เสียงท่านแม่ถามเธอเพราะเห็นว่าเธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “เอ...หรือว่าปวดท้องฉี่กันแน่ ไหนขอแม่ดูหน่อยซิ”

ท่านแม่พูดต่อ ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์แทบตะลึงไปในทันที

โอ สวรรค์ทรงโปรด…

เกมนี้สร้างได้เหมือนจริงเกินไปแล้ว!

ราตรีพิสุทธิ์ร้องครวญครางในใจปนกระดากอายที่ต้องมาแก้ผ้าโชว์ต่อหน้าท่านแม่ในเกม เมื่อหมดหนทางที่จะบอกท่านแม่ได้ เธอได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายดูจนกว่าจะพอใจ หลังจากท่านแม่ตรวจดูแล้ว ท่านแม่ก็พบว่าเธอทั้งฉี่ทั้งอุจจาระเลอะเต็มผ้าอ้อมโดยที่ตัวเธอเองก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน

จริงสิ เรามันเด็กทารกนี่ ย่อมไม่รู้จักวิธีการกลั้นฉี่กับอุจจาระเป็นของธรรมดา

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจพร้อมกับชื่นชมเกมไปด้วย ทว่าเธอไม่แปลกใจเลยที่เกมจะสร้างความสมจริงให้กับผู้เล่นแล้ว ยังรู้จักสร้างให้ผู้เล่นรู้สึกถึงการเป็นเด็กทารกแรกเกิดพร้อมกับรู้สึกถึงความรักของผู้เป็นแม่ที่มอบให้อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเล่นเกมของบริษัทของตัวเองได้อย่างไร้ที่ติ

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดสิบปี สำหรับราตรีพิสุทธิ์ที่ได้หวนกลับมาสัมผัสกับความรู้สึกที่ครั้งหนึ่งเธอเคยลืมเลือนไปแล้วอีกครั้ง เมื่อคิดได้ดังนั้น น้ำตาของเธอก็พาลไหลรินออกมาโดยที่เธอไม่รู้สึกตัว

ถ้าเป็นไปได้ ลูกอยากให้คนที่อุ้มลูกอยู่ในตอนนี้เป็นแม่แท้ๆ ของลูก

ไม่ใช่แม่มังกรที่ถูกสร้างขึ้นจากในเกม

คุณแม่คะ...หนูรักแม่นะคะ

ส่วนแม่มังกรเมื่อเห็นน้ำตาของลูกไหลออกมา ก็นึกแปลกใจว่าทำไมจู่ๆลูกตนถึงได้ร้องไห้ออกมา ซึ่งแม่มังกรก็ไม่รู้จะทำยังไงดี จึงได้แต่เอามือมาตบก้นลูกตนอย่างเบาๆราวกับต้องการปลอบร่างเล็กให้หยุดร้องไห้

“ท่านได้รับทักษะการร้องไห้ ระดับ1, 2, 3, 4, 5”

ราตรีพิสุทธิ์ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ แค่เธอร้องไห้มีการเพิ่มระดับทักษะด้วยหรือเนี่ย แต่แล้วเธอก็เลิกสนใจเพราะตอนนี้ท่านแม่ได้ร้องเพลงกล่อมเด็กให้เธอฟัง

“กาเหว่าเอย                   ไข่ให้แม่กาฟัก
แม่กาหลงรัก                              คิดว่าลูกในอุทร
            คาบข้าวมาเผื่อ               คาบเหยื่อมาป้อน
ปีกหางเจ้ายังอ่อน                       สอนร่อนสอนบิน
            แม่กาพาไปกิน                ที่ปากน้ำแม่คงคา
ตีนเหยียบสาหร่าย                       ปากก็ไซ้หาปลา
            กินกุ้งกินกั้ง                    กินหอยกระพังแมงดา
กินแล้วบินมา                             จับต้นหว้าโพธิ์ทอง
            นายพรานเห็นเข้า            เยี่ยมเยี่ยมมองมอ
ยกปืนขึ้นส่อง                             หมายจ้องแม่กาดำ
            ตัวหนึ่งว่าจะต้ม              ตัวหนึ่งว่าจะยำ
แม่กาตาดำ                                แสนระกำใจเอย”

“ท่านได้รับทักษะการฟัง ระดับ1, 2, 3…”

เสียงของระบบประกาศในขณะที่ราตรีพิสุทธิ์ได้เพลิดเพลินกับเสียงเพลงกล่อมเด็กจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
 
..............................

ย้อนกลับมาทางด้านนอกเกม เมื่อคุณยายได้เข้าไปเล่นเกมได้พักใหญ่แล้วนพเดชจึงพาลูกสาวไปฝากไว้กับพยาบาลสักพักหนึ่ง ก่อนจะย้อนกลับมาประกอบเกมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต โดยนพเดชเลือกที่จะนอนเล่นใกล้กับคุณยายเพื่อความสะดวกในการดูแลใกล้ชิด เมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้วนพเดชจึงสวมแว่นตาก่อนจะกดปุ่มสตาร์ทเพื่อเล่นเกมทันที

“ขอต้อนรับท่านเข้าสู่เกมเรียลไลฟ์ออนไลน์ค่ะ”

เสียงโอเปอเรเตอร์พูด ซึ่งมันก็เป็นเหมือนเดิมทุกครั้งที่นพเข้ามาในห้วงแห่งเกม

“ไอดีนพเดช พาสเวิร์ดxxxx”

นพเดชบอกไอดีของตัวเองอย่างเร่งรีบ

“ไอดีกับพาสเวิร์ดถูกต้องค่ะ ทางระบบจะทำการส่งผู้เล่นปฐพีเข้าไปในเกมเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ”

เพียงชั่วพริบตาเดียวภาพห้องนอนอันใหญ่โตหรูหราโอ่อ่าก็ได้ปรากฏสู่สายตา พอรู้ว่าตนได้เข้ามาในเกมแล้ว เขาก็รีบกดปุ่มนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของตัวเองก่อนจะเผยให้เห็นภาพสามมิติสีฟ้าบ่งบอกสถานะของตัวเขาเองกับภาพชายหนุ่มที่มีใบหน้าเรียวคม ผิวสีแทน นัยน์ตาสีฟ้า ผมสั้นรองทรงสีทองเปล่งประกายสดใส ซึ่งผิดกับใบหน้าแท้จริงของเขาที่นอกเกมโดยสิ้นเชิง
เมื่อปฐพีได้เปิดหน้าต่างสถานะเกมแล้ว เขาก็รีบกดปุ่มเมนูติดต่อครอบครัวตามที่เคยยื่นเรื่องขอกับทางบริษัทเกมว่าจะให้ไอดีของคุณยายอยู่ในวงรายชื่อครอบครัวเดียวกับตน

“ผู้เล่นปฐพีต้องการเชื่อมการติดต่อกับคนในครอบครัวใช่รึไม่”

เสียงระบบถามปฐพี

“ใช่”

ปฐพีตอบอย่างว้าวุ่นใจ เพราะเขาไม่ต้องการปล่อยให้คุณยายเล่นเกมตามลำพัง

“กรุณารอสักครู่ ระบบจะทำการตรวจเช็คเพื่อค้นหาบุคคลที่ท่านต้องการติดต่อ”

ก๊อก! ก๊อก!

“ไอ้ปฐพีเว้ย! แกอยู่ในห้องรึเปล่าวะ! ปฐพี!”

เสียงเข้มตะโกนดังลั่นมาจากข้างนอก ทำเอาปฐพีแทบสะดุ้ง

“เอออยู่ๆ รอเดี๋ยวนะ!”

ปฐพีตะโกนบอกกลับไป ซึ่งทำให้บุคคลที่อยู่ภายนอกหยุดเคาะประตูทันที เมื่อเหตุการณ์สงบ ปฐพีจึงหันหน้ากลับไปยังหน้าต่างสามมิติต่อ

“ต้องขออภัยด้วยค่ะ เนื่องจากบุคคลที่ท่านต้องการติดต่อด้วย ไม่สามารถทำการติดต่อได้ค่ะ” เสียงของระบบบอกปฐพี ซึ่งทำเอาคนฟังแทบจะเป็นบ้า “ผู้เล่นปฐพีต้องการจะทราบชื่อของบุคคลในครอบครัวหรือไม่คะ”

“ต้องการ!”

ปฐพีตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

“นามผู้เล่นในครอบครัวของผู้เล่นปฐพีคือราตรีพิสุทธิ์ค่ะ”

ปฐพีได้ยินชื่อของคุณยายถึงกับขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อของท่าน แถมเขาก็ไม่เคยได้ยินใครเรียกท่านว่าราตรีพิสุทธิ์ด้วย

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงประตูถูกใครบางคนเคาะดังลั่นห้อง

“คุณชายปฐพีจะให้กระผมรออีกนานแค่ไหนขอรับ! ถ้าขืนยังไม่ออกมาอีก กระผมจะพังประตูเดี๋ยวนี้แล้วนะเว้ย!”

คนข้างนอกเริ่มเดือดดาลเพราะรอคนในห้องไม่ไหว ซึ่งทำให้ปฐพีต้องรีบปิดหน้าต่างแล้วออกไปข้างนอกเพื่อไปจัดการกับตัวป่วนในข้อหากวนบาทา

ไว้จัดการทางนี้เสร็จแล้วค่อยออกตามหาคุณยายอีกทีแล้วกัน
 
.......................

 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 1 เข้าเกม 26/8/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 27-08-2014 11:39:44
บทที่ 2 ลืมตาดูโลก

....................
 
ทางด้านราตรีพิสุทธิ์หลังจากเธอนอนหลับไปพักใหญ่แล้ว ตื่นมาอีกทีก็ถูกท่านแม่พาไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วถูกพาอุ้มไปเดินเล่นไหนต่อไหนซึ่งเธอไม่สามารถรับรู้ได้เพราะดวงตาของเธอยังลืมไม่ขึ้น ซึ่งชีวิตทารกของเธอนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากกิน นอน ถ่าย อาบน้ำ ฟังท่านแม่ร้องเพลง และก็นอนหลับ ซึ่งวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปได้ห้าวัน…

ปัง!

เสียงประตูถูกเปิดดังสนั่น ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์ที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับเสียงร้องเพลงของแม่มังกรถึงกับสะดุ้งตกใจ

“อุแว้! อุแว้!”

ราตรีพิสุทธิ์ร้องเสียงดังลั่นโดยที่ตัวเธอเองไม่สามารถบังคับหรือฝืนมันได้

“ที่รัก ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าเวลาเปิดประตู ก็อย่าเปิดให้มันเสียงดังนัก” เสียงของแม่มังกรพูดอย่างฉุนเฉียว แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็ได้รู้สึกถึงมือของแม่มังกรมาตบเข้าที่สะโพกของเธอเบาๆ “โอ๋ๆ ไม่มีอะไรแล้วนะลูกรัก ไม่มีอะไรแล้ว”

“ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำ เจ้าก็รู้”

เสียงทุ้มแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นพูด ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์พอจะเดาได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร

“ฮึ ถ้าไม่ได้ตั้งใจทำแล้วไฉนถึงเปิดประตูเสียงดังล่ะเดรค” เสียงแม่มังกรพูดเสียงย้อนอย่างห้วนๆ “ลูกเกิดมาทั้งที ไม่เห็นมีของขวัญมอบให้ลูกบ้าง อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว”

โอ้ ท่านแม่ดุจัง

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจอย่างขำขัน เพราะช่วงสี่วันมานี้เธอได้รับความรักความอบอุ่นจากแม่มังกรมาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงเปรียบแม่มังกรประดุจแม่แท้ๆของเธอ

“ข้าไม่ได้ลืม” เดรคบอกก่อนจะเงียบไป แล้วทันใดนั้นราตรีพิสุทธิ์ก็รู้สึกว่ามีมือหนามาจับมือของเธออย่างเบาๆ “นี่หรือลูกของข้า เขายังแปลงร่างเป็นมังกรไม่ได้สินะ”

เขา? ท่านพ่อหมายถึงใครกัน

“ก็ยังนะสิคะที่รัก แหม เด็กทารกแรกเกิดก็เป็นแบบนี้กันทุกคนแหละ เอ หรือว่าท่านอยากให้ลูกชายของเรากลายเป็นมังกรตลอดเวลาเลยรึไง”

ลูกชาย?!

โอ้มายก็อด…นี่เราเกิดมาเป็นผู้ชายรึเนี่ย!!


“นั่นสินะ ขืนให้ลูกชายของเราแปลงร่างเป็นมังกรตลอดก็คงไม่ดีแน่” เมื่อราตรีพิสุทธิ์ได้ยินคำพูดของแม่มังกรกับพ่อมังกรแล้ว ยิ่งทำให้เธออยากรู้มากขึ้น ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะลืมตาขึ้นมาให้ได้ ทว่าเธอลองทำอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้เลยสักนิด “ว่าแต่ลูกของเรายังลืมตาไม่ขึ้นอีกหรือ”

“ดูเหมือนจะยังนะคะที่รัก เฮ้อ ข้าล่ะนึกเป็นห่วงลูกคนนี้เหลือเกิน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะลืมตาดูโลกกับเขาได้เสียที”

แม่มังกรพูดเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์นึกเสียใจที่ตนทำตามอย่างที่แม่มังกรคาดหวังไม่ได้

“อย่าได้ห่วงเลยเหม่ยจิง อีกไม่นานลูกเราก็จะเติบโตขึ้นมาแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เชื่อข้าสิ” เดรคพูดปลอบคนรัก “ตอนนี้พวกเราทำได้แค่เลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ”

“อือ ข้าก็ได้แต่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น”

ท่านพ่อท่านแม่…

นี่เป็นหนแรกที่ราตรีพิสุทธิ์รู้สึกซาบซึ้งถึงความห่วงใยของท่านพ่อกับท่านแม่ที่มีให้ต่อตัวเอง ถ้าเป็นไปได้ เธออยากให้ทั้งคู่มีตัวตนจริงขึ้นมาเสียแล้ว ไม่ใช่แค่เนื้อหาบนเกมที่ถูกสร้างขึ้น

“จะว่าไปเมื่อไหร่ท่านจะให้ของขวัญกับลูกเสียทีล่ะ”

เหม่ยจิงพูดย้อนเรื่องเก่า ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์ที่กำลังซาบซึ้งอยู่นั้น ถึงกับหัวเราะทันที

“เอิ้กๆ”

แม้เธอจะหัวเราะ แต่ทว่าเสียงของเธอก็ยังเป็นแค่เสียงเด็กทารกอยู่ดี

“ท่านได้รับทักษะการหัวเราะ ระดับ1, 2, 3”

เสียงระบบประกาศในหัวของราตรีพิสุทธิ์

ดู! แค่หัวเราะก็ยังเอามานับเป็นทักษะ!!

ทำไปได้!!


ราตรีพิสุทธิ์คิดอย่างเอือมระอากับความสมจริงของเกมนี้ เพราะหลายวันที่ผ่านมาเธอได้รับทักษะแปลกๆมาไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้ว นี่ถ้าเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ คงจะรำคาญกับเสียงของระบบไม่น้อยเลยทีเดียว

“โธ่เหม่ยจิง ก็ข้ากำลังจะให้อยู่นี่ไง” เดรคพูดอย่างน้อยอกน้อยใจเมื่อโดนคนรักบ่น “ดูสิเพราะเจ้าแท้ๆ ลูกหัวเราะเยาะข้าเลยเห็นไหม”

“ท่านจะมาโทษข้าไม่ได้นะเดรค ท่านทำตัวของท่านเอง”

เหม่ยจิงพูดจาประชดประชัน จนราตรีพิสุทธิ์นึกขำท่านแม่ที่ยังไม่ยอมหายโกรธท่านพ่อเสียที

“ก็ได้ๆ ข้าผิดเองก็ได้” เดรคพูดยอมแพ้ยกธงขาว “ถ้างั้นเจ้ากับลูกก็รีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย ประเดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกัน”

“ไปข้างนอก? ไปทำไมกัน ไหนท่านว่าจะให้ของขวัญกับลูกยังไงล่ะคะที่รัก”

เหม่ยจิงถามอย่างสงสัย ซึ่งเดรคก็ตอบกลับมาด้วยเสียงระรื่นว่า

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้…”

...................
 
หวือ!

เสียงลมปะทะเข้ากับใบหน้าของราตรีพิสุทธิ์ทำให้เธออดเสียววาบไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านพ่อมังกรเล่นแปลงร่างตัวเองให้เป็นมังกรก่อนจะพาเธอขึ้นบินสู่เหนือฟ้าโดยมีเหม่ยจิงคอยอุ้มอยู่ไม่ห่างกาย ถึงแม้ราตรีพิสุทธิ์จะได้รับความคุ้มครองจากผู้เป็นแม่แล้ว แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังรู้สึกกลัวความสูงนับพันฟุตไม่ได้อยู่ดี

“กลัวหรือลูกรัก เอ่เอไม่ต้องกลัวนะ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วจ้ะ” คนเป็นแม่พูดปลอบลูกทันทีที่เห็นลูกตัวสั่นเทา ก่อนจะหันไปตะโกนแข่งกับสายลมว่า “ยังไม่ถึงที่หมายอีกรึที่รัก! ลูกเรากลัวจนตัวสั่นแล้วนะ!”

“จวนจะถึงแล้ว ใจเย็นๆ!”

เสียงของเดรคตะโกนตอบกลับมา ซึ่งไม่นานนักจนกระทั่งเดรคบอกว่าตอนนี้ได้บินลงมาบนพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ที่นี่มัน…” เสียงเหม่ยจิงพูดในขณะที่อุ้มเธอเดินลงจากหลังของเดรค ซึ่งราตรีพิสุทธิ์เองก็อยากเห็นแต่ตาของเธอยังลืมไม่ขึ้น “น้ำพุสวรรค์”

“สวยใช่ไหมล่ะเหม่ยจิง ที่นี่แหละที่จะเหมาะกับลูกของเรา” เดรคพูดเสียงตื่นเต้น

“สวยค่ะ แหม ท่านนี่ช่างเข้าใจคิดนะ อยากจะให้ลูกเรามาแช่น้ำพุสวรรค์เพื่อเพิ่มพลังล่ะสิ”

เหม่ยจิงพูดราวกับรู้ทันความคิดของเดรค

“ใช่แล้ว เพราะการแช่น้ำพุสวรรค์เป็นการเพิ่มพูนพลังร่างกายของมังกรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แถมนอกจากนี้น้ำพุสวรรค์ก็ยังช่วยบำบัดโรคภัยเกือบทุกชนิดให้หายเป็นปลิดทิ้งอีกด้วย ดังนั้นข้าคิดว่าน้ำพุสวรรค์แห่งนี้น่าจะช่วยให้ลูกของเราสามารถลืมตาขึ้นมาดูโลกได้”

เดรคตอบพลางอธิบายคุณประโยชน์ของการแช่น้ำพุสวรรค์

“เยี่ยมไปเลยค่ะที่รัก ความคิดของท่านช่างฉลาดหลักแหลมสมกับที่เป็นราชามังกร แต่จะดีกว่านี้ถ้าท่านไม่เอาเวลานั้นไปทำอย่างอื่นเช่น…” เหม่ยจิงพูดชมคนรักด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “กกอีหนูโดยที่ข้าไม่รู้”

“เฮ้ย ใครกกอีหนูกันเล่า! เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้วเหม่ยจิง”

เดรครีบพูดแก้ตัวทันควัน

“แน่นะว่าไม่มี” เหม่ยจิงถามย้ำอย่างเอาเรื่อง

“ไม่มีแน่นอนจ้ะ ข้าให้สัญญา”

“อ้อ งั้นก็แล้วไป” เหม่ยจิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แต่อย่าให้ข้าจับได้แล้วกัน ไม่งั้นแม่จะเจี๋ยนของท่านทิ้งลงบ่อน้ำร้อนเสีย”

“โธ่เหม่ยจิง เจ้าไม่เชื่อข้าบ้างเลยหรือ” เดรคพูดเสียงอ่อย แต่หญิงสาวไม่สนใจที่จะฟัง

“มามะลูกรัก เราไปอาบน้ำแช่น้ำเซียนด้วยกันดีกว่า ปล่อยให้มังกรบ้ายืนพูดคนเดียวไปเถอะ”

“เอิ้กๆ!”

ราตรีพิสุทธิ์หัวเราะอย่างถูกใจที่ท่านพ่อโดนท่านแม่ปราบซะจนหงอ ซึ่งทำให้เธอนึกหวนความหลังครั้งสมัยสาวๆที่ตัวเธอเองก็เคยปราบคนรักด้วยวิธีนี้มาก่อน เมื่อเหม่ยจิงได้อุ้มราตรีพิสุทธิ์เดินเข้าไปยังข้างในแล้ว ก็รีบถอดเสื้อผ้าให้ราตรีพิสุทธิ์ก่อนที่ตัวเองจะถอดตาม

“ข้าขอแช่น้ำด้วยคนไม่ได้เหรอเหม่ยจิง” เดรคพูดเสียงอ้อนวอนอย่างแผ่วเบา ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์เดาได้ว่าท่านพ่อคงจะยืนอยู่ห่างออกไปจากจุดที่เธอกับท่านแม่อยู่ “ข้าเป็นคนพาเจ้ากับลูกมาแท้ๆ น่าจะได้แช่น้ำพุร้อนพร้อมหน้าพร้อมตากันสามพ่อแม่ลูกนะ”

“ไม่ได้”

เหม่ยจิงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ซึ่งทำให้เดรคถึงกับร้องไห้

“ข้าล้อเล่นค่ะที่รัก ท่านจะมาแช่น้ำด้วยก็มาเถอะค่ะ” เหม่ยจิงบอกขณะที่อุ้มราตรีพิสุทธิ์ขึ้นมา

“จริงเหรอเหม่ยจิง เจ้าจะให้ข้าลงไปจริงเหรอ”

เดรคถามด้วยเสียงหวาดหวั่น

“จริงสิคะที่รัก”

เหม่ยจิงตอบ ซึ่งทำให้เดรคแทบโห่ร้องด้วยความยินดี ก่อนจะรีบถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปในบ่อน้ำพุอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเหม่ยจิงที่ค่อยเดินจุ่มเท้าลงไปอย่างเชื่องช้าโดยระวังมิให้ราตรีพิสุทธิ์ต้องโดนน้ำพุร้อนเร็วเกินไป ส่วนราตรีพิสุทธิ์ก็รู้สึกถึงไอความร้อนที่แผ่มาจากข้างล่าง

ไออุ่นจากน้ำพุร้อนนี่ช่าง…ดีจริงๆ

ไว้ว่างๆให้ตานพพาไปเที่ยวน้ำพุร้อนบ้างดีกว่า


ราตรีพิสุทธิ์คิดลอบในใจโดยไม่รู้ว่าหลานชายของตนผู้ซึ่งถูกนินทาได้จามฮัดเช้ยอยู่หลายครั้งต่อหลายครั้งอย่างน่าสงสาร แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็ต้องหยุดคิดเนื่องจากเธอรู้สึกถึงน้ำอุ่นจากบนมือของท่านแม่มาสัมผัสบนตัวเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่

“เอ่เอ ไม่ร้อนนะไม่ร้อน”

เสียงท่านแม่พูดราวกับต้องการจะบอกเธอว่าไม่ต้องกลัวน้ำร้อนที่กำลังโดนอยู่ในตอนนี้ เมื่อราตรีพิสุทธิ์ได้สัมผัสกับหยาดน้ำจากน้ำพุร้อนแล้ว เธอก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งเมื่อท่านแม่อุ้มเธอหย่อนตัวลงแช่น้ำร้อนอย่างช้าๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังงานอันมหาศาลที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้แช่น้ำพุสวรรค์ จึงเลื่อนระดับพื้นฐานให้เป็นเด็กทารกระดับ 2”

พอสิ้นเสียงระบบประกาศ นัยน์ตาทั้งสองข้างก็ได้ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินที่ส่องประกายสดใสประดุจห้วงท้องทะเลลึก จากที่เคยเห็นแต่ความมืดมิด มาบัดนี้เธอได้เห็นแสงสว่างทีละเล็กทีละน้อย

“เดรคมาดูลูกเรานี่สิคะ!”

ถึงแม้ควันไอน้ำจากน้ำพุร้อนจะมีมาก แต่ก็ไม่ทำให้ราตรีพิสุทธิ์พลาดรายละเอียดใบหน้าของท่านแม่เลยสักนิด ริมฝีปากเรียวอมชมพู ใบหน้าเรียวคมไร้เครื่องสำอางตกแต่ง นัยน์ตาสีทองส่องประกายความตื่นเต้น ผนวกกับผมสีน้ำตาลประกายทองสลวยสวยเก๋ถูกม้วนเกล้าขึ้นไปเหนือศีรษะด้วยปิ่นไม้สีน้ำตาลแลดูงดงาม

สวย…สวยอะไรอย่างนี้!

“อะไรหรือเหม่ยจิง เจ้าเล่นพูดซะข้าตกอกตกใจหมดเลย”

เสียงเดรคพูดด้วยความตกใจปนสงสัยพร้อมกับเสียงใครบางคนเดินลุยน้ำเข้ามาใกล้ๆ ก่อนต้นเสียงนั้นจะเผยให้ราตรีพิสุทธิ์เห็นเป็นชายหนุ่มรูปงามผมยาวสีเงินปะบ่ากับนัยน์ตาสีน้ำเงินสะท้อนความเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน

นี่หรือท่านพ่อมังกรของเรา

เนื่องจากพ่อของราตรีพิสุทธิ์ได้เสียไปเพราะอุบัติเหตุตั้งแต่เธอยังเล็ก ก็เลยทำให้แม่ต้องคอยเลี้ยงดูเธอมาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงอดหวนนึกถึงพ่อของตัวเองเสียมิได้

“ฮึก...ฮึก...อุแว้! อุแว้!”

“ท่านได้รับทักษะการร้องไห้ ระดับ6, 7, 8, 9, 10”

เสียงระบบประกาศบอกในหัวแต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์หาได้สนใจไม่

“โอ๋ๆ อย่าร้องไห้เลยนะจ้ะลูกรัก”

เหม่ยจิงรีบอุ้มลูกทารกน้อยขึ้นแนบอกเพื่อปลอบขวัญ ส่วนคนเป็นพ่อได้แต่หน้าเสียเพราะเมื่อครู่นี้ตนเพิ่งจะเดินลุยน้ำเพื่อมาดูหน้าลูกชายตามเสียงเรียกร้องของผู้เป็นภรรยา แต่ทว่าลูกชายกลับร้องไห้ขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย ดังนั้นตนจึงรีบไปยืนหลบอยู่ด้านหลังภรรยาแทน หลังจากเหม่ยจิงใช้เวลาในการปลอบอยู่นาน ราตรีพิสุทธิ์ก็ได้หยุดร้องไห้ซึ่งเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบาๆ

“สมกับเป็นน้ำพุสวรรค์ มันสามารถทำให้ลูกเราลืมตาขึ้นมาได้จริงๆ มหัศจรรย์ยิ่งนัก”

เดรคพูดพลางจ้องน้ำพุอันใสสะอาดที่ตนแช่อยู่ในขณะนี้

“ที่รักคะ ใจคอท่านจะไม่ดูลูกชายเราหน่อยหรือ เขาอุตส่าห์ลืมตาขึ้นมาได้แล้วแท้ๆ”

“ดูสิ ใครว่าจะไม่ดูกันล่ะ” เดรคพูดพลางชะเง้อหน้าเอียงคอดูจากทางหลังคนรัก ก่อนจะมองเห็นราตรีพิสุทธิ์ซึ่งมีนัยน์ตาสีเดียวกับตน “โอ้ ลูกเรามีนัยน์ตากับสีผมเหมือนพ่อไม่มีผิด ฮ่า! ฮ่า! สงสัยเชื้อพ่อมันแรง”

“ฮึ ลูกเหมือนท่านหมดเสียเมื่อไหร่ สีผิวกับใบหน้าก็เหมือนข้าด้วยนะ”

เหม่ยจิงพูดเสียงเง้างอน ซึ่งทำให้เดรครีบหอมแก้มเพื่อเอาอกเอาใจคนรัก

“จริงด้วย เหมือนเจ้าจริงๆด้วย” ชายหนุ่มพูดพลางมองหน้าราตรีพิสุทธิ์ “อือ แต่จะว่าไปลูกเราก็…น่ารักใช่ย่อยนะ หน้าหวานแบบนี้คงจะมีผู้หญิงมาติดพันเยอะแน่”

“เนื้อหอมไม่ว่า แต่ขออย่าให้เจ้าชู้เหมือนท่านแล้วกัน”

เหม่ยจิงพูดประชด ซึ่งทำให้เดรคได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ หลังจากนั้นสามพ่อแม่ลูกได้แช่น้ำอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนเดรคจะพาคนรักกับลูกชายกลับบ้านทันที ซึ่งครั้งนี้แตกต่างกับตอนขามาโดยสิ้นเชิง เพราะราตรีพิสุทธิ์สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้แล้ว แต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จึงทำให้เธอผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

.................
 
“ปฐพี...ปฐพี!”

เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น ทำเอาคนที่นั่งหลับเอนหลังพิงต้นไม้ถึงกับลืมตาขึ้นมา ทีแรกปฐพีแทบงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่พอได้เห็นสิ่งรอบข้างที่เป็นเวลากลางคืนผนวกกับต้นไม้รอบกายที่มีอยู่เยอะแล้ว ปฐพีก็จำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมดภายในช่วงพริบตาเดียว

จริงสิ ตอนนี้เขากับเพื่อนๆกำลังออกตามหาคุณยายที่บนเกาะเริ่มต้นนี่

พอชายหนุ่มคิดเสร็จ ปฐพีก็หันมามองสองหนุ่มที่กำลังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกองไฟที่ลุกโชติช่วง ซึ่งคนที่เรียกปฐพีเป็นเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนวัยสิบห้าสิบหกกำลังนั่งกอดอกอยู่ เจ้าตัวมีนัยน์ตาสีเขียวด้านขวาเพียงข้างเดียว ส่วนข้างซ้ายกลับถูกผ้าผืนสีดำปกปิดไว้ เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นผ้าฝ้ายสีขาวกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเขียวใบไม้เข้มกับรองเท้าบู๊ตสีน้ำตาลเข้มแลดูทะมัดทะแมงดี และนอกจากนี้อีกฝ่ายยังมีใบหูสองข้างที่แหลมเหมือนกับหูของเอลฟ์อีกด้วย

“นายเรียกฉันเหรอศาสตรา”

ปฐพีถามพลางเอามือขยี้ตา ตอนนี้เขากับเพื่อนอีกสองคนที่กลางป่าบนเกาะเริ่มต้น

“ก็ใช่นะสิปฐพี” ศาสตราพูดตอบพลางส่งยื่นไก่ปิ้งให้กับปฐพี “พอได้นั่งพักปุ๊บ นายก็หลับปั๊บทันที ถามหน่อยเถอะ กะอีแค่เกมนายจะกังวลไปทำไมกัน คุณยายของนายคงเอาตัวรอดในเกมได้อยู่หรอกน่า”

ปฐพียังไม่ตอบคำถามของศาสตราเดี๋ยวนั้น เขารับไก่ปิ้งของอีกฝ่ายมาฉีกเนื้อไก่ใส่ปากเคี้ยวให้ละเอียด ก่อนจะกลืนลงคออย่างรวดเร็ว

"จะไม่ให้เป็นกังวลได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อคุณยายของฉันไม่เคยแตะคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ จะให้ท่านเล่นเกมออนไลน์เป็นได้ยังไงกัน พวกนายลองคิดดูสิ เอ่อ ฉันลืมบอกไปว่าตอนนี้ท่านมีอายุหนึ่งร้อยสิบปีแล้วด้วย ไม่ใช่หกสิบเจ็ดสิบเหมือนผู้เล่นที่หนึ่งของเกมนี้นะจะบอกให้”

ผู้ฟังทั้งสองตกใจจนตาเกือบถลนออกจากเบ้าเมื่อได้รับทราบถึงอายุคุณยายของปฐพี

“โอ้แม่เจ้า! หนึ่งร้อยสิบปี อยู่ไปได้ยังไงกันล่ะนั่น” คนพูดเป็นชายร่างยักษ์ มีผมสีดำยาวปะบ่า ผิวสีเขียวเข้ม นัยน์ตาสีแดงเข้ม สวมเสื้อเกราะสีดำกับกางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีดำ ซึ่งผิดกับใบหน้าที่ทะเล้นตึงตัง ไม่โหดเหี้ยมเหมือนยักษ์ในนิทานเลยสักนิด “ขนาดยายของฉันว่าอายุเจ็ดสิบแล้ว ยังสู้ยายของนายไม่ได้เลยปฐพี สุดยอดเลยจริงๆ ว่าแต่ยายของนายไม่แก่จนละเลือนไปเลยรึ”

คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ไม่เลยพิภพ” ปฐพีตอบพลางยกกระติกน้ำขึ้นดื่ม “ถึงท่านจะอายุมากก็จริง แต่สุขภาพของท่านแข็งแรงพอๆกับคนอายุห้าสิบหกสิบ เพราะฉะนั้นพวกนายสองคนเลิกกังวลเรื่องความทรงจำของท่านไปได้เลย”

“ถ้านายยืนยันอย่างนั้น พวกฉันก็ค่อยหายห่วงหน่อย”

ศาสตราพูดพลางถอนหายใจ ซึ่งความกังวลของผู้เป็นเพื่อนที่แสดงออกมา ทำให้ปฐพีถึงกับซาบซึ้งน้ำใจเพื่อนที่มีให้กับเขา

“ฉันต้องขอบใจพวกนายสองคนจริงๆ ที่อุตส่าห์มาช่วยออกตามหาคุณยายของฉันทั้งๆที่งานในสมาคมจับฉ่ายของพวกเรายังมีอยู่อีกมาก”

ปฐพีพูดขอบคุณเพื่อนอย่างจริงใจ ซึ่งทีแรกเขาตั้งใจจะเคลียร์งานในสมาคมจับฉ่ายกับเคลียร์ภารกิจของศาสตราที่ค้างคาให้เสร็จพร้อมกันเลยทีเดียว แล้วจากนั้นค่อยออกมาตามหาคุณยายที่เกาะเริ่มต้นตามลำพัง แต่ทว่าปฐพีกลับโดนสองคนนี้รุมมะตุ้มถามเหตุผลที่เขาเลือกจะกลับไปยังเกาะเริ่มต้น ทั้งๆที่ปฐพีมีระดับที่สูงเกินสี่สิบแถมยังไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพอปฐพีเล่าให้เพื่อนทั้งสองคนฟังจนจบแล้ว ทั้งคู่ก็ขอตามเขาไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย

“มิได้ๆปฐพี แค่นายไม่โกรธที่พวกฉันขอตามมาด้วยก็พอแล้วล่ะ”

พิภพตอบ ซึ่งศาสตราเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับพิภพ

“อย่างที่พิภพพูดนั่นแหละ งานนี้พวกเราเต็มใจที่จะมาเอง เพราะฉะนั้นนายห้ามปฏิเสธหรือไล่พวกเรากลับไปเสียให้ยาก” ศาสตราพูดพลางโบกมือที่ถือช้อนไปมา แล้วศาสตราทำท่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ตอนนี้พวกเราก็อยู่บนเกาะเริ่มต้น
แล้ว นายจะเริ่มต้นหาคุณยายที่ไหนก่อนดีล่ะ”

“คงจะเป็นที่เมืองเริ่มต้น...ฉันคิดว่าจะไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่เกมเกี่ยวกับปัญหาการติดต่อกับคุณยายไม่ได้นะ แล้วจากนั้นค่อยไปติดประกาศขอความช่วยเหลือคนในเกมให้ช่วยออกตามหาคุณยายด้วยอีกแรง”

ปฐพีตอบอย่างที่เคยคิดไว้ล่วงหน้าอยู่นานแล้ว

“อืม เป็นความคิดที่ดี” พิภพพูดพลางพยักหน้า “ว่าแต่ทำไมนายไม่ไปขอความช่วยเหลือพวกสมาชิกในสมาคมจับฉ่ายดูบ้างล่ะ เป็นหัวหน้าสมาคมจับฉ่ายแท้ๆ กลับไม่ใช้ประโยชน์นี้ในการตามหาคุณยายของนายซะเลย”

“เห็นทีคงจะไม่ เพราะการใช้อำนาจเพียงเพื่อเรื่องส่วนตัวย่อมไม่ใช่วิสัยผู้นำควรพึงกระทำ แล้วอีกอย่างเรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันควรจะจัดการด้วยตัวของฉันเอง”

คำตอบที่กลั่นกรองมาจากปากปฐพี ซึ่งทำให้ผู้ฟังทั้งสองถึงกับตะลึง

เพราะมันเป็นคนแบบนี้ไงเล่า พวกเขาถึงได้ยอมติดตามมันมาตั้งแต่ระดับศูนย์จนถึงเดี๋ยวนี้!

ศาสตรากับพิภพคิดไปอมยิ้มไปพลาง คนดีอย่างปฐพี ไม่ว่าใครก็อยากคบหาด้วย ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงไม่คิดจะทอดทิ้งหัวหน้าผู้แสนดีของสมาคมจับฉ่ายได้ลงคอหรอก

“คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฉันว่าพวกเราควรรีบเข้านอนพักผ่อนเอาแรงจะดีกว่านะ แล้วตอนเช้าค่อยว่ากันใหม่”

ปฐพีพูดตัดบทพลางอ้าปากหาววอดโดยไม่ลืมเอามือปิดปากด้วย ซึ่งศาสตรากับพิภพเองก็รู้สึกง่วงนอนแล้วเช่นกัน จึงพากันแยกย้ายเข้านอนในเต็นท์ใครเต็นท์มัน
 
...................................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 2 ลืมตาดูโลก 27/8/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Aly-Q ที่ 27-08-2014 16:40:51
สนุกมากค่ะ ชอบคุณยายมากเลยเราเคยอ่านเรื่องนี้แล้ว
แต่ก็จะอ่านอีกนะ มาต่อไวๆนะ

ตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 2 ลืมตาดูโลก 27/8/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 27-08-2014 17:20:11
บทที่ 3 พลัดพราก(1)

.....................
 
หลังจากราตรีพิสุทธิ์ได้นอนหลับถึงห้าชั่วโมงเต็ม เธอก็ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งราตรีพิสุทธิ์รู้สึกดีใจที่ได้เห็นโลกแห่งเกมจริงจังสักที ทีแรกราตรีพิสุทธิ์คิดว่าบ้านที่เธออยู่อาศัยนี้ เป็นเพียงแค่บ้านธรรมดาๆ แต่พอท่านแม่กับท่านพ่อได้อุ้มเธอเดินออกไปนอกตัวบ้านแล้ว เธอแทบตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะภาพบ้านตรงหน้าของราตรีพิสุทธิ์มันตรงกันข้ามกับที่เธอเคยคิดไว้

ไม่ใช่แม้กระทั้งบ้านหรือกระทั้งคฤหาสน์

แต่เป็นปราสาท!

นอกจากนี้ราตรีพิสุทธิ์ก็ยังได้รู้ฐานะอันแท้จริงของทั้งคู่ในเกมว่าเป็นถึงราชากับราชินีของเหล่ามังกรทั้งปวง ซึ่งเธอทราบเรื่องพวกนี้ได้จากแขกที่แวะมาเยี่ยมเยียนบ้านของเธอเพราะต้องการดูหน้าลูกชายของเดรคที่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นใหม่นั่นเอง แต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์ก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่า สถานที่ๆเธอกำลังพักอาศัยอยู่นี้มันคือที่ใด แล้วทำไมหลานชายของเธอถึงยังไม่ติดต่อมาหาเธอสักที ซึ่งราตรีพิสุทธิ์เองก็ไม่มีเวลาจะคิดเรื่องพวกนี้ นั่นก็เพราะเธอได้รับความรักความเอาใจใส่ของท่านพ่อกับท่านแม่มากเสียจนเธอหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

หลังจากที่ราตรีพิสุทธิ์ได้ใช้ชีวิตเยี่ยงอย่างเด็กทารก เธอจึงค่อยๆซึมซับสิ่งที่ท่านพ่อกับท่านแม่มังกรเลี้ยงเธอมาอย่างทีละเล็กทีละน้อยตามอายุของเด็กทารกคนหนึ่ง

จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้สองอาทิตย์เต็มๆ…

กรุ้งกริ่ง! กรุ้งกริ่ง!

เสียงโมบายล์ดังไหวอยู่ตลอดเวลาเมื่อสัมผัสกับสายลมยามเช้าจากภายนอกหน้าต่างที่ถูกเปิด ซึ่งพอมองเข้าไปยังในหน้าต่างจะเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีฟ้าอ่อนแลดูสบายตาอย่างยิ่ง นอกจากนี้ภายในห้องก็ยังมีข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็กทารกอาทิเช่น เปลนอนสำหรับเด็กเป็นต้น ได้ถูกจัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“เอิ้กๆ”

เสียงเด็กทารกร้องอย่างสดใส ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากราตรีพิสุทธิ์ ตอนนี้เธอกำลังนอนหัวเราะอย่างสนุกสนานในเปลเพราะเห็นท่านพ่อทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เธออยู่

“เดรคคะ นี่ไม่ใช่เวลามามัวเล่นกับลูกนะ ไหนท่านว่าจะพาข้ากับลูกออกไปข้างนอกยังไงล่ะ”

เหม่ยจิงบ่นอย่างหัวเสีย เนื่องจากเธอมัวแต่เสียเวลาในการตระเตรียมข้าวของเพื่อจะไปปิกนิกอยู่เสียนาน แต่พอเธอจัดเสร็จแทนที่จะได้ไปข้างนอกก่อนเวลาแปดโมงเช้า กลับต้องมารอคนรักของเธอเล่นกับลูกชายอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

“ก็กำลังจะพาไปอยู่นี่ไงล่ะ” เดรคพูดพลางใช้มือช้อนตัวราตรีพิสุทธิ์ขึ้นมาอุ้มอย่างทะนุถนอม “เอ่เอ...วันนี้ลูกห้ามร้องไห้โยเยกวนพ่อกับแม่เชียวนะ ไม่งั้นหมดสนุกกันพอดี”

“ข้าว่าเราจะหมดสนุกก็เพราะท่านไม่ยอมพาไปสักทีมากกว่านะ”

เหม่ยจิงพูดประชดใส่ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มต้องรีบพาคนรักกับลูกชายออกไปข้างนอกอย่างเร็วเพราะกลัวคนรักของตัวเองจะโกรธไปมากกว่านี้

..................
 
ในขณะที่ราตรีพิสุทธิ์เล่นเกมอยู่ข้างใน ที่ข้างนอกเกมได้มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์สิบคนกำลังนั่งจับตาดูจอสไลด์ภาพเคลื่อนไหวท่ามกลางห้องที่มีหน้าจออื่นๆอยู่ร่วมนับสิบ ซึ่งหนึ่งในภาพนั้นเห็นจะเป็นเด็กทารกเพศชายผมสีเงินตาสีน้ำเงินที่กำลังถูกพ่อมังกรอุ้มอยู่

วืด!

เสียงประตูเลื่อนอัตโนมัติถูกเปิด ก่อนจะเผยให้เห็นผู้มาใหม่ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนผอมสูงในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าเหี่ยวย่นไปตามวัย แต่ทว่าผิดกับนัยน์ตาที่เป็นสีน้ำตาล ซึ่งทอประกายความหวังไว้เต็มเปี่ยมกับเรื่องบางอย่าง

“อ๊ะ ท่านประธาน”

หนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์รีบผุดลุกขึ้นยืนทำความเคารพเมื่อเห็นผู้เป็นนายกำลังเดินเข้ามา ซึ่งทำให้คนอื่นจะลุกขึ้นตามแต่ก็ต้องนั่งลงเพราะท่านประธานได้โบกมือห้ามไว้

“เชิญทำงานกันต่อตามสบาย” ท่านประธานบอกทุกคน ก่อนจะหันหน้ามามองคนแรกที่เรียกตนเมื่อครู่นี้ “โปรเจคย้อนวัยทารกได้ความคืบหน้าถึงไหนแล้วล่ะดนัยเทพ”

ดนัยเทพหรือชายหนุ่มวัยสามสิบสองผู้มีใบหน้ามัวหมองเนื่องจากอดหลับอดนอนเพราะทำงานล่วงเวลาอยู่เกือบทุกวัน ไหนจะผมเผ้าสีดำหยิกรุงรังเป็นสังกะตังที่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจจะหวีมันอีก

“เรียนท่านประธาน ตอนนี้โปรเจคกำลังดำเนินตามแผนที่วางไว้ครับ” ดนัยเทพตอบพลางหยิบสคริปต์ขึ้นมาอ่านให้ท่านประธานฟัง “จากผลสรุปของไอดีแปดพันนี้ มีทั้งสติปัญญา การเคลื่อนไหว การสัมผัสเป็นปกติดีทุกอย่าง ยกเว้นอารมณ์ที่แปรปรวนตามสถานการณ์ได้อยู่เสมอ”

ดนัยเทพพูดก่อนจะเงยหน้ามองท่านประธาน

“ส่วนเรื่องค่าทักษะ อันนี้ผมไม่ทราบว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ทั้งๆที่พวกผมกำหนดทักษะให้แค่พื้นๆ ซึ่งมีไม่กี่ทักษะ อย่างเช่นพวกการกิน นอน นั่ง ยืน พูด แต่นี่กลับมีทักษะหัวเราะ ร้องไห้ เพิ่มขึ้นมาเองโดยที่ทางพวกผมไม่สามารถควบคุมได้ครับท่าน” ท่านประธานได้ยินที่ดนัยเทพพูด ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ไม่เพียงแค่นั้นครับท่านประธาน เรื่องกราฟิกด้านความทรงจำของผู้เล่นไอดีแปดพันขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่องแบบผิดปกติ ซึ่งทางจิตแพทย์ลงความเห็นว่าผู้เล่นไอดีนี้มีความผิดปกติทางด้านสมองอยู่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ครับ จะมีผลอันตรายเมนเบรน...”

“เอาเนื้อไม่เอาน้ำดนัยเทพ ผมต้องการทราบผลข้อสรุปที่สั้นและกะทัดรัด”

ท่านประธานพูดพลางยกมือ ซึ่งทำให้ดนัยเทพถึงกับยิ้มแห้ง

“ครับท่านประธาน ผลข้อสรุปโดยย่อก็คือ เมื่อนำเอาข้อมูลของไอดีแปดพันหรือคุณราตรีพิสุทธิ์ที่กลายเป็นเด็กทารกไปเทียบกับผู้เล่นทุกคนที่ทางเราเคยส่งไปเกิดเป็นเด็กห้าขวบแล้ว ทางไอดีแปดพันจะมีความคิดของเด็กทารกมากกว่าผู้เล่นคนอื่นอีกครับ”

“พูดง่ายๆว่าไอดีแปดพันมีความคิดที่กลายเป็นเด็กทารกก็ว่ามาเถอะดนัยเทพเอ้ย!”

เสียงแซวดังมาจากทางหลังดนัยเทพ ทำให้ดนัยเทพรีบหันกลับไปตวาดต้นเสียงอย่างเร็ว

“ไม่ขัดคอข้าสักวันมันจะทำให้แกตายไหมไอ้ปริญ!”

“ไอ้ขัดก็ไม่อยากขัดหรอก แต่ฉันทนไม่ได้ที่เห็นแกพูดภาษาแบบกำกวมให้ท่านประธานฟัง บอกตามตรงเลยว่ามันแหยงหูชะมัด” ชายหนุ่มผมน้ำตาลประกายแดงสั้นระต้นคอหรือปริญพูดพลางเอามือแคะหูอย่างไม่แคร์สายตาท่านประธานที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะทำท่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงหันหน้ามาคุยกับท่านประธานที่ยืนฟังอยู่นานแล้ว “อ้อ สวัสดีครับท่านประธาน เดี๋ยววันนี้ผมขอลาหยุดตั้งแต่เที่ยงเลยนะครับ พอดีน้องสาวของผมอยากจะเล่นเกมเรียลไลฟ์ ผมก็เลยต้องตามไปสอนอย่างเลี่ยงไม่ได้...แม่ฆ่าผมตายแน่ถ้าไม่สอนน้องเล่นเกม ไปล่ะครับท่านประธาน”

ปริญพูดจบก็จ้ำเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว จนท่านประธานอ้าปากคัดค้านไม่ทัน ส่วนดนัยเทพได้แต่ยิ้มแห้งๆอย่างจนปัญญา นี่ถ้ามันเป็นพนักงานธรรมดามาพูดกับท่านประธานแบบนี้แล้วล่ะก็ มีหวังโดนไล่ออกตั้งแต่ทำท่าแคะหูไปนานแล้ว

“ผมต้องขออภัยแทนปริญด้วยนะครับท่านประธาน มันนิสัยเสียมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่มันก็ทำงานได้ทันตามกำหนดเวลานะครับท่าน” ดนัยเทพพูดพลางทำท่าขอโทษโดยไม่ลืมพูดถึงข้อดีของปริญไปด้วยพร้อมกัน

“ช่างเถอะ ผมไม่ถือ” ท่านประธานตอบเสียงเรียบ ก่อนจะพูดวกเข้าเรื่องงานต่อ “เรื่องความผิดปกติของไอดีแปดพันนั่น ผมขอให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าได้ไปขัดขวางการเล่นเกมของผู้เล่นคนนั้นเด็ดขาด”

“ครับท่านประธาน”

ดนัยเทพตอบ ซึ่งเขาก็ไม่คิดอยากจะขัดขวางผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์เล่นเกมเป็นทารกอยู่แล้ว เพราะนี่คือการทดสอบโปรเจคย้อนวัยทารกที่ต้องดำเนินการอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้ใครทราบแม้กระทั่งผู้เล่นที่ถูกทดสอบอยู่ก็ตามที!

หวอ! หวอ!

จู่ๆ เสียงเตือนภัยพร้อมกับแสงสีแดงปรากฏขึ้นภายในห้อง ซึ่งทำเอาเหล่านักวิทยาศาสตร์รวมถึงท่านประธานกับดนัยเทพสะดุ้งตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น!”

ดนัยเทพหันหลังกลับไปตะโกนถามกับพวกเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่หน้าจอภาพ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ได้หันมาตอบดนัยเทพว่า

“ก็จุดที่ไอดีแปดพันอยู่ จู่ๆก็เกิดหายไปนะดนัย เหมือนมีอะไรเข้ามาแทรกแซงระบบ ทำให้พวกเราไม่สามารถติดต่อหรือจับดูภาพตรงพื้นที่ส่วนนั้นได้เลยสักนิด”

“อะไรนะ!” ดนัยเทพร้องอุทานอย่างตะลึง เพราะเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีพวกแฮคเข้ามาแทรกแซงเกมนี้ได้ “แล้วนี่พวกนายได้ใช้โปรแกรมป้องกันกับจัดการพวกแฮคแล้วรึยังล่ะ!”

“ลองทำแล้วแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังทำให้โปรแกรมที่พวกเราส่งไปมีอันต้องพังหมด”

เพื่อนร่วมงานของดนัยเทพตอบ ซึ่งทำให้ดนัยเทพถึงกับกุมขมับ ไม่ใช่ว่าเขาจะกังวลเรื่องโปรเจคของท่านประธานจะพัง แต่เขากลัวว่าผู้เล่นไอดีแปดพันที่เป็นหญิงชราวัยหนึ่งร้อยสิบจะเกิดอันตรายต่อสมองเอาได้ตั้งหาก

“งั้นใครก็ได้ช่วยโทรไปติดต่อไอ้ปริญให้รีบกลับมาที่นี่ด่วนด้วยล่ะ” ดนัยเทพบอกเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะหันหน้ากลับมายังท่านประธานที่ยืนรอฟังอยู่เงียบๆ “ต้องขออภัยด้วยครับท่านประธาน พอดีเกิดเหตุฉุกเฉินขั้นร้ายแรง คือว่า...”

“ไม่ต้องเล่าซ้ำอีกรอบหรอกดนัยเทพ ผมได้ยินตั้งแต่ตอนแรกหมดแล้ว”

ท่านประธานตอบ ซึ่งทำให้ดนัยเทพได้แต่ยิ้มแห้งๆ

“ถ้างั้นผมต้องขอตัวไปจัดการเรื่องนี้ก่อนนะครับท่านประธาน ไว้อีกสองสามวันผมจะโทร...”

“30นาที”

ท่านประธานพูดสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ซึ่งทำเอาดนัยเทพกับพวกนักวิทยาศาสตร์ถึงกับเหงื่อตก เพราะนานครั้งจะเห็นท่านประธานเอาจริง

“ครับท่านประธาน!”

ทุกคนตอบรับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนจะรีบลงมือในส่วนของตัวเองทันที รวมถึงดนัยเทพที่เอ่ยปากขอตัวกลับไปทำงานต่อบ้าง

...................................

ย้อนกลับมาด้านทางในเกม ในขณะนี้ราตรีพิสุทธิ์ได้มาเที่ยวปิกนิกกับพ่อแม่มังกรที่สวนดอกไม้แห่งหนึ่งซึ่งสวยเอามากๆสำหรับกราฟิกในเกมที่ถูกสร้างขึ้นมา และนอกจากนั้นวันนี้ท้องฟ้าก็ยังดูสดใส เหมาะกับการปิกนิกและเดินเล่นเป็นอย่างมาก

“อย่าทานอาหารให้มากสิคะที่รัก ประเดี๋ยวจะปวดท้องเอาไม่รู้ด้วยนะ”

เหม่ยจิงบอกคนรักในขณะที่ตนกำลังให้นมราตรีพิสุทธิ์อยู่ ส่วนเดรคก็นั่งทานอาหารที่เหม่ยจิจัดเตรียมมาให้อย่างเอร็ดอร่อย
           
“อือๆ ข้ารู้หรอกน่า” เดรคตอบพลางกลืนอาหารลงคอ ก่อนจะดื่มน้ำตาม “ฮู้! เจ้าน่าจะเอาสุรามาด้วยก็ดีนะเหม่ยจิง”
หญิงสาวได้ยินที่คนรักถามก็หันไปหยิกต้นแขนคนรักด้วยความหมั่นไส้

“จนป่านนี้แล้วท่านยังไม่เลิกดื่มสุราอีก ไหนท่านสัญญากับข้าแล้วไงว่าจะเลิกทันทีที่ลูกเกิดมา อะไรกัน นี่ยังไม่ครบหนึ่งเดือนดี ท่านก็จะหันมาดื่มสุราอีกเสียแล้ว”

“โธ่เหม่ยจิง ก็คนมันอดไม่ได้นี่ แล้วอีกอย่างบรรยากาศมันก็พาไปด้วย”

เดรคพูดตอบพลางลูบต้นแขนที่ถูกหยิก ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์ที่กำลังดูดนมของท่านแม่ถึงกับขำ

“เอิ้กๆ”

“โหยไอ้ตัวแสบ บังอาจหัวเราะเยาะพ่อบังเกิดเกล้าเชียวรึ” เดรคพูดอย่างเอาเรื่อง ซึ่งทำให้เหม่ยจิงต้องหยิกต้นแขนพ่อมังกรอีกรอบ “โอย เจ้าหยิกข้าอีกทำไมล่ะเนี่ย”

“ก็ท่านอยากว่าลูกราตรีพิสุทธิ์เองทำไมล่ะ ไม่รู้ด้วยแล้ว ถ้าท่านยังไม่เลิกดื่มสุราอีกล่ะก็ ท่านกับข้าไม่ต้องมานอนห้องเดียวกันอีก” เหม่ยจิงพูดขู่ ซึ่งทำเอาเดรคถึงกับเบ้ปาก

“ทำแบบนั้นได้ยังไงกันเหม่ยจิง ข้าเป็นสามีของเจ้านะ ให้แยกห้องนอนแบบนี้ ข้ารับไม่ได้!”

ชายหนุ่มพูดพลางล้มตัวลงไปนอนดิ้นกับพื้น ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ราชามังกรผู้เก่งกาจหายไปในพริบตาเดียว ส่วนเหม่ยจิงได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาที่มีสามีผู้แสนเอาแต่ใจเหมือนเด็กคนหนึ่ง

นี่ถ้าทุกคนได้เห็นพ่อมังกรทำแบบนี้แล้วล่ะก็ มีหวังได้เสื่อมศรัทธาแน่!

ราตรีพิสุทธิ์นึกขันท่านพ่อ เพราะอีกฝ่ายทำท่าดิ้นได้เหมือนกับเด็กน้อยที่ต้องการของเล่นอย่างจะเป็นจะตายเสียให้ได้ และเมื่อเหม่ยจิงให้นมกับราตรีพิสุทธิ์เสร็จ เธอก็ไม่ลืมที่จะทำให้ราตรีพิสุทธิ์ได้เรอ ก่อนจะวางตัวราตรีพิสุทธิ์นั่งลงบนพื้นผ้าลายหมากรุกแล้วตนจึงเขยิบไปนั่งชิดกับคนรักของตัวเอง ซึ่งโชคดีที่เมื่อหลายวันก่อนราตรีพิสุทธิ์ได้รับทักษะการนั่งกับการคลานมา จึงทำให้เธอสามารถนั่งลงได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะหงายท้อง

“จะว่าไปลูกเราก็ตั้งไข่ได้เร็วกว่าลูกมังกรคนอื่นอีกนะคะที่รัก”

แม่มังกรหรือเหม่ยจิงพูดชมลูกตัวเอง

“อืม นั่นสิ” เดรคพูดพลางทำท่าครุ่นคิด “ไม่แน่ว่าที่ลูกเราพัฒนาได้เร็วกว่าคนอื่น อาจจะเป็นเพราะน้ำพุสวรรค์ก็ได้นะ”

“จริงด้วย ข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย”

เหม่ยจิงพูดอย่างนึกขึ้นได้ ซึ่งการสนทนาระหว่างของทั้งคู่ ทำให้ราตรีพิสุทธิ์ทึ่งกับคุณประโยชน์ของน้ำพุสวรรค์เสียมิได้ นี่ถ้าเธอสามารถนำน้ำพุสวรรค์ออกไปจากเกมนี้ได้แล้วล่ะก็ โรคภัยต่างๆที่ไม่สามารถรักษาด้วยยาก็จะได้หายไปจากโลกนี้เสียที

เฮ้อ ไม่เอาแล้วล่ะ คิดมากไปก็ปวดหัวเปล่าๆ

ราตรีพิสุทธิ์ส่ายหน้ากับความคิดที่ไม่สามารถเป็นได้จริง ก่อนจะหันมาเอาใจทั้งสองคนด้วยการคลานให้ทั้งสองชมเล่น

“แอ้!” เนื่องจากราตรีพิสุทธิ์ยังไม่ได้ทักษะการพูดสักระดับ จึงทำให้เธอไม่สามารถพูดได้สักคำ มีเพียงแค่เสียงร้องนิดหน่อยเท่านั้น “แอ้...ด๊า!”

“ที่รักดูลูกราตรีพิสุทธิ์สิคะ ลูกกำลังคลานมาหาพวกเราอยู่นะ” เหม่ยจิงพูด ซึ่งทำเอาคนเป็นพ่อหันขวับอย่างไว

“มาเลยไอ้ลูกรัก คลานมาหาไวๆ พ่อจะหามังกรสาวๆ อกอึ๋มๆ มาให้เป็นเพื่อน”

เดรคพูดเร่งเร้าให้ลูกชายคลานมา

“นี่คิดจะสอนลูกให้เดินตามรอยหรือไงคะเดรค” เหม่ยจิงพูดเสียงเหี้ยมพร้อมกับบิดหูคนนั่งข้างๆอย่างแรง

“โอย ไม่ล่ะจ้า ไม่คิดจะสอนแบบนั้นเลยจริงๆ”

ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อย เหม่ยจิงจึงเลิกบิดหู แล้วทั้งคู่จึงค่อยหันมามองลูกชายต่อ

“เร็วเข้าไอ้ลูกชาย สู้ๆ” ราตรีพิสุทธิ์ได้ยินเสียงเชียร์ของพ่อมังกร จึงรีบคลานไปอย่างเร็ว จนกระทั่งถึงที่หมาย เธอก็รู้สึกได้ว่ามีมือสองข้างอุ้มร่างเธอขึ้นสูง “เยี่ยมมากไอ้ลูกชาย ต้องอย่างนี้สิถึงจะสมกับที่เป็นลูกชายของราชามังกร ฮะๆ”

เดรคพูดชมพร้อมกับหัวเราะไปพลาง ซึ่งทำให้คนถูกชมรู้สึกปลื้มตันใจกับคำชมเป็นอย่างมาก

ดีเหลือเกินที่ได้เข้ามาเล่นเกมนี้

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจอย่างเป็นสุข แล้วหลังจากนั้นเธอกับพ่อแม่มังกรก็ได้เล่นกันอย่างสนุกสนานตามประสาครอบครัว เมื่อเวลาล่วงผ่านไปจนเย็น พ่อมังกรก็ได้คืนร่างตัวเองเป็นมังกร

“เจ้าไม่ลืมของอีกแล้วใช่ไหมเหม่ยจิง”

เดรคถามเตือนความจำของคนรักเผื่อว่าเหม่ยจิงจะลืมของไว้ที่นี่

“ไม่ค่ะที่รัก ข้าเก็บใส่ตะกร้าหมดแล้ว” เหม่ยจิงตอบพลางมองตะกร้าที่วางอยู่ข้างกายหล่อน ส่วนในมือก็มีราตรีพิสุทธิ์ซึ่งถูกอุ้มอยู่ “ว่าแต่ท่านเถอะ ลืมของอะไรไว้ที่นี่บ้างหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่มีลืมอย่างแน่นอน”

ชายหนุ่มตอบอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะกระพือปีกบินขึ้นสู่เหนือท้องฟ้าทันที โดยเส้นทางมุ่งตรงกลับไปยังปราสาท ในขณะที่พวกราตรีพิสุทธิ์อยู่เหนือน่านฟ้า แม่มังกรก็พยายามร้องเพลงกล่อมเพื่อมิให้ราตรีพิสุทธิ์กลัวความสูง ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงที่แม่มังกรร้อง จนกระทั่ง...

ตูม!

เสียงระเบิดดังกึกก้องพร้อมกับเสียงของระบบที่ประกาศก้องในหัวราตรีพิสุทธิ์ว่า

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ถูกราชาปีศาจระดับ90โจมตีค่ะ”

ท่านพ่อของราตรีพิสุทธิ์กระเด็นไปไกลจากการลอบโจมตีราชาปีศาจ ส่วนเธอกับท่านแม่ก็กระเด็นกันไปอีกทาง ซึ่งโชคยังดีที่เหม่ยจิงตั้งสติได้ทัน เธอจึงพยุงตัวได้กลางอากาศ แต่ทว่าเหม่ยจิงก็ต้องหันมารับมือกับพวกกองทัพปีศาจนับแสนต่อโดยที่มือยังอุ้มราตรีพิสุทธิ์อยู่

มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆพวกปีศาจถึงมาโจมตีพวกเธอได้นะ

ราตรีพิสุทธิ์คิดอย่างงุนงงแกมไม่เข้าใจเนื้อหาของเกมนี้เสียเท่าไหร่ แต่ด้วยสถานการณ์คับขันผนวกท่านแม่ต้องต่อสู้กับพวกปีศาจทั้งกองทัพเพียงลำพัง จึงทำให้เธอเลิกความคิดนั้นทิ้งก่อนจะพยามยามนั่งนิ่งๆในอ้อมกอดของท่านแม่เพื่อมิให้ตนต้องเป็นตัวถ่วง ส่วนท่านพ่อนั้นราตรีพิสุทธิ์คิดว่าท่านพ่อคงกำลังต่อสู้กับราชาปีศาจที่ไหนสักแห่ง ซึ่งเธอได้แต่คาดหวังว่าท่านพ่อจะต้องปลอดภัยกลับมา

เคร้ง! เคร้ง!

เสียงดาบปะทะปีศาจโครงกระดูกตรงหน้าสองที แล้วปีศาจตนนั้นก็แตกหายไปในพริบตา

“แฮ่กๆ” เสียงท่านแม่หอบหายใจอย่างหนัก ถึงแม้ฝีมือการใช้ดาบของท่านแม่จะแข็งแกร่งและยอดเยี่ยมมากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าต่อสู้ต่อเนื่องเป็นระยะยาวนานโดยยังอุ้มเธออยู่อย่างนี้ล่ะก็ คงจะทนได้อีกไม่นานอย่างแน่นอน ซึ่งราตรีพิสุทธิ์ไม่รู้จะทำยังไงดีได้แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ซีดเซียวอย่างเป็นห่วง “ไม่ต้องกลัว…แม่สู้…แฮ่กๆ…ได้”

ปากพูดปลอบใจลูกแต่มือก็ยังไม่ยอมหยุดดาบ ทำให้ราตรีพิสุทธิ์ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล

“แอ้...แอ้”

ราตรีพิสุทธิ์ร้องพลางเอามือน้อยๆของเธอมาเช็ดเหงื่อให้ท่านแม่ ซึ่งการกระทำของเธอที่แสดงออกมาทำให้เหม่ยจิงต้องเหล่ตามองอย่างฉงน

เมื่อครู่นี้ลูกเช็ดเหงื่อให้ข้าหรือเนี่ย?

“เหม่ยจิงระวัง!” เสียงของเดรคร้องเตือน ซึ่งทำให้หญิงสาวหันกลับมามองหลังอย่างไว

ฉัวะ!

แต่ทว่าผู้ถูกฟันกลับเป็นเดรคที่โผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ได้เข้ามาปกป้องเหม่ยจิงแทน

“เดรค!”

..........................

 :m15: :m15: :m15::m15: :m15: :m15::m15: :m15: :m15::m15: :m15: :m15::m15: :m15: :m15:

ปล.รูปครอบครัวของราตรีจ้า

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 3 พลัดพราก 1 27/8/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Aly-Q ที่ 27-08-2014 18:23:18
สู้ๆค่ะ คนเขียนเป็นกำลังใจให้ เพราะสนุกมาก

ตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 3 พลัดพราก 1 27/8/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-09-2014 09:20:47
บทที่ 4 พลัดพราก(2)

................

“แฮ่กๆ”

เสียงเหม่ยจิงวิ่งหอบอย่างเหนื่อยล้าท่ามกลางป่าเขาอันแห้งแล้ง ในมือซ้ายอุ้มราตรีพิสุทธิ์ที่ได้รับบาดเจ็บจากลูกหลงของพลังเวทมนตร์ของราชาปีศาจจนเกือบเจียนตาย หลังจากเดรคเข้ามาปกป้องคนรักจนตัวเองถูกปีศาจโครงกระดูกตัดปีกทั้งสองข้างแล้ว เดรคก็ได้ร่วงหล่นลงยังพื้นแผ่นดินท่ามกลางสายตาอันตะลึงของเหม่ยจิงที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ ซึ่งเธอไม่มีเวลาดูตอนคนรักของตัวเองตกลงไปถึงพื้น เพราะราชาปีศาจดันใช้พลังเวทมนตร์สาดใส่ราตรีพิสุทธิ์ตอนที่เหม่ยจิงเผลอ แถมตัวเธอเองก็พลอยโดนลูกหลงพลังของราชาปีศาจจนบาดเจ็บไปด้วยอีกคน เพราะเหตุนี้จึงทำให้เหม่ยจิงต้องรีบหนีออกมาโดยไม่คิดจะหวนกลับไปดูคนรักของตัวเองว่าเป็นตายร้ายดีหรือไม่

“แอ้” ราตรีพิสุทธิ์เองก็ใช่ว่าเจ็บแล้วจะสลบไปเลยทันที เธอยังฝืนทนความเจ็บปวดด้วยการส่งเสียงให้ท่านแม่ได้ทราบว่าเธอยังสบายดีอยู่

“เจ็บหรือลูกรัก? โอ๋ๆ อดทนอีกหน่อยนะราตรีพิสุทธิ์ เดี๋ยวแม่จะพาลูกไปยังที่ปลอดภัย” เหม่ยจิงพูดปลอบลูกชายในขณะที่วิ่งอยู่บนพื้นดิน ส่วนเหตุผลที่เหม่ยจิงไม่บินขึ้นท้องฟ้าอีก ก็เพราะเธอเกรงว่าจะเป็นเป้าสายตาของพวกกองทัพปีศาจ

แต่เธอจะพาลูกชายหนีรอดจากเงื้อมมือของราชาปีศาจได้แน่หรือ?

เหม่ยจิงขบริมฝีปากของตัวเองด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจที่ต้องมาเผชิญสถานการณ์อันเลวร้ายโดยไม่รู้ความเป็นไปของเดรคผู้เป็นสามีของหล่อนเลยสักนิด แต่ความปลอดภัยของลูกต้องมาเป็นที่หนึ่งก่อน ดังนั้นเหม่ยจิงจึงเลือกที่จะปกป้องลูกชายอย่างสุดชีวิต

ตูม!

เพราะเหม่ยจิงมัวแต่ครุ่นคิดจึงทำให้ตัวเองกับลูกชายมีอันต้องกระเด็นไปตามแรงระเบิดของพลังที่ซัดเข้ามา

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์โดนโจมตีจากราชาปีศาจ พลังลดเหลือ 50 ค่ะ”

เสียงของระบบประกาศดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนับว่าเป็นรอบที่ห้าหลังจากราตรีพิสุทธิ์โดนพลังของราชาปีศาจ ราตรีพิสุทธิ์ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับค่าพลังงานชีวิตของตัวเองในเกมสักเท่าไหร่ แต่เธอก็สามารถรับรู้ได้จากข้างในร่างกายอันบอบบางนี้โดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

แย่แล้วสิ ขยับตัวไม่ได้เลย

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจ ตอนนี้เธอได้กระเด็นหลุดจากมือของท่านแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ราตรีพิสุทธิ์!” เหม่ยจิงร้องเรียกหาลูกที่ตนเผลอทำหลุดมือ ก่อนจะหันไปเห็นลูกชายนอนจมกองเลือดอยู่ห่างออกไปถึงสองเมตร “ไม่นะ! ราตรีพิสุทธิ์แม่ขอโทษ”

เหม่ยจิงพูดเสียงร่ำไห้พลางวิ่งเข้าไปอุ้มลูกชายขึ้นมาแนบอก เท่าที่เธอดูสภาพราตรีพิสุทธิ์แล้ว ลูกชายคงจะทนความบาดเจ็บได้อีกไม่นานแน่

“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวแม่จะรักษาลูกเดี๋ยวนี้แหละ” เหม่ยจิงบอกก่อนจะถลกแขนเสื้อสีเหลืองลายดอกไม้ออก เผยให้เห็นผิวขาวนวลหิมะ เมื่อเหม่ยจิงถลกแขนเสื้อออกแล้ว เธอจึงนำมีดสั้นที่พกไว้ในเสื้อคลุมออกมากรีดข้อมือตัวเอง ก่อนจะนำเลือดสีแดงที่ผุดออกมาจากบาดแผลป้อนเข้าปากลูกชายตนเอง “ดูดเลือดแม่ซะนะลูกรัก เจ้าจะได้หายไวๆ”
ถึงสติของราตรีพิสุทธิ์จะเลือนรางแต่เธอกลับได้ยินชัดเจน ดังนั้นเธอจึงรีบดูดเลือดตามคำบอกของท่านแม่อย่างว่าง่าย

ขม

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่เคยคิดรังเกียจที่จะได้ดูดเลือดของผู้เป็นแม่ ซึ่งพอราตรีพิสุทธิ์ดูดเลือดไปสักพัก เธอก็รู้สึกถึงพลังในร่างกายกำลังเริ่มฟื้นฟู บาดแผลบางส่วนที่เคยมีตามร่างกายก็เริ่มค่อยหายไปทีละนิด

เลือดมังกรรักษาบาดแผลได้ด้วยรึเนี่ย?

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับเลือดจากแม่มังกร ทำให้ร่างกายเริ่มฟื้นฟูสภาพ10%”

เสียงของระบบประกาศดังก้องหัว แต่ถึงกระนั้นเลือดของเหม่ยจิงไม่สามารถให้พลังงานแก่ราตรีพิสุทธิ์ได้เพียงพอ ดังนั้นเธอจึงร่ายมนตร์รักษาพร้อมกับถ่ายเทพลังของเธอให้กับลูกชายอย่างเต็มที่โดยไม่คำนึงถึงสภาพร่างกายของตัวเองที่บอบช้ำ

“ท่านได้รับการฟื้นฟูจากพลังเวทย์ 80%”

เสียงระบบประกาศพร้อมกับร่างกายอันบอบบางเริ่มฟื้นฟูบาดแผลจนหายสนิท

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับพลังตบะจากแม่มังกรระดับ 80 จึงเลื่อนระดับพื้นฐานให้เป็นเด็กทารกระดับ 7, 8”

ดูมัน ขนาดเวลาหน้าสิวหน้าขวานก็ยังประกาศบอกอยู่ได้!

ราตรีพิสุทธิ์คิดอย่างแค้นเคืองกับระบบเกมที่ประกาศบอกไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็รู้สึกว่าท่านแม่กำลังถอนมือออกจากตัวเธอ

เอ๋ ท่านแม่รักษาเสร็จแล้วเหรอ?

พอราตรีพิสุทธิ์ลืมตาขึ้นมองแม่มังกร เธอก็พบกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนจากผู้เป็นแม่

“ในที่สุดลูกก็ลืมตาขึ้นเสียที” เหม่ยจิงพูดอย่างโล่งอกที่เห็นว่าลูกของเธอปลอดภัยดีแล้ว “เอ่อจริงสิ แม่มีอะไรบางอย่างให้ลูกด้วยนะ”

เหม่ยจิงพูดพลางถอดสร้อยคอออกมาก่อนจะสวมสร้อยคอเส้นนั้นให้กับราตรีพิสุทธิ์

“ท่านได้รับสร้อยคอผลึกเกล็ดย้อน 1 เส้น”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งราตรีพิสุทธิ์ไม่สนใจที่จะฟังมันอีก

“เก็บไว้ให้ดีล่ะ อย่าให้หายเด็ดขาดนะลูกรัก”

พอท่านแม่พูดจบ ท่านก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะพาราตรีพิสุทธิ์ไปยังลำธารที่ไหลเชี่ยวกราก

ทะ...ท่านแม่คิดจะทำอะไรนะ!

ราตรีพิสุทธิ์ครุ่นคิดในใจอย่างหวาดหวั่น ซึ่งพอมาถึงลำธารแล้ว ท่านแม่ก็หยุดเดินทันที

“แม่ขอโทษด้วยนะราตรีพิสุทธิ์ ขอโทษด้วยจริงๆ” เหม่ยจิงพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนจะนั่งลงยอง “ไว้แม่เสร็จธุระทางนี้แล้ว แม่จะตามลูกไปทีหลัง จริงสิ ลูกไม่ต้องห่วงท่านพ่อหรอกนะ เดี๋ยวแม่จะไปตามท่านพ่อกลับมาให้ลูกด้วย”

พอเหม่ยจิงพูดจบ ก็ค่อยๆหย่อนตัวลูกชายลงน้ำ ซึ่งคราวนี้ราตรีพิสุทธิ์รู้ได้ทันทีเลยว่าท่านแม่คิดจะทำอะไรกับเธอ

ไม่นะ...

ท่านแม่อย่าทิ้งหนู...

“มะ...มัมมะ!”

เสียงเล็กๆดังออกมาจากริมฝีปากของราตรีพิสุทธิ์ ทำเอาคนเป็นแม่ชะงักมือทันที

“เมื่อครู่นี้ลูกเรียกแม่งั้นหรือ?!” เหม่ยจิงพูดอย่างดีอกดีใจจนน้ำตาไหลพราก “โอ้...แม่ดีใจเหลือเกิน ดีใจที่ได้ยินลูกพูดชื่อแม่ก่อน ขอบคุณสวรรค์ ท่านช่างเมตตาให้ข้าได้ยินคำพูดคำแรกของลูกชาย ไม่มีอะไรน่ายินดีกว่านี้อีกแล้ว...จริงๆ”

จากนั้นเหม่ยจิงก็กอดราตรีพิสุทธิ์อย่างแนบแน่น สักพักจึงหอมแก้มลูกชายเบาๆ ก่อนจะหย่อนตัวราตรีพิสุทธิ์ลงน้ำอีกครั้ง

“แม่จะไม่มีวันลืมคำพูดคำแรกของลูกแน่ ราตรีพิสุทธิ์ แม่ให้สัญญา”

เหม่ยจิงพูดจบ เธอก็ปล่อยร่างน้อยให้ลอยไปตามกระแสน้ำก่อนที่สร้อยคอผลึกเกล็ดย้อนจะทำหน้าที่ของมัน โดยเป็นม่านอาคมกันมิให้ราตรีพิสุทธิ์ต้องจมน้ำตาย ซึ่งภาพสุดท้ายที่ราตรีพิสุทธิ์จะได้เห็นคือรอยยิ้มอันอบอุ่นของผู้เป็นแม่ที่ส่งมาให้เธอ

“มัมมะ! มัมมะ!!”

..............................

หลังจากพลัดพรากจากผู้เป็นแม่แล้วเธอก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ซึ่งพอตื่นขึ้นมาอีกที ราตรีพิสุทธิ์ก็มานอนอยู่ที่ริมตลิ่งท่ามกลางป่าสีเขียวที่ไม่รู้จักแล้ว

จะให้ทำยังไงต่อดีล่ะ

ราตรีพิสุทธิ์คิดอย่างหนักใจ เพราะตอนนี้เธอเป็นเพียงแค่เด็กทารก จะให้ไปมีชีวิตรอดท่ามกลางป่าเขาที่ใหญ่โตนี่ได้ยังไงกัน ส่วนเรื่องที่จะไปขอความช่วยเหลือจากผู้เล่นเกมคนอื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่คลานให้ออกไปจากป่านี้จะได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้

เอาเถิด คลานไปก่อนดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ

ราตรีพิสุทธิ์คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มออกคลานทันที โดยเธอใช้ตำแหน่งที่พระอาทิตย์ขึ้นซึ่งเป็นทิศตะวันออกเป็นตัวกำหนดทิศทางที่เธอจะต้องคลานไป แต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์หาได้รู้ไม่ว่า เกมนี้ไม่ได้สร้างให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแต่เป็นทางทิศตะวันตกแทน ดังนั้นเธอจึงคลานไปอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ซึ่งราตรีพิสุทธิ์คลานไปได้ซักพักใหญ่ เธอก็ได้เห็นอะไรบางอย่างที่มีลักษณะกลม สีแดงเข้มผสมสีเหลืองอ่อน แถมข้างล่างก็มีขาสองข้างเป็นสีขาวด้วย

นั่นเห็ดนี่! ราตรีพิสุทธิ์แทบตะลึงเมื่อได้เจอเห็ดตรงหน้า เพราะเห็ดที่เธอกำลังเห็นอยู่นี้ มันมีลักษณะคล้ายกับเห็ดในเกมมาริโออย่างไม่ผิดเพี้ยน ถ้าเป็นในเกมมาริโอ มาริโอกินเห็ดนี่เข้าไปตัวก็จะโตไม่ใช่รึ

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออกได้

จริงสิ ถ้าเรากินเห็ดตามมาริโอบ้าง ตัวเราคงจะโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับเกมนั้น แล้วทีนี้เราก็สามารถย้อนกลับไปช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ได้!

แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็ไม่รอช้า เธอจึงคลานเข้าไปหาเห็ดอย่างเงียบเชียวเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวเสียก่อน และเมื่อถึงเป้าหมาย ราตรีพิสุทธิ์ก็อ้าปากกว้างก่อนจะ...

งับ!

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์โจมตีบอสเห็ดมาริโอระดับ10 ค่ะ”

“อ้าก!! ใครงับหัวข้า!!” เสียงกรีดร้องดังมาจากเห็ด ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์ตกใจจนถูกอีกฝ่ายสะบัดให้กระเด็นกลิ้งม้วนตีลังกากลับไปด้านข้างเห็ด “ฮู้ๆ เจ็บๆ ฮือ ใครกันที่บังอาจทำร้ายข้า”

เห็ดสีแดงพูดอย่างเจ็บปวดก่อนจะหันหน้ากลับมามองราตรีพิสุทธิ์ ซึ่งเธอกำลังจะตั้งตัวขึ้นมาใหม่หลังจากกลิ้งล้มไม่เป็นท่า

“อ้าวไอ้เด็กเปรตนี่” เห็ดสีแดงพูดด้วยน้ำเสียงกวนบาทา “คิดจะกินข้า คิดผิดคิดใหม่ได้นะเว้ยไอ้เด็กนรก ชิ ให้ตายสิ พ่อแม่ไม่สั่งสอนไงวะ เดี๋ยวปัดตบหัวหลุด”

อ้าวไอ้เห็ดปากหมา เดี๋ยวแม่กระโดดเหยียบเลยนี่

ราตรีพิสุทธิ์แค่นด่าทอบอสเห็ดในใจ แล้วเธอก็กวักมือเรียกเห็ด ก่อนจะยกนิ้วกลางขึ้นมา

“ท่านได้รับทักษะยั่วประสาทระดับ1” เสียงระบบประกาศบอก

แก่ก็มีหัวใจนะเว้ย

ส่วนเห็ดสีแดงก็ทำท่าโกรธทันทีที่เห็นราตรีพิสุทธิ์ทำท่ายกนิ้วกลางใส่

“อย่าอยู่เลยไอ้เด็กเปรต!”

เห็ดสีแดงหรือบอสเห็ดมาริโอแผดเสียงร้องลั่น ก่อนจะวิ่งเข้าหาราตรีพิสุทธิ์เพื่อจะฆ่าให้ตาย ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์สะดุ้งตกใจ เพราะเธอนั้นไม่สามารถต่อสู้กับเห็ดสีแดงนี่ได้เลย

ตายแน่เลยเรา! ท่านพ่อท่านแม่ช่วยหนูด้วย!!

ราตรีพิสุทธิ์คิดพลางหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัว

แวบ!

จู่ๆ เสียงประหลาดดังขึ้นพร้อมกับแสงสีขาวจ้า ทำให้บอสเห็ดหยุดวิ่งก่อนจะหลับตาลงเพื่อหลบแสงสีขาวนั่นทันที

“ท่านได้รับ Toy Hammer ระดับ10 จำนวน1อันค่ะ”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งราตรีพิสุทธิ์ลองลืมตาขึ้นมาดู ก่อนจะพบเห็นค้อนพลาสติกสีชมพูปนเหลืองซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเธอเล็กน้อยกำลังลอยอยู่ตรงหน้า

ค้อนเด็กเล่น? ราตรีพิสุทธิ์มองค้อนของเล็กสำหรับเด็กอย่างสงสัย มันมาได้ยังไงเนี่ย??

ส่วนบอสเห็ดมังกรหลังจากลืมตาขึ้นแล้ว มันก็ได้แต่มองค้อนตรงหน้าอย่างสงสัยเช่นเดียวกับเธอ แต่ทว่าตอนนี้อยู่ในช่วงวิกฤต ราตรีพิสุทธิ์คิดว่านี่คือโอกาสอันล้ำค่าของเธอแล้ว ดังนั้นราตรีพิสุทธิ์ไม่รอช้า เธอรีบหยิบค้อนเด็กเล่นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะฟาดลงบนหัวของบอสเห็ดมาริโอโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันระวังตัว

บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ!

100

98

80

90

100

เสียงกระทบกระทั่งระหว่างค้อนปะทะหัวบอสเห็ดมาริโอ ทำให้เกิดค่าตัวเลขจากการโจมตีรัวของราตรีพิสุทธิ์ถึงห้าครั้ง แต่ทว่าบอสเห็ดมาริโอได้รับเพียงแค่บาดแผลเล็กน้อย

“เล่นทีเผลอแบบนี้ลูกตุ๊ดนี่หว่า”

บอสเห็ดมาริโอด่า ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์รู้สึกโกรธจนฟืนลุกเป็นไฟ

เล่นกันถึงท่านพ่อท่านแม่ แบบนี้ให้อภัยไม่ได้

แกได้ลงหม้อต้มยำแน่ไอ้เห็ดเวรตะไล!

“แอ๊! อายอ๊ะไอเอ็ดเอนอะไอ (ย๊าก!ตายซะไอ้เห็ดเวรตะไล)”

ราตรีพิสุทธิ์แผดเสียงร้องลั่นก่อนจะใช้ค้อนเด็กทุบลงหัวบอสเห็ดมาริโออีกครั้งอย่างไม่ยั้ง

บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ!

105

100

99

110

90

“โอย...แอก...ไอ้...อั๊ก...เด็ก...เอ๋ง...บ้า!” บอสเห็ดมาริโอแผดเสียงร้องด่าราตรีพิสุทธิ์อย่างไม่เป็นภาษา “แก...อั่ก...ไม่...ได้...เอ๋ง...ตาย...อั๊ก...ดีแน่!”

ถึงราตรีพิสุทธิ์จะโจมตีแบบรัว แต่ถึงกระนั้นแรงเด็กมีหรือจะสู้บอสเห็ดมาริโอที่มีร่างกายตัวใหญ่กว่าได้ ซึ่งไม่นานนักราตรีพิสุทธิ์ก็หมดแรงข้าวต้ม

“อะไรกัน หมดแรงแล้วหรือไอ้เด็กเปรต” บอสเห็ดมาริโอพูดอย่างสบายๆ ซึ่งตามเนื้อตามตัวมีบาดแผลจ้ำเลือดจากการทุบด้วยค้อนเด็กนิดหน่อย “ถ้างั้นก็ถึงตาของข้าบ้างล่ะ!”

เมื่อบอสเห็ดมาริโอพูดจบ ก็ทำท่าจะกระโดดทับร่างเล็กให้บี้แบนภายในทีเดียว แต่ทว่า...

ปัง!

เสียงคล้ายอาวุธปืนดังก้องป่า ก่อนร่างบอสเห็ดมาริโอจะกระเด็นหงายท้องไปนอนกับพื้น

“ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมครับน้องชาย”

น้ำเสียงทุ้มแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนดังมาจากทางหลัง ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์รีบหันหลังกลับไปดูต้นเสียงอย่างเร็ว ก่อนจะเผยให้เห็นสองหนุ่มที่ยืนคู่กัน หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าหวานผมสีทองยาวกลางหลังในชุดคลุมสีขาวกำลังถือคทาไร้ลวดลาย กับอีกหนึ่งหนุ่มหน้าเข้มผมสั้นสีดำปนขาวในชุดคาวบอยกำลังถือปืนที่มีควันลอยครุกกรุ่นอยู่
ผู้ชายคนนั้นสินะที่เป็นคนยิง

แต่เก่งเป็นบ้า...แค่เพียงนัดเดียวก็สามารถล้มบอสเห็ดมาริโอได้

น่านับถือ...

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ไอ้เอ็นไอ (ไม่เป็นไร)”

“งั้นเหรอครับ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” ชายหนุ่มผมทองยิ้ม แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้ามาหาราตรีพิสุทธิ์ “น้องเป็นผู้เล่นใหม่สินะครับ แหม โดนสุ่มให้เกิดเป็นทารกเลยหรือนี่ คงลำบากมิใช่น้อยเลยนะครับ”

ราตรีพิสุทธิ์พยักหน้าทันทีที่อีกฝ่ายถามจบ

ลำบากก็จริงแต่เราก็รู้สึกสนุกที่ได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่มังกร

“คุยกันจบรึยัง จะได้ไปกันสักที” ชายหนุ่มในชุดคาวบอยสะกิดเรียกเพื่อนอย่างเร่งรีบ

“เดี๋ยวสิครับ ขอผมคุยกับน้องเค้าสักครู่เดียว” ชายหนุ่มผมทองตอบก่อนจะหันมาทางราตรีพิสุทธิ์ต่อ “ขอโทษนะครับที่พวกพี่อยู่ช่วยน้องต่อไม่ได้ นี่ถ้าพี่มีเวลาแล้วล่ะก็ พี่คงจะพาน้องไปยังเมืองเริ่มต้นได้ด้วยตนเอง...อืม...เอาอย่างนี้แล้วกันนะ”

ว่าแล้วชายหนุ่มผมทองก็หันไปปรึกษากับเพื่อนของตัวเอง ซึ่งชายหนุ่มผมดำขาวสั้นในชุดคาวบอยก็พยักหน้าตอบตกลงก่อนจะเดินไปยังบอสเห็ดมาริโอที่ยังคงนอนนิ่งจมกองเลือดที่พื้นอยู่

ผัวะ!

จู่ๆ ผู้ชายคนนั้นใช้ขาเตะเข้าที่ลำตัวของบอสเห็ดมาริโออย่างแรง ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์สะดุ้งตกใจ

“เลือกเอา ต้มยำ แกงเห็ด ยำเห็ด”

คำพูดขู่ที่แสนจะเย็นยะเยือก ทำเอาร่างที่นอนฟุบอยู่กับพื้นรีบผุดลุกขึ้นยืนอย่างไว

“แง้ กลัวแล้วครับ หนูยอมแพ้แล้ว อย่าเตะหนูเลยนะครับคุณพี่ชายสุดหล่อ ฮือๆ”

บอสเห็ดมาริโอเสียงหลงเมื่อถูกสยบเกรียนจนสิ้นลาย แต่ทว่าคำขอกลับไร้ผล บอสเห็ดมาริโอถูกชายผมดำเตะนับสิบรอบได้ ซึ่งทำเอาบอสเห็ดมาริโอถึงกับน่วม

“ผมว่าพอแค่นี้เถอะครับ ประเดี๋ยวบอสเห็ดมาริโอจะตายเสียก่อน” หนุ่มผมทองพูดเตือนอย่างเป็นกังวล จึงทำให้ร่างสูงยอมเลิกเตะแต่โดยดี “ถ้ายังไม่สลบล่ะก็ โปรดช่วยฟังผมให้ดีนะครับคุณบอสเห็ดมาริโอ เพราะผมจะพูดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

“คะ...ครับ...คุณพี่ชาย...หน้าหวาน”

ฝากไว้ก่อนไอ้หน้าตุ๊ด อย่าให้เจอตอนเผลอเชียว

ผัวะ!

“เอ๋ง!”

บอสเห็ดมาริโอร้องลั่นไม่เป็นภาษาเมื่อโดนร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆโบกเข้าไปเต็มแรง

“หนูทำอะไรผิด...ก็แค่เรียกพี่ชายหน้าวะ...”

ผัวะ!

ตอนนี้ราตรีพิสุทธิ์พอเข้าใจแล้วว่าทำไมชายผมดำคนนี้ถึงได้ตบบอสเห็ดมาริโอ

“เอาล่ะ คุณฟังผมให้ดีล่ะคุณบอสเห็ดมาริโอ” ชายผมทองเริ่มพูดเข้าเรื่องต่อโดยไม่สนใจสภาพบอบช้ำของบอสเห็ดมาริโอ “จงยอมเป็นทาสรับใช้เด็กคนนี้เสียแต่โดยดี อย่าให้ผมต้องบังคับหรือขู่เข็ญคุณจนต้องลงไม้ลงมืออีก...มิเช่นนั้นแล้วอย่ามาหาว่าผมไม่เตือนคุณ”

“ฮือๆ ครับคุณพี่ชาย หนูยอมทุกอย่างแล้ว แต่อย่าตบเตะหนูอีกเลยนะงับ ฮือๆ”

บอสเห็ดมาริโอตอบอย่างว่าง่าย

“ดีมาก ถ้างั้นก็ช่วยทำสัญญาพันธะว่าจะเป็นทาสรับใช้เด็กคนนี้ตลอดไปด้วยล่ะ”

“ครับคุณพี่ชาย”

ใครจะยอมเป็นเบ้เด็กตัวกะเปี๊ยกวะ เผลอก่อนเถอะ ป๋าจะฆ่าไอ้เด็กเปรตนี่ซะ!

ผัวะ!

บอสเห็ดมาริโอโดนไม้คทาปลิวมากระแทกเข้าที่ใบหน้าเต็มๆ ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เตะกับต่อยบอสเห็ดมาริโอ แต่เป็นชายผมทองที่ยืนอยู่ข้างราตรีพิสุทธิ์แทน

“จะยอมทำหรือยังครับคุณบอสเห็ดมาริโอ อย่าให้พวกผมต้องรอนานสิ” ชายผมทองพูดเตือนโดยที่ใบหน้ายังยิ้มแย้มอยู่

น่ากลัว คนอ่านใจได้แบบนี้หนูไม่เล่นด้วยแล้ว!

บอสเห็ดมาริโอพยักหน้าก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินมาหาราตรีพิสุทธิ์เพื่อทำพันธะสัญญาตามที่ตกลงกันไว้

“บอสเห็ดมาริโอได้ยื่นข้อเสนอเป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่าน”

เสียงระบบประกาศดังก้องในหัวราตรีพิสุทธิ์

“อกอง (ตกลง)”

“บอสเห็ดมาริโอได้เป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงระบบประกาศอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายต่อ “หากท่านสงสัยในข้อพันธะสัญญาระหว่างทาสรับใช้ประจำตัว ท่านสามารถติดต่อได้ที่ตึกผู้เล่นใหม่ค่ะ”

“เกิดเป็นเห็ด แท้จริงแสนลำบาก เกิดเป็นบอส ยากลำบากกว่าหลายเท่า”

บอสเห็ดมาริโอบ่นหลังจากทำพันธะสัญญาเสร็จ ซึ่งชายผมทองก็ได้หันหน้ามาคุยกับราตรีพิสุทธิ์ต่อโดยไม่สนใจว่าบอสเห็ดมาริโอกำลังบ่นเรื่องอะไรอยู่

“หลังจากนี้น้องก็ใช้งานบอสเห็ดมาริโอได้เต็มที่เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ชายผมทองพูดพลางหยิบของอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะวางของไว้บนมือราตรีพิสุทธิ์ “แต่ถ้ามันดื้อรั้นไม่ฟังที่น้องพูดแล้วล่ะก็ น้องก็เอาแส้อันนี้ไปใช้ได้เลย พี่ให้ฟรีครับ”

“ท่านได้รับแส้กำราบสัตว์ระดับ 50 จำนวน 1 ชิ้น”

อดีตบอสเห็ดมาริโอได้เห็นแส้กำราบสัตว์แล้วถึงกับสะดุ้งวาบ

ฉิบหายล่ะ ซาดิสต์นี่หว่า แม่จ๋าช่วยหนูด้วย!

ผัวะ!

เห็ดมาริโอถูกตบด้วยก้อนหินที่ลอยมาจากชายผมทอง

“พี่ว่าน้องควรจะกำราบนิสัยของมันที่ชอบคิดด่าลับหลังคนอื่นให้ได้เสียก่อนแล้วมั้งครับ”

ชายผมทองพูดอย่างเป็นปริศนา ซึ่งราตรีพิสุทธิ์ไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไร แต่พอคาดเดาได้ว่าเขากำลังต้องการให้เธอจัดการนิสัยของเห็ดมาริโอให้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้เสีย

มันก็น่าสมควรอยู่หรอก ปากจัดขนาดนั้น

แต่ไม่ต้องห่วง...เดี๋ยวอีแก่คนนี้ จะดัดนิสัยให้รู้ซึ้งถึงทรวงกันไปเลย

ราตรีคิดในใจพลางนึกย้อนอดีตสมัยที่เธอเคยใช้ไม้เรียวสยบลูกหลานมานักต่อนัก โดยเฉพาะนพ สมัยเด็กๆ ดื้อยิ่งกว่ากระไรดี กว่าเธอจะปราบได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญเลยทีเดียว

“ตอนนี้พวกพี่ก็ต้องขอตัวก่อนนะครับน้อง ถ้าเจอกันคราวหน้าพี่หวังว่าน้องคงจะกำราบเจ้านี่ได้”

“แอ้ (ครับ)”

แล้วทั้งสองหนุ่มก็เดินจากไป จะเหลือก็แต่ราตรีพิสุทธิ์กับอีกหนึ่งดอกที่ยังคงอยู่ ซึ่งราตรีพิสุทธิ์ก็ใช้สิทธิของการเป็นเจ้านายโดยการปีนขึ้นไปบนหัวเห็ดมาริโอ ก่อนจะสั่งให้มันเดินไปยังเมืองเริ่มต้นโดยตัวเธอไม่ต้องคลานเองให้เสียแรง

จะว่าไปลืมถามชื่อพวกเขาเลยแหะ

เมื่อร่างเล็กขี่เห็ดมาริโอออกไปไกลจากจุดเดิมแล้ว สองหนุ่มที่รีบจากไปเมื่อครู่นี้ก็ได้เดินกลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง

“อ้าวแล้วกัน ไปซะแล้วหรือเนี่ย” ชายผมทองบ่นด้วยความเสียดายเมื่อไม่เห็นน้องชายผมสีเงินกับเห็ดมาริโอ “เพราะคุณเลยทีเดียว ทำให้ผมรีบจนลืมให้ของอีกชิ้นหนึ่งกับน้อง เฮ้อ แล้วนี่จะทำยังไงกันดี”

“โลกในเกมมันกลม ยังไงเจ้ากับผู้หญิงคนนั้นก็ต้องได้พบเจอกันอีกนะคีย์*”

ชายผมดำสั้นแกมขาวตอบก่อนจะเอามือลูบศีรษะของชายผมทองอย่างแผ่วเบา

“นั่นสินะครับคุณโซล** ผมลืมไปซะสนิทเลย”

เมื่อทั้งคู่พูดจบ สองร่างก็พลันหายไปกับมวลอากาศอย่างรวดเร็วท่ามกลางป่าเขาสีเขียวอันชอุ่ม

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

* คีย์ หรือลูฟาเอล แขกรับเชิญจากเรื่อง tale of fantasy online
** โซล แขกรับเชิญจากเรื่อง tale of fantasy online
(ทั้งคู่แอบมาเล่นเกมเรียลไลฟ์กันแค่2คนโดยไม่บอกเพื่อนๆ)

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 4 พลัดพราก(2) 4/9/57)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 04-09-2014 17:33:45
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 4 พลัดพราก(2) 4/9/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 15-09-2014 07:28:33
บทที่ 5 หลงทาง

............

ภายนอกเกมซึ่งผ่านได้สิบนาทีหลังจากเกิดเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับโปรเจคย้อนวัยทารก ดนัยเทพกับปริญ รวมถึงทีมงานทุกคนได้ทำการแก้ไขระบบให้กลับมาปกติดังเดิมแล้ว ซึ่งผลปรากฏว่าไอดีแปดพันเกิดพลัดหลงกับพ่อแม่มังกร ก็เลยทำให้ไอดีแปดพันหลุดออกมาในมิติที่พวกเขาเคยกำหนดไว้ แถมนอกจากนี้ไอดีแปดพันก็ได้ไปเจอะกับบอสเห็ดมาริโอ ซึ่งมีระดับที่สูงกว่าไอดีแปดพันหลายเท่า ดังนั้นพวกเขาจึงทำการส่งตัวช่วยไปให้ นั่นก็คือ

Toy Hammer ระดับ 10

มันเป็นอาวุธที่พวกเขาเตรียมสร้างเอาไว้ให้ไอดีแปดพันโดยเฉพาะ ไม่สามารถซื้อหาได้ตามร้านค้าแผงลอยทั่วไปได้ แต่ทว่าพวกเขากลับได้เจอปัญหาใหญ่อีกครั้ง เมื่อไอดีแปดพันเกิดวิกฤตเจียนตายเพราะบอสเห็ดมาริโอ ภาพหน้าจอพลันดับวูบไปต่อหน้าต่อตาทีมงาน ซึ่งทำเอาทุกคนรีบทำการแก้ไขอย่างรวดเร็ว จนเวลาผ่านไปได้ยี่สิบนาที ภาพหน้าจอก็ได้กลับมาเป็นปกติ แต่ทว่าไอดีแปดพันกลับหายไปจากพื้นที่จุดนั้นแล้ว

“รีบตามหาที่อยู่ไอดีแปดพันเร็วเข้า!”

“รู้สึกของที่ไอดีแปดพันมีติดตัวอยู่จะเพิ่มขึ้นนะ!”

“แล้วมันเป็นของอะไรกันล่ะ เช็คดูให้ดีหรือยัง!”

“กำลังเช็คอยู่ เฮ้ย! กู้ข้อมูลเสร็จรึยังวะ!”

เสียงพูดจอแจของทีมงานดังกันวุ่นเป็นระยะๆ ไหนจะเดินชนกันล้มจนได้แผลก็ไม่เหลียวแล เมื่องานตรงหน้าสำคัญกว่ายิ่งชีพ แม้กระทั่งดนัยเทพกับปริญที่วิ่งวุ่นคอยแก้โปรแกรมของบริษัทที่เพิ่งจะเสียไปเมื่อครู่นี้อีก

พรึบ!

ภาพหน้าจอกลับคืนมาอีกครั้งซึ่งทำเอาพวกเขาถึงกับมึนไปตามกัน

“อะไรกัน พวกเรายังแก้ไม่เสร็จไม่ใช่รึไง แล้วทำไมภาพถึงออกมาได้ล่ะ” ดนัยเทพเงยหน้าขึ้นพูดอย่างฉงน ซึ่งบนภาพหน้าจอนี้กำลังฉายไอดีแปดพันหรือราตรีพิสุทธิ์ที่กำลังขี่คอมอนสเตอร์เห็ดสีแดงอยู่ “อันนี้แกเป็นคนทำหรือเปล่าปริญ”

“ไม่ ฉันทำได้ก็คงทำไปตั้งนานแล้วล่ะไอ้ดนัย”

ปริญพูดตอบอย่างหงุดหงิด หลังจากที่ปริญกลับไปถึงบ้านแล้ว ซึ่งเขากำลังเตรียมใส่ชุดนอนเพื่อเข้าเกมตามน้องสาวไปอยู่ แต่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนในทีมงานว่ามีงานเร่งด่วน จึงทำให้ปริญต้องมาที่ทำงานในสภาพกึ่งชุดนอนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

“เฮ้! ฝ่ายมอนสเตอร์ช่วยเช็คหน่อยสิว่าตัวที่ไอดีแปดพันกำลังขี่อยู่นี้เป็นตัวอะไร ขอแบบละเอียดด้วยด่วน” ดนัยเทพตะโกนบอกเพื่อนในทีมงาน ก่อนจะหันกลับมาทางปริญต่อ “ว่าแต่แกเถอะ ไปทำอีท่าไหนถึงได้ตัวเปื้อนขี้โคลนล่ะ”

คนถูกถามยังไม่ตอบคำถามเดี๋ยวนั้น กลับพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดรัวสักพักจึงหันกลับมาตอบว่า

“ตกท่อน้ำหน้าบ้านมาวะ”

“ฮะ!?” ดนัยเทพร้องอุทานอย่างเบาๆ “แกไปทำอีท่าไหนถึงตกท่อน้ำได้ล่ะปริญ”

“ก็น้องสาวของฉันนะสิ พอเห็นว่าฉันต้องรีบกลับมาที่บริษัท ยัยนี่ก็สั่งให้หมาที่บ้านไล่กัดฉัน แล้วทีนี้ฉันก็มัวแต่วิ่งเลยลืมดูท่อน้ำหน้าบ้านว่ามันยังเปิดฝาท่อค้างไว้อยู่”

“ฉะนั้นแกก็เลยตกไปสินะ”

“ใช่” ปริญตอบพลางถอน “นี่ยังดีนะที่มีแผลไม่ร้ายแรง ไม่งั้นฉันเอายัยนั่นตายคามือแน่”

“เฮ้ย นั่นน้องสาวแกนะไอ้ปริญ ฆ่าคนติดคุกนะเฟ้ย”

ดนัยเทพพูดเตือนด้วยความหวังดีเพราะกลัวเพื่อนจะฆ่าน้องสาวจริงๆ ส่วนปริญหันหน้ามาเขกกะโหลกดนัยเทพก่อนจะพูดกลับมาว่า

“ไอ้บ้า ใครคิดจะฆ่าน้องสาวตัวเองกันเล่า ฮึ่ม แกนี่นอกจากจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วยังโง่อีกตั้งหาก พอๆ เลิกคุยกันแล้วลงมือทำงานกันต่อดีกว่า เดี๋ยวท่านประธานได้ไล่พวกเราออกหมดกันพอดี”

ดนัยเทพทำท่าจะเถียงต่อแต่ก็ต้องหันมารับรายงานจากฝ่ายมอนสเตอร์ ก่อนจะลงมือทำงานอย่างเร่งด่วน

........................

กลับมาทางด้านเกมอีกครั้ง ตอนนี้ราตรีพิสุทธิ์ได้ออกเขตป่าสีเขียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเวลานี้ก็เป็นเวลาค่ำ อากาศเริ่มเย็นตัวลงแถมคืนนี้ยังเป็นคืนเดือนมืดอีกด้วย ดังนั้นราตรีพิสุทธิ์จึงบอกให้เห็ดมาริโอหยุดพักค้างแรมกลางป่าแล้ววันรุ่งเช้าค่อยออกเดินทางต่อ

“อะไรกัน ทำไมข้าต้องจัดอาหารให้เจ้าด้วยไอ้เด็กเปรต”

เห็ดมาริโอบ่นอย่างไม่พอใจหลังจากก่อกองไฟเสร็จตามคำสั่งของราตรีพิสุทธิ์

“อ้ออ้าอังเอ็ก อะไอ้อานอ๋าเองไอ้อังไออันเอ้า(ก็ข้ายังเด็ก จะให้คลานหาเองได้ยังไงกันเล่า)”

ราตรีพิสุทธิ์พูดเสียงอ้อแอ้เนื่องจากตัวเธอยังเป็นแค่เด็กทารก แถมทักษะการพูดก็แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ส่วนเห็ดมาริโอหลังจากที่อยู่ด้วยกับราตรีพิสุทธิ์เกือบหนึ่งวันเต็มๆ พอจะฟังภาษาที่ราตรีพิสุทธิ์ออกบ้างเล็กน้อย จึงเถียงกลับไปว่า

“ชิ คลานแล้วมีหรือจะหาอาหารเองไม่ได้ ผักสมุนไพรก็มีขึ้นตามพื้นดิน ส่วนปลาก็มีอยู่ในน้ำ”

ราตรีพิสุทธิ์ไม่คิดจะเถียงแต่กลับหยิบแส้ขึ้นมาก่อนจะฟาดใส่เห็ดมาริโออย่างแรง

เพี๊ยะ!

“โอ้ย!”

เพี๊ยะ!

“เอ๋า!”

เพี๊ยะ!

“เอ๋ง!”

พอครบสามที ราตรีพิสุทธิ์ก็หยุดมือก่อนจะพูดขึ้นว่า

“อู้ไอ๋อ้าอำไออ้าอึงอ้องเอี้ยนเอ้า (รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงต้องเฆี่ยนเจ้า)” เห็ดมาริโอส่ายหน้าทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บปวด “เอาะเอ้าอื้ออังไออ่ะ เอ็กอี้อื้ออั้นไอ้อังอี้อู้ไอ่อู้ อันอ้ออ้องเออแอออี้อันอุกอน (เพราะเจ้าดื้อยังไงล่ะ เด็กที่ดื้อรั้นไม่ฟังที่ผู้ใหญ่พูด มันก็ต้องเจอแบบนี้กันทุกคน)”

ความจริงราตรีพิสุทธิ์ไม่อยากจะทำแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะเวลาเธอตีเด็กทีไร เธอมักจะรู้สึกเจ็บหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ฉะนั้นเวลาเด็กดื้อ เธอมักจะใช้เหตุผลแทนการลงโทษเสมอ

ยกเว้นเห็ดมาริโอที่เธอจำต้องเฆี่ยนให้รู้จักจำ

“ไอเอ็บอักอนอะไอ้อับอักอ้ำไออำอานอา อ่าไอ้อ้าอ้องอู้เอือนอีกอั้งอ่ะ (ไปเก็บผักผลไม้กับตักน้ำในลำธารมา อย่าให้ข้าต้องพูดเตือนอีกครั้งล่ะ)”

ราตรีพิสุทธิ์สั่งเสียงเข้มซึ่งทำเอาเห็ดมาริโอถึงกับจ๋อย และยอมเดินไปหาอาหารอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นไม่นานเห็ดมาริโอก็ได้นำของที่เธอสั่งมาให้ ซึ่งมีแค่หัวไชเท้า กล้วย กับน้ำเท่านั้นที่เห็ดมาริโอพอจะขนมาได้ เมื่อราตรีพิสุทธิ์ก้มมองดูหัวไชเท้าที่เห็ดมาริโอวางบนพื้น เธอก็พบรอยฟันกับคราบน้ำลายเต็มไปหมด ซึ่งราตรีพิสุทธิ์ไม่คิดจะรังเกียจน้ำลายของเห็ดมาริโอเลยสักนิด กลับยิ้มแย้มกับความพยายามของเห็ดมาริโอที่ไม่มีแขนเหมือนมนุษย์

เอาเถอะ มีให้กินก็ดีถมแล้วล่ะ

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจก่อนจะลงมือทำอาหารโดยมีเห็ดมาริโอคอยเป็นลูกมือ แต่ในระหว่างที่ราตรีพิสุทธิ์สั่งให้เห็ดมาริโอต้มน้ำให้เดือดโดยใช้กะลามะพร้าวเป็นภาชนะแทนหม้อ ส่วนกล้วยนั้นเธอสั่งให้เห็ดมาริโอแกะเปลือกออก จากนั้นเธอจึงค่อยหันไปล้างหัวไชเท้าให้สะอาดรอเวลาน้ำเดือด

“ท่านได้รับทักษะการทำอาหารระดับ 1”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์แทบขมวดคิ้ว

แค่ทำอาหารก็นับเป็นทักษะได้ด้วยเหรอเนี่ย

หลังจากนั้นราตรีพิสุทธิ์ก็ใช้มีดสั้นเก่าๆที่เก็บมาได้จากพื้นในระหว่างการเดินทางออกจากป่านั้นขึ้นมาหั่นหัวไชเท้าให้ละเอียด เมื่อหั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็นำหัวไชเท้าใส่ลงน้ำที่เดือดก่อนจะหันมาลงมือบดกล้วยต่อ

“จะไปรอดไหมนี่”

เห็ดมาริโอพูดพลางมองร่างเล็กแกมสมเพช เพราะตนไม่เคยเห็นเด็กทารกทำอาหารมาก่อน แต่ทว่าเห็ดมาริโอไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า ต่อจากนี้ไปมันจะต้องเตรียมรับชะตากรรมเป็นเห็ดลองยาของราตรีพิสุทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้

........................

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทางด้านปฐพี ศาสตรา และพิภพกำลังอยู่ในป่าเอลฟ์ที่อยู่ทางทิศใต้ของเกาะเริ่มต้น ซึ่งห่างจากจุดที่ราตรีพิสุทธิ์อยู่กันมากพอสมควร ทีแรกปฐพีตั้งใจว่าจะไปเมืองเริ่มต้นตามที่คาดไว้ แต่ศาสตรากลับแนะนำปฐพีว่าให้ลองมาหาคุณยายที่ป่าเอลฟ์ดู เผื่อว่าจะเจอคุณยายหลงอยู่แถวนี้บ้าง แต่เมื่อพวกเขามาถึงป่าเอลฟ์แล้ว กลับต้องมานั่งจุ้มปุกกับงานเลี้ยงต้อนรับแขกจากเผ่าเอลฟ์แทนที่จะได้ออกตามหาคุณยายตามที่วางแผนกันเอาไว้

“เอาน่าปฐพี นานทีพวกเขาจะจัดงานเลี้ยงให้กับพวกเรานะ” ศาสตราพูดปลอบใจเพื่อนก่อนจะเทสุราลงถ้วยชาให้เพื่อน “แล้วอีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะฉันที่เป็นเอลฟ์มาด้วยแล้วล่ะก็ พวกนายสองคนคงไม่ได้มานั่งดื่มนั่งกินของดีๆในป่าเอลฟ์หรอกนะ”

ปฐพีได้ยินถึงกับขมวดคิ้ว

จริงสิ ตามประวัติของเกมนี้พวกเอลฟ์เกลียดขี้หน้ามนุษย์อยู่นี่

ปฐพีคิดพลางมองสายตาของเอลฟ์ทั้งหลายตนที่จับจ้องมายังพวกเขาอย่างไม่ละสายตา

“แต่นายไม่ต้องเป็นห่วงไป เดี๋ยวฉันขอพวกนี้ให้ออกตามหาคุณยายของนายเอง”

ศาสตราบอกพลางกระดกขวดสุราขึ้นดื่ม

“ฉันว่าอย่าเลยดีกว่านะศาสตรา” ปฐพีพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ “แค่นี้ก็ทำฉันหืดขึ้นคอมากพอแล้ว อย่าให้พวกเขาคิดว่ามนุษย์ดีแต่เป็นใช้งานคนอื่น”

“เฮ้ย อย่าคิดมากเหมือนพวกคนแก่สิ พวกเอลฟ์ใจดีออกจะตายไป เขาคงไม่คิดแบบนั้นแน่”

ศาสตราพูดยืนกรานเสียงแข็ง

“แต่ฉันคิด” พิภพแย้งบ้างหลังจากนั่งฟังบทสนทนาของเพื่อนอยู่นานแล้ว “ถึงนายจะเป็นคนเอ่ยปากขอร้องแทนให้พวกเราก็จริงอยู่ แต่พวกเอลฟ์จะคิดแบบนายหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง ฉันกลัวตรงจุดนี้แหละ ถ้าเกิดมันไม่ทำขึ้นมาแล้วหันมาฆ่าพวกฉันแทน พวกฉันมิต้องหนีหัวซุกหัวซุนเลยรึไง”

ศาสตราอ้าปากค้างอย่างจนมุมที่จะเถียง

“แต่ฉันก็ต้องขอขอบใจสำหรับความคิดของนาย มันช่วยฉันได้มากเลยทีเดียว”

ปฐพีพูดปลอบใจเพราะกลัวจะเสียน้ำใจเพื่อนที่อุตส่าห์ช่วยเขาคิด ซึ่งทำเอาศาสตราหุบปากก่อนจะยิ้มหน้าระรื่นเมื่อได้รับคำปลอบใจจากปฐพี

“เอ่อ นายไม่ลองติดต่อท่านดูอีกล่ะ เผื่อว่าตอนนี้สัญญาณอาจจะเชื่อมต่อหากันแล้วก็ได้นะ” พิภพพูดเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งปฐพีส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า “เมื่อครู่นี้ฉันลองแล้ว แต่ก็ไม่ได้นะพิภพ”

 “อ้าว จนป่านนี้แล้วยังไม่ได้อีกรึเนี่ย” ศาสตราร้องอุทานเบาๆ “ไม่ไหวเลยเกมนี้ ข้อเสียเพียบเชียว พรุ่งนี้ฉันก็ออฟไลน์เกมแล้ว เดี๋ยวฉันจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งกับทางจีเอ็มให้เองปฐพี ไม่ต้องเป็นห่วง”

ปฐพีได้ยินถึงกับตื้นตันใจ จึงรีบกล่าวขอบคุณอยู่เสียหลายครั้ง หลังจากงานเลี้ยงได้จบลง พวกเขาทั้งสามคนก็รีบบอกลากับหัวหน้าเอลฟ์ก่อนจะชิ่งหนีหายไปจากป่าเอลฟ์ เพราะพวกเขาไม่อยากอยู่รบกวนพวกเอลฟ์ไปนานกว่านี้อีก

..............

เช้าวันต่อมา ราตรีพิสุทธิ์ก็ตื่นนอนขึ้นมาท่ามกลางเศษหญ้ากับกองฟางที่ทับถมสูงเหนือร่าง ซึ่งเมื่อคืนวานเธอใช้ให้เห็ดมาริโอนำเศษหญ้ากับเศษกองฟางมาสุมรวมกันเยอะๆ เพื่อทำเป็นที่นอนกับผ้าห่มกันหนาวโดยเฉพาะ

พอใช้ได้แต่ก็ยังหนาวอยู่ดี

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจก่อนจะหันไปมองทาสรับใช้ที่ยังคงนอนร้องเสียงครวญคราง เนื่องจากเมื่อคืนวานนี้เธอทำการทดลองอาหารหลากหลายรูปแบบโดยมีเห็ดมาริโอเป็นหนูลองยา ซึ่งกว่าจะได้อาหารที่ถูกปากก็ปาเข้าไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ทำให้หนูลองยาต้องวิ่งเข้าวิ่งออกพุ่มหญ้าเพื่อถ่ายของเสียออกจากร่างกายให้หมด

“อะ...อูย ปวดท้อง...ปวดท้องจังเลย”

จู่ๆเห็ดมาริโอก็รำพึงรำพันออกมา ทำเอาราตรีพิสุทธิ์ผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะคลานไปหาเห็ดมาริโออย่างสงสัย

“อวดอ้องอ๋อ (ปวดท้องเหรอ)”

ราตรีพิสุทธิ์ถามโดยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“อูย...อะ...อืม”

ถึงเห็ดมาริโอจะมีนิสัยดื้อรั้นปากเสียมากก็เถอะ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของราตรีพิสุทธิ์อยู่ดี

สงสัยเราจะแกล้งมันมากไปหน่อยมั้ง

ราตรีพิสุทธิ์ครุ่นคิดอย่างหนัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเธอต้องการปราบเห็ดมาริโอให้อยู่หมัด แต่เธอไม่ยักรู้ว่าเกมนี้จะสร้างได้สมจริงมากจนถึงเพียงนี้

“ออนอู่อี้ๆอะ เอี๋ยวอา (นอนอยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวมา)”

แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็คลานออกไปจากจุดนั้นโดยไม่ลืมทำคบเพลิงติดตัวไปด้วย แน่นอนว่าราตรีพิสุทธิ์ใช้เวลานานเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะหาต้นทับทิมเจอ ซึ่งแต่ละต้นก็สูงไม่ใช่น้อยจึงทำให้เธอต้องคลานหาไม้สูงๆเขี่ยให้ผลทับทิมหนึ่งให้ตกลงบนพื้นได้ หลังจากนั้นเธอจึงวกกลับไปทางเดิมก่อนจะเด็ดเปลือกผลทับทิมแห้งมาต้มกับน้ำจนเดือด

“ท่านได้รับทักษะการทำอาหารระดับ 2”

“ท่านได้รับทักษะการทำสมุนไพรระดับ 1”

เสียงระบบประกาศ แต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์หาได้ใส่ใจไม่ เมื่อน้ำสมุนไพรเดือดได้ที่ เธอจึงหยิบกะลามะพร้าวที่เต็มไปด้วยน้ำสมุนไพรขึ้นมาก่อนจะคลานไปหาเห็ดมาริโอ

“อื่นไอ้แอ้วเอ็ดอาอิโอ้ (ตื่นได้แล้วเห็ดมาริโอ)” ราตรีพิสุทธิ์ปลุกเห็ดมาริโอพลางใช้มือที่ว่างเขย่าร่างนั้นให้ตื่น “อาอื่มอ้ำอี้อ๊ะ อะไอ้อ๋ายอวดอ้องไอๆ (มาดื่มน้ำนี้ซะ จะได้หายปวดท้องไวๆ)”

เห็ดมาริโอร้องครวญครางเล็กน้อยก่อนจะปรือตาขึ้นมาดู

“น้ำอะไร...ไอ้...เด็กเปรต...แก...คิดจะฆ่า...ข้ารึไง”

ดูมัน ขนาดป่วยอยู่ก็ยังมิวายปากเสียอีก

ราตรีพิสุทธิ์คิดพลางส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายกับนิสัยเสียๆที่แก้ไม่หายของเห็ดมาริโอ

“อุบอากแอ้วอื่มๆเอ้าไออะ! (หุบปากแล้วดื่มๆเข้าไปซะ!)”

ราตรีพิสุทธิ์ตวาดพลางใช้มือข้างที่ว่างง้างปากเห็ดมาริโอ ก่อนจะนำน้ำที่อยู่ในกะลาเทกรอกใส่ปากเห็ดมาริโอโดยไม่สนใจว่ามันจะดิ้นทุรนทุรายเพราะโดนน้ำร้อนลวกปาก หลังจากกรอกเสร็จแล้ว เห็ดมาริโอก็รีบใช้มือปาดน้ำที่ไหลมุมปากออกก่อนจะด่าราตรีพิสุทธิ์กลับไปว่า

“แกได้ตายแน่ไอ้เด็กเปรต!”

เห็ดมาริโอผุดลุกขึ้นนั่งทำท่าคล้ายจะบีบเค้นคอร่างเล็กให้ตายคามือแต่กลับต้องนอนตัวงอเป็นกุ้งตามเดิม

“อังอากเอี๋ยไอ้อ่างอี้ อ้ออีบออนอ๊ะ(ยังปากเสียได้อย่างนี้ ก็รีบนอนซะ)”

ราตรีพิสุทธิ์บอกก่อนจะคลานกลับไปยังที่นอนของตัวเอง โดยเธอไม่สนใจสายตาของเห็ดมาริโอที่จ้องมองมาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเช้าวันใหม่ เมื่อราตรีพิสุทธิ์ตื่นแล้วเธอก็คลานไปดูเห็ดมาริโอซึ่งยังนอนถ่างขาอ้าปากหวอน้ำลายไหลยืดอย่างไม่เกรงใจใคร

“ฮู้!”

ราตรีพิสุทธิ์ถอนหายใจแรงพลางส่ายหน้าเมื่อเห็นท่านอนที่ดูไม่งามของทาสรับใช้ตัวเอง

สงสัยต้องสั่งสอนหนักมากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว

ราตรีพิสุทธิ์คิดก่อนจะคลานกลับไปเอากะลามะพร้าว จากนั้นเธอจึงคลานไปยังลำธารที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่พวกเธอนอน เมื่อได้น้ำเรียบร้อยแล้ว ราตรีพิสุทธิ์ก็คลานกลับที่เดิมอีกครั้ง

จ๊อก! จ๊อก! จ๊อก!

เสียงน้ำไหลลงบนหน้าเห็ดมาริโอก่อนจะย้ายมายังปากที่หวอ

“แค่ก! แค่ก!” เห็ดมาริโอพ่นน้ำไออย่างบ้าคลั่งก่อนจะผุดลุกขึ้นมาหอบหายใจ “ใครทำข้าวะ เดี๋ยวฆ่าให้ตายคามือซะเลย อ้าว? ไอ้เด็กเปรตมาทำบ้า...อะไร เฮ้ย! นี่แกเป็นคนเทน้ำใส่ปากข้ารึไงวะ!”

เห็ดมาริโอถามด้วยความโมโหเมื่อเห็นร่างเล็กถือกะลามะพร้าวอยู่

“อื้อ อ้าอำเอง (อื้อ ข้าทำเอง)” ราตรีพิสุทธิ์พูดยอมรับอย่างว่าง่ายก่อนจะโยนกะลาทิ้งลงพื้น “อ้ออากออนไอ้เอียบอ้อยเองอี่ (ก็อยากนอนไม่เรียบร้อยเองนี่)”

“ข้าจะนอนยังไงมันก็เรื่องของข้า แกอย่ามายุ่ง!”

เห็ดมาริโอเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ดังนั้นราตรีพิสุทธิ์จำต้องหยิบแส้ขึ้นมาขู่ จึงทำให้เห็ดมาริโอยอมหุบปากแต่โดยดี หลังอาหารเช้าได้ผ่านไปอย่างเรียบง่ายเพราะราตรีพิสุทธิ์เป็นคนคลานไปหาของทานเอง ส่วนเห็ดมาริโอนั้นราตรีพิสุทธิ์สั่งห้ามมันมิให้ทานอะไรเด็ดขาดเพราะยังไม่หายท้องเสียดี ซึ่งมันก็ได้แต่ดื่มน้ำสมุนไพรที่ราตรีพิสุทธิ์ต้มเก็บไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนวานนี้

“เอาอ่ะ ออกเอินอางไอ้ (เอาล่ะ ออกเดินทางได้)”

ราตรีพิสุทธิ์บอกในขณะที่เธอกำลังขี่คอเห็ดมาริโออยู่ ซึ่งจุดมุ่งหมายคือการตามหาเมืองเริ่มต้นตามที่ได้ยินจากปากของชายหนุ่มผมทองยาวคนนั้น แต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์กับเห็ดมาริโอได้เดินวนเวียนอยู่ในป่าดิบเมืองร้อนเป็นเวลาสองสามชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววที่จะพบทางออกไปจากที่นี่ได้เลย         

หลงทางอย่างไม่ต้องสงสัย

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจ เธอหลงนึกว่าเห็ดมาริโอจะรู้เส้นทางไปยังเมืองเริ่มต้นได้เสียอีก แต่ที่ไหนมันกลับพาเธอหลงทางอยู่ในป่าแห่งนี้แทน

“เหนื่อยเว้ย ขอพักมันตรงนี้แหละ”

เห็ดมาริโอบ่นพลางนั่งลงกับพื้นโดยไม่สนใจร่างเล็กที่นั่งขี่คอมันเลยสักนิด ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์ก้นกระแทกพื้นอย่างแรง

“โอย อะองอ้อออกอันอ่อนอิ อันเอ็บอะ (โอย จะลงก็บอกกันก่อนสิ มันเจ็บนะ)”

ราตรีพิสุทธิ์บอกพลางเอามือลูบก้นเบาๆ เมื่ออาการปวดเริ่มเบาลง เธอก็หันไปสำรวจรอบข้างซึ่งที่เธออยู่เป็นเนินหินสูง พอลอบมองไปข้างหน้าก็เป็นหน้าผาที่สูงชัน

ตกลงไปมีหวังตายไม่เหลือซาก

ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะคลานถอยกลับมานั่งพักตรงที่เห็ดมาริโอนอนอยู่

“แอ้ อ้าอิ๋วแอ้ว อ๋าอ้วยไอ้อ่อยอิ (นี่ ข้าหิวแล้ว วานหากล้วยให้หน่อยสิ)” ราตรีพิสุทธิ์บอกเมื่อเห็นว่าเวลานี้มันเลยเที่ยงมากแล้ว แต่ทว่าเห็ดมาริโอกลับนอนหลับตานิ่ง “แอ้ ไอ้อินอื๋อเอ่า อ้าอิ๋วแอ้วเอ็ดอาอิโอ้ (นี่ได้ยินรึเปล่า ข้าหิวแล้วเห็ดมาริโอ)”

เงียบ ไร้การตอบรับ

เมื่อทาสรับใช้ไม่ยอมทำงานตามที่สั่ง ทำให้ราตรีพิสุทธิ์ต้องคลานออกไปหาผลไม้ทานเองตามลำพังอย่างช่วยไม่ได้

เอาเถิด มันก็กำลังป่วยอยู่นี่ ปล่อยให้มันนอนพักไป ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจในขณะที่คลานหาต้นผลไม้ที่เตี้ยที่สุด มันจะมีแต่พวกผลไม้ที่เด็กอย่างเธอทานไม่ได้ ส่วนพวกที่เธอทานได้มันก็อยู่สูงเกินที่จะเอื้อมถึง ซึ่งราตรีพิสุทธิ์คลานหาผลไม้จนกระทั่งคลานไปเจอกองผลไม้หลากหลายชนิดวางอยู่บนใบตองใกล้กองไฟที่ดับลงไปแล้ว มีแต่ของที่เราทานได้เยอะเลยแหะ

ถึงมันจะมีของที่สามารถทานได้ก็จริง แต่ราตรีพิสุทธิ์ก็ไม่เคยคิดจะหยิบฉวยของใครโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ทว่ากองไฟตรงเบื้องหน้ายังดับไม่สนิทดี เกรงว่าปล่อยไว้นานกว่านี้จะทำให้ไฟไหม้ป่าเอาได้

ดับไฟให้ดีกว่า

แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็กำดินทรายขึ้นมาสองกำมือก่อนจะคลานตรงไปยังกองไฟเพื่อที่จะดับมัน ทว่าร่างเล็กยังคลานไม่ถึงจุดมุ่งหมาย ดินตรงหน้าเกิดทรุดลงไปข้างล่างโดยที่ราตรีพิสุทธิ์ไม่ทันคาดคิด

ครืน!

“แอ้!”

...................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 5 หลงทาง 15/9/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 15-09-2014 23:06:16
ว๊ายยๆๆๆๆๆๆ //ติ่งดิ้นค่ะ
เห็นชื่อแว็บๆ เหมือนเคยเห็นที่ให้มาก่อน..
เฮ้ยยย มาลงที่นี่ด้วยยยยย เป็นแฟนคลับตั้งแต่อยู่ในเด็กดี
เคยวาดคู่คุณยายทวดตอนยังสาวกับพี่เมฆาหนุ่มๆด้วยนะ
มานั่งรออ่านเหมือนเดิม ฮะๆ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 5 หลงทาง 15/9/57)
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 17-09-2014 17:13:45
รอครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 5 หลงทาง 15/9/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 17-09-2014 17:40:47
บทที่ 6 พี่เลี้ยงหรือเพื่อน

...........................

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์โดนกับดักนายพราน พลังลดเหลือ 40”

เสียงระบบประกาศในขณะที่ราตรีพิสุทธิ์นอนหน้าทิ่มในหลุมกับดัก โชคดีที่ภายในหลุมกับดักนี้ไม่มีอะไรวางอยู่ข้างใน ไม่งั้นแล้วราตรีพิสุทธิ์ได้ตายคาหลุมอย่างแน่นอน

ให้ตายสิ นี่เราโดนหลอกให้ติดกับรึเนี่ย ราตรีพิสุทธิ์นึกด่าตัวเองในใจที่หลงเข้ามาติดกับดักเข้าโดยบังเอิญ ทั้งๆที่เธอตั้งใจจะช่วยดับไฟกลับต้องมาโดนกับดักแทน แล้วนี่เราจะปีนกลับขึ้นไปยังไงละ

ราตรีพิสุทธิ์คิดพลางมองปากหลุมซึ่งอยู่สูงพอสมควร ต่อให้เธอไม่ใช่เด็กทารกก็ยากที่จะปีนขึ้นออกไปได้ ถึงต่อให้เธอเรียกเห็ดมาริโอ ก็คงทำไม่ได้อยู่ดีเพราะมันอยู่ไกลเกินที่เสียงเรียกจะไปถึง ส่วนแส้กำราบสัตว์นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะตรงจุดที่เธออยู่นั้นไม่ได้มีต้นไม้หรือก้อนหินอยู่เลยสักนิด

ไม่เอานะ…

ไม่อยากตายอยู่ที่นี่…

ท่านพ่อท่านแม่ช่วยหนูด้วย…

เมื่อจนหนทางทุกด้านผนวกกับความหิวโหยที่ยังไม่ได้ทานอะไรลงท้อง ทำเอาราตรีพิสุทธิ์ถึงกับแผดเสียงร้องไห้จ้าอย่างไม่อายฟ้าอายดิน

“ฮึก แงๆ!”

ซึ่งราตรีพิสุทธิ์ก็ใช้เวลาร้องไห้อยู่เกือบยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ปากหลุมกับดัก

“เสียงเด็กทารก?”

เสียงทุ้มพูดด้วยความแปลกใจ ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์ถึงกับหยุดร้องไห้

มีคนมาช่วยแล้ว!

“แอ้ๆ อ้วยอี อ้าอิดอู่ไออุ๋มอี้ (นี่ๆ ช่วยที ข้าติดอยู่ในหลุมนี้)”

ราตรีร้องตะโกนขอความช่วยเหลือพลางเงยหน้าขึ้นมองเหนือหลุม แล้วเสียงฝีเท้าก็ได้เดินวนไปวนมาอยู่สองสามรอบก่อนจะมาหยุดตรงที่ปากหลุมกับดัก ซึ่งเผยให้เห็นชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแดงเลือดกำลังนั่งก้มหน้ามองเธออย่างสงสัย

“ใช่เด็กทารกจริงๆด้วย” ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยปากพูดทันทีที่เห็นราตรีพิสุทธิ์ “มาติดอยู่ในหลุมกับดักนี้ได้ยังไงกัน ไม่สิ มาอยู่ที่ป่าเขาวงกตนี้ได้ยังไงสิถึงจะถูก เอ หรือว่าจะเป็นภารกิจลับที่ทางบริษัทเกมยังไม่ได้ประกาศให้ผู้เล่นอื่นรู้ทั่วกันแน่”

ภารกิจลับอะไรของเขานะ? ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด

ราตรีพิสุทธิ์คิดอย่างมึนงงเมื่อได้ยินคำพูดของผู้ชายคนนี้

“เฮ้อ ช่างมันปะไร” ชายหนุ่มผมดำพูดพลางหลับตาถอนหายใจแรงๆ แล้วจึงค่อยลืมตามองเธอพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ “ว่าไงคนเก่ง ร้องไห้จนตาแดงเลยนะเรา คงจะกลัวอยู่สิท่า มามะ ไม่ต้องกลัวแล้ว เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะช่วยน้องเอง”

ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาเกือบสุดแขนก่อนจะช้อนร่างราตรีพิสุทธิ์ขึ้นมาแนบอกอย่างทะนุถนอม เมื่อขึ้นมาในระดับเดียวกัน ทำให้นัยน์ตาทั้งคู่ประสานเข้ากันโดยบังเอิญ

ตุ้บ! ตุ้บ!

ความรู้สึกนี้มัน...

นับตั้งแต่คนรักของเธอได้ตายจากไป เธอก็ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้อีกเลย แต่เมื่อได้กลับมาสัมผัสอีกครั้ง ทำเอาหญิงชราอย่างราตรีพิสุทธิ์ถึงกับใจเต้นระรัว แต่สำหรับชายหนุ่มผมดำเห็นเด็กทารกเพศชายผู้นี้หน้าแดง จึงคิดว่าเด็กน้อยเป็นไข้เพราะตกจากที่สูง

“เอ หน้าแดงอย่างนี้เป็นไข้รึเปล่านะเรา ไหนขอพี่ชายตรวจดูหน่อยสิ” ชายหนุ่มพูดจบพลันยื่นหน้าผากประทับหน้าผากร่างเล็ก ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์ยิ่งใจเต้นกว่าเก่า “ตัวก็ไม่ร้อนนี่ แล้วทำไมถึงหน้าแดงได้กันล่ะเนี่ย”

อีกฝ่ายพูดเสียงพึมพำกับตัวเองโดยไม่สนใจสีหน้าของเด็กทารกที่แดงยิ่งขึ้นกว่าเดิม แล้วทันใดนั้นภาพใบหน้าคนรักที่ตายจากไปแล้วก็ได้ผุดขึ้นมาฉุดสติของราตรีพิสุทธิ์มิให้คิดไปมากกว่านี้

ไม่ได้...

เราจะรักใครไม่ได้นอกจากเขาอีก...

แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็รีบใช้มือน้อยทั้งสองข้างผลักใบหน้าอันเรียวคมของอีกฝ่ายให้ออกห่าง แต่ทว่าชายหนุ่มกลับตีความหมายของราตรีพิสุทธิ์ผิดไปอีกอย่างแทน

“อ้าว กลัวพี่รึไงเรา ฮะ ฮะ” ชายหนุ่มผมดำพูดไปหัวเราะไปพลาง ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างมาขยี้ผมสีเงินของราตรีพิสุทธิ์ด้วยความหมั่นไส้ “นี่แน่ะ พี่ไม่คิดจะทำอะไรน้องหรอก แค่สงสัยว่าเป็นไข้รึเปล่าก็เท่านั้นเอง”

แล้วชายหนุ่มก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะล้วงหยิบขวดสีฟ้าขึ้นมา

นั่นมันอะไรนะ?

ราตรีพิสุทธิ์มองวัตถุขวดทรงกลมที่บรรจุน้ำสีฟ้าใสอย่างสงสัย ส่วนชายหนุ่มก็ใช้ปากกัดจุกไม้ที่ติดอยู่ปากขวดออกก่อนจะหันหน้ามาทางราตรีพิสุทธิ์ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ลำบากหน่อยนะ พอดีพี่ชายหาขวดนมแทนขวดน้ำนี้ไม่ได้ แต่ถ้าน้องไม่ดื่ม บาดแผลตามร่างกายก็จะไม่หายดีนะ”

อ้อ ที่แท้ขวดทรงกลมสีฟ้าเป็นยารักษาบาดแผลเองหรอกรึ

ราตรีพิสุทธิ์คิดพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจในคำพูดของชายหนุ่ม ก่อนจะยื่นมือไปรับขวดยาเพื่อที่เธอจะดื่มเองโดยไม่ต้องลำบากชายหนุ่ม แต่อีกฝ่ายกลับเข้าใจผิดไปว่าเด็กทารกจะจับขวดยาเล่น จึงเคลื่อนย้ายขวดน้ำสีฟ้าหนีมือของราตรีพิสุทธิ์แทน

“ไม่ได้นะเรา อันนี้มันของกิน ไม่ใช่ของเล่น” ชายหนุ่มดุ ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์แทบขมวดคิ้ว

ผู้ชายคนนี้เห็นเราเป็นเด็กทารกอมมือรึไง

“อู้อ้าๆเอ็นอองอิน เอาอันอาอี้อิ เอี๋ยวอ้าอะเอ็นอนอื่มเอง (รู้น่าว่าเป็นของกิน เอามันมานี่สิ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนดื่มเอง)” ราตรีพิสุทธิ์พูดพลางแบมือ ซึ่งเธอลืมไปว่าตัวเองก็กำลังอยู่ในคราบเด็กทารก หาได้ใช่หญิงชราวัยหนึ่งร้อยต้นๆ

“เอ๊ะ? เมื่อกี้น้องพูดกับพี่เหรอ”

ชายหนุ่มพูดด้วยความตกใจปนทึ่งที่ได้ยินเสียงของเด็กทารกพูดออกมาเป็นประโยค

“อื้อ”

ราตรีพิสุทธิ์ตอบสั้นๆ ซึ่งทำเอาชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วมองเธออย่างแปลกใจก่อนจะถามต่อไปว่า

“ถามหน่อยเถอะ น้องเป็นผู้เล่นเกมหรือเอ็นพีซีกันแน่”

“อ้องอู้เอ้นอิ อ้าแอ่เอ็นอีๆอันอืออะไออ๋ออี้อาย (ต้องผู้เล่นสิ ว่าแต่เอ็นพีซีมันคืออะไรเหรอพี่ชาย)”

ราตรีพิสุทธิ์ถามย้อนอย่างสงสัย เพราะเธอไม่ค่อยรู้จักคำศัพท์ในวงการเกมเสียเท่าไหร่ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับทำหน้างุนงง เพราะฟังที่ราตรีพิสุทธิ์พูดไม่รู้เรื่อง

“ให้ตายสิ พี่ฟังที่น้องพูดไม่รู้เรื่องเลย” ชายหนุ่มพูดพลางส่ายหน้า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าพี่ถามก็ให้พยักหน้ากับส่ายหน้าพอนะ เข้าใจใช่ไหม”

ราตรีพิสุทธิ์พยักหน้าตอบ แล้วชายหนุ่มก็วางเธอลงกับพื้นก่อนจะนั่งลงตาม แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะถามคำถาม เขาก็ให้เธอดื่มน้ำยาเพื่อฟื้นฟูบาดแผลบนร่างกายเสียก่อน

“ท่านได้รับการฟื้นฟูบาดแผล 100%”

เสียงระบบประกาศดังก้องหัวราตรีพิสุทธิ์

“น้องเป็นผู้เล่นที่เข้ามาเล่นเกมใช่ไหม แล้วเข้ามาอยู่ในป่าวงกตได้ยังไงกัน ทำไมไม่มีพ่อแม่ตามมาด้วยล่ะ”

อีกฝ่ายถามทันทีที่เห็นว่าเธอดื่มเสร็จแล้ว ซึ่งราตรีพิสุทธิ์ไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะเรื่องมันยาวมากเสียจนเล่าวันเดียวคงไม่จบแน่ ดังนั้นราตรีพิสุทธิ์จึงคลานไปหยิบกิ่งไม้อันเล็กแหลมมาหนึ่งอันก่อนจะคลานกลับมายังชายหนุ่มต่อ

“อออ่อนอ๊ะ อ๋อเอี๋ยนอู้เอียว (รอก่อนนะ ขอเขียนครู่เดียว)” ราตรีพิสุทธิ์บอกก่อนจะลงใช้กิ่งไม้เขียนลงบนพื้นดิน ซึ่งเธอใช้เวลาเขียนอยู่นานพอสมควรเนื่องจากมือของเธอมันเล็กเกินไป ยากที่จะเขียนให้เสร็จเร็วได้ดั่งใจ และแน่นอนว่าเธอย่อมไม่เขียนเรื่องว่าตนเป็นผู้หญิงที่เข้ามาเล่นเกมด้วย เพราะเธอกลัวชายหนุ่มพาลว่าเธอเป็นวิปริตเอาได้ เมื่อราตรีพิสุทธิ์เขียนเสร็จแล้วเธอก็รีบเงยหน้าขึ้นพูดว่า “อ่ะ เอ็ดแอ้ว (อ่ะ เสร็จแล้ว)”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงมองตัวหนังสือที่ถูกเขียนอยู่บนพื้นดินตามที่เด็กทารกบอก

ใช่ น้องเป็นผู้เล่นเกม ส่วนมาที่นี่ได้ยังไงนั้นบอสเห็ดมาริโอเป็นคนพามา (เพราะมันเป็นทาสรับใช้) ตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ถูกราชาปีศาจลอบทำร้าย ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง แล้วที่น้องหนีรอดมาได้เพราะท่านแม่ช่วยเอาไว้

เมื่อชายหนุ่มอ่านจบ ก็พลันเงยหน้าขึ้นมองเด็กทารกด้วยความสงสาร

“โธ่ พี่ไม่คิดเลยว่าน้องจะเจอเรื่องร้ายถึงขนาดนี้” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงสั่นเครือก่อนจะเอามือลูบศีรษะของราตรีพิสุทธิ์อย่างแผ่วเบา “แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะเป็นคนคอยดูแลเราเอง”

ก็ดี เธอจะได้ไม่ลำบากไปขอให้เห็ดมาริโอจอมขี้เกียจช่วยอีก

“ว่าแต่เมื่อครู่นี้น้องบอกว่าอยู่กับเห็ดมาริโองั้นรึ”

“อื้อ อู่อับเอ็ดอาอิโอ้ (อื้อ อยู่กับเห็ดมาริโอ)”

“แล้วตอนนี้เห็ดมาริโอนั่นอยู่ที่ไหนล่ะ”

ชายหนุ่มถามต่ออย่างสงสัย เพราะไม่คิดว่าทาสรับใช้จะกล้าทิ้งนายตัวเองได้ลงคอ

“ออนอับอู่ (นอนหลับอยู่)” ราตรีพิสุทธิ์ตอบพลางทำท่านอนหลับให้ชายหนุ่มดู

“อะไรนะ นอนหลับ เวลานี้เนี่ยนะ!” ชายหนุ่มพูดอย่างตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าทาสรับใช้จะกล้าปล่อยให้นายของตัวเองที่เป็นเด็กทารกคลานเล่นไปมาโดยไม่ติดตามมาด้วย “ฮึ เห็นทีคงปล่อยไว้ไม่ได้ พี่ชายคนนี้จะทำโทษมันให้น้องเอง โทษฐานที่ขี้เกียจตามน้องมาด้วย”

แล้วชายหนุ่มก็อุ้มร่างเล็กขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะออกเดินไปตามเส้นทางที่ราตรีพิสุทธิ์ชี้บอก

...........................

กลับมาทางด้านปฐพีกับเพื่อนอีกสองคนที่ซึ่งตอนนี้ได้เดินออกมาจากป่าเอลฟ์แล้ว ทั้งสามหนุ่มก็ได้มุ่งตรงไปยังเมืองเริ่มต้นโดยใช้ม้าเร็วของศาสตราที่ผูกเชือกไว้รออยู่เบื้องนอกป่าเอลฟ์ในการเดินทาง เมื่อถึงที่หมายแล้วปฐพีก็พาเพื่อนทั้งสองไปยังตึกผู้เล่นใหม่ทันที แต่เนื่องด้วยช่วงนี้อยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้ตึกผู้เล่นใหม่นี้ถูกตกแต่งให้เข้ากับเทศกาล แถมนอกจากนี้เจ้าหน้าที่แต่ละคนก็ยังแต่งชุดซานต้าสีแดงพร้อมทั้งจัดกิจกรรมให้กับผู้เล่นหน้าใหม่อีกด้วย จึงทำให้ที่นี่ดูคึกคักผิดหูผิดตา

“พวกนายสองคนรออยู่ที่นี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปติดต่อกับพนักงานเกมสักหน่อย”

ปฐพีบอกเพื่อนก่อนจะเดินหายเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องไว้สำหรับติดต่อปัญหาเกี่ยวกับเกม ส่วนสองหนุ่มก็หันไปเล่นกิจกรรมที่ทีมงานจัดขึ้นเป็นซุ้มเพื่อฆ่าเวลา เมื่อปฐพีได้เข้าไปข้างในห้องแล้วเขาก็พบว่าข้างในห้องนี้ออกแบบคล้ายธนาคารเล็กน้อย จะขาดเพียงจำนวนคนที่มีอยู่ในห้องซึ่งมีจำนวนน้อยนักเมื่อเปรียบเทียบกับผู้เล่นที่อยู่ข้างนอก แต่ปฐพีหาได้สนใจไม่ ก่อนจะเดินไปตรงยังเคาน์เตอร์ตัวหนึ่งที่เขียนป้ายไว้ว่า

รับปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับเกม

“สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ”

พนักงานชายยกมือขึ้นไหว้กล่าวสวัสดีกับปฐพี ซึ่งชายหนุ่มก็ยกมือไหว้ตอบกลับไปตามมารยาท

“ผมมาแจ้งเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อมต่อระหว่างครอบครัวครับ พอดีผมเคยยื่นเรื่องการสนทนาระหว่างครอบครัว แต่ตอนนี้มีปัญหาเชื่อมต่อกับครอบครัวไม่ได้เลยครับ”

พนักงานชายขมวดคิ้วก่อนจะทำท่าคีย์ข้อมูลบนแป้นพิมพ์

“ขอทราบชื่อไอดีที่ท่านกำลังใช้อยู่ในขณะนี้ด้วยครับ”

“นพเดช”

ปฐพีตอบ ซึ่งพนักงานชายรีบพิมพ์ป้อนข้อมูลลงไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“มิทราบว่าครอบครัวที่คุณเคยยื่นเรื่องกับทางเรานั้นใช่เป็นคุณยายของคุณหรือเปล่าครับ”

“ใช่” ปฐพีตอบก่อนจะพูดต่ออย่างเร่งรีบ “ผมร้อนใจมากที่ติดต่อกับท่านไม่ได้ กรุณาช่วยผมให้เร็วๆด้วยนะครับ เพราะท่านอายุมากเกินที่จะเล่นเกมได้ตามลำพัง”

“ไม่ต้องห่วงไปครับ ทางเราจะช่วยคุณอย่างเต็มที่แน่นอนครับ” แล้วพนักงานชายก็บอกให้ปฐพีนั่งรอสักครู่ก่อนจะผละหายเข้าในห้องทางหลังเคาน์เตอร์เพื่อยื่นเรื่องนี้ให้กับทางหัวหน้าเกม “แย่แล้วครับหัวหน้า ไอดีนพเดชที่เป็นลูกหลานของไอดีแปดพันมาแจ้งเรื่องเกี่ยวกับการติดต่อครอบครัวแล้วครับ”

พนักงานชายคนนั้นพูดรายงานให้หัวหน้าฟังทันทีที่เข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว ทำให้หัวหน้างานที่นั่งอยู่โต๊ะทำงานถึงกับเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารทันที

“อะไรนะ มาแจ้งแล้วงั้นรึ”

ชายหนุ่มวัยสามสิบปลายผมสีเทาอยู่ในชุดนักเวทย์พูดด้วยความตกใจ

“ครับ ตอนนี้กำลังนั่งรออยู่หน้าเคาน์เตอร์นี่เองครับหัวหน้า”

พนักงานชายคนเดิมบอก ซึ่งทำเอาหัวหน้างานถึงกับเอามือกุมขมับ

“สมแล้วที่เป็นหัวหน้าสมาคมจับฉ่าย พอรู้ว่าไอดีแปดพันติดต่อไม่ได้ก็รีบมาหาถึงที่” หัวหน้างานพูดอย่างหัวเสีย ถึงแม้นท่าทางของปฐพีไม่ได้มาเอาเรื่องกับทางเกมก็ตาม แต่หัวหน้างานรู้ซึ้งถึงชื่อเสียงที่ขจรไกลของปฐพีที่เป็นถึงหัวหน้าสมาคมจับฉ่ายดี ว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม เอาการเอางานโดยไม่เกี่ยงว่าจะหนักสาหัสแค่ไหน เกลียดการเอารัดเอาเปรียบ รักเพื่อนพ้องจนเป็นที่รักใคร่ของหลายสมาคมอันโด่งดังที่อยู่ในเกม และที่สำคัญเขายังเป็นบุคคลต้องห้ามอันดับสองรองจากผู้เล่นระดับท๊อปว่าใครยุ่งด้วยแล้วต้องมีอันโดนพวกสมาคมพันธมิตรของสมาคมจับฉ่ายรุมฆ่าชนิดไม่มีได้ผุดได้เกิดกัน “รีบติดต่อดนัยเทพกับปริญที่อยู่นอกเกมด้วย ว่าเรากำลังมีปัญหาใหญ่อยู่”

“ครับหัวหน้า”

พนักงานชายตอบรับก่อนจะหมุนตัวกลับไปทางประตู

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป” หัวหน้างานบอก ซึ่งทำเอาพนักงานชายคนนั้นหยุดชะงักพลางหันหน้ากลับมาทางหัวหน้า “ทำยังไงก็ได้ให้คนนั้นกลับไปเล่นเกมต่อ แต่อย่าให้เขาโมโหเชียวล่ะ”

“รับทราบครับท่าน”

แล้วพนักงานชายก็รีบเดินออกไปโดยไม่ลืมสลัดสีหน้าร้อนรนเมื่อครู่นี้ทิ้ง

“ต้องขออภัยที่ให้คุณต้องรอนาน”

พนักงานคนเดิมบอกในขณะที่ปฐพีกำลังเดินมาหาตน “ตอนนี้ทางบริษัทกำลังหาทางช่วยคุณอยู่ ถ้าได้เรื่องยังไง ทางทีมงานจะติดต่อคุณกลับไปอีกที”

พอตนพูดจบ ใบหน้าของปฐพีก็พลันขึ้นสีหน้าอย่างฉุนเฉียว ซึ่งทำเอาพนักงานชายเริ่มกลัวปฐพีเสียจับใจ

“ตกลงครับ ผมจะรอข่าวจากพวกคุณ ถ้างั้นผมต้องขอตัวก่อนนะครับ”

ปฐพีพูดลาก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเร็ว ซึ่งทำเอาพนักงานชายถึงกับถอนหายใจโล่งคอ เพราะคิดว่าจะโดนอีกฝ่ายเอาเรื่องตนเสียแล้ว

“ฮู้ เกือบเห็นนรกแล้วเรา”

.......................

ย้อนมาทางด้านราตรีพิสุทธิ์ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ทำให้พวกเขาทั้งสามจำต้องพักค้างแรมในป่าอย่างช่วยไม่ได้

“ทานข้าวไปเยอะๆเลยนะน้องราตรีพิสุทธิ์ อีกเดี๋ยวเราต้องมาดื่มนมแพะนี่ตบท้ายด้วย”

ชายหนุ่มผมดำยาวในชุดนักรบบอกขณะที่ตนกำลังใช้ช้อนคนนมในแก้วน้ำไปมาเพื่อให้มันเข้ากัน

“อือ” ราตรีพิสุทธิ์ตอบพลางใช้ช้อนจ้วงข้าวบดกล้วยที่อีกฝ่ายเป็นผู้ทำให้แต่ก็เลอะบ้างเล็กน้อยเพราะยังบังคับมือไม่ค่อยจะเก่ง “อั้นอี้เออาเอ่นเอมอี้อาอานอึ๊อังอับ (ท่านพี่เมฆาเล่นเกมนี้มานานรึยังครับ)”

เนื่องจากคำพูดของราตรีพิสุทธิ์ยังไม่ชัดดี ทำให้เมฆาคิดหนักว่าเธอกำลังถามอะไรเขาอยู่

“อ้อ พี่เล่นเกมนี้มานานสามปีแล้วล่ะ ถ้าเป็นเวลาในเกมก็…” เมฆาพูดพลางนั่งนึกคำนวณไปพลางก่อนจะตอบกลับมาว่า “สามสิบปีได้มั้ง เอ้ ทานดีๆสิ เลอะหมดแล้ว”

เมฆาพูดจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากที่เปื้อนข้าวหนึ่งเม็ดให้ราตรีพิสุทธิ์

“ฮือๆ เมื่อไหร่จะปล่อยหนูสักที หนูขอโทษ” เสียงร้องไห้ดังมาจากข้างหลังราตรีพิสุทธิ์ ซึ่งจะเป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกจากเห็ดมาริโอ ที่มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะเมฆาลงโทษเห็ดมาริโอด้วยการใช้แส้ของราตรีพิสุทธิ์เฆี่ยนหลังสิบทีจนหลังลายก่อนจะจับมันขึงเชือกห้อยหัวลงดินที่ข้างต้นไม้ “หนูหิวข้าว ขอหนูทานข้าวก่อนได้ไหม ฮือๆ”

“อย่าไปหลงคารมของเห็ดมาริโอเชียวล่ะเรา”

เมฆาพูดเตือนด้วยความหวังดีเพราะเห็นราตรีพิสุทธิ์หันไปชะเง้อมองทาสรับใช้อย่างไม่เลิกรา

“อั๊บ ไอ้อ๋งแอ้ (ครับ ไม่หลงแน่)”

ราตรีพิสุทธิ์ตอบก่อนจะหันหน้ากลับมาทางเดิม “อิงอิอั้นอี้เออา แอ้วอวกเอาอ้องไอ้เออาเอ้าไอ่อึ๋งอะออกอากอ่าเอ๋าองอดอี้ไอ้อั๊บ (จริงสิท่านพี่เมฆา แล้วพวกเราต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะออกจากป่าเขาวงกตนี่ได้ครับ)”

คำถามที่แสนจะยาวยืดและฟังไม่รู้เรื่องทำเอาเมฆาถึงกับขมวดคิ้ว ซึ่งราตรีพิสุทธิ์เห็นท่าทางอันงุนงงของอีกฝ่ายแล้ว เธอก็รีบพูดใหม่อย่างสั้นๆอีกครั้ง

“อ้องไอ้เออาอีกอานไอ๋อว่าอะออกอากอ่าอี้ไอ้อั๊บ (ต้องใช้เวลาอีกนานไหมกว่าจะออกจากป่านี้ได้ครับ)”

“อ้อ พรุ่งนี้เย็นก็ออกจากป่านี้ได้แล้วล่ะน้องราตรี” เมฆาตอบพลางถอนหายใจ เพราะกว่าที่ชายหนุ่มจะฟังรู้เรื่องนั้นก็แสนจะยากเย็นเสียเหลือเกิน ส่วนเหตุผลที่เมฆาเรียกราตรีนั้นก็เป็นเพราะว่าชื่อราตรีพิสุทธิ์มันยาวไป ถ้าเรียกสั้นๆก็จะได้ดูสนิทสนมมากขึ้นกว่าเดิม “ไม่ต้องห่วงไปน้องราตรี ตราบใดที่พี่ชายคนนี้ไปพาน้องไปถึงเมืองเริ่มต้นแล้ว พี่ก็ยังไม่ปล่อยให้น้องเล่นเกมตามลำพังแน่ จะอยู่เป็นพี่เลี้ยงให้น้องราตรีไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ”

ราตรีพิสุทธิ์หรือราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับขมวดคิ้ว เพราะอีกฝ่ายเล่นเสนอตัวว่ามีเวลาว่างมากพอที่จะอยู่ดูแลเธอตลอดเวลา แถมพอใจที่จะติดตามเธอไปตลอดเลยด้วย

น่าสงสัย

ราตรีครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะคนประเภทนี้เธอเคยเจอมานักต่อนัก แต่ทว่าเกมก็คือเกมอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางที่คนในเกมจะได้พบเจอกันง่ายๆ ดังนั้นเธอจึงลืมเรื่องนี้ทิ้งไปซะ แล้วหันมาสนุกกับเกมออนไลน์ที่หลานชายของเธอเป็นคนแนะมาให้เล่นต่อไปจะดีกว่า

“จริงสิ พี่ยังไม่ได้ขอน้องเป็นเพื่อนเลย ว่าแต่ทำเป็นหรือเปล่านะเรา” เมฆาพูดเปลี่ยนเรื่อง

“ไอ้เอ็นอั๊บ (ไม่เป็นครับ)”

“อ้าวทำไม่เป็นเลยเหรอ แล้วเปิดหน้าต่างสถานะเป็นหรือเปล่า มีกำไลหรือของติดตัวบ้างไหมล่ะ” อีกฝ่ายถามอีกรอบ ซึ่งราตรีได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธเพียงอย่างเดียว เพราะว่าเธอเพิ่งเล่นเกมนี้เป็นครั้งแรก จะไปรู้เรื่องราวในเกมได้ยังไงกัน แถมนอกจากนี้เธอก็ไม่มีของตามที่เมฆาถามไว้เลยสักนิด จะมีก็แต่ของที่ท่านแม่กับพี่ชายผมทองเป็นคนให้ไว้เท่านั้น “แล้วกัน นี่เราเล่นโดยไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเกมเลยรึ”

“อื้อ”

คำตอบโดยไม่คิดของราตรีพิสุทธิ์ทำเอาชายหนุ่มถึงกับกุมขมับ เพราะไม่คิดว่าจะมีผู้เล่นหน้าใหม่อย่างราตรีพิสุทธิ์เข้ามาเล่นเกมโดยไม่ศึกษาเนื้อหาของเกมให้ดีเสียก่อน

“แล้วพี่จะอธิบายให้น้องฟังทีหลังนะ” เมฆาพูดอย่างหมดแรง “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เด็กทารกอย่างน้องไม่ควรนอนดึก เพราะงั้นน้องรีบทานข้าวกับดื่มนมให้ไวเลยนะ จะได้เข้านอนกันเสียที”

“อั๊บ! (ครับ!)”

แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็รีบลงมือทานให้ไวเท่าที่จะทำได้

.....................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ปล.ภาพอันแรกมาจากคุณ NG_Galaxyz
ปล2.ภาพที่เราวาดเองค่ะ

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 6 พี่เลี้ยงหรือเพื่อน อัพ 100% 17/9/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 08-10-2014 18:19:21
บทที่ 7 โดนรุม
   
...........................
           
เช้าวันต่อมาหลังจากที่ราตรีพิสุทธิ์ตื่นนอนแล้ว เธอก็พบว่าเมฆากำลังทำอาหารเช้าอยู่

“ล้างหน้าล้างตาก่อนนะน้องราตรี น้ำอยู่ตรงนั้นนะ พี่เตรียมไว้ให้หมดแล้ว” เมฆาบอกพลางชี้นิ้วไปยังถังน้ำที่วางอยู่ข้างเต็นท์ ซึ่งราตรีก็คลานไปล้างหน้าตามที่ชายหนุ่มบอก หลังจากนั้นเธอก็คลานไปหาเห็ดมาริโอที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเต็นท์สักเท่าไหร่

ไม่ไหว สั่งสอนแล้วไม่เคยรู้จักจำเสียที

ราตรีคิดในใจทันทีที่เห็นท่านอนของเห็ดมาริโอ เมื่อคืนนี้เธออุตส่าห์ใจดีปล่อยเห็ดมาริโอออกจากเชือกพร้อมทั้งนำอาหารที่เหลือไปให้มันทานอีกด้วย แทนที่เห็ดมาริโอจะกลับใจเปลี่ยนนิสัยใหม่ แต่กลับยังคงทำต่อโดยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เฮ้อ เลี้ยงคนว่ายากแล้ว เลี้ยงมอนสเตอร์กลับยากกว่าอีก

แล้วเธอก็ปลุกเห็ดมาริโอให้ตื่นก่อนจะคลานกลับไปที่เมฆาอยู่โดยไม่สนใจท่าทางไม่พอใจของเห็ดมาริโอที่ถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้า เมื่อราตรีกับเห็ดมาริโอมาถึงแล้ว เธอก็ก้มลงมองชามอาหารของตัวเองทันที

“อี้อันอะไออันอั๊บอั้นอี้? (นี่มันอะไรกันครับท่านพี่?)” ราตรีเงยหน้าถามอย่างสงสัย เพราะเธอเห็นเนื้อสัตว์ชิ้นเล็กๆจมอยู่ในกองข้าวด้วย

“อ้อ นั่นตับบดละเอียดนะ” เมฆาตอบพลางยื่นเห็ดฟางให้เห็ดมาริโอ ซึ่งทำเอามันถึงกับน้ำตาร่วง “พี่เห็นว่าเราทานแต่กล้วย ก็เลยคิดเปลี่ยนเมนูให้ รับสารอาหารอื่นบ้างคงจะดีไม่น้อยใช่ไหมล่ะ...อย่ามาทำเป็นบีบน้ำตาเรียกความสงสารแถวนี้นะเจ้าเห็ดมาริโอ รีบๆกินเข้าซะ”

ดูเหมือนเมฆาจะรู้แกวทัน จึงพูดเสียงดุใส่มัน

“ทำไม...ทำไม...อาหารของหนู...ต้องเป็นเห็ด แง้!” เห็ดมาริโอแผดเสียงร้องไห้จ้าเมื่อโดนดุ ซึ่งราตรีเห็นแล้วก็อดสงสารแทนมันมิได้ เพราะสิ่งที่เมฆาทำนั้นคือการลงโทษต่อจากเมื่อคืนวานนี้

“อ้าอ้าออแอ้อี้ไอ้แอ้วอั้งอั๊บ (ข้าว่าพอแค่นี้ได้แล้วมั้งครับ)” ราตรีไม่อยากเห็นเห็ดมาริโอถูกแกล้งไปมากกว่านี้ เธอจึงรีบใช้ช้อนตักอาหารของเธอออกครึ่งหนึ่งก่อนจะแบ่งใส่จานใบไม้ให้เห็ดมาริโออย่างรวดเร็ว “อ้าองอานไอ้อด เอ้าอ้ออ้วยอ้าอานอาอ๋านอ้วยแอ้วอัน (ข้าคงทานไม่หมด เจ้าก็ช่วยข้าทานอาหารด้วยแล้วกัน)”

ถึงแม้เมฆาจะฟังคำพูดแล้วจะแปลความหมายของราตรีพิสุทธิ์ไม่ทันก็ตาม แต่ชายหนุ่มกลับเข้าใจดีว่าราตรีพิสุทธิ์กำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอาจานที่ราตรีแบ่งให้เห็ดมาริโอออกทันที

“ก็เพราะน้องใจดีแบบนี้ยังไงเล่า เจ้าเห็ดมาริโอก็เลยยิ่งได้ใจใหญ่นะสิ”

“อย่ามาเรียกหนูว่าเจ้าเห็ดมาริโอนะ หนูมีชื่อว่ามาริโอตั้งหาก” มาริโอพูดยอกย้อน ซึ่งทำให้เมฆาหันหน้ามาถลึงตาใส่ “ฮือๆ อย่าจ้องหนูอย่างนั้นสิ หนูยอมทานเห็ดฟางก็ได้”

มาริโอพูดจบก็รีบคว้าเห็ดฟางที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมาทานอย่างรวดเร็ว ซึ่งราตรีก็ได้แต่มองโดยที่ช่วยอะไรมาริโอไม่ได้เลยสักนิด

ขอโทษนะมาริโอ เพื่อตัวของเจ้าเอง อดทนหน่อยแล้วกัน

หลังจากที่ทั้งสามคนทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางต่อทันที โดยระหว่างทางที่เดินไปนั้นเมฆาจะเป็นคนอุ้มราตรีพร้อมกับเล่าวิธีการเล่นเกมนี้ให้เธอฟัง ส่วนมาริโอก็ได้เดินตามหลังพวกเขาต้อยๆ ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำเดียว

“หนอนยักษ์สีเขียวระดับ 2 ปรากฏ”

เสียงระบบประกาศบอก ซึ่งทำเอาเมฆาถึงกับหยุดชะงัก ทำให้มาริโอที่เดินตามหลังมาเข้าชนขาของเมฆาก่อนจะล้มลงไปนั่งกับพื้น

“แปลกแหะ? ไม่ยักรู้ว่าที่นี่จะมีมอนสเตอร์อยู่ด้วย” เมฆาพูดพลางมองหนอนยักษ์สีเขียวระดับสองที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้า “น้องราตรีไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพี่จะเป็นคนจัดการให้เอง”

เมฆาบอกพลางชักดาบออกมา ส่วนราตรีก็ได้แต่พยักหน้าในทำนองว่าเชิญจัดการตามสบาย เพราะหลังจากที่เธอรู้เรื่องเกมมากพอแล้ว เมฆาก็ได้ยื่นขอเป็นเพื่อนพร้อมกับตั้งกลุ่มโดยแบ่งค่าประสบการณ์การต่อสู้ทั้งหมดให้กับราตรีแทน ซึ่งโชคดีที่เกมนี้ให้สิทธิแก่สมาชิกในกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่าเจ็ดขวบนั้น สามารถดูดค่าประสบการณ์จากหัวหน้ากลุ่มได้ เหตุนี้จึงทำให้ราตรีสามารถดูดค่าประสบการณ์จากเมฆาได้อย่างสบายโดยไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่าง

ฉัวะ!

หนอนยักษ์สีเขียวถูกคมดาบของเมฆาฟันจนตัวขาดครึ่ง ซึ่งดูเหมือนจริงเสียมากจนราตรีต้องรีบเบือนหน้าหนีด้วยความกลัว

“ผู้เล่นเมฆาฆ่าหนอนยักษ์สีเขียวระดับ 2 สำเร็จ”

ระบบประกาศบอกเมื่อหนอนยักษ์สีเขียวถูกฆ่าตาย ก่อนที่ระบบจะประกาศบอกการอัพค่าประสบการณ์ที่ได้มาให้ราตรีฟังอย่างต่อเนื่อง

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 500”

“ท่านได้เลื่อนระดับพื้นฐานให้เป็นเด็กทารกระดับ 9”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 501”

“ท่านได้รับเนื้อหนอนยักษ์ 1 ชิ้น”

“อั้นอี้เอ่งอัง อ๋าอาดอ้าอ๋อนอั๊กอายไอ้อ้วย (ท่านพี่เก่งจัง สามารถฆ่าหนอนยักษ์ตายได้ด้วย)”

ราตรีกล่าวชมอย่างใจจริงโดยไม่ได้หันหน้ากลับไปดูศพหนอนยักษ์เพราะยังกลัวอยู่

“เก่งเกิ่งไรกัน อย่าชมพี่หน่อยเลยนะเรา” เมฆาบอกพลางเก็บดาบเข้าฝัก “ว่าแต่เราเถอะ กลัวขนาดจนหลับตาปี๋เลยรึ”

ราตรีถึงกับเบ้ปากเมื่อได้ยินที่เมฆาแซวเธอ

“ไอ้อำไอไอ้ อ้ออนอันไอ้เอยเอ๋นอี้ (ให้ทำไงได้ ก็คนมันไม่เคยเห็นนี่)”

“งั้นก็ทำใจให้มันชินซะ เพราะเรายังต้องเจออีก...” เมฆาชะงักพูดพลางหันซ้ายหันขวาจนราตรีนึกสงสัย “...ให้ตายสิ พูดยังไม่ทันขาดคำก็พากันแห่มาอีกแล้ว เฮ้อ ระบบเกมนี่ใช้การไม่ได้เลย ดูสิ ผู้เล่นอย่างพี่รู้ตัวทันก่อนมันจะประกาศอีกเสียนี่ อ้อ น้องราตรีขึ้นไปอยู่บนคอพี่เร็วเข้า ส่วนเจ้ามาริโอ...ระวังอย่าให้โดนจับเอาไปกินเชียวล่ะ”

เมฆาบอกพลางดันก้นร่างเล็กให้ขึ้นไปนั่งอยู่บนต้นคอตัวเองโดยไม่สนเสียงโวยของมาริโอเลยสักนิด แล้วชายหนุ่มชักดาบออกมาจากฝักอีกครั้ง ซึ่งประจวบเหมาะพอดีที่ระบบประกาศออกมาพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง

“บอสหนอนยักษ์สีเขียวระดับ10 ปรากฏ”

“หนอนยักษ์สีเขียวระดับ2 ปรากฏ”

“หนอนยักษ์สีเขียวระดับ3 ปรากฏ”

“หนอนยักษ์สีแดงระดับ8 ปรากฏ”

“หนอนยักษ์สีเขียวระดับ3 ปรากฏ”

“หนอนยักษ์สีแดงระดับ8 ปรากฏ”

และมันยังคงประกาศต่อโดยไม่สนใจผู้เล่นทั้งสองที่กำลังหน้าซีดเข้าไปทุกที

“ตายแน่ๆ แห่มาเยอะอย่างนี้คงไม่รอดแน่!” มาริโอแผดเสียงร้องดังลั่นพร้อมกับวิ่งวนรอบตัวเมฆาอย่างหวาดกลัว “ไม่รอดแน่ พระเจ้าช่วยกล้วย...”

“หุบปาก!”

เมฆาตะโกนเสียงดังลั่น ทำเอามาริโอรีบหุบปากอย่างเร็ว ซึ่งราตรีเข้าใจดีว่าเมฆาตวาดไปเพื่อต้องการทำสมาธิ

“อกอิอ้วกออนเอ้ออาอดเออะอะอาดอี้เอยอ๋ออั๊บอั้นอี้เออา (ปกติพวกมอนสเตอร์ปรากฏเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับท่านพี่เมฆา)” ราตรีถามอย่างสงสัย เพราะถ้าเธออยู่คนเดียวแล้วต้องมาเจอแบบนี้เข้าล่ะก็คงแย่แน่ๆ

“ไม่เลยสักนิดเดียว” เมฆาพอเดาคำพูดของราตรีออก ก็เลยทำให้ชายหนุ่มตอบกลับไปได้โดยไม่ต้องคิดมาก “อย่างมากก็แค่ห้าตัว อย่างที่พี่เคยเล่าไป บนเกาะเริ่มต้นจะมีมอนสเตอร์น้อยมากเพราะกลัวผู้เล่นหน้าใหม่จะสู้ไม่ได้ แต่นี่มันผิดปกติเกินที่พี่เคยเจอมาก่อน เอาล่ะ เกาะพี่ให้แน่นๆนะน้องราตรี เพราะต่อจากนี้ไปพี่จะสู้กับพวกมอนสเตอร์แบบไม่หยุดพัก น้องราตรีไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะ เดี๋ยวพี่จะคอยอยู่คุ้ม…”

จู่ๆ เมฆาก็เงียบเสียงไปหน้าตาเฉย ทำให้ราตรีนึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเงียบไป ไม่ทันที่ราตรีจะได้ก้มหน้ามองเมฆาอย่างสงสัย ระบบเกมก็ได้ประกาศบอกกับเธอเสียก่อน

“ผู้เล่นเมฆาถูกตัดออกจากเซิฟเวอร์ค่ะ”

............................

“นั่นแกทำอะไรของแกนะไอ้ปริญ!”

ดนัยเทพร้องโวยวายเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานกดปุ่มคำสั่งให้ผู้เล่นเมฆาหลุดออกจากเซิฟเวอร์กะทันหัน ส่วนคนโดนโวยที่กำลังทำหน้าสะลึมสะลือเพราะง่วงนอนจัด ต้องกระเด้งออกจากเก้าอี้ราวกับถูกไฟช็อตใส่

“เอ๋? อะไรดนัย นายเรียกฉันเหรอ ฮ้าว! ง่วงวุ้ย” ถึงแม้จะตื่นแล้วแต่เสียงพูดยังคงงัวเงีย ซึ่งดนัยเทพทนไม่ได้ที่เห็นปริญทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาจึงจับไหล่อีกฝ่ายก่อนจะเขย่าไปมาอย่างเร็วๆ “เฮ้ยๆ อย่าเขย่าสิฟ่ะ! ปลุกกันดีๆก่อนก็ได้ ไม่เห็นต้องลงไม้ลงมือถึงขนาดนี้เลยนี่ไอ้ดนัย!!”

“นี่แกยังไม่รู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปอีกนะไอ้ปริญ!! ดูนู่น! ถ้าอยากรู้ก็หันไปดูหน้าจอของตัวเองซะ!”

ดนัยเทพแผดเสียงบอกอย่างสุดทนก่อนจะใช้มือดันศีรษะของเพื่อนร่วมงานให้หันไปดูหน้าจอ ซึ่งทำเอาปริญที่ยังไม่หายสะลืมสะลือดี กลับต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“อุ๊บส์!”

“ไม่ต้องมาอุ๊บส์เลยไอ้ปริญ แกรู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป! ดีนะที่คนอื่นๆพักงานครึ่งชั่วโมง ไม่งั้นคงแย่กว่านี้แน่” ดนัยเทพบอกพลางปล่อยมือออกจากศีรษะของปริญ “มีอย่างที่ไหนง่วงนอนจนเผลอกดปุ่มไล่ไอดีผู้เล่นเมฆาให้หลุดออกจากเซิฟเวอร์ในขณะตอนหน้าสิวหน้าขวานแบบนี้กันด้วยเล่า ฮึ! งานนี้เราคงได้เห็นไอดีแปดพันถูกมอนสเตอร์ฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตาซะแล้วมั้งไอ้ปริญ!”

แล้วปริญก็เงียบไปราวกับใช้ความคิด ก่อนจะพูดต่อ

“งั้นก็ส่งผู้ช่วยไปสิ จะได้ไม่ต้องทนเห็นไอดีแปดพันถูกฆ่าไง”

“ไอ้บ้า!” ดนัยเทพด่าทันทีที่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย “คิดจะแก้ปัญหาด้วยวิธีนั้นได้รึไง แกอย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นใคร จะไปช่วยผู้เล่นตลอดแบบนั้นมันไม่ดีหรอกนะ”

“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” ปริญถามย้อน ซึ่งทำเอาดนัยเทพถึงกับสะอึก

“ก็…ก็…”

“เห็นไหม แม้กระทั่งนายก็ยังคิดไม่ได้” ปริญพูดพลางส่ายหน้า “ช่างเถอะ ถือว่างานนี้ฉันผิดเอง เอ้อ ถ้านายจะส่งรายงานท่านประธานคราวหน้าแล้วล่ะก็ ช่วยเขียนรายงานลงไปด้วยว่าฉันเป็นคนทำให้ไอดีแปดพันต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์นับร้อยตัวจนถึงแก่ความตายแล้วกัน”

“ปริญ นี่แก…”

ดนัยเทพพูดไม่ออกเมื่อเห็นปริญยอมแพ้อย่างง่ายๆแบบนี้ เพราะเจ้าตัวเป็นคนมีไอคิวสูงผิดกว่าคนปกติ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องจะยากมากแค่ไหน ปริญก็มักจะแก้ไขได้อยู่ตลอดเสมอ

“อ้อ แล้วก็ฝากแจ้งท่านประธานให้ด้วยว่า ฉันขอลาพักครึ่งชั่วโมง”

จู่ๆ ปริญก็พูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย ทำเอาดนัยเทพถึงกับงง

“นั่นแกจะไปไหนของแกน่ะไอ้ปริญ” ดนัยเทพถามอย่างสงสัย ซึ่งปริญยังไม่ตอบคำถามของดนัยเทพเดี๋ยวนั้น ชายหนุ่มกลับรีบหยิบแว่นตาอนาล็อกเกมขึ้นมาก่อนจะตอบกลับมาด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์ว่า

“ก็ไปช่วยเด็กทารกน่ารักในเกมไง…ถึงจะกฎระบุว่าห้ามจีเอ็มทำการยื่นมือเข้าแทรกแซงการดำเนินเกมของผู้เล่น แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าห้ามผู้เล่นช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้นี่หว่า”

.........................

ย้อนมาทางด้านใครบางคนที่ถูกตัดเซิฟเวอร์โดยไม่รู้ตัวนั้น ก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้นท่ามกลางความมืดไร้แสงสว่างในห้องนอนของคฤหาสน์อันใหญ่โตแห่งหนึ่งในประเทศจีน ทีแรกเจ้าตัวออกจะงุนงงสักเล็กน้อยเนื่องจากเมื่อครู่นี้ตนกำลังยืนคุยกับเพื่อนในเกมอยู่เลย แต่ไฉนถึงได้โดนตัดออกจากเกมอย่างกะทันหันทั้งๆที่คฤหาสน์ของเขาไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตเลยสักนิด

หรือว่าไฟตก?

เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงถอดแว่นตาอนาล็อกออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลส่องประกายสดใสท่ามกลางความมืดมิด ครั้นคิดจะผุดลุกขึ้นจากที่นอน ก็รู้สึกปวดเอวกะทันหันจึงโน้มตัวลงสักครู่ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง

ไม่ไหว นอนเล่นเกมนานเกินไปหน่อยมั้งเรา

เจ้าตัวคิดพลางส่ายหน้ากับความบ้าเกมของตัวเอง แล้วจากนั้นจึงหันไปกดสวิตซ์ไฟที่หัวเตียง ก่อนที่แสงสว่างจะปรากฏขึ้นทั่วห้อง เผยให้เห็นร่างสูงในวัยชราราวเจ็ดสิบปลายผมสั้นระต้นคอสีดำในชุดคลุมสีฟ้าครามลายมังกรนั่งอยู่บนเตียงหลังใหญ่ท่ามกลางห้องนอนที่หรูหราระดับโรงแรมห้าดาว

“นี่มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง”

เจ้าตัวบอกพลางกดปุ่มเรียกให้ใครสักคนเดินเข้ามา ซึ่งไม่นานนักประตูสีทองของห้องก็ถูกเปิด ซึ่งเผยให้เห็นชายหนุ่มลูกครึ่งจีนร่างสูงผมดำสั้นในชุดสูทสีดำเดินย่างกรายเข้ามาในห้องก่อนจะหยุดเดินพร้อมกับโค้งคำนับผู้ที่อยู่บนเตียงด้วยความนอบน้อม

“มีเรื่องอะไรหรือครับ บอส”

 “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่จะวานให้ช่วยอะไรนิดหน่อย”

 “ครับบอส”

ที่แท้ชายชราวัยเจ็ดสิบผู้นี้คือเมฆาที่เพิ่งถูกปริญกดปุ่มไล่ออกจากเกมเมื่อครู่นี้เอง!

นี่ถ้าคนในเกมได้รู้ถึงฐานะแท้จริงของผู้เล่นเมฆานี่แล้วล่ะก็ มีหวังตกใจจนช็อกหมดสติแน่ ซึ่งไม่เว้นแต่ราตรี ดนัยเทพ หรือแม้กระทั่งปริญก็ตามที เพราะเขาคือไป่เส้าอวิ๋น อดีตตำนานมาเฟียผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีอิทธิพลครอบงำกึ่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ แม้รัฐบาลยังต้องเกรงใจ

“นี่กี่โมงแล้วรึอาเฟย” เขาเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม “อยากให้นายโทรไปถามองค์การไฟฟ้าหน่อย”

อาเฟยหรือบอดี้การ์ดของเขารับฟังก่อนจะพูดตอบกลับไปว่า

“บ่ายสองสี่สิบครับบอส เอ่อ องค์การไฟฟ้ามีปัญหาอะไรกับบอสหรือครับ”

“ก็เรื่องเกมที่เรากำลังเล่นอยู่นี่ไงล่ะอาเฟย” ชายชราพูดพลางถอนหายใจ “อยู่ดีๆ เราก็ถูกตัดออกจากเซิฟเวอร์ทั้งที่เราไม่ได้ต้องการออฟไลน์ออกจากเกมเลยแม้สักนิดเดียว”

ถึงแม้ร่างกายจะแก่ชราไปมากแล้ว แต่อวิ๋นหรือเมฆาก็ยังมีนิสัยที่ชื่นชอบเล่นเกมเหมือนเด็กเสมอ ส่วนอาเฟยก็ได้แต่ทำหน้าขมวดคิ้วมองผู้เป็นนายของตนอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ถึงได้ติดเกมยิ่งนัก และนอกจากนั้นเขายังบังคับให้ตนร่วมเล่นเกมเรียลออฟไลฟ์นี้เป็นเพื่อนโดยห้ามนำไปบอกใครเป็นอันขาดอีกด้วย

“แปลกนะครับ ถ้าเป็นเรื่องไฟฟ้าแล้ว ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้ เพราะเมื่อครู่นี้ผมเองก็กำลังดูข่าวทางโทรทัศน์อยู่พอดี หรือว่ามีคนปองร้าย! จริงสิ!! มันต้องเป็นพวกแฮคเกอร์! มันต้องใช่ฝีมือพวกแฮคเกอร์แน่ๆ ครับบอส!!”

อาเฟยพูดด้วยความเดือดดาล เพราะเขาไม่นึกเลยว่าจะมีคนกล้ากระตุกหนวดมังกร ด้วยการไล่เมฆาที่เป็นผู้เล่นระดับท็อปซึ่งกำลังเป็นที่โด่งดังของเกมเรียลออฟไลฟ์ให้ออกจากเกมอย่างกะทันหัน

“ใจเย็นๆ อาเฟย เรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับแฮคเกอร์หรอก” ไป่เส้าอวิ๋น รีบพูดกล่อมเพราะกลัวว่าอาเฟยจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ “ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ค่อยจะดีก็เป็นได้ แล้วอีกอย่างเราก็แค่ถูกตัดออกจากเซิฟเวอร์เกมเท่านั้น”

“แต่ผมเกรงว่า…”

“ไม่มีแต่ จัดการทำให้เรากลับเข้าไปในเกมด่วน เพราะตอนนี้เราต้องรีบกลับไปช่วยชีวิตเด็กทารก ไม่สิ เพื่อนตัวน้อยให้ทันก่อนที่จะสายเกินแก้”

เขาพูดตัดบทเพราะเขาเริ่มเป็นกังวลว่าราตรีจะตายไปเสียก่อนที่เขาจะได้เข้าไปช่วย

“ครับ”

อาเฟยตกปากรับคำก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องนอนเพื่อทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งกว่าที่อวิ๋นจะได้กลับเข้าไปสวมบทบาทของผู้เล่นเมฆาอีกครั้ง เวลาในเกมก็ผ่านไปราวห้าถึงหกวันแล้ว

.............................

วกกลับมาทางด้านเกม หลังจากเมฆาได้หายตัวไปต่อหน้าแล้ว ราตรีก็ได้ขึ้นขี่คอมาริโอราวกับขี่ม้า ก่อนจะสั่งให้มันออกวิ่งหนีฝูงหนอนนับร้อยชีวิตที่ติดตามหลังอย่างน่ากลัว

“ฮู้ๆ อ้าไอ้อากอายอ้ออิ้งเอ็วเอ้าอาอิโอ้! (วู้ๆ ถ้าไม่อยากตายก็วิ่งเร็วเข้ามาริโอ!)”

ส่วนมาริโอที่ถูกสั่งให้วิ่งหนีก็ได้แต่ร้องเหนื่อยหอบจะเป็นจะตาย เพราะมันได้พาเจ้านายออกวิ่งมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว

“แฮ่กๆ ฮือๆ ทำไมหนูต้องมาวิ่งแบบนี้ด้วย”

โป๊ก!

เสียงราตรีทุบหัวมาริโอด้วยความหมั่นไส้

“อิ้งอ่อไอ อ้ามอ่น (วิ่งต่อไป ห้ามบ่น)” ราตรีพูดเสียงดุ ถ้าให้เลือกได้ราตรีคงไม่ใช้มาริโอให้วิ่งหนีจนเหนื่อยขนาดนี้หรอก แต่เธอจำเป็นต้องทำเพราะคนที่เคยเอ่ยปากว่าจะปกป้องกลับหายไปเสียแล้ว “อ้าออดอาย ไอ้อ้าอาด (ถ้ารอดตาย ให้ห้าบาท)”

ส่วนมาริโอเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายบอก ก็แทบมึนงงเพราะไม่รู้จักคำว่าห้าบาทเลยสักนิดเดียว แต่ด้วยสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานแบบนี้ มาริโอจึงตัดใจไม่ถามเจ้านายของมันอีก เพราะถึงถามไปก็มีแต่จะโดนทุบหัวเอาได้ง่าย

กึก!

เนื่องจากมาริโอวิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาทำให้สะดุดรากไม้จนล้มลงไป ส่วนราตรีที่ขี่คอมันอยู่ก็กระเด็นกลิ้งไปข้างหน้ามาริโอซะจนหลายตลบ

“อูย เอ็บๆ (อูย เจ็บๆ)” ราตรีร้องครางอย่างแผ่วเบาเมื่อร่างของเธอได้หยุดกลิ้งแล้ว พอตั้งตัวได้เธอก็เงยหน้าขึ้นมองหาทาสรับใช้ของตัวเอง ก่อนจะตกใจเมื่อได้เห็นมอนสเตอร์นับร้อยกำลังคลานมาจวนใกล้จะถึงพวกเธอแล้ว “อาอิโอ้! อุ๊กเอ็วเอ้า อวกอันอาแอ้ว! (มาริโอ! ลุกเร็วเข้า พวกมันมาแล้ว!)”

มาริโอได้ยินที่เจ้านายมันบอก ก็รีบผุดลุกขึ้นยืนพลางหันกลับไปมองก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นฝูงหนอนยักษ์กำลังคลานตามมาอย่างรวดเร็ว

“ว้าก! พวกมันมาแล้วจริงๆด้วย!”

มาริโอร้องอย่างเสียขวัญก่อนจะวิ่งมาทางเจ้านาย แต่แทนที่มันจะคาบเธอวิ่งหนีไปด้วยพร้อมกัน มันกลับวิ่งกระโดดข้ามตัวเธอไปอย่างหน้าตาเฉย

“อ้าวเอ้ย! อั้นอะอี๋ไอไอ๋! อาอับอ้าไออ้วยอิ! (อ้าวเฮ้ย! นั่นจะหนีไปไหน! มารับข้าไปด้วยสิ!)” ราตรีร้องเรียกให้มาริโอวิ่งกลับมารับตัวเธอด้วย แต่มันกลับตะโกนบอกกับเธอว่า “เรื่องอะไรที่ข้าจะต้องรับแกไปด้วยเล่าไอ้เด็กเปรต! ตัวใครตัวมันล่ะเฟ้ย!!”

แล้วมาริโอก็วิ่งหนีหายเข้าไปในป่าลึกโดยไม่ย้อนกลับมารับราตรีเลยสักนิด ซึ่งการกระทำของมาริโอทำเอาราตรีถึงกับอ้าปากค้าง

ทั้งที่เราอุตส่าห์ใจดีกับมันแล้วแท้ๆ…

แต่มันกลับเลือกที่จะทิ้งเรา…


พอราตรีคิดได้ดังนั้น น้ำตาก็พลันไหลอาบแก้มด้วยความน้อยอกน้อยใจที่ใครๆต่างพากันทิ้งเธอไปกันจนหมด

สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง...

ไม่มีใครเลยที่จะอยู่ข้างกายเราได้ตลอดเวลา...


แล้วราตรีก็ก้มหน้าฟุบกับอ้อมแขนน้อยๆของตัวเองท่ามกลางวงล้อมของมอนสเตอร์นับร้อยที่จ้องจะฆ่าเธออยู่ในเร็วๆนี้

....................

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 7 โดนรุม (อัพ 100%) 8/10/57)
เริ่มหัวข้อโดย: done_dirt_cheap ที่ 21-10-2014 12:52:54
:3123:
เป็นกำลังใจให้ล่ะกันน๊า
รออ่านต่อ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 7 โดนรุม (อัพ 100%) 8/10/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 23-10-2014 15:06:08
น้องราตรีน่าสงสาร   :mew6:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 7 โดนรุม (อัพ 100%) 8/10/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Vavaviz ที่ 23-10-2014 19:34:57
น่าสนใจจจจ

มาอัพเร็วๆนะค้า
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 7 โดนรุม (อัพ 100%) 8/10/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 23-10-2014 20:00:17
บทที่ 8 มิตรภาพ

............................

“วู้! อิสระจ๋าข้ามาแล้ว!!”

มาริโอโห่เสียงร้องอย่างดีใจหลังจากที่วิ่งหนีได้มาไกลพอสมควร นั่นก็เป็นเพราะว่าเกมนี้ถูกตั้งโปรแกรมให้ทาสรับใช้ของผู้เล่นสามารถไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องให้เจ้านายตามไปด้วย แต่ถ้าหากเจ้านายเรียกหาแล้ว ไม่ว่าทาสรับใช้จะอยู่ที่ห่างไกลหรือกำลังทำอะไรอยู่ก็ตามที มันก็จะต้องหายตัวกลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายอัตโนมัติทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งราตรีพิสุทธิ์เองก็ได้เรียนรู้วิชาการเรียกทาสรับใช้ของตัวเองนี้จากเมฆามาแล้วด้วยเช่นกัน เมื่อมาริโอวิ่งมาได้สักพักแล้วจึงหยุดลงที่ลำธารแห่งหนึ่งเพื่อพักให้หายเหนื่อย

“ลำธาร! โห น้ำใสแจ๋วซะด้วย ไปกินน้ำดีกว่าเรา” เห็ดมาริโอพูดก่อนจะวิ่งเข้าไปกินน้ำในลำธาร ซึ่งมาริโอกินน้ำสักอึกใหญ่ได้แล้ว มันก็กระโดดลงว่ายน้ำอย่างสนุกสนาน “เจ้าก็ลงมาเล่นน้ำด้วยสิไอ้เด็กเปรต”

มาริโอเผลอร้องเรียกหาราตรีพิสุทธิ์ด้วยความลืมตัว แต่พอมันหันกลับไปดูฝั่งก็พบกับความว่างเปล่า

จริงสิ ข้าทิ้งไอ้เด็กนั่นมานี่...

มาริโอคิดในใจก่อนจะนึกความหลังที่ทารกน้อยผมสีเงินเป็นผู้ทำอาหารให้มันกินทั้งๆที่อีกฝ่ายยังเล็กกว่ามันมาก ไหนจะช่วงเวลาที่มาริโอท้องเสียเพราะมันได้ชิมฝีมือการทำอาหารของทารกน้อยตนนั้น อีกฝ่ายก็ยังสู้อุตส่าห์คลานไปหาผลไม้มาบดให้มันทานแก้ท้องเสียอีก

“เฮ้ย! นี่ข้าจะไปคิดถึงไอ้เด็กเปรตนั่นไปทำไมกัน อุตส่าห์รอดพ้นเงื้อมมือมันแล้วแท้ๆ เฮ้อ! นอนเล่นดีกว่า” มาริโอพูดก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่บนพื้นหญ้าที่เขียวชอุ่ม ถึงแม้ที่นี่จะมีลมเย็นๆพัดพาให้น่านอนก็ตาม แต่มันกลับรู้สึกร้อนรุ่มจนนอนไม่หลับ แล้วมาริโอนอนมองท้องฟ้าอยู่เนิ่นนานก็พลันคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้อีกครั้ง หลังจากที่มาริโอถูกห้อยหัวอยู่นานเกือบสามชั่วโมง ทารกน้อยก็ได้คลานมาหามันถึงที่ตามลำพัง

“อ๋อโอ้ดอี้ไอ้ออยอาน อ้าอาอ้วยเอ้าแอ้ว (ขอโทษที่ให้คอยนาน ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว)”  ทารกผมสีเงินบอกก่อนจะมองซ้ายมองขวาราวกับหาอะไรบางอย่าง “อ๊ะ อั้นไอ (อ๊ะ นั่นไง)”

แล้วร่างเล็กคลานหายไปจากสายตาของมันสักพัก ก่อนจะโผล่ออกมาอีกครั้งพร้อมกับไม้ยาวด้ามหนึ่งซึ่งปลายไม้มีมีดสั้นเล่มหนึ่งถูกมัดติดเชือกมาด้วย

“อิ้งๆอ๊ะ เอี๋ยวอะอัดเอื๊อกไอ้ (นิ่งๆนะ เดี๋ยวจะตัดเชือกให้)” แล้วเจ้านายก็ทำให้มันเป็นอิสระจากการถูกห้อยหัว ก่อนจะคลานมาหามันอีกครั้งพร้อมกับตัดเชือกที่มัดรอบตัวออก “อิ๋วอื๋ออัง อ้าเอาอาอ๋านอับอาๆไอ้เอาอิน (หิวหรือยัง ข้าเอาอาหารกับยามาให้เจ้ากิน)”

เนื่องจากมาริโอถูกเมฆาเฆี่ยนอย่างหนัก แถมหิวจนไส้จะขาดจึงได้แต่นอนนิ่งมองร่างเล็กที่นั่งอยู่เบื้องหน้ามันเพียงอย่างเดียว

“อ้าวแอ้วอัน อะอับไอ้อ้ายออกอึ๊ (อ้าวแล้วกัน ขยับไม่ได้หรอกรึ)” ร่างเล็กพูดด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่ามันไม่ยอมดื่มยากับทานอาหารตามที่สั่ง “ฮู้! อั๋นเอี๋ยวอ้าอ้อนไอ้แอ้วอันอะ (ฮู้! งั้นเดี๋ยวข้าป้อนให้แล้วกันนะ)”

แล้วเจ้านายของมาริโอก็ป้อนอาหารให้มันจริงๆ ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับอึ้ง ไหนจะป้อนยาให้มันหลังจากป้อนข้าวเสร็จกับทายาบนแผลที่ถูกเฆี่ยนด้วยแส้ให้มันอีก

นี่มันคิดถูกหรือคิดผิดที่บังอาจทิ้งเจ้านายไว้เบื้องหลังแล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดแบบนี้

มาริโอครุ่นคิดในใจอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนมันจะวาดภาพร่างทารกถูกเหล่าหนอนยักษ์สีเขียวหลายร้อยตัวรุมทำร้ายอย่างน่ากลัว เจ้านายของมันทั้งตัวเล็กทั้งไม่มีเรี่ยวแรงพอจะถืออาวุธอะไรได้นอกจากแส้กำราบสัตว์กับค้อนพลาสติกเท่านั้น ซึ่งผิดกับหนอนยักษ์ที่มีระดับมากกว่าราตรีพิสุทธิ์ลิบลับ นี่ถ้าได้มันสักคนคอยอยู่ช่วยป้องกัน ก็คงจะพอพาหนีได้อยู่บ้าง ทว่าความคิดด้านเลวของมาริโอขัดแย้งกับความคิดด้านดี มันจึงเลือกที่จะนอนต่อ

ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ไอ้เด็กเปรตนั่นจะได้ลิ้มรสของความเจ็บปวดเหมือนมันซะบ้าง

มาริโอคิดในใจพลางหลับตาลง ก่อนที่มันจะได้เห็นภาพเจ้านายมันที่ชุ่มไปด้วยเลือด

“กร็อด!” มาริโอกัดฟันตัวเองด้วยความเกรี้ยวกราด ซึ่งมันก็รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งกลับไปยังทิศที่มันเคยทิ้งเจ้านายของมันเอาไว้

อย่าเพิ่งรีบตายไปก่อนล่ะไอ้เด็กเปรต!

..............................

ย้อนกลับมาทางด้านราตรีอีกครั้ง ซึ่งเธอเกือบจะถูกหนอนยักษ์ฆ่าถ้าไม่ได้สร้อยผลึกเกล็ดย้อนของท่านแม่คอยป้องกันเอาไว้แล้วล่ะก็ เธอคงตายไปนานตั้งแต่การโจมตีครั้งแรกของหนอนยักษ์ไปนานแล้ว แต่พอเวลาผ่านไปได้ไม่นาน บาเรียที่คอยคุ้มกันราตรีก็เริ่มมีรอยร้าวขึ้นปรากฏ ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับใจเสีย

ไม่นะ...

อย่าเพิ่งมาหายตอนนี้เลยได้โปรด...


“พระเอกมาแล้ว!”

จู่ๆ เสียงใครบางคนก็ดังขึ้นแทรกความคิด ซึ่งทำให้ราตรีรีบหันหลังกลับไปมองก่อนจะเห็นมาริโอยืนเต๊ะบนโขดหินด้วยท่าที่มันคิดว่าเท่ห์ที่สุดในชีวิต

มาริโอ!

ราตรีเห็นแล้วรู้สึกเป็นปลื้มแกมสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงคิดกลับมาช่วยเธอทั้งๆที่มันสามารถหนีเอาตัวรอดไปแล้วด้วยซ้ำ

“อับอาอำไอเอ้าอ้า! อากอะอายอึ๊ไอ อี๋ไออ๊ะ! (กลับมาทำไมเจ้าบ้า! อยากจะตายรึไง หนีไปซะ!)” ราตรีตะโกนบอกมัน เพราะเธอไม่ต้องการให้มันกลับมาช่วยเธอ แต่ทว่ามาริโอหาได้ทำตามไม่ มันกลับวิ่งกระโดดข้ามเป็นระยะๆเพื่อหลบหนอนยักษ์ที่ขวางทางมันอยู่

“อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มาช่วยเจ้า” มาริโอบอกในขณะที่มันกระโดดถีบตัวหนอนยักษ์ที่ยืนขวางทางมัน “เพราะคนที่จะจัดการกับเจ้าคือข้าคนเดียวเท่านั้น”

ถึงแม้คำพูดของมาริโอจะฟังดูน่าโมโห แต่มันก็ทำให้ราตรียิ้มออกมาได้อีกครั้ง เมื่อมาริโอได้ฝ่าวงหนอนยักษ์นับร้อยตัวจนเข้ามาถึงตรงที่ราตรีนอนอยู่ได้แล้ว บาเรียที่เคยคุ้มกันราตรีก็พลันหายไปทันที

“เวรล่ะ! บาเรียหาย!!” มาริโอร้องอย่างตกใจก่อนจะคาบเสื้อราตรีดึงขึ้นมา ซึ่งราตรีเองก็ใช่ว่าจะอยู่เฉย เธอรีบปีนขึ้นกลับไปนั่งบนหัวมาริโอตามเดิมก่อนจะหยิบแส้กำราบสัตว์ขึ้นมาโจมตีหนอนยักษ์อย่างเร็ว ส่วนมาริโอก็รีบงัดไม้ตายของตัวเองมาใช้กับพวกหนอนยักษ์ต่อ ถึงแม้ราตรีจะได้มาริโอกลับมาช่วยแล้ว แต่มันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้มาก มันทำได้ก็แค่เตะถีบกับกระโดดเหยียบเท่านั้น  ซึ่งไม่นานนักทั้งคู่ก็เริ่มถูกฝูงหนอนยักษ์บีบเข้าเป็นวงแคบ

“ไอ้อีอ้าเอะอะอองเอ่าอื๋ออ้นอูกไออ๋ออาอิโอ้ (ไม่มีท่าเตะกระดองเต่าหรือพ่นลูกไฟเหรอมาริโอ)” ราตรีถามอย่างพึ่งนึกขึ้นได้ขณะที่เธอกำลังใช้แส้ฟาดหนอนยักษ์อย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนคนถูกถามได้แต่มึนงงกับคำถามของราตรี “อั้นไอ้อ้ออะโอดเอียบเอ้าอ้วกอี้ไอเอื้อยๆ อะไอ้อ็อคอึ่งอ้อยอัว (งั้นไม่ก็กระโดดเหยียบเจ้าพวกนี้ไปเรื่อยๆ จะได้ตัวป๊อก 100 ตัว)”

“ชื่อเหมือนแต่เกมไม่เหมือนนะเฟ้ย!” มาริโอตอบกลับอย่างฉุนเฉียวพลางกระโดดเหยียบหนอนยักษ์ตัวหนึ่ง “ถ้าเจ้าทำขนาดนั้นได้ เรามาฟิวชั่นกันเลยดีกว่าไหม”

ราตรีได้ยินก็นึกขำที่อีกฝ่ายพูด

เข้าใจพูดประชดดีนะ

หากด้วยสถานการณ์ปกติราตรีคงคิดจะพูดกับมาริโอต่ออีกแน่ แต่ตอนนี้มันฉุกเฉินเกินกว่าที่จะล้อกันเล่นได้ ทันทีที่มาริโอจะกระโดดโจมตีอีกครั้ง กลับโดนบอสหนอนยักษ์ที่แอบอยู่มุมอับสายตาของมันเข้าเล่นงานจนทำให้มาริโอกับราตรีต้องล้มลงไปนอนกับพื้น

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกบอสหนอนยักษ์ระดับ10 โจมตี ทำให้พลังลดลง 5”

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของบอสหนอนยักษ์ ทำให้พลังลดลง 8”

ระบบประกาศก้องหัวราตรีพิสุทธิ์ ซึ่งมาริโอก็ได้คืบคลานมาหาเธอก่อนจะใช้ตัวบังไว้

“อำอะไออะอาอิโอ้ อ่อยอ้าออกไออะ! (ทำอะไรนะมาริโอ ปล่อยข้าออกไปนะ!)” ราตรีบอกพลางใช้มือสองข้างดันอีกฝ่ายให้ออก แต่มาริโอกลับหาทำตามไม่

“ไม่ ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องตายก่อนข้าไอ้เด็กเปรต” มาริโอบอกเสียงเข้ม “ต้องมีใครสักคนมาช่วยเจ้าอย่างแน่นอน ข้าเชื่ออย่างนั้น”

มาริโอพูดก่อนจะโดนบอสหนอนยักษ์กับพวกหนอนยักษ์รุมกระหน่ำเข้าโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกบอสหนอนยักษ์ระดับ10 โจมตี ทำให้พลังลดลง 10”

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกหนอนยักษ์ระดับ2 โจมตี ทำให้พลังลดลง 8”

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกหนอนยักษ์ระดับ3 โจมตี ทำให้พลังลดลง 7”

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกหนอนยักษ์ระดับ8 โจมตี ทำให้พลังลดลง 3”

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกหนอนยักษ์ระดับ7 โจมตี ทำให้พลังลดลง 7”

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกหนอนยักษ์ระดับ5 โจมตี ทำให้พลังลดลง 2”

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกหนอนยักษ์ระดับ1 โจมตี ทำให้พลังลดลง 1”

เสียงระบบประกาศอย่างบ้าคลั่งผนวกกับเลือดที่ไหลกระเซ็นจากมาริโอทำให้ราตรีนึกเจ็บใจที่ตัวเองช่วยอะไรมันไม่ได้ ส่วนคนที่ป้องกันเธออยู่ก็ได้แต่กระอักเลือดโดยไม่ร้องเสียงออกมาซักนิดเดียว

“มะ…มาริ…โอ” นี่เป็นครั้งแรกที่ราตรีเรียกชื่อมาริโอได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้มันรู้สึกดีใจที่ได้ยินเจ้านายมันพูดชัดเป็นครั้งแรก แล้วมาริโอก็ได้กระอักเลือดอีกครั้ง ก่อนจะพลันล้มลงทับราตรีทันที

“เนื่องจากเห็ดมาริโอเสียเลือดมากเกินไป ทำให้ติดค่าสถานะมึนงง”

พอมาริโอทรุดตัวลงทับราตรีแล้ว จู่ๆ พื้นที่รอบข้างเกิดเสียงระเบิดดังลั่น ซึ่งราตรีก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเธอถูกมาริโอทับจึงมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

เกิดอะไรขึ้นละนี่?

ในระหว่างที่ราตรีรอคอยว่ามันเกิดอะไรขึ้นนั้น เสียงระบบก็ได้ประกาศบอกค่าประสบการณ์ที่ราตรีได้รับจากพวกหนอนยักษ์ทั้งๆที่เธอไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับเนื้อหนอนยักษ์จำนวน 2 ชิ้น”

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับเนื้อหนอนยักษ์จำนวน 5 ชิ้น”

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับเนื้อหนอนยักษ์จำนวน 4 ชิ้น”

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับเนื้อหนอนยักษ์จำนวน 6 ชิ้น”

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับเนื้อหนอนยักษ์จำนวน 7 ชิ้น”

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับเนื้อหนอนยักษ์จำนวน 2 ชิ้น”

ถึงแม้ราตรีจะได้ของมายังไงนั้น เธอก็ไม่สนมันอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้เธอเป็นห่วงมาริโอมากที่สุด ใบหน้าที่ปราศจากเลือดของมันทำให้ราตรีถึงกับคิดมาก เธอกลัวมันจะตายหากมันไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด

อย่าทอดทิ้งเราไปอีกคนนะมาริโอ

ราตรีครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้ม แล้วทันใดนั้นก็มีใครบางคนยกตัวมาริโอที่อยู่บนตัวของราตรีขึ้น ทำให้เธอได้เห็นบุคคลแปลกหน้าได้อย่างชัดเจน เผยให้เห็นหนุ่มหล่อนัยน์ตาสีดำกับเส้นผมสีม่วงยาวลากพื้นอายุราวสามสิบต้นในชุดนักบวชสีขาวกำลังมองหน้าเธออยู่

“เอ่อ...สวัสดี....ไม่เป็นไรใช่ไหมน้องสะ...เอ่อ...ชาย” อีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่แน่ใจกับคำพูดของตัวเอง แต่ทว่าราตรีหาได้ตอบคำถามนั้นไม่

“อี้อายอ้วยมะริโออี อ๋ออ้องอ่ะ อันอำอังอะอาย! (พี่ชายช่วยมาริโอที ขอร้องล่ะ มันกำลังจะตาย!)” ราตรีพูดขอร้องจนน้ำตาไหลอาบแก้ม “ไอ้โอดอะอั๊บ อ้วยอันอี (ได้โปรดนะครับ ช่วยมันที)”

ชายหนุ่มได้ยินที่เธอพูดถึงกับขมวดคิ้วมึนงงอยู่สักพัก ก่อนจะร้องเสียงสูง

“อ้อ ได้สิพี่ชายจะช่วยเดี๋ยวนี้แหละ” แล้วชายหนุ่มแปลกหน้าก็รีบช่วยมาริโออย่างเร็ว โดยใช้เวทมนตร์ในการรักษามาริโอกับดื่มยาสีน้ำตาลเพียงแค่ครั้งเดียว

“เห็ดมาริโอได้รับการฟื้นฟูบาดแผล 100%”

“เห็ดมาริโอได้รับยาแก้สถานะมึนงง”

เสียงของระบบประกาศก่อนที่มาริโอจะลืมตาขึ้นมา ซึ่งทำให้ราตรีลืมตัวเผลอเข้าไปกอดมาริโอด้วยความดีใจ

“มะรีโอ้!”

“มะเหงกแน่ะ! ใครมะรีโอ้กันไอ้เด็กเปรต” มาริโอเถียงทันทีที่ได้ยินคำพูดไม่ชัดเจนของเจ้านายมัน พร้อมทั้งพยายามดันร่างเล็กให้ออกห่างด้วยความเขินอายที่ถูกกอด “พูดให้ชัดๆสิ มาริโอ! ไม่ใช่มะรีโอ้ จำไว้ให้ดี”

“มะรีโอ้!” ราตรีไม่สนว่าตัวเองจะพูดผิดพูดถูก ขอเพียงได้เห็นมาริโอปลอดภัยก็พอใจแล้ว ส่วนมาริโอเมื่อสายตาเริ่มชัดเจนแล้ว มันก็ได้เห็นคราบน้ำตาของผู้เป็นนายซึ่งพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายร้องไห้ทำไม

มัน…ร้องไห้เพราะข้ารึเนี่ย

“ค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 1”

ระบบประกาศแทรกอย่างขัดจังหวะ ซึ่งทำเอาราตรีแทบขมวดคิ้ว

“ว่าแต่...” มาริโอพูดเกริ่นพลางเงยหน้ามองผู้มาใหม่อย่างสงสัย “เจ้าเป็นใครกัน แล้วพวกฝูงหนอนยักษ์มันหายหัวไปไหนกันหมดเนี่ย”

ราตรีได้ยินที่มาริโอพูดก็รีบเช็ดน้ำตาก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า

“อี้ชายอนอี้อาอ้วยอ้วกเอาอะมะรีโอ้ อ่วนอ้วกอ๋อนอั๊กอ้อไอ้อี้อายอนอี้อัดอานไอ้ (พี่ชายคนนี้มาช่วยพวกเรานะมาริโอ ส่วนพวกหนอนยักษ์ก็ได้พี่ชายคนนี้จัดการให้)”

“อย่างนั้นเองหรอกรึ” มาริโอพูดพลางเงยหน้ามองชายหนุ่มที่มาช่วย แต่ทว่าไม่รู้ทำไมพอมาริโอมองอีกฝ่ายแล้วพลันนึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก

ชะรอยว่าจะเป็นพวกไม่หวังดีปลอมตัวมา

“ออบอุนอั๊บอี้อายอี้อาอ้วยอ้วกอ้า (ขอบคุณครับพี่ชายที่มาช่วยพวกข้า)” ราตรีหันไปขอบคุณชายหนุ่มอย่างจริงใจโดยเธอลืมไปว่าตัวเองยังพูดไม่ชัดเจน จึงทำให้อีกฝ่ายถึงกับขมวดคิ้วเป็นรอบที่สอง ซึ่งมาริโอเห็นชายหนุ่มทำหน้ามึนงงก็พอเข้าใจดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำหน้าแบบนั้น

“อะแฮ่ม!” มาริโอทำท่ากระแอมไอก่อนจะเชิดหน้าขึ้นพูดว่า “จะแปลให้เอาบุญแล้วกัน ฮึ เจ้านายของข้าบอกว่าขอบคุณที่ช่วย...แต่ไม่มีของมีค่าตอบแทนให้หรอกนะ”

ราตรีแทบอ้าปากค้างเมื่อได้ยินทาสของตัวเองพูดแปลให้อีกฝ่ายฟัง ส่วนชายหนุ่มเมื่อได้ยินที่มาริโอพูดกลับทำหน้าขมวดคิ้วมองมาริโอราวกับใช้ความคิด ก่อนจะพูดกลับมาด้วยสีหน้าสบายๆว่า

“ของตอบแทนรึ หึ ไม่ต้องหรอก บังเอิญว่าบ้านรวย แต่คิดดูๆได้กินเห็ดย่างจิ้มน้ำพริกก็ไม่เลว” มาริโอได้ยินคำด่าของอีกฝ่ายก็แทบลมออกหู จนหวิดขอสรรเสริญมารดาของชายหนุ่มสักครั้ง

“จริงสิ เกือบลืมแนะนำตัวไปเลย” จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดเปลี่ยนเรื่องอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจมาริโอที่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ “พี่ชื่อปริ๊นซ์ ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องชาย”

“เอ้นอันอั๊บอั้นอี้อิ้น อ้าอื้อ… (เช่นกันครับท่านพี่ปริ๊นซ์ ข้าชื่อ…)”

“…ราตรีพิสุทธิ์ เจ้านายข้าชื่อราตรีพิสุทธิ์ ส่วนข้า…มาริโอ ผู้ไร้พ่าย” มาริโอแย่งเธอพูดกะทันหัน ทำให้ราตรีต้องอ้าปากค้างเป็นรอบที่สอง “เมื่อรู้แล้วก็จงกลับไปซะ พวกข้าไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใครอีก”

ปริ๊นซ์ยิ้มแล้วส่ายหน้าเมื่อได้ยินที่มาริโอพูด

“คงไม่ได้หรอกคุณมาริโอผู้ไร้พ่าย” ปริ๊นซ์พูดแกมขำขัน “เพราะฉันคงไม่ใจร้ายพอที่จะทิ้งให้เด็กทารกผู้น่ารักกับเห็ดตัวหนึ่งที่อวดเบ่งเหมือนเกรียนเดินหลงในป่าเขาวงกตได้ตามลำพังหรอกจริงไหม”

คำพูดของปริ๊นซ์ทำเอามาริโอแทบอยากเค้นคออีกฝ่ายให้ตายคามือ

“แกไอ้!”

“มะรีโอ้!” ราตรีรีบห้ามเพราะกลัวมาริโอจะทำเสียมารยาทอีก เธอจึงใช้ค้อนพลาสติกของเด็กทุบหัวมาริโอเสียหนึ่งที “อี๊บอ๋อโอดเอาอ๊ะ แอ้วอ้อออบอุนเอาอ้วย เอาอุดอ่าอ้วยอ้วกเอาไอ้อะ (รีบขอโทษเขาซะ แล้วก็ขอบคุณเขาด้วย เขาอุตส่าห์ช่วยพวกเราไว้นะ)”

“แต่ข้าไม่ยอม…”

“มะรีโอ้” ราตรีเรียกชื่อมันพลางจ้องอย่างเอาเรื่อง ถ้ามาริโอไม่เห็นแก่หน้าราตรีผู้เป็นนายแล้วล่ะก็ มันคงเอาเรื่องไปนานแล้ว

“ก็ได้...ขอโทษ! และ...ขอบคุณ!”

“หึ มิได้ๆ” ปริ๊นซ์ยิ้มตอบอย่างพอใจ ซึ่งหลังจากนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยปากอาสาที่จะพาราตรีกับมาริโอออกไปยังนอกเขตป่าเขาวงกต ทีแรกราตรีลังเลที่จะตอบตกลง เพราะเธอกังวลว่าถ้าหากเมฆากลับเข้ามาในเกมอีกครั้งจะไม่เจอพวกเธออีก “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปน้องราตรี ถ้าน้องคิดจะตามหาเพื่อนในเกมแล้วล่ะก็ น้องสามารถไปเขียนบอกได้ที่ป้ายประกาศออกตามหาคนตรงใจกลางเมืองเริ่มต้นได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่เว้นวันหยุดราชการ ส่วนเรื่องเงินนั้น...น้องราตรีไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะเกมนี้เขาให้ผู้เล่นใช้บริการได้ฟรีทุกคน”

ปริ๊นซ์ตอบข้อสงสัยให้แก่ราตรีพิสุทธิ์ ซึ่งทำให้เธอยอมตกลงไปกับปริ๊นซ์แต่โดยดีอย่างไร้ข้อกังขา

..................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 8 มิตรภาพ (อัพ 100%) 23/10/57)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิเซ่ ที่ 24-10-2014 12:24:14
อ้ากสนุกมากค่า :impress2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพ บทที่ 8 มิตรภาพ (อัพ 100%) 23/10/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 17-11-2014 07:29:18
บทที่ 9 หนึ่งขวบ

..........................

ทางด้านปฐพี ศาสตรา และพิภพนั้นเมื่อทั้งสามเสร็จธุระในเมืองเริ่มต้นแล้ว ก็พลันรีบออกจากเมืองเริ่มต้นก่อนจะมุ่งหน้าไปยังป่าเขาวงกตที่อยู่ตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเริ่มต้น ซึ่งโชคร้ายที่พวกราตรีได้ออกจากป่าเขาวงกตไปเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว จึงทำให้ทั้งสามคนพลาดโอกาสที่จะได้เจอตามที่คาดคิดไว้ ทว่าการเข้ามาในป่าเขาวงกตนี้ไม่ง่ายเหมือนสมัยที่พวกปฐพีเคยเข้ามาก่อน  เนื่องจากเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วปริญได้เป็นคนแก้ไขโปรแกรมตรงจุดนี้ให้มันยากยิ่งขึ้น จากเดิมที่เส้นทางภายในเป็นรูปแบบเก่าๆ ซึ่งไม่ว่าผู้เล่นคนใดที่เคยเข้ามาซ้ำเกินสองรอบแล้วย่อมจำได้ มาบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่จนไม่มีเค้าแบบเดิม โดยเส้นทางภายในจะถูกปรับเปลี่ยนเองอัตโนมัติอยู่ตลอดทุกๆสิบนาที ดังนั้นผู้รู้เส้นทางนี้ก็มีเพียงแต่ปริญหรือปริ๊นซ์เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าพวกปฐพีเดินเข้ามายังป่าเขาวงกตโดยไม่รู้เรื่องการปรับเปลี่ยนเส้นทางใหม่นี้ จึงทำให้พวกเขาเดินหลงทางตั้งแต่เข้ามาได้ไม่ถึงชั่วโมงดี

“มันอะไรกันวะเนี่ย ฉันจำได้ว่ามันต้องเป็นเส้นทางนี้สิ แล้วมันหายไปได้ยังไงล่ะ” ศาสตราร้องโวยวายเมื่อเห็นว่าเส้นทางที่ตนเคยเดินผ่านมาก่อนกลับหายไป

“ใจเย็นๆศาสตรา เส้นทางเดินมันคงไม่ได้หายไปไหน บางทีนายอาจจะหลงลืมจำผิดไปก็ได้นะ” พิภพรีบพูดปลอบเพื่อน แต่ศาสตรากลับแย้งว่า “จำผิดบ้าสิ เส้นทางนี้ฉันเคยเดินอยู่สิบรอบแล้ว ไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน!”

“แต่ของแบบนี้มันก็ลืมได้เหมือนกันนะศาสตรา ดูอย่างปฐพีสิ เขายังไม่เห็นโวยวายเหมือนนายเลยสักนิด” พิภพบอกก่อนจะเหลือบตาไปยังทางปฐพีที่กำลังยืนเหม่อมองไปข้างหน้าราวกับใช้ความคิดอย่างเงียบๆ ซึ่งคำพูดของพิภพเล่นเอาศาสตราถึงกับหน้าเจื่อนไปทันที แล้วทั้งคู่ต่างยืนรอเพื่อนสักพัก ก่อนที่ปฐพีจะรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

“อ๊ะ ขอโทษทีพวก มัวแต่เหม่อมากไปหน่อยนะ” เขาพูดขอโทษเพื่อนทั้งสองคนอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไร พวกฉันไม่ว่าอะไรนายหรอก” ศาสตราพูดตอบไปยิ้มไปพลาง เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าปฐพีเหม่อลอยด้วยเรื่องอะไร “ว่าแต่จะเอายังไงกันดีต่อปฐพี จะให้พวกเราออกตามหาคุณยายในป่าเขาวงกตต่อเลยไหมหรือจะออกไปหาที่อื่นล่ะ”

ปฐพีได้ยินคำถามของศาสตราแล้วถึงกับขมวดคิ้วครุ่นคิด เพราะขืนพวกเขาออกเดินหาคุณยายในป่าเขาวงกตโดยที่ยังหลงทางแบบนี้ต่อไปแล้วล่ะก็ คงจะหาพบได้ยาก แถมเขาก็ไม่แน่ใจว่าคุณยายจะเดินอยู่แถวนี้ด้วย

“ฉันว่าพวกเราออกไปตามหาคุณยายที่อื่นดีกว่านะ” แล้วจากนั้นทั้งสามหนุ่มก็พากันเดินหาทางออก โดยที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาจะใช้เวลานานซักเท่าไหร่ถึงจะสามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้

.............................

กลับมาทางด้านพวกราตรีพิสุทธิ์ หลังจากที่ปริ๊นซ์ได้พาราตรีกับมาริโอเดินออกมานอกเขตป่าเขาวงกตแล้ว ชายหนุ่มก็ได้ให้เต็นท์กับราตรีหนึ่งชุดฟรีเพราะเห็นว่าเธอเป็นเด็กทารก ซึ่งจำเป็นต้องมีที่นอนดีๆไว้นอนหาได้ใช่นอนตามพื้นดินพื้นทรายเหมือนแต่ก่อน และนอกจากนี้ปริ๊นซ์ยังให้ของกับมาริโอถึงสองชิ้นอีกด้วย

“นี่มันเสื้อผ้ากับรองเท้าไม่ใช่รึ เอามาให้ข้าทำไม” มาริโอถามพลางก้มมองชุดเอี๊ยมยีนส์เสื้อแดงกับรองเท้าคู่ใหม่สีแดงเข้มที่ตัวมันเองกำลังใส่อยู่อย่างสงสัย ซึ่งปริ๊นซ์หาได้ตอบเดี๋ยวนั้นไม่ กลับทำหน้าอมยิ้มก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่น ส่วนราตรีได้แต่อ้าปากค้างมองมาริโอในมาดใหม่

เหมือน...

เหมือนมาริโอไม่มีผิด!

“น่าเสียดายจริงๆ ยังขาดตรงที่ไม่มีแขนกับหัวที่ยังเป็นเห็ดอยู่” ปริ๊นซ์พูดพลางมองมาริโอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “นี่ถ้าพัฒนาทักษะกับระดับอีกหน่อยก็คงจะเปลี่ยนร่างได้เหมือนแน่”

จะเหมือนหรือไม่เหมือนก็ช่าง เพียงแค่นี้ราตรีก็ไม่รู้จะตอบแทนชายหนุ่มคนนี้ยังไงดีแล้ว เพราะนอกจากเขาจะช่วยเธอกับมาริโอให้รอดเงื้อมมือฝูงหนอนยักษ์กับพาออกจากป่าเขาวงกตแล้ว ยังมอบของให้กับพวกเธอฟรีโดยไม่คิดเงินสักแดงเดียวด้วย

“ออบอุนงับอี้อาย ออบอุนอิงๆ (ขอบคุณครับพี่ชาย ขอบคุณจริงๆ)” ราตรีได้แต่กล่าวขอบคุณพลางก้มหัวให้ ซึ่งทำเอาอีกฝ่ายถึงกับรีบเข้าไปพยุงเด็กทารกน้อยให้เงยหน้าขึ้น

“ไม่ต้องก้มหน้าขอบคุณพี่ขนาดนี้ก็ได้ พี่แค่ทำในสิ่งที่ผู้เล่นที่ดีควรพึงกระทำก็เท่านั้น” ปริ๊นซ์พูดแต่ในใจคิดไปอีกอย่าง

โธ่คุณยายคร้าบ อย่าให้ผมอายุสั้นเลยคร้าบ!

ก่อนปริ๊นซ์จะขอตัวไปทำภารกิจ ราตรีไม่ลืมที่จะขอบันทึกชื่อปริ๊นซ์ไว้เป็นเพื่อนด้วย

“แล้วเจอกันนะน้องราตรี”

“ฮะ” แล้วร่างสูงก็พลันหายวับไปทันที เมื่อปริ๊นซ์ได้จากไปแล้ว ราตรีก็หันมามองมาริโอในชุดเอี๊ยมสีแดงที่กำลังสำรวจเสื้อผ้าชุดใหม่ของตัวเองอยู่

“มะรีโอ้” มาริโอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เรียก “เอ้าอู้อางอี้อะไอเอืองเอิ้มอ้นไอ๋ (เจ้ารู้ทางที่จะไปเมืองเริ่มต้นไหม)”

“ไม่รู้” มาริโอตอบหน้าตาย ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับผงะ

ช่างเป็นทาสรับใช้ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย! ราตรีคิดอย่างปวดหัว แต่แล้วเธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามาริโอเป็นเพียงแค่มอนสเตอร์ แถมอยู่แต่ในป่ามาตลอด จะไปรู้เส้นทางข้างนอกป่าได้ยังไงกัน เอาเถิด คลำทางไปเรื่อยๆแล้วกัน ไว้เจอผู้เล่นคนอื่นกลางทางแล้วค่อยถามเอา

ราตรีคิดได้ดังนั้นก็ขึ้นขี่มาริโอก่อนจะสั่งให้มันออกเดินตามทางที่เธอบอก

.........................

แกรก!

เสียงแว่นตาอนาล็อกถูกถอดออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีดำอมน้ำตาลเมื่อยามต้องแสงไฟ

“ว่ายังไงพ่อวีรบุรุษ” เสียงของดนัยพูดออกมาอย่างห้วนๆ ทำให้ผู้ที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นไม่นานต้องหันไปส่งยิ้มให้ “ไปช่วยเด็กทารกคงจะปลื้มมากสินะ ถึงกับให้เต็นท์หนึ่งหลัง เสื้อผ้าหนึ่งชุด กับรองเท้าอีกหนึ่งคู่ไปฟรีๆด้วย ให้ตายสิ คิดจะทำอะไรก็หัดปรึกษาคนอื่นเสียบ้างสิ”

คนถูกบ่นถอนหายใจเฮือกก่อนจะพูดกลับไปว่า

“ก็ให้ทำยังไงได้ ฉันทำผิดจนทำให้ไอดีแปดพันเกือบต้องตาย ของแบบนี้มันต้องหาอะไรให้ชดเชยเพื่อเป็นการปลอบใจแทน นายก็น่าจะรู้กฎข้อนี้ของจีเอ็มดีนะดนัย”

“ใช่ ฉันรู้” ดนัยตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “แต่แกช่วยพวกเขาให้รอดชีวิตกับพาออกจากป่าเขาวงกตก็น่าจะพอแล้วนี่ แล้วทำไมถึงต้องให้ของกันด้วยล่ะ”

“ก็…ผู้เล่นคนนั้นน่ารักดีนี่ แหม ดนัยเอ้ย ถ้าลองเป็นนายได้เห็นน้องราตรีแล้วล่ะก็”

ปริญพูดเสียงสูงราวกับเพ้อฝัน ซึ่งทำอาดนัยเทพอดส่ายหน้าไม่ได้

“เออๆ น่ารักก็น่ารัก” ดนัยพูดด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนจะหยิบกระดาษออกมาปึกหนึ่ง “เอานี่ไปทำซะ เรื่องรายงานฉันไม่ทำให้แกหรอกนะ เอ้อ ท่านประธานฝากมาบอกไว้ว่าอย่าให้มีแบบนี้อีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นนายเตรียมโดนซองขาวได้เลย”

“อือ รู้แล้วๆ ไม่ต้องย้ำหรอกน่าให้ตายสิ”

ปริญตอบก่อนจะหยิบกระดาษที่ดนัยให้มาเขียนรายงานอย่างรวดเร็ว

....................

ตั้งแต่ราตรีได้เข้ามาเล่นเกมตามคำเชิญของนพหลานชายแล้ว วันเวลาก็ได้ผ่านไปสองอาทิตย์กับอีกสามวันเต็มๆ ซึ่งเธอไม่นึกเลยว่าจะเล่นมาได้ถึงขนาดนี้ ช่วงสองอาทิตย์แรกราตรีก็ได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตเยี่ยงทารกนั้น ช่างเป็นประสบการณ์ประเสริฐที่สุด เพราะไม่มีมนุษย์คนใดที่เกิดมาแล้วสามารถจดจำในช่วงเป็นทารกได้กันสักคนเดียว

ป่านนี้แล้วท่านพ่อกับท่านแม่จะเป็นยังไงบ้างนะ

ราตรีคิดพลางเงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้ายามมืดมิด มีเพียงแสงดาวกับแสงจันทร์ที่ยังคงทอแสงประกายสดใสในยามนี้

“ข้าวบดเนื้อหนอนยักษ์ผสมกล้วยหอมของเจ้าเดือดแล้วนะ” เสียงเรียกขัดจังหวะความคิด ทำให้ราตรีต้องหันหน้ากลับไปมองมาริโอ ซึ่งมันกำลังนั่งมองข้าวในหม้อกะลาที่ตั้งอยู่บนกองไฟตรงหน้า

“อือ อะไอเอี๋ยวอี้แอะ (อือ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ)” ราตรีบอกก่อนจะคิดย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ซึ่งหลังจากท้องฟ้าเริ่มมืดตัวลง เธอก็สั่งให้มาริโอตั้งเต็นท์ทันที ส่วนตัวเธอก็ควักเอากะลามะพร้าวเก่าๆที่เคยใช้แล้วออกมาจากกระเป๋าเป้เสื้อผ้าของตัวเองก่อนจะลงมือทำอาหารตามที่ตัวเองถนัด ซึ่งคราวนี้มาริโอได้ให้ช่วยเธอทำอาหารโดยเธอไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสั่งเลยด้วยซ้ำ

“ว่าแต่อาหารที่เจ้าทำมันจะกินได้เหรอ นี่มัน...” มาริโอพูดพลางก้มมองอาหารในหม้อด้วยสีหน้าฉงน ในขณะที่ราตรีกำลังตักอาหารใส่กะลามะพร้าวให้มาริโออยู่ “...เนื้อหนอนยักษ์ที่เคยคิดจะฆ่าพวกเราเชียวนะ”

“อือ อ้อไอ้อะอิ เอ้าอะอัวไออำไอเอื้ออ้วกอันอายไอแอ้ว อีไอ้อานอ้ออีอ๋มแอ้ไอ๋แอ้ว (อือ ก็ใช่นะสิ เจ้าจะกลัวไปทำไมเมื่อพวกมันตายไปแล้ว มีให้ทานก็ดีถมแค่ไหนแล้ว)”

ราตรีเห็นโอกาสดีก็เลยพูดสั่งสอนให้มันรู้ซึ้งถึงคุณค่าของอาหารซะเลย แต่แทนที่มาริโอจะเข้าใจ กลับทำสีหน้ารังเกียจอาหารที่เธอทำให้

“ไม่เอา ไม่ทาน ให้ตายยังไงก็ไม่กินเด็ดขาด!”

“อ่าเอื้องอ้ากไอ้ไอ๋มะรีโอ้ อี๊บอานๆเอ้าไออ๊ะ เอาะอังไออันอ้อเอื๋อนเอื้ออั้วไออี้เอ้าเอยอานอั้นแอะ (อย่าเรื่องมากได้ไหมมาริโอ รีบทานๆเข้าไปซะ เพราะยังไงมันก็เหมือนเนื้อทั่วไปที่เจ้าเคยทานนั่นแหละ)” ราตรีพูดเสียงดุ ก่อนจะวางกะลามะพร้าวที่เต็มไปด้วยอาหารลงบนพื้นอย่างแรงจนทำให้น้ำซุปกระฉอก “อานอ๊ะ เอี๋ยวอะอาไออ๋าเอ็ดอ่าอั๊กๆ (ทานซะ เดี๋ยวจะพาไปหาเห็ดน่ารักๆ)”

“ทะลึ่งละไอ้เด็กเปรต เป็นเด็กเป็นเล็กทำรู้มาก เดี๋ยวปัด...”

มาริโอเถียงพลางทำท่าจะเตะราตรี แต่พอมันเห็นใบหน้าของเจ้านายแล้วเกิดชะงักค้าง

“ขอโทษ”

แล้วมาริโอก็รีบทานอาหารที่ราตรีวางให้อย่างเร็วโดยไม่เถียงอีกเลย หลังจากที่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาริโอก็เอากะลามะพร้าวไปล้างน้ำให้ราตรีทันที ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับแปลกใจ

อะไรของมัน? แล้วเวลาก็ผ่านไปสิบนาทีได้ มาริโอก็กลับมาที่เต็นท์อีกครั้งพร้อมกะลามะพร้าวในปากที่ถูกล้างสะอาดเอี่ยมอ่อง ไปล้างด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำลายกันแน่นะ?

ราตรีคิดพลางมองกะลามะพร้าวในปากของมาริโออย่างสงสัย แต่แล้วเธอก็พอเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมมาริโอถึงทำแบบนี้

ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์สั่งสอนมัน

ราตรีคิดได้ดังนั้นก็คลานเข้าไปหามาริโอ ก่อนจะใช้มือน้อยขาวๆนี้ลูบหัวมาริโอแผ่วเบา

“อำไอ้อี อ๋อไอ้เอ้าเอ็นแอบอี้อะออดไออะมะรีโอ้ (ทำได้ดี ขอให้เจ้าเป็นแบบนี้ตลอดไปนะมาริโอ)”

“ค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 2”

ส่วนมาริโอเมื่อได้รับคำชมจากราตรีแล้ว ถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย

“ขะ...ข้าไปนอนก่อนนะ!”

มาริโอตะโกนบอกแล้ววิ่งเข้าไปในเต็นท์อย่างรวดเร็ว ซึ่งท่าทางของมันทำให้ราตรีอดยิ้มเสียมิได้ แล้วหลังจากนั้นราตรีค่อยเติมฟืนเข้าไปเพื่อมิให้ไฟดับก่อนจะคลานกลับเข้าไปนอนในเต็นท์ตามทีหลัง พอรุ่งเช้าต่อมาราตรีก็ลุกขึ้นคลานออกไปนอกเต็นท์เพื่อทำอาหาร

“ตื่นแล้วเหรอไอ้เด็กเปรต”

เสียงมาริโอพูดทักทายสวัสดี ทำเอาราตรีแทบขมวดคิ้ว

นี่มันตื่นนอนก่อนเธออีกรึ พอราตรีหันไปมองมาริโอ เธอก็เห็นอีกฝ่ายนั่งขัดสมาธิฉีกยิ้มให้อย่างแปลกๆ และนอกจากนั้นเธอก็ได้เห็นว่าที่บนพื้นข้างมาริโอนั้น ได้มีผลไม้ที่แกะเปลือกแล้ววางอยู่บนใบตองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดี อย่าบอกนะว่าที่ตื่นแต่เช้าตรู่นี่ก็เพื่อ...หาผลไม้นี้ให้เธอกิน

“อือ”

ว่าแต่มาริโอแกะเปลือกได้ยังไงนะ ก็ในเมื่อมันไม่มีมือเลยสักนิด?

ราตรีครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะหันไปมองรอบๆอย่างสงสัย แล้วสายตาของเธอก็พลันไปเห็นเปลือกผลไม้ที่ชุ่มด้วยน้ำวางอยู่หลังต้นไม้เข้าโดยบังเอิญ

กะแล้วเชียวว่ามันต้องเป็นแบบนี้

ราตรียิ้มพลางส่ายหน้าเมื่อเห็นความพยายามในการแกะเปลือกผลไม้ของมาริโอ เมื่อมันไม่มีมือช่วยแกะ ก็คงจะใช้ปากกับเท้าในการช่วยแกะผลไม้อย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่เคยคิดที่จะรังเกียจมาริโอเลยสักนิด

“จะอาบน้ำก่อนหรือจะทานผลไม้ก่อนล่ะไอ้เด็กเปรต” มาริโอถามพลางเตรียมท่าลุกขึ้นยืน “ถ้าอาบน้ำก่อน ข้าจะพาเจ้าไปอาบให้”

เพี๊ยะ!

“โอ้ย นี่เจ้าเฆี่ยนข้าทำไม!!” มาริโอร้องครางด้วยความเจ็บปวด และทำท่าจะพูดต่อแต่ก็ต้องหุบปากลงเมื่อเห็นร่างเล็กมองมันด้วยสีหน้าดุดัน “เอื้องอ้วกอี้อ้าอัดอานเองไอ้ เอ้าไอ้อ้องอาอุ่ง อั้งองไออ๊ะ เอี๊ยวอ้าอา! (เรื่องพวกนี้ข้าจัดการเองได้ เจ้าไม่ต้องมายุ่ง นั่งลงไปซะ เดี๋ยวข้ามา!)”

พอราตรีพูดจบ เธอก็รีบคลานไปยังทิศที่มีลำธารอยู่ด้วยความฉุนเฉียว

ขอเปลี่ยนความคิดจากไม่รังเกียจเป็นรังเกียจมาริโอ คงจะไม่สายไปหรอกนะ!

เมื่อราตรีอาบน้ำเสร็จแล้วเธอก็คลานกลับมายังเต็นท์เพื่อทานผลไม้เป็นอาหารเช้า

“อ้าว มะรีโอ้อ๋ายไอไอ๋แอ้วอี้ (อ้าว มาริโอหายไปไหนแล้วนี่)”

ราตรีพูดเมื่อเธอไม่เห็นมาริโอนั่งอยู่ที่เดิม

พลั่ก! พลั่ก!

เสียงการต่อสู้แว่วดังเข้ามาจากไม่ใกล้ไม่ไกลตรงที่ราตรีอยู่ ซึ่งทำเอาเธอนึกสงสัยจึงรีบคลานไปดูต้นเสียง เมื่อเธอคลานไปถึงแล้ว ก็ได้เห็นว่ามาริโอกำลังต่อสู้กับหมูป่าตัวเล็กตัวหนึ่งอยู่

“อย่าเข้ามาใกล้นะไอ้เด็กเปรต ประเดี๋ยวจะโดนลูกหลง!”

มาริโอตะโกนบอกเจ้านายเมื่อเห็นเธอคลานเข้ามาหา

“ไอ้ อ้าอะอ้วยเอ้าอ้วย (ไม่ ข้าจะช่วยเจ้าด้วย)” ราตรีพูดแย้งกลับไปทันทีที่มาริโอพูดจบ ก่อนจะหยิบแส้กำราบสัตว์ขึ้นมาเตรียมพร้อมจะสู้ด้วยอีกคน “อ้าเอ็นอายอองเอ้าอ๊ะ อะไอ้อ้าอืนอูเอ้าอู้อนเอียวไอ้อังไอเอ้า! (ข้าเป็นนายของเจ้านะ จะให้ข้ายืนดูเจ้าสู้คนเดียวได้ยังไงกันเล่า!)”

ว่าแล้วราตรีก็ใช้แส้กำราบสัตว์ฟาดเข้าไปที่หมูป่าสีน้ำตาลตัวเล็กที่ยืนหันหลังให้ทันที

เพี๊ยะ!

1,000


“อู๊ด!”

หมูป่าร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่มันจะหันกลับมามองราตรีด้วยความโมโห

“เวรแล้ว! หนีไปไอ้เด็กเปรต!”

มาริโอร้องเตือนเสียงดังลั่น แต่ทว่าราตรีไม่คิดจะหนี เพราะว่าต่อให้เธอคลานหนีก็คงหนีไม่พ้นอยู่ดี แล้วหมูป่าตัวเล็กก็วิ่งเข้าหาราตรีซึ่งเธอก็เตรียมตั้งท่าถือแส้สองมือรอหมูป่าอย่างสงบนิ่ง จนกระทั่งหมูป่าตัวเล็กวิ่งมาถึงระยะประชิดตัว

ปึก!

“อู๊ดๆ!”

จู่ๆ ก็มีก้อนหินลอยมากระทบที่ใบหน้าของหมูป่า ทำให้มันถึงกับหยุดชะงักวิ่งไปชั่วขณะ ซึ่งราตรีได้จังหวะ เธอก็รีบฟาดแส้ใส่หมูป่ารัวทันที

ขวับ! เพี๊ยะ! ขวับ! เพี๊ยะ!

1,000

989

990

1,000


ค่าตัวเลขที่ราตรีโจมตีหมูป่าได้ปรากฏขึ้นมาหลังจากที่ราตรีฟาดแส้ลงไปด้วยเช่นกัน

“ขอร่วมด้วยคน!” มาริโอตะโกนร้องพลางวิ่งเข้ามากระทืบหมูป่าด้วยคนบ้าง ซึ่งราตรีก็ยอมให้มันโจมตีแต่โดยดี เพราะขืนปล่อยให้เธอโจมตีหมูป่าเพียงคนเดียวก็คงไม่สำเร็จแน่ ดีไม่ดีเธออาจจะโดนหมูป่าฆ่าตายก็เป็นได้ “บังอาจรุกล้ำพื้นที่ส่วนบุคคล ตายซะเถอะไอ้หมูป่า!”

ซึ่งเวลาผ่านไปได้ไม่ถึงนาที จากการรุมโจมตีของราตรีกับมาริโอ ทำให้หมูป่าตายไปอย่างรวดเร็ว

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ฆ่าหมูป่าระดับ1 สำเร็จ”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 1500”

“ท่านได้รับเนื้อหมูป่าจำนวน 1 ชิ้น”

“ท่านได้รับเขี้ยวหมูป่าจำนวน 2 ชิ้น”

“ท่านได้เลื่อนระดับพื้นฐานจากเด็กทารกระดับ9 เป็นเด็กอายุ 1 ขวบ”

“ท่านได้พัฒนาทักษะการพูดระดับ10”

“ท่านได้รับทักษะการเดินระดับ1”

เสียงของระบบประกาศบอกก่อนที่แสงสีทองจะปรากฏขึ้นในตัวของราตรี จากร่างกายที่เล็กจิ๋วก็ได้ใหญ่ขึ้นมาสองสามเซนติเมตร ซึ่งรวมถึงเสื้อผ้าทารกที่ราตรีสวมใส่ก็เริ่มคับมากขึ้น

“เจ้า…เจ้าตัวใหญ่ขึ้นไอ้เด็กเปรต!”

มาริโอร้องอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นนายของตนตัวใหญ่ขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นราตรีก็ยังเตี้ยตัวเล็กกว่ามาริโออยู่ดี

“อือ หญ่ายขึ้น” ราตรีพูดพลางมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “จากี้ข้าพูดชาด อ๋า พูดเริ่มเป็งผู้เป็งคนแย้วอ่ะมะรีโอ้”

มาริโอยังไม่ตอบคำถามของเจ้านาย ได้แต่เบิกตามองร่างเล็กอย่างตะลึง

“ดีจายหมายที่ข้าเริ่มพูดชาดขึ้น”

ราตรีถามอีกครั้งซึ่งมาริโอก็รีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับเจ้านาย แต่ทว่าเมื่อครู่นี้ราตรีได้ยินระบบประกาศว่าเธอได้รับทักษะการเดินด้วย เธอจึงรีบใช้มือทั้งสองข้างจับพื้นดินก่อนจะยันตัวให้ลุกขึ้นยืน

“นั่นเจ้าจะยืนรึไงไอ้เด็กเปรต อ๊ะ ระวังๆ” มาริโอพูดก่อนจะรีบเข้าไปช่วยร่างเล็กประคองเมื่อเห็นเจ้านายยืนโซซัดโซเซ “ให้ข้าช่วยรึเปล่าไอ้เด็กเปรต”

“มะจ้อง ข้าจะจองหาดยืนเอง”

ราตรีบอกในขณะที่พยายามยืนให้คงที่ หากแต่เท้าไม่ยอมทำตามความคิดของเธอจึงทำให้เธอล้มหน้าคว่ำไปอีกครั้ง

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์หกล้ม ทำให้ค่าพลังลด 1”

ดูมัน ขนาดหกล้มก็ยังหักลบพลังกันได้นะ!

ราตรีคิดในใจก่อนจะใช้มือยันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง

“อ๊ะ ระวังๆ สู้เข้านะไอ้เด็กเปรต อย่ายอมแพ้เด็ดขาด”

มาริโอพูดลุ้นจนตัวโก่ง ซึ่งไม่นานนักราตรีก็สามารถยืนได้โดยไม่ล้ม

“ถอยปายมะรีโอ้ ข้าจะยองเดินดู” ราตรีบอกมาริโอ ซึ่งมันก็เขยิบถอยออกข้างทันที เมื่อราตรีเห็นทางว่างแล้ว เธอก็ลองยกขาขวาก้าวเดินดู ซึ่งก้าวแรกก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ไม่มีหกล้ม แต่ทว่าพอราตรียกเท้าซ้ายขึ้น มีอันต้องเซซ้ายจนมาริโอรีบเข้ามาช่วยดันไว้ “เอ ข้าบอกแย้วงายว่าอย่ามาจ้วย”

ราตรีบอกพลางใช้มือผลักมาริโอให้ถอยห่าง ก่อนจะหันมาเดินต่อ ซึ่งคราวนี้ราตรีสามารถก้าวเท้าเดินได้อย่างมั่นคงไม่มีเดินเซเหมือนทีแรก

“เย้! ในที่ฉุดก็ฉำเย็จ ข้าเดินด้ายแย้ว!”

พลั่ก! โครม!

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์หกล้ม ทำให้ค่าพลังลด 1”

“อ้าว เดินได้แค่สองสามก้าวก็ล้มซะแล้วไอ้เด็กเปรต”

....................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 9 หนึ่งขวบ (อัพ 100%) 17/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 17-11-2014 11:22:04
น่ารักกกกก><
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 9 หนึ่งขวบ (อัพ 100%) 17/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิเซ่ ที่ 08-12-2014 19:23:23
ความโมเอะนี้คืออะไร  :oo1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 9 หนึ่งขวบ (อัพ 100%) 17/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 08-12-2014 19:51:24
กว่าจะอัพสกิลไม่ล้มกันพลังหมดหรอ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 9 หนึ่งขวบ (อัพ 100%) 17/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 18-01-2015 21:09:28
บทที่ 10 คุณลุงต้นไม้

....................
 
“เมื่อกี้เจ้าเป็งคงเตะก้องหินช่วยข้าหยอ”

ราตรีถามในขณะที่เธอนำเนื้อหมูป่าเสียบไม้เพื่อจะปิ้งกับไฟ

“อือ ข้าเป็นคนเตะก้อนหินเอง” มาริโอตอบพลางจ้องเนื้อหมูป่าตาเป็นมัน “ข้าวิ่งตามหมูป่าไม่ทัน ก็เลยเตะก้อนหินไปแทน ว่าแต่ข้าเตะก้อนหินแม่นไหมล่ะไอ้เด็กเปรต”

“แม่นจิ แม่น เป่าก่องนะมานย้อน” ราตรีพูดชมพลางวางเนื้อหมูป่าที่ปิ้งเสร็จบนกะลามะพร้าว ซึ่งมาริโอเห็นแล้วจึงก้มลงเป่าให้เนื้อหมูป่าคลายความร้อน “มะรีโอ้ ถ้าเวลาครายถามจื้อข้าแย้ว เจ้าห้ามพูดแทนข้านะ เพาะข้าจะเป็งคนพูดเอง แย้วเจ้าห้ามเรียกข้าว่าราจีพิฉุดหรือราจีจ่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด”

“อ้าว ทำไมล่ะ” มาริโอถามอย่างสงสัย ซึ่งราตรียังไม่ตอบคำถามเดี๋ยวนั้น เธอหยิบไม้ที่เสียบหมูปิ้งไว้อยู่ออกจากกะลามะพร้าวของมาริโอก่อนจะฉีกเป็นชิ้นๆให้มาริโอ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นตอบกลับไปว่า

“ก้อข้ามะเจื้อจายครายอีกแย้วงายล่ะ เจ้าก้อน่าจาเห็งนา ท่านพี่เมฆาหนีพวกราวปายนายช่วงเวลาคาบขาน”

“อือ จริงของเจ้า” มาริโอพูดอย่างเห็นด้วยกับราตรี “มันน่าแค้นนัก แทนที่จะอยู่ช่วยกลับหนีหายไปต่อหน้าต่อตา แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ว่าแต่เจ้าจะให้ข้าเรียกว่าอะไรดีล่ะ”

“อือ รัจจิแย้วกาน ง่ายดี”

“รัตติ?” มาริโอพูดทวนชื่อที่ราตรีบอก “มันไม่ต่างกับชื่อเก่าเท่าไหร่เลยนี่ไอ้เด็กเปรต”

“อือ ก้อข้าอยากห้ายเป็งแบบน้าน เพาะว่าเวลาท่านพ่อกับท่านแม่ด้ายยินจื้อนี้แย้วท่านจาด้ายรู้ว่าเป็งข้างาย”

“อ้อ เข้าใจแล้วล่ะ รัตติก็รัตติ” มาริโอตอบพลางพยักหน้าไปด้วยพร้อมกัน แล้วทั้งคู่ก็รีบลงมือทานอาหารอย่างไว เมื่อราตรีกับมาริโอทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็รีบเก็บข้าวของก่อนจะรีบออกเดินทางต่อ ซึ่งราตรีคิดอย่างคาดเดาว่าเมืองเริ่มต้นน่าจะอยู่ทิศใต้ ดังนั้นเธอจึงปีนขึ้นไปอยู่บนหัวมาริโอก่อนจะสั่งมันให้เดินตามทางที่เธอบอก ในระหว่างทางที่ราตรีกับมาริโอเดินอยู่นั้น เป็นพื้นหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาผนวกกับผืนฟ้าสีครามอ่อนทำให้ราตรีคิดในใจว่าเธอนี่ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ นอกจากจะได้เจอพ่อแม่ที่ดีแล้ว ยังได้รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตากับภาพธรรมชาติอันสวยงามซึ่งหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

อ้อ แล้วก็มาริโอด้วย

ราตรีคิดพลางก้มมองมาริโอที่ยินยอมให้เธอขี่หัวแต่โดยดีไม่มีบ่นสักคำเดียว เมื่อราตรีเงยหน้ามองรอบข้างบ้าง เธอก็พบว่าระหว่างทางเดินที่พวกเธอเดินอยู่นั้นได้มีผู้เล่นเดินผ่านมาด้วย แต่บางครั้งก็มีมาเป็นกลุ่มซึ่งราตรีคิดว่าคนพวกนี้คงจะเป็นพวกปาร์ตี้ตามที่เธอเคยได้ยินมาจากพี่เมฆามาแล้ว

โอ้ ไม่ใช่มีแต่เธอเท่านั้นที่เป็นเด็กแหะ

ราตรีคิดพลางมองเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงอายุคราวประมาณห้าหกขวบเดินกันมาเป็นกลุ่มโดยมีผู้ใหญ่ที่เป็นชายคอยเดินนำทางให้ เหมือนลูกเสือพาเด็กประถมเดินข้ามถนนเลย

หากมองในมุมกลับกัน ผู้เล่นคนอื่นที่เดินสวนราตรีที่ซึ่งกำลังขี่มาริโออยู่นั้นต่างลอบมองทั้งคู่อย่างสนใจกันเป็นทิวแถว แถมยังพากันแปลกใจที่ได้เห็นเด็กทารกพูดสั่งมาริโอให้เดินตามทางราวกับเป็นเจ้านายอีกด้วย

“เด็กทารกคนนั้นเป็นผู้เล่นหรือเปล่านะ”

“คงไม่ใช่แล้วมั้ง ถ้าเป็นผู้เล่นจริง ป่านนี้บริษัทเกมคงประโคมข่าวไปนานแล้ว”

“แล้วเห็ดมาริโอที่เดินมาด้วยนั่นล่ะ มันเป็นบอสระดับสิบไม่ใช่รึไง”

“แต่ถ้าเด็กทารกคนนั้นเป็นผู้เล่นจริง ต้องมีผู้เล่นคนใดสักคนจับไว้เป็นทาส แล้วมาให้เด็กทารกคนนี้ไว้ใช้เป็นยานพาหนะก็เป็นได้”

เรื่องเล่าพวกนี้ลือกันให้แซดในหมู่ผู้เล่นที่อยู่ข้างนอกเมืองเริ่มต้น ซึ่งราตรีกับมาริโอไม่มีวันที่จะได้รู้เลยสักนิด แต่ทว่าเรื่องราวของทั้งคู่ทำให้ทีมงานของพวกดนัยเทพกับปริญต้องวิ่งวุ่นหาทางแก้ข่าวอยู่ไม่ขาดสาย ซึ่งนอกจากราตรีจะได้พบเห็นผู้เล่นเดินผ่านแล้ว เธอยังได้เห็นการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นกับมอนสเตอร์ที่เป็นจำพวกสัตว์สี่ขา เช่น กระต่าย หมาป่าตัวน้อย เป็นต้น ซึ่งถ้ามาเทียบกับราตรีที่เคยปะทะกับราชาปีศาจมาแล้ว ของเธอยังดูน่ากลัวกว่าพวกผู้เล่นแถวนี้เลยด้วยซ้ำ

จะเรียกว่าอนาถหรือน่าสมเพชดีนะ

ราตรีคิดในใจอย่างท้อแท้ ด้วยร่างเล็กจิ๋วที่ยังเดินได้เพียงแค่สองสามก้าวกับจับอาวุธก็ยังไม่มั่นคง

ริคิดไปช่วยท่านพ่อท่านแม่ก็ออกจะฝันเฟื้องเกินตัว ไว้เจอตานพก่อนเถอะ จะถล่มราชาปีศาจให้ราบคาบเป็นหน้ากองเลยคอยดู!

ราตรีคิดในใจก่อนจะรู้สึกตัวว่ามาริโอได้หยุดเดินแล้ว

“เจ้าหยุดเดินทามมายหยอมะรีโอ้”

“ต้นไม้ยักษ์” มาริโอตอบสั้นๆ “มีต้นไม้ยักษ์อยู่ตรงหน้านะรัตติ”

ราตรีได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองตามบ้าง เผยให้เห็นเบื้องหน้าอีกสองร้อยเมตรมีต้นไม้ต้นหนึ่งสูงใหญ่ราวกับตึกสิบชั้นแต่ทว่ามันกลับแห้งเหี่ยวไร้ใบซึ่งผิดแผกกับต้นไม้ต้นอื่นลิบลับ

“เจ้าพาข้าเข้าปายใกล้ๆหน่อยจิ ข้าอยากเห็งว่ามานเป็งยางงาย”

“ได้สิ” แล้วมาริโอก็พาราตรีหรือรัตติเดินเข้าไปใกล้ๆต้นไม้ยักษ์ตามคำสั่ง เมื่อทั้งคู่เดินจนเกือบจะถึงต้นไม้ยักษ์แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มแหบเหมือนคนแก่ดังขึ้นมา

“ที่นี่คือเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ ห้ามผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด” มาริโอได้ยินถึงกับหยุดชะงักเดิน

“เอ ดินแดนฉักฉิดง้านหยอ” ราตรีเอ่ยอย่างฉงน เพราะเท่าที่เธอเห็น ที่นี่มีเพียงแค่ต้นไม้ยักษ์แห้งเหี่ยวต้นหนึ่งกับต้นไม้ต้นเล็กอยู่ใกล้ๆสองสามต้นเท่านั้น

“ใช่แล้วเด็กน้อยเอ๋ย” เสียงเดิมตอบคำถามราตรี แล้วทันใดนั้นพื้นดินตรงส่วนที่มาริโอยืนอยู่เกิดขยับขึ้นสูงสองสามเมตร ก่อนจะเคลื่อนย้ายพวกราตรีไปใกล้ต้นไม้ยักษ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาทั้งคู่หวีดร้องด้วยความตกใจ “ไม่ต้องกลัว ข้าแค่เคลื่อนย้ายพวกเจ้าให้เข้ามาใกล้ข้าก็เท่านั้นเอง”

เสียงนั้นบอกก่อนพื้นที่ๆมาริโอยืนอยู่นั้นหยุดลงตรงหน้าต้นไม้ยักษ์

“ตะ…ตะ…ต้นไม้พูดได้!” มาริโอพูดเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว

“เจ้าเองก็พูดได้นะเจ้าเห็ดมาริโอ” เสียงที่ดังจากต้นไม้ยักษ์ตอบอย่างกวนๆ แล้วทันใดนั้นตรงส่วนเนื้อไม้ตรงหน้าราตรีเกิดขยับ ก่อนที่เนื้อไม้จะมลายหายไปถูกแทนด้วยนัยน์ตาสีเขียวที่ปรากฏออกมาทีหลัง ซึ่งทำให้ราตรีกับมาริโอสะดุ้งตกใจ “ขออภัยที่ทำให้พวกเจ้าตกใจเป็นครั้งที่สอง ข้าคือผู้ปกปักรักษาดินแดนเริ่มต้น นามว่า…”

“มานา”

“มานา?” ราตรีพูดทวนชื่อต้นไม้ยักษ์อย่างสงสัย “มานาคืออายายหยอฮับ”

ต้นไม้ยักษ์นามว่ามาน่าฉีกยิ้มให้กับราตรี ซึ่งทำเอาทั้งคู่สะดุ้งตกใจเป็นครั้งที่สาม

“รากศัพท์ของเวทมนตร์ พลังเวทมนตร์ อำนาจลึกลับ คาถาอาคม ซึ่งมันก็แปลได้หลายความหมาย แล้วแต่ว่ามนุษย์จะบัญญัติขึ้นมาใช้กันยังไง” ต้นไม้ยักษ์ตอบก่อนจะอธิบายต่อโดยไม่รอให้ราตรีได้ถามต่อ “แต่สำหรับตัวข้านั้น คือแหล่งรวมพลังงานชีวิตทุกสรรพสิ่งในโลกนี้เข้าด้วยกัน ถ้าขาดข้าไป โลกนี้คงจะถึงกัลปาวสาน”

พอต้นไม้ยักษ์พูดจบก็พลันทำหน้าเศร้า ซึ่งทำให้ราตรีอดสงสัยถามมิได้

“ท่านลุงเป็งอายาย ทามมายถึงทามหน้าเส้าอย่างน้านล่ะฮับ” ต้นไม้ยักษ์หรือลุงมานาได้ยินที่เด็กน้อยถามจึงเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ข้ากำลังใกล้จะตายนะเด็กน้อยเอ๋ย”

“ใกล้ตาย?”

“ใช่ ใกล้ตาย” ลุงมานาตอบด้วยเสียงสลดหดหู่ “เมื่อสองปีที่แล้ว ข้านอนหลับของข้าอยู่ดีๆ ราชาปีศาจเกิดปรากฏต่อหน้าข้า ทั้งที่ข้ากับราชาปีศาจแทบไม่ได้เจอหน้ากันนับพันปีก็ว่าได้”

คำว่าราชาปีศาจได้สะกิดต่อมความอยากรู้ของราตรีขึ้นมาทันที

“แย้วงายต่อฮับ”

“ทีแรกข้าก็ทักทายราชาปีศาจไปตามประสาคนที่ไม่ได้พบกันนาน” ลุงมานาเล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังอย่างเชื่องช้า “แล้วราชาปีศาจก็ทักทายตอบข้ากลับมา แต่พ่วงด้วยคำขู่พร้อมกองทัพปีศาจนับแสนว่า ’จงมอบพลังมานาของเจ้ามาให้แก่ข้าเสีย มิเช่นนั้นแล้วมนุษย์บนโลกนี้จะตายด้วยน้ำมือของราชาปีศาจอย่างข้า’”

“ย้ายกาดที่ฉุด!” ราตรีกัดฟันพูดแทรกด้วยความเดือดดาล ซึ่งทำเอาลุงมานากับมาริโอมองเธออย่างแปลกใจ

“เจ้าเป็นอะไรไปรัตติ อยู่ๆก็พูดขึ้นมา ไม่สบายรึเปล่า” มาริโอถามอย่างสงสัย เพราะพวกเขายังฟังเรื่องเล่าจากลุงมานายังไม่ครบดี แต่ราตรีกลับพูดโพล่งออกมาขัดจังหวะเสียก่อน ซึ่งราตรียังไม่ตอบคำถามของมาริโอเดี๋ยวนั้น หากกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความโกรธ ส่วนต้นไม้ยักษ์หรือลุงมานาเมื่อเห็นสีหน้าความโกรธของเด็กน้อยผมสีเงินที่แสดงออกมาแล้ว ก็ถึงกับถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“เด็กน้อยเอ๋ย ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ามีความแค้นใดกับราชาปีศาจ แต่อย่าได้เอาอารมณ์นั้นมาเป็นที่ตั้ง รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มิเช่นนั้นแล้วเจ้าจะจมปลักกับความแค้นไปตลอดชีวิต”

“ฮับท่านลุงต้นม้าย ข้าจาจดจามคามฉั่งฉอนของท่านลุงปายตาหลอด” ราตรียกมือไหว้ขอบคุณลุงมานา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับไหว้จากราตรี

“ว่าแต่ท่านลุงมานาเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกข้าฟังไปทำไมกันหรือ” มาริโอถามกลับเข้าเรื่องต่อ

“ข้ามีเรื่องขอร้องที่จะให้พวกเจ้าช่วยนะ” ลุงมานาตอบก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้า “ขอร้องล่ะ ถ้าพวกเจ้าไม่ช่วยแล้ว ก็ไม่มีใครจะช่วยข้าได้อีก”

“อ้าว แย้วพวกคงอื่นที่เดินผ่านมาเค้าม่ายด้ายช่วยท่านลุงเยยหยอฮับ” ราตรีถามอย่างสงสัย

“ไม่มีเลยสักคนเดียว” ลุงมานาหลับตาตอบ “ทีแรกมันก็มีอยู่หรอก เพียงแต่พอได้ยินคำขอของข้าเข้าแล้ว ต่างพากันส่ายหน้าหนีไม่ยอมช่วยกันเลยสักคนเดียว”

“ฮึ ม่ายนึกเยยว่าพวกผู้เย่นคงอื่นจาจายดามขนาดนี้ ถ้าเป็งข้าๆจาทาม”

“เด็กน้อย เจ้าอย่าพูดล้อให้คนแก่ตกใจเล่นสิ มันไม่สนุกหรอกนะ” ลุงมานาพูดยิ้มอย่างอ่อนใจเมื่อได้ฟังคำพูดล้อเล่นของราตรี

“ข้าม่ายด้ายพูดย้อเย่น ข้าจาทามจิงๆท่านลุงมานา” ราตรีพูดพลางโบกมือไปมา “ต่อห้ายมานยากเกินมือข้าจิงๆ ข้าก้อจาพายายามหาวิธีทามห้ายจงด้าย”

ลุงมานาได้ยินที่ราตรีพูดก็ถึงกับตะลึง เพราะตนไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากเด็กทารกได้

“หึๆ ฮะ ฮะ ฮ่า” ลุงมานาหัวเราะเสียงดังลั่นไปทั่ว ทำให้ผู้เล่นคนอื่นที่เดินผ่านมาแถวนี้หันมามองด้วยความสนใจ “เป็นคำพูดไม่เลวนี่เด็กน้อย เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร ข้าจะได้จดจำเจ้าไปตลอดชีวิต”

ราตรีได้ยินที่ลุงมานาถามก็รีบตอบกลับไปว่า

“ราจีพิฉุด หรือ ราจี แย้วแต่ท่านลุงจาเรียกนะฮับ”

“หืม? ราตรีพิสุทธิ์รึ” ลุงมานาพูดพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะร้องอ้อ “เจ้าใช่ราตรีพิสุทธิ์ที่เป็นลูกชายคนแรกของราชามังกรเดรคกับนางพญามังกรเหม่ยจิงหรือเปล่า!”

ราตรีพยักหน้าตอบกลับไปว่า

“ใช่แย้วฮับท่านลุง ว่าแต่ท่านลุงรู้จักปาป่ะมัมมะด้วยหยอฮับ”

“รู้จักเสียยิ่งกว่ารู้จัก” ลุงมานาตอบยิ้มๆ “เพราะข้าคืออาจารย์ที่สอนวิชาเวทมนตร์ให้กับพ่อแม่ของเจ้ายังไงล่ะเด็กน้อย”

ราตรีทำหน้าตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบจากลุงมานา

“จิงหยอฮับ!”

“จริงสิเด็กน้อย พ่อกับแม่ของเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าจริงๆ” ลุงมานาพูดพลางพยักหน้า “ว่าแต่พ่อแม่ของเจ้าเป็นยังไงบ้าง ยังสบายดีอยู่รึเปล่า แล้วนี่พวกเขาปล่อยให้เจ้าออกมาเดินท่อมๆตามลำพังกับเจ้าเห็ดนี่ได้ยังไงกัน เฮ้อ แย่จริงๆเจ้าพวกนี้ เห็นทีข้าต้องจับมาสั่งสอนบ้างแล้ว”

ราตรีทำหน้าเศร้าเมื่อได้ยินคำถามจากลุงมานา

“ปาป่ะมัมมะ ฮึก!” ราตรีพูดพลางสะอื้นไห้ “โดนราชาปีสาดโจมตีฮับท่านลุง”

“ว่ายังไงนะ! พ่อแม่ของเจ้าโดนราชาปีศาจลอบโจมตีงั้นรึ” ลุงมานาแผดเสียงร้องดังลั่น

“ฮับท่านลุง” ราตรีตอบพลางเช็ดน้ำตาตัวเอง “ข้าม่ายยู้ว่าปาป่ะเป็งยางงายบ้าง เพาะข้าเห็นท่านป้องกานมัมมะจนตกลงปาย ส่วนมัมมะ…ฮือๆ มัมมะช่วยข้าเพาะเห็นข้าบาดเจ็บหนัก ก้อเยยรีบยักฉาข้าแย้วฉ่งข้าลงแม่น้ามมา…ท่านบอกว่าจาตามมาทีหลัง แต่นี่มานก็หลายวานแย้ว มัมมะก็ยางม่ายมาชักทีเยย!”

พอพูดจบ ราตรีก็ร้องเสียงสะอื้นอย่างไม่อายสายตามาริโอทันที ส่วนมาริโอที่เพิ่งจะได้ยินเรื่องราวของเจ้านายมันเป็นครั้งแรก ถึงกับตะลึงพลางแอบคิดในใจ

ไอ๋หยา เผ่ามังกรเชียวรึ ดีนะ ตอนเจอกันครั้งแรก มันไม่พ่นไฟใส่เรา ไม่งั้นจบชีวิตเยี่ยงเห็ดบนเตาแหง

คิดแล้วมันก็ถึงกับยืนซึมก่อนจะร้องไห้ตามราตรีบ้าง ซึ่งทำเอาผู้ฟังอย่างมานาถึงกับกลุ้ม จึงได้แต่รอให้ราตรีกับมาริโอร้องไห้จนกว่าจะหยุดร้อง เมื่อทั้งคู่หยุดร้องไห้แล้ว เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาลุงมานาจึงพูดเข้าเรื่องต่อ

“ข้าเสียใจด้วยกับเรื่องที่เจ้าเจอมานะเด็กน้อย” ลุงมานาบอกก่อนที่จะมีรากไม้ผุดออกมาจากดินมาเช็ดน้ำตาให้ราตรีอย่างแผ่วเบา “ถ้าข้ามีพลังมากกว่านี้ ข้าคงจะแบ่งพลังครึ่งหนึ่งให้เจ้าได้ อย่างที่ข้าเคยเล่าให้ฟัง ราชาปีศาจมันแย่งชิงพลังมานาของข้าไปจนเกือบหมด มันคงอยากให้ข้าได้เห็นโลกถูกทำลายจึงเหลือพลังส่วนหนึ่งไว้ต่อลมหายใจข้า”

“ย้ายกาดที่ฉุด” ราตรีพูดอย่างฉุนเฉียวแต่เธอก็พยายามระงับอารมณ์ตัวเองไม่ให้ระเบิดไปมากกว่านี้

“ใช่ร้ายกาจ แต่ข้าก็ไม่นึกว่าราชาปีศาจจะกล้าทำทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมันออกจะเป็นราชาปีศาจที่แสนดี” ลุงมานาบอกพลางถอนหายใจแรงๆ “เอาเถิด ถึงข้าจะให้พลังเจ้าไม่ได้ แต่ข้าสามารถสอนวิชาเกี่ยวกับการเป็นมังกรให้เจ้าได้นะเด็กน้อย”

“ฉอนวิชากานเป็งมางกอน?” ราตรีพูดทวนคำพูดลุงมานาอย่างสงสัย

“ใช่ สอนวิชาการเป็นมังกร” ลุงมานาตอบย้ำอีกครั้ง “ข้าคิดว่าเจ้าคงยังไม่ได้เรียนรู้พวกนี้อย่างแน่นอน เพราะเจ้าดันพลัดพรากจากพ่อกับแม่เสียก่อนที่จะได้เรียน ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะได้ผจญกับโลกบนใบนี้อันแสนโหดร้าย ข้าจำต้องสอนวิธีการต่อสู้ให้แก่เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย”

ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับปลื้มตันใจ ก่อนจะรีบยกมือไหว้พลางกล่าวขอบคุณว่า

“ขอบคุงท่านลุง ม่ายจิ ต้องท่านอาจาน ฉิดน้อยผู้นี้จาจดจามบุนคุนของท่านอาจานปายตาหลอดชีวิด” ส่วนลุงมานาเมื่อได้ยินที่ราตรีพูดถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างพอใจยิ่ง

“ดีมากเด็กน้อย ข้าจะสอนเจ้าให้รู้ซึ้งถึงแก่นของการเป็นมังกรเลยเชียวล่ะ” แล้วราตรีก็ได้ลุงมานาช่วยสอนวิชาการเป็นมังกรอยู่ตรงนั้นหลายวันจนกระทั่งถึงวันออฟไลน์

..........................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 10 คุณลุงต้นไม้ (อัพ 100%) 18/01/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 13 จ้าวนภา ที่ 11-02-2015 11:14:47
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 10 คุณลุงต้นไม้ (อัพ 100%) 18/01/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 11-02-2015 12:54:31
บทที่ 11 มังกร

......................

ย้อนมาทางด้านพวกปฐพี ซึ่งพวกเขาทั้งสามคนได้หลงทางอยู่ในป่าหุบเขาวงกตเป็นเวลาสี่วันเต็มแล้ว

“เฮ้อ เมื่อไหร่พวกเราจะหาทางออกเจอซักทีนะ เบื่อที่จะสู้กับพวกหนอนยักษ์กับบอสเต็มทนแล้ว” ศาสตราบ่นเสียงดังในขณะที่เดินตามหลังปฐพี

“ช่วยไม่ได้ ก็ใครอยากให้นายตามมาด้วยกันเล่า ทนๆเอาหน่อยแล้วกัน ฉันคิดว่าอีกไม่กี่วันพวกเราก็คงหาทางออกเจอแล้วล่ะ” พิภพพูดพลางเหลือบมองปฐพีที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะหันมาพูดกระซิบกับศาสตรา “คราวหน้าถ้านายจะบ่นอีกล่ะก็ ช่วยบ่นเบาๆกว่านี้หน่อยนะ เพราะฉันกลัวว่าปฐพีจะหันมาด่านายเอาได้”

“ปฐพีนะรึจะด่าฉัน” ศาสตราพูดพลางขมวดคิ้ว

“ก็ใช่นะสิ เห็นเงียบๆอย่างนั้น นายอย่านึกว่าปฐพีจะด่าใครไม่เป็น” พิภพบอกพลางคลี่พัดก่อนจะสะบัดพัดเข้าหาตัวเองเพื่อคลายร้อน “ถึงพวกเราไม่ได้ตั้งใจจะออกตามหาคุณยายของปฐพีในป่านี้ก็เถอะ แต่นี่พวกเราเดินหลงทางจนทั่วป่ามาได้สี่วันเต็มแล้วก็ยังไม่มีวี่แววจะได้เห็นเลยสักนิด ฉะนั้นนายลองคิดดูให้ดีๆแล้วกัน ว่าตอนนี้ปฐพีจะรู้สึกยังไง”

ศาสตราได้ยินที่พิภพบอกก็รู้สึกขนลุกซู่ด้วยความกลัว ถึงแม้ปฐพีเป็นคนดี มีน้ำใจต่อเพื่อนก็เถอะ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาสองคนก็ไม่อยากเห็นสีหน้าโกรธของปฐพีเลยสักนิดเดียว แล้วพวกเขาสามคนก็เดินไปได้สักพัก จู่ๆ ก็มีเงาผู้เล่นคนอื่นเดินสวนมา ซึ่งทำให้ศาสตรา พิภพ และปฐพีถึงกับหยุดชะงักเดินในทันที 

ครืน!

บรรยากาศของป่าที่เคยเงียบสงบดีกลับคุกกรุ่นไปด้วยไอรังสีฆ่าฟัน

“ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอหัวหน้าสมาคมจับฉ่ายที่ป่าหุบเขาวงกตบนเกาะเริ่มต้นนี่ได้” ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยปากพูดขึ้น ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินออกมายังแสงสว่าง ซึ่งเผยให้เห็นชายหนุ่มผมดำยาวมีนัยน์ตาสีแดงเลือดในชุดเกราะสีดำที่ปล่อยออร่าออกมาบางๆดูลึกลับ และทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก

“ทางเราก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ว่าผู้เล่นระดับท็อปจะมาเดินเล่นอยู่แถวนี้” ปฐพีพูดตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คงจะเบื่อมอนสเตอร์บนทวีปหลักแล้วสินะ ถึงได้ขึ้นเรือเหาะย้อนกลับมายังเกาะเริ่มต้น…คิดจะเพิ่มชื่อเสียงของตัวเองอยู่รึไง”

“เมฆา ราชาแห่งสมาคมเงา” ทว่าเมฆาหาได้ตอบไม่ กลับทำท่าจับฝักดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะจู่โจม ซึ่งทำให้ศาสตรากับพิภพรีบหยิบอาวุธของตัวเองขึ้นมาก่อนจะวิ่งมาบังร่างปฐพีที่เป็นหัวหน้าของพวกเขา

“ถ้าจะฆ่าหัวหน้าของพวกเรา ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน” ศาสตราพูดขู่ทั้งที่ในใจกลับร้อนรุ่ม เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงผู้เล่นที่มีระดับสูงสุดของเกมนี้

เอาวะ สู้ให้ตายกันไปข้าง!

ศาสตรากับพิภพคิดในใจ ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชักดาบออกจากฝัก แต่กลับหัวเราะเสียงดังลั่น

“ฮะ...ฮะ...ฮะ!” เสียงหัวเราะของเมฆาได้สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้แก่ศาสตราและพิภพเป็นอย่างมาก “ฉันว่าพวกเราเล่นละครกันแค่นี้พอได้แล้วมั้งปฐพี ประเดี๋ยวพรรคพวกของนายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้หรอก”

เมฆาบอกพลางลดมือออกจากฝักก่อนจะส่งยิ้มมาให้ปฐพี ส่วนปฐพีที่ยืนมองเมฆาด้วยสายตาดุดันก็พลันหายไปราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“จริงของนาย” ปฐพียิ้มตอบ ซึ่งทำให้ศาสตรากับพิภพมองหน้าเพื่อนด้วยความงุนงง “แต่คราวหลังไม่ต้องเล่นแบบนี้อีกนะเมฆา เพราะฉันขี้เกียจมาอธิบายให้คนอื่นฟังทีหลัง”

“ฮะๆ ตกลง ไม่เล่นก็ไม่เล่น” เมฆาพูดตอบไปหัวเราะไป แล้วปฐพีก็หันหน้ามาทางศาสตรากับพิภพที่ยืนค้างในท่าเตรียมอาวุธตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

คงจะช็อกน่าดู

ปฐพีคิดพลางเอานิ้วชี้เกาแก้มเบาๆ

“เอ่อ ขอโทษนะที่เล่นละครหลอกพวกนาย” ปฐพีพูดขอโทษด้วยเสียงตะกุกตะกัก “ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพวกนาย แต่เมฆาสิบังคับให้ฉันเล่น ฉันเข้าใจดีว่ามันบ้า แต่มันจำใจต้องเล่นด้วยเพราะฉันดันมีหนี้ติดค้างเมฆาเขาไว้”

ปฐพีหยุดพูดพลางมองเพื่อนทั้งสองคน หากแต่ทั้งคู่ไม่ได้พูดว่าอะไรเขาสักคำ ปฐพีจึงพูดต่อไปอีก

“ส่วนหนี้ที่ฉันค้างเมฆาไว้นั้น มันเป็นตอนที่ฉันเพิ่งเข้าเกมนี้เป็นครั้งแรก ตอนนั้นฉันหลงทางอยู่ที่นี่แถมเกือบถูกหนอนยักษ์ฆ่าตายด้วย ดีที่ได้เมฆาช่วยไว้ทัน ฉันก็เลยคิดจะตอบแทนบุญคุณเมฆด้วยการร่วมเล่นละคร โดยแสร้งทำเป็นว่าถ้าใครคนใดคนหนึ่งเดินผ่านสวนทางกัน มีอันต้องหาเรื่องเหมือนไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่คนนั้นๆต้องมีเพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้าเมฆาหรือฉันเด็ดขาด ฉันขอโทษพวกนายด้วยนะ! นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ฉันหลอกคนอื่น เพราะนานแล้วที่ฉันไม่ได้เดินสวนกับเมฆาเลยตั้งแต่จากกันเมื่อครั้งนั้น จริงๆนะ ฉันสาบานได้”

พอปฐพีพูดจบ ทั้งคู่ก็ยังคงยืนเงียบอยู่ดี จนทำให้ปฐพีกับเมฆาต่างมองหน้ากันด้วยความลำบากใจ

“เอ่อ ฉันเองก็ต้องขอโทษแทนปฐพีด้วยที่ทำ…ให้พวกนาย…”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วเมฆา พวกเราเข้าใจดี” พิภพยกมือขึ้นห้ามเมฆา “แต่ถ้าจะขอโทษ เปลี่ยนมาเป็นเลี้ยงข้าวพวกเราในภัตตาคารหรูดีกว่านะว่าไหมศาสตรา”

“อือ ใช่แล้ว เพราะงั้นพวกนายสองคนห้ามปฎิเสธเชียวล่ะ หึๆ” ศาสตราพูดพลางหัวเราะเยาะ

“ไอ้เรื่องเลี้ยงพวกนาย ฉันเต็มที่อยู่แล้ว แต่พวกเราจะเดินออกไปจากที่นี่ได้ยังไงล่ะ อย่าลืมสิว่าพวกเราสามคนเดินหลงทางมาได้สี่วันแล้วนะ” ปฐพีพูดพลางถอนหายใจเนือยๆ

“อ้อ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะพาพวกนายเดินออกไปจากที่นี่เอง” พอเมฆาพูดจบ พวกปฐพีแทบจะหันไปมองผู้พูดทันที

“นายรู้ทางออกด้วยเหรอเมฆา” ปฐพีถามอย่างสงสัย ซึ่งเมฆาพยักหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ใช่ ฉันรู้ มันไม่ยากอะไรนักหรอกถ้าพวกนายรู้จักสังเกตสักนิด”

“งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบๆไปกันเถอะ” ศาสตราพูดตัดบทก่อนดันหลังเมฆากับปฐพีให้รีบออกเดิน ส่วนพิภพได้แต่ส่ายหน้ากับความใจร้อนของศาสตราก่อนจะก้าวเดินตามอย่างช้าๆ

............................

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ออนไลน์เกมเป็นเวลาสามชั่วโมงแล้ว ทางระบบขอออฟไลน์ผู้เล่นอัตโนมัติค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอก ก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงแสงพระอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องเข้ามาบนแขนของเธอ

ทำไมร้อนจัง เธอคิดในใจพลางถอดแว่นตาอนาล็อกออก เมื่อครู่นี้ในเกมมันยังเป็นเวลาค่ำอยู่เลย แถมเธอกำลังนอนดูดขวดนมที่ได้มาจากลุงมานาอยู่ด้วย จริงสิ เธอออกมาจากเกมแล้วนี่

แล้วเธอก็หันไปมองรอบๆข้างเพื่อหาหลานชายตัวแสบ ก่อนที่จะเห็นนพนอนสวมแว่นตาอนาล็อกอยู่บนฟูกข้างๆเตียงผ้าใบที่เธอกำลังนอนอยู่

"อ้าว ตานพยังไม่ออกจากเกมอีกรึ” เธอพูดอย่างแปลกใจ เพราะถึงเธอจะเข้าไปเล่นเกมออนไลน์มาแล้วก็จริง แต่เธอก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหลานชายของเธอไม่ออกจากเกมพร้อมกับเธอ เมื่อคิดเสร็จ เธอก็เรียกนางพยาบาลทันที

“มีอะไรเหรอคะคุณยาย”

“ตอนนี้ยัยแก้วของฉันไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ” เธอถามอย่างสงสัย เพราะเธอเข้าเกมก่อนนพ เธอจึงไม่รู้ว่านพพาลูกสาวไปฝากไว้ที่ไหน

“อ้อ ตอนนี้น้องแก้วนอนเล่นเกมออนไลน์ค่ะคุณยาย”

“อะไรนะ แก้วเล่นเกมออนไลน์รึ?” เธอพูดด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าลูกสาวของนพจะเล่นเกมออนไลน์เหมือนกับพ่อของเธอ

“ใช่แล้วค่ะ น้องแก้วเล่นเกมเดียวกับที่คุณยายเล่นนะค่ะ แต่คุณยายอย่าโกรธน้องแก้วไปเลยนะคะ เพราะเกมออนไลน์นี้ได้ควบคุมเวลาการเล่นสำหรับผู้เล่นที่มีอายุน้อยกว่าสิบขวบด้วยค่ะ” นางพยาบาลรีบอธิบายเพราะกลัวคุณยายจะโกรธคุณนพที่ปล่อยให้ลูกสาวเล่นเกมจนร่างกายทรุดเอาได้ ทว่านางพยาบาลเข้าใจผิดไปทั้งหมด ราตรีหาได้โกรธนพไม่ เพียงแต่เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนพถึงปิดบังเรื่องนี้โดยไม่บอกเธอ ทั้งๆที่เธอไม่เคยต่อว่าลูกหลานเรื่องการเล่นเกมเลยสักนิดเดียว

ดี ชอบปิดนักใช่ไหม เธอคิดในใจอย่างฉุนเฉียว งั้นฉันก็จะปิดเรื่องที่เป็นเด็กทารกด้วยเหมือนกัน และจะไม่บอกที่อยู่ให้ตานพรู้ด้วย!

หลังจากนั้นเธอก็ให้นางพยาบาลพาเธอไปยังห้องครัวเพื่อที่จะทำอาหารกลางวันเอง ซึ่งมีนางพยาบาลคนนี้คอยเป็นลูกมือด้วย แล้วเวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมงเธอก็ทำอาหารจนเสร็จ

“เดี๋ยวคุณพยาบาลช่วยไปเรียกแก้วมาทานข้าวกลางวันด้วยนะ เพราะฉันไม่อยากให้ยัยแก้วต้องเป็นโรคกระเพาะ” เธอสั่งเสียงเข้ม

“ได้ค่ะคุณยาย” แล้วนางพยาบาลก็เดินออกจากห้องครัวไป ซึ่งเธอนั่งรอได้ไม่นาน พยาบาลก็ได้พาแก้วมาตามที่เธอสั่ง แถมนอกจากนี้นพก็ได้เดินเข้ามาในห้องครัวพร้อมกับเสียงทักทาย

“เป็นยังไงบ้างครับคุณยาย เกมออนไลน์ที่ผมแนะนำให้สนุกดีไหมครับ” ทว่าเธอไม่ตอบ กลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินโดยเดินเข้าไปหยิบนมจากในตู้เย็น “แต่เกมนี้ก็แย่จังเลยนะครับ ผมกระซิบหาคุณยายไม่ได้เลย ผมก็เลยเดินกลับเข้าไปในเมืองเริ่มต้นและได้แจ้งเรื่องนี้กับพนักงานเกมไปแล้ว หวังว่าล็อกอินคราวหน้าคงจะใช้งานได้แน่ครับ เอ่อ...ว่าแต่คุณยายใช้ชื่อราตรีพิสุทธิ์อยู่ใช่ไหมครับ แล้วตอนนี้คุณยายอยู่ตรงส่วนไหนของเกาะเริ่มต้นครับ ถ้าล็อกอินคราวหน้าผมจะรีบไปหาคุณยายได้ทันที”

เมื่อเธอเดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้แล้ว จึงค่อยตอบคำถามของหลานชายไปว่า

“ยายไม่รู้ว่าที่ยายอยู่นั้นมันเป็นที่ไหน แต่นพไม่ต้องเป็นห่วงยายหรอกนะ เพราะยายไม่ได้อยู่ตามลำพัง” เธอพูดพลางหยิบผ้ากันเปื้อนมารองไว้บนตัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ “แล้วอีกอย่างยายกำลังสนุกกับเพื่อนๆอยู่ ไม่อยากแยกจากกับเขานะ”

นพได้ยินที่คุณยายพูดถึงกับขมวดคิ้ว

“คุณยายแน่ใจนะครับว่าไม่รู้ที่อยู่นะ” นพถามอย่างสงสัย เพราะผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งจะเข้าไปเล่นเกมเป็นครั้งแรก มักจะเกิดเป็นเด็กห้าขวบและจำเป็นต้องอยู่อาศัยกับพ่อแม่ที่เป็นเอ็นพีซี ดังนั้นการที่คุณยายไม่รู้ที่อยู่เลยนั้นมันยิ่งเป็นไปไม่ได้

“ใช่แล้วตานพ ยายไม่รู้เลย แต่ขอร้องล่ะนพ ขอยายสนุกกับเพื่อนใหม่ให้เต็มที่ อย่าได้เป็นห่วง ยายชอบที่ได้ผจญภัยเจออะไรใหม่ๆนะ” นพได้ยินแทบกุมขมับ เพราะนพไม่อยากทิ้งให้ยายเล่นเกมตามลำพังโดยที่ไม่มีตนคอยดูแลด้วย “เอาอย่างนี้แล้วกัน ในระหว่างที่ยายเล่นเกมกับเพื่อนๆ ยายจะส่งจดหมายไปหาหลานวันละหนึ่งฉบับดีไหม”

คำขอจากคุณยายทำให้นพถึงกับลังเลใจ แต่พอเห็นสีหน้าของท่านที่กำลังฉายแววแห่งความสุขแล้ว ชายหนุ่มก็เลิกคิดทันที

“ก็ได้ครับ ถ้าคุณยายต้องการตามนั้นผมก็ไม่ว่าอะไร” นพบอกพลางถอนหายใจ “แต่ถ้าคุณยายเห็นว่าตัวเองเล่นไม่ไหวแล้ว คุณยายต้องรีบออฟไลน์ออกจากเกมนั้นทันทีเลยนะครับ”

“จ้ะหลานรัก” แต่พอเธอได้เห็นนพแล้วก็ทำให้เธออดนึกถึงมาริโอที่อยู่ในเกมเสียมิได้ “แก้ว ไปหยิบไม้เรียวที่ห้องพระให้ทวดหน่อยสิจ้ะ”

เธอหันไปบอกลูกสาวของนพที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเธอ

“ค่าคุณทวด” แล้วแก้วก็ลงจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องครัวเพื่อไปเอาไม้เรียวตามคำสั่งของคุณทวด ซึ่งนพเห็นแล้วเกิดรู้สึกร้อนๆหนาวๆอย่างบอกไม่ถูก

ทำไมคุณยายต้องเรียกหาไม้เรียวเอาเวลานี้ด้วย

แก้วไปไม่นานนักก็ได้กลับมาพร้อมกับไม้เรียวหนึ่งอัน

“นี่ค่ะคุณทวด” แก้วพูดพลางยื่นส่งไม้เรียวให้ ซึ่งเธอรับไม้เรียวมาก่อนจะเอามือขวาลูบไม้เรียวอย่างแผ่วเบา

“สมัยนพยังเด็ก นพทั้งดื้อทั้งซนจนยายไม่รู้จะทำยังไงดี สอนก็แล้ว ดุก็แล้ว ยายก็เลยใช้ไม้เรียวอันนี้แหละตีนพ” เธอพูดย้อนความหลัง “พอนพโดนยายตีก็ร้องไห้ฟูมฟายวิ่งไปฟ้องแม่ว่ายายตีเธอ”

“คิกๆ อย่างคุณพ่อก็โดนตีเป็นกับเขาด้วย แถมร้องไห้จนขี้มูกเกรอะอีก” แก้วพูดไปหัวเราะเยาะพ่อตัวเองไปพลาง ซึ่งทำให้นพหันไปว่าลูกสาวตัวเองบ้าง

“เดี๋ยวเถอะลูกแก้ว มาพูดเยาะเย้ยพ่อแบบนี้เดี๋ยววันหลังพ่อไม่ให้เงินค่าขนมพิเศษเลยนี่”

“ไม่ต้องกลัวไปแก้ว เดี๋ยวทวดจะให้เอง” เธอพูดต่อ ซึ่งทำเอานพถึงกับหน้ามู่

“โธ่คุณยายครับ อย่าให้ท้ายลูกสาวผมแบบนี้สิ”

“ฉันจะให้มันก็เรื่องของฉัน” เธอย้อนเสียงเข้ม “อย่าว่าแต่แก้วเลย แม้แต่เธอฉันก็ยังเคยให้มาก่อนเหมือนกัน”

นพแทบอ้าปากค้างเมื่อได้ยินที่คุณยายพูด แต่แล้วชายหนุ่มก็หุบปากลงก่อนจะพูดขึ้นว่า

“เพราะไม้เรียวของคุณยาย ผมถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้มาจนถึงทุกวันนี้” นพพูดจบก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วเดินไปยืนอยู่ข้างคุณยายพลางนั่งลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น ก่อนจะยกแขนขึ้นพนมมืออย่างเรียบร้อย “ผมขอกราบขอบพระคุณยายครับ ชั่วชีวิตนี้ผมจะไม่มีวันลืมคำสั่งสอนของคุณยายอย่างแน่นอน”

เมื่อนพพูดจบ ชายหนุ่มก็ก้มลงกราบบนตักเธอโดยที่เธอได้แต่เอามือลูบหัวหลานชายทั้งน้ำตา แล้วหลังจากนั้นพวกเธอก็รีบลงมือทานข้าว เมื่อเรียบร้อยแล้วนพก็ขอตัวไปทำธุระที่นอกบ้านโดยพาแก้วไปตามด้วย ส่วนตัวเธอไม่รู้จะทำอะไรดี จึงกลับเข้าไปเล่นเกมออนไลน์เพื่อไปฝึกฝนการเป็นมังกรต่อโดยเธอปรับเวลาเล่นเป็นห้าชั่วโมงตามที่หลานชายได้สอนไว้ก่อนออกจากบ้านไป ซึ่งทั้งเธอและนพต่างไม่รู้ว่าตอนนี้ในเกมออนไลน์เองก็ได้อัพเดทแพทช์เรื่องเวลา จากเดิมที่เคยเป็นสามชั่วโมงจากโลกจริงต่อสามอาทิตย์ในเกมเปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วโมงของโลกจริงต่อหนึ่งวันในเกมเลยแม้แต่นิดเดียว

.......................

หลังจากที่ราตรีได้กลับเข้ามาในเกมอีกครั้ง เธอก็ได้ลืมตาขึ้นมาเห็นมาริโอนั่งคุกเข่าร้องไห้ข้างกายเธออย่างไม่หยุดหย่อน

“เป็งอารายปายมะรีโอ้ ทามมายเจ้าถึงร้องห้าย” ราตรีถามอย่างสงสัย ซึ่งมาริโอตอบคำถามเธอกลับมาด้วยเสียงสะอื้นว่า

“ก็เจ้าเล่นสลบไปตั้งหนึ่งวันเต็ม แถมเรียกก็ไม่ยอมตื่น ไม่ให้ข้าร้องไห้ก็บ้าแล้ว ดีนะที่พวกเราอยู่ใกล้ลุงมานา จึงทำให้พวกมอนสเตอร์ไม่กล้าเข้ามาทำร้าย”

“เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าตื่นได้ก็ดีแล้ว ทีหลังอย่าทำให้คนแก่เป็นห่วงอีกล่ะ” เสียงลุงมานาพูดสอดแทรก ทำให้ราตรีรู้สึกตัวว่าตอนนี้เธอกับมาริโอกำลังอยู่ในวงล้อมของรากต้นไม้ที่เต็มไปด้วยหนามอันแหลมคม “ถ้าเจ้าคิดจะขอโทษ ก็ไปขอโทษมาริโอดีกว่านะเด็กน้อย เพราะเจ้านี่ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน เอาแต่นั่งร้องไห้เรียกเจ้าจนเสียงแทบไม่มี”

พอลุงมานาพูดจบ ราตรีก็หันไปมองมาริโอด้วยความทึ่ง เพราะเธอไม่คิดว่ามันจะร้องไห้เสียน้ำตาเพื่อเธอถึงเพียงนี้

ช่างเป็น...มิตรภาพแท้ที่เธอหาซื้อที่ไหนไม่ได้

เกมนี้ดูท่าจะสมจริงของมัน

กระทั่งมิตรภาพก็ยังสร้างได้!


ราตรีคิดในใจเสร็จก็ลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ เมื่อเธอยืนได้อย่างมั่นคงแล้วจึงเข้าสวมกอดมาริโอพร้อมกับใช้มือขวาอันน้อยนิดลูบหลังมันอย่างแผ่วเบา

“ขอบคุงที่อยู่ข้างกายข้า แย้วก้อ...ขอโทดด้วยนะมะรีโอ ข้าขอโทดที่ทามห้ายเจ้าต้องเป็งห่วง”

“ค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 2, 3, 4, 5”

เสียงของระบบประกาศดังก้องหัวราตรี ซึ่งเธอกอดมาริโอได้ไม่นานนัก มันก็ผลักเธอออกห่างเบาๆ ก่อนจะพูดตวาดเสียงใส่

“เป็นเด็กเป็นเล็กริมากอดข้า ช่างไม่อายฟ้าอายดินบ้างเลยนะไอ้เด็กเปรต” ราตรีได้ยินที่มาริโอพูดก็นึกขำขัน

คงจะอายที่เธอกอดมันสินะ

“เอาเถิดมาริโอ ราตรีก็ได้พูดขอโทษเจ้าไปแล้ว เจ้าก็น่าจะเลิกโมโหได้แล้วนะ” ลุงมานาพูดแทรก ในขณะที่รากไม้ที่เคยล้อมรอบราตรีกับมาริโอก็พลันหดหายไปอย่างเชื่องช้า “หากเจ้ายังไม่เลิกหายโกรธอีกล่ะก็ ข้าจะสับเนื้อเจ้าเป็นชิ้นๆ แล้วนำเนื้อเจ้าไปทำต้มยำเห็ดให้ราตรีทานแทนอาหารมื้อเช้าเสียเลยนี่”

คำขู่จากลุงมานาพร้อมกับรากไม้อันแหลมคมที่จ่อคอมาริโออยู่ไม่ห่าง ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับหน้าซีด ส่วนราตรีได้แต่แอบขำมาริโออยู่ในใจ

เธอได้ตัวช่วยดัดนิสัยมาริโอเพิ่มอีกคนแล้ว

หลังจากนั้นลุงมานาก็ให้มาริโอนำผลหมากรากไม้มาให้ราตรีทาน ซึ่งมาริโอก็ยอมทำแต่โดยดี เพราะยังคงเกรงกลัวลุงมานาอยู่นั่นเอง เมื่อราตรีกับมาริโอทานเสร็จแล้ว ลุงมานาก็พาเธอเข้าสู่บทเรียนต่อ ซึ่งโดยครั้งนี้ลุงมานาไม่ได้สอนทฤษฎีเหมือนหลายวันที่ผ่านมา หากแต่ลุงมานาจะสอนภาคปฏิบัติโดยให้ราตรีหัดลองแปลงร่างเป็นมังกรจริงดูบ้างแล้ว

“ทำใจให้ว่าง ผ่อนลมหายใจให้เป็นจังหวะตามที่ข้าเคยสอนไว้” ลุงมานาบอก ซึ่งราตรีก็รับฟังก่อนจะทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย “การแปลงร่างมังกรสามารถเปลี่ยนได้สองวิธี หนึ่งคือการกำหนดจิตว่าตัวเจ้าเป็นมังกร สองคืออารมณ์โกรธ หากแต่วิธีที่สองนี้อันตรายยิ่งยวด เพราะมันจะกระทบกับจิตใจของตัวเจ้าเอง เจ้าจะบังคับร่างกายตอนเป็นมังกรยากเสียยิ่งกว่าวิธีแรก พูดง่ายๆก็คือเจ้าจะคลั่งนั่นเอง”

“คลั่งที่ว่านี่คือการทำร้ายคนอื่นเหรอตาแก่” มาริโอพูดขัดจังหวะการสอนเสียเอาดื้อๆ แถมยังเปลี่ยนสรรพนามการเรียกลุงมานาเป็นตาแก่แทน ซึ่งทำเอาคนสอนแทบอยากเอามันไปทำต้มยำเห็ดให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดอยู่ตรงที่ลูกศิษย์ของตนกำลังทำสมาธิอยู่ ดังนั้นลุงมานาจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของมาริโอก่อนจะพูดสอนราตรีต่อ

“อย่าลืมผ่อนร่างกายให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แล้วถึงตอนนั้นเจ้าค่อยกำหนดจิตว่าตัวเองจะเป็นมังกร อย่าลืมว่าเจ้าก็คือมังกร และมังกรก็คือเจ้า แล้วร่างกายของเจ้าก็จะเปลี่ยนรูปร่างเอง”

พอถึงตรงนี้แล้ว ราตรีกลับไม่ได้ยินเสียงของลุงมานาอีกเลย ราวกับว่าตัวเธออยู่ท่ามกลางความมืดมิดปราศจากเสียงรบกวน ซึ่งราตรีกลับรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงขุมพลังจากส่วนที่ลึกที่สุดกำลังแผ่ซ่านมายังที่ร่างกายเธอ

รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน เหมือนมีท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ข้างกายมิผิด

แล้วแสงสีฟ้าก็ส่องประกายทั่วร่างกายของราตรี ซึ่งทำเอามาริโอที่ยืนมองเจ้านายแปลงร่างร้องโห่ด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้มันจะมองไม่เห็นเจ้านายมันเพราะแสงสีฟ้าบดบังจนหมดก็ตาม แต่มันก็สามารถรับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของราตรีว่าเจ้านายของมันแปลงร่างเป็นมังกรได้สำเร็จแน่

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์แปลงร่างเป็นมังกรระดับ 1”

เสียงระบบประกาศบอกก่อนที่ลำแสงสีฟ้าจะหายไป ซึ่งเผยให้เห็นมังกรร่างเล็กมีลักษะเกล็ดสีผิวเพทายฟ้าอ่อนกำลังนั่งอยู่ในท่าก้มหน้าก้มตาโดยมีปีกทั้งสองข้างมาบังใบหน้าเล็กน้อย

“เหลือเชื่อ นี่หรือไอ้เด็กเปรต” มาริโอพูดอย่างตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงของเจ้านายตัวเอง

“ไม่เลว ช่างเป็นมังกรที่สวยไม่แพ้พ่อแม่ของมันเลย” ลุงมานาพูดพึมพำกับตัวเอง “ไม่สิ สวยและงดงามเสียยิ่งกว่ามังกรทุกตัวในโลกนี้”

ชักอยากจะรู้พลังธาตุของเด็กน้อยเสียแล้ว

ลุงมานาครุ่นคิดในใจพลางบอกให้ราตรีลืมตาขึ้นได้ พอราตรีในร่างมังกรลืมตาขึ้น ก็เผยให้เห็นนัยน์ตาแมวสีน้ำทะเลลึกที่ผู้ชมอย่างลุงมานากับมาริโอดูแล้วรู้สึกอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว

แม้กระทั่งนัยน์ตาก็ยังสวย!

ส่วนราตรีเมื่อลืมตาขึ้นแล้ว เธอก็สังเกตร่างกายของตัวเองที่เปลี่ยนไป

สีเกล็ดมังกรสวยใช่ย่อย

ราตรีคิดพลางคิดลองวิชาพ่นไฟที่เคยได้เรียนมาจากลุงมานา เธอจึงอ้าปากกว้างพร้อมตั้งสติก่อนจะพ่นไฟออกมา

ฟู่! ฟู่!

ไฟที่โผล่ออกจากปากของราตรีลอยออกมาเป็นวงกลมคล้ายโดนัท ซึ่งทำเอามาริโอที่จ้องมองเจ้านายมันอยู่ถึงกับหัวเราะกลิ้งตัวไปมา

“ฮะ...ฮะ...ฮะ...ฮะ” ราตรีได้ยินที่มาริโอหัวเราะเยาะจึงหันมาจ้องมันด้วยความฉุนเฉียวก่อนจะพ่นลมแรงๆใส่มัน

ฟู่!

พลันมาริโอก็เห็นภาพตัวเองไหม้เกรียมถูกไม้เสียบเป็นบาบีคิวแวบเข้ามาในหัว ดังนั้นมันจึงรีบก้มหัวขอโทษผู้เป็นนายทันที

“ขอโต้ดก๊าบ! หนูกัวแย้ว!”

“ฮึ” ราตรีในคราบมังกรพ่นลมหายใจก่อนจะเปิดปากพูดต่อ “ข้าแปลงร่างเป็งมางกอนแย้วเป็งงายบ้าง ฮะท่านลุงมานา”

“อืม เยี่ยมไปเลยเด็กน้อย เจ้าทำได้ดีมาก” ลุงมานาพูดชมซึ่งทำเอาราตรีรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง

“แล้วนี่ไอ้เด็กเปรตจะต้องหัดบินเลยไหม” มาริโอเอ่ยปากถามแทนเจ้านาย ซึ่งไม่ทันที่ลุงมานาจะได้อ้าปากพูดสักคำ ราตรีในคราบมังกรก็เดินต้วมเตี้ยมไปหามาริโอ เมื่อถึงตัวมันแล้วเธอก็หันหลังให้มันก่อนจะ...

ตูม!

พื้นดินแตกกระจายเป็นสองส่วนโดยฝีมือหางของราตรีที่ฟาดพื้นเพียงครั้งเดียว ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับตัวแข็ง แล้วราตรีก็หันมายักคิ้วใส่ให้มัน ส่วนลุงมานาได้แต่หัวเราะชอบใจกับการสอนมาริโอของราตรี แล้วเวลาผ่านไปได้นาทีเดียวราตรีก็ได้กลับคืนมาร่างเด็กหนึ่งขวบตามเดิม ซึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าร่างกายของราตรียังไม่พร้อมที่จะแปลงร่างเป็นมังกร ดังนั้นจึงทำให้ราตรีแปลงร่างได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ลุงมานาบอกเหตุผลว่าถ้าหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริง ก็อย่าได้แปลงร่างเป็นมังกรเด็ดขาด แล้วจากนั้นราตรีก็กลับเข้าไปนอนในเต็นท์พร้อมกับมาริโอเพื่อพักฟื้นพลังกายที่หายไปจากการแปลงร่างเป็นมังกรตามคำบอกของลุงมานา

.................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 11 มังกร (อัพ 100%) 11/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 13 จ้าวนภา ที่ 12-02-2015 15:21:28
 :mew1: :mew1: อิอิอิ มาอีกสนุกดี
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 11 มังกร (อัพ 100%) 11/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: wavalove ที่ 13-02-2015 21:46:53
 :-[

กำลังสนุกเลยย


อิอิอิ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 11 มังกร (อัพ 100%) 11/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 14-02-2015 16:28:53
รอค่ะ เป็นเรื่องที่น่าติดตามอีกเรื่องนึงเลย
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 11 มังกร (อัพ 100%) 11/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 15-02-2015 04:55:10
สนุกมากกกกก

ขำๆๆ มาริโอ

คริคริคริ


รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (อัพบทที่ 11 มังกร (อัพ 100%) 11/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 15-02-2015 07:45:05
บทที่ 12 เมืองเริ่มต้น

..................           

หลังจากราตรีได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว เธอก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อนจะมาทานอาหารซึ่งผู้เตรียมอาหารนั้นจะเป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกจากมาริโอ และแน่นอนว่าอาหารมื้อเที่ยงนี้หนีไม่พ้นข้าวบดผลไม้ เมื่อราตรีกับมาริโอทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ลุงมานาก็ได้เรียกเธอเข้ามาคุยด้วย

“มีอารายหยอฮะท่านลุง” ราตรีถามพลางแวบหันกลับไปมองมาริโอที่กำลังคาบกะลามะพร้าวไปทิ้ง ก่อนเธอจะหันหน้ากลับมายังทางลุงมานาอีกครั้ง

“วันนี้เจ้าก็สามารถแปลงร่างเป็นมังกรได้แล้ว ถึงยังจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม ลุงก็ไม่มีอะไรที่จะสอนเจ้าอีกแล้วเด็กน้อยเอ๋ย” ลุงมานาพูดเกริ่นก่อนจะพูดต่อไป “ส่วนเรื่องหัดบินนั้น ให้เจ้าไปหัดลองบินด้วยตัวเอง เพราะข้าได้สอนวิชาทฤษฎีทุกอย่างหมดแล้ว คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เจ้าจะไปหัดเองได้ใช่ไหม”

ราตรีได้ยินที่ลุงมานาพูดถึงกับขมวดคิ้ว แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงตอบกลับไปว่า

“ด้ายฮะท่านลุง ม่ายมีปัญหา”

“อ้อแล้วก็เรื่องของมาริโอ” ลุงมานาพูดอย่างนึกขึ้นได้ “เจ้าสอนสั่งมันให้ดีล่ะ เพราะการพูดจาของมันยังไม่ค่อยจะดีนัก”

“ฮะท่านลุง”

“ส่วนเรื่องที่ข้าเคยพูดกับเจ้าไว้เมื่อวันก่อน เจ้าไม่ต้องทำก็ได้นะเด็กน้อย เพราะราชาปีศาจหาได้ใช้คู่มือของเจ้าไม่ มันอันตรายเกินไปที่เจ้าจะต่อกรด้วย” ลุงมานาบอกด้วยความเป็นห่วง ซึ่งราตรีได้ส่ายหน้าเป็นคำตอบ เธอส่งยิ้มพลางตอบกลับไปว่า

“ข้าต้องขอบคุงท่านลุงที่เป็งห่วงข้า เรื่องนี้ข้าทามด้วยความเต็มจายฮะ ส่วนเรื่องราชาปีสาดข้าจาหาวิธีปายฉู้กับมานด้ายแน่ เพียงแต่ตอนนี้ข้าต้องฝึกวิชาห้ายเก่งเสียก่อง  อ้อ แล้วก้อหาพรรคพวกปายฉู้ด้วยกานนะฮะ”

“อืม คิดได้งั้นก็ดีแล้วล่ะเด็กน้อย เห็นเจ้าพูดอย่างนี้ข้าค่อยเบาใจหน่อย” แล้วลุงมานาก็ได้ยื่นข้อเสนอมาให้ ซึ่งราตรีก็รีบตอบรับก่อนจะพามาริโอมาลาลุงมานา จากนั้นทั้งคู่จึงพากันออกเดินทางต่อ โดยเป้าหมายคือเมืองเริ่มต้นตามทางที่ลุงมานาได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ระหว่างทางที่ทั้งคู่ออกเดินทางนั้นต่างมีผู้เล่นมากหน้าหลายตามองมาที่ราตรีกับมาริโออย่างสนอกสนใจ ซึ่งเธอรับรู้แต่ไม่ใส่ใจ เพราะเธอยังมีภาระอีกมากที่จะต้องทำต่อไปอีก

“เย้! เจอเมืองแล้วรัตติ! พวกเราเจอเมืองแล้วรัตติ!” มาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจเมื่อมันพาเจ้านายเดินมาถึงเมืองแล้ว ซึ่งทำเอาราตรีที่นั่งขี่คออยู่ต้องใช้มือตบหัวมันเบาๆ

“เจ้าจาพูดเฉียงดังปายทามมาย หัดอายคงอื่นเฉียบ้างจิ เฮ้อ!” ราตรีพูดพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเมืองเริ่มต้นที่มีกำแพงอิฐสีแดงรอบล้อมไว้อยู่

ในที่สุดก็มาถึงซักที

ก่อนอื่นเราคงต้องไปตึกผู้เล่นใหม่ก่อนสินะ


ราตรีคิดในใจ เพราะก่อนหน้านี้เมฆาเคยบอกไว้ว่าถ้าจะเข้าไปในเมืองเริ่มต้น ให้ไปที่ตึกผู้เล่นใหม่ก่อน เพราะที่นั่นเขาจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ของสำหรับผู้เล่นที่เพิ่งจะเข้าเกมมาใหม่เป็นครั้งแรกด้วย แล้วราตรีก็หันมองหาตัวช่วยก่อนจะเห็นผู้เล่นหญิงคนหนึ่งที่สวมชุดสวยงามเดินผ่านมา

“เอ่อเดี๋ยวฮะพี่ฉ๋าวคนฉวย เอ้ามะรีโอ้พาข้าเดินปายหาพี่ฉ๋าวคนนั้นทีจิ” ราตรีร้องเรียกพลางสั่งให้มาริโอเดิน ซึ่งมันก็ยอมเดินไปหาแต่โดยดี ส่วนผู้หญิงคนนั้นเมื่อถูกราตรีเรียกแล้วก็รีบหันกลับมาก่อนจะมองราตรีกับมาริโออย่างสงสัย “พอดีข้า…เอ้ย ป๋มเพิ่งมาที่นี่เป็งครั้งแรก ม่ายซาบว่าพี่ฉ๋าวยู้จักทางปายตึกผู้เย่นหม่ายหมายฮะ”

ราตรีถามพลางมองหน้าผู้เล่นที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีผมสีแดงสั้นระต้นคอ สวมชุดเกราะสีดำเน้นทรวดทรงสำหรับนักรบหญิงทำให้เห็นเรือนร่างที่ดูสง่างามและทะมัดทะแมงสมส่วน  หากแต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถามของเธอไม่ กลับมองราตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า

“นี่เจ้านายของข้าถามแล้วทำไมไม่ตอบล่ะฮะยัยมนุษย์น่าโง่!” มาริโอทนยืนฟังอยู่นานแล้วจึงด่ากลับไปอย่างไม่ไว้หน้า

“อย่าเฉียมาระยาดนะมะรีโอ้!” ราตรีดุมาริโอก่อนจะหันหน้าไปยิ้มให้กับผู้หญิงคนนั้น “ป๋มต้องขอโทดแทนมะรีโอ้ที่เฉียมาระยาดฮะ มานยางเด็กเลยพูดม่ายยู้จักคิด”

“ว่าแต่เขาแล้วตัวเองไม่เด็กนักรึไง”

“มะรีโอ้!” ราตรีตวาดเสียงใส่พลางใช้มือขวาเขกหัวมาริโอเป็นการสั่งสอน “เวลาผู้หญ่ายคุยกานเจ้าห้ามสอดเข้าจายหมาย”

“เข้าใจแล้ว” มาริโอตอบเสียงอ่อย แล้วราตรีก็หันไปหน้าทางผู้เล่นคนนั้นซึ่งยังคงมองเธออย่างฉงน

“ว่ายางงายฮะพี่ฉ๋าว พอจารู้ทางปายหมายฮะ” ราตรีถามซ้ำอีกรอบ หากแต่อีกฝ่ายกลับจ้องราตรีเขม็ง

หวา จ้องตาไม่กระพริบเลยแหะ

“น่า” จู่ๆ ผู้หญิงในชุดเกราะก็พูดขึ้นมา ซึ่งทำเอาราตรีกับมาริโอมึนงง

น่า?

“น่า...น่ารักจังเลย! ขอพี่สาวคนนี้กอดหน่อยเถอะนะ!” เมื่อผู้หญิงคนนั้นพูดจบ ก็รีบเข้ามาอุ้มราตรีอย่างเร็วก่อนจะกอดเธออย่างแนบแน่น ซึ่งทำเอาคนถูกกอดแทบอ้าปากค้าง

“ปล่อยนายของข้าเดี๋ยวนี้นะเจ้ามนุษย์!” มาริโอตะโกนบอกด้วยความเดือดดาล แต่ทว่าผู้หญิงคนนั้นหาได้คลายกอดราตรีไม่ กลับกอดแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม แถมนอกจากนี้ยังหอมแก้มราตรีทั้งสองข้างอย่างไม่สนใจเสียงมาริโอเลยสักนิด “บอกว่าให้ปล่อยนายของข้ายังไงกันเล่า!”

มาริโอพูดพลางทำท่าจะเตะหญิงสาวให้เลิกกอดราตรี หากแต่อีกฝ่ายปล่อยให้ราตรีลงยืนกับพื้นก่อน

“พี่ขอโทษด้วยที่ทำให้น้องต้องตกใจ” หญิงสาวผมแดงกล่าวยิ้มๆพลางเอามือเกาศีรษะอย่างเคอะเขิน “พอดีพี่เป็นคนที่ชอบเห็นเด็กทารกแล้วเป็นต้องกอดต้องหอมทุกที หวังว่าน้องคงไม่ว่าอะไรพี่หรอกนะจ้ะ”

ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

“ม่ายเป็งรายฮะ ป๋มแค่ตกจายนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“ว่าแต่น้องเป็นผู้เล่นจริงๆรึ คงไม่ใช่จีเอ็มหรือเอ็นพีซีหรอกนะ” หญิงสาวถามใหม่อีกครั้ง ซึ่งราตรีก็ตอบกลับไปว่า

“ฮะ ป๋มเป็งผู้เย่นหม่าย ม่ายช่ายจีเอ็มหรือเอ็งพีชีอย่างที่พี่ฉ๋าวถามมารอกฮะ ว่าแต่พี่ฉ๋าวจาบอกทางห้ายป๋มด้ายหรือยางฮะ”

“ได้สิจ้ะ พี่ผ่านทางนั้นพอดี ไปด้วยกันเลยนะจ้ะ” ว่าแล้วหญิงสาวผมแดงก็อุ้มราตรีขึ้นมาแล้วพาเดินเข้าไปในเมืองโดยไม่รอคำตอบจากเธอเลยสักนิดเดียว ส่วนมาริโอเมื่อเห็นว่าราตรีถูกอุ้มไปแล้วจึงรีบวิ่งตามไปอย่างเร็ว ในขณะที่ราตรีถูกผู้เล่นหญิงอุ้มพาเดินเข้าไปในเมืองแล้ว เธอก็แทบอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในกำแพงเมืองเริ่มต้น เพราะสองข้างทางเดินเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้หลากหลายพันธุ์บนพื้นหญ้าอันเขียวขจีแทนที่จะเป็นตึกรามบ้านช่องตามความคิดของเธอ “คิกๆ อ้าปากค้างซะแล้วน้องเรา คงตกใจกับเมืองเริ่มต้นนี้ไม่น้อยสินะ”

หญิงสาวผมแดงพูดพลางหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นเด็กน้อยที่เธออุ้มอยู่นั้นอ้าปากค้าง

ไม่น้อยแล้วล่ะ มากจนเกือบช็อคตั้งหาก

ราตรีคิดพลางหุบปากลงก่อนจะหันหน้าไปถามผู้อุ้มต่อ

“ที่นี่คือเมืองเริ่มต้นแน่หยอฮะพี่ฉ๋าว”

“แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งเลยจ้ะ” หญิงสาวตอบยิ้มๆ “เพราะผู้สร้างเกมต้องการให้ผู้ที่เพิ่งเข้ามาเล่นเกมครั้งแรกเกิดความประทับใจ จึงลงทุนลงแรมสร้างเมืองเริ่มต้นนี้ให้สวยงามเสมือนเมืองในฝันยังไงล่ะจ้ะ”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่ตึกยามบ้านช่องกับผู้เย่นคงอื่นปายอยู่กานตรงหนายแย้วฮะ ป๋มหาม่ายเจอเลยซากที เห็นแต่ทุ่งหญ้าดอกม้ายเต็มปายหมด” ราตรีพูดพลางถามอย่างสงสัย เพราะไม่ว่าเธอมองไปทางไหนก็เห็นแต่ดอกไม้กับทุ่งหญ้าเท่านั้น

“อ้อ พวกบ้านกับคนอื่นๆเค้าไม่ได้หายไปไหนกันหรอกจ้ะ เพียงแต่ว่าตรงส่วนที่พวกเรากำลังยืนอยู่นั้นเป็นเพียงแค่ทุ่งหญ้าก่อนถึงตัวเมืองนะจ้ะ” หญิงสาวตอบพลางชี้นิ้วไปด้านหน้าซึ่งเป็นทางเดินที่ถูกปูด้วยหินสีแดงยาวจนสุดลูกหูลูกตาของราตรี “เดี๋ยวพวกเราเดินตามทางนี้ไปซักพัก น้องก็จะได้เห็นเมืองเริ่มต้นแล้วล่ะ”

คำตอบจากอีกฝ่ายได้ทำให้ราตรีอ้าปากร้องอ้ออย่างเข้าใจ

“คุยกันมาตั้งนานพี่ยังไม่รู้จักชื่อน้องเลย น้องชื่ออะไรหรือจ้ะ”

คนอุ้มถามซึ่งราตรีกำลังจะอ้าปากตอบ มาริโอก็ดันแย่งตอบกลับไปว่า “รัตติ! นายของข้ามีนามสูงส่งว่ารัตติ โปรดจำใส่กะลาหัวไว้ด้วยล่ะเจ้ามนุษย์ผู้ต้อยต่ำ”

“มะรีโอ้!”

“ไม่เป็นไรจ้ะน้องรัตติ เรื่องแค่นี้พี่ไม่โกรธหรอก” หญิงสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนพี่ชื่อธิดา ยินดีที่ได้รู้จักนะจ้ะน้องรัตติ อ้อ แล้วก็มาริโอด้วยนะ”

ธิดาพูดพลางหันหน้าไปยิ้มหวานให้กับมาริโอ หากแต่มันหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ตอบพลางสะบัดหน้าหนี

ดูมัน เห็นทีต้องสั่งสอนให้มากกว่านี้ซะแล้ว!

หลังจากที่ธิดาพาพวกราตรีเดินไปถึงเมืองเริ่มต้นแล้ว ก็ทำเอาราตรีกับมาริโออ้าปากค้างด้วยความตะลึง เพราะเบื้องหน้าที่พวกเขาเห็นในขณะนี้เป็นเมืองคล้ายเมืองเล็กๆ ในแถบชนบทของยุโรป บ้านแต่ละหลังถูกออกแบบมาอย่างประณีตด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสาน โดยที่อาคารขนาดใหญ่จะเป็นสถาปัตยกรรมทรงโกธิค ส่วนบ้านทั่วๆ ไป จะให้อารมณ์ที่เป็นกลิ่นไอของยุคกลาง นอกจากนี้ตามถนนหนทางก็ดูสะอาดเรียบร้อยจนราตรีนึกชมผู้สร้างที่ช่างเข้าใจออกแบบให้ผู้เล่นใหม่รู้สึกเกิดความประทับใจเกมในครั้งแรกที่เข้ามาเล่น ซึ่งแน่นอนว่าราตรีได้ประทับใจกับฉากของเกมไปเรียบร้อยแล้ว

“ฮู้ ที่นี่คงเยอะม่ายช่ายน้อยเยยนะฮะท่านพี่ธิดา” ราตรีพูดเสียงตื่นเต้นในขณะที่เห็นผู้เล่นคนอื่นเดินพลุ่กพล่านจนลานตา

“ปกติไม่เยอะขนาดนี้หรอกนะจ้ะน้องรัตติ แต่พอดีวันนี้ทางเกมเขาจัดกิจกรรม ก็เลยมีผู้เล่นเยอะมากเป็นพิเศษ” ธิดาตอบพลางก้มมองราตรี “ว่าแต่เมื่อกี้นี้น้องเรียกพี่ว่าอะไรนะจ้ะ”

“ท่านพี่ธิดา?”

“ตายแล้ว ทำไมเรียกพี่ซะโบราณขนาดนั้นล่ะ หรือน้องชอบนิยายพวกกำลังภายในจีน” ธิดาถามอย่างสงสัย

“เป่าชอบฮะท่านพี่ ป๋มเป็งแบบนี้มาตั้งแต่ด้ายเล่งเกมนี้แย้ว” ราตรีตอบก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงสายตาของผู้เล่นคนอื่นที่จ้องมองมา ทีแรกราตรีไม่เอะใจเพราะเห็นมาตั้งแต่ก่อนเข้าเมืองแล้ว หากแต่สายตาของทุกคนกลับจ้องไปที่ธิดาแทนที่จะเป็นราตรี

มองทำไมหว่า?

ราตรีครุ่นคิดในใจอย่างสงสัย แล้วทันใดนั้นจู่ๆก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าเข้ามายังตรงที่พวกราตรีกำลังยืนอยู่

ฮี้!

เสียงม้าร้องก่อนจะหยุดวิ่งตรงเบื้องหน้าราตรี แล้วหนึ่งในผู้ขี่ม้าซึ่งเป็นผู้หญิงผมสีน้ำเงินได้กระโดดลงจากหลังม้าพลางเดินปรี่เข้ามาก่อนจะทำท่าคำนับ

“ขออภัยท่านประ…” ผู้หญิงผมหางม้าสีเขียวทำท่าจะพูดกลับชะงักไปเสียดื้อๆ แถมยังรีบลุกขึ้นยืนราวกับว่าพื้นที่เธอนั่งมันร้อนจัดเกินไป “เอ่อ พี่ธิดา กลับมาแล้วเหรอคะ”

ราตรีเห็นการกระทำแปลกๆของอีกฝ่ายก็นึกสงสัย

บ๊องรึเปล่าเนี่ย เดี๋ยวนั่งเดี๋ยวลุก แถมพูดจาก็แปลกๆอีกด้วย

“จ้ะ พี่กลับมาแล้ว” ธิดาตอบโดยปราศจากรอยยิ้ม “เราพาเพื่อนๆกลับไปกันก่อน เดี๋ยวพี่เสร็จธุระจะรีบกลับไป”

“ค่ะพี่ธิดา” ผู้หญิงคนนั้นตอบพลางเหลือบตามองราตรีกับมาริโออย่างระแวง จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับไปที่เดิมก่อนจะพูดคุยกับพรรคพวกสักสองประโยค แล้วจึงขึ้นม้าขี่พากันกลับไปทางเดิม

“มามะ พวกเราไปกันต่อเถอะจ้ะน้องรัตติ” ธิดาบอกซึ่งราตรีก็พยักหน้าตอบรับ แล้วหญิงสาวก็พาราตรีกับมาริโอออกเดินต่อ เมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ธิดาก็อุ้มราตรีลงยืนกับพื้น “เดี๋ยวพี่จะต้องรีบไปทำธุระ ไม่ว่างไปส่งข้างในนี้ได้”

ธิดาพูดลาพลางนั่งยองหอมแก้มราตรี และไม่ลืมหันไปหอมแก้มมาริโอด้วย ซึ่งทำให้มันถึงกับหน้าแดง

“แล้วพบกันใหม่นะจ้ะน้องรัตติ มาริโอ” พอกล่าวลาแล้วร่างบางก็พลันเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ พวกเรารีบเข้าปายกานเถอะ” ราตรีบอกมาริโอก่อนจะหันตัวกลับไปยังตึกผู้เล่นใหม่ที่ถูกสร้างคล้ายปราสาทขนาดเล็ก หากแต่ตึกผู้เล่นใหม่นี้ถูกประดับด้วยหินแกะสลักรูปปั้นมังกร ซึ่งราตรีเห็นแล้วอดโมโหไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องสร้างเป็นรูปสัตว์โดยเฉพาะมังกรที่เป็นเผ่าเดียวกับเธอด้วย ทว่าพอหันไปเห็นรูปปั้นสัตว์เผ่าอื่นๆ หรือแม้กระทั่งมนุษย์เองแล้ว ความโกรธก็พลันมลายหายไป “มะรีโอ มัวยืนเหม่ออยู่ด้าย รีบๆเข้าปายกานเถอะ”

ราตรีบอกพลางปีนขึ้นหัวมาริโอ

“อะ…อืม” แล้วมาริโอก็พาราตรีเดินเข้าไปยังข้างในตึกผู้เล่นใหม่ทันที เมื่อราตรีกับมาริโอได้เข้าไปข้างใน เธอก็ได้เห็นผู้เล่นมากหน้าหลายตากำลังยืนต่อแถวยาวเหยียด

“ผู้เล่นคนไหนเพิ่งเข้ามาเล่นเกมนี้เป็นครั้งแรกกรุณาช่วยมาต่อแถวตรงนี้ด้วยนะครับ” เสียงของพนักงานตะโกนบอก ซึ่งทำให้ราตรีทราบว่าทำไมถึงได้มีผู้เล่นยืนต่อแถวกันเยอะขนาดนี้

“จะไปต่อแถวไหมรัตติ” มาริโอถามด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

“ปายจิมะรีโอ้” ราตรีตอบ “เค้าอุดส่ามีของฟรีแจกทั้งที ม่ายเอาก้อโง่แย้ว”

แล้วมาริโอก็พาราตรีไปยืนต่อแถวเข้าคิวกับเขาบ้าง

“เดี๋ยวครับน้อง ทางนี้ครับ” เสียงเพรียกดังมาจากข้างซ้ายทำให้รัตติกับมาริโอหันขวับอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะเห็นชายหนุ่มผมสีเขียวสั้นระต้นคอในชุดสูทเดินปรี่เข้ามาหาพวกเธอด้วยสีหน้าตื่นๆ

“เรียกพวกป๋มหยอฮะพี่ชาย” ราตรีขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย หากแต่อีกฝ่ายยืนหอบหายใจสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“ครับ ถ้ายังไงพี่ขอเชิญน้องไปกับพี่ทางนี้หน่อยนะครับ”

“ม่ายปาย ถ้าพี่ชายม่ายพูดแนะนามตัวเองก่อง” ราตรีบอกพลางส่ายหน้า ซึ่งทำให้ชายหนุ่มอึ้งไปสองวิ

“ฮะๆ จริงด้วยสิครับ พี่รีบจนลืมแนะนำตัวไป” ชายหนุ่มพูดหัวเราะอย่างเขินอายพลางกระแอมไอสองครั้ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “พี่ชื่อดนัยเทพ เป็นเจ้าหน้าที่ของเกมนี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

“เช่นกานฮะ” ราตรีตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่เธอไม่ยอมบอกชื่อของตัวเองไป เพราะต่อให้อีกฝ่ายแนะนำตัวเองแล้วก็ตาม เธอยังไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้อยู่ดี หากแต่อีกฝ่ายรู้สึกถึงความระแวงของเธอจึงเอ่ยปากชวนว่า

“ถ้าน้องไม่ไว้ใจพี่แล้วล่ะก็ พวกเราไปคุยที่ร้านอาหารข้างนอกแล้วกัน ตกลงไหมครับ” ราตรีได้ยินถึงกับขมวดคิ้ว เพราะไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะชวนเธอไปคุยกันที่ข้างนอกแทน

“ตกลงฮะ”

....................

ณ ถ้ำหินย้อยใต้สมุทรที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเริ่มต้น ได้มีผู้เล่นอยู่แถวนั้นมากมายเนื่องจากที่แห่งนี้มีออกซิเจนอยู่มาก จึงทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งเก็บเลเวลกับแหล่งหาของชั้นดีในระดับหนึ่ง และลึกลงไปในถ้ำหินย้อยยังมีสมาคมแห่งหนึ่งตั้งอยู่ข้างในนั้น

สมาคมจันทราวารี

ป้ายสมาคมตั้งเด่นหราอยู่หน้าปากทางเข้าซึ่งมีผู้หญิงสองคนในชุดเกราะสีฟ้ายืนเชิงคุมอยู่ตลอดเวลา ตามปกติแล้วหากผู้เล่นทั่วไปไม่เคยเป็นสมาชิกของสมาคมใดๆมาก่อน ก็จะไม่สามารถเข้าไปในเขตสมาคมของคนอื่นได้ ดังนั้นถ้าผู้เล่นคนใดหลงเข้าไปแล้ว ก็จะโดนผู้เล่นของสมาคมนั้นขับไล่ให้ออกมาทันที แต่ในเวลานี้ไม่มีสมาชิกหลักเดินเพ่นพ่านเพราะต้องเข้าห้องประชุมกันทุกคน เนื่องด้วยหัวหน้าสมาคมของที่นี่เพิ่งจะกลับมาเล่นเกมอีกครั้งหลังจากหายหน้าหายตาไปหนึ่งปีเต็ม

“ขอยินดีต้อนรับการกลับมาของท่านประมุขค่ะ” เหล่าสมาชิกนับร้อยที่สวมหน้ากากครึ่งเสี้ยวกล่าวคำนับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์สีขาวหาได้ตอบรับคำทักทายของเหล่าสมาชิกไม่ กลับตีสีหน้าเคร่งเครียดจนทุกคนในที่นี้เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย

“ฉันเคยบอกทุกคนแล้วไงว่าเวลาอยู่ข้างนอกให้เรียกพี่เรียกน้อง” ประมุขพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าใช้ภาษานิยายจีนกับฉันอีกเด็ดขาดเพราะฉันไม่ชอบ แล้วนี่อะไรกัน ฉันหยุดเล่นเกมไปหนึ่งปีเพื่อกลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่สุสานในต่างประเทศเท่านั้น พอกลับมาเล่นเกมอีกครั้งทุกๆคนกลับลืมไปเสียแล้ว แถมยังออกมาต้อนรับฉันด้วยท่าทางแบบนั้นต่อหน้าเพื่อนใหม่ตัวน้อยของฉันอีก มันหมายความว่ายังไงกัน”

พอประมุขพูดจบ ผู้หญิงผมหางม้าสีเขียวในชุดนักรบที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของเหล่าสมาชิกก็ได้พูดกล่าวขึ้นต่อทันที

“เรียนท่านประ…” หญิงสาวชะงักพูดเมื่อเห็นสีหน้าของท่านประมุขที่จ้องจับผิดเธอ ซึ่งทำให้เธอต้องรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “เอ่อ ขอโทษค่ะพี่ธิดา นี่เป็นความผิดของหนูเอง เพราะฉะนั้นอย่าได้ดุพวกเขาเลยนะคะพี่ธิดา”

“คงไม่ได้แล้วล่ะน้องหงส์หยก เพราะพี่ไม่ชอบคนที่ไม่ทำตามสัญญา” ธิดาพูดแย้งอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินคำพูดของหงส์หยก “ถ้าทุกคนมีข้อข้องใจหรือสงสัยแล้วล่ะก็ สามารถเข้ามาคุยกับฉันได้ทุกเมื่อ เอาล่ะ เลิกประชุมได้”

ธิดาบอกก่อนจะเดินลงจากพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งทำให้หงส์หยกต้องรีบวิ่งตามธิดาไปอย่างรวดเร็ว ทว่าหงส์หยกกลับต้องชนหลังของธิดาอย่างแรงเพราะอีกฝ่ายดันหยุดเดินกะทันหันโดยไม่บอกกล่าว

“พี่ธิดาคะหนูขอ...”

“เก็บคำขอโทษนั้นไปซะ พี่ไม่อยากได้ยินตอนนี้” ธิดาพูดเสียงเรียบแต่ก็ไม่ได้หันหน้ากลับมาดูหงส์หยกเลยสักนิดเดียว “พี่จะไปเดินเล่นข้างนอก ถ้าคนอื่นต้องการพบพี่แล้วล่ะก็ บอกเขาไปว่าตอนเย็นพี่จะกลับมาคุยด้วย”

แล้วธิดาก็เดินหายออกไปนอกห้องประชุม โดยปล่อยให้หงส์หยกยืนอยู่ในห้องคนเดียว

...................

 ปล.ภาพข้างล่างเป็นภาพจำลองของธิดาจ้า :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 12 เมืองเริ่มต้น (อัพ 100%) P.2 15/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: JY_JRB ที่ 15-02-2015 13:15:18
แวะมานั่งรอตอนต่อไปเนอะ :hao3:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 12 เมืองเริ่มต้น (อัพ 100%) P.2 15/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 15-02-2015 13:26:39
บทที่ 13 เจอกันอีกครั้ง

.....................

ณ ร้านอาหารสองชั้นในย่านใจกลางเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้เล่นหลากหลายอาชีพมานั่งจับเข่าคุยกันกับรับประทานอาหารอย่างอรรถรส หากแต่มุมหนึ่งที่อยู่ด้านในสุดของร้านกลับผิดแปลกไปเพราะที่นั่นได้มีผู้เล่นสองคนกับอีกหนึ่งตัวกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่เงียบๆ

“เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่ในตึกผมต้องขอโทษครับที่เรียกคุณยายว่าน้อง” ชายหนุ่มนามว่าดนัยเทพพูดขอโทษราตรีด้วยเสียงอันเบา

“ม่ายเป็งรายฮะ ม่ายเป็งราย” ราตรีตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แต่เวลาพี่ชายอยู่ที่นี่ เรียกป๋มว่าน้องเถอะ เพาะว่าสะถานะของป๋มนายตอนนี้ม่ายช่ายคุงยาย แต่เป็งเด็กทารกอายุหนึ่งขวบเท่านั้น”

ทีแรกราตรีไม่เชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่ของเกมจริง เพราะไม่ว่าใครก็สามารถอ้างตัวว่าเป็นจีเอ็มกันได้ทั้งนั้น หากแต่อีกฝ่ายเล่าถึงเหตุการณ์ของแต่ละวันในเกมที่เธอเคยผ่านมาละเอียดถี่ยิบโดยผ่านพรายกระซิบ* ซึ่งทำเอาเธอถึงกับเชื่อสนิทใจ และเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของเกมจริง ดนัยเทพยังได้โชว์หลักฐานโดยการแสดงไอดีการ์ดที่ทำงานของตัวเองให้เธอดูอีกด้วย

ข้อมูลกับหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ ใครไม่เชื่อก็บ้าแล้ว

แต่ถึงกระนั้นราตรีก็ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องมาหาเธอด้วย เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย

“ว่าแต่พี่ชายมาหาป๋มด้วยเรื่องอารายฮะ” ราตรีถามพลางเหล่มาริโอที่กำลังแทะแฮมเบอเกอร์อย่างมูมมามก่อนจะหันกลับมามองดนัยเทพต่อ “หรือว่าจาเป็งเพาะมะรีโอ้ เขาม่ายด้ายทามอารายที่ผิดกดของเกมเลยนะฮะ”

“อ้อ เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างที่น้องคิดเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่อย่างแน่นอนครับ” ดนัยเทพรีบพูดปฏิเสธทันควัน

“ถ้างั้นพี่ชายมาหาป๋มด้วยอารายกานแน่ละฮะ”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแต่ไอดีของน้องมันพิเศษกว่าคนอื่นเขา ถ้าน้องไปขอของฟรีจากเคาน์เตอร์ตรงเมื่อครู่นี้แล้วล่ะก็ น้องคงเอาไปใช้ได้แค่สองอย่างเท่านั้น ที่เหลือต้องขายทิ้งหมด” ดนัยบอกเหตุผลที่เรียกตัวเธอออกมา

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” ราตรีพูดพลางพยักหน้า

“เพราะงั้นพี่ถึงได้ต้องเข้ามาในเกมเพื่อมามอบของให้น้องโดยเฉพาะยังไงล่ะครับ แต่พี่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าจะให้ของน้องแค่หกอย่างตามกฎของเกมที่ผู้เล่นใหม่ควรได้รับกันทุกคน ไม่มีลำเอียงใดๆทั้งสิ้น”

“ซาบแย้วฮะ” ราตรีตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่เสียงระบบจะประกาศในหัวของเธอว่า

“ท่านได้รับมีดสั้น 1 เล่ม”

“ท่านได้รับชุดเซทนักผจญภัย 1 ชุด”

“ท่านได้รับยาเพิ่มเลือด (HP) 100 ขวด”

“ท่านได้รับยาเพิ่มมานา (MP) 100 ขวด”

“ท่านได้รับปีกพี 10 อัน”

“พวกพี่ใช้เวลาสร้างอยู่พอสมควร ห้ามน้องเอาไปขายเด็ดขาดนะครับ” ดนัยเทพพูดจบ ชายหนุ่มก็ทำท่านึกขึ้นได้จึงพูดขึ้นต่อไปว่า “จริงสิ ลืมให้ของอีกอันกับน้องด้วย มันเป็นของสำคัญยิ่งยวดสำหรับเด็กทารกที่ขาดมันไปไม่ได้เลยสักนิดเดียว”

“ของฉามคันอาราย…”

“ท่านได้รับขวดนม 1 ขวด”

เสียงระบบประกาศดังกึกก้องในหัวของราตรีก่อนที่ของชิ้นนั้นจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ

“ขวดนมยังไงล่ะครับน้องราตรี” ดนัยเทพตอบ ก่อนจะพูดอธิบายให้ราตรีฟังต่อ “ถึงน้องจะมีอายุหนึ่งขวบแล้วก็ตาม แต่ยังไงน้องก็ต้องดูดนมอยู่ดี เพราะร่างกายของน้องยังหย่านมไม่ได้ ไหนจะยังต้องรับสารอาหารบางอย่างจากน้ำนมด้วย อ้อ พี่ลืมบอกไป นมในขวดนมนี้เป็นน้ำนมที่ได้มาจากแม่มังกรนะครับ เพราะพวกพี่เกรงว่าร่างกายน้องจะไม่รับน้ำนมจากที่อื่นก็เลยสร้างขึ้นมาให้ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องปริมาณน้ำนมนะครับน้องราตรี เพราะมันจะไม่มีวันหมด”

คำพูดอธิบายของดนัยเทพผนวกกับคำว่าน้ำนมของแม่มังกรแล้ว ทำให้น้ำตาที่เคยเหือดแห้งกลับไหลรินลงอาบแก้มอีกครั้ง

ท่านแม่

“รัตติร้องไห้!” มาริโอร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นเจ้านายของมันร้องไห้ “นี่แกบังอาจทำรัตติร้องไห้ อย่าอยู่เลย!”

มาริโอตะโกนว่าดนัยเทพพลางทำท่าจะกระโดดถีบชายหนุ่ม หากแต่มันชะงักเนื่องจากราตรีได้ดึงเสื้อมาริโอเอาไว้

“อย่ามะรีโอ้...ข้าม่ายเป็งราย...ฮึกๆ ข้าก้อแค่...คิดถึง...ท่านแม่...เท่านั้นเอง” ราตรีพูดเสียงสะอื้นพร้อมกับใช้มือเช็ดน้ำตาไปด้วย

“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร” มาริโอถามย้ำอีกครั้งอย่างลังเล ซึ่งราตรีก็ได้แต่พยักหน้าตอบ เมื่อมาริโอเห็นว่าเจ้านายไม่เป็นอะไรแล้ว มันจึงนั่งลงต่อแต่กลับจ้องดนัยเทพอย่างไม่ละสายตา ทำเอาคนถูกจ้องได้แต่ยิ้มแห้งๆ ทว่าไม่ใช่มีเพียงแค่มาริโอที่จ้องตาดนัยเทพตนเดียวเท่านั้น ก็ยังมีผู้เล่นคนอื่นที่นั่งอยู่ในร้านอาหารคอยลอบมองกับซุบซิบนินทาอย่างไม่ขาดสายอีกด้วย

“ดูเจ้าหน้าที่เกมคนนั้นสิ ทำเด็กทารกร้องไห้ด้วยละ”

“ต๊าย ยังหนุ่มยังแน่นช่างกล้าทำร้ายจิตใจเด็กได้ลงคอ” ราตรีได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วจึงรีบเช็ดน้ำตาออกเพราะกลัวคนมองจะเข้าใจผิดคิดว่าดนัยเทพทำเธอร้องไห้ เมื่อเช็ดน้ำตาเสร็จ เธอก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับดนัยเทพ

“ป๋มม่ายเป็งรายแย้ว พี่ชายมะต้องเป็งห่วง” หากแต่รอยยิ้มอันน่ารักน่าชังของเด็กทารกวัยหนึ่งขวบ ทำให้ผู้เล่นคนอื่นที่ได้เห็นรอยยิ้มแล้วต่างพากันหน้าแดงกันเป็นแถว

“เด็กคนนั้นน่ารักจัง ชักอยากได้มาเป็นเพื่อนแล้วสิ”

“อยากได้ก็เดินไปขอสิ มัวแต่ปลื้มอยู่ได้”

“อยากจะไปอยู่เหมือนกัน แต่กลัวเด็กคนนั้นไม่ใช่ผู้เล่นเหมือนเรานะ” คำพูดของผู้เล่นคนอื่นยังคงดังต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ดนัยเทพต้องรีบลุกขึ้นยืนพลางคว้าราตรีกับมาริโออุ้มขึ้นทั้งสองข้าง ก่อนจะรีบชิ่งหนีออกที่นี่ไปอย่างรวดเร็วเพราะชายหนุ่มกลัวความลับเรื่องมีผู้เล่นเป็นทารกจะแตกเสียก่อน

.......................

ย้อนกลับมาทางด้านธิดา ตั้งแต่หญิงสาวได้เดินออกมาจากที่นั่นแล้วเธอก็กลับมายังที่เมืองเริ่มต้นอีกครั้ง

“อ๊ะ นี่เราเดินเหม่อจนเดินมาถึงหน้าตึกผู้เล่นใหม่เลยรึ” ธิดาร้องอุทานเบาๆเมื่อพบว่าเบื้องหน้าของเธอเป็นตึกผู้เล่นใหม่ “เฮ้อ ไม่ไหวเลยเรา ตั้งใจจะเดินเล่นแท้ๆแต่ไหงกลับเดินมาถึงนี่โดยไม่รู้ตัวได้ละเนี่ย”

ธิดาพูดพลางถอนหายใจกับความงี่เง่าของตัวเอง

“ขอโทดนะฮะที่ป๋มกับมะรีโอ้ทามห้ายพี่ชายต้องเหนื่อย”

เอ๊ะ? เสียงคุ้นๆ

ธิดาคิดในใจกับเสียงที่ได้ยินจากทางหลัง ก่อนจะรีบหันไปดูต้นเสียง

“ไม่เป็นไรครับไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก” ชายหนุ่มในชุดสูทพูดในขณะที่ในมือทั้งสองข้างอุ้มเด็กทารกผมสีเงินกับเห็ดมาริโอที่สวมชุดเอี๊ยมสีแดงอยู่ “เดี๋ยวพวกเราเข้าไปคุยกันข้างในจะดีกว่านะครับ”

“ฮะ” เด็กน้อยผมสีเงินนามว่ารัตติตอบยิ้มๆ

อ้าว? นั่นมันน้องรัตตินี่ ธิดาคิดในใจหากแต่ผู้อุ้มรัตติเป็นถึงจีเอ็ม เธอจึงมิกล้าเข้าไปทักทาย แล้วพวกเขาก็เดินหายเข้าไปในตึกผู้เล่นใหม่โดยที่ธิดาไม่ได้เดินตามเข้าไป ช่างเถอะ ยังมีโอกาสที่จะได้พบกันอีกนี่นะ

ธิดาคิดในใจก่อนจะตัดสินใจไปเดินเล่นรอบเมืองต่อ แต่หญิงสาวเดินไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้วกกลับมาทางเก่า

แล้วกัน นี่เราเผลอเดินกลับมาที่นี่อีกแล้วรึ

ธิดาคิดในใจ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้เดินย้อนกลับมาทางเดิมทั้งๆที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ ครั้นพอจะก้าวเท้าออกเดินต่อ เสียงเล็กๆก็ขานเรียกเธอเสียก่อน

“ท่านพี่ธิดา!”

..................

หลังจากที่ราตรีได้รับฟังเรื่องราวไอดีพิเศษของตัวเองจากปากดนัยเทพแล้ว เธอก็ยอมรับปากแต่โดยดีว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ หากแต่เรื่องที่เธอเป็นผู้เล่นนี้ได้มีผู้รู้อยู่ถึงห้าคนแล้ว ซึ่งสองคนแรกที่เธอได้พบในป่านั้น เธอไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม รู้เพียงแต่ใบหน้าค่าตากับชุดที่สวมใส่เท่านั้น ส่วนคนที่สามก็เป็นเมฆา ตามมาด้วยปริ๊นซ์ และธิดาคนที่พาเธอมาส่งถึงตึกผู้เล่นใหม่

“ถ้ารู้แค่นั้นคงไม่เป็นไรครับ เพราะพี่สามารถเข้าไปคุยกับเขาแล้วขอให้พวกเขายอมร่วมมือในการปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ผู้เล่นคนอื่นได้รู้” ดนัยบอก “แต่น้องไม่ต้องบอกพวกเขานะครับว่าข้างนอกเกมนั้นน้องเป็นใครมาจากที่ไหนนะ”

“ฮะพี่ชาย เอ้อ จิงฉิ แย้วถ้ามีผู้เย่นคงอื่นถามป๋มละฮะ จาห้ายป๋มตอบพวกเขาว่ายางงายดี” ราตรีถามอย่างสงสัย เพราะถ้ามีคนถามเธอเล่า จะให้เธอตอบว่ายังไงดี ซึ่งกว่าดนัยเทพจะตอบกลับมา ก็ใช้เวลาคิดอยู่นานพอสมควร

“อืม เรื่องนี้น้องต้องปิดปากตัวเองให้เงียบ แล้วทำตัวเองให้เหมือนเด็กทารกที่ยังพูดไม่ได้ให้มากที่สุด ถ้าน้องเจอกับห้าคนที่เคยรู้ความลับนี้แล้วล่ะก็ ให้น้องส่งพรายกระซิบคุยกับเขาแทนเอาครับ” เมื่อราตรีหมดข้อกังขา ดนัยเทพก็ได้อุ้มเธอมาส่งถึงข้างนอกห้องทำงาน

“เสร็จธุระแล้วเหรอรัตติ” มาริโอถามทันทีที่เห็นเจ้านายของมันออกมาพร้อมกับดนัยเทพ

“อื้อ” ราตรีตอบก่อนจะหันไปมองผู้อุ้ม “ขอบคุงนะฮะพี่ชาย แย้วป๋มจากลับมาหาพี่ชายหม่ายอีกครั้ง”

“ครับ แล้วเจอกันใหม่” ดนัยเทพตอบพลางวางราตรีไว้บนหัวมาริโอ แล้วราตรีก็สั่งให้มาริโอออกเดินไปข้างนอกตึกผู้เล่นใหม่ เมื่อออกมาจากตึกแล้ว ราตรีก็ได้เห็นร่างคุ้นตายืนหันหลังให้อยู่

นั่นพี่ธิดานี่!

“ท่านพี่ธิดา!” ร่างสูงบางสะดุ้งไหวเล็กน้อยเมื่อถูกราตรีเรียก ก่อนจะหันหลังกลับมามองเธอ

“อ้าวน้องรัตติ พวกเราได้พบกันอีกแล้วนะจ้ะ” ธิดาพูดพลางส่งยิ้มหวานให้ราตรี

“ฮะ ว่าแต่ท่านพี่ธิดามาทามอารายอยู่แถวนี้หยอฮะ” คนถูกถามไม่ตอบคำถามของราตรีเดี๋ยวนั้น หากทำหน้าขมวดคิ้วคล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับมาว่า

“อ๋อ พี่กำลังคิดว่าจะไปร้านอาหารอยู่พอดีนะ เอ่อจริงสิ น้องจะไปทานข้าวกลางวันพร้อมกับพี่ไหมล่ะจ้ะ”

“ทานข้าวกับท่านพี่หยอฮะ?”

“ใช่แล้วจ้ะ” หญิงสาวตอบพลางก้มตัวลงถามมาริโอ “แล้วมาริโอล่ะจ้ะ หิวหรือยังเอ่ย”

“หิวแล้ว!” มันตอบทันทีโดยที่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ซึ่งทำให้ราตรีถึงกับกลุ้มใจ เพราะเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้มันเพิ่งกินแฮมเบอเกอร์อยู่เลย

ก็ดีเหมือนกัน จะได้บอกเรื่องความลับนั้นให้พี่ธิดารู้ตอนนี้เลย

ราตรีคิดก่อนจะตอบตกลง แล้วธิดาก็อุ้มเธอขึ้นมาแนบอกก่อนจะพาเธอกับมาริโออกเดินไปยังร้านอาหารทันที เมื่อไปถึงร้านอาหารแล้วราตรีบอกให้ธิดาพาเธอไปนั่งตรงที่ไม่มีคน ก่อนจะใช้พรายกระซิบบอกเรื่องไอดีพิเศษให้ธิดารู้ ซึ่งหญิงสาวก็ยอมให้ความร่วมมืออย่างดีว่าจะไม่ไปบอกใครด้วย

“แต่มีข้อแม้ว่าน้องต้องให้พี่อุ้มด้วยนะจ้ะ อ้อ แล้วก็ถ้าน้องอยากจะเก็บเลเวลล่ะก็ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะพาไปเก็บเองให้จ้า” ธิดาพูดพลางหัวเราะอย่างสนุกที่ได้แกล้งเด็ก ซึ่งราตรีก็ได้แต่ถอนหายใจ

“เรื่องเก็บเลเวลป๋มยางม่ายคิดจาทามตอนนี้ฮะท่านพี่”

“อ้าวเหรอจ้ะ แล้วน้องรัตติคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ” ธิดาถามพลางมองราตรีที่กำลังเขย่าขวดนมของตัวเองอย่างสนใจ

“ก้อน้องจาปายปะกาดออกตามหาคงรู้จักนะฮะ เพาะป๋มคิดว่าป่านนี้แย้วเขาคงเป็งห่วงป๋มจะแย่แย้วล่ะ” ราตรีตอบก่อนจะลองดูดขวดนมดู ซึ่งปรากฏว่ามันมีรสชาดเดียวกับน้ำนมของท่านแม่ไม่มีผิด “แย้วนายระหว่างที่รอ ก้อปายทามอย่างอื่นแทน แต่ร่างกายของป๋มนายตอนนี้ม่ายเหมาะเก็บเลเวลเยย ท่านพี่ธิดาพอจามีคำแนะนามบ้างหมายฮะ”

“ไอ้มีนะมีหรอกนะจ้ะ แต่ทำไมน้องถึงไม่ให้พี่พาไปเก็บเลเวลให้ล่ะ” ธิดาถามอย่างสงสัย

“คือป๋มเกรงจาย ม่ายอยากรบกวนท่านพี่นะฮะ” ราตรีตอบอย่างเคอะเขิน ซึ่งทำเอาหญิงสาวสวมกอดร่างเล็กด้วยความปลื้ม

“แหม น่ารักจริงเชียวนักเรา รู้จักเกรงใจแบบนี้พี่รักตายเลย” หากแต่คนถูกกอดรีบพูดกับธิดาว่า

“ท่านพี่ฮะอย่ากอดป๋มแบบนี้บ่อยๆจิฮะ” ธิดาได้ยินถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะคลายมือออกจากร่างเล็ก

“ทำไมละจ้ะ” ธิดาถามอย่างสงสัย “หรือว่าน้องรังเกียจพี่สาวคนนี้แล้ว”

ราตรีได้ยินก็รีบส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ป๋มม่ายด้ายรังเกียดท่านพี่เยยฮะ เพียงแต่ถ้าป๋มเป็งผู้ชายนายโลกจิงแย้ว ท่านพี่จาเสียหายอาวด้ายนะฮะ” คำพูดของราตรีได้ทำให้ธิดาถึงกับยิ้มออกมา

“แหมตัวแค่นี้ก็รู้จักเป็นห่วงพี่แล้วรึ” ธิดาพูดพลางใช้มือขยี้ผมสีเงินของราตรีเบาๆ “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะน้องรัตติ ต่อให้น้องเป็นผู้ชายในโลกนอกเกมจริง พี่ก็ไม่กลัวหรอกจ้ะ เพราะนี่มันแค่เกม ไม่มีอะไรทำให้พี่เสียหายได้หรอกจ้ะ”

“ฮู้ ป๋มค่อยยางชั่วหน่อย นึกว่าจาทามเรื่องม่ายดีเฉียแย้วฉิ” ราตรีพูดพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ซึ่งทำให้ธิดาหัวเราะเบาๆ แล้วหลังพวกเขาสามคนทานอาหารเสร็จแล้ว ธิดาก็จ่ายเงินค่าอาหารก่อนจะพาราตรีกับมาริโอไปยังใจกลางเมืองเพื่อเขียนป้ายประกาศออกตามหาคนตามที่ราตรีบอก

..........................

ในขณะเดียวกันเอง หลังจากที่ปฐพี ศาสตรา พิภพได้ออกจากป่าหุบเขาวงกตแล้ว ปฐพีก็ขอตัวออฟไลน์ออกจากเกมไป ซึ่งเหลือแต่ศาสตรากับพิภพที่ยังคงเล่นเกมอยู่ ส่วนเมฆาผู้นำทางนั้นได้ขอแยกตัวไปทำอย่างอื่นแล้ว

“จะไปไหนดีล่ะพิภพ คงอีกนานที่ปฐพีจะกลับมาออนไลน์อีก” ศาสตราบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เพราะก่อนที่ปฐพีจะออฟไลน์ออกจากเกมไป มันได้บอกพวกเขาสองคนว่าจะออกไปทำธุระที่ข้างนอกบ้านซึ่งกว่าจะกลับมาเล่นอีกในเกมก็ผ่านไปได้หลายวันแล้ว ดังนั้นปฐพีจึงบอกไว้ว่าถ้ามันออนไลน์อีกทีจะส่งพรายกระซิบไปหาทีหลัง

“อืม นั่นสินะ” พิภพพูดพลางทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ ช่วงนี้ในเมืองเริ่มต้นมีการจัดกิจกรรมอยู่นี่ ทำไมพวกเราไม่ไปรอปฐพีที่นั่นเสียเลยล่ะ”

“อะฮ่า งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ ไปเร็วไอ้ลูกพ่อ ย่ะ!” ศาสตราพูดก่อนจะดึงเชือกม้าของตัวเองให้ออกวิ่ง ซึ่งทำให้พิภพต้องรีบสั่งให้ม้าของตัวเองวิ่งตามศาสตราไปบ้าง ทั้งคู่ก็ขี่ม้าไปได้สักหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็มาถึงเมืองเริ่มต้นสักที “ให้ตายสิ คนมางานเยอะชะมัดเลย สงสัยว่าพวกเรากว่าจะขี่ไปถึงตัวเมืองก็ปาเกือบชั่วโมงแล้วมั้งพิภพ”

ศาสตราพูดบ่นทันทีที่เห็นผู้เล่นเดินเต็มท้องถนนซึ่งเป็นทางที่จะเข้าไปในตัวเมืองเริ่มต้น

“ก็คงงั้นแหละ” พิภพตอบพลางถอนหายใจ “แต่นายจะบ่นไปทำซากอะไร ตอนนี้พวกเรากำลังขี่ม้าอยู่นะ ไม่ได้เดินเหมือนคนอื่นๆสักหน่อย”

“เอ้อจริงด้วย ฉันก็ลืมไปเสียสนิท ฮ่าๆ” ศาสตราพูดอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างไม่อายสายตาคนอื่น ซึ่งทำให้พิภพต้องถอนหายใจเป็นครั้งที่สอง เมื่อผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมงพวกเขาทั้งสองคนก็เข้ามาในเมืองได้แล้ว พวกเขานำม้าคู่ใจไปฝากไว้ที่รับฝากม้าก่อนจะออกเดินต่อ “ชักหิวๆแล้วสิพิภพ ฉันว่าพวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีไหม”

ศาสตราพูดพลางเอามือลูบท้อง

“ก็ดีเหมือนกัน งั้นไปกันเลย” พิภพพูดอย่างเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันไปยังร้านอาหารทันที เมื่อพวกเขาไปถึงร้านอาหารแล้วศาสตราก็ได้ซื้อข้าวราดแกงสองจานก่อนจะเดินถือกลับมานั่งรอบนโต๊ะอาหารซึ่งมีพิภพนั่งจองที่ให้อยู่

“เฮ้ นั่งเหม่ออะไรอยู่ รีบทานเร็วเข้า พวกเราจะได้ไปที่อื่นกันต่อ” ศาสตราบอกในขณะที่ตนวางจานอาหารให้เพื่อน หากแต่มันเหม่อมองเสียนานจนศาสตราอดหันมองตามบ้าง ซึ่งทำเอาชายหนุ่มแทบเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งเดียวกับที่เพื่อนเห็น “นั่นมัน…ธิดานี่”

“ใช่ ธิดา เธอกลับมาเล่นเกมแล้ว” พิภพพูดพลางมองหญิงสาวที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปอีกสองสามโต๊ะ หากแต่หญิงสาวไม่ได้อยู่ตามลำพัง กลับมีเด็กทารกผมสีเงินกับมอนสเตอร์เห็ดนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วย

“แล้วเด็กกับเห็ดนั่นมันอะไรกัน” ศาสตราพูดพลางขมวดคิ้วคิดอย่างสงสัย เพราะไม่น่าจะมีผู้เล่นเป็นเด็กทารกได้ ส่วนเห็ดนั่นก็คงเป็นมอนสเตอร์อย่างแน่นอน แต่จะเป็นสัตว์เลี้ยงของใครนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง “สงสัยจะเป็นเอ็นพีซีหรือไม่ก็ทาสรับใช้ที่ธิดาไปหาจับมาได้กระมัง เฮ้อ แต่ก็ช่างเถอะ คิดมากไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ตอนนี้ธิดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้วนี่ ฉันว่าพวกเราเลิกสนใจเธอเถอะพิภพ”

“อือ รู้แล้วๆ” พิภพตอบ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ลงมือทานข้าวกันต่อโดยไม่สนใจเธออีก

.................

*พรายกระซิบ คือ วิธีการโทรจิตคุยกันได้โดยไม่ต้องเปิดปากพูด แต่ผู้ทำจะต้องรู้ชื่อของอีกฝ่ายอยู่ก่อนและอยู่ในวงรัศมีไม่เกินหนึ่งกิโลเมตรถึงจะสามารถพรายกระซิบหากันได้

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่่ 13 เจอกันอีกครั้ง (อัพ 100%) P.2 15/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mumamayza ที่ 17-02-2015 22:40:17
 :-[ รออออออออออออออออ ท่านพี่นักเขียนมาต่อ FC น้องรัตติ  :L2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่่ 13 เจอกันอีกครั้ง (อัพ 100%) P.2 15/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 18-02-2015 11:45:05
บทที่ 14 ภารกิจ

.........................

กลับมาทางด้านพวกราตรี เมื่อธิดาได้อุ้มพาเธอไปยังใจกลางเมืองเพื่อเขียนป้ายประกาศออกตามหาคน หญิงสาวกลับขอตัวไปทำธุระอย่างกะทันหันแถมยังบอกว่าจะติดต่อกลับมาทีหลังด้วย ซึ่งราตรีนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะติดต่อกลับมาหาเธอได้ยังไง เพราะชื่อที่เธอใช้อยู่นี้เป็นแค่ชื่อปลอมเท่านั้น

ช่างเถอะ ถ้ามีวาสนาต่อกันจริง ยังไงก็ได้พบกันอีกอยู่ดี

ราตรีคิดในใจก่อนจะสั่งให้มาริโอเดินเข้าไปใกล้ๆป้ายกระดานสีเขียวใหญ่เท่าบ้าน ซึ่งโชคดีที่แถวนี้ไม่มีคนเดินผ่านเพราะเนื่องด้วยจุดนี้ไม่ใช่โซนของกิจกรรม จึงทำให้ราตรีไม่ต้องกลัวว่าใครจะมองเธอตอนที่กำลังเขียนหนังสือบนกระดานนี้

“เจ้าจะเขียนประกาศตามหาใครรึ” มาริโอเอ่ยปากถามอย่างสงสัย “อย่าบอกนะว่าจะประกาศออกตามหาเมฆา ไม่ได้นะ ห้ามเขียนเด็ดขาดรัตติ”

 “ข้าม่ายด้ายจาเขียนปากาดตามหาคงน้านซากหน่อย” ราตรีพูดพลางเอานิ้วอุดหูสองข้างอย่างรำคาญ “ฮู้ ช่างเถอะ ข้าจาเขียนตามหาครายก้อช่าง เจ้าอย่าฉนจายปายเยยมะรีโอ้”

เมื่อราตรีพูดจบ เธอก็หยิบปากกาเมจิคที่วางอยู่ใกล้กระดานขึ้นมา

ว่าแต่จะเขียนถึงตานพยังไงดีล่ะ?

ราตรีครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะเธอยังไม่ได้บอกเรื่องตัวเองในเกมให้หลานชายรู้เลยสักนิด

“แค่เขียนตามหาคนจะใช้เวลาคิดอะไรนานขนาดนั้นกันล่ะรัตติ รีบๆเขียนไปสิ พวกเราจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ” มาริโอพูดอย่างหมดความอดทน

“เออๆ จาเขียนเดี๋ยวนี้ล่ะ” ราตรีบอกพลางเขียนข้อความบนกระดาน ซึ่งกว่าเธอจะเขียนเสร็จก็ใช้เวลาอยู่นานเลยทีเดียว “ฮู้ แค่เขียนก้อยางยาก แย้วนี่ข้าจาปายทามอารายอื่นด้ายอีกล่ะเนี่ย”

ราตรีบ่นพร้อมกับมองข้อความที่เธอเขียนบนกระดาน ซึ่งโย้เย้ไปมาจนเกือบอ่านไม่ออก

ยายมาถึงเมืองเริ่มต้นแล้ว ถ้านพเห็นข้อความของยายแล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ

จาก ราตรีพิสุทธิ์


“นั่นเจ้าเขียนภาษาอะไรนะ ทำไมข้าถึงอ่านมันไม่ออกเลย แถมไก่เขี่ยอีกตั้งหาก” มาริโอถามพลางมองตัวหนังสือที่เธอเขียนซึ่งมีแต่ตัวเลขอารบิกอย่างสงสัย

“พาฉาอารายมานก้อเรื่องของข้าน่ามะรีโอ้” ราตรีตอบบอกปัด เพราะภาษาที่เธอเขียนมันเป็นภาษาโค๊ดลับ ซึ่งคนอ่านโค๊ดลับนี้ได้จะมีก็แต่ลูกสาวกับหลานชายของเธอเท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่มาริโอจะอ่านตัวหนังสือที่เธอเขียนไม่ออก “ปายกานเถอะมะรีโอ้ ปายหาที่พักกานแย้วค่อยปายหางานทามกาน”

ราตรีบอกก่อนจะสั่งให้มาริโอออกเดิน ซึ่งในขณะที่พวกราตรีออกตามหาที่พักนั้น ก็ได้มีผู้เล่นคนอื่นมองเธอกับมาริโออย่างฉงนสงสัย หากแต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะทุกคนต่างคิดว่าราตรีเป็นจีเอ็มลับของเกมมากกว่าจะเป็นผู้เล่นอย่างพวกเขาได้ แล้วไม่นานนักราตรีก็หาที่พักจนเจอ

“แน่ใจเหรอว่าจะพักที่นี่นะรัตติ” มาริโอถามพลางกลืนน้ำลายอย่างลำบากเมื่อเห็นสภาพที่พักซึ่งไม่ต่างอะไรกับกระท่อมกลางนา ทีแรกมาริโอนึกว่าราตรีจะพามันไปพักในโรงแรมหรือบ้านพักเสียอีก แต่กลับมาพักในสถานที่ๆอยู่เกือบสุดนอกเมืองเริ่มต้นแทน

“แน่จายฉิ” ราตรีตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เพาะที่นี่จาเป็งที่ม่ายมีคงอื่นพักมากเท่าหร่าย และเป็งที่พักที่ท่านพี่ดานายแนะมาว่าเฉียค่าพักแค่หนึ่งร้อยเหรียญเอง”

“ตอนนี้พี่ให้เงินน้องได้แค่ห้าร้อยเหรียญเท่านั้นนะครับ เพราะตามกฎของเกมแล้ว เจ้าหน้าที่เกมไม่สามารถช่วยเหลือผู้เล่นใหม่โดยการให้เงินได้” ดนัยเทพบอกก่อนจะก้มหน้าพูดกระซิบที่ข้างหูของราตรีว่า “นี่เป็นเงินของไอดีเกมที่พี่เล่นเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับไอดีของจีเอ็ม ฉะนั้นเรื่องนี้หายห่วงได้ ไม่มีผิดกฎอย่างแน่นอนครับ”

ราตรีคิดพลางถอนหายใจกับความขี้เหนียวของดนัยเทพ เพราะเงินของชายหนุ่มที่ให้ทั้งหมดมีพอจ่ายค่าที่พักแค่ห้าวันเท่านั้น ซึ่งถ้าหมดแล้วเธอก็ต้องออกไปหาเงินเพื่อมาจ่ายค่าที่พักเอง ไหนจะต้องเจียดเงินที่เหลือมาจ่ายค่าอาหารให้มาริโออีก

ชีวิตนี้ช่างรันทดเหมือนโอชินไม่มีผิด

หลังจากนั้นราตรีก็สั่งให้มาริโอเดินเข้าไปใกล้ประตูก่อนที่เธอจะเป็นคนเคาะประตูเอง

ก๊อก! ก๊อก!

“เออๆ จะเปิดให้เดี๋ยวนี้แหละ” เสียงทุ้มแหบที่อยู่ข้างในกระท่อมตะโกนกลับมา ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก ซึ่งเผยให้เห็นชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาลเข้มในคราบชุดนายพรานสีเขียวยืนทำหน้าถมึงทึง

น่ากลัวจังแหะ

ราตรีคิดในใจอย่างหวาดหวั่น ทว่าอีกฝ่ายเมื่อได้เห็นผู้มาเคาะประตูแล้ว ก็พลันขมวดคิ้วหรี่ตามองเธอจนใบหน้าเกือบจะประชิดกับใบหน้าของราตรีถ้าหากไม่ได้มาริโอช่วยพูดห้ามเอาไว้

“หยุดมองอยู่อย่างนั้นเลยเจ้ามนุษย์!” คำพูดของมันทำเอาชายวัยกลางคนชะงักก่อนจะก้มหน้ามองมาริโออย่างสนใจ

“หืม? อะไรกันเห็ดพูดได้หรอกรึ” อีกฝ่ายพูดด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินที่มาริโอพูด “ปกติแล้วมอนสเตอร์ที่พูดได้จะต้องมีระดับเดียวกับบอส แต่ดูยังไงๆเจ้าก็ไม่เหมือนบอสเลยสักนิดเดียวนะเจ้าเห็ด”

“ข้าชื่อมาริโอ! แล้วอดีตก็เคยเป็นบอสมาแล้วด้วย!” มาริโอพูดแก้อย่างฉุนเฉียว

“ฮะๆ มาริโอก็มาริโอ” ชายวัยกลางคนพูดไปหัวเราะไปพลาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองราตรีที่ขี่หัวมาริโออยู่อีกครั้ง “ว่าแต่หนุ่มน้อยผู้นี้เป็นใครกันเอ่ย ช่วยแนะนำตัวให้ลุงฟังหน่อยได้ไหม”

“รัดจิ!” ราตรีตอบสั้นๆ

“อะไรนะ รัดจิหรือรัตตินะ ลุงฟังไม่ชัด” อีกฝ่ายย้อนถามเธอเมื่อได้ยินคำพูดไม่ชัดเจน

“รัดจิ! รัดจิ!” หากแต่ราตรีเอาแต่พูดคำว่ารัดจิอย่างเดียว ซึ่งทำเอามาริโอที่ยืนร่วมฟังด้วยเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ จึงด่าสวนกลับไปว่า

“ทำไมเจ้าไม่พูดอธิบายให้มันชัดเจนกว่านี้ล่ะรัตติ มัวแต่พูดชื่อตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ได้ อย่าลืมสิว่าตัวเองไม่ใช่เด็กทารกที่เพิ่งหัดพูด...” มาริโอยังด่าไม่ครบประโยคดี ใบหน้าก็บิดเบี้ยวเนื่องจากถูกมือน้อยๆหยิกเข้าที่หัว

“ที่ข้าพูดแค่ชื่อตัวเองซ้ำปายซ้ำมาน้านก้อเพาะต้องกานจาสาแดงห้ายเหมือนเด็กทารกจิงๆงายเล่าเจ้าบื้อ!” ราตรีส่งพรายกระซิบบอกมันก่อนจะพูดขู่ต่อไปว่า “ถ้าม่ายอยากกายเป็งเห็ดเผา จงร่วมมือกับข้าชะโดยดี อย่าหาว่าข้าม่ายเตือน”

“ตกลงว่าชื่ออะไรกันแน่ล่ะหืม? เด็กน้อย” ลุงถามย้ำอีกครั้งหากแต่น้ำเสียงที่พูดเริ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งราตรีได้ฟังแล้วเกิดรู้สึกความอบอุ่นอยู่ในใจลึกๆ

เหมือนได้อยู่กับท่านพ่อเลย

“เจ้านี่มันชื่อรัตตินะลุง” มาริโอพูดตอบหลังจากมันยอมร่วมมือแสดงละครกับเธอแล้ว “ข้าไปเจอมันหลงทางอยู่ในป่า ก็เลยพามันมาในเมืองด้วย”

“โฮ่ อย่างนี้นี่เอง หลงทางกับพ่อแม่สินะเด็กน้อย มามะ ขอลุงอุ้มเจ้าหน่อยซิ” ลุงพูดพลางคว้าร่างเล็กขึ้นมาอุ้ม ก่อนจะตบหลังราตรีอย่างเบาๆ

“ตอนนี้พวกข้าไม่มีที่อยู่เลย แถมเงินก็มีไม่พอที่จะพักโรงแรม…”

“จะไปยากอะไร เจ้าก็มาพักที่บ้านข้าซะก็สิ้นเรื่อง เพราะข้าจะให้พวกเจ้าอยู่พักได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียเงินสักเหรียญเดียว” ชายวัยกลางคนตอบโดยไม่รอฟังให้มาริโอพูดจนจบ “แต่มีข้อแม้…เจ้าต้องทำงานบ้านแลกกับค่าที่พักด้วยนะมาริโอ”

“ห๊ะ ข้าเนี่ยนะ!” มาริโอร้องอย่างตกตะลึง

“ก็ใช่นะสิ หรือใจคอเจ้าจะให้รัตติเป็นคนทำล่ะ?” ลุงถามย้อนกลับไปอย่างห้วนๆ “ขอบอกไว้ก่อนนะว่าข้าเกลียดการใช้แรงงานเด็กที่สุด เอาล่ะ งานแรกของเจ้าในตอนนี้ก็คือไปเตรียมน้ำกับต้มน้ำอาบซะ เพราะข้าจะเป็นคนอาบน้ำให้รัตติเอง เฮ้อ จะว่าไปเจ้านี่ช่างดูแลเด็กไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ดูสิมอมแมมไปทั้งตัว”

ลุงพูดจบก็พลางก้มสำรวจเสื้อผ้าของราตรีที่ขมุกขมัวไปด้วยขี้ดิน

“เอ้ มัวยืนทำอะไรอยู่เล่า รีบไปเตรียมน้ำเร็วเข้า เดี๋ยวข้าจับเจ้าทำต้มยำเห็ดกินซะเลยนี่” เมื่อมาริโอได้ยินดังนั้นมันจึงรีบไปวิ่งทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ราตรีได้แต่มองมันอย่างนึกสงสาร เพราะเธอไม่สามารถพูดออกความเห็นอะไรได้เลยสักนิดเดียว หลังจากที่คุณลุงอาบน้ำให้ราตรีเสร็จแล้ว ก็ได้จัดแจงเสื้อผ้าเด็กซึ่งเป็นเสื้อผ้าเก่าของลูกชายลุงมาให้เธอใช้ชั่วคราว เมื่อเรียบร้อยแล้วราตรีก็พรายกระซิบบอกมาริโอให้พาเธอไปออกข้างนอก “จะพารัตติไปเดินเที่ยวตลาดงั้นรึ ก็เอาสิ แต่อย่าเที่ยวจนดึกล่ะ”

ลุงใจดีบอกก่อนจะให้เงินกับมาริโอสองร้อยเหรียญเพื่อนำไปใช้ซื้อขนม ซึ่งมาริโอก็รีบกล่าวขอบคุณพร้อมกับรับเงินนั้นมาก่อนจะเดินออกไปข้างนอกกระท่อมโดยมีราตรีนั่งเกาะอยู่บนหัวของมัน

.....................

“เร่เข้ามาครับเร่เข้ามา น้ำยาเติมพลังถูกๆ สามขวดร้อยหาซื้อที่ไหนไม่ได้”

“ดาบฝึกหัดระดับหนึ่งสองร้อยเหรียญจ้า ใครสนใจก็เชิญชมได้นะ”

“เสื้อผ้าเครื่องป้องกันสำหรับผู้เริ่มต้นแค่สิบเหรียญอยู่ทางนี้นะคะ”

เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าดังแข่งกันไปมาท่ามกลางผู้เล่นนับร้อยที่เดินเบียดเสียดกัน แน่นอนว่าราตรีกับมาริโอย่อมรู้สึกอัดอัดเพราะทั้งคู่ต่างโดนผู้เล่นคนอื่นเดินเบียดจนเกือบจะเป็นปลากระป๋อง

“โอย ร้อน อึดอัด ทำไมมนุษย์ถึงชอบเดินนักนะไอ้ตลาดนัดเนี่ย” มาริโอบ่นพึมพำในขณะที่พยายามเดินเบียดผู้คนอยู่

“ก้อเพาะที่นี่มีของขายถูกงาย คงอื่นถึงด้ายมาจาบจ่ายฉื้อของกานนะมะรีโอ้” ราตรีพรายกระซิบบอกมันพลางเอามือเกาะหัวมันอย่างแน่นๆเพราะกลัวจะโดนเบียดจนตก “เดี๋ยวเจ้าพาข้าปายดูร้านตรงนู้นหน่อยนะ”

ราตรีบอกพลางชี้นิ้วป้อมๆไปยังซ้ายมือซึ่งตรงจุดนั้นเป็นหัวมุมถนนที่ไม่ค่อยมีผู้เล่นเดินผ่าน

“อือได้สิ” มาริโอตอบตกลงก่อนจะพาเดินไปยังตามที่ราตรีต้องการ พอเดินมาถึงแล้วมาริโอกลับอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นสภาพร้านขายของตรงหน้า “แน่ใจหรอกว่าจะเข้าไปนะรัตติ มันน่ากลัวยังไงไม่รู้”

มาริโอพูดพลางมองร้านขายของที่ถูกตกแต่งด้วยโครงกระดูกมนุษย์

“แน่จายจิ เพาะที่นี่มานเป็งร้านขายเฉื้อผ้ากับอาวุดนะ” ราตรีตอบ ซึ่งทีแรกเธอไม่แน่ใจว่าจะใช่ร้านขายของหรือเปล่า หากแต่ได้เข้ามาใกล้ๆและมองลอดเข้าไปในกระจกแล้ว เธอก็ได้เห็นเสื้อผ้ากับอาวุธวางอยู่ในร้านเต็มไปหมด “รีบๆเดินเข้าปายกานเถอะมะรีโอ้ เดี๋ยวพวกเรายางต้องปายที่อื่นต่อนะ”

เมื่อราตรีหรือรัตติสั่งเป็นมั่นเป็นเหมาะดีแล้ว มาริโอก็ได้แต่จำยอมเดินเข้าไปในร้านแต่โดยดี

แอ๊ด!

เสียงประตูถูกเปิดอย่างฝืดๆ ซึ่งทำเอาทั้งคู่ถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก

“มีใครอยู่ไหมครับ” มาริโอตะโกนถามเมื่อเห็นว่าในร้านไม่มีใครเลยสักคน ส่วนราตรีเมื่อเห็นว่าในนี้ไม่มีผู้เล่นคนอื่นจึงเลิกที่จะใช้พรายกระซิบแล้วหันมาเปิดปากพูดแทน

“มีคงอยู่หมาย จามาฉื้อของฮะ”

เงียบกริบ

“นี่รัตติ ข้าว่าพวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ บรรยากาศที่นี่มันวังเวงยังไงชอบกล” มาริโอบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ไปกันเถอะนะ ข้ายอมเดินเบียดกับคนข้างนอกมากกว่าจะเดินอยู่ในร้านนี้”

ซึ่งราตรีกำลังจะอ้าปากตอบคำถามมาริโอ จู่ๆก็มีเงาร่างยักษ์โผล่ออกมาจากข้างล่างเคาน์เตอร์

“ต๊ะเอ๋!”

“เฮ้ย!” มาริโอร้องตกใจจนล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ซึ่งทำให้ราตรีที่นั่งอยู่บนหัวมันต้องกลิ้งหล่นลงกับพื้นตามไปด้วยอีกคน

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ตกจากที่สูง ทำให้ติดค่าสถานะมึนงง”

“อุ๊ยตายว้ายกรี๊ดตาเถรเด็กร่วง!” เสียงปริศนาร้องก่อนร่างยักษ์ในเสื้อสายเดี่ยวสีดำกระโปรงสั้นจู๋สีสันฉูดฉาดลวดลายสุดแสนหรูเลิศอลังการจะวิ่งถลาเข้าไปดูราตรีใกล้ ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นมาลูบหัวเบาๆ “ไม่เป็นไรแล้วโอ๋ๆ พี่สาวขอโทษ พี่สาวไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายน้องนะฮ้า”

แม้นว่าราตรีกำลังอยู่ในสถานะมึนงง แต่เธอสามารถเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ร่างสูงใหญ่หากแต่ใบหน้าถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางเต็มร้อยกับเสื้อผ้าที่แสนจะเซ็กซี่

มิน่าเล่า การตกแต่งของร้านถึงได้ดูแปลกๆ

ที่แท้เจ้าของร้านก็เป็นกระเทยนี่เอง


ทว่าราตรีผ่านโลกมามากแล้ว เธอจึงเลือกที่จะเก็บคำพูดนั้นไว้กับตัว

“ป๋มม่ายเป็งราย แค่มึนๆ…”

“นี่เจ้าเป็นผู้หญิงแน่รึเปล่า ทำไมถึงได้ล่ำถึกบึกบึนขนาดนี้ล่ะ” แล้วจู่ๆ มาริโอก็พูดแทรกกะทันหัน ซึ่งทำเอาราตรีนึกอยากจะเดินลงมาตบหัวสั่งสอนมันหากไม่ติดตรงที่อีกฝ่ายยังอุ้มเธอเอาไว้อยู่

“อ๊าย! เห็ดมาริโอพูดได้ น่ารักจังเลยตัว” ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่โกรธที่มาริโอถาม แถมยังมีทีท่าสนใจมันเสียด้วย “นี่ตัวมาจากป่าที่อยู่ใกล้ป่าหุบเขาวงกตใช่ไหม”

“ใช่แล้วเจ้าจะรู้ไปทำไม” มาริโอถามอย่างสงสัย

“ก๊ะแหม” ผู้หญิงในร่างยักษ์พูดด้วยสำเนียงแอ๊บแบ๊วจนสุดชีวิต หากแต่น้ำเสียงนั้นช่างแข็งแกร่งทรงพลังเกินหญิง จนคนฟังแทบอยากจะส่ายหน้าหนี “ตะเองน่ารักออกอย่างนี้ ใครๆ ก็อยากเอามาเป็นตุ๊กตาหรือไม่ก็เพื่อนด้วยน้า ว่าแต่เจ้านายตัวอยู่ไหนหรอ”

ว่าแล้วก็หันซ้ายหันขวาหาร่างเจ้านายของมาริโอ

“ก็เจ้ากำลังอุ้มอยู่นั่นไง นั่นแหละเจ้านายของข้า” แล้วคนอุ้มก็ก้มหน้ามองราตรีตามที่มันบอก

“ว้าย อกอีแป้นจะแตก นี่เหรอเจ้านายของตัวนะ” สาวกอูบุนตู้ร้องอุทานเสียงเบา หากแต่ราตรีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมปิดความลับเรื่องที่ตัวเองเป็นทารก “หืม? นี่เธอ…ผู้เล่นไอดีพิเศษแปดพันที่อยู่ในร่างทารกนี่ ต๊าย! เกิดมาเป็นมังกรเสียด้วย หายากเลยนะที่จะมีผู้เล่นเกิดมาอยู่ในเผ่ามังกร หนึ่งในล้านผู้เล่นเลยนะเนี่ย กิ๊บเก๋ยูเรก้าที่สุด”

คำพูดของคนอุ้มทำเอาราตรีถึงกับมึนงง

อย่าบอกนะว่าคนๆนี้เป็น…

“ท่านพี่เป็งเจ้าหน้าที่เกมหยอฮะ” ราตรีถามอย่างสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายที่ได้ยินคำถามจากปากของเธอแล้วก็พลันพยักหน้าตอบ

“ใช่แล้ว พี่เป็นเจ้าหน้าที่เกมฝ่ายเอ็นพีซีจ้ะ”

ถึงว่าสิ เห็นพูดเอ๊าพูดเอา ที่แท้ก็จีเอ็มนี่เอง

“ว่าแต่คุณน้องมาซื้อเสื้อผ้ากับอาวุธใช่ไหมเนี่ย”

“ฮะท่านพี่”

“งั้นก็ดีเลย พี่กำลังคิดจะดีไซน์เสื้อผ้าเด็กให้อยู่พอดี” พี่สาวชาววายตอบยิ้มๆ “ส่วนเรื่องอาวุธนั้น เอ ทางทีมงานเขาไม่ได้ฝากอาวุธมาให้พี่ขายด้วยสิ”

“เรื่องอาวุดม่ายต้องแย้วฮะ ป๋มมีอยู่กับตัวแย้วถึงฉองอาน” ราตรีรีบตอบปฏิเสธเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดมากเรื่องอาวุธ แต่อนิจจา หารู้ไม่ว่ารูปร่างและท่าทางของคุณเธอ แค่เหลือบตามองก็ทำให้บอสยอมฆ่าตัวตายยังได้

“มีแล้วงั้นหรอกรึ เอ แปลกจัง ทำไมทางนั้นไม่เห็นส่งข้อความมาบอกกันบ้างเลย” อีกฝ่ายบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องมันแล้วก็แล้วไป ว่าแต่พี่ต้องขอโทษคุณน้องด้วยนะฮะที่ตอนนี้ร้านของพี่ไม่มีเสื้อผ้าหรืออาวุธสำหรับเด็กทารกขายเลย”

“ม่ายเป็งรายฮับ ป๋มม่ายคิดมากอยู่แย้ว” ราตรีตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะยังไงเธอก็ยังพอมีชุดให้ใส่อยู่บ้าง

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ในระหว่างที่พี่กำลังคิดดีไซน์เสื้อผ้าเด็กให้คุณน้องอยู่ คุณน้องก็รับภารกิจของพี่ไปทำดูสิฮ้า ไม่ยากและเหมาะสำหรับผู้เล่นเริ่มต้นระดับศูนย์เลยด้วย” อีกฝ่ายพูดแนะนำภารกิจให้ราตรีฟัง

“พาระกิดหยอฮะ”

“ใช่แล้วฮ่ะ ภารกิจ” เขาหรือเธอตอบก่อนจะพูดต่อ “แต่งานนี้คุณน้องต้องให้มาริโอร่วมมือด้วย ไม่งั้นแล้วคุณน้องจะทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จเอาได้นะฮ้า”

“ตกลงฮะ ป๋มจาทาม” ราตรีรีบตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

“ท่านได้รับภารกิจระดับดี คือ ล่าขนกระต่าย 2000 ชิ้น”

เสียงระบบดังก้องในหัวราตรี

“ขนกาต่าย?”

“ฮ่ะขนกระต่าย แต่งานนี้พี่ไม่จำกัดเรื่องเวลา คุณน้องจะส่งเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ พี่รอได้ฮ่ะ” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆก่อนจะหันไปทางมาริโอ “แล้วตัวก็อย่าลืมช่วยน้องเขาล่ะ”

“เออ ข้าช่วยอยู่แล้วน่า” มาริโอตอบอย่างฉุนจัดพลางนึกในใจว่า

ดีนะมันไม่บอกว่าภารกิจ ยาราไนก้า ล่าถั่วดำเห็ด

“ว่าแต่ท่านพี่ชื่ออารายหยอฮะ ป๋มราตีพิฉุด” ราตรีพูดแนะนำตัวเองอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

“ลำไยฮ่ะ พี่ชื่อลำไย ยินดีที่ได้รู้จักนะฮะน้องราตรีพิสุทธิ์”

“เช่นกานฮะพี่ลำไย”

หลังจากนั้นราตรีก็บอกลาพี่ลำไยก่อนจะสั่งให้มาริโอพาเธอกลับบ้าน

....................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 14 ภารกิจ (อัพ 100%) P.2 18/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 18-02-2015 14:43:09
บทที่ 15 เพื่อนใหม่ 1

..................................

“งั้นฉันลาตรงนี้แล้วกันนะ ขอให้พวกนายสามคนโชคดี”

เมฆาบอกลาพวกปฐพีหลังจากที่เขาพาเพื่อนๆออกมาจากป่าหุบเขาวงกตได้แล้ว

“เช่นกันเมฆา หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีก” ปฐพีบอก ซึ่งเมฆาได้แต่ยิ้มรับก่อนจะเดินกลับเข้าไปในป่าหุบเขาวงกตอีกครั้ง

“ให้ตายสิ หมอนั่นจะเดินกลับเข้าไปในป่านั้นทำซากอะไรอีกละ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” เสียงศาสตราพูดนินทาเขาดังแว่วมาจากทางหลัง ซึ่งเมฆายังเดินไปได้ไม่ไกลจึงหยุดชะงักเดินเพื่อฟังพวกนี้พูดอีก

“เอาน่า เขาจะไปทำอะไรก็เรื่องของสิศาสตรา เราจะไปบังคับเขาให้เดินตามได้ยังไงกันเล่า” อันนี้เป็นเสียงของพิภพ

“ก็มันน่าสงสัยนี่หว่า” เสียงของศาสตราพูดย้อนอย่างสงสัย “มีอย่างที่ไหนผู้เล่นระดับท็อปจะมาเดินเล่นแถวนี้กันล่ะจริงไหมปฐพี”

“จริง ก็ฉันไงล่ะที่เป็นคนหนึ่งที่มาเดินเล่นแถวนี้ เอาล่ะ ขืนนายยังไม่หยุดพล่ามอีก ฉันจะทิ้งนายให้อยู่ตรงนี้นะ” เสียงของปฐพีตอบอย่างกวนๆ ซึ่งทำเอาผู้แอบฟังถึงกับส่ายหน้า

ดูมันพูดช่วยกู้หน้าให้เขาสิ

ทำไปได้...


เมฆาก็รู้สึกปลื้มไม่น้อยที่มีเพื่อนดีๆอย่างปฐพี ถึงแม้ว่าเขากับปฐพีจะเจอหน้ากันแค่สองครั้งก็เถอะ เมื่อคิดเสร็จเมฆาก็ก้าวเท้าเดินกลับเข้าป่าต่อ โดยจุดมุ่งหมายก็คือ

การออกตามหาน้องราตรีกับมาริโอที่อยู่ในป่า!

ทว่าเขาใช้เวลาเดินอยู่ในป่าวันนี้เกือบทั้งวันแล้วก็ไม่พบ แต่ดันมาเจอพวกปฐพีแทน ทีแรกเมฆาตั้งใจจะถามเรื่องนี้กับพวกเขา แต่พอคิดไปคิดมาพวกนี้หลงอยู่ในป่าตั้งสี่วันก็น่าจะเห็นน้องราตรีกับมาริโอสิ แต่นี่กลับทำหน้าไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเลย

หรือว่าน้องราตรีกับมาริโอตายไปแล้ว!

เพราะเมฆาจำกฏของเกมนี้ได้ว่า ถ้าหากผู้เล่นคนใดตาย ทางระบบก็จะส่งผู้เล่นให้ไปอยู่ในห้องพักของเกมรอเกิดใหม่ ซึ่งกว่าจะได้กลับมาในเกมอีกก็ต้องใช้เวลาอยู่หนึ่งชั่วโมง แล้วระบบถึงจะส่งกลับมายังจุดเดิมที่เคยถูกฆ่าตาย ดังนั้นเมฆาจึงเดินกลับไปดูยังจุดเดิมที่เขาเคยหายตัวไปพร้อมกับเดินสำรวจจนหมดทุกซอกทุกมุมแล้ว ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้พบ

เอ…หรือว่าน้องราตรีกับมาริโอถูกมอนสเตอร์รุมฆ่าตายแล้วก็กลับมาเกิดใหม่ จนวนเวียนอยู่อย่างนี้หลายรอบแล้วก็เป็นได้!

เมฆาครุ่นคิดอย่างหนักใจ

หากเป็นอย่างที่คิดแล้วล่ะก็…

“ฮึ่ม!” เมฆากัดฟันตัวเองจนเลือดไหลออกมุมปาก “รอก่อนนะมาริโอ น้องราตรี พี่ชายคนนี้จะรีบไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ”

เมฆาพูดจบก็รีบก้าวเท้าออกเดินทันที โดยชายหนุ่มไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนที่ตนกำลังออกตามหาอยู่นั้นได้ออกจากป่าแห่งนี้ไปตั้งนานแล้ว

..............

“ฮัดจิ้ว!”

ราตรีจามในขณะที่กำลังนั่งทานข้าวต้มตอนเช้าโดยมีคุณลุงใจดีป้อนข้าวให้อยู่

“เอ สงสัยอากาศตอนเช้ามันจะเย็นเกินรัตติเสียแล้วมั้ง” ลุงพูดพลางเอาช้อนวางลงในชาม ก่อนจะหันไปทางมาริโอซึ่งกำลังแทะข้าวโพดอย่างเอาเป็นเอาตาย “เจ้าช่วยไปเอาเสื้อกันหนาวของเด็กในตู้ให้ข้าหน่อยสิมาริโอ”

ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้น ทำให้เห็นข้าวโพดติดอยู่บนมุมปากของมันได้อย่างชัดเจน

“ทำไมต้องเป็นข้าล่ะ” มาริโอถามพลางเคี้ยวข้าวโพดตุ้ยๆ “ลุงก็เดินไปเอาเองสิ ข้ากำลังกินข้าวโพดอยู่ไม่เห็นรึไง”

ทว่าลุงใจดีที่ซึ่งราตรีมารู้เอาทีหลังว่าชื่อจิลได้ตีหน้ายักษ์ใส่มาริโออย่างเอาเรื่อง

“จะไปดีๆหรือจะให้อดข้าวเที่ยงล่ะมาริโอ” มาริโอได้ยินถึงกับเบะปากหากแต่มันยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปเอาเสื้อผ้าให้โดยไม่ปริปากบ่น

“มามะ ทานข้าวต่อนะรัตติ” ลุงจิลพูดพลางใช้ช้อนตักข้าวขึ้นมา “อีกคำเดียว เดี๋ยวก็หมดแล้วนะเด็กดี ไหนอ้าปากสิ อ้าม”

“ฮัดจิ้ว!”

ไม่ทันช้อนได้ถึงปากของราตรี เธอก็จามออกมาเสียก่อน ซึ่งทำให้ข้าวต้มกระเด็นไปโดนใบหน้าของคนป้อนเต็มๆ

อุ้ย แย่แล้วสิเรา

ราตรีคิดอย่างหวาดหวั่นเพราะกลัวลุงจิลจะลงโทษเธอ หากแต่อีกฝ่ายหาได้โกรธเธอไม่ กลับฉีกยิ้มพร้อมกับใช้มือเช็ดหน้าของตัวเอง

“หึ ตัวเล็กแต่พลังไม่เล็กเท่าที่คิดเลยนะเรา” ลุงจิลบอกก่อนจะวางชามข้าวลงเพราะข้าวมันหมดเกลี้ยงชามแล้ว “ดูท่าจะได้เชื้อพ่อแม่มาแรง ไหนขอลุงตรวจสอบค่าพลังงานหน่อยซิ”

ลุงจิลพูดจบก็จับแขนของราตรีมาใกล้ๆก่อนจะเลิกแขนเสื้อขึ้นอย่างเบามือ ซึ่งเผยให้เห็นแขนเล็กๆสีขาวเนียนแลอมชมพู หากแต่ลุงจิลกลับขมวดคิ้วหรี่ตาเมื่อได้เห็นแขนบางส่วนที่ไม่ขาว แต่กลับมีเกร็ดสีเงินเล็กๆขึ้นประปราย

“นี่เจ้า…เป็นมังกรหรอกรึ” ลุงจิลพูดพลางมองแขนของราตรีอย่างสงสัย “แปลกแฮะ ตอนอาบน้ำให้เจ้าทำไมลุงไม่เห็นเกล็ดบนแขนของเจ้าเลยนะเด็กน้อย”

“แอ้?” ราตรีเองก็ไม่ทราบเช่นกัน และไม่อยากจะพูดให้ความลับของตัวเองแตกด้วย ดังนั้นเธอจึงแสร้งปั้นหน้าไม่เข้าใจในคำพูดของลุงจิล

“ช่างเถอะ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร” ลุงจิลพูดอย่างนึกขึ้นได้ว่าเด็กทารกอย่างรัตติจะไปเข้าใจคำพูดของตนได้ยังไงกัน “งั้นลุงจะเริ่มตรวจแล้วนะ”

เมื่อลุงจิลพูดจบ ก็พลันหลับตาลงเพื่อตรวจหาพลังของราตรี หากแต่ลุงจิลหลับตาอยู่เนื่องนานจนราตรีนึกสงสัย

จะดูไปถึงไหนกันล่ะนั่น?

ทว่าพอราตรีคิดเสร็จ ลุงจิลก็ได้หัวเราะออกมาก่อนจะลืมตาขึ้นมองราตรี

“ไม่เลวนี่เด็กน้อย พลังมังกรของเจ้าสูงส่งมากจนที่ข้าคาดไม่ถึง นี่ถ้าได้ฝึกปรือฝีมือแล้วล่ะก็ คงจะแข็งแกร่งสมเป็นเผ่ามังกรผู้ยิ่งใหญ่แน่ๆ” ลุงจิลพูดพลางเอามือลูบหัวราตรีเบาๆ “แต่ตอนนี้เจ้ายังเป็นทารก ฉะนั้นแค่กิน นอน หัดเดินกับหัดพูดก็คงพอแล้วล่ะเด็กน้อยเอ้ย”

ทว่าลุงจิลก็ต้องหยุดสนทนาแต่เพียงเท่านี้เพราะมาริโอได้นำเสื้อกันหนาวมาให้ราตรีใส่ แล้วลุงจิลก็ขอตัวไปข้างนอกเพื่อทำงาน ซึ่งราตรีเห็นโอกาสอันดีจึงพรายกระซิบสั่งมาริโอให้มันบอกลุงจิลว่าจะพาเธอออกไปข้างนอกเมืองประมาณสามสี่วันแล้วจะรีบกลับ ซึ่งลุงจิลก็ไม่ได้แย้งว่าอะไรสักคำ แถมยังจัดเตรียมเสบียงให้ราตรีกับมาริโอไว้ทานตอนอยู่ในป่าอีกด้วย

“เที่ยวให้สนุกนะทั้งสองคน แล้วอย่าลืมของฝากติดไม้ติดมือกลับมาด้วยล่ะ”

นี่คือคำพูดของลุงจิลที่ฝากทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่ราตรีกับมาริโอจะออกไปข้างนอก เมื่อมาริโอพาเธอออกมาข้างนอกบ้านแล้ว ราตรีก็พรายกระซิบบอกให้มาริโอพาเธอไปซื้อเสบียงตุนเพิ่มอีกนิดเพราะเธอเกรงว่าจะไม่พอใช้ในการต่อสู้ หากแต่ตอนที่มาริโอพาเธอไปซื้อนั้น ลูกค้าที่เป็นผู้เล่นกลับแปลกใจที่เห็นมอนสเตอร์ระดับบอสออกมาซื้อของให้เจ้านาย และยิ่งกว่านั้นพ่อค้ายังตะลึงที่ได้เห็นเด็กทารกนั่งเกาะหัวมาริโออยู่ด้วย ซึ่งราตรีไม่อยากให้ตกเป็นเป้าสายตาผู้เล่นไปมากกว่านี้ เธอจึงพรายกระซิบสั่งให้มาริโอรีบซื้อแล้วรีบพาเธอออกไปนอกเมืองโดยให้เร็วที่สุด

“ฮู้ ในที่ฉุดก้อออกมาด้ายซากที” ราตรีร้องพลางยืดแขนยืดขาเพื่อคลายเส้น ตอนนี้เธอเปลี่ยนที่นั่งจากหัวมาริโอเป็นหัวไหล่มาริโอแทน แถมตรงนี้ก็ไม่มีใครเดินผ่านกันเลยสักคนเดียว จึงทำให้ราตรีไม่ต้องใช้พรายกระซิบให้เหนื่อยเปล่า

“แล้วนี่พวกเราจะไปไหนกันหรือรัตติ” มาริโอถามอย่างสงสัย

“ก้อปายเก็บขนกาต่ายงายมะรีโอ้” ราตรีตอบ “อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมปายแย้วนะ”

มาริโอได้ยินที่ราตรีพูดถึงกับหัวเราะแห้งๆ ซึ่งทำเอาราตรีอดเขกหัวมันด้วยความหมั่นไส้มิได้

“ว่าแต่เจ้ารู้หรือว่ากระต่ายมันอยู่ตรงไหนนะรัตติ”

“ม่ายยู้” ราตรีตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ซึ่งทำให้คนฟังแทบเกือบสะดุดล้ม “ก้อเดินปายเรื่อยๆก่อง ถ้าเจอคงอื่นเดินผ่านมาค่อยถามเขาเอา”

“แล้วใครจะเป็นคนถามกันล่ะ” มาริโอถามต่ออย่างสงสัย

“ก้อเจ้างายล่ะมะรีโอ้”

“อะไรนะ!” มาริโอร้องอย่างตกใจ “ข้าอีกแล้วเหรอ!!”

“ก้อช่ายนะจิ ถ้าม่ายเป็งเจ้าแย้วจาห้ายข้าถามรึงาย” ราตรีบอกพลางหยิบแผนที่ๆเธอซื้อมาจากในตลาดขึ้นมากางดู ซึ่งเผยให้เห็นแผนที่ของเกาะเริ่มต้น “โหย แต่ละที่ไกลทั้งน้าน! ม่ายหวาย ฉงฉัยพวกเราคงด้ายแต่เดินอยู่แถวเมืองแย้วล่ะมะรีโอ้”

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว มาริโอก็พาราตรีออกตามหากระต่ายต่อ หากแต่จุดที่พวกราตรีเดินอยู่นั้นมีก้อนหินยักษ์ตั้งอยู่บนพื้นมากจึงทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก

“เกาะข้าให้แน่นๆหน่อยสิรัตติ เดี๋ยวตกแล้วข้าไม่ช่วยเจ้าด้วยนะ” มาริโอบอกด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ซึ่งราตรีเข้าใจดีว่าทำไมมันถึงพูดแบบนั้น

ทำตัวน่ารักก็เป็นเหมือนกันนะเจ้านี่

“อื้อ เข้าจายแย้ว” ราตรีตอบพลางอมยิ้มกับความขี้อายของมัน แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากอีกฟากของก้อนหินตรงที่เธออยู่ “อ๊ะ มีคงมา เดี๋ยวเจ้าอย่าลืมทามตามที่ข้าบอกนะมะรีโอ้”

ราตรีพรายกระซิบบอกมาริโอ ซึ่งมันก็พยักหน้าตอบตกลง ก่อนจะยืนรอให้เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นจะปรากฏตัว

แกรก!

เสียงฝีเท้าย่ำเศษก้อนหินก่อนจะเผยให้เห็นร่างบางมีเส้นผมสีดำยาวสลวยกลางหลังซึ่งถูกประดับด้วยปิ่นลายดอกไม้สีชมพู กับชุดที่สวมใส่เป็นผ้าแพรสีชมพูอ่อนดูราวกับเป็นเทพธิดาจำแลง ค่อยๆเยื้องกายออกมาจากด้านหลังก้อนหินยักษ์ อากัปกริยารื่นเริง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน ราวกับเวลาหยุดเดิน ในทุกๆ อิริยาบถที่เคลื่อนไหว จนแม้ราตรียังอดที่จะหลงใหลในความงดงามนี้ไม่ได้ ส่วนมาริโอนั้นตาเยิ้มน้ำลายไหลย้อยมุมปาก บ่งบอกอาการอย่างชัดเจนว่าหัวใจเห็ดน้อยล่องลอยไปอยู่กับเทพธิดาจำแลงเสียแล้ว

ผู้หญิง!

แถมยังสวยเหมือนนางฟ้าเสียด้วย!


ราตรีคิดอย่างตะลึงเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายงดงามยิ่งกว่าผู้หญิงที่เธอเคยเห็นมา

“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ มาริโอก็พูดขึ้นมา ซึ่งทำเอาฝ่ายถูกทักหยุดชะงักเดินก่อนจะหันหน้ามามองมาริโอกับราตรี “ท่านเป็นนางฟ้ารึเปล่า หนูไม่เคยเห็นมนุษย์ตนใดสวยเหมือนท่านมาก่อนเลย”

อีกฝ่ายได้ยินที่มันพูดจึงคลี่ยิ้มก่อนจะเอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงที่หวานว่า

“ขอบใจที่ชมจ้ะ แต่พี่ไม่ใช่นางฟ้าหรอกนะเจ้าเห็ดน้อย”

“แต่ท่านเหมือนนางฟ้าจริงๆนะ” มาริโอยังคงพูดยืนยันคำเดิมว่าตัวมันคิดเช่นนั้น ซึ่งไม่เว้นแต่ราตรีที่เห็นด้วยกับมัน

“งั้นเหรอจ้ะ” หญิงสาวพูดพลางยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะเบาๆ หากแต่สายตาเหลือบมาเห็นราตรีจึงหยุดหัวเราะก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้ามาดูใกล้ๆ “เอ แล้วพ่อหนุ่มน้อยน่ารักคนนี้มีชื่อว่าอะไรเอ่ย บอกพี่สาวคนนี้ได้ไหมจ้ะ”

“รัดจิ!” ราตรีตอบทันที ซึ่งทำเอามาริโอที่จะตอบแทนเธอกลับต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

“รัตติเหรอจ้ะ แหม เป็นชื่อน่ารักจังเลยนะ” หญิงสาวยิ้มก่อนจะก้มหน้ามองมาริโอต่อ “แล้วเธอล่ะเจ้าเห็ดน้อย”

มาริโอได้ยินที่อีกฝ่ายถามก็พลันสะดุ้งวาบ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า

“มะ...มะ”

“มะ?”

“มะรีโอ้!” ราตรีพูดตอบแทนมาริโอพร้อมกับเอามือตบหัวมันพลางหัวเราะอย่างชอบใจ “มะรีโอ้! มะรีโอ้! มะรีโอ้!”

“มะรีโอ้?”

“ไม่ใช่! มาริโอตั้งหาก!” มาริโอรีบพูดแก้ความเข้าใจผิดในเรื่องชื่อ นี่ถ้ามันมีแขนกับมือแล้วล่ะก็ มันคงจะตีนายของมันด้วยข้อหาจงใจแกล้งโดยไม่รู้กาลเทศะอย่างแน่นอน “ท่านนางฟ้าอย่าไปฟังรัตติพูดให้มากนักนะฮะ เพราะเจ้านี่ยังเด็กแถมยังพูดไม่ชัดด้วย”

“จ้าๆ เข้าใจแล้วจ้ะ” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ

“ว่าแต่ท่านนางฟ้าชื่ออะไรเหรอฮะ” มาริโอถามต่อทันที

“พี่ชื่อหยางชุนหลานจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะหนูรัตติ หนูมาริโอ” หญิงสาวตอบก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่พวกหนูสองคนจะไปไหนกันหรือจ้ะ”

“ไปล่ากระต่ายฮะ พอดีพี่ชายสั่งให้พวกหนูไปล่าเอาขนกระต่าย” มาริโอตอบตามที่ราตรีบอกทางพรายกระซิบ

“ล่ากระต่าย?”

“ฮะล่ากระต่าย” มาริโอตอบก่อนจะอ้าปากพูดต่อ “ว่าแต่พี่สาวพอจะรู้ที่อยู่ของกระต่ายหรือเปล่าฮะ”

หญิงสาวได้ยินที่มาริโอถามถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับกลับมาว่า

“รู้จ้ะ ว่าแต่พวกหนูจะไปกันแค่สองคนเองหรือจ้ะ”

“ฮะพี่หยางชุนหลาน”

“ถ้างั้นพี่ขอตามพวกหนูไปอีกคนได้ไหม เพราะภารกิจล่ากระต่ายนี้พี่ก็ยังทำไม่เสร็จเหมือนกัน” หยางชุนหลานถามต่อ ซึ่งมาริโอก็รีบพยักหน้าตอบโดยที่ราตรีห้ามมันไม่ทัน

เอาวะ ดีกว่าไปล่ากระต่ายกันแค่สองคนแล้วกัน

ราตรีคิดในใจ เพราะลำพังตัวเธอเองคงช่วยมาริโอได้ไม่มาก ถ้าได้ผู้ช่วยสักคนก็คงจะทำให้มาริโอล่ากระต่ายได้เร็วขึ้นเป็นกอง ดีไม่ดีอาจจะล่าเอาขนกระต่ายเสร็จภายในวันเดียวเลยก็ได้ เมื่อมาริโอกับหญิงสาวตกลงกันเรียบร้อยแล้ว หยางชุนหลานก็พามาริโอกับราตรีออกเดินทางต่อทันที ซึ่งในระหว่างการเดินทางนั้นหยางชุนหลานได้เล่าเรื่องกระต่ายที่กำลังจะไปล่าด้วย

“มันก็ไม่ได้ล่ายากอะไรนักหรอกถ้าคุณกระต่ายอยู่แค่ตัวเดียวนะจ้ะ” หยางชุนหลานพูดอธิบายในขณะที่อุ้มราตรีอยู่ “แต่ถ้าพวกคุณกระต่ายอยู่รวมกันเป็นฝูงแล้วล่ะก็ จะน่ากลัวและรับมือได้ยากกว่าเดิม ฉะนั้นเวลาจะมาล่ากระต่ายก็ต้องพาคนที่มีเลเวลสูงมาคอยคุ้มกันด้วยนะจ้ะ”

“ฮะพี่หยางชุนหลาน”

“ส่วนเรื่องขนกระต่ายที่ล่าได้นั้น พี่จะแบ่งให้แต่ต้องหารสองกับพี่นะ” หยางชุนหลานบอก ซึ่งมาริโอก็พยักหน้ายอมรับข้อตกลงอย่างว่าง่าย หลังจากหญิงสาวพามาริโอเดินอยู่ได้ครึ่งชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย“อย่าเพิ่งเข้าไปหนูมาริโอ พี่ว่าพวกเรามาตระเตรียมแผนการโจมตีก่อนดีกว่านะจ้ะ”

หยางชุนหลานบอกพลางจับไหล่มาริโอไม่ให้เดินดุ่มเข้าไปดงกระต่ายสีขาวโดยไม่ได้วางแผนอะไรสักอย่างเลย ซึ่งมาริโอก็ยอมหยุดเดินก่อนจะหันตัวกลับมารับฟังแผนการ พอหยางชุนหลานบอกแผนแล้วมาริโอถึงกับร้องโวยวายเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องเป็นคนไปเดินล่อกระต่ายออกมา

“ทำไมต้องเป็นหนูด้วย!”

“ชู่! อย่าเสียงดังสิจ้ะหนูมาริโอ” หยางชุนหลานพูดพลางเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากมาริโอ “พี่เองก็ไม่อยากให้หนูต้องเป็นตัวล่อหรอกจ้ะ แต่ถ้าให้พี่ที่เป็นมนุษย์เดินออกไปแล้วล่ะก็ มีหวังคุณกระต่ายได้เรียกพรรคพวกให้มาช่วยแน่ๆจ้ะ”

“แล้วทำไมถึงไม่ให้รัตติออกไปล่ะฮะ” มาริโอถามพลางมองเจ้านายของตัวเองที่กำลังนั่งอยู่ในอ้อมแขนของหยางชุนหลานอย่างไม่เข้าใจ

“ก็น้องรัตติยังเด็กอยู่ยังไงล่ะจ้ะหนูมาริโอ” หยางชุนหลานตอบยิ้มๆ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบหัวมาริโออย่างแผ่วเบา “อย่าลืมสิว่าหนูเป็นพี่ จะให้หนูรัตติทำงานอันตรายแบบนี้ไม่ได้ ฉะนั้นหนูควรจะเสียสละทำงานนี้เพื่อหนูรัตติดีกว่านะจ้ะ”

ราตรีได้ยินที่หยางชุนหลานพูดก็พลอยเห็นด้วยกับคำสอนของเธอ

ไม่เลวเหมือนกันนี่

“เข้าใจแล้วฮะพี่หยางชุนหลาน หนูจะทำเต็มที่ให้สมกับเป็นพี่ให้ได้เลย” มาริโอตอบยิ้มๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังข้างหน้าเพื่อล่อกระต่ายตามแผนที่วางไว้ เมื่อมาริโอเดินไปแล้ว หยางชุนหลานก็ได้วางราตรีลงกับพื้นดินซึ่งทำเอาราตรีถึงกับงุนงง

ทำอะไรของเค้านะ ไม่ดูมาริโอรึไง

ราตรีคิดอย่างสงสัยหากแต่อีกฝ่ายจ้องหน้าเธอเขม็ง

“เก่งใช่ย่อยเลยนะนี่ เกือบดูไม่ออกว่าไม่ใช่ทารกจริงๆ” หยางชุนหลานพูด ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับสะดุ้งวาบ

“ทามมายยู้ล่ะ อุ้ย!” ราตรีรีบปิดปากตัวเองเพราะเผลอพูดออกมาต่อหน้าหยางชุนหลาน

“ฮั่นแน่ ยอมเปิดเผยตัวตนจริงแล้ว” หยางชุนหลานพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์นิดๆ “น้องคงยังไม่รู้สินะ ว่าแท้จริงแล้วภารกิจทุกอย่างที่ได้รับมา ไม่ว่าทาสรับใช้ เอ็นพีซี หรือจีเอ็มจะไม่สามารถทำภารกิจให้กับผู้เล่นคนอื่นแทนกันได้ นอกเสียจากว่า...”

หยางชุนหลานหยุดชะงักพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกับราตรีต่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ

“น้องจะเป็นผู้เล่นเสียเองจริงไหมจ้ะรัตติ”

........................

ปล.ข้างล่างเป็นภาพจำลองหยางชุนหลานจ้า :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 15 เพื่อนใหม่ 1 (อัพ 100%) P.2 18/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 20-02-2015 03:28:46
รัดจิ น่ายักอ่ะ

หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 15 เพื่อนใหม่ 1 (อัพ 100%) P.2 18/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 20-02-2015 07:25:47
บทที่ 16 เพื่อนใหม่ 2

..........................

“น้องจะเป็นผู้เล่นเสียเองจริงไหมรัตติ”

คำพูดของหยางชุนหลานดังกึกก้องในหูอย่างซ้ำไปซ้ำมาราวกับมีใครไปกรอเทปกลับ หลังจากราตรีถูกอีกฝ่ายจับผิดได้แล้ว หยางชุนหลานก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะว่าต้องคอยดูมาริโอที่กำลังเดินไปล่อให้กระต่ายสีขาวตัวหนึ่งตามมา เมื่อมาริโอพากระต่ายมาถึงที่แล้วก็รีบกระโดดหลบออกไปจากตรงนั้น ทำให้หยางชุนหลานรีบปราดเข้าไปโจมตีโดยไม่ให้กระต่ายตนนั้นได้ตั้งตัว

ตูม!

1000

ออกหมัดเพียงแค่ครั้งเดียว กระต่ายตัวนั้นถึงกระเด็นลอยไปไกลก่อนจะสลายไปในพริบตา

“ชุดนี้ใส่แล้วสู้ไม่ถนัดเลย เปลี่ยนดีกว่า” หยางชุนหลานบ่นพึมพำ ซึ่งทำเอามาริโอได้ยินถึงกับหูผึ่ง

เปลี่ยนเลยเจ้ ถอดเลย ถอดๆ

มาริโอแอบลุ้นเชียร์อยู่ในใจ เมื่อได้เห็นหยางชุนหลานปลดสายชุดที่สวมอยู่ แล้วกระตุกสะบัดขึ้นฟ้า ทีแรกราตรีจะร้องห้ามไม่ให้หญิงสาวถอดเสื้อผ้าต่อหน้ามาริโอ แต่พอได้เห็นหยางชุนหลานแค่สะบัดชุดสีชมพูออก เสื้อผ้าของเธอก็กลับกลายเป็นเสื้อแขนสั้นสีขาวรัดรูปทับด้วยเกราะอ่อนสีน้ำตาลบนหน้าอก กางเกงขายาวสีดำรัดรูป สวมบูทยาวและปลอกแขนหนังสีแดง เส้นผมที่ยาวสลวยถูกเกล้าไว้เป็นหางม้าดูปราดเปรียวราวแม่เสือสาว ซึ่งพออีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ทำเอามาริโอถึงกับเสียดายที่ไม่ได้เห็นของดี แต่มันก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงอาการอะไรออกมา ไม่อย่างนั้น มันอาจได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาระกิจแทนที่กระต่ายก็ได้

จริงสิ ที่นี่มันเป็นเกมนี่นะ

จะไปเห็นได้ยังไงกัน

ราตรีคิดในใจพลางส่ายหน้ากับความคิดตื้นๆของตัวเอง ส่วนทางด้านหยางชุนหลานเมื่อกำจัดกระต่ายตัวแรกเสร็จแล้ว เจ้าของร่างบางก็เดินไปหยิบขนกระต่ายที่อยู่กับพื้นขึ้นมาซึ่งมีอยู่ที่พื้นเพียงแค่สองชิ้น

“เดี๋ยวขนกระต่ายนี้เก็บไว้ที่พี่ก่อนนะจ้ะ แล้วถ้ามันครบเมื่อไหร่ค่อยนำออกมาแบ่งกันทีหลัง” หยางชุนหลานหันมาบอก ซึ่งมาริโอก็พยักหน้าตกลง แล้วจึงเดินกลับออกไปล่อกระต่ายต่อ เมื่อมาริโอเดินไปแล้วราตรีจึงคลานกึ่งเดินไปหาหญิงสาวทันที

“ขอถามอารายหน่อยด้ายหมายฮะพี่หยางชุนหลาน” ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวตนแท้จริงแล้ว ราตรีก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสร้งเป็นเด็กทารกอีก “เมื่อกี้พี่ทามงายถึงเปี่ยนชุดด้ายเร็วถึงขนาดน้านฮะ ป๋มเคยลองแย้วแต่มานม่ายด้ายอย่างพี่ฉ๋าวเยยฉักนิดเดียว”

ราตรีถามอย่างสงสัย เพราะวิธีนี้เมฆากับธิดาไม่ได้สอนเธอเลยสักนิดเดียว ตั้งแต่เข้าเกมมา เธอรู้เนื้อหาของเกมแค่นิดหน่อย ไม่ลึกถึงขนาดวิธีเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างรวดเร็วแบบหยางชุนหลานเลยสักนิดเดียว

“อ้อ พี่ก็แค่ใช้คำสั่งลัดนะจ้ะ” หยางชุนหลานตอบก่อนจะอธิบายต่อ “เป็นระบบพิเศษ สำหรับการเปลี่ยนไอเทมสวมใส่ ในกรณีที่มีไอเทมสวมใส่มากกว่า 1 ชุด ใช้กับอาวุธอะไรก็ได้ แล้วเวลาใช้งานก็สะดวก ไม่ต้องเปิดหน้าต่างไอเทม แล้วเลือกทีละชิ้น แต่มันเปลี่ยนได้ทั้งชุดจ้ะ”

ราตรีได้ยินแล้วก็ทำปากร้องอ้อ

มิน่าล่ะ ว่าทำไมเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เร็วถึงขนาดนั้น

“ปกติแล้วผู้เล่นหน้าใหม่กับทั่วไปจะรู้นะจ้ะรัตติ” หยางชุนหลานพูดยิ้มๆ “อย่าบอกนะว่าน้องเข้ามาเล่นโดยไม่อ่านคู่มือมาก่อนเลย”

“ฮะ ม่ายด้ายอ่านก่องมาเยย” ราตรีตอบพลางนึกในใจ

ก็ตานพชวนให้เธอเข้ามาเล่นโดยไม่ได้ให้คู่มืออะไรเลยนี่

“ถ้างั้นเดี๋ยวพอพี่จัดการกระต่ายตัวนี้เสร็จแล้ว จะสอนให้นะจ้ะ” หยางชุนหลานบอกก่อนจะหันไปมองมาริโอ ซึ่งพอทันเห็นมันกระโดดเตะตูดกระต่ายตัวเท่าหมีก่อนจะหมุนตัวกลับวิ่งมาทางนี้

“กรี๊ด! ช่วยเห็ดด้วยคร้าบบบบ! กระต่ายจะกินเห็ด!” มาริโอวิ่งไปพลางตะโกนร้องไห้น้ำตาเป็นทางไปพลาง หยางชุนหลานเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งปราดเข้าไปเสยปลายคางของกระต่ายตัวแรกที่กำลังจะถึงตัวมาริโอเข้าเต็มรัก

โชริวเคน!

ตูม!


1200

อานุภาพของกำปั้นที่ดุเดือดส่งเจ้ากระต่ายชะตาขาดลอยข้ามหัวเพื่อนของมันไปเสียไกล จากนั้นหยางชุนหลานก็ใช้มือซ้ายชกเข้าที่ใบหน้ากระต่ายตัวที่เหลืออย่างเร็ว และไม่มีช่องว่าง

ตูม!

1000


ตัวเลขหนึ่งพันกระจายก่อนที่กระต่ายดวงซวยจะลอยละลิ่วไปทับร่างของเพื่อนร่วมชะตากรรมที่เพิ่งจะหล่นถึงพื้น

โหดใช่ย่อยเลยแหะ

ราตรีคิดพลางมองกระต่ายสองตัวที่กำลังจะเลือนหายไป ก่อนจะหันไปมองหยางชุนหลานที่กำลังก้มเก็บขนกระต่ายที่กองอยู่กับพื้น

เก่งแบบนี้ เห็นทีคงต้องระวังหน่อยแล้ว

หลังจากนั้นพวกราตรีก็ได้นั่งพักหนึ่งชั่วโมง ซึ่งในช่วงเวลานี้หยางชุนหลานก็ได้สอนวิธีการใช้คำสั่งลัดในการเปลี่ยนเสื้อผ้ากับวิธีการใช้อาวุธอันอื่นนอกเหนือจากแส้กับค้อนพลาสติกให้ราตรีฟัง ส่วนเรื่องความลับที่ราตรีเป็นเด็กทารกนั้น หยางชุนหลานเอ่ยปากตกลงว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับโดยไม่บอกใครอย่างแน่นอน

“ตอนนี้น้องใช้แส้ไปก่อน ไว้เลเวลของน้องรัตติอัพเมื่อไหร่ แล้วค่อยใช้มีดสั้นที่พี่ให้ไปนะจ้ะ”

“ฮะ” เมื่อราตรีได้ทดลองใช้คำสั่งลัดกับฝึกอาวุธอยู่พักใหญ่แล้ว หยางชุนหลานก็ให้มาริโอไปเดินล่อกระต่ายยักษ์ต่อ ซึ่งครั้งนี้มีราตรีขอร่วมแจมสู้ด้วยคนเพราะไม่อยากจะอยู่เฉยๆ

“งั้นเดี๋ยวพี่จะใช้ผ้าคาดตัวน้องไว้ด้านหลังแล้วกัน จะได้ช่วยพี่โจมตีกระต่าย” หยางชุนหลานบอกก่อนจะตั้งปาร์ตี้โดยมีตัวเธอเองเป็นหัวหน้า แล้วเชิญชวนให้ราตรีเข้ามาอยู่ในปาร์ตี้ด้วย ซึ่งหยางชุนหลานได้แบ่งค่าประสบการณ์ให้กับตัวเองแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นยกยอดให้ราตรีทั้งหมดเพราะเลเวลจะได้อัพเกรดขึ้นไวๆ แล้วจากนั้นราตรีก็ได้ช่วยหยางชุนหลานในการเก็บขนกระต่ายซึ่งกินเวลาไปสามชั่วโมงก็ถึงเวลาพักเที่ยง

“เที่ยงแล้วพวกเราจะทานอะไรดีฮะพี่ชุนหลาน” มาริโอถามโดยเปลี่ยนสรรพนามการเรียกชื่อของอีกฝ่ายให้สั้นลง

“เอ พี่ก็ยังไม่รู้เลยจ้ะ” หยางชุนหลานพูดด้วยความลำบากใจ เพราะหญิงสาวไม่ได้ตระเตรียมเสบียงมาเลยสักนิด “น้องมีอาหารอะไรบ้างหรือเปล่ารัตติ”

หยางชุนหลานถามโดยยังไม่คิดจะเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกรัตติสักนิด

“มีฮะ” ราตรีหรือรัตติตอบ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าหากหยางชุนหลานจะเรียกเธอแบบนั้น “มีเนื้อแห้ง ก่องข้าวฉองก่องและน้ามผนละม้าย”

ราตรีร่ายชื่ออาหารที่ลุงจิลเตรียมให้ก่อนจะนำอาหารเหล่านั้นออกมาจากกระเป๋าเป้ที่สามารถจุของได้ 50 ชิ้น ซึ่งมีเนื้อแห้งสิบชิ้น กล่องข้าวใหญ่สองกล่อง กับน้ำผลไม้ที่บรรจุใส่กระบอกไม้ไผ่สองกระบอกตามที่ราตรีบอกไว้จริงๆ

“แค่นี้คงไม่พอทานสามคนแล้วมั้งรัตติ” มาริโอบอกพลางจดจ้องอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า เพราะมันกลัวว่าอาหารจะหมด “พวกเรายังต้องอยู่ข้างนอกเมืองอีกหลายวันนะ”

“ม่ายเป็งราย เดี๋ยวค่อยหาผนละม้ายป่าทานเอาก้อด้าย” ราตรีพูดอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเธอไม่กลัวเรื่องเสบียงหมดอยู่แล้ว ทว่าผู้ฟังอย่างหยางชุนหลานกลับแปลกใจที่เห็นราตรีเห็นอาหารเป็นเรื่องเล็ก

“แล้วนี่ทานแค่ผลไม้มันจะไปอิ่มหรือ” หยางชุนหลานถามอย่างสงสัย ซึ่งราตรีก็ตอบกลับมาว่า

“ถ้ามานม่ายอิ่มค่อยหาเพิ่มอีกด้าย แย้วอีกอย่างพวกหนูก้อผ่านป่ามามากแย้ว เยื่องนี้จิ๊บๆ”

“แต่พี่กลัวว่าร่างกายน้องมันจะไม่โตเอาได้นะสิจ้ะ” หยางชุนหลานเถียงกลับอย่างมีเหตุผล เพราะเธอเป็นผู้รู้ข้อมูลเกมมากกว่าราตรี “อย่าลืมสิว่าเกมนี้มันสมจริงมากแค่ไหน ถ้าน้องไม่ทานอาหารให้ครบหมู่แล้วร่างกายก็จะไม่พัฒนาได้ แถมเลเวลก็จะไม่เพิ่มขึ้นด้วยนะจ้ะ”

“ฮะ หนูซาบ แต่หนูยางเด็กนะฮะพี่ฉ๋าว ทานอาหานด้ายแค่ของเหลวกับน้ามนมเท่าน้านนะฮะ” ราตรีตอบอย่างผู้เคยมีประสบการณ์เรื่องการเลี้ยงลูกมาก่อน ซึ่งคนอย่างเธอผ่านโลกมามากแล้วย่อมรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะตั้งแต่จากท่านแม่มา เธอก็จัดการได้ด้วยมือเธอเองทั้งนั้น จะให้มาริโอมาช่วยก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่มอนสเตอร์ เมื่อหยางชุนหลานได้ยินคำตอบจากราตรีแล้วถึงกับหน้าเจื่อนไป ซึ่งราตรีพอเดาได้ลางๆว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่เคยมีลูกอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นพวกราตรีก็เริ่มออกล่ากระต่ายต่อโดยมีมาริโอเป็นตัวล่ออีกตามเคย ซึ่งทั้งสามคนล่ากระต่ายจนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มลอยลับขอบฟ้า จึงมานั่งพักผ่อนที่ริมสระน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดกว้างพอประมาณ รายล้อมด้วยพุ่มไม้หนาตาและโขดหิน

“สู้มาทั้งวันชักเมื่อยแล้วสิ รัตติจ๊ะ เราไปอาบน้ำกันเถอะ”

“คร้าบคุณพี่คนสวย” ทว่าเสียงที่ตอบกลับมา กลับกลายเป็นมาริโอที่มีทีท่าคึกคักอย่างออกนอกหน้า นัยน์ตาของมันลุกวาว เพียงแค่ได้ยินคำว่า “อาบน้ำ” ภาพของพี่สาวคนสวยกำลังเปลือยกายขาวโพลนลูบไล้เนื้อตัวด้วยความสดชื่น ก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพทันที

“ไม่ได้จ้ะ มาริโอ หนูต้องคอยเฝ้ายามอยู่ที่นี่”

“แต่ว่า”

ตูม!

สิ้นเสียง โขดหินก้อนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของหยางชุนหลานก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร้อมๆ กับพื้นดินที่ยุบลงไปเป็นหลุมขนาดกว้างและลึกพอประมาณ

“เด็กดี เชื่อฟังพี่สาวนะจ๊ะ”

“ครับผม” มาริโอรับคำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นพลางกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ภาพของเทพธิดาจำแลงที่มันคิดไว้กับภาพความจริงที่ปรากฏช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ดุขนาดนี้ ชาตินี้คงหาแฟนได้หรอกนะ

มันได้แต่แอบคิดในใจมิกล้าเอ่ยปากออกมา ด้วยเกรงว่าฤทธิ์หมัดมังกรทะยานที่บรรดากระต่ายนับร้อยได้ลิ้มรสไปแล้ว จะบังเกิดผลกับมันเช่นกัน

“อย่าแม้แต่จะคิด มะรีโอ้” เสียงพรายกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูของมัน ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของมองมายังมันด้วยแววตาเย็นยะเยียบ

“ไม่ยุติธรรมนี่หว่า ทำไมเจ้าได้อาบแต่ข้าไม่ได้”

“เพาะข้ายางเป็งเด็กทารก ฉ่วนเจ้าโตแย้ว”

“ชิ จำไว้เลย”


ว่าแล้วมันก็งอนตุบป่องเดินไปด้านหลังโขดหินขนาดใหญ่ที่หยางชุนหลานชี้ให้ดู เมื่อมาริโอเดินไปได้สักพัก ราตรีก็ได้เห็นหยางชุนหลานอย่างเต็มตา ผิวขาวเนียนตัดกับเส้นผมสีดำยาวสลวยเป็นเงางาม ดูงดงามยิ่งกว่าครั้งแรกที่พบกันเสียด้วยซ้ำ

“ตายจริงรัตติ ไม่ต้องเขินพี่หรอกจ้ะ” น้ำเสียงไพเราะดังขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของราตรีพิสุทธิ์ที่ขณะนี้กลายเป็นสีแดงกล่ำ แม้จะคิดว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน แต่ราตรีก็ยังอดที่จะเขินอายโดยธรรมชาติไม่ได้

“ก็พี่ชุนหลานฉวยนี่ฮับ”

“แหม ปากหวานแต่เล็กเลยนะเรา” หยางชุนหลานกล่าวอย่างอารมณ์ดี จากนั้นหญิงสาวจึงอุ้มราตรีขึ้นแนบอกก่อนจะก้าวเท้าลงสระน้ำที่ใสเย็น แล้วจึงค่อยบรรจงอาบน้ำให้กับราตรีซึ่งในขณะนี้ได้นอนหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข

รู้สึกเหมือนมีท่านแม่มาอาบน้ำให้เราไม่มีผิด

“รัตตินี่น่ารักจังเลยน้า พี่ก็อยากมีลูกน่ารักๆ กับเขาสักคนเหมือนกัน” พอพูดจบเธอก็ก้มหัวลงจูบราตรีที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะปล่อยราตรีให้ลงเล่นน้ำเองที่ริมตลิ่ง แล้วจึงค่อยลงมือชำระล้างร่างกายของเธอบ้าง

ในเวลาเดียวกันด้านหลังของโขดหินใหญ่ที่มีพุ่มไม้ขึ้นหนาแน่น มาริโอได้แต่กัดฟันทนฟังเสียงหัวร่อต่อกระซิกด้วยความทุกข์ทรมาน แม้ใจของมันในยามนี้จะไปอยู่ที่ทรวงอกอวบอิ่ม สะโพกขาวกลมกลึง และแผ่นหลังเนียนเรียบที่กำลังเริงร่าอยู่ในน้ำ แต่ก็จนปัญญาที่มันจะหาข้ออ้างเข้าไปได้เพราะอานุภาพกำปั้นที่ป่นหินทีเดียวกระจุยยังติดตามันอยู่

ฮือๆ เห็ดก็มีหัวใจนะ เค้าก็อยากดูอะไรสวยๆงามๆเหมือนกันนี่ ทำไมต้องมากีดกันเค้าด้วย

ทันใดนั้นสายตาของมันก็พลันไปสุดที่กระต่ายตัวหนึ่งเข้า วูบหนึ่งของความคิดอกุศลแล่นปราดเข้ามาในหัวของมันพอดี พร้อมกับนัยน์ตาที่ฉายแววของแผนร้ายออกมา

หึๆ ทำแบบนี้ไอ้เด็กเปรตก็ว่าอะไรเราไม่ได้ เจ้คนสวยจ๋า เล่นน้ำให้สนุกนะ

ว่าแล้วมันก็พุ่งไปยังกระต่ายตัวหนึ่ง แล้วกระโดดม้วนตัวใส่เกลียว19รอบครึ่งถีบเข้าที่กกหูของกระต่ายอย่างงดงาม ก่อนที่มันจะหันหลังวิ่งอย่างสุดชีวิต แน่นอนว่ากระต่ายตัวนั้นที่กำลังเพลิดเพลินกับแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ย่อมไม่รู้สึกชื่นชมกับลีลากายกรรมเห็ดของมันแน่ๆ ด้วยเหตุนี้มันจึงวิ่งไล่กวดมาริโออย่างเต็มฝีเท้า ดวงตาของมันกลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ

เจ้จ๋ารอเห็ดก่อนนะ ฮี่ๆ แผนของเราช่างสมบูรณ์แบบ

มาริโอคิดพลางวิ่งไปพลาง แผนของมันต้องสัมฤทธิ์ผลเมื่อกระต่ายรับบาปวิ่งประชิดมันแล้ว แต่กระนั้นมันก็ไม่คิดที่จะกระโดดหลบแต่อย่างใดด้วยอานุภาพของไฟลามกที่ลุกโชติช่วงในใจของมัน จนกระทั่งอีกไม่กี่เมตรก็จะถึงพุ่มไม้และสระน้ำอันเป็นเป้าหมายแล้ว

ตุ้บ!

แปร๊ด! แอก


เสียงแรกดังขึ้นมาเพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่เสียงที่สอง และสาม จะตามมาอย่างต่อเนื่อง แผนการอันแนบเนียนของมาริโอมิอาจบรรลุเป้าหมายได้ ด้วยตัวของมันเกิดสะดุดล้มคว่ำลงเสียก่อน แล้วโชคชะตาจึงกระหน่ำซ้ำเติมลงมาเมื่อกระต่ายย่ำเท้าลงบนตัวมันเต็มๆ ก่อนจะวิ่งเลยไปยังพุ่มไม้หนาเบื้องหน้า ภาพสุดท้ายที่ผ่านเข้ามาในสายตาของมาริโอจึงมิใช่เทพธิดาจำแลงลงเล่นน้ำ แต่เป็นพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่ม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็มืดดับลงในพริบตา

ส่วนกระต่ายตัวนั้นวิ่งทะลุผ่านพุ่มไม้ออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับดวงตาที่ถลนออกมานอกเบ้า กับภาพของหญิงสาวเปลือยกายเล่นน้ำที่อยู่เบื้องหน้ามัน ความโกรธที่มีต่อเห็ดน้อยที่เข้ามารบกวนเวลาแสนสุขของมันจางหายไปในพริบตา เหลือเพียงความรู้สึกขอบคุณที่เห็ดน้อยทำให้มันได้เห็นของดีเป็นบุญตา

กรี๊ด!

ตูม!

9999


เป็นพลังหมัดที่รุนแรงกว่าที่เคยมีมาทั้งหมด กระต่ายผู้โชคดีตัวนั้นถึงกับลอยละลิ่วหายลับข้ามขอบฟ้าไปเลยทีเดียว ส่วนเจ้าของพลังหมัดก็ยืนหอบหน้าแดงอยู่ในน้ำ มือซ้ายทาบลำตัวปกปิดส่วนสำคัญต่างๆเอาไว้แม้จะไม่มิดชิดนักก็ตาม ส่วนมือขวายังคงค้างอยู่ที่ท่าชกที่ยากจะเชื่อว่าเป็นพลังของหญิงสาวเอวบาง

“บ้าๆๆ กระต่ายบ้า ไอ้กระต่ายลามก ทุเรศที่สุด” การพักผ่อนอันแสนสุขก็ต้องจบลงเพียงเท่านั้น ไม่นานนักท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงแสงจันทร์ และแสงดาวระยิบระยับเท่านั้น มาริโอค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อมันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างร้อนๆเข้ามาใกล้มัน พลันเมื่อลืมตาขึ้นมันก็ถึงกับดิ้นพราดตาเหลือกน้ำตาไหลพรากเพราะใต้เท้าของมันคือกองไฟที่กำลังลุกโชนได้ที่ ส่วนตัวของมันถูกจับมัดติดอยู่กับท่อนไม้ที่ปักไว้กลางกองไฟ

“ว้าก! ช่วยหนูด้วย”

“ไม่!” สองเสียงต่างวัยประสานขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เจ้าของเสียงเวลานี้กำลังเอาไม้เขี่ยเปลวไฟให้แรงขึ้นอีกจนมาริโอเริ่มแสบตาเพราะสำลักควันอย่างแรง ทั้งราตรีและหยางชุนหลานต่างมองมายังมันด้วยสายตาเย็นชา โดยเฉพาะคนหลังสุดถึงกับเปล่งออร่าของรังสีอำมหิตให้ลุกโชนขึ้นมาทั่วร่าง

“รัตติจ๊ะ รอไม่นานหรอก อาหารค่ำมื้อนี้ เราจะทานเห็ดย่างกันนะ”

“ฮะ” ทั้งสองต่างคุยกันด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยียบเข้าไปถึงสันหลังของมาริโอ ที่ขณะนี้ยังคงดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนระอุ

“ใครก็ได้ช่วยหนูด้วย! หนูไม่อยากตาย!”

.................

ปล.ภาพข้างล่างเป็นภาพจำลองกระต่ายที่ทุกคนคิดว่าล่ายากมากนักเหรอ  :hao7: :hao7:


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 16 เพื่อนใหม่ 2 (อัพ 100%) P.2 20/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 21-02-2015 09:47:20
บทที่ 17 แยกทาง

..................

แล้วเช้าวันต่อมาพวกราตรีก็ลุกขึ้นมาล่าขนกระต่ายต่อ แน่นอนว่าครั้งนี้มาริโอเจียมเนื้อเจียมตัวจนราตรีนึกขำที่เมื่อคืนวานมาริโอโดนพวกเธอเล่นงานเสียแทบแย่

“ท่านได้รับขนกระต่ายจำนวน 20 ชิ้น”

เสียงระบบประกาศบอกราตรี ซึ่งตอนนี้หน้าที่เก็บขนกระต่ายเป็นของเธอ เพราะหยางชุนหลานบอกว่าจะรีบเก็บให้เร็วที่สุดภายในสองสามวันนี้ แล้วจะรีบไปทำธุระต่อ ซึ่งราตรีก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะไม่อยากรบกวนหยางชุนหลานไปมากกว่านี้ ส่วนจำนวนขนกระต่ายที่พวกราตรีล่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ก็ปาไปห้าพันชิ้นได้ แล้ววันเวลาก็ผ่านไปอีกสองวันเต็ม ราตรีกับหยางชุนหลานก็สามารถเก็บขนกระต่ายได้ครบจำนวนสองพันชิ้นตามที่มีระบุในภารกิจนี้

“ตอนนี้ก็ครบแล้ว ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนนะจ้ะ” หยางชุนหลานบอกซึ่งทำเอาราตรีแปลกใจ

“ม่ายปายด้วยกานหยอฮะท่านพี่”

“ไม่ล่ะจ้ะรัตติ พอดีแฟนของพี่ส่งข้อความมาบอกให้รีบกลับนะ” หยางชุนหลานตอบยิ้มๆ ซึ่งทำให้มาริโอได้ยินถึงกับใจแป้ว “แต่ถ้ารัตติคิดถึงพี่ก็สามารถส่งข้อความมาบอกได้นะ แล้วพี่จะกลับมาหาน้องเลยทันทีจ้ะ”

“ฮะ ขอห้ายท่านพี่เดินทางโดยซาหวัดดีพาบฮะ”

“เช่นกันจ้ะน้องรัตติ แล้วก็หนูมาริโอด้วยนะจ้ะ” หยางชุนหลานพูดพลางหันหน้าไปยิ้มให้กับมาริโอ ซึ่งกำลังร้องไห้น้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บช้ำเมื่อได้รู้ความจริงว่าหยางชุนหลานมีคนรักแล้ว เมื่อหยางชุนหลานได้เดินจากไปแล้วมันถึงกับร้องไห้เสียงดังลั่น

“โอ๋ๆ อย่าร้องห้ายนะคนเก่ง พู้หยิงนายโลกนี้ยางมีห้ายเจ้าเลือกอีกเยอะ เพาะงั้นอย่าคิดมากปายเยยนะมะรีโอ้” ราตรีพูดปลอบพลางเอามือลูบหัวมาริโอ

“ค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 6”

“อือๆ ขอบใจนะรัตติ ขอบใจจริงๆ” มาริโอพูดขอบคุณ แล้วหลังจากนั้นราตรีจึงค่อยปีนขึ้นหัวมาริโอก่อนจะสั่งให้มันพากลับเข้าเมืองเพื่อส่งภารกิจนี้ แต่ยังไม่ทันจะออกเดินทางทั้งคู่ก็ต้องเผชิญกับเรื่องไม่คาดฝันอีกครั้ง เมื่อกระต่ายสีดำตัวหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ขนาดของมันหากเทียบกับกระต่ายที่ล่าไปแล้วราวกับเอาหมูไปเทียบกับช้าง

“บอสกระต่ายบิ๊กบันนี่ระดับ50ปรากฏตัว”

เสียงระบบดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งตกใจพร้อมกัน

“แม่เจ้าโว้ย สาบานได้ว่ามันคือกระต่าย”

“มะรีโอ้อย่าปายทามอารายห้ายมานโกดเชียวนะ พี่ชุนหลานก้อม่ายอยู่ด้วย พวกเราเละเป็งโจ๊กเห็ดทารกแน่”

“รู้แล้วน่า”
ทั้งสองต่างใช้พรายกระซิบพูดคุยกันเงียบๆ เพื่อป้องกันมิให้คิงคองหรืออาจจะเป็นก๊อดซิลล่าในรูปของกระต่ายเกิดความคิดอยากกินโจ๊กเห็ดทารกขึ้นมา แล้วจากนั้นมาริโอจึงค่อยสาวเท้าย่องผ่านมันไปอย่างแผ่วเบา

“เฮ้ย พวกแกสองตัวนะ” เสียงของมันที่จู่ๆ โพล่งขึ้นมา ทำเอาราตรีและมาริโอถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนจะหันกลับไปมองด้วยใบหน้าซีดเผือดเหงื่อทะลัก “ได้ยินว่าเก๋านี่หว่า เข้ามาไล่กระทืบลูกน้องของพวกข้าตายเกือบยกฝูงนะ คนไหนที่ทำวะ ข้องใจนะเว้ย”

“ไหนๆ ใครวะ ใครฆ่ากระต่าย เฮ้ย ใครรังแกลูกน้องพี่เขาก็ไสหัวออกมาสิเว้ย” มาริโอกล่าวพลางหันหน้ามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะกระต่ายยักษ์ยื่นหน้าลงมาจนเกือบชิดหน้ามัน ส่วนราตรีก็รีบไต่ลงไปหลบด้านหลังใช้หัวของมันเป็นที่กำบัง

“แกไม่ต้องมาแถไอ้บอสเห็ดกาก” บอสกระต่ายพูดเถียงกลับไป “ขาก ถุย เป็นถึงบอสแต่ลดตัวไปเป็นทาสมนุษย์ คิดว่าแกเป็นใครวะ มาแหยมข้ามถิ่น”

เท่านั้นเอง มาริโอก็สลัดราตรีลงจากหัวของมัน แล้วเริ่มตอบโต้ทันที

“ก็คิดว่าเป็นเห็ดไง ข้าฆ่าเด็กแกแล้วจะทำไมวะ คิดว่าตัวใหญ่กว่าแน่กว่าหรือไง เจอกันได้นะโว้ย ตัวตัวมาเลยมาไอ้คิงคองสมองถั่ว”

“อ้าวเฮ้ย พูดแบบนี้ก็สวยสิวะ ไอ้เห็ดสด เห็ดกาก”

“เออสิวะ ไอ้กระต่ายเกรียน แน่จริงมาตัวต่อตัวกับเห็ดได้นะเว้ย มาเลย” มาริโอพูดพลางกระโดดเต้นฟุตเวิร์คไปมา ทั้งๆ ที่มันไม่มีมือที่จะยกขึ้นมารำหมัด แต่เท่านี้ก็สร้างความหมั่นไส้ให้กับฝ่ายตรงข้ามได้มากพอดู ในขณะที่กระต่ายยักษ์บิ๊กบันนี่ก็บ้วนน้ำลายปรี๊ด ก่อนจะหันมามองมันด้วยสายตาเหยียดๆ “แน่จริงก็เข้ามาสิวะ”

“แกก็เข้ามาก่อนสิ” อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพลังเกรียน ทำเอามาริโอถึงกับลืมตัวต่อปากต่อคำกับคู่ต่อสู้ที่มีขนาดใหญ่กว่ามันนับสิบเท่า ส่วนราตรีก็อาศัยจังหวะนี้คลานหลบออกมาพร้อมกับคิดวางแผนช่วยมาริโอ และหาวิธีตบเกรียนของกระต่ายยักษ์ไปพลางๆ

จริงสิ ชุนหลานอาจจะยังไปได้ไม่ไกล ถ้าเป็นชุนหลานอาจต่อยมันทีเดียวกระเด็นไปดาวอังคารเลยก็ได้

“ท่านพี่ฮับ ช่วยป๋มด้วยฮับ” ราตรีรีบส่งข้อความไปอย่างรวดเร็ว เธอพลางนึกภาวนาขอให้หยางชุนหลานมาช่วยเธอได้ทัน ก่อนที่เธอและมาริโอจะกลายเป็นอาหารของกระต่าย

ในเวลาเดียวกันสงครามน้ำลายกระต่ายนรกเห็ดเกรียนก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งระเบิดถึงขีดสุดเมื่อต่างฝ่ายต่างงัดเอาของลับ สรรพสัตว์ต่างๆ ออกมาแจกจ่ายกันจนเลยเถิดไปถึงขั้นย้อนกรุบรรพบุรุษ มาริโอจึงกระโดดถีบแสกหน้าบอสบิ๊กบันนี่ให้เต็มรัก ส่วนกระต่ายยักษ์ใช้ขาหน้าของมันปัดเบาๆบริเวณที่ถูกถีบ ราวกับว่าลูกถบเมื่อครู่เป็นเพียงแมลงวันบินมาเกาะเท่านั้น ราตรีเห็นท่าไม่ดีเธอจึงรีบชักมีดออกมา ตัดสินใจที่จะร่วมสู้ด้วย เพียงแต่จะทำอะไรมันได้หรือเปล่าเนี่ยสิ

“มะรีโอ้ ข้ามาแย้ว” แว่บหนึ่งที่มาริโอหันมาตามเสียงเรียกของผู้เป็นนาย กระต่ายยักษ์ก็ใช้จมูกอันใหญ่โตของมันพ่นลมใส่อย่างแรงจนมาริโอปลิวมาลงตรงหน้าราตรีพอดี

“บ้าเอ้ย จะเข้ามาทำไม อยากตายรึไง”

“แบบนี้เขาเรียกว่ามิตรภาพจ้ะหนูมาริโอ” เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นจากเบื้องหลัง เจ้าของเสียงเดินมาอย่างแช่มช้าโดยที่มือทั้งสองบิดจนดังกรอบแกรบ สายตาคมกริบจับจ้องไปที่เป้าหมาย ทุกย่างก้าวล้วนเปี่ยมด้วยความระมัดระวัง

“เฮ้อ อุตส่าห์คิดว่าจะได้พักยาวแล้วเชียว”

“ท่านพี่ชุนหลาน”

“อาเจ้ของหนู” ทั้งสองต่างเข้าไปหาหญิงสาวด้วยความดีใจเพราะเห็นทางรอดแล้ว อย่างน้อยกำปั้นของหยางชุนหลานก็เป็นของจริง และดูจะพึ่งพาได้มากกว่าลูกเตะของมาริโอแน่ๆ

“ลำบากหน่อยนะ เจ้าบ้านี่แหละเหตุผลที่พี่ไม่อยากทำภารกิจนี้เท่าไหร่”

“ให้ตายสิ นี่แกลดตัวต่ำลงถึงขนาดให้มนุษย์เพศหญิงช่วยเลยรึไอ้เห็ดเน่า”

บอสกระต่ายหันไปว่ามาริโอ หยางชุนหลานได้ยินดังนั้นจึงแย้งกลับไปว่า

“ก็ยังดีกว่าพวกที่ชอบรุมทำร้ายคนอ่อนแออย่างแกแล้วกันไอ้ปากเหม็น”

“ปากคอเราะร้ายแบบนี้ มิน่าหาผัวไม่ได้”

“หาได้ไม่ได้ ชั้นก็ดีกว่าแกเยอะแหละย่ะ ตายร้อยชาติ เกิดร้อยปี หาดีไม่ได้ ไอ้อ้วนดำปากเหม็น” สงครามน้ำลายรอบนี้จบลงด้วยการโจมตีอย่างเต็มกำลังของบิ๊กบันนี่ที่โถมน้ำหนักตัวทั้งหมดพุ่งใส่  แต่ทว่าหยางชุนหลานก็สามารถหลบได้อย่างว่องไว

“มาริโอพารัตติหลบไป” แม้จะไม่สั่งมาริโอก็พร้อมอยู่แล้ว มันรีบใช้ปากคาบคอเสื้อของราตรีไว้ ก่อนจะพาวิ่งออกออกห่างไปหลายร้อยเมตรเพื่อให้หยางชุนหลานสามารถได้ใช้พื้นที่ในการต่อสู้อย่างถนัดใจ แต่เรื่องก็ไม่ง่ายถึงขนาดนั้น เพราะจู่ๆ ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นที่พื้นรอบๆตัวทุกคน กระต่ายจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 ตัว ค่อยย่างสามขุมเข้ามาทีละน้อยๆ

“ไอ้ปากเหม็น แน่จริงอย่ารุมสิวะ”

“ทีพวกแกยังมีคนมาช่วย แล้วทำไมข้าจะมีบ้างไม่ได้วะไอ้เห็ดสด”

“พระเอกทำอะไรก็ไม่ผิดเว้ย” คำตอบของมาริโอเล่นเอาราตรี หยางชุนหลาน รวมถึงบอสกระต่ายช็อคไปพร้อมกันไม่ต่ำกว่าสิบวินาที

มันคิดได้อย่างไรนี่ ช่างกล้า

เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างพร้อมเพียงกันในใจของทุกคน จากนั้นการต่อสู้ก็ดำเนินต่อไป

ตูม!

1500

ชุนหลานฮุคเข้าปลายคางของมันเต็มแรง พร้อมกับความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ก็มีฤทธิเพียงแค่ทำให้มันมึนงงชั่วขณะเท่านั้น แต่ก็มากพอที่จะเปิดโอกาสให้การโจมตีต่อเนื่องเข้าเป้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

1500

1200

1500

900

1300


แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดมันลงได้ หนำซ้ำกระต่ายที่เหลือต่างก็พากันพุ่งเข้าตะลุมบอนเหยื่อทั้งสามที่อยู่ในวงล้อม ซึ่งตอนนี้พากันหลบอย่างชุลมุน

“ท่านพี่ระวัง!” ราตรีตะโกนขึ้นหลังจากที่เห็นกระต่ายตัวหนึ่งพุ่งเข้าหาหยางชุนหลานจากด้านหลัง แต่ก็เพียงพอสำหรับการตวัดเท้าเข้าก้านคอของมัน

กรอบ!

1500

ร่างของมันกระเด็นข้ามหัวพรรคพวกไปทันที แต่ที่เหลือก็ยังคงโหมบุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

“มะรีโอ้ วิ่งเร็วพวกเราต้องช่วยพี่ฉาว”

“ก็อยากอยู่ แต่จะช่วยยังไง ขนาดเจ้ยังอัดมันแทบไม่เข้าเลย”

“ข้ามีวิธี”

จากนั้นราตรีก็รีบกระซิบบางอย่างเข้าที่ข้างหูของมัน แน่นอนว่ามาริโอรีบทำตามทันที แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็เป็นวิธีที่จะช่วยนางฟ้าของมันได้ มันรีบพุ่งเข้าหากระต่ายที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมกับถีบอย่างสุดแรง ในขณะที่ราตรีซึ่งเกาะอยู่บนหัวของมันก็ใช้มีดในมือแทงเข้าให้เช่นกัน

50

จากนั้นราตรีก็สลับมีดมาเป็นแส้ แล้วตวัดไปที่กระต่ายรอบๆ อย่างไวที่สุดเท่าที่จะทำได้

20

20

15

12


กระต่ายทุกตัวที่ถูกสะกิดต่างก็พุ่งเข้าใส่ทั้งสองทันที มาริโอรีบวิ่งนำหน้ากระต่ายพวกนี้ตัดหน้ากระต่ายอีกหลายตัวที่กำลังจะพุ่งใส่หยางชุนหลาน ทำให้พวกมันหันมาทางหนึ่งทารกและหนึ่งเห็ดทันที ราตรีใช้แส้กำราบสัตว์ร้ายที่มีอยู่ผูกเข้ากับหัวของมาริโออย่างรวดเร็ว ตามแบบที่เคยเรียนมาเมื่อสมัยเป็นเนตรนารี ไม่ช้าบังเหียนจำเป็นก็สมบูรณ์แบบ ราตรีควบมาริโอไปตามทิศทางที่ตนเองกำหนด ในขณะที่เจ้าตัวก็ไม่ขัดขืนแต่อย่างใดกลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเสียอีกด้วย

“ทำอะไรนะรัตติ มันอันตรายนะ”

“ท่านพี่ม่ายต้องเป็งห่วง ป๋มจาจาดกานพวกนี้เอง” ว่าแล้วราตรีก็เปลี่ยนทิศทางควบมาริโอล่อฝูงกระต่ายออกมา หลายต่อหลายครั้งที่จะถูกไล่ตามจนทันก็แก้ไขได้ด้วยการหยิกเข้าที่หัวของมัน ทำให้มันเร่งความเร็วขึ้นได้อีก “ตอนนี้เยยฮับท่านพี่”

สิ้นเสียงของราตรี หยางชุนหลานก็เค้นเอาพลังทั้งหมดที่มีอยู่มารวมไว้ที่กำปั้น แล้วรีบปล่อยพลังใส่บอสกระต่ายยักษ์ทันที ลำแสงสีฟ้าปะทุออกมาอย่างรุนแรงเป็นลำขนาดใหญ่ ทำให้บอสกระต่ายบิ๊กบันนี่ถูกพลังจากแรงระเบิดและลำแสงสีฟ้าดันจนลอยละลิ่ว

โครม!!!

68590


หลังจากนั้นร่างของหยางชุนหลานก็ทรุดลงกับพื้น โลหิตสดๆกระอักออกมาเป็นลิ่ม เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นทั่วทั้งตัว เพียงหมัดเดียวที่ปล่อยออกไปทำให้หยางชุนหลานก็ถึงกับสาหัส ราวกับว่าการโจมตีนั้นใช้พลังชีวิตทั้งหมดก็ไม่ปานในขณะที่เจ้าตัวเองก็ไม่ขัดขืนแต่อย่างใดนรอบเจ้ากระต่ายตัวยักษ์ออย่างรวดเร็ว ตามแบบที่เคยเรียนมาเมื่อสมัยเป็นเนตรนารี ไม่ช้าบังเ

“ท่านพี่ชุนหลาน”

“เจ้” ทั้งราตรีและมาริโอต่างก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็น จนลืมตัวไปว่าขณะนี้เบื้องหลังของตนคือฝูงกระต่ายที่ไล่กวดมาอย่างกระชั้นชิด

พลั่ก!

ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับความเสียหายจากกระต่าย 999

ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์พลังชีวิตเหลือ 1

เสียงจากระบบประกาศดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในหัวของราตรี ซึ่งเวลานี้เธอนอนจมกองเลือดมองดูภาพของเพื่อนใหม่ที่นอนหอบหายใจรวยริน ในขณะที่ฝูงกระต่ายกำลังวกกลับมาอีกครั้ง ส่วนมาริโอก็บาดเจ็บสาหัสไม่แพ้กัน

“ร้ายนักนะ แบบนี้สวยแน่” เสียงของกระต่ายบิ๊กบันนี่ดังขึ้นมาหลังจากที่มันพยุงตัวลุกขึ้นยืนได้ หมัดที่หยางชุนหลานทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง ทำได้เพียงแค่ให้มันบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ไม่อาจสยบมันลงได้อย่างถาวร มันค่อยๆย่างเท้าเข้ามาหาทั้งสามพร้อมกับสมุนกระต่ายของมัน หมายจะขยี้ทั้งสามร่างที่อยู่เบื้องหน้าให้แหลกเป็นผุยผง แล้วทันใดนั้นริมฝีปากของหยางชุนหลานก็เผยอยิ้มขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ราตรีและมาริโอถึงกับงุนงง ว่าเหตุใดผู้หญิงคนนี้จึงยิ้มออกมาได้ในช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้

ดาวตกมังกรทะยาน!

9500

9200

9999

9010

9870


เสียงหนึ่งดังกึกก้องฝ่าความเงียบพร้อมกับลำแสงสีส้มปนแดงที่สว่างวูบขึ้นกลางอากาศ แล้วพุ่งลงกลางฝูงของกระต่ายยักษ์ที่มีบอสกระต่ายบิ๊กบันนี่รวมอยู่ด้วย ตัวเลขความเสียหาปรากฏขึ้นซ้ำๆกันอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงระเบิดและประกายแสงที่เจิดจ้าราวกับพญามังกรที่โจนขึ้นฟ้า แล้วพุ่งลงสู่พื้นเช่นดาวตก เมื่อควันจางลงทั้งสามก็เห็นชายคนหนึ่ง ซึ่งสวมเสื้อผ้าเหมือนกับหยางชุนหลานทุกประการยืนตระหง่านดุจรูปปั้นสำริด ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้าม ดูสูงกว่าหยางชุนหลานเล็กน้อย ผมสีดำที่ถูกย้อมด้วยประกายสีแดงพลิ้วไหวไปตามลม เพียงการโจมตีแค่ครั้งเดียวชายลึกลับคนนี้ก็สามารถจัดการกับกระต่ายยักษ์ได้ยกฝูง แถมยังรุนแรงกว่าของหยางชุนหลานเสียอีก ส่วนบิ๊กบันนี่ที่น่าจะเป็นญาติสนิทกับแมลงสาบก็กำลังเผชิญหน้ากับเขาคนนี้

“ชุนหลานปลอดภัยนะ ขอโทษที่มาช้า แต่มันจะจบเดี๋ยวนี้แหละ” เขาหันมาเหลือบตามองเธอเพียงครู่เดียว ทำให้เห็นดวงตาที่ส่องประกายสีเขียวราวกับมรกต

“อืม ฝากด้วยค่ะพี่เทียนหลง” เพียงแค่คำพูดราตรีก็เข้าใจได้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นใคร แม้แต่มอนสเตอร์อย่างมาริโอก็เข้าใจดีเช่นกัน ถึงจะเจ็บปวดที่ได้เห็นความจริงแต่ก็ยังดีกว่าตาย

ตูม!

ฝ่าเท้าของเขากระแทกเข้าที่บอสกระต่ายบิ๊กบันนี่อย่างรุนแรงจนมันกระเด็นออกไป ที่น่าแปลกใจคือเหตุใดตัวเลขความเสียหายจึงไม่ปรากฏขึ้น

“ทำบ้าไรวะ เก๋านักหรือไง เตะแค่นี้ไม่เห็นจะเจ็บเลย” เจ้ากระต่ายยักษ์ตะโกนเย้ยออกมาด้วยความลำพองใจ ในขณะที่เขาหรือเทียนหลงยังคงยืนค้างอยู่ที่ท่าเตะนั้น ทันใดนั้นบิ๊กบันนี่ก็หยุดเคลื่อนไหวไปเสียดื้อๆ ส่วนเทียนหลงก็ชักเท้าเข้ามาแล้วจึงหันหลังเดินตรงมายังร่างของหยางชุนหลานที่พยายามประคองตัวเองให้ลุกขึ้นอยู่

“แก มันตายไปแล้ว”

348725

ตัวเลขความเสียหายที่สูงจนไม่น่าเชื่อปรากฏขึ้น ก่อนที่ร่างของบอสกระต่ายบิ๊กบันนี่จะระเบิดอย่างรุนแรงจนไม่เหลือแม้แต่ซาก ปิดฉากปากเกรียนๆของมันไว้ ณ ที่นี้

“ท่านได้รับหูกระต่ายบันนี่แบนด์ระดับ 10 จำนวน 1 ชิ้น”

เสียงระบบดังในหัวราตรี

“ทุลักทุเลใช่ย่อยเลยนะนี่” ชายหนุ่มกล่าวพลางหยิบเอาขวดยาฟื้นพลังอย่างดีที่สุดออกมา แล้วป้อนให้กับทุกคน เพียงแค่สัมผัสลิ้นอาการบาดเจ็บต่างๆก็หายไปในทันที มาริโอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนจะสะบัดหัวของมัน แล้วจึงค่อยเดินมาหาราตรี

“ขอบพระคุณมากครับคุณพี่ที่ช่วยพวกเราไว้” เป็นครั้งแรกที่ราตรีพิสุทธิ์ได้ยินมาริโอพูดจาสุภาพ แม้น้ำเสียงของมันจะสั่นแต่มันก็พูดจากใจจริง

“ขอบพระคุนฮะท่านพี่ เอ่อ”

“พี่ชื่อเทียนหลง ยินดีที่ได้รู้จักนะเพื่อนตัวน้อยทั้งสอง”

“ฮะ” จากนั้นชายหนุ่มก็ได้ช่วยพยุงหยางชุนหลานขึ้นมา ก่อนที่หญิงสาวจะเดินไปลูบหัวราตรีกับมาริโอ ที่เวลานี้เริ่มจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่เพราะรู้ว่าเวลาแห่งการลาจากมาถึงแล้ว หยางชุนหลานลูบหัวมันด้วยความเอ็นดูพลางโน้มตัวลงไปจูบที่หัวของมาริโออย่างแผ่วเบา

“เป็นเด็กดี ดูแลน้องให้ดีๆ นะจ๊ะ มาริโอ”

“ครับเจ้ ฮือๆ”

“รัตติ พวกพี่ไปก่อนนะจ๊ะ”

“ฮะท่านพี่เทียนหยง แย้วก้อท่านพี่ชุนหลาน”

“หนทางข้างหน้ายังอีกไกล รีบโตเป็นหนุ่มไวๆ ยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเองนะจ๊ะหนุ่มน้อย”

จากนั้นหยางชุนหลานก็อุ้มราตรีขึ้นมากอดไว้แนบอก แล้วบรรจงจูบลงที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน ก่อนจะวางร่างเล็กๆ ลงบนหัวของมาริโอที่น้ำตานองหน้า แล้วจึงสลัดชุดออกเป็นชุดเดิมที่ใส่เมื่อพบกันครั้งแรก ก่อนจะเดินกุมมือไปกับเทียนหลงทิ้งให้ราตรีและมาริโอมองตามไปจนลับตา

“พวกเราก็ไปกันเถอะมะรีโอ้”

มาริโอไม่ตอบได้แต่หันหลังกลับ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังเมืองเริ่มต้นโดยมิยอมหันกลับไปอีกเลย 

..................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 17 แยกทาง (อัพ 100%) P.2 21/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 21-02-2015 18:29:07
บทที่ 18 หาเงิน

.......................

เมื่อราตรีกับมาริโอมาถึงเมืองเริ่มต้นแล้วก็เดินตรงไปยังร้านเสื้อผ้าทันที

“อุ้ยแม่เจ้า นี่คุณน้องกับมาริโอไปลุยล่ากระต่ายมาได้จนครบเลยหรือเนี่ย” พี่ลำไยกรีดเสียงร้องอย่างแปลกใจเมื่อเห็นราตรีกับมาริโอมาส่งภารกิจ

“ด้ายครบทุกชิ้นเยยฮะ แต่ป๋มม่ายด้ายเก็บคงเดียวนะฮะ มีพี่ฉ๋าวคงฉ๋วยอีกคงมาช่วยอาวไว้นะ”

“อย่างนั้นเองหรือจ้ะ แหม ผู้หญิงคนนั้นใจดีจังเลยนะ ได้ยินแล้วอยากตบ เอ้ย อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นบ้างจังว่าจะสวยมากแค่ไหน” คุณลำไยพูดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียมเล่นเอามาริโอเดินเขยิบถอยหลังด้วยความกลัว “แล้วนั่นตะเองร้องไห้มาทำไม มีใครแกล้งงั้นหรือฮ้า”

มาริโอรีบส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ไม่มีๆ”

“งั้นก็แล้วไป” พี่ลำไยพูดพลางถอนหายใจ “แต่ถ้ามีล่ะก็ แม่จะตบให้หน้าหงายลืมบ้านเลขที่ไปเลยคอยดูสิ อุ้ย ไม่ได้สิ พี่เป็นผู้หญิงแถมอ่อนแอด้วยจะไปต่อยตีกับใครได้”

อ่อนแออะไร คุณพี่เป็นพวกสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีเลยต่างหาก

ราตรีกับมาริโอคิดในใจ หลังจากนั้นราตรีก็รีบส่งภารกิจให้กับพี่ลำไย ซึ่งค่าตอบแทนได้มาก็คือเงินจำนวน 100000 เหรียญ ซึ่งราตรีคิดว่ามันคุ้มค่าพอที่เธออุตส่าห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปล่ามา

“เดี๋ยวพี่จะเอาขนกระต่ายที่คุณน้องล่ามานี้ไปทำเป็นเสื้อผ้าให้น้องนะฮะ” พี่ลำไยบอกพลางเก็บขนกระต่ายเข้ากล่อง “ส่วนค่าใช้จ่าย คุณน้องต้องจ่ายค่ามัดจำไว้ก่อน 200000 เหรียญนะฮะ”

“แม่เจ้า 200000 เหรียญ!” ทั้งราตรีทั้งมาริโอต่างร้องออกมาพร้อมกันเป็นเสียงเดียว เพราะเงินจำนวนค่ามัดจำนี้มันมากเกินที่พวกราตรีจะมีได้

“ใช่แล้วฮ่ะ สองแสนเหรียญ” คุณพี่ลำไยตอบ “เพราะค่าชุดที่จะตัดให้สำหรับน้องรัตติที่ยังเป็นเด็กทารกอยู่นั้นพิเศษกว่าผู้เล่นคนอื่นเพราะเป็นตัวแรกของเกม ไหนจะค่าดีไซน์ ค่าจิปาถะ ค่าเสียเวลาอีก เบ็ดเสร็จแล้วก็หนึ่งล้านเหรียญพอดีเลยฮ่ะ”

“นี่ๆ มันไม่โหดไปหน่อยหรือคุณพี่ เสื้อผ้านะไม่ใช่ทอง คิดไปได้ตั้งล้านนึง” มาริโอเถียงอย่างมีเหตุผล

“แหมโหดเหิดอะไรกันตะเองก้อ ราคาแค่หนึ่งล้านเหรียญสำหรับเสื้อผ้าเกรดเอไม่ใช่หาง่ายๆเลยนะจ้ะ แล้วอีกอย่างที่พี่ตั้งราคานี้ก็เพราะพี่จำต้องเอาเงินส่วนหนึ่งจากค่าเสื้อผ้าของน้องไปจ่ายค่าเช่าร้านนี้ด้วย ไม่งั้นพี่คงเปิดร้านอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอกฮ่า” ลำไยพูดพลางโบกมือไปมาเพื่อให้ตัวเองดูน่ารัก แต่สำหรับผู้มองอย่างราตรีกับมาริโอนั้นดูน่าสะพรึงกลัวเสียมากกว่า “หรือคุณน้องอยากได้เสื้อผ้าเกรดต่ำ ดีไซน์ห่วยๆ พลังป้องกันเก๊ๆ แบบว่าถูกฟันทีเดียวซี้ม่องเท่งล่ะฮะหนูมาริโอ”

มาริโอเตรียมอ้าปากจะเถียงกระทิงร่างยักษ์ แต่กลับถูกราตรีใช้มือปิดปากมันเสียก่อน

“ป๋มอาวอย่างแรกแย้วกานนะฮะพี่ลามยาย” ราตรีรีบพูดเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโมโหจนฆ่า หรือหันมากินถั่วดำมาริโอเอาได้ “ฉ่วนเยื่องเงินน้าน เดี๋ยวป๋มจาออกปายหามาจ่ายค่ามาดจำแน่ฮะ”

“งั้นแล้วไป พี่จะได้เก็บขนกระต่ายนี่ไว้รอทำเสื้อผ้าให้นะฮะคุณน้องผู้น่ารัก” เมื่อตกปากรับคำแล้วราตรีก็สั่งให้มาริโอพาเธอเดินออกไปจากที่นี่ทันที

“ทำไมเจ้าถึงไปรับคำยัยกระเทียมนั่นล่ะ เงินตั้งล้านเชียวนะ แล้วไหนจะค่ามัดจำอีก” มาริโอบ่นทันทีที่พาเจ้านายของตนเดินออกมา “แบบนี้มันขูดเลือดกันชัดๆ”

“อย่าบ่นห้ายมากนากเยยมะรีโอ้ ที่พี่เค้าตั้งราคาแบบนี้ก้อฉมควนแย้ว เพาะเค้ายางต้องกินต้องใช้อีก อยากด้ายของดีๆก้อต้องจ่ายแพงหน่อย จาด้ายฉมน้ามฉมเนื้อกับของที่อยากด้าย” ราตรีตอบมาริโอพร้อมกับพูดสั่งสอนมาริโอไปพลาง

“ฮึ สมน้ำสมเนื้อไปคนเดียวเถอะ” มาริโอบ่นอุบอิบก่อนจะพูดเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่พวกเราจะไปหาเงินได้จากที่ไหนล่ะ เข้าบ่อนพนันเลยดีไหม ได้เร็วดี”

โป๊ก!

คนพูดโดนเขกหัวแต่ก็ไม่แรงมากนักเพราะราตรียังเป็นแค่เด็กทารก จึงทำให้มาริโอไม่รู้สึกเจ็บอะไรสักนิด

“กานพานานเป็งฉิ่งม่ายดี” ราตรีพูดอย่างฉุนเฉียว “เจ้ายางเด็กนัก ริอาดจาปายเล่งกานพานาน ก้อต้องโดนแบบนี้แหละ”

“แต่...”

เพี๊ยะ!

แส้หวดลงพื้นดินต่อหน้าต่อตามาริโอ ซึ่งทำเอามันถึงกับอ้าปากค้าง

“ม่ายมีแต่” ราตรีตอบเสียงเหี้ยม “กานพานานมีแต่เฉียกับเฉีย ฉะน้านเจ้าห้ามพูดหรือคิดแบบนี้อีกเด็ดขาดจามเอาว้ายห้ายดีล่ะมะรีโอ้”

มาริโอได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าตอบตกลงอย่างเร็วเพราะกลัวจะโดนราตรีเฆี่ยนด้วยแส้กำราบสัตว์อีก

ปี๊บ!

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ออนไลน์ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว ทางระบบจะทำการออฟไลน์โดยอัตโนมัติในเวลา 20 นาที ขอให้นำตัวละครไปอยู่ในที่ปลอดภัย และเก็บสัมภาระติดตัวให้เรียบร้อย ก่อนออกจากเกม มิฉะนั้นระบบจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้”

ตายจริง ห้าชั่วโมงแล้วหรือนี่

ราตรีคิดในใจทันทีที่ได้ยินเสียงระบบประกาศบอก ดังนั้นเธอจึงสั่งมาริโอให้พาเธอไปยังพื้นที่ว่างซึ่งเธอคิดว่าปลอดภัยที่สุด จากนั้นจึงค่อยนำเต็นท์ออกมากางอย่างรวดเร็ว

“นั่นเจ้าจะทำอะไรรัตติ มันยังไม่ถึงเวลานอนเลยนะ” มาริโอถามอย่างสงสัยในขณะที่มองเจ้านายกำลังกางเต็นท์สำเร็จรูป “แล้วอีกอย่างบ้านของพวกเราก็มี กระท่อมตาลุงจิลไงล่ะ”

ราตรีไม่ตอบคำถามมาริโอเดี๋ยวนั้น เธอรอให้เต็นท์กางเองอัตโนมัติจนเสร็จแล้วจึงค่อยหันหน้ากลับมาทางมาริโอ

“เข้าปายนอนนายเต็นท์เดี๋ยวนี้มะรีโอ้” เธอสั่งพลางชี้นิ้วไปยังทางประตูของเต็นท์ “แย้วม่ายต้องถามว่าทามมายข้าถึงห้ายเจ้ารีบเข้าปายนอน”

“เอ่อ ก็ได้ เข้าใจแล้ว” มาริโอตอบพลางเดินเข้าไปข้างในเต็นท์ทั้งๆที่ในใจยังคงสงสัยคำสั่งของเจ้านายอยู่ เมื่อราตรีเห็นว่ามาริโอเดินเข้าไปแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปตามก่อนจะรูดซิปเต็นท์ให้สนิท

“มะรีโอ้ ฟังข้าห้ายดีๆนะ” ราตรีหันหน้าไปพูดกับมาริโอเมื่อรูปซิปเต็นท์เสร็จแล้ว “ต่อจากนี้ปายข้าจานอนหลับพักผ่อนอีกหลายวาน และม่ายยู้ว่าจาตื่นเมื่อไหร่ ฉะน้านเจ้านอนพักนายเต็นท์นี้อย่าด้ายออกปายหนายเด็ดขาด ม่ายว่าจาเป็งคงยู้จักหรือครายก้อตามมาเคาะเรียกห้ายเจ้าออกปายข้างนอกก้อห้ามออกปายเข้าจายหมายมะรีโอ้”

มาริโอได้ยินที่ตัวเล็กสั่งถึงกับตกใจ

“อะไรไอ้เด็กเปรต นี่เจ้าคิดจะนอนจำศีลรึยังไง”

“ม่ายต้องพูดมาก ปายนอนเดี๋ยวนี้มะรีโอ้ ม่ายอย่างง้านข้าจาเรียกพี่ลามยายห้ายมานอนเป็งเพื่อนเจ้าแทนนะ”

เพียงแค่ได้ยินชื่อลำไย ภาพกระเทยควายที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีก็ปรากฏขึ้นในหัว มันช่างสยดสยองเกินกว่าจะบรรยาย หากต้องพบว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวมานอนอยู่ข้างๆ มาริโอรีบวิ่งไปนอนบนฟูกที่กางอยู่บนพื้นใจกลางเต็นท์อย่างเร็ว เมื่อมาริโอเข้านอนแล้ว ราตรีก็รีบเข้านอนบ้างก่อนจะออฟไลน์จากเกมไป

...................

หลังจากเธอออฟไลน์จากเกมแล้ว ก็จัดการถอดแว่นตาอนาล็อกออกก่อนที่จะเงยหน้ามองนาฬิกาที่ตั้งแขวนอยู่บนข้างฝาผนัง ซึ่งเข็มสั้นกำลังชี้เลขห้ากับเข็มยาวชี้เลขหนึ่ง

ให้ตายสิ นี่เธอเล่นเกมนานถึงห้าชั่วโมงจริงๆด้วย

เธอครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะจำได้ว่าเธอเป็นคนตั้งเวลาเล่นอยู่ห้าชั่วโมง ซึ่งแทนที่เธอจะได้จะได้อยู่ในเกมประมาณสี่ห้าอาทิตย์ของเวลาในเกม แต่กลับได้เล่นเกมอยู่เพียงแค่ห้าวันเท่านั้น

หรือว่าเกมนี้จะเปลี่ยนระบบใหม่โดยให้เวลาในเกมหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งชั่วโมงในโลกจริง?

เธอคิดพลางเอามือกุมศีรษะเพราะรู้สึกมึนหัวกับความเปลี่ยนแปลงของเกม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เธอควรจะนำเรื่องนี้ไปบอกให้ตานพหลานชายของเธอให้รู้เสียแล้วล่ะ

ก๊อก! ก๊อก!

“คุณยายคะ ถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้วนะคะ” เสียงนางพยาบาลตะโกนบอก

“อืม เดี๋ยวฉันออกไป ขอล้างหน้าตาสักหน่อย” เธอบอกก่อนจะลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ถึงแม้ตอนนี้เธอจะผ่านวัยทองไปนานแล้ว แต่ร่างกายก็ไม่ได้ทรุดโทรมตามที่คนอื่นเข้าใจ เธอยังคงเดินเหินได้สะดวกราวกับเธอเพิ่งจะเข้าวัยทองได้ไม่นาน จากนั้นเธอก็เข้าไปยังห้องน้ำ และจัดแจงล้างหน้าไล่ความมึนงงจากการนอนเป็นเวลานานออกไปจากร่างกาย เรียกความสดชื่นเข้ามาแทนที่ พลางส่งเสียงถามพยาบาลที่คอยดูแล “คุณพยาบาลจ๊ะ วันนี้มีอะไรน่าทานบ้างล่ะนี่”

“มีแกงเลียงเห็ดเจ็ดอย่าง แล้วก็ข้าวเหนียวลำไย นี่คุณนพเข้าครัวทำเองเลยค่ะ”

พลันเธอก็ชะงักสะดุดกึกเมื่อได้ยินคำว่าเห็ดควบคู่ไปกับลำไย ภาพของคุณพี่ลำไยที่กำลังกอดรัดมาริโอจู่ๆ ก็ฉายวาบเข้ามาในความคิด ทำเอาเธอขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

ไอ้นพ หาเรื่องโดนไม้เรียวแท้ๆ ไอ้เด็กบ้า

เมื่อจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็เดินออกจากนอกห้องนอนไป ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัวโดยมีนางพยาบาลเดินตามเคียงข้าง เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องครัวแล้ว เธอก็เห็นนพเดินอ้อมโต๊ะกินข้าวมาทางเธอ ก่อนที่จะเขยิบเก้าอี้ให้

“เชิญนั่งครับคุณยาย”

“ขอบใจจ้ะ” เธอตอบก่อนจะนั่งลง แล้วจากนั้นนพจึงค่อยเดินวกกลับไปนั่งที่ของตัวเองต่อ เมื่อเธอได้นั่งบนเก้าอี้แล้ว เธอก็หันมาสนใจอาหารที่วางอยู่เบื้องหน้า

มีแต่เห็ดทั้งนั้น

เธอครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะเธอเพิ่งจะจากมาริโอในเกมมา หากแต่อาหารเบื้องนี้เป็นฝีมือของตานพหลานชายของเธอ จึงทำให้เธอไม่กล้าพูดปฏิเสธที่จะทานอาหารพวกนี้ได้

“ยายไม่ยักรู้ว่าเธอจะทำอาหารเป็นกับเขาด้วยนะตานพ”

ในเมื่อพูดปฏิเสธไม่ได้ เธอจึงเลือกที่จะแกล้งพูดแบบนี้แทน ซึ่งทำเอาคนเป็นหลานถึงกับหน้าหงิก

“โธ่คุณยาย ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่ก็ทำอาหารได้ไม่แพ้ผู้หญิงนะครับ” นพพูดแย้ง ซึ่งทำเอาเธอนึกขบขันอยู่ในใจที่ได้แกล้งหลานชายของตัวเอง

ช่วยไม่ได้ ก็อยากทำเห็ดกับกับข้าวเหนียวลำไยเองนี่

“ว่าแต่เราเถอะ เมื่อบ่ายนี้ออกไปทำธุระอะไรกับยัยแก้วล่ะ” เธอพูดเปลี่ยนเรื่องพลางใช้ช้อนกลางตักแกงเลียงเห็ดใส่จานข้าวตัวเอง

“อ้อ พอดีลูกแก้วเค้าขอผมไปเที่ยววัดใหญ่นะครับคุณยาย ผมก็เลยต้องพาไป” นพตอบพลางหันหน้ามายิ้มให้กับลูกสาวตัวเองซึ่งนั่งอยู่ติดกัน ก่อนจะหันหน้ากลับมามองเธอต่อ “ว่าแต่คุณยายละครับ เล่นเกมกับเพื่อนไปถึงไหนแล้วครับ”

เธอยังไม่ตอบเดี๋ยวนั้นเพราะกำลังเคี้ยวข้าวอยู่ เมื่อเธอกลืนลงคอแล้วจึงค่อยตอบกลับไปว่า

“ยายกำลังหาเงินซื้อเสื้อผ้ามาใส่นะตานพ”

“หาเงินซื้อเสื้อผ้าหรือครับ” นพพูดพลางขมวดคิ้ว

“ใช่แล้วจ้ะตานพ เพราะเงินที่ยายกำลังหาอยู่นี้มันเยอะเสียจนยายไม่รู้จะตั้งต้นหามันจากที่ไหนดี” เธอตอบก่อนจะวางช้อนส้อมลง “หลานพอจะรู้วิธีหาเงินจำนวนมากๆไหมล่ะ”

“ก็พอรู้ครับคุณยาย ว่าแต่คุณยายทำไมไม่ถามเพื่อนของคุณยายดูละครับ” นพถามกลับอย่างสงสัย เพราะอย่างน้อยผู้เล่นคนอื่นก็น่าจะรู้วิธีหาเงินในเกมบ้าง

“ยายถามแล้ว แต่เพื่อนของยายแนะให้ไปเข้าบ่อนนะ”

“อะไรนะครับ?! ไปเข้าบ่อน” นพร้องอุทานอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าเพื่อนของคุณยายจะแนะให้ไปหาเงินในบ่อนการพนันแทน

“ใช่แล้วนพ เพราะมันเป็นอย่างนี้ไงเล่า ยายถึงต้องมาถามหลาน” เธอพูดพลางทอดถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ ซึ่งทำเอาชายหนุ่มมองแล้วรู้สึกอดสงสารแทนท่านเสียจับใจ

“แล้วคุณยายต้องการหาเงินมากเท่าไหร่ล่ะครับ ผมจะได้บอกวิธีหาเงินทางลัดให้ครับ” นพถามต่อ ซึ่งเธอชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “หนึ่งพันเหรียญหรือครับ”

เธอส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับมาว่า

“หนึ่งล้านเหรียญนะนพ”

“หนึ่งล้านเหรียญ!” นพร้องอุทานเสียงดังลั่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้จำนวนเงินที่คุณยายต้องการไปซื้อเสื้อผ้า “เสื้อผ้าสำหรับผู้เล่นใหม่ที่ไหนเค้าขายตั้งหนึ่งล้านเหรียญกันครับคุณยาย! ผมว่าคุณยายโดนหลอกแล้วล่ะครับ!”

“หลอกรึไม่นั้นยายไม่รู้ ยายรู้แต่ว่าคนขายเป็นพนักงานฝ่ายเอ็นพีซีเท่านั้น” พอนพได้ยินคำตอบที่ชัดเจนแล้ว ชายหนุ่มถึงกับกัดฟันด้วยความโกรธ

“ถ้าเป็นพนักงานเกมแล้วล่ะก็ ผมจะไม่มีวันละเว้นให้แน่” นพพูดด้วยเสียงเดือดดาล ซึ่งทำเอาแก้วที่นั่งทานอาหารอยู่เงียบๆ สะดุ้งตกใจกับท่าทีของพ่อที่เปลี่ยนไป “แล้วเอ็นพีซีคนนั้นมีชื่อว่าอะไรครับคุณยาย ผมจะไปแจ้งกับทางบริษัทว่าพนักงานคนนี้ตั้งราคาขายเกินกว่าเหตุ”

เธอได้ยินที่นพพูดถึงกับกุมขมับ

ใจร้อนเสียจริงเชียวนะไอ้นพเอ้ย

“หลานอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่หน่อยเลย แค่เรื่องเงินซื้อเสื้อผ้าแพงนิดแพงหน่อย ยายพอหาได้น่า”

“ตั้งล้านเหรียญไม่เรียกว่าแพงนิดแพงหน่อยแล้วครับคุณยาย” นพเถียงอย่างมีเหตุผลแต่แฝงไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว “ผมไม่ยอมปล่อยให้พวกที่ชอบโก่งราคาผู้เล่นใหม่ที่ไม่รู้เรื่องไปง่ายๆแน่ โดยเฉพาะกับคุณยาย มันก็ยังหลอกกันได้ แบบนี้ผมไม่มีวันยอมแน่ ไม่มีวัน!”

“นพเอ้ย เรานะอย่าได้แค้นเขาไปเลย ยายขอร้องล่ะ”

“แต่ผม…”

“นพ” เธอพูดชื่อหลานชายพลางก้มตาจ้องหลานชาย จึงทำให้อีกฝ่ายยอมหยุดพูดแต่โดยดี “ใครทำอะไรไว้ ผลแห่งกรรมก็จะตามมาทันเอง เพราะงั้นเราไม่ต้องเดือดร้อนแทนยายหรอก”

“ครับคุณยาย” นพตอบเสียงเรียบ แล้วหลังจากนั้นนพก็บอกวิธีหาเงินทางลัดให้เธอฟัง ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่ลืมที่จะบอกเรื่องเวลาในเกมที่เปลี่ยนแปลงไปให้นพรับทราบด้วย เมื่อเธอ นพ และแก้วรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว นพกับแก้วก็ขอตัวกลับห้องนอนเพื่อพักผ่อน ส่วนตัวเธอนั้นยังไม่คิดจะเข้าเกมในตอนนี้ เพราะเธอยังต้องเข้าห้องพระเตรียมสวดมนต์ทำสมาธิซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

......................

ย้อนกลับมาทางด้านเมฆา ซึ่งชายหนุ่มดั้นด้นออกตามหาราตรีกับเห็ดมาริโออยู่ในป่าหุบเขาวงกตอยู่เป็นอาทิตย์ เขาไม่เคยคิดจะยอมแพ้หากแต่ตอนนี้เมฆาเริ่มแน่ใจแล้วว่าสองคนนั้นไม่ได้อยู่ในป่านี้แล้วจริงๆ

“อาจจะมีคนช่วยออกไปแล้วก็ได้” เมฆาพูดให้ความหวังกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจออกจากป่าแห่งนี้ไป เพราะขืนหาอยู่ต่อไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อเมฆาออกมาจากที่แห่งนั้นแล้ว ก็เดินหน้าต่อไปโดยระหว่างทางถ้าเจอผู้เล่นคนอื่นเดินผ่านมา เขาก็จะถามหาสองคนนั้นไปพลางด้วย

ปี๊บ!

เมฆาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงดังก้องในหัว ก่อนภาพหน้าต่างที่มีรูปคนปรากฏต่อหน้าชายหนุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นใบหน้าตัวตลกที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส เปลือกตาบนล่างเป็นสีฟ้าขอบตาดำขลับตัดเส้นคมกริบคิ้วถูกวาดให้สูงกว่าโหนกคิ้วจริง โค้งโก่งเป็นครึ่งวงกลมสวยงามบรรจง ดวงตาโค้งงอแสดงความรู้สึกว่ายิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา ดังเช่นปากของมันฉีกยิ้มกว้างผิดปกติ และสีแดงสดดังเลือดจมูกมีก้อนกลมสีแดงแปะเอาไว้ เมื่อเมฆาได้เห็นผู้ติดต่อมาแล้วก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเคร่งเครียดทันที

“แหมท่านราชาเงา กระผมอุตส่าห์ติดต่อมาทั้งที ท่านไม่น่าทำหน้าตาเคร่งเครียดถึงขนาดนั้นเลยนะ” บุคคลในชุดตัวตลกกล่าวล้อเลียนเมฆา

“อย่ามาทำตลกปิเอโร่ มีธุระอะไรก็ว่ามา” เมฆาพูดเสียงเหี้ยม ซึ่งทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะดังลั่น “ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วล่ะก็…”

“อย่าใจร้อนสิท่านราชา กระผมแค่มาแจ้งข่าวเท่านั้น” ปิเอโร่รีบพูดแทรก ทำเอาเมฆาที่กำลังคิดจะปิดหน้าต่างสนทนาพลันหยุดชะงัก

“ข่าวงั้นรึ”

“ใช่แล้วท่านราชา” ปิเอโร่ตอบโดยที่ใบหน้ายังยิ้มอยู่ “มีข่าวดีและข่าวร้าย ท่านจะเลือกฟังข่าวไหนก่อนล่ะ”

“อย่ามัวเล่นลิ้น รีบๆบอกทั้งสองข่าวมาเลยปิเอโร่” เมฆาพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบเชิงรำคาญ ซึ่งทำเอาปิเอโร่หัวเราะเสียงดังลั่น

“แหมท่านราชาก็ ใจร้อนซะจริงเชียวนะ” ปิเอโร่พูดไปยิ้มไป “ข่าวดีก็คือพ่อแม่ของเพื่อนที่ท่านราชาเงารู้จักเป็นถึงราชากับราชินีมังกรนะขอรับ ส่วนข่าวร้าย…ตอนนี้ราชาปีศาจได้จับราชามังกรขังไว้ที่ดินแดนปีศาจแล้วขอรับท่านราชา”

“ว่ายังไงนะ!” เมฆาร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อได้ทราบข่าวจากปิเอโร่ เนื่องจากชายหนุ่มไม่แน่ใจกับเรื่องที่ราตรีพิสุทธิ์เล่าให้ตนฟัง เขาจึงใช้ปิเอโร่ที่เป็นทาสรับใช้ให้กลับไปดินแดนปีศาจเพื่อสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง

“ก็อย่างที่กระผมบอกไป ตอนนี้ราชามังกรได้ถูกราชาปีศาจจับขังไว้ที่ดินแดนปีศาจแล้ว” ปิเอโร่พูดย้ำอีกรอบ “ส่วนราชินีพญามังกรนั้นไม่รู้อยู่ที่ไหนขอรับ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้พระบิดาได้ทรงเรียกหาพระองค์ให้เสด็จกลับพระตำหนักอยู่นะขอรับท่านเมฆา”

“ข้าไม่กลับ ถ้าเจ้ายังพูดเรื่องนี้กับข้าอีก ข้าจะลงโทษเจ้าแน่ปิเอโร่” เมฆาพูดสั่งเสียงเข้มก่อนจะสั่งปิเอโร่ให้รีบกลับมาหาเขา

“ขอรับ แล้วกระผมจะรีบกลับมาหาท่าน”

เมื่อการสนทนายุติลงแล้วเมฆาก็รีบปิดหน้าต่างสนทนาของปิเอโร่ ก่อนจะนั่งบนพื้นเอามือกุมขมับทั้งสองข้างด้วยความกลัดกลุ้ม

ให้ตายสิ ทำไมเรื่องมันยุ่งยากอย่างนี้นะ

เมฆาครุ่นคิดอย่างปวดหัว เนื่องจากครั้งแรกที่ชายหนุ่มเข้ามาเล่นเกมนั้น เขาก็ได้เกิดมาเป็นลูกชายของราชาปีศาจผู้แสนเก่งกาจซึ่งผิดกับผู้เล่นคนอื่นที่ได้เกิดมากับพวกพ่อแม่ที่เป็นเผ่ามนุษย์ เอลฟ์ เทพ ส่วนมังกรกับปีศาจนั้นแทบไม่มีเลยว่าได้ แต่ทว่าหลายปีในเกมมานี้เมฆาไม่ได้กลับบ้านนานพอดู จึงไม่ทราบข่าวคราวทางบ้านเลยสักนิดเดียว นี่ถ้าราตรีไม่บอกเมฆาแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มก็คงยังไม่รู้เรื่องสิ่งที่ราชาปีศาจหรือพ่อของตัวเองเป็นคนทำอย่างแน่นอน เมื่อเมฆาคิดได้ดังนั้นก็พลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกเดินทางตามหาราตรีกับมาริโอต่อด้วยความรู้สึกยากที่จะบรรยายได้

............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 18 หาเงิน (อัพ 100%) P.2 21/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pare_140 ที่ 22-02-2015 09:04:47
 o13
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 18 หาเงิน (อัพ 100%) P.2 21/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 22-02-2015 09:27:39
บทที่ 19 เมฆาผู้น่าสงสาร

............................

เมื่อถึงเวลาสองทุ่ม ราตรีได้กลับเข้ามาออนไลน์เกมอีกครั้งซึ่งครั้งนี้เธอตั้งเวลาออนไลน์เกมอยู่ถึงสิบชั่วโมง ก็เท่ากับว่าเธอจะสามารถอยู่ในเกมได้อีกสิบวันเต็ม พอราตรีลืมตาขึ้นมาเธอก็พบว่ามาริโอนอนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น

“อ้าวฟื้นจากการจำศีลแล้วเหรอรัตติ” มาริโอร้องทักเมื่อเห็นร่างเล็กที่นอนอยู่บนฟูกลุกขึ้นนั่ง

“อือ” ราตรีตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ถึงแม้เธอจะเพิ่งหลับแล้วเข้าเกมได้ไม่ถึงชั่วโมงดี แต่ความรู้สึกของตัวละครที่เธอเล่นอยู่นี้กลับรู้สึกเพลียๆเหมือนเพิ่งจะตื่นนอนหลังจากหลับไปนานหลายวัน “ข้าต้องขอโทดด้วยที่ทามห้ายเจ้าต้องคอยนาน ว่าแต่เจ้าหิวหรือยางล่ะมะรีโอ้”

ราตรีถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนออฟไลน์เกมไป เธอไม่ได้เตรียมอาหารให้ไว้กับมาริโอเลยสักนิด

“ยังไม่ค่อยหิวนะ” มาริโอตอบพลางโบกมือไปมา “พอดีข้าเพิ่งจะทานผลไม้เมื่อกี้นี้เอง หวานอร่อยมากเลยด้วย”

“ผนละม้าย? ที่นี่มีผนละม้ายด้วยหยอ” ราตรีถามอย่างสงสัย

“มีสิ แค่พูดชื่อผลไม้ มันก็โผล่ออกมาให้แล้วล่ะ” มาริโอตอบพลางลุกขึ้นนั่ง “เดี๋ยวเจ้าคอยดูนะ ขอกล้วยหนึ่งหวี”

พอสิ้นคำพูด จู่ๆ ก็มีกล้วยหนึ่งหวีโผล่มาตรงพื้นที่มาริโอนั่งอยู่ ซึ่งทำเอาราตรีตะลึง

“เห็นไหม แค่นี้ก็ได้ของกินแล้ว” มาริโอยิ้มพลางใช้ปากแกะเปลือกกล้วยออก “เจ้าก็มาทานด้วยกันสิรัตติ เดี๋ยวข้าช่วยแกะเปลือกให้”

“ม่ายเป็งราย ข้ายางม่ายหิว เจ้าทานปายคงเดียวเถอะ” ราตรีบอก ซึ่งมาริโอได้ยินดังนั้นมันก็หันมาแกะเปลือกต่อ

น่าแปลก ทำไมเต็นท์ที่ปริ๊นซ์ให้มานี้ถึงสามารถเรียกผลไม้มาได้นะ? ราตรีคิดอย่างฉงน แล้วถ้านอกเหนือจากผลไม้ล่ะ จะเรียกได้ไหมหนอ

“ขอข้าวแกงกายี่หนึ่งจาน”

เงียบ

เอ หรือว่าเราพูดไม่ชัด เดี๋ยวลองดูใหม่ดีกว่า

“ขอข้าวไก่ทอดหนึ่งจาน” คราวนี้ข้าวไก่ทอดหอมกรุ่นด้วยไอร้อนก็ได้ปรากฏต่อหน้าราตรีทันที ซึ่งทำเอามาริโอได้กลิ่นถึงกับหันขวับมามองอย่างสนใจ

“โอ้แม่เจ้าโว้ย สั่งอาหารได้ด้วย” มาริโอร้องพลางลุกขึ้นเดินไปดูข้าวไก่ทอดที่ราตรีสั่ง “ขอชิมได้ไหมรัตติ มันช่างหอมหวนเกินห้ามใจจริงๆ”

“ตามฉาบาย” ราตรีบอก ซึ่งมาริโอก็ใช้ปากงับไก่ทอดหนึ่งชิ้นขึ้นมาเคี้ยวอย่างรวดเร็ว ในเมื่อเต็นท์นี้มีพิเศษแบบนี้แล้วล่ะก็ เธอคงไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารสำหรับมาริโอจากข้างนอกให้เสียเงินอีก

“รัตติ แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อเหรอ” มาริโอเคี้ยวอาหารไปพูดไปพลาง

“กลับปายหาท่านลุงจิลก่อง แย้วค่อยปายนายเมืองต่อ” ราตรีตอบพลางใช้มือขวาอันน้อยนิดตบแก้มมาริโอเบาๆ ก่อนจะพูดสอนมันว่า “ทีหลังเคี้ยวอาหานห้ายหมดก่องแย้วค่อยพูดนะมะรีโอ้ ปะเดี๋ยวอาหานมานจะติดคอเจ้าอาวด้าย”

“อือๆ” มาริโอตอบพลางพยักหน้า เมื่อคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราตรีกับมาริโอก็พากันกลับไปยังกระท่อมของลุงจิลอีกครั้ง แต่ทว่าลุงจิลกลับไม่อยู่ที่นั่น จึงทำให้ราตรีกับมาริโอต้องเดินย้อนกลับมาในตลาดซึ่งตอนนี้ผู้เล่นเริ่มบางลงเพราะหมดหน้ากิจกรรมแล้ว จะเหลือก็แต่ผู้เล่นหน้าใหม่อย่างราตรีเท่านั้น “นั่นเจ้าจะทำกับหัวของข้านะรัตติ”

มาริโอถามพลางมองร่างเล็กผ่านกระจกที่ซึ่งกำลังหยิบหูกระต่ายออกมาสวมหัวมัน

“อาวกาต่ายฉ่ายหัวของเจ้านะฉิ” ราตรีตอบพลางขยับหูกระต่ายให้เข้าที่

“ว้าว หูกระต่ายน่ารักจัง!” เสียงหวานร้องดังมาจากข้างหลัง ทำเอามาริโอหันขวับมาดู ก่อนจะเห็นผู้หญิงอายุประมาณสิบสี่สิบห้าในชุดแม่มดน้อยยืนมองพวกราตรีอยู่ “หูกระต่ายนั่นขายต่อให้หนูได้ไหมคะคุณเห็ด”

มาริโอเห็นแล้วถึงกับตาโตเป็นรูปหัวใจ

“ได้สิครับคุณผู้หญิง” มาริโอพูดเสียงหล่อ ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับส่ายหน้า “หูกระต่ายนี้ปกติผมขายให้คนอื่นห้าล้านเหรียญ แต่สำหรับผู้หญิงสวยๆอย่างคุณ ผมลดให้ฟรีพร้อมหัวใจเห็ดครับ”

ขวับ!

แส้ถูกหวดเข้าที่ก้นมาริโอ ซึ่งทำเอามันสะดุ้งโหยง

“มะรีโอ้ นี่ของสำหรับขาย ไม่ใช่ของจีบสาว” ราตรีพูดขู่มาริโอโดยใช้พรายกระซิบ

“ตกลงแล้วว่าขายหรือให้ฟรีกันแน่คะ” หญิงสาวในชุดแม่มดน้อยถามอีกครั้ง

“ให้ฟรี เอ้ย ขายครับ” มาริโอพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะมันถูกราตรีหยิกหัวไว้อยู่ “หูกระต่ายชิ้นนี้ผมขายให้ห้าล้านเหรียญ ลดมากกว่านี้ไม่ได้แล้วครับเพราะของมันดรอปยากมาก”

พอมาริโอพูดจบ อีกฝ่ายก็เข้ามากอดหัวมาริโออย่างหน้าตาเฉย

“ลดให้หน่อยสิคะ นะคะ ลดนะ นะ” อีกฝ่ายไม่พูดเปล่า แถมยังเอาคางมาถูไถหัวมาริโออีก ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับหน้าแดงเหงื่อตก ส่วนราตรีเห็นแล้วอดนึกถึงเหลนตัวน้อยๆเวลาอ้อนไม่ได้

“คุณทวดขา”

“เรียกทวดทำไมฮึยัยแก้ว จะอ้อนเอาขนมล่ะสิ”

“ไม่ใช่ค่ะคุณทวด แก้วไม่ได้ต้องการขนม”

“อ้าว แล้วอ้อนทวดเรื่องอะไรล่ะ”

“ก็ขาของคุณทวดนะสิคะ มีจิ้งจกเกาะอยู่บนขาด้วย”


คงไม่ต้องเล่าว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก เพราะตอนเย็นเธอได้ทำอาหารสุดพิเศษให้นพทาน ซึ่งทำเอาหลานชายเป็นปลื้มอย่างไม่มีวันลืม

“บอกเธอไปว่าลดให้ได้แค่สามล้านห้าแสนเหรียญ ถ้าต่ออีกก็บอกว่าลดให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ราตรีพรายกระซิบบอกมาริโอ

“เอ่อ งั้นผมลดให้เหลือแค่สามล้านห้าแสนเหรียญแล้วกันครับ” 

“โหแพงไป ขอสองล้านได้ไหมคะคุณเห็ด” หญิงสาวพูดเสียงออดอ้อน

“สามล้านขาดตัว ไม่ลดให้อีก” ราตรีพรายกระซิบบอกมาริโอ ซึ่งมันพยักหน้าก่อนจะพูดแบบเดียวกับเธอว่า

“สามล้านขาดตัวครับ ผมไม่ลดให้คุณอีกแล้วนะ” หญิงสาวได้ยินถึงกับหน้าบูดแต่แล้วก็ฉีกยิ้มพูดกลับมาว่า

“ก็ได้ค่ะ สามล้านก็สามล้าน”

“ผู้เล่นคริสตัลยื่นข้อเสนอซื้อบันนี่แบนในวงจำนวนเงินสามล้านค่ะ”

เสียงระบบดังในหัวราตรี ซึ่งเธอก็ตอบตกลงกลับไปด้วยเช่นกัน จึงทำให้บันนี่แบนหรือหูกระต่ายที่อยู่บนหัวมาริโอถึงกับหลุดออก ก่อนจะลอยไปอยู่ในมือของหญิงสาวนามว่าคริสตัล

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับเงินเป็นจำนวนสามล้านเหรียญ”

“ขอบคุณนะคะ บายๆ” คริสตัลบอกลาก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอามาริโอมองตาละห้อยด้วยความเสียดาย

“พอด้ายแย้วมะรีโอ้ เด็กน่ายักแบบนี้มีอีกเยอะนะ” ราตรีบอกพลางลูบหัวมาริโอเพื่อปลอบขวัญมัน เมื่อปลอบใจมาริโอเสร็จแล้ว ราตรีก็สั่งให้มันพาเธอเดินกลับไปยังร้านพี่ลำไยอีกครั้งเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าเสื้อผ้าในราคาหนึ่งล้านเหรียญ

.......................

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นซักครึ่งชั่วโมง เมฆาได้เดินกลับมายังเมืองเริ่มต้นอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปยังร้านเสื้อผ้าที่อยู่ตรงหัวมุมถนน

แอ๊ด!

เสียงเมฆาเปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไปยังข้างในร้านซึ่งตกแต่งเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาด

นี่เราเข้าผิดร้านหรือเปล่าวะ

เมื่อก่อนเข้ามา มันไม่ได้เป็นแบบนี้นี่

เมฆาครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะเขาจำได้ว่าร้านอาวุธแห่งนี้ไม่ได้มีสภาพเหมือนที่เป็นอยู่ พอคิดได้ดังนั้นเมฆาจึงก้าวเท้าเดินต่อ ทว่าเขากลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้เห็นเงาของใครบางคนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่ตั้งอยู่ซ้ายมือข้างทางเดินที่เขายืนอยู่ แล้วเงานั้นก็พลันสบตากับเขา สร้างความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด

“ไงฮ้ารูปหล่อ” เงานั้นพูดพลางเอามือจับปกเสื้อของตัวเองก่อนจะขยิบตา แล้วเผยอปากพร้อมแววตาเชื้อเชิญ “รับอะไรดีฮ้า”

เพียงแค่ได้ยินกับเห็นแล้วเมฆาก็สามารถรับรู้ได้บางอย่างว่า ในขณะนี้เขากำลังอยู่ในสภาวะที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ชายหนุ่มจึงรีบหมุนตัวกลับแล้วก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อหนีให้พ้นไปจากสถานที่นี้ แต่เท้าเจ้ากรรมของเขาเกิดสะดุดกับกล่องสินค้าที่วางอยู่กับพื้น ทำให้เขาเสียหลักล้มลงคว่ำกับพื้น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่อีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหมายจะคว้าเขาเอาไว้แต่ก็ไม่ทัน หนำซ้ำยังประสบชะตากรรมเดียวกันเมื่อเท้าสะดุดเจ้ากล่องกรรม จนล้มคว่ำลงไปคร่อมทับอยู่บนตัวของเมฆาเข้าอย่างจัง

“อุ้ยว้าย ตาเถร แม่ร่วง” อีกฝ่ายร้องอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะพูดต่อไปด้วยประโยคอันสุดแสนจะน่ากลัว “โอสุดหล่อ ช่างร้อนแรงเสียนี่กระไร เธออยากเป็นฝ่ายรับสินะ”

ไม่เอา ใครก็ได้ช่วยที!

เมฆาตะโกนร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง หากแต่ในหัวกลับได้ยินเสียงของปิเอโร่แทรกเข้ามาว่า

“ขอให้โชคดีนะขอรับ” แล้วเสียงของปิเอโร่ก็พลันเลือนหายไป นี่ถ้าหากไม่ได้เห็นด้วยตาคงยากที่จะเชื่อว่าบัดนี้ผู้เล่นอันดับ 1 ของเกมอย่างผู้เล่นเมฆาจะต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ ลำไยกอดรัดเขาไว้แน่นเสียจนเขารู้สึกหมดแรงและสยดสยองจนไม่อาจทำอะไรได้อีกนอกจากร้องเสียงโหยหวน

แอ๊ด!

เสียงประตูหน้าร้านได้ถูกเปิดอีกครั้ง ซึ่งทำเอาสองร่างที่นอนอยู่บนพื้นถึงกับเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ แต่พอเมฆาได้เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่แล้วถึงกับหน้าซีด

“ท่านพี่เมฆา!” เสียงนี้ไม่ใช่ใครคนอื่นเลยนอกเสียจากราตรีพิสุทธิ์ที่นั่งอยู่บนหัวมาริโอ ส่วนมาริโอนั้นเมื่อได้เห็นเมฆาแล้วถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

“รัตติ เรากลับกันเถอะ”

“อืม”

“น้องราตรีช่วยพี่ด้วยคร้าบ พี่กลัว ฮือๆ” เมฆาร้องเรียกทั้งคู่ให้หันกลับมา หากแต่ทั้งคู่ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของเมฆาเลยสักนิด

“ตัวเองก็ พูดซะ เค้าออกจะน่ารัก ใช่ไหมคะที่รักขา” เสียงน่ากลัวยังคงพูดกระซิบข้างหู ซึ่งทำเอาเมฆาถึงกับสติแตก

“อ้ากกก ม่ายยย”

...........................

 :m20: :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 19 เมฆาผู้น่าสงสาร (อัพ 100%) P.2 22/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: minminmin ที่ 22-02-2015 12:16:48
 :laugh: :laugh: :laugh: เมฆาที่น่าสงสารรรรรรรรรรรรรรร
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 19 เมฆาผู้น่าสงสาร (อัพ 100%) P.2 22/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 22-02-2015 12:56:50
บทที่ 20 ปรับความเข้าใจ

................

หลังจากลำไยได้เชยชมเมฆาจนสมใจแล้ว ก็ปล่อยให้เมฆาเป็นอิสระแต่ยังมิวายชำเลืองตามองเมฆาด้วยความอาลัย ทางด้านราตรีก็ได้นำเงินหนึ่งล้านขึ้นมาจ่ายให้กับลำไย ซึ่งอีกฝ่ายก็รับเงินมาก่อนจะให้ราตรีเซ็นใบสัญญาว่าเป็นผู้ซื้อเสื้อผ้าของลำไย

“ทีนี้ก็เรียบร้อย อีกห้าวันในเกมน้องก็เอาใบสัญญารับของนี้มารับเสื้อผ้าได้เลยนะฮ้า” พี่ลำไยบอกราตรีในขณะที่ยื่นใบสัญญามาให้

“ฮะพี่ลามยาย” ราตรีตอบพลางรับใบกลับมาก่อนจะเก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋า แล้วจากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปมองเมฆา ซึ่งชายหนุ่มกำลังนั่งร้องไห้เช็ดน้ำตาโดยมีมาริโอยืนปลอบใจอยู่เคียงข้าง

โถ ไม่เหลือมาดที่เจอกันครั้งแรกเลย

เฮ้อ น่าสงสาร ปวีณาจะรับฟ้องไหมนี่


ราตรีครุ่นคิดอย่างหนักใจก่อนจะเดินไปหาเมฆา

“ม่ายเป็งรายช่ายหมายฮะ” ราตรีถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่ในมุมมองของเมฆานั้น เสียงนี้ช่างดูเหินห่างเสียยิ่งกระไรดี

“อะ…อืม พี่ไม่เป็นไรแล้วครับน้องราตรี” เมฆาตอบพลางใช้มือปาดน้ำตาออกก่อนจะกระแอมไอพูดต่อไปว่า “คือว่าพี่มีเรื่องจะคุยด้วย น้องราตรีอยู่คุยกับ…”

“ขอโทษด้วยนะ พอดีพวกข้าไม่อยากสนทนากับพวกที่ชอบทิ้งเพื่อน” มาริโอพูดแทรกกะทันหัน ซึ่งทำเอาเมฆาถึงกับหน้าซีดอ้าปากค้าง

“นี่ผ้าเย็งฮะ ป๋มหวางว่ามานจาช่วยทามห้ายพี่ชายดีขึ้น” ราตรีบอกพลางส่งผ้าเย็นที่ได้มาจากพี่ลำไยให้เมฆา ซึ่งชายหนุ่มมองผ้าเย็นสลับกับใบหน้าของราตรี “ราบปายฉิฮะพี่ชาย”

“น้องราตรีอย่าทำแบบนี้กับพี่ชายได้ไหมครับ” เมฆาพูดด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำใจที่เห็นราตรีทำท่าเหินห่างตน ส่วนราตรีนั้นไม่ได้พูดตอบอะไรเมฆากลับไปเลยสักคำ ได้แต่วางผ้าเย็นบนมือของเมฆาก่อนจะเดินกลับไปยังมาริโอ

“ปายกานเถอะมะรีโอ้”

“อืม” มาริโอตอบพลางย่อตัวลงให้ราตรีได้ปีนขึ้นอย่างถนัด เมื่อราตรีปีนขึ้นไปอยู่บนหัวมาริโอแล้ว มาริโอก็พลันหมุนตัวกลับไปทางประตู

“เดี๋ยวก่อนสิครับน้องราตรี ตอนนั้นพี่ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งน้องไปเลยนะครับ” คราวนี้มาริโอถึงกับหยุดชะงักเดินเมื่อได้ยินคำพูดของเมฆา

“คิดจะแก้ตัวตอนนี้มันไม่สายเกินไปแล้วรึไง” มาริโอหันมาพูดแทนราตรี เพราะมันคิดว่าเจ้านายของมันกำลังรู้สึกเจ็บปวดใจอยู่ “ไหนบอกว่าจะอยู่ข้างเจ้านายของข้า ฮึ มนุษย์อย่างแกมันไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด”

เมื่อมาริโอพูดจบก็หันตัวกลับก่อนจะก้าวเท้าพาราตรีเดินออกข้างนอกไป

“มัวยืนทำซากไรอยู่เล่า รีบตามพวกน้องเค้าไปสิยะตะเอง” ลำไยพูดพลางใช้มือดันไหล่เมฆา

“แต่พวกเขาเกลียดข้าแล้ว” เมฆาพูดอย่างลังเลใจ

“เกลียด? เขาบอกเกลียดตะเองหรือเปล่าล่ะย่ะ” ลำไยพูดย้อน “เดี๊ยนไม่เห็นน้องราตรีพูดอะไรเลยสักคำ มีแต่น้องเห็ดมาริโอพูดอยู่คนเดียว รีบๆไปเร็วเข้า เดี๋ยวก็เดินตามไม่ทันหรอก!”

คราวนี้ลำไยไม่ได้ใช้มือดันหลังเมฆาแต่กลับใช้เท้ายันหลังเมฆาอย่างแรง จึงทำให้ชายหนุ่มกระเด็นกระดอนออกนอกร้านไป

“ขอให้โชคดีนะฮ้าสุดหล่อ” ลำไยตะโกนเชียร์เมฆาที่กำลังตัวลอยออกนอกร้านด้วยลำไยไรเดอร์คิกก่อนจะปิดประตูดังปัง

.........................

“รัตติ เมฆาเดินตามพวกเรามาด้วยล่ะ”

มาริโอบอกราตรีในขณะที่มันพาเธอเดินไปยังตึกผู้เล่นใหม่ตามคำสั่ง หากแต่ราตรีหาได้หันกลับไปดูชายหนุ่มไม่

เขาผิดสัญญา

เขาทอดทิ้งเรา

ราตรีครุ่นคิดในใจ ซึ่งเธอตั้งใจไว้ว่าจะไม่สนใจเมฆาอีก

“ช่างเขา เดี๋ยวก้อเบื่อแย้วเลิกเดินตามเองแหละ ม่ายต้องปายฉนหยอกมะรีโอ้”

“อืม เข้าใจแล้วล่ะ” เมื่อมาริโอพาราตรีเดินเข้าไปยังตึกผู้เล่นใหม่แล้ว เธอก็ให้มาริโอพาเธอไปยังเคาน์เตอร์ที่เขียนไว้ว่า ‘จุดรับภารกิจ’

“ว่ายังไงพ่อหนุ่มน้อย มากับคุณเห็ดมาริโอรึคะ” พนักงานหญิงกล่าวทักทายทันทีที่เห็นราตรีกับมาริโอมายืนตรงหน้าเคาน์เตอร์

“เอ่อ...ฮะ” ราตรีตอบเสียงเลิ่กลั่ก “เอ่อ...ป๋มมารับพาละกิดฮะพี่ฉ๋าว”

พอราตรีพูดจบ พนักงานสาวถึงกับขมวดคิ้วมองราตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะทำปากร้องอ้อ

“กรุณารอสักครู่นะคะน้อง เดี๋ยวพี่มา” พนักงานสาวบอกก่อนจะผละหายเข้าไปในห้องชั่วครู่ ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีก็โผล่หน้ากลับมาอีกครั้ง “ต้องขออภัยที่ให้คอยนานค่ะ”

“ม่ายเป็งรายฮะ” หญิงสาวยิ้มรับก่อนจะคีย์ข้อมูลลงบนแป้นพิมพ์ใสสีเขียว

“กรุณาระบุชื่อของน้องด้วยค่ะ”

“อ่า...ราตีพิฉุดฮะ” แล้วหญิงสาวก็เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าพูดกับเธอว่า

“ภารกิจแรกที่น้องจะได้ทำก็คือขุดแร่ค่ะ”

“ขุดแร่?”

“ท่านได้รับภารกิจระดับ C คือขุดแร่เงินกับแร่ดีบุกให้ได้อย่างล่ะ 50 ก้อน”

ระบบประกาศดังในหัวราตรี ซึ่งทำเอาเธอถึงกับขมวดคิ้ว

“ขุดแร่นี่มานต้องทามกานยางงายหยอฮะพี่ฉ๋าว ป๋มม่ายค่อยเข้าจายเยยฉักนิด” พนักงานสาวได้ยินที่ราตรีถามก็ฉีกยิ้มหวานก่อนจะตอบคำถามว่า

“ไม่ยากเลยค่ะน้องชาย แร่ในเกมของเราเป็นแร่ที่ขุดง่ายมาก ง่ายกว่าขุดกระทู้ในบอร์ดประมูลเสียอีกค่ะ ถึงน้องจะเป็นผู้เล่นที่มีเลเวลน้อยหรือเด็กก็สามารถขุดได้ค่ะ”

“แย้วใช้อารายนายกานขุดแร่ล่ะฮะพี่ฉ๋าว” ราตรีถามต่ออย่างสงสัย ซึ่งเธอเดาว่าน่าจะเป็นพวกจอบหรือไม่ก็เสียม

“อีเตอร์ค่ะน้อง” พนักงานสาวตอบยิ้มๆ “ถ้าน้องยังไม่มีอีเตอร์แล้วล่ะก็ ทางพี่มีอีเตอร์ให้น้องไว้ใช้ฟรีค่ะ”

“อีเตอร์?”

“ท่านได้รับอีเตอร์จำนวน 1 อัน”

เสียงระบบประกาศดังก้องในหัวราตรี

“น้องลองเรียกอีเตอร์ออกมาดูสิคะ แล้วจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง” พนักงานสาวบอกซึ่งราตรีพยักหน้าก่อนจะเดินลงจากหัวมาริโอ

“อีเตอร์จงออกมา”

แวบ!

แสงสีทองส่องประกายไปทั่วบริเวณก่อนจะหายวับไป เผยให้เห็นอีเตอร์เด็กเล่นขนาดพอเหมาะ

บ๊ะ! ต่อจากค้อนพลาสติกเปลี่ยนมาเป็นอีเตอร์สำหรับเด็กเล่นรึนี่

ราตรีขมวดคิ้วคิด

“เฮ้ย ทำไมมันเล็กขนาดนี้ล่ะ จะขุดไหวแน่รึ” มาริโอร้องทักท้วงเมื่อเห็นอีเตอร์ในมือของราตรี ซึ่งทำเอาพนักงานสาวรีบแย้งกลับไปว่า

“หรือคุณเห็ดมาริโออยากจะใช้ศีรษะของตัวเองแทนสว่านเจาะหินหรือคะ”

“ขอโทษคร้าบ หนูผิดเองคร้าบ!” มาริโอร้องพลางก้มหัวขอโทษ ทำเอาราตรีนึกขำกับท่าทางของมัน

“ว่าแต่พาระกิดนี้ต้องฉ่งเมื่อหร่ายฮะ” ราตรีหันไปถามหญิงสาวต่อ

“อ้อ ภารกิจนี้ทางเราไม่จำกัดเวลาค่ะ น้องจะส่งเมื่อไหร่ก็ย่อมได้” พนักงานสาวตอบ แล้วหลังจากนั้นราตรีก็บอกลาพนักงานสาวก่อนจะปีนขึ้นหัวมาริโอต่อ

“ปายกานเถอะมะรีโอ้ ปายทามพาระกิดกาน”

“อืม” เมื่อมาริโอพาราตรีเดินออกไปข้างนอกตึกแล้ว กลับหยุดชะงักเดินเนื่องจากเห็นเมฆายืนรออยู่ด้านหน้าประตูแล้ว “คนบางคนทิ้งเพื่อนแล้วยังหน้าด้านได้อีก”

มาริโอพูดแขวะ หากแต่ราตรีพรายกระซิบบอกมันให้เดินต่อ ซึ่งมาริโอก็ทำตามคำสั่ง พอมาริโอออกเดินไปสี่ห้าก้าวแล้ว เมฆาก็รีบเดินตามทันที ทว่าเส้นทางที่พวกราตรีจะไปเหมืองแร่นั้นมันอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับป่าหุบเขาวงกต แถมมีระยะไกลพอสมควรด้วย จึงทำให้พวกราตรีต้องคอยหยุดแวะพักเหนื่อยเอาแรงตามข้างทางทุกหนึ่งชั่วโมง

“รัตติ จะแวะหาลุงมานาด้วยไหม” มาริโอเอ่ยปากถามในขณะนั่งบิดขี้เกียจ

“ม่ายล่ะ” ราตรีตอบพลางเขย่าขวดนมของตัวเอง “เพาะถ้าแวะหาลุงมานาด้วยมีหวางถึงเหมืองแร่ตอนเช้าแน่”

แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ ราตรีนั่งดูดขวดนมของตัวเองไป ส่วนมาริโอก็นั่งดูดน้ำจากขวดแก้วสลับกับมองเมฆาที่ซึ่งนั่งอยู่ห่างจากพวกตนไปหนึ่งร้อยเมตรไปพลางด้วย

“รัตติ”

“หืม?”

“จะเอายังไงกับเจ้านั่นดีล่ะ” มาริโอพูดเสียงเบาเพราะกลัวชายหนุ่มจะได้ยิน “มันตามเจ้ามาตลอดตั้งแต่ร้านนางกระทิงแล้วนะ”

ราตรีอ้าปากออกจากจุกหัวนมก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ช่างเค้าฉิ จาตามก้อป่อยห้ายตามปาย” แล้วราตรีก็ดูดนมต่ออย่างไม่ใส่ใจ ส่วนมาริโอนั้นเมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ได้สนใจไยดีกับเมฆาแล้ว มันก็เองก็เลิกที่จะสนใจแล้วด้วยเช่นกัน ซึ่งผิดกับทางด้านเมฆาที่นั่งคิดหาหนทางจะเข้าหาราตรีเพื่อพูดคุยด้วย ทว่าพอชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของมาริโอแล้ว ก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกอย่างแรง

ถูกของมัน ถึงเขาพูดแก้ตัวไปก็เปล่าประโยชน์

เมฆาครุ่นคิดอย่างหนักใจ ชายหนุ่มคิดว่าถ้าได้ออฟไลน์เกมแล้วล่ะก็ เขาจะออกไปเอาเรื่องกับเจ้าหน้าที่ของเกมให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายเอ็นพีซีที่เขาตั้งใจว่าจะต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์ที่ยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น พอเมฆาหันไปมองพวกราตรีอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งสองได้ลุกขึ้นเดินแล้ว ซึ่งทำเอาเมฆาต้องรีบเก็บสัมภาระก่อนจะลุกขึ้นเดินตามอย่างไว ซึ่งเมฆาเดินตามพวกราตรีได้อยู่เกือบชั่วโมง เขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าราตรีกับมาริโอกำลังเผชิญหน้ากับพวกกลุ่มผู้เล่นที่มีแต่ผู้ชายร่างยักษ์อยู่ถึงสี่คน

เกิดอะไรขึ้นนะ?

เมฆาได้แต่คิดอย่างสงสัยเพราะตนไม่กล้าเข้าไปใกล้ แถมตรงจุดที่เขายืนนี้ก็ไกลเกินกว่าจะได้ยินเสียงพูดสนทนาของราตรีได้ ทว่าเมฆามองไปได้สักพัก หนึ่งในสี่ผู้เล่นที่เป็นชายร่างยักษ์ก็ได้เดินเข้ามาจับแขนขาวอ้วนป้อมของราตรีก่อนจะกระชากร่างเล็กให้ลอยขึ้นตามแรง ซึ่งทำเอาร่างเล็กอันบอบบางถึงกับร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด

“แอ้!”

ไม่ได้การล่ะ ต้องรีบเข้าไปช่วยแล้ว!

เมฆาคิดได้ดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย หยุด!” เมฆาตะโกนร้องพลางชักอาวุธขึ้นมาอย่างลืมตัว ซึ่งทำเอาทั้งสี่ร่างหันมามองชายหนุ่มพร้อมกัน “เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า คิดจะรุมรังแกเด็กทารกที่ไม่มีทางสู้ ไม่น่ามีจมูกไว้สูดออกซิเจนเลย”

“ฮ่าๆ คิดว่ากล้าได้ก็เชิญเข้ามาได้เลย แต่ไอ้เด็กนี่จะโดนลูกหลงไปด้วยนะ” ชายร่างยักษ์ผมเกรียนสีทองแดงพูดพลางชูราตรีให้เมฆาดู ซึ่งทำเอาเมฆาชะงัก

“ปล่อยเจ้านายของข้าเดี๋ยวนี้นะไอ้พวกสารเลว!” มาริโอตะโกนร้องด้วยความเดือดดาล แม้นมันจะพยายามเตะอีกฝ่ายให้กระเด็น แต่ทว่ามันก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากระดับของมันแตกต่างกว่าชายร่างยักษ์อยู่มาก “บอกให้ปล่อยไงเล่าไอ้บ้า! ปล่อยเดี๋ยวนี้!!”

“เฮ้ย! หนวกหูเฟ้ย!!” ชายร่างยักษ์อีกคนตวาดอย่างรำคาญก่อนจะใช้เท้าเตะท้องมาริโอทันที

บึก!

1000


“อ็อก!” มาริโอกระอักเลือดก่อนจะกระเด็นหงายท้องนอนกับพื้นไป

“มะรีโอ้!” ราตรีร้องน้ำตาคลอเบ้าเมื่อเห็นมาริโอโดนทำร้าย

“กร็อด!” เมฆากัดฟันด้วยความโกรธ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีราตรีเป็นตัวประกันอยู่แล้วล่ะก็ ชายหนุ่มคงจะฆ่าพวกนี้ไปนานแล้ว

“ลูกพี่ระวังหน่อย นั่นมันเมฆาราชาแห่งสมาคมเงาเชียวนะ” ชายร่างยักษ์ผมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบเดินมาพรายกระซิบบอกเพราะจำหน้าเมฆาได้ ซึ่งคนที่เป็นลูกพี่ได้ยินที่ลูกน้องบอกถึงกับอึ้ง

“เฮ้ย จริงดิ เรือหายแล้วไงพี่น้อง”

“ก็จริงสิลูกพี่ นี่ถ้าเมื่อกี้มันไม่เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วล่ะก็ ข้าก็คงจำมันไม่ได้หรอก” เมื่อชายร่างยักษ์ที่เป็นลูกพี่ได้รับรู้แล้ว ก็รีบหันหน้ามาทางเมฆาต่อ

“เฮ้ยไอ้รูปหล่อครับ ถ้าไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่ตายล่ะก็ ส่งเงินกับของเทพๆ มาให้พวกผมเร็วๆ ครับ พวกผมไม่มีเงินไม่มีของเก็บเลเวลครับพี่”

“ได้ แต่ปล่อยเด็กคนนั้นก่อน” เมฆาตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ทว่าพวกชายร่างยักษ์กลับหัวเราะเยาะเมื่อได้ยินคำตอบของเมฆา

“เรื่องอะไร ปล่อยก่อนก็กลัวดิ กดรับเดลจิครับ” ชายร่างยักษ์ผมเกรียนสีทองแดงพูดเสียงเหี้ยม ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างจับเข้าลำคอขาวเล็กของราตรี โดยไม่แม้แต่จะคิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่ไหนใช้คำว่าเดลในการแลกเปลี่ยน ในขณะที่หน้าต่างขอแลกเปลี่ยนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเมฆา “กดๆสิวะ เฮ้ย กดสิ ให้ไวๆ กดๆ ส่งของมา ถ้าไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่ตายคามือ!”

“อึ่ก!” ราตรีร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อมืออันกร้านใหญ่บีบลำคอของเธอแรงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งส่งผลให้เธอเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก นัยน์ตามืดมัว หูสองข้างเริ่มแทบไม่ได้ยินเสียงจากภายนอก แถมนอกจากนี้เรี่ยวแรงที่มีก็เริ่มถดถอยลงทีละนิดๆ

นี่หรือความตาย...

ช่างน่ากลัวเหลือเกิน...


ในขณะที่ราตรีกำลังอยู่ในช่วงภาวะความเป็นความตายนั้น มาริโอเกิดผุดลุกขึ้นมาก่อนจะใช้ลูกฮึดกระโดดถีบชายร่างยักษ์โดยเล็งที่มือของอีกฝ่ายกะหมายจะให้ราตรีได้หลุดจากการจับกุม ทว่าชายร่างยักษ์ที่อยู่ด้านข้างเกิดรู้ตัวทันเสียก่อน จึงวาดเท้าเตะเข้าสีข้างมาริโออย่างแรง

พลั่ก!

1200


“อั่ก!” มาริโอกระอักเลือดก่อนที่จะกระเด็นกลิ้งกับพื้นอยู่เสียหลายรอบ แล้วร่างจึงค่อยหยุดนิ่ง

“มาริโอ!” เมฆาร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นมาริโอถูกโจมตีจนแน่นิ่งไป แม้ว่าชายหนุ่มกับมาริโอไม่ค่อยจะถูกกัน  แต่เมฆายอมรับนับถือมันจากใจจริงเพราะได้เห็นความพยายามของมาริโอที่จะป้องกันเจ้านายของตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้จนในวินาทีสุดท้าย

“อั่ก!” เสียงของร่างเล็กร้องดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เมฆารีบหันหน้ากลับมาก่อนจะตกใจเมื่อเห็นสีหน้าอันเขียวคล้ำเนื่องจากร่างเล็กเจียนจะหมดลมหายใจ

“ตกลง! อยากได้ก็มาเก็บเอาเอง!” เมฆาบอกเพราะเป็นห่วงราตรีสุดขีด ก่อนจะรีบโยนของที่มีในตัวทั้งหมดลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจว่าของชิ้นนั้นจะมีราคามหาศาลต่อเขามากเพียงใดก็ตาม “เอ้า ปล่อยเด็กสิ!”

ส่วนฝ่ายพวกชายร่างยักษ์เมื่อเห็นว่าเมฆาทำตามคำสั่งแล้ว ผู้เป็นลูกพี่ก็เชิดหน้าให้ลูกน้องเดินเข้าไปเก็บของที่ตกอยู่กับพื้นให้หมด เมื่อพวกมันเก็บเสร็จแล้ว ชายร่างยักษ์ผมเกรียนสีทองแดงก็โยนร่างเล็กขึ้นกลางอากาศ ในช่วงเวลาพริบตานั้นเอง ร่างของเมฆาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วประดุจเงา เข้าประชิดกลุ่มชายร่างยักษ์ ก่อนจะตวัดดาบฟันเข้าที่ลำคอของพวกมันทั้งสี่อย่างรวดเร็ว

“เดมอนเบลดแดนซ์” (ระบำกระบี่มาร)

ฉัวะๆๆ

9999

9999

9999

9999


“เนื่องจากผู้เล่นเมฆาโจมตีผู้เล่นด้วยกันเอง จึงทำให้ไม่ได้รับค่าประสบการณ์”

วูบเดียวเท่านั้น พวกมันก็ล้มลงกลายเป็นศพอยู่เบื้องหน้าของเมฆาก่อนที่จะเลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงกองไอเทมและเงิน ทั้งของพวกมันเองกับที่เมฆาโยนทิ้งไว้เพื่อหลอกล่อให้พวกมันตายใจเท่านั้น ส่วนเมฆาก็โจนขึ้นกลางอากาศรับเอาร่างเล็กไว้ในอ้อมอก แล้วจึงค่อยลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล

“น้องราตรีครับ น้องราตรี ลืมตาสิครับน้องราตรี!” เมฆาพยายามร้องเรียกให้ร่างเล็กในอ้อมกอดตื่น แต่ทว่าราตรีหาได้ตอบขานเสียงเรียกของเมฆาไม่ “ขอร้องล่ะน้องราตรี ลืมตาขึ้นมามองพี่ชายคนนี้เถอะ พี่ชายคนนี้ไม่หวังอะไรอีกแล้ว นอกเสียจากขอให้น้องลืมตาขึ้น แค่ลืมตาขึ้นเท่านั้นเอง ขอร้องล่ะ”

เมื่อเมฆาพูดจบ ก็พลันกอดร่างเล็กสะอื้นไห้อย่างไม่อายฟ้าอายดิน แต่ทว่าเมฆาร้องไห้ไปได้ไม่นานเท่าไหร่นัก มือขาวอ้วนป้อมเกิดขยับขึ้นมาเสียเอาดื้อๆ ทำเอาคนร้องถึงกับหยุดร้องทันควันก่อนจะคลายกอดเพื่อดูสภาพของน้องราตรีด้วยความสงสัย

“แอ้” เสียงราตรีร้องไม่เป็นภาษาผนวกกับนัยน์ตาที่ยังคงปรืออยู่ ทำให้เมฆาทราบได้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในสภาวะเบลอไม่ได้สติ

“รอเดี๋ยวนะน้องราตรี พี่ชายคนนี้จะรีบรักษาให้แล้วนะครับ” เมฆาบอกพลางหยิบขวดยาเพิ่มเลือดออกมา ก่อนจะเปิดฝาจุกออกแล้วยกขวดขึ้นกระดกโดยอมน้ำไว้ที่กระพุงแก้ม แล้วจากนั้นจึงค่อยยื่นหน้ามาใกล้ชิดกับราตรีก่อนจะแนบริมฝีปากกับริมฝีปากอันน้อยนิดของราตรีอย่างแผ่วเบา

“อึ่กๆ” เสียงกลืนน้ำยาดังมาจากลำคอของราตรี ซึ่งบ่งบอกให้เมฆาได้รู้ว่าอีกฝ่ายได้กลืนยาลงคอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเมฆาจึงค่อยถอนริมฝีปากออกก่อนจะมองร่างเล็กด้วยความเป็นห่วง

“น้องราตรีครับ น้องราตรี” เมฆาเรียกพลางเขย่าร่างเล็กอย่างเบามือ

“อือ” ราตรีร้องครางเสียงเบาก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินที่ส่องประกายสดใสประดุจห้วงท้องทะเลลึก ซึ่งทำเอาชายหนุ่มเผลอมองอย่างลืมตัว หากแต่คนถูกมองยังไม่ค่อยรู้สึกตัวดี ได้แต่สอดส่ายตามองไปมาก่อนจะวกกลับมามองคนอุ้มอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ทั้งสองได้ต่างจ้องตาประสานกัน ทำเอาร่างเล็กรู้สึกตัวได้ว่าตนกำลังอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่ม “อ้า! ป่อยนะพี่ชาย ป่อย!”

ราตรีร้องพลางใช้มือน้อยๆทั้งสองข้างผลักเมฆาออก ซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวจึงรีบวางราตรีนั่งลงกับพื้นอย่างเร็วเพราะกลัวว่าราตรีจะไม่พอใจตนเอาได้ ส่วนราตรีนั้นเมื่อเมฆาได้วางเธอนั่งลงกับพื้นแล้ว เธอก็เงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างสงสัย

“ท่านพี่ช่วยข้าไว้ง้านหยอ” ราตรีถามเพราะเธอได้ยินเสียงจากระบบของเกม ซึ่งบอกไว้ว่าเมฆาเป็นคนช่วยเติมพลังให้เธอ

“ครับน้องราตรี” เมฆาตอบยิ้มๆ “ว่าแต่น้องรู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ”

“ก้อ…ดีแย้วฮะ” ราตรีตอบเมฆา แต่แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“จริงสิมะรีโอ้ล่ะ! มะรีโอ้อยู่ที่หนายฮะท่านพี่” ราตรีถามพลางหันซ้ายหันขวามองหามาริโอ ก่อนจะเห็นร่างของมาริโอนอนแผ่หลาอยู่ห่างเกือบร้อยเมตรได้ “มะรีโอ้!”

ราตรีผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งปราดเข้าไปหามาริโออย่างเร็ว ซึ่งทำเอาเมฆาต้องรีบวิ่งตามไป

“มะรีโอ้!” เมื่อราตรีวิ่งมาถึงแล้วเธอก็เขย่าเรียกอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย “มะรีโอ้ฟื้นสิ! ข้ามาช่วยเจ้าแย้วนะ”

แล้วราตรีก็หยิบขวดยาเพิ่มเลือดออกมาจากในกระเป๋าก่อนจะเปิดฝาจุกออก แล้วจึงจับกรอกเข้าปากมาริโออย่างรวดเร็ว

“เนื่องจากเห็ดมาริโอได้รับน้ำยาเพิ่มเลือด ทำให้พลังฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ”

เสียงระบบประกาศดังก้องหัวราตรี ก่อนที่มาริโอจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“เอ๋? นี่ข้ายังไม่ตายอีกรึเนี่ย” มาริโอพูดกับตัวเองอย่างมึนงง ก่อนจะหันมาเห็นราตรีกับเมฆานั่งอยู่ข้างกายมัน “รัตติ…เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!”

มันว่าพลางผุดลุกขึ้นนั่งถามเจ้านายอย่างเป็นห่วง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันเกือบตายแล้วด้วยซ้ำ

“ข้าม่ายเป็งรายแย้วมะรีโอ้” ราตรีตอบพลางส่งยิ้มให้มาริโอ “เพาะท่านพี่เมฆาเป็งคงช่วยข้าไว้ ม่ายง้านข้าคงตายปายนานแย้ว”

มาริโอได้ยินดังนั้นก็หันมามองเมฆาอย่างไม่เชื่อสายตา

“ชิ ตบหัวแล้วลูบหลังสิไม่ว่า”

“มะรีโอ้!” ราตรีร้องอุทานตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของมาริโอ “อย่าเฉียมาระยาดฉิ เขาอุตส่าห์ช่วยพวกเราอาวไว้นะ”

“ขอบคุงท่านพี่ นี่ถ้าท่านพี่ม่ายช่วยไว้แย้วล่ะก้อ พวกข้าคงต้องถูกพวกน้านฆ่าตายแน่ๆ” ราตรีพูดขอโทษพลางก้มหัวลง ส่วนเมฆาเมื่อเห็นราตรีก้มหัวขอบคุณตนแล้ว ถึงกับหน้าแดง

“ไม่เป็นไรครับน้องราตรี ไม่ต้องขอบคุณพี่ชายคนนี้หรอก พี่ชายก็แค่ทนเห็นพวกน้องถูกทำร้ายไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”

“แหม พูดถ่อมตัวดีจังเลยนะ” มาริโอพูดแขวะ ซึ่งทำให้ราตรีต้องหันมาทุบหัวมาริโอเนื่องด้วยข้อหากวนประสาทไม่เลือกเวลา

“เอ่อน้องราตรีครับ” ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายเรียก จึงหันหน้ากลับมามองเมฆา “พี่ชายมีเรื่องอยากจะสารภาพ ถ้าน้องราตรีไม่ว่าอะไร ช่วยรับฟังพี่สักหน่อยได้ไหมครับ แค่สักสิบนาทีก็ยังดี”

ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับขมวดคิ้ว

นี่เขาตั้งใจจะขอโทษเราเมื่อตอนนั้นงั้นรึ ราตรีคิดในใจพลางมองเมฆาอย่างสงสัย แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อเขาอุตส่าห์ยอมช่วยเหลือเราแล้ว จะรับฟังคำแก้ตัวแล้วกันนะ

ราตรีคิดได้ดังนั้นก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า

“เชิญพูดมาด้ายเยยฮะท่านพี่เมฆา”

.............................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 20 ปรับความเข้าใจ (อัพ 100%) P.2 22/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 24-02-2015 07:40:39
บทที่ 21 ทำภารกิจ

.........................

“อัง อัง อัง ตดเตะโมะดาอิซุคิ โดราเอ..มอน!”

เพลงโดราเอม่อนถูกร้องออกมาจากปากของเมฆา ซึ่งทำให้ราตรีที่นั่งขี่คอชายหนุ่มอยู่นั้นถึงกับเอามือกุมขมับ

ดูทำเข้าสิ ไม่อายเธอกับมาริโอบ้างเลยรึไง

ราตรีคิดในใจอย่างกลัดกลุ้ม เพราะอีกฝ่ายเห็นเธอเป็นเด็ก จึงร้องเพลงการ์ตูนยอดฮิตเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนอย่างโดราเอม่อนให้เธอได้ฟัง ส่วนมาริโอที่เดินตามหลังเมฆามาอย่างเงียบๆ นั้น ก็เป็นเพราะมันถูกราตรีสั่งห้ามไม่ให้พูดจึงได้แต่ทนฟังเมฆาร้องเพลงโดเรม่อนไป ในช่วงขณะที่เมฆาพาราตรีกับมาริโอเดินไปยังถ้ำเหมืองแร่นั้น ราตรีก็นึกย้อนหลังกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ซึ่งเมฆาเล่าความจริงทุกอย่างให้เธอฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ว่าชายหนุ่มไม่ได้ทอดทิ้งเธอหากแต่โดนออฟไลน์กะทันหัน แต่พอจะกลับเข้าเกมอีกครั้ง ก็ดันออนไลน์ไม่ได้เพราะอินเตอร์เน็ตที่บ้านของเขาล่มอยู่ ซึ่งพอเธอได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ความโกรธที่เคยมีก็พลันหายไปหมดสิ้น

“น้องราตรีครับ” เสียงเรียกของเมฆาทำเอาราตรีหลุดจากห้วงความคิดก่อนจะก้มลงมองคนเรียกเธอ “ตอนนี้ก็เที่ยงวันแล้ว จะหยุดแวะทานข้าวกลางวันหน่อยไหมครับ เดี๋ยวมื้อนี้พี่ชายจะลงมือทำอาหารให้เราเอง”

“เอาอย่างน้านก้อด้ายฮะท่านพี่” ราตรีตอบอย่างว่าง่าย แล้วหลังจากนั้นเมฆาก็วางราตรีนั่งลงกับพื้นดิน ก่อนจะหันไปสั่งมาริโอให้ตระเตรียมฟืนมา ส่วนชายหนุ่มก็งัดอุปกรณ์ทำอาหารจากในกระเป๋าไอเทมขึ้นมาวางก่อนจะลงมือทำอาหารอย่างเร็วประดุจมืออาชีพ ซึ่งในระหว่างที่รอเมฆาทำอาหารอยู่นั้น ราตรีก็ได้เล่าสิ่งที่เธอกับมาริโอได้ผจญภัยมาทั้งหมด รวมถึงบอกให้เมฆาช่วยปิดความลับเรื่องที่เธอเป็นเด็กทารกไม่ให้ผู้เล่นคนอื่นรู้ด้วย ซึ่งเมฆาก็ตกปากรับคำว่าจะไม่บอกใครอย่างแน่นอน เมื่อเมฆาทำอาหารเสร็จแล้วก็วางจานอาหารลงบนผ้าที่ซึ่งฝีมือคนปูผ้านั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากราตรี “ข้าวห่อข่าย?”

ราตรีพูดพลางก้มลงมองจานข้าวที่มีไข่สีเหลืองหอมชวนน่ารับประทาน

“นี่เป็นอาหารสำหรับเด็กหนึ่งขวบที่กำลังเริ่มหัดทานข้าว” เมฆาบอกก่อนจะพูดต่อ “พี่เห็นเราว่าอายุได้หนึ่งขวบแล้ว ฉะนั้นพี่ชายก็เลยคิดทำข้าวห่อไข่ง่ายๆให้ลองทานดูก่อน แต่ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ต้องทานนะครับ เพราะพี่จะไม่บังคับให้ทานจนหมด”

“ฮะท่านพี่” ราตรีตอบก่อนจะใช้มือขาวอันน้อยนิดจับช้อนตักข้าวห่อไข่ หากแต่ร่างกายของราตรียังเป็นเพียงแค่เด็กหนึ่งขวบ จึงทำให้เธอตักข้าวแทบไม่ค่อยจะได้

“มามะ เดี๋ยวพี่ป้อนข้าวให้เองครับ” เมฆาบอกพลางแย่งช้อนมาจากมือของราตรี ก่อนจะตักข้าวขึ้นมาเป่าให้คลายร้อนแล้วจึงค่อยยื่นช้อนหาราตรี “อ้าปากเร็วครับ อ้าม”

ราตรีเห็นที่อีกฝ่ายทำแล้ว ถึงกับหน้าแดงเป็นมะเขือเทศ

“เอ้า รีบอ้าปากสิครับ เดี๋ยวข้าวมันจะไม่อร่อยเอาได้นะ” เมฆาบอกพลางดันช้อนเข้าไปใกล้ริมฝีปากของราตรี หากแต่เธอจ้องช้อนข้าวสลับกับใบหน้าของเมฆาไปมาอยู่สองรอบแล้ว ก่อนจะยอมอ้าปากให้อีกฝ่ายป้อนข้าวเสียแต่โดยดี ทันทีที่ได้สัมผัสรสชาติของข้าวห่อไข่แล้ว ราตรีถึงกับตะลึง

หือ? ทำอาหารได้ไม่เลวเลยนี่

“เฮ้รัตติ เจ้าป้อนข้าวให้ข้าหน่อย” มาริโอร้องทักท้วงความยุติธรรมเมื่อเห็นเมฆาป้อนข้าวให้เจ้านายของตัวเอง

“เจ้าโตแย้วก้อทานเองจิ ทามมายต้องห้ายข้าป้อนห้ายเจ้าด้วยล่ะฮึมะรีโอ้” ราตรีพูดพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ

“ก็ข้าไม่มีมือนี่หว่า” มาริโอตอบอย่างฉุนจัด “ที่แล้วมาข้าทานด้วยปากมาโดยตลอด คราวนี้เจ้าก็ป้อนข้าวให้ข้าบ้างสิรัตติ”

คำพูดของมาริโอทำเอาราตรีถึงกับส่ายหน้า

สงสัยต้องหาเวลาสั่งสอนมันเสียหน่อย จะได้เลิกอิจฉาคนอื่นสักที

“ราตรียังเด็กคงป้อนให้เจ้าไม่สะดวก เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะป้อนให้เจ้าเองแล้วกันนะมาริโอ” เมฆาพูดตัดบทก่อนจะวางชามข้าวของราตรีลง แล้วจึงหันไปหยิบชามข้าวของมาริโอขึ้นมา

“หยุดก่อน!” มาริโอร้องเสียงหลง ซึ่งทำเอาเมฆาหยุดชะงัก “เจ้าไม่ต้องป้อนข้าวให้ข้าเลย ข้าทานของข้าเองได้”

“เอาอย่างนั้นแน่รึมาริโอ แน่ใจนะว่าจะทานเองโดยไม่ให้พี่ชายคนนี้ป้อนให้นะ”

“ก็ใช่นะสิ รีบวางชามเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะทานด้วยตัวของข้าเอง” มาริโอบอกโดยทำท่าอกผายไหล่ผึ่งราวกับทหารเกณฑ์ ซึ่งเมฆาได้ยินดังนั้นจึงวางชามข้าวไว้ตรงหน้ามาริโอแต่โดยดี เมื่อมาริโอเห็นว่าอีกฝ่ายวางชามข้าวไว้ตรงหน้าแล้ว มันก็ก้มลงมองชามข้าวด้วยความดีใจ ทว่าพอได้เห็นอาหารที่อยู่ในชามของมันแล้ว นัยน์ตาของมันก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “เห็ดอีกแล้ว! กับข้าวของหนูเป็นเห็ดอีกแล้ว!”

มาริโอพูดก่อนจะแผดเสียงร้องไห้ดังจ้า

“จะร้องห้ายปายทามมายมะรีโอ้ มีห้ายทานก้อดีถมแย้วนะ อย่าเลือกทานห้ายมากหน่อยเยย” ราตรีบอกอย่างเหนื่อยใจ หากแต่มาริโอหาได้หยุดร้องไม่ กลับนอนกลิ้งเกลือกร้องไห้ไปมาเหมือนกับเด็กน้อยที่ต้องการของเล่นให้ได้เดี๋ยวนั้น

“หนูไม่ต้องการเห็ด หนูอยากได้ข้าวห่อไข่เหมือนรัตติ!”

“ข้าว่าท่านพี่เลิกแกล้งมะรีโอ้ด้ายแย้วนะฮะ” ราตรีหันมาบอกชายหนุ่มเพราะทนเสียงร้องของมาริโอไม่ไหว แต่เมฆากลับนั่งหัวเราะไม่หยุดจนราตรีต้องหยิกที่แขนอย่างแรง

“ฮะๆ ขอโทษที พอดีพี่อยากจะเอาคืนมันที่พูดว่าพี่ตอนอยู่ในเมืองนะ” เมฆาบอกก่อนจะเปลี่ยนชามข้าวให้มาริโอ ซึ่งทำให้มันหยุดร้องไห้ก่อนจะก้มลงทานข้าวทั้งน้ำตา เมื่อพวกราตรีทานข้าวกลางวันเสร็จแล้วก็พากันออกเดินทางต่อ หากแต่ตัวละครที่ราตรีเล่นอยู่นั้นเป็นแค่เด็กหนึ่งขวบผนวกกับเพิ่งทานข้าวกลางวันเสร็จ จึงเผลอหลับทั้งๆที่นั่งขี่คอเมฆาอยู่ เมฆาเห็นดังนั้นจึงย้ายร่างเล็กมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนแทนก่อนจะออกเดินทางต่อทั้งอย่างนั้น

................................

ย้อนไปทางด้านปฐพีที่เพิ่งจะออนไลน์เกมหลังจากพาลูกสาวเข้านอนแล้ว ชายหนุ่มก็รีบขี่ม้ากลับเข้าเมืองเริ่มต้นอย่างเร็วเพราะหวังว่าตนอาจจะได้เจอกับคุณยายบ้าง

ติ๊ด! ติ๊ด!

“เฮ้ย! ออนไลน์แล้วทำไมถึงไม่รีบติดต่อพวกฉันทันทีเลยล่ะวะปฐพี”

เสียงคุ้นหูดังก้องในหัวปฐพี ซึ่งทำเอาชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะติดต่อกลับไปว่า

“ขอโทษ พอดีลืมนะ”

“ห๊ะ! ลืมงั้นเหรอ!!” เสียงของศาสตราแผดร้องตกใจดังลั่นหัวปฐพี ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบเอามืออุดหู “ให้ตายสิ นี่ออฟไลน์ไปหน่อยเดียว กลับเข้ามาอีกทีก็ดันลืมพวกฉันซะแล้ว”

ปฐพีถึงกับพูดไม่ออกเพราะเขาลืมเพื่อนไปแล้วจริงๆ ตั้งแต่ได้ทราบเรื่องที่คุณยายโดนเจ้าหน้าที่หรือจีเอ็มหลอกขายเสื้อผ้าแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่คิดถึงใครอีกเลย

เป็นห่วงกลัวว่าท่านจะโดนคนอื่นหลอกเอาเงินอีก

ปฐพีครุ่นคิดอย่างหนักใจแกมเป็นห่วงจนลืมฟังเสียงของศาสตราที่ร้องเรียกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เฮ้ย! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านายเลยนะ ขอร้องล่ะพูดอะไรกลับมาบ้างสิปฐพี…ปฐพี!” ซึ่งกว่าที่ปฐพีจะรู้สึกตัวก็กินเวลาเกือบสิบนาที

“อ๊ะ ขอโทษที มัวแต่เหม่อไปหน่อยนะศาสตรา” ปฐพีรีบตอบเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจตนผิด “แล้วตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหนกันล่ะ ฉันจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”

“อยู่ที่โรงแรมทางเหนือของเมืองนะ” พออีกฝ่ายพูดจบ ปฐพีก็รีบนำม้าฝากไว้ที่รับฝากม้าก่อนจะใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปยังจุดหมายปลายทางที่เพื่อนๆของเขากำลังรออยู่ ซึ่งในระหว่างทางที่ปฐพีกำลังจะไปหาเพื่อนนั้น สายตาของเขาดันเหลือบไปเห็นข้อความบางอย่างที่คุ้นตาถูกเขียนอยู่บนป้ายประกาศตามหาคนซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของเมืองเริ่มต้นนี้ ซึ่งทำเอาปฐพีถึงกับหยุดชะงักพลางเดินถอยหลังกลับมาดูข้อความที่ตนเห็นอีกครั้ง

“นี่มัน...” ปฐพีพูดพลางขมวดคิ้ว เพราะข้อความที่ชายหนุ่มเห็นอยู่นี้เป็นตัวเลขทุกตัวอักษร ซึ่งผิดกับข้อความของคนอื่นๆที่ถูกเขียนเป็นตัวหนังสือ “...ข้อความจากคุณยายนี่”

ยายมาถึงเมืองเริ่มต้นแล้ว ถ้านพเห็นข้อความของยายแล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ

จาก ราตรีพิสุทธิ์


แต่ทว่าข้อความนี้ได้ระบุเวลาที่เขียนเอาไว้ด้วย จึงทำให้ปฐพีทราบได้ว่าข้อความนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อหลายวันก่อนแล้ว

“คุณยายนะคุณยายเขียนประกาศทั้งที ทำไมไม่ระบุที่อยู่ให้ผมรู้ด้วยนะ” ปฐพีบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรู้ว่าคุณยายอยู่ในเมืองเริ่มต้นแล้ว แต่เขาก็ยังวางใจไม่ได้ว่าคุณยายจะเล่นเกมอย่างมีความสุขตามที่ท่านว่าเอาไว้จริง

แค่ซื้อเสื้อผ้าในเมืองเริ่มต้น ท่านก็ยังโดนหลอกให้เสียเงินซื้อเลย

แล้วอย่างนี้จะให้เขาวางใจปล่อยให้ท่านเล่นต่อไปได้อีกหรือ

ทว่าปฐพีต้องเก็บความคิดนี้ไว้ทีหลังเพราะเขาต้องรีบไปหาเพื่อนต่อ แต่ก่อนจะไปปฐพีหยิบปากกาขึ้นมาพลางลงมือเขียนตัวเลขที่เป็นรหัสลับลงบนป้ายประกาศ แล้วจึงค่อยใช้วิชาตัวเบาพาตัวเองวิ่งหายไปจากที่นั้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

..............

หลังจากที่ราตรีตื่นขึ้นอีกครั้งเธอก็พบว่าตอนนี้เมฆาได้พาเธอมาถึงเหมืองแร่แล้ว และนอกจากนี้เมฆาก็ได้ชักชวนเธอให้เข้ากลุ่มปาร์ตี้ด้วยกัน

“เดี๋ยวพี่จะแบ่งค่าเปอร์เซ็นต์ในการขุดแร่ให้น้องราตรีนะครับ เลเวลของน้องจะได้อัพขึ้นไวๆ แล้วร่างกายจะได้โตเสียที” เมฆาพูดด้วยความหวังดี ก่อนจะพาเธอเข้าไปในถ้ำเหมืองแร่ตรงจุดที่ไม่มีมอนสเตอร์เดินผ่าน เมื่อเข้าไปในถ้ำแล้วเมฆาก็สอนราตรีถึงวิธีการขุดแร่ที่ถูกต้อง ซึ่งมันไม่ยากอะไรเพียงแค่นำอีเตอร์จ่อกับพื้นดินก่อนจะสั่งว่า’ขุดเดี๋ยวนี้’ อีเตอร์ก็ทำการขุดให้โดยที่ราตรีไม่ต้องเหนื่อยแรงอะไรเลยสักนิดเดียว

ครืด!

เสียงอีเตอร์ขุดแร่อย่างหนวกหู

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 200 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 100 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 201 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 199 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 205 หน่วย”


เสียงระบบประกาศบอกในหัวราตรีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงค่าประสบการณ์ที่เมฆาขุดก็ได้โอนถ่ายมายังที่เธอนับครั้งไม่ถ้วนด้วย

“ท่านได้เลื่อนระดับพื้นฐานจากเด็กอายุหนึ่งขวบเป็นสองขวบ”

“เอ๋? ฉองขวบแย้ว” ราตรีพูดอย่างแปลกใจก่อนที่แสงสีทองได้ปรากฏขึ้นในตัวของราตรี ซึ่งทำเอาเมฆาหันมามองด้วยความสนใจเพราะพึ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงร่างกายของราตรีเป็นครั้งแรก ถึงแม้ราตรีจะสองขวบแล้วแต่ร่างกายกลับยืดขึ้นนิดเดียว

“เดี๋ยวพี่จะขุดให้เร็วกว่านี้นะครับ เราจะได้อัพขึ้นไวๆ” เมฆาบอกพลางเก็บอีเตอร์ที่ใช้ขุดอันแรกกลับเข้ากระเป๋า ก่อนจะหยิบอีเตอร์สีทองออกมาพร้อมกับน้ำยาสีเขียวเข้มซึ่งเมฆาบอกว่าเป็นน้ำยาเพิ่มความเร็ว เมื่อเมฆาดื่มน้ำยาเสร็จก็พลันขุดแร่อย่างเร็วจนราตรีแทบมองไม่เห็นมือของเมฆา

“ท่านได้รับแร่เงินจำนวน 2 ชิ้น”

“ท่านได้รับแร่ดีบุกจำนวน 1 ชิ้น”

“ท่านได้รับแร่เงินจำนวน 3 ชิ้น”

“ท่านได้รับแร่ดีบุกจำนวน 2 ชิ้น”

“ท่านได้รับแร่เงินจำนวน 4 ชิ้น”

“ท่านได้รับแร่ดีบุกจำนวน 5 ชิ้น”

“ท่านได้รับแร่เงินจำนวน 1 ชิ้น”

“ท่านได้รับแร่ดีบุกจำนวน 1 ชิ้น”


ราตรีได้ยินเสียงของระบบประกาศบอก

ขุดเร็วแบบนี้อีกไม่นานก็ขุดแร่ได้ครบตามที่ภารกิจระบุไว้แน่ๆ

เมื่อคิดได้ดังนั้นราตรีก็ตั้งหน้าตั้งตาขุดแร่บ้าง ส่วนมาริโอนั้นเธอให้มันคอยเฝ้าดูความปลอดภัยอยู่รอบๆนอกแทน

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 230 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 198 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 233 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 190 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 259 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 201 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 199 หน่วย”

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์จากการขุดแร่ 205 หน่วย”

“ท่านได้พัฒนาทักษะการเดินระดับ2, 3, 4”

“ท่านได้พัฒนาทักษะการพูดระดับ11, 12”


ราตรีได้ยินเสียงระบบประกาศถึงกับขมวดคิ้ว ซึ่งเธออยากรู้ว่าทักษะพวกนี้จะอัพไปถึงไหนกันแน่ จึงวางอีเตอร์ลงก่อนจะเปิดหน้าต่างสถานะในช่องทักษะออกมาดูอย่างสงสัย

ทักษะ (SKILL)

            1.พื้นฐานเด็กทารก (1-10)

            -ทักษะการร้องไห้ (10)                 -ทักษะการฟัง (10)

            -ทักษะการมองเห็น (10)              -ทักษะการหัวเราะ (10)

            -ทักษะการคลาน (10)                 -ทักษะการเดิน (4)

            -ทักษะการพูด (12)                     -ทักษะการนั่ง (10)

*ยกเว้นทักษะการพูดที่สามารถอัพถึงระดับ 20

          ทักษะพิเศษ

            -ทำอาหาร (1, 2)

            -ทำสมุนไพร (1)

            -ยั่วประสาท (1)


“ยางอีกนานเลยกว่าที่ทักฉะการพูดจาอัพครบยี่ฉิบ” ราตรีพูดพลางจ้องหน้าต่างทักษะตรงหน้า ซึ่งทำเอาเมฆาที่กำลังขุดแร่อยู่นั้นถึงกับหยุดมือก่อนจะหันมามองหน้าต่างทักษะของราตรีบ้าง

“ทักษะทำอาหารสอง ทักษะทำสมุนไพรหนึ่ง ทักษะยั่วประสาท…เอ นี่น้องราตรีไปยั่วประสาทใครมางั้นหรือครับ” เมฆาพูดพลางเงยหน้าถามราตรีอย่างสงสัย

“ก้อครายชักคนที่อยู่แถวนี้” ราตรีพูดพลางเหล่ตามองไปยังมาริโอที่นั่งอยู่ห่างจากพวกราตรีไม่มากนัก ซึ่งทำเอาเมฆาถึงกับอมยิ้มเมื่อได้รู้ว่าคนที่ราตรียั่วประสาทนั้นเป็นใคร พอคุยเสร็จเมฆากับราตรีก็หันมาขุดแร่ต่อ ซึ่งใช้เวลาอยู่สองชั่วโมงราตรีก็สามารถอัพ ทักษะการเดินครบสิบกับทักษะการพูดได้ครบยี่สิบตามที่มีระบุไว้ในนั้น

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับน้องราตรี เพราะตอนนี้มันก็เย็นจวนค่ำแล้ว” เมฆาบอกพลางชะเง้อดูนอกถ้ำซึ่งพระอาทิตย์กำลังตกลับฟ้า

“ฮะท่านพี่” ราตรีตอบก่อนจะเก็บอีเตอร์เข้ากระเป๋าไอเทม “เย็นนี้จะทานอะไรไหมมาริโอ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนทำให้”

ราตรีหันไปถามมาริโอด้วยคำพูดที่ชัดถ้อยชัดคำเนื่องจากราตรีได้อัพทักษะการพูดจนครบยี่สิบแล้ว ซึ่งนอกจากนี้ราตรีก็สามารถเดินได้คล่องโดยไม่ต้องกลัวว่าล้มอีก และที่พิเศษกว่านั้นตอนนี้ราตรีได้อัพพื้นฐานเด็กจากสองขวบเป็นหกขวบแล้วด้วย เส้นผมสีเงินก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย โดยผมจะหนาแน่นเป็นกระจุกอยู่ด้านบน ยกเว้นด้านข้างและด้านหลังที่ยังสั้นติดหนังหัว

“พี่ว่าเรากับมาริโอไปอาบน้ำก่อนไม่ดีกว่าหรือครับ เดี๋ยวเรื่องอาหารทางพี่จะเป็นคนจัดการให้เอง” เมฆาพูดชิงตัดหน้ามาริโอ ซึ่งทำเอามันถึงกับอ้าปากค้าง

“ก็ได้ฮะ” ราตรีตอบก่อนจะหันไปทางมาริโอ “จะให้ข้าอาบน้ำให้ไหมมาริโอ เนื้อตัวจะได้สะอาด เห็นสกปรกมาหลายวันแล้ว”

“ไม่ต้อง ข้าอาบเองได้” มาริโอแย้งก่อนจะรีบวิ่งไปอาบน้ำที่ลำธารโดยที่ราตรีกับเมฆาได้แต่หัวเราะอย่างขำๆกับความขี้อายของมัน เมื่อมาริโอวิ่งนำไปก่อนแล้ว ราตรีก็ไปอาบน้ำอีกที่หนึ่งซึ่งอยู่คนฟากกับที่มาริโออาบ เมื่อเธออาบน้ำเสร็จแล้วก็หยิบชุดนักผจญภัยขึ้นมาใส่ ซึ่งเป็นความโชคดีของราตรีที่เสื้อผ้านักผจญภัยสามารถยืดขยายตามร่างกายของผู้สวมใส่ จึงทำให้ราตรีใส่แล้วไม่รู้สึกอึดอัด

“อาหารมื้อเย็นนี้คงไม่มี…เอ่อ…ข้าวกับเห็ดหรอกนะฮะท่านพี่เมฆา” ราตรีถามพลางชะเง้อมองหามาริโอแต่ก็ไม่พบ

ให้ตายสิ นี่ยังอาบน้ำไม่เสร็จอีกรึ

“ฮะๆ ไม่มีหรอกครับน้องราตรี” เมฆาตอบพลางหัวเราะอย่างขำขันเมื่อได้ยินคำถามนั้น “เพราะกับข้าวเย็นมื้อนี้พี่ชายทำสตูว์ผักผสมเนื้อปลากับน้ำผลไม้นะครับ”

“เฮ้อ งั้นค่อยยังชั่วหน่อย เพราะผมเองก็ขี้เกียจฟังมาริโอร้องไห้เสียด้วยสิ” ราตรีพูดพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ฮะๆ พี่ก็ว่างั้นแหละครับ” แล้วพวกเขาก็รอได้สิบนาที มาริโอก็เดินกลับมาพร้อมกับเนื้อตัวที่ชื้นๆ

“ให้ตายสิ อาบน้ำประสาอะไร ไม่รู้จักเช็ดตัวให้แห้ง มานี่ซิมาริโอ เดี๋ยวข้าจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้” ราตรีบอกพลางหยิบผ้าเช็ดตัวจากเมฆาที่หยิบยื่นให้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าหามาริโอ

“เฮ้ย ไม่ต้อง ข้าเช็ดเองได้นะรัตติ” มาริโอพูดด้วยเสียงตื่นๆ แต่ทว่าราตรีหาได้ฟังไม่ เธอเดินเข้าไปเช็ดตัวให้มาริโอโดยไม่ฟังเสียงคำทัดทานของมันเลยสักนิดเดียว

“ค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ7”

พอสิ้นสุดเสียงระบบประกาศบอก จู่ๆ ร่างกายของมาริโอก็เกิดเปล่งสีทองจ้า ซึ่งทำเอาเมฆากับราตรีต้องเอามือปิดตาอย่างเร็ว

“เนื่องจากค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ7 ทำให้ร่างกายของมาริโอได้รับการพัฒนาขึ้น100%”

เสียงระบบประกาศบอกก่อนที่แสงสีทองจะหายไป ซึ่งพอราตรีกับเมฆาเอามือออก ทั้งคู่ก็แทบตะลึงเมื่อได้เห็นมาริโอเปลี่ยนแปลงไป มือเล็กๆกับแขนสั้นๆได้ปรากฏขึ้นที่ตัวของมัน

“เย้! ในที่สุดเจ้าก็มีมือมีแขนแล้ว ดีใจด้วยนะมาริโอ ทีนี้เจ้าก็ไม่ต้องงอแงเวลาทานข้าวอีก” ราตรีเอ่ยปากชมมาริโอ ซึ่งทำเอาคนถูกชมถึงกับหน้าแดงเป็นมะเขือเทศ

“เห็ดมาริโอได้รับทักษะเกรียนระดับ10”

คราวนี้ทั้งราตรีและเมฆาถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินเสียงประกาศนั้น

“โห มาริโอเกรียนได้ระดับ10เลย นี่ถ้ามันถือโล่ได้ มันคงเกรียนได้โล่แน่ๆ”

“ท่านพี่เมฆาครับ ทักษะเกรียนนี่คืออะไรเหรอ แล้วมีสูงสุดถึงระดับไหนครับ” ราตรีถามอย่างสงสัย เพราะเธอไม่เคยรู้จักคำว่าเกรียนมาก่อนในชีวิต

“ไม่รู้ดีแล้วล่ะครับน้องราตรี” เมฆาตอบยิ้มๆ “ส่วนระดับของมันก็…”

“ก็ระดับเทพไงล่ะรัตติ อะไรว้า ไม่เคยได้ยินเหรอ เกรียนเทพอ่ะ” มาริโอแทรกขึ้นทันควัน

“แบบนี้แหละครับที่เรียกว่าเกรียน” เมฆาตอบ “ส่วนระดับที่ว่าเทพ น้องราตรีดูมาริโอไปนานๆก็จะเข้าใจไปเอง”

แล้วราตรีก็พลันนึกถึงตอนที่มาริโอพูดเถียงกับบอสกระต่ายยักษ์เมื่อคราวก่อน

หวังว่ายัยแก้วของฉันจะไม่เป็นแบบนี้ลับหลังทวดนะลูก

หลังจากนั้นพวกราตรีก็เริ่มลงมือทานสตูว์ทันที ทีแรกมาริโอถึงกับหวาดระแวงเมื่อเห็นชามข้าวของตัวเอง ซึ่งทำเอาราตรีกับเมฆาหัวเราะอย่างขำๆกับท่าทีของมัน เมื่อทั้งสามทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว เมฆาก็ได้อธิบายถึงเรื่องการเปลี่ยนอาชีพที่ราตรีต้องเก็บค่าประสบการณ์จนกว่าเลเวลของเธอถึงระดับสิบ ซึ่งตอนนี้เธอพึ่งจะเลเวลสองเอง ฉะนั้นเธอยังมีเวลาอีกมากที่จะคิดว่ายึดเล่นอาชีพใดดีถึงจะเหมาะกับเธอที่สุด พอคุยกันเสร็จแล้วต่างแยกย้ายกันเข้านอน โดยราตรีกับมาริโอนอนในเต็นท์เดียวกัน ส่วนเมฆานอนในเต็นท์ของเขาเอง

........................

 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 21 ทำภารกิจ (100%) P.2 24/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: minminmin ที่ 24-02-2015 07:52:38
ทักษะเกรียนเทพ!?  :laugh:
คุณทวดร่างนี้ท่าจะน่ารักไม่เบาเลยนะคะ 55555555
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 21 ทำภารกิจ (100%) P.2 24/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 24-02-2015 09:41:14
บทที่ 22 ยกแรก

...............

เช้าวันต่อมาหลังจากราตรีลืมตาขึ้นมาแล้ว เธอก็ลุกขึ้นเดินออกมาจากเต็นท์โดยในมือยังจูงมาริโอที่ยังงัวเงียอยู่

“อรุณสวัสดิ์ครับน้องราตรีน้องมาริโอ” เมฆาร้องทักทายอรุณสวัสดิ์ยามเช้ากับพวกราตรี “ไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนนะครับ แล้วค่อยกลับมาทานข้าวเช้านะ”

ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับขมวดคิ้ว

พ่อหรือเพื่อนกันแน่ล่ะนี่

เล่นลุกขึ้นมาทำอาหารให้พวกเธอแต่เช้าทุกที


ทว่าด้วยความที่ราตรีเป็นผู้ผ่านโลกมามากจึงไม่คิดจะพูดออกมาให้เสียเพื่อน แล้วราตรีพามาริโอไปอาบน้ำก่อนจะพากลับมาทานข้าวเช้า โดยอาหารมื้อเช้านี้เป็นข้าวต้มร้อนๆซึ่งเหมาะกับอากาศเย็นในช่วงเช้าได้อย่างพอดี เมื่อทั้งสามทานข้าวเช้าเสร็จแล้วก็พากันเข้าไปในถ้ำเหมืองแร่อีกครั้ง ก่อนจะขุดแร่ตามเดิม ซึ่งครั้งนี้มาริโอถูกเมฆาใช้ให้ขุดแร่ด้วยเพราะมันมีมือมีแขนแล้ว และในระหว่างที่พวกราตรีอยู่ในถ้ำนั้น ก็มีเสียงผู้เล่นคนอื่นดังลอดเข้ามา

“นี่หรือถ้ำเหมืองแร่ ดูน่ากลัวยังไม่รู้นะ”

“กลัวเกลออะไร มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอกคริสตัล” เสียงทุ้มบอก ก่อนจะมีอีกเสียงหนึ่งพูดแทรกว่า

“ใช่แล้วคริสตัล ทั้งข้าทั้งมันต่างมีเลเวลระดับยี่สิบ สามารถสู้กับพวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในถ้ำนี้ได้สบาย เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องกลัวว่าเวลาขุดแร่แล้วจะโดนมอนสเตอร์โจมตี”

“งั้นเหรอ ขอบใจมากนะคอเบียร์ งุ้งงิ้ง” เสียงหวานพูดขอบคุณ หากแต่ชื่อที่เสียงหวานพูดนั้นทำเอาราตรี เมฆา และมาริโอถึงกับขมวดคิ้ว

คนอะไรชื่อประหลาด

โดยเฉพาะงุ้งงิ้งนี่ ช่างคิดมาตั้งเป็นชื่อได้อีกนะ!


แล้วเสียงลากเท้าของพวกผู้เล่นกลุ่มนั้นก็ได้เดินเข้ามา ซึ่งมาจ๊ะเอ๋กับพวกราตรีที่ยืนขุดอยู่ใกล้ปากถ้ำ

“อ้าว มีคนมาขุดแร่ก่อนแต่เช้าแล้วรึนี่” ผู้เล่นที่เป็นชายในชุดโจรเดินนำหน้าได้เอ่ยปากพูดทันทีที่เห็นพวกราตรี “ว่ายังไงพวก ขุดแร่ได้กันกี่ก้อน…แล้ว”

แล้วคนพูดก็ชะงักไปเมื่อเห็นใครบางคนยืนอยู่ด้านหลังเด็กผู้ชายร่างเล็กผมสีเงินกับเห็ดมาริโอตัวใหญ่

“หยุดเดินทำไมคอเบียร์ ทำไมไม่เดินต่อล่ะ” ผู้ชายในชุดคลุมสีชมพูเดินเข้ามาทีหลังถามอย่างสงสัย ก่อนจะหันมาเห็นพวกราตรี “อ้าว มีคนอยู่ก่อนแล้วนี่ ขุดแร่ได้กันกี่…ก้อน”

แล้วก็เงียบไปเหมือนคนแรก ซึ่งทำเอาราตรีกับมาริโอมองผู้ชายทั้งสองคนอย่างสงสัย

มันจะหยุดถามไปทำไมกันละนี่

ส่วนผู้หญิงอีกคนที่เดินตามมาทีหลังนั้น พอมาริโอได้เห็นหูกระต่ายที่อีกฝ่ายใส่แล้วถึงกับวางอีเตอร์ลงอย่างไม่รู้ตัว

“อ้าว นั่นคุณเห็ดมาริโอนี่คะ” อีกฝ่ายเอ่ยปากทักก่อน แล้วจึงหันไปมองราตรีอย่างสงสัย “เด็กคนนี้คุ้นๆนะ ใช่คนเดียวกับที่ขี่คอคุณเห็ดมาริโอหรือเปล่าคะ”

“ฉันว่าพวกเราไปเก็บเลเวลข้างนอกกันเถอะ” ผู้ชายในชุดโจรบอกเสียงสั่นก่อนจะดันหลังคริสตัลให้เดินย้อนกลับไป

“อ้าว ไหนว่าจะขุดแร่ก่อนไม่ใช่รึคะ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจคิดจะไปเก็บเลเวลละคะ” คริสตัลถามอย่างสงสัย แต่ทว่าผู้ชายทั้งสองคนหาได้ตอบไม่ กลับดันหลังหญิงสาวให้ออกไปจากถ้ำอย่างไว

ทำอะไรของเขานะ

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ


ราตรีคิดในใจอย่างสงสัย ซึ่งเธอหาได้รู้ไม่ว่าสาเหตุที่ผู้ชายสองคนนั้นรีบออกไปนั้น เป็นเพราะได้เห็นเมฆาผู้เป็นราชาแห่งสมาคมเงาระดับท็อปยืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งหาก จึงไม่คิดกล้าจะอยู่อีก เมื่อพวกนั้นไปแล้วพวกราตรีก็รีบขุดแร่ต่อ ซึ่งขุดกันไปได้สองชั่วโมงทั้งสามคนก็นั่งพักยกเอาแรง ราตรีเห็นว่าตอนนี้ไม่รู้จะทำอะไรดีจึงเปิดหน้าต่างสถานะของตัวเองออกมาดูฆ่าเวลาเล่น

ชื่อ ราตรีพิสุทธิ์ (สถานะร่างแปลงมนุษย์)

เลเวล: 2 (EXP: 4900/58003)     อายุ: 6 ปี 0 เดือน (EXP: 10903/37874)

เผ่า: มังกร                                  สถานที่จุติ: พระราชวังส่วนพระองค์เขตการปกครองมังกร

ธาตุ: ?

HP: ?                           

SP: ?

เงินที่มี : 2,000,730 เหรียญ


ราตรีขมวดคิ้วมองหน้าต่างสถานะของตัวเองอย่างสงสัย โดยเฉพาะค่าพลังอย่างพวก HP SP และพลังธาตุที่มีแต่เครื่องหมายคำถามที่เธอดูแล้วไม่เข้าใจ

ถามผู้รู้อย่างเมฆาดีกว่า

“เอ่อท่านพี่เมฆา พลังธาตุนี่ใช่พวกดินน้ำลมไฟหรือเปล่าครับ” ราตรีหันไปถามเมฆาเพราะเรื่องธาตุนี้เธอพอรู้บ้างเล็กน้อยเพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้น ซึ่งชายหนุ่มที่กำลังนั่งเช็ดอีเตอร์อยู่นั้นก็หยุดมือ ก่อนจะหันมามองราตรี

“ใช่ครับน้องราตรี” เมฆาตอบ “ดินน้ำลมไฟคือธาตุที่ผู้เล่นทุกคนต้องมีอยู่ในตัวตั้งแต่เกิดแล้วยกเว้นแต่พวกธาตุพิเศษจะมีอยู่สองแบบคือมืดกับสว่าง ซึ่งของพี่ได้ธาตุมืดมานะครับ แล้วของน้องราตรีละ ได้ธาตุอะไรมาเอ่ย”

“ไม่มีฮะ” ราตรีตอบ ซึ่งทำเอาคนฟังถึงกับขมวดคิ้ว

“ไม่มีงั้นหรือครับน้องราตรี”

“ฮะ ไม่มี” ราตรีตอบก่อนจะถามต่อ “เอ่อ ของท่านพี่เมฆามีตัวเลขตรงค่าเอชพีกับเอสพีหรือเปล่าฮะ เพราะของผมไม่มีอะไรสักนิดนอกจากเครื่องหมายคำถามนะ”

“อะไรนะครับน้อง ไม่มีงั้นเหรอ!” เมฆาร้องอุทานอย่างตกใจ

“ฮะ ไม่มี”

“งั้นขอพี่ดูหน้าต่างของน้องหน่อยได้ไหมครับ” เมฆาถาม ซึ่งราตรีไม่ตอบแต่กลับผลักหน้าต่างของตัวเองไปให้อีกฝ่ายดู ซึ่งเมฆาก็ก้มหน้าลงมองดูหน้าต่างสถานะของเธอก่อนจะตีสีหน้าเคร่งเครียด “แปลก แปลกจริงๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน”

“อะไรแปลกงั้นหรือฮะท่านพี่” ราตรีถามกลับอย่างสงสัย เมฆาเงยหน้าขึ้นตอบกลับมาว่า

“ก็เพราะตามปกติแล้วทางเกมจะระบุให้ผู้เล่นทุกคนมีธาตุเป็นของตัวเอง แต่ของน้องราตรีกลับไม่มีธาตุอะไรเลย ไหนจะค่าเลือดกับค่ามานาอีก นี่คงจะเป็นเพราะไอดีของน้องมันพิเศษกว่าคนอื่น น้องถึงได้เกิดมาเป็นเด็กทารกและมีอะไรพิสดารเกินกว่าผู้เล่นคนอื่นเคยมียังไงล่ะครับ” พอราตรีได้ยินที่เมฆาพูดถึงกับพยักหน้าอย่างเข้าใจดี

“พี่เชื่อว่าอีกไม่นานน้องราตรีต้องค้นพบพลังธาตุของตัวเองได้อย่างแน่นอน” เมฆาพูดปลอบใจเพราะกลัวราตรีจะคิดมาก “เอาล่ะ ทีนี้พวกเราก็มาขุดแร่กันต่อเถอะ”

“ฮะ”

ราตรีตอบก่อนจะลุกขึ้นขุดแร่ตามเมฆาโดยไม่ลืมที่จะบอกให้มาริโอขุดแร่ต่อด้วย

.............

ย้อนกลับไปทางด้านปฐพีเมื่อวานนี้ เมื่อชายหนุ่มได้เจอกับเพื่อนๆแล้วเขาก็ไม่ลืมเล่าเรื่องที่คุณยายโดนพนักงานเกมหรือจีเอ็มหลอกให้ซื้อเสื้อผ้าในราคาหนึ่งล้านเหรียญ

“โหย ขูดเลือดกันชะมัด แบบนี้ต้องฟ้องลูกเดียว” ศาสตราพูดอย่างฉุนเฉียว

“แล้วคุณยายของนายว่ายังไงล่ะ ท่านจะเอาเรื่องหรือเปล่า” พิภพถามเสียงเรียบ ซึ่งปฐพีได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ไม่เอาเรื่องงั้นเหรอ!” ศาสตราแผดเสียงลั่นห้อง ซึ่งโชคดีที่พวกเขาสามคนอยู่ในห้องพักของโรงแรมแถมยังเป็นห้องเก็บเสียงด้วย จึงไม่ทำให้เสียงของศาสตราเล็ดลอดออกไปได้ “ไม่ได้นะของแบบนี้ต้องจัดการเสียให้อยู่หมัด ไอ้พวกที่ชอบทำมาหากินหลอกคนแก่ ให้อภัยไม่ได้”

“ใจเย็นๆสิศาสตรา ฉันรู้ว่าเรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้ แต่ถ้าคุณยายของปฐพีไม่เอาเรื่อง พวกเราก็ไปฟ้องร้องไม่ได้หรอกนะ” พิภพพูดพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ซึ่งทำเอาศาสตราชะงัก

“นั่นสิ ฉันก็ลืมไป” ศาสตราพูดเอามือเกาหัว “เฮ้ย แต่พวกนายจะปล่อยให้คนผิดลอยนวลหรือไง ถ้าเกิดมันไปหลอกคนอื่นอีกล่ะจะว่ายังไง มิแย่เลยหรือ”

แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ ทั้งศาสตราทั้งพิภพต่างคิดหาหนทางไม่ออกว่าจะแก้แทนให้คุณยายยังไงดี เพราะฝ่ายคุณยายไม่ได้อยากเอาเรื่องกับพวกเจ้าหน้าที่เกมเลยสักนิดเดียว

“แล้วนายรู้ไหมว่าคนที่หลอกเงินท่านเป็นใครกัน” พิภพถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาศาสตราพลอยอยากรู้ไปด้วยอีกคน

“อ้อ เรื่องนั้นเห็นท่านว่าเป็นพนักงานฝ่ายเอ็นพีซีที่ชื่อลำไยนะ” ปฐพีตอบพลางถอนหายใจ “ส่วนเรื่องที่อยู่นั้นก็คงไม่พ้นร้านเสื้อผ้าที่อยู่ในเมืองเริ่มต้นนี้แหละ ใช้เวลาหานิดหน่อยเดี๋ยวเดียวก็เจอแล้ว”

“ลำไย? ลำไย เอ ชื่อมันคุ้นๆหูนะ เหมือนเคยได้ยินมาก่อน แต่ที่แน่ๆฉันไม่ค่อยชอบชื่อนี้สักเท่าไหร่ เหมือนเลวร้ายยังไงไม่รู้แฮะ” ศาสตราพูดพลางเอามือเกาหัวอีกครั้ง

“นายเคยเจอลำไยด้วยรึไง ทั้งๆที่พวกเราอยู่บนทวีปหลักมานาน ไม่ได้กลับมาเกาะเริ่มต้นเป็นสิบปีในเกมได้มั้ง” พิภพพูดย้อน “แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่เคยรู้จักจีเอ็มที่ชื่อลำไยเลยสักนิด ไม่แน่ว่าจีเอ็มคนนี้อาจจะเพิ่งทำงานนี้เป็นครั้งแรก ก็เลยไม่รู้กฎของจีเอ็มว่าห้ามใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

“แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะปฐพี ฟ้องร้องเอาความก็ไม่ได้แล้วด้วย” ศาสตราหันไปถามเพื่อนที่กำลังนั่งใช้ความคิดอยู่เงียบๆ ซึ่งปฐพีไม่ได้ตอบคำถามของศาสตราเดี๋ยวนั้น กลับนั่งครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งปกติปฐพีไม่ค่อยจะยิ้มอยู่แล้ว พอได้ยิ้มออกมา ทำให้คนที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มของปฐพีเกิดรู้สึกขนลุกขนพอง

ปฐพียิ้ม!

แถมยิ้มแบบมีเลศนัยเสียด้วยสิ!


“ฉันพอนึกวิธีจัดการดีๆออกแล้วล่ะ รับรองว่าเรื่องไม่แดงถึงหูท่านแน่” ปฐพีพูดไปแสยะยิ้มไป ก่อนจะกวักมือเรียกทั้งคู่ให้เข้ามาฟังแผนการอันร้ายกาจของเขาใกล้ๆ

...................

“ฮัดชิ้ว!”

เสียงจามดังลั่นจากปากราตรี ทำเอาอีกสองร่างเงยหน้าขึ้นมามอง

“สงสัยอากาศในถ้ำจะเย็นไป พี่ชายว่าเราน่าจะเอาเสื้ออีกตัวมาใส่ทับอีกชั้นไม่ดีกว่าหรือครับ” เมฆาถามด้วยความเป็นกังวล หากแต่ราตรีส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรฮะ จามแค่นี้สบายมาก”

“งั้นดื่มนมร้อนนี่หน่อยไหมรัตติ เผื่อร่างกายในตัวของเจ้าจะได้อุ่นขึ้น” มาริโอพูดพลางยกแก้วนมขึ้นมา ซึ่งผู้ชงนมนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากเมฆา

“เอาก็ได้ ขอบใจเจ้ามากนะมาริโอ” ราตรีพูดขอบคุณก่อนจะหยิบแก้วนมที่มาริโอยื่นมายกขึ้นจิบเล็กน้อย ตอนนี้เธอ เมฆา และมาริโอได้พักทานข้าวกลางวันในถ้ำ โดยอาหารมื้อนี้ราตรีขอเป็นผู้ลงมือทำเอง ซึ่งทีแรกเมฆาแปลกใจที่เห็นว่าน้องราตรีเอ่ยปากว่าจะทำอาหารให้กิน ทว่าพอได้เห็นตอนราตรีทำแล้วถึงกับยกนิ้วให้ เพราะฝีมือการทำอาหารของราตรีนั้นเทียบขั้นมืออาชีพที่จากวงการไปเสียนาน

“ไม่เป็นไร” มาริโอตอบพลางเขี่ยกระเทียมไว้ข้างขอบจาน ซึ่งเหลือแต่เนื้อกับผักบุ้งที่ยังคงอยู่ในจาน “ว่าแต่เจ้าทำอาหารได้เยี่ยมจริงๆนะรัตติ ไอ้ผัดผักบุ้งนี่ อร่อยสุดยอด”

“อร่อยก็ทานเข้าไป แต่ทีหลังอย่าเขี่ยกระเทียมออกได้ไหม”

“ก็ข้าไม่ชอบนี่” มาริโอบ่นพึมพำ “มันเหม็นจะตายชัก”

“ถ้าไม่ชอบก็เอามาให้ข้า” ราตรีบอกก่อนจะใช้ช้อนตักกระเทียมที่อยู่บนขอบจานนั้นออก แล้วนำมันมาใส่จานของตัวเอง ซึ่งความเป็นกันเองของราตรีกับมาริโอนั้นทำให้เมฆารู้สึกอิจฉานิดๆ เพราะคราวก่อนหน้าที่เขาจะได้ออฟไลน์ออกจากเกมไปนั้น มาริโอกับราตรีไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนี้เลยด้วยซ้ำ

สงสัยคงเป็นเพราะเวลาที่ช่วยให้สองคนนั้นได้เข้าใจกันกระมัง

เมฆาคิดในใจ หากแต่พอคิดถึงความผิดของตัวเองแล้วก็แทบกลืนอาหารไม่ลง

แกรก!

เสียงช้อนส้อมถูกรวบเข้าหากัน ทำให้ราตรีได้ยินถึงกับหันไปมอง

“อิ่มแล้วหรือฮะท่านพี่เมฆา ข้าวยังไม่หมดจานเลยนะฮะ” ราตรีถามพลางมองชายหนุ่มอย่างสงสัย ซึ่งเมฆาเงยหน้าก่อนจะส่งยิ้มตอบไปว่า

“พอดีเมื่อเช้าพี่ชายทานข้าวมากไปหน่อยนะครับ ตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

“งั้นเหรอฮะ”

เมื่อเมฆาบอกว่าไม่หิวแล้ว ราตรีก็ไม่คิดจะถามต่อให้เสียมารยาท หากแต่ขอข้าวที่เหลือจากในจานของเมฆามาแบ่งให้มาริโอได้ทานต่อ พอราตรีกับมาริโอทานข้าวเสร็จแล้ว ก็เริ่มลงมือขุดแร่กันต่ออย่างสนุกสนาน ซึ่งผิดกับที่เมฆายังคงกลุ้มใจกับเรื่องพ่อของตัวเองอยู่เกือบตลอดเวลา

จะบอกเรื่องที่พ่อของน้องราตรีถูกพ่อของเราลักพาตัวไปดีไหมหนอ เมฆาคิดในใจอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะแอบลอบมองใบหน้าของน้องราตรีที่กำลังขุดแร่กับมาริโอด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข หากเขาบอกเรื่องนั้นให้อีกฝ่ายรู้แล้วล่ะก็ ใบหน้ารอยยิ้มอันสดใสนี้ก็จะหายไปแน่ แล้วมิตรภาพระหว่างเขากับน้องราตรีมีอันได้ขาดสะบั้นตลอดกาล

เมฆาคิดในใจก่อนจะส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเอง

ขออยู่อย่างนี้ไปอีกสักพักแล้วกัน…

เพราะถ้าหากถึงเวลานั้นจริงแล้ว…

เขาจะขอรับโทษทุกอย่างโดยไม่ขัดข้องแม้แต่นิดเดียว!


..............

ย้อนไปในเมืองตอนเช้าของวันนี้ ขณะที่พวกราตรีกำลังขุดแร่อยู่ในถ้ำเหมืองแร่นั้น ทางลำไยที่เพิ่งจะตื่นนอนตอนเช้า ก็รีบทำภารกิจส่วนตัวเสร็จก่อนจะเปิดรีบเปิดร้านทันที

“ฮ้า อากาศตอนเช้าในเกมนี่ช่างสดชื่นเสียจริง” ลำไยพูดในขณะที่เปิดประตูร้าน เมื่อเปิดเสร็จแล้วก็ทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในร้านแต่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อมีมือปริศนาเข้ามาแตะไหล่ ซึ่งทำให้ลำไยขมวดคิ้วก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าของมือปริศนานี้

“ขอโทษนะครับ ที่ร้านนี้รับซื้อเสื้อผ้าชั้นดีหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มและราบเรียบถาม ก่อนจะเผยให้เห็นชายหนุ่มหน้าเข้มสูงใหญ่ ทั้งนัยน์ตากับเส้นผมเป็นสีดำดูเรียบง่าย หากแต่ชุดที่สวมใส่กลับเป็นชุดคลุมมอซอราวกับยาจก

ว้ายอกอีแป้นจะแตก ผู้ชายอะไร้ หล่อก็หล่อ แถมยังล่ำอีกตั้งหาก

สงสัยจะเป็นพวกเผ่ายักษ์


แล้วลำไยก็พลันเปลี่ยนสีหน้ายิ้มการค้า

“ใช่แล้วฮ้า ที่ร้านนี้รับซื้อผู้ชาย เอ้ย เสื้อผ้าทุกอย่างเลยพ่อหนุ่ม” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำท่าสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยินลำไยพูด ซึ่งลำไยเห็นแต่หาได้สนใจไม่

“งั้นก็ดีเลยครับ เพราะผมเดินตามหาร้านรับซื้อเสื้อผ้าอยู่ตั้งหลายวันแล้ว” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยินดี

“ฮ้าพ่อหนุ่ม งั้นก็เข้าไปคุยกันในร้านดีกว่านะ เพราะถ้าคุยกันข้างนอกคงจะไม่สะดวก” ลำไยบอกพลางผายมือไปยังในประตู ซึ่งชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปตามคำเชิญ แล้วลำไยก็รีบเข้าไปตามโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูด้วย “ไหนละฮ้าเสื้อผ้าที่จะให้ลำไยช่วยซื้อนะ”

ลำไยถามทันทีที่เข้าไปในร้านแล้ว ซึ่งชายหนุ่มพยักหน้าพลางหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า ก่อนจะเผยให้เห็นชุดคลุมนักเวทย์สีดำทมิฬ

“นี่แหละครับเสื้อผ้าที่ผมต้องการจะขาย พอดีผมดรอปได้มาจากพวกยักษ์ที่อยู่ในเมืองยักษ์นะครับ” ชายหนุ่มบอกก่อนจะรีบพูดต่อ “แต่ตอนนี้ผมขอฝากเสื้อคลุมนักเวทย์ไว้กับคุณ…เอ่อ ลำไยก่อนจะได้ไหมครับ เพราะผมต้องรีบไปทำภารกิจ เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงเพื่อนของผมที่อยู่แถวนี้จะมาคุยเรื่องเสื้อผ้าด้วย”

“ได้สิฮ้าตะเอง แต่ก่อนอื่นต้องเซ็นชื่อฝากเสื้อผ้าที่จะขายไว้ด้วยนะ เพราะถ้ามาฝากโดยไม่เซ็นชื่อไว้ก่อน ทางลำไยจะไม่รับผิดชอบนะฮ้า” ลำไยบอกพลางหยิบใบสัญญาที่อยู่ใต้เคาน์เตอร์ออกมาให้ชายหนุ่มได้เซ็น ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะรีบลงมือเซ็นชื่อ “ตะเองอย่าลืมใบสำเนาสัญญานี้ส่งไปให้เพื่อนด้วยนะฮ้า เพราะเวลาเพื่อนของตะเองมาที่ร้านนี้แล้วเดี๊ยนจะได้รู้ว่าเป็นใคร”

“ครับๆ” ชายหนุ่มตกปากรับคำก่อนจะหยิบใบสำเนาสัญญารับของแล้วรีบเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาลำไยนึกเสียดายที่ไม่ได้ขอเบอร์โทรจากชายหนุ่มเอาไว้ แล้วเวลาก็ได้ผ่านไปอีกสองชั่วโมง เสียงบานประตูก็ได้ถูกเปิดอีกครั้ง

“ยินดีต้อนรับฮ้า” ลำไยกล่าวทักทายกับลูกค้าโดยไม่หันไปมองเพราะกำลังจัดเรียงเสื้อผ้าอยู่

“ผมมาคุยเรื่องเสื้อผ้าที่เพื่อนของผมฝากคุณลำไยไว้ครับ” เสียงทุ้มของลูกค้าพูด ซึ่งทำให้ลำไยต้องรีบหันกลับไปดู ก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้เห็นชายหนุ่มผิวสีแทนผมสีทองสั้นเกรียนในมาดชุดนักรบสีดำ

อุ้ย หล่อเข้มสมชายชาตรี ถูกใจเด๋อฮ้า

ลำไยคิดอย่างเป็นปลื้มก่อนจะรีบเช็ดน้ำลายที่หกอยู่มุมปากของตัวเอง

“ถ้างั้นเดี๊ยนขอดูใบสำเนาสัญญาของเพื่อนตะเองหน่อยนะ” ลำไยพูดพลางแบมือออกมา ซึ่งอีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็หยิบใบสำเนาสัญญาขึ้นมาก่อนจะวางมันลงบนมือของเธอ ทว่าพอชายหนุ่มส่งให้ถึงมือแล้ว ลำไยกลับจับมือของชายหนุ่มซะแน่น “อุ้ย มือใหญ่จังนะตะเอง”

ชายหนุ่มผู้แสนโชคร้ายเมื่อถูกลำไยจับมือด้วยแล้ว กลับรีบสะบัดมือนั้นออกอย่างไวก่อนจะตีสีหน้าเย็นชาใส่ ซึ่งทำเอาลำไยนึกเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยอมเล่นด้วยกับเธอ

ว้า เสียดายจัง

ลำไยได้แต่คิดในใจก่อนจะเช็คดูใบสำเนาสัญญา ซึ่งมันก็เป็นใบเดียวกับที่ชายหนุ่มคนแรกเอาไป

“เรื่องเสื้อคลุมที่เพื่อนผมเอามาฝาก คุณลำไยคิดว่ายังไงครับ” ชายหนุ่มพูดเกริ่นเข้าเรื่อง

“อือฮึ เดี๊ยนก็คิดว่ามันเป็นเนื้อผ้าที่ดีเหมือนกันนะฮ้า แต่…” ลำไยพูดพลางหยิบผ้าคลุมนักเวทย์สีดำขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าตอบกลับไปว่า “ดูเหมือนการป้องกันจะสูงไปหน่อย แถมในช่วงนี้ผู้เล่นหน้าใหม่ส่วนมากจะยังระดับต่ำกันทั้งนั้น ก็เลยไม่มีใครมาซื้อเสื้อคลุมนักเวทย์ระดับสูงกันซักคน เดี๊ยนคิดว่าราคาที่จะรับซื้อก็อย่างมากแค่…ห้าพันเหรียญฮ้า”

คำพูดของลำไยทำเอาชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว

“แค่ห้าพันเหรียญไม่น้อยไปหรือครับ” ชายหนุ่มพูดพลางก้มหน้าหรี่ตามองต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเข้ม “กดราคาแบบนี้มันไม่คุ้มทุนกับที่เพื่อนผมได้มาเลยนะครับ…คุณลำไย”

“ใครว่าเดี๊ยนกดราคาซื้อละฮ้า นี่เห็นว่าหาที่รับซื้อเสื้อคลุมไม่ได้ เดี๋ยนก็เลยเพิ่มราคาให้มากกว่าเท่าตัว เพราะถ้าเปรียบกับทวีปหลักแล้ว ราคาห้าพันนี้หารับซื้อที่ไหนไม่ได้อีกนะตะเอง” ลำไยบอกแต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

โฮะๆ ด้วยราคาห้าพันเหรียญสำหรับชุดคลุมนักเวทย์ธาตุไฟที่ดรอปได้จากพวกยักษ์แล้วนี่ ถือว่าน้อยเอามากๆ ถ้าเปรียบกับราคารับซื้อจากในทวีปหลักแล้ว ก็ปาห้าหมื่นเหรียญไปแล้วด้วยซ้ำ ลำไยคิดในใจก่อนจะมองอีกฝ่ายที่ใส่ชุดเกราะนักรบ ซึ่งที่เอวถูกคาดด้วยเข็มขัดราคาแพงแสนแพง เอ แต่ดูท่าผู้ชายคนนี้จะเป็นผู้เล่นระดับสูงแฮะ คงจะหลอกฟันราคาไม่ได้ง่ายๆซะแล้ว

ลำไยคิดก่อนจะพูดใหม่ว่า

“เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวเดี๊ยนจะเพิ่มราคารับซื้ออีกเท่าตัวให้นะฮ้า” ลำไยพูดจบก็รีบหยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมาคำนวณใหม่ ก่อนจะโชว์ตัวเลขบนเครื่องคิดเลขให้ชายหนุ่มดู “สักหมื่นเหรียญเป็นยังไงตะเอง”

ชายหนุ่มมองตัวเลขพลางขมวดคิ้ว

“ผมว่ามันยังน้อยไปอยู่ดีนะครับคุณลำไย” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ขอเพิ่มเป็นสองหมื่นเหรียญไม่ได้หรือครับ เพราะเพื่อนของผมตอนนี้กำลังลำบากเรื่องเงินมากๆ”

ลำบากเงินแล้วทำไมตะเองไม่ช่วยเพื่อนละย่ะ!

ลำไยด่าทอชายหนุ่มในใจอย่างฉุนเฉียว หากแต่อีกฝ่ายเป็นถึงหนุ่มหล่อที่นานครั้งจะโผล่เข้ามาร้านเธอบ้าง ลำไยจึงคลายโกรธไปส่วนหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับพูดว่า

“ก็ได้ฮ้าตะเอง สองหมื่นเหรียญก็สองหมื่นเหรียญ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะตะเองเป็นคนหล่อถูกใจเดี๊ยนแล้วล่ะก็ เดี๊ยนคงไม่ยอมเพิ่มให้ง่ายๆแบบนี้หรอก”

สุดท้ายแล้วลำไยก็รับซื้อเสื้อคลุมนักเวทย์จากชายหนุ่มด้วยราคาสองหมื่นเหรียญ

“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณลำไย”

แล้วชายหนุ่มผิวสีแทนในชุดเกราะสีดำก็จรลีจากลำไยไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ลำไยพลาดที่จะขอเบอร์โทรจากชายหนุ่มเป็นครั้งที่สองไปอีกจนได้

..................................

 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 22 ยกแรก (update 100%) P.2 24/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 24-02-2015 21:39:50
บทที่ 23 เดชอีลำไย

.............

แล้วเวลาก็ผ่านไปได้สองชั่วโมง ลำไยก็ลืมเรื่องราวของชายหนุ่มไปจนหมดสิ้นเพราะต้องหันมาเร่งมือเย็บผ้าของราตรีพิสุทธิ์ให้เสร็จภายในวันนี้ ซึ่งโชคดีที่ช่วงบ่ายไม่มีลูกค้าเข้ามา จึงทำให้ลำไยนั่งเย็บผ้าได้อย่างสบายใจ

แอ๊ด!

เสียงบานประตูได้ถูกเปิดออกอีกครั้ง ซึ่งทำเอาลำไยรีบเก็บผ้ารวมถึงอุปกรณ์ทั้งหมดยัดเข้าตู้ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากนอกห้องเพื่อต้อนรับลูกค้า

“ยินดีต้อนรับฮ้า” ลำไยกล่าวทักทายลูกค้าก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นลูกค้าเต็มสองตา เด็กหนุ่มหน้าละอ่อนวัยสิบห้าสิบหกผู้มีนัยน์ตาสีเขียวด้านขวาเพียงข้างเดียวมาในมาดชุดนักธนูที่แสนจะเรียบง่าย หากแต่ใบหูทั้งสองข้างกลับแหลมยื่นออกมาให้เห็นเด่นชัด

กรี๊ด คราวนี้เป็นหนุ่มเอลฟ์หรอกรึนี่ ลำไยคิดในใจอย่างเป็นปลื้มที่เธอได้เจอผู้ชายหน้าตาดีถึงสามคนภายในวันเดียวกัน เห็นทีต้องต้อนรับลูกค้าให้ดีซะหน่อยแล้ว...โฮะๆ

ทว่าเด็กหนุ่มยืนตาเบิกกว้างไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

โฮะๆ คงปลื้มกับความงามของเดี๊ยนจนพูดอะไรไม่ออกสินะ

ลำไยคิดเข้าข้างตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ ซึ่งทำเอาเด็กหนุ่มผงะ

“จะซื้ออะไรฮ้าหนุ่มน้อย ถ้าเป็นพวกเสื้อผ้าก็เดินเลือกเอาได้เลยนะตะเอง” ลำไยบอกพลางส่งยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เธอคิดว่ามันน่ารักสุด แต่อีกฝ่ายกลับหน้าซีดเหงื่อตกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “หรือว่าจะชวนเดี๊ยนไปออกเดทล่ะฮ้าพ่อหนุ่ม”

“ระ…รู้ได้ยังไงว่าผมจะมาชวนคุณลำไยไปเที่ยวนะครับ ผมยังไม่ได้บอกสักคำเดียว” อีกฝ่ายตอบเสียงเลิ่กลั่ก ซึ่งทำเอาลำไยอึ้งอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะตั้งแต่เกิดมาสิ่งมีชีวิตเยี่ยงลำไยไม่เคยมีใครชวนออกเดท มีแต่ถอยห่างแล้วเดธทั้งนั้น แถมเมื่อครู่นี้เธอก็แค่พูดแหย่เล่นๆ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาชวนเธอไปเดทจริงๆ

สงสัยต้องขอบคุณพระเจ้าให้มากๆเสียแล้ว

ลำไยคิดในใจก่อนจะฉีกยิ้มหวาน

“บอกไว้ก่อนนะตะเองว่าเดี๊ยนไม่ได้ขายตัว” ลำไยแสร้งพูดหยิ่งๆ “แล้วอีกอย่างเดี๊ยนเป็นเจ้าหน้าที่เกมฝ่ายเอ็นพีซี คงจะรับซื้อขายบริการทางเพศไม่ได้ แต่ถ้าเป็นนอกเกมก็ว่าไปอย่าง เอ้ย ไม่ใช่ๆ บอกไว้ก่อนนะว่าเดี๊ยนจะไม่ไปเที่ยวกับหนุ่มแปลกหน้าอย่างตะเองด้วยนะฮ้า”

“เรื่องนั้นผมทราบดีครับ แต่พอดีเพื่อนของผมรู้จักกับคุณลำไยด้วยนะครับ”

“รู้จักเดี๊ยน?” ลำไยขมวดคิ้วพลางนึกสงสัยว่าเพื่อนของอีกฝ่ายรู้จักเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพราะเธอเอาแต่ทำงานอยู่ในร้าน แทบไม่ได้ออกไปเก็บเลเวลข้างนอกเลยด้วยซ้ำไป

“ครับรู้จัก” อีกฝ่ายตอบก่อนจะพูดต่อ “คุณลำไยจำผู้ชายสองคนที่มาขายเสื้อคลุมนักเวทย์ธาตุไฟในราคาสองหมื่นเหรียญได้ไหมครับ นั่นพวกเพื่อนๆของผมเอง”

ว้ายตาเถร นี่พวกเขาเป็นเพื่อนกันหรอกรึ

ลำไยคิดอย่างตะลึงก่อนจะตอบกลับไปว่า

“อ้อ ถ้าเป็นสองคนนั้นเดี๊ยนจำได้ดีไม่มีลืมหรอกฮ้า” คำตอบของลำไยทำเอาอีกฝ่ายยิ้มรับ

“งั้นก็ดีเลยครับ เพราะเพื่อนของผมต้องการจะขอโทษคุณลำไยที่พูดต่อราคามากเกินไป พวกเขาก็เลยวานให้ผมมาชวนคุณลำไยไปเดทน่ะครับ”

เด็กหนุ่มพูดพลางโน้มตัวลงก้มหน้าโดยผายมือไปด้านประตูราวกับเชื้อเชิญให้ลำไยออกไปข้างนอกด้วยกัน ซึ่งทำเอาลำไยแทบตัวลอยกับการกระทำของเด็กหนุ่ม

เชิญชวนกันแบบนี้ บอกไม่ไปคงไม่ได้แล้วล่ะ!

“ตกลงฮ้า เดี๋ยวเดี๋ยนจะไปเที่ยวด้วย แต่ขอเก็บของที่ร้านให้เรียบร้อยก่อนนะฮ้า” ลำไยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะหายเข้าร้านไป ซึ่งหารู้ไม่ว่าเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าอยู่นั้นกำลังแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลงานของตัวเอง ทว่าเมื่อนึกตอนที่ต้องบอกว่ามาชวนมันเดทแล้ว อาหารที่พึ่งกินเข้าไปไม่นาน แทบจะทะลักออกมาจากปาก

................

เมื่อลำไยปิดร้านเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มหน้าหวานก็พาเธอออกเดินนำหน้าทันที

“ว่าแต่พวกเพื่อนของตะเองจะพาเดี๊ยนไปสนุกกันที่ไหนหรือฮ้า” ลำไยถามอย่างสงสัย

“เดี๋ยวก็รู้เองครับ” อีกฝ่ายตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา “คุณลำไยตามผมมาก็แล้วกัน แต่ในระหว่างนี้คุณลำไยช่วยเดินเงียบๆหน่อยนะครับ เพราะผมจะพรายกระซิบบอกพวกเพื่อนๆว่ากำลังพาคุณลำไยไปหาพวกเขาแล้ว”

“ได้สิฮ้าตะเอง” แล้วลำไยก็เงียบเสียงไปโดยเอาแต่เดินตามหลังเด็กหนุ่มอย่างเงียบๆ ซึ่งไม่นานนักเด็กหนุ่มก็ได้พาลำไยเดินออกนอกเมืองไป ทำเอาคนเดินตามหลังนึกสงสัย “เอ่อตะเอง นี่ยังไม่ถึงอีกเหรอฮ้า”

ลำไยถาม ซึ่งเด็กหนุ่มก็ตอบกลับมาว่า

“อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วครับคุณลำไย”

พอได้คำตอบแล้วลำไยก็ไม่คิดจะถามต่อให้มากความเพราะกลัวว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเปลี่ยนใจไม่พาเธอไปสนุกให้สุดเหวี่ยงเสียก่อน แล้วเด็กหนุ่มก็พาลำไยเดินไปได้ครึ่งชั่วโมงจนกระทั่งถึงหน้าเขตชายแดนป่าเอลฟ์ เด็กหนุ่มที่เดินนำก็หยุดเดินกะทันหัน ซึ่งทำเอาคนตามหยุดเดินไม่ทันจึงชนเข้าที่แผ่นหลังอย่างจัง

“ตะเองก็ คิดจะหยุดเดินก็บอกกันก่อนสิฮ้า” ลำไยบ่นพลางเอามือลูบหน้า ก่อนจะหันซ้ายหันขวาหาอีกสองร่างที่คาดว่าน่าจะรออยู่แถวบริเวณนี้ “แล้วไหนล่ะเพื่อนๆของตะเอง เดี๊ยนไม่ยักเห็นจะมีเลยสักคนเดียว นี่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าเดี๊ยนไม่ชอบการรอคอย จะหมู่หรือเดี่ยวก็เข้ามา เดี๊ยนชอบหมด… หรือจะให้เดี๊ยนเป็นฝ่ายรุกก็”

ลำไยพูดไม่ทันจบก็เห็นแสงสะท้อนจากคมอาวุธออกมา จึงรีบกระโดดหลบอย่างเร็ว

วืด!

ลวนลามเฉียบพลัน!

แล้วร่างของลำไยก็พลันหายไปอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มอย่างเร็ว ก่อนจะใช้มือบีบหมับเข้าที่บั้นท้าย จากนั้นก็เข้ากอดรัดเด็กหนุ่มพร้อมกับระดมจูบไปทั่ว ซึ่งทำเอาผู้ถูกลอบโจมตีถึงกับร้องโหยหวน

“ว้าก! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!”

“โฮะๆ ถึงร้องไปก็ไม่มีใครช่วยตะเองได้แล้วนะฮ้า แหมตะเองชอบรุนแรงก็ไม่บอกแต่แรก มามะ มาสนุกกันให้สุดเหวี่ยง” ลำไยพูดด้วยน้ำเสียงสนุกสนานที่ได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงเด็กหนุ่ม ซึ่งในขณะเดียวกันพิภพกับปฐพีที่ยืนหลบซ่อนอยู่นั้น ต่างเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่าใครจะเป็นคนออกไปช่วยเพื่อน

“นายเข้าไปช่วยศาสตราเร็ว”

“เฮ้ย นายเป็นเผ่ายักษ์ปล้ำกับมันได้สูสีนะพิภพ”

“แต่นายเป็นมนุษย์คล่องตัวกว่าฉันนะ”

“พวกคุณมึงทั้งสองคร้าบ ช่วยกูก่อนสิคร้าบ กูจะกลายเป็นเมียของมันอยู่แล้วคร้าบ”

เสียงร้องอย่างโหยหวนของศาสตราทำให้พิภพรีบปราดเข้าไปช่วยอย่างเร็ว โดยมีปฐพีที่วิ่งตามมาทีหลัง

สวบ!

เสียงอาวุธเสียบเข้ากับอะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้นัยน์ตาสองข้างของลำไยถึงกับเบิกกว้าง ก่อนที่จะหันมามองบุรุษร่างยักษ์ผู้ลอบโจมตีมันด้วยนัยน์ตาแวววับ

เฮือก

เพียงแค่สบตาพิภพก็ถึงกับผวาจนมือไม้สั่น แต่ด้วยความรักตัวกลัวตุ๊ดผนวกกับความรักเพื่อนทำให้พิภพต้องจำใจเข้าแลกกับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้

เอาวะ เสร็จงานนี้ พ่อจะออกเกมตะลุยอ่างล้างซวยให้สะเด็ดไปเลย

จากนั้นพิภพก็เงื้ออาวุธของตนแล้วเหวี่ยงใส่เป้าหมายอย่างสุดกำลัง แต่ลำไยมิได้อยู่ตรงนั้นแล้ว มีเพียงศาสตราที่เข่าอ่อนล้มระทวยกองพังพาบกับพื้น ในเสี้ยววินาทีที่คมขวานพุ่งผ่านศีรษะไปอย่างน่าใจหาย

“อะฮ้า พ่อร่างยักษ์ ล่ำๆ เก๋ไก๋สไตล์Kแบบนี้ ลำไยชอบมากฮ่ะ” ไม่ทันการเสียแล้ว ลำไยอาศัยจังหวะที่พิภพโจมตีพลาด รุกเข้าประชิดวงในและเปิดฉากการต่อสู้แบบมวยปล้ำในทันที โดยเฉพาะทั้งคู่ที่มีร่างกายใหญ่โตและบึกบึนพอๆ กัน เพียงแต่ศิลปะการปล้ำที่ออกมานั้น ช่างต่างจากที่ปรากฏในโทรทัศน์เสียนี่กระไร ด้วยฝ่ายหนึ่งปล้ำเพื่อเอาชีวิตรอด แต่อีกฝ่ายหนึ่งปล้ำเพื่อหมายลิ้มรสข้าวเหนียวถั่วดำ ซึ่งไม่ช้าก็เริ่มรู้ผล

“แว้ก ไม่อาว แม่จ๋า ช่วยหนูด้วย”

“อย่าดีดดิ้นนักสิฮ้า พ่อล่ำยอดรัก”

“ม่าย”

“ยาราไนก๊า”

“Nooooooo”

อูบุนตู้!!!

เพียงแค่ได้ยิน พิภพ และปฐพีก็เย็นวาบถึงสันหลัง แน่นอนว่าทักษะนี้เป็นสุดยอดของยอดทักษะที่ใช้ประหารชายชาตรีมานับไม่ถ้วน ด้วยเกรงว่าเพื่อนรักจะค้นพบตัวเองเข้าเสียก่อน ปฐพีจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดทันที

คุณยายครับ ปกป้องผมด้วย ลูกแก้วจ๋า พ่อรักหนู

“มาหาข้านี่!”

ทักษะกระตุ้นความกระหายสู้ ทักษะประจำอาชีพของเหล่าอัศวินถูกนำมาใช้อย่างไม่ต้องลังเลอีกต่อไป ที่สำคัญด้วยรูปร่างหน้าตาและเพศของปฐพี ต่อให้ใช้ทักษะที่เลเวล1 ก็เพียงพอสำหรับการกระตุ้นความสนใจจากกระเทยตกมัน ที่เวลานี้กำลังติดผลของทักษะกระหายชายหนุ่มที่ระดับสูงสุด เพียงแต่ไม่ใช่ความกระหายสู้อย่างที่คิดแต่เป็นความกระหายถั่วดำ

“หยึย”

ผัวะ!

โล่ของปฐพี ตบเข้าใส่ที่ใบหน้าของลำไยอย่างรุนแรง แต่น่าแปลกที่มันกลับไม่ติดสถานะมึนงง หรือขึ้นค่าความเสียหายเป็นตัวเลขเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันเป็นอมตะก็ไม่ปาน

“โฮะๆๆ ตบอีกสิฮ้า หนุ่มน้อย เข้ามาตบตีอีลำไยอีก มา เข้ามา” น้ำเสียงที่เปล่งออกมา กับเสียงลมหายใจที่ฟืดฟาดราวกับวัวกระทิง สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับลำไยเป็นทวีคูณ

“ฉิบแล้วไง ลืมไปเลยว่ามันเป็นจีเอ็ม รู้แบบนี้เชื่อคุณยายแต่แรกก็ดีแล้ว”

“อ๊ากกก” ปฐพีถึงกับร้องเสียงหลง เมื่อพบว่าลำไยขณะนี้กอดรัดเขาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมๆกับริมฝีปากที่กำลังซุกไซร้ไปมาจนเขาถึงกับขนลุกและหมดแรงในพริบตา ในขณะที่ลำไยเปิดใช้ทักษะจู่โจมเขาด้วยการลวนลามเป็นคอมโบ

“เฮ้ย พิภพ ศาสตรา ได้สติหน่อยโว้ย มาช่วยกันหน่อย ว้าก” สิ้นเสียง การตะลุมบอนแบบมวยหมู่ 3-1 ก็เกิดขึ้น ท่ามกลางความโกลาหลภายในหน้าจอมอนิเตอร์ด้านนอก ดนัยเทพ ปริญ และคนอื่นๆ กำลังยืนมองดูด้วยความขบขัน ทำให้บรรยากาศของการทำงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะราวกับได้ชมรายการตลกชั้นเยี่ยม

“ฮะๆๆ ดนัยเทพ นาย ฮะๆ โอย ขำ นายไม่รีบจัดการให้เรียบร้อยล่ะ”

“ฮะๆๆ ก็มัน ฮะๆๆๆ ขำนี่หว่า เอ้า มันฝรั่ง”

ดนัยเทพกล่าวตอบพลางหัวเราะไปพลาง ก่อนจะส่งห่อมันฝรั่งทอดให้กับเพื่อนที่อยู่ในอาการเดียวกัน เสียงเคี้ยวมันฝรั่งดังสนั่น โดยเฉพาะปริญถึงกับแก้มตุ่ย ส่วนดนัยเทพก็ยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมาดื่ม แล้วเรออย่างสบายใจ ชั่วขณะหนึ่งที่เขารวบรวมสมาธิกลั้นหัวเราะ นิ้วของเขาก็กดแป้นพิมพ์ป้อนคำสั่งบางอย่างลงไปทันที

ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ศาสตรา พิภพ และปฐพีตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ชกเข้าที่กลางลำตัวของกระเทยควายที่พันตูกับพวกเขาสุดแรงเกิด

หมัดสลายบุรุษ กำลัง 3

แค่ครั้งเดียวก็เห็นผล ลำไยใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวซีด มือทั้งสองกุมเป้าทรุดลงกองกับพื้นแน่นิ่งไปในทันที

“ท่านได้รับผลจากทักษะ หมัดสลายบุรุษ ทำให้ค่าพลังลดเหลือ 0 หน่วย”

เสียงระบบประกาศในหัวของลำไย ก่อนที่ภาพตรงหน้าลำไยจะดับวูบลง

..................

“เนื่องจากผู้เล่นลำไยถูกโจมตีจุดตาย ทำให้ถึงแก่ความตาย”

เสียงระบบประกาศบอกก่อนที่ร่างของลำไยจะเลือนหายไปพร้อมกับแสงสีทองลอยสู่ขึ้นเหนือฟ้า เมื่อลำไยถูกฆ่าตายแล้ว ทำให้ทั้งสามหนุ่ม เข่าอ่อนนั่งลงไปกองกับพื้น

“ทำไมถึงออกมาช่วยฉันช้านักล่ะ รู้หรือเปล่าว่ามันโจมตีมาแต่ละที เล่นเอาฉันเกือบตายแล้วนะ” เด็กหนุ่มหันไปบ่นใส่สองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ “ดูสิ พลังเหลือตั้ง 1 แถมยังต้องเสียเนื้อเสียตัวให้มันจับ อึ๋ย คิดแล้วยังขนลุกไม่หายเลยเนี่ย”

“อย่างกับนายโดนคนเดียว ฉันกับพิภพก็ไม่แพ้นายหรอกนะ”

“แต่ฉันเกือบโดนมันอูบุนตู้แล้วนะเฟ้ย ยิ่งตอนมันร้องยาราไนก้า ฉันแทบจะเชือดคอตาย”

“ให้ตายสิ อีกระเทยควายยักษ์นี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่ กว่าจะเอาลง ถึกแล้วยังสยองอีก ฉันนี่ไม่น่าร่วมเล่นละครกับพวกนายเลย” ศาสตราพูดจบก็ถอนหายใจเฮือกก่อนจะหยิบขวดน้ำยายกขึ้นดื่มเพื่อเพิ่มพลังเลือดในร่างกาย

“อย่าคิดแบบนั้นสิศาสตรา เดี๋ยวไว้จบงานนี้แล้วฉันจะพานายไปเลี้ยงอาหารที่ภัตตาคารในเมืองเริ่มต้นแทนคำขอโทษแล้วกันนะ” ปฐพีบอกก่อนจะเอามือมาแตะบ่าเพื่อนเพื่อปลอบใจ

“งั้นฉันขอเงินเพิ่มที่ต้องเสียผ้าคลุมนักเวทย์ชั้นดีด้วยนะปฐพี” ศาสตราพูดเสริม ซึ่งปฐพีก็พยักหน้าตอบตกลง

วูบ!

ลำแสงสีทองได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างยักษ์ของลำไยที่กลับมาจุติอีกครั้ง ซึ่งไม่ทันที่ลำไยจะได้รู้สึกตัวดี ปฐพีก็รีบตวัดดาบตัดเข้าที่ลำคอของลำไยอย่างรวดเร็ว

ฉับ!

วูบ!

ร่างของลำไยถูกส่งให้กลับไปรอในห้องจุติอีกครั้ง

“มันไม่โหดเกินไปหน่อยเหรอปฐพี” พิภพหันมาถามอย่างสงสัย “เล่นฆ่าทั้งๆที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่ถึงสิบวินาทีดีเลยนะ”

“ฉันรู้ดีว่ามันโหดเหี้ยมเกินไป แต่ฉันจะไม่ให้อภัยกับสิ่งที่มันทำคุณยายของฉันเอาไว้ หรือนายจะปล่อยให้มันลอยนวลโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยล่ะ” นี่เป็นครั้งแรกที่ปฐพีโกรธจนถึงขั้นลงมือฆ่าคน เพราะเดิมทีชายหนุ่มไม่เคยเอาเรื่องกับใครถึงขนาดนี้ ถ้าเหตุมันไม่สุดวิสัยจริงๆ ล่ะก็นะ

“นี่ยังดีที่ไม่มีผู้เล่นคนอื่นเห็น ไม่งั้นนายได้ถูกลดขั้นจากผู้เล่นระดับท็อปที่แสนจะใจดีกลายเป็นผู้บ้าความยุติธรรม ตัดสินคนเลวด้วยการฆ่าซ้ำกันหลายครั้งต่อหลายครั้งก็เป็นไปได้” ศาสตราบอกพลางถอนหายใจ ซึ่งทำให้คนฟังพลอยอดพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของศาสตราเสียมิได้

“ถ้างั้นทีหลังก็คงต้องระวังกันหน่อย จีเอ็มยิ่งคอยจับตาดูพวกเราอยู่เสียด้วยสิ” เมื่อคุยกันเสร็จแล้ว ลำไยก็พลันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เป็นตาของพิภพ ชายหนุ่มชักขวานออกมาก่อนจะจามใส่หัวของลำไยอย่างเหี้ยมโหด

โพละ!

วูบ!


ลำไยถูกพิภพส่งไปเกิดใหม่โดยไม่ทันได้ร้องสักแอะ

“ว่าแต่เขา นายเองก็ฆ่าโหดใช่ย่อยเหมือนกันนะพิภพ”

“โทษฐานที่มันเกือบเล่นอูบุนตู้ฉัน” ศาสตราพูดแขวะ ในขณะที่พิภพก็ตอบด้วยอารมณ์ที่เผ็ดร้อน เป็นของธรรมดาเพราะเขาเกือบๆ จะเสียตัวให้กับมัน แล้วหลังจากนั้นลำไยก็ได้เกิดอีกครั้งและก็ถูกศาสตราลงมือฆ่าเพื่อล้างแค้นให้กับตัวเองบ้าง ซึ่งเหตุการณ์นี้วนเวียนไปอยู่ถึงสองชั่วโมง จนคนที่ถูกฆ่าถึงกับร้องไห้คร่ำครวญ

“ปล่อยเดี๊ยนไปเถิดนะ!”

ตูม!

“อย่าฆ่าเดี๊ยนเลยนะขอร้อง!”

ฉัวะ!

“เดี๊ยนขอโทษฮ้า!”

ฉึก!

“ฮือๆ”

โพละ!

“เอ๋งๆ!”

เสียงร้องครั้งล่าสุดนี้ทำเอาสามหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว แต่ทว่าเวลาลงทัณฑ์ของสามหนุ่มก็ได้จบลง เมื่อมีใครบางคนได้ปรากฏต่อหน้าพวกปฐพี

“สวัสดีครับคุณปฐพี คุณพิภพ คุณศาสตรา” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทผูกเนคไทต์ยืนกล่าวสวัสดีกับพวกเขา “กระผมดนัยเทพ หัวหน้าผู้ควบคุมทุกอย่างในเกมครับ”

แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ สามหนุ่มไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่มองดนัยเทพเพียงอย่างเดียว เพราะต่างรู้ดีว่าพวกเขาต้องโดนจีเอ็มเข้ามาเตือนเรื่องการกระทำผิดของพวกเขาอย่างแน่นอน

“ตามกฎมาตราของผู้เล่นเกมที่ห้า” ดนัยเทพพูดเกริ่นเข้าเรื่อง “ว่าด้วยผู้เล่นคนใดทำร้ายร่างกายพนักงานของเกมจะถูกลงโทษด้วยการยึดเงินเป็นจำนวนสิบล้านเหรียญกับถูกควบคุมความประพฤติหนึ่งปีแต่…”

แล้วดนัยเทพก็หยุดพูดไป ก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งครั้ง สีแสงทองก็พลันปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างชายใจหญิงนามว่าลำไยนั่งสะอื้นไห้

“ถ้าพนักงานประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับเป็นพนักงานด้วยการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยการกดราคาที่ต่ำเกินมาตรฐานในการรับซื้อเสื้อผ้าจากผู้เล่น และจงใจขืนใจผู้เล่นชายโดยที่พวกคุณไม่ได้ยินยอม ฉะนั้นทางเราได้ตัดสินแล้วว่าจะลดหย่อนโทษให้พวกคุณจากหักเงินสิบล้านเหรียญเป็นคนละห้าล้านเหรียญ และนอกจากนี้ผมเห็นว่าพวกคุณยังคงทำร้ายร่างกายพนักงานนานถึงสองชั่วโมงโดยไม่หยุดหย่อน ก็ต้องขอเพิ่มโทษโดยขอให้พวกคุณไปทำความสะอาดเมืองเริ่มต้นเป็นเวลาสองเดือนในเกมด้วยนะครับ” พอสิ้นคำพูดของดนัยเทพ ทำเอาคนร้องไห้เสียงสะอื้นถึงกับหยุดร้อง

“ไม่ได้นะฮ้าคุณดนัยเทพ ลงโทษแค่ห้าล้านเหรียญกับทำความสะอาดเมืองมันเบาไป มันต้องแบนไอดีเท่านั้น!”

“ผมยังไม่อนุญาตให้คุณพูดนะครับคุณลำไย” ดนัยเทพพูดเสียงเรียบ ซึ่งทำเอาลำไยยอมหุบปากแต่โดยดี “ส่วนเรื่องที่พวกคุณสามคนรุมทำร้ายจีเอ็มลำไยนั้น ทางเราจะปิดไว้เป็นความลับเพื่อมิให้เสื่อมเสียชื่อเสียงสมาคมจับฉ่ายของพวกคุณ”

พอปฐพีได้ยินดังนั้นจึงกล่าวขอบคุณดนัยเทพที่ช่วยปิดข่าวนี้ไว้

ดีเหมือนกัน คุณยายจะได้ไม่รู้เรื่องที่เราทำเอาไว้

“อ้อ แล้วทีนี้ก็ถึงตาคุณลำไย” ดนัยเทพพูดพลางหันกลับไปมองลำไยที่นั่งอยู่กับพื้นอย่างเจี๋ยมเจี้ยม “จากข้อมูลที่เราตรวจสอบมาทั้งหมด คุณกระทำการขืนใจผู้เล่นชายจนเลิกเล่นไปบวชหรือไปอยู่โรงพยาบาลบ้ามาแล้วหลายราย นอกนั้นก็มีเพียง 2 รายที่ยังเล่นอยู่ คือผู้เล่นเมฆา และผู้เล่นศาสตรา”

พอได้ยินชื่อสุดท้ายที่ดนัยเทพกล่าวถึง ทำเอาสามหนุ่มสะดุ้งตกใจโดยเฉพาะศาสตราที่ยืนหน้าซีดจวนจะเป็นลม ไหนจะชื่อของเมฆาผู้เล่นระดับท็อปที่ทำให้ปฐพีถึงกับขมวดคิ้ว

หมอนั่นก็โดนลวนลามด้วยรึนี่

“ไม่จริง ผมไม่เชื่อ” ศาสตราร้องโวยวาย “ผมไม่แม้แต่จะเคยเจอหน้ามัน จะโดนอีควาย เอ้ย อีกระเทยควายนี่ขืนใจได้ไง”

ดนัยเทพยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ผมพูดไม่ผิดหรอกครับคุณศาสตรา คุณเคยโดนจีเอ็มลำไยลวนลามจริงๆ เพียงแต่ทางเกมได้ใช้โปรแกรมลบความทรงจำในช่วงไม่ดีของคุณให้ออกไป ฉะนั้นคุณถึงจำเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ได้ยังไงล่ะครับคุณศาสตรา”

พอได้ยินคำตอบแล้ว พิภพถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะถามกลับไปว่า

“มันมีด้วยหรือครับไอ้โปรแกรมลบความทรงจำเนี่ย”

“มีสิครับ” ดนัยเทพหันมาตอบคำถามของพิภพ “มันเป็นระบบป้องกันผลข้างเคียงจากความรุนแรงที่เกิดขึ้น จะเรียกว่าเป็นระบบบำบัดอาการทางจิตก็ได้ครับ และเพราะเกมนี้มีความสมจริงมาก ทำให้บางเหตุการณ์ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจผู้เล่น จึงต้องมีระบบนี้เข้ามาช่วยรองรับ”

“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พวกเราจะได้รับการบำบัดด้วยระบบนี้ไหมครับ”

ศาสตราถามอย่างสงสัย ซึ่งดนัยเทพส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ไม่ครับ ทางเราถือว่านี่เป็นการลงโทษที่กระทำเกินกว่าเหตุ”

โอ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า นี่ลูกจะต้องจดจำวินาทีสยองนี้ไปจนตายเลยใช่ไหม

ทั้งสามหนุ่มคิดในใจพร้อมกัน เมื่อสามหนุ่มไม่มีคำถามแล้ว ดนัยเทพจึงพูดถึงบทลงโทษของลำไยต่อ

“นอกจากคุณจะขืนใจผู้เล่นชายแล้ว ยังใช้อำนาจของจีเอ็มในการตั้งราคารับซื้อเสื้อผ้าของพวกคุณสามคนในราคาต่ำกว่ามาตรฐานของเกม รวมถึงการตั้งราคาของขายในร้านค้าตัวเองที่สูงลิบลิ่วจนผู้เล่นระดับต่ำไม่สามารถซื้อได้ ซึ่งทางเราได้ส่งข้อความตักเตือนมาแล้วแต่คุณกลับไม่ทำตาม เพราะฉะนั้นทางเราขอไล่คุณลำไยออกจากการเป็นจีเอ็มฝ่ายเอ็นพีซี ณ บัดนี้”

พอดนัยเทพพูดจบ ร่างของลำไยก็พลันเปลี่ยนไป จากเสื้อผ้าที่ดูหรูมีระดับและราคาแพงกลับเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้านักผจญภัยในระดับ1 ซึ่งทำเอาลำไยที่เห็นดังนั้นถึงกับกรีดร้องโหยหวน จนสามหนุ่มแทบสะดุ้งโหยงด้วยความกลัว

“แก…แกไอ้ดนัย…มึงกล้าไล่กูออก มึงไม่ได้ตายดีแน่!” เมื่อลำไยโดนถอดถอนยศกับสภาพความร่ำรวยของตัวเองทั้งหมดแล้ว ก็พลันผุดลุกขึ้นหมายจะฆ่าดนัยเทพที่ยืนยิ้มหน้าตายให้จงได้ ทีแรกสามหนุ่มจะปราดเข้าไปช่วยแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อดนัยเทพยกมือขวาขึ้นห้ามในเชิงประมาณว่า’เดี๋ยวผมจัดการเองได้ครับ’ ก่อนจะเรียกกระบองออกมาจากมืออย่างเร็วแล้วฟาดเข้าที่ใบหน้าของลำไยเต็มแรง ทำเอาร่างยักษ์ที่โดนกระบองไม่ทันตั้งตัวถึงกับลอยกระเด็นเหมือนลูกเบสบอลที่ถูกตีโฮมรัน

9999

“โห คุณดนัยเทพนี่สุดยอด!” ศาสตราร้องพลางมองร่างลำไยที่ลอยได้ไปไกลแล้ว

“ขอบคุณที่ชมครับคุณศาสตรา” ดนัยเทพกล่าวขอบคุณ “ผมจัดการลงโทษขั้นเด็ดขาดไปแล้ว เขาถูกแบนไอดีและพ้นสภาพการเป็นพนักงานของเราตั้งแต่วันนี้”

“แล้ว…” ปฐพีกำลังจะอ้าปากถามเรื่องที่คุณยายโดนหลอกขายเสื้อผ้าแพง แต่ดนัยเทพกลับพูดสวนมาว่า

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณปฐพี เดี๋ยวทางเราจะคืนเงินส่วนที่ลำไยหลอกให้กับผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์แน่ครับ”

พอได้ยินที่ดนัยเทพบอกแล้ว ชายหนุ่มถึงกับหายใจโล่งคออย่างหมดกังวล เมื่อสามหนุ่มหมดธุระแล้วก็พากันกลับเข้าเมืองเริ่มต้นไป ส่วนดนัยเทพก็พลันหายตัวไปจากเกมทันที

............................

 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 23 เดชอีลำไย (update 100%) P.2 24/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 27-02-2015 09:28:49
บทที่ 24 มาริโอ vs. ปิเอโร่

....................

กลับมาทางด้านพวกราตรี ซึ่งตอนนี้ทั้งสองคนกับอีกหนึ่งตัวได้ขุดแร่ตามที่ภารกิจระบุไว้จนครบเรียบร้อยแล้ว หากแต่เมฆาชวนให้ราตรีกับมาริโออยู่ขุดแร่ต่อเพราะราตรีจะได้อัพเลเวลของการต่อสู้กับอายุจนครบสิบ แล้วถึงจะพากลับเมืองเริ่มต้นเพื่อไปส่งภารกิจกับเปลี่ยนอาชีพที่ราตรีต้องการเอาทีหลัง

“ว่าแต่น้องราตรีคิดไว้แล้วรึยังครับว่าอยากจะเป็นอาชีพอะไร” เมฆาถามในขณะที่นั่งหั่นผักอยู่ ซึ่งคำถามของเมฆาทำเอาราตรีขมวดคิ้ว

“เอ่อ ผมคิดว่าจะเป็นนักดาบสายเวทย์นะฮะ” ราตรีตอบ เพราะก่อนหน้านี้เมฆาเคยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับอาชีพเบื้องต้นให้เธอได้ฟังอย่างละเอียดถี่ยิบ ซึ่งอาชีพหลักๆในเกมก็จะมีนักดาบ นักธนู พ่อค้าแม่ค้า นักเวทย์ โจร นักบวชเป็นต้น ส่วนอาชีพรองลงมานั้นก็ล้วนแล้วแต่ผู้เล่นจะต้องการเป็นอาชีพอะไร ทว่าอันนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่าจะฝึกฝนได้มากน้อยแค่ไหน ถึงจะประสบความสำเร็จในอาชีพที่สองตามที่ตัวเองเป็นคนเลือกเอาไว้ ซึ่งเมฆาบอกว่ามีผู้เล่นน้อยมากที่จะทำได้สำเร็จ จึงทำให้ไม่มีผู้เล่นคนใดคิดจะเลือกอาชีพรองมาเล่นให้เสียเวลา

“อ้ออย่างนั้นหรอกรึครับ ถ้าน้องราตรีต้องการแบบนั้นพี่ชายจะช่วยติวให้” เมฆาบอกด้วยความหวังดี เพราะชายหนุ่มอยากให้อีกฝ่ายมีสองอาชีพได้สำเร็จเหมือนกับตัวเองที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว

“ขอบคุณฮะท่านพี่เมฆา ผมต้องรบกวนพี่อีกนานเลย” ราตรีกล่าวขอบคุณก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่ท่านพี่มีสายอาชีพหลักกับรองอะไรบ้างฮะ”

“ก็อาชีพเดียวกันกับที่เราคิดนั่นแหละครับ แต่พี่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าเกมนี้สมจริงมากเสียจนผู้เล่นบางคนที่ไม่เคยจับดาบมาก่อน มักจะกลัวจนเลิกเล่นอาชีพนี้ไปเลยก็มี เพราะงั้นน้องต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้ดีล่ะ” ราตรีขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ฮะท่านพี่เมฆา” หลังจากพวกราตรีทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ลงมือขุดแร่กันต่อไปอีก ซึ่งในช่วงที่ขุดแร่นั้นราตรีก็ได้อัพเลเวลการต่อสู้ครบสิบกับอายุที่เพิ่มขึ้นมาเป็นสิบขวบ จนกระทั่งเข้าวันที่ห้าแล้วเมฆาก็ได้พาราตรีกับมาริโอกลับเมืองเริ่มต้นเพื่อไปรับเสื้อผ้าที่ราตรีได้สั่งเอาไว้กับลำไย

“เฮ้อ” เมฆาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “น้องราตรีครับ เดี๋ยวพอถึงร้านนั้นแล้ว พี่ชายจะไม่เข้าไปนะครับ เพราะพี่จะยืนรอน้องอยู่ที่ข้างนอกร้าน”

ราตรีได้ยินถึงกับอมยิ้มเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร ส่วนมาริโอได้แต่เอียงคอมองเมฆาอย่างไม่เข้าใจคำพูด เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงร้านลำไยแล้ว กลับพบว่าหน้าร้านได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากร้านที่ตกแต่งของน่ากลัวกลับเปลี่ยนเป็นร้านขายเสื้อผ้าธรรมดาแทน

“เอ ท่านพี่ฮะ พวกเรามาผิดร้านกันหรือเปล่าฮะ” ราตรีถามอย่างสงสัย ซึ่งเมฆากับมาริโอเองก็สงสัยด้วยเช่นกัน

“เอ พี่ว่ามาถูกร้านแล้วนะ” เมฆาตอบพลางเดินสำรวจไปมาอย่างสงสัย “ก็ไม่น่าจะผิดนะ เพราะแถวนี้มีร้านขายเสื้อผ้าอยู่แห่งเดียวด้วย”

“ทำไมพวกเราไม่ลองเข้าไปดูก่อนล่ะรัตติ เผื่อลำไยอาจจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ร้านใหม่ก็ได้” มาริโอออกความเห็น

“อือนั่นสิ งั้นก็เข้าไปกันเลย” ราตรีบอกก่อนจะพากันเดินเข้าไปพร้อมกับมาริโอ ส่วนเมฆายืนรออยู่หน้าร้านเพราะไม่เข้าไปดูด้วย เมื่อราตรีกับมาริโอเดินเข้าไปแล้ว ก็พบกับหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลสวมใส่ชุดสมัยวิคตอเรียต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีลักษะคอปิดแขนยาวกับกระโปรงสุ่มไก่ตัวบานสีชมพู ที่หัวสวมหมวกปีกกว้างซึ่งถูกประดับด้วยพู่ขนนก และนอกจากนี้ยังมีสายริบบิ้นสีดำยาวโผล่จากหมวกผูกมัดเป็นโบว์ที่ใต้คางผู้สวมกำลังยืนยิ้มให้อยู่ “เอ่อ ไม่ทราบว่าที่นี่ใช่ร้านคุณลำไยหรือเปล่าฮะพี่สาว ผมจะมารับเสื้อผ้าที่เคยได้สั่งเอาไว้”

ราตรีถามพลางจ้องเอวที่คอกิ่วซึ่งเธอเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายต้องใส่ชุดคอเซ็ต*ด้วยอย่างแน่นอน

คงทรมานน่าดู

“ถ้าเป็นสี่วันก่อนนะใช่ค่ะ” อีกฝ่ายตอบพลางยิ้มหวานให้ ซึ่งทำเอามาริโอที่จ้องหญิงสาวตาเป็นมันถึงกับน้ำลายไหลย้อยมุมปากอย่างลืมตัว “แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วค่ะ เพราะคุณลำไยถูกไล่ออกจากการเป็นจีเอ็มฝ่ายเอ็นพีซีกับถูกแบนออกจากเกมแล้วค่ะ”

“อ้าว ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะฮะ” ราตรีถามอย่างสงสัยปนตกใจกับเรื่องที่ได้ยินนิดหน่อย ส่วนมาริโอเองที่กำลังตกตะลึงกับความงามของหญิงสาวก็พลันตกใจกับเรื่องที่ได้ยินด้วยเช่นเดียวกัน

“ต้องขออภัยด้วยที่ทางเราไม่สามารถบอกเรื่องนี้ได้ค่ะ เพราะมันเป็นความลับส่วนบุคคล” หญิงสาวตอบก่อนจะพูดต่อ “มิทราบว่าคุณผู้เล่นมีชื่อเรียกว่าอะไรคะ”

“ราตรีพิสุทธิ์ฮะ”

“ราตรีพิสุทธิ์หรือคะ งั้นกรุณารอสักครู่นะคะ” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในหลังร้านสักพัก ก่อนจะโผล่ออกมาพร้อมกับถุงเงินจำนวนหนึ่ง “ต้องขออภัยด้วยนะคะ ชุดที่คุณเคยสั่งตัดไว้กับคุณลำไยนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทางเราถือว่าผลงานชิ้นนั้นล้มเหลว ฉะนั้นทางเราจะขอคืนเงินจำนวนหนึ่งล้านเหรียญคืนให้กับคุณผู้เล่นทั้งหมดค่ะ”

“ฮะ เข้าใจแล้วฮะ” ราตรีตอบอย่างเข้าใจ ถึงแม้จะได้ชุดไปแต่เธอก็ไม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นชุดของเด็กทารก เมื่อได้รับเงินกลับคืนมาครบจำนวนแล้ว เธอก็บอกลาหญิงสาวก่อนจะเดินออกจากร้านไป

“ว่ายังไงครับน้องราตรี ได้เรื่องหรือเปล่าเอ่ย” เมฆาเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นราตรีกับมาริโอเดินออกมา

“ได้ฮะ เขาบอกว่าร้านนี้เปลี่ยนเป็นร้านอื่นแล้ว เพราะพี่ลำไยถูกไล่ออกจากการเป็นจีเอ็มกับถูกแบนออกจากเกมไปนะฮะ”

“อ้าว ถ้างั้นเรื่องเสื้อผ้าของน้องล่ะครับ” เมฆาถามต่ออย่างสงสัย

“เขาบอกว่าเสื้อผ้ายังเย็บไม่เสร็จดีก็เลยคืนเงินทั้งหมดให้ผมนะฮะ แต่ผมว่ามันก็ดีเหมือนกัน  เพราะตอนนี้ผมคงใส่ชุดเด็กทารกไม่ได้อีกแล้วฮะ” ราตรีตอบ ซึ่งทำให้ผู้ฟังต้องพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย เมื่อคุยกันเสร็จแล้วเมฆาก็พาราตรีกับมาริโอไปยังตึกเปลี่ยนอาชีพทันที ในขณะที่ทั้งสองคนกับอีกหนึ่งตัวกำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงดังขึ้นมา

“ยังจำไม่เคยลืมเลือน คอยเตือนตัวเองเอาไว้ มันชื่อว่าลำไย ยังเก็บเอาไว้ในใจเรื่อยมา” พอสิ้นเสียงเพลง เมฆาถึงกับสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบหันซ้ายหันขวา

“ท่านพี่เมฆาเป็นอะไรไปเหรอฮะ” ราตรีเห็นเมฆาทำท่าแปลกๆจึงเอ่ยปากถามอย่างสงสัย ทว่าชายหนุ่มไม่ตอบได้แต่หันซ้ายหันขวาหาต้นเสียง ซึ่งราตรีกับมาริโอเองก็ต้องพลอยหันมองตาม ก่อนจะพากันชะงักเห็นใครบางคนในชุดตัวตลกกำลังเดินส่ายสะโพกตุ้งติ้งคล้ายกระเทยอย่างพี่ลำไยมาทางนี้

“แก…ไอ้…ปิเอโร่”

“แหมคุณชายก็ อย่าเรียกเค้าแบบนั้นสิฮ้า มันเขินนะ” ชายในชุดตลกนามว่าปิเอโร่พูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน แต่ทว่าคนฟังหาได้รู้สึกขำไม่

ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้

ราตรีกับมาริโอคิดในใจ

“ท่านพี่เมฆารู้จักกันด้วยเหรอฮะ” ราตรีถามต่ออย่างสงสัย

ซึ่งเมฆากำลังจะอ้าปากตอบคำถามของเธอ ปิเอโร่ในชุดตัวตลกกลับแย่งตอบว่า

“ขออภัยที่กระผมแนะนำตัวช้าไปหน่อยคุณชายน้อย กระผมปิเอโร่ผู้รับใช้ซื่อสัตย์ของคุณชายเมฆานะขอรับ” ปิเอโร่พูดพลางก้มตัวคำนับโดยไม่ลืมที่จะถอดหมวกออกแล้วแนบไว้กับอกของตัวเอง

“ปิเอโร่…อย่างงั้นเหรอฮะ” ราตรีพูดด้วยความสงสัย เพราะเธอไม่คิดว่าเมฆาจะได้ตัวตลกปิเอโร่เป็นทาสรับใช้

“ขอรับกระผม” ปิเอโร่ตอบพลางเงยหน้าขึ้นก่อนจะนำหมวกใส่กลับเข้าที่เดิม จากนั้นจึงค่อยหันไปมองเมฆาต่อ “ต้องขออภัยที่กระผมมาช้านะขอรับคุณชาย พอดีเรือที่กระผมโดยสารมาด้วยเกิดเจอมรสุมอย่างหนัก จึงทำให้การเดินทางมาที่นี่ล่าช้าไปสักนิด”

“แล้วปิเอโร่ไปไหนมาเหรอฮะ ถึงได้มาหาท่านพี่เมฆาช้า” ราตรีถามต่ออย่างสงสัย ซึ่งปิเอโร่ก็หันมาตอบยิ้มๆว่า

“กระผมไปทำงานมานะขอรับคุณชายน้อย” คำว่าคุณชายน้อย ทำให้ราตรีหน้าขึ้นสี

“เรียกข้าว่าราตรีจะดีกว่านะฮะ” ราตรีบอกด้วยความขัดเขิน

“ก็ได้ขอรับคุณราตรี” ปิเอโร่ตอบตกลงก่อนจะอ้าปากถามต่อ “ว่าแต่พวกคุณกำลังจะไปที่ไหนหรือขอรับ กระผมขอติดตามไปด้วยคนได้ไหม”

“นี่ๆขอถามอะไรหน่อย เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ปิเอโร่ ทำไมกลิ่นไม่เหมือนมนุษย์เลยสักนิด” จู่ๆ มาริโอก็เอ่ยปากถามแทรกขึ้นมาอย่างสงสัย ซึ่งปิเอโร่ได้ยินดังนั้นก็พลันหันหน้ากลับไปตอบมาริโอด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า

“กระผมเองก็สงสัยเหมือนกันขอรับ ว่าเห็ดมาริโออย่างคุณทำไมถึงมีแขนมีมือได้ทั้งๆที่เห็ดมาริโอตัวอื่นไม่เคยมีสักตัวเดียว”

“นี่เจ้า!” มาริโอพูดด้วยความเดือดดาล หากแต่ราตรีใช้มือแตะไหล่หัวของมาริโอห้ามเอาไว้

“ห้ามเสียมารยาทนะมาริโอ” ราตรีดุมันก่อนจะหันหน้ามายิ้มให้กับปิเอโร่ “ข้าต้องขอโทษแทนมาริโอด้วยนะฮะ มันยังเด็กมากก็เลยไม่รู้ประสีประสา”

“ไม่เป็นไรขอรับคุณราตรี กระผมไม่ถือสาหาความอยู่แล้ว ว่าแต่จะตอบได้รึยังขอรับว่าพวกคุณกำลังจะเดินทางไปที่ไหนกัน” ปิเอโร่เอ่ยปากถามสงสัย หากแต่ผู้ตอบนั้นกลับเป็นเมฆาซึ่งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนว่า

“ไปตึกเปลี่ยนอาชีพ ถ้าจะไปก็ตามมา อย่าได้พูดมาก” ราตรีถึงกับขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสกลิ่นไอแห่งความเย็นชาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าเธอไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เพราะไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แล้วชายหนุ่มก็ออกเดินนำโดยไม่พูดไม่จา ซึ่งทำให้ราตรี มาริโอ และปิเอโร่ต้องรีบเดินตาม เมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ราตรีก็พบว่าที่นี่เหมือนกับตึกผู้เล่นใหม่ไม่มีผิด มีเพียงแค่ป้ายชื่อที่เขียนสถานที่แตกต่างกันเท่านั้น

“เดี๋ยวกระผมรออยู่หน้าตึกนะขอรับคุณชายคุณราตรี” ปิเอโร่บอกก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในตึก

“อ้าวไม่เข้าไปด้วยกันหรอกหรือฮะ” ราตรีถามอย่างสงสัย หากแต่เมฆาไม่รอให้ปิเอโร่ได้ตอบ กลับดึงแขนราตรีกับมาริโอให้เดินเข้าไปอย่างเร็ว ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับงุนงง เมื่อเข้าไปยังข้างในแล้ว เมฆาก็ปล่อยแขนมาริโอออกก่อนจะหันหน้ามาทางราตรี

“พี่ชายไม่ว่าอะไรน้องเลยถ้าน้องอยากจะทำความรู้จักกับปิเอโร่” เมฆาพูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาราตรีขมวดคิ้ว “แต่อย่าได้ทำสนิทสนมกับมันมาก เพราะพี่ไม่ชอบ”

ชอบไม่ชอบแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?

แล้วเธอก็ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกับปิเอโร่เสียหน่อย


“ทำไมล่ะฮะท่านพี่เมฆา ผมไม่เข้าใจ” ราตรีถามกลับ ซึ่งทำเอาร่างสูงชะงัก “ปิเอโร่เป็นคนรับใช้ท่านพี่เองนะฮะ ทำไมผมถึงจะคุยกับเขาไม่ได้ล่ะ”

“เอ่อ...พี่...ไม่มีอะไร...พี่ว่าเราไปเปลี่ยนอาชีพกันเถอะครับ แล้วพี่จะได้พาน้องไปซื้ออาวุธต่อ” เมฆาพูดเปลี่ยนเรื่องทันควันก่อนจะจับแขนราตรีออกเดินอีกครั้ง ส่วนมาริโอที่ยืนฟังอยู่ก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ยอมเดินตามเมฆากับราตรีไปอย่างเงียบๆ

“ยินดีต้อนรับค่ะ” พนักงานสาวผมทองสั้นเท่าติ่งหูในชุดกี่เพ้าสีแดงซึ่งยืนอยู่ประจำเคาน์เตอร์พูดขึ้นทันทีที่เห็นสองหนุ่มเดินเข้ามาหาเธอ

“คือว่าผมพาน้องชายมาเปลี่ยนอาชีพคลาสแรกนะครับ” เมฆาบอกก่อนจะดันหลังราตรีให้มาเดินอยู่ด้านหน้าตนเอง

“งั้นกรุณาช่วยแจ้งชื่อของท่านด้วยค่ะ”

“เอ่อ...ราตรีพิสุทธิ์ครับ” ราตรีตอบ ซึ่งพนักงานสาวก็ทำการคีย์ข้อมูลก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“มิทราบว่าท่านรู้ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพของคลาสแรกไปแล้วรึยังคะ”

“ทราบแล้วครับ”

“ถ้างั้นช่วยระบุอาชีพที่ท่านผู้เล่นต้องการด้วยค่ะ”

“นักดาบครับ” ราตรีตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ซึ่งพนักงานสาวได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าคีย์ข้อมูลต่ออย่างรวดเร็วก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้มหวาน

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณที่มาใช้บริการค่ะ”

“ท่านได้เป็นนักดาบเรียบร้อยแล้วค่ะ”

เสียงระบบประกาศดังก้องหัวราตรี

“ขอบคุณครับคุณพนักงาน ถ้างั้นพวกผมสองคนต้องขอตัวก่อนนะครับ” เมฆาบอกก่อนจะพาราตรีกับมาริโอออกมาทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรสักคำเดียว เมื่อเมฆาพาเธอกับมาริโอเดินออกมานอกตึกแล้ว ก็ตรงดิ่งไปยังร้านอาวุธโดยมีปิเอโร่ตามมาอยู่ห่างๆ หลังจากที่มาถึงแล้ว ก็พาเดินเข้าไปในร้านซึ่งภายในมีอาวุธมากมายหลายประเภทวางอยู่บนชั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“ไม่ทราบว่าต้องการอาวุธอะไรหรือครับคุณลูกค้า” เสียงพ่อค้าในชุดยูกาตะชายพูด ซึ่งเมฆาก็ตอบกลับไปว่า

“ผมต้องการดูดาบคาตานะระดับ1 หน่อยครับ พอดีน้องชายผมเพิ่งเป็นนักดาบใหม่ๆ ก็เลยต้องการดาบที่จะเอาไว้ใช้ฝึกนะ”

“ได้สิครับ ว่าแต่ต้องการแบบธรรมดาหรือแบบธาตุผสมด้วยดีครับ”

“ขอทั้งสองแบบอย่างละเล่มครับ ส่วนแบบธาตุขอเป็นธาตุไฟครับ” เมฆาบอกก่อนจะทำท่านึกอะไรบางอย่างออกได้ “อ้อ แล้วก็ขอดาบไม้ไผ่สักยี่สิบเล่มด้วยครับ”

“ได้ครับ งั้นกรุณารอสักครู่นะครับ” แล้วพ่อค้าก็เดินหายเข้าร้านไป

“ท่านพี่เมฆาจะซื้อดาบไปทำไมตั้งเยอะตั้งแยะ ผมว่าแค่ดาบเล่มเดียวก็คงพอแล้วมั้งฮะ” ราตรีถามชายหนุ่มอย่างสงสัย “แล้วไหนจะดาบไม้ไผ่อีก มันจะเอาไปฟันมอนสเตอร์ได้แน่เหรอฮะ”

เมฆาได้ยินที่ราตรีถามก็พลันส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ที่พี่เอาดาบสองแบบไปก็เพื่อให้น้องได้เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นนะครับ ส่วนดาบไม้ไผ่นั้น น้องไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะโจมตีมอนสเตอร์ไม่ได้ เพราะดาบไม้ไผ่ก็เหมือนกันกับดาบทั่วไปนั่นแหละ เพียงแต่ค่าโจมตีจะน้อยกว่าก็เท่านั้นเองครับน้องราตรี”

“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้วฮะ” เมื่อคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อค้าก็เอาของที่สั่งไว้ออกมาขาย ซึ่งเมฆาก็ได้นำเงินจ่ายให้กับพ่อค้าไปประมาณสามสี่หมื่นเหรียญได้ ทำเอาราตรีเกรงใจจนต้องรีบควักเงินให้เมฆา

“ไม่ต้องให้เงินพี่หรอกนะครับน้องราตรี เพราะอันนี้พี่ตั้งใจมอบให้ฟรีครับ”

“แต่จำนวนเงินมันเยอะเกินไปนะฮะ ผมเกรงว่า”

“งั้นน้องก็ถือซะว่าสิ่งนี้เป็นคำขอโทษที่พี่ชายทิ้งพวกน้องให้เผชิญอันตรายในตอนนั้นแล้วกันนะ” ในเมื่อเมฆาบอกมาแบบนี้ ราตรีก็จนมุมที่จะเถียง เมื่อซื้ออาวุธเสร็จแล้วเมฆาก็พาไปร้านขายเสื้อผ้าต่อซึ่งคราวนี้ราตรีไม่ยอมให้เมฆาเป็นผู้ออกเงินอีกแล้ว หลังจากซื้อเสื้อผ้ากับรองเท้าเสร็จแล้ว ราตรีก็ได้ใส่เสื้อผ้านักดาบแบบใหม่กับรองเท้าสมใจอยาก โดยชุดที่สวมใส่นั้นเป็นสีแดงตัดกับสีฟ้าซึ่งเข้ากับสีของนัยน์ตาเธอได้เป็นอย่างดี

“เลือกได้ไม่เลวนี่รัตติ สีแดงเดียวกับสีตัวของข้าเลย” มาริโอกล่าวชมเมื่อเห็นราตรีเดินออกมาจากร้าน ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับอมยิ้ม

“ขอบใจที่ชม” ราตรีกล่าวขอบคุณมันก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ “จริงสิ ข้าซื้อของมาเผื่อเจ้าด้วยนะมาริโอ”

“จริงเหรอ ไหนๆขอดูหน่อยซิ!” มาริโอพูดด้วยความตื่นเต้น ซึ่งพอราตรีหยิบขึ้นมากลับเป็นดอกไม้สีส้มแทนที่จะเป็นเสื้อผ้าตามที่มันเข้าใจ “ดอกไม้? เจ้าซื้อดอกไม้นี่มาให้ข้าทำไม”

“ก็เจ้าจะได้พ่นไฟได้ยังไงล่ะ เอ้ารีบทานเข้าซะสิ”

“เจ้าบ้า! ข้าพ่นไฟได้ที่ไหนกันเล่า!!” มาริโอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ส่วนเมฆาเห็นราตรีพูดแล้ว พลันนึกขึ้นมาได้บ้าง

“น้องมาริโอครับ พี่เองก็ซื้อของมาเผื่อให้น้องด้วยนะ”

“จริงเหรอ ไหนๆ” มาริโอหันไปสนใจเมฆาแทน ซึ่งพอชายหนุ่มหยิบขึ้นมาแล้ว กลับเป็นเข็มกลัดรูปดาวสีเหลืองแทน

“เอาไปติดซะ น้องจะได้เป็นอมตะยังไงครับ” คราวนี้มาริโอถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะแผดเสียงร้องลั่น

“แง้! หนูไม่ใช่มาริโอในเกมมาริโอนะ!!!” แถมล้มตัวลงไปนอนกลิ้งกับพื้นชักดิ้นชักงอเพราะโดนคนรุมแกล้ง

“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งร้องนะขอรับ กระผมมีของจะให้” คราวนี้มาริโอหยุดชะงักด้วยความแปลกใจก่อนจะลุกขึ้นมามองปิเอโร่ที่กำลังหยิบของจากในกระเป๋า ซึ่งเผยให้เห็นกระดองเต่าสีเขียวอันใหญ่ในมือของปิเอโร่ “กระดองเต่าระดับ 10 เก็บเอาไว้ใช้เป็นอาวุธนะขอรับ...คุณ...มา...ริ...โอ”

ปิเอโร่พูดด้วยน้ำเสียงยินดีปนเยาะเย้ยถากถาง ก่อนจะส่งกระดองเต่าให้มาริโอ ซึ่งทำเอามาริโอที่นั่งฟังถึงกับเตะกระดองเต่าออกอย่างเร็ว ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนชักดิ้นชักงอแผดเสียงจ้าอีกครั้ง

“เฮ้อ! เสียภาพลักษณ์บอสเห็ดมาริโอหมดพอดีกันเลยนะขอรับ” ปิเอโร่พูดพลางถอนหายใจ ซึ่งทำเอาคนร้องผุดลุกขึ้นอย่างเร็ว

“อ้าวเฮ้ย พูดงี้มายิงกันเลยดีกว่าไอ้ปากเหม็น”

“มาริโอ!” ราตรีร้องห้ามไม่ให้มาริโอพูดไปมากกว่านี้ หากแต่ปิเอโร่กลับพูดแทรกขึ้นมาว่า

“อ้าวเฮ้ย พูดงี้มายิงกันเลยดีกว่าไอ้ปากเหม็น”

“นี่แกพูดตามข้าทำไมฟ่ะ” มาริโอพูดด้วยความเดือดดาล ทว่าปิเอโร่กลับพูดด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกับมาริโอว่า

“นี่แกพูดตามข้าทำไมฟ่ะ”

“แล้วแกจะพูดตามข้าทำหอกไร”

“แล้วแกจะพูดตามข้าทำหอกไร” ปิเอโร่ยังคงพูดตามมาริโอ ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับสติแตก

“แง้! หนูไม่ยอมนะ มาพูดตามหนูทำไม หนูไม่ยอมนะ! หนูไม่ยอม! ฮือๆ”

“แง้! หนูไม่ยอมนะ มาพูดตามหนูทำไม หนูไม่ยอมนะ! หนูไม่ยอม! ฮือๆ” ดูเหมือนปิเอโร่จะไม่ยอมเลิกแกล้ง ซึ่งทำเอาราตรีกับเมฆาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ

ว่ามาริโอเกรียนขั้นเทพแล้วนะ แต่ปิเอโร่นี่ช่าง เกรียนเมพจริงๆ

“พอแค่นั้นแหละปิเอโร่” เมฆาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น ซึ่งทำให้ปิเอโร่ที่ยืนยิ้มอยู่ถึงกับหุบยิ้มไปทันที

“ขอรับคุณชาย” แล้วราตรีก็เดินไปจับแขนมาริโอให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะใช้มือตบหลังมาริโอเบาๆเป็นการปลอบใจ

“โอ๋ๆ ไม่มีอะไรแล้วนะ หยุดร้องไห้ได้แล้วนะเด็กน้อยเอ้ย”

“ค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ8”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งเธอพูดปลอบได้ไม่นานนัก มาริโอจึงยอมหยุดร้องไห้แต่โดยดี หากแต่ราตรีได้แต่เก็บความสงสัยในท่าทางของปิเอโร่ที่ยากจะคาดเดาไว้ในใจอย่างเงียบๆ

.....................

 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 24 มาริโอ vs. ปิเอโร่ (update 100%) P.2 27/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 27-02-2015 14:07:49
บทที่ 25 ลุงจิล

......................................         

หลังจากนั้นราตรีก็ได้ขอเมฆาให้พาเธอกับมาริโอไปยังกระท่อมลุงจิล เพราะเธอกับมาริโอได้หายตัวไปหลายวันแล้ว เธอจึงกลัวว่าลุงจิลจะเป็นห่วงเอาได้ เมื่อไปถึงแล้ว ลุงจิลไม่พูดไม่จาแต่กลับยืนตะลึงเมื่อได้เห็นราตรีในรูปโฉมใหม่

“นะ…นะ…นี่เจ้าใช่รัตติแน่หรือ” ลุงจิลถามเสียงตะกุกตะกัก

“แน่สิฮะท่านลุงจิล” ราตรีตอบยิ้มๆ “ผมกลัวว่าท่านลุงจะเป็นห่วง ก็เลยมาหา ว่าแต่ท่านลุงสบายดีหรือเปล่าฮะ”

“เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าสบายดี เอ๊ะ นี่เจ้ามีแขนกับมืองอกตั้งแต่เมื่อไหร่กันมาริโอ” ลุงจิลพูดก่อนจะเหลือบเห็นแขนมาริโอทั้งสองข้างอย่างแปลกใจ

“ก็ไม่นานนี่แหละตาแก่” มาริโอตอบอย่างไม่สุภาพ ซึ่งทำให้ราตรีต้องหันมาหยิกแขนมันเป็นการลงโทษ

“พูดกับผู้ใหญ่ให้มันสุภาพหน่อยมาริโอ” ราตรีดุก่อนจะหันหน้ามาขอโทษลุงจิล “ผมต้องขอโทษแทนมาริโอด้วยนะฮะ ที่มันพูดจาเสียมารยาทกับท่านลุง”

“ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่ใส่ใจอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะเด็กน้อย ไปไงมาไงร่างกายถึงได้เติบโตขนาดนี้” ลุงจิลถามอย่างสงสัย

“เรื่องมันยาวฮะท่านลุง” ราตรีตอบพลางหยิบถุงเงินขึ้นมา ก่อนจะยัดใส่มือของลุงจิล “เงินถุงนี้ผมขอมอบให้ท่านลุงฮะ ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่ท่านลุงอุตส่าห์ให้ที่พักและเลี้ยงดูผมตอนยังเป็นทารก”

ลุงจิลได้ยินที่ราตรีพูดถึงกับส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดตอบกลับไปว่า

“เด็กน้อยเอ้ย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องให้เงินกับลุงหรอก ลุงขอแค่ได้เห็นเจ้าเติบโตเป็นคนดี รูปงามกับมีชีวิตที่ปลอดภัย ลุงก็ค่อยหายห่วงแล้ว”

“ท่านลุง” ราตรีถึงกับรู้สึกปลื้มเมื่อได้ยินคำพูดของลุงจิล เพราะเธอเปรียบเขาเสมือนพ่อคนหนึ่งของเธอ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเลี้ยงดูเขาได้เพียงแค่วันเดียวก็ตาม “อ๊ะจริงสิท่านลุงฮะ นี่เพื่อนของผมเมฆากับปิเอโร่ฮะ”

ราตรีพูดอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะผายมือไปทางเมฆากับปิเอโร่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ซึ่งพอลุงจิลหันไปมองตามมือของราตรี ทำให้นัยน์ตาของชายวัยกลางคนขยับวูบหนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นดังเดิมโดยที่ราตรีไม่มีโอกาสได้สังเกตทัน

“สวัสดีครับคุณลุง ผมเมฆา ส่วนนี่ ปิเอโร่คนรับใช้ส่วนตัวของผมครับ” เมฆาพูดแนะนำตัวเองกับปิเอโร่ให้อีกฝ่ายรู้จัก

“เช่นกันนะพ่อหนุ่ม” ลุงจิลตอบสั้นๆ ถึงแม้คล้ายจะมองเมฆากับปิเอโร่ แต่นัยน์ตาทั้งสองข้างหาได้มองไม่ “แล้วนี่เจ้าจะกลับมาพักกระท่อมข้าหรือเปล่าเด็กน้อย”

ราตรียิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า

“คงจะไม่ล่ะฮะ พอดีผมมีธุระที่ต้องไปฝึกวิชากับเพื่อนที่นอกเมืองนะฮะ”

“อย่างงั้นหรอกรึ” ลุงจิลพูดด้วยความเสียดายเมื่อราตรีบอกปฏิเสธ “ถ้าเจ้าอยากจะกลับมาพักกระท่อมของข้าอีก ก็มาได้เลยนะ ข้ายินดีต้อนรับเจ้ากับมาริโอเสมอ”

“ฮะท่านลุง ผมต้องกลับมาแน่ฮะ” ราตรีตอบก่อนจะบอกลาลุงจิลเพื่อไปฝึกวิชาต่อ

“ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะตาแก่” มาริโอพูดปิดท้ายโดยโบกมือไหวไปมา ซึ่งทำเอาราตรีต้องตบหัวมาริโอโทษฐานที่มันพูดจาไม่เพราะกับผู้ใหญ่ ส่วนลุงจิลก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เมื่อพวกราตรีได้จากไปแล้ว ใบหน้ายิ้มแย้มของลุงจิลก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันควัน ก่อนจะพูดติดต่อกับใครบางคนโดยผ่านพรายกระซิบว่า

“นี่เจพูด เป็นอย่างที่ข่าวลือพูดเอาไว้จริงๆ ตอนนี้ราชาแห่งสมาคมเงากับตัวตลกปิเอโร่อยู่ที่เมืองเริ่มต้นแล้ว ใช่ ตอนนี้อยู่กับผู้เล่นชายผมสีเงินสั้นชุดสีแดงและเห็ดมาริโอ ใช่ เริ่มแผนการได้เลย ฆ่าได้ตามสบายแต่อย่าให้สองคนนั้นโดนลูกหลงเชียวล่ะ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน แค่นี้นะ”

..........................

เมื่อพวกราตรีบอกลาลุงจิลแล้ว เมฆาก็พาเธอออกไปยังนอกเมืองเริ่มต้นเพื่อที่จะพาไปฝึกฝนดาบให้คล่องก่อนลงสนามจริง ทว่าพวกราตรีเดินออกมาจากนอกเมืองได้ไม่ถึงสามสิบนาที จู่ๆเมฆาที่เดินนำหน้าถึงกับหยุดเดิน

“มีอะไรเหรอฮะท่านพี่” ราตรีถามอย่างสงสัย

“เอาดาบคาตานะขึ้นมาเลยครับน้องราตรี” เมฆาบอกโดยไม่หันหน้ามามองราตรี ซึ่งเธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบหยิบดาบออกมาจากกระเป๋าไอเทมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ราตรีหยิบดาบขึ้นมาจากกระเป๋าไอเทมแล้ว จู่ๆก็มีผู้เล่นปริศนาในชุดคล้ายนินจาสีดำปกปิดหน้าตาถึงสิบร่างโผล่ออกมาล้อมวงพวกราตรีเอาไว้ “ระวังตัวนะ”

แล้วราตรีก็ยืนย่อเข่า มือซ้ายกุมฝักดาบแน่น มือขวากระชับที่ด้าม สายตามองกวาดประสานไปที่ดวงตาของคนในชุดดำที่ยืนล้อม ส่วนเมฆานั้นเมื่อได้เห็นราตรีแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจกับท่าทางและวิธีใช้ดาบที่ไม่ต่างกับนักดาบตัวจริงเลย แต่ทว่าเมฆาก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นก่อนจะรับการโจมตีจากพวกนักฆ่าที่ดาหน้ามาหาชายหนุ่ม ซึ่งการโจมตีของพวกชุดดำนั้นได้สร้างความแปลกใจให้กับราตรี เพราะแทนที่พวกนี้จะเข้ามาทำร้ายเธอกับมาริโอด้วย กลับรุมโจมตีทำร้ายเมฆากับปิเอโร่แทน

ให้ตายสิเจ้าพวกนักฆ่า เล่นให้เราตั้งท่ารอเก้อรึเนี่ย!

ราตรีคิดในใจอย่างฉุนจัด

“มาริโอรีบเข้าไปช่วยท่านพี่กับปิเอโร่เร็วเข้า!” ราตรีตะโกนบอก ซึ่งมาริโอก็พยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปจัดการนักฆ่าคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมฆาไม่เท่าไหร่ เมื่อมาริโอไปแล้ว เธอก็ปรี่เข้าไปหานักฆ่าที่กำลังต่อสู้กับปิเอโร่ถึงห้าคนบ้าง

“เฮ้ย! อย่าวิ่งมาทางนี้สิฟ่ะไอ้หนุ่ม” นักฆ่าคนหนึ่งร้องลั่นเมื่อเห็นราตรีถือดาบวิ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าราตรีหาได้ฟังไม่ ซึ่งทำเอานักฆ่าที่ราตรีคิดจะสู้ด้วยถึงกับรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว ส่วนราตรีที่วิ่งตามนักฆ่าก็นึกแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเอาแต่วิ่งหนีลูกเดียว ไม่ยอมหันมาสู้กับเธอเลยสักนิด

ก็ดีเหมือนกัน จะได้จัดการง่ายๆหน่อย

ราตรีคิดในใจก่อนจะตัดสินใจเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งอีกสองก้าวก็จะถึงตัวของนักฆ่าแล้ว ราตรีก็ชักดาบออกมาก่อนจะตวัดดาบฟันขาข้างซ้ายของนักฆ่าอย่างรวดเร็ว

ฉัวะ!

1908

ทันทีที่ดาบได้ตวัดขาข้างซ้ายแล้ว ขาข้างนั้นก็พลันขาดแล้วเลือดก็พุ่งกระฉูดออกมา

“อ้าก!” นักฆ่าแผดเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะล้มหน้าทิ่มเพราะขาดเสาหลักอย่างขาข้างซ้ายไป พอนักฆ่าล้มลงไปแล้ว ราตรีก็เดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะใช้ดาบเสียบเข้ากลางหลังทันที

ฉึ่ก!

“อ็อค!” นักฆ่าร้องเพียงแค่อึดใจเดียว ร่างก็พลันเปล่งแสงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างเร็ว เสร็จแล้วราตรีก็กวาดสายตาหาเหยื่อรายใหม่ ส่วนทางด้านเมฆาที่กำลังรับมือการโจมตีจากนักฆ่าอยู่ถึงห้าคนนั้น ก็ได้มาริโอวิ่งเข้ามาช่วยต่อสู้ ซึ่งทีแรกเมฆาถึงกับหัวเสียเพราะแทนที่มาริโอจะมาช่วย กลับเป็นตัวยุ่งเสียมิว่า หากแต่มาริโอวิ่งเข้าใกล้นักฆ่าคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขาไปได้ไม่ไกลแล้ว นักฆ่าคนนั้นกลับวิ่งหนีมาริโอเสียจนเตลิด ซึ่งทำเอาเมฆาถึงกับงุนงง ส่วนมาริโอที่วิ่งไล่ตามนักฆ่านั้นถึงกับแปลกใจ ว่าทำไมมนุษย์ผู้นี้ถึงได้หนีมันแทนที่จะสู้เหมือนกับเมฆา   

หรือว่านี่จะเป็นพลังจากเข็มกลัดดาวที่เมฆาให้ข้านะ?

ปิเอโร่เห็นมาริโอดังนั้นจึงตะโกนสำทับไปว่า

“ใช้ดาวอมตะไล่เตะมันเลยมาริโอ จะกระโดดเหยียบหัวมันเลยก็ได้” มาริโอได้ยินที่ปิเอโร่ตะโกนบอก จึงใช้ท่ากระโดดที่แสนจะภาคภูมิใจก่อนจะเหยียบลงบนหัวของนักฆ่าคนนั้นอยู่หลายครั้ง

ป๊อก!

100

ป๊อก!

200

ป๊อก!

400

ป๊อก!

800

ป๊อก!

2000

ป๊อก!

5000

ป๊อก!

8000

ป๊อก!

1up

ป๊อก!

1up

ป๊อก!

1up


แล้วนักฆ่าคนนั้นก็ล้มลงนอนจูบกับพื้นเพราะเสียหลักเนื่องจากถูกมาริโอเหยียบหัว แต่พอลุกขึ้นอีกครั้ง...

ปัก!

5555

ฉูด!


เลือดพุ่งกระฉูดเพราะมีไพ่รูปโจ๊กเกอร์ปักคากลางหน้าผาก ซึ่งทำให้นักฆ่าคนนั้นถึงกับตายทันทีโดยไม่มีโอกาสได้ร้องสักแอะ ซึ่งทำให้ตอนนี้นักฆ่าเหลือเพียงแปดจากสิบคนเพราะมัวแต่วิ่งหนีจนถูกฆ่า

ปรี๊ด!

เสียงนกหวีดจากที่ไหนไม่รู้ดังลั่นป่า ทำเอาเหล่านักฆ่าที่เหลือชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเพิ่มความเร็วในการลงมือ ซึ่งทำเอาเมฆากับปิเอโร่รับมือหนักขึ้นกว่าเดิม ส่วนทางราตรีที่คิดจะโจมตีนักฆ่าที่อยู่ใกล้เมฆาต่อ ทว่ากลับมีเงาจากไหนก็ไม่รู้โผล่มาจากทางหลังเธออย่างรวดเร็ว

“รัตติข้างหลัง!” เสียงมาริโอตะโกนบอกเธอ ซึ่งไม่ทันที่ราตรีจะได้หันกลับไปดู เสียงกระแทกที่ต้นคออย่างหนักหน่วงก็ดังขึ้นกังวาน

พลั่ก!

แรงปะทะอันหนักหน่วงซัดเข้าที่ต้นคอ ทำให้ภาพเบื้องหน้าที่ราตรีเห็นเริ่มเลือนราง หากแต่ด้วยผิวเกล็ดสีฟ้าของเธอช่วยต้านแรงโจมตีเอาไว้ จึงไม่ทำให้เธอถึงกับหมดสติไปทันที มีเพียงแต่เดินเซซ้ายเซขวาไปมาอย่างอ่อนแรง

“นี่ ยังไม่ล้มอีกรึเนี่ย เผ่ามังกรช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้” เสียงคุ้นหูดังแว่วจากด้านหลังของราตรี “ขอโทษด้วยนะพ่อหนุ่ม ข้าจำเป็นต้องทำ ไม่งั้นพวกข้าคงลงมือได้ไม่สำเร็จแน่ๆ”

พอสิ้นเสียงของผู้ลอบทำร้ายแล้ว คราวนี้แรงปะทะซัดเข้าที่ลำคอของเธอซ้ำอีกรอบ

พลั่ก!

แล้วโลกทั้งโลกก็พลันมืดลง ซึ่งก่อนจะสลบไปเธอได้ยินเสียงเรียกของเมฆาดังแว่วเข้ามา

“น้องราตรี!” จากนั้นเธอก็ไม่รับรู้อีกเลย

................

“น้องราตรี!”

เมฆาร้องตะโกนเรียกเด็กหนุ่มผมเงินที่โดนทุบจนสลบ ซึ่งบัดนี้ร่างของราตรีได้อยู่ในอุ้งมือของใครบางคนที่พวกเมฆาเพิ่งจากมาได้ไม่นาน นี่ถ้าพวกนักฆ่าไม่มาขวางไว้แล้วล่ะก็ เมฆาคงจะเข้าไปช่วยได้ทัน ส่วนปิเอโร่นั้นไม่สามารถช่วยราตรีได้ทันเช่นกัน เพราะระยะที่ปิเอโร่กับราตรียืนอยู่นั้นห่างกันเกินที่ปิเอโร่จะปาไพ่ไปได้ถึง

“รัตติ!” มาริโอร้องพลางจะวิ่งเข้าไปหาราตรีเพื่อช่วยเหลือ หากแต่โดนนักฆ่าทุบหัวจนสลบไปอีกรายตามราตรีไป เมื่อราตรีกับมาริโอสลบไปแล้ว เหล่านักฆ่าที่เหลือต่างวิ่งเป็นวงกลมล้อมเมฆากับปิเอโร่ไว้ไม่ให้หนี

“กร็อด!” เมฆากัดฟันด้วยความโกรธก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคนที่คุ้นตากำลังอุ้มร่างของราตรีเดินมาทางนี้ ก่อนจะตามมาด้วยมาริโอที่ถูกนักฆ่าดึงขามาริโอลากเดินมาโดยไม่สนว่าใบหน้าของมาริโอจะขูดกับพื้นดิน “ทำแบบนี้ต้องการอะไรจากข้ากันแน่”

“ลุงจิล” แท้จริงแล้วโฉมหน้าบุคคลที่ทำร้ายราตรีจนสลบไปนั้นก็คือ ลุงจิลหรือเอ็นพีซีที่ราตรีเคยบอกชายหนุ่มเอาไว้ แต่บัดนี้เมฆาแทบไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะสามารถเดินออกมาจากในเมืองได้ ทั้งๆที่เอ็นพีซีในเกมถูกจำกัดพื้นที่ไม่ให้เดินออกไปไหนมาตามใจชอบ หรือจะพูดให้ถูกก็คือเอ็นพีซีเป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ไม่สามารถมีชีวิตจิตใจหรือสามารถมีความคิดเป็นของตัวเองได้เหมือนมนุษย์อย่างพวกเขาที่เข้ามาเล่นเกมออนไลน์นี้ ส่วนลุงจิลที่ถูกเมฆาเรียกชื่อถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะตอบกลับไปว่า

“หึ ต้องการอะไรนะหรือ ก็ชีวิตของเจ้ายังไงล่ะราชาแห่งสมาพันธ์เงา” เมฆาได้ยินถึงกับกัดฟันก่อนจะเถียงกลับไปว่า

“ถ้าเจ้าต้องการชีวิตข้าก็เข้ามาเอาสิ แต่ไม่เห็นต้องทำร้ายสองคนนั้นด้วย พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสมาพันธ์ของข้า พวกเขาเป็นเด็กบริสุทธิ์” คำว่าเด็กบริสุทธิ์ทำให้ลุงจิลหัวเราะเสียงดังลั่น

“เจ้าไม่ต้องมาทำเป็นเสี้ยมสอนข้าราชาเงา ข้ารู้ดีว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่” ลุงจิลพูดเสียงเหี้ยม “เจ้าคงแปลกใจสินะว่าทำไมเอ็นพีซีอย่างข้าถึงเดินออกมานอกเมืองได้ทั้งๆที่ต้องจมปลักอยู่ที่นั่นคอยทำตามคำสั่งของระบบเกมนี้”

เมฆาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับขมวดคิ้ว เพราะเขาเองก็ยังสงสัยข้อนี้ด้วยเช่นกัน

“นั่นก็เป็นเพราะว่าข้าไม่ใช่เอ็นพีซีจริงๆนะสิ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ข้าเป็นผู้เล่นเกมแบบเดียวกับพวกเจ้าเพียงแต่ถูกให้เกิดมาเป็นเอ็นพีซีนั่นเอง”

“อะไรนะ!” เมฆาร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อได้รับรู้ความจริง เพราะเท่าที่เขาได้อ่านคู่มือเกมนี้มา ไม่มีหน้าไหนที่ระบุบอกไว้เลยว่าจะมีผู้เล่นอย่างพวกเขาเกิดมาเป็นเอ็นพีซีได้

“ตกใจล่ะสิราชาเงา ที่ข้าเป็นผู้เล่นเหมือนพวกเจ้าได้” ลุงจิลพูดกึ่งหัวเราะกึ่งเยาะเย้ย “จะโทษก็ไปโทษระบบของเกมนี้เถอะ เพราะมันดันสร้างขึ้นมาเสมือนจริงมาก ก็เลยทำให้ข้าเกิดมาเป็นเอ็นพีซีอย่างที่เห็นอยู่นี้”

เมฆาได้ยินก็แทบหัวเราะไม่ออก เพราะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้เล่นแบบเดียวกับเขา

“แต่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่ข้าเกิดเป็นเอ็นพีซีแล้วไม่สามารถออกจากเกมได้”

“ว่ายังไงนะ!” คราวนี้เมฆาตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดของลุงจิล

“เพราะข้าต้องทำหน้าที่ของเอ็นพีซีอยู่เกือบตลอดเวลา ถ้ามีผู้เล่นคนใดเข้าไปเคาะประตูกระท่อมแล้ว ข้าก็ต้องเปิดประตูรับ แต่ก็มีบ้างเป็นบางครั้งที่ข้าพยายามจะไม่เปิดประตู เพราะขี้เกียจทำหน้าที่เอ็นพีซียังไงล่ะ” ลุงจิลตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “แต่ก็ช่างเถอะ ถึงจะออกเกมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงตัวข้านี้ก็ไม่สามารถออกจากเกมได้อยู่แล้วล่ะ”

“ทำไม? ทำไมถึงออกไม่ได้ล่ะ” เมฆาถามอย่างลืมตัว ลืมว่าอีกฝ่ายเป็นนักฆ่าที่ทำร้ายราตรีจนสลบ

“ก็เพราะตัวข้าที่อยู่ข้างนอกเป็นเจ้าชายนิทรายังไงล่ะราชาเงา” พอเมฆาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดแล้ว ก็แทบพูดอะไรไม่ออกอีก “แต่ใช่ว่าข้าจะเป็นพวกที่ชอบฆ่าคนไร้เหตุผลหรอกนะราชาเงา เจ้ายังจำผู้เล่นคนหนึ่งที่เคยสู้กับเจ้าที่สุสานเลือดได้รึไม่”

พอสิ้นคำถามของลุงจิลแล้ว นัยน์ตาสีแดงของเมฆาถึงกับเบิกกว้างอย่างตกใจ

“ดูท่าเจ้าคงจะยังไม่ลืมสินะ วันนั้นคนที่เจ้าสู้ด้วย เขาเป็นเพื่อนรักของข้าและเป็นเพื่อนชายคนเดียวที่ข้ามีอยู่ในเกม” ลุงจิลพูดพลางทำหน้าเศร้า ก่อนจะตีสีหน้าเกรี้ยวกราดใส่เมฆาต่อ “แต่พอเขาสู้เจ้าจนถึงกับพ่ายแพ้ เขาก็ลาจากโลกนี้ไปโดยไม่คิดจะหวนกลับเข้ามาในเกมอีก ฉะนั้นข้าจะไม่มีวันให้อภัยเจ้าแน่! ทุกคนจัดการได้!!”

“ครับ!” แล้วพวกนักฆ่าก็พากันกรูเข้าหาเมฆากับปิเอโร่อย่างพร้อมเพรียง ส่วนลุงจิลก็ได้อุ้มร่างของราตรีเดินออกจากที่แห่งนั้นไปพร้อมกับร่างของมาริโอซึ่งถูกนักฆ่าอีกคนลากเดินตามไปด้วยโดยไม่คิดจะหันกลับมาดูอีกเลย

.......................

“เอาล่ะ เรื่องประชุมด้านเสบียงของสมาพันธ์ก็ต้องขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ถ้ามีอะไรสงสัยล่ะก็ พรายกระซิบถามมาได้เลย แล้วฉันจะมาตอบคำถามข้อสงสัยให้ เอาล่ะ เลิกประชุมได้”

เสียงผู้หญิงในชุดเกราะสีดำพูดตัดบทก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกนอกห้องประชุมไป โดยไม่สนใจสายตาของพวกสมาชิกที่เหลือซึ่งนั่งฟังอย่างเงียบสงบมานานพอสมควร

“ท่านคะ ท่านประมุข…” เสียงหวานเรียกหากแต่ชะงักเมื่อเห็นนัยน์ตาของประมุขตวัดมองกลับมาด้วยความโกรธเคือง “เอ่อ ขอโทษค่ะพี่ธิดา หนูไม่ได้ตั้งใจจะพูด มันลืมตัว…เอ่อ พี่ธิดากำลังจะไปไหนคะ”

“เวลานี้คือเวลาส่วนตัวของพี่ ถ้าน้องหงส์หยกเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องล่ะก็ ควรจะให้พี่ได้พักผ่อนไปตามเรื่องตามราวบ้าง” ธิดาตอบพลางหันหน้าหนี ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อ หากแต่หงส์หยกรีบเดินตามหลังธิดาไปอย่างเงียบๆเพราะไม่อยากจะแยกจากหญิงสาวผู้พี่ในตอนนี้ ซึ่งธิดาเห็นว่าอีกฝ่ายเดินตามมาด้วยก็ไม่ได้ห้ามว่าแต่อย่างใด จึงเดินตัวปลิวโดยที่ไม่คิดจะรออีกฝ่ายให้เสียเวลา

ป่านนี้แล้วน้องรัตติกับมาริโอจะเป็นยังไงบ้างนะ

ธิดาคิดในใจในขณะที่กำลังจะเดินออกจากปากถ้ำซึ่งภายนอกเป็นทะเลทั้งหมด เมื่อถึงปากถ้ำดีแล้วธิดาก็ใช้สกิลทันที

Changing!

จากขาเรียวงามกลายเป็นหางนางเงือกสีแดงแทนที่ ส่วนหงส์หยกที่เดินตามมานั้นก็ได้ใช้สกิลแบบเดียวกับธิดาหากแต่หางนางเงือกเป็นสีเขียวมรกตแทน เมื่อเปลี่ยนเสร็จแล้วธิดาก็สอดมือแทรกออกไปนอกม่านพลังซึ่งอีกด้านเป็นเพียงแค่น้ำทะเลที่ถูกกั้นไว้ไม่ให้ทะลักเข้ามา จากนั้นธิดาจึงค่อยใช้มือแหวกว่ายทำให้ร่างกายลอยไปตามน้ำ ก่อนจะสะบัดครีบหางไปมาเพื่อที่จะลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ ทว่าธิดายังว่ายไปไม่ถึงผิวน้ำดี สายตาทั้งสองข้างก็พลันเห็นเงาผู้เล่นชายคนหนึ่งกำลังนอนจมลงน้ำทะเลเรื่อยๆ พร้อมกับอีกร่างที่เป็นเห็ดซึ่งลอยอยู่มิห่างไกล

นั่นน้องมาริโอนี่!

ธิดาคิดอย่างตะลึงเมื่อได้เห็นมาริโอ เพราะเธอจำเสื้อผ้าที่มาริโอใส่ได้ดี

ถ้างั้นผู้เล่นคนเมื่อกี้ก็คือ…

น้องรัตติ!

ธิดาคิดได้ดังนั้นจึงรีบว่ายน้ำตรงดิ่งเพื่อไปช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นทันที ก่อนจะหันไปสั่งหงส์หยกให้ไปช่วยมาริโอแล้วจึงพาว่ายขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว พอขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้ว ธิดาก็วางเด็กหนุ่มลงกับพื้นก่อนจะผายปอดช่วยชีวิตหนุ่มน้อยอย่างไวเพราะหวั่นเกรงว่าอีกฝ่ายจะตายเอาได้ ส่วนทางด้านหงส์หยกก็ได้ช่วยชีวิตมาริโอเช่นเดียวกับธิดา

“แค่กๆ!” ผู้เล่นหนุ่มน้อยหรือรัตติตามที่ธิดาเข้าใจว่าต้องใช่สำลักน้ำทันทีที่เธอปั้มหน้าอก หากแต่ธิดายังไม่มั่นใจว่าน้ำในปอดยังไม่ออกหมดดี จึงคิดจะผายปอดอีกครั้ง ในขณะที่ธิดากำลังก้มลงเพื่อจะผายปอดที่ปาก เด็กหนุ่มที่นอนหลับตาก็พลันลืมตาขึ้นอย่างเร็ว เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินที่ส่องประกายสดใสประดุจห้วงท้องทะเลลึก

นัยน์ตาสีสวยจัง

ธิดาเผลอคิดชื่นชมเด็กหนุ่มอย่างลืมตัว

“ท่านพี่ธิดา?” เด็กหนุ่มเริ่มฟื้นตัวดีแล้วพอได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผมแดงใกล้ๆแล้ว ก็เรียกชื่อเธอ ซึ่งทำเอาธิดาที่มัวแต่เหม่อมองสีนัยน์ตาของเด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งตกใจก่อนจะรีบถอยหน้าออกห่างอย่างเร็ว “นั่นใช่ท่านพี่ธิดาหรือเปล่าฮะ”

อีกฝ่ายถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งธิดาสะบัดหน้าไปมาก่อนจะส่งยิ้มหวานพร้อมกับคำตอบไปว่า

“ใช่จ้ะ ว่าแต่น้องใช่รัตติหรือเปล่าจ้ะ แหม โตขึ้นเยอะจนพี่จำแทบไม่ได้เลยนะเรา” เด็กหนุ่มได้ยินที่ธิดาพูดก็พลันหัวเราะแห้งๆก่อนจะใช้มือยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง หากแต่ธิดารีบปราดเข้าไปช่วยประคองเด็กหนุ่มอย่างไว

“ว่าแต่ที่นี่ที่ไหนเหรอฮะท่านพี่ธิดา ผม…โอ๊ย เจ็บๆ” รัตติร้องครางอย่างเจ็บปวดก่อนจะเอามือลูบที่ต้นคอ ซึ่งธิดาเห็นดังนั้นจึงหันไปมองต้นคอก่อนจะร้องอุทานอย่างตกใจ

“ตายแล้ว นี่น้องไปโดนอะไรมาหรือจ้ะ คอแดงเป็นปื้นเลยเชียว” รัตติได้ยินที่ธิดาถามถึงกับขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก

“ผม...ผมจำไม่ได้...จริงสิ มาริโอ! ท่านพี่ธิดาเห็นมาริโอไหมครับ”

“มาริโอเหรอจ้ะ ตอนนี้น้องสาวของพี่กำลังช่วยดูให้อยู่ นั่นไงล่ะจ้ะน้องรัตติ อยู่นั้นนะ” ธิดาพูดพลางชี้นิ้วไปยังด้านขวาของรัตติ ซึ่งมีร่างของมาริโอนอนสำลักน้ำอยู่

“ท่านพี่ช่วยพาผมไปหามาริโอได้ไหมครับ ผมเป็นห่วงเขา” รัตติเอ่ยปากขอร้องเธอ

“ได้สิจ้ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” แล้วธิดาก็พยุงร่างเล็กให้ยืนขึ้นก่อนจะพาเดินไปหามาริโอที่นอนอยู่ ซึ่งทำให้หงส์หยกที่นั่งอยู่ข้างมาริโอ ก็พลันลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินถอยออกไปห่างๆ เมื่อธิดาพารัตติเดินมาถึงแล้ว เด็กหนุ่มก็พลันนั่งลงกับพื้นก่อนจะรีบจับคลำแขนมาริโอไปมาอย่างเป็นห่วง

“มาริโอ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” รัตติถามพลางก้มหน้ามองมาริโอที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาอย่างสะลืมสะลือ “มาริโอพูดอะไรกับข้าสักคำสิ มาริโอๆ”

ไม่ว่าพลางแถมเขย่าตัวมาริโอไปมาจนคนถูกเขย่าถึงกับร้องโวยวาย

“เออ ข้าตื่นแล้ว ไม่ต้องเขย่าขนาดนั้นก็ได้นี่รัตติ! ให้ตายพับผ่าสิ” เมื่อรัตติได้ยินที่มาริโอพูดแล้ว ถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก “อ้าวแล้วนั่นจะร้องไห้ไปทำสวรรค์วิมานอะไร นี่ข้ายังไม่ตายนะเฟ้ยไอ้รัตติ!”

มาริโอร้องโวยวายเมื่อเห็นเจ้านายตัวเองนั่งร้องไห้ต่อหน้า ก่อนจะบ่นอุบอิบกับตัวเองว่า “สู้เก็บน้ำตาไว้ให้คนอื่นยังจะดีกว่าอีกนะ”

ธิดาได้ยินที่ทั้งคู่พูดกัน ถึงกับหัวเราะเบาๆ

สองคนนี้น่ารักจัง

“ว่าแต่พวกน้องไปทำอะไรกันมาหรือจ้ะ ถึงตกน้ำทะเลไปได้นะ” พอธิดาพูดจบ รัตติก็พลันขมวดคิ้วก่อนจะร้องอุทานด้วยความตกใจ

“จริงสิ พี่เมฆา! ต้องรีบไปช่วยท่านพี่เมฆาซะแล้ว” ไม่ว่าเปล่าแถมผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเด็กหนุ่มเพิ่งจะฟื้นได้ไม่นาน จึงทำให้หน้ามืดวูบลงกับพื้นอีกครั้ง ซึ่งยังดีที่ธิดาจับเอาไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงล้มทับมาริโอที่นั่งอยู่แน่ๆ

“ใจเย็นๆจ้ะน้องรัตติ ตอนนี้น้องเพิ่งจะฟื้นตัวดี อย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นไปไหนเลยดีกว่านะจ้ะ”

“แต่ถ้าไม่ไปตอนนี้ท่านพี่เมฆากับปิเอโร่โดนฆ่าตายแน่ๆ” พอได้ยินคำว่าฆ่า ธิดาถึงกับขมวดคิ้ว

“ฆ่า? ใครฆ่าใครจ้ะ”

“ก็เพื่อนของผมนะฮะท่านพี่ธิดา! ตอนนี้พวกเขากำลังโดนนักฆ่ารุมฆ่าอยู่ ผม…ผมไม่รู้ว่าทำไมผมกับมาริโอถึงมาอยู่ที่นี่ได้” รัตติตอบพลางเอามือกุมขมับ ก่อนจะหันหน้าไปทางมาริโอ “เจ้าพอจะรู้หลังจากที่ข้าสลบไปบ้างไหมมาริโอ”

มาริโอส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ขอโทษนะรัตติ ตอนนั้นข้ามัวแต่เป็นห่วงเจ้า กำลังจะเข้าไปช่วยเจ้าแต่กลับโดนทุบหัวจนสลบไปเสียก่อนนะ” พอได้คำตอบแล้ว สีหน้าของรัตติกลับซีดลงกว่าเดิม

“น้องรัตติจ้ะ เรื่องนี้น้องไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะช่วยน้องเองนะ”

“ท่านพี่จะช่วยผมจริงเหรอฮะ!” ราตรีร้องถามอย่างตื่นเต้น ซึ่งธิดาได้ยินก็พลันพยักหน้าตอบ

“จริงสิจ้ะ พี่จะช่วยน้องเอง” ธิดาตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางหญิงสาวอีกคนซึ่งกำลังยืนกุมมืออยู่ห่างๆ “ได้ยินที่พูดแล้วใช่ไหมน้องหงส์หยก”

“คะพี่ธิดา” หงส์หยกตอบคำขาน

“ส่งสัญญาณเรียกสมาชิกที่อยู่ใกล้ๆนี้ให้รีบมาที่นี่ด่วน ต้องภายในสองนาทีด้วยนะ”

“ค่ะพี่ธิดา” แล้วหงส์หยกก็หยิบขลุ่ยใบไม้ออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะนำมันคาบไว้ที่ปากก่อนจะเป่ามันออกมา

“แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว สองนาที ขอเวลาพี่แค่สองนาที” ธิดาหันกลับไปพูดกับรัตติ “ว่าแต่ที่เกิดเหตุมันอยู่ที่ไหนจ้ะน้องรัตติ พอจะบอกพี่ได้ไหมล่ะ”

“ได้สิฮะ ที่เกิดเหตุมันอยู่ที่…”

........................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 25 ลุงจิล (update 100%) P.2 27/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 27-02-2015 18:07:04
บทที่ 26 คลั่ง

....................................

ย้อนกลับมาสามหนุ่มสามมุม หลังจากได้กำจัดลำไยไปแล้ว ก็ได้ทำความสะอาดเมืองเริ่มต้นถึงห้าวันเต็ม จนกระทั่งระบบได้ประกาศบอกสิ้นสุดการลงโทษแต่เพียงเท่านี้ สามหนุ่มก็วางมือจากงานทั้งหมดก่อนจะเดินออกไปนอกเมืองเพื่อที่จะตามหาคุณยายต่อ แต่ทว่าพวกเขายังเดินไปได้ไม่ไกลจากเมืองเท่าไหร่นัก กลับต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นศพปริศนานอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นดินท่ามกลางเขตชายป่าดินแดนยักษ์

“น่าแปลก ศพผู้เล่นถูกฆ่าแต่ทำไมไม่กลายเป็นแสงกลับไปรอห้องเตรียมจุตินะว่าไหมพวก” ศาสตราเอ่ยปากถามเพื่อน ซึ่งพิภพยังไม่ทันได้ตอบคำถามของศาสตรา ศพปริศนาก็พลันหายไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาโดยทิ้งรอยเลือดไว้ให้เป็นของดูต่างหน้าแทน

“คงเป็นบั๊ก” พิภพตอบพลางส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายกับความผิดพลาดของระบบเกม “ช่างเถอะ นานๆครั้งที่ระบบเกมของเกมมันจะรวนบ้าง เหมือนอย่างกรณีของปฐพีที่ส่งข้อความหาคุณยายไม่ได้ยังไงล่ะศาสตรา”

“ก็จริงนะ แต่ไอ้รอยเลือดนี่มันไม่ยอมหายไปเลยสักที เห็นแล้วสยองวะ” ศาสตราพูดพลางทำท่าขนลุก

“อืม ฉันก็ว่างั้น” ปฐพีตอบพลางก้มหน้ามองกองเลือดที่มีอยู่หลายจุด เขาคาดว่าที่นี่คงจะมีคนโดนฆ่าไม่ต่ำกว่าห้าคนอย่างแน่นอน และหนึ่งในศพที่เพิ่งจะหายไปก็อนาถพอดู โดนฆ่าสับละเอียดแทบไม่เป็นชิ้นดี ดูท่าคนฆ่าคงจะมีความแค้นอย่างแสนสาหัสจึงได้ฆ่าอย่างน่าหวาดเสียวถึงขนาดนี้ “เดี๋ยวกลับเมืองเริ่มต้นแล้วไปแจ้งกับพนักงานของเกมให้มาจัดการ…”

“ปฐพี ธิดามาแน่ะ” พิภพพูดเสียงกระซิบพลางสะกิดไหล่เพื่อน ทำให้ปฐพีต้องหันหลังกลับไปดู ก่อนจะพบหญิงสาวผมแดงในชุดเกราะสีดำยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่โดยมีผู้เล่นยืนอยู่ด้านหลังสักเจ็ดแปดคนได้ และนอกจากนี้ที่ข้างกายเธอก็มีเด็กหนุ่มผมสีเงินในชุดนักรบฝึกหัดสีแดงกำลังจ้องพวกเขากับเห็ดมาริโอที่อ้าปากค้างยืนอยู่ด้วย แต่ทว่าทั้งธิดาทั้งปฐพีต่างไม่พูดอะไรสักคำเดียว เอาแต่ยืนจ้องหน้ากันจนศาสตราต้องกล่าวพูดแทนปฐพีเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้

“พวกเราไม่ได้เป็นคนทำนะ พวกเราเพิ่งจะมาที่นี่ได้ไม่ถึงสองนา...”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกนาย กรุณาอย่าร้อนตัว” ธิดาพูดดักคออย่างรู้ทัน ซึ่งทำเอาผู้หญิงผมเขียวที่ยืนอยู่ด้านหลังธิดาถึงกับขยับตัวไปมา แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่ทันได้พูดต่อ จู่ๆ เด็กหนุ่มผมสีเงินในชุดแดงก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นว่า

“ไม่จริงใช่ไหม...เป็นท่าน...ท่านพี่...เมฆา”

“รัตติ?” เห็ดมาริโอหันมาพูดกับเด็กหนุ่มอย่างฉงน หากแต่เด็กหนุ่มเจ้าของนามว่ารัตติหาได้ตอบไม่ กลับวิ่งปราดเข้าไปยังกองเลือดก่อนจะใช้มือสองข้างกวาดเลือดที่ยังไม่แห้งดีขึ้นมาหน้าตาเฉย ทำเอาทุกคนต่างพาหลบหน้าหนีเพราะทนดูไม่ได้ ซึ่งยกเว้นสามหนุ่มกับธิดาที่ยังคงมองเด็กหนุ่มด้วยความแปลกใจ

“ท่านพี่เมฆา ผมขอโทษที่มาช่วยท่านพี่ช้าไป! ผมขอโทษ ฮือๆ” แล้วเด็กหนุ่มพูดร้องไห้ครวญครางเสียงดังลั่น ซึ่งทำเอาผู้ได้ยินต่างรู้สึกเจ็บปวดไปตามๆกัน ทว่าชื่อเมฆาที่ดังมาจากปากของเด็กหนุ่มทำให้ปฐพีกับพรรคพวกถึงกับขมวดคิ้ว

“เมฆา? น้องชายพูดชื่อเมฆางั้นหรือ” ปฐพีถามอย่างสงสัย แต่ทว่าเด็กหนุ่มหาได้ตอบไม่ กลับร้องไห้ครวญครางจนเสียงแหบแห้ง

“รัตติ อย่าร้องไห้เลยนะ” เห็ดมาริโอที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มหันมาพูดปลอบ ซึ่งปฐพีเดาเอาว่ามันคงเป็นทาสรับใช้ของเด็กหนุ่มนามว่ารัตติอย่างไม่ต้องสงสัย

ปลอบเจ้านายตอนที่อยู่ในช่วงภาวะเศร้า

ช่างเป็นทาสที่ดีอะไรเช่นนี้

น่ายกย่องจริงๆ


ปฐพีคิดชื่นชมเห็ดมาริโอ ทว่ามีบางอย่างที่ปฐพีเผลอคิดข้ามไปโดยไม่รู้ตัว

“ไม่!” เสียงกรีดร้องเด็กหนุ่มแผดร้องดังขึ้นอีกครั้งทำเอาทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้สะดุ้งตกใจ ก่อนที่ร่างกายของเด็กหนุ่มเกิดเปล่งแสงสีฟ้าขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย

“เกิดอะไรขึ้นนะ!” ทุกคนร้องถามกันเป็นเสียงเดียวพร้อมกับเอามือป้องใบหน้ากันแสงเข้าตา ซึ่งแสงสีฟ้าได้เจิดจ้าอยู่ชั่วครู่ก่อนจะจางหายไปพร้อมกับเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่ที่เพิ่งจะแผดเสียงดังขึ้น

“ก๊าซ!” ปฐพีได้ยินดังนั้นจึงรีบวางแขนลงก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้เห็นมังกรสีผิวเพทายฟ้าอ่อนตัวสูงใหญ่ประมาณสองเมตรกำลังยืนอ้าปากร้องโดยที่ข้างหลังได้กางปีกสองข้างอยู่ด้วย

“เด็กคนนั้นเป็นพวกเผ่ามังกรรึเนี่ย!” ปฐพีพูดอย่างตกตะลึง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งธิดา ศาสตรา พิภพ หงส์หยก และผู้เล่นคนอื่นที่ต่างอ้าปากค้างมองมังกรตรงหน้าด้วยความตกใจไม่แพ้กัน ยกเว้นเห็ดมาริโอที่ไม่ได้ทำหน้าตาตกใจเหมือนคนอื่นๆ

“ใจเย็นๆรัตติ! อย่าโมโห ตั้งสมาธิให้มั่น อย่าให้ความโกรธของตัวเองเข้าครอบงำ” เห็ดมาริโอตะโกนบอกหากแต่มังกรกลับใช้เท้าสะกิดมันให้ไปไกลๆ ซึ่งทำเอาเห็ดมาริโอกระเด็นไปไกลร่วมหนึ่งเมตร เมื่อเห็ดมาริโอกระเด็นไปไกลแล้ว มังกรก็หันหน้ากลับมาทางพวกปฐพีต่อ ทำให้พวกสามหนุ่มได้เห็นนัยน์ตาสีแดงกล่ำได้อย่างชัดเจน

น่ากลัวชะมัด!

“ใจเย็นๆนะไอ้น้อง มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน…”

ผัวะ!

1200


ศาสตราพูดยังไม่ทันจบ ก็โดนมังกรใช้หางฟาดเข้าใบหน้าเต็มๆ ก่อนที่ร่างของศาสตราจะกระเด็นม้วนตีลังกากลิ้งกับพื้นไกลออกไปร่วมสองร้อยเมตรได้

“ศาสตรา!” พิภพกับปฐพีร้องเรียกชื่อเพื่อนที่นอนสลบไปแล้วด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่ามังกรจะมีพลังอำนาจมากถึงเพียงนี้ ทว่ามังกรไม่ได้รอให้ทุกคนได้มีโอกาสขยับตัว ก็หันมาเล่นงานพิภพต่อทันที

ผัวะ!

1991


ร่างพิภพถูกหางปัดเข้าที่ลำตัว หากแต่พิภพมีร่างที่ใหญ่โตจึงไม่ถึงกับกระเด็นกระดอนเหมือนศาสตรา จึงแค่กระเด็นหงายท้องกับพื้นแน่นิ่งไปไม่มีลุกขึ้นอีก ปฐพีเห็นทั้งคู่โดนโจมตีแล้วก็ไม่พลาดที่จะรอให้มังกรได้โจมตีตน จึงเรียกโล่สีทองยักษ์ออกมาอย่างไว แต่ถึงกระนั้นปฐพีก็ไม่สามารถทนแรงโจมตีของหางที่ฟาดมาได้อยู่ดี

เคร้ง!

699


โล่ถูกปัดจากออกจากมือซึ่งทำเอาปฐพีถึงกับมือชา

พลังมังกรน่ากลัวจริงๆ!

พอคิดเสร็จปฐพีก็รีบกระโดดถอยหลังเพื่อตั้งหลัก ก่อนจะรีบชักดาบขึ้นมาแต่ทว่าจู่ๆ ก็มีเปลวไฟสีฟ้าอันร้อนแรงได้แผดเผามือของปฐพีอย่างไม่ทันตั้งตัว

ฟู่!

2678


“อ้าก!” ปฐพีแผดเสียงร้องก่อนจะสะบัดมือที่มีไฟลุกท่วม ทำให้ดาบร่วงหล่นกับพื้นก่อนจะหายวับเข้าไปในกระเป๋าเป้ตามเดิม ซึ่งเหตุการณ์นี้พวกธิดาได้แต่ยืนตะลึงเพราะไม่คาดว่าสามหนุ่มจะโดนมังกรโจมตี

“พลังวารี!” เสียงหวานร่ายเวทย์ก่อนที่พลังน้ำจะพัดเข้าใส่ที่มือของปฐพีอย่างเร็ว ทำให้ไฟที่เคยลุกไหม้ก็ดับลงภายในพริบตาเดียว ซึ่งหลงเหลือแต่รอยคราบเขม่าสีดำกับรอยเลือดที่ยังคงอยู่

“ขอบใจนะธิดา” ปฐพีหันมาพูดขอบคุณ แต่ทว่าหญิงสาวไม่อยู่รอคำตอบเพราะรัตติที่กลายเป็นมังกรได้เข้าโจมตีกลุ่มของธิดาบ้างแล้ว ซึ่งในระหว่างที่ธิดากับหงส์หยก หรือแม้กระทั่งปฐพีคอยหลบการโจมตีของเด็กหนุ่มที่ได้กลายเป็นมังกรไปแล้ว ก็พยายามพูดเกลี่ยกล่อมให้อีกฝ่ายได้สติ แต่ทว่ามังกรหาได้ตอบรับคำเรียกจากพวกเขาไม่ แล้วเวลาก็ผ่านไปได้สิบนาที คนของธิดาก็พากันสลบไปจนหมด จะเหลือก็แต่ปฐพี ธิดา และหงส์หยกที่ยังคงคอยหลบการโจมตีได้อยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงได้รับบาดเจ็บบ้าง

“พี่ธิดาคะ พวกเราสูญเสียคนไปมากแล้ว น้องว่าฆ่าเลยจะดีกว่านะคะ” พอหงส์หยกพูดจบ ธิดาก็หันหน้ามาตำหนิก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“ถ้าน้องทำแบบนั้นล่ะก็ พี่จะไม่มีวันให้อภัยน้องแน่หงส์หยก” ปฐพีได้ยินถึงกับอึ้งในคำพูดของธิดา เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้

เด็กหนุ่มคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอกันแน่ เธอถึงให้ความสำคัญมากขนาดนี้

ธิดา


ทว่าเวลาผ่านไปได้สองนาที หงส์หยกก็โดนมังกรโจมตีจนสลบไปอีกราย ก่อนจะตามด้วยธิดาซึ่งถูกปีกสะบัดเข้าที่ศีรษะเพียงครั้งเดียวก็สลบ แล้วก็ปฐพีที่ไม่ถึงคราวเคราะห์ เขาโดนเตะก็จริงแต่ก็ไม่ถึงกับสลบทันที ภาพมังกรนัยน์ตาสีแดงตรงหน้าดูเลือนรางกำลังขยับเข้ามาใกล้ทุกที

สงสัยเราคงจะไม่รอดแล้วจริงๆ

ปฐพีคิดในใจอย่างหมดแรง แต่ทว่าจู่ๆ เห็ดมาริโอที่น่าจะสลบไปแล้ว กลับวิ่งมาบังร่างของปฐพีเอาไว้

“รัตติหยุดเดี๋ยวนี้!”

เห็ดมาริโอ?

เจ้านี่ช่าง…


แล้วปฐพีก็สลบไปซึ่งทำให้พลาดโอกาสที่จะได้เห็นความลับของเด็กหนุ่มในร่างมังกรไปอย่างน่าเสียดาย

...............................

หลังจากปฐพีได้สลบไปแล้ว มาริโอก็ได้พยายามเรียกสติของเจ้านายตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ตื่นสิรัตติ อย่าให้ความโกรธเข้าครอบงำ!”

ตึง!

1001


มาริโอถูกรัตติเหยียบหากแต่มันหลบได้ทันจึงโดนแค่เฉียดๆ

“ตื่นสิไอ้เด็กเปรต!” มาริโอตะโกนบอกแต่ก็มิวายทำให้รัตติในร่างมังกรใช้หางฟาดเข้าที่แขน

พลั่ก!

1903


“อั่ก!” มาริโอกระอักเลือด

“รัตติ ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธ แต่เจ้าก็ไม่น่าจะโกรธถึงขนาดนี้ก็ได้นี่” มาริโอกัดฟันพูดพลางเงยหน้ามองรัตติในร่างมังกร “แล้วอีกอย่างมันก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า คนที่ผิดคือนักฆ่า”

ฟู่!

“เย้ย!” มาริโอร้องตกใจก่อนจะหันหลังวิ่งหนีลูกไฟ หากแต่ลูกไฟมันดันวิ่งตามมาริโอ จึงทำให้มาริโอโดนลูกไฟไปเต็มๆ

ตูม!

1900

1930

1800


“อ้าก!” มาริโอกรีดร้องอย่างเจ็บแสบเจ็บร้อนเนื่องจากไฟได้ลุกท่วมตัว แต่ทว่าโชคยังเข้าข้างมาริโอ เพราะทันทีที่มาริโอวิ่งกรีดร้องอยู่นั้น จู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างแรง ทำให้ไฟสีฟ้าที่เคยลุกท่วมตัวมาริโอก็พลันหายไป

ตุบ!

มาริโอล้มฟุบนอนกับพื้นอย่างหมดแรง ซึ่งคราวนี้มันไม่มีแรงที่จะขยับตัวได้อีกแล้ว

“รัตติ ข้าขอร้องล่ะ รีบรู้สึกตัวซะที” มาริโอพูดเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะเงยหน้ามองรัตติในร่างมังกรที่กำลังเดินย่างกรายเข้ามาหามันอย่างเชื่องช้า ทำให้มาริโอสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะใช้กำลังเฮือกสุดท้ายตะโกนกลับไปว่า “รีบตื่นได้แล้วราตรีพิสุทธิ์!”

สิ้นคำพูดของมาริโอ น้ำตาจากนัยน์ตาของมันก็พลันร่วงลงอาบแก้มก่อนจะหยดลงบนพื้นดิน

แปะ

วูบ!


จู่ๆ สร้อยคอเกล็ดย้อนของเหม่ยจิงที่รัตติสวมไว้อยู่เกิดเปล่งแสงสีเงินสว่างจ้า พร้อมกับบาเรียได้ครอบคลุมรัตติในร่างมังกรทั้งหมด แล้วร่างคุ้นตาก็พลันปรากฏขึ้นต่อหน้าราตรี

ท่าน...พ่อ?!

“เจ้าเด็กโง่ นี่หรือลูกชายข้า ทำได้แค่ใช้กำลังอาละวาดไม่ต่างกับมังกรชั้นต่ำ มองไปรอบๆ สิ ดูผลของสิ่งที่เจ้ากระทำลงไป เห็นหรือยัง นี่คือผลจากความบ้าคลั่งของเจ้า” เดรคราชามังกรพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ลูกพ่อ ตั้งสติ แล้วรีบกลับไปช่วยเพื่อนของเจ้าเสีย จงอย่าปล่อยให้สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตต้องมลายหายไปด้วยน้ำมือเจ้า”

อะไรนะ!

เมื่อคิดได้ดังนั้น ภาพที่เคยมืดมัวกลับสว่างขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเผยให้เห็นร่างเห็ดมาริโอนอนฟุบหน้าจมกองเลือด ซึ่งสภาพตามร่างกายที่เคยดูดีกลับเต็มไปด้วยรอยแผลไฟไหม้จนดูน่าเกลียดน่ากลัว

“มาริโอ!” ราตรีร้องอุทานด้วยความตกใจ ซึ่งทำให้ร่างมังกรอันใหญ่โตของเธอกลับคืนกลายเป็นมนุษย์ตามเดิม ก่อนที่ราตรีจะวิ่งกระเสือกกระสนเข้าอุ้มมาริโอทั้งน้ำตา “ข้าขอโทษ! ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเจ้า! ข้าขอโทษนะมาริโอ! ตื่นสิมาริโอ ตื่น มาริโอ”

มาริโอในอ้อมแขนของราตรีลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า

“ในที่สุด...ก็ตื่นซะทีนะ...ราตรี” แล้วมาริโอก็หลับลงไปอีกครั้ง ซึ่งทำเอาราตรีตกใจถึงกับตกใจสุดขีด

“มาริโอลืมตาขึ้นสิ! มาริโอ…มาริโอ!” ราตรีตะโกนร้องเรียกมาริโอพร้อมกับเขย่าร่างของมันอย่างแรง

“เนื่องจากเห็ดมาริโอถูกโจมตีอย่างหนัก ทำให้ติดค่าสถานะสลบ”

เสียงระบบประกาศบอกในหัวราตรี ซึ่งทำเอาเธอหยุดชะงัก

สลบงั้นหรือ? ราตรีคิดในใจพลางใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางอังจมูกมาริโอ ทำให้รู้สึกถึงลมหายใจที่แผ่วเบา แค่สลบไปจริงๆด้วย แต่ดูจากอาการแล้วคงจะสาหัสมาก ถ้าไม่รีบรักษาตอนนี้มีหวังมาริโอได้ไปเที่ยวยมโลกแน่

ทว่าเมื่อราตรีได้รู้ว่ามาริโอปลอดภัยดีแล้ว ภาพเบื้องหน้าถึงกับดับวูบลง ซึ่งทำให้ร่างของราตรีทรุดลงไปนอนทับร่างมาริโอทั้งที่ยังอุ้มอยู่อย่างนั้น

“เนื่องจากค่าพลังงานในการแปลงร่างมังกรของท่านหมด ทำให้ติดค่าสถานะสลบ”

................................

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 26 คลั่ง (update 100%) P.2 27/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 27-02-2015 21:33:34
บทที่ 27 ฝึกวิชา

...................
 
“เจ้าเด็กโง่ นี่หรือลูกชายข้า ทำได้แค่ใช้กำลังอาละวาดไม่ต่างกับมังกรชั้นต่ำ มองไปรอบๆสิ ดูผลของสิ่งที่เจ้ากระทำลงไป เห็นหรือยัง นี่คือผลจากความบ้าคลั่งของเจ้า”

ไม่จริง ข้าไม่ได้ตั้งใจ!


ราตรีหรือรัตติแย้งทันควันก่อนจะก้มมือสองข้างของตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือด

เลือด?!

“รัตติ พี่ไปทำอะไรให้น้องจ้ะ น้องถึงมาฆ่าพี่” เสียงพูดตะกุกตะกักมาจากธิดา ซึ่งทำเอาราตรีรีบส่ายหน้าอย่างเร็ว “พี่เจ็บเหลือเกิน รัตติ น้องฆ่าพี่ทำไม!”

“ผมขอโทษฮะพี่ธิดา ผมไม่ได้ตั้งใจ!” ราตรีตอบ แต่ทว่าธิดาตรงหน้ากลับเลือนหายไปก่อนที่มาริโอจะโผล่ขึ้นมาแทน “มาริโอ ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเจ้า ข้าขอโทษ”

ทว่ามาริโอกลับตีสีหน้ารังเกียจปนเย็นชา

“เจ้าฆ่าข้า ฉะนั้นข้าไม่มีวันให้อภัยเจ้าแน่รัตติ!”

แล้วร่างมาริโอก็ค่อยๆเลือนหายไป ทำเอาราตรีรีบวิ่งเข้าหาเพื่อจะคว้าตัวมาริโอแต่ก็คว้าไม่ทัน

“ไม่นะมาริโอ ข้าขอโทษ!”

“เพราะเจ้าทำพวกข้าตาย!” เสียงผู้คนนับสิบร้องโหยหวน ก่อนจะมีมือเปื้อนเลือดหลายคู่ที่โผล่มาจากความมืดเข้ามาจับแขนขาของราตรีอย่างบ้าคลั่ง “เอาชีวิตของข้าคืนมา เอาชีวิตของพวกข้าคืนมา!”

“ไม่นะ ผมไม่ได้ตั้งใจ!” แล้วร่างสูงก็โผล่มาตรงหน้า ทำเอาราตรีถึงกับยิ้มแป้น “ท่านพี่เมฆา”

“เพราะเรามาช้า พี่ถึงต้องตายยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มยิ้มตอบ จากใบหน้าที่เคยขาวเนียนกลับมีเลือดกับหนอนสีเขียวโผล่ขึ้นเต็มหน้า ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับผงะ “พี่จะมาเอาชีวิตของเราไปอยู่ด้วย เพราะงั้นไปด้วยกันเถอะนะ!”

“ไม่!!”

“รัตติ! ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว!” เสียงหวานดังแทรกขัดจังหวะ ทำให้ราตรีลืมตาขึ้นมาก่อนจะเห็นใบหน้าของธิดาอยู่ใกล้ๆ

“ท่านพี่…ธิดา?”

“จ้ะ นี่พี่เอง” ธิดาตอบยิ้มๆ ซึ่งทำให้ราตรีที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาก็ต้องหลับตาอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน

“มันเกิดอะไรขึ้นครับท่านพี่...ผม...งงไปหมดแล้ว” ราตรีถามอย่างสงสัย

“เอ อันนี้พี่ไม่แน่ใจนะ พี่รู้แต่เพียงว่าพอพี่ฟื้นอีกที ก็เห็นน้องนอนสลบข้างมาริโอแล้ว” เสียงของธิดาตอบ ก่อนที่ราตรีจะรู้สึกถึงผ้าเย็นมาโปะที่หน้าผาก “ดีนะที่น้องรัตติกับน้องมาริโอไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะพี่เป็นห่วงพวกน้องมาก ไม่ว่าจะเรียกยังไงก็ไม่ยอมตื่น”

“ผมกับมาริโอ...จริงสิ มาริโอ!” ราตรีร้องอย่างนึกขึ้นได้ก่อนจะลุกขึ้นนั่งพรวดพราด แต่เนื่องด้วยราตรีเพิ่งจะฟื้นทำให้หน้ามืดก่อนจะล้มลงนอนอีกครั้ง

“ไม่ได้นะจ้ะน้องรัตติ น้องยังเพิ่งฟื้นใหม่ๆ จะรีบลุกขึ้นไม่ได้”

“แต่ผมเป็นห่วงมาริโอ” แล้วราตรีก็รู้สึกถึงมืออันเนียนนุ่มลูบที่หัวของเธออย่างแผ่วเบา

“เรื่องน้องมาริโอนั้นปลอดภัยแล้วจ้ะ รู้สึกตอนนี้น้องเค้ากำลังทานขนมเค้กกับหงส์หยกอยู่นะ”

“หงส์หยก?”

“อ้อ นั่นเพื่อนของพี่เองจ้ะ พอดีพวกพี่กำลังหาทางให้น้องมาริโอทานยาอยู่ ก็เลยใช้ขนมเค้กเป็นตัวล่อนิดหน่อยนะจ้ะ” ธิดาตอบ ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับกุมขมับ

ใครว่ามันทานยายาก มันหาเรื่องเนียนหลีหญิงมากกว่า

ส่วนธิดาเห็นรัตติทำสีหน้าเคร่งเครียด จึงถามกลับไปว่า

“ถ้าน้องรัตติเป็นห่วงเขามาก งั้นพี่จะพาน้องไปหาน้องมาริโอเลยแล้วกัน”

“ฮะ ต้องรบกวนท่านพี่ธิดาอีกแล้วนะฮะ” ราตรีตอบ ซึ่งธิดาก็ได้พยุงตัวราตรีขึ้นก่อนจะพาราตรีเดินไปข้างนอกห้องเพื่อหามาริโอ เมื่อมาถึงแล้ว ราตรีถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นคนที่เธอห่วงนักห่วงหนากำลังนั่งตักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีผมเขียวมัดรวบเป็นหางม้าในชุดว่ายน้ำทูพีช

“ง่ำๆ อร่อยจัง เอาอีกฮับ เอาอีก” มาริโอพูดพลางเคี้ยวขนมเค้กตุ้ยๆ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่กำลังถือจานขนมเค้กอยู่นั้นก็รีบพยักหน้า ก่อนจะใช้ช้อนตักขนมเค้กและทำท่าจะส่งเข้าปากมาริโอ

“มา...ริ...โอ” ราตรีกัดฟันเรียกชื่อมันด้วยความโกรธเคืองพร้อมกับจ้องมาริโออย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งทำเอามาริโอที่ถูกราตรีแผ่รังสีฆ่าฟันใส่ถึงกับสะดุ้งตกใจกระโดดออกจากตักของผู้หญิงคนนั้นอย่างเร็ว

“รัตติฟื้นแล้วเหรอ” มาริโอแสร้งพูดเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นเจ้านายยืนตรงประตู “ดีจังเลยนะ ข้าเป็นห่วงแทบแย่ กินอะไรก็ไม่ค่อยได้ นอนก็ไม่ค่อยหลับ เฝ้าเป็นห่วงเจ้าอยู่เกือบตลอดเวลา”

ราตรีขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำแก้ตัวของมาริโอ

เป็นห่วง? แต่มาอ้อนผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยนี่นะรึห่วง

ไอ้เห็ดแก่ตัณหา


“งั้นเหรอ แล้วไอ้ครีมติดอยู่ที่มุมปากนั่นหมายความว่ายังไง”

“ห๊ะ! อะไรนะ” มาริโอชะงักก่อนจะรีบเอามือป้ายปากอย่างไว ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับถอนหายใจ

ดูมัน แค่พูดดักคอนิดเดียวก็หลุดแล้ว

“น้องรัตติจ้ะ อย่าไปโกรธน้องมาริโอเลยนะ เพราะพี่เป็นคนบังคับให้เขามาทานเค้กเองจ้ะ” ธิดารีบพูดแก้ความเข้าใจผิดเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันหน้าไปทางผู้หญิงคนนั้น “ว่าแต่น้องหงส์หยกเถอะ ไม่เห็นต้องลงทุนถึงขนาดนี้เลยก็ได้นี่ แค่ป้อนเค้กเฉยๆก็น่าจะพอแล้วนะ”

หงส์หยกยิ้มแห้งๆก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ก็เขาบอกว่าถ้าหนูไม่ใส่ชุดนี้แล้ว เขาจะไม่ยอมทานขนมเค้กนี่คะ”

“มาริโอ!!” หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวพร้อมใจประสานเสียงใส่มาริโอ ซึ่งทำเอามันตกใจ

“หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ!”

“ฮึ ไม่รู้ล่ะ ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านพี่ชุนหลาน”

“ง่า ม่ายอาว หนูกลัวโดนต่อย รัตติเจ้าอย่าไปบอกท่านพี่ชุนหลานเลยนะ” มาริโอร้องครวญครางก่อนจะวิ่งเข้าไปนั่งคุกเข่าจับขากางเกงราตรีอย่างออดอ้อน

“อุ้ยตายจริง มีคนกำราบน้องมาริโออยู่หมัดด้วยหรือนี่จ้ะ” ธิดาร้องอุทานด้วยความแปลกใจ

ไม่อยู่ได้ยังไงล่ะ เจ้ชกทีระเบิดตูมตาม

ราตรีคิดในใจแต่โดยหารู้ไม่ว่าตัวเธอเองก็ร้ายพอเท่ากับหยางชุนหลานเช่นเดียวกัน เพียงแต่กรณีของเธอเป็นการใช้แส้ในการลงโทษมาริโอเท่านั้น

“ถ้าทำตัวดี ข้าก็จะไม่บอก” ราตรีบอกก่อนจะพูดขู่ต่อ “แต่ถ้าทำอีก ข้าจะไปฟ้องทันที”

“อื้อๆ ข้าจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน” มาริโอพูดพลางพยักหน้า ซึ่งราตรีเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ทำตามที่เธอบอกอย่างแน่นอน

มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งสอง

“เอาล่ะเด็กๆ ทีนี้ก็หมดเรื่องแล้วนะจ้ะ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะพาพวกน้องไปทานข้าวเช้าก่อน แล้วค่อยทานยาแล้วกันนะจ้ะ” ธิดาบอก ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับตาวาว

“เย้ ข้าวเช้าๆ!” ราตรีได้ยินถึงกับกุมขมับกับความตะกละของมาริโอที่ไม่มีสิ้นสุด

“ไปกันเถอะจ้ะน้องรัตติน้องมาริโอ เดี๋ยวพี่จะพาไปห้องอาหารให้เอง” ธิดาบอกพลางสั่งให้มาริโอมาช่วยพยุงรัตติไปห้องอาหาร เมื่อสองร่างเดินออกไปแล้วธิดาจึงค่อยหันหน้ากลับมามองหงส์หยกด้วยแววตาเคร่งขรึม “ทีหลังห้ามใส่ชุดแบบนั้นอีกนะน้องหงส์หยก พี่ไม่ชอบ”

หงส์หยกสะดุ้งวาบก่อนจะก้มหน้าตอบว่า

“ค่ะพี่ธิดา น้องจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ”

เมื่อมาถึงห้องอาหารแล้ว ราตรีกับมาริโอแทบตะลึงหลังจากที่ได้เห็นอาหารบนโต๊ะไม้ เพราะแต่ละอย่างล้วนเป็นอาหารระดับฮ่องเต้ทั้งนั้น ซึ่งทำเอาราตรีรู้สึกเกรงใจอย่างยิ่ง

“ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอกจ้ะน้องรัตติ อันนี้เป็นอาหารฟรีที่พี่ได้มาจากการจับรางวัลในงานประลองของเกมเรียลนี้นะจ้ะ” ธิดาบอกเหตุผลให้ราตรีฟัง ซึ่งเธอก็ค่อยรู้สึกหายใจโล่งคอ เพราะเธอไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร

“งั้นขอทานเลยนะฮะ” มาริโอพูดแทรกก่อนจะใช้มือคว้าหยิบไก่ทอดขึ้นมา แต่ทว่ารัตติไวกว่า เธอรีบตบมือของมาริโออย่างเร็ว ทำให้ไก่ทอดชิ้นนั้นร่วงหล่นบนโต๊ะอาหารทันที

“ยังไม่ได้ล้างมือ ห้ามทานอาหารเด็ดขาด อ้อ แล้วก็ห้ามทานอาหารก่อนผู้ใหญ่ด้วย” ราตรีพูดในเชิงสั่งสอน “ท่านพี่ธิดาฮะ ที่นี่มีอ่างล้างมือไหมฮะ ผมจะให้มาริโอล้างมือสักหน่อย”

“ได้สิจ้ะ”

หลังจากนั้นก็มีคนนำชามสำหรับล้างมือมาให้ พอพวกราตรีล้างเสร็จแล้วก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารทันที ช่วงในระหว่างรับประทานอาหารนั้นธิดาก็ได้เล่าเรื่องให้ฟังต่อ ซึ่งสามหนุ่มแปลกหน้าที่ราตรีได้ทำร้ายร่างกายก่อนใครเขานั้น ก็ได้ขอแยกทางไปเรียบร้อยแล้วโดยที่ทั้งสามหนุ่มไม่ได้ติดใจเอาเรื่องที่รัตติทำร้ายร่างกายพวกเขาเลยแม้สักนิดเดียว แถมยังบอกว่ากองเลือดที่เห็นอยู่นั้นจะต้องไม่ใช่ผู้เล่นชายที่รัตติอยากจะช่วยแน่นอน ซึ่งพอราตรีได้ยินถึงกับโล่งใจไปหนึ่งเปลาะ เมื่อราตรีกับมาริโอทานข้าวกับทานยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลังก็ได้ฟื้นฟูคืนกลับมาเป็นปกติ

“ผมต้องขอขอบคุณท่านพี่ธิดามากนะฮะ ถ้าไม่ได้ท่านพี่ผมกับมาริโอคงแย่” ราตรีบอกพลางยกมือขึ้นไหว้ ซึ่งทำเอาธิดารีบยกมือขึ้นไหว้ตอบกลับอย่างไว

“ไม่เป็นไรจ้ะน้องรัตติ เรื่องของน้องก็คือเรื่องของพี่ ถ้าพี่ไม่ช่วยน้องแล้วจะให้ไปช่วยใครล่ะจ้ะ”

“ถ้ามีโอกาสหน้าผมคงตอบแทนให้ท่านพี่แน่ฮะ แต่ตอนนี้ผมกับมาริโอต้องขอตัวก่อนนะฮะ” คำพูดของราตรีทำเอาธิดาตกใจ

“อ้าว แล้วนั่นน้องรัตติจะรีบไปไหนล่ะจ้ะ ไม่อยู่พักฟื้นที่บ้านพี่ก่อนหรือ” ราตรีส่ายหน้าก่อนจะตอบยิ้มๆไปว่า

“แค่ผมทำร้ายร่างกายพี่ก็มากเกินพอแล้วฮะ ไหนจะมาพักฟื้นที่บ้านกับทานข้าวเช้าอีก”

“ไม่นะน้องรัตติ เรื่องนี้พี่ไม่คิดถือสาอะไรน้องเลยสักนิดเดียว!” ธิดารีบพูดแย้งเพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะคิดถึงมากถึงเพียงนี้ “เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าน้องรัตติกังวลว่าจะเอาเปรียบพี่แล้วล่ะก็ มาทำงานอยู่ในสมาพันธ์ของพี่เป็นการชั่วคราวก่อนสิจ้ะ”

“ใช่ๆรัตติ อยู่ที่นี่ต่อเถอะ” มาริโอพูดเสริม ซึ่งทำเอาราตรีแทบกุมขมับ

ไอ้เห็ดลามก อยากอยู่เพราะมีแต่ผู้หญิงก็ว่ามาเถอะ

“เอาอย่างนั้นก็ได้ฮะท่านพี่ธิดา ผมจะทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านพี่ธิดามอบให้กับพวกผม” ราตรีตอบ ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับกระโดดโห่ร้องไชโย “แต่แค่อยู่ชั่วคราวนะฮะท่านพี่ธิดา ส่วนเรื่องการลงชื่อในสมาพันธ์ของท่านพี่นั้น ผมขอไม่ลงชื่อนะฮะ”

“อ้าวทำไมพูดแบบนั้นล่ะจ้ะน้องรัตติ” ธิดาถามกลับอย่างมึนงง เพราะถ้าไม่ลงชื่อแล้ว จะเรียกว่าเข้ามาทำงานในสมาพันธ์ได้ยังไง

“ก็ขืนผมเข้าสมาพันธ์ของท่านพี่จริงๆ ผมมิต้องคอยรับส่วนแบ่งจากท่านพี่ตลอดเลยรึยังไงฮะ” ราตรีตอบไปตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม “สู้ให้ผมทำงานโดยไม่ต้องรับส่วนแบ่งเลยจะดีกว่า เพราะผมไม่ชอบทำงานตอบแทนเพื่อหวังผลนะฮะ”

คราวนี้ธิดาถึงกับนิ่งไป ทำเอาราตรีชักไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะโกรธเธอรึเปล่า แต่ทว่าความคิดของราตรีมีอันต้องพับลงไป เพราะธิดายิ้มหวานให้กับราตรีก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วจ้ะ น้องจะทำแบบนั้นก็ได้พี่ไม่ว่า เพราะพี่คิดอยู่แล้วว่าน้องต้องพูดแบบนี้”

เมื่อคุยตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธิดาก็พาราตรีกับมาริโอไปพักผ่อนในห้องนอนสำหรับแขก เพราะพรุ่งนี้เช้าราตรีจะได้เริ่มทำงานต่อทันที

...............
 
รุ่งเช้าเข้าย่างวันที่เจ็ดในการออนไลน์เล่นเกมของราตรี ซึ่งแน่นอนว่าราตรีได้ตื่นนอนก่อนไก่ที่จะขันเสียอีก ส่วนมาริโอนั้นราตรีปล่อยให้มันนอนได้ตามสบาย หลังจากอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เธอก็ไม่ลืมที่จะนั่งสมาธิซึ่งในโลกจริงเธอทำจนเป็นกิจวัตรไปแล้ว

“ท่านได้รับทักษะพลังจิตระดับ1”

ราตรีถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงระบบประกาศ

ไม่ยักรู้ว่าแค่นั่งสมาธิก็ได้ทักษะมาด้วย

ราตรีคิดในใจก่อนจะนั่งสมาธิต่อ ซึ่งการนั่งสมาธิของเธอก็ไม่ใช่มีอะไรมากมาย เพียงแค่นั่งให้สบาย ไม่คิดฟุ้งซ่าน ส่วนเรื่องการหายใจนั้น เธอเพียงแค่กำหนดลมหายใจโดยหายใจเข้าก็นับหนึ่ง พอหายใจออกก็นับสอง ซึ่งบวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งครบร้อยแล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่

“ท่านได้รับทักษะพลังจิตระดับ2”

“ท่านได้รับทักษะพลังจิตระดับ3”

“ท่านได้รับทักษะพลังจิตระดับ4”

“ท่านได้รับทักษะพลังจิตระดับ5”

“ท่านได้รับทักษะพลังจิตระดับ6”

“ท่านได้รับทักษะพลังจิตระดับ7”

“ท่านได้รับทักษะพลังจิตระดับ8”


ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ก่อนจะตามด้วยเสียงหวานที่ดังแว่วออกมาจากข้างนอกประตู

“น้องรัตติจ้ะ น้องรัตติตื่นหรือยังเอ่ย” ราตรีได้ยินดังนั้นจึงลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ตื่นแล้วฮะท่านพี่ธิดา”

“งั้นหรือจ้ะ ถ้าตื่นแล้วก็รีบปลุกน้องมาริโอด้วยนะ แล้วเดี๋ยวเรามาเจอกันที่ห้องเดิมนะจ้ะ”

“ฮะท่านพี่”

เมื่อเสียงคนที่อยู่ข้างนอกได้เดินไปแล้ว ราตรีก็หันไปปลุกมาริโอซึ่งทีแรกมันไม่ยอมขยับเขยื้อน พอเธอปลุกครั้งที่สองมันกลับตีแขนเธอเต็มแรง พอครั้งที่สามคราวนี้ราตรีไม่เขย่าตัวมันอีก แต่กลับลงจากเตียงแล้วเดินหายไปในห้องน้ำสักพักก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมกับถังน้ำหนึ่งใบ

ซ่า!

น้ำในถังหกใส่หน้ามาริโอไปเต็มๆ ทำเอาคนขี้เซาถึงกับสะดุ้งตื่นทันที

“ว้าก! ข้าศึกโจมตีแล้ว!!” มาริโอร้องโวยวายก่อนจะหันมาเห็นราตรีที่กำลังยืนถือถังน้ำอยู่ข้างๆเตียง “ปลุกข้าดีๆก็ได้นี่รัตติ ทำไมต้องสาดน้ำใส่ข้าด้วยล่ะ”

“ก็ ข้าปลุกเจ้าตั้งสองหนแล้วก็ไม่ยอมตื่นเอง ช่วยไม่ได้”

“โห่ รัตติใจร้าย ดูสิ ข้าเปียกไปหมดทั้งตัวแล้วนะ” มาริโอพูดงอนตุบป่อง

“เปียกก็ดี จะได้ไม่ต้องล้างหน้าอีกรอบยังไงล่ะ” ราตรีบอกพลางวางถังน้ำลง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วโยนใส่หัวมาริโอ “รีบเช็ดให้แห้งซะ แล้วจะได้รีบออกไปข้างนอกกัน”

“อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ” มาริโอตอบก่อนจะรีบเช็ดตัวอย่างไว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วราตรีกับมาริโอก็เดินออกไปยังห้องอาหารทันที พอมาถึงที่หมายแล้ว ราตรีก็แทบแปลกใจเมื่อเห็นธิดาในชุดใหม่ ซึ่งดูทะมัดทะแมงราวกับจะไปเดินป่า ส่วนผู้หญิงผมเขียวอีกคนที่เป็นน้องสาวของธิดานั้นก็ไม่ต่างเช่นเดียวกับธิดา เพียงแต่เส้นผมที่เคยยาวกลับสั้นลงเพียงแค่ปะบ่า

“เชิญนั่งลงก่อนได้เลยจ้ะน้องรัตติน้องมาริโอ”

“ฮะ” เมื่อราตรีกับมาริโอก็นั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ธิดาก็เอ่ยปากพูดก่อนทันที

“ก่อนอื่นพี่จะขอพูดอะไรสักหน่อยนะจ้ะน้องรัตติ”

“ฮะ เชิญท่านพี่ว่ามาได้เลยฮะ ต่อให้งานหนักแค่ไหนผมไม่เกี่ยง” ราตรีตอบยิ้มๆ

“พี่ตั้งใจว่าจะให้น้องช่วยทำภารกิจระดับยากๆหน่อยนะจ้ะ” ธิดาบอกพลางมองราตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่เท่าที่พี่สังเกตดูตอนน้องอยู่ในร่างมังกรแล้ว ค่าโจมตียังไม่สูงพอแถมน้องยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก็เลยทำให้เป็นมังกรในสถานะคลั่งจนทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นพี่คิดว่าน้องรัตติควรจะฝึกฝนวิชาก่อนที่จะออกไปทำภารกิจกับพี่ที่ข้างนอกดีกว่านะจ้ะ”

“ฝึกวิชาเหรอฮะ” ราตรีถามอย่างสงสัย ถึงแม้คำพูดของธิดาจะทำให้เธอรู้สึกเจ็บใจ แต่นั่นก็คือความจริงที่ราตรีต้องยอมรับ

“ใช่แล้วจ้ะ ฝึกวิชาเพื่อที่น้องจะได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม” ธิดาตอบก่อนจะอธิบายต่อ “แต่ก่อนอื่นพี่ขอให้น้องทดสอบสักหน่อย เพราะพี่จะได้เตรียมการฝึกให้น้องได้ถูก เอ่อ ว่าแต่น้องรัตติมีพลังธาตุอะไรเอ่ย”

“ไม่ทราบฮะ”

“อะไรนะจ้ะ ไม่ทราบงั้นหรือ” ธิดาถามด้วยความแปลกใจ

“ฮะ ไม่ทราบ” ราตรีตอบก่อนจะเรียกหน้าต่างสถานะของตัวเองให้ธิดาได้ดู ซึ่งทำเอาหญิงสาวถึงกับขมวดคิ้ว

“ไม่มีจริงๆด้วย ไม่มีค่าพลังเลือด ค่ามานา นี่มันอะไรกัน” ธิดาบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองราตรี “ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จะให้น้องรัตติฝึกทดสอบไปก่อน ส่วนเรื่องพลังธาตุเอาไว้ทีหลัง”

“ฮะท่านพี่” แล้วจากนั้นธิดาก็ขอจดชื่อทักษะที่ราตรีได้มาทั้งหมด ก่อนบอกให้รัตติกับมาริโอลงมือทานข้าวเช้าต่อ

.......................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 27 ฝึกวิชา (update 100%) P.2 27/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 28-02-2015 00:26:31
สิบขวบแล้ววววววว


เดี่ยวก้อโตเป็นหนุ่มๆ มีคนมารุมจีบ

เนอะ ^^
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 27 ฝึกวิชา (update 100%) P.2 27/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 28-02-2015 23:16:18
บทที่ 28 นางเงือก

..............
 
หลังจากราตรีกับมาริโอทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว ธิดาก็ได้พาพวกราตรีไปยังลานสนามกว้างซึ่งท้องฟ้าที่ราตรีได้เห็นนั้นเป็นเพียงท้องทะเลที่แสนจะกว้างขวาง

“นี่ข้าอยู่ใต้ท้องทะเลรึเนี่ย” มาริโอพูดอ้าปากค้างอย่างตะลึง ซึ่งทำเอาธิดาหัวเราะ

“คิกๆ ขอโทษทีจ้ะพอดีพี่ลืมบอกพวกน้องไป ตอนนี้พวกเราอยู่ใต้ทะเลลึกลงจากแผ่นดินเกือบสิบกิโลเมตรเห็นจะได้นะ”

“สิบกิโล!” มาริโอร้องอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะทำท่าเหมือนขาดอากาศหายใจ “นี่ข้าจะตายไหมเนี่ย!! รัตติช่วยข้าด้วยรัตติ!”

ผัวะ!

มาริโอถูกราตรีตบหัวอย่างหมั่นไส้

“ถ้าตายก็ตายไปตั้งนานแล้วเจ้าเห็ดงี่เง่า”

“เออจริงด้วยแหะ ข้าก็ลืมไป” มาริโอพูดพลางเอามือลูบหัวของตัวเองป้อยๆ “ว่าแต่พวกเราหายใจอยู่ในน้ำได้ยังไงล่ะนี่”

“ไม่เห็นยาก น่าจะเป็นพวกเวทมนตร์หรือของวิเศษสักอย่างที่ทำให้พวกเราหายใจอยู่ในน้ำได้” ราตรีพูดอย่างคาดเดา

“เดาได้เก่งเหมือนกันนี่เรา” ธิดาหันมาพูดชมราตรี “ถูกแล้วจ้ะ พี่ใช้ของวิเศษทำให้พวกน้องสองคนหายใจอยู่ในน้ำได้ ลองสังเกตแหวนที่นิ้วกลางมือซ้ายสิจ้ะ”

ราตรีกับมาริโอได้ยินที่ธิดาบอกก็รีบยกมือขึ้นมาดู ซึ่งมีแหวนกลมๆสีเขียวอยู่บนนิ้วกลางมือซ้ายจริงๆ

“นี่ๆ รัตติดูสิ แหวนนี่สวยมากเลยเนอะ ดูสิๆ” มาริโอพูดอย่างตื่นเต้นพลางชูนิ้วลางที่สวมแหวนให้ราตรีดู ก่อนที่ราตรีจะตบหัวมันด้วยแม่ไม้มวยไทยในตำนานนารายณ์บั่นเศียร ดังเพียะสนั่นหวั่นไหว จนมันเซถลา

หนอยแน่ สบโอกาสเป็นไม่ได้ ไอ้เห็ดเกรียน

“เอาล่ะเด็กๆ ฟังทางนี้หน่อยจ้า” ธิดาบอกพลางปรบมือ ซึ่งทำเอาราตรีกับมาริโอหันไปฟังที่อีกฝ่ายพูด “เดี๋ยวพี่จะเริ่มทำการทดสอบฝีมือโดยให้น้องรัตติได้ลองเป็นคนแรกก่อนนะจ้ะ ก่อนอื่นน้องรัตติมีอาวุธอะไรที่ติดตัวบ้าง พี่ขอแบบอันที่โจมตีไม่แรงหน่อยนะ”

“ได้ฮะ” ราตรีตอบก่อนจะเรียกค้อนพลาสติกออกมา ซึ่งทำเอาธิดาถึงกับขมวดคิ้ว

“น้องรัตติจ้ะ น้องแน่ใจแล้วหรือว่าจะเอาค้อนอันนั้นมาใช้นะ”

“แน่ใจสิฮะ” ราตรีตอบพลางกวัดแกว่งค้อนพลาสติกไปมาเพื่อทดสอบพลังของมันเล่นๆ “ถ้าท่านพี่ธิดาไม่เชื่อ ประเดี๋ยวผมจะทดสอบให้ดูนะฮะ”

“เอ่อไม่ต้อง...”

บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ!

100

98

80


ราตรีเอาค้อนพลาสติกทุบหัวมาริโอถึงสามครั้ง ซึ่งทำเอาคนติดตามธิดาอย่างหงส์หยกถึงกับหัวเราะเสียงคิกคัก

“เว้ย! ทำไมเจ้าต้องเอาข้าเป็นหนูทดลองด้วยเนี่ย” มาริโอร้องโวยวาย

“ใครว่าเจ้าเป็นหนูทดลอง” ราตรีแย้ง “แต่เป็นเห็ดทดลองตั้งหากล่ะ”

“แง้! หนูไม่ใช่เห็ดทดลองนะ!” มาริโอร้องอีกครั้งซึ่งทำเอาธิดาต้องเข้าห้ามปราม เมื่อเรื่องสงบแล้วธิดาก็พูดเข้าเรื่องต่อ

“ความจริงพี่เองก็อยากทดสอบน้องด้วยตัวของพี่เอง แต่ตอนนี้ตัวของพี่มีระดับสูงเกินไป ฉะนั้นพี่จะให้คนของพี่มาต่อสู้กับน้องแทนจ้ะ เอาล่ะน้องปลาออกมาได้แล้วจ้ะ” ธิดาพูดจบก็ปรบมือเรียก ก่อนจะเผยให้เห็นหญิงสาวผมยาวสีม่วงวัยยี่สิบต้นในชุดบิกินี่ซึ่งมีท่อนล่างเป็นหางปลาสีม่วงว่ายน้ำออกมา ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับอ้าปากค้าง

“ปลา! ปลาจริงๆด้วย!! สวยจังเลย!!” ส่วนผู้หญิงที่ชื่อปลาได้ยินที่มาริโอร้องอุทานเสียงดังถึงกับหัวเราะออกมา

“คิกๆ ขอบใจที่ชมจ้ะหนูเห็ดมาริโอ” ปลาตอบก่อนที่หางปลาของตัวเองจะหายไป เผยให้เห็นขาสองข้างยืนอยู่กับพื้นดินแทน “ขอบอกไว้ก่อนนะว่าพี่ไม่ใช่ปลา แต่เป็นเงือกจ้ะ”

ราตรีได้ยินถึงกับขมวดคิ้ว

อะไรกัน นอกจากเธอที่เกิดเป็นมังกรแล้ว ยังมีคนเกิดเป็นเงือกได้อีกหรือนี่

“แล้วท่านพี่ธิดากับท่านพี่หงส์หยกเกิดมาเป็นเผ่าอะไรหรือฮะ” ราตรีถามต่ออย่างสงสัย

“อ้อ พี่กับน้องหงส์หยกเป็นมนุษย์ทั้งคู่จ้า” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “พี่ว่าเริ่มเข้าเรื่องกันเถอะ น้องปลาจ้ะ ถ้าไม่มีอาวุธก็ใช้มือเปล่านั่นแหละจ้ะ”

“ทราบแล้วค่ะพี่ธิดา แต่น้องขอกลับคืนร่างเดิมนะคะ”

“อืม ยังไงก็ได้แล้วแต่น้องปลาจ้ะ” เมื่อสิ้นคำตอบจากธิดาแล้ว ปลาก็รีบคืนร่างเดิมซึ่งทำให้ขาสองข้างกลายเป็นหางปลาตามเดิม

เข้าใจอยู่หรอกนะว่าเกมนี้มีเผ่านางเงือกด้วย

แต่ทำไมต้องใส่แต่ชุดบิกินี่ด้วย!!


ราตรีแทบกุมขมับเมื่อเห็นปลากลับคืนร่างเดิมแล้ว ส่วนมาริโอก็ได้แต่อ้าปากค้างน้ำลายไหลย้อยเพราะได้เห็นภาพปลาในร่างนางเงือกอีกครั้ง

“น้องรัตติน้องปลาจ้ะ ถ้าพร้อมแล้วก็บอกได้นะ พี่จะได้ให้สัญญาณ”

“น้องก็พร้อมแล้วค่ะพี่ธิดา”

“ฮะ ผมพร้อมแล้วฮะ” ราตรีตอบก่อนจะจับค้อนพลาสติกให้กระชับมือ ถึงแม้ตอนนี้อาวุธในมือของราตรีไม่ใช่ดาบ แต่เธอก็ยังคงตั้งท่ารอราวกับมีดาบอยู่ในมือจริงๆ ซึ่งการตั้งท่ารอของราตรีทำเอาสามร่างชะงักโดยเฉพาะธิดาที่หรี่ตามองราตรีราวกับพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่าง

“เอาล่ะ เตรียมพร้อม” ธิดาพูดพลางยกมือขึ้นให้สัญญาณ ซึ่งมาริโอได้เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งถอยออกห่างอย่างเร็วเพราะกลัวโดนลูกหลง “เริ่มได้!”

ทันทีที่สิ้นเสียงของธิดา ปลาก็ได้ว่ายเข้าหาราตรีก่อนจะใช้หางปลาฟาดเข้าที่ใบหน้าของเธอ ซึ่งราตรีเองก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้โจมตีฟรี รีบยกค้อนพลาสติกขึ้นมากันอย่างเร็ว แต่ทว่าราตรีลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่บนบกแต่เป็นในน้ำทะเล จึงทำให้พละกำลังลดลงไปเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งผลก็คือราตรีโดนหางเงือกของอีกฝ่ายฟาดเข้าที่แก้มอย่างจัง

ผัวะ!

100


ทว่าราตรีไม่ให้อีกฝ่ายได้โจมตีฟรี ราตรีรีบวาดขาขึ้นสูงเตะเข้าที่แขนซ้ายของปลาอย่างเร็ว

ผัวะ!

189


“แปลก ทั้งๆที่ระดับเดียวกันแต่รัตติโจมตีได้เบากว่าพี่ปลา” มาริโอพูดวิจารณ์อย่างสงสัย

“ไม่แปลกหรอกจ้ะน้องมาริโอ” ธิดาตอบโดยยังคงมองปลากับรัตติอยู่ “เพราะปลาเค้าเป็นพวกเผ่าเงือก แถมมีหางเงือกด้วย ก็เลยทำให้โจมตีได้แรงและเร็ว ส่วนรัตตินั้นเป็นแค่เผ่ามังกร ยังไม่เคยสัมผัสการต่อสู้ในน้ำทะเลด้วย ก็เลยแพ้ปลาที่อยู่ในน้ำทะเลตั้งแต่เกิด”

พอธิดาพูดจบ มาริโอก็หันหน้ากลับไปมองราตรีต่อ

“อ๊ะ แย่แล้วสิ” มาริโอร้องอุทานเสียงเบาเมื่อเห็นว่าปลากำลังว่ายน้ำอ้อมไปด้านหลัง ก่อนจะหอมแก้มราตรีหนึ่งที เมื่อปลาหอมเสร็จแล้วก็ว่ายหลบออกไปหัวเราะคิกคัก

“เลิกเล่นแล้วเอาจริงเสียทีน้องปลา” ธิดาพูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาปลาถึงกับหยุดหัวเราะ

“ค่ะพี่ธิดา” พอปลาตอบ ร่างของเธอก็ว่ายเข้าหาราตรีก่อนจะโจมตีด้วยหางอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งทำเอาราตรีเกือบป้องกันไม่ทัน พอปลาพลิกตัวกลับอีกที ราตรีก็ใช้มือจับหางไว้ก่อนจะใช้ค้อนพลาสติกทุบรัวๆ

“นี่แน่ะๆ!”

บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ! บิ๊บ!

185

168

174

178


ราตรีใช้ค้อนพลาสติกทุบไล่ตั้งแต่หางขึ้นไป ซึ่งในระหว่างทุบนี้ราตรีก็ได้คิดในใจไปด้วย

เอาสิ ดิ้นดีนัก แม่จะจับขอดเกล็ดทอดซะ!

เมื่อราตรีใช้ค้อนพลาสติกทุบจนถึงหัวของปลาแล้ว หญิงสาวก็ได้เอ่ยปากขอยอมแพ้

“ยอมแพ้แล้วๆ เลิกทุบหัวพี่ได้แล้วนะน้องรัตติ!” ราตรีได้ยินดังนั้นก็ปล่อยมือออกจากหางปลาทันที “ฮือๆ หัวเขาปูดหมดแล้ว”

นี่ถ้ามีมีดหรือดาบซักเล่ม ฉันทุบหัวควักไส้เธอไปนานแล้ว

ราตรีครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ

แปะ! แปะ!

“เอาล่ะพอแค่นี้ได้แล้วจ้ะ” ธิดาบอกยุติการต่อสู้ “ขอบใจน้องปลามากนะจ้ะที่อุตส่าห์สละเวลามาช่วยฝึกซ้อมให้รัตติ”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ธิดา เรื่องแค่นี้เอง” ปลาตอบยิ้มๆ

“เอาล่ะทีนี้ก็ถึงตาของน้องมาริโอแล้วนะจ้ะ” ธิดาหันมาพูดกับมาริโอ ก่อนจะทำหน้าขมวดคิ้ว “พี่ไม่รู้จะให้เราทดสอบแบบไหนดี เอาเป็นว่า…”

ธิดามองซ้ายมองขวาก่อนจะหันขวับมาทางรัตติ

“ลองสู้กับรัตติแล้วกันนะ” หนึ่งหนุ่มกับหนึ่งตัวสะดุ้งวาบเมื่อได้ยินคำพูดของธิดา

“ไม่นะ หนูไม่สู้กับรัตติ!” มาริโอร้องโวยวาย

“ทำไมจะสู้ไม่ได้ล่ะจ้ะ แค่สู้เพื่อดูฝีมือกัน ไม่ใช่สู้จนตายสักหน่อยนะหนูมาริโอ”

“ยังไงก็ไม่ได้! หนูไม่สู้กับเจ้านายของตัวเอง” มาริโอยังคงพูดยืนกรานเสียงแข็ง ซึ่งทำเอาราตรีแทบเอามือกุมขมับ

สงสัยเธอแกล้งบ่อยไป มันก็เลยไม่กล้าสู้กับเธอ

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าหนูยอมสู้กับรัตติ พี่สาวคนนี้จะป้อนขนมเค้กให้เอาไหมจ้ะ” ธิดาพูดเสนอข้อแนะ ซึ่งทำเอามาริโอถึงกับตาวาวเป็นประกาย

“ตกลง! หนูจะสู้!!” คำพูดของมันทำเอาราตรีเกือบล้มคะมำ

ไอ้เห็ดทะลึ่งเอ้ย!

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ธิดาก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง

“พร้อมแล้วนะจ้ะ” ธิดาถามทั้งคู่ เมื่อเห็นว่าราตรีกับมาริโอพยักหน้าตกลงแล้ว ธิดาก็เอามือลงพร้อมกับพูดว่า “เริ่มได้!”

วูบ!

มาริโอยันตัวกระโดดขึ้นสูงเหนือน้ำหมายมาดจะใช้เท้าถีบราตรี แต่ทว่ามันก็ลืมนึกถึงแรงดันน้ำไปสนิทใจ จึงทำให้การเคลื่อนไหวของมาริโอดูช้าลงไปเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อมาริโอเคลื่อนลงเข้ามาใกล้ๆ ราตรีก็ย่อเข่าลงเล็กน้อยก่อนจะตวัดค้อนพลาสติกฟาดเข้าที่ขาข้างซ้ายของมาริโออย่างแรง

บิ๊บ! กร็อบ!

200


“โอ๊ย!” ถึงแม้เสียงการโจมตีด้วยค้อนพลาสติกจะดูไม่แรงก็จริง แต่มาริโอกลับร้องอย่างเจ็บปวดประดุจโดนค้อนไม้ทุบก็มิปาน เมื่อมันโดนราตรีทุบด้วยค้อนพลาสติกแล้วก็ร่วงไปนอนกุมขากลิ้งไปมาอยู่ที่พื้นดิน “เจ็บๆ กระดูกขาหนูแตกแน่ๆ โอยๆ หนูจะตายแล้วเจ็บๆๆ”

“ลุกขึ้น อย่าสำออย” จู่ๆราตรีก็พูดเสียงห้วนขึ้นมา ทำให้ธิดากับปลาที่ยืนมองอยู่นั้นถึงกับสะดุ้งตกใจ

น้องรัตติเปลี่ยนไป!

เพราะภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของรัตติยืนก้มหน้ามองมาริโออย่างดูถูกดูแคลน ซึ่งผิดกับภาพลักษณ์เด็กหนุ่มผู้น่ารัก อ่อนโยนที่พวกเธอเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น ส่วนมาริโอนั้นเมื่อโดนเจ้านายพูดดุใส่แล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองราตรีทั้งน้ำตา

“ก็...ก็...ก็เค้าเจ็บนี่”

“เจ็บแค่นี้มันทำให้เจ้าตายรึไงมาริโอ” ราตรีพูดเสียงเข้ม ก่อนจะยื่นหัวค้อนพลาสติกประชิดใบหน้ามาริโอ “ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ชอบทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้”

“ใจร้าย รัตติใจร้าย” มาริโอพูดเสียงสั่นเครือ

“ใจร้าย?” ราตรีพูดทวนคำพูดของมาริโอ “แล้วทีแต่ก่อนเจ้าโดนข้าเฆี่ยนไม่รู้จักกี่ครั้ง ทำไมถึงยังทนได้ แต่พอโดนครั้งนี้กลับร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย นี่ถ้าคู่ต่อสู้ไม่ใช่ข้าแต่เป็นคนอื่นล่ะก็ เจ้าคงโดนฆ่าตายไปนานแล้วล่ะมาริโอ”

เงียบ ไร้การตอบรับ

“เอ่อ น้องรัตติจ้ะ พี่ว่าน้องอย่าไปดุน้องมาริโอเลยนะ” ปลาพูดแทรกขัดจังหวะ “เขายังไม่พร้อมที่จะ...”

ปลาพูดยังไม่ทันจบดี ธิดาก็ยกมือห้ามปลาไม่ให้พูดต่อ

“ไม่ลุกใช่ไหม งั้นเจ้าก็เป็นได้แค่บอสเห็ดที่ขี้แยต่อไปเถอะ” ราตรีพูดพลางหมุนตัวกลับก่อนจะเดินออกห่าง

“ใครว่าข้าขี้แยกันเล่า!” จู่ๆมาริโอก็ตวาดเสียงกลับมา ซึ่งทำให้ราตรีที่กำลังยืนหันหลังถึงกับอมยิ้ม “ข้าร้องไห้ก็เพราะน้ำทะเลมันเข้าตาตั้งหากล่ะ”

ราตรีได้ยินที่มาริโอพูดถึงกับส่ายหน้าอย่างขำๆ

ดูมัน แค่คำแก้ตัวก็ยังพูดผิดเลย

“ดี ถ้างั้นเราก็มาสู้กันต่อ” ราตรีพูดพลางหมุนตัวกลับ “ขอบอกไว้ก่อนนะว่าครั้งนี้ข้าจะไม่ออมมือให้เจ้าอีกแล้ว”

“อื้อๆ”

“ค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 9”

เสียงระบบประกาศดังก้องหัวราตรี ซึ่งคราวนี้ราตรีตั้งท่ารอใหม่ แล้วมาริโอก็พุ่งเข้าหาเธอ แต่แทนที่มันจะกระโดดอย่างเคย กลับเปลี่ยนทิศทางโดยกลิ้งตัวไปด้านหลังของราตรีก่อนจะพุ่งชนอย่างเต็มแรง

โครม!

100


ราตรีล้มลงกับพื้น แต่ถึงกระนั้นเธอก็สามารถพลิกตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่ก็ดันมาจ๊ะเอ๋กับมาริโอตรงหน้า เธอเห็นดังนั้นจึงรีบตวัดค้อนใส่มาริโอ

วูบ!

มาริโอหลบได้ก่อนจะพุ่งตัวถีบ

“ย้ากกก ดาวตกมังก…”

ผัวะ!

200


“เอ๋งๆ!” มาริโอร้องครวญครางไม่เป็นภาษาหลังจากถูกราตรีโจมตีด้วยค้อนพลาสติก ซึ่งหลังจากนั้นมันก็ถูกราตรีทุบด้วยค้อนอีกนับครั้งไม่ถ้วน เล่นเอาน่วมเลยทีเดียวถ้าหากธิดาไม่ร้องห้ามเอาไว้

“ทำไมต้องเป็นท่าดาวตกด้วยล่ะมาริโอ ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยจริงๆ” ราตรีถามหลังจากนั่งพักผ่อนเอาแรง

“ก็ท่านี้มันเท่ดีนี่” มาริโอตอบ แล้วหลังจากทดสอบเสร็จธิดาก็ให้ปลาพาราตรีกับมาริโอไปเดินเล่นพักผ่อนในสมาพันธ์ของเธออีกวันไปฟรีๆ

..........................

 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 28 นางเงือก (update 100%) P.2 28/02/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 01-03-2015 17:46:12
บทที่ 29 ความลับของราตรี

.........................

“ท่านพี่ช่วยข้าด้วย!”

เสียงเพรียกของเด็กหนุ่มผมเงินสั้นทำเอาเมฆาอยากจะเข้าไปช่วย แต่ติดตรงที่ชายหนุ่มโดนนักฆ่ารุมล้อมเอาไว้จึงทำให้ไปช่วยไม่ได้

พลั่ก!

100


ภาพราตรีถูกนักฆ่าคนหนึ่งทุบต้นคอจนสลบไป ทำให้เมฆาแทบคลั่งจนอยากจะไปช่วยน้องราตรีใจแทบขาด

“ไม่!” เมฆากรีดร้องลั่นพลางผุดลุกขึ้นนั่งหอบหายใจ

ฝัน?

เมฆาคิดในใจพลางเอามือขวากุมหน้าผากของตัวเอง เพราะตั้งแต่เมฆาเดินทางกลับทวีปหลักแล้ว เขาก็ฝันแบบนี้อยู่ทุกวัน แต่พอลองนึกย้อนตอนที่น้องราตรีได้ถูกนักฆ่าหรือลุงจิลลักพาตัวไปแล้ว  ตอนนั้นเขาก็ได้ระเบิดความบ้าคลั่งของตัวเองด้วยการฆ่านักฆ่าโดยไม่สนคำอ้อนวอนของพวกนักฆ่าเลยสักนิดเดียว เมื่อจัดการนักฆ่าเสร็จแล้ว เขาก็คิดจะตามไปช่วยราตรีกับมาริโอต่อ หากแต่ลุงจิลได้วกกลับมาอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาได้จัดการลงมือฆ่าอีกฝ่ายให้ตายอย่างอเนจอนาถชนิดที่ไม่เหลือให้เห็นเป็นรูปร่างคนได้

“ฝันร้ายอีกแล้วหรือขอรับท่านราชาเงา” น้ำเสียงกึ่งขบขันกึ่งเยาะเย้ยดังขึ้นข้างเตียง ทำเอาเมฆานึกฉุนคนพูดแทบอยากจะฆ่าให้ตายคามือแต่ก็ไม่สามารถทำได้ “กี่ครั้งแล้วที่ท่านฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระผมไม่เห็นความฝันของท่านก็จริง แต่กระผมก็พอรู้อยู่ว่าท่านฝันถึงใคร หึ เห็นทีว่าท่านราชาปีศาจจะได้ลูกเขยมาเป็นเจ้าสาวแทนลูกสะใภ้แล้วกระมัง”

“แต่เอ...ท่านจะเลือกใครเป็นเขยใหญ่หรือขอรับ ระหว่างราตรีกับลำไย?”

“หุบปากสั่วๆของเจ้าเดี๋ยวนี้ปิเอโร่!” เมฆาตวาดด่ากลับไป ซึ่งทำให้ปิเอโร่ยอมหุบปากอย่างว่าง่าย

“ว่าแต่วันนี้ท่านจะออกล่าบอสในหุบเขาความตายหรือเปล่าขอรับ” ทว่าเมฆาไม่ตอบคำถามปิเอโร่ แต่กลับใช้ความเงียบเป็นคำตอบ ซึ่งปิเอโร่เห็นเจ้านายแล้วก็พอเดาได้ว่าเจ้านายของตนคงไม่ออกไปที่ไหนแล้วแน่ จึงเดินออกไปนอกเต็นท์อย่างเงียบๆ พอปิเอโร่ได้เดินออกไปข้างนอกเต็นท์แล้ว เมฆาก็ล้มตัวนอนแผ่หลาบนเตียงต่อ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของปิเอโร่เมื่อครู่นี้ “เห็นทีว่าท่านราชาปีศาจจะได้ลูกเขยมาเป็นเจ้าสาวแทนลูกสะใภ้แล้วกระมัง”

บ้าน่า?! อย่างเรานะรึจะชอบเพศเดียวกัน เมฆาครุ่นคิดอย่างหนักใจราวกับได้เผชิญเมฆหมอกที่ลงหนาจัดกันเป็นกลุ่มก้อน คงเป็นไปไม่ได้หรอก เราก็แค่เป็นห่วงน้องราตรีที่เป็นผู้เล่นมือหัดใหม่เท่านั้นเอง ไม่ได้คิดเกินกว่าความเป็นพี่เป็นน้องเลยสักนิด

พอคิดได้สักพัก เมฆาก็พลิกตัวหันไปอีกข้างก่อนจะมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ภาพเหตุการณ์เก่าที่เมฆาช่วยราตรีกับมาริโอไม่ได้นั้น ทำให้ชายหนุ่มยากที่จะลืมเลือนลง

เรานี่ช่าง...อ่อนแอเสียจริง

แค่ช่วยคนๆหนึ่งก็ยังทำไม่ได้เลย


เมฆาครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะแบบนี้ยังไงเล่า เขาถึงได้กลับมายังทวีปหลักเพื่อตั้งต้นเก็บเลเวลอีกครั้ง และได้ตั้งปณิธานไว้แล้วว่าถ้าเขายังไม่เก่งเทียบราชาปีศาจผู้พ่อของเขาได้แล้วล่ะก็ จะไม่ขอแบกหน้ากลับไปหาพวกน้องราตรีอีก แล้วเมฆาก็ผล็อยหลับไป โดยหารู้ไม่ว่าความคิดนั้นได้ลงฝังลึกไปในใจของชายหนุ่มทีละนิดๆ

..........................

รุ่งเช้าย่างเข้าวันที่แปดของการออนไลน์เกม ซึ่งราตรีตื่นแต่เช้าก่อนไก่ขันเพื่อนั่งสมาธิตามปกติ และแน่นอนว่าการนั่งสมาธิของเธอทำให้ทักษะพลังจิตอัพระดับไปถึงสิบ พอนั่งสมาธิไปได้สักพักพี่ธิดาก็มาเคาะประตูเรียกเธอให้ไปฝึกซ้อมวิชาตามที่กำหนดไว้ ส่วนมาริโอนั้นไม่ต้องพูดถึง โดนพี่ธิดาปลุกโดยการหยิบยื่นแส้ของราตรีฟาดซะจนหน้าเป็นรอยแดงโทษฐานที่ปลุกแล้วไม่ยอมตื่น

“นี่กำหนดการฝึกวิชานะจ้ะน้องรัตติ” ธิดาพูดพลางยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นให้กับราตรี ก่อนจะหันไปส่งกระดาษให้กับมาริโอบ้าง “ฝึกให้ได้ทุกวันตามนี้นะจ้ะ ถ้าพี่รู้ว่าคนไหนแอบโดดล่ะก็ จะเพิ่มการฝึกเป็นสิบเท่าไม่รู้ด้วยนะ”

ราตรีพยักหน้าก่อนจะก้มลงมองกระดาษในมือ

กำหนดการฝึกวิชาของน้องรัตติ

7.00น. วิ่งรอบสมาพันธ์ยี่สิบรอบ

8.00น. วิดพื้นกับซิทอัพครั้งละหนึ่งร้อยรอบ

9.00น. รับประทานอาหารเช้า

10.00น. ฝึกวิชากับพี่ธิดาตัวต่อตัว

12.00น. รับประทานอาหารกลางวัน

13.00น. ว่ายน้ำ

14.00น. วิ่งรอบสมาพันธ์ยี่สิบรอบ

15.00น. วิดพื้นกับซิทอัพครั้งละหนึ่งร้อยรอบ

16.00น. สู้กับมาริโอ

16.30น. รับประทานอาหารเย็น

17.00น.-20.00น. ฝึกวิชากับพี่ธิดาตัวต่อตัว

20.00น. นอน


พอราตรีหันไปมองของมาริโอบ้าง ซึ่งก็คล้ายๆกับของเธอ เพียงแต่ตอนฝึกวิชานั้นมาริโอได้ฝึกกับน้องปลาแทน

“ว่ายังไงจ้ะน้องรัตติน้องมาริโอ มีตรงไหนสงสัยหรือการฝึกมากไปก็เข้ามาคุยกับพี่ตัวต่อตัวได้นะ”ธิดาถาม ซึ่งราตรีได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ ส่วนมาริโอนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรกลับมาเพราะเธอคิดว่ามันคงยอมรับการฝึกนี้ได้ พอได้แบบฝึกแล้วมาริโอก็รีบไปฝึกทันที “เดี๋ยวจ้ะน้องรัตติ พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย”

ราตรีที่กำลังจะไปฝึกตามกำหนดการถึงกับหยุดชะงักเดิน

“มีอะไรหรือฮะท่านพี่ธิดา” ธิดาไม่ถามเดี๋ยวนั้น กลับหรี่ตามองราตรีราวกับจ้องจับผิด

อะไรของเค้าหว่า?

“พี่ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ในโลกจริงน้องรัตติเป็นพวกที่ถนัดใช้อาวุธเช่นดาบใช่ไหม” ราตรียืนนิ่งเงียบทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ซึ่งเธอไม่รู้จะตอบธิดากลับไปว่ายังไงดี เพราะคำถามของธิดามันแปลได้สองแง่ อย่างแรกธิดาคงคิดว่าราตรีเป็นพวกหัวนักเลง ส่วนอย่างสุดท้ายก็คงไม่พ้นพวกนักกีฬาอย่างกีฬาเคนโดของประเทศญี่ปุ่น “ตอบพี่มาตามความจริง น้องรัตติถนัดใช้ดาบใช่ไหม”

ธิดาถามย้ำอีกรอบ ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับถอนหายใจ

“ใช่ฮะท่านพี่” ราตรีตอบพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเพราะไม่คิดจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ซึ่งมีเพียงแต่ความแปลกใจที่โดนธิดาจับผิดได้จังเบอร์ “ว่าแต่ท่านพี่รู้ได้ยังไงฮะว่าผมเป็นพวกถนัดดาบ ไม่แน่ว่าผมอาจจะเผลอฟลุคจับดาบได้ถูกต้องโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะฮะ”

ธิดาส่ายหน้าก่อนจะพูดโต้ราตรีกลับมาว่า

“พี่ดูไม่ผิดแน่จ้ะน้องรัตติ ตอนน้องสู้กับน้องปลานั้นพี่เห็นทุกอย่าง ทั้งวิธีการจับอาวุธเอย วิธีการโต้ตอบคู่ต่อสู้เอย และอื่นๆอีก ซึ่งพี่ไม่ขอพูดให้มันเปลืองน้ำลายแล้วกัน สรุปก็คือน้องรัตติไม่ต่างจากพวกนักดาบมืออาชีพ เพียงแต่ฝีมือของน้องรัตติยังไม่เข้าที่เหมือน...กับว่า...น้องห่างเหินจากการฝึกดาบไปนาน....มากพอสมควร”

พอราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง

ใช่แล้ว...

เวลามันได้ผ่านไปนานมากเหลือเกิน…

นานมากจนเราไม่คิดว่าจะได้กลับมาจับดาบอีก...


“น้องรัตติจ๊ะ? น้องรัตติได้ยินที่พี่พูดหรือเปล่าเอ่ย” เสียงของธิดาดังขัดจังหวะ ทำให้ราตรีหลุดห้วงแห่งความคิดของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับธิดาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อครู่นี้

“ฮะ พอดีผมคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าท่านพี่ไม่มีอะไรจะถามผมแล้วล่ะก็ ผมขอตัวไปฝึกตามตารางก่อนนะฮะ” ราตรีรีบพูดตัดบทพลางชิ่งหนีเอาตัวรอดโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสถามเธอได้อีก หลังจากฝึกฝนตามตารางเสร็จ ราตรีกับมาริโอก็มาเดินกลับยังที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า

“ไงจ้ะน้องมาริโอน้องรัตติ เหนื่อยไหมเอ่ย” ธิดาเอ่ยทักทายหลังจากที่ได้เห็นทั้งคู่เดินเข้ามาแล้ว

“เหนื่อยฮะ เหนื่อยมากๆเลยด้วย” มาริโอบ่นอย่างเหนื่อยๆ บนใบหน้าของมันในตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลที่ได้ฝึกตามตารางของธิดา ซึ่งแตกต่างกับราตรีที่มีเพียงหอบหายใจนิดหน่อย

“ถ้างั้นก็นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน แล้วค่อยลงมือทานอาหารเช้านะจ้ะ” ธิดาบอกพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับมาริโอ ก่อนจะหันมาส่งผ้าเช็ดหน้าให้กับราตรีบ้าง ซึ่งราตรีรับผ้ามาจากธิดาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่าขอบคุณ หลังจากนั่งพักอยู่ได้สักพัก พวกเขาก็รีบลงมือรับประทานอาหารเช้าต่อ เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จแล้วมาริโอก็เดินไปหาน้องปลาเพื่อฝึกวิชา ส่วนราตรีนั้นได้แต่ยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก่อน “ขอโทษนะจ้ะน้องรัตติที่พี่สาวคนนี้ปล่อยให้น้องต้องรอนาน”

ธิดาพูดขอโทษหลังจากเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง ซึ่งราตรียืนพิงหลังกอดอกอยู่ได้ไม่นานก็คลายกอดก่อนจะหันมาตอบธิดาว่า

“ไม่เป็นไรฮะ”

ราตรีตอบพลางมองธิดาในชุดใหม่ ซึ่งเป็นเสื้อแขนสั้นสีขาวทับด้วยเกราะอ่อนสีแดงบนหน้าอก กางเกงขายาวสามส่วนสีดำรัดรูป สวมบูทยาวและปลอกหนังสีแดง

ดูทะมัดทะแมงเหมือนผู้ชายเลยแหะ

ราตรีคิดในใจ

“น้องรัตติช่วยจับแขนพี่หน่อยนะจ้ะ เดี๋ยวพี่จะพาไปยังที่ฝึกซ้อมของพวกเรา”

“ฮะ” แล้วราตรีก็เดินเข้ามาจับแขนของธิดา แล้วทันใดนั้นภาพห้องนอนของธิดาก็พลันหายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยภาพของพื้นที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา “ที่นี่ที่ไหนเหรอฮะท่านพี่”

ราตรีถามพลางมองไปรอบๆอย่างสงสัย

“ที่นี่คือมิติลับจ้ะ ซึ่งมีไว้เฉพาะของผู้เป็นหัวหน้าสมาพันธ์ที่ต้องการฝึกวิชานะ” ธิดาตอบก่อนจะพูดอธิบายให้ราตรีฟังต่อ “แต่สำหรับของพวกนี้ใช่ว่าหัวหน้าสมาพันธ์ทุกคนจะได้มาง่ายๆหรอกนะจ้ะ เพราะมันเป็นของแรร์ไอเทมที่ผู้เล่นต้องทำภารกิจที่เสี่ยงต่อการลดระดับของตัวเองถึงห้าสิบระดับแล้ว ยังต้องเสียเงินสามสิบล้านเหรียญเพื่อที่จะได้กุญแจในการเปิดประตูมิติด้วยนะ”

ราตรีได้ยินดังนั้นก็พลอยอดพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของธิดาเสียมิได้

ถ้าได้มาง่ายจริง มันก็ไม่ใช่ของระดับแรร์ไอเทมแล้วล่ะ

“เอาล่ะพูดคุยหอมปากหอมแล้ว พี่ขอเข้าเรื่องเลยนะ” ธิดาบอก ซึ่งทำเอาราตรีมุ่นคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย “ที่พี่พาน้องรัตติมานี่ก็เพื่อที่จะขอประลองด้วย”

พอสิ้นคำพูดของธิดา ทำเอาราตรีแทบตะลึง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขอท้าสู้กับเธอ

“แต่ท่านพี่ฮะ...ผมกับท่านพี่มีระดับแตกต่างกันนะฮะ จะให้ผมสู้กับท่านพี่ได้ยังไงล่ะ”

“ได้สิจ้ะน้องรัตติ” ธิดาตอบก่อนจะพูดอธิบายต่อ “มิตินี้เป็นมิติพิเศษ ผู้เล่นที่เข้ามาในนี้แล้ว จะมีพลังเทียบเท่ากันเพื่อมิให้เอาเปรียบกัน และยิ่งกว่านั้นมิตินี้สู้กันแล้วไม่มีพลังลดจนตายกับถูกลดค่าประสบการณ์ได้ ฉะนั้นน้องรัตติไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะจ้ะ”

ราตรีได้ยินถึงกับนิ่งเงียบไป

ไม่มีตาย ไม่ถูกลดค่าประสบการณ์

แบบนี้ก็สวยซี่


ราตรีครุ่นคิดในใจก่อนจะฉีกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ซึ่งทำเอาธิดามองราตรีรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของราตรีที่เปลี่ยนไป แต่แล้วธิดาก็เลิกคิดก่อนจะถามราตรีกลับมาว่า

“ส่วนเรื่องอาวุธนั้น ถ้าน้องรัตติยังไม่มีก็ยืมพี่ก่อนได้นะจ้ะ”

“ไม่เป็นไรฮะท่านพี่ ผมมีดาบอยู่” ราตรีตอบก่อนจะเรียกดาบคาตานะออกมา ซึ่งทำเอาธิดารู้สึกผิดคาด เพราะเธอไม่คิดว่าราตรีจะมีดาบเป็นของตัวเอง เมื่อธิดาเห็นว่าอีกฝ่ายมีอาวุธพร้อมแล้ว ก็เรียกอาวุธของตัวเองออกมาบ้าง

“น้องรัตติสู้กับพี่ได้เต็มที่เลยนะจ้ะ ไม่ต้องออมมือ เพราะพี่เองก็จะสู้กับน้องแบบเต็มที่ด้วย”

“ได้ฮะท่านพี่”

พอราตรีพูดจบ ก็ย่อเข่าลงโดยวาดเท้าซ้ายไปข้างหน้า มือซ้ายกุมฝักดาบแน่น มือขวากระชับที่ด้ามดาบ ก่อนจะมองธิดาด้วยสายตาแน่นิ่ง ซึ่งทำเอาธิดาที่ยืนมองอยู่ต้องรีบตั้งท่าตาม แต่ทว่าธิดายังไม่ทันได้ตั้งท่า จู่ๆ จิตสังหารก็แผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาธิดาถึงกับสั่นสะท้านด้วยความกลัว

อะไรกัน จิตนี่มัน…

ธิดาครุ่นคิดในใจอย่างหวาดหวั่น ซึ่งหากเธอคิดจะเปลี่ยนใจไม่สู้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว

ลองสู้กันดูสักตั้งหน่อยเป็นไร เพราะยังไงก็ไม่ตายอยู่แล้วนี่

พอธิดาตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้เสร็จ ร่างของราตรีก็พลันหายไปจากสายตาของธิดาทันที

เคล้ง!

เสียงดาบปะทะดาบ ซึ่งโชคดีที่ธิดามีไหวพริบดีพอ จึงทำให้รับดาบของราตรีได้ทันท่วงที ทว่าธิดาไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นผู้ตั้งรับเพียงฝ่ายเดียว จึงขอเป็นฝ่ายรุกกลับคืนไปบ้าง

เคล้ง! เคล้ง!

เสียงดาบปะทะกันอย่างหนักหน่วง ซึ่งทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับโดยไม่สนใจใยดีกับดอกไม้บนทุ่งหญ้าที่เหยียบอยู่ว่าจะเป็นยังไงบ้าง ถึงแม้ตอนแรกการโจมตีของราตรีจะดูฝืดเคืองไปบ้าง แต่พอยิ่งนานเข้าก็ยิ่งใช้ดาบคล่องแคล่วจนน่าใจหาย

อืม สนิมยังไม่เกาะ ราตรีครุ่นคิดในใจหลังจากที่ได้ทดสอบการใช้ดาบของตัวเองอยู่ได้สักพักแล้ว ก่อนจะหันมาพิจารณาฝีมือของธิดาบ้าง ส่วนเด็กคนนี้ก็ไม่เลว ฝีมือระดับนี้เป็นแชมป์ของจังหวัดได้เลย...แต่น่าเสียดายที่เอาไปใช้งานจริงไม่ได้

ซึ่งราตรีกับธิดาก็สู้กันไปสักพัก ราตรีก็สังเกตว่าการหายใจของธิดาแปลกไป เพราะนักดาบที่ฝึกจริงจัง เขาจะฝึกการออมลมหายใจด้วย ซึ่งทำให้ไม่เหนื่อยมากถ้าได้เจอเวลาต่อสู้ที่ยืดเยื้อ

คงพอแค่นี้ได้แล้วมั้ง?

ราตรีคิดในใจก่อนแสร้งทำเป็นก้าวเท้าผิดจังหวะ

“อ๊ะ!” ธิดาเห็นช่องว่างแล้วจึงรีบสวนโต้ตอบกลับไป ซึ่งเด็กหนุ่มรับการโจมตีของธิดาได้ทันแต่ก็ต้องถอยร่นหลังไปเรื่อยๆ เพราะทนแรงการโจมตีของเธอไม่ได้ เมื่อธิดาโจมตีอีกฝ่ายไปได้สักระยะจึงรีบคิดจะปิดเกมเดี๋ยวนั้นทันที ซึ่งโดยหารู้ไม่ว่านั่นคือกลยุทธ์เปิดช่องให้ตี

“ย่ะ!” ธิดาร้องพลางแทงดาบเข้าหาราตรี ซึ่งประจวบเหมาะที่ราตรีเองก็สวนดาบกลับไปบ้างเช่นกัน

ชิ้ง!

เสียงดาบทั้งสองฝ่ายปะทะกันดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะจบลงที่คมดาบของราตรีพาดลงบนลำคอขาวเนียนของธิดา ในขณะที่คมดาบของธิดาก็จ่อที่กลางอกของราตรีเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งคู่ต่างจ้องตากันซักพักก่อนจะเก็บดาบของตัวเองเข้าฝักไป

“ไม่เลวนี่จ้ะน้องรัตติ ฝีมือแบบนี้น้องต้องเป็นนักกีฬาแน่ๆ” ธิดากล่าวชมด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ แต่พอได้คำตอบจากราตรีเล่นเอาธิดาหุบยิ้มไม่ทัน

“เปล่าฮะ ผมแค่เคยฝึกกับเพื่อน กับเลียนแบบหนังไฮแลนเดอร์ แต่ไม่เคยลงแข่งฮะ”

เคยฝึกจริงแต่ไม่ได้ฝึกเหมือนนักกีฬาทั่วไปเท่านั้นแหละ

ราตรีคิดในใจเพราะวิชาดาบที่เธอใช้มันเป็นวิชาลึกลับซับซ้อนและน่ากลัว ซึ่งในชีวิตจริงเธอแทบไม่ค่อยงัดขึ้นมาใช้ถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆ ส่วนธิดานั้นก็ยืนหน้าซีดเมื่อได้ยินคำตอบจากราตรี

ไม่จริง นี่เราแพ้เด็กที่ชอบเลียนแบบหนังเองหรอกรึ

เมื่อประลองเสร็จแล้วธิดาก็ไม่มีอะไรจะสอนราตรีอีก เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะสอนราตรีให้รู้วิชาดาบเบื้องต้นเลยสักนิด จึงได้แต่สั่งให้ราตรีแปลงร่างเป็นมังกรให้เธอดูกับลองสู้กับเธออีกครั้งด้วยร่างมังกร ซึ่งผลการประลองคือราตรีเป็นฝ่ายแพ้ เพราะเธอยังควบคุมร่างมังกรไม่ค่อยจะได้

...........................

 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 29 ความลับของราตรี (update 100%) P.2 1/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 01-03-2015 17:57:45
บทที่ 30 รำลึก

......................

หลังจากนั้นอีกสองวันในเกมก็ถึงคราวที่ราตรีต้องออฟไลน์เกมเสียแล้ว ซึ่งคราวนี้ราตรีได้ฝากฝังมาริโอให้กับธิดาช่วยดูแลมันตอนที่เธอไม่อยู่ด้วย

“แล้วน้องรัตติจะออนไลน์เกมอีกเมื่อไหร่หรือจ้ะ” ธิดาถามทันทีที่ตอบรับคำฝากของราตรีแล้ว

“เอ่อ ผม…” ราตรีขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะทางนอกเกมในตอนนี้กำลังใกล้จะรุ่งเช้าแล้ว แถมวันนี้ก็ดันเป็นวันเสาร์ ซึ่งเธอจะต้องไปวัดเพื่อทำบุญกรวดน้ำให้กับคนรักที่เสียไปตามปกติอย่างที่เคยทำด้วย “วันนี้ผมคงไม่ออนไลน์เกมนะฮะ คิดว่าหลังสองทุ่มจะกลับเข้ามาในเกมอีกที ผมหวังว่าท่านพี่คงจะไม่ว่าผมที่เข้ามาเล่นเกมช้าไป”

“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ไม่ว่าน้องอยู่แล้ว แต่ถ้าน้องกลับมาไม่เจอพี่ออนไลน์เกมล่ะก็ ให้ฝึกฝนวิชาในร่างมังกรตามเดิมที่พี่เคยบอกไปด้วยนะจ้ะ”

“ฮะท่านพี่” พอราตรีตอบเสร็จ ก็บอกลามาริโอก่อนจะนอนลงบนเตียงออฟไลน์ไปท่ามกลางห้องพักโดยมีมาริโอกับธิดานั่งมองอยู่

“ท่านได้ออฟไลน์จากเกมแล้วค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอกก่อนที่เธอจะถอดแว่นตาอนาล็อกออก ทำให้เห็นแสงรุ่งอรุณลอดผ่านเข้ามาในหน้าต่างห้องนอนของเธอ

ไม่เลว อากาศเช้านี้สดชื่นดี

เมื่อเธอเห็นว่าแดดจะเริ่มออกแล้ว ก็รีบลุกขึ้นนั่งก่อนจะทำสมาธิอยู่สิบนาทีเห็นจะได้ ก่อนจะลงจากเตียงแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ออกจากห้องนอนของตัวเองก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัวเพื่อตระเตรียมข้าวของที่จะไปทำบุญที่วัด ซึ่งแน่นอนว่ามีนางพยาบาลคอยช่วยเตรียมด้วยอีกแรง หลังจากจัดเสร็จแล้ว เสียงของนพก็ดังเล็ดลอดออกมาจากข้างนอกห้องอาหาร

“ครับ อีกสามวันผมก็จะกลับไปทำงานแน่ครับ ครับท่าน สวัสดีครับ” แล้วร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์เดินเข้ามาในห้องอาหารก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่ามีผู้อยู่ในห้องอาหารด้วย “อรุณสวัสดิ์ครับคุณยาย วันนี้คุณยายตื่นแต่เช้าจังเลยนะครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

นพยกมือขึ้นไหว้สวัสดีพลางเหล่ตามองข้าวของที่กองอยู่บนโต๊ะอาหาร

“พอดีวันนี้ยายจะไปทำบุญที่วัดนะตานพ” เธอตอบ ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าแปลกใจเลย เพราะรู้ดีว่าเธอชอบไปทำบุญที่วัดอยู่บ่อยๆ

“คุณยายจะไปที่วัดหรือครับ ดีเลย ถ้างั้นผมจะขอเป็นคนขับรถพาคุณยายไปที่วัดให้เองครับ” นพเอ่ยปากพูดอาสาขอทำหน้าที่ให้เธออย่างเต็มที่ ซึ่งทำเอาเธอส่ายหน้าทันที

“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ตานพ” เธอบอกปัดก่อนจะพูดต่อ “เมื่อวานนี้หลานเองก็เพิ่งขับรถไปวัดกับยายแก้วมาไม่ใช่รึ ยายเกรงว่าหลานจะเหนื่อยเอาเปล่าๆ พักผ่อนอยู่ที่บ้านให้สบายเถิด”

เธอบอกปฏิเสธ ทว่านพกลับแย้งมาว่า

“ไม่ได้ครับ ผมจะไม่ให้คุณยายขึ้นรถเมล์ไปแน่ๆ ถึงจะไปกับคุณพยาบาลก็เถอะ”

“นพเอ้ย ยายไปมาแบบนี้เป็นประจำจนชินแล้ว นพไม่ต้องเป็นห่วงยายหรอก”

“ถึงจะชินแล้วแต่ผมก็ปล่อยให้คุณยายขึ้นรถเมล์ไปไม่ได้อยู่ดีครับ” นพแย้งต่อด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เพราะชายหนุ่มไม่อยากให้คุณยายต้องขึ้นรถเมล์ให้เหนื่อย “นะครับคุณยาย ให้ผมทำหน้าที่นี้เถอะครับ”

“ถ้าเราไปด้วยแล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนยายแก้วล่ะ” เธอเถียงต่ออย่างมีเหตุผล เพราะบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่อีกนอกจากเธอกับนางพยาบาล

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปครับคุณยาย เดี๋ยวผมจะปลุกลูกแก้วให้ตามไปที่วัดด้วย” พอนพพูดจบ เธอถึงกับส่ายหน้าอย่างยอมแพ้

ให้ตายสิ ดื้อรั้นไม่ยอมแพ้เหมือนแม่มันไม่มีผิด

“เอาตามนั้นก็ได้ งั้นหลานก็รีบไปปลุกยายแก้วให้ลงมาทานข้าวเช้าซะ”

“ครับคุณยาย”

.....................

เมื่อไปถึงวัดแล้ว ทั้งสามคนรวมถึงนางพยาบาลเป็นสี่ก็ได้พากันไปยังกุฏิที่ตั้งอยู่อย่างสงบท่ามกลางต้นไม้ป่าเขาลำเนาไพร ก่อนจะเข้ากุฏิทุกคนต่างเห็นพระรูปหนึ่งกำลังยืนกวาดพื้นอยู่เบื้องหน้า

“มนัสการพระคุณเจ้าค่ะ” เธอกล่าวพลางยกมือขึ้นไหว้ ซึ่งทำให้พระรูปนั้นหยุดชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่

“อืม เจริญพรเถอะโยม มีธุระอะไรกันหรือ”

“อิฉันพาลูกๆหลานๆมากราบขอพรท่านเจ้าค่ะ”

“งั้นก็เชิญโยมขึ้นกุฏิก่อนเลย เดี๋ยวอาตมาเก็บของแล้วจะตามไป” พระรูปนั้นกล่าวบอกกับพวกเธอก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังกุฏิ ซึ่งเธอ นพ ลูกแก้ว และนางพยาบาลต่างขึ้นไปนั่งพับเพียบรอพระอยู่บนที่กุฏิได้สักพัก พระท่านก็เดินกลับขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งตรงหน้าพวกเธอ “ว่ายังไงกันเล่าโยม วันนี้พาเจ้าตัวเล็กมาด้วยหรือนี่ ชื่ออะไรอายุเท่าไหร่ล่ะ หืม?”

“ชื่อแก้วค่ะ อายุสิบสองขวบ อยู่ปอหกค่ะ” แก้วตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน

“อืม ชื่อดีนะเรา เอ้าเข้ามาใกล้ๆนี่สิ หลวงตามีของจะให้” พระท่านบอก ซึ่งแก้วก็คลานเขยิบเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะหยุดเว้นห่างพอสมควร “พระนี่ห้อยคอไว้ แล้วก็สวดมนต์บ่อยๆนะหนู”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะหลวงตา” แก้วพูดขอบคุณพลางยกมือขึ้นไหว้ แล้วพระท่านก็สวดมนต์ให้ศีลให้พรกับลูกแก้วก่อนจะหันมาทางนพ

“โยมพอจะสวดมนต์เป็นใช่ไหม”

“ครับหลวงตา” นพตอบก่อนจะเขยิบตัวลุกขึ้นเพื่อขยับถังสังฆทานวางบนผ้าสีเหลือง แน่อนว่านพไม่ลืมที่จะเอาซองจดหมายที่มีชื่อของคุณตาติดอยู่ด้วยวางไว้บนถังสังฆทาน ซึ่งเธอเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นพนมมือ รวมถึงนางพยาบาลกับเหลนแก้วที่ต่างยกมือขึ้นพนมมือพร้อมกัน ก่อนจะเอ่ยปากสวดมนต์ตามนพ “อิมานิ มะยังภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายภัตตาหารพร้อมด้วยเครื่องบริวารเหล่านี้แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับภัตตาหารพร้อมด้วยเครื่องบริวารเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนานเทอญ”

“สาธุ” เมื่อสิ้นคำพูดของหลวงตาแล้ว นพก็ยกถังสังฆทานให้หลวงตาจากนั้นจึงค่อยกรวดน้ำกันต่อ ซึ่งเธอเป็นคนกรวดน้ำ ส่วนพวกนพก็ยกมือขึ้นพนมมือแทน

“ยะถาวาริวะหาปูรา…” พระท่านสวดไปจนกระทั่งใกล้จบ เธอก็รีบรินน้ำให้หมดก่อนจะวางที่กรวดน้ำลงกับพื้น แล้วจึงค่อยยกมือขึ้นพนมมือ “…มะณิโชติระโส ยะถา”

ก่อนจะสวดมนต์ต่อด้วย

“สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภวะ อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ”

พอสิ้นบทสวด ทุกคนต่างยกมือขึ้นจรดหน้าผากพร้อมพูดว่า’สาธุ’

“เดี๋ยวโยมนำน้ำที่กรวดนี้ไปรดข้างต้นไม้นะ”

“ครับ” แล้วนพก็นำน้ำไปรดข้างต้นไม้ก่อนจะเดินกลับขึ้นมานั่งที่เดิม แล้วพระท่านก็ให้พรแก่ทุกคนก่อนที่เธอจะลาท่านไปทำธุระต่อยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นน้ำตกที่อยู่หลังวัดแห่งนี้ โดยระยะทางที่จะไปนั้นต้องใช้เท้าเดินเท่านั้น ไปด้วยรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ก็ไม่ได้ด้วย

“นี่พวกเราไปที่ไหนต่อหรือคะคุณทวด” แก้วถามอย่างสงสัยในขณะที่เดินจูงมือพ่อของเธอไปด้วย แต่ทว่าเธอไม่ตอบคำถามกลับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อแทน ซึ่งทำเอานพที่เดินอยู่ข้างๆหันมาถามด้วยความเป็นห่วง

“ร้อนหรือครับคุณยาย ผมว่าพวกเรากลับกันเถอะครับ”

“ไม่เป็นไรนพ ยายทนได้” เธอตอบก่อนจะเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้ากระเป๋า “เมื่อปีที่แล้วฝนมันตก ยายก็เลยไม่ได้ไป แต่ปีนี้ฝนไม่ตก ยายคิดว่ายายจะต้องเดินไปให้ได้”

เมื่อนพเห็นว่ายายดื้อรั้นจะไปให้ได้ เขาก็เลยไม่คิดจะห้าม จึงได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ แล้วพวกเขาเดินไปได้สักครึ่งชั่วโมงก็ถึงปลายทาง ซึ่งเป็นน้ำตกสองชั้นไหลเอื่อยๆดูสบายตา หากเป็นผู้อื่นเห็นว่ามันเป็นมุมพักผ่อนน่าเล่นน้ำเป็นอย่างยิ่ง แต่กับเธอนั้นเห็นเป็นน้ำตกนรกที่พรากคนรักไปจากเธออย่างไม่มีหวนกลับ

“คุณ…ยาย” นพเรียกคุณยายพลางนึกย้อนอดีตกลับไป ตอนนั้นเขายังเด็กนัก ไม่รู้ประสีประสาดีพอ จึงได้แต่สงสัยว่าทำไมยายของเขาถึงเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญในจุดที่คุณยายยืนในตอนนี้ ซึ่งพอเขาโตเป็นหนุ่ม ถึงได้ทราบว่าคุณตาของคุณยายนั้นได้จากไปพร้อมกับน้ำตกของที่นี่ ซึ่งแม้กระทั่งศพก็ยังหาไม่พบ

“ขอโทษทีตานพ ยายยืนเหม่อนานไปหน่อย” เธอบอกทันทีที่รู้สึกตัวได้หลังจากยืนเหม่อนานอยู่เกือบสิบนาที “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ยายชักหิวแล้วสิ ตานพเอ้ย เดี๋ยวออกจากวัดไปแล้วนพช่วยพายายไปร้านเกี๋ยวเตี๋ยวห้อยขาด้วยนะ ยายอยากทาน”

“ได้ครับคุณยาย เดี๋ยวผมจะพาคุณยายไปเองครับ” หลังจากนั้นพวกเธอก็เดินย้อนกลับไปที่วัดก่อนจะนั่งรถยนต์ไปทานก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ซึ่งเมื่อทานเสร็จแล้วนพก็พาเธอกลับบ้านทันที เพราะกลัวว่าจะค่ำเสียก่อนจะถึงบ้าน

....................

ในระหว่างที่ราตรีกับนพไม่ได้เล่นเกมออนไลน์อยู่นั้น ภายในเกมออนไลน์ในขณะนี้สมาคมจันทราวารีกำลังย่ำแย่ เพราะจู่ๆราชาปีศาจพาพวกปีศาจเข้าลอบโจมตีพวกธิดาอย่างไร้สาเหตุ ซึ่งทีแรกธิดาพอจะรับมือได้เพราะเธอมีสมาชิกในกลุ่มเยอะพอสมควร แต่ทว่านานๆเข้าก็ชักจะรับมือไม่ไหว แถมสมาชิกของเธอก็พากันตายเป็นแถว ซึ่งเธอเห็นว่ามันแย่เกินที่จะรับมือได้ จึงสั่งให้พวกสมาชิกที่เหลือหนีเอาตัวรอดก่อน แล้วค่อยกลับมาตั้งหลักกันทีหลัง

“ท่านพี่…เอ่อ ไม่สิ พี่ธิดาคะ หนูว่าพวกเรารีบหนีกันเถอะค่ะ ตอนนี้ทุกคนหนีไปกันหมดแล้วนะคะ” หงส์หยกวิ่งเข้ามาบอกธิดาที่กำลังอยู่ในห้องพักของรัตติ

“อืม” ธิดาตอบก่อนจะอุ้มรัตติขึ้นในท่าเจ้าหญิง ก่อนจะหันไปพูดกับมาริโอที่ยืนมองเธอด้วยใบหน้าซีดเผือก “เดี๋ยวน้องมาริโอหนีไปกับน้องหงส์หยกนะ อ๊ะ ฝากอุ้มรัตติให้ด้วยจ้ะ”

ธิดาบอกพลางยื่นร่างของรัตติให้กับมาริโอ ซึ่งมันก็รับร่างเจ้านายมาอุ้มไว้แต่โดยดี

“แล้วพี่ธิดาจะไม่ไปกับพวกผมเหรอฮะ” มาริโอถามอย่างสงสัย ซึ่งธิดาส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“พี่ยังมีงานต้องทำนะจ้ะ” ธิดาตอบก่อนจะหันหน้าไปทางหงส์หยก “น้องหงส์หยกพาน้องมาริโอกับน้องรัตติหนีไปซะ เดี๋ยวพี่จะคอยอยู่กันราชาปีศาจไว้”

“แต่พี่ธิดาคะ หนูปล่อยให้พี่อยู่คนเดียวไม่ได้นะคะ! ถ้าจะหนีก็หนีด้วยพร้อมกันสิ” หงส์หยกพูดแย้ง

“พี่ทำแบบนั้นไม่ได้จ้ะน้องหงส์หยก” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “ถ้าพี่หนีไปด้วย พวกเราก็จะตายไปด้วยพร้อมกัน สู้ให้พี่อยู่เป็นกันชนให้พวกน้องได้หนีจะดีกว่านะจ้ะ”

“แต่พี่คะ!”

“ไม่มีแต่! รีบไปเดี๋ยวนี้ก่อนที่ราชาปีศาจจะพาพวกปีศาจมาถึงที่นี่! หนีไปซะ!!” ธิดาตวาดไล่พลางใช้มือดันร่างของหงส์หยกกับมาริโอที่อุ้มรัตติอยู่ให้หนีไปทางประตูลับ เมื่อสามร่างได้หายไปในประตูลับแล้ว ประตูห้องนี้ก็ถูกเปิดออกทันที ซึ่งเผยให้เห็นร่างสูงผมสีดำเข้มยาวลากพื้นในชุดเกราะสีดำทมิฬยืนแสยะยิ้มให้กับธิดา

“ที่แท้ก็ซ่อนอยู่ที่นี่เอง ปล่อยให้ข้าออกเดินตามหาแทบแย่” ราชาปีศาจพูดพลางชักดาบขึ้นมาขู่ธิดา “จงบอกที่ซ่อนรัชทายาทของราชามังกรมาเดี๋ยวนี้เจ้ามนุษย์ มิเช่นนั้นเจ้าจะได้ตายคาดาบของข้าแน่”

ธิดาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างท้าทายว่า

“เรื่องอะไรจะบอกให้โง่กันล่ะ จะเข้ามาสู้ก็มาเลยสิ อย่าคิดว่าฉันจะกลัวแกหรอกนะไอ้ราชาปีศาจ” คำตอบของธิดาทำให้ราชาปีศาจถึงกับแผ่รังสีอำมหิตออกมา

“ได้! ถ้างั้นจงตายคาคมดาบของข้าเสียเถิด!!”

................

“ฮัดชิ้ว!”

เธอจามเสียงดังในขณะที่นั่งตรวจร่างกายหลังจากกลับบ้านได้สักพักแล้ว

“คุณยายสวมเสื้อกันหนาวด้วยนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ค่ะ” นางพยาบาลบอก ซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบตกลง เมื่อตรวจร่างกายเสร็จ เธอก็คิดจะกลับเข้าไปเล่นเกมต่อ หากแต่นพกับแก้วเข้ามาชวนเธอไปดูหนังที่ห้องพักผ่อน ซึ่งเธอก็ยอมไปดูแต่โดยดี หลังจากเวลาผ่านไปได้สองชั่วโมงดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ซึ่งเธออยู่ใกล้สุดจึงรีบยกหูโทรศัพท์แบบเก่าขึ้นมาแนบหู

“สวัสดีจ้ะ บ้านคนแก่คนหนึ่งที่กำลังนั่งดูหนังกับหลานอยู่จ้า” คำพูดของเธอทำเอานพกับแก้วหันขวับมามองพร้อมกัน ส่วนปลายสายนั้นเมื่อได้ยินเสียงของเธอพูดถึงกับหัวเราะ

“โธ่คุณแม่คะ พูดอะไรของคุณแม่อยู่คะนี่ เล่นเอาหนูขำไปหมดแล้วนะคะ”

“ฉันก็พูดของฉันอยู่ประจำ” เธอแย้งเสียงเรียบทั้งๆที่ในใจก็นึกขำตัวเองว่าเมื่อครู่นี้พูดออกไปได้ยังไง “ว่าแต่แกโทรมาหานี่มีธุระอะไรล่ะแม่รุ้ง ฉันกำลังดูหนังกับตานพแล้วก็ยายแก้ว”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่อยากจะบอกว่าตอนนี้หนูกำลังจะถึงบ้านของคุณแม่แล้วนะคะ”

“อะไรนะ จะมาถึงบ้านฉันแล้วรึ” เธอร้องอุทานเสียงดังลั่น ทำเอานพสะดุ้ง “แล้วนี่แกมากับใคร มารถอะไร จะให้ตานพไปรับไหม”

ปลายสายหัวเราะก่อนจะตอบคำถามของเธอมาว่า

“โธ่คุณแม่คะ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอกค่ะ ตอนนี้หนูให้มีนาขับรถให้อยู่ค่ะ”

“งั้นแล้วไป” เธอพูดพลางถอนหายใจ ซึ่งทำให้คนฟังอย่างนพพลอยถอนหายใจตามไปด้วย “เดี๋ยวฉันจะให้ตานพไปยืนรอหน้าบ้านแล้วกัน”

“ค่ะคุณแม่” แล้วอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้งไป ทำให้เธอต้องวางโทรศัพท์ลงตามเดิม

“นพเอ้ย เดี๋ยวนพไปรอแม่ของหลานที่หน้าบ้านด้วยนะ”

“ครับคุณยาย” นพพูดรับปากรับคำก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วเดินหายออกไปนอกห้อง

.......................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 30 รำลึก (update 100%) P.2 1/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 01-03-2015 18:43:26
บทที่ 31 โดนพิษ

.................

“เฮ้ยดนัย เดี๋ยวนี้เกมเรามันชักเพี้ยนๆยังไงไม่รู้แฮะ”

ปริญพูดในขณะที่มองหน้าจอผู้เล่นราตรีที่ยังคงสถานะออฟไลน์ ซึ่งตอนนี้ตัวละครของราตรีกำลังถูกมาริโออุ้มวิ่งหนีราชาปีศาจโดยมีผู้เล่นหงส์หยกที่โดนผู้เล่นธิดาสั่งให้พามาริโอหนีไปด้วยพร้อมกัน ส่วนคนถูกถามยังคงใช้ดินสอขีดเขียนบนกระดาษสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบกลับไปว่า

“ก็แหงล่ะ ตั้งแต่โดนแฮคครั้งนั้นเกมนี้ก็ไม่ปกติอีกแล้ว” ดนัยตอบพลางก้มลงเขียนต่อ “เห็นพวกทีมโปรแกรมเมอร์บ่นว่าแก้ไขโปรแกรมของราชาปีศาจแล้ว แต่มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่สิน่ากลุ้ม จนกว่าอาวุธลับ “แยกรวม” ของท่านประธานจะสำเร็จนั่นแหละ ถึงจะเบาใจ แต่เวลานี้พวกเราต้องคอยดูความเคลื่อนไหวของไอดีแปดพันนี่ไปตลอดด้วย อย่าไปสนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ให้พวกเราคอยจับตาดูอยู่เงียบๆ”

“แต่ราชาปีศาจมันบ้าถึงขนาดออกตามล่าไอดีแปดพันอยู่เนี่ยนะ”

“เออ แกก็คิดซะว่ากำลังนั่งดูนิยายหรือหนังภาพยนตร์สิวะไอ้ปริญ มันจะไปยากอะไร” ดนัยแย้งกลับพลางวางดินสอกับกระดาษลงบนโต๊ะทำงาน “อย่าลืมสิว่าพวกเราแทรกแซงผู้เล่นมาหลายครั้งแล้ว คำสั่งก็คือคำสั่ง ดูอยู่เงียบๆ ก็พอ”

ปริญได้ยินที่ดนัยเทพก็เถียงไม่ออก เพราะดนัยเทพพูดถูกทุกอย่าง เมื่อปริญไม่แย้งแล้วดนัยเทพก็หันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ ส่วนปริญก็กลับมามองหน้าจอต่อ ซึ่งในขณะนี้กำลังฉายภาพของมาริโอที่ยังอุ้มผู้เล่นราตรีอยู่ในมือกับผู้เล่นหงส์หยกที่ได้ชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมสู้กับพรรคพวกของราชาปีศาจที่ตามมาเจอจนได้

เอาตัวรอดให้ได้จนกว่าคุณยายแกจะกลับเข้าไปเล่นนะมาริโอเอ๋ย!

..........................

กลับมาทางด้านมาริโอ ซึ่งกำลังอุ้มรัตติที่นอนจำศีลหนีไปพร้อมกับหงส์หยกที่บาดเจ็บสาหัสเพราะต้องคอยคุ้มกันมาริโออยู่เกือบตลอดเวลา แต่ทว่ามาริโอใช่ว่าจะเอาแต่อุ้มรัตติเฉยๆ มันเองก็ใช้เท้าในการโจมตีบ้างเหมือนกัน ทีแรกจุดมุ่งหมายของพวกหงส์หยกที่จะไปนั้นเป็นฐานลับสำรองของสมาคมจันทราวารีที่อยู่ใกล้ป่าเอลฟ์แล้ว แต่กลับต้องเปลี่ยนทิศทางเพราะหงส์หยกเกรงว่าพวกปีศาจจะตามไปถึงฐานสำรองของพวกเธอได้

“งั้นไปหาตาแก่มานาแล้วกัน!” มาริโอบอก ซึ่งทำเอาหงส์หยกขมวดคิ้ว

“ตาแก่มานา?” หงส์หยกพูดทวนชื่ออย่างสงสัย “เขาคือใครกันหรือจ้ะน้องมาริโอ”

“ก็ลุงที่เป็นต้นมานายังไงล่ะ นั่นเป็นหนทางเดียวที่หนูพอจะพึ่งพาได้!” ซึ่งหงส์หยกฟังแล้วก็พลอยเห็นดีไปด้วยเพราะเธอเองก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้วเหมือนกัน แต่จะให้กลับเข้าเมืองเริ่มต้นไปก็ใช่ที่ เพราะตอนนี้พวกเธอกำลังหนีการจับกุมของพวกราชาปีศาจอยู่

“จ๊ะเอ๋!” จู่ๆก็มีผู้เล่นกระโดดออกมาจากพุ่มไม้มาดักหน้าพวกหงส์หยกที่กำลังวิ่งหนีอยู่ ทำเอามาริโอตกใจจนเกือบปล่อยร่างของรัตติลงกับพื้น

“น้องปลา!” หงส์หยกร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างตกใจ แต่ด้วยความที่เธอบาดเจ็บหนักก็เลยทำให้ต้องนั่งทรุดลงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน “ทีหลังอย่ามาเล่นให้พวกพี่ตกใจแบบนี้สิ มันไม่ดีนะรู้ไหม”

ปลายิ้มก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ขอโทษค่ะพี่หงส์หยก พอดีน้องเองก็หนีมาทางนี้เหมือนกัน แต่บังเอิญเห็นพี่กับน้องมาริโอวิ่งหนีมาทางนี้ หนูก็เลยวิ่งอ้อมมาดักข้างหน้านะค่ะ ว่าแต่พี่หงส์หยกกับน้องมาริโอจะหนีไปทางไหนเหรอคะ ปลาขอตามไปด้วยคนได้ไหมคะ”

“ได้สิ แต่ช่วยมาริโออุ้มหน่อยนะ เพราะเห็นน้องเค้าอุ้มรัตตินานแล้ว” หงส์หยกบอก ซึ่งปลาก็พยักหน้าก่อนจะหันไปอุ้มร่างรัตติแทนมาริโอ แล้วทั้งสามจะเริ่มออกวิ่งต่อโดยที่หงส์หยกไม่ลืมส่งข้อความบอกธิดาว่าตอนนี้พวกเธอกำลังวิ่งไปหลบซ่อนตัวที่ไหน

...................

“สวัสดีค่ะคุณแม่ แหมกำลังดูหนังเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ภาคจบอยู่หรือคะ”

รุ้งยกมือขึ้นพูดกล่าวสวัสดีเธอ ถึงแม้ผู้พูดจะมีอายุย่างเข้าหกสิบแต่รูปร่างหน้าต่างก็ยังคงสะสวยเหมือนคนอายุสี่สิบต้น ใบหน้าเรียวคมนัยน์ตาสีน้ำตาล ผมสั้นทรงบ็อบสีดำ สวมเสื้อคอวีสีเทากางเกงขายาวห้าส่วนทรงแคบดูปราดเปรียวเหมือนสาวที่เพิ่งจะพ้นวัยทำงานได้ไม่นาน ซึ่งในขณะที่หลานสะใภ้หรือมีนา ภรรยาสาวของนพในวัยสามสิบห้า มีใบหน้าค่อนข้างกลม ผมยาวสีน้ำตาลแกมทองยาวปะบ่า นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายสดใส แก้มถูกปัดด้วยบัชออนสีชมพูอ่อนกับริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีเดียวกันกับแก้ม ส่วนเสื้อผ้าก็เป็นลายลูกไม้สีขาวกับกระโปรงสั้นสีชมพูเหนือเข่าทำให้แลดูเป็นสาวหวานได้ยกมือขึ้นพนมมือกล่าวทักทายสวัสดีกับเธอด้วยเช่นกัน

“ใช่แล้วแม่รุ้ง” เธอตอบพลางหันไปมองมองหลานสะใภ้ที่แต่งตัวหวานซะหยดย้อยจนลืมอายุบ้าง “แล้วนี่นึกยังไงถึงขับรถยนต์ขึ้นเหนือมาหาฉันล่ะ ไม่ทำงานทำการกันเลยรึไง”

“เรื่องนั้นคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ งานการกุศลที่หนูกับมีนาไปมานั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ” รุ้งตอบก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาข้างเธอ

“อืม รู้จักทำบุญกับเขาก็ดีเหมือนกันนะ” เธอพูดสัพยอก ทำเอารุ้งยิ้มแห้งๆ “ว่าแต่มาพักที่นี่คืนเดียว หรือว่าจะกลับพร้อมกับตานพล่ะแม่รุ้ง”

“คงจะกลับพร้อมกับลูกนพนะค่ะคุณแม่ จริงไหมจ้ะมีนา” รุ้งตอบก่อนจะหันไปถามความเห็นกับลูกสะใภ้ ซึ่งมีนาพยักหน้าก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ค่ะคุณแม่” หลังจากนั้นก็ถึงเวลาอาหารเย็น ซึ่งคนทำอาหารในครั้งนี้เป็นฝีมือของรุ้งกับมีนาที่ขอเป็นคนทำเอง ส่วนเธอ นพ แก้วก็ได้แต่นั่งดูหนังแฮร์รี่ฆ่าเวลารออาหารเย็น เมื่อรุ้งกับมีนาทำอาหารเสร็จ พวกเขาก็นั่งรับประทานอาหารไปคุยไปด้วยพร้อมกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งในขณะที่เธอกำลังนั่งทานอาหารอยู่นั้น จู่ๆ มีนาเกิดเอ่ยปากพูดเรื่องเกมออนไลน์ขึ้นมา ทำเอาเธอต้องเงยหน้าฟัง

“ที่รักเมื่อกี้ตอนที่เค้าหยุดพักแวะปั้มเติมน้ำมัน เค้าได้ยินข่าวในโทรทัศน์ประกาศว่าในเกมเรียลไลฟ์ออนไลน์ในตอนนี้กำลังมีราชาปีศาจพากองทัพปีศาจนับร้อยไปบุกถล่มสมาคมจันทราวารีกับเมืองเริ่มต้นด้วยล่ะ”

“อะไรนะ?!” นพร้องอุทานเสียงดังลั่น ซึ่งแม้แต่เธอก็เผลอปล่อยช้อนส้อมลงบนจานเสียงดังอย่างลืมตัว

เคล้ง!

ทั้งโต๊ะต่างหันมามองเธอพร้อมกัน

“คุณยายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” นพเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอะใจอะไรได้บางอย่างในตัวเธอ “หรือว่าตัวละครในเกมของคุณยายยังอยู่แถวนั้นนะครับ!”

“อะไรกันนะตัวเอง อย่าไปตะคอกเสียงใส่คุณยายแบบนั้นสิ” มีนาพูดพลางสะกิดนพ หากแต่ชายหนุ่มหาได้ฟังไม่ กลับจ้องเธอเพื่อคาดคั้นคำตอบ

“อุ้ย นี่ลูกนพชวนคุณแม่เล่นเกมออนไลน์ด้วยหรือจ้ะ” รุ้งถาม ซึ่งนพก็พยักหน้าแทนคำพูด ก่อนจะหันมามองเธอต่อ

“ใช่ ยายอยู่แถวนั้นจริงตานพ” เธอพูดตอบโดยที่ไม่ลืมจะปิดบังเรื่องที่อยู่ของตัวเอง “แต่นพไม่ต้องห่วงยาย ตัวละครยายในตอนนี้อยู่ในความดูแลของเพื่อนหลายคน อย่าว่าแต่ยายเลย หลานกลับไปดูตัวละครของตัวเองในเกมให้ดีเถอะตานพ”

“แต่ผมเป็นห่วงนี่ครับคุณยาย แถมตอนนี้ตัวละครของผมก็อยู่เกาะเริ่มต้นด้วย เพราะฉะนั้นขอให้ผมตามไปช่วยคุณยายเถอะครับ ผมขอร้องล่ะ” นพพูดเสียงออดอ้อน ซึ่งทำเอาเธอถึงกับเหนื่อยใจกับความดื้อรั้นของหลานชาย “นะครับคุณยาย ผมอยากตามไปช่วยคุณยายจริงๆนะครับ”

คำพูดของนพทำให้เธอต้องถอนหายใจอีกรอบ

“ไม่ต้องหรอกตานพ ยายพอมีเพื่อนเก่งๆอยู่หลายคน แถมพวกเขาก็มีระดับสูงมากพอที่จะป้องกันยายด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นนพห่วงตัวเองจะดีกว่านะหลานรัก”

“แต่ผม…” นพทำท่าจะแย้งกลับต้องหุบปากลงเมื่อเห็นคุณยายส่งสายตามาในเชิงห้ามปราม “ก็ได้ครับ ผมจะไม่ตามคุณยายก็ได้ครับ”

แล้วหลังจากนั้นเธอก็รีบลงมือทานอาหารเย็นต่อ เมื่อทานเสร็จเธอก็ตรงดิ่งกลับเข้าห้องไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนอนก่อนจะนั่งสมาธิสักสิบนาที แล้วจึงค่อยนอนลงบนเตียงก่อนจะล็อกอินเข้าเกมต่อทันที ซึ่งโดยหารู้ไม่ว่าในขณะที่เธอกำลังจะล็อกอินเข้าเกมอยู่นั้น มาริโอ หงส์หยก และปลากำลังต่อสู้กับพวกปีศาจที่ติดตามมาจนทันเพื่อช่วยร่างของเธอที่ถูกพวกปีศาจชิงไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ท่านได้ล็อกอินเกมเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอกในขณะที่เธอเริ่มรู้สึกตัว พอครั้นคิดจะขยับตัวเพื่อบิดความเมื่อยล้าของร่างกายแต่เธอกลับพบว่ามือทั้งสองข้างกลับถูกมัดไพล่หลังเอาไว้อย่างแน่นหนา

เกิดอะไรขึ้นกันกับเราเนี่ย?!

“รัตติ!” เสียงมาริโอกู่ร้องดังข้ามหัว ทำให้ราตรีต้องรีบลืมตาขึ้นมาทันที ก่อนจะพบกับภาพพื้นดินกลับหัว ส่วนของท้องฟ้ากลับอยู่แทนพื้นดิน ซึ่งทำเอาราตรีแทบมึนไปเลยทีเดียว

“เฮ้ย พวกแกอย่าปล่อยให้พวกนั้นตามข้ามาได้นะ” เสียงแหบแห้งตะโกนลั่น ทำให้ราตรีต้องขมวดคิ้วคิดอย่างสงสัย ครั้นจะอ้าปากพูดถามเสียงนั้น กลับมีเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้น

“อื้อๆ?!”

ให้ตายสิ นอกจากจะถูกจับมัดมือแล้ว ยังถูกปิดปากอีกด้วยหรือเนี่ย!

ราตรีครุ่นคิดอย่างเหนื่อยใจ รู้อย่างนี้เธอน่าจะเชื่อฟังคำพูดของนพตั้งแต่แรกเสียก็ดีหรอก แล้วราตรีล้วเธอก็ถูกคนแปลกหน้าอุ้มไปเรื่อยๆโดยตัวเธอเองก็ไม่ทราบจุดหมายที่แน่นอน กเสียก็ดีหรอกบหัว ส่วนของท้องฟ้ากลับอยู่แทนพื้นดิน ซึ่ก็ถูกคนแปลกหน้าอุ้มไปเรื่อยๆซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลักพาตัวเธอไปเพื่ออะไร ราตรีเห็นแต่เพียงด้านหลังของผู้อุ้มมีลักษณะสีเขียวคล้ายต้นยางยืดเหนียวคล้ายต้นยางพารากำลังออกวิ่งเป็นเส้นตรงและเร็วจนเธอต้องหลับตาอยู่หลายครั้ง ส่วนคนที่จับเธอมานี้ก็ไม่พ้นพวกมอนสเตอร์ เพราะถ้าหากเป็นผู้เล่นจริง เธอก็ชักอยากเห็นหน้าเหมือนกันว่าอีกฝ่ายคิดลักพาตัวเธอไปทำไม เพราะตั้งแต่เข้าเกมออนไลน์มา ราตรีแทบไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลยสักคนเดียว ซึ่งในขณะที่มอนสเตอร์สีเขียวตัวนี้พาเธอออกวิ่ง เสียงของระบบก็ได้ประกาศในหัวเธอว่า

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้สัมผัสกับปีศาจรากไม้ระดับ 20 ทำให้ท่านได้รับพิษประเภทมึนงงชั่วขณะ” สิ้นเสียงของระบบ ราตรีก็รู้สึกถึงอาการมึนตามที่ระบบประกาศเอาไว้จริงๆ “หากผู้เล่นที่ได้รับพิษนี้เข้าไป จะมีผลต่อระบบความทรงจำของตัวเอง ซึ่งมีผลอยู่นานถึง 7 วัน 7 คืน”

พอสิ้นเสียงระบบประกาศเตือนอีกครั้ง ความรู้สึกของราตรีก็พลันดับวูบลงราวกับทีวีถูกปิดกะทันหัน

.......................

ย้อนมาทางด้านนพหรือปฐพี หลังจากชายหนุ่มได้เข้าเกมออนไลน์อีกครั้ง เขาก็รีบติดต่อหาเพื่อนอีกสองคนพร้อมชักชวนทั้งคู่ให้ช่วยเขาออกตามหาคุณยาย ซึ่งแน่นอนว่าศาสตรากับพิภพยอมที่จะช่วยเหลือโดยไม่คัดค้านแม้สักคำเดียว แถมยังมีความกระตือรือร้นที่จะออกตามหาคุณยายของเขาอีกด้วย หลังจากที่พวกเขาขี่ม้าคู่ใจตรงดิ่งไปยังเมืองเริ่มต้นแล้ว ทั้งสามคนก็ได้พบกับซากปรักหักพังของเมืองซึ่งผู้กระทำก็มิใช่ใครนอกเสียจากกองทัพราชาปีศาจ

“โหย พวกกองทัพราชาปีศาจนี่น่ากลัวใช่ย่อย บุกทีเมืองเริ่มต้นเละเป็นโจ๊ก ดีนะที่พวกกองทัพราชาปีศาจไม่ได้อยู่ในเมืองเริ่มต้นนี้แล้ว แต่กลับไปถล่มสมาคมจันทราวารีแทน เฮ้อ พูดแล้วรู้สึกหนาวแทนธิดาชะมัดเลย” ศาสตราพูดเสียงสูงพลางมองเมืองเริ่มต้นที่เคยสวยงามมาก่อน

“ใช่ น่ากลัว” พิภพพูดอย่างเห็นด้วยกับศาสตรา แต่ก็พยายามจงใจเลี่ยงที่จะพูดถึงชื่อธิดาให้ปฐพีได้ยินอีก “แต่อีกไม่นาน เดี๋ยวพวกจีเอ็มก็ทำให้เมืองนี้กลับคืนสภาพเดิมเองได้ล่ะน่า”

“ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ ว่าแต่นายจะออกตามหาคุณยายที่เมืองเริ่มต้นนี้เลยไหม” ศาสตราพูดพลางหันไปถามปฐพี ซึ่งชายหนุ่มผมทองเกรียนนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบว่า

“เดี๋ยวนายอยู่หาคุณยายที่นี่แล้วกันนะศาสตรา ส่วนฉันกับพิภพจะไปตามหาคุณยายที่อื่นต่อ”

“อ้าวทำไมไม่อยู่หาด้วยกันล่ะ” ศาสตราร้องถามอย่างสงสัย แต่ทว่าปฐพีหาได้ตอบกลับไปไม่ กลับดึงเชือกม้าให้หมุนตัวแล้วออกวิ่งไปนอกเมืองเริ่มต้นทันทีโดยไม่ฟังคำคัดค้านใดๆทั้งสิ้น

ไม่ใช่ไม่อยากหา

แต่ใจของเขามันกลับรู้สึกว่าท่านต้องไม่ได้อยู่ที่นี่แน่!


ปฐพีครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ ส่วนพิภพกับศาสตราที่ขี่ม้าตามปฐพีมานั้นต่างก็นึกสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรกลับไปเพราะรู้ดีว่าถามไปก็เปล่าประโยชน์ หลังจากที่ปฐพีขี่ม้านำหน้าพิภพไปสักระยะ เขาก็ได้ยินเสียงคุ้นหูตะโกนโห่ร้องไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เขาขี่ม้าอยู่

“รัตติ!” คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยิน แต่จำไม่ได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงใคร

ปฐพีคิดก่อนจะชะงักม้าที่ขี่ให้หยุด ซึ่งทำเอาพิภพกับศาสตราต้องรีบดึงเชือกให้ม้าที่ตนเองขี่ต้องหยุดตาม

“มีอะไรหรือเปล่าปฐพี” พิภพถามอย่างสงสัย หากแต่คนถูกถามไม่ได้ตอบคำถามของพิภพ กลับกระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะก้าวเท้าออกเดินไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งทำให้พิภพกับศาสตราต้องรีบกระโดดจากหลังม้าตามปฐพีไปอย่างรวดเร็ว เมื่อปฐพีเดินแหวกพุ่มไม้ไปเรื่อยๆไปได้สักระยะ เขาก็ได้ยินเสียงคล้ายกับมีอะไรบางอย่างสะดุดหกล้ม จึงรีบสาวเท้าเข้าไปดูหลังพุ่มไม้อย่างรวดเร็วก่อนจะพบเห็นปีศาจรากไม้ระดับ 20 นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นโดยที่ขาของมันมีเห็ดมาริโอจับขาทั้งสองข้างเอาไว้อยู่

นั่นมันมาริโอที่อยู่กับธิดานี่!

ปฐพีคิดในใจ เพราะเขาจำเห็ดมาริโอที่เป็นทาสรับใช้ของผู้เล่นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แปลงร่างเป็นมังกรแล้วคลั่งได้เป็นอย่างดี พอชายหนุ่มคิดเสร็จก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มผมสีเงินที่ดูคุ้นตาถูกมัดด้วยเถาวัลย์เต็มไปทั่วร่างนอนสลบไสลอยู่กับพื้น

“นั่นน้องชายที่เป็นพวกเผ่ามังกรกับเห็ดมาริโอไม่ใช่หรือปฐพี” ศาสตราที่เดินตามหลังมาได้กล่าวพูดกับเขาทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มผมสีเงิน ส่วนพิภพเดินตามมาทีหลังแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ “ดูท่าจะโดนลูกหลงจากพวกกองทัพราชาปีศาจตามฆ่าแหง นายจะไปช่วยหรือเปล่าล่ะปฐพี”

“อืม” ปฐพีตอบสั้นๆ ก่อนจะหยิบมีดสั้นขึ้นมาแล้วจึงค่อยปามีดออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉึ่ก!

500


มีดสั้นที่ปฐพีปาไปนั้นได้แทงเข้าที่กลางหน้าผากของปีศาจรากไม้เข้าพอดีอย่างจัง ก่อนจะดับวูบหายไปในพริบตาเดียว

“ผู้เล่นปฐพีได้รับค่าประสบการณ์ 5 หน่วย”

เสียงระบบประกาศ ทว่าปฐพีหาได้สนใจไม่ เขารีบเดินดิ่งไปช่วยเด็กหนุ่มที่ถูกเถาวัลย์มัดทันที ส่วนพิภพกับศาสตราก็รีบเข้าไปตรวจดูเห็ดมาริโอด้วยเช่นกัน

“เฮ้ปฐพี ทางนี้ก็ยังไม่ตาย แค่สลบไปนะ”  พิภพบอก ซึ่งปฐพีพยักหน้าตอบก่อนจะก้มลงแกะเถาวัลย์ให้กับเด็กหนุ่มผมสีเงินต่อ สักพักเมื่อปฐพีได้จัดการเถาวัลย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันมาสำรวจสภาพของเด็กหนุ่มเผ่ามังกรว่าเป็นยังไงบ้าง

ก็แค่สลบไปเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรร้ายแรง

ปฐพีคิดในใจก่อนจะใช้มือตบใบหน้าของเด็กหนุ่มเบาๆ

แปะ แปะ

“ตื่นสิน้องชาย ตื่นๆ” ปฐพีเรียกอีกฝ่ายไปด้วยพร้อมกัน หากแต่เด็กหนุ่มหาได้รู้สึกไม่ จึงทำให้เขาต้องตบใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกครั้งอย่างแรงๆ “ตื่นได้แล้วน้องชาย พี่มาช่วยน้องแล้วนะ”

อาจจะเป็นเพราะปฐพีตบหน้าของเด็กหนุ่มแรงเกินไป ทำให้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาอย่างสะลืมสะลือ ซึ่งเผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าครามสดใสประดุจห้วงท้องทะเลลึก

สวยจังแหะ

ปฐพีคิดในใจอย่างลืมตัว ส่วนอีกฝ่ายเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วก็พลันมองหน้าเขาสลับกับมองไปข้างๆกลับไปกลับมา ก่อนจะหันหน้ากลับมาหาปฐพีอีกครั้ง

“ที่นี่...ที่ไหนหรือครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“อ้อ ที่นี่คือชายป่าทางเข้าป่าเอลฟ์นะ” ปฐพีตอบพลางวางศีรษะของเด็กหนุ่มลงบนพื้นอย่างเบาๆ ก่อนจะหันไปหยิบขวดยาที่อยู่ในกระเป๋า “ว่าแต่น้องชายไปทำอีท่าไหนให้พวกกองทัพราชาปีศาจจับได้ล่ะ”

“ผม...ผมไม่รู้”

เด็กหนุ่มตอบเสียงตะกุกตะกัก ทำเอาปฐพีที่ได้ยินต้องหันกลับไปมองอย่างฉงน

“ไม่รู้?”

“ครับ ไม่รู้”

ปฐพีได้ยินถึงกับขมวดคิ้ว

แปลกคน เรื่องแค่นี้ก็จำไม่ได้

“ว่าแต่น้องชื่ออะไรล่ะ พี่จะได้เรียกเราได้ถูก” ทว่าแทนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาทันที กลับนั่งนิ่งจนปฐพีต้องถามอีกครั้ง “น้องครับ น้องมีชื่อว่าอะ...”

ปฐพียังถามไม่ทันจบประโยคดี เด็กหนุ่มก็ตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ทำเอาปฐพี พิภพ และศาสตราถึงกับอึ้ง

“ชื่อ...ชื่อหรือ...ไม่รู้สิ ผมนึกอะไรไม่ออกเลย พี่ช่วยบอกผมทีว่าผมเป็นใคร”

.............................

 o22 o22 o22 o22 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 31 โดนพิษ (update 100%) P.2 1/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 01-03-2015 21:18:37
บทที่ 32 เจ้าชายเอลฟ์

..............
 
“ชื่อ…ชื่อหรือ…ไม่รู้สิ ผมนึกอะไรไม่ออกเลย พี่ช่วยบอกผมทีว่าผมเป็นใคร”

เด็กหนุ่มผมสีเงินถามอย่างเหม่อลอย ซึ่งทำเอาสามหนุ่มได้ยินถึงกับอึ้ง

“จะพูดเล่นก็ไปพูดกับคนอื่นเถอะไอ้น้อง” ศาสตราพูดพลางเอามือเกาหัวหยิกๆ “ไอ้มุขความจำเสื่อมนี่ มันเก่าไปไหม แล้วนี่ธิดาไปไหนล่ะ ไม่ได้ตามมาด้วยกันหรือ”

คำพูดของศาสตราทำให้พิภพต้องใช้ศอกถองเข้าท้องของมันด้วยความหมั่นไส้ ซึ่งทำให้ศาสตรานึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดเรื่องธิดาต่อหน้าปฐพีแต่ก็สายไปเสียแล้ว

“ธิดา?” เด็กหนุ่มผมสีเงินสั้นพูดชื่อนั้นอย่างมึนงง “ธิดาคือใครหรือครับ ผมไม่รู้จัก”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตอนนี้น้องต้องดื่มยาเพิ่มพลังนี่ก่อน” ปฐพีบอกพลางยื่นขวดยาสีแดงให้กับเด็กหนุ่ม ซึ่งทำให้อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางหยิบขวดยาจากปฐพียกขึ้นดื่ม เมื่อเด็กหนุ่มดื่มยาเสร็จแล้วก็พลันเบ้ปากอย่างไม่พอใจ

“ไม่อร่อยเลย” เด็กหนุ่มผมสีเงินบอกเขาพลางขมวดคิ้ว “เอ แล้วนั่นเสียงใครหรือครับ ผมได้ยินเขาบอกว่าผมได้รับการเติมพลังอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ”

“เสียงนั้นเป็นเสียงของระบบนะไอ้น้อง ถามจริงเถอะ ไอ้มุขความจำเสื่อมมันน่าเล่นตรงไหน เลิกเล่นได้แล้วนะ มันไม่สนุกเลยสักนิด” ศาสตราพูดอย่างเบื่อหน่าย แต่ทว่าเด็กหนุ่มผมสีเงินกลับทำหน้ามึนงงยิ่งกว่าเดิม

“ผมเปล่าเล่นนะครับ ผม…จำไม่ได้จริงๆ”

“นี่ไอ้น้อง…” ปฐพีรีบโบกมือห้ามศาสตราไม่ให้พูดไปมากกว่านี้ จึงทำให้เพื่อนยอมหุบปากแต่โดยดี

“เอาล่ะๆ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ขอถามอะไรหน่อย น้องรู้จักเห็ดที่นอนอยู่ตรงนั้นได้ไหม” ปฐพีพูดพลางชี้นิ้วไปยังมาริโอที่นอนสลบอยู่กับพื้น เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองตาม

“ไม่เลยครับ” อีกฝ่ายตอบพลางส่ายหน้าไปมา “ผมไม่รู้จักเลยสักนิด แล้วนั่นเห็ดพันธุ์ชนิดใหม่หรือยังไงครับ”

คำตอบของเด็กหนุ่มผมสีเงินทำเอาพวกเขาถึงกับกลุ้ม เพราะไม่แน่ใจว่านี่คือการเล่นละครหรือจำไม่ได้จริงๆ

“จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ ตอนนี้นายช่วยปลุกมาริโอให้ตื่นทีสิศาสตรา” ปฐพีหันไปสั่งเพื่อน ซึ่งศาสตราพยักหน้าตอบก่อนจะหันมาปลุกมาริโอ

“น้องมาริโอตื่นได้แล้ว” ศาสตราพูดพลางตบหน้ามาริโอเบาๆ หากแต่มันไม่ยอมตื่นสักที ศาสตราจึงตบแรงขึ้นอีกนิด “เฮ้ย ถ้าฉันนับหนึ่งถึงสามแล้วยังไม่ลุกอีกล่ะก็ เลือกเอาได้เลยนะว่าจะเอาแบบสุกๆดิบๆ ปานกลางหรือย่างเกรียม หึๆ”

คำพูดของศาสตราทำให้ปฐพีกับพิภพต้องส่ายหน้า

ทำเป็นเล่นเหมือนเด็กๆไปได้

“ตื่นแล้วๆ! อย่าจับหนูไปกินเลยนะ!” มาริโอร้องโวยวายก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่งเพราะกลัวจะโดนจับไปทอดกินจริงๆ พอลุกขึ้นมาแล้วมันก็หันไปมองรอบๆข้างอย่างมึนงง “ที่นี่ที่ไหน แล้ว…อ๊ะ รัตติ! รัตติจริงๆด้วย รัตติ!”

มาริโอร้องอุทานอย่างดีใจเมื่อได้เห็นเจ้านายของมัน

รัตติ? จริงสิ จะว่าไปตอนนั้นมาริโอก็เรียกชื่อเด็กคนนี้ว่ารัตตินี่

ปฐพีคิดในใจอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ แล้วมาริโอก็รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดรัตติอย่างดีอกดีใจ

“รัตติ! โชคดีจังที่เจ้าปลอดภัย” มาริโอร้องถามอย่างเป็นห่วง หากแต่ผู้โดนถามกลับตีสีหน้ามึนงง “ว่าแต่เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่านี่รัตติ ข้าจะได้ช่วยทายาให้”

“เอ่อ ผมไม่เป็นไร ขอบคุณที่เป็นห่วง” เด็กหนุ่มตอบ ซึ่งทำเอามาริโอที่กำลังสำรวจดูร่างกายของรัตติต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ

“เจ้าพูดอะไรของเจ้านะรัตติ?” มาริโอถามอย่างสงสัย เพราะตามปกติรัตติไม่เคยพูดจาสุภาพหรือห่างเหินกับมันเลยสักครั้ง “เอ หรือว่าจะเป็นไข้ ไหนขอตรวจดูหน่อยสิ”

มาริโอพูดพลางใช้หลังมือแนบหน้าผากของรัตติ

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่ เอ แปลกจังเลยแฮะ”

“ไม่แปลกหรอกที่ตัวไม่ร้อน แต่เป็นเพราะเค้าจำอะไรไม่ได้เลยตั้งหากล่ะน้องมาริโอ” ศาสตราพูดตัดบทอย่างรำคาญนิดๆ “เฮ้อ แต่ถ้าเจ้าช่วยเบิร์ดกะโหลกเขาสักครั้งด้วยก็ดีนะ จะได้เลิกเล่นละครงี่เง่านี้ซะ”

“เล่นละคร?” มาริโอพูดพลางชะงักมือพลางมองรัตติอย่างสงสัย

“ผมเปล่าเล่นละคร” รัตติพูดตอบอย่างฉุนเฉียว “ผมบอกพวกคุณไปแล้วไงว่าจำอะไรไม่ได้ ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้างเลย”

สามหนุ่มได้ยินที่รัตติพูดก็พลันส่ายหน้าพร้อมกันอย่างไม่เชื่อในคำพูดนั้น

“คงเชื่อยากหรอกนะไอ้น้อง เพราะที่นี่เป็นแค่เกมออนไลน์ ไม่มีผู้เล่นคนไหนจะความจำเสื่อมได้หรอกนะ” ศาสตรายังคงพูดแย้งตามเดิม ซึ่งทีแรกปฐพีกับพิภพต่างคิดแบบเดียวกับศาสตรา แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าเกมนี้ยังมีจำพวกคำสาปกับพิษที่ผู้เล่นสามารถโดนแล้วความจำเลอะเลือนไปชั่วขณะได้เหมือนกัน แล้วอีกอย่างเมื่อก่อนหน้านี้รัตติก็ได้สัมผัสตัวกับปีศาจรากไม้ด้วย มิแน่ว่ารัตติอาจจะได้รับพิษจากปีศาจตัวนั้นก็เป็นได้

“เดี๋ยวก่อนศาสตรา ที่เกมออนไลน์นี้สามารถทำให้ผู้เล่นมีความจำเลอะเลือนได้นะ” ปฐพีพูดแย้ง ซึ่งทำเอาศาสตราชะงัก “บางทีน้องเค้าอาจจะหลงลืมเพราะโดนพิษจากปีศาจรากไม้ก็เป็นไปได้ เพราะงั้นนายเลิกว่าน้องเขาได้แล้ว”

“อืม เข้าใจแล้วล่ะ” เมื่อลงความเห็นว่าเด็กคนนี้ความจำเสื่อมเพราะได้รับพิษจากปีศาจรากไม้จริง ปฐพีก็คิดจะพาเด็กคนนี้ไปส่งให้กับธิดาเพราะพวกเขาไม่ว่างที่จะดูแล

“นายจะไปส่งน้องเขาทั้งๆที่ทางด้านธิดาเองก็ถูกพวกกองทัพราชาปีศาจโจมตีเนี่ยนะ!” ศาสตราพูดเสียงดังลั่นเมื่อปฐพีคิดจะไปส่งรัตติกับมาริโอให้กับธิดา “นายลืมไปแล้วหรือว่าตอนนี้ฐานทัพสมาคมจันทราวารีมีกองทัพราชาปีศาจบุกถล่มอยู่ ขืนให้ไปส่งที่นั่นในตอนนี้ เกรงว่าพวกเราห้าคนจะได้ตายคามือราชาปีศาจแน่ๆปฐพีเอ๋ย”

ปฐพีได้ยินก็พลันขมวดคิ้ว

เออแหะ ลืมไปเลย

“งั้นก็ให้น้องมาริโอนำทางไปฐานสำรองของธิดาก็ซะสิ้นเรื่อง”

“หนูไม่รู้ฐานสำรองอะไรนั่นหรอก เพราะหนูกับรัตติเพิ่งจะมาอยู่กับท่านพี่ธิดาได้ไม่กี่วันเองฮะ” มาริโอพูดตอบปฏิเสธทันทีที่ได้ยินปฐพีพูด ซึ่งทำเอาสามหนุ่มถึงกับเครียดจัดยิ่งกว่าเดิม

“เอาอย่างนี้ปฐพี นายก็ให้น้องสองคนนี้ติดตามไปพวกเราไปด้วยเลยแล้วกัน เพราะขืนปล่อยทิ้งไว้ประเดี๋ยวก็โดนพวกกองทัพราชาปีศาจที่เหลือจับไปเชือดเหมือนทีแรกซะหรอก” พิภพพูดออกความเห็นหลังจากยืนฟังอยู่นานแล้ว

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ให้ตามไปด้วยจนกว่าความจำจะฟื้นคืนกลับมาล่ะกัน” เมื่อตกลงกันได้แล้ว ทั้งสามหนุ่มก็พารัตติกับมาริโอเดินย้อนกลับไปที่ม้าต่อ ก่อนจะพาขึ้นม้าออกเดินไปยังป่าเอลฟ์เพื่อหลบหนีกองทัพราชาปีศาจไปซักระยะ ซึ่งปฐพีไม่มีวันรู้เลยว่าเด็กหนุ่มที่ตนพาไปด้วยนั้น เป็นคนที่เขากำลังออกตามหาอย่างเอาเป็นเอาตาย

.................

ทางด้านหงส์หยกกับปลาที่พยายามวิ่งตามมาริโอให้ทันแต่จำต้องพลัดหลง เนื่องด้วยพวกปีศาจลากพวกเธอไปสู้ในทิศตรงกันข้ามที่มาริโอวิ่งไป หลังจากสู้เสร็จ ทั้งคู่ก็เดินย้อนกลับมาทิศเดิมเพื่อที่จะตามหารัตติที่ถูกปีศาจจับตัวไป พร้อมกับมาริโอที่พวกเธอไม่แน่ใจว่ามันจะตามปีศาจรากไม้ได้ทันรึไม่ แต่พอไปหาดูจนทั่วแล้วก็ไม่มีวี่แววที่จะพบ

“เอายังไงดีกันต่อคะพี่หงส์หยก” ปลาถามอย่างสงสัย เพราะถ้ากลับไปฐานสำรองโดยไม่มีรัตติกับมาริโอด้วย มีหวังธิดาได้ลงโทษพวกเธอสองคนอย่างแน่นอน ส่วนหงส์หยกเองก็รู้ชะตากรรมของตัวเองดี จึงนั่งลงบนขอนไม้พลางครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะก่อนหน้านี้เธอลองติดต่อหาพี่ธิดาดูแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้ ซึ่งทำให้หงส์หยกเดาได้ว่าพี่ธิดาคงจะถูกราชาปีศาจฆ่าตายไปนานแล้ว จะติดต่อมาริโอก็ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่มอนสเตอร์ ส่วนรัตตินั้น เธอก็ส่งข้อความติดต่อกับเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้เลยสักครั้งเดียว

“เฮ้อ” หงส์หยกถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ “กลับไปที่ฐานสำรองแล้วกัน เพราะขืนเดินหาต่อไปก็เสียเวลาเปล่า สู้รอให้พี่ธิดาออนไลน์เกมอีกครั้งแล้วค่อยถามดูว่าตกลงจะเอายังไงกันต่อดีนะจ้ะน้องปลา”

“ค่ะพี่หงส์หยก” แล้วทั้งคู่ก็เดินย้อนกลับไปฐานสำรองเพื่อรอให้ธิดากลับมาออนไลน์เกมอีกครั้ง
 
....................

หลังจากที่พวกเขาทั้งห้าได้เดินเข้ามาในป่าเอลฟ์แล้ว ศาสตราก็ได้พูดคุยกับพวกเอลฟ์ว่าจะขอพักอยู่อาศัยที่นี่ด้วยสักสองสามวัน ไว้รอให้พวกกองทัพราชาปีศาจไปจากเกาะเริ่มต้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยออกเดินทางต่อ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเอลฟ์ยอมให้พวกเขาได้อยู่พักฟรี แต่พวกเขาต้องช่วยเอลฟ์ทำงานเป็นการแลกเปลี่ยนด้วย

“อันนี้คือส่วนดูเวลาออนไลน์โลกของเกมกับโลกจริง ส่วนนี้คือหน้าต่างสถานะซึ่งน้องสามารถเรียกมันได้” เสียงพิภพพูดอธิบายวิธีการเล่นเกมเบื้องต้นให้เด็กหนุ่มผู้ความจำเสื่อมได้ฟัง ส่วนมาริโอนั้นไม่ต้องพูดถึง มันเอาแต่เกาะแขนรัตติอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เดินเข้ามาในป่าเอลฟ์จนกระทั่งถึงห้องพักรับแขกของเอลฟ์นี้แล้ว

“ไม่เห็นต้องกอดแขนเจ้านายของตัวเองตลอดเวลาก็ได้นี่น้องมาริโอ” ศาสตราพูดอย่างเห็นใจเด็กหนุ่มผมสีเงินนามว่ารัตติที่ถูกมาริโอเกาะแขนติดหนึบ “รัตติคงร้อนแขนแย่เลย”

“ไม่” มาริโอตอบปฏิเสธเสียงห้วนพลางกอดแขนรัตติแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม ซึ่งทำเอาปฐพีกับศาสตราส่ายหน้า

ดูท่ามันคงจะรักเจ้านายของมันมากจนไม่ยอมไปไหน

ส่วนผู้ถูกกอดแขนก็ไม่คิดรำคาญ กลับเอามือข้างที่ว่างลูบหัวมาริโออย่างแผ่วเบา

“เด็กดีนะเด็กดี” มาริโอได้ยินที่ราตรีพูดชม มันถึงกับอ้าปากค้าง เพราะถ้าเป็นราตรีคนเดิม จะไม่พูดว่าเด็กดีกับมาริโอเลยสักครั้ง

ไม่จริง! รัตติจำข้าไม่ได้!

แล้วมาริโอก็ปล่อยแขนราตรีออกก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนีหายเข้าไปในห้องน้ำ ซึ่งมาริโอหายเข้าไปในนั้นได้สักพักก่อนจะเดินกลับมานั่งกอดแขนรัตติตามเดิม โดยที่นัยน์ตาของมันแดงก่ำราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“อ้าว? เป็นอะไรไปเหรอครับมาริโอ ตานี่แดงเชียว” ราตรีหรือรัตติผู้ความจำเสื่อมร้องถามทันทีที่เห็นมาริโอนั่งกอดแขนตนนัยน์ตาแดงก่ำ หากแต่ผู้ถูกถามกลับกอดแขนนิ่งไม่ยอมตอบสักคำ เด็กหนุ่มจึงทำได้แต่เพียงลูบหัวมันเพื่อปลอบใจ ซึ่งการกระทำของมาริโออยู่ในสายตาของปฐพีที่กำลังเช็ดดาบมาโดยตลอด

เหมือนลูกหมาเลยแหะ

ปฐพีคิดในใจ ซึ่งทำให้เขานึกย้อนกลับไปในอดีต ตอนเขาป่วยนอนซมอยู่กับเตียงนั้น ลูกหมาของเขาได้แต่นั่งหมอบซึมกะทืออยู่ข้างเตียงนอน ไม่กินไม่นอนจนกระทั่งเขาหายดี มันถึงยอมกินข้าวแต่โดยดี แล้วปฐพีก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงรีบพรายกระซิบไปหาใครบางคน

“ลูกแก้ว นี่พ่อเองนะ” แล้วเขาก็นั่งเช็ดดาบไปสักพักอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยเสียงหวานว่า

“คะคุณพ่อ”

“ตอนนี้ลูกแก้วอยู่ที่ไหนหรือลูก”

“อ๋อ ตอนนี้หนูอยู่กับพวกงุ้งงิ้งที่เหมืองแร่ค่ะ”
ลูกแก้วตอบก่อนจะถามเขาต่อ “คุณพ่อมีธุระอะไรกับหนูหรือคะ”

“พ่อแค่จะเตือนลูกว่าตอนนี้ที่เมืองเริ่มต้นกับเมืองใต้บาดาลกำลังมีกองทัพราชาปีศาจอยู่ ลูกแก้วกับเพื่อนๆจะต้องอยู่ที่นั่นจนกว่าทางเกมจะประกาศว่าปลอดภัย แล้วลูกแก้วกับเพื่อนๆค่อยเดินออกมานะครับ”

“ทราบแล้วค่ะคุณพ่อ หนูกับพวกเพื่อนจะไม่ออกไปไหนแน่ค่ะ”


เมื่อได้รับคำตอบแน่ชัดจากลูกสาวแล้ว ปฐพีก็บอกลาลูกก่อนจะตัดสายทิ้ง ซึ่งค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี สามหนุ่มกับอีกหนึ่งตัวหลับสบาย ยกเว้นรัตติที่นอนไม่หลับเพราะรู้สึกสับสนกับความทรงจำของตัวเองที่ขาดหายไป

...................
 
รุ่งเช้าวันถัดมา พวกเอลฟ์ก็เรียกพวกเขาไปช่วยทำงานแต่เช้า ซึ่งงานที่พวกเอลฟ์ให้พวกเขาไปช่วยก็จะเป็นพวกปลูกต้นไม้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย กับเก็บกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าที่ตกอยู่ตามพื้นดิน หลังจากที่ทำเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาพักเที่ยงที่พวกเขาสี่คนกับหนึ่งตัวก็ออกเดินดูในเมืองหลวงเอลฟ์เพื่อหาของกิน ซึ่งในระหว่างที่พวกเขาออกเดินหาร้านอาหารอยู่นั้น รัตติก็รู้สึกถึงสายตาของพวกบรรดาเอลฟ์ทั้งหลายต่างจับจ้องมาที่พวกเขาอยู่ตลอดเวลา

แปลก?

ทว่ารัตติไม่กล้าจะถามพวกพี่ทั้งสามคน จึงได้แต่เดินตามหลังอย่างเงียบๆ หลังจากที่พวกปฐพีหาร้านอาหารได้แล้วพวกเขาก็เข้าไปนั่งในร้าน ซึ่งแน่นอนว่าพวกเอลฟ์ในนั้นต่างจ้องมองพวกเขากันเป็นตาเดียว รัตติรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เมื่อรับประทานอาหารกันจนเสร็จแล้วพวกปฐพีก็วางเงินถุงจำนวนหนึ่งวางบนโต๊ะ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้านอาหารไปพร้อมกันอย่างเงียบๆ ซึ่งทำให้รัตติกับมาริโอต้องรีบลุกขึ้นเดินตามไปอย่างไว ครั้นพอก้าวเท้าออกจากร้านอาหารได้ไม่ทันไร รัตติกับมาริโอก็เดินหลงกับพวกปฐพีเสียแล้ว

“กลับห้องกันเถอะรัตติ ข้าเบื่อที่จะทนเห็นสายตาเหยียดหยามของพวกเอลฟ์แล้ว” มาริโอบ่นโดยที่ยังกอดแขนรัตติอยู่ ซึ่งเด็กหนุ่มก็เห็นดีเห็นงามด้วยกับคำพูดของมาริโอจึงเดินกลับทางเดิม แต่ทว่าเมืองเอลฟ์เป็นเมืองที่ใหญ่ มีเส้นทางเดินอยู่มากมาย แถมไม่มีผู้นำทางอย่างพวกปฐพีด้วย จึงทำให้ทั้งคู่เดินหลงทางไปโดยปริยาย ซึ่งพวกเขาเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ รัตติก็ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!”

“เสียงคนร้องให้ช่วยนี่ ไปกันเถอะมาริโอ” รัตติบอกพลางออกวิ่งทันที ซึ่งไม่ฟังคำทัดทานของมาริโอที่กอดแขนเขาอยู่เลยสักนิด เมื่อทั้งคู่วิ่งเข้าไปในซอกซอยของตึกไม้แล้ว ก็พลันเห็นเด็กหนุ่มหูแหลมผิวขาวผมสีทองยาวรุงรังสวมใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวกับกางเกงขายาวสีน้ำตาลถูกเชือกพันรอบตัวนอนหงายท้องขาสองข้างชี้ขึ้นฟ้าห้อยต่องแต่งกลางอากาศ

“ใครก็ได้ช่วย…” เด็กหนุ่มเอลฟ์ผมทองผู้โชคร้ายกำลังร้องขอความช่วยเหลืออีกหน ครั้นพอเห็นผู้มาใหม่อย่างรัตติกับมาริโอแล้ว ถึงกับหยุดร้องทันที

“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ผมมาช่วยคุณแล้ว” รัตติบอกก่อนจะหยิบมีดสั้นออกมาจากกระเป๋า ครั้นพอจะก้าวเท้าเดินไปตัดเชือกให้หนุ่มเอลฟ์ผมทอง กลับโดนมาริโอดึงแขนรั้งเอาไว้ “ปล่อยแขนผมสิครับมาริโอ ผมจะไปช่วยเขานะ”

“ไม่รัตติ ผู้ชายคนนั้นเป็น…เอลฟ์นะ” รัตติขมวดคิ้วกับคำพูดของมาริโอ ถึงเขาจะโดนพวกเอลฟ์มองอย่างรังเกียจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ใจร้ายพอที่จะไม่ช่วยเหลือพวกเอลฟ์อยู่ดี

“มาริโอครับแต่ถึงยังไงผมก็จะเข้าไป…”

“ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกมนุษย์” เอลฟ์หนุ่มผมทองพูดแทรกกะทันหัน ทำเอารัตติกับมาริโอหันไปมอง ซึ่งอีกฝ่ายได้ตีหน้ายักษ์ใส่ “ไสหัวไปซะ อย่าสะเออะโผล่มาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไป๊!”

“พวกข้าเองก็ไม่อยากจะช่วยเจ้าเหมือนกันไอ้หูแหลมเอ๊ย” มาริโอเถียงกลับ ซึ่งทำเอาหนุ่มเอลฟ์ถึงกับกัดฟันหน้าแดงด้วยความโกรธ

“แกไอ้เห็ดเน่าติดมนุษย์ ถ้าข้าหลุดไปได้ล่ะก็ ข้าจะฆ่าแกก่อนเป็นคนแรก”

“เอาสิ แน่จริงก็ลงมาตัวต่อตัวเลย ข้าไม่กลัวเจ้าหรอกไอ้หู…” มาริโอไม่ทันได้พูดจนจบก็ถูกรัตติห้ามเอาไว้ซะก่อน ซึ่งเด็กหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง กลับเดินตรงดิ่งเข้าไปพร้อมกับมีดสั้นเล่มหนึ่ง ก่อนรัตติจะใช้มีดสั้นเล่มนั้นฟันเชือกที่พันธนาการหนุ่มเอลฟ์ออกอย่างรวดเร็ว ทำให้หนุ่มเอลฟ์หลุดจากเชือกก่อนจะร่วงหล่นลงพื้นก้นจ้ำเบ้าอย่างแรง

“อุ” หนุ่มเอลฟ์ร้องเจ็บปวดเบาๆ พลางลุกขึ้นยืนหันหน้ามาทางรัตติด้วยสายตาหยามเหยียด “ข้าไม่คิดจะขอบคุณมนุษย์หรอกนะ เพราะเชือกมันขาดของมันเอง”

หนุ่มเอลฟ์พูดจบก็เดินกระแทกไหล่ของรัตติสวนออกไปทางถนนใหญ่

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้ช่วยเจ้าชายเอลฟ์จากพันธนาการ ทำให้ท่านได้รับภารกิจพิเศษระดับเอ กู้วิกฤตดินแดนเอลฟ์” เสียงระบบประกาศดังในหัวรัตติ ซึ่งทำเอารัตติถึงกับขมวดคิ้ว “หากท่านสงสัยในภารกิจพิเศษระดับเอ สามารถสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ของเกมได้ที่ตึกรับภารกิจของเมืองเอลฟ์ค่ะ”

“เห็นไหมรัตติ ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปช่วยมัน ฮึ แล้วเป็นไงล่ะ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี แถมยังต้องโดนกระแทกไหล่อีก” มาริโอบ่นอย่างเนื้อน้อยต่ำใจ

“ช่างเขาเถอะครับมาริโอ” รัตติบอกพลางใช้มือลูบหัวมาริโอเบาๆ “แค่มาริโอไม่ไปต่อยตีกับเขา ผมก็พอใจแล้วล่ะ”

“ค่ามิตรภาพของท่านเพิ่มขึ้นเป็นระดับ10”

แล้วรัตติก็พามาริโอเดินกลับทางเดิมโดยมีมาริโอเดินเกาะแขนเขาไปด้วยพร้อมกัน

......................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 32 เจ้าชายเอลฟ์ (update 100%) P.2 1/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: monday1995 ที่ 01-03-2015 23:26:21
รอตอนต่อไปค่าาาา กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 32 เจ้าชายเอลฟ์ (update 100%) P.2 1/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 02-03-2015 10:48:59
ง่ะกำลังอ่านสนุกๆ55 รอตอนต่อไปฮะ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 32 เจ้าชายเอลฟ์ (update 100%) P.2 1/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 02-03-2015 17:49:01
บทที่ 33 แม่

.........................

พอรัตติกับมาริโอเดินออกจากตรอกซอยนั้นแล้ว เด็กหนุ่มก็หยิบแผนที่จากในกระเป๋าขึ้นมากางดูแต่ก็พบกับความล้มเหลว เนื่องด้วยดินแดนเอลฟ์ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในตัวแผนที่ จึงทำให้รัตติไม่สามารถรู้ตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ในขณะนี้ได้ ส่วนเรื่องจะถามทางกับพวกเอลฟ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่รัตติเดินย่างกรายเข้าไป พวกเอลฟ์ก็พากันเดินหนีหรือไม่ก็ปิดหน้าต่างประตูใส่หน้าทันที

แล้วแบบนี้จะเดินไปที่ตึกรับภารกิจได้ยังไงกันล่ะ

รัตติครุ่นคิดอย่างหนักใจ ส่วนมาริโอที่กอดแขนรัตติอยู่นั้น มันเองก็รู้สึกถึงอารมณ์ของรัตติได้เช่นกัน ดังนั้นมาริโอจึงกอดแขนรัตติแน่นขึ้น เพื่อให้เด็กหนุ่มได้รู้ว่าตอนนี้ยังมีมันอยู่ด้วยนะ ทว่ารัตติกับมาริโอเดินไปได้สักพัก ที่กลางถนนก็ได้มีพวกเอลฟ์ยืนมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งรัตตินึกสนใจจึงเดินลากมาริโอฝ่าฝูงชนเอลฟ์เข้าไปดูด้วยบ้าง เมื่อเดินแทรกไปจนสำเร็จแล้ว รัตติก็ได้ภาพของหนุ่มเอลฟ์ที่รัตติช่วยไว้เมื่อก่อนหน้านี้กำลังถูกพวกเอลฟ์ด้วยกันนับสิบรุมทำร้ายอยู่

บึก!

“อั่ก!” หนุ่มเอลฟ์กระอักเลือดทันทีที่ถูกถีบเข้าที่ช่วงท้อง ซึ่งทำเอารัตติถึงกับโมโห

อะไรของพวกเขา นี่คนโดนทำร้ายอยู่นะ ทำไมถึงยังนิ่งเฉยได้!

รัตติด่าทอพวกเอลฟ์ที่ยืนมองโดยไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือในใจ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาพวกนั้นทันทีโดยไม่สนใจมาริโอที่พยายามยื้อยุดไม่ให้รัตติเข้าไปช่วย

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” รัตติตะโกนห้าม ซึ่งทำเอาพวกเอลฟ์ตัวใหญ่สิบตนหันหลังกลับมามองรัตติพร้อมกัน “เป็นเอลฟ์ซะเปล่า ทำไมถึงต้องรุมกันด้วย คนนั้นเขาทำอะไรผิดถึงต้องซ้อมจนซะเกือบปางตาย”

หนึ่งในเอลฟ์ที่ถีบท้องหนุ่มเอลฟ์มองรัตติตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า

“เป็นมนุษย์ก็อยู่ส่วนของมนุษย์ อย่ามาเสือกยุ่งเรื่องของเอลฟ์หน่อยเลย”

“ผมคงต้องยุ่ง เพราะผมทนเห็นเอลฟ์สิบคนรุมรังแกเอลฟ์คนเดียวไม่ได้” รัตติตอบเสียงเข้มพลางใช้มือขวาแตะฝักดาบเตรียมพร้อมสู้ทุกเมื่อถ้าหากพวกนั้นเข้ารุมเขาจริงๆ ส่วนพวกเอลฟ์ที่ได้ยินคำพูดของรัตติแล้วถึงกับส่งเสียงหัวเราะเยาะ

“ฮะๆ แล้วแกคิดหรือว่าไอ้นี่จะยอมรับความช่วยเหลือจากแกนะไอ้มนุษย์” เอลฟ์ตนเดิมพูดพลางดึงผมหน้าของหนุ่มเอลฟ์ที่ตอนนี้โทรมจนดูไม่ได้ขึ้นมาให้รัตติเห็นชัดๆ “จะบอกให้เอาบุญ ไอ้หมอนี่น่ะเป็นถึงเจ้าชายเอลฟ์ แถมเป็นเจ้าชายนอกสายเลือดที่แม้กระทั่งราชาเอลฟ์ที่สวรรคตไปยังไม่เหลียวแลซะด้วย หึ รู้แบบนี้แล้วแกยังคิดจะช่วยไอ้เจ้าชายเอลฟ์อยู่ได้อีกรึไอ้มนุษย์ ไอ้นี่หยิ่งเสียจนขนาดตัวองครักษ์ของมันเอง มันยังไม่ยอมให้องครักษ์เข้ามาช่วยเลย ฮะๆ”

หนุ่มเอลฟ์ที่รัตติคิดว่าสลบไปแล้ว เหลือบตาซ้ายที่ยังปกติขึ้นมาก่อนจะเอ่ยปากพูดว่า

“ข้า…ไม่ต้องการ…ความ…ช่วยเหลือ…จากเจ้า…ไอ้…มนุษย์”

“ฮะๆ เห็นไหมล่ะ นี่ขนาดโดนซ้อมจนเกือบปางตายแล้ว มันยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเจ้าเลย!” เอลฟ์ที่จับผมหนุ่มเอลฟ์พูดไปหัวเราะไป

“แล้วยังไงล่ะครับ ถึงเขาจะเป็นเจ้าชายนอกสายเลือดหรือจะหยิ่งตามที่พวกคุณว่า แต่ผมก็จะช่วยเขาอยู่ดีนั่นแหละครับ” คำพูดของรัตติทำเอาเอลฟ์ตนนั้นถึงกับหยุดหัวเราะ ก่อนจะมองรัตติอย่างเอาเรื่อง

“ฮึ พูดวอนหาเรื่องเองนะไอ้มนุษย์” เอลฟ์พูดเสียงเข้มก่อนจะหันไปเชิดหน้าให้กับพรรคพวก “เฮ้ย พวกแกจัดการสั่งสอนไอ้มนุษย์นี่หน่อยซิ จะได้เลิกอวดดีซักที”

แล้วพวกเอลฟ์ก็เดินออกมาสามตน ซึ่งรัตติเห็นดังนั้นจึงพูดกับมาริโอเบาๆว่า

“มาริโอคอยช่วยผมด้วยนะครับ แต่อย่าให้ถึงตายนะ”

“อื้อ ได้อยู่แล้ว” มาริโอตอบก่อนจะปล่อยแขนรัตติออกเพื่อให้รัตติได้สู้สบายๆ ส่วนมันก็รีบตั้งท่ารอเตรียมพร้อมสู้ แล้วเอลฟ์สามตนก็ดาหน้าเข้ามาโดยไม่ให้สัญญาณ ซึ่งทีแรกรัตติตั้งใจว่าจะใช้ดาบในการต่อสู้ แต่พอเห็นทั้งสามตนไม่ได้ใช้อาวุธสักชิ้น เด็กหนุ่มจึงปล่อยมือออกจากฝักก่อนจะกำหมัดตั้งท่าเตรียมสู้ แล้วทันใดนั้นเอลฟ์ตนหนึ่งเข้ามาประชิดรัตติจากด้านหน้าพลางใส่หมัดอย่างเร็วหมายจะตะบันหน้าหวานของอีกฝ่ายให้ยับเยิน แต่ทว่ารัตติสามารถหลบได้ทันก่อนจะสวนหมัดกลับไปอย่างเร็ว ทำให้โดนแก้มของอีกฝ่ายเข้าไปเต็มๆ

ตูม!

150


ร่างของเอลฟ์กระเด็นกลิ้งกับพื้นก่อนจะสลบไปในคราเดียว ซึ่งทำให้พวกเอลฟ์ที่จ้องมองการต่อสู้ของพวกรัตติแล้วพากันมองเด็กหนุ่มผมสีเงินด้วยความตะลึง

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 10 หน่วย”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งรัตติไม่ได้สนใจที่จะฟังเพราะมัวแต่มองพวกเอลฟ์

“เด็กหนุ่มที่เป็นมนุษย์ไม่ธรรมดาเลยนะ สามารถล้มเจ้าหมอนั่นได้ด้วยหมัดเดียว”

“หรือว่ามันจะไม่ใช่มนุษย์ เพราะถ้าเป็นมนุษย์จริง ไม่น่ามีพลังมากถึงขนาดนี้”

พวกฝูงชนเอลฟ์ต่างพูดวิเคราะห์ในตัวของรัตติอย่างสงสัย ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งเอลฟ์ร่างยักษ์ที่เคยสั่งพรรคพวกให้รุมรัตติด้วย

“เมื่อกี้เจ้านั่นก็แค่ลื่นหกล้ม อย่าทำเป็นได้ใจไปนะไอ้มนุษย์” จากนั้นเอลฟ์ตนนั้นก็หันไปหาพรรคพวกที่เหลือ “โต๊ะจีนเว้ย สหาย”

สิ้นเสียงคำสั่ง บรรดาเอลฟ์ต่างกรูเข้าใส่รัตติจากทุกด้าน ทำให้รัตติรีบผลักมาริโอให้ไปไกลๆก่อนที่ตัวเขาเองขยับออกห่างจากมาริโอให้ได้มากที่สุด แล้วหันไปรับมือกับพวกเอลฟ์ที่เข้ามาประชิดตัวเขา

บึก! ผลัก! ตุบ!

199

180

196


รัตติทั้งศอกทั้งเข่าใส่เอลฟ์เพื่อเอาตัวรอด ซึ่งแทนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของพวกเอลฟ์อย่างที่ควรจะเป็น แต่นี่กลับไม่เจ็บปวดเลยสักนิด แถมพวกเอลฟ์ที่ถูกรัตติจัดการนั้นกลับร้องด้วยความเจ็บปวดแทน และนอกจากนี้รัตติยังรู้สึกถึงความคุ้นเคยรูปแบบการต่อสู้ที่เขากำลังงัดขึ้นมาใช้กับพวกเอลฟ์ ทั้งๆที่เขาจำไม่ได้ว่าเคยฝึกมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเอลฟ์หลายตนต้องลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้นด้วยอนุภาพของศอกอันแหลมคม บ้างก็จุกจนตัวงอเพราะถูกเข่าแทงเข้ากลางลิ้นปี่ บ้างก็โดนศอกงัดเข้าที่คางจนสลบไปเลยก็มี ส่วนมาริโอที่โดนรัตติผลักไปก่อนหน้านี้ก็เข้ามาช่วยรัตติจัดการด้วยการกระโดดเหยียบหัวพวกเอลฟ์

ป๊อก! ป๊อก!

100

120


“แม่งเอ้ย! เก่งดีนักใช่ไหม ลองนี่หน่อยเป็นไร” เอลฟ์ตนหนึ่งทนเห็นความแกร่งกาจของรัตติไม่ไหวจึงงัดมีดสั้นออกมาเสียบแขนเด็กหนุ่มทันที ซึ่งแน่นอนว่ารัตติเองก็คาดไม่ถึง จึงโดนมีดเสียบเข้าที่แขนอย่างจัง

ฉึก!

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์โดนโจมตีจากเอลฟ์ พลังลดลง30หน่วย”

เสียงระบบประกาศก่อนที่เกล็ดแข็งสีฟ้าโผล่ออกมา ซึ่งทำให้มีดสั้นที่จมหายไปในเนื้อถึงกับหลุดออกมาในรูปหงิกงอราวกับโดนของแข็งเข้าไป ส่วนบาดแผลที่รัตติมีอยู่นั้นก็ค่อยฟื้นฟูสภาพทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งทำเอาพวกเอลฟ์ที่จ้องมองรัตติถึงกับตะลึง

“เด็กหนุ่มคนนี้เป็นมังกรนี่!” เอลฟ์ผู้ที่อยู่ใกล้รัตติสุดตะโกนพูดด้วยความตกใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงพูดของพวกเอลฟ์ที่ตกใจจนเข่าอ่อนเมื่อได้รู้เผ่าพันธุ์ที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม

“โอ้ท่านผู้สูงศักดิ์ โปรดให้อภัยกับความโง่เขลาของพวกเราด้วย”

“เอ๋?!” รัตติร้องอุทานด้วยความแปลกใจ แล้วทันใดนั้นพวกเอลฟ์ต่างพากันนั่งลงก้มหัวขอโทษเด็กหนุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งพวกเอลฟ์ที่หาเรื่องรัตติด้วย

“ทะ…ท่าน…ผู้สูงศักดิ์โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย! พวกข้าผิดไปแล้ว” ความเปลี่ยนแปลงของพวกเอลฟ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำเอารัตติกับมาริโอถึงกับมึนงง เมื่อรัตติเห็นว่าอีกฝ่ายร้องขอชีวิตจากเขาแล้ว จึงใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ซะเลย

“ถ้างั้นก็เลิกรังแกคนไม่มีทางสู้ซะ โดยเฉพาะเจ้าชายคนนี้ ห้ามรังแกอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน”

“ขอรับ” แล้วพวกเอลฟ์ที่รังแกเจ้าชายเอลฟ์ก็พากันแบกร่างพรรคพวกเดินหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเหลือก็แต่พวกฝูงชนที่ยังคงนั่งก้มหัวให้รัตติอยู่อย่างนั้น

“พวกคุณก็ด้วย ขืนนั่งก้มหัวอยู่อย่างนี้อีก ผมจะไม่เกรงใจอีกแล้วนะ”

“ขอรับ!” เมื่อพูดจบ พวกเอลฟ์ก็รีบพากันแยกย้ายสลายโต๋ไปอย่างเร็ว ซึ่งภาพที่เอลฟ์พากันหวาดกลัวรัตตินั้นทำเอามาริโอนึกอะไรบางอย่างออกได้

หึๆ ในเมื่อพวกนี้เกรงกลัวรัตติกันถึงขนาดนี้

โป๊ก!

เสียงมาริโอถูกรัตติเขกกะบาล

“อย่าแม้แต่จะคิดครับคุณมาริโอ” รัตติพูดเตือนเสียงเข้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว “เอ๊ะ นี่ผมทำอะไรลงไปครับเนี่ย”

มาริโอได้ยินที่รัตติพูด มันก็นึกดีใจที่ความทรงจำของรัตติกำลังใกล้จะกลับคืนมาในไม่ช้านี้แล้ว เพราะตั้งแต่รัตติความจำเสื่อม เด็กหนุ่มแทบไม่เคยลงโทษมาริโอด้วยการทุบตีเลยสักครั้งเดียว ผิดกับรัตติที่ยังคงสับสนว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกหมั่นไส้มาริโอไม่หายสักที แล้วหลังจากนั้นรัตติก็หันไปรักษาเจ้าชายเอลฟ์ที่นอนอยู่กับพื้น ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก บาดแผลที่เคยมีก็พลันหายไปพร้อมกันเป็นปลิดทิ้ง ทำให้เจ้าชายเอลฟ์ลืมตาขึ้นมาดูผู้ที่รักษาให้กับตัวเอง

“เอ่อ…ขะ”

“กระหม่อมต้องไปแล้ว ขอให้พระองค์ทรงรักษาพระวรกายด้วย” รัตติพูดตัดบทเพราะไม่อยากจะสร้างความรำคาญใจให้กับเจ้าชายเอลฟ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันไปจูงมือมาริโอให้ออกเดินต่อ

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป!” เจ้าชายเอลฟ์ตะโกนเรียก ซึ่งทำเอารัตติหยุดเดินพลางหันหน้ากลับมามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย “ขะ…ข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเอลฟ์ผู้ต้อยต่ำอย่างข้าเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา”

รัตติได้ยินถึงกับอึ้งเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดขอบคุณนี้จากเจ้าชายเอลฟ์

“พระองค์ทรงตรัสชมกระหม่อมมากเกินไปแล้วพะยะค่ะ” รัตติพูดแย้งกลับไปบ้าง “กระหม่อมก็เพียงแค่ทำหน้าที่ๆทุกคนควรพึงกระทำเท่านั้น หากพระองค์ทรงไม่พอพระทัย กระหม่อมยินดีขอรับความผิดทุกเมื่อพะยะค่ะ”

พอรัตติพูดจบก็รีบก้มหัวลงขอโทษ ซึ่งทำเอาอีกฝ่ายถึงกับตกใจสุดขีด

“ท่านอย่าก้มหัวให้ข้าแบบนี้สิ” เจ้าชายเอลฟ์พูดเสียงลนลานพร้อมกับหันซ้ายหันขวาราวกับกลัวว่าจะมีใครมาเห็น “ถึงแม้ตัวข้าจะเป็นถึงเจ้าชายเอลฟ์ แต่กับท่าน...ท่านเป็นถึงชนเผ่ามังกร เป็นผู้มีศักดิ์และสิทธิ์เหนือกว่าเอลฟ์อย่างข้ามากนัก”

เมื่ออีกฝ่ายบอกไม่ให้รัตติก้มหัว เด็กหนุ่มก็เลยต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายเอลฟ์ตามเดิม แต่ทว่ารัตติยังไม่ได้ทันเอ่ยปากพูดอะไรอีก ก็เห็นพวกปฐพีที่รัตติคิดว่ากลับห้องพักไปแล้ว กำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“ในที่สุดก็เจอซักที หาอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็อยู่แถวนี้นี่เอง” ปฐพีพูดเสียงห้วน ซึ่งทำให้เจ้าชายเอลฟ์ที่ยืนมองรัตติอยู่นั้นต้องหันหลังกลับไปดู

“โอ คนพวกนี้คือข้ารับใช้ของท่านใช่ไหม” เจ้าชายเอลฟ์ถามรัตติอย่างคาดเดา

“พะยะค่ะ”  จู่ๆ ศาสตราก็พูดแทรกกะทันหัน ทำให้รัตติกับมาริโอหันไปมองศาสตราอย่างสงสัย แต่แล้วพิภพที่ยืนอยู่ด้านหลังปฐพีกลับก้าวเท้าเดินออกมายืนอยู่ข้างหน้าพลางก้มหัวลงทำความเคารพให้กับเจ้าชายเอฟ์ แล้วจึงค่อยเงยหน้าขึ้นตอบ

“ต้องขออภัยที่พวกกระหม่อมแนะนำตัวช้าไป พวกกระหม่อมทั้งสามคนเป็นข้ารับใช้ของท่านรัตติพะยะค่ะ” พิภพพูดพลางหันหน้ามาขยิบตาให้กับรัตติ “เพราะพวกเราสามคนมัวแต่ชื่นชมทัศนียภาพของเมืองเอลฟ์จนลืมท่านไป โปรดให้อภัยกับละเลยในหน้าที่ของพวกเราด้วยนะขอรับท่านรัตติ”

ทีแรกมาริโอจะพูดแย้งว่าสามคนนี้ไม่ใช่ข้ารับใช้ของรัตติแต่เป็นคนรู้จักกันเท่านั้น แต่พอรู้สึกรังสีอำมหิตจากพวกปฐพีกับรัตติแล้ว มันก็ยอมเงียบแต่โดยดี

“ไม่เป็นไร ผมให้อภัยพวกคุณ” รัตติตอบ แล้วหลังจากนั้นเจ้าชายเอลฟ์ก็ได้เอ่ยปากชักชวนให้เข้าไปพักในวังหลวงด้วย ซึ่งรัตติรีบพูดปฏิเสธก่อนจะขอตัวแยกย้ายกลับที่พักพร้อมกับสามหนุ่มอย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังที่อีกฝ่ายพยายามตะโกนเรียกชื่อเด็กหนุ่มเลยสักนิด แต่ทว่าเรื่องของรัตติที่เป็นมังกรนั้นพวกเอลฟ์ได้ลือกันทั่วบ้านทั่วเมือง จึงทำให้พวกรัตติที่เดินกลับไปถึงที่พักแล้ว พวกขุนนางของเอลฟ์ต่างมาเตรียมการต้อนรับเด็กหนุ่มเป็นอย่างดี จัดหุงหาอาหารพร้อมนางระบำให้พร้อมเสร็จสรรพ จนรัตติพูดปฏิเสธไม่ทัน ส่วนพวกสามหนุ่มกับมาริโอที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทางของรัตติก็จำต้องโยกย้ายมาเป็นข้ารับใช้ของรัตติอย่างช่วยไม่ได้

................

ที่นี่มันที่ไหนกัน?

ร่างเด็กหนุ่มหน้าหวานผมสีเงินสั้นยืนหันซ้ายหันขวาอย่างสับสน เพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด อากาศเย็นยะเยือกส่งผลให้รัตติที่มีเพียงแค่ชุดนอนบางเบาต้องเอามือกอดอกเพื่อคลายความหนาวเย็น

ทำไมมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดไปหมด

รัตติครุ่นคิดในใจอย่างสับสน แต่พออยู่นานๆเข้า จิตใจของเด็กหนุ่มก็เริ่มหวาดกลัวจนถึงกับก้าวเท้าไม่ออก เพราะนอกจากที่นี่จะมืดกับอากาศหนาวเย็นสุดขั้วแล้ว แม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเองก็ยังไม่ได้ยิน

มานี่สิ

เอ๋?


รัตติขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้

มาทางนี้สิจ้ะ

เสียงนั้นเรียกเด็กหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าต้นเสียงนั้นเป็นใครกันแน่

หรือว่าจะเป็น…ผี

เมื่อนึกถึงจุดนี้แล้ว เด็กหนุ่มได้แต่ยืนขาสั่น ก้าวเท้าไม่ออก เหงื่อแตกพลั่ก ขนลุกชูชันทั้งตัว

ไม่ใช่ผีจ้ะ เสียงนั้นตอบปฏิเสธรัตติ ซึ่งทำให้รัตติถึงกับสะดุ้งตกใจ มาทางนี้สิรัตติ

เสียงนั้นยังคงเรียกให้รัตติเดินไปหา จึงทำให้เด็กหนุ่มยอมเดินไปแต่โดยดี ซึ่งรัตติเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นร่างบางสูงเพรียวในชุดกิโมโนยืนอยู่ท่ามกลางความมืด

มองไม่เห็นหน้าเลยแฮะ รัตติคิดในใจพลางหรี่ตามองดูให้ชัดๆ แต่ก็ไร้ผล เด็กหนุ่มเห็นแต่เพียงรูปร่างกับเสื้อผ้าที่สวมใส่เท่านั้น ว่าแต่คุณเป็นใครหรือครับ แล้วเรียกผมมาที่นี่ทำไม

อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับยื่นมือเรียวขาวละหงมาจับแขนขวาของรัตติก่อนจะเข้าสวมกอดได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งทำเอารัตติถึงกับสะดุ้งตกใจเป็นครั้งที่สอง

ไม่ต้องกลัวนะจ้ะ โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวนะ

เสียงกระซิบพูดปลอบใจรัตติดังอย่างแผ่วเบาราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล ซึ่งรัตติรู้สึกถึงมือของอีกฝ่ายที่มาลูบหัวของเขาอย่างนุ่มนวล ถึงแม้รัตติจะไม่รู้จักใบหน้าค่าตาหรือชื่อของอีกฝ่ายก็ตาม แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับอ้อมกอดนี้มานานแสนนาน

หรือว่าคนๆนี้จะเป็น...

ท่านแม่


พอคิดได้ดังนั้น น้ำตาก็พลันไหลลงอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว ความอบอุ่นที่ห่างเหินไปนานก็ได้หวนกลับมาอีกครั้ง

กาเหว่าเอย                ไข่ให้แม่กาฟัก
แม่กาหลงรัก                        คิดว่าลูกในอุทร

คาบข้าวมาเผื่อ            คาบเหยื่อมาป้อน
ปีกหางเจ้ายังอ่อน                   สอนร่อนสอนบิน

แม่กาพาไปกิน             ที่ปากน้ำแม่คงคา
ตีนเหยียบสาหร่าย                  ปากก็ไซ้หาปลา
         
กินกุ้งกินกั้ง                กินหอยกระพังแมงดา
กินแล้วบินมา                       จับต้นหว้าโพธิ์ทอง
         
นายพรานเห็นเข้า         เยี่ยมเยี่ยมมองมอ
ยกปืนขึ้นส่อง                       หมายจ้องแม่กาดำ
         
ตัวหนึ่งว่าจะต้ม           ตัวหนึ่งว่าจะยำ
แม่กาตาดำ                          แสนระกำใจเอย


ครั้นเมื่อเสียงเพลงกล่อมเด็กจบ ร่างเด็กหนุ่มก็ผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาในอ้อมกอดของผู้หญิงที่ตนไม่รู้เลยว่าเป็นแม่ที่ถอดวิญญาณออกมาเข้าฝันลูกชายของตัวเอง

แม่ขอโทษที่แม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับลูกไม่ได้ เหม่ยจิงครุ่นคิดในใจพลางก้มมองลูกชายที่เติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ซึ่งเธอนึกเสียดายที่ไม่ได้ดูแลลูกชายด้วยมือของเธอเอง เหม่ยจิงมองลูกชายได้ไม่นานนัก เธอก็วางลูกชายลงนอนกับพื้นอย่างนุ่มนวลเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่น แล้วแม่จะกลับมาเยี่ยมลูกอีก

ราตรีพิสุทธิ์

แล้วร่างบางในชุดกิโมโนก็พลันหายไป โดยปล่อยทิ้งให้ลูกชายนอนอยู่ตรงนั้น 

..............................

 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 33 แม่ (update 100%) P.3 2/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 02-03-2015 17:57:09
บทที่ 34 ไม่คาดฝัน

.........................

เช้าวันต่อมารัตติต้องเดินออกมาหาตึกรับภารกิจด้วยตัวคนเดียว เนื่องจากสามหนุ่มกับหนึ่งตัวต้องทำงานที่พวกเอลฟ์ให้ทำอยู่ ยกเว้นรัตติเพียงคนเดียวที่พวกเอลฟ์ไม่ยอมให้ทำเนื่องจากรัตติเป็นมังกรชั้นสูง ดังนั้นจึงทำให้เด็กหนุ่มต้องเดินออกมาจากที่นั่นพร้อมแผนที่เมือง ซึ่งพวกขุนนางของเอลฟ์มอบไว้ให้ใช้ฟรี หลังจากรัตติเดินออกมาจากที่พักแล้ว เขาก็เดินตรงไปยังตึกรับภารกิจที่มีเขียนไว้บนแผนที่ทันที

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” พนักงานสาวกล่าวพลางพนมมือยกไหว้เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเดินเข้ามาถึงเคาน์เตอร์ ซึ่งทำเอารัตติแทบยกมือขึ้นไหว้ไม่ทัน

“เอ่อ ผมจะมาสอบถามเกี่ยวกับภารกิจพิเศษนะครับ” รัตติตอบก่อนจะถามต่อ “ภารกิจระดับเอ เอ่อ กู้วิกฤตดินแดน…เอลฟ์นะครับ”

พนักงานสาวได้ยินที่รัตติพูดก็ฉีกยิ้มหวานก่อนจะตอบกลับไปว่า

“งั้นกรุณารอสักครู่นะคะ” แล้วพนักงานสาวก็คีย์ข้อมูลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบรัตติว่า “ภารกิจนี้คุณผู้เล่นจะต้องช่วยเหลือเจ้าชายเอลฟ์ค่ะ แต่ทางเราไม่สามารถบอกได้ว่าคุณผู้เล่นจะต้องช่วยยังไง อ้อ แล้วภารกิจนี้คุณผู้เล่นสามารถขอให้ผู้เล่นคนอื่นช่วยได้นะคะถ้าหากคุณมีระดับที่ต่ำกว่ายี่สิบค่ะ”

รัตติขมวดคิ้วคิดย้อนกลับไปตอนที่เขาเปิดหน้าต่างสถานะดู ซึ่งตัวเขาในตอนนี้มีระดับแค่สิบเท่านั้นเอง

“แล้วภารกิจนี้เขาจำกัดจำนวนคนที่จะช่วยผมหรือเปล่าครับ”

“ไม่จำกัดจำนวนคนค่ะ ภารกิจนี้แล้วแต่คุณผู้เล่นนะค่ะ” พนักงานสาวตอบก่อนจะพูดอธิบายต่อ “แต่ภารกิจนี้จะพิเศษกว่าภารกิจอื่นตรงที่ทางเราจะมีของพิเศษมอบให้ไว้ใช้ยามจำเป็นด้วยค่ะ”

“ท่านได้รับชุดเซตตัวช่วยภารกิจพิเศษระดับเอ กู้วิกฤตดินแดนเอลฟ์เป็นจำนวน 1 เซต”

“ของชิ้นนี้คุณสามารถเปิดดูได้ค่ะ แต่ยังใช้ไม่ได้ถ้ายังไม่ถึงเวลานั้นจริงค่ะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

จากนั้นรัตติก็ถามถึงเรื่องเวลาของการทำภารกิจนี้ ซึ่งพนักงานสาวบอกว่าต้องทำให้สำเร็จภายในเจ็ดวัน เมื่อหมดคำถามแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินออกจากตึกรับภารกิจทันที ซึ่งหลังจากนี้รัตติคิดว่าจะลองเดินสำรวจเมืองเล่นดู เผื่อจะเจอข้อมูลดีๆเกี่ยวกับภารกิจนี้ก็เป็นได้ ทว่าการเดินทางตามหาข้อมูลนั้นไม่ใช่ของง่าย เพราะไม่ว่าเขาเดินไปทางไหน พวกเอลฟ์ต่างมองด้วยสายตาชื่นชมซึ่งผิดกับเมื่อวานลิบลับ

สงสัยต้องไปหาเจ้าชายเอลฟ์ซะแล้วมั้ง

รัตติคิดในใจก่อนจะเดินเข้าไปถามเอลฟ์หญิงวัยกลางคนที่ยืนขายผลไม้แผงลอยอยู่ข้างทาง เมื่อทราบที่อยู่ของเจ้าชายพร้อมกับผลไม้จำนวนหนึ่งที่ได้มาฟรีจากแม่ค้าเอลฟ์คนนั้นแล้ว รัตติก็มุ่งตรงไปยังที่อยู่ของเจ้าชายเอลฟ์ทันที พอถึงวังหลวงแล้ว พวกขุนนางที่เคยต้อนรับเขาเมื่อคืนนี้ต่างกรูเข้ามาต้อนรับรัตติทันทีที่พวกทหารยามไปแจ้งบอกกับพวกเขา

“เอ่อ ผมไม่ได้คิดจะมาเที่ยวหรอกครับ ผมก็แค่ต้องการมาหาเจ้าชายเอลฟ์นะครับ” รัตติรีบบอกเพราะกลัวอีกฝ่ายจะพาเขาเดินชมวังหลวง ซึ่งคำถามของเขาทำเอาเอลฟ์ชายวัยกลางคนที่มีผมขาวเกรียนสั้นติดหนังหัวอ้วนท้วมไปด้วยไขมันถึงกับชะงัก

“ท่านต้องการพบใครหรือขอรับ”

“เจ้าชายเอลฟ์นะครับ” พอสิ้นคำตอบ พวกเอลฟ์ที่ยืนล้อมรัตติพากันสะดุ้ง

“เมื่อครู่นี้ท่านพูดอะไรนะขอรับ พอดีข้าได้ยินไม่ชัด” เอลฟ์อ้วนเผละถามพลางเอามือขึ้นเช็ดเหงื่อ

“เจ้าชายเอลฟ์ ผมต้องการพบกับเจ้าชายนะครับ” รัตติตอบก่อนจะนึกถึงคำพูดของพวกนักเลงเอลฟ์ในเมื่อวานนี้ได้ “เอ่อ ถ้าไม่สะดวกจะพาไปล่ะก็ ผมไม่ไปหาเจ้าชายแล้วล่ะครับ ขอตัวกลับก่อน”

แล้วรัตติก็หมุนตัวเดินกลับทางเดิน โดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่ายเลยสักนิด ทว่ารัตติเดินออกไปได้ไม่พ้นประตูวังหลวงดี ก็ชนกับใครบางคนที่เดินสวนเข้าอย่างจัง

ผลัก!

100


รัตติเกือบล้มหงายท้องแต่โชคยังดีที่อีกฝ่ายจับมือเขาไว้ได้ทัน ซึ่งเป็นหนุ่มเอลฟ์หน้าหวานผมสีน้ำตาลยาวถูกรวบด้วยเชือก สวมเสื้อสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงิน กางเกงผ้าฝ้ายสีดำ ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าบูตสีน้ำเงินเข้ม

“ท่านเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ?” อีกฝ่ายถามด้วยสีหน้ากังวล ซึ่งรัตติกำลังจะอ้าปากตอบว่าไม่เป็นไร เอลฟ์ที่เป็นขุนนางอ้วนๆคนเดิมที่เคยคุยกับรัตติก็สาวเท้าเข้ามาตบหน้าของหนุ่มเอลฟ์ผมสีน้ำตาลอย่างแรง

ฉาด!

“เป็นอดีตองครักษ์แท้ๆ ดันมีหน้าสะเออะมาชนท่านผู้นี้ได้!” เอลฟ์ขุนนางอ้วนด่าอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะหันไปสั่งทหารที่อยู่ใกล้ๆ “ทหาร! จับตัวไอ้องครักษ์นี่ไปขังคุกเดี๋ยวนี้!”

“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิครับ ผมว่ามีอะไรเข้าใจผิดกันเล็กน้อยนะ” รัตติรีบแย้งทันควัน ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับชะงัก

“แต่ท่านโดน...”

“ถึงโดนชนแต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนี่ครับ เห็นไหม” รัตติพูดพลางหมุนซ้ายขวาให้ทุกคนดู ก่อนจะหยุดหมุนแล้วพูดต่อ “เห็นไหมว่าผมไม่ได้เป็นอะไร เอ่อจริงสิ คุณเป็นองครักษ์ของเจ้าชายใช่ไหม”

“ชะ...ใช่ขอรับ” อดีตองครักษ์ถึงกับสะดุ้งเมื่อรัตติถาม

“ถ้างั้นช่วยพาผมไปหาเจ้าชายหน่อยได้รึเปล่าครับ” รัตติพูดพลางคว้าแขนขวาอดีตองครักษ์ขึ้นมา

“เอ่อคือ...ก็ได้ขอรับ”

“งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบพาผมไปสิครับ” รัตติพูดพลางดึงแขนให้อีกฝ่ายออกเดินนำ ซึ่งหนุ่มเอลฟ์เห็นดังนั้นจึงรีบทำตามคำสั่งแต่โดยดี โดยที่ปล่อยให้พวกขุนนางยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก หลังจากรัตติพาอดีตองครักษ์เดินออกมานอกวังหลวงแล้ว รัตติก็หยุดเดินพลางปล่อยมือของอีกฝ่ายออกก่อนจะหันหน้ากลับไปมองหนุ่มเอลฟ์ผมสีน้ำตาล

“ดีนะที่รีบออกมา ไม่อย่างนั้นมีหวังคุณได้โดนเอลฟ์อ้วนคนนั้นจับคุณไปขังแน่ครับ” รัตติพูดยิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่คุณคือองครักษ์ของเจ้าชายจริงๆใช่ไหมครับเนี่ย”

“ใช่ขอรับท่าน” อีกฝ่ายตอบอย่างสุภาพ ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกเขินเล็กน้อย

“แล้วเจ้าชายอยู่ที่ไหนล่ะครับ ผมอยากพบเขา”

“ท่านรู้จักเจ้าชายด้วยหรือขอรับ ท่านผู้สูงศักดิ์” เอลฟ์หนุ่มถามอย่างสงสัย

“ก็ใช่…รู้จักกันเมื่อวานนี้นะครับ” รัตติตอบก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะ ผมรัตติ”

อีกฝ่ายได้ยินที่รัตติถามถึงกับสะดุ้งตกใจ

“โอ ข้าผู้นี้ต่ำต้อยนัก มิบังอาจบอกนามให้ท่านทราบได้ขอรับท่านผู้สูงศักดิ์”

“นี่แสดงว่าคุณรู้เรื่องเมื่อวานนี้แล้วงั้นสิครับ” รัตติพูดพลางนึกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพวกเอลฟ์ที่เจอมา ซึ่งทุกคนล้วนเห็นเขาราวกับเป็นเทพมาจุติ “เฮ้อ ถึงผมจะเป็นมังกรแต่ผมก็ไม่ได้สูงค่าอย่างที่พวกคุณคิด เพราะฉะนั้นคุณบอกชื่อมาเถอะ”

“แต่ว่า…ก็ได้ขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าราเชลขอรับท่าน ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ” เมื่อทราบชื่อแล้ว ราเชลอดีตองครักษ์ของเจ้าชายก็ได้พารัตติไปหาเจ้าชายตามคำขอ ซึ่งทีแรกรัตติคิดว่าที่พักของเจ้าชายจะเป็นพระราชวังตามที่เข้าใจคิด แต่พอได้เห็นจริงๆเข้ากลับเป็นเพียงบ้านซอมซ่อหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ท้ายสุดของวังหลวงติดกับป่าแทน

รู้อยู่หรอกว่าเป็นเจ้าชายนอกสายเลือด

แต่ไม่ยักกะรู้ว่าที่พักจะเป็นแบบนี้


รัตติครุ่นคิดในใจ

“ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะพบเจ้าชายนะขอรับ” ราเชลถามย้ำกับรัตติเป็นครั้งที่สองหลังจากที่เคยถามมาก่อนหน้านี้แล้ว “ข้าน้อยเกรงว่าเจ้าชายจะทรงพิโรธถ้าหากมีใครมา…”

“ข้าไม่โกรธหรอกถ้าคนนั้นเป็นท่านมังกร” เสียงคุ้นแว่วดังจากด้านหลัง ทำให้รัตติรีบหันกลับไปดูก็พบว่าคนพูดเป็นเจ้าชายเอลฟ์ ซึ่งสวมเสื้อผ้าทรงเดียวกับเมื่อวาน แต่ผิดตรงที่สีของเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น

“เอ่อ อรุณสวัสดิ์พะยะค่ะเจ้าชาย”

“เรียกข้าว่ารูนน์เถอะท่านมังกร” เจ้าชายรูนน์บอก ซึ่งทำเอาเด็กหนุ่มเบ้ปากเล็กน้อยกับคำว่า’ท่านมังกร’

“กระหม่อมว่าพระองค์ทรงตรัสนามของท่านผู้นี้ผิดนะพะยะค่ะ ความจริงแล้วท่านมีนามว่ารัตติพะยะค่ะ” อดีตองครักษ์หรือราเชลพูดกระซิบข้างหู

“ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าพูดนะราเชล” เจ้าชายรูนน์พูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาราเชลถึงกับหน้าหงอยพลางเดินถอยห่างออกมาสองสามก้าวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “แล้ววันนี้ท่านมาหาข้ามีธุระอันใดรึท่านรัตติ”

คำถามของเจ้าชายรูนน์ทำเอารัตติถึงกับพูดไม่ออก เพราะถ้าจะให้ตอบว่ามาทำภารกิจที่ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยก็คงดูแปลกๆ แล้วถ้ายิ่งถามเกี่ยวกับเนื้อหาภารกิจ สองคนนี้ก็คงตอบคำถามเขาไม่ได้อยู่ดี เพราะทั้งคู่เป็นแค่เอ็นพีซีเท่านั้น

“เอ่อ กระหม่อมก็แค่อยากจะชวนพระองค์เสด็จทอดพระเนตรที่ตลาดนะพะยะค่ะ”

“ชมตลาดงั้นรึท่าน”

“พะยะค่ะ” รัตติตอบส่งเดช เพราะเขาไม่รู้จะเริ่มต้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจนี้ยังไงดี จึงเล็งไปที่ตลาดแทน ซึ่งอาจจะมีข้อมูลของภารกิจนี้หลงโผล่ออกมาบ้างเหมือนตอนที่เขาได้เจอกับเจ้าชายรูนน์โดยบังเอิญ

“ตกลงตามนั้น ข้าจะไปกับท่าน” เจ้าชายรูนน์ตอบ ก่อนจะพูดต่อด้วยประโยคที่ทำให้ราเชลถึงกับหยุดชะงักเดินทันที “ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่ราเชล ข้ากับท่านรัตติจะไปกันแค่สองคน”

“แต่กระหม่อมเกรงว่าพระองค์ทรงอาจจะมีอันตราย...”

“ข้าอยู่กับท่านรัตติไม่มีคำว่าอันตราย” เจ้าชายรูนน์ตอบเสียงเข้ม “ไปกันเถอะท่านรัตติ ข้าไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นาน”

แล้วเจ้าชายรูนน์ก็ดึงแขนของรัตติให้ออกเดินทันที ซึ่งพอมาถึงตลาด แน่นอนว่าพวกรัตติเป็นที่จับตามองของพวกเอลฟ์ โดยเฉพาะเจ้าชายรูนน์ที่ถูกพวกเอลฟ์ชาวบ้านซุบซิบนินทาอยู่ตลอดทาง

“ดูมันทำสิ คงอยากจะได้หน้าถึงทำเป็นสนิทชิดเชื้อท่านมังกรผู้สูงศักดิ์”

หรือไม่ก็

“ไม่ไหว เดินข้างท่านทำให้ท่านต้องมัวหมองเลย”

รัตติได้ยินคำพูดเหล่านั้นชัดเจนแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สรุปว่าวันนั้นรัตติไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับภารกิจเลยสักนิด มีแต่ได้ยินเสียงนินทาเจ้าชายเพียงอย่างเดียว แล้ววันต่อมารัตติก็ชวนเจ้าชายรูนน์เที่ยวอีกไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันเวลาออนไลน์ของรัตติก็เข้าวันที่หกของการออนไลน์เกม คราวนี้รัตติกับเจ้าชายรูนน์ไม่ได้เดินตลาดแต่เป็นเดินเล่นในป่าที่อยู่นอกริมชานเมือง

“ท่านอย่าเดินออกไปไกลนะขอรับ เพราะตอนนี้พวกกองทัพราชาปีศาจยังเดินเพ่นพ่านอยู่” ทหารเอลฟ์ที่เฝ้าประตูเมืองบอกรัตติ ซึ่งเขาพยักหน้าตอบแต่โดยดี ก่อนจะออกเดินต่อโดยที่เจ้าชายรูนน์ยืนรออยู่ห่างๆแล้ว

แม้กระทั่งทหารก็ยังไม่คิดจะห่วงเจ้าชายรูนน์ รัตติคิดในใจพลางมองอีกฝ่ายด้วยความสงสารที่ถูกคนในดินแดนเอลฟ์หมางเมิน ซึ่งมีคนเดียวที่ห่วงเจ้าชายรูนน์ก็คือราเชล อดีตองครักษ์ที่กำลังแอบเดินตามหลังมาห่างๆ คงจะเป็นห่วงเจ้าชายรูนน์

รัตติรับรู้การเดินตามของราเชลได้เพราะเขามีพลังจิตอยู่ในตัว และเนื่องด้วยรัตติเป็นมังกรแถมมีพลังจิตเหนือกว่าเจ้าชายรูนน์กับราเชลจึงรีบหยุดเดินเพราะได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยผ่านเตะจมูก

“หยุดเดินทำไมหรือท่านรัตติ” เจ้าชายรูนน์ถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติยังไม่ทันได้ตอบ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้น

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!”

“แย่ล่ะ ต้องรีบเข้าไปช่วยแล้ว!” เจ้าชายรูนน์ตะโกนก่อนจะออกวิ่งนำรัตติ เมื่อรัตติวิ่งตามหลังไปก็พบว่าเด็กผู้ชายประมาณสิบขวบกำลังถูกหมาป่าตัวหนึ่งทำร้าย ส่วนเจ้าชายรูนน์กำลังทำอะไรบางอย่างที่มันคล้ายกับร่ายเวทมนตร์

ทำแบบนั้นมันช้าเกินไปแล้วเจ้าชาย!

รัตติคิดได้ดังนั้นจึงรีบหยิบมีดสั้นออกมาสองเล่มจากกระเป๋า ก่อนจะใช้มือสองข้างจับมีดสั้นเขวี้ยงใส่หมาป่าตัวที่กำลังขย้ำเด็กผู้ชายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

ฉึก!

1500

ฉูด!


“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับค่าประสบการณ์ 20หน่วย”

มีดสั้นสองเล่มเฉาะเข้าหน้าผากหมาป่าอย่างจังเบอร์ ทำเอาเลือดพุ่งกระฉูดเป็นน้ำพุ ซึ่งประจวบเหมาะที่เจ้าชายรูนน์ร่ายเวทมนตร์เสร็จพอดี

“พลังสายฟ้าเอ๋ยจัดการเจ้าหมาป่าเดี๋ยวนี้”

เปรี้ยง!

2000


หมาป่าตัวนั้นถูกสายฟ้าฟาดเพียงครั้งเดียวก่อนจะหายไปในพริบตา ซึ่งรัตติมองเจ้าชายรูนน์ด้วยความตะลึง

พลังเวทย์ของพี่แกแรงโคตร!

โดนทีมีหวังตายซี่แหงแก๋


แล้วเจ้าชายรูนน์ก็วิ่งเข้าไปดูร่างเด็กผู้ชายที่จมกองเลือด ก่อนจะร่ายมนตร์รักษาให้อย่างรวดเร็วจนเด็กน้อยกลับมาหายเป็นปกติ เหลือเพียงแต่เสื้อผ้ายังคงเปื้อนเลือดตามเดิม หลังจากรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกรัตติก็พาเด็กคนนี้กลับเข้าเมืองต่อ โดยที่เจ้าชายยังคงอุ้มเด็กคนนี้ไว้เพราะเด็กชายบอกว่ากลัวจนหมดแรงที่จะเดินแล้ว

“นั่นลูกชายของข้านี่!” เสียงเอลฟ์ชายในวัยกลางคนร้องตะโกนเมื่อเห็นพวกรัตติกำลังเดินตรงมายังทางปากเข้าเมือง ซึ่งทำให้พวกชาวบ้านอีกหลายคนที่ยืนรวมกลุ่มพร้อมทหารหันไปมองพร้อมกัน ซึ่งครั้งนี้เป็นความโชคร้ายของเจ้าชายรูนน์ที่บังเอิญเดินนำหน้ารัตติ จึงทำให้พวกเอลฟ์ไม่เห็นเขา

“แกนี่มัน...เป็นเจ้าชายที่ชั่วจริงๆ”

“เอ๋?” รัตติเพิ่งจะได้ยินคำพูดถึงกับมึนงง แต่ยังไม่ทันจะได้ถาม เด็กชายที่เจ้าชายเคยอุ้มกลับถูกพวกทหารแย่งตัวกลับคืนไป

ปึก!

ก้อนหินก้อนหนึ่งถูกขว้างจากที่ไหนไม่รู้ลอยมาโดนหน้าผากเจ้าชายรูนน์ไปเต็มๆ ทำให้เลือดไหลย้อยลงอาบจมูกของเจ้าชาย

“อย่าเข้ามาใกล้พวกข้านะไอ้ตัวกาลกิณี!” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนด่าทอด้วยความโกรธเคือง “เพราะแกคนเดียว ทำให้เด็กคนนี้ต้องบาดเจ็บ!”

“เดี๋ยวฮะท่านพ่อ เจ้าชายไม่ได้...”

“ลูกไม่ต้องพูด ประเดี๋ยวบาดแผลจะเปิดเอานะ” คนเป็นพ่อแย้งลูกชายที่ถูกทหารอุ้มไว้อยู่ ก่อนจะหันมาด่าเจ้าชายต่อ “ไอ้เจ้าชายเฮงซวย แกมันพวกนอกรีต ข้าว่าแล้วเชียวว่าแกจะต้องนำพาเรื่องร้ายมาให้พวกข้า เฮ้ย! พวกเราจัดการขว้างหินมันเร็วเข้า อย่าให้มันเดินกลับเข้ามาในเมืองได้!”

“โอ้!” เสียงโห่ร้องดังพร้อมเพรียงก่อนที่พร้อมใจกันขว้างปาก้อนหินใส่เจ้าชายรูนน์อย่างกระหน่ำ ซึ่งทำเอารัตติที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าชายต้องรีบโผล่ตัวออกมาช่วย

ปึก!

100


ก้อนหินก้อนหนึ่งปะทะเข้าที่แก้มซ้ายของรัตติ ก่อนจะเห็นเปลือกแข็งสีฟ้าโผล่ออกมากันมิให้ก้อนหินทำอันตรายกับเขาได้ ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่กำลังขว้างปาก้อนหินพากันหยุดชะงัก

“แย่ล่ะ ก้อนหินโดนท่าน”

“พระเจ้าช่วย ลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำ” ชาวบ้านพากันพูดด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

“เห็นไหม เป็นเพราะท่านพ่อเลยทีเดียว ไม่ฟังข้า! ท่านมังกรเลยต้องบาดเจ็บ” เด็กชายว่าพ่อของตัวเอง ก่อนจะพูดต่อ “เจ้าชายไม่ได้ทำร้ายข้าเลย พระองค์เป็นคนช่วยข้าจากปีศาจหมาป่าตั้งหากล่ะ”

ชาวบ้านที่ได้ยินเด็กชายพูดหันไปมองเจ้าชายอย่างไม่เชื่อสายตา

“ลูกพูดจริงหรือ เจ้าชายเป็นคนช่วยลูกจากปีศาจหมาป่าจริงๆหรือ” ผู้เป็นพ่อถามย้ำอีกรอบอย่างไม่แน่ใจ

“ก็จริงสิท่านพ่อ ข้าจะไปพูดโกหกทำไมกัน”

เมื่อรู้ความจริงจากเด็กชายแล้ว ชาวบ้านต่างพากันก้มลงกราบขอประทานอภัยเจ้าชายรูนน์ทันที หากแต่ด้วยความเขินอาย เจ้าชายจึงตรัสโดยไม่มองหน้าพวกชาวบ้านว่า

“ไม่เป็นไร ข้าทำไปก็เพื่อประชาชนของข้า”

แล้วชาวบ้านก็พูดแย้งมาว่า “แต่พวกเราทำไม่ดีกับพระองค์ไว้มามากนะพะยะค่ะ”

ด้วยทรงมีพระเมตตาเจ้าชายรูนน์จึงแสร้งตรัสกับพวกชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่เคยโกรธพวกเขาเรื่องใดๆเลยว่า

“พวกเจ้าพูดอะไรกัน เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ”

หลังจากนั้นพวกชาวบ้านก็ก้มกราบขอโทษรัตติอีกครั้งเพราะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ซึ่งรัตติก็บอกไปว่าไม่เป็นไร ก่อนจะพาเจ้าชายกลับที่พัก การเดินเที่ยวครั้งนี้รัตติรู้สึกว่าคุ้มเสียเหลือเกินที่ทำให้เจ้าชายรูนน์เป็นที่เคารพของพวกชาวบ้าน เพราะอย่างน้อยดีกว่าเก่าเยอะ ซึ่งในขณะที่รัตติจะอ้าปากบอกเจ้าชายรูนน์ที่เดินนำหน้าเขาเล็กน้อยว่าพรุ่งนี้จะชวนเจ้าชายไปทำความรู้จักกับมาริโออยู่นั้น จู่ๆ ก็มีมือปริศนาเข้าโอบกอดแขนสองข้างของรัตติอย่างแน่นหนา ก่อนจะรู้สึกถึงผ้าที่มีกลิ่นเหม็นของยาโปะเข้าจมูกกับปาก

อ๊ะ เสร็จกัน! ภาพเบื้องหน้าที่เคยเห็นชัดเจนก็เริ่มเลือนราง ทำให้เขาได้เห็นว่าเจ้าชายรูนน์มีอยู่สองคนกำลังหันมามองเขาด้วยสีหน้าตกใจ หนีไป…เจ้าชาย

แล้วสติก็ดับวูบลงไม่รู้สึกอะไรอีกเลย

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์โดนโปะยาสลบ จึงทำให้ท่านอยู่ในสถานะหมดสติ”

................................

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 34 ไม่คาดฝัน (update 100%) P.3 2/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 02-03-2015 18:20:00
บทที่ 35 หนี

....................

ท่าน…

ท่านรัตติ…


เสียงทุ้มแว่วดังลอดผ่านอย่างแผ่วเบา ทำให้เจ้าของนามรู้สึกตัวก่อนจะลืมตาขึ้นมา

“ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่” เจ้าของเสียงพูดอย่างดีอกดีใจ

“ที่นี่…ที่ไหน” รัตติถามพลางหลับตาลงเพราะเขาเห็นภาพเจ้าชายมีสองคน ครั้นพอเขาจะขยับมือขยับแขนเพื่อคลายความเมื่อยล้า กลับขยับไม่ได้ราวกับมีอะไรบางอย่างมัดข้อมือของเขาไว้เสียแน่น

“ข้าคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นคุกใต้ดินนะท่านรัตติ” เจ้าชายรูนน์ตอบก่อนจะพูดต่อ “ท่านอย่าขยับข้อมือสิ ประเดี๋ยวเชือกจะบาดข้อมือของท่านเอาได้หรอก”

เชือก?

รัตติครุ่นคิดก่อนจะรีบลืมตาขึ้นมามอง ซึ่งคราวนี้เขาสามารถมองเห็นได้ชัดกว่าครั้งแรก ภาพเจ้าชายรูนน์กำลังนั่งคุกเข่าหน้าซีด โดยที่แขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล็ก

“พวกนั้นก็แย่เหลือเกิน โปะยาสลบท่านยังไม่พอ ยังจะจับท่านมัดเชือกซะแน่นแถมยังเหวี่ยงท่านลงพื้นซะแรงอีก นี่ถ้าข้าหลุดไปได้ล่ะก็…ฮึ่ม” เจ้าชายรูนน์พูดกระชากเสียงอย่างฉุนเฉียว ซึ่งทำเอารัตติยิ้มแห้งๆ

“แล้วพระองค์ทรงทราบไหมพะยะค่ะว่าคนที่จับพวกเรานั้นเป็นใคร” รัตติถามต่ออย่างสงสัย โดยที่เขาพยายามขยับข้อมือให้หลุดออกจากเชือกไปด้วยพร้อมกัน

“จะเป็นใครที่ไหนได้นอกจากข้ากับท่านขุนนางสล๊อต” เสียงแปลกหน้าดังขึ้นแทรกขัดจังหวะ ทำให้รัตติต้องหยุดมือก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ทำให้เห็นสองร่างที่กำลังยืนอยู่นอกกรงขัง ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นขุนนางเอลฟ์อ้วนๆที่เคยทำการต้อนรับเขาตอนมาวันแรก ส่วนอีกคนนั้นเป็นหนุ่มเอลฟ์ผิวดำเข้มสูงเพรียวในชุดรัดรูปสีดำที่แฝงไปด้วยไอปีศาจลอยครุกกรุ่นยืนแสยะยิ้มให้อยู่

“นี่แกกล้าพาพวกดาร์คเอลฟ์เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์รึไอ้สล๊อต!” เจ้าชายรูนน์ตะโกนถามด้วยเสียงอันดัง ซึ่งทำให้สล็อตที่เป็นขุนนางเอลฟ์อ้วนผมสีขาวเกรียนในชุดหรูหราคราครั่งไปด้วยเครื่องประดับราคาแพงเต็มตัวพูดตอบกลับเจ้าชายมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า

“หึ กล้าไม่กล้าไม่รู้ แต่กระหม่อมพาดาร์คเอลฟ์เข้ามาตั้งนานพอดูแล้วล่ะเจ้าชายเอ๋ย”

“กร็อด!” เจ้าชายรูนน์กัดฟันด้วยความโกรธเมื่อได้ยินคำพูดของสล็อต “แต่แกไม่น่าจะลักพาตัวท่านรัตติมา ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยสักนิด!”

 “มันจะเกี่ยวข้องก็ตั้งแต่ท่านรัตติเริ่มเข้าไปช่วยพระองค์ไม่ให้ถูกนักเลงซ้อมแล้วล่ะเจ้าชายรูนน์” สล็อตพูดตอบพลางก้มมองรัตติที่ถูกมัดนอนอยู่กับพื้นด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าชายรูนน์ต่อ “คืนนี้พระองค์ทรงบรรทมให้สบายเถอะพะยะค่ะ เพราะพรุ่งนี้เช้าจะเป็นวันตายของพระองค์กับท่านรัตติ กลับกันเถอะดาร์คเอลฟ์ ฮะ…ฮะๆ!”

“อืม” แล้วสองร่างก็เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ ซึ่งทำเอาเจ้าชายรูนน์แทบร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่ง

“พระองค์ทรงเงียบหน่อยสิพะยะค่ะ กระหม่อมกำลังพยายามแกะเชือกอยู่” รัตติบอกพลางลงมือทำสิ่งที่ค้างไว้ต่อ

“แกะเชือก?” เจ้าชายรูนน์พูดอย่างฉงนสงสัย เมื่อก้มลงมองเห็นข้อมือของรัตติที่พันธนาการด้วยเชือกเส้นโตไปมา ก็เริ่มเข้าใจคำพูดของรัตติทันที “แต่ท่านจะมีแรงแกะเชือกได้หรือท่านรัตติ มันออกจะ…เส้นใหญ่และแข็งแรงเกินไปสำหรับท่านนะ”

“กระหม่อมทราบดีพะยะค่ะ แต่กระหม่อมจะไม่ยอมให้พระองค์ทรงโดนประหารแน่ อ๊ะ หลุดแล้ว” รัตติตอบพลางดึงเชือกที่พันข้อมือออกทันที ก่อนจะหันมาแกะเชือกที่พันข้อเท้าออกอย่างเร็ว

“เหลือเชื่อ พลังของมังกรนี่ช่างแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน” เจ้าชายรูนน์พูดด้วยความตะลึง

“ไม่ถึงขนาดหรอกพะยะค่ะ กระหม่อมแค่ใช้ความพยายามนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง” รัตติตอบพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะรีบไปช่วยแกะโซ่เหล็กที่มัดข้อมือสองข้างของเจ้าชายรูนน์ต่อ หากแต่โซ่เหล็กมันแข็งแรงเกินไป รัตติจึงหลับตาแล้วสูดลมหายใจรวบรวมสติอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตามังกรสีฟ้าคราม ซึ่งทำเอาคนมองแทบลืมหายใจไปเลยทีเดียว “ย้าก!”

เคล้ง!

โซ่ขาดกระจายเป็นชิ้นๆ ด้วยฝีมือดึงของรัตติเพียงครั้งเดียว

“ว่าแต่เสียงดังขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีทหารได้ยินเลยล่ะ” เจ้าชายรูนน์พูดอย่างฉงน

“กระหม่อมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” รัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “กระหม่อมว่าพวกเรารีบออกไปกันเถอะ ขืนอยู่นานเกิดพวกนั้นกลับมาล่ะแย่แน่”

“อืม เข้าใจแล้วล่ะ”

เมื่อได้คำตอบแล้ว รัตติก็รีบเดินนำเจ้าชายก่อนจะใช้มือคว้าโซ่เหล็กที่พันประตูกรงเหล็กให้ออก

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

1500


จู่ๆ กระแสไฟฟ้าโผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ช็อตเข้าร่างของรัตติอย่างแรง ทำเอารัตติถึงกับกระเด็นลอยมาชนกำแพงของห้องขังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามประตูเสียงดังโครม

“ท่านรัตติ!” เจ้าชายรูนน์ร้องเรียกพลางวิ่งเข้ามาดูร่างของรัตติด้วยความเป็นห่วง

“อึก…กระหม่อม…ไม่เป็น…ไร แค่กๆ!” รัตติพูดพลางกระอักเลือด “ขุนนางอ้วนตนนั้นร้ายกาจไม่เบาเลยนะพะยะค่ะ กระหม่อมนึกไม่ถึงเลยว่าพวกนั้นจะวางเขตอาคมที่ประตูไว้ด้วย”

“แล้วนี่พวกเราจะทำยังไงกันดีต่อล่ะท่านรัตติ ในเมื่อพวกมันวางกับดักไว้” เจ้าชายรูนน์พูดอย่างเป็นกังวล ซึ่งรัตติไม่ตอบเดี๋ยวนั้น กลับค่อยลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆโดยมีเจ้าชายรูนน์คอยช่วยพยุง

“พระองค์ทรงไม่ต้องเป็นกังวลไป กระหม่อมมีอาวุธอยู่ในตัว” รัตติบอกพลางเอามือทำท่าหยิบของในกระเป๋า หากแต่ข้างกายของรัตติกลับว่างเปล่า “ให้ตายสิ กระเป๋าไอเทมถูกยึดไปรึเนี่ย”

“เดี๋ยวข้าจะลองใช้เวทมนตร์ทำลายดูดีกว่านะท่านรัตติ” เจ้าชายพูดออกความเห็น

“พระองค์ทรงอย่าทำแบบนั้นพะยะค่ะ ประเดี๋ยวจะทรงโดนเหมือนกระหม่อม แค่กๆ”

“แต่ท่านบาดเจ็บออกซะขนาดนั้น จะให้ข้าทนดูท่านทรมานได้ยังไงกัน” เจ้าชายรูนน์พูดอย่างเป็นกังวล “ขอร้องล่ะท่านรัตติ ขอให้ข้าได้ใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลของท่านสักหน่อยก็ยังดีนะ”

ในเมื่ออีกฝ่ายพูดอ้อนวอน จึงทำให้รัตติถึงกับใจอ่อน

“เอาอย่างนั้นก็ได้พะยะค่ะเจ้าชาย” แล้วเจ้าชายรูนน์ก็รีบจัดการร่ายมนตร์รักษารัตติทันที ทำให้บาดแผลภายในของรัตติที่เคยบอบช้ำก็พากันหายสนิท

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับพลังรักษา ทำให้ค่าพลังเลือดเพิ่มขึ้น100%”

“รัตติอยู่ที่ไหน!”

เสียงคุ้นหูตะโกนแว่วดังจากนอกลูกกรง ทำให้รัตติรีบเงยหน้าขึ้นตะโกนกลับไปว่า

“ผมอยู่ทางนี้มาริโอ! ผมติดอยู่ในคุกกับเจ้าชาย ออกไปไม่ได้!”

“ดูเหมือนเสียงมาจากทางนั้น! รีบไปเร็วพี่ราเชล”

“อืม”


แล้วเสียงฝีเท้าวิ่งกรูมาทางนี้ สักพักหนึ่งตัวกับอีกหนึ่งร่างได้วิ่งผ่านกรงของพวกเขาไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งทำเอารัตตินึกฉุน

“ข้าอยู่ทางนี้เฟ้ยไอ้เห็ดงี่เง่า!” รัตติเผลอตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำเอาเสียงที่วิ่งเลยผ่านไปแล้วเกิดหยุดชะงักเบรกขึ้นมา “แฮ่กๆ นี่ผมพูดอะไรออกไป...”

แปลบ!

“อ็อค!”

พรวด!

รัตติกระอักเลือดอีกครั้ง ทำเอาเจ้าชายรูนน์ที่ยืนอยู่ข้างๆต้องรีบเข้ามาประคองร่างรัตติที่กำลังจะล้มลงกับพื้นอย่างเร็ว

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์เคยได้รับพิษจากปีศาจรากไม้ ทำให้ค่าพลังเลือดลดลง 60%”

ถึงแม้พี่ปฐพีจะเล่าให้รัตติฟังว่าเขาได้รับพิษจากปีศาจรากไม้ก็จริง แต่ไม่คิดว่าพิษจะกลับมากำเริบในเวลาอันตรายนี้ได้

ให้ตายสิ เรานี่ช่างโชคร้ายซะจริง

นอกจากความจำเสื่อมแล้ว ยังต้องมาทรมานเพราะพิษนี้อีก


“รัตติจริงๆด้วย!” เสียงมาริโอตะโกนร้องเรียกรัตติ ครั้นพอเห็นร่างของผู้เป็นนายเต็มไปด้วยเลือดก็ถึงกับตกใจ “รัตติเป็นอะไร! ใครทำให้เจ้าบาดเจ็บนะ!”

“อย่าพูดเสียงดังสิครับมาริโอ ประเดี๋ยวพวกทหารที่อยู่ข้างนอกจะได้ยินเข้าหรอก แค่กๆ” รัตติเงยหน้าบอกพลางกระแอมไอ ซึ่งทำให้เจ้าชายรูนน์นึกเป็นห่วงรัตติจึงรีบหันไปมองราเชลที่กำลังยืนอึ้งอยู่นอกกรงขัง

“อย่ามัวยืนเซ่อสิราเชล รีบๆจัดการเขตอาคมที่อยู่กับประตูนี้เร็วเข้า”

“พะยะค่ะเจ้าชาย”

หลังจากที่ราเชลได้จัดการเขตอาคมเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายก็ให้รัตติขี่หลังตัวเองเพราะเห็นว่าไม่มีแรงที่จะวิ่งหนีแล้ว ก่อนจะพากันออกวิ่งโดยมีมาริโอเป็นตัวนำทาง ส่วนราเชลรั้งท้ายเจ้าชายกับรัตติเพราะกลัวว่าจะมีใครลอบกัดทางหลังเอา ซึ่งพวกเขากำลังวิ่งตรงไปยังทางออก ก็ได้เจอกับใครบางคนกำลังยืนถือดาบสีดำออกมารอด้านหน้าทางออกแล้ว

“เอลฟ์ตนนี้...” มาริโอพูดพลางมองอีกฝ่ายอย่างระหวาดระแวง “...ไม่ธรรมดาเลย ไอปีศาจเยอะมาก ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นดาร์คเอลฟ์สินะ”

ส่วนอีกฝ่ายมองหน้ามาริโออย่างสนใจที่ถูกมันจับผิดได้ว่าเป็นดาร์คเอลฟ์

“หึ เจ้าเองก็ไม่ใช่ธรรมดาเลยนะ เป็นมอนสเตอร์แท้ๆ กลับพูดจาฉะฉานได้เยี่ยงมนุษย์”

“ก็ยังดีกว่าแกแล้วกันไอ้มืด” มาริโอพูดเปลี่ยนสรรพนามของอีกฝ่ายได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งทำเอาดาร์คเอลฟ์จากที่เคยแสยะยิ้มกลับต้องหุบลงฉับพลัน “ทำไม่ดีกับรัตติเอาไว้ ระวังกรรมจะตามสนอง”

“มาริโอ” รัตติที่นั่งอยู่บนหลังของเจ้าชายได้ยินคำพูดของมันถึงกับเป็นปลื้ม

ถ้าหนีออกไปจากที่นี่ได้ เขาจะพามันไปทานอาหารที่มันชอบละกัน

แต่ทว่ามาริโอไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กับดาร์คเอลฟ์เพราะว่าราเชลเดินออกมาอยู่หน้ามาริโอก่อนจะชักดาบสีขาวขึ้นมา

“ถอยไปมาริโอ เดี๋ยวพี่จะจัดการเจ้านี่เอง ส่วนเจ้าก็รีบพาเจ้าชายกับท่านรัตติหนีไปซะ”

“แล้วจะหนีไปได้ยังไงล่ะ ในเมื่อมันเฝ้าประตูทางออก…”

“เชิญหนีได้ตามสบาย ถ้าหากหนีพ้นนะ หึๆ”

ดาร์คเอลฟ์พูดเชิญชวนพลางเดินหลบทางให้ ซึ่งมาริโอเห็นดังนั้นจึงรีบพาทั้งคู่วิ่งออกไปอย่างเร็ว เมื่อพวกรัตติได้หนีออกมาจากคุกแล้ว พิษจากปีศาจรากไม้ก็ได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง ทำให้รัตติผล็อยหลับไปไม่รู้ตัว

................

“เจ้าแน่ใจรึว่าพาข้าออกมาถูกทางนะมาริโอ”

เจ้าชายรูนน์ถามย้ำครั้งที่สองอย่างไม่แน่ใจเมื่อมาริโอได้พาตนมายังห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเล็กห้องหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งอับและทั้งเหม็น ส่วนมาริโอนั้นก็ตอบไม่ถูก เพราะมันวิ่งตามเส้นทางที่ราเชลเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่พอมันวิ่งนำทางมาเรื่อยๆ กลับเจอทางตัน โดยสุดทางเดินมีเพียงประตูบานเดียว

“ชุดเซตตัวช่วยภารกิจพิเศษระดับเอ กู้วิกฤตดินแดนเอลฟ์ได้ถูกเปิดออกใช้งานแล้ว”

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับชุดหน้ากากทักซิโด้ 1 ชุด”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งเป็นเสียงที่รัตติไม่มีวันที่จะได้ยินมัน

“หนูไม่รู้ หนูแค่วิ่งมาตามเส้นทางที่พี่ราเชลเคยบอกไว้นะฮะเจ้าชาย” มาริโอตอบอย่างจนมุม ก่อนจะเดินสำรวจหาทางออก ส่วนเจ้าชายเองก็ช่วยเดินหาทางออกด้วยเช่นกัน ทว่าเจ้าชายเดินไปได้สักพัก กลับสะดุดอะไรบางอย่างเข้า ทำให้เจ้าชายที่อุ้มรัตติอยู่นั้นถึงกับหกล้มหน้าคว่ำลง “เกิดอะไรขึ้น?!”

มาริโอร้องตะโกนถามพลางวิ่งเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรมาริโอ ข้าแค่เดินสะดุดอะไรบางอย่างเข้านะ” เจ้าชายบอกพลางขยับตัวลุกขึ้นโดยมือขวายังคงจับรัตติที่อยู่หลังไว้กันตก “ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมท่านรัตติ”

ทว่าคนถูกถามกลับเงียบไป ซึ่งมาริโอหันมาดูก็พบว่าเจ้านายของตัวเองได้สลบไปแล้ว

“แย่ล่ะสิ รัตติสลบไปแล้ว สงสัยพวกเราต้องรีบๆกันหน่อยแล้วล่ะฮะเจ้าชาย”

“อืม”

เจ้าชายตอบก่อนที่จะเห็นแสงระยิบระยับสะท้อนเข้าตา จึงก้มลงหยิบมันขึ้นมาดู ซึ่งสิ่งที่เจ้าชายหยิบขึ้นมานั้นเป็นสร้อยคอล็อกเกตสีทองในสภาพบิดเบี้ยวมีเลือดติดเล็กน้อย

คุ้นๆชอบกล

เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


“มาริโอ ข้าฝากเก็บล็อกเก็ตนี้ไว้กับเจ้าหน่อยได้ไหม” มาริโอทำหน้างวยงงเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้าชาย แต่ถึงกระนั้นมาริโอก็ยอมเก็บล็อกเก็ตตามคำสั่งของเจ้าชายแต่โดยดี

กริ๊ง!

เสียงกริ่งดังขึ้น ทำเอาสองร่างสะดุ้งตกใจ

“เสียงอะไรนะ!” มาริโอร้องถามอย่างสงสัย

“คงจะเป็นสัญญาณเตือนของพวกมันนะ” เจ้าชายรูนน์ตอบพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันไปพูดกับมาริโอว่า “มาริโอ เจ้าหนีไปคนเดียวก่อนแล้วกัน ตอนนี้ข้ากับท่านรัตติคงจะหนีไปด้วยไม่ได้แล้วล่ะ”

“ไม่เอา ถ้าจะหนีก็หนีไปด้วยกันสิ” มาริโอพูดเสียงงอแง ซึ่งทำเอาเจ้าชายรูนน์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นกระดาษกองหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง

น่าสงสัย เจ้าชายคิดพลางสาวเท้าเดินเข้าไปดูอย่างไว ก่อนจะจับกระดาษชุดนั้นขึ้นมาดูคร่าวๆ เมื่อได้เห็นอะไรบางอย่างในกระดาษแล้ว เจ้าชายรูนน์ถึงกับฉีกยิ้มอย่างพอใจ หึ แค่นี้หลักฐานก็พร้อมมูลที่จะดึงมันให้หลุดจากตำแหน่งขุนนางขั้นสูงแล้ว!

แล้วเจ้าชายก็เรียกมาริโอให้เข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับมัน

“เข้าใจใช่ไหม ทำตามที่ข้าบอกแล้วท่านรัตติจะปลอดภัย”

“ฮะ”

เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายรูนน์ก็ร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายให้มาริโอ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ขั้นสุดยอดที่เขาเคยเรียนมา แถมเคลื่อนย้ายได้แค่คนเดียว ฉะนั้นเจ้าชายรูนน์จึงตัดสินใจส่งมาริโอไปแทนที่จะส่งรัตติไปเพื่อให้มันได้ทำตามที่เขาสั่งไว้ ครั้นพอมาริโอหายไปพร้อมกับลำแสงดาวแล้ว ร่างของเจ้าชายรูนน์ก็ทรุดลงหอบหายใจราวกับไปวิ่งแข่งมาราธอนสิบกิโลได้ ซึ่งประจวบเหมาะกับที่สล๊อตได้เข้ามาพร้อมกับทหาร ก่อนจะสั่งให้เข้าไปจับเจ้าชายรูนน์กับรัตติที่สลบไปแล้วนำกลับไปขังคุกที่ใหม่เพื่อรอการตัดสินโทษประหารในวันรุ่งขึ้นถัดไป

.............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 35 หนี (update 100%) P.3 2/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 02-03-2015 19:09:12
บทที่ 36 พลังใหม่

......................

เช้าวันต่อมาทหารได้ประกาศบอกพวกชาวบ้านทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าคฤหาสน์ของขุนนางสล๊อต ซึ่งทำเอาชาวบ้านต่างพากันซุบซิบไปมาอย่างไม่เข้าใจว่าสล๊อตจะเรียกพวกเขามาทำไม

“เงียบๆหน่อย!” สล๊อตเดินออกมาบอกให้พวกชาวบ้านหุบปาก ซึ่งพอเสียงเงียบไปแล้ว สล๊อตก็กระแอมไอหนึ่งครั้งก่อนจะพูดว่า “ที่ข้าเรียกพวกท่านมานี้ก็เพื่อจะประกาศข่าวบางอย่างที่ไม่ดี เพราะเมื่อวานนี้มีทหารได้เดินไปเห็นเจ้าชายรูนน์กำลังทำพิธีเรียกราชาปีศาจโดยใช้ท่านมังกรเป็นเครื่องสังเวย!”

“อะไรนะ!!” ชาวบ้านต่างพากันร้องอุทานอย่างตกตะลึงกับข่าวที่ได้ยินมา แต่ด้วยข่าวลือที่เจ้าชายทรงเคยช่วยเด็กไว้เมื่อวานนี้ทำให้ชาวบ้านเริ่มสับสน

“และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ข้าขอตัดสินโทษเจ้าชายรูนน์ให้ตัดหัวเสียบประจาน” สล๊อตบอกก่อนจะพูดสั่งต่อ “ทหาร ลากตัวไอ้คนนอกรีตออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้!”

“ครับ!” แล้วทหารก็เดินหายเข้าไปในคฤหาสน์สักพักก่อนจะเดินกลับมาพร้อมเจ้าชายรูนน์ที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่

“เดี๋ยวก่อนท่านสล๊อต แล้วท่านมังกรล่ะ ตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้างแล้วครับ” หนึ่งในชาวบ้านที่มายืนมองยกมือขึ้นถาม ซึ่งสล็อตหันหน้าไปมองผู้พูดก่อนจะตอบกลับว่า

“ท่านผู้นั้นกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ในคฤหาสน์นะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเราได้เห็นหน้าท่านมังกรหน่อยสิท่านสล๊อต”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้” สล๊อตตอบก่อนจะหันไปสั่งทหาร “ไปพาท่านมังกรมาสิ ระวังๆหน่อยนะ เพราะท่านยังไม่ได้สติดี”

“ครับท่าน”

แล้วทหารสองคนก็เดินหายเข้าไปในคฤหาสน์ได้สักพัก ก็กลับออกมาพร้อมเปลซึ่งมีเด็กหนุ่มผมสีเงินนอนหน้าซีดไม่รู้สึกตัวอยู่บนนั้น ทำเอาชาวบ้านที่ได้เห็นต่างร้องเสียงโอดครวญ บ้างก็ส่ายหน้า บ้างก็ร้องไห้ ซึ่งบางรายถึงกับสวดภาวนาต่อพระเจ้าให้ช่วยเหลือท่านมังกรก็มี

“ตอนนี้ท่านมังกรยังไม่ค่อยได้สติดี จึงยังไม่สามารถพูดให้การอะไรใดๆทั้งสิ้น” สล๊อตบอกพลางสั่งทหารให้วางเปลลงกับพื้น “และเพื่อให้ความยุติธรรมกับท่านมังกร ดังนั้นข้าจึงขอตัดสินลงโทษเจ้าชายรูนน์ตามที่เคยประกาศไว้เมื่อครู่นี้”

ทีแรกชาวบ้านเกิดความลังเลเพราะเมื่อวานนี้เจ้าชายได้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่พอได้เห็นท่านมังกรนอนไม่ได้สติแล้ว ความคิดก็พลันเปลี่ยนฉับพลัน

“เรื่องช่วยเด็กก็อีกเรื่อง แต่เรื่องของท่านผู้สูงศักดิ์เรายอมไม่ได้!”

“ใช่ๆ ยอมไม่ได้ เจ้าชายโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”

“โหดเหี้ยมถึงขนาดเอาท่านไปเป็นเครื่องสังเวยปีศาจ แบบนี้ให้อภัยไม่ได้!”

“ฆ่าตัดหัวมันซะ!”

ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!

เสียงชาวบ้านพูดพร้อมกันอย่างเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำให้สล๊อตถึงกับอมยิ้มอย่างดีใจกับแผนการของตัวเอง

หึ เท่านี้ข้าก็สามารถครอบครองดินแดนเอลฟ์ไร้ข้อกังขาแล้ว!

“เอาล่ะ เงียบหน่อยๆทุกคน” สล๊อตบอก ซึ่งพวกชาวบ้านก็พากันเงียบ “ถึงเวลาประหารแล้ว ทหาร! จัดการประหารเจ้าชายซะ”

“ครับท่าน!”

แล้วทหารก็เดินออกมาพร้อมดาบเล่มใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆเจ้าชายที่ถูกบังคับให้นอนกับพื้น เนื่องจากเจ้าชายโดนปิดปากไว้ จึงได้แต่หลับตาลงรอความตายเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่สามารถพูดโต้แย้งอะไรได้ ในขณะที่ทหารกำลังใช้ดาบบั่นหัวเจ้าชายอยู่นั้น จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างพุ่งผ่านหน้าทหารอย่างกะทันหัน

เฟี้ยว! ฉึก!

เจ้าชายที่หลับตาอยู่นั้นได้ยินเสียงอะไรปักอยู่กับพื้นเบื้องหน้าตน จึงรีบลืมตาขึ้นมองก่อนจะเห็นเห็ดก้อนกลมที่ถูกเสียบด้วยไม้ปลายแหลมปักอยู่

เห็ด?

แล้วเจ้าชายกับทุกคนก็ต่างเงยหน้ามองทิศทางที่เห็ดบินลอยมา ก่อนจะพากันอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเห็ดรูปร่างยักษ์สวมหน้ากากสีขาวในชุดทักซิโด้สีดำกำลังยืนอยู่บนตึกข้างซ้ายของคฤหาสน์โดยมือกอดอกแอ่นตัวเชิดหน้าหยิ่งเล็กน้อยก่อนจะพูดเก๊กเสียงหล่อสุดชีวิต

“คิดจะประหารใครทำไมไม่ตัดสินให้ชัดแจ้ง ไม่คิดจะถามผู้เห็นเหตุการณ์ให้ถ้วนถี่ซะก่อน แล้วอย่างนี้ใครจะไปนับถือแกได้กันล่ะไอ้ขุนนางอ้วนเน่าเฟะ”

โอ้แม่เจ้า! เห็ดพูดได้!!

ทุกคนที่เพิ่งเคยเห็นมาริโอเป็นครั้งแรกต่างพากันคิดแบบเดียวกัน ยกเว้นเจ้าชายรูนน์กับรัตติที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาทันเห็นมาริโอปรากฏตัวพอดี ส่วนพวกดนัยกับปริญที่จับตาดูพวกรัตติอยู่นอกเกมนั้นถึงกับหัวเราะลั่นห้องทำงาน เพราะได้เห็นมาริโอเลียนแบบท่าทางตัวละครที่ชื่อหน้ากากทักซิโด้จากเรื่องเซเลอร์มูนนั่นเอง ในขณะที่ทุกคนจับตามองมาริโอกันเป็นตาเดียว ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรพวกปฐพีกำลังแอบซุ่มดูอยู่เงียบๆ

“รัตติปลอดภัย ตอนนี้ฟื้นแล้วด้วย” พิภพพูดในขณะที่ใช้กล้องส่องทางไกลมอง “ว่าแต่ทำไมต้องแกล้งให้มาริโอใส่ชุดหน้ากากทักซิโด้ด้วยล่ะ”

“อ้าว ก็ชุดเก่ามันเปื้อนเลือดนี่ ฉันก็เลยหาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน” ศาสตราย้อน

“แต่นายน่าจะเอาชุดอื่นที่ดีกว่านี้นะ ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นชุดทักซิโด้เลย”

“โห่ ก็ฉันมีแค่ชุดนั้นที่เป็นชุดสำหรับพวกทาสรับใช้นี่หว่า นอกนั้นมันใส่ได้ซะที่ไหน” ศาสตราพูดแก้ แต่พอได้เห็นสายตาของพิภพกับปฐพีจ้องมองอย่างเอาเรื่อง จึงทำให้ศาสตราถึงกับยอมแพ้ “โอเคๆ ฉันผิดเองก็ได้ ฉันจงใจแกล้งมันเองแหละ นี่ยังดีที่เป็นชุดทักซิโด้ เพราะขืนเป็นชุดกะลาสีเรือมีหวัง…ฮะๆ”

ปฐพีกับพิภพได้ยินที่ศาสตราพูดถึงกับส่ายหน้า

ทำเล่นเป็นเด็กขายของไปได้

“คอยดูให้ดีละกัน ถ้าพวกทหารกับไอ้ขุนนางอ้วนเริ่มมีพิรุธเมื่อไหร่ พวกเราก็เข้าไปช่วยได้เลยนะ” ปฐพีบอก ซึ่งศาสตรากับพิภพต่างพยักหน้าตกลงก่อนจะหันไปดูสถานการณ์ตรงหน้าต่อ ซึ่งตอนนี้สล๊อตกำลังหน้าดำหน้าแดงเพราะถูกมาริโอด่าว่าเป็นขุนนางอ้วนเฟะ

“กะ...แก...บังอาจว่าข้ารึไอ้เห็ดทักซิโด้!”

“ก็ใช่นะสิไอ้อ้วน” มาริโอตอบด้วยน้ำเสียงเก๊กหล่อสุดชีวิตแต่แฝงไปด้วยกวนบาทา “นอกจากจะอ้วนแล้ว ยังไม่มีความยุติธรรมต่อเจ้าชายกับรัตติเอาเสียเลย อย่างเจ้าน่ะน่าจะไปทำงานเกี่ยวกับโรงฆ่าสัตว์มากกว่าจะเป็นขุนนางอีกนะเนี่ย”

คำพูดของมาริโอทำเอาสล๊อตโกรธจนหน้าเขียว

“ทหาร! จับมันลงมาจากตึกนั้นเดี๋ยวนี้!”

“ครับท่าน!”

“เดี๋ยวก่อน!” มาริโอในคราบชุดทักซิโด้ตะโกนห้าม ซึ่งทำให้พวกทหารที่กำลังวิ่งมาจับมาริโอถึงกับหยุดชะงัก “คิดจะจับข้าด้วยข้อหาอะไรมิทราบ ข้าแค่มาช่วยเจ้าชายเพื่อมิให้ถูกลงโทษโดยที่ไม่มีความผิดตั้งหากล่ะ จะบอกให้เอาบุญล่ะกันพวกชาวบ้านหน้าโง่ทั้งหลาย เมื่อวานเจ้าชายไม่ได้ทำพิธีเรียกราชาปีศาจโดยใช้ท่านมังกรเป็นสังเวยสักหน่อย แต่เป็นเรื่องที่ไอ้หมูอ้วนนี่กุขึ้นมาเองตั้งหาก”

พอมาริโอพูดจบ ชาวบ้านต่างพากันซุบซิบอีกครั้ง ซึ่งทำเอาสล๊อตเริ่มใจคอไม่ดี

“แกอย่ามาพูดมั่วหน่อยเลยไอ้เห็ดทักซิโด้” สล๊อตแย้งก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้านะรึจะพูดโกหก พวกทหารของข้าก็บอกอยู่ว่าเจ้าชายทรงใช้ท่านมังกรเป็นเครื่องสังเวยในการเรียกราชาปีศาจอยู่”

“แค่บอกว่าทหารของตัวเองเป็นคนเห็น ใครๆก็พูดกันได้ แล้วอีกอย่างข้าก็มีหลักฐานฟ้องเจ้าได้นะไอ้หมูอ้วน” มาริโอพูดพลางชูกระดาษชุดหนึ่งให้ทุกคนดูก่อนจะเหวี่ยงขึ้นฟ้า ซึ่งทำให้กระดาษชุดนั้นถึงกับปลิวกระจัดกระจาย “ดูซะ แล้วพวกแกก็จะได้ตาสว่างเลิกนับถือไอ้อ้วนี่ได้สักที”

พอมาริโอพูดจบ พวกชาวบ้านต่างพากันกุลีกุจอจับเอกสารที่ลอยปลิวลงมาดูอย่างเร็ว ซึ่งพวกชาวบ้านพอได้จับเอกสารมาดูได้สักพักแล้ว ต่างพากันตกใจเมื่อเห็นข้อความบนกระดาษ

ภาษีของประชาชนของเดือนนี้ได้ถูกโอนมอบให้แก่ขุนนางสล๊อต

ภาษีท้องพระคลังหลวงได้ถูกโอนมอบให้แก่ขุนนางสล๊อต


และอื่นอีกมากมายที่ทำให้ชาวบ้านถึงกับหน้าแดงด้วยความโกรธ

“ไอ้ขี้โกง หลอกลวงกันนี่!”

“ใช่ๆ หลอกประชาชนไม่พอยังเอาเงินท้องพระคลังหลวงไปกินฟรีอีก ยอมไม่ได้!”

“เงียบ!” สล๊อตตะโกนเสียงดังลั่น ทำให้ชาวบ้านถึงกับหุบปากเงียบ “ขืนพูดมากอีก เดี๋ยวจะให้พวกทหารจับเข้าคุกให้หมดเลย ส่วนแกไอ้เห็ดทักซิโด้ คิดหรือว่าหลักฐานเอกสารพวกนี้จะยืนยันบริสุทธิ์ให้กับเจ้าชายได้งั้นรึ แล้วไอ้ของพวกนี้บางทีอาจจะเป็นของที่แกสร้างขึ้นมาก็ได้ใครจะไปรู้”

มาริโอได้ยินดังนั้นก็ยืนหน้าซีดตัวสั่น เพราะมันไม่รู้จะทำยังไงดีต่อ

เปิดล็อกเกตสิหนูมาริโอ

เสียงพรายกระซิบดังแว่วเข้ามา ซึ่งมาริโอคาดคิดว่านี่คงจะเป็นเสียงของพวกพี่ศาสตรา จึงรีบหยิบล็อกเกตจากในกระเป๋าขึ้นมาเปิดตามคำสั่งของเสียงนั้นทันที แล้วจู่ๆแสงสีเขียวก็โผล่ขึ้นมาจากข้างในล็อกเกตก่อนจะเผยให้เห็นเงาคนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนมีเส้นผมสีทองแกมขาวขึ้นประปรายในชุดเสื้อผ้าผู้ป่วย

“ทะ...ทะ...ท่านราชาเอลฟ์!”

ทุกคนในที่นี้ยกเว้นมาริโอ เจ้าชายรูนน์ และรัตติที่ยังอยู่ในสภาพเบลอพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียวเมื่อได้เห็นภาพราชาเอลฟ์ในรูปสามมิติ

“เจ้าชายรูนน์ที่ทุกคนได้รู้จักว่าเป็นนอกสายเลือดของเราแล้ว ความจริงแล้วเป็นผู้สืบสายเลือดแท้จริงของเรา ฉะนั้นหลังจากที่เราได้สวรรคตไปด้วยอะไรก็ตาม ผู้สืบทอดบัลลังก์ดินแดนแห่งเอลฟ์นี้เราขอมอบให้แก่เจ้าชายรูนน์! ลงชื่อ เคฟรอน ราชันย์แห่งเอลฟ์”

พอราชาเอลฟ์ตรัสจบ ภาพก็พลันหายไป แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ ถ้าไม่มีเสียงคนหนึ่งพูดแทรกออกมา ทุกคนก็ยังคงยืนเงียบอยู่อย่างนั้น

“เอ๊ะ นี่มันเอกสารขอยืมยาสารหนูเมื่อสมัยห้าปีก่อนไม่ใช่รึไง” เสียงพูดนั้นทำให้ทุกคนหันไปมอง ก่อนจะเผยให้เห็นเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนวัยสิบห้าสิบหก มีนัยน์ตาสีเขียวข้างขวาเพียงข้างเดียวส่วนอีกข้างถูกปิดด้วยผ้าคาดสีดำ มาด้วยชุดผ้าฝ้ายสีขาวกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเขียวใบไม้เข้มกับรองเท้าบู๊ตสีน้ำตาลเข้ม โดยที่ใบหูสองข้างแหลมเหมือนพวกเอลฟ์ไม่มีผิด กำลังยืนถือเอกสารใบหนึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชาวบ้าน และข้างกายของผู้พูดยังมีหนึ่งหนุ่มผิวสีแทนผมสีทองเกรียนสั้นที่เป็นมนุษย์ในชุดเกราะสีดำ กับ อีกหนึ่งหนุ่มผมสีดำผู้มีนัยน์ตาสีแดงกับร่างกายสีผิวเขียวเข้มสูงใหญ่เกินมนุษย์มาด้วยชุดเกราะสีดำเช่นเดียวกับคนข้างๆ “ส่วนผู้ยืมเป็น…ขุนนางสล๊อต โหย นี่จะเอาไปฆ่าล้างพันธุ์หนูรึไง ถึงได้หยิบยืมมาทุกวี่ทุกวันได้ ถึงจะยืมวันละนิดวันละหน่อยก็เถอะ”

พวกพี่…ปฐพีนี่

รัตติคิดในใจพลางมองสามหนุ่มอย่างยากลำบาก เพราะพิษจากปีศาจรากไม้ที่ยังคงกำเริบอยู่ จึงทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถลุกขึ้นขยับเข้าไปช่วยเหลือเจ้าชายรูนน์ที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ได้

“หุบปากเน่าๆเลยพวกแก ข้าจะยืมไปทำอะไรมันก็เรื่องของข้า” สล๊อตรีบพูดโดยที่ใบหน้าของมันมีเหงื่อไหลย้อยอยู่เต็มไปหมด “ทหาร มัวยืนบื้ออะไรอยู่อีกล่ะ ไม่รีบจัดการเล่า”

“อ๊ะๆ เดี๋ยวก่อนสิ ผมยังพูดไม่ทันจบเลยนะท่านสล๊อต จะรีบร้อนไปไหนกันล่ะ”

เด็กหนุ่มคนเดิมหรือศาสตราพูดแย้ง ทำเอาพวกทหารที่กำลังทำตามคำสั่งของสล๊อตชะงัก

“พวกแกต้องการอะไรกันแน่ไอ้พวกเบ้ของท่านมังกร”

“หึ ต้องการอะไรนะรึ” คราวนี้ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มผิวสีคล้ำผมสีทองสั้นเกรียน ซึ่งเป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกจากปฐพี “เผยความจริงให้ทุกคนรู้ยังไงล่ะ ว่าขุนนางอ้วนอย่างแกยืมสารหนูไปทุกวันเพื่อวางยาองค์ราชันเอลฟ์”

“ว่ายังไงนะ!”

ชาวบ้านทุกคนร้องอุทานพร้อมกันอย่างตกใจเมื่อได้รู้ความจริง ซึ่งในระหว่างที่ทุกคนกำลังสนใจสามหนุ่มอยู่นั้น มาริโอได้แอบด้อมเดินเข้าไปช่วยเจ้าชายรูนน์อย่างเงียบๆ แต่ก็ยังเข้าไปใกล้ไม่ได้อยู่ดี เพราะเจ้าชายรูนน์กำลังถูกทหารคุมตัวไว้อยู่ ส่วนรัตตินั้นก็ถูกทหารเฝ้าไว้อยู่ข้างกายด้วยเช่นกัน

“ไม่มีพยานอย่าพูดซี้ซั้วนะไอ้พวกเบ้!” สล๊อตเถียงหน้าดำหน้าแดง

“หึ พยานรึ ได้ ออกมาสิราเชล เอามาให้ขุนนางอ้วนนี่ดูเร็ว”

ปฐพีบอกก่อนที่จะมีใครเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาด้วยสภาพสะบักสะบอมไปด้วยเลือด ในมือได้ดึงร่างอีกคนเดินตามมาด้วย ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่ได้เห็นถึงกับร้องอุทานอย่างตกใจเป็นรอบสอง

“ดาร์คเอลฟ์!!”

ราเชลเดินมาถึงตรงพวกปฐพีแล้วก็หยุดเดินก่อนจะพูดว่า

“เมื่อวานนี้ข้ากับเห็ดทักซิโด้ได้เห็นขุนนางสล๊อตกับไอ้มืดนี่เข้ามาลักพาตัวท่านมังกรกับเจ้าชายรูนน์ไปกุมขังไว้ในคุกของคฤหาสน์นี้ ก็เลยเข้าไปช่วยแต่เจอไอ้มืดนี่เข้าพอดีเลยจับมาด้วยซะเลย”

“จริงหรือท่านองครักษ์ ที่ท่านพูดมานั้นเป็นความจริงหรือ” หนึ่งในกลุ่มชาวบ้านถามราเชล

“ก็จริงนะสิ” ราเชลตอบ “ดาร์คเอลฟ์ตนนี่มันสมรู้ร่วมคิดกับสล๊อตมานานตั้งแต่สมัยองค์ราชันยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่”

“ไม่จริง แกพูดโกหกราเชล ข้าไม่เคยรู้จักไอ้ดาร์คเอลฟ์นี่สักหน่อย!”

สล๊อตพูดเถียงหน้าซีดตัวสั่น ซึ่งทำเอาดาร์คเอลฟ์ได้ยินถึงกับเถียงย้อน

“ไม่จริง! เจ้ากับข้ารู้จักกันมานานแล้ว” ดาร์คเอลฟ์กัดฟันพูดเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง “เจ้าเป็นคนบอกข้าเองว่าถ้าร่วมมือด้วยเจ้าจะมอบดินแดนเอลฟ์ส่วนหนึ่งให้กับข้า ฮึ แล้วสาเหตุที่ราชันตายก็เพราะแกไอ้สล๊อต แกมันเป็นคนวางยาราชาเอลฟ์!”

“ไม่จริง เจ้าพูดโกหก ข้าไม่ได้…”

“ทั้งหลักฐานทั้งพยานก็พร้อมแล้ว ท่านยังมีอะไรจะแก้ตัวอีก”

ราเชลพูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาสล๊อตเดินถอยหลังไปสองสามก้าว

“ข้า…ข้า” สล๊อตพูดติดอ่าง ตอนนี้มันจนมุมต่อหลักฐานและพยาน ถึงจะคิดหนีก็คงหนีไม่รอด แต่แล้วมันก็เหลือบเห็นร่างเด็กหนุ่มผมสีเงินนอนอยู่บนเปลโดยมีทหารสองคนเฝ้าอยู่ แล้วทันใดนั้นสล๊อตก็ได้ฉีกยิ้มพลางวิ่งเข้าไปคว้าร่างนั้นออกมาจากพวกทหาร ก่อนจะชักมีดสั้นที่อยู่ข้างกายตนดึงออกมาจ่อลำคอของรัตติ “ใครคิดจะฆ่าข้าอย่าได้หวัง ไอ้เด็กมังกรนี้ตายคามีดข้าแน่”

คนอื่นเห็นดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไร เพราะต่างกลัวว่ารัตติจะได้รับอันตราย ส่วนมาริโอได้แต่กัดฟันโมโหตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเจ้านายได้

“หึๆ ไม่กล้าเข้ามาล่ะสิไอ้พวกหน้าโง่ ฮ่าฮะๆ”

ในขณะที่สล๊อตกำลังหัวเราะด้วยความลำพองใจนั้น เกล็ดย้อนของเหม่ยจิงเกิดเปล่งแสงขึ้นมา ก่อนที่ลำแสงนั้นจะยิงไปที่มาริโอ ส่วนสล๊อตรู้สึกร้อนมือจึงเผลอปล่อยรัตติออกมา แล้วจังหวะนี้ปฎิหาริย์ก็บังเกิด

“MATRIX EVOLUTION”

รัตติพูดโดยที่สติยังคงเบลอรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วร่างของรัตติก็เลือนหายไปก่อนจะกลายเป็นแสงสีรุ้งพุ่งเข้าร่างมาริโอที่ยืนมึนงง

Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi
           
Kokoro no katachi Kimi wa kami ni kakeru kai?
Ichibyou goto ni iro mo kaeru mono da yo
           
Shinjiru koto ga donna koto ka wakaru kai?
Kimi no subete ga tamesarete iru nda yo
           
Yuuki dake ja Todokanai nda
Osore made hitotsu ni natta Sono toki
           
Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Subete ga michita shunkan
Ima Sore ga ima!
Zero e to kawaru kokoro ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi
           
 Kodou de sae mo Onaji rizumu kizameba
Afureru chikara Kanji toreru hazu darou
           
Tatakau tame ni Hitotsu ni naru koto yori
Wakari au tame Hitotsu ni natta hazu sa
           
 Kasanete kita Jikan no tsubu ga
Kiseki no tobira o hiraku Sono toki
           
Mirai o erabu chikara ga
Mezameru Matrix Evolution
Kimitachi ni shika dekinai
Saa Me o hirake!
Sagashi tsuzuketa kotae ga
Riaraizu suru Evolution
Kokoro no katachi awasete
Nido to Hanasanai de
           
 Dou naru no ka ga wakaranai
Michi no chikara no kowasa mo
Futari de koete yuku nda
Saa Me o hirake!
Mirai o erabu chikara ga
Mezameru Matrix Evolution
Kimitachi ni shika dekinai
Sore ga Saigo no shinka
           
 Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Subete ga michita shunkan
Ima Sore ga ima!
Zero e to kawaru kokoro ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi


“บอสเห็ดมาริโอเปลี่ยนร่าง!” ร่างของราตรีกับมาริโอรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นนักดาบที่สวมชุดหนังมังกรสีแดง มีผิวสีครีมอมชมพู บนหัวมีเห็ดดอกใหญ่บานเป็นหมวก “เป็นเกรียนIมWรัตติมาริโอ”

พอรวมร่างเสร็จ เกรียนIมWรัตติมาริโอก็แสดงฝีมือโดยกลิ้งตัวหลบออกมาห่างๆสล๊อต ก่อนจะพ่นสปอร์พิษใส่

“อั่ก!”

1100

สล๊อตกระอักเลือดก่อนจะวิ่งเข้าหาเจ้าชายรูนน์ แต่ทว่าเกรียนIมWรัตติมาริโอวิ่งเข้าไปขวางมันโดยเอาฝักดาบกระแทกเข้าที่หน้าแล้วถีบมันออกไป

ผัวะ!

1290


แล้วสล๊อตก็ดึงดาบที่อยู่ข้างกายออกจากฝักหมายมาดจะสู้ แต่เกรียนIมWรัตติมาริโอไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ กลับตวัดดาบใส่มันแบบไม่ยั้งจนนับไม่ถ้วน

“สัส มึงคิดจาจับกูเป็นตัวประกันหรอ ไอ้กากสลัด ป้อมึงตาย เจี้ย นี่แน่ะๆๆๆ ขุดๆๆๆ กระบวนดาบขุดมู้ แสดดด”

แล้วเกรียนIมWรัตติมาริโอก็เก็บดาบเข้าฝักเหมือนเดิม พอดาบเสียบเข้าฝักปุ๊บ เสื้อผ้าของไอ้อ้วนก็ขาดทันที

แควก!

ส่วนดาบในมือของสล๊อตก็หักเป็นแว่นๆ จังหวะนั้นดาร์คเอลฟ์สะบัดหนีจากการจับกุม แต่เกรียนIมWรัตติมาริโอขว้างหัวเห็ดใส่มัน ทำให้ไอ้มืดเสียหลักล้มลง แล้วหัวเห็ดที่บินไปแล้วก็กลับมามือของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งเกรียนIมWรัตติมาริโอก็ได้ใช้หัวเห็ดนี้เป็นโล่ป้องกัน แล้วชาร์จพลังยิงลำแสงเกรียนIมWบลัสเตอร์ใส่มันปิดท้ายด้วยคำพูดเท่ๆ

“กูIมWสาด ข้องใจตัวตัวนอกจอกูได้เว้ย ไอ้ลูกตุ๊ด แค่นี้ก็จอดแล้ว โด่ นู้บว่ะ”

.......................

 :laugh: :laugh: :laugh: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 36 พลังใหม่ (update 100%) P.3 2/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 02-03-2015 21:10:29
ร่วมร่างได้ด้วย 555
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 36 พลังใหม่ (update 100%) P.3 2/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 02-03-2015 23:50:06
บทที่ 37 ทวีปหลัก
 
...............

“ไม่น่าเชื่อวะ มอนสเตอร์กับผู้เล่นรวมร่างกันได้”

ปริญพูดพลางมองหน้าจอที่แสดงภาพมาริโอกับรัตติรวมร่างกัน

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละปริญ” ดนัยเทพพูดพลางจดรายละเอียดทักษะใหม่ที่รัตติกับมาริโอได้มาอย่างบังเอิญ ถึงแม้รัตติจะไม่ค่อยรู้สึกตัวก็เถอะ “ทักษะรวมร่างนี้มันต้องอัพความสนิทสนมกับทาสรับใช้อย่างน้อยระดับสิบ แล้วก็ต้องอยู่ในสภาวะคับขันโดยที่ผู้เล่นตกอยู่ในอันตรายเหมือนผู้เล่นไอดีแปดพัน ถึงจะสามารถรวมร่างกันได้”

“อืม ฟังดูน่าสน นี่ถ้าฉันเข้าไปเล่นแบบไอดีนี้บ้างก็คงดีไม่น้อย” ปริญพูดเอามือลูบคางตัวเองอย่างสนอกสนใจกับทักษะใหม่นี้ ซึ่งทำให้ดนัยเทพต้องหันมาเหล่ตามองเพื่อน

“แกยังต้องทำงานอยู่นะไอ้ปริญ” ดนัยพูดขู่ ก่อนจะหันไปเขียนบันทึกต่อ “เดี๋ยวคืนนี้ต่อโอทีอีกสองชั่วโมงแล้วแกค่อยไปพักแล้วกัน”

คนฟังถึงกับหน้าซีด

“ไม่นะ ฉันยังไม่ได้นอนมายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว!”

“ไม่รู้ล่ะ แกอยากโดดงานแอบเข้าไปดูไอดีแปดพันตอนเล่นเกมเองนี่นะ”

สุดท้ายปริญก็ต้องอยู่ทำโอทีกับเพื่อนร่วมงานอีกคน โดยที่ดนัยเทพขอลาไปนอนพักผ่อนเอาแรงสำหรับงานพรุ่งนี้เช้า

...................

ย้อนกลับมาทางด้านรัตติที่ยังคงรวมร่างกับมาริโออยู่ เมื่อจับกุมสล๊อตได้แล้ว พวกชาวบ้านกับพวกทหารที่เคยพากันเข้าใจเจ้าชายรูนน์ผิดๆ ต่างกราบขอประทานอภัยกันเป็นวรรคเป็นเวร ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าชายรูนน์ไม่ถือเอาความ ในระหว่างเจ้าชายรูนน์กำลังเคลียร์เรื่องสล๊อตกับดาร์คเอลฟ์อยู่นั้น พวกปฐพีก็ได้เดินเข้ามาสำรวจเกรียนIมWรัตติมาริโออย่างสงสัย

“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะรวมร่างกันได้” ศาสตราพูดพลางมองร่างใหม่ของรัตติกับมาริโอตั้งแต่หัวจรดเท้า “ว่าแต่…ตอนนี้มาริโอหรือรัตติที่กำลังคุมร่างล่ะ”

“ต้องเป็นหนูสิฮะพี่ศาสตรา” เสียงมาริโอตอบ

“ห๊ะ? มาริโอหรอกรึ” ศาสตราร้องอ้าว “แล้วรัตติล่ะ รัตติหายไปไหน”

“รัตติยังอยู่ข้างในฮะพี่ศาสตรา ถ้าอยากคุยเดี๋ยวหนูเรียกให้”

“อืม เอางั้นก็ได้”

แล้วมาริโอก็หลับตาลง สามหนุ่มรออยู่ได้สักพักอีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เผยให้เห็นนัยน์ตามังกรสีฟ้าครามซึ่งผิดกับนัยน์ตาเมื่อครู่นี้ที่เป็นสีดำธรรมดา

มองกี่ทีๆก็ยังดูสวยแหะ

สามหนุ่มคิดในใจ

“พวกพี่เรียกผมมีธุระอะไรเหรอครับ” น้ำเสียงคนพูดยังดูเบลอๆ ราวกับเพิ่งจะได้สติไม่นานมานี้

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะถามว่าทักษะรวมร่างนี้น้องไปหามาจากไหน” คราวนี้พิภพเป็นคนถาม “เผื่อว่าพวกพี่จะได้ลองเอาไปใช้ดูบ้าง”

รัตติในคราบใหม่ได้ฟังที่พิภพถามแล้วก็พลันส่ายหน้าไปมา

“ผมไม่ทราบครับ มันมีมาของมัน…” รัตติพูดยังไม่ทันจบ ร่างเกิดทรุดลงกะทันหัน ทำเอาสามหนุ่มรีบเข้าไปจับแทบไม่ทัน

“เฮ้ย ทำไมอยู่ๆ ก็ทรุดล่ะ” ศาสตราถามอย่างสงสัย

“ถามฉันแล้วฉันจะตอบแกได้ไหมล่ะ”

“ลองถามน้องมาริโอดูก็จะรู้เองแหละ” ปฐพีพูดตัดบทอย่างรำคาญ ก่อนจะใช้มือสะกิดร่างในอุ้งมือ “น้องมาริโอครับ น้องมาริโอตื่นสิครับ”

แวบ!

จู่ๆ แสงสีแดงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำเอาสามหนุ่มต้องรีบหลับตาลงเพราะแสงสีแดงมันทำให้พวกเขาแสบตา แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกถึงคลื่นพลังงานชนิดหนึ่งกำลังไหลออกจากร่างในอุ้งมือ พร้อมกับลำแสงสีแดงที่ได้หายไปในพริบตา

“โอ้ท่านมังกรแยกออกมาแล้ว!” เสียงพวกชาวบ้านโห่ร้อง ทำเอาสามหนุ่มรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าร่างที่พวกเขาจับไว้อยู่นั้นเป็นเด็กหนุ่มผมสีเงินในชุดเดิม ส่วนมาริโอนั้นกำลังยืนทำท่ามึนงงอยู่ข้างพวกเขา

“สงสัยคงจะหมดเวลารวมร่างล่ะมั้ง” พิภพพูดสรุปเองโดยไม่มีใครถามสักคำ
 
หลังจากเหตุการณ์แยกร่างระหว่างรัตติกับมาริโอจบแล้ว รัตติถึงกับหมดสติไปอีกครั้งซึ่งเจ้าชายรูนน์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว จึงชวนสามหนุ่มให้พารัตติกับมาริโอไปพักที่วังหลวง แล้วเวลาก็ผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง รัตติก็ยังคงหลับไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ทำเอาทุกคนเริ่มเป็นกังวล โดยเฉพาะมาริโอที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายจนเสียงแหบแห้ง

“นี่ขนาดหมอหลวงมาตรวจดูอาการแล้วก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ข้าเกรงว่าท่านรัตติ…”

“อย่ามาแช่งรัตติของข้าว่าตายเชียวนะไอ้เจ้าชายบ้า! ฮือๆ” มาริโอด่าย้อนเสียงสะอื้นไห้ ซึ่งทำเอาเจ้าชายรูนน์รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น

“นี่ปฐพี ไม่มียาสำหรับแก้พิษจากปีศาจรากไม้เลยหรือ” พิภพหันไปถามเพื่อน

“ถ้ามีก็คงให้ไปนานแล้วล่ะ” ปฐพีตอบอย่างจนมุม เพราะเกมนี้มันสมจริงมาก ถึงขนาดมียาแก้พิษก็ยังช่วยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ “แต่ลองให้ยาเพิ่มพละกำลังดูก่อนก็ไม่เลว เผื่อจะฟื้นขึ้นบ้าง”

“อืม ลองดูก็ดีเหมือนกัน"

ในขณะที่พิภพกำลังจะหยิบขวดยาเพิ่มพละกำลังที่ได้มาพิเศษนั้น เสียงของคนป่วยก็ดังขึ้นมาซะก่อน

“ขอ…ขอ…น้ำหน่อย”

“น้ำเหรอ ได้! รอเดี๋ยวนะ”

มาริโอพูดพลางกุลีกุจอหยิบเหยือกรินน้ำใส่แก้วน้ำ ก่อนจะรีบนำไปป้อนให้รัตติอย่างเร็ว เมื่อคนป่วยได้ดื่มน้ำสมใจอยากแล้ว ก็นอนกึ่งนั่งโดยเอาหลังเอนพิงหมอนต่ออย่างอ่อนแรง

“ว่ายังไงล่ะน้องรัตติ มีเจ็บมีปวดตรงไหนรึเปล่า” ศาสตราถามก่อนเป็นคนแรก ซึ่งทำเอาคนป่วยมุ่นคิ้วมองอย่างมึนงง “เอ่อ พี่หมายถึงว่าน้องรัตติยังรู้สึกมึนหรือปวดหัวอะไรบ้างหรือเปล่านะ”

“พี่ชายเป็นใครหรือครับ”

คำตอบจากคนป่วยทำเอาทุกคนถึงกับนิ่ง

“เวรล่ะสิ อย่าบอกนะว่าความจำเสื่อมอีก” ศาตราพูดด้วยความระแวง ซึ่งคำพูดของศาสตราทำเอาเด็กหนุ่มผมเงินมองอย่างมึนงง

“พี่ชายพูดถึงใครครับ ผมเปล่าความจำเสื่อมนะ” รัตติพูดก่อนจะหันหน้าไปทางมาริโอ “เจ้าก็มัวยืนบื้ออยู่ได้นะมาริโอ ทำไมไม่บอกข้าสักทีว่าพวกพี่ชายสามคนนี้เป็นใคร”

มาริโอได้ยินที่รัตติพูดถึงกับอ้าปากค้าง แล้วมันก็หุบปากลงก่อนจะกระโดดอ้าแขนเข้ากอดรัตติที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างเต็มแรง

“โอย นี่เจ้าเป็นบ้าอะไรมาริโอ ถึงได้เข้ามากอดข้าซะแรงขนาดนี้ มันเจ็บนะ”

“ดีใจจัง ในที่สุดรัตติคนเดิมก็กลับคืนมาแล้ว! ฮือๆ”

มาริโอพูดด้วยความดีใจปนสะอื้นไห้ ถึงแม้รัตติจะไม่รู้สาเหตุที่มาริโอร้องไห้ก็ตาม แต่รัตติก็ยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ

“อืม ข้ากลับมาแล้ว”

ความสัมพันธ์ระหว่างรัตติกับมาริโอได้กลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งทำให้สามหนุ่มพอคาดเดาได้ว่าความทรงจำของเด็กหนุ่มคนนี้ได้กลับคืนมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมไอดังมาจากปฐพี ทำให้มาริโอถลาออกมาจากเจ้านายตัวเองด้วยความเขินอาย “ขอแนะนำตัวอีกครั้งแล้วกัน พี่ชื่อปฐพี ส่วนอีกสองคนศาสตรากับพิภพ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ”

รัตติได้ยินที่ปฐพีพูดก็ยิ้มรับก่อนจะทักทายกลับไปว่า

“เช่นกันครับ”

“ว่าแต่ท่านรัตติไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม”

เจ้าชายรูนน์ที่ยืนเงียบอยู่นานได้เอ่ยปากถามรัตติ ส่วนคนถูกถามได้แต่มุ่นคิ้วมองผู้พูดอย่างมึนงง

“มาริโอ นั่นใครหรือ”

“อะไรกันแค่นี้ทำเป็นจำไม่ได้ ก็เจ้าชายรูนน์ที่พวกเราช่วยให้พ้นจากคดีตัดหัวไง” มาริโอตอบยิ้มๆ “ส่วนผู้ชายคนนั้นก็พี่ราเชลองครักษ์ของเจ้าชายรูนน์ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมไปแล้วนะรัตติ”

“ข้าจำไม่ได้เลย มันว่างเปล่าไปหมด”

รัตติพูดพลางส่ายหน้าไปมา

“คงจะเป็นเพราะพิษของปีศาจรากไม้ทำให้น้องต้องเป็นแบบนี้” ปฐพีพูดสรุป “แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อน้องปลอดภัยดีและความทรงจำกลับคืนมาแล้ว พวกพี่สามคนต้องขอตัวลาก่อน”

ปฐพีจบก็รีบลุกขึ้นยืน ทำเอาศาสตรากับพิภพต้องรีบลุกขึ้นยืนตาม

“อะไรกัน จะรีบไปแล้วเหรอปฐพี ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ดูแลน้องรัตติให้หายดีก่อนรึไง” ศาสตราแย้ง

“ไม่ล่ะ พอดีฉันมีธุระที่ยังจะต้องทำต่อ” ปฐพีพูดอย่างเย็นชา “ถ้านายอยากอยู่ต่อก็เชิญ ฉันจะไม่ขัดศรัทธานาย โชคดี”

แล้วปฐพีก็เดินออกไปจากห้องพักโดยไม่รอใครเลย

“ดะ…ดะ…เดี๋ยวสิปฐพี!” ศาสตราร้องเรียกเพื่อนที่เดินออกไปแล้ว “ให้ตายสิ เอาแต่ใจจริงเชียวนะไอ้หมอนี่ เอ้อ น้องรัตติ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวพี่จะตามเขามาให้เอง นอนพักผ่อนอยู่ที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวมา ส่วนแกอยู่เป็นเพื่อนน้องเขาที่นี่นะพิภพ ไปล่ะ!”

แล้วศาสตราก็วิ่งออกไปตามปฐพีอย่างเร็ว หลังจากศาสตราได้วิ่งออกไปแล้ว ความเงียบก็เข้าครอบงำ เนื่องจากรัตติเพิ่งจะฟื้น ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรหลังจากที่ตัวเองหลับไป

“นี่ข้าหลับไปนานเท่าไหร่หรือมาริโอ”

“หนึ่งชั่วโมงนะ”

“หนึ่งชั่วโมง?” รัตติขมวดคิ้วพูด “หลับไปแค่หนึ่งชั่วโมงแต่เกิดเรื่องราวมากมายถึงขนาดนี้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะ”

“ไม่ใช่หลับหนึ่งชั่วโมง แต่น้องจำเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้ตั้งหากล่ะ”

พิภพตอบ ซึ่งทำเอารัตติยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้น

“พี่พิภพหมายความว่าไง ที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย พี่ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้”

“ได้สิ”

แล้วจากนั้นพิภพก็เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้รัตติฟัง ซึ่งคนฟังได้แต่พยักหน้ากับอ้าปากสลับกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง จนถึงตอนที่ตัวเองรวมร่างกับมาริโอ รัตติแทบตะลึงจนสำลักน้ำลายของตัวเอง หลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ศาสตราก็ได้พาปฐพีกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้รัตติจำต้องบอกลาเจ้าชายรูนน์กับราเชลเพราะต้องออกเดินทางพร้อมกับพวกพี่ปฐพี

“ขอท่านรัตติโชคดี”

“พะยะค่ะ”

แล้วพวกเขาก็เดินออกจากดินแดนเอลฟ์ไปโดยมีของติดไม้ติดมือที่เจ้าชายรูนน์มอบไว้ให้ก่อนไปด้วย โชคดีที่ตอนนี้นอกดินแดนเอลฟ์ไม่มีพวกกองทัพราชาปีศาจเหลืออยู่สักตัว ซึ่งพวกเขาคิดว่าเจ้าหน้าที่ของเกมคงจะจัดการลบพวกนั้นออกไปจากแผนที่แล้ว ในระหว่างพวกเขาเดินออกจากดินแดนเอลฟ์ รัตติรีบเปิดหน้าต่างสถานะของตัวเองออกมาดู ซึ่งผลปรากฏว่าตอนนี้อยู่ระดับที่สิบห้าแล้ว และพอลองเปิดดูหน้าต่างของทักษะดูก็พบว่ามีทักษะเพิ่มมาหนึ่งอย่างก็คือทักษะรวมร่างระดับ 1 ส่วนของรางวัลที่ได้จากการทำภารกิจคือแหวนเพิ่มพลังเวทมนตร์ระดับ 10 กับ คทาเวทมนตร์ระดับ 10

“โหน้อง ได้ของแรร์ไอเทมที่มีในเฉพาะดินแดนเอลฟ์ด้วย เจ๋งเป้งเลย” ศาสตราพูดในขณะที่มองหน้าต่างสถานะของรัตติ

“แล้วพวกพี่ไม่เคยทำมาก่อนเลยหรือฮะ” รัตติถามอย่างสงสัย

“ก็ไม่เคยนะสิ” พิภพหันมาตอบคำถามของรัตติ “เพราะเกมนี้ถือสมจริง ฉะนั้นภารกิจนี้เป็นภารกิจพิเศษ แถมสามารถทำได้แค่คนเดียว ซึ่งคนๆนั้นก็คือน้อง แล้วมันก็จะไม่มีอีกเลย”

แล้วจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางต่อโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งรัตติได้ตัดสินใจเดินทางตามพวกเขาไปเพราะพวกเขาได้สัญญาแล้วว่าจะพาเธอไปหาพี่ธิดาที่สมาคมซึ่งอยู่ใต้ทะเล ดังนั้นถ้าจะไปทางนั้นต้องผ่านเมืองเริ่มต้นด้วย ซึ่งพอไปถึง พวกเขาก็ได้เห็นสภาพของเมืองได้กลับคืนมาเป็นปกติดีแล้ว แถมยังปรับปรุงให้ดูดีขึ้นกว่าเก่าเป็นกอง จากที่ต้องเดินเข้าเมืองไปเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าลากโบราณในยุคฝรั่งเศสศตวรรษที่ 14-19 แทน

“แวะซื้อที่เติมพลังหน่อยไหมปฐพี”

“ไม่”

คำตอบของศาสตรามีอันต้องตกไปเพราะปฐพีไม่คิดจะแวะที่ไหนเลย ตั้งแต่ได้ฟังจากที่พี่พิภพเล่า ปฐพีเป็นผู้มีพระคุณของรัตติที่ได้ไปเจอเธอนอนฟุบอยู่กับปีศาจรากไม้จึงได้เข้าไปช่วยเอาไว้ ฉะนั้นไม่ว่าปฐพีจะแสดงท่าทีอะไรออกมา รัตติก็จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทว่าพอพวกเขาลงไปยังใต้ทะเลโดยมีตัวช่วยอย่างหญ้าเงือกที่กลืนกินเข้าไปแล้วจะสามารถหายใจในน้ำได้แล้ว พวกเขาทั้งสี่คนกับอีกหนึ่งตัวก็พบกับเศษซากฐานสมาคมของธิดาวางอยู่เต็มไปหมด

“นายส่งข้อความไปหาธิดาเองแล้วกัน”

พิภพบอก ส่วนปฐพีไม่ต้องพูดถึง เพราะขืนถามไปมีหวังโดนด่ากลับยับเยิน

ธิดา นี่ฉันเองศาสตรา

พอศาสตราพูดจบ ก็รออีกฝ่ายด้วยความใจเย็น

มีอะไร

อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างห้วนๆ ดูท่าคงจะอารมณ์เสียอยู่มิใช่น้อย เพราะฐานสมาคมโดนโจมตีซะเละขนาดนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็โมโหกันทั้งนั้น

ตอนนี้น้องรัตติน้องมาริโออยู่กับพวกเรา

อะไรนะ!


ศาสตรานึกขำในใจที่ทำให้ธิดาถึงกับตกใจได้

น้องรัตติน้องมาริโออยู่กับพวกเรา ตอนนี้ปลอดภัยดี หายห่วงได้

แล้วตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหน?!


คราวนี้ธิดาเริ่มร้อนรนเมื่อได้ทราบข่าวจากเขา

อยู่ที่ฐานสมาคมของเธอนั่นแหละธิดา ศาสตราตอบพลางเหล่มองเพื่อน ซึ่งตอนนี้ปฐพีกำลังยืนมองหน้าต่างสถานะของตัวเองเพื่อฆ่าเวลารอเขาคุยกับธิดาอยู่ ว่าแต่เธอล่ะ อยู่ที่ไหน ขอบอกไว้ก่อนนะว่าพวกฉันไม่รู้จักฐานสำรองของเธอด้วย

แล้วอีกฝ่ายก็เงียบไปได้สักพัก ก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

ไม่ต้องไปฐานสำรองหรอก ฉันย้ายฐานไปอยู่ทวีปหลักแล้วนะ

ทวีปหลักงั้นรึ?


ศาสตราพูดด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่คิดว่าธิดาจะย้ายฐานสมาคมของตัวเองไปไหนนอกจากเกาะเบื้องต้น

ใช่ ทวีปหลัก ธิดาตอบ ถ้ายังไงฉันวานพวกนายช่วยพาน้องรัตติกับน้องมาริโอขึ้นเรือข้ามทะเลมาทวีปหลักได้ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันจะจ่ายเงินให้พวกนายทีหลัง

ศาสตราขมวดคิ้วพลางหันไปมองเพื่อนอีกสองคน ซึ่งก็พบว่าตอนนี้พิภพกับปฐพีได้นั่งหลับรอแล้ว ส่วนรัตติกับมาริโอนั้นกำลังยืนชื่นชมความงามของใต้ท้องทะเลอยู่

ได้ แต่เรื่องเงินฉันจะปรึกษาปฐพีอีกทีละกัน

ตกลง ถ้ามาถึงเมื่อไหร่ก็ช่วยติดต่อมาหาฉันด้วยล่ะ จะได้ไปรับ


แล้วธิดาก็ตัดสายทิ้งโดยไม่รอคำตอบจากศาสตราเลยสักนิดเดียว

แม่เจ้าประคุณรุนช่องเอ้ย!

หลังจากนั้นศาสตราก็ได้บอกปฐพีเกี่ยวกับเรื่องที่ตนได้คุยกับธิดา ซึ่งปฐพีกับพิภพก็ไม่ได้ว่าอะไร ดังนั้นรัตติกับมาริโอจึงได้ออกเดินทางร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง โดยจุดมุ่งหมายครั้งนี้คือทวีปหลัก ส่วนเรื่องแก้วที่เป็นลูกสาวของปฐพีนั้น ปฐพีบอกว่าไม่ต้องไปหาแล้ว เพราะเมื่อครู่นี้แก้วได้ส่งข้อความมาบอกปฐพีว่าปลอดภัยดีแล้ว และตอนนี้อยู่ที่ทวีปหลักกับเพื่อนที่ชื่องุ้งงิ้ง

.....................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 37 ทวีปหลัก (update 100%) P.3 2/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 09:35:53
บทที่ 38 งานเข้า (อย่าเพิ่งอ่านนน)

......................

“ค่าขึ้นเรือ 50,000เหรียญต่อคน แพงใช่ย่อยแฮะ”

รัตติพูดพึมพำในขณะที่พามาริโอขึ้นเรือมาพร้อมกับพวกพี่ปฐพี โชคดีที่ทางเกมนี้ไม่เรียกเก็บค่าขึ้นเรือกับมาริโอด้วย ไม่อย่างนั้นรัตติได้เสียเงินไปถึงแสนเหรียญแน่ พอได้ขึ้นเรือแล้วพวกเขาก็รอสักสิบนาทีเรือก็ค่อยแล่นออกจากเกาะอย่างเชื่องช้าตามกระแสทิศทางลมที่พัดพาไป ซึ่งในขณะที่เรือกำลังแล่นออกจากเกาะรัตติก็ได้ยืนเกาะข้างเรือเพื่อมองดูเกาะเริ่มที่เริ่มเล็กลง

ป่านนี้แล้วท่านพี่เมฆาจะเป็นยังไงบ้างนะ รัตติครุ่นคิดถึงคนที่ไม่ได้เห็นหน้านาน ถ้าให้เดา ป่านนี้ท่านพี่คงจะอยู่ที่ทวีปหลักแล้ว ไม่มาอยู่บนเกาะเริ่มต้นหรอก

ส่วนเรื่องการขึ้นเรือข้ามน้ำข้ามทะเลนั้นใช้เวลานานอยู่พอสมควร กว่าจะถึงทวีปหลักได้ก็ปาไปห้าวันเต็ม

“น้องรัตติมานี่สิ พี่จะพาไปห้องพักสำหรับลูกเรือ” ศาสตรากวักมือเรียกรัตติให้เดินตาม ซึ่งรัตติได้ยินดังนั้นจึงเรียกมาริโอให้เดินตามไปด้วยกัน เมื่อศาสตราได้พารัตติกับมาริโอเดินเข้าไปในเรือแล้ว รัตติก็พบว่าข้างในเรือลำนี้ใหญ่โตแฝงไปด้วยกลิ่นของไม้เก่ามีอายุดูมีน่ามนต์ขลังไม่น้อย

“แล้วตอนนี้พี่พิภพกับพี่ปฐพีอยู่ที่ไหนเหรอครับ” รัตติถามอย่างสงสัย เพราะตอนขึ้นเรือเธอมัวแต่มองข้างนอกเรือ เลยไม่ได้ทันสังเกตสองคนนั้นว่าเดินหายไปไหน

“อ้อ สองคนนั้นเข้าไปห้องฝึกวิชาแล้วล่ะ”

“ห้องฝึกวิชา?”

ศาสตราที่เดินนำหน้าก็หยุดเดินก่อนจะหันหน้ามาตอบคำถามของรัตติ

“มันเป็นห้องฝึกวิชาที่ทางเกมสร้างเอาไว้ให้พวกผู้เล่นฝึกวิชารอแก้เซ็งนะ แต่ถ้าน้องไม่ชอบ ก็ไปห้องอื่นได้นะ มีอยู่หลายอย่างอาทิเช่น ห้องดนตรี สระว่ายน้ำ ห้อง…”

“ผมอยากไปดูห้องฝึกวิชาครับพี่ศาสตรา” รัตติบอกโดยไม่สนรายชื่อของห้องอื่น “พอดีผมอยากลองฝึกวิชารวมร่างใหม่กับมาริโอดูนะครับ”

พอรัตติพูดจบ ทำเอาศาสตราหูผึ่ง

“เอาสิ พี่จะพาไปให้ พี่เองก็อยากเห็นอีกเหมือนกัน” แล้วศาสตราก็รีบพารัตติกับมาริโอไปยังห้องฝึกวิชาอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงแล้วศาสตราหยุดเดินและยังไม่พารัตติกับมาริโอเข้าไปในห้อง “พี่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าห้องฝึกวิชานี้ไม่ธรรมดา เพราะถ้าเข้าไปแล้ว เวลาในนี้จะถูกเปลี่ยนให้ช้ากว่าในเกม อย่างเช่นหนึ่งชั่วโมงในเกมก็จะเท่ากับหนึ่งอาทิตย์ของห้อง”

“หนึ่งชั่วโมงของเกมเท่ากับหนึ่งอาทิตย์ของห้องงั้นเหรอครับ!” รัตติอุทานเสียงดังลั่น เพราะเธอไม่คิดว่าเวลาในห้องนี้จะเคลื่อนตัวช้าได้ถึงขนาดนั้น

“ใช่ เพราะแบบนี้ไงเล่า ถ้าผู้เล่นมือใหม่ที่คิดจะข้ามไปยังทวีปหลัก ก็ต้องฝึกวิชาในห้องนี้ให้แกร่งเสียก่อน” ศาสตราตอบยิ้มๆ “ตอนพี่มาใหม่ พี่ก็โดนเหมือนกัน เล่นแทบรากเลือดเลยทีเดียว แต่ดีนะที่ห้องฝึกนี้มีโหมดให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งอีซี่ทั้งโนมอล และฮาร์ด ซึ่งพี่ไม่ขอแนะนำให้น้องเลือกสองอันหลัง เพราะมันยากเกินไปสำหรับมือใหม่อย่างน้อง ส่วนระบบห้องสามารถตั้งเวลาเข้าออกได้ตามใจชอบ ฉะนั้นน้องจะเข้าไปกี่ชั่วโมงก็ย่อมได้ หรือจะเลือกเข้าไปห้องเดียวกับพวกเพื่อนของพี่ก็ได้นะถ้าน้องต้องการ แต่อย่าลืมว่าเวลาน้องเข้าไปแล้ว จะสามารถอยู่ได้แค่สองชั่วโมงในเกมเท่านั้นนะน้องรัตติ”

“ครับพี่ศาสตรา”

หลังจากนั้นรัตติก็ได้ตัดสินใจเลือกเข้าไปห้องเดียวกับพวกพี่ศาสตราก่อน แล้วถึงตอนนั้นค่อยแยกตัวออกมาฝึกวิชากับมาริโอเอาทีหลัง เมื่อศาสตราพารัตติกับมาริโอเข้าไปแล้ว ก็พบว่าในห้องเป็นโทนสีขาวกว้างสุดลูกหูลูกตา พอรัตติมองไปรอบๆก็พบจุดดำสองจุดอยู่ห่างไกล

“เฮ้อ ไม่ไหวเลยสองคนนี้ จะนั่งสมาธิก็นั่งนานจนลืมวันลืมคืนเลยนะ” ศาสตราพูดพลางส่ายหน้า “เดี๋ยวเชิญน้องรัตติทดลองทักษะได้ตามสบายเลยนะ พี่จะคอยดูอยู่ข้างๆ”

“ครับ มาเร็วมาริโอ มาลองทดสอบกัน” รัตติตอบก่อนจะหันไปชวนมาริโอให้ไปฝึกทักษะใหม่ ซึ่งมาริโอก็พยักหน้าตอบรับ เพราะตัวมันเองก็อยากจะลองรวมร่างอีกครั้ง แต่ก่อนจะแปลงร่างรัตติขอเปิดดูหน้าต่างที่เป็นทักษะ ซึ่งมันมีเขียนไว้อยู่ด้านล่างว่า

ทักษะรวมร่าง (ระดับ1)

วิธีใช้ ให้พูดว่า “MATRIX EVOLUTION”

ผลลัพธ์ ผู้เล่นจะรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับทาสรับใช้ มีระยะเวลาอยู่ตามระดับที่กำหนด

ระดับ 1 (5 นาที) 

ระดับ 2 (10 นาที) 

ระดับ 3 (15 นาที) 

ระดับ 4 (20 นาที) 

ระดับ 5 (25 นาที) 

ระดับ 6 (30 นาที) 

ระดับ 7 (35 นาที) 

ระดับ 8 (40 นาที) 

ระดับ 9 (45 นาที) 

ระดับ 10 (50 นาที)


ระดับหนึ่งห้านาที?

รัตติขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะเปิดดูทักษะที่ยังไม่ได้ดู

ทักษะ สปอร์พิษ (ระดับ1)

วิธีใช้ ใช้หลังจากรวมร่างแล้ว

ผลลัพธ์ พิษจากสปอร์จะทำให้ศัตรูติดพิษ เกิดอาการมึนงงชั่วขณะ


ทักษะสปอร์พิษ?

แปลกวุ้ย


รัตติเกาหัวหยิกๆก่อนจะปิดหน้าจอทิ้ง

“มาลองทักษะกันมาริโอ” รัตติถามพลางมองมาริโอ

“อื้อ”

เมื่อทั้งคู่ตกปากรับคำกันเรียบร้อยแล้ว ศาสตราก็รีบเดินถอยหลังออกห่างไปสองสามก้าวเพราะกลัวโดนลูกหลง แล้วรัตติหลับตาลงพลางสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะพูดว่า

“MATRIX EVOLUTION”

........................

“ขอต้อนรับการกลับมาขอรับท่านราชาเงา”

เสียงคนพูดกล่าวทักทายทันทีที่ร่างสูงในคราบชุดเกราะสีดำทมิฬ ทว่าราชาเงาหาได้ตอบไม่ กลับเดินตรงดิ่งโดยไม่แยแสต่อคนรับใช้ที่ยืนต้อนรับเลยสักนิด ความจริงแล้วชายหนุ่มไม่เคยคิดจะกลับมาเหยียบซะด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่ติดตรงที่เขาไปได้ยินข่าวลือว่าพ่อของตัวเองพากองทัพราชาปีศาจไปยังเกาะเริ่มต้นเพื่อที่จะตามล่ารัชทายาทมังกรที่เหลือ ซึ่งนั่นก็คือราตรีพิสุทธิ์ น้องชายที่เมฆารู้จักนั่นเอง

เคล้ง!

“ใครอนุญาตให้คนนอกเข้ามา ที่นี่คือส่วนในพระราชวังปีศาจนะ ไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่พวกมนุษย์จะเดินย่างกรายที่นี่…”

ตูม!

9999


ผู้พูดถูกเมฆาตะบันหน้าซะกระเด็นลอยทะลุหลังคาไปเนื่องด้วยข้อหาขัดขวางเส้นทางเดินของชายหนุ่มโดยไม่ไถ่ถามให้ดีเสียก่อนว่าเขาเป็นใคร

“ไนซ์ชู้ต!”

เสียงแสดงความยินดีดังมาจากข้างหลัง ทำเอาเมฆาชะงักแต่ไม่หันไปมองเพราะรู้ดีว่าคนพูดนั้นเป็นใคร

“ปิเอโร่”

“ขอรับนายน้อย”

ปิเอโร่หันมาทำความเคารพให้เมฆาหลังจากเงยหน้ามองดูทหารผู้โชคร้ายกระเด็นลอยออกนอกหลังคาพระราชวังไปแล้ว

“จะไปไหนก็ไป แต่ถ้าข้าเรียกแล้วเจ้าต้องกลับมาหาข้าทันทีเลยนะเข้าใจใช่ไหม”

“ขอรับนายน้อย”

แล้วปิเอโร่ก็เดินถอยหลังหายออกไปนอกตัวพระราชวังทันที ซึ่งทำเอาเมฆาต้องถอนหายใจอีกรอบ ถึงแม้เป็นเกมออนไลน์แต่เมฆาก็รู้สึกท้อแท้เหมือนกับชีวิตนอกเกมจริง เพราะผู้เป็นพ่อที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงราชาปีศาจ มีนิสัยใจดี ไม่เคยคิดทำร้ายใคร แถมยังมีมิตรสหายดีๆอย่างเช่นราชามังกรเป็นต้น ทว่าหลายปีมานี้ไม่รู้มีอะไรมาดลใจให้พ่อของเขาเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือ บ้าคลั่งถึงขนาดพากองทัพเข้าไปบุกเกาะมังกรลับเพื่อฆ่าราชามังกรกับนางพญามังกร จนเป็นเหตุให้น้องราตรีมีอันต้องพลัดพรากจากพ่อแม่มังกรด้วยน้ำมือของพ่อเขาเอง

ต้องเค้นคอถามให้รู้เรื่องหน่อยซะแล้ว!

เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็สาวเท้าเดินต่อไปยังข้างในจนกระทั่งถึงประตูบานใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแกะสลักรูปหัวกะโหลกแลดูน่ากลัวไม่ใช่น้อย เมฆาหยุดยืนถอนหายใจเฮือกก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป เผยให้เห็นห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่งที่ซึ่งมีไว้เป็นที่ประชุมของเผ่าปีศาจ ชายหนุ่มมองตรงไปยังข้างหน้าก่อนจะเห็นร่างสูงผมดำยาวลากพื้นสวมชุดเกราะสีดำทมิฬนั่งอยู่บนบัลลังก์ตามลำพัง

“กลับมาแล้วรึไอ้ลูกชายตัวแสบ”

แต่คนเป็นลูกกลับสาวเท้าเดินตรงไปยังคนเป็นพ่อก่อนจะ…

ตูม!

8988


หมัดหนึ่งปะทะอุ้งมือที่รอรับ

“ไม่เลวนี่” ผู้เป็นพ่อพูดชมฝีมือของลูกชาย “หายหน้าไปเป็นปีๆ ไม่นึกเลยว่าฝีมือจะดีขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าพ่ออีกนะลูกรัก”

“ไม่ต้องมาพูดชมผม ถามตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ว่าทำไมอยู่ๆก็เข้าไปทำร้ายราชามังกรกับนางพญามังกร พวกเขาเป็นเพื่อนของท่านพ่อนะ!”

คนเป็นพ่อมุ่นคิ้วก่อนจะแสยะยิ้มตอบกลับไปว่า

“ใช่ พวกเขาเป็นเพื่อนของพ่อ แต่พ่อทำไปก็เพื่อให้เผ่าปีศาจของเราได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม” ราชาปีศาจพูดจบก็ปล่อยหมัดของลูกชายออก “ลูกก็น่าจะรู้ พลังมังกรของพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหนถ้าได้สูบพลังเหล่านั้นมาไว้กับตัวเอง ความจริงแล้วพ่อก็อยากได้รัชทายาทของเดรคมาด้วยเหมือนกัน เพราะจะได้เอามาให้ลูกได้สูบพลังยังไงล่ะ”

ตูม!

8900


หมัดอีกข้างสวนกลับไปแต่ก็โดนผู้เป็นพ่อรับการโจมตีได้อย่างสบาย

“ผม…ไม่…ต้อง…การ!”

เมฆาแค่นเสียงพูดด้วยความโกรธ

“ลูกไม่ต้องการงั้นรึ?” ราชาปีศาจพูดพลางมองลูกชายอย่างแปลกใจ แต่แล้วกลับฉีกยิ้มขึ้นมา “จริงสิ ลูกคงต้องการเก็บไว้เชยชมสินะ ไม่เป็นไรๆ พ่อเข้าใจลูกดี นี่คงจะถึงเวลาที่ลูกจะต้องมีคู่แล้วสินะ”

เมฆาได้ยินคำพูดของพ่อถึงกับมึนงง

“จะพามาที่นี่ก็ยังได้นะ พ่อไม่ถือ” ราชาปีศาจพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้าของลูกชาย “เพราะยังไงเผ่าปีศาจของเราไม่มีกฎเรื่องห้ามมิให้มีคนรักเป็นเพศเดียวกันหรือจะมีคนรักเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์ ถ้าลูกจะพาเขามาเป็นราชินีเผ่าปีศาจพ่อก็ไม่ห้ามเลยสักนิด เอ้า นี่ยังทำหน้ามึนอยู่อีก พ่อหมายถึงรัชทายาทมังกรยังไงล่ะ ลูกชอบเขามิใช่รึไง”

เท่านั้นแหละ เมฆาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“รีบๆพามาซะ แล้วพ่อจะได้จัดเตรียมงานแต่งครั้งยิ่งใหญ่ให้”

“ดะ…เดี๋ยวก่อนสิ! นี่ท่านพ่อรู้เรื่องของผมได้ยังไง”

เมฆารีบขัดเพราะเขาเห็นว่ามันชักกู่ไม่กลับ

“เรื่องนั้นลูกไปถามปิเอโร่เอาเองแล้วกัน เพราะพ่อยังมีงานต้องสะสางต่อ”

ราชาปีศาจพูดจบก็พลันลุกขึ้นเดินหนีหายไปเสียดื้อๆ ซึ่งทำเอาเมฆาได้แต่ยืนอึ้งอยู่ในห้องประชุมตามลำพัง

“แกไม่ได้ตายดีแน่ไอ้ปิเอโร่!!”

.......................

กลับมาทางด้านรัตติที่ตอนนี้ได้รวมร่างเดียวกับมาริโอแล้ว ซึ่งรวมร่างครั้งนี้ทำให้อีกสองหนุ่มที่นั่งสมาธิอยู่นั้นต้องลืมตาขึ้นมาดูด้วยความสนใจ ทีแรกรัตติตกใจไม่น้อยที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ตอนรวมร่างเสร็จ แต่พอตั้งสติดีๆ ก็สามารถบังคับได้ปกติ แล้วหลังจากนั้นรัตติก็ได้ลองอะไรอยู่หลายอย่างจนกระทั่งเวลาหมด

“น้องรวมร่างอีกครั้งสิ แล้วคราวนี้มาสู้กับพี่ด้วยมือเปล่า” ศาสตราพูดเชิญชวนในขณะที่รัตตินั่งดื่มน้ำยาเพิ่มมานา

“สู้กับพี่นะรึครับ” รัตติพูดพลางเอามือเช็ดริมฝีปาก “ผมว่าอย่าเลยดีกว่านะครับ ระดับของผมยังน้อยกว่าพวกพี่ ขืนสู้มีหวังได้ตายแน่”

“โอย เรื่องนั้นน้องรัตติไม่ต้องห่วงหรอก เพราะพี่จะไม่โจมตีน้อง จะคอยรับอยู่อย่างเดียว” เมื่ออีกฝ่ายยืนกรานเสียงแข็งว่าจะรับมือการโจมตีเพียงแต่อย่างเดียว รัตติก็เลยต้องยอมแต่โดยดี ก่อนจะหันมาใช้ทักษะรวมร่างต่ออีกครั้ง

“เอาล่ะ เริ่มมาเลย จะใช้ทักษะสปอร์พิษเลยก็ได้พี่ไม่ว่า” ศาสตราพูดพลางกวักมือให้เข้าไปหาตัวเอง

“ครับ” แล้วรัตติก็เข้าโจมตีศาสตราโดยไม่ให้สัญญาณ โดยใช้หัวเข่ากระแทกเข้าไปที่ลำตัวของอีกฝ่าย ซึ่งศาสตราก็ไม่คาดคิดว่ารัตติจะเร็วขนาดนี้ ก็เลยโดนเข้าที่ท้องไปเต็มๆ

บึก! อุก!

1500


การโจมตีที่รวดเร็วของรัตติทำเอาสองหนุ่มที่จับตามองอยู่นั้นถึงกับผุดลุกขึ้นยืน ซึ่งเมื่อเปรียบรัตติกับศาสตราแล้ว ศาสตราดูน่าจะเก่งและเร็วกว่าเพราะศาสตรามีระดับที่มากกว่ารัตติหลายชั้น แต่พอสองหนุ่มได้เห็นแล้ว ความคิดทั้งหลายมีอันล้มพับไป

ทักษะรวมร่างนี่

สุดยอด!


ผัวะ! บึก! ผัวะ!

1222

1338

1432


ค่าดาเมจขึ้นกระจายโดยที่รัตติยังคงรุกได้เร็วจนศาสตรากัดฟันยกแขนตั้งการ์ดป้องกัน

“เดี๋ยวผมต่อด้วยทักษะสปอร์พิษแล้วนะครับ!” รัตติบอกในขณะที่ออกหมัดหนักหน่วง ซึ่งทำเอาศาสตราเบิกตากว้าง

“ฮะ…เฮ้ย! เดี๋ยวขอเวลานอกก่อนนน!” คำพูดของศาตราทำให้เกรียนเมพรัตติมาริโอหยุดมือ

“หยุดมือทำไมล่ะศาสตรา ไม่ต่อล่ะกำลังมันส์” พิภพถามอย่างสงสัย

“เอ่อ ฉันว่าฉันขอเปลี่ยนคนดีกว่า ว่าแต่พิภพไม่สนใจที่จะลองวิชาดูบ้างเหรอ” ศาสตราหันหน้ามาถามเพื่อนด้วยสีหน้าเปื้อนเหงื่อ

“ไม่ล่ะ พอดีฉันชอบนั่งดูเฉยๆ…”

“แต่ฉันสน” คำพูดของปฐพีดังขึ้นขัดจังหวะ ทำเอาทุกคนหันไปมอง

“นายจะลองสู้กับเกรียนเมพรัตติมาริโองั้นรึ” ศาสตราถามพลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาไม่คิดเลยว่าปฐพีจะลองวิชากับรัตติ เพราะที่แล้วมาปฐพีแทบจะไม่พูดกับรัตติเลยด้วยซ้ำ “แน่ใจนะว่าจะสู้นะปฐพี”

“อืม” แล้วปฐพีก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหารัตติด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ซึ่งผิดกับรัตติที่ยังคงหวั่นๆว่าอีกฝ่ายจะทำท่าไม่พอใจอะไรเธอรึเปล่า

“เอ่อ พี่ปฐพีจะสู้กับ…ผมแน่รึครับ”

“แน่สิ” ปฐพีตอบก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ “จะเข้ามาก็มาเลย พี่จะคอยตั้งรับอย่างเดียว”

รัตติแอบกลืนน้ำลายก่อนจะตั้งท่าพร้อมจะสู้บ้าง

“งั้นต้องรบกวนพี่หน่อยแล้วครับ”

................

 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 37 ทวีปหลัก (update 100%) P.3 2/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 09:40:50
บทที่ 39 ฝึกวิชา

...................

“งั้นต้องรบกวนพี่หน่อยแล้วครับ”

เมื่อเด็กหนุ่มนามว่ารัตติพูดจบก็พุ่งตัวออกไปข้างหน้าก่อนจะยกเท้าขึ้นหมายจะเตะสีข้าง หากแต่ปฐพีเห็นจึงรับได้ทันท่วงที

ผัวะ! ครูด!

1300


ปฐพีกันได้ทันก็จริงแต่ก็ถอยหลังไปตามแรงเตะจนพื้นขูดเป็นรอยยาว

ให้ตายสิ! เตะแรงชะมัดยาด

ปฐพีกัดฟันคิดในใจ เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าแขนขวาเริ่มชาจนลามไปถึงกระดูก

“โจมตีต่อสิ” ปฐพีบอกเมื่อเห็นว่าน้องรัตติไม่ยอมเข้ามาสักที แต่ผู้ถูกเรียกกลับยืนนิ่ง “เป็นอะไรไป ทำไมไม่โจมตีต่อล่ะ”

“คือผม…ผมว่าพี่สู้กับผมเลยดีกว่านะครับ”

“ทำไมล่ะ น้องไม่กลัวจะตายรึไง” ปฐพีบอกเสียงเรียบ “แต่ถึงตายแล้วกลับมาเกิดในเรือต่อได้ก็เถอะ แต่ความตายในเกมมันเจ็บปวดเหมือนจริงมากนะ”

เด็กหนุ่มผมสีเงินสั้นส่ายหน้า

“ผมไม่กลัวความตายครับ”

“แน่ใจงั้นรึ?” ปฐพีถามย้ำอีกรอบ

“ครับ เชิญพี่ลงมือได้เต็มที่” เมื่อเด็กหนุ่มตอบยืนกรานอย่างหนักแน่นแล้ว ปฐพีก็ต้องได้แต่ทำตามคำขอ

“เฮ้ย ปฐพีเบามือหน่อยนะเว้ย อย่าเอาให้ถึงตายเชียวล่ะ” ศาสตราตะโกนบอก

“อืม” ปฐพีตอบโดยไม่หันหน้าไปมองศาสตรา แต่จับจ้องรัตติอย่างครุ่นคิด เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะเร็วแล้ว ยังมีฝีมือการโจมตีที่หนักหน่วงอีกด้วย ซึ่งปฐพีคิดว่านี่คงเป็นเพราะทักษะการรวมร่างผนวกกับพลังของมังกร จึงทำให้น้องรัตติแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้

ฝีมือดีแบบนี้ ชักชวนเข้ามาอยู่ในสมาคมดีกว่า

แล้วทั้งคู่ต่างมองหน้าก่อนพลันเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

ผลัก! ผัวะ! ตุบ! บึก!

1200

1228

1237

1500

1234


เสียงตบต่อยเตะตีกันรัวกับตัวเลขดาเมจขึ้นกระจายทำเอาพิภพกับศาสตราถึงกับอ้าปากค้าง เพราะทั้งคู่ไม่คิดว่ารัตติจะสามารถสู้สูสีได้เท่ากับปฐพีเลยสักนิด ส่วนปฐพีเองก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือดีถึงขนาดนี้ ทว่าพอสู้กันไปได้สักพัก ปฐพีก็ชักรู้สึกแปลกๆกับรูปแบบการต่อสู้ของรัตติ

เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…

ในขณะที่ปฐพีกำลังจะนึกถึงวิธีการต่อสู้ของรัตติออกอยู่แล้ว จู่ๆร่างของเกรียนเมพรัตติมาริโอเกิดเปล่งแสงออกมา ทำเอาปฐพีถึงกับรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว

วูบ!

พอแสงหายไป ร่างของรัตติก็แยกออกมาจากมาริโอ

“ว้า หมดเวลาแล้วรึเนี่ย” มาริโอบ่นด้วยความเสียดาย ส่วนรัตติที่เพิ่งจะแยกออกมาจากร่างมาริโอถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสับสน แต่พอรู้สึกว่าโดนแยกร่างออกมาแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาหาพี่ปฐพี

“จะรวมร่างต่ออีกไหม” ปฐพีถามเพราะอยากจะสู้ต่อ ทว่าน้องรัตติกลับส่ายหน้า

“ผมว่าผมขอแยกไปฝึกเองดีกว่านะครับ”

“อ้าวทำไมล่ะน้องรัตติ พี่ยังดูไม่จบเลยนะ” ศาสตราแย้ง ทำเอาพิภพต้องเอาศอกถองเข้าที่ท้องศาสตราด้วยความหมั่นไส้

“เชิญน้องฝึกตามสบายเลยนะ พวกพี่ไม่ห้าม จริงไหมปฐพี” พิภพหันไปถามปฐพี ซึ่งเขาพยักหน้าตอบ แล้วหลังจากนั้นปฐพีก็ได้เอ่ยปากชักชวนรัตติกับมาริโอให้เข้าสมาคมจับฉ่ายของพวกเขา แน่นอนว่าอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมยังมีเรื่องที่จะต้องทำอีกมาก ไม่สามารถเข้าร่วมด้วยได้” แล้วรัตติกับมาริโอก็ขอตัวแยกย้ายไปฝึกห่างๆจากจุดที่พวกเขาอยู่ ส่วนพวกปฐพีก็หันมาซ้อมดาบกันเอง ซึ่งในช่วงสองอาทิตย์ของห้องนี้หรืออีกสองชั่วโมงในเกม รัตติก็ใช้เวลานั่งศึกษาทักษะที่ตัวเองได้มาในช่วงจำความไม่ได้บ้าง สู้กับมาริโอด้วยมือเปล่าบ้าง หรือไม่ก็ซ้อมการรวมร่างกับมาริโออยู่หลายสิบเที่ยว ซึ่งผลลัพธ์ก็คือรัตติสามารถรวมร่างได้อย่างมากแค่ห้านาทีเท่านั้น แล้วก็ดูของที่ได้รับมาจากภารกิจพิเศษในดินแดนเอลฟ์ด้วยบ้าง เดินไปดูพวกปฐพีสู้กันเองบ้าง หรือไม่ก็ขอให้พวกเขาช่วยสอนวิธีการเล่นนักดาบแบบสองสาย ซึ่งไม่พ้นพิภพที่จะสอนคร่าวๆเพราะได้เห็นรูปแบบการต่อสู้ของปฐพีมาก่อนแล้ว แต่พิภพสอนได้แค่เบื้องต้น เพราะนอกเหนือจากนั้นให้รัตตินำไปประยุกต์เอง

................

หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป รัตติกับมาริโอก็ได้ออกจากห้องก่อนจะตั้งโปรแกรมของห้องเพื่อฝึกกันเองสองคน ซึ่งแน่นอนว่ารัตติสั่งให้มาริโอฝึกบริหารร่างกายตามตารางที่พี่ธิดาเคยให้ไว้ ส่วนตัวเธอเองก็ด้วยเช่นกัน

“ข้าเหนื่อยแล้วนะรัตติ เมื่อไหร่จะให้พักได้ซักที” มาริโอบ่นพลางนั่งลงกับพื้นหอบหายใจเหนื่อยๆ ซึ่งทำให้รัตติที่กำลังวิดพื้นด้วยนิ้วชี้ข้างเดียวเงยหน้าขึ้นมามอง

“ไม่ได้” แล้วเธอก็วิดพื้นต่อโดยไม่สนใจสีหน้าอันอิดโรยของมาริโอ “อยากจะแกร่งอวดสาว ก็ต้องหมั่นฝึกฝนร่างกาย”

“ข้ารู้น่ารัตติ แต่ขอพักหน่อยเดียวไม่ได้รึไง”

“ไม่ได้”

“น่านะรัตติ ขอแค่ยี่สิบนาที”

“ไม่ได้”

“งั้นสิบห้านาที”

“ไม่ได้”

“สิบนาที”

“ไม่”

“ห้านาทีเลยเอ้า” รัตติถอนหายใจแรงๆเมื่อมาริโอเถียงอย่างไม่ยอมแพ้

“พักห้านาทีก็ห้านาที แต่หลังจากนั้นต้องฝึกต่อให้จบวันนี้ล่ะ”

“อื้อ” มาริโอตอบก่อนจะล้มตัวลงนอนทันที “คร่อกกก ฟี้!”

รัตติได้ยินเสียงกรนของมันก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันมาวิดพื้นต่อจนเสร็จ แล้วจึงหันไปปลุกมาริโอต่อด้วยการใช้แส้ฟาดสองสามรอบ ซึ่งทำเอามาริโอรีบลุกขึ้นมาฝึกตามตารางต่อด้วยความกลัว หลังจากฝึกเกือบได้สองอาทิตย์ของห้องแล้ว ทักษะพัฒนาร่างกายของรัตติก็เพิ่มขึ้นมาระดับสิบแล้ว ส่วนพลังจิตนั้นรัตติคิดว่าจะลองเรียกไฟดูตามที่ศาสตราเคยสอนเอาไว้

“จำไว้ให้ดีนะน้องรัตติ การจะเรียกไฟนั้นน้องต้องจินตนาการถึงภาพของเปลวไฟมันขึ้นมา แล้วค่อยร่ายเวทย์นะ ส่วนบทเวทย์นั้นก็แล้วแต่น้องจะร่าย เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว จะร่ายออกมายังไงก็แล้วแต่น้อง”

มันฟังดูง่ายแต่พอจะทำมันยาก!

รัตติครุ่นคิดอย่างหนักใจ แต่แล้วเธอก็นั่งลงขัดสมาธิก่อนจะทำจิตใจให้สงบ พยายามคิดถึงภาพเปลวไฟสีแดงที่กำลังลุกโชนด้วยความร้อนแรง

“ไฟ! ไฟไหม้!”

“ท่านได้รับทักษะเวทย์ไฟระดับ1”

เสียงมาริโอร้องโวยวายก่อนจะตามด้วยเสียงของระบบประกาศบอกในหัว ทำให้รัตติหลุดห้วงสมาธิก่อนจะลืมตาขึ้นมามอง เผยให้เห็นภาพเบื้องหน้าของเธอที่มีเปลวไฟสีฟ้าก้อนใหญ่เท่าบ้านกำลังลุกไหม้

ให้ตายสิ มัวแต่คิดถึงภาพไฟเลยลืมกะปริมาณพลังเวทย์ของตัวเองไปซะสนิท!

รัตติหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะนึกภาพเปลวไฟที่มีขนาดเล็กเท่าลูกเทนนิส แล้วเสียงมาริโอก็พูดขึ้นว่า

“อ๊ะ ไฟลดลงแล้ว” รัตติลืมตามองขึ้นอีกครั้งซึ่งคราวนี้ไฟสีฟ้าเหลือเท่าลูกเทนนิสจริงๆ

บังคับยากเหมือนกันวุ้ย!

“นี่ๆรัตติ เจ้าเป็นคนร่ายเวทย์เองเหรอ” มาริโอถามพลางเดินเข้ามาดูลูกไฟ

“อืม”

“แล้วทำไมข้าถึงไม่ได้ยินบทร่ายของเจ้าล่ะรัตติ” มาริโอถามอีกครั้งอย่างสงสัย “เอ หรือว่าเจ้าเรียกไฟได้โดยไม่ต้องร่ายบทเวทมนตร์ให้เสียเวลา”

คำถามของมาริโอทำเอารัตติชะงัก

นั่นสิ เมื่อกี้นี้เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยซักคำนี่

แล้วรัตติก็โบกมือไปมา ทำให้ไฟสีฟ้าที่ลุกอยู่กลางอากาศก็พลันดับลง ก่อนจะหันไปเปิดหน้าต่างสถานะของตัวเองเพื่อดูทักษะใหม่ที่เพิ่งจะได้มา

ทักษะ (ร่างมนุษย์)

-เวทย์ไฟ (ระดับ1)


ทักษะร่างมนุษย์?

รัตติมองพลางขมวดคิ้วคิด แต่พอเปิดหน้าต่างถัดไปซึ่งเป็นหน้าต่างที่รัตติไม่ค่อยได้เปิดบ่อยรึไม่ก็ข้ามไปเพราะไม่ได้สนใจ

ทักษะ (ในร่างมังกร)

1.วิญญาณมังกร (ระดับ1) ทักษะติดตัว

2.การต่อสู้เบื้องต้น

-กัด (0)

-ต่อย (0)

-กรงเล็บ (2)

-ฟาดหาง (10)

-บิน (0)

-โหม่ง (0)

-พ่นไฟ (7)


รัตติได้เห็นทักษะแล้วถึงกับขมวดคิ้ว

สงสัยได้ทักษะมาตอนแปลงร่างเป็นมังกรเมื่อคราวนั้นล่ะมั้ง? รัตติคิดเสร็จก็พลันเหลือบเห็นคำว่าทักษะบินที่ยังคงเป็นศูนย์อยู่ จะว่าไปยังไม่ได้ลองหัดบินเลยนี่นะ ไหนๆก็ว่างแล้วลองแปลงร่างแล้วหัดบินดีกว่า

แล้วรัตติก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะทำสมาธิเพื่อแปลงร่างเป็นมังกร

“อ้าว แล้วนั่นเจ้าคิดจะทำอะไรอีกล่ะรัตติ” มาริโอถามทันทีที่เห็นรัตติลุกขึ้นยืน

“บินนะ” รัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “เงียบหน่อยนะมาริโอ เพราะข้าต้องการสมาธิ”

พอรัตติเห็นว่ามาริโอเงียบไปแล้ว เธอก็หันมาทำสมาธิต่อซึ่งเวลาผ่านไปได้แค่หนึ่งนาที ร่างกายของรัตติก็ได้เปล่งแสงจนมาริโอต้องรีบหลับตาลงเพราะแสบตา

โฮก!

เสียงมาก่อนที่แสงจะดับวูบ มาริโอลืมตาขึ้นมองก่อนจะเผยอปากด้วยความตะลึง เพราะภาพเบื้องหน้าของมันเป็นร่างมังกรสีเพทายฟ้าอ่อนตัวใหญ่เท่าตึกสองชั้นแลดูน่ากลัวอย่างยิ่ง

หึ เป็นไงมาริโอ ข้าตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมไหม

เสียงพรายกระซิบดังแว่วในหัวมาริโอ ซึ่งมันได้ยินก็รีบพยักหน้าอย่างเร็ว

“ใหญ่สิ และน่ากลัวด้วย!”

ฮะๆ อย่างงั้นเองหรอกรึ รัตติพูดไปหัวเราะไป การแปลงร่างครั้งนี้ต่างจากที่แล้วมา เพราะระดับของเธอได้สูงขึ้น จึงทำให้ร่างกายมังกรพลอยสูงขึ้นไปตามด้วย เดี๋ยวข้าจะลองฝึกบิน เจ้าช่วยถอยไปห่างๆสักสองร้อยเมตรก่อนได้ไหม

“อื้อๆเข้าใจแล้วล่ะ” มาริโอตอบก่อนจะวิ่งออกไปตามที่รัตติสั่งอย่างเร็ว เมื่อรัตติเห็นว่ามาริโอวิ่งออกไปได้ไกลพอแล้ว จึงค่อยขยับปีกไปมาจากที่เคยเชื่องช้าก็ค่อยเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งปีกโบกสะบัดได้เร็ว ซึ่งก่อให้เกิดลมพัดแรงจนมาริโอปลิวไปอีกห้าร้อยเมตรได้

“เหวอ! สะบัดปีกให้มันเบาๆหน่อยสิรัตติ!” แล้วร่างของรัตติก็ค่อยสูงขึ้นๆจนกระทั่งเท้าของรัตติลอยเหนือพื้น

สำเร็จ!

บินได้แล้ว!


พอรู้ว่าบินได้แล้ว รัตติก็รีบสะบัดปีกพาตัวเองบินขึ้นกลางอากาศทันที ซึ่งโชคดีที่ห้องนี้เป็นห้องพิเศษ จึงไม่มีเพดานที่จะทำให้รัตติต้องบินขึ้นไปโหม่งให้เจ็บตัวเอาได้

“สุดยอดเลยรัตติ! เจ้าบินได้แล้ว!” มาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจ ซึ่งหลังจากนั้นรัตติก็ทดลองบินอยู่เกือบชั่วโมง ก่อนจะเรียกให้มาริโอมานั่งบนหลังของตัวเองแล้วพามันบินไปทั่วห้องอย่างสนุกสนาน

....................

 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 37 ทวีปหลัก (update 100%) P.3 2/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 09:45:49
บทที่ 40 วิชาประยุกต์

.........................

หลังจากที่รัตติพามาริโอบินเล่นอย่างสนุกสนานแล้ว ก็พาเข้านอนในเต็นท์เพื่อพักผ่อนเอาแรงซ้อมวิชาในวันถัดไป ซึ่งโชคยังดีที่ในห้องฝึกวิชายังพอมีระบบบอกเวลาให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาในห้องเป็นเวลาอะไร แถมยังบอกเวลาในเกมด้วยว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร และยิ่งกว่านั้นพอถึงหกโมงเย็นแล้ว ภายในห้องก็จะมืดสนิทเหมือนตอนกลางคืนอีกด้วย

ช่างทำได้โอเว่อจริงๆนะเกมนี้

เช้าวันต่อมารัตติกับมาริโอฝึกฝนตามตารางของพี่ธิดาอีกตามเคย พอฝึกเสร็จรัตติก็นั่งฝึกพลังเวทย์ไฟต่อ ซึ่งผลออกมาเป็นไปตามรูปแบบที่รัตติต้องการ

แล้วถ้าเป็นธาตุอื่นล่ะ?

รัตติคิดได้ดังนั้นก็ลองหลับตานึกถึงภาพของคลื่นน้ำทะเลที่ซัดหินเบาๆไม่แรงมากนัก

ซ่า!

เสียงน้ำดังขึ้นพร้อมกับความเย็นที่ซัดเข้ากระจายหน้าของตัวเอง ทำเอารัตติสะดุ้งลืมตาตื่น

“เฮ้ย น้ำมาจากไหนเนี่ย” มาริโอบ่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรัตติที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ “อ้าว เจ้าก็โดนน้ำไปด้วยรึรัตติ เอ อย่าบอกนะว่าเจ้าเรียกน้ำออกมานะ”

“อืม”

เจ๋ง!

แค่นึกภาพ เวทมนตร์มันก็ออกมาเองโดยอัตโนมัติ!

แล้วรัตติก็ลองหลายๆธาตุ เช่นธาตุดิน ธาตุลม ธาตุแสงสว่าง และธาตุมืดซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ ดังนั้นรัตติจึงลองดัดแปลงธาตุให้เป็นอย่างอื่น อย่างธาตุลมก็ดัดแปลงให้ร่ายออกมาเป็นสายฟ้าเป็นต้น ซึ่งหนูทดลองเวทย์ให้รัตตินั้นจะเป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกเสียจากมาริโอ ทีแรกมันไม่ยอมเอาแต่ร้องไห้เพียงอย่างเดียว รัตติก็เลยยื่นข้อเสนอไปว่าถ้ามาริโอยอมเป็นหุ่นให้รัตติลองวิชา รัตติจะให้ออกเดทกับปลา มันก็เลยยอมเป็นหนูทดลองอย่างว่าง่าย หลังจากรัตติได้ทดลองเวทย์จนพอใจแล้ว คราวนี้ลองหันมาสวมแหวนเพิ่มพลังเวทมนตร์ระดับสิบกับหยิบคทาเวทมนตร์ระดับสิบขึ้นมาลองใช้ดูบ้าง ซึ่งผลก็คือเวทมนตร์แรงขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ รัตติก็เลยเดาได้ว่ามันคงเป็นเพราะเธอไม่ใช่นักเวทย์โดยตรง ก็เลยทำให้แรงอยู่ได้แค่นั้น

เป็นนักดาบสายเวทย์น่าจะมีอะไรมากกว่านี้สิ

รัตติครุ่นคิดอย่างปวดหัว เพราะเธอไม่รู้จะทำยังไงต่อดี ได้แต่เรียกไฟสีฟ้าออกมาดูเล่นๆ

“เฮ้ รัตติขอข้าจับดาบคาตานะเล่นได้ไหมล่ะ” มาริโอถามพลางทำท่าจะหยิบดาบคาตานะที่วางอยู่บนพื้นข้างรัตติที่นั่งอยู่

“อ๊ะ ไม่ได้นะมาริโอ ของแบบนี้เด็กห้ามเล่นเด็ดขาด” รัตติร้องห้ามไม่ให้มาริโอจับพร้อมกับเอามือวางกดปลายดาบคาตานะไม่ให้มาริโอได้หยิบไป

ฟู่!

จู่ๆดาบคาตานะที่รัตติสัมผัสอยู่นั้นเกิดประกายขึ้นมา ทำให้มาริโอรีบถอยมือหนีด้วยความตกใจ

“เหวอ ไฟมันจะเผาดาบแล้ว!” ซึ่งแทนที่ไฟจะเผาดาบตามที่มาริโอว่าเอาไว้ กลับหยุดนิ่งอยู่แค่ส่วนคมดาบเท่านั้น “อ้าว หยุดแล้วนี่ เฮ้อ นึกว่าจะไหม้หมดซะแล้ว”

พอรัตติเอามือออกจากดาบ ไฟก็พลันหายไปจากดาบทันที แต่พอแตะลงไปใหม่ ไฟมันก็ลุกท่วมอีกครั้ง ซึ่งรัตติลองทำสลับไปสลับมาอยู่อย่างนี้สิบรอบได้

นึกอะไรดีๆออกแล้ว!

รัตติคิดในใจก่อนจะหยิบดาบขึ้นมา ซึ่งทำเอามาริโอที่มองอยู่ถึงกับงุนงง

“คิดจะทำอะไรงั้นรึรัตติ”

“ลองอะไรดูเล่นๆนะ” รัตติตอบพลางจ้องดาบอย่างนึกสนุก “มาริโอ ช่วยถอยออกไปห่างๆข้าหน่อยได้ ประเดี๋ยวจะโดนลูกหลง”

“ได้สิ” มาริโอตอบพลางเดินถอยออกห่าง พอรัตติเห็นว่ามาริโอเดินถอยห่างไปแล้ว รัตติก็เอามือข้างที่ว่างแนบกับตัวดาบก่อนจะเรียกไฟออกมาอีกครั้ง

ฟู่!

แล้วไฟสีฟ้าก็ลุกขึ้นท่วมดาบจนเกือบหมด จะยกเว้นก็ต้องที่ส่วนจับที่รัตติพยายามควบคุมไม่ให้มันลามท่วมที่มือของเธอเอง เมื่อควบคุมไฟให้อยู่กับดาบคงที่แล้ว รัตติก็หันไปทางพื้นที่ว่างเปล่าก่อนจะตวัดดาบไปยังจุดนั้น

ขวับ! ตูม!

ตวัดดาบเพียงครั้งเดียว ไฟสีฟ้าก็ลอยออกจากดาบก่อนจะกระเด็นลงพื้นเสียงดังสนั่น

“ท่านได้คิดค้นวิชาลับใหม่ กรุณาระบุชื่อท่าไม้ตายของท่านด้วยค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอกในหัวรัตติ ซึ่งทำเอารัตติขมวดคิ้วคิด

ตายจริง ยังไม่ทันคิดเลย

“เวรกรรม”

“ท่านได้รับทักษะเวรกรรมระดับ1”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งทำเอารัตติอ้าปากค้าง

ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิฉันขอสาบานว่าจะไม่ใช้ไอ้ทักษะนี้เลยตลอดชีวิต!

เมื่อได้ชื่อท่าไม้ตายแล้ว รัตติก็รีบเปิดดูหน้าต่างทักษะทันที

ทักษะ

-เวรกรรม (1)

วิธีใช้ ร่ายเวทย์ไฟผสานโดยให้สัมผัสเนื้อดาบทำให้เกิดประกายไฟ

ผลลัพธ์ ลดค่ามานา 5 หน่วย


ทักษะเวรกรรมจริงๆด้วย รัตติคิดพลางเอามือกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้ม ลองหาวิธีอื่นดูบ้างดีกว่า เผื่อมันจะใช้แทนกันได้

คราวนี้รัตติลองเรียกพลังลมออกมาก่อนจะเอามือแนบกับเนื้อดาบ ซึ่งทำให้ลมพัดหมุนรอบตัวดาบไปมา แล้วรัตติก็ตวัดดาบไปยังพื้นที่ว่างเปล่าอีกครั้ง

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ตูม!

ลมออกดาบแลดูเป็นจันทร์เสี้ยวก่อนจะพัดตกลงกับพื้นเสียงดังสนั่น

“ท่านได้คิดค้นวิชาลับใหม่ กรุณาระบุชื่อท่าไม้ตายของท่านด้วยค่ะ”

“ลมครึ่งเสี้ยว”

“ท่านได้รับทักษะลมครึ่งเสี้ยวระดับ1”

รัตติตั้งชื่อทักษะเสร็จแล้วก็พลันเหลือบมองมาริโอ ซึ่งทำเอาคนถูกมองสะดุ้ง

“อะไรรัตติ มองข้าทำไม” มาริโอพูดพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อย “หรือว่าจะให้ข้าเป็น…หนูทดลองอีกนะ”

“ถูกต้อง”

สิ้นคำตอบของรัตติ ทำเอามาริโอถึงกับตัวแข็ง สุดท้ายแล้วรัตติก็ได้ทักษะใหม่อีกห้าทักษะ นั่นก็คือ ทักษะลมครึ่งเสี้ยวที่มาจากเวทย์ลม ทักษะหยาดน้ำค้างมาจากเวทย์น้ำ ทักษะถล่มปฐพีมาจากเวทย์ดิน ทักษะประกายแสงที่มาจากเวทย์ธาตุแสงสว่าง ส่วนทักษะสุดท้ายนั้นเป็นทักษะผ่ารัตติกาล ซึ่งรัตติไม่คิดจะใช้หากไม่จำเป็นจริงๆ เพราะตอนที่รัตติลองกับมาริโอนั้น มาริโอเกือบเจียนตายจนรัตติต้องรีบป้อนน้ำยาเพิ่มพลังให้กับมันถึงจะฟื้นเป็นปกติ

“ไม่เอาอีกนะรัตติ ไอ้พลังความมืดนั่นนะ” มาริโอพูดด้วยเสียงหวาดหวั่น “มันน่ากลัวเหลือเกิน ตอนที่พลังความมืดนั้นโดนข้าแล้ว มันก็เข้าครอบงำข้าจน…จนข้ารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”

รัตติฟังพลางพยักหน้าตอบตกลง เพราะตอนลองเวทย์กับดาบ เธอกลัวว่ามาริโอจะเจ็บหนักเกินไป จึงใส่เวทย์ไปเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ดีนะที่ตอนลองร่ายเวทย์ธาตุมืดครั้งแรก เธอไม่ได้เอามาริโอเป็นหนูทดลองด้วย

ไม่งั้นมาริโอได้ไปเฝ้ายมบาลแน่

ทว่ารัตติลืมฉุกคิดไปว่าเกมนี้ได้ตั้งโปรแกรมบางอย่างไว้ ซึ่งเจ้านายไม่สามารถฆ่าทาสรับใช้ได้หากโดนลูกหลงพลังของตัวเองเข้าไป หลังจากได้ฝึกวิชาจนเวลาผ่านไปแปดอาทิตย์ของห้องแล้ว รัตติก็พามาริโอเดินออกจากห้องซึ่งเวลาในเกมตอนนี้ก็เป็นตอนเที่ยงวันของวันแรกที่รัตติได้ขึ้นเรือลำนี้

“ไปกินข้าวกลางวันกันเถอะรัตติ ข้าชักหิวๆแล้วสิ” มาริโอพูดชักชวนรัตติพลางเอามือลูบท้องตัวเองไปมา

“อืม ก็เอาสิ”

รัตติตอบก่อนจะพามาริโอไปยังโรงอาหารของเรือ ซึ่งพอเข้าไปแล้วรัตติก็พบว่ามีผู้เล่นมากมายหลายอาชีพนั่งเกาะกลุ่มจับเข่าคุยกัน บ้างก็นั่งรับประทานอาหารไปคุยไปด้วยก็มี

“น้องรัตติทางนี้!”

เสียงคุ้นหูตะโกนพลางโบกมือให้เป็นสัญญาณ ทำให้รัตติต้องหันไปมองก่อนจะพบว่าคนเรียกเธอนั้นเป็นศาสตรา จึงเดินจูงมาริโอเดินไปหาศาสตราด้วยพร้อมกัน แล้วรัตติก็ได้เจอกับสามหนุ่มอีกครั้งซึ่งกำลังนั่งอยู่

“การฝึกเป็นยังไงบ้างน้องรัตติ” พิภพถามทันทีที่เห็นรัตติเดินมาถึงแล้ว ซึ่งทำเอาเธอยิ้มแห้งๆ

“ก็ได้ทักษะใหม่มาห้าหกทักษะได้นะครับ”

“โอ้ ไม่เลวนี่น้อง อยู่ในนั้นตั้งหลายชั่วโมงได้มาเยอะเหมือนกันนี่เรา” ศาสตราพูดชม “ว่าแต่น้องรัตติได้ทักษะอะไรบ้างล่ะ”

พอถูกศาสตราถาม รัตติแทบกลืนน้ำลายไม่ลงคอ

“เอ่อ ผม...คือ”

“จะยืนอีกนานแค่ไหน รีบนั่งลงซะ จะได้ทานข้าวกลางวันสักที”

ปฐพีพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ซึ่งทำเอาทุกคนต้องรีบนั่งลงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะระเบิดอารมณ์เสียก่อน

.....................

หลังทานข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ศาสตรากับพิภพก็ได้ชวนรัตติกับมาริโอเข้าไปฝึกวิชาในห้องฝึกวิชาด้วยกันอีก ซึ่งคราวนี้เธอไม่ได้ปฏิเสธเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจะเห็นทักษะใหม่ของเธอ

“เดี๋ยวพวกพี่จะตั้งเวลาฝึกในห้องนี้เป็นแปดอาทิตย์หรือก็คือสี่ชั่วโมงในเกม เข้าใจไหมน้อง”

“ครับพี่ศาสตรา”

แล้วพอเข้าไป รัตติก็บอกพวกเขาว่าจะขอวอร์มร่างกายก่อน ซึ่งสามหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะแยกย้ายกันไปวอร์มร่างกายของตัวเองบ้าง

“มาริโอ คราวนี้เพิ่มอีกสองร้อยหน่อยนะ” รัตติหันไปบอกมาริโอ

“อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ”

มาริโอตอบ ซึ่งทีแรกสามหนุ่มได้ยินก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะพวกเขาคิดว่าสองคนนี้คงจะเพิ่มจำนวนการวอร์มอัพอะไรสักอย่าง จึงไม่ได้หันหลังกลับไปดู

“ค่อยๆขึ้นนะมาริโอ”

“อืม”

“อ๊ะ มาริโออย่าจับตรงนั้นสิ มันจั๊กจี้นะ”

“แหม เรื่องมากจริงวุ้ย”

“จับตรงนั้นแหละ อ๊ะ ไม่ใช่ตรง…อ๊า ไม่เอานะมาริโอ อย่าจับตรงนั้น มัน อุ มันเจ็บ”

“บ๊ะ ทนเจ็บแค่นี้จะเป็นไรไป พวกเราทำมากันตั้งหลายรอบแล้วนะ”

“ก็ อ๊า มัน อึก เจ็บ อ๊าโอยเบาๆหน่อยสิ”

เสียงที่ได้ยินทำเอาสามหนุ่มทนฟังไม่ได้ จึงรีบหันกลับไปเพื่อตวาดทั้งคู่

“เฮ้ยทำอะไรนะ! เดี๋ยว…”

สามหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ ก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

“ค่อยๆนะมาริโอ ประเดี๋ยวจะตก” รัตติพูดในขณะที่ตัวเองกำลังห้อยหัวลงพื้นโดยมีนิ้วชี้ขวาข้างเดียวคอยยันพื้น ส่วนมือข้างที่ว่างก็จับตัวมาริโอที่กำลังปีนขารัตติขึ้นไปนั่งอยู่บนฝ่าเท้า “เฮ้ย เบาหน่อยสิ เล่นบีบขาข้าซะแรง เดี๋ยวเกล็ดของข้าก็ได้โผล่ขึ้นมาอีกหรอก”

“เออ โทษทีๆ ก็คนมันกลัวความสูงนี่หว่า”

เพล้ง!

อ้อ ที่แท้ก็เล่นหกสูงกันนี่เอง!

สามหนุ่มคิดแล้วก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลงนึกว่าสองคนนี้จะมีอะไรกันในเกมซะอีก

“ว่าแต่เมื่อกี้นี้พวกพี่พูดอะไรกับพวกผมเหรอครับ”

รัตติที่เล่นหกสูงหันมาถามสามหนุ่ม ซึ่งทั้งสามต่างส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ ก่อนจะหันไปวอร์มอัพของตัวเองต่อ พอวอร์มอัพเสร็จแล้ว รัตติกับมาริโอก็มานั่งรอสามหนุ่มวอร์มอัพ ซึ่งการวอร์มร่างกายของพวกเขาแตกต่างจากรัตติก็ตรงที่ต่อสู้กันเองโดยใช้มือเปล่านั่นเอง แล้วรัตติก็นั่งรอจนกระทั่งสามหนุ่มหยุดพักหอบหายใจ

ดูท่าจะเป็นการวอร์มอัพที่เปลืองแรงจริงๆเลยเด็กพวกนี้!

รัตติคิดพลางลุกขึ้นยืน

“วอร์มอัพเสร็จแล้วเหรอครับ”

“แฮ่กๆ อืม” ศาสตรากับพิภพตอบพร้อมกัน ยกเว้นปฐพีที่ไม่พูดอะไรกับเธอสักคำ เอาแต่เช็ดเหงื่ออยู่ท่าเดียว “เดี๋ยวพวกพี่ขอเติมพลังก่อน ส่วนน้องจะลองท่าก็ลองได้เลยนะ”

“ครับ”

รัตติตอบก่อนจะหันไปสะกิดมาริโอที่นั่งหลับไปแล้ว

“ฮะ ถึงตาพวกเราแล้วเหรอรัตติ” มาริโอพูดด้วยเสียงงัวเงีย

“อืม ใช่ ทำแบบเดิมนะมาริโอ เดี๋ยวข้าจะซื้อไอติมเพิ่มให้อีกทีหลัง”

“เอารสช็อกโกแลตนะ ไม่เอากาแฟ”

“ได้สิ แล้วจะจัดให้นะ”

สามหนุ่มได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจว่ารัตติกับมาริโอพูดอะไรกัน แล้วมาริโอก็รีบลุกขึ้นก่อนจะออกเดินไปห่างๆสามหนุ่มพร้อมกับรัตติ

“นั่นน้องจะเดินไปไกลถึงไหน แค่ลองทักษะให้พวกพี่ดู ไม่เห็นจำเป็นต้องไปลองไกลๆเลยนี่”

ศาสตราถามทันทีที่เห็นพวกรัตติเดินออกห่างมากเกินไป

“คือผมยังควบคุมพลังไม่ค่อยเก่งนะฮะ ก็เลยกลัวว่าพลังของผมจะไปโดนพวกพี่เข้า”

“โอ้ย แค่นี้เรื่องจิ๊บๆ เชิญน้องทดลองได้ตามสบายเลย ไม่ต้องเป็นห่วงพวกพี่หรอก”

ศาสตราบอกพลางโบกมือไปมา

“แน่นะครับว่าให้พวกผมทดลองใกล้ๆได้นะ” รัตติถามอย่างลังเล

“อืม ได้สิ”

เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจน รัตติกับมาริโอก็เดินกลับเข้ามาใกล้

“พร้อมนะมาริโอ หลบให้ดีๆล่ะ” รัตติพูดก่อนจะชักดาบคาตานะสีดำออกมาถือไว้ข้างตัว

“อื้อ พร้อมอยู่แล้ว”

มาริโอพูดพลางตั้งท่าคล้ายกับนักฟุตบอลที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู เมื่อมาริโอพูดจบ คลื่นพลังเวทย์ก็ไหลเวียนออกมาจากร่างรัตติ แล้วรัตติก็เอามือข้างที่ว่างแนบที่ตัวดาบก่อนจะมีน้ำปรากฏออกมาจากมืออย่างน่าอัศจรรย์ใจ

สุดยอด!

เรียกน้ำได้โดยไม่ต้องร่ายบทเวทมนตร์สักคำเดียว?!


“ไปเลยหยาดน้ำค้าง!”

รัตติตะโกนพลางตวัดดาบขึ้นท้องฟ้า ทำให้น้ำที่เคยไหลเวียนวนดาบก็พัดหมุนกับพื้นก่อนจะลอยขึ้นท้องฟ้าคล้ายกับพายุเฮอริเคน ซึ่งมันหมุนวิ่งเข้าหามาริโออย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

“อ๊ะ อันตราย!”

ศาสตรากับพิภพพูดอย่างลืมตัว แต่ทว่ามาริโอกลับกระโดดหลบได้ทันท่วงที แล้วคลื่นน้ำพายุนั่นก็ค่อยหมุนตัวขึ้นฟ้าก่อนจะสลายไปกับอากาศอย่างรวดเร็ว

พลังเวทย์ธาตุน้ำแรงโคตร!

นี่ขนาดเป็นธาตุน้ำยังโจมตีแรงขนาดนี้

แล้วถ้าเป็นธาตุไฟหรือธาตุอื่นๆไม่ยิ่งแรงกว่าเลยรึ!


ศาสตรากับพิภพคิดในใจพลางกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก ซึ่งไม่เว้นกับปฐพีที่หยุดเช็ดเหงื่อไปแล้ว

“ไม่เลวนี่มาริโอ หลบพลังน้ำได้ทัน” รัตติพูดชมก่อนจะพูดต่อ “แต่คราวหน้าช่วยหลบเร็วให้กว่านี้หน่อยนะ”

นี่ยังจะให้หลบเร็วๆอีกรึคุณน้อง!

“อืม ข้าจะพยายาม”

มาริโอก็อีกคน ยังจะทำเมินเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้!

สองหนุ่มครุ่นคิดอย่างหนักใจ แล้วหลังจากนั้นรัตติก็ได้ทดลองอยู่หลายธาตุให้พวกสามหนุ่มดูจนเกือบครบหมด จะเหลือก็แต่ธาตุไฟที่รัตติไม่ยอมแสดงให้พวกเขาได้ดู

“ธาตุไฟล่ะครับน้องรัตติ พวกพี่อยากดู”

พิภพถามอย่างสงสัยในขณะที่ตอนนี้พวกเขาได้เขยิบออกมานั่งดูห่างๆสักร้อยเมตรเห็นจะได้ ซึ่งคนถูกถามได้แต่เอานิ้วเกาแก้มด้วยความเขินอาย

“เอ่อ...คือ ธาตุไฟ...ผมยังไม่พร้อมนะครับ”

“ไม่พร้อมยังไงล่ะ ไหนลองให้ดูหน่อยสิ เผื่อพี่จะช่วยน้องได้”

คราวนี้คนพูดเป็นปฐพี ซึ่งทำเอารัตติแย้งไม่ออก

“ก็ได้ครับ” รัตติตอบด้วยใบหน้าซีดเผือก “แต่ถ้าผมทำอะไรออกไปแล้ว พวกพี่ๆห้ามหัวเราะด้วยนะครับ”

สามหนุ่มได้ยินก็พลันขมวดคิ้ว

“ทำไมพวกพี่ต้องหัวเราะน้องด้วยล่ะ”

ทว่ารัตติไม่ตอบ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับมาริโอ

“เอาจริงรึรัตติไอ้ทักษะนั่นนะ”

“ให้ทำไงได้ ก็พวกพี่เขาเรียกร้องมานี่”

แล้วทั้งคู่ก็ยืนประจันหน้ากันอีกครั้ง ซึ่งรัตติเหลือบตามองไปที่สามหนุ่มอย่างลังเลใจก่อนจะหันกลับมาทางมาริโอพร้อมกับชักอาวุธออกมาอีกครั้ง

ว่าสาบานจะไม่ใช้แล้วนะ

สุดท้ายก็ได้ใช้อีกจนได้

ให้ตายสิ! เวรกรรมสมชื่อเลยจริงๆ


...................

 :m20: :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 40 วิชาประยุกต์ (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 03-03-2015 10:05:38
ขำธาตุไฟอ่ะ ทักษะ เวรกรรม โถรัตติ 555
คนแต่งแต่งสนุกมากเลยอ่ะ ติดตามนะ ^^
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 40 วิชาประยุกต์ (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 12:54:30
บทที่ 41 พักผ่อน

...................

“มาริโอตื่นเร็ว เดี๋ยววันนี้ข้าจะพาเจ้าไปกินไอติม”

รัตติบอกพลางเขย่าคนขี้เซาให้ตื่น ทว่าคนขี้เซากลับนอนดิ้นไปอีกข้างของเตียง ทำเอารัตติต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

เอาเถอะ ปล่อยให้มันนอนสักพักแล้วกัน

รัตติคิดในใจก่อนจะเดินเข้าไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ซึ่งในช่วงอาบน้ำอยู่นั้น รัตตินึกย้อนเหตุการณ์น่าอายเมื่อวานนี้ เพราะตอนที่เธอประกาศชื่อทักษะเวรกรรมออกมา สามหนุ่มที่นั่งดูรัตติอย่างตั้งใจนั้นถึงกับหงายท้องขาชี้ฟ้าไปทันที

น่าอายชะมัดยาด!

หลังจากโชว์ทักษะที่น่าอายไปแล้ว ศาสตรากับพิภพก็ได้เอ่ยปากขอรัตติเป็นเพื่อน ซึ่งทีแรกรัตติลังเลใจว่าจะตอบรับดีไหม แต่ด้วยความคิดที่ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงผู้มีพระคุณ จึงทำให้เธอต้องตอบรับเป็นเพื่อนแต่โดยดี เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วรัตติก็ปลุกมาริโอต่อ ก่อนจะพามันออกไปข้างนอกเพื่อทานข้าวเช้า

วันนี้สินะที่เราออนไลน์เกมได้เก้าวันแล้ว รัตติคิดพลางนับชั่วโมงข้างนอกเกม ซึ่งพรุ่งนี้เป็นเวลาที่เธอจวนใกล้จะออฟไลน์แล้ว ทว่าตัวเกมของเธอยังอยู่บนเรืออยู่เลย จะฝากให้คนอื่นดูแลก็ไม่ได้เพราะไม่สนิทกัน หรือว่าจะฝากให้พวกปฐพีดูร่างของเราตอนไม่อยู่ดีไหมนะ?

“ไงน้องรัตติ วันนี้ตื่นแต่เช้าเชียวนะ” ศาสตราพูดทักรัตติในขณะที่เธอกับมาริโอกำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร

“ครับ ผมตื่นเช้าเป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้วครับ” รัตติตอบพลางมองศาสตราซึ่งมาแค่คนเดียว “แล้วพี่พิภพกับพี่ปฐพีไม่ได้มาด้วยกันเหรอครับ”

“อ้อ สองคนนั้นยังไม่ตื่นเลยนะ เห็นเมื่อคืนมัวแต่วอร์มร่างกายจนดึกดื่น เอ่อจริงสิ ชื่อของน้องทำไมพี่มองไม่เห็นในหน้าต่างรายชื่อเพื่อนเลยล่ะ” ศาสตราถามอย่างสงสัย

“เอ อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะขนาดหน้าต่างของผมเองก็ไม่มีชื่อของเพื่อนที่เคยรับเป็นเพื่อนสนิทด้วยนะครับ” รัตติตอบก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ่อพี่ศาสตราครับ เวลาเราออฟไลน์เกมไปแล้ว ผมจะสามารถนำร่างนี้ไปฝากไว้ได้ที่ไหนบ้างครับ คือผมกลัวร่างของผมจะแย่ แล้วไหนจะมาริโออีก ผมไม่อยากทอดทิ้งเขานะครับ”

มาริโอที่ได้ยินรัตติพูด ก็เงยหน้าดึงเสื้อถามรัตติด้วยเสียงงอนนิดๆว่า

“นั่นเจ้าจะไปไหนรัตติ ทำไมไม่ให้ข้าไปด้วยล่ะ”

รัตติได้ยินที่มาริโอพูดก็ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา

“ไม่ได้ไปไหน แค่จำศีลนะ”

“อ้อ ที่แท้ก็จำศีลนะเอง ไอ้ข้าก็นึกว่าเจ้าจะหนีข้าไปแล้วซะอีก” มาริโอพูดอย่างโล่งอกที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ถูกทอดทิ้งตามที่เข้าใจ ซึ่งทำเอารัตติอดนึกหมั่นไส้ไม่ได้ จึงบีบจมูกมันเบาๆ “เจ็บนะรัตติ บีบจมูกข้าทำไม”

มาริโอร้องโวยวายแต่รัตติได้แต่อมยิ้มอย่างพอใจที่ได้แกล้งมัน ส่วนศาสตราเมื่อรออีกฝ่ายพูดคุยจบแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นสวนต่อทันที

“เรื่องจะฝากร่างกายนั้นง่ายนิดเดียวน้อง เพียงแค่น้องเปิดหน้าต่างสถานะแล้วกดเลือกที่เมนูออบชั่น น้องก็จะพบปุ่มคำสั่งฝากตัวละครแล้วก็ให้กดลงไป เท่านี้ตอนน้องออฟไลน์เกมไปแล้ว ร่างกายของน้องกับมาริโอก็จะหายไปเอง”

“แล้วเวลาเรือจอดท่าละครับ ตัวผมยังไม่ได้ออนไลน์ก็ต้องอยู่ในเรืออีกต่อสิ” รัตติถามอย่างสงสัย

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปไอ้น้อง พอเวลาเรือมันจอดท่าแล้ว ตัวละครของน้องกับมาริโอก็จะลงจากเรือให้เองอัตโนมัติ” ศาสตราตอบพลางโบกมือไปมา “แล้วพอถึงเวลาน้องออนไลน์อีกครั้ง น้องก็จะมายืนอยู่ตรงท่าเรือจุดที่พักของผู้โดยสารขาออกก็เท่านั้นเอง”

“เหรอครับ งั้นก็ดีเลย ผมจะได้เลิกเป็นห่วงซักที”

แล้วหลังจากนั้นศาสตราก็ชวนรัตติกับมาริโอไปนั่งทานข้าวเช้าโดยที่ตอนนั่งทานข้าว ศาสตราได้แซวเรื่องทักษะของรัตติแกมสอนว่าทีหลังให้คิดชื่อดีๆก่อนจะพูดคำแรกออกมา เพราะคงจะไม่แคล้วเหมือนชื่อทักษะเวรกรรมอันแรก พอทานข้าวเช้าเสร็จ ศาสตราก็ได้ชักชวนรัตติกับมาริโอให้เข้าไปฝึกด้วยกันในห้องฝึกวิชาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้รัตติได้ปฏิเสธไปเพราะเธอต้องการพักผ่อนชมวิว เมื่อได้แยกกับศาสตราแล้ว รัตติก็ปล่อยให้มาริโอได้วิ่งเล่นตามสบาย ส่วนรัตติก็ออกเดินเล่นชมวิวบนดาดฟ้าของเรือตามลำพัง

........................

“ขณะนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกา ขณะนี้เป็นเวลา...”

แกรก!

เสียงนาฬิกาปลุกถูกมือใหญ่กดปิด ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมห้องที่นอนสงบนิ่งราวกับเป็นขอนไม้ แล้วเวลาก็ผ่านได้ยี่สิบนาที คนในห้องน้ำก็ได้ออกมาอีกครั้ง เผยให้เห็นร่างสูงในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กยีนส์แขนกุด กับกางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบเก่าๆ แลดูเป็นหนุ่มร็อคมิปาน

“อ้าว วันนี้ไม่สวมชุดเกราะไปฝึกวิชาหรือปฐพี” คนบนเตียงที่เพิ่งจะตื่นได้ไม่นานเอ่ยปากถามอย่างสงสัยเมื่อได้เห็นเพื่อนของตัวเองในชุดธรรมดา

“ไม่ล่ะ วันนี้ขอผ่าน” ปฐพีตอบเสียงเรียบพลางจ้องกระดาษข้อความของศาสตราที่วางอยู่บนโต๊ะกลมซึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้องนอน “อยากจะพักผ่อนเดินเล่นชมวิวสักหน่อย แล้วนายล่ะพิภพ จะไปฝึกตามศาสตรารึเปล่า”

“ไม่ ฉันจะไปฝึกของฉันเอง เชิญนายพักผ่อนได้ตามสบาย” เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจนแล้ว ปฐพีก็ขอตัวออกไปข้างนอกก่อนเพื่อที่จะไปรับประทานอาหารเช้าที่โรงอาหารของเรือ เมื่อไปถึงโรงอาหารแล้ว ปฐพีก็เดินไปสั่งอาหารก่อนจะมานั่งรอที่โต๊ะ

ป่านนี้แล้วคุณยายจะเป็นยังไงบ้างนะ ปฐพีครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่แพ้กับลูกสาวของตัวเอง ทว่าปฐพีต้องหยุดคิดไปในทันทีเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมสีเงินในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเทาออกมาเดินเพ่นพ่านในโรงอาหารตามลำพัง นั่นมันน้องรัตตินี่ ทำไมมาแค่คนเดียวล่ะ มาริโอหายไปไหน?

ปฐพีคิดในใจ แต่พอได้เห็นรัตติแล้ว ก็พลันนึกย้อนหลังตอนที่ธิดาโผล่ออกมาหลังจากที่พวกเขาได้มาเจอศพโดยมีรัตติยืนอยู่ข้างกายธิดาด้วย ตอนนั้นเขาแทบแปลกใจว่าทำไมธิดาถึงพาเด็กหนุ่มแปลกหน้ามาด้วย ทั้งๆที่ธิดาไม่เคยแวะข้องเกี่ยวกับผู้ชายนอกจากพวกเขาสามคนเท่านั้น

หรือว่าจะเป็นคนสำคัญของธิดากันแน่?

ทว่าพอคิดถึงความหลังของตัวเองที่ได้มีเรื่องทะเลาะกับธิดาแล้ว ปฐพีก็ส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเองที่เลยเถิดไปไกลจนเกือบจะกู่ไม่กลับ

“ไม่เอาน่าปฐพีเอ๋ย ฉันแต่งงานแล้วนะ จะกลับไปเป็นอย่างเดิมเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว”

ปฐพีพูดพึมพำกับตัวเองก่อนจะลงมือทานอาหารที่เพิ่งถูกเสิร์ฟเมื่อครู่นี้ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ปฐพีก็จ่ายเงินก่อนจะออกเดินเที่ยวเล่นบนเรือต่อ ซึ่งพอเดินขึ้นไปดาดฟ้าของเรือเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของทะเลยามเช้าแล้ว เขาก็พลันเห็นเด็กหนุ่มผมสีเงินอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้าของเด็กหนุ่มวัยสิบขวบแลดูเรียบง่ายก็จริง หากแต่พอได้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าครามแล้ว ปฐพีกลับรู้สึกอยากจะเอ็นดู อยากจะชิดใกล้อีกฝ่ายเสียขึ้นมา ทว่าพอนึกภาพธิดาเช็ดเนื้อเช็ดตัวเด็กหนุ่มเมื่อครั้นยังไม่ได้สติหลังจากแปลงร่างเป็นมังกรไปแล้ว ปฐพีกลับรู้สึกโมโหจนอยากจะขยี้รัตติให้จมดินซะเดี๋ยวนี้

ต้องถามให้รู้เรื่องหน่อยเสียแล้วว่าเป็นอะไรกับธิดากันแน่!

ถึงแม้ปฐพีจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม แต่ในใจลึกๆแล้วยังชอบธิดาอยู่เหมือนเดิม จึงมีความหึงหวงเป็นของธรรมดาที่มนุษย์ทั่วไปพึงจะมี ทว่าปฐพียังไม่ทันจะได้เข้าไปถามรัตติอย่างที่ตั้งใจไว้ อีกฝ่ายที่ยืนชมวิวอยู่นั้นกลับปีนขึ้นไปยืนอยู่บนแคมเรือ

คิดจะทำอะไรนะ?

ปฐพีคิดในใจพลางมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย ทว่าแทนที่รัตติจะยืนอยู่นิ่งๆ กลับยกเท้าซ้ายก้าวออกมาข้างหน้า ซึ่งทำให้ปฐพีที่มองดูอยู่ถึงกับวิ่งถลาเข้าไปกอดร่างนั้นไว้ไม่ให้กระโดดลงไปโดยไม่จำเป็นต้องคิดให้เสียเวลา

“จะฆ่าตัวตายในเกมรึไงไอ้เด็กงี่เง่า!”

“หะ?!”

แล้วทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างโผล่มาจากด้านหลังของเด็กหนุ่มที่ปฐพีกำลังกอดอยู่

ผัวะ!

200


ปฐพีถูกอะไรบางอย่างตีเข้าที่หน้า ทำให้เขาถึงกับหงายท้องลงไปนั่งกับพื้นอย่างมึนงง ส่วนคนถูกกอดก็เสียสมาธิจนร่วงตกลงไปในน้ำทะเลเสียงดังสนั่น

ตูม!

“ให้ตายสิ ทำไมมันยุ่งขนาดนี้นักนะ”

ปฐพีบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะรีบลุกขึ้นไปดู แต่ก็ไร้วี่แววว่าร่างรัตติจะผุดออกมาจากน้ำทะเล ปฐพีจึงรีบถอดเสื้อกั๊กกับรองเท้าออกพลางเหยียบขึ้นไปบนแคมเรือก่อนจะกระโดดพุ่งหลาวลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว

ตูม!

เสียงน้ำพุ่งกระจายขึ้นมา ทำให้ปฐพีได้เห็นร่างของรัตติที่น่าจะจมน้ำไปแล้วกลับบินสวนขึ้นมา

“เอ๋?”

“หะ!”

ตูม! พรวด! ซ่า!

“พี่ชายจะเล่นน้ำทะเลเหรอครับ”

อีกฝ่ายถามปฐพีในขณะที่กำลังกระพือปีกสีเพทายฟ้าอ่อนไปมาบนกลางอากาศ

“ไอ้เด็ก...อุบ...บ๊ะ...บุ๋งๆ...อ็อก...บุ๋งๆ”

สุดท้ายแล้วรัตติก็ได้บินโฉบลงมาช่วยเขาให้ได้กลับขึ้นมาบนเรืออีกครั้ง

........................

“ฮะๆ แล้วนายก็ตกน้ำไปแทนน้องรัตติงั้นรึ ฮ่าฮะๆ”

เสียงหัวเราะของศาสตราดังก้องทั่วโรงอาหารหลังจากถูกระบบประกาศให้ออกมาจากห้อง เพราะมีเพื่อนในสมาคมของตัวเองได้ตกน้ำทะเลไป ส่วนคนถูกนินทาชักดาบตวัดจ่อลำคอผู้พูดทันที

“ขืนพูดอีก หัวนายได้หลุดจากบ่าแน่ศาสตรา” คำพูดของปฐพีฟังดูรู้ได้เลยว่าไม่ได้ล้อเล่น จึงทำให้ศาสตราหยุดพูดแต่โดยดี

“ว่าแต่น้องรัตติก็เก่งใช่ย่อยนะ ยังอุตส่าห์คิดให้ปีกงอกออกมาได้ในขณะที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์”  พิภพกล่าวชมรัตติพลางจ้องปีกสีเพทายฟ้าอ่อนอันใหญ่โตที่อยู่ด้านหลังของรัตติด้วยความสนใจ ซึ่งไม่เว้นกระทั่งมาริโอกับผู้เล่นคนอื่นในโรงอาหารที่ต่างจับจ้องปีกของรัตติกันอย่างไม่ละสายตา

“แหะๆ ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับพี่พิภพ” รัตติพูดไปหัวเราะไปด้วยความเขินอาย “ผมก็แค่ตั้งสมาธิแล้วรวบรวมความคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในร่างมังกร แล้วจู่ๆ ปีกมันก็โผล่มาของมันเองนะครับ”

“คงไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าตั้งใจฆ่าตัวตาย ก็เลยทำให้ปีกกางออกมาเองหรอกรึ” ปฐพีพูดสรุปเอาดื้อๆ ซึ่งทำเอาพิภพกับศาสตราถึงกับขมวดคิ้ว

“ทำไมนายพูดอย่างนั้นล่ะปฐพี น้องเค้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าตัวตายสักหน่อย” ศาสตราพูดแย้งอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อน “แค่ทดสอบดูว่าจะสามารถกางปีกได้รึเปล่าก็เท่านั้นเอง”

“แล้วทำไมต้องไปยืนตรงนั้นด้วยล่ะ ทำไมไม่ไปหัดในที่ห้องฝึกวิชา” ปฐพียังคงดื้อรั้นที่จะเถียงต่อไป ซึ่งทำเอารัตติชักหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ ทว่าด้วยความที่รัตติผ่านโลกมามากแล้ว จึงไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กคนนี้ให้เรื่องมันใหญ่โต

“ถามมาได้นะปฐพี น้องเขาอยากจะฝึกกางปีกตรงไหนมันก็เรื่องของเขานี่ ทำไมนายต้องไปยุ่งกับเขาด้วยล่ะ” พิภพพูดย้อนหลังจากที่นั่งฟังอยู่นานแล้ว “เอาเถอะ ถ้านายอยากจะพูดหาเรื่องคนอื่นอีกล่ะก็ พวกเราไม่ขอยุ่งด้วยแล้ว ไปกันเถอะน้องรัตติ อย่าอยู่ที่นี่ให้เสียเวลาเลย”

“ไม่เป็นไรครับพี่พิภพ ผมอยู่ได้” รัตติตอบยิ้มๆ ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผลที่ปฐพีจงเกลียดจงชังเธอก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อยากให้เพื่อนของปฐพีต้องมาทะเลาะกันเองด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

“น้องว่ายังไงพี่ก็ว่าตามนั้น” ศาสตราพูดพลางถอนหายใจ “ว่าแต่น้องทำไมถึงไปฝึกที่บนดาดฟ้าล่ะ ทำไมไม่ไปฝึกในห้องฝึกวิชาดูล่ะ”

รัตติยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า

“พอดีผมเบื่อห้องสีขาวนั่นนะครับ ก็เลยคิดจะพักผ่อน แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ผมกลับหยุดฝึกไม่ลงจนต้องหาเรื่องกางปีกในร่างมนุษย์จนได้นะครับ ฮะๆ”

พอรัตติพูดจบ ปีกด้านหลังของรัตติก็พลันหายไป

“อ้าว ปีกหายไปไหนแล้ว” มาริโอพูดด้วยความตกใจ

“คงหมดเวลาล่ะมั้งน้องมาริโอ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” ศาสตราตอบก่อนจะพูดต่อ “ไหนน้องรัตติลองกางปีกใหม่อีกสิ”

“ครับพี่”

แล้วรัตติก็หลับตาเพื่อทำสมาธิ ซึ่งผ่านไปได้สองนาทีปีกขนสีเพทายฟ้าอ่อนก็ได้โบกสะบัดขึ้นมาอีกครั้ง

“ว้าว! สวยจังเลย” มาริโอพูดเสียงตื่นเต้น “นี่ๆรัตติ ขอข้าจับปีกได้ไหมล่ะ”

“ก็เอาสิ แต่จับเบาๆหน่อยนะ”

“อื้อ”

แล้วมาริโอก็จับปีกรัตติเล่นอย่างสนุกสนาน

“น้องรัตตินี่ทำให้พวกพี่ทึ่งได้ตลอดเลยนะ ไม่เล่นเกมอยู่เปล่าๆ ยังรู้จักคิดหาวิชามาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์” พิภพพูดชมรัตติ ซึ่งทำเอาเธอหัวเราะเบาๆพลางเอามือเกาหัวอย่างเขินอาย “ต่างกับพวกพี่ เอาแต่มุ่งมั่นฝึกดาบกับต่อยตีเพียงอย่างเดียว อย่างน้องนี่น่าจะให้พวกจีเอ็มประกาศว่าเป็นผู้เล่นตัวอย่างที่ดีกับผู้เล่นคนอื่นได้นะ”

รัตติยิ้มก่อนจะตอบไปว่า

“ผมไม่ดีถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่ไม่ชอบอยู่เฉยๆก็เท่านั้นเอง”

“ถ่อมตัวแบบนี้ น้องน่าจะมาอยู่ในสมาคมจับฉ่ายของพวกพี่นะ เฮ้อ”

ศาสตราพูดพลางถอนหายใจอย่างเสียดาย ซึ่งทำให้รัตติได้แต่หัวเราะเป็นคำตอบ

“เอ่อจริงสิน้องรัตติ พี่ได้ยินจากศาสตรามาว่าน้องจะฝากตัวละครไว้กับเกมรึ” พิภพถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

“ครับพี่ พอดีพรุ่งนี้ก็ถึงวันที่ผมต้องออฟไลน์จากเกมไปแล้วนะครับ”

“อ้าวน้องออฟไลน์ในวันเดียวกันกับปฐพีพอดีเลยแหะ” ศาสตราร้องอุทานพลางหันหน้าไปทางปฐพี “งั้นปฐพีก็พาน้องรัตติไปยืนรอจุดลงท่าเรือด้วยกันเลยสิ”

ทว่าปฐพีไม่ตอบ กลับนิ่งเงียบ

“ไม่ตอบก็แสดงว่าตกลงนะ” ศาสตราพูดเองเออเอง “งั้นเดี๋ยวน้องรัตติไปพร้อมกับปฐพีนะ เพราะถึงเวลาน้องออฟไลน์น้องจะได้หายไปจุดนั้น แล้วเกมมันก็จะรันตัวน้องให้ไปโผล่ที่ท่าเรือให้เอง”

“ครับ ขอบคุณพวกพี่มากนะครับที่ช่วยผม”

รัตติพูดขอบคุณ ซึ่งทำให้สองหนุ่มโบกมือไปมา ยกเว้นปฐพีแค่เหลือบตามองก่อนจะหันไปทางอื่นต่อ

“แล้วพวกพี่สองคนจะรอผมกับพี่ปฐพีไหวเหรอครับ”

รัตติถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ เพราะกว่าเธอจะกลับมาออนไลน์อีกครั้งก็นานพอดู

“รอไหวอยู่แล้ว” ศาสตราตอบก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวพี่กับพิภพจะไปทำภารกิจในเมืองแถวท่าเรือรอไปพลางๆก่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องที่จะพาน้องไปหาธิดานั้น เดี๋ยวพวกพี่พาไปส่งให้แน่ๆรับรองได้”

“ครับ ขอบคุณที่รอผมกับมาริโอ”

เมื่อคุยกันจบแล้ว พวกศาสตราก็ได้ชวนรัตติกับมาริโอให้ไปงานแฟนซีกับพวกเขา

“งานแฟนซีหรือครับ”

“ใช่แล้วน้องรัตติ” พิภพตอบ “งานนี้เป็นงานเลี้ยงย่อมๆ ที่พวกจีเอ็มทั้งหลายคนในเรือนี้เป็นผู้จัด ซึ่งจัดกันวันเว้นวัน เพื่อมิให้ผู้เล่นที่นั่งรอในเรือเกิดความเบื่อหน่าย โดยให้ผู้เล่นใส่ชุดอะไรก็ได้ที่มันดูเป็นแฟนซี ส่วนเรื่องชุดนั้นน้องรัตติไม่ต้องเป็นห่วง เพราะทางเรือเขามีชุดให้ยืมฟรีนะ”

“น่าสนุกจัง รัตติไปเถอะนะ ข้าอยากจะใส่ชุดแฟนซีใจจะขาดอยู่แล้ว”

มาริโอพูดเสียงอ้อนวอนรัตติ

“แล้วเขาอนุญาตให้ทาสรับใช้ไปร่วมงานได้รึเปล่าครับ” รัตติถามอย่างสงสัย

“อ้อ เรื่องนั้นเขาอนุญาตให้มาอยู่แล้วล่ะ” ศาสตราตอบก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ส่วนเรื่องชุดนั้น เดี๋ยวพี่จะจัดให้น้องมาริโอเองครับ ไม่ต้องเป็นห่วง หึๆ”

คำพูดของศาสตราทำเอาพิภพกับปฐพีถึงกับส่ายหน้า ยกเว้นรัตติที่ได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าทำไมศาสตราถึงหัวเราะ

.........................

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 40 วิชาประยุกต์ (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 12:59:39
บทที่ 42 คำสาป

.........................

“โธ่นายน้อยขอรับ กระผมก็แค่เรียนไปตามที่นายท่านต้องการทราบก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งนายน้อยเลยสักนิดนะขอรับ แค่กๆ”

เสียงบ่นตัดพ้ออย่างเสแสร้งดังมาจากปิเอโร่ที่ถูกนายของตัวเองซ้อมนับยี่สิบรอบจนดูไม่เป็นผู้เป็นคน ทว่าคนเป็นนายหาได้เชื่อในคำพูดนั้นไม่ กลับใช้เท้าเตะเข้าที่ท้องของปิเอโร่แรงๆอีกครั้ง

ตูม!

8988


“ไม่ได้ตั้งใจ แล้วทำไมท่านพ่อถึงรู้ได้ล่ะ” เมฆาพูดเสียงเข้ม ใบหน้าชายหนุ่มในตอนนี้เกรี้ยวกราดจนแลดูน่ากลัว “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่รึไง ว่าห้ามไม่ให้เจ้านำเรื่องนี้ไปบอกใคร แม้กระทั่งท่านพ่อเองก็ตาม แต่ทำไมเจ้าถึงฝืนคำสั่งของข้าล่ะปิเอโร่”

ทว่าปิเอโร่ไม่ตอบคำถามของเมฆา จึงทำให้เขาเบื่อที่จะถามมันอีก

“ปิเอโร่”

“ขะ…ขอรับนายน้อย”

“เจ้าพอรู้ที่คุมขังราชามังกรกับนางพญามังกรรึไม่” เมฆาถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาปิเอโร่ที่นอนฟุบกับพื้นต้องเงยหน้าขึ้นมา

“นายน้อยจะรู้ไปทำไมรึขอรับ” ปิเอโร่ถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “อย่าบอกนะว่านายน้อยจะแอบเข้าไปช่วย”

เมฆาถอนหายใจเป็นคำตอบแทนคำพูด ซึ่งทำคนฟังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“ไม่ได้นะขอรับนายน้อย! ขืนนายท่านรู้ กระผมมิต้องตายคามือแน่ๆ ดีไม่ดี นายน้อยอาจจะพลอยโดนลงโทษไปด้วย”

“ข้าไม่กลัว” เมฆาตอบเสียงห้วน เพราะนี่เป็นเพียงแค่เกม ถึงเขาตายไปก็สามารถฟื้นคืนชีพได้อยู่ดี “เพื่อชดเชยความผิดกับสิ่งที่ท่านพ่อทำแล้ว ข้าจะทำ ต่อให้มันผิดต่อท่านพ่อก็ตามที”

“แต่กระผมเกรงว่า…”

“ไม่มีคำว่าแต่” เมฆาพูดพลางชักดาบเล่มสีดำที่มีแต่ไอปีศาจออกมาจ่อคอของปิเอโร่ “เพราะเจ้าคือทาสรับใช้ของข้า ไม่มีสิทธิ์แย้งใดๆทั้งสิ้นปิเอโร่”

ปิเอโร่มองดาบสลับกับเจ้านายของตัวเองก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ขอรับเจ้านาย กระผมจะบอกท่านทุกอย่างไม่มีบิดพลิ้ว”

.....................

กว่าจะถึงตอนกลางคืนก็ยังอีกนาน มาริโอก็เลยชวนสามหนุ่มกับรัตติเล่นซ่อนหาด้วยกัน

“พี่ขอผ่านนะน้องมาริโอ เพราะพี่จะไปเตรียมชุดให้น้องในคืนนี้ยังไงล่ะ” ศาสตราบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องพักของตัวเอง จะเหลือก็แต่พิภพกับปฐพีที่ยังคงอยู่

“นะฮะพี่พิภพพี่ปฐพี เล่นซ่อนหาด้วยกันนะฮะ” มาริโอพูดอ้อนวอนพลางเอามือกุมเข้าหากัน

“เอายังไงดีปฐพี จะเล่นไหมล่ะ” พิภพหันไปถามเพื่อนที่นั่งเงียบนานพอควร

“ก็แล้วแต่” ปฐพีตอบ ซึ่งทำเอามาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจ

“งั้นมาโอน้อยออกกัน ใครแพ้ต้องเป็นคนหานะ” สองหนุ่มกับหนึ่งหญิงในร่างเด็กผู้ชายขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินมาริโอพูด แต่ถึงกระนั้นก็ยอมโอน้อยออกตามที่มาริโอบอก

“โอ...น้อย...ออก” พอสิ้นเสียง รัตติ ปฐพี และพิภพต่างทำมือคว่ำเหมือนกันหมด ยกเว้นมาริโอที่แบมือหงายขึ้น

“ว้า ได้เป็นคนหาแฮะ” มาริโอบ่นพึมพำ “งั้นหนูจะนับหนึ่งถึงสองร้อยนะ ให้ทุกคนไปซ่อนตัวในเรือ ห้ามไปซ่อนในที่พักของตัวเองเด็ดขาดนะ ถ้าเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ก็ให้ออกมาเล่นกันใหม่นะฮะ”

“อืม” ทั้งสามคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนที่มาริโอจะหันหน้าเข้าหาเสาปิดตานับหนึ่ง

“หนึ่ง…สอง” พอมาริโอนับหนึ่ง ทั้งสามต่างมองหน้ากันก่อนจะเดินแยกย้ายไปซ่อนในที่ๆคิดว่าจะพ้นสายตามาริโอได้ หลังจากที่รัตติได้เดินออกมาจากจุดนั้นแล้ว เธอก็เดินลงไปยังข้างล่างของเรือเพื่อหาที่ซ่อน

“จะซ่อนที่ไหนดีนะ” รัตติบ่นพึมพำในขณะที่มองซ้ายมองขวาหาที่ซ่อน ตอนนี้เธออยู่ชั้นสาม ซึ่งเป็นส่วนคลังเก็บของในเรือลำนี้ “ไปโรงอาหารก็ไม่ได้ มันเตะตา…ว้าย”

จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างมาดึงแขนซ้ายรัตติให้เข้าไปในซอกลังไม้ ทำเอารัตติตกใจจนเกือบจะกรีดร้องถ้าไม่มีมือมาปิดปากไว้

“อย่าร้องนะ” เสียงคุ้นหูบอก ซึ่งพอเธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายดีๆแล้ว ก็พบว่าคนที่ดึงเธอเข้ามาในซอกลังไม้นี้คือปฐพี แล้วรัตติก็พยักหน้าตอบตกลง อีกฝ่ายจึงปล่อยมือออกจากปากของเธอ

“มีอะไรครับพี่ปฐพี” รัตติถามอย่างระแวง เพราะเธอไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีก

“นายเป็นใคร แล้วเป็นอะไรกับธิดา” อีกฝ่ายถามเสียงเข้มพลางบีบแขนรัตติซะแน่น

“ก็ผมรัตติยังไงล่ะครับ” รัตติพูดตอบอย่างฉุนๆ “เป็นแค่ผู้เล่นเผ่ามังกรธรรมดาที่เพิ่งจะเข้ามาเล่นได้ไม่กี่ครั้ง ส่วนที่ผมรู้จักกับท่านพี่ธิดาได้ก็เพราะผมไปถามทางกับท่านพี่เค้าก็เท่านั้นเองครับ”

“โกหก!” อีกฝ่ายตวาดเสียงใส่ ซึ่งทำเอารัตติเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว

“แล้วทำไมผมต้องไปพูดโกหกพี่ด้วยล่ะ ผมไม่ได้มีความแค้นอะไรกับพี่เลยนะ พี่เองตั้งหากที่ทำตัวไม่ดีกับผมก่อน” คำพูดของรัตติทำให้ปฐพีถึงกับผงะ “นี่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพี่ได้ช่วยผมไว้ตอนถูกปีศาจจับตัวไปล่ะก็ ผมคงต่อยพี่ไปนานแล้วล่ะ คนอะไร พูดก็ไม่รู้จักคิด”

“แล้วถ้างั้นนายเข้ามาใกล้ชิดธิดาเพื่ออะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะปอกลอกไอเทมของธิดา” อีกฝ่ายถามอย่างระแวง ซึ่งทำให้รัตติเข้าใจทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ทำตัวรังเกียจเธอมาตลอด จึงทำให้อารมณ์โกรธของเธอคลายลงจนเป็นปกติ

“ผมไม่เคยคิดจะทำแบบที่พี่ปฐพีว่ามาเลยนะครับ” รัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะท่านพี่ธิดาเคยช่วยชีวิตผมกับมาริโอไว้ไม่ให้จมน้ำตายมาก่อน ผมก็เลยคิดจะตอบแทนบุญคุณด้วยการทำงานในสมาคมของท่านพี่สักพักนะครับ”

คำพูดของรัตติทำให้อีกฝ่ายคลายมือที่จับแขนรัตติออก

“เอ่อ ขอโทษด้วยแล้วกันที่พี่…” ปฐพีพูดเสียงตะกุกตะกัก “…ทำไม่ดีกับน้อง”

รัตติได้ยินคำขอโทษถึงกับฉีกยิ้มอย่างดีใจที่เรื่องมันจบได้สักที

“ไม่เป็นไรครับ ผมให้อภัยพี่อยู่แล้ว”

ตุบ ตุบ

เสียงฝีเท้าเดินมาทางนี้พร้อมกับเงาที่ทอดยาวมาให้เห็น ทำให้ปฐพีต้องรีบดึงแขนของรัตติให้เข้าในอ้อมกอดของตัวเองอย่างลืมตัว

“เอ รัตติอยู่ไหนนะ อุตส่าห์คิดว่าจะหาเจอก่อนแล้วเชียว แต่กลับเป็นพี่พิภพก่อนไปซะได้” เสียงมาริโอพูดขึ้น ทำให้ปฐพีรู้ได้เลยว่าเงากับเสียงฝีเท้าเมื่อครู่นี้คือมาริโอ แล้วเสียงฝีเท้าก็ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนกระทั่งปฐพีเห็นมาริโอจากด้านข้างกำลังเดินผ่านหน้าไปอย่างเชื่องช้า

ไปเรื่อยๆนะน้อง อย่าเพิ่งหันมาเห็นตอนนี้เชียวล่ะ

ปฐพีคิดในใจโดยลืมไปว่าตนเองกอดรัตติไว้แน่นอยู่ ส่วนรัตติก็รู้สึกอึดอัดที่ถูกอีกฝ่ายกอดซะแน่นจนเกือบหายใจไม่ออก จนกระทั่งมาริโอเดินจากไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าแล้ว ชายหนุ่มจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“พี่จะปล่อยผมได้รึยัง ผมหายใจไม่ออกนะ” รัตติบอก ซึ่งทำให้ปฐพีรีบปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระ

“ขอโทษที ลืมตัวไปนะ” ปฐพีพูดขอโทษ “เดี๋ยวแยกกันตรงนี้เลย เพราะขืนอยู่ด้วยกันอีก มีหวังน้องมาริโอได้มาเจอเราสองคนพร้อมกันแน่”

“ก็ได้ครับ ขอให้พี่โชคดีล่ะ” แล้วรัตติก็กระโดดตีลังกาม้วนตัวขึ้นไปเหยียบบนลังไม้ก่อนจะวิ่งหายไป ส่วนปฐพีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไปแล้ว เขาจึงเดินออกไปจากที่นี่เพื่อหาที่ซ่อนใหม่

“จ๊ะเอ๋! เจอพี่ปฐพีแล้ว โป้ง!”

..............................

ณ คุกแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแต่คบไฟเพลิงตั้งอยู่ข้างกำแพงอยู่เป็นระยะๆ แถมนอกจากนี้อากาศภายในคุกยังเย็นจัดจนชายหนุ่มผมดำยาวที่เดินเข้ามาพร้อมกับทาสรับใช้ยังต้องเอามือกอดอก

“หนาวหน่อยนะขอรับนายท่าน เพราะที่นี่มันเย็นกว่าข้างนอกมาก” ปิเอโร่บอก ซึ่งเมฆาก็ตอบเสียงอือเล็กน้อย แล้วปิเอโร่ก็เดินนำเขาไปได้สักพักจนกระทั่งถึงทางตัน

“ทางตัน?”

“ไม่ใช่ขอรับ” ปิเอโร่ตอบ “นั่นเป็นภาพลวงตาขอรับ แต่นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวกระผมจะจัดการให้มันหายไปเดี๋ยวนี้”

พอปิเอโร่พูดจบ ก็ใช้ไพ่ขว้างไปบนเพดานอย่างเร็ว แล้วทันใดนั้นกำแพงเบื้องหน้าก็พลันหายไป

“เยี่ยม ทางลับจริงๆ” เมฆาพูดพลางคิดในใจว่า เกมนี้ช่างสร้างได้เหมือนจริง แม้กระทั่งห้องลับก็ยังมีได้ “ไม่ใช่ว่าเดินไปแล้วจะเจอลูกธนูพุ่งออกมาจากกำแพงหรอกนะ”

เฟี้ยว! ฉึก!

ลูกธนูลูกหนึ่งพุ่งผ่านหน้าปิเอโร่ที่ยื่นแขนออกไป แต่ก็ไม่โดนเพราะเจ้าตัวสามารถหลบลูกดอกได้ทันก่อน

มีจริงๆด้วยแฮะ

เมฆาขมวดคิ้วคิด

“ทำไงดีต่อขอรับนายท่าน” ปิเอโร่ถามต่อ

“ลองเขวี้ยงไพ่ของเจ้าไปให้สุดทางเดินสิ”

“ขอรับ”

พอปิเอโร่ขว้างไพ่ไป ลูกธนูก็พากันพุ่งออกมาจากกำแพงนับร้อยๆดอก

ไม่ไหว เยอะเกินไป เมฆาคิดพลางส่ายหน้า แถมยังมีได้เรื่อยๆถ้าหากมีอะไรผ่านไปทางนั้นด้วย

เมฆายืนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะเรียกโล่เหล็กออกมาสี่ชิ้น

“นายท่านคิดจะทำอะไรหรือขอรับ” ปิเอโร่ถามอย่างสงสัย ทว่าเมฆาไม่ตอบ กลับหลับตาลงพลางร่ายเวทมนตร์ใส่โล่ ทำให้โล่ทั้งสี่ชิ้นที่เคยเล็กกลับใหญ่โตมหึมา

“เอาไปสองชิ้นไว้ป้องกันตัวเองซะปิเอโร่” เมฆาบอก ซึ่งปิเอโร่ก็รีบหยิบโล่มาไว้กับตัวเองถึงสองชิ้น ส่วนตัวเขาเองก็ถือโล่มากันไว้สองข้างเผื่อว่าจะมีลูกธนูโผล่มาทั้งสองด้าน “เจ้าเดินไปก่อนปิเอโร่ แล้วข้าจะเดินตามทีหลังไป”

ปิเอโร่ได้ยินถึงกับหน้ามุ่ย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยอมเดินไปแต่โดยดี

ฟุบ! เคล้ง! ฟุบ! เคล้ง!

ลูกธนูพุ่งออกมาสองด้านแต่ก็ไม่โดนปิเอโร่ เพราะมีโล่คอยคุ้มกันอยู่ เมฆาเห็นได้ดังนั้นจึงเดินตามเข้าไป ซึ่งผลก็เหมือนปิเอโร่ ลูกธนูไม่โดนเขาเลยสักลูก หลังจากที่เมฆากับปิเอโร่เดินไปถึงอีกฟาก ก็พบว่าลูกธนูหยุดพุ่งใส่แล้ว เมฆาจึงเก็บโล่เข้ากระเป๋าไอเทมตามเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเบื้องหน้าซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด

เหม็นแหะ เมฆาคิดพลางเอามือปิดจมูกก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างโบกไปมา เผยให้เห็นแสงสว่างสีแดงส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด ต้องแบบนี้สิ ค่อยสว่างหน่อย ดีนะที่พกเวทย์สำเร็จรูป* ไม่งั้นได้อยู่ในที่มืดตลอดแน่ๆ

“นายท่านขอรับ ทางนี้ขอรับ”

ปิเอโร่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบอก ซึ่งเมฆาพยักหน้าก่อนจะเดินตาม ตลอดทางเดินนั้นเมฆาก็พบว่าสองข้างทางที่เขาเดินอยู่เต็มไปด้วยหัวกะโหลกไปเสียหมด

นี่ถ้ามีผู้หญิงตามมาด้วย มีหวังได้ร้องกรี๊ดจนสลบแน่

เมฆาคิดในใจก่อนจะออกเดินต่อ จนกระทั่งปิเอโร่ยืนหยุดแล้ว เมฆาจึงหยุดเดินตามก่อนจะหันมามองเบื้องหน้าที่มีกรงยักษ์ขนาดใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ พอมองลอดผ่านไปข้างในกรงแล้ว เมฆาก็ได้เห็นสองร่างนั่งอิงกันอยู่บนพื้นกรง โดยผู้อิงเป็นหญิงในชุดกิโมโนสีม่วง มีใบหน้าที่ซีดเซียวราวกับหมดแรง แต่ถึงกระนั้นยังคงงดงามไร้ที่ติ ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มรูปงามผมสีเงินยาวกำลังนั่งหลับตาโดยที่มือขวากุมมือเรียวงามของหญิงในอ้อมกอดของตนอยู่ไม่คลาย

ผู้ชายคนนั้น…เหมือนน้องราตรีไม่มีผิด

เมฆาคิดในใจ เพราะอีกฝ่ายมีใบหน้าคล้ายคลึงราตรีมาก

“พวกเจ้าเป็นใครพ่อหนุ่ม ถ้าคิดจะสูบพลังก็เชิญ แต่อย่าได้ทำร้ายคนรักของข้าเป็นอันขาด”

เสียงทุ้มดังมาจากชายหนุ่มผมสีเงิน ทำให้เมฆาสะดุ้งไหวเล็กน้อย

“ต้องขออภัยที่แนะนำตัวช้าไป” เมฆาบอกพลางโค้งคำนับ “ข้ามีนามว่า เมฆา ทายาทของราชาปีศาจครับ ส่วนคนข้างๆคือปิเอโร่ ทาสรับใช้ของข้าเอง”

พอสิ้นคำพูดแนะนำตัวของเมฆา รังสีฆ่าฟันจากราชามังกรก็ได้แผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาเมฆากับปิเอโร่สั่นสะท้านด้วยความกลัว

“หึ ทายาทราชาปีศาจงั้นรึ” ชายหนุ่มผมสีเงินหรือราชามังกรเดรคแสยะยิ้มพูด “ลูกไม้คงจะหล่นไม่ไกลต้น อยากจะได้พลังแบบพ่อตัวเองบ้างก็เลยมาหาพวกข้าถึงที่เลยรึไอ้หนุ่ม”

“เปล่าครับท่านราชามังกร ข้าไม่ได้อยากพลังของพวกท่านทั้งสองคนเลยสักนิด”

เมฆากัดฟันพูดด้วยความยากลำบาก เพราะคลื่นรังสีฆ่าฟันจากราชามังกรมันแรงมากจนเขาขยับปากพูดไม่ได้ดั่งใจคิด พอเมฆาพูดจบ คลื่นรังสีก็เบาลงหน่อยหนึ่งจนเขาสามารถขยับตัวได้แล้ว แต่ถึงกระนั้นราชามังกรก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง

“แล้วเจ้าต้องการอะไรจากข้าล่ะ”

“ช่วยพวกท่านให้หนีออกไปจากที่นี่ครับ”

เมฆาตอบโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ซึ่งทำเอาเดรคขมวดคิ้ว

“ช่วยรึ?” เดรคพูดด้วยความสงสัย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “หึ อย่าพูดให้มันขำหน่อยเลยไอ้หนุ่ม ขนาดข้าที่มีพลังสูงมากกว่าเจ้าแล้ว ยังไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้เลย”

เมฆาขมวดคิ้วมองเดรคอย่างสงสัย

ถ้ามีพลังสูงกว่าเรา ก็ต้องพอๆ กับท่านพ่อ แล้วทำไมถึงโดนจับได้

“นั่นก็เป็นเพราะว่าพ่อของเจ้าใช้วิธีกลโกงยังไงล่ะ”

เดรคพูดแทรกความคิด ทำเอาเมฆาอ้าปากค้าง

“ท่าน…ท่านอ่านใจข้าได้”

เดรคแสยะยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “แค่อ่านใจมันไม่จำเป็นต้องใช้พลังมาก แค่มีสมาธิบวกกับดูหน้าผู้ที่จะอ่านใจก็ทำได้แล้ว แต่ข้าไม่ได้อ่านใจแล้วรู้หมดทุกประโยคทุกตัวอักษรหรอกนะ ข้าแค่คาดเดาว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าเจ้ายังทำไม่ได้ล่ะพ่อหนุ่ม”

เมฆาสะอึกเมื่ออีกฝ่ายถามกลับ แต่ไม่ทันที่เมฆาจะได้ตอบคำถามของเดรค เสียงแหบแห้งก็ดังออกมาพร้อมกับร่างของใครบางคนที่ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางความมืดมิด

“หึ ก็เพราะมันยังอ่อนหัดอยู่ยังไงล่ะราชามังกรเอ๋ย”

“ท่านพ่อ!”

เมฆาร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าตนเองจะถูกจับได้เร็วถึงขนาดนี้

หรือว่าจะเป็นเพราะปิเอโร่!

“ปิเอโร่!” เมฆาหันไปตวาดอีกคนที่ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ “แกเป็นคนบอกท่านพ่อสินะ ไอ้ทรยศ!!”

“ขออภัยด้วยขอรับนายน้อย กระผมทำก็เพื่อความอยู่รอดของตัวเองเท่านั้น”

คำตอบของมันทำเอาเมฆาถึงกับกัดฟันด้วยความโกรธ

“จะโทษก็โทษตัวแกเองเถอะไอ้ลูกชายตัวแสบ” ราชาปีศาจแสยะยิ้มพูด แถมแสดงใบหน้าเหี้ยมเกรียมราวกับไม่ใช่พ่อของเขาคนเดิมที่เคยรู้จัก “ไม่รู้จักคิดให้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร ฮึ คิดจะทรยศพ่อทรยศต่อบ้านเมืองด้วยการปล่อยให้ราชามังกรกับนางพญามังกรหนีรึ ฝันไปเถอะไอ้ลูกรัก”

พอราชาปีศาจพูดจบ ก็ตวัดมือขึ้นหนึ่งครั้ง ทำให้เมฆาที่ยืนโกรธอยู่นั้น ก็รู้สึกถึงไฟอันร้อนรุ่มแผดเผาร่างกายเสียจนเขาต้องกรีดร้องมันออกมา

“อ้าก!”

9832

“ท่านได้ติดสถานะคำสาปปีศาจค่ะ” เสียงระบบประกาศบอก “คำสาปนี้ไม่สามารถลบล้างได้ถ้าหากไม่กำจัดผู้ที่สาปท่าน”

“แกกล้าทำกับลูกชายตัวเองได้ยังไง นี่มันลูกชายของแกเชียวนะ!”

เดรคทนเห็นเด็กหนุ่มกรีดร้องไม่ได้ จึงหันไปตวาดใส่อดีตเพื่อนรักของตัวเอง ส่วนคนถูกตวาดใส่ กลับหันหน้ามาแสยะยิ้มให้

“แล้วไงล่ะ” ราชาปีศาจตอบเสียงเหี้ยม “ก็แค่ลูกชาย แต่ถ้ามันทรยศข้ากับบ้านเมืองของตัวเองแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนเนื้อเน่าๆที่ใช้การไม่ได้แล้วก็เท่านั้น”

ถึงแม้เมฆากำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ แต่หูสองข้างก็ได้ยินคำพูดของคนเป็นพ่อได้อย่างชัดเจน

ก้อนเนื้อ เราเป็นแค่ก้อนเนื้อเน่าๆที่ท่านพ่อไม่ต้องการแล้วงั้นรึ

ไม่นะ


พอคิดได้ดังนั้นน้ำหูน้ำตาก็ไหลพรากอย่างไม่อายสายตาใคร ถึงแม้ท่านพ่อของเขาจะเป็นแค่หนึ่งในตัวละครของเกมที่ถูกสร้างขึ้น แต่เขาก็นับถือราชาปีศาจราวกับพ่อของตัวเองจริงๆ

“ทหาร! เอาตัวไอ้ก้อนเนื้อเน่านี่กับปิเอโร่ไปทิ้งนอกเมืองซะ”

ราชาปีศาจสั่งทหารที่เพิ่งจะเข้ามาข้างในนี้ ซึ่งทำเอาปิเอโร่ถึงกับสะดุ้ง

“ไม่นะนายท่าน! นายท่านลืมคำสัญญาที่ให้กับกระผมแล้วหรือขอรับ”

“สัญญา?” ราชาปีศาจพูดทวนคำพูดของปิเอโร่ “ข้าเคยไปสัญญาอะไรกับแกตอนไหน อย่ามาพูดมั่วๆ ทหาร! ยังไม่รีบเอาพวกนี้ไปอีกรึ!!”

“ครับท่าน!”

ทหารตอบก่อนจะรีบไปจับปิเอโร่กับเมฆาที่อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงเพราะคำสาปออกไปจากห้องลับทันที ซึ่งภาพสุดท้ายที่เมฆาเห็นก่อนจะสลบไปก็คือ ภาพของราชามังกรกับนางพญามังกรที่กำลังมองเขาด้วยความเวทนากับพ่อของตัวเองที่แสยะยิ้มให้เป็นการส่งท้าย

ท่านพ่อ

................................

*เวทย์สำเร็จรูป คือ เวทมนตร์ที่ถูกบรรจุอยู่ในแหวน ซึ่งถูกกำกับไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยพร้อมใช้งาน ตามตลาดวางแผงขายอยู่ที่สองล้านเหรียญ ยิ่งมีพลังสูงมากก็ยิ่งจะแพงมาก มีไว้สำหรับพวกที่ขี้เกียจร่ายเวทย์หรือไว้ใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 40 วิชาประยุกต์ (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 13:20:11
บทที่ 43 งานเลี้ยง

................

วันนี้ทั้งวันพวกรัตติเอาแต่เล่นซ่อนหาเพียงอย่างเดียว โดยมีรัตติคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นผู้หา เพราะซ่อนตัวได้เก่งมาก

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ1”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ2”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ3”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ4”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ5”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ6”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ7”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ8”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ9”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ10”


เสียงระบบประกาศบอกในหัว ซึ่งทำเอาคนฟังแทบขมวดคิ้ว

แค่เล่นเกมซ่อนหา ก็นับว่าเป็นทักษะได้ด้วยรึ?

ซึ่งพอถึงตอนเย็นแล้ว ศาสตราก็โผล่หัวออกมาจากห้องพักหลังจากอยู่นานทั้งวันด้วยสภาพโทรมสุดๆ

“จะไปงานไหวไหมนั่น” พิภพถามด้วยความเป็นห่วง

“ไหวสิ” ศาสตราตอบพลางยื่นถุงชุดให้กับมาริโอ “นี่ชุดของน้องมาริโอครับ เอาไปเปลี่ยนนะ พี่อุตส่าห์เย็บอย่างสุดฝีมือ”

พอมาริโอได้เห็นถุงชุดของตัวเองแล้ว ถึงกับยิ้มแป้น

“ขอบคุณฮะพี่ศาสตรา”

“ไม่เป็นไร แค่นี้เล็กน้อยมาก หึๆ”

ศาสตราตอบพลางหัวเราะอย่างมีเลศนัย ซึ่งทำเอาสองหนุ่มกับรัตติขมวดคิ้ว

สงสัยว่างานนี้ได้เห็นมาริโอร้องไห้แน่

หลังจากได้ชุดเรียบร้อยแล้ว สามหนุ่มก็ได้พารัตติกับมาริโอไปยังห้องเสื้อผ้าซึ่งเป็นห้องใหญ่โตโอ่อ่าพอควร

“โหย ชุดเยอะจัง”

มาริโอร้องอุทานเสียงดังลั่น ทำให้ผู้เล่นคนอื่นที่กำลังเลือกชุดอยู่นั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว

“พูดให้มันเบาๆหน่อยมาริโอ” รัตติพูดพลางสะกิดมาริโอ “เดี๋ยวข้าจะไปเลือกเสื้อผ้านะ เจ้าห้ามตามมาเด็ดขาด”

มาริโอได้ยินที่รัตติพูดก็พยักหน้าตอบตกลง ก่อนที่มันจะขอตัวไปห้องน้ำเพื่อแต่งตัวบ้าง ส่วนทางด้านสามหนุ่มนั้นหลังจากเห็นว่ารัตติกับมาริโอแยกย้ายกันไปแล้ว พวกเขาจึงหันไปเดินเลือกเสื้อผ้าที่ตัวเองชอบบ้าง ซึ่งศาสตราเดินเลือกอยู่นานเกือบชั่วโมงก็ได้มาเป็นที่พอใจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนทางด้านพิภพนั้น เขามีสิ่งที่ชอบอยู่แล้วจึงเดินเข้าไปหยิบชุดนั้นก่อนจะเดินหายไปในห้องน้ำ ยกเว้นแต่ปฐพีที่ยังคงยืนครุ่นคิดว่าตนจะใส่อะไรดี เพราะเขาเป็นพวกคนผิวคล้ำ แถมทรงผมก็ออกไปทางสกินเฮด จึงเลือกหาเสื้อผ้าที่ใส่ยากพอดู

หลับตาคลำเอาแล้วกัน ปฐพีคิดในใจก่อนจะทำตามนั้น แล้วพอได้ชุดที่หลับตาเลือก ก็พลันเบ้หน้าเมื่อได้เห็นชุดที่ตัวเองสุ่มหยิบมาได้ แต่ถึงกระนั้นปฐพีก็ยอมเดินเข้าไปห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุดนี้อยู่ดี หลังจากเปลี่ยนเสร็จแล้วปฐพีก็เดินออกมาก่อนใคร ยังไม่มีใครออกมาอีกรึนี่

ปฐพีคิดในใจก่อนจะยืนพิงกำแพงหน้าห้องเสื้อผ้า

“อ้าว ปฐพีใส่ชุดเท่ดีนี่” เสียงศาสตราพูดชมเขาในขณะที่เดินออกมา “แล้วพิภพ น้องรัตติ น้องมาริโอล่ะ ยังไม่ออกมาอีกรึ”

“ถ้ามาก็คงเห็นแล้วล่ะ”

ปฐพีตอบสั้นๆ พลางมองศาสตราในชุดใหม่ ซึ่งเป็นชุดซามูไรสีดำ

เข้ากับมันดีแฮะ ปฐพีคิดในใจ ก่อนที่จะเห็นพิภพเดินออกมาในมาดบิชอปสีขาวในมืออุ้มมาริโอในคราบชุดฮู้ตมีหูสั้นคล้ายแมวสีขาวทั้งตัวกำลังร้องไห้เสียงสะอื้น นี่มัน…ชุดมาริโอเนะโกะชัดๆ!

“ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรน้องมาริโอหรือ”

ศาสตราถามอย่างสงสัย ซึ่งปฐพีกับพิภพไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่ามาริโอไม่ตอบคำถามของศาสตรา กลับแผดเสียงร้องไห้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ใครทำมาริโอร้องไห้เหรอ?”

เสียงรัตติดังลอดมาจากข้างใน ก่อนเจ้าของต้นเสียงจะเดินโผล่ออกมาจากประตู ซึ่งเผยให้เห็นเด็กผู้หญิงวัยสิบขวบนัยน์ตาสีฟ้าครามผมสีเงินยาวปะบ่าแซมด้วยดอกไม้สีขาว สวมชุดเจ้าสาวแบบเกาะอกประดับลูกไม้สีขาวบางใสแลดูสวยงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งทำเอาสามหนุ่มที่หันไปมองถึงกับตะลึง

นี่น้องรัตติแน่หรือ?

“รัตติ ฮือๆ พี่ศาสตราแกล้งข้า ฮือๆ”

มาริโอร้องก่อนจะกระโดดโผเข้าหารัตติ ส่วนรัตติเมื่อเห็นว่ามาริโอกระโดดเข้าหาตัวเองก็รีบรับมาริโออย่างเร็วเพราะกลัวมันจะตกพื้นไปเสียก่อน

“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ต้องร้องไห้นะคนเก่ง เด็กดีๆ” รัตติพูดไปลูบหลังปลอบใจมาริโอไปพลาง “เดี๋ยวหลังจบงานแฟนซีแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปกินไอติมนะมาริโอ เพราะงั้นเจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้ว”

มาริโอได้ยินดังนั้นจึงรีบสูดน้ำมูกพลางเช็ดน้ำตาออกอย่างเร็ว

“อื้อ ข้าไม่ร้องแล้วล่ะ”

จากนั้นเด็กหนุ่มก็วางมาริโอลงยืนก่อนจะหันหน้ามาทางสามหนุ่มที่กำลังมองตาค้าง

“พอดีในห้องเสื้อผ้าไม่มีชุดสำหรับเด็กผู้ชายสิบขวบ ผมก็เลยเอาชุดผู้หญิงตัวเล็กๆมาใส่นะครับ” น้องรัตติบอกด้วยความเขินอาย แต่พอเห็นสามหนุ่มยืนนิ่งเงียบ รัตติจึงถามต่อ “หรือว่าชุดนี้ไม่เหมาะกับผมครับ ผมจะได้กลับไปหาชุดใหม่มาใส่”

“ไม่ต้องๆน้องรัตติ ชุดนี้แหละดีแล้ว”

ศาสตรารีบบอกเพราะกลัวรัตติจะเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดจริงๆ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเด็กผู้ชายก็เถอะ แต่พอได้ใส่ชุดเจ้าสาวแล้วก็สวยเหมือนเด็กผู้หญิงไม่มีผิด

แถมน่ารักเสียด้วย!

“ผมว่าไปงานแฟนซีกันได้แล้วมั้งครับ เดี๋ยวจะไปสายเสียก่อน”

รัตติบอก ซึ่งทำเอาสามหนุ่มที่มัวแต่เหม่อมองรัตติอย่างใจลอยพากันสะดุ้ง

“อืม ไปกันเถอะ”

.......................

ห้องงานเลี้ยงแฟนซีบนเรือนี้ได้ถูกจัดออกมาแบบห้องบอลรูม โดยอาหารถูกจัดแบบค็อกเทลคือผู้เล่นสามารถเลือกลิ้มชิมรสอาหารได้ตามใจชอบ มีตั้งแต่อาหารธรรมดาไปจนถึงอาหารหรูระดับห้าดาว

“ว้าว อาหารดูหรูๆทั้งนั้นเลย แถมคนมาในงานก็เพียบ อ๊ะนั่นแดรคคิวล่านี่”

มาริโอพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นในขณะที่สามหนุ่มหล่อกับหนึ่งเด็กผู้หญิงสวยน่ารัก(?)หยุดเดินดูบรรยากาศของห้องบอลรูม ทันทีที่กลุ่มพวกรัตติเดินเข้ามาแล้ว ผู้เล่นในห้องบอลรูมต่างหันมามองด้วยความสนใจพร้อมกับคำพูดวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา

“ดูกลุ่มผู้เล่นตรงนั้นสิ หล่อๆทั้งนั้นเลย แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นก็สวยน่ารักไม่เบา”

“ใช่ แหม ใส่ชุดเจ้าสาวซะด้วย ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าสามหนุ่มคนนั้นใครเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของเด็กคนนั้น”

“แล้วนั่นตัวอะไรนะ แมวรึยังไง”

“คงงั้นแหละ แต่ดูแล้วรู้สึกหมั่นไส้ยังไงชอบกล”

“ช่างมันเถอะ คงจะเป็นทาสรับใช้ของผู้เล่นคนหนึ่งในกลุ่มนั้นแหละ”

ทว่าคำพูดเหล่านั้นพวกรัตติไม่มีวันได้ยินเลย

“ถ้าจะทานอะไรก็บอกนะมาริโอ เดี๋ยวข้าหยิบให้” รัตติรีบบอกเพราะกลัวมาริโอทำขายหน้า

“อื้อ”

แล้วพนักงานเสิร์ฟในชุดเมดชายก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดเครื่องดื่ม

“รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

สามหนุ่มมองหน้าก่อนที่ศาสตราจะตอบไปว่า

“ขอไวน์สามแก้วก็พอครับ”

“ได้ครับ” แล้วพนักงานเสิร์ฟก็ยื่นไวน์ส่งให้ทั้งสามหนุ่มก่อนจะหันไปถามรัตติด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “รับเครื่องดื่มอะไรดีครับคุณผู้หญิง”

รัตติได้ยินถึงกับชะงักกึก เพราะตอนนี้เธออยู่ในร่างเด็กผู้ชาย แถมใส่ชุดเจ้าสาวอยู่ด้วย จึงมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว

นี่ถ้าเธอเป็นผู้ชายจริงๆ ก็คงจะโกรธพนักงานเสิร์ฟไปแล้ว

เพราะผู้เล่นส่วนมากจะเกิดมาตรงกับเพศของตัวเอง ซึ่งต่างจากเธอที่เกิดมาแล้วเป็นผู้ชาย ส่วนสามหนุ่มก็ได้แต่แอบกลั้นหัวเราะในใจอย่างขำๆ

ขำเข้าไป เดี๋ยวจะทำเนียนเป็นผู้หญิงให้ดู

“ขอมาร์ตินี่หนึ่งแก้วแล้วกันค่ะ”

รัตติตอบเสียงหวาน ซึ่งทำเอาพนักงานเสิร์ฟได้ยินที่รัตติพูดถึงกับหน้าแดง

นั่นไง แค่หยอดคำหวานหน่อยก็เตลิดซะแล้ว

ผู้ชายหนอผู้ชาย


“เอ่อพี่คะ มาร์ตินี่ที่สั่งได้รึยังคะ”

“อ๊ะ ครับ ได้แล้วครับ”

พนักงานชายสะดุ้งก่อนจะยื่นแก้วมาร์ตินี่ให้เธอ แล้วจากนั้นค่อยเดินไปเสิร์ฟน้ำให้กับผู้เล่นคนอื่นต่อโดยยังแอบหันมามองอยู่เป็นระยะๆ

หึ เท่านี้ก็สมบูรณ์แบบ รัตติคิดในใจก่อนจะหันกลับไปทางสามหนุ่มซึ่งกำลังมองเธอด้วยความตกตะลึง เป็นยังไงล่ะ คงขำไม่ออกล่ะสิท่า

“เอ่อ แล้วงานนี้นอกจากจะใส่ชุดแฟนซีแล้ว ยังมีอะไรอีกไหมคะ”

รัตติพูดเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นสามหนุ่มยืนมองเธอนานไปแล้ว

“อ๊ะ ครับน้อง งานนี้ก็จะมีการแสดงดนตรีของจีเอ็ม” ศาสตราสะดุ้งก่อนจะพูดตอบคำถามของรัตติ “มีให้ผู้เล่นได้เต้นรำตามเสียงดนตรี แล้วก็…”

“ประกวดแข่งชุดแฟนซีว่าของใครเด่นสุด”

พิภพพูดเสริมต่อเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองทำท่านึกไม่ออก

“ใช่แล้ว! ประกวดแข่งชุดแฟนซีนี่เลิศสุด” ศาสตราดีดนิ้วพูด “เพราะเขามีการให้รางวัลด้วย ถ้าใครได้ที่สามก็จะเป็นที่เติมเลือด ที่สองก็เป็นเต็นท์สุดหรูหนึ่งหลัง และที่หนึ่งก็ได้เงินจำนวนสองล้านเหรียญไปนอนกอดฟรี”

“ฟังดูน่าสนดีนะคะ แต่รัตติคิดว่ารัตติคงไม่ได้แน่ๆ” รัตติพูดไปหัวเราะไปพลาง เพราะตัวเธอเป็นผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง คงจะไม่มีทางได้ของรางวัลพวกนี้ไปอย่างแน่นอน

“มันก็ไม่แน่นะน้องรัตติ เพราะคราวก่อนปฐพีเองก็ได้รางวัลที่หนึ่งมาแล้วด้วย”

รัตติได้ยินที่พิภพพูดถึงกับหันไปมองปฐพีอย่างตกตะลึง

“เห็นคล้ำๆอย่างนี้ก็เลือกเสื้อผ้าได้เก่งเลยเชียวล่ะน้องรัตติ” ศาสตราพูดแก้ความเข้าใจผิดของเธอ ซึ่งทำเอาคนถูกนินทาระยะเผาขนหันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ “รู้สึกว่าคราวนั้นจะเป็นชุดชาวไร่ชาวนานะ หึๆ เข้ากันกับสีผิวดีไม่หยอกเลยใช่ไหมล่ะ”

ขวับ!

จู่ๆก็มีดาบเล่มโตจ่อที่ลำคอของศาสตรา ซึ่งเป็นฝีมือใครไม่ได้นอกเสียจากปฐพี

“ใจเย็นๆสิปฐพี ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”

ศาสตรารีบพูดเพราะกลัวเพื่อนจะเอาจิง ซึ่งปฐพีได้ยินถึงถอนหายใจก่อนจะเก็บดาบของตัวเองเข้าฝักไป

“ถ้าพูดแซวอีกฉันจะหักเงินเดือนแกแน่ศาสตรา”

“คร้าบคุณหัวหน้า”

ศาสตราพูดตอบเสียงสูงซึ่งทำเอารัตติขำ แล้วหลังจากนั้นสามหนุ่มก็ยืนคุยเรื่องอื่นต่อ ซึ่งรัตติก็ไม่คิดจะขัดศรัทธา ได้แต่ยืนใช้ความคิดอยู่เงียบๆ

ไหนๆก็ได้แต่งเป็นผู้หญิงแล้ว วันนี้ขอย้อนวัยไปในสมัยยังสาวหน่อยแล้วกัน รัตติคิดในใจพลางนึกเสียดายรุ้ง นพ แก้วที่ไม่มีโอกาสได้เห็นตัวเธอในสมัยสาวๆ นี่ถ้าตานพได้มาเห็นแล้วล่ะก็ คงตะลึงไปเลย

ทว่ารัตติหารู้ไม่ว่า คนที่เธอคิดถึงอยู่นั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว หลังจากนั้นพวกจีเอ็มก็ขึ้นมาบนเวทีเพื่อแสดงให้พวกผู้เล่นได้ชมเป็นขวัญตา ซึ่งเป็นการแสดงที่ทำให้รัตติได้ประหลาดใจมากที่สุด เพราะแทนที่จะเล่นดนตรีแบบที่ใช้เครื่องเล่นพวกกลองชุด อิเล็กโทน หรือกีต้าร์ แต่นี่กลับเอาเครื่องดนตรีของแต่ละประเทศมารวมไว้ในวงเดียวกัน อาทิเช่น ซออู้จากประเทศไทย กู่เจิ้งจากประเทศจีน ฮาร์ปจากประเทศไอยคุปต์ เปียโนจากประเทศอิตาลี เป็นต้น พอจบดนตรีลงแล้วก็ต่อด้วยงานเต้นรำ ซึ่งทีแรกรัตติคิดจะชวนมาริโอเต้นรำด้วยกัน แต่พอหันไปถามมัน ก็พบว่ามาริโอกำลังยืนคุยกับผู้เล่นหญิงคนอื่นๆอยู่

ให้ตายสิ หน้าหม้อตลอดเลยนะมาริโอ

“เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะเต้นรำกับผมไหมครับ”

จู่ๆก็มีเสียงถามขึ้นมา รัตติได้ยินจึงหันกลับไปดูก่อนจะพบว่าคนถามเป็นผู้เล่นคนหนึ่งที่สวมชุดเจ้าชายสีขาวกำลังยื่นมือมาทางเธออยู่ ซึ่งเธอยังไม่ทันได้คิดหรือพูดอะไรซักคำ ก็มีผู้เล่นชายอีกห้าหกคนเดินเข้ามารุมถามเธอด้วยคำถามเดียวกับคนแรก จนรัตติแทบหัวหมุน

ใครก็ได้ช่วยพาพวกนี้ออกไปที!

“เสียใจด้วยครับ พอดีคุณผู้หญิงท่านนี้จะไปเต้นรำกับผมก่อนแล้ว”

เสียงคุ้นหูดังขึ้น รัตติหันไปมองก็พบว่าคนพูดนี้เป็นปฐพี

“พวกเรามาก่อนนาย ก็ต้องได้ไปเต้นรำก่อนสิ” น้ำเสียงหื่นๆในหมู่ผู้เล่นที่มาขอรัตติเต้นรำด้วยพูดอย่างไม่พอใจ “อย่าคิดนะว่าหล่อแล้วสามารถเลือกได้ ฝันไป…”

“ทำไมมาช้าจังละคะพี่ปฐพี รู้รึเปล่าว่าน้องรอพี่อยู่ตั้งนานแล้ว”

คำว่าปฐพีที่ดังออกจากปากรัตติ ทำเอาพวกหนุ่มๆที่มาขอรัตติเต้นรำถึงกับสะดุ้ง ส่วนคนถูกถามขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะฉีกยิ้มออกมา

“พอดีพี่มัวแต่คุยกับเพื่อนอยู่นะ ต้องขอโทษด้วย”

น่าน รับมุขซะด้วยแฮะ

รัตติคิดอย่างพึงพอใจที่อีกฝ่ายรู้สถานการณ์ดีโดยไม่ต้องบอกซิกเลยซักนิด แล้วปฐพีก็เดินแหวกเข้ามาหาเธอโดยที่พวกหนุ่มๆคนอื่นต่างหลีกทางให้เพราะกลัวอะไรบางอย่างที่รัตติไม่มีวันรู้ เมื่อปฐพีเดินมาถึงแล้ว ชายหนุ่มก็นั่งยองในท่าอัศวินก่อนจะจับมือของรัตติมาจุมพิตหนึ่งที

“ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะให้เกียรติ์เต้นรำกับผมได้ไหมครับ”

ถึงแม้รัตติจะอายุนับร้อยแล้วก็ตาม แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเธออย่างสุภาพ

ไม่ได้ออกงานหรูๆ อย่างนี้มากี่สิบปีแล้วนะเรา

ขอสนุกกับพวกเด็กๆหน่อยแล้วกัน

“ได้ค่ะ”

............................

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

ชายหนุ่มผมดำยาวนัยน์ตาสีแดงหอบหายใจติดขัดเนื่องจากคำสาปที่อยู่ภายในที่ยังคงกำเริบมิขาดสาย ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างบ้ากระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา ไหนจะฟ้าร้องที่ดังเปรี้ยงป้างอยู่เป็นระยะๆ

เหนื่อยเหลือเกิน

เมฆาคิดในใจพลางเหม่อมองท้องฟ้าที่เป็นสีดำ เพราะตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เมฆาก็พบว่าตัวเขากับปิเอโร่ได้ถูกทหารนำมาทิ้งไว้ในหุบเขาความตาย ซึ่งนับว่าเป็นบุญตามากที่เขาไม่ได้เจอพวกมอนสเตอร์หรือบอสมารุมจิกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต เพราะถูกทิ้งไว้บนยอดเขาสูงเหนือพื้นดินมากพอที่พวกมอนสเตอร์ไม่สามารถขึ้นมาทำร้ายเขากับปิเอโร่ได้ พอคิดจะทิ้งปิเอโร่เนื่องด้วยข้อหาทรยศเขาผู้เป็นเจ้านาย มันก็ทำใจยาก เพราะปิเอโร่เคยช่วยงานของเขาอยู่ตั้งหลายครั้ง ไหนจะเคยช่วยชีวิตเขาอีก ก็เลยทำให้เขาตัดใจทิ้งไม่ลง ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยอยู่อย่างนี้

“นายท่านขอรับ กระผมขอโทษ”

เสียงปิเอโร่ร่ำไห้ขอโทษเมฆามาโดยตลอดตั้งแต่เขารู้สึกตัวแล้ว ทำให้ภาพลักษณ์ของความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกที่เคยเมฆาเคยเห็นกลับถูกความขี้ขลาดกับขี้แยเข้ามาแทรกแทน

เฮ้อ นี่หรือตัวตลกปิเอโร่

น่าขันสิ้นดี


หลังจากเมฆานอนพักฟื้นได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว เขาก็ลุกขึ้นนั่งเปิดหน้าต่างสถานะดูว่าตัวเองเป็นยังไงบ้างแล้ว

ชื่อ เมฆา (สถานะร่างแปลงมนุษย์) *ติดคำสาปปีศาจ

เลเวล: 99 (EXP: 784900/4008003)       อายุ: 28 ปี 8 เดือน (EXP: 1090403/41237874)

เผ่า: ปีศาจ                                 สถานที่จุติ: พระราชวังส่วนพระองค์เขตการปกครองปีศาจ

ธาตุ: มืด ไฟ ดิน ลม

HP: 6666666/6666666             

SP: 6666666/6666666

เงินที่มี : 99, 999,014 เหรียญ


ติดคำสาปจริงๆด้วยสิ

เมฆาคิดในใจอย่างซึมเศร้า ก่อนจะเรียกหนังสือคู่มือการเล่นเกม

“เปิดหน้าส่วนคำสาปว่าด้วยการติดคำสาปปีศาจ”

เมฆาบอก ซึ่งทำให้หนังสือเล่มที่ปรากฏตรงหน้าเขาเปิดอ้าออกด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลงทันทีที่มีหัวข้อเขียนบนหัวกระดาษว่า

คำสาปปีศาจ

ที่มา: เป็นคำสาปที่มีผลต่อผู้ถูกสาปในคืนพระจันทร์เต็มดวง ทำให้กลายร่างเป็นปีศาจ ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้จนกว่าถึงรุ่งเช้า หากไม่ใช่คืนวันพระจันทร์เต็มดวง ผู้เล่นที่โดนคำสาปนี้ไปแล้วจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงอยู่เกือบตลอดเวลา ซึ่งคำสาปปีศาจนี้มีเพียงผู้เดียวจะร่ายสาปได้คือ ราชาปีศาจ

วิธีแก้:

1.ดื่มน้ำยาเพิ่มพละกำลังวันละ 2 ขวด (ถ้ากรณีผู้เล่นยังไม่ได้ฆ่าราชาปีศาจและห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด)

2.ฆ่าราชาปีศาจให้ตาย คำสาปนี้ถึงจะหายไป


พอเห็นข้อมูลทั้งหมดแล้ว เมฆาถึงกับซึมไปทันที โดยเฉพาะคำว่าฆ่าราชาปีศาจ มันทำให้เมฆาต้องปิดหน้าต่างลง

ทำไม่ได้…

ยังไงก็ฆ่าท่านพ่อไม่ได้…


ครั้นจะกลับไปหาน้องราตรีแล้ว ก็ยิ่งไปไม่ได้ใหญ่

พระเจ้าทำไมต้องทำกับผมแบบนี้ด้วย!

เมฆาได้คิดดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง

กลับไปตั้งหลักที่สมาคมเงาก่อนแล้วกัน

...........................................
 
ชุดที่ปฐพีใส่ (แต่คนใส่ไม่ได้มีใบหน้าแบบนี้นะคะ)
เครดิต : การ์ตูน 07-ghost

 
ชุดซามูไรสีดำที่ศาสตราใส่ (แต่ใบหน้าคนใส่ไม่ใช่นะคะ)
เครดิต : การ์ตูน รีบอร์น

 
ชุดบิชอปที่พิภพใส่ (อันนี้เอามาจากเรื่องเก่าจ้า คนละคนนะ)

 
ชุดมาริโอเนะโกะ
เครดิต : เกม mario neko

 
รัตติในชุดเจ้าสาว (แต่ไม่ได้ผมยาวสีเขียวกับตาสีเขียวนะ)


 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 43 งานเลี้ยง (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 03-03-2015 14:52:44
ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่เด๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :hao5:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 43 งานเลี้ยง (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 17:25:51
บทที่ 44 ความในใจ

....................

หลังจากรัตติหรือราตรีเต้นรำกับปฐพีเสร็จแล้ว ก็พาเดินกลับไปยังพวกศาสตราที่กำลังยืนจิบไวน์อยู่ ส่วนมาริโอก็ยังคงยืนเคี้ยวอาหารงุบงับไม่เลิกรา

“นี่ยังกินไม่อิ่มหรือมาริโอ” รัตติถาม ซึ่งมาริโอพยักหน้าแทนคำตอบ “กินเยอะอย่างนี้เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก เฮ้อ ดูสิ ข้าวติดมุมปากก็ยังไม่เอาออก มามะ เดี๋ยวรัตติเอาออกให้”

พอรัตติพูดจบ มาริโอก็เดินเข้ามาใกล้ให้รัตติหยิบเม็ดข้าวออก ภาพความสนิทสนมระหว่างมาริโอกับรัตติที่แสดงออกมานั้น สามหนุ่มได้แต่อมยิ้มไปส่ายหน้าไปพลาง

เหมือนแม่กับลูกมากกว่าเจ้านายกับทาสรับใช้แล้วคุณน้องเอ๋ย

หลังจากนั้นพวกเขาก็ยืนรอได้สักพัก ก็ถึงเวลาประกาศผลของการประกวดแต่งชุดแฟนซี ซึ่งรางวัลที่สามกับที่สองตกเป็นของผู้เล่นคนอื่นที่ลงทุนแต่งชุดพิกาจูกับเซเลอร์มูน ส่วนรางวัลที่หนึ่ง…

“รางวัลที่หนึ่งได้แก่…” จีเอ็มพูดเสียงดังยาวให้คนฟังได้มีโอกาสลุ้นไปตามด้วยกับผู้พูด “…ผู้เล่นสาวน้อยในชุดเจ้าสาวที่มีผมสีเงินคร้าบ!”

สามหนุ่มกับหนึ่งสาวน้อย และหนึ่งตัวได้ยินเสียงประกาศถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันมามองรัตติเป็นตาเดียวกันหมด

“ดีใจด้วยนะน้องรัตติ ได้ที่หนึ่งซะด้วย”

ศาสตราพูดแสดงความยินดี ไม่เว้นแม้กระทั่งพิภพหรือปฐพี

“เย้ รัตติสวยที่สุด!”

มาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจ ซึ่งทำเอาคนถูกชมหน้าแดง แล้วรัตติก็เดินขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับรางวัลเงินสองล้านเหรียญ

“สวัสดีครับ มิทราบว่าคุณผู้หญิงมีชื่อว่าอะไรหรือครับ” จีเอ็มชายถามพลางยื่นไมค์มาหารัตติ ซึ่งทำเอารัตติพูดไม่ออก เพราะไม่กล้าบอกชื่อจริง “ถ้าไม่กล้าบอกชื่อจริงก็บอกชื่อเล่นในเกมที่เรียกประจำกันในหมู่เพื่อนฝูงก็ได้นะครับคุณผู้หญิง”

เมื่ออีกฝ่ายบอกมาแบบนั้น รัตติจึงตอบกลับไปว่า

“รัตติค่ะ”

“รัตติ?” จีเอ็มพูดทวนชื่อเธอ “ช่างเป็นชื่อที่มีความหมายดีนะครับ ใช่ย่อมาจากรัตติกาลที่แปลว่าความมืดหรือเปล่าครับ”

“ก็คง…ประมาณนั้นแหละค่ะ”

รัตติตอบพลางนึกย้อนอดีต มันเป็นชื่อที่เธอตั้งสมมุตเพื่อที่ว่าตานพมาได้ยินเข้าแล้ว จะได้เอะใจว่าเป็นเธอ เพราะมันมีความหมายคล้ายกับคำว่าราตรีพิสุทธิ์ ทว่าสิ่งที่รัตติคิดมานั้นผิดทั้งหมด เพราะคนที่เธอคิดถึงอยู่นี้ กลับไม่ได้รู้สึกเอะใจเลยซักนิดเดียว แถมพาลคิดไปว่าคุณยายของตัวเองนั้นเข้ามาในเกมต้องเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน

“แล้วนี่มีแฟนรึยังครับ”

พอจีเอ็มถามคำถามนี้ ทำเอาผู้เล่นชายผิวปากพอใจกันยกใหญ่

“เคยมีค่ะ แต่…” พอตอบคำถามนี้แล้ว รัตติก็รู้สึกสลดใจอย่างบอกไม่ถูก “…เขาเสียชีวิตไปแล้ว”

คำตอบของรัตติทำเอาผู้ชมรวมถึงสามหนุ่มถึงกับเงียบ

“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ ตอนนี้ดิฉันพอจะทำใจได้บ้างแล้วค่ะ”

รัตติพูดพลางเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม ก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้กับทุกคน หลังจากนั้นจีเอ็มชายก็รีบขอโทษที่เสียมารยาทถามเรื่องนั้นกับรัตติ ซึ่งรัตติก็ตอบไปว่าไม่เป็นไร เมื่อได้รับรางวัลจากจีเอ็มแล้ว รัตติก็เดินลงเวทีก่อนจะเดินกลับไปหาพวกปฐพีที่ยืนรอเธออยู่

“เอ่อ น้องรัตติจะดื่มอะไรต่ออีกไหมล่ะ” ศาสตราถามเสียงตะกุกตะกัก ซึ่งทำให้รัตติพอเดาได้ว่าศาสตรากำลังคิดจะหาทางปลอบใจเธออยู่ “เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้”

“งั้นขอเป็นไวน์แล้วกันค่ะ”

หลังจากนั้นศาสตราก็ได้นำไวน์มาให้เธอ ซึ่งรัตติก็ยกดื่มพรวดเดียวหมดแก้ว ทำเอาสามหนุ่มถึงกับมองตาค้าง และนอกจากนี้รัตติยังหันไปขอไวน์เพิ่มจากพนักงานเสิร์ฟอีกหกเจ็ดแก้วอีก

“อร่อยมากเลยเหรอรัตติ ขอดื่มด้วยคนได้ไหม” มาริโอถามอย่างสนใจ ซึ่งทำให้รัตติที่เพิ่งจะดื่มไวน์แก้วที่เจ็ดเสร็จเสร็จ ก็พลันหันหน้ามามองมาริโอด้วยสีหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

“ไม่ได้!” เสียงตวาดของรัตติทำเอาสามหนุ่มสะดุ้ง ส่วนมาริโอที่โดนรัตติตะเบ็งเสียงใส่ก็เริ่มเบะปาก “เด็กอย่างเจ้าไม่สมควรดื่ม กลับไปดื่มนมซะไป๊!”

คราวนี้มาริโอถึงกับร้องไห้เสียงดังจ้าอย่างกลั้นไม่อยู่

อาการแบบนี้เมาเหล้าชัวร์ป๊าบ

สามหนุ่มคิดในใจพร้อมกัน

“ใจเย็นๆน้องรัตติ ไม่ต้องพูดถึงขนาดนั้นก็ได้นี่”

ศาสตรารีบพูดห้ามทัพ แต่กลับโดนรัตติตีหน้ายักษ์ใส่

“ไม่ได้หรอกค่ะ ขืนไม่พูดห้ามตอนนี้ คราวหลังจะได้ใจใหญ่” รัตติตอบเสียงเข้ม ซึ่งปฐพีดูแล้วกลับคุ้นๆชอบกล “กลับไปห้องพักเจ้าได้หลังลายแน่มาริโอ เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีเถอะ แน่ะ ยังไม่หยุดร้องอีก เดี๋ยวเฆี่ยนซะเลยนี่”

เสียงของรัตติดังลั่นจนผู้เล่นคนอื่นเริ่มหันมามองพวกเขาแล้ว ปฐพีจึงรีบบอกให้ศาสตรากับพิภพรีบพามาริโอให้กลับไปที่ห้องพักก่อน ส่วนตัวเขาจะคอยอยู่ห้ามปรามไม่ให้รัตติเมาอาละวาดที่ข้างนอกห้องบอลรูมนี่เอง

“น้องรัตติใจเย็นๆ ดื่มน้ำดื่มท่าให้หายเมาก่อนดีไหมครับ”

 ปฐพีบอกพลางดึงแขนอีกฝ่ายไม่ให้เดินตามพวกศาสตราไป

“ฉันไม่เมา อย่ามาห้ามฉันนะ!”

รัตติบอกพลางสะบัดแขนให้หลุด ซึ่งปฐพีเห็นว่าน่ารำคาญนัก จึงจับอุ้มพาดบ่าแล้วเดินตรงดิ่งไปยังสระน้ำของเรือที่ถูกสร้างไว้ให้ผู้เล่นได้ว่ายน้ำเล่นแก้เซ็ง เมื่อมาถึงแล้วปฐพีก็จับรัตติโยนน้ำทั้งๆที่ใส่ชุดเจ้าสาวอยู่

ตูม!

200

ซ่า!


“แค่กๆ”

รัตติไอสำลักน้ำออกมาหลังจากลอยผุดขึ้นเหนือผิวน้ำ จากที่เคยมึนเมาจนไม่รู้เรื่อง มาตอนนี้รัตติเริ่มได้สติขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย

“หายเมาแล้วใช่ไหมนะเรา” เสียงปฐพีถาม ซึ่งรัตติที่กำลังสำลักน้ำก็ได้เงยหน้าขึ้นมองผู้พูด ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายยื่นมือมาให้เธอ “ถ้าหายแล้วก็ส่งมือมา เดี๋ยวพี่จะดึงขึ้นจากน้ำให้”

“ครับ”

ถึงจะหายเมาก็จริง แต่ก็ยังมีอาการวิงเวียนศีรษะจนแทบจะอ้วก เพราะเหตุนี้รัตติจึงยอมที่จะจับมือของอีกฝ่ายเพื่อที่จะขึ้นจากน้ำแทนที่จะเดินขึ้นด้วยตัวของเธอเอง เมื่อรัตติได้ขึ้นมานั่งบนขอบสระแล้ว ปฐพีก็หยิบผ้าคลุมออกมาจากกระเป๋าไอเทมก่อนจะวางบนลงเส้นผมสีเงินของรัตติ

“เช็ดซะ เดี๋ยวก็ติดสถานะเป็นหวัดเอาได้หรอก”

รัตติพยักหน้าก่อนจะรีบเช็ดผมของตัวเอง ซึ่งในขณะที่ก้มหน้าเช็ดผมของตัวเองอยู่นั้น เธอก็สังเกตเห็นว่าชุดเจ้าสาวที่เปียกน้ำนั้นสามารถมองทะลุลงไปข้างในได้อย่างชัดเจน

ดีนะที่สวมชุดชั้นในกับกางเกงขาสั้นไว้ข้างในด้วย

รัตติคิดในใจก่อนจะลงมือเช็ดผมต่อให้แห้ง ซึ่งในระหว่างที่รัตติเช็ดผมนั้น ปฐพีก็เล่าถึงวีรกรรมของเธอในตอนเมาตั้งแต่ต้นจนจบ

“กลับไปก็อย่าลืมขอโทษน้องมาริโอด้วยนะ”

“ครับพี่”

แล้วทั้งคู่ก็นั่งเงียบ ถ้าปฐพีไม่เอ่ยปากถาม รัตติก็คงยังนั่งเช็ดผมอยู่ไปเรื่อยๆ

“พี่ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”

“ครับ?”

รัตติชะงักมือก่อนจะหันไปมองคนถาม ซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตามองเงาพระจันทร์บนสระว่ายน้ำ

“ก็เรื่อง...” ปฐพีพูดพลางใช้ความคิด “...แฟนของน้องนะ”

รัตติถึงกับบางอ้อเมื่อทราบว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไรอยู่

“ขอบคุณพี่ปฐพีมากครับที่อุตส่าห์เป็นห่วงผม ผมทำใจได้นานแล้วล่ะ” รัตติตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองดูพระจันทร์ที่ส่องสว่างท่ามกลางแสงดาวยามค่ำคืน “ทีแรกผมก็ยอมรับไม่ได้ที่สูญเสียเขาไป แต่พอลองมาคิดๆดูแล้ว ถ้ามัวแต่ร้องไห้เสียใจโดยไม่ทำอะไรเลย คนที่ตายไปแล้วก็คงจะนอนตายตาไม่หลับแน่ จริงสิ พี่ปฐพีเคยดูดาวบ้างไหมครับ”

“ก็เคยนะ ทำไมหรือ”

ชายหนุ่มตอบพลางเงยหน้ามองรัตติด้วยความแปลกใจ

“ก็เวลาผมเศร้า ผมมักจะดูดาวพวกนี้แทนนะครับ” รัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะดาวแต่ละดวงมักจะมีแสงสว่างในตัวเอง มันคอยทำหน้าที่ส่องแสงในยามกลางคืน ซึ่งทำให้พวกดาวที่อยู่อันใกล้โพ้นสามารถมองกลับมาดูดวงดาวอีกฟากได้อย่างชัดเจน สมมุตว่าถ้าเกิดดาวดวงนั้นไร้แสงไฟแล้วล่ะก็ ดาวที่อยู่อีกฟากคงจะเศร้าน่าดูที่ไม่ได้มีโอกาสเห็นดาวดวงนั้นอีกตลอดไป เพราะฉะนั้นผมถึงได้พยายามที่จะมีชีวิตอย่างไม่ย่อท้อ ต่อให้ต้องเผชิญอุปสรรคนานานัปการ ผมก็จะสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อมิให้คนรักที่จากไปต้องเสียใจยังไงล่ะครับ”

พอรัตติพูดจบ ปฐพีถึงกับอึ้ง

นี่ถ้าเขาเป็นน้องรัตติแล้วล่ะก็ คงจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยปราศจากคนรักไม่ได้แน่

แล้วทันใดนั้นภาพคุ้นตาก็พลันปรากฏขึ้นทับซ้อนกับใบหน้าของรัตติ เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ภาพก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาปฐพีถึงกับต้องใช้มือขยี้ตาของตัวเอง

สงสัยเราคงจะดื่มไวน์หนักไปหน่อย

ก็เลยเห็นน้องรัตติเป็นคุณยายไปแทนซะได้นี่


หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว รัตติกับปฐพีก็พากันเดินกลับไปยังห้องพักต่อ

.......................

ในขณะเดียวกันนี้ ทางด้านเมฆาได้เดินออกจากหุบเขาความตายอย่างทุลักทุเลแล้ว ชายหนุ่มก็เดินตรงไปยังเมืองแรกที่อยู่อันใกล้นี้ ซึ่งมันเป็นเมืองทางการเกษตรเล็กๆที่ไม่ค่อยมีผู้เล่นคนใดคิดจะผ่านมาสักเท่าไหร่ เพราะพื้นที่ในเมืองทั้งสองฟากเต็มไปด้วยท้องทุ่งนากับทุ่งสวนเท่านั้น จึงไม่มีอะไรน่าสนใจ แถมภารกิจก็มีเพียงแค่ทำนาปลูกผักปลูกผลไม้ ส่วนเรื่องผลตอบแทนนั้นไม่ได้มีค่าเป็นจำนวนเงิน กลับเป็นแค่ทักษะง่ายๆที่ไม่มีใครเหลียวแล แต่ทว่าทุกคนคิดผิด สำหรับชายหนุ่มคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทั้งแร่ทางธรรมชาติ พืชผล สัตว์ น้ำ อากาศ ทั้งสิ้น แถมทักษะที่ได้รับก็คุ้มค่ากับการสร้างเมืองๆหนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นเมืองนี้จึงกลายเป็นสมาคมของเมฆาไปโดยปริยาย

เมืองแห่งการเกษตร

นั่นคือป้ายของเมืองนี้ แม้ชื่อเมืองจะไม่สวยหรูเหมือนชื่อสมาคมเงาก็ตามที แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะเปลี่ยนมัน เพราะจำเป็นต้องปิดบังคนภายนอกไม่ให้ล่วงรู้ ทว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกสงัด จึงไม่มีคนเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกเลยซักนิด ทำให้เมืองดูร้างและน่ากลัวอย่างยิ่ง ครั้นเมฆาเดินย่างก้าวเข้าประตูเมืองนี้แล้ว เงานับสิบก็พลันปรากฏต่อหน้าเมฆากับปิเอโร่ที่เดินตามหลังมาอย่างรวดเร็ว ในมือเพียบพร้อมไปด้วยอาวุธครบมือราวกับจะมาสู้ด้วย

หึ ยังป้องกันเยี่ยมอยู่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ

เมฆายิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะพูดอะไรออกมาเพื่อมิให้พวกเขาต้องเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นศัตรู

“ข้ากลับมาแล้วอเลน”

แม้คำพูดจะดูเรียบง่ายก็ตาม แต่ก็ทรงพลังจนที่เงาทั้งสิบซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มถึงกับเข่าอ่อนระทวยด้วยความกลัว

“โธ่เมฆา เจ้านี่ชอบแกล้งพวกเขาจริงๆ รู้ทั้งรู้อยู่ว่าพวกเขาไม่สามารถรับรังสีฆ่าฟันได้ ก็ยังคิดจะแผ่ให้มันอยู่ได้” เสียงบ่นดังลอดออกมา แต่ก็ยังไม่เผยตัว ทำให้เมฆาที่ได้ยินคำบ่นถึงกับขำ “แล้วนี่นึกยังไงกลับมาบ้านล่ะ ธุระที่บนเกาะเริ่มต้นเสร็จแล้วรึไง”

“ยังเลยนะ”

เมฆาตอบพลางถอนหายใจ ทำเอาคนที่สนทนาด้วยถึงกับต้องรีบปรากฏตัวออกมา ซึ่งเผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามมีเส้นผมสีม่วงยาวลากพื้นถูกรวบด้วยเชือกเส้นหนึ่ง นัยน์ตาสีทองส่องประกายแววความเป็นห่วงออกมา ผนวกกับชุดเกราะสีดำทำให้ดูน่าเกรงขามในระดับหนึ่ง

“เจ้าเป็นอะไรไป ใครทำอะไรให้เจ้า อย่าบอกนะว่าเป็น…”

“เรื่องนั้นไว้คุยกันในห้องทำงาน” เมฆาบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดจนจบ “เอาเป็นว่าตอนนี้เจ้าช่วยเอาไอ้ปิเอโร่นี่ไปขังคุกทีสิ แล้วก็ช่วยเอาของกินกับที่เติมพลังดีๆของเจ้ามาให้ข้าในห้องทำงานด้วยล่ะ”

พอสั่งเสร็จ เมฆาก็เดินหายเข้าไปข้างในเมืองอย่างเร็วโดยไม่ฟังเสียงคำทัดทานจากเพื่อนเลยซักนิด เมื่อเมฆาใช้ความพยายามในการเดินมาถึงบ้านพักของตัวเองซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่เท่าคนโอบได้ถึงห้าสิบคนแล้ว เขาก็เดินตรงเข้าไปยังห้องทำงานก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้โซฟาไม้ขนาดยาวอย่างหมดแรง หลังจากนั้นเมฆาก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

“ขอเข้าไปหน่อยนะเมฆา”

เสียงอเลนพูดจากข้างนอกประตู ซึ่งเมฆาตอบเสียงครางอือเบาๆ ก่อนที่ประตูห้องทำงานจะถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า

“ให้ตายสิ หมดแรงข้าวต้มถึงขนาดนี้เลยเชียวรึ” อเลนพูดอุทานพลางเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะนำของกินกับขวดยารูปทรงสีประหลาดมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน “ลุกขึ้นมาทานข้าวกับทานยาสิ จะได้มีเรี่ยวมีแรง”

“อืม”

เมฆาตอบก่อนจะลุกขึ้นเดินมานั่งเก้าอี้โต๊ะทำงานอย่างอ่อนแรง ซึ่งทำเอาอเลนอดส่ายหน้ากับภาพที่เห็นไม่ได้

“ค่อยๆทานนะ มันยังร้อนอยู่” อเลนบอกเพื่อนที่กำลังจะคนข้าวต้มไปมาอยู่ “แล้วเดี๋ยวพอทานเสร็จก็อย่าลืมดื่มยาพวกนี้ให้หมดด้วยล่ะ”

“อืม”

คนป่วยตอบก่อนจะลงมือทานข้าวอย่างเนิบนาบ โดยที่อเลนหมุนตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้โซฟารอให้เมฆาได้ทานข้าวทานยาเสร็จเสียก่อน เมื่อเมฆาทานอาหารกับดื่มยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอนหลังพิงกับเก้าอี้อย่างอ่อนแรง

“ไปทำอะไรมาถึงได้หมดแรงมากขนาดนั้นล่ะ แล้วยาที่ให้ไป มันใช้ไม่ได้ผลหรือ”

อเลนเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“ได้ผลสิ ช่วยได้มากเลยทีเดียว แต่…” เมฆาตอบพลางถอนหายใจแรงๆ “…คำสาปที่อยู่ในตัวมันไม่หายไปนะสิ”

“อ้าว ทำไมไม่บอกแต่แรกว่าติดคำสาปล่ะ จะได้เอายาแก้คำสาปอย่างดีมาให้”

อเลนร้องอ้าวเมื่อได้รับทราบจากปากเพื่อน

“ถึงบอกไปเจ้าก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอกอเลน” เมฆาตอบพลางส่ายหน้า “เพราะคำสาปที่ข้าโดนนั้นมันเป็นคำสาปปีศาจนะ”

“ว่ายังไงนะ!”

อเลนร้องอุทานอย่างตกใจ เพราะเขารู้เรื่องคำสาปปีศาจนี้ดี มันเป็นคำสาปที่แรงน่าดู ถ้าหากผู้เล่นคนใดโดนเข้าไปแล้วล่ะก็ ไม่มีวันที่จะได้ออกไปเก็บเลเวลได้ตามใจชอบจนกว่าจะฆ่าราชาปีศาจได้สำเร็จ

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง งั้นก็แสดงว่า…

เมฆากับพ่อของเขาตัดขาดจากความเป็นพ่อลูกกันแล้ว

อเลนคิดในใจอย่างคาดเดา เพราะเขารู้ดีว่าเมฆานั้นไม่ถูกกับพ่อ แต่ไม่น่าจะร้ายแรงถึงขั้นนี้ได้

“มันเกิดอะไรขึ้นหรือเมฆา” อเลนถามด้วยความลังเล ถึงแม้เขาจะเป็นเพื่อนกับเมฆามาตั้งแต่ก่อนตั้งสมาคมก็จริง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะถามลึกถึงเรื่องส่วนตัวของเพื่อนเลยซักนิด เพราะส่วนมากเมฆาจะเป็นคนบอกเล่าให้เขาฟังเสมอ “บอกข้าได้รึเปล่า เผื่อข้าจะช่วยเจ้าได้”

เมฆาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็ฉีกยิ้มให้

“ขอบใจที่เป็นห่วงข้านะอเลน ข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวที่เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เข้ามาเล่นเกมนี้”

“ฮะๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันบังเอิญนะมันบังเอิญ”

อเลนพูดไปหัวเราะไป แล้วเมฆาก็ยอมเปิดปากเล่าให้อเลนฟังตั้งแต่ต้นที่ได้พบกับน้องราตรีจนถึงปัจจุบัน

...............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 44 ความในใจ (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 19:18:24
บทที่ 45 ชายทะเล

.................

หลังจากที่เมฆาได้เล่าเรื่องน้องราตรีให้อเลนฟังจนจบแล้ว เขาก็เข้านอนพักผ่อนเอาแรงจนกระทั่งรุ่งเช้าก็ถึงเวลาที่เขาต้องออฟไลน์จากเกมนี้ไป

“คงอีกหลายวันที่ข้าจะกลับเข้ามาในเกม ฉะนั้นข้าฝากเจ้าช่วยดูแลสมาคมให้ด้วยล่ะอเลน” เมฆาบอก ซึ่งอเลนก็พยักหน้าตอบตกลง

“ได้สิ แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบออนไลน์เกมเชียวล่ะ ไปพักผ่อนนอกเกมให้มากที่สุด แล้วค่อยกลับมาในเกมอีกก็ไม่สาย” อเลนบอกด้วยความเป็นห่วง “ส่วนทางนี้ข้าจะเป็นคนจัดการงานกับสมาคมเงาให้เจ้าเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะเมฆา”

“อืม ขอบใจเจ้ามากจริงๆ” แล้วเมฆาก็ออฟไลน์ออกจากเกมทันที พอออกจากเกมแล้วเขาก็ถอดแว่นตาอนาล็อกออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลส่องประกายสดใสท่ามกลางความมืดมิด

“อรุณสวัสดิ์ครับบอส” ชายหนุ่มลูกครึ่งจีนร่างสูงผมดำสั้นในชุดสูทสีดำพูดพลางเดินย่างกรายเข้ามาในห้องพร้อมกับแสงไฟที่เพิ่งจะถูกเปิดออก ทำให้คนที่นอนอยู่ต้องรีบเอามือป้องตากันแสงเข้าตา

“เรื่องพาสปอร์ตที่เราสั่งให้ไปทำนั้นเรียบร้อยรึยัง” เมฆาหรือไป่เส้าอวิ๋นถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

“เรียบร้อยแล้วครับบอส” อาเฟยตอบก่อนจะพูดต่อ “พาสปอร์ตประเทศไทยของ่ายมาก ง่ายกว่าที่พวกเราเคยไปขอจากอเมริกาเสียอีกนะครับบอส”

“ก็ดีแล้ว เราจะได้ไปพักผ่อนอย่างสบายๆซักที” เมฆาตอบพลางลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลังจากได้ล้างมือการเป็นแก๊งมาเฟียแล้ว ก็ผันตัวเองมาตั้งธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าระหว่างประเทศแทน ซึ่งผลตอบลัพธ์เป็นลบเพราะยังไม่ได้ความไว้วางใจจากพวกนักธุรกิจสักเท่าไหร่ จึงทำให้เมฆาต้องขยันมากขึ้นกว่าเดิมจนรายได้จากการขายเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ทว่าเพราะเขาขยันมากไปหน่อย ก็เลยไม่ได้พักผ่อนอย่างที่คนธรรมดาทั่วไปเขาทำกัน

“แล้วบอสจะเอาเกมไปเล่นที่ประเทศไทยด้วยหรือเปล่าครับ” อาเฟยถามพลางวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะกลมที่อยู่ข้างเตียง

“อืม ต้องเอาไปสิอาเฟย” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวให้เด็กจัดเสื้อผ้าให้เราด้วยล่ะ เอาไปเยอะหน่อยนะเพราะอยู่เที่ยวหลายวัน แล้วอีกอย่างเราอยากไปสูดอากาศริมทะเลด้วย เพราะเห็นลือกันว่าทะเลที่จังหวัดกระบี่สวยมาก”

“ครับบอส เดี๋ยวผมจะจัดการให้” เมื่อสั่งงานเสร็จแล้ว อาเฟยก็เดินหายออกไปนอกห้องนอน แล้วเมฆาก็ค่อยลุกขึ้นมานั่งบนขอบเตียงก่อนจะยกชาที่ยังร้อนๆขึ้นมาดื่มแก้กระหาย ซึ่งระหว่างดื่มน้ำชาไปเมฆาก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านพ่อในเกม

“ก็แค่ลูกชาย แต่ถ้ามันทรยศข้ากับบ้านเมืองของตัวเองแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนเนื้อเน่าๆที่ใช้การไม่ได้แล้วก็เท่านั้น”

จริงสินะ เรามันแค่ก้อนเนื้อเน่าๆที่ท่านพ่อไม่ต้องการ เมฆาคิดพลางกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความเจ็บใจ ถึงแม้เป็นแค่เกม แต่เขาก็ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นแบบนี้ เพียงแค่อยากจะช่วยคนแต่ก็ต้องทรยศพ่อของตัวเอง ปวดใจจริงๆ

หลังจากคิดเสร็จแล้ว เมฆาก็ลุกหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวที่จะไปขึ้นเครื่องบินในเร็วๆนี้

..............................

ย้อนกลับมาทางด้านรัตติ ซึ่งเพิ่งจะลาพี่ศาสตรากับพี่พิภพแล้ว ก็ได้ออฟไลน์ไปพร้อมกับพี่ปฐพีก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงไอแดดยามเช้ากับเสียงนกร้อง

อากาศตอนเช้านี้นี่ช่างดีจริงๆ

เธอคิดในใจก่อนจะลุกขึ้นมานั่งทำสมาธิตามเคย แล้วจากนั้นจึงค่อยเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว เมื่อเสร็จทุกอย่างแล้วเธอจึงเดินออกจากห้องนอนก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหาร

“อ้าวคุณแม่คะ อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เสียงรุ้งกล่าวทักทายในขณะที่เธอเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องครัว ซึ่งทำเอาเธอชะงักก่อนจะเห็นว่าในห้องครัวนี้มีรุ้ง มีนา และนางพยาบาลกำลังเรียงจานอยู่

“อืม อรุณสวัสดิ์” เธอตอบพลางมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ซึ่งจะมีแกงดอกไม้ ต้มจืดตำลึง ต้มยำลูกชิ้นปลากราย ไข่เจียว และผลไม้อีกสองสามอย่างวางอยู่ตรงกลางของอาหาร “นี่ลุกขึ้นมาทำแต่เช้าตรู่กันเลยรึ”

“ค่ะคุณแม่” รุ้งตอบยิ้มๆ “คุณแม่นั่งก่อนสิคะ ประเดี๋ยวลูกนพกับหลานแก้วก็มาแล้วค่ะ เห็นว่ากำลังจัดเสื้อผ้ากันอยู่”

คำว่าจัดเสื้อผ้านั้นทำเอาเธอขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“อ้าวแล้วกัน นี่จะรีบกลับกทม.วันนี้เลยรึไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคุณยาย” มีนารีบตอบเพราะเห็นว่าคุณยายกำลังเข้าใจผิดไป “พอดีนพบอกว่าจะพาพวกเราไปเที่ยวทะเลกันยกบ้านนะค่ะ เอ อย่าบอกนะว่านพเขาไม่ได้บอกคุณยายไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนะค่ะ”

เธอได้ยินที่อีกฝ่ายบอกก็พลันส่ายหน้าไปมา

“แล้วกัน นพนี่ไม่ได้เรื่องเลย เรื่องใหญ่ออกแบบนี้ไม่บอกคุณแม่ได้ยังไงเนี่ย” รุ้งบ่นอย่างหัวเสียกับความไม่ได้เรื่องของลูกชายตัวเอง

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็กแค่นี้เอง” เธอรีบบอกเพราะกลัวลูกสาวตัวเองจะไปลงโทษนพเสียก่อน “ว่าแต่นพจะพาไปเที่ยวที่ไหนรึ”

“ทะเลที่จังหวัดกระบี่นะครับคุณยาย” เสียงนพดังจากนอกประตู ทำให้เธอต้องหันไปมองคนพูด ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีชมพูกางเกงยีนส์ตัวเก่ง และที่ข้างกายของนพเป็นเหลนแก้วซึ่งมาด้วยเสื้อยืดสีชมพูเฉกเช่นเดียวกับนพ ยกเว้นข้างล่างที่เป็นกระโปรงลายลูกไม้สีขาวแลดูน่ารัก

“อ้อ งั้นรึ ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะยายเองก็กำลังคิดอยากจะไปอยู่พอดี” เธอพูดอย่างเห็นด้วยกับความคิดนี้ “แล้วต้องไปค้างกันกี่วันล่ะ ฉันจะได้กลับไปเตรียมเสื้อผ้าก่อน”

“ผมคิดว่าค้างสามวันได้นะครับคุณยาย”

“สามวันรึ ก็ดีเหมือนกัน ยายจะได้เอาเกมติดตัวไปด้วย เพราะขืนไปโดยไม่เอาเกมไปด้วย มีหวังเพื่อนของยายที่อยู่ในเกมได้โกรธปะไร” เธอพูดอย่างขำๆ ซึ่งทำให้นพพลอยขำไปตามด้วยเช่นกัน

“งั้นผมขออาสาเป็นคนไปเอาเกมมาให้คุณยายเองครับ คุณยายจะได้ไม่ต้องถือของหนักๆยังไงล่ะครับ” นพพูดอาสาอย่างสุภาพบุรุษก่อนจะวิ่งหายออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วเพื่อไปเก็บตัวเครื่องเกมให้เธอ โดยไม่ฟังคำทัดทานของเธอเลยสักนิด

..................

2 ชั่วโมงให้หลังจากที่เมฆากับอาเฟยได้นั่งเครื่องบินจากจีนถึงประเทศไทยแล้ว อาเฟยก็ได้พาเขาออกมาจากสนามบินที่ชื่อว่า’สุวรรณภูมิ’ ซึ่งเป็นสนามบินที่เก่าแก่นับยี่สิบปีได้แล้ว แต่ก็ยังคงบริการได้ดีเยี่ยมเกินที่คาดคิดต่างจากสนามบินที่จีนลิบลับ ก่อนจะนั่งรถตู้ที่อาเฟยจัดการเหมาจ่ายล่วงหน้าไว้ตลอดการเดินทางมุ่งตรงไปยังจังหวัดกระบี่อย่างเร็ว

“ดีนะครับบอสที่ไม่มีนักข่าวมาคอยรุมตอมพวกเราตอนอยู่ในสนามบิน” อาเฟยพูดพลางถอนหายใจหลังจากได้นั่งพักผ่อนอิริยาบถ เพราะตอนอยู่ที่จีน พวกเขาต้องหลบหน้าพวกนักข่าวจีนที่มาคอยสัมภาษณ์ ซึ่งโชคดีที่ประเทศไทยไม่มีนักข่าวตอนที่พวกเขาเดินออกจากสนามบินเลยสักนิด

“คงจะบังเอิญมากกว่า” เมฆาตอบสั้นๆพลางมองบรรยากาศของไทยผ่านกระจกรถ ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในเมืองหลวงอยู่ “อาเฟย นายไม่ได้บอกใครเลยใช่ไหมว่าเรามาพักผ่อนที่นี่นะ”

“ครับบอส ผมไม่ได้บอกใครเลยครับ”

“อืม ดีแล้วล่ะ”

เมฆาตอบพลางเอี้ยวคอไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งเครื่องบินนาน สาเหตุที่เมฆามาเที่ยวประเทศไทยอย่างเงียบๆ ก็เพราะกลัวการตกเป็นข่าวลือหน้าหนึ่งของจีนกับไทยว่า’อดีตหัวหน้ามาเฟียไป่เส้าอวิ๋นมาพักผ่อนที่ประเทศไทย’ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น หลังจากนั้นเขาก็หลับเกือบตลอดทางเดิน มีบ้างที่หยุดแวะพักปั้มน้ำมันเพื่อรับประทานอาหารกับเข้าห้องน้ำ และเพื่อมิให้เป็นการเดินทางดูน่าเบื่อเกินไป อาเฟยจึงให้คนขับหยุดแวะพักเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีในแต่ละจังหวัด ซึ่งเมฆาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเห็นว่าอาเฟยเคยมาเที่ยวประเทศไทยถึงสองสามครั้งแล้ว ซึ่งกว่าจะถึงจังหวัดกระบี่ก็กินเวลาหลายชั่วโมง เมื่อมาถึงแล้วคนขับก็พาพวกเขาไปเช็คอินในโรงแรมหรูมีชื่อของจังหวัดกระบี่ ซึ่งในระหว่างที่รอเช็คอินอยู่นั้น เมฆาก็ได้ยินบทสนทนาของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในโรงแรมพร้อมกับกระเป๋าคนละใบ

“เฮ้อ ในที่สุดก็ถึงซักที นั่งจนเมื่อยแย่อยู่แล้ว” เสียงพูดเป็นหญิงไทยวัยประมาณสี่สิบมาในชุดเสื้อคอวีสีน้ำตาลสวมกางเกงยีนส์กับรองเท้าแฟชั่นหุ้มส้นสีครีม ก่อนจะตามมาด้วยผู้หญิงไทยอีกคนที่ดูอายุน้อยคราวลูกมาด้วยชุดแซกกระโปรงยาวลายดอกไม้สีชมพู สวมรองเท้าแตะไม่หุ้มส้นประดับด้วยดอกไม้สีขาวอ่อนแลดูหวาน ในมือของเธอได้จูงเด็กผู้หญิงวัยสิบขวบที่สวมเสื้อยืดคอกลมสีชมพู กระโปรงลายลูกไม้สีขาว กับรองเท้าแตะลายการ์ตูน

“หนูขอไปว่ายน้ำก่อนไม่ได้เหรอคะคุณแม่” เด็กวัยสิบขวบพูดอ้อน ถึงแม้เมฆาจะฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องก็จริง แต่เขาพอเดาได้ว่าเด็กคนนี้กำลังอ้อนขออะไรบางอย่างกับผู้หญิงคนนั้นแน่

“ไม่ได้หรอกยัยแก้ว เราต้องเข้าไปเช็คอินกับเก็บกระเป๋าก่อน แล้วค่อยลงมาเล่นน้ำทีหลัง”

เสียงนี้เป็นผู้หญิงในชุดผ้าไหมไทยสีฟ้าพูดขึ้น ซึ่งเธอเพิ่งจะเดินเข้ามาทีหลังโดยมีนางพยาบาลคนหนึ่งคอยจูงเธอด้วย

แก่กว่าเราอีกแฮะ

เมฆาคิดในใจ เพราะผู้หญิงคนนั้นดูแก่กว่าเขาเกือบสามสิบสี่สิบปีได้ แล้วเมฆาก็ได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงอีกคนมาในชุดเสื้อยืดคอกลมสีชมพู กางเกงยีนส์สีเข้ม สวมรองเท้าผ้าใบพร้อมกับกระเป๋าอีกสองสามใบเดินตามหลังมาติดๆ

ช่างเป็นครอบครัวที่ใหญ่ซะจริง

เมฆาคิดในใจอย่างอิจฉา เพราะเดิมทีเขาเป็นเด็กที่มีเพียงแค่พ่อคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนแม่ได้เสียไปตั้งแต่คลอดเขาออกมาแล้ว ซึ่งตอนเขายังเด็กก็อดมื้อกินมื้อ แถมมีพ่อที่บ้าเล่นการพนันจนเป็นหนี้เป็นสิน เพราะเหตุนี้เมฆาจึงต้องดิ้นรนชีวิตด้วยการเป็นมาเฟียแทน

“บอสครับ ไปกันได้แล้วครับ” อาเฟยบอก ซึ่งทำเอาเมฆาเลิกสนใจมองครอบครัวนั้นก่อนจะหมุนตัวเดินตามอาเฟยไปพร้อมกับเด็กหิ้วกระเป๋า โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองเมฆาอย่างสนอกสนใจ

...........................

“คุณแม่คะ คุณแม่”

“คุณยายครับ คุณยาย”

เสียงเรียกสองเสียงประสานกัน ทำเอาคนเหม่อลอยมองใครบางคนที่กำลังเดินหันหลังให้เธออยู่ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองทุกคนที่กำลังมองเธอมาอย่างเป็นกังวล

“คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เห็นดูเหม่อๆ”

“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อยนะ” เธอตอบยิ้มๆ “เอ้อ นี่เดี๋ยวตอนเย็นหลังจากทานข้าวเย็นแล้ว ยายจะขอเข้าเกมก่อนนะตานพ อย่าลืมประกอบเกมให้ยายด้วยล่ะ”

นพมองคุณยายด้วยความแปลกใจแต่ก็ยอมตอบโดยดี

“ครับคุณยาย เดี๋ยวผมประกอบให้หลังจากขึ้นไปในห้องพักแล้วนะครับ”

“อืม”

พอตอบเสร็จพวกนพก็หันไปคุยกับพนักงานโรงแรมต่อ ซึ่งทำให้เธอรีบหันกลับไปมองทางเดิมแต่ก็ไม่พบคนๆนั้นแล้ว

จริงสิ เขาตายไปแล้วนี่นะ

จะมาเดินอยู่แถวนี้ได้ยังไงกัน

บ้าจริงๆเลยเรา
เธอคิดไปส่ายหน้าไปพลาง เพราะเมื่อครู่นี้เธอดันไปเห็นคนที่น่าจะตายจากไปแล้วกำลังยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์เช็คอินซะได้ สงสัยนั่งรถมากไปจนเบลอเห็นอะไรเพี้ยนๆไปหมด

หลังจากนั้นเธอก็ได้เข้าห้องพักพร้อมกับรุ้ง ส่วนนพ มีนา และแก้วก็พักรวมกันอีกห้องหนึ่ง เมื่อเก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินลงมาพร้อมกันเพื่อมาเล่นน้ำที่ชายทะเล

“เดี๋ยวหนูขอไปเล่นน้ำก่อนเลยนะคะ” แก้วพูดขออนุญาตผู้ใหญ่ที่กำลังจัดเตรียมกางผ้ารองพื้นทรายอยู่

“ได้สิลูกแก้ว แต่อย่าไปตรงที่ลึกนะ มันอันตราย” มีนาบอก ซึ่งแก้วก็พยักหน้าตอบก่อนจะวิ่งลงน้ำทะเลอย่างสนุกสนาน หลังจากนพปูผ้ารองนั่งให้เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เรียกให้เธอมานั่ง

“คุณยายเชิญนั่งนี่ได้เลยครับ ผมปูผ้าให้เรียบร้อยแล้ว”

ทีแรกเธอคิดจะนั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อย ทว่าภาพคนรักที่เจอตรงเคาน์เตอร์ยังตรึงตาเธออยู่

เดินเล่นคลายเครียดดีกว่า

“ไม่ล่ะ ยายจะออกไปเดินเล่น”

“เดินเล่นหรือครับ งั้นให้คุณพยาบาลไปเป็นเพื่อน...”

“ไม่ต้อง ฉันจะไปเดินเล่นคนเดียว”

คำพูดของเธอทำให้ทุกคนตกใจ

“คุณแม่คะ หนูว่าให้คุณพยาบาลเดินไปเป็นเพื่อนด้วยดีกว่านะคะ” รุ้งบอกด้วยความเป็นห่วง “แล้วอีกอย่างถ้าคุณแม่เกิดเป็นอะไรไป แล้วใครจะช่วยคุณแม่ได้...”

“ฉันดูแลตัวเองได้ แล้วอีกอย่างฉันคงไม่เดินไปที่อันตรายอย่างที่แกคิดหรอกแม่รุ้ง”

“คุณยาย/คุณแม่”

ในเมื่อรั้งเธอไม่ได้แล้ว พวกนพก็ได้ให้มือถือแก่เธอหนึ่งเครื่องติดตัวไปด้วย หลังจากเดินแยกออกมาแล้ว เธอก็เดินเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ซึ่งเธอเดินไปได้สักพัก จู่ๆ ก็มีใครไม่รู้มากระชากกระเป๋าถือของเธอออกจากแขนอย่างรวดเร็ว

หัวขโมย?!

ถึงแม้เธอจะเดินอย่างเหม่อลอยก็ตาม แต่ร่างกายกลับดึงยื้อยุดไม่ให้อีกฝ่ายขโมยกระเป๋าของเธอไปเองอัตโนมัติ

“แม่งเอ้ย! อีแก่แรงเยอะชิบ” ขโมยพูดอย่างหัวเสียก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างต่อยเข้าที่หน้าของเธอ แต่ก็พลาดเพราะเธอสามารถรับหมัดของอีกฝ่ายได้อย่างสบาย ซึ่งทำเอาหัวขโมยตกใจ “อะไรกัน?! ไม่จริงน่า รับได้ยังไงวะเนี่ย”

เธอยิ้มอย่างพึงพอใจที่ร่างกายยังไม่ฝืดเคืองอย่างที่คิด แล้วจากนั้นเธอก็บิดมือของอีกฝ่ายอย่างแรงทันที

กรอบ!

“อ้าก!!”

หัวขโมยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วเธอก็ปล่อยมือของอีกฝ่ายออกก่อนจะดึงกระเป๋ากลับเข้ามาห้อยแขนต่อดังเดิม

“ไปซะ อย่าให้ฉันต้องโทรแจ้งตำรวจจับแกไอ้หนุ่ม” เธอพูดขู่ ซึ่งทำให้หัวขโมยที่ได้รับบาดเจ็บนั้นถึงกับรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว “เฮ้อ ไม่ไหวเลยเด็กหนุ่มสมัยนี้ ริอาจเป็นหัวขโมย สงสารแทนพ่อแม่ซะจริง เฮ้อ”

แปะ แปะ แปะ

จู่ๆก็มีเสียงปรบมือจากด้านหลังพร้อมกับคำพูดดังขึ้นเป็นภาษาจีนว่า

你非常厉害 (หนี่ เฟย์ ฉาง ลี่ ฮ่าย)*”

เธอได้ยินคำนั้นก็พลันหันหลังกลับไปมอง ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับภาพที่เห็น

นรินทร์!

..................................

*你非常厉害 (หนี่ เฟย์ ฉาง ลี่ ฮ่าย) เป็นคำชมที่คนจีนใช้กัน

 :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 45 ชายทะเล (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 03-03-2015 21:50:30
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 45 ชายทะเล (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 22:39:33
บทที่ 46 พักผ่อน

...........
 
“นรินทร์!”

หญิงวัยชราร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งทำเอาเมฆาถึงกับขมวดคิ้ว

“นาริน?” ทว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่อยู่ตอบคำถามของเขา ร่างนั้นเกิดทรุดลงกับพื้นเอาดื้อๆ ซึ่งทำให้เมฆาต้องรีบเข้าไปพยุงไว้อย่างเร็ว “นี่คุณผู้หญิง อย่าเพิ่งมาสลบตอนนี้สิ”

เมฆาบอกพลางเขย่าอีกฝ่ายเบาๆ ทว่าผู้หญิงคนนี้กลับหาได้ฟื้นไม่

“ตะกี้ยังเล่นกับหัวขโมยได้อยู่เลย แล้วทำไมถึงมาเป็นลมเอาตอนนี้ได้นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” เมฆาบ่นพลางมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนรู้จักของผู้หญิงคนนี้ แต่ทว่าจุดตรงที่พวกเขาอยู่นั้นเป็นจุดที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน

สงสัยต้องรอให้ฟื้นอย่างเดียวแล้ว

เมฆาคิดได้ดังนั้นก็วางร่างนั้นลงบนทรายอย่างแผ่วเบา แล้วเขาก็เดินไปยังทะเลก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจุ่มน้ำพลางบิดให้หมาดๆ จากนั้นจึงเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเอาผ้าเช็ดหน้าที่เปียกน้ำมาเช็ดหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

ไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครนอกจากพ่อเลย

พ่อที่โหดร้ายแม้กระทั่งลูกในไส้


ถึงแม้พ่อของเขาจะโหดร้าย ไม่เคยเหลียวแลที่จะคอยเลี้ยงฟูมฟักเขาเหมือนกับพ่อคนอื่นทำก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรักพ่ออยู่จนวาระสุดท้ายของท่าน

“นะ…นรินทร์” เสียงคนสลบพร่ำเพ้อออกมา ทำเอาเมฆาชะงักมือพลางขมวดคิ้วมองผู้หญิงผู้มากวัยกว่าเขาอย่างสงสัย “อย่า…อย่าจากฉันไปนะ…นรินทร์”

นรินทร์?

อ้อ สงสัยจะเป็นแฟนเก่าที่ตายไปกระมัง


เมฆาคิดในใจก่อนจะลงมือเช็ดต่อ แต่ทว่าพอจะลงมือเช็ด อีกฝ่ายก็ดันลืมตาขึ้นเสียแล้ว

“อ้าว ฟื้นแล้วหรือครับคุณผู้หญิง” เมฆาพูดพลางเอาผ้าเช็ดหน้าออก แต่แล้วก็พลันนึกได้ว่าตัวเองกำลังพูดภาษาจีนอยู่ จึงเปลี่ยนมาเป็นพูดภาษาอังกฤษแทน “เอ่อ คุณสลบไปนะ ผมก็เลยช่วยคุณไว้”

อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามของเขา กลับขมวดคิ้วมองเขาอย่างเอาเรื่อง

“เอ่อ หน้าของผมมีอะไรติดอยู่งั้นหรือ” เมฆาถามอย่างสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายไม่ตอบ กลับใช้มือสองข้างจับใบหน้าของเขาแทน จากการที่เคยแค่จับก็เปลี่ยนมาเป็นลูบคลำไปมาจนเมฆารู้สึกจั๊กจี้

“ไม่ใช่” หญิงผู้สูงวัยกว่าเขาพูดพลางปล่อยมือออกจากใบหน้าเขา ซึ่งโชคยังดีที่อีกฝ่ายพูดกับเขาด้วยภาษาอังกฤษ จึงทำให้เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังพูดกับเขาว่าอย่างไร “ไม่ใช่นรินทร์ เอ่อ ดิฉันต้องขออภัยที่ละลาบละล้วงคุณค่ะ”

แล้วอีกฝ่ายก็ดันตัวลุกขึ้นนั่ง ซึ่งทำให้เมฆาต้องรีบเข้าไปช่วยพยุงอีกแรง

“ไม่เป็นไรครับ แค่ฟื้นมาก็ดีแล้ว” เมฆาบอกก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่คุณเก่งเหมือนกันนะครับ เล่นปราบหัวขโมยอย่างเด็กวัยรุ่นซะอยู่หมัด นี่ถ้าเป็นคนแก่ธรรมดาทั่วไปล่ะก็ คงสู้แรงคนหนุ่มคนสาวไม่ได้แน่ๆ”

อีกฝ่ายยิ้มรับเมื่อได้ยินที่เมฆาพูด

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ มันก็แค่ฟลุ๊กนะ” หญิงสูงวัยตอบก่อนจะพูดต่อ “เอ่อ ดิฉันต้องขอขอบคุณมากที่คุณช่วยดิฉันไว้ ไม่อย่างนั้นคงล้มหัวกระแทกพื้นไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เล็กน้อย ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะครับ ผมไป่เส้าอวิ๋น เรียกผมว่าอวิ๋นได้นะครับ” เมฆาตอบพลางบอกชื่อของตัวเองไปพลาง

“จันทร์แรมค่ะคุณอวิ๋น ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” อีกฝ่ายตอบชื่อตัวเองพลางส่งยิ้มมาให้ “ว่าแต่คุณเป็นคนจีนหรือคะ ดิฉันเห็นคุณพูดภาษาจีนนะค่ะ”

“อ้อ ใช่ครับ ผมเป็นคนจีน เพิ่งจะมาเที่ยวประเทศไทยวันนี้เองแหละครับ เอ่อ ผมว่าพวกเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่านะครับ” เมฆาพูดพลางชวนอีกฝ่ายให้ไปคุยกันที่อื่น ซึ่งจันทร์แรมพยักหน้าตกลงก่อนจะพากันลุกขึ้นเดินไปหาที่นั่งคุยกันดีๆกว่านี้
 
....................

ในขณะเดียวกันนั้นเอง นพ รุ้ง มีนา และแก้วต่างร้อนใจที่จันทร์แรมได้เดินเล่นนานเกินร่วมชั่วโมงแล้ว ดังนั้นนพจึงโทรศัพท์ติดต่อกลับไปแต่ก็พบว่าปลายสายไม่ว่าง

“ทำยังไงดีล่ะนพ แจ้งตำรวจกันเลยดีไหม” มีนาพูดอย่างเป็นกังวล

“ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงตำรวจไม่รับแจ้งนะมีนา” นพตอบก่อนจะหันไปมองแม่ของตัวเอง “แม่ครับ ผมว่าพวกเราแยกย้ายกันออกตามหาคุณยายดีกว่านะครับ ถ้าใครเจอแล้วค่อยให้โทรบอกกัน”

“อืม เอาตามนั้นแล้วกัน” แล้วนพก็ออกวิ่งตามหาคุณยายทันที ส่วนรุ้ง มีนา และแก้วก็วิ่งไปอีกทาง ซึ่งในระหว่างที่ออกตามหาคุณยายนั้น เขาก็วิ่งไปร้องเรียกคุณยายไป และนอกจากนี้ยังแวะถามจากคนอื่นด้วย
 
คุณยายไปไหนของเขานะ นพคิดในใจพลางเป็นนึกเป็นห่วงกลัวว่าคุณยายจะจมน้ำทะเล ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น หลังจากนพเดินหาอยู่เกือบร่วมชั่วโมงแล้ว เขาก็หยุดพักหอบหายใจที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเพิงไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนนใกล้ชายหาดทะเล แวะพักดื่มน้ำเย็นๆสักแก้วแล้วค่อยออกตามหาดีกว่า

ครั้นพอนพเดินเข้าไปในเพิงไม้แล้ว เขาก็ได้เจอกับคนที่กำลังออกตามหาอยู่พอดี

“คุณ…” นพทำท่าจะตะโกนเรียกคุณยาย แต่ก็พลันเห็นผู้ชายวัยประมาณเจ็ดสิบในชุดเสื้อยืดคอกลมกางเกงแสลกสีครีมกำลังนั่งคุยกับคุณยายอยู่

นั่นใครกันนะ?

นพคิดในใจอย่างสงสัย ก่อนจะทำท่าเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ ซึ่งเขาได้ยินเสียงพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เขาเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นคนต่างชาติ ไม่อย่างนั้นคุณยายของเขาคงไม่พูดกับอีกคนด้วยภาษาอังกฤษแน่ แต่พอนพเข้ามาใกล้ๆจนเห็นผู้ชายอีกคนชัดเจน ก็รู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

แล้วทันใดนั้นนพก็ได้เห็นคุณยายยิ้มกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน ซึ่งมันเป็นภาพที่นพไม่เคยเห็นมาก่อน

คุณยายกำลังมี...ความสุข

แล้วนพก็กดเบอร์โทรศัพท์โทรหาคุณแม่ของเขา

“ผมเจอคุณยายแล้วครับคุณแม่”
 
..................

ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่นพจะมาเจอคุณยาย จันทร์แรมกับอวิ๋นก็ได้มานั่งพักที่ร้านอาหาร ซึ่งถูกทำด้วยเพิงไม้ตั้งอยู่ริมถนนใกล้ชายหาดทะเล

“ขอเป็นชาเย็นสองแก้วกับแตงโมหนึ่งจานนะ” เธอสั่งพนักงานของร้านก่อนจะหันไปมองอวิ๋นต่อ

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้คุณสั่งของกินแทน เพราะผมพูดภาษาไทยไม่ได้เลย” อวิ๋นพูดขอโทษ ซึ่งเธอได้ยินถึงกับส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้เอง” เธอตอบยิ้มๆ “ว่าแต่คุณอวิ๋นมาเที่ยวที่ประเทศไทยนี่เพื่อพักผ่อนใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ พอดีช่วงนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงลาพักร้อน ก็เลยมาเที่ยวได้สบาย” อีกฝ่ายตอบพลางโบกมือพัดไปมาเพื่อคลายความร้อน ซึ่งเธอเข้าใจหัวอกของคนต่างชาติได้ดี เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ร้อนกว่าประเทศจีนมาก “แต่ประเทศไทยของคุณนี่ก็ดีนะครับ หาดทรายสวย น้ำทะเลก็ใส แถมขยะก็ไม่มีอีกด้วย ต่างกับประเทศของผมลิบลับ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ทุกๆคนช่วยกันคนละไม้คนละมือก็เลยทำให้บ้านเมืองสะอาด” เธอพูดไปยิ้มไปพลาง “ที่ประเทศจีนของคุณเองก็ใช่ย่อย มีทั้งทะเลสาบกับภูเขาที่สวยงาม ไหนจะกำแพงเมืองจีนกับสุสานจิ๋นซีอีก ที่ท่องเที่ยวเยอะดีออกจะตายไปค่ะ”

“อย่างนั้นหรือครับ ผมเพิ่งจะรู้เองนะเนี่ยว่าที่ประเทศจีนของผมทำให้คนไทยอย่างคุณสนใจได้ด้วย” อวิ๋นพูดไปหัวเราะไปพลาง ซึ่งทำเอาเธอพลอยอดหัวเราะไม่ได้

“ก็คงประมาณนั้นแหละค่ะ พอดีดิฉันเป็นพวกแฟนพันธุ์แท้นิยายกำลังภายในจีน ก็เลยชอบประเทศจีนซะเสียส่วนมาก”

“แหม งั้นก็คอเดียวกันเลยครับ ผมเองก็พวกบ้าอ่านนิยายกำลังภายในจีนเหมือนกัน” แล้วเธอกับอวิ๋นก็คุยกันในเรื่องนิยายกำลังภายในจีนอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่า

“แล้วนี่คุณจันทร์แรมไม่ได้มาเดินเล่นพร้อมกับครอบครัวหรือครับ” อวิ๋นถามต่อ ซึ่งทำเอาเธอถึงกับขมวดคิ้ว

“คุณรู้ได้ยังไงว่าดิฉันมากับครอบครัวนะค่ะ” เธอถามอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่เดินคุยด้วยกันมาเมื่อครู่นี้ เธอยังไม่ได้หลุดปากว่ามากับครอบครัวเลยซักคำเดียว

“อ้อ เรื่องนั้นพอดีผมเห็นคุณเมื่อชั่วโมงที่แล้วตรงหน้าเคาน์เตอร์ในโรงแรมนะครับ” อวิ๋นพูดจบ ซึ่งทำเอาเธอถึงกับตะลึง

ที่แท้แล้วภาพที่เธอเห็นตอนอยู่ในโรงแรมก็เป็นเขาคนนี้นะสิ!

“มิน่าล่ะ ว่าทำไมคุณอวิ๋นถึงรู้ได้ เอ่อ พอดีลูกหลานของดิฉันกำลังนั่งเล่นอยู่บนชายหาดนะค่ะ” เธอตอบก่อนจะพูดต่อ “ส่วนดิฉันก็เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ” คำพูดของเธอทำเอาอวิ๋นขมวดคิ้ว

“เดินเล่นหรือครับ” อวิ๋นถามย้ำอีกรอบ

“ใช่ค่ะ เดินเล่น” เธอเอียงหัวเล็กน้อยตอบ “ทำไมหรือคะ มันแปลกด้วยหรือคะที่ดิฉันเดินเล่นคนเดียว”

“มันก็ไม่แปลกหรอกครับ เพียงแต่คนมีอายุอย่างคุณน่าจะพาใครซักคนมาด้วย เผื่อเป็นอะไรไปแล้วจะได้ช่วยเหลือทันนะครับ” อวิ๋นตอบ ซึ่งทำเอาเธอหงุดหงิดเล็กน้อย ทว่าด้วยความที่เธอเพิ่งจะรู้จักอีกฝ่ายได้ไม่นาน ก็เลยนิ่งๆไว้โดยไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวให้อีกฝ่ายได้รับรู้

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ แต่ดิฉันได้พกมือถือมาด้วยแล้ว”

“งั้นคุณก็น่าจะโทรบอกพวกเขาได้แล้วนะครับ เพราะป่านนี้แล้วพวกเขาคงกำลังจะเป็นห่วงคุณมาก” อวิ๋นบอกด้วยความหวังดี

“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะโทรไปบอกพวกเขาแล้วค่ะ” จันทร์แรมบอกก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหานพ พออีกฝ่ายรับเธอก็พูดไปว่า “นพ นี่ยายเองนะ ตอนนี้ยายนั่งพักอยู่ที่ร้านอาหารเพิงไม้ใกล้ๆนี่เอง”

“ครับ ผมทราบแล้วครับคุณยาย”

ปลายสายตอบ ซึ่งทำเอาเธอถึงกับขมวดคิ้ว เพราะเสียงที่ได้ยินนี้เธอได้ยินทั้งข้างนอกโทรศัพท์กับข้างในด้วยพร้อมกัน

“อ้าว นั่นใช่หลานชายของคุณหรือเปล่าครับ ผมเห็นเขายืนถือโทรศัพท์มือถือข้างนอกร้านนะ” อวิ๋นบอก ซึ่งทำเอาเธอหันขวาไปมองตามมืออวิ๋น ก่อนจะเห็นนพยืนถือโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างนอกร้านจริงๆ

“ใช่ค่ะคุณอวิ๋น นั่นหลานชายของดิฉันเองค่ะ” เธอตอบก่อนที่จะเห็นนพเดินเข้ามาในร้าน เธอก็เลยกดวางโทรศัพท์แล้วเก็บเข้าไว้ที่เดิม “นพมาสวัสดีคุณอวิ๋นสิ เขาเป็นคนต่างชาติที่ช่วยยายเอาไว้นะ”

นพขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ แต่นพก็ไม่ได้พูดอะไรกลับมานอกจากยกมือขึ้นไหว้อวิ๋น

“สวัสดีครับคุณอวิ๋น” นพพูดเป็นภาษาอังกฤษ

“สวัสดีพ่อหนุ่ม นี่คงกำลังเป็นห่วงคุณยายใช่ไหม ถึงได้ออกมาตามหาถึงที่”

“ครับคุณอวิ๋น” นพตอบก่อนจะหันมามองเธอ “คุณยายครับ เดี๋ยวผมว่าเรากลับโรงแรมกันเถอะครับ นี่มันก็เย็นมากแล้ว จวนจะได้เวลาทานอาหารเย็นแล้วด้วยนะครับ”

เธอขมวดคิ้วก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือ

ตายล่ะ นี่เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้วรึ!

“ไม่ทราบว่าคุณอวิ๋นว่างหรือเปล่าคะ” จันทร์แรมเงยหน้าขึ้นถาม

“ก็ว่างนะครับ ทำไมหรือครับ”

“เอ่อ คือดิฉันอยากจะชวนคุณอวิ๋นไปร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยนะค่ะ” เธอบอกก่อนจะพูดถึงเหตุผลที่ชวนอีกฝ่ายต่อ “พอดีดิฉันอยากจะคุยเรื่องนิยายกำลังภายในจีนต่อนะ ไม่ทราบว่าคุณอวิ๋นพอจะไปได้รึเปล่าคะ”

อีกฝ่ายได้ยินที่เธอบอกก็พลันขมวดคิ้วราวกับใช้ความคิด ก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ได้สิครับ เดี๋ยวผมขอโทรศัพท์บอกอีกคนก่อนนะครับ ประเดี๋ยวเขาจะเป็นห่วงผมเอาได้”

“ค่ะ” แล้วอวิ๋นก็ลุกขึ้นเดินหายไปนอกร้าน ทำให้นพที่ยืนอยู่นั้นหันมาคุยกับเธอด้วย

“คุณยายครับ คุณยายแน่ใจแล้วหรือว่าจะชวนเขาไปทานอาหารกับพวกเราด้วยนะ”

“แน่ใจสิ” เธอตอบ “หรือนพรังเกียจที่ยายพาคนแปลกหน้าไปร่วมรับประทานอาหารด้วยนะ”

นพได้ยินที่เธอพูดก็พลันส่ายหน้าอย่างเร็ว

“ผมไม่ได้รังเกียจเลยครับคุณยาย ผมก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าเขาจะหลอกคุณยายเอาได้นะครับ”

“เฮ้อ นพเอ้ย แค่นี้จะไปกลัวอะไร ยายไม่ได้ชวนเขาไปทานกันแค่สองคนตามลำพังซักหน่อย” เธอบอกพลางถอนหายใจ “แล้วอีกอย่างยายชวนเขาก็เพื่อจะตอบแทนบุญคุณที่เขาอุตส่าห์ช่วยยายตอนเป็นลมนะ”

พอนพได้ยินที่เธอพูดถึงกับตกใจ

“อะไรนะครับ คุณยายสลบงั้นหรือครับ!”

“ใช่ พอดียายสลบไปนะ” เธอตอบยิ้มๆ “แล้วยายก็ได้เขานี่แหละคอยช่วยเอาผ้าเช็ดหน้าให้จนฟื้น ไม่งั้นยายคงนอนสลบไปอย่างนั้นไม่รู้เรื่องแน่”

นพถอนหายใจอย่างโล่งอกที่คุณยายไม่เป็นอะไรมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังแอบเป็นห่วงว่าอวิ๋นจะแอบทำอะไรคุณยายตอนสลบไป แล้วหลังจากนั้นอวิ๋นก็เดินกลับเข้ามาในร้านใหม่ ก่อนที่เธอกับนพจะพาอวิ๋นไปด้วยพร้อมกัน

................
 
ในขณะที่จันทร์แรม อวิ๋น นพกำลังอยู่นอกเกมนั้น ในเกมได้มีการอัพเดทด้วยการเพิ่มสายอาชีพใหม่นอกเหนือจากอาชีพสายต่อสู้ อาทิเช่น อาชีพพ่อครัวแม่ครัว อาชีพนักตกปลา อาชีพดีไซน์เนอร์ อาชีพพ่อบ้านแม่บ้าน อาชีพนักส่งของ อาชีพนักประดิษฐ์ เป็นต้น ซึ่งทางด้านเกมยังได้ประกาศกับผู้เล่นว่า ถ้าคนใดค้นหาอาชีพได้ด้วยตนเองก็ให้มาแจ้งกับทางจีเอ็มได้ทันที

“วู้ ดีแหะ แบบนี้เราก็สามารถหาอาชีพอื่นทำแก้เซ็งรอน้องรัตติกับปฐพีแล้ว” ศาสตราพูดด้วยความดีใจหลังจากที่อยู่ว่างงานกับพิภพถึงหนึ่งวันเต็ม

“แล้วนายจะทำอาชีพอะไรล่ะศาสตรา” พิภพที่มองป้ายประกาศของจีเอ็มหันหน้าไปถามเพื่อนอย่างสงสัย ตอนนี้พวกเขายังอยู่ที่ท่าเรือซึ่งมีเมืองเล็กๆตั้งอยู่ไม่ไกลถึงสองร้อยเมตร

“คงจะเป็นดีไซน์เนอร์ล่ะมั้ง” ศาสตราตอบพลางใช้ความคิด “มันน่าสนุกดีถ้าได้ออกแบบเสื้อผ้า ว่าแต่นายล่ะพิภพ นายจะทำอาชีพอะไรหรือ”

พิภพนิ่งเงียบราวกับใช้ความคิดก่อนจะตอบไปว่า

“นักประดิษฐ์…ฉันคิดว่ามันน่าจะใช้ประโยชน์กับสมาคมของพวกเราได้”

คำพูดของพิภพทำเอาศาสตราถึงกับหน้ามุ่ย

“งั้นอาชีพของฉันก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อสมาคมได้งั้นสิเนี่ย” พิภพได้ยินคำพูดน้อยใจของเพื่อนถึงกับส่ายหน้า

“นายอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิศาสตรา พวกเรายังไม่รู้ว่าอาชีพใหม่นี้จะทำอะไรได้บ้างเลยนะ” พิภพบอกพลางเอามือตบไหล่เพื่อนเบาๆ “เอาล่ะ ฉันว่าพวกเราไปหาจีเอ็มในเมืองกันดีกว่า ไปสอบถามอาชีพพวกนี้ให้ชัดเจนก่อนดีไหม”

“อืม เอางั้นก็ได้” แล้วสองหนุ่มก็เดินมุ่งหน้าเข้าเมืองที่อยู่ใกล้ท่าเรือทันที

............................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 46 พักผ่อน (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 03-03-2015 22:48:18
เจอกันแล้ววว  อยากให้เมฆาเป็นแฟนที่จมน้ำหายไปได้ไหม หวังๆๆ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 46 พักผ่อน (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 03-03-2015 23:05:51
สนุกมากค่ะ  o13

จะรอตอนต่อไปนะคะ  ^ ^
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 46 พักผ่อน (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-03-2015 23:12:59
บทที่ 47 ครอบครัวสุขสันต์

........................
 
หลังจากที่จันทร์แรมกับนพได้พาอวิ๋นกลับไปหาพวกรุ้งแล้ว เธอก็โดนลูกสาวบ่นยกใหญ่ก่อนจากนั้นค่อยพากันไปร้านอาหารแห่งหนึ่งเพื่อทานอาหารเย็น

“นี่อาเฟยหลานชายของผมครับ” อวิ๋นพูดพลางแนะนำชายหนุ่มลูกครึ่งจีนร่างสูงผมดำสั้นในชุดเสื้อยืดคอกลมสีดำกางเกงยีนส์สีเข้มหลังจากที่พวกเขาได้สั่งอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เธอนั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะอาหารตัวยาวกับพวกนพ “อาเฟย นี่คุณจันทร์แรม นั่นก็นพหลานชายของคุณจันทร์แรม ส่วนคนนั้น...”

“ดิฉันรุ้งเป็นลูกสาวของคุณแม่จันทร์แรมค่ะ นี่มีนาภรรยาของนพ” รุ้งพูดแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษให้พร้อมเสร็จสรรพโดยที่จันทร์แรมไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้ฟังทีหลัง “แล้วก็คุณฟางเป็นพยาบาลส่วนตัวของคุณแม่ กับหนูแก้วเป็นลูกสาวของนพค่ะ”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณรุ้ง คุณมีนา น้องแก้ว คุณฟาง”

“เช่นกันค่ะ/ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณตา” รุ้ง มีนา แก้ว ฟางตอบพร้อมกัน

“ว่าแต่คุณอวิ๋นไปเจอคุณแม่ตรงไหนเหรอคะ” รุ้งเปิดประเด็นถามทันที ซึ่งทำเอาจันทร์แรมถึงกับส่ายหน้า

“อ้อ พอดีผมไปเจอตอนที่คุณจันทร์แรมกำลังโดนขโมยกระเป๋านะครับ” อวิ๋นตอบ

“อะไรนะคะ ขโมยกระเป๋า” รุ้งกับมีนาร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนที่รุ้งจะหันหน้ามาทางเธอ “แล้วโจรที่ขโมยกระเป๋าคุณแม่ เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ คุณแม่คงไม่ได้เล่นงานเขาหนักมือจนเกินไปนะคะ”

“ใจเย็นๆ สิแม่รุ้ง แม่แค่บิดข้อมือสั่งสอนเท่านั้นเอง” คำตอบของเธอทำเอารุ้งกับมีนาถอนหายใจโล่งอก ส่วนอวิ๋นกับอาเฟยได้ยินถึงกับอึ้ง

“ว่าแต่คุณอวิ๋นกับอาเฟยมาเที่ยวประเทศไทยครั้งนี้เป็นครั้งแรกเหรอคะ” รุ้งหันมาถามต่อ

“เปล่าครับคุณรุ้ง มีแต่ผมที่มาครั้งแรกนะครับ” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “ส่วนอาเฟยหลานชายผม เขามาประเทศไทยกับเพื่อนๆสองสามรอบแล้วนะครับ”

“อืม ดีแล้วค่ะ มีคนรู้จักเส้นทางมาด้วยแบบนี้ไม่มีวันหลงทางแน่นอนค่ะ เพราะส่วนมากคนต่างชาติที่มาไทยมักจะมากันแค่คนสองคน แถมไม่รู้จักเส้นทางดีพอ ก็เลยหลงทางกันจนต้องให้ตำรวจท่องเที่ยวคอยช่วยเหลือเสมอ”

“ฮะๆ อย่างงั้นเองหรือครับ”

ในขณะที่อวิ๋นกับอาเฟยกำลังคุยกับพวกจันทร์แรมอยู่นั้น จู่ๆก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งประมาณหกเจ็ดคนท่าทางมีเรื่องเดินตรงมายังโต๊ะพวกเขาโดยจงใจไปยืนข้างมีนา

“สาวน้อยไปกับพวกเราไหม เดี๋ยวพวกเราจะไปเลี้ยงข้าวที่ดีกว่านี้” ไม่ว่าพลางจับแขนมีนาด้วย “ดีกว่านั่งทานอาหารกับไอ้หน้าจืดนี่ซะอีกนะ ฮะๆ”

หน้าจืดที่ว่าคือนพ ซึ่งกำลังปั้นหน้าโกรธใส่อยู่

“ขออภัยที่หน้าจืด แต่ผมคงปล่อยให้พวกคุณพาเธอไปได้หรอกนะครับ” นพพูดเสียงเข้มพลางลุกขึ้นยืน “แล้วคนที่คุณจับอยู่เป็นภรรยาของผมด้วย”

ชายคนที่จับแขนมีนาแสยะยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า

“แล้วไงล่ะไอ้หน้าจืด เป็นผัวแล้วอย่าคิดจะหึงหวงเก็บไว้คนเดียวสิ แบ่งๆกันบ้างหน่อยเป็นไร”

แม้ว่าอวิ๋นจะฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็พอเดาได้ว่าพวกเขากำลังมีเรื่องทะเลาะกันอยู่

“ของแบบนี้มันแบ่งไม่ได้ เพราะมีนาไม่ใช่สิ่งของ” นพแย้งกลับอย่างดุเดือด “แล้วอีกอย่างพวกคุณเป็นใครกัน มีสิทธิ์อะไรมาพูดจาแบบนี้ กรุณปล่อยแขนของเธอออกด้วย ก่อนที่ผมจะโกรธพวกคุณไปมากกว่านี้”

นี่ถ้าเป็นอวิ๋นหรืออาเฟยล่ะก็ คงจะตะบันหน้าไอ้พวกมาลวนลามเมียตัวเองไปนานแล้ว แต่นี่บางทีอาจจะเป็นเพราะนพเห็นแก่หน้าจันทร์แรมผู้เป็นยายของตัวเอง ก็เลยไม่ทำอะไรนอกจากพูดห้ามเพียงอย่างเดียว

ใจเย็นจริงๆนะ

ทว่าพวกนั้นไม่ได้ทำตามที่นพพูดไว้ กลับดึงกระชากแขนขาวของมีนาอย่างแรง

“ว้าย!”

เพียงแค่คำเดียว นพสวนหมัดใส่ใบหน้าอีกฝ่ายเลยทันที ทำให้ผู้ชายคนนั้นถึงกับหงายท้องไปนอนนับดาวบนพื้น

เอ่อ ขอกลับคำพูดตอนนี้จะยังทันไหมนะ

ส่วนพวกที่เหลือเมื่อเห็นว่าเพื่อนตนนอนลงไปแล้วถึงกับตกใจ

“แกไอ้หน้าจืด แกไม่ได้ตายดีแน่” อีกคนในกลุ่มพูดชี้หน้านพ “เฮ้ยพวกเรา จัดการพวกผู้ชายกับอีแก่ให้หมด ส่วนผู้หญิงกับเด็กผู้หญิงลากไปด้วยเลย!”

“โอเค!”

ที่เหลือร้องรับก่อนจะกรูเข้าหาพวกจันทร์แรม รวมถึงอวิ๋นกับอาเฟยที่พากันผุดลุกจากที่นั่งแล้ว

ผัวะ! บึก! ผลัก!

ทั้งเขาและอาเฟยผลัดกันช่วยคนละไม้คนละมือ ทำให้ชายสองคนที่เข้ามารุมเขาถึงกับล้มลงไปนอนกับพื้น ก่อนที่อวิ๋นกับอาเฟยจะหันไปช่วยพวกผู้หญิง เพราะพวกเขาคิดว่าคงสู้แรงผู้ชายไม่ได้แน่ๆ แต่แล้วพวกเขาก็ได้พบกับภาพอันน่าตกตะลึง เมื่อแก้วได้ทุ่มชายร่างยักษ์ลงกับพื้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาสองคน

โครม!

เสียงดังสนั่นพร้อมกับชายร่างยักษ์ที่นอนหมดสติไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นได้อีก

พระเจ้านั่นเด็กจริงๆแน่รึ!

ครั้นพอพวกเขามองหารุ้ง สองหนุ่มก็พบว่าเธอกำลังใช้ขาเตะคอผู้ชายร่างสูงอยู่พอดี

ผัวะ!

เตะเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ชายคนนั้นล้มไปนอนวัดพื้นทันที

โอ้แม่เจ้า เตะเก่งชะมัด

พวกเขาคิดในใจอย่างตกตะลึง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังเหลือจันทร์แรมอีกคน จึงหันไปช่วยเหลือแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นจันทร์แรมที่ยังคงนั่งเหมือนเดิม เพียงแต่ใช้เพียงแค่ร่มที่นำติดตัวมาด้วยฟาดแขนกับฟาดขาของผู้ชายที่คิดจะเข้ามาทำร้าย ซึ่งทำให้อีกฝ่ายถึงกับทรุดลงไปนั่งร้องโอยกับพื้น ส่วนนพยิ่งไม่ต้องพูดถึง จัดการเสร็จไปตั้งแต่แรกเรียบร้อยแล้ว

“บ๋อย เก็บตัง” จันทร์แรมพูด ซึ่งทำให้พนักงานหรือบ๋อยรีบปรี่เข้ามา ก่อนที่จันทร์แรมจะควักเงินเป็นฟ่อนออกมาวางบนถาดที่บ๋อยถืออยู่ “นี่รวมทั้งค่าอาหารกับค่าเสียหายของร้านนะ”

พอบ๋อยได้เงินไปแล้วก็ถอยกลับเข้าร้านไป ก่อนที่จันทร์แรมจะหันหน้ามายิ้มให้กับอวิ๋นและอาเฟย

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะคุณอวิ๋น อาเฟย”

“คะ…ครับ ไม่เป็นอะไรครับคุณจันทร์แรม” อวิ๋นกับอาเฟยพูดพลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

ช่างเป็นครอบครัวที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้!

“ขออภัยในความไม่สะดวก ถ้ายังไงพวกเราไปทานอาหารต่อที่ภัตตาคารในโรงแรมกันต่อเถอะค่ะ” จันทร์แรมบอกพลางลุกขึ้นยืน ซึ่งทำเอาอวิ๋นกับอาเฟยอึ้ง

นี่ยังจะคิดทานอาหารกันต่ออยู่อีกรึ!

อวิ๋นกับอาเฟยมองหน้ากัน

เกรงว่าพวกเขาได้มาพบกับครอบครัวปีศาจที่น่ากลัวเข้าเสียแล้ว

................
 
ค่ำคืนนั้นจบลงที่ภัตตาคารอาหารในโรงแรมหลังจากเคลียร์เรื่องกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นกับอาเฟยก็ขอตัวลากลับไปนอนห้องพักของตัวเองโดยไม่ลืมเอ่ยปากชวนไปล่องเรือด้วยกันในวันรุ่งเช้า หลังจากเข้าที่พักแล้วนพก็ไม่ลืมที่จะประกอบเกมให้เธอก่อนจะขอตัวกลับห้องพักของตัวเองไปพร้อมมีนาและแก้ว

“คุณแม่คะ หนูมีเรื่องจะถามคุณแม่ค่ะ” รุ้งถามในขณะที่จันทร์แรมเตรียมนั่งสมาธิก่อนจะเข้าเล่นเกม

“เรื่องอะไรหรือลูกรุ้ง” เวลาอยู่ในห้องสองคน ส่วนมากจันทร์แรมจะเรียกรุ้งว่าลูกรุ้ง

“คุณแม่ชอบคุณอวิ๋นใช่ไหมคะ” คำถามของรุ้งทำเอาจันทร์แรมเกือบหงายท้องไปถ้ารุ้งไม่จับไว้เธอคงตกเตียงหัวฟาดพื้นไปแล้ว

“ลูกรุ้งพูดอะไรนะ แม่เปล่าชอบเขานะ แล้วอีกอย่างแม่ก็เพิ่งจะรู้จักเขาได้ก็วันนี้เอง”

“หนูรู้ค่ะคุณแม่ แต่วันนี้หนูรู้สึกว่าคุณแม่มีความสุขมากเป็นพิเศษกว่าทุกวัน เอ่อจริงสิ คุณแม่คะ ตอนหนูได้เห็นคุณอวิ๋นครั้งแรก หนูตกใจจนเกือบเป็นลมเลย นึกว่าผีคุณพ่อมาหลอกหนูซะอีก” รุ้งพูดพลางนึกย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อตอนเช้า หลังจากที่นพพาคุณแม่กลับมาพร้อมกับใครบางคนที่ตามมาด้วย ครั้นพอได้เห็นชัดๆแล้ว รุ้งแทบเข่าอ่อนแต่โชคยังดีที่ได้มีนาคอยพยุงไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วเธอคงได้เป็นลมล้มพับไปอย่างไม่ต้องสงสัย “แต่พอได้คุยกันแล้ว หนูกลับรู้สึกว่าคุณอวิ๋นมีอะไรหลายอย่างคล้ายคุณพ่อมากๆ แล้วคุณแม่ละคะ คุณแม่คิดเห็นยังไงกับคุณอวิ๋น เอ อย่าบอกนะว่าที่คุณแม่เป็นลมแล้วได้คุณอวิ๋นช่วยก็เพราะนึกว่าคุณอวิ๋นเป็นคุณพ่อนะคะ!”

เธอยิ้มแห้งๆเมื่อถูกลูกสาวถามได้ตรงจุด

“ใช่แล้ว แม่เป็นลมก็เพราะไปเห็นคุณอวิ๋นเป็นพ่อของลูกนะ ส่วนเรื่องคุณอวิ๋น” เธอชะงักพลางใช้ความคิดก่อนจะพูดต่อ “แม่ยอมรับว่าเขาเหมือนพ่อของลูกจริงๆ แต่ลักษะท่าทางนั้นไม่ใช่เลย ซึ่งมีส่วนเดียวที่แม่คิดว่าเหมือนก็คือ...”

“ชอบนิยายกำลังภายในจีนเหมือนคุณพ่อกับคุณแม่ใช่ไหมล่ะคะ” รุ้งพูดแทรกอย่างรู้ทัน เพราะตอนนั่งทานข้าว อวิ๋นก็ได้ชวนแม่คุยเรื่องนิยายกำลังภายในจีนด้วย

“ใช่ แหมลูกรุ้งนี่ช่างรู้ทันแม่ไปซะหมดเลยนะ” เธอพูดไปหัวเราะไปพลาง “เอาเป็นว่าแม่ไม่ได้คิดอะไรกับคุณอวิ๋นในแบบที่ลูกรุ้งคิดแล้วกันนะ เอาล่ะ ตอนนี้แม่ต้องขอตัวกลับเข้าไปเล่นเกมก่อน ประเดี๋ยวเพื่อนในเกมจะเป็นห่วงเอา”

“ค่ะคุณแม่”

แล้วเธอก็นั่งสมาธิอยู่ยี่สิบนาที แล้วค่อยล้มตัวนอนลงก่อนจะสวมแว่นตาอนาล็อกเข้าเกมทันที พอเข้ามาในเกมแล้ว รัตติก็หันซ้ายหันขวาไปรอบๆก็พบว่าตัวเธอกำลังยืนอยู่บนท่าเรือซึ่งเบื้องหน้าเป็นเรือตั้งตระหง่านอยู่

แล้วมาริโอล่ะ?

รัตติคิดในใจก่อนจะรู้สึกถึงแรงกระตุกของเสื้อ จึงหันไปมองก่อนจะพบว่ามาริโอยืนทำหน้าบูดอยู่ข้างๆ

“อ้าว เจ้ามายืนตรงนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะมาริโอ” เธอถามอย่างสงสัย “ทำไมข้าไม่เห็นเลยล่ะ”

ส่วนมาริโอได้ยินที่รัตติถามถึงกับเบะปากใส่

“ก็เจ้ามัวแต่มองที่อื่นจนไม่เห็นหัวข้านะสิรัตติ” มาริโอพูดด้วยความน้อยใจ

“โอ๋ๆ อย่างอนเลยนะคนดี ข้าไม่ได้ตั้งใจ” รัตติพูดพลางลูบหัวมาริโอ “เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปกินไอติมนะมาริโอ เพราะงั้นเลิกงอนได้แล้วนะคนเก่ง”

“แน่นะว่าจะพาไปกินนะ”

“อืม แน่สิ”

แวบ!

จู่ๆก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นด้านหลัง ทำให้รัตติกับมาริโอหันกลับไปมองก่อนจะพบว่าปฐพีกำลังยืนหลับตาอยู่

ออนไลน์เกมพร้อมๆกันเลยแหะ

รัตติคิดในใจก่อนจะมองอีกฝ่ายเพิ่งลืมตา

“เอ่อ สวัสดีครับพี่ปฐพี” เธอทักอย่างมีมารยาท ก่อนจะบอกให้มาริโอสวัสดีด้วย “มาริโอสวัสดีพี่เขาสิ”

“อะ อืม สวัสดีฮะพี่ปฐพี” ผู้ถูกสวัสดีหันมามองเธอกับมาริโอ

“สวัสดี” ปฐพีตอบสั้นๆ ก่อนจะถามเธอต่อ “นี่ออนไลน์เกมกันนานรึยังนะเรา”

เธอส่ายหน้าพลางตอบกลับไปว่า

“ไม่ครับ ผมเพิ่งจะออนไลน์ได้ไม่ถึงสองนาทีเองครับพี่ปฐพี”

“งั้นเองหรอกรึ” ปฐพีพูดพึมพำในลำคอ “เดี๋ยวน้องรอสักครู่นะ พี่ขอติดต่อกับพวกเพื่อนก่อน เพราะพี่ไม่รู้ว่าสองคนนั้นอยู่ที่ไหน”

“ครับ”

แล้วปฐพีก็หันหน้าไปอีกทาง ซึ่งรัตติพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังส่งพรายกระซิบอยู่ ระหว่างรอปฐพีส่งข้อความหาเพื่อนอยู่นั้น เธอก็หยิบของกินที่เคยเก็บไว้ในกระเป๋าไอเทมออกมาให้มาริโอได้กินเล่นรอเวลา จนกระทั่งปฐพีหันมาบอกรัตติอีกทีว่าตอนนี้พวกศาสตราอยู่ในเมือง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากท่าเรือนี้ ดังนั้นปฐพีจึงเลือกที่จะพาพวกรัตติเดินไปหาพวกศาสตราแทนที่จะรออยู่ตรงนี้

..................
 
“เฮ้ ทางนี้พวกทางนี้”

เสียงศาสตราร้องเรียกพวกเขา ในขณะที่พวกรัตติกำลังเดินฝ่าฝูงชนผู้เล่นที่รอคิวต่อแถวยาวเหยียดเป็นกิโล

“มันเกิดอะไรขึ้นศาสตรา ทำไมที่นี่ถึงมีคนเยอะได้ล่ะ” ปฐพีถามอย่างสงสัยพลางเดินมานั่งใกล้กับศาสตรา ส่วนรัตติกับมาริโอนั่งอยู่ข้างพิภพ ซึ่งโชคยังดีที่ร้านคอฟฟี่ที่พวกเขานั่งอยู่นี้ไม่ค่อยมีผู้เล่นมานั่งมากนัก จึงทำให้เหลือที่ว่างพอสมควร “หรือว่ามีกิจกรรม”

“ไม่ใช่กิจกรรมอะไรหรอก พอดีเกมออนไลน์มีการอัพเดทแพทช์นะ”

“เหรอ แล้วมันมีอะไรใหม่มาบ้างล่ะ” ปฐพีถามต่ออย่างสงสัย

“มันเป็นอาชีพใหม่ที่ไม่ใช่สายต่อสู้นะปฐพี” พิภพพูดแทนศาสตรา “อาทิเช่น พ่อครัวแม่ครัว นักประดิษฐ์ พ่อบ้านแม่บ้าน ดีไซน์เนอร์ นักตกปลา นักส่งของอะไรทำนองนี้แหละ เอ่อ ถ้านายไม่ชอบก็สามารถคิดขึ้นมาเองได้นะปฐพี แต่นายต้องเอาเรื่องอาชีพใหม่ไปแจ้งกับจีเอ็มนะ”

“งั้นรึ แล้วพวกนายสองคนเลือกอาชีพอะไรไว้แล้วล่ะ”

ปฐพีถามต่อ ซึ่งทำเอาศาสตรากับพิภพมองหน้ากันก่อนที่ศาสตราจะตอบกลับมาว่า

“ของฉันดีไซน์เนอร์ ส่วนพิภพนักประดิษฐ์นะ”

คำตอบของศาสตราทำเอาปฐพีขมวดคิ้ว เพราะอาชีพดีไซน์เนอร์ที่ศาสตราเลือกมันเป็นอาชีพสำหรับตัดกับออกแบบเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว

อาชีพหาเงินชัดๆ!

แต่พอคิดไปมา อาชีพดีไซน์เนอร์ก็สามารถสร้างเสื้อผ้าที่มีพลังป้องกันได้เหมือนกัน เพียงแต่ต้องหาแร่ชั้นเลิศกับอัดพลังธาตุใส่เท่านั้นถึงจะได้เสื้อผ้าดีๆได้ ส่วนอาชีพนักประดิษฐ์ที่พิภพเลือกนั้น ปฐพีพอเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายเลือกเป็นอย่างดี เพราะอาชีพนี้สามารถทำอะไรได้หลายอย่างเพื่อสมาคมจับฉ่ายจริงๆ

“แล้วที่พวกเขาต่อแถวกันนี่ พวกเขาต่อแถวไปทำไมกันหรือครับ”

รัตติเอ่ยปากถามหลังจากนั่งฟังอยู่พอสมควรแล้ว

“ก็ต่อแถวเพื่อจะเอาอาชีพหลักที่ทางจีเอ็มเขามีไว้ให้อยู่แล้วนะ” ศาสตราตอบก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่น้องรัตติอยากจะทำอาชีพเสริมอะไรล่ะ เผื่อพวกพี่จะปูแนวทางไว้ให้ได้”

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งราวกับใช้ความคิด ก่อนจะตอบกลับมาว่า

“พ่อครัวครับ”

“อะไรนะ พ่อครัวรึ!”

ศาสตราร้องอุทานอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าน้องรัตติจะเลือกอาชีพนี้ ส่วนพิภพกับปฐพีไม่ได้ตกใจ เพราะคิดว่าอาชีพนี้เหมาะกับรัตติที่สุด

“ก็ดีแล้วนี่ศาสตรา ฉันว่าอาชีพนี้พ่อครัวก็เหมาะกับน้องดี เพราะอาชีพนี้นอกจากจะทำอาหารทานเองโดยไม่ต้องไปซื้อหาจากพวกเอ็นพีซีแล้ว ยังสามารถทำอาหารไปขายให้กับพวกผู้เล่นคนอื่นในท้องตลาดได้ด้วย เรียกได้ว่าได้นกสองต่อ หรือว่านายเห็นว่ามันไม่ดีตรงไหนล่ะฮึ” พิภพกล่าว

“ใครว่าล่ะ ฉันก็แค่ตกใจเฉยๆ” ศาสตราแย้งอย่างหน้าบึ้ง “เพราะส่วนมากอาชีพนี้น่าจะเหมาะกับผู้หญิงเสียมากกว่าผู้ชายก็เท่านั้น แต่ถ้าน้องรัตติเขาอยากจะเป็นอาชีพนี้ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก”

“เอ่อ พวกพี่ครับ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ที่ผมเลือกอาชีพนี้ก็เพราะผมมีทักษะการทำอาหารอยู่ก่อนแล้วนะครับ” รัตติบอก ซึ่งทำเอาสองหนุ่มกับปฐพีหันหน้ามองไปที่น้องรัตติพร้อมกัน

“อะไรนะ น้องมีทักษะการทำอาหารอยู่ก่อนแล้วหรือ”

เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ครับพี่ศาสตรา พอดีผมได้ทักษะนี้ตั้งแต่เจอมาริโอแล้วนะครับ แต่ก็เพิ่งจะได้ระดับสองเอง”

“โอ้ ดีเลย เพราะถ้ามีก่อนอยู่แล้ว ทางจีเอ็มเขาจะได้ให้อาชีพนี้กับน้องโดยไม่ต้องผ่านการสอบเบื้องต้น” ศาสตราพูดอย่างยินดี ก่อนจะหันมาทางเขา “ปฐพี นายจะเอายังไง จะไปส่งน้องให้กับธิดาก่อนหรือจะให้น้องรัตติไปเลือกอาชีพเสริมก่อนดีล่ะ”

“อันนี้ก็แล้วแต่น้องรัตตินะ ฉันยังไงก็ได้”

ปฐพีตอบพลางยักไหล่

“ผมว่าผมขอไปเลือกอาชีพก่อนนะครับ แล้วค่อยไปหาท่านพี่ธิดาทีหลังก็ยังไม่สาย” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ

“ถ้างั้นก็ไปต่อแถวกันเถอะ คงใช้เวลาไม่นาน เพราะอาชีพนี้ไม่ค่อยมีใครเลือกนะ”

พิภพบอกก่อนที่พวกเขาจะพาน้องรัตติไปยืนต่อแถว

...................

 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 47 ครอบครัวสุขสันต์ (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tutankamen ที่ 04-03-2015 03:46:17
ครอบครัว Lv-99 !!!  o22
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 47 ครอบครัวสุขสันต์ (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 08:46:28
บทที่ 48 พ่อครัวหัวป่าก์

..................

หลังจากที่พวกปฐพีได้พาเธอไปรับอาชีพพ่อครัวแล้ว ก็พาเธอไปหาธิดาตามจุดนัดหมายที่พวกศาสตราเคยนัดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งพอไปถึงย่านใจกลางตลาดของเมืองนี้ก็พบว่านอกจากธิดาแล้ว ยังมีหงส์หยกกับปลายืนอยู่เคียงข้างด้วย

“ท่านพี่ธิดา! หนูคิดถึงท่านพี่จังเลย” มาริโอร้องเรียกพลางวิ่งอ้าแขนไปหาธิดา ส่วนธิดาเมื่อเห็นมาริโอแล้ว ก็พลันวิ่งเข้าหาพร้อมกับอ้าแขนไปด้วยพร้อมกัน

“น้องมาริโอ!”  ทีแรกมาริโอคิดว่าจะได้กอดธิดาสมใจอยากแล้ว แต่ธิดากลับวิ่งเลยมาริโอไปสวมกอดรัตติแทน ซึ่งทำเอารัตติตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก “น้องรัตติ พี่ดีใจจังที่ได้เจอกับน้องอีก รู้รึเปล่าพี่เป็นห่วงเราซะแทบแย่ นึกว่าจะโดนพวกปีศาจฆ่าตายไปแล้วเสียอีก”

พลิ้ว!

เสียงลมพัดใบไม้ร่วงหล่นบนพื้นตรงหน้ามาริโอที่ยืนอ้าแขนค้างในท่าเดิม ซึ่งทำเอาสามหนุ่มที่ได้เห็นถึงกับขำขัน

“ผมก็ดีใจที่ได้กลับมาเจอกับท่านพี่ธิดาครับ” รัตติตอบอย่างเขินอายที่ถูกอีกฝ่ายกอด แต่แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าต้นเหตุที่ทำให้สมาคมของธิดาพังก็เพราะเธอคนเดียว จึงทำให้เธอถึงกับยิ้มไม่ออก “เพราะผมแท้ๆ ทำให้ท่านพี่กับสมาคมต้องเดือดร้อน ผมต้องขอโทษจริงๆครับ”

ว่าแล้วเธอก็ผลักธิดาออกห่างก่อนจะก้มหน้าขอโทษอย่างสำนึกผิด

“ไม่เอาน่าน้องรัตติ อย่าทำแบบนี้สิ” ธิดาพูดพลางเอามือจับไหล่สองข้างของรัตติ “พี่ไม่ได้โกรธน้องเลยซักนิด เพราะตัวต้นเหตุก็คือราชาปีศาจตั้งหากล่ะ ไม่ใช่น้องซักหน่อยจริงไหมจ้ะ”

“แต่ผม...”

ธิดาเอานิ้วชี้มาแตะริมฝีปากของเธอก่อนจะพูดว่า

“ไม่มีแต่จ้ะน้องรัตติ แค่น้องกับมาริโอปลอดภัยกลับมาได้พี่ก็พอใจแล้วล่ะ”

รัตติได้ยินถึงกับปลื้มกับความมีน้ำใจของธิดาที่ไม่ถือโทษโกรธเธอ

“อะแฮ่ม”

เสียงกระแอมไอของปฐพีทำเอาสองร่างถอยห่างจากกันอย่างรวดเร็ว โดยที่รัตติไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของธิดาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“ขอบใจที่พาน้องรัตติกับน้องมาริโอมาส่ง” ธิดาพูดพลางเชิดหน้าขึ้นโดยไม่มองปฐพี “ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้น เดี๋ยวฉันจะส่งไปให้ทีหลัง อยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามาตอนนี้เลย”

“พวกเราก็ทำในสิ่งที่มันถูกต้อง ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้นไม่ต้อง พวกเราไม่ต้องการมัน”

ปฐพีตอบอย่างเย็นชา ซึ่งทำเอารัตติต้องหันไปมองอย่างสงสัย

อะไรของเขา เมื่อครู่นี้ยังดีๆอยู่เลย

“ฮึ ถ้างั้นเอาเป็นว่าพวกเราไม่มีอะไรติดหนี้ค้างต่อกัน” ธิดาพูดตัดบทก่อนจะคว้าแขนของรัตติที่ยืนมองอย่างมึนงง “กลับกันเถอะน้องรัตติน้องมาริโอ พี่มีธุระจะต้องรีบกลับไปทำที่สมาคม ไม่ว่างเหมือนใครบางคนแถวนี้หรอกนะ”

“ครับ มาริโอรีบเดินมาเร็วๆเข้า”

ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องระหว่างธิดากับปฐพีก็ตาม แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ส่วนมาริโอที่ยืนค้างในท่าอ้าแขนก็รีบเดินเข้ามาหาเธอตามคำสั่ง แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณสามหนุ่ม จึงบอกพี่ธิดาว่าขอเวลาสักครู่ก่อนจะเดินกลับมาหาสามหนุ่มที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“เอ่อ...ผมต้องขอบคุณพี่ทั้งสามคนมากนะครับ ถ้าผมไม่ได้พวกพี่แล้ว ผมคงจะถูกพวกปีศาจลักพาตัวไปแล้ว” เธอพูดไปยิ้มไปพลาง “ไหนจะช่วยดูแลตอนผมความจำเสื่อมกับช่วยติวเรื่องการฝึกวิชาต่อสู้ให้ผมอีก แค่นี้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณจนผมทดแทนไม่ไหวแล้ว ถ้ายังไงมีโอกาสคราวหน้า ผมจะตอบแทนบุญคุณให้พวกพี่แน่ๆ ฉะนั้นตอนนี้ผมต้องขอตัวก่อน แล้วเจอกันใหม่นะครับ”

“อืม ขอให้โชคดีนะน้อง”

ศาสตรากับพิภพตอบพร้อมกัน ส่วนปฐพีได้แต่พยักหน้าเป็นการบอกลาแทนคำพูด เมื่อแยกกับพวกปฐพีแล้ว ธิดาก็พาเธอกับมาริโอไปยังสมาคมซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลมาก แต่ทว่าเส้นทางที่จะไปมันเป็นหุบเขาสลับซับซ้อน ธิดาจึงคิดจะซื้อม้าเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางแทน

“น้องรัตติขี่ม้าเป็นด้วยหรือจ้ะ”

ธิดาถามในขณะที่กำลังเลือกม้าตัวเก่ง ส่วนหงส์หยกกับปลาก็เลือกอยู่ด้วยเช่นกัน

“ครับท่านพี่” รัตติตอบ “แต่ไม่เคยลองขี่ในเกมเลยซักครั้ง ผมไม่รู้ว่าจะขี่ได้หรือเปล่า”

“ต้องได้สิจ้ะ เพราะเกมนี้อิงหลักจากชีวิตจริง ถ้านอกเกมน้องขี่ม้าได้ ในเกมก็ต้องขี่ได้”

ธิดาบอกก่อนจะให้รัตติเป็นคนตัดสินใจเลืวอกม้าเอง ซึ่งเธอเลือกม้าตัวหนึ่งที่ไม่อ้วนไม่ผอม มีลักษะสีดำเข้มดูน่าเกรงขามไม่น้อย หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว รัตติก็อุ้มมาริโอให้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าก่อนที่ตัวเธอเองจะกระโดดขึ้นนั่งตามทีหลัง

“ท่านได้รับทักษะการขี่ม้าระดับ1”

เสียงระบบดังขึ้นในหัว ซึ่งรัตติไม่แปลกใจเลยที่จะได้ทักษะนี้ เพราะเธอคิดว่าทุกคนที่ได้ขี่ม้าแล้วก็ต้องได้ทักษะนี้ด้วยเช่นกัน

“นั่งดีๆนะมาริโอ เพราะข้ายังไม่ชินกับม้าใหม่” รัตติบอกพลางถือสายบังเหียนคู่ขึ้นมา แต่ก่อนจะดึงสายนั้นเธอใช้มือข้างที่ว่างลูบเข้าที่หัวม้าอย่างแผ่วเบา ทำให้ม้าที่เธอขี่พ่นลมหายใจราวกับรับทราบความอ่อนโยนของเธอ “เด็กดีนะเด็กดี”

“อาชาได้ยื่นข้อเสนอเป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่าน”

รัตติได้ยินที่เสียงระบบประกาศถึงกับขมวดคิ้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยอมตอบตกลงแต่โดยดี

“ตกลง”

“อาชาได้เป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ท่านพี่ธิดาครับ” เธอหันไปเรียกธิดาที่เพิ่งจะขึ้นขี่ม้า ซึ่งทำเอาธิดาหันมามอง “ตอนท่านพี่ขึ้นขี่ม้าครั้งแรก มีม้าตัวไหนยื่นข้อเสนอเป็นทาสรับใช้บ้างไหมครับ”

คำถามของเธอทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว

“ไม่นี่จ้ะน้องรัตติ” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “หรือว่าม้าตัวที่น้องขี่ได้ยื่นข้อเสนอมานะ”

“ครับท่านพี่”

ธิดายิ้มเมื่อได้ทราบคำตอบจากเธอ

“งั้นก็ยินดีด้วยนะจ้ะ เพราะน้อยคนนักที่จะได้ม้ามาเป็นทาสรับใช้ประจำตัว” ธิดาบอกก่อนจะอธิบายต่อ “มีแต่จะหยิบเช่ายืมจากร้านค้าของจีเอ็มนะจ้ะ เพราะเหตุนี้ไม่ค่อยมีใครใช้ม้ากันซักคน นอกเสียจากว่าจำเป็นจริงๆหรือไม่ก็พอมีเงินจึงจะเช่าม้ามาใช้นะ”

พออธิบายเสร็จ ธิดา หงส์หยก และปลาก็ขี่ม้านำทางเธอทันที

...................

กลับมาทางด้านเมฆาที่เพิ่งจะกลับเข้ามาออนไลน์เกมอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้อยู่เฉยเปล่าให้เสียอารมณ์ ถ้าว่างเว้นจากการทำงานของสมาคมแล้ว เขาจะฝึกฝนร่างกายอยู่สม่ำเสมอไม่ให้ขาด ถึงแม้แรงจะถดถอยลงเพราะคำสาปปีศาจก็ตาม แต่เขาไม่คิดจะยอมแพ้ด้วยเรื่องพรรณนี้เป็นอันขาด

“เจ้าไม่คิดจะไปหาอาชีพเสริมทำหน่อยรึเมฆา” อเลนที่เพิ่งว่างเว้นจากงานก็เข้ามาช่วยเมฆาฝึกฝนวิชาในห้องกาลเวลาได้เอ่ยปากถามเพื่อน ซึ่งเมฆายังไม่ตอบคำถามเดี๋ยวนั้น เขาวิดพื้นด้วยนิ้วชี้ขวาข้างเดียวอีกสิบรอบก่อนจะหยุดมือตอบคำถามนั้น

“เดี๋ยวไป” เมฆาตอบพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะพลิกตัวนอนแผ่หลาบนพื้น “แล้วเจ้าล่ะอเลน แฮ่กๆ เจ้าคิดจะเป็นอาชีพอะไร”

“นักประดิษฐ์นะ” อเลนตอบพลางนั่งลงบนพื้นข้างเมฆา “มันมีประโยชน์ต่อสมาคมของพวกเราดี แถมพวกเพื่อนๆในสมาคมของพวกเราก็เป็นอาชีพนี้กันเยอะ น้อยนักจะทำอาชีพอื่น”

“แล้วนักตกปลามีบ้างไหมล่ะ” เมฆาถามอย่างสงสัย เพราะช่วงนี้เขาเอาแต่ฝึกฝนร่างกาย ก็เลยไม่ได้สนใจพรรคพวกในสมาคมเลยซักนิด

“มีสิ มีมากๆพอกับนักประดิษฐ์เลยด้วย” อเลนตอบพลางยักไหล่ “รองลงมาก็นักส่งของ พ่อบ้านแม่บ้าน ดีไซน์เนอร์ และสุดท้ายก็พ่อครัว มีเพียงคนเดียวในสมาคมของเรา”

“คนเดียวเองรึ”

“ใช่ คนเดียว” อเลนตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะการสอบอาชีพพ่อครัวนี้มันยาก ถ้าใครทำอาหารไม่เตะปากของจีเอ็มแล้วล่ะก็ อย่าได้ฝันว่าจะเป็นเลย”

“หึ ขืนได้ก็แปลกล่ะ เพราะเด็กสมัยนี้ส่วนมากจะทำอาหารไม่เป็นกันเลย” เมฆาพูดอย่างขำขัน แต่กับอเลนไม่ได้ขำไปด้วยกับคนพูด

“เจ้าพูดอย่างกับว่าเจ้าทำอาหารเป็น”

“ก็เป็นนะสิ” เมฆาตอบพลางเอามือขวาเสยผมคลายร้อน “แค่อาหารใครๆก็ทำได้ ขอให้ตั้งใจมันก็ออกมาอร่อยหมดแหละ ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมคิดจะเป็นนักประดิษฐ์ทั้งๆที่เจ้ามีทักษะการทำอาหารอยู่เต็มสิบ”

“ไม่รู้สิ แต่ขอเก็บไว้คิดก่อนแล้วกัน” อเลนตอบอย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งทำเอาคนฟังอดส่ายหน้าไม่ได้ แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ เมฆาก็ยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นถ้าอเลนไม่เอ่ยปากถามขึ้นมาเสียก่อน

“แล้วจะเอายังไงกับปิเอโร่ดีล่ะเมฆา” อเลนถามอย่างสงสัย เพราะตอนนี้ปิเอโร่ยังคงถูกกุมขังไว้ในคุกอยู่ “จะปล่อยให้มันนอนอยู่ในนั้นไปตลอดไม่ได้นะ เดี๋ยวจิตใจของมันจะแย่เอา”

พออเลนพูดถึงปิเอโร่แล้ว เมฆาถึงกับกำมือแน่น

“มันทรยศข้า” เมฆาพูดสั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้เขาได้เล่าให้อเลนฟังจนหมดแล้ว อเลนได้ยินดังนั้นได้แต่ตบไหล่เพื่อนเบาๆเป็นการปลอบใจ เพราะปัญหานี้ไม่มีใครแก้ได้นอกจากเมฆาเท่านั้น

เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องจัดการเอง

เมฆาคิดในใจก่อนผุดลุกขึ้นยืน ซึ่งทำเอาอเลนเงยหน้ามองตามเพื่อน

“จะไปไหนหรือเมฆา” เมฆาได้ยินดังนั้นก็หันหน้าไปตอบเพื่อนสั้นๆว่า

“ไปหาปิเอโร่นะ”

.....................

กลับมาทางด้านพวกปฐพีที่เพิ่งจะแยกทางกับพวกรัตติแล้ว ปฐพีก็ลืมไปว่าตัวเขาเองยังไม่ได้อาชีพเสริมเลย จึงบอกให้เพื่อนๆกลับไปสมาคมจับฉ่ายกันก่อน แล้วเขาจะตามไปทีหลัง

“เชิญลงชื่อทางนี้ได้เลยครับ” จีเอ็มชายพูดหลังจากที่เห็นผู้เล่นคนหนึ่งเดินมา ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากปฐพี พอชายหนุ่มเดินมาถึงแล้วก็รีบเซ็นชื่อของตัวเองลงบนแผ่นกระดาษด้วยตัวบรรจง หากแต่นึกสงสัยอะไรบางอย่างจึงหยุดมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามจีเอ็มว่า

“อาชีพนี้ต้องสอบฝีมือด้วยใช่ไหมครับ ถึงจะผ่านได้”

“ครับคุณผู้เล่น” จีเอ็มตอบยิ้มๆ “แต่ถ้าคุณไม่พร้อมในตอนนี้ ค่อยมาสอบวันอื่นก็ยังไม่สายครับ เพราะทางเราให้โอกาสกับผู้เล่นได้เตรียมลับฝีมือก่อนสอบได้นะครับ”

ปฐพีขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะก้มหน้าเซ็นชื่อจนเสร็จ

“ผมต้องการสอบเดี๋ยวนี้ครับ”

“งั้นเชิญทางนี้ได้เลยครับ” จีเอ็มบอกพลางผายมือไปยังประตูบานที่อยู่ด้านหลังของจีเอ็ม โดยบนเหนือประตูมีป้ายถูกเขียนไว้ว่า ‘ห้องสอบ’ อยู่ “เจ้าหน้าที่ของเรารออยู่ข้างในแล้ว ส่วนอุปกรณ์นั้นมีให้พร้อมเพรียงโดยที่คุณผู้เล่นไม่จำเป็นต้องนำติดตัวมาเลยซักชิ้น”

“ครับ ขอบคุณครับ” แล้วชายหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในประตู ซึ่งภายในบานประตูนี้ มืดมากเสียจนมองอะไรไม่เห็น ไม่เห็นแม้กระทั่งร่างกายของเขาก็ตาม แต่ถึงกระนั้นความมืดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่ปฐพีเลยซักนิด เพราะเขาผ่านการฝึกฝนมามาก จึงเดินตรงดิ่งโดยไม่มีสะดุดแม้แต่เล็กน้อย ซึ่งปฐพีเดินไปได้สองนาที แสงสว่างก็พลันปรากฏออกมา แน่นอนว่าเขาย่อมหลับตาก่อนที่จะเจอแสง พอครั้นเข้าที่เข้าทางแล้วจึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพบเจอกับห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยเครื่องครัวครบชุด

“ยินดีต้อนรับสู่ห้องสอบการเป็นพ่อครัวครับ” จีเอ็มหนุ่มพูดพลางฉีกยิ้มอย่างดีใจที่นานครั้งจะมีผู้เล่นโผล่มาสอบอาชีพนี้ซักคน “กรุณาแจ้งชื่อของตัวเองด้วยครับ”

“ปฐพี” ชายหนุ่มตอบพลางมองจีเอ็มที่นั่งประจำเคาน์เตอร์ตรงหน้า ส่วนจีเอ็มเมื่อได้ทราบชื่อแล้วก็พลันก้มหน้าลงมองกระดาษบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับเขา

“กติกาของการสอบครั้งนี้คือคุณปฐพีจะต้องทำอาหารให้ได้ถูกปากผม” จีเอ็มชายรูปร่างผอมสูงมีผมสีทองยาวลากพื้นตอบ “ส่วนเรื่องเวลานั้นผมจะจำกัดอยู่แค่สองชั่วโมงเท่านั้นนะครับ ขอให้ทำตามกฎด้วย”

ปฐพีพยักหน้าตอบรับทราบ ก่อนที่จีเอ็มจะให้สัญญาณ

“ลงมือได้”

แล้วปฐพีก็กระวีกระวาดเข้าไปหยิบจับข้าวของที่ต้องการมาวางบนเคาน์เตอร์ทำอาหาร ก่อนจะวิ่งไปหยิบของกินจากในตู้เย็นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ ในขณะที่ปฐพีลงมือทำอาหารตามแผนการที่ได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้ว จีเอ็มหนุ่มที่จ้องปฐพีทำอาหารก็รู้สึกทึ่งถึงความเร็วในการลงมือทำอาหารของผู้เล่นคนนี้ เพราะแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นทั่วไปที่ต่างเงอะงะจับช้อนจับตะหลิวก็ยังไม่เป็น แถมอาหารที่จะทำก็ออกมามั่วจนทานไม่ได้ และนอกจากนี้ยังทำให้ห้องครัวถึงกับระเบิดไปก็มี ซึ่งพอลองมาดูชายคนนี้ทำอาหารแล้ว ไม่ต่างจากเชฟมือหนึ่งจากภัตตาคารอาหารในโรงแรมหรูระดับห้าดาวก็มิปาน

ถ้าเป็นไปได้ อยากจะปั้นคนนี้ให้เป็นสุดยอดนักทำอาหารมือหนึ่งของเกมชนิดที่ว่าใครก็เทียบไม่ได้!

แต่จีเอ็มไม่มีทางได้รู้เลยว่าคนที่เขากำลังมองอยู่นี้ เคยผ่านการแข่งขันทำอาหารชิงแชมป์ระดับโลกมาแล้ว

ฉับ! ต๊อก! ต๊อก! ซ่า! ซ่า!

ในขณะที่เขาตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารอยู่นั้น จีเอ็มคนอื่นๆก็ได้แอบทยอยเข้ามาดูกันจนเต็มห้อง แถมนอกจากนี้ยังแอบตั้งกล้องจับภาพการทำอาหารของปฐพี ก่อนจะส่งออกไปทั่วโลกของเกมเพื่อให้ผู้เล่นคนอื่นได้ดูด้วยโดยที่เจ้าตัวไม่รู้แม้แต่นิดเดียว ซึ่งในขณะที่ปฐพีทำอาหารไปอยู่นั้น เสียงระบบก็ได้ดังเข้ามาอยู่เรื่อยๆ

“ท่านได้เพิ่มระดับการหั่นเป็นระดับ9”

“ท่านได้เพิ่มระดับการต้มเป็นระดับ8”

“ท่านได้เพิ่มระดับการใช้มีดเป็นระดับ10”

“ท่านได้เพิ่มระดับการเฉือนเป็นระดับ10”

“ท่านได้เพิ่มระดับการนึ่งเป็นระดับ10”


การทำอาหารของปฐพีเริ่มสำเร็จไปได้เกินครึ่ง ถึงแม้เวลาจะผ่านไปได้แค่หนึ่งชั่วโมงเศษก็ตาม แล้วเวลาก็ผ่านไปจนเกือบสองชั่วโมง ปฐพีก็เดินมาพร้อมกับถือถาดอาหารซึ่งมีฝาปิดครอบไว้อยู่

“อะไรกัน เสร็จแล้วหรือเนี่ย”

จีเอ็มพูดด้วยความประหลาดใจปนทึ่ง เพราะจานอาหารที่ปฐพีถือมาด้วยไม่ได้มีเพียงใบเดียว

“ครับเสร็จแล้ว” ปฐพีตอบพลางวางถาดอาหารลงบนเคาน์เตอร์ต่อหน้าจีเอ็ม ก่อนจะเปิดฝาออกซึ่งเผยให้เห็นอาหารหลายหลายชนิด “จะมีปอเปียะผักสด ต้มยำกุ้ง ข้าวกล้องผัดเต้าหู้ น้ำสับปะรดกับโหระพา ส่วนขนมก็เป็นสาคูแคนตาลูปนมสดครับ”

พอปฐพีร่ายชื่อจบ จีเอ็มที่อยู่ในห้องพากันร้องว้าว ซึ่งทำเอาเขาที่ไม่เคยรู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วยถึงกับสะดุ้ง

“น่ากินจัง”

“นั่นสิ เฮ้ยแกนะรีบๆตรวจซะ ฉันจะได้ไปกินบ้าง”

“แบ่งกันกินด้วยล่ะ”

เสียงจีเอ็มแย่งพูดกันซึ่งทำเอาจีเอ็มหนุ่มที่นั่งอยู่เคาน์เตอร์ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนเงียบ แล้วจากนั้นจีเอ็มหนุ่มจึงค่อยลองชิมอาหารอย่างละนิดอย่างหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าใบหน้าก็ย่อมเปลี่ยนไปตามอาหารที่ได้ชิมไปด้วย จนจบที่ดื่มน้ำสับปะรดกับโหระพาแล้วจีเอ็มจึงค่อยกระแอมไอหนึ่งที

“การทดสอบนี้ผ่าน ขอแสดงความยินดีด้วย คุณผ่านการทดสอบเป็นพ่อครัวแล้ว” จีเอ็มประกาศก่อนจะพูดต่อ “อาชีพพ่อครัวนี้คุณสามารถอัพระดับได้ถ้าหากทำอาหารมากขึ้นไปเรื่อยๆ หากมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับอาชีพนี้ คุณสามารถติดต่อได้ที่ตึกอาชีพเสริมนะครับ”

“ครับ”

ปฐพีตอบก่อนจะได้ยินเสียงระบบประกาศในหัว

“ท่านได้เป็นพ่อครัวเรียบร้อยแล้วค่ะ”

....................................

 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 47 ครอบครัวสุขสันต์ (update 100%) P.3 3/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 08:51:53
บทที่ 49 ที่มาของปิเอโร่

...........................

“โห! พี่ปฐพีสุดยอดไปเลย ได้เป็นพ่อครัวกับเขาแล้วด้วย”

มาริโอร้องอุทานเสียงดังลั่นเมื่อได้ชมภาพเบื้องหน้าโดยมีรัตติขี่ม้าอยู่ด้านหลังตัวเอง ส่วนรัตติเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าปฐพีจะทำอาหารได้เก่งถึงขนาดนี้

ชักอยากจะลองชิมรสอาหารของพี่เขาเสียแล้วสิ

“แต่จะว่าไป สอบครั้งเดียวก็ผ่าน แบบนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลยนะ” ปลากล่าวขึ้นมาอย่างลอยๆหลังจากได้ชมภาพการทำอาหารของปฐพีแล้ว “ชักอยากจะไปเป็นแม่ครัวบ้างแล้วสิ คงจะน่าสนุกไม่น้อย คิกๆ”

“อย่ามัวแต่พูดมาก รีบขี่ตามมาเร็วๆเข้า ประเดี๋ยวพวกพี่จะไม่รอนะ”

หงส์หยกรีบพูดตัดบทเพราะกลัวธิดาจะโมโหเรื่องที่ปลาพูดถึงปฐพี ซึ่งทำให้ปลารีบขี่ม้าตามอย่างเร็วเพราะโดนทิ้งห่างไปได้ไกลพอควร หลังจากพวกรัตติขี่ไปได้สองสามชั่วโมงดี ธิดาก็ดึงบังเหียนขึ้นหนึ่งครั้งทำให้ม้าหยุดเดิน ซึ่งเบื้องหน้าที่รัตติเห็นเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่เชี่ยวกรากพอสมควร

ไม่มีสะพานเลยรึไง

รัตติคิดในใจ แทนที่ธิดาจะพาพวกรัตติเดินอ้อมไปอีกทางแต่กลับชูมือขึ้นทำสัญญาณอะไรบางอย่างที่รัตติไม่เข้าใจ

ครืน!

เสียงน้ำในแม่น้ำดังขึ้นก่อนจะแยกออกจากกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งทำเอารัตติกับมาริโอถึงกับอ้าปากค้าง

โอ้แม้เจ้า แม่น้ำแยกได้!

พอน้ำแยกออกจากกันแล้ว ก็เผยให้เห็นปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นด้วยคริสตัลใสแลดูสวยงาม

“ที่นี่คือฐานสมาคมของพี่เองจ้ะ” ธิดาพูดพลางกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินมาหาเธอพร้อมกับยื่นยามาสองเม็ด “เดี๋ยวน้องสองคนต้องทานยานี้เข้าไปด้วยนะ เพราะมันจะทำให้พวกน้องหายใจในน้ำได้ตลอดเวลา อ้อ แล้วไม่ต้องกังวลหรอกนะว่ามันจะหมดฤทธิ์เวลาไหน มันจะใช้ได้ตลอดชีวิตของน้อง”

ให้กินยาเพื่อให้หายใจในน้ำได้

แล้วทำไมต้องแยกน้ำออกจากกันด้วยล่ะ!


ดูเหมือนธิดาจะรู้ความคิดของรัตติจึงพูดขึ้นมาว่า

“เพราะต้องแยกน้ำออกก่อนไม่งั้นพวกเราจะเข้าสมาคมของพี่ไม่ได้นะจ้ะ”

รัตติได้ยินถึงกับบางอ้อ ก่อนจะรับยามากินแต่โดยดี รวมถึงมาริโอที่ทำหน้าพะอืดพะอมเมื่อได้กินยาเม็ดใหญ่ หลังจากกินยาเสร็จแล้ว ธิดาก็สอนให้เธอรู้จักเก็บม้าในเกม ซึ่งเก็บได้ไม่ยากเพียงแค่พูดว่าเก็บม้า อาชาสีดำของรัตติก็พลันหายไปทันที พอเก็บม้าเสร็จกันหมดแล้ว ทุกคนก็พากันเดินลงไปบนพื้นส่วนที่แยกน้ำออกก่อนที่น้ำจะพัดกลับเข้าที่เดิม ซึ่งพอน้ำกลับมาแล้ว ทั้งธิดา หงส์หยก และปลาต่างแปลงร่างเป็นเงือกกันเลยทันที จะเหลือก็แต่รัตติกับมาริโอที่ยังคงใช้ขาสองข้างกับมือที่แหวกว่ายน้ำตาม

“ยินดีต้อนรับการกลับบ้านค่ะ”

เสียงคนออกมาต้อนรับนั้นล้วนเป็นเงือกสาวซะส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้มาริโอที่ว่ายน้ำตามมาทีหลังเพราะว่ายน้ำยังไม่แข็งถึงกับดีใจจนว่ายน้ำเร็วขึ้นเดิม

เฮ้อ ยังหน้าหม้อไม่มีเปลี่ยนเลยนะมาริโอเอ้ย

รัตติคิดในใจก่อนจะว่ายน้ำตามพวกธิดาไปยังข้างในปราสาทคริสตัล ซึ่งในขณะที่ธิดาพาเธอกับมาริโอไป ก็ได้เล่าว่าปราสาทนี้กว่าจะสร้างขึ้นมาได้แทบยากเย็น ต้องเจียดเงินจากกองคลังกับเก็บรวบรวมจากพวกสมาชิกอีกอย่างละนิดอย่างละหน่อยถึงจะสร้างออกมาได้สำเร็จ

“ว่าแต่ทำไมต้องเป็นคริสตัลด้วยล่ะฮะ ทำไมไม่เป็นพวกไม้ หรือดินหินอะไรประมาณนี้”

รัตติถามอย่างสงสัย

“ของพวกนั้นอยู่ในน้ำนานมีสึกกร่อนหมด” ธิดาตอบก่อนจะอธิบายต่อ “สึกกร่อนแล้วก็ต้องโปะ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อ พี่ไม่อยากเสียดายเงินไปมากกว่านั้น ก็เลยคิดว่าเอาคริสตัลยังจะดีกว่า แข็งแรงทนทาน แถมมีอายุการใช้งานนานสิบปีอีกด้วย”

แล้วธิดาก็เลิกอธิบายก่อนจะพารัตติกับมาริโอไปชมห้องพักของเธอ

“โธ่ท่านพี่ครับ ผมคงอยู่กับท่านพี่ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ไป ทำไมจะต้องสร้างให้สิ้นเปลืองเงินเปลืองทองด้วยล่ะครับ”

รัตติพูดด้วยความเสียดายเงิน เพราะเธอไม่ใช่คนในสมาคมจันทราวารี ดังนั้นเรื่องห้องพักไม่จำเป็นสำหรับเธอ ลำพังแค่อาศัยห้องรับแขกก็มากเกินพออยู่แล้ว

“รับไว้เถอะ เรื่องแค่นี้เอง” ธิดาพูดอย่างขำๆ แต่คนฟังไม่ขำด้วย

เหมือนจงใจบังคับให้เธออยู่ที่สมาคมนี้ให้ได้

ด้วยความที่รัตติยังมีภาระที่ต้องทำอีกมาก เธอจึงคิดหาทางปฏิเสธธิดาอย่างไม่มีทางเลือก

“ผมว่าผมจ่ายค่าห้องให้ท่านพี่จะดีกว่า” รัตติบอก ซึ่งทำเอาธิดาถึงกับหุบยิ้ม “ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจที่จะเข้าสมาคมของท่านพี่หรอกนะครับ แต่ผมมีธุระจำเป็นจริงๆ คงอยู่ทำงานที่นี่นานไม่ได้”

เมื่อรัตติยืนกรานเสียงแข็งแล้ว ธิดาถึงกับถอนหายใจ

“เอาตามนั้นก็ได้จ้ะ” ธิดาบอกอย่างนึกเสียดายที่แผนของเธอไม่สำเร็จ “เดี๋ยวคืนนี้ทำตามแผนการฝึกเหมือนเดิมนะจ้ะน้องรัตติน้องมาริโอ พี่จะดูสิว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้วนะ”

“ครับ/ฮะ”

แล้วธิดาก็แบ่งงานให้เธอกับมาริโอทำ ซึ่งไม่พ้นงานจัดเอกสารให้เข้าที่

....................

กลับมาทางด้านเมฆาซึ่งได้เดินไปหาปิเอโร่ในคุกพร้อมกับอเลน ก่อนจะพบว่าปิเอโร่กำลังยืนก้มหน้าโดยที่มือทั้งสองข้างถูกโซ่ล่ามติดไว้กับกำแพง

“นายท่าน”

ปิเอโร่เอ่ยเรียกเมฆาทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้เป็นนาย ทว่าเจ้าตัวไม่กล้าเงยหน้าเพราะรู้สึกกลัวที่จะได้เห็นหน้าเจ้านาย

“ไม่ต้องมาเรียกข้าว่านายท่าน” เมฆาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ซึ่งทำเอาปิเอโร่ถึงกับสะดุ้ง “ข้าไม่เคยคิดจะให้อภัยกับคนทรยศเช่นเจ้า แม้เจ้าจะเคยช่วยชีวิตข้ามาก่อนก็เถอะ”

“กระผมมิบังอาจทรยศ...แต่...แต่”

“อย่ามาพูดแก้ตัว ข้าไม่อยากฟัง!”

เมฆาตวาดเสียงดังลั่น ทำเอาปิเอโร่สะดุ้งรอบสอง

“ใจเย็นๆสิเมฆา ค่อยพูดค่อยจาก็ได้นี่” อเลนพูดพลางเอามือแตะไหล่เพื่อนเบาๆเป็นเชิงการห้ามปราม “ปิเอโร่เขาถูกขังมาหลายวัน คงจะสำนึกได้แล้วล่ะเมฆา”

“สำนึกรึ? น้ำหน้าอย่างมันจะสำนึกอะไรได้ ตัวตลกมันก็แค่ตัวตลก ใครจะไปรู้ว่ามันจะแสดงสีหน้าอะไรออกมา มีแต่ยิ้มอย่างเดียว ขนาดต่อหน้าท่านพ่อ มันยังยิ้มทั้งๆที่กลัวท่านพ่อจนฉี่แทบราด”

เมฆากัดฟันพูด

“เอ่อ ข้ารู้ว่ามันเป็นตัวตลก แต่เจ้าก็น่าจะ…ให้อภัยมันหน่อยนะเมฆา ให้โอกาสมันแก้ตัวอีกซักครั้ง” อเลนพยายามพูดกล่อมเขาเพื่อให้คลายความโกรธ “เจ้าลองคิดดูสิ มันช่วยอะไรเจ้าตั้งหลายอย่าง ทั้งงานในสมาคม ทั้งช่วยเก็บเลเวล ทั้งหาของ และไหนจะช่วยชีวิตเจ้าอีก ขอร้องล่ะ ถือว่าเห็นแก่หน้าข้า ยอมให้อภัยมันซักครั้งนะเมฆา”

เมฆาได้ยินที่เพื่อนพูดถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ จะว่าไปสิ่งที่อเลนพูดมันก็ถูก ปิเอโร่ช่วยเขาตั้งหลายอย่างจนยากที่จะตอบแทนมันได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็เพียงแค่ทาสรับใช้ของเขาที่เขาไปเอามาตอนที่เขาได้เจอกับมันแถวสุสานป่าช้าบนเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากทวีปหลักพอควร

“ฮือๆ”

เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากตัวตลกที่นั่งคุกเข่าต่อหน้าหลุมศพท่ามกลางฝนตกที่ตกหนัก

“เป็นอะไรไปเจ้าตัวตลก ทำไมถึงมาร้องไห้อยู่ที่นี่ได้”

เมฆากล่าวถามอย่างสงสัย เพราะที่แห่งนี้มันเป็นสุสานป่าช้า จึงไม่น่าจะมีตัวตลกมานั่งคุกเข่าร้องไห้ตรงนี้ได้ ทว่าตัวตลกหาได้ตอบไม่ กลับร้องไห้อยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด

“ฮือๆ”

“เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าเป็นอะไร” เมฆาพูดต่ออย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะจับตัวตลกให้หันหน้ามาทางเขา ซึ่งเผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มที่เนียนขาวด้วยแป้ง “ให้ตายสิ ร้องไห้จนแป้งที่ทาเลอะหน้าหมดแล้ว เอามือออกก่อนสิ เดี๋ยวข้าจะแต่งหน้าใหม่ให้”

ทว่าตัวตลกกลับปัดมือของเมฆาออกก่อนจะตวาดกลับมาว่า

“อย่ามายุ่ง!”

“ก็ได้ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง” เมฆาพูดด้วยความละเหี่ยใจ “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเจ้าถึงร้องไห้ แต่อุตส่าห์เป็นตัวตลกทั้งทีก็ทำหน้าให้มันยิ้มแย้มหน่อย ขืนเจ้าร้องไห้อยู่อย่างนี้ก็เสียชื่อตัวตลกหมด”

ตัวตลกไม่ตอบ มันยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น

“คนเราเกิดมาก็ย่อมมีดับ เป็นเรื่องของธรรมชาติ ถึงร้องไห้คร่ำครวญไป คนที่ตายไปแล้วก็ไม่ฟื้นกลับขึ้นมาได้หรอก” เมฆาพูดเกริ่นอย่างคาดเดา เพราะเรื่องที่ตัวตลกเสียใจอยู่นี้คงไม่พ้นคนรักหรือพ่อแม่ในเกม ส่วนหลุมศพตรงหน้าก็คงจะเป็นใครซักคนที่ตัวตลกรู้จักด้วย ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่อย่างนี้หรอก แต่ถึงกระนั้นเมฆาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวตลกตัวนี้เป็นผู้เล่นหรือเป็นแค่เอ็นพีซีกันแน่ “เจ้ายังมีขาอยู่ไม่ใช่รึไง ลุกขึ้นมาสิ ลุกขึ้นมาแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า”

เมฆาพูดจบ อีกฝ่ายก็ยังคงนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นต่อ ซึ่งทำเอาเมฆานึกเหนื่อยใจที่จะปลอบอีก

เฮ้อ น่ารำคาญ ไปดีกว่า

ครั้นพอหมุนตัวกลับไปเก็บเลเวลต่อ จู่ๆก็มีมือมาคว้าแขนของเขาไว้

“เดี๋ยว” เสียงตัวตลกบอก เมฆาจึงหันหลังไปมอง ทำให้เห็นใบหน้าของตัวตลกที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา “ขอบคุณสำหรับคำเตือน กระผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้วล่ะ”

เมฆาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับฉีกยิ้ม

“ดีแล้วที่รู้จักคิดได้ ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเถอะ”

“ขอรับ”

“ถ้างั้นข้าต้องขอตัวก่อนนะ มีธุระที่ต้องทำ” เมฆาบอกพลางแกะมือที่กุมแขนเขาอยู่ ทว่าอีกฝ่ายกลับจับแขนเขาซะแน่น “ปล่อยสิ ข้าจะไปแล้วนะเจ้าตัวตลก”

“กระผม…”

“อะไร พูดมาสิ”

“กระผม…” ตัวตลกพูดติดอ่าง “…กระผมขอติดตามท่านไปได้หรือไม่”

“หา!”

“กระผมไม่มีที่ไป ถ้ายังไงกระผมขอติดตามรับใช้ท่านได้รึไม่ขอรับ”

“ปิเอโร่ได้ยื่นข้อเสนอเป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่าน” เสียงระบบประกาศในหัวของเมฆา ซึ่งทำเอาเขาขมวดคิ้ว

สรุปมันคือมอนสเตอร์รึเนี่ย?

แต่ก็ดีเหมือนกัน ดูท่าทางจะเก่งใช่ย่อย เอาไปเป็นทาสรับใช้ก็ไม่เสียหาย

หึ เอาไปใช้งานดีกว่า


“ตกลง”

“ปิเอโร่ได้เป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ”

นั่นคือเหตุการณ์ครั้งแรกที่เมฆาได้เจอกับปิเอโร่ ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้งานปิเอโร่มาตลอดเกือบสิบปี โดยที่อีกฝ่ายไม่มีอิดออดหรือบ่นว่าเบื่อซักคำ จนกระทั่งห้าปีในเกมที่ผ่านมา มันได้ช่วยชีวิตเขาไม่ให้โดนบอสเงาในป่าลึกลับฆ่าตาย เพราะด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เห็นปิเอโร่เป็นมอนสเตอร์อีกเลย

จะเรียกว่าเพื่อนตายก็ย่อมได้

ทว่าด้วยความที่มันเป็นแค่เกม สถานะของปิเอโร่จึงเป็นได้แค่ทาสรับใช้เท่านั้น

เกมนี้น่าจะเพิ่มยศได้นะเนี่ย ไม่งั้นแล้วเขาจะได้ให้ปิเอโร่เป็นเพื่อนของเขาไปนานแล้ว


“เมฆา…เมฆาเป็นอะไรรึเปล่า ข้าเรียกตั้งนานทำไมไม่ตอบซักทีล่ะ”

เสียงอเลนเรียกแว่วเข้าโสตประสาท ทำให้เมฆาสะดุ้งไหวเล็กน้อย

“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร” เมฆาตอบพลางเรียกสติของตัวเองให้เข้าที่ “แค่คิดอะไรหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกอเลน”

“งั้นแล้วจะเอายังไงกับปิเอโร่ดีล่ะเมฆา”

อเลนถามต่ออย่างสงสัย ทว่าเมฆาไม่ตอบ กลับเดินเข้าไปในคุกก่อนจะไขกุญแจโซ่ที่พันธนาการปิเอโร่ออก

“นาย…”

ปิเอโร่จะเรียกเขาว่านายท่าน แต่ก็ชะงักเพราะโดนสั่งไว้ไม่ให้เรียก พอเมฆาปลดโซ่ออกจากปิเอโร่จนหมดแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนมองปิเอโร่อีกครั้ง

“ข้าคงเอาโทษเจ้าไม่ได้หรอกนะปิเอโร่ เพราะเจ้าเป็นผู้มีพระคุณต่อข้า” เมฆาพูดพลางถอนหายใจ “ไปซะปิเอโร่ เจ้ามีอิสระแล้ว ข้าไม่ใช่นายของเจ้าอีกต่อไป แล้วอย่าได้หันหลังกลับมาหาข้าอีก ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะลงโทษเจ้า”

คำพูดของเมฆาทำเอาปิเอโร่ตกใจ ไม่เว้นแม้แต่อเลนที่ยืนฟังอยู่นอกห้องคุกก็พลอยตกใจไปด้วย

“นะ…นะ…นายท่าน!”

“ข้าไม่ใช่นายของเจ้าอีกแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ามาเรียกข้าว่านายท่าน”

เมฆาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่ถึงกระนั้นความผูกพันที่แน่นแฟ้นมายาวนานมันก็ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก

ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ

เขาขบริมฝีปากตัวเองเบาๆเพื่อมิให้ต้องร้องไห้

อย่าใจอ่อนเป็นอันขาด


“ท่านเมฆา”

ปิเอโร่เรียกชื่อเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะตอบกลับ ได้แต่หันหน้าหนีไปอีกทางโดยไม่สนใจเสียงเรียกของมัน เมื่อผู้เป็นนายไม่สนใจฟังที่มันพูด ปิเอโร่ถึงกับคอตกก้าวเท้าเดินออกจากห้องคุกอย่างเชื่องช้า ซึ่งมีบ้างที่ปิเอโร่หันกลับมาเผื่อว่านายของมันจะเรียกร้องให้หยุดเดิน แต่ก็ไร้วี่แววการตอบรับของเมฆา ดังนั้นมันจึงตัดสินใจเดินออกไปอย่างเงียบๆ

“แน่ใจแล้วเหรอที่จะทำแบบนี้นะเฆฆา”

อเลนเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นว่าปิเอโร่ได้เดินจากไปแล้ว

“อืม” เมฆาตอบพลางสูดลมหายใจลึกๆ “ดีแล้วล่ะ เป็นแบบนี้ดีแล้วล่ะ ข้ากับปิเอโร่จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

ขอให้เจ้าเจอแต่สิ่งดีๆล่ะ

ปิเอโร่

..................

ทางด้านปฐพีหลังจากได้อาชีพพ่อครัวมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้ของรางวัลเพิ่มเติมหลังจากสอบผ่านเป็นคนที่ห้าของวันนี้ ซึ่งไม่พ้นพวกอุปกรณ์ทำอาหารกับสิทธิพิเศษในการซื้อวัตถุดิบในตลาดถึงสิบเปอร์เซ็นต์

จะว่าไปอาชีพนี้ก็คุ้มค่าเหมือนกันแฮะ ปฐพีคิดในใจในขณะที่กำลังจะออกเดินจากห้องสอบ เดี๋ยวไว้ขากลับสมาคมแล้ว ให้พวกสมาชิกมาสอบกันดูบ้างดีกว่า จะได้เอาไปใช้ประโยชน์กับสมาคมจับฉ่าย

ทว่าปฐพีลืมคิดไปบางอย่างว่าผู้เล่นทั่วไปนั้นไม่ได้เหมือนตัวเอง ที่จะสอบทำอาหารได้เพียงครั้งเดียวก็ผ่าน ครั้นพอปฐพีก้าวเท้าเดินออกจากห้องสอบ ชายหนุ่มถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นผู้เล่นนับร้อยยืนมุงอยู่หน้าประตูจนเต็มไปหมด

“ออกมาแล้วเทพแห่งพ่อครัว!”

“กรี๊ด หล่อจังเลยค่ะสุดหล่อ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ”

“เทพแห่งพ่อครัวขอลายเซ็นหน่อยได้ไหม”

และอื่นๆอีกมากมายซึ่งปฐพีฟังจนแทบไม่หวาดไม่ไหว

นี่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย!

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังโดนทุกคนฉุดกระชากเหมือนดาราดังอยู่นั้น ก็มีสองมือปริศนาคว้ามือขวาของเขาไว้ ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพลันหายไป ซึ่งถูกแทนที่ด้วยภาพป่าอันแสนเงียบสงบ

“เฮ้อ โชคดีนะที่พาวาร์ปออกมาได้ ไม่อย่างนั้นนายได้ถูกพวกนั้นเหยียบแบนแต๊ดแต๋แน่ๆ”

ผู้พูดไม่ใช่ใครนอกเสียจากศาสตรา

“ขอบใจที่พาออกมา” ปฐพีพูดกล่าวขอบคุณก่อนจะถามต่อทันที “ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆพวกผู้เล่นคนอื่นถึงมารุมล้อมกันอยู่ที่หน้าประตูได้ล่ะ แล้วเทพแห่งพ่อครัวนั่นหมายความว่ายังไง”

“เฮ้ย ถามทีละคำถามสิวะ เล่นรัวคำถามแบบนี้ใครจะไปตอบได้ล่ะ”

ศาสตราแย้งก่อนที่พิภพจะโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์ที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืน

“เทพแห่งพ่อครัวคือฉายาที่พวกอินเทอร์เนตตั้งให้นายหลังจากนายสอบเสร็จนะ”

พิภพตอบ ซึ่งทำเอาปฐพีถึงกับบางอ้อ

“ส่วนเรื่องที่ผู้เล่นคนอื่นมารุมล้อมกันหน้าประตู นั่นก็เป็นเพราะว่าตอนนายสอบพ่อครัว พวกจีเอ็มทะลึ่งฉายภาพนายออกมาให้คนอื่นดูจนทั่วโลกเกมนะสิ” ศาสตราบอกก่อนจะพูดต่อ “แล้วนายก็เด่นดังในชั่วพริบตาเดียว คนอื่นที่อยู่ใกล้ๆห้องสอบก็เลยพากันออกมามุงดูนายยังไงล่ะ”

คำพูดของศาสตรา ทำเอาปฐพีนึกโกรธจีเอ็มเสียจับใจ

“อย่าเพิ่งโมโหสิปฐพี พวกเขาก็แค่อยากจะให้คนทั่วโลกแห่งเกมได้รับรู้ว่ามีผู้เล่นทำอาหารได้เก่งระดับเทพก็เท่านั้นเอง” พิภพบอกพลางเดินเข้ามาตบไหล่เพื่อนเบาๆ “แต่จะว่าไปนายก็ทำอาหารเก่งใช่ย่อยนะ ทีหลังทำเป็นก็บอกพวกเราด้วยสิ อย่าเก็บไว้เป็นความลับอีกล่ะ”

“ขอโทษ คราวหลังจะบอกแน่ ฉันสัญญา”

ปฐพีตอบก่อนที่จะทำอาหารเที่ยงให้เพื่อนเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยเขาให้หลุดจากฝูงคนมุง

...............................

 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 49 ที่มาของปิเอโร่ (update 100%) P.3 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 12:48:50
บทที่ 50 เจอกันโดยบังเอิญ

..................................

ค่ำคืนนั้นหลังจากที่พวกรัตติได้เรียบเรียงเอกสารให้ธิดาเสร็จแล้ว ธิดาก็ได้เรียกรัตติกับมาริโอให้เข้าไปยังห้องกาลเวลาเพื่อที่จะฝึกวิชาเหมือนเช่นเคย เมื่อเข้ามาแล้ว ธิดาก็ให้พวกรัตติวอร์มร่างกายก่อนที่ธิดาจะวอร์มร่างกายตามไปด้วย

“น้องมาริโออย่าเพิ่งหยุดนะจ้ะ วอร์มไปเรื่อยๆ” ธิดาบอกก่อนจะหันมาสั่งรัตติให้หยุดวอร์มอัพร่างกาย “คราวนี้มีอะไรก็งัดออกมาใช้ได้เลยนะจ้ะน้องรัตติ และไม่ต้องกลัวว่าพี่จะบาดเจ็บจนตายด้วย”

ธิดาบอกล่วงหน้าเพราะกลัวรัตติจะเป็นห่วงเธอ

“ครับท่านพี่” แล้วรัตติก็เรียกดาบออกมาพร้อมกับธิดาที่เรียกดาบออกมาด้วยเช่นกัน

“จริงสิ น้องรัตติมีทักษะต่อสู้ของอาชีพนักดาบแล้วรึยังจ้ะ” ธิดาถามก่อนจะเริ่มลงมือต่อสู้

“ก็มีแล้วครับ ทำไมหรือครับท่านพี่”

“ก็เอามาใช้ด้วยซะสิ” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “พี่จะได้หาจุดอ่อนให้น้องแล้วจะหาวิธีแก้ไขได้”

รัตติได้ยินถึงกับชะงัก

“ผมว่าอย่าเลยดีกว่านะครับ” รัตติตอบพลางคิดในใจไปพลาง ขืนใช้ทักษะเวรกรรมไปด้วย มีหวังท่านพี่ธิดาได้เป็นลมล้มพับเหมือนพวกปฐพีแน่ๆ “ผมยังไม่พร้อมจะใช้ทักษะในตอนนี้”

“ทำไมถึงไม่พร้อมล่ะจ้ะ” ธิดาเอียงคอถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอารัตติแย้งไม่ออก

“นี่รัตติ ข้าว่าพวกเรามาโชว์ทักษะใหม่ให้ท่านพี่ธิดาดูกันดีกว่าไหม” มาริโอพูดสวนขึ้นมา

“จริงสิ ท่านพี่ธิดายังไม่เคยเห็นทักษะนี้เลยนี่” รัตติพูดอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะรีบเก็บดาบเข้าไปในฝักตามเดิม

“ทักษะอะไรหรือจ้ะ” ธิดาถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติไม่ตอบก่อนจะกวักมือเรียกมาริโอให้เดินเข้ามาใกล้ๆ

“พร้อมแล้วนะมาริโอ”

“อืม”

จากนั้นรัตติก็หลับตาลง แล้วทันใดนั้นสร้อยคอเกล็ดย้อนที่รัตติสวมใส่เกิดเปล่งแสงออกมา ซึ่งทำเอาธิดาตกใจ

“MATRIX EVOLUTION”

รัตติพูดจบ แล้วร่างของรัตติก็เลือนหายไปก่อนจะกลายเป็นแสงสีรุ้งพุ่งเข้าร่างมาริโอที่ยืนอยู่

Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi
           
Kokoro no katachi Kimi wa kami ni kakeru kai?
Ichibyou goto ni iro mo kaeru mono da yo
           
Shinjiru koto ga donna koto ka wakaru kai?
Kimi no subete ga tamesarete iru nda yo
           
 Yuuki dake ja Todokanai nda
Osore made hitotsu ni natta Sono toki
           
Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Subete ga michita shunkan
Ima Sore ga ima!
Zero e to kawaru kokoro ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi
           
 Kodou de sae mo Onaji rizumu kizameba
Afureru chikara Kanji toreru hazu darou
           
Tatakau tame ni Hitotsu ni naru koto yori
Wakari au tame Hitotsu ni natta hazu sa
           
 Kasanete kita Jikan no tsubu ga
Kiseki no tobira o hiraku Sono toki
           
 Mirai o erabu chikara ga
Mezameru Matrix Evolution
Kimitachi ni shika dekinai
Saa Me o hirake!
Sagashi tsuzuketa kotae ga
Riaraizu suru Evolution
Kokoro no katachi awasete
Nido to Hanasanai de
           
 Dou naru no ka ga wakaranai
Michi no chikara no kowasa mo
Futari de koete yuku nda
Saa Me o hirake!
Mirai o erabu chikara ga
Mezameru Matrix Evolution
Kimitachi ni shika dekinai
Sore ga Saigo no shinka
           
 Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Subete ga michita shunkan
Ima Sore ga ima!
Zero e to kawaru kokoro ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi


“บอสเห็ดมาริโอเปลี่ยนร่าง!” ร่างของราตรีกับมาริโอรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นนักดาบที่สวมชุดหนังมังกรสีแดง มีผิวสีครีมอมชมพู บนหัวมีเห็ดดอกใหญ่บานเป็นหมวก “เป็นเกรียนเมพรัตติมาริโอ”

ธิดาได้เห็นภาพทั้งหมดถึงกับอ้าปากค้าง ซึ่งทำเอาเกรียนเมพรัตติมาริโออมยิ้ม

“เป็นยังไงฮะท่านพี่ธิดา ผมเท่ไหม”

เสียงมาริโอถามธิดา ซึ่งทำเอาธิดาที่อ้าปากค้างต้องหุบปากลง

“ฝันไปแน่ๆ เป็นไปได้ยังไงที่ผู้เล่นในเกมจะ…” ธิดาพูดไปส่ายหน้าไปพลาง “…รวมร่างกับมอนสเตอร์ได้ มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”

เกรียนเมพรัตติมาริโอหลับตาลงแวบหนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นนัยน์ตามังกรสีฟ้าครามแทนที่จะเป็นสีดำธรรมดาเหมือนเมื่อครู่นี้

“อาจจะเป็นเพราะมิตรภาพระหว่างผมกับมาริโอที่สูงถึงระดับสิบ ก็เลยทำให้ผมกับมาริโอสามารถรวมร่างกันได้นะครับ” เสียงของรัตติพูดอธิบาย “ทีแรกผมก็ไม่เชื่อเรื่องที่พวกพี่ปฐพีกับมาริโอบอกหรอกนะครับ แต่พอได้ลองทักษะดูแล้ว ก็…เป็นอย่างที่เห็นนะครับ”

“แล้วนอกจากแปลงร่าง น้องทำอะไรได้บ้างล่ะจ้ะ” ธิดาถามต่ออย่างสงสัย ซึ่งเกรียนเมพรัตติมาริโอแบมือยกขึ้นโดยหันไปยังพื้นที่ว่างเปล่าก่อนจะพ่นสปอร์พิษออกมา

ตูม!

เสียงระเบิดดังกึกก้อง ซึ่งทำเอาธิดาตะลึงไปอีกรอบ

“นี่ล่ะครับที่ผมทำได้” รัตติบอกก่อนจะพูดต่อ “ส่วนสปอร์พิษนี้ถ้าใครโดนเข้าจะขยับไม่ได้ชั่วขณะนะครับ”

ธิดาพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้าเพียงอย่างเดียว แล้วพอเวลาผ่านไปได้ 5 นาที รัตติกับมาริโอก็แยกออกจากกัน

“ยอดเยี่ยมจริงๆ น้องรัตติทำให้พี่ได้ทึ่งตลอดเลยนะ” ธิดาเอ่ยปากชม ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกเขิน

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ มันก็แค่บังเอิญมากกว่า”

“แล้วน้องยังมีอะไรจะโชว์พี่อีกไหมล่ะ” ธิดาถามต่อ

“ครับ มีอีกแน่ๆ” รัตติตอบก่อนจะหลับตาลง แล้วทันใดนั้นปีกสีเพทายฟ้าอ่อนทั้งสองข้างของเขาก็ผุดออกมาจากทางหลัง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองธิดาที่กำลังมองเขาด้วยความตกตะลึง “ผมสามารถกางปีกได้โดยไม่จำเป็นต้องแปลงร่างเป็นมังกรนะครับ แหะๆ”

“น้อง...นี่...สุดยอด...เลยจริงๆนะ” ธิดากล่าวชมรัตติอีกครั้ง

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่คิดทดลองอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้นเองครับ” รัตติตอบอย่างเขินอาย “จริงสิ ผมมีเรื่องสงสัยจะถามท่านพี่เกี่ยวกับทักษะนักดาบ ตอนแรกผมกะว่าจะถามพวกพี่ปฐพีแต่ก็ดันลืมถามไปซะสนิท”

แล้วรัตติก็เล่าเรื่องการใช้ดาบผสมเวทมนตร์ที่คิดค้นขึ้นมาเองได้ ก่อนจะลงมือให้ธิดาดู ซึ่งผลปรากฏว่าธิดาได้อ้าปากค้างตกใจเป็นรอบที่สี่ เพราะรัตติได้ร่ายเวทย์โดยไม่ต้องอ้าปากร่ายสักคำเดียว ไหนจะทักษะ’เวรกรรม’ ที่รัตติไม่ค่อยอยากจะแสดงออกมาหากแต่จำเป็นเพื่อให้ธิดาได้ช่วยวิเคราะห์ข้อเสียของทักษะที่รัตติได้มาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่เธอพูดชื่อทักษะเวรกรรมเสร็จ ธิดาถึงกับหัวเราะงอหายจนกรามค้าง

“ผมไม่ขำด้วยหรอกนะครับท่านพี่” รัตติพูดอย่างฉุนๆ ในขณะที่ธิดายังคงหัวเราะอยู่

“จ้าๆ พี่ไม่หัวเราะแล้วล่ะ” ธิดาตอบก่อนหยุดหัวเราะของตัวเอง “พี่ว่าทักษะที่น้องเอาเวทย์มาใช้กับดาบก็ไม่เลวนะ ทำให้การโจมตีแรงขึ้นกว่าเดิม นี่ถ้าน้องทำตอนรวมร่างกับน้องมาริโอแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะสูสีกับพี่ในตอนนี้เลยก็ได้นะ”

แล้วหลังจากนั้นธิดาก็ขอท้าสู้กับรัตติโดยให้เธอได้งัดทักษะพวกนั้นออกมาใช้ด้วย ซึ่งผลปรากฏว่าธิดาเกือบทำดาบหลุดจากมือหลังจากที่โดนรัตติใช้ทักษะลมครึ่งเสี้ยว และยิ่งพอรัตติใช้ทักษะผ่ารัตติกาลนั้น ธิดาถึงกับสลบทันทีที่โดนเข้าไปเต็มๆ ซึ่งกว่าธิดาจะฟื้นก็ปาเข้าไปสองชั่วโมง พอฝึกวิชาเสร็จแล้ว ธิดาก็ไล่ให้เธอกับมาริโอไปนอนพักผ่อนก่อนจะเตรียมไปฝึกวิชาบนสนามจริงในวันพรุ่งนี้

...................................

กลับมาทางด้านเมฆา หลังจากชายหนุ่มได้ไล่ปิเอโร่แล้ว ก็มุ่งแต่ฝึกวิชาในห้องกาลเวลาจนเพื่อนอย่างอเลนนึกเป็นห่วง

ก๊อก! ก๊อก!

อเลนเคาะประตูเรียก ซึ่งเขารอไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ

“มีอะไร” เมฆาถามอย่างอ่อนแรง

“พอดีข้าจะชวนเจ้าไปทำภารกิจที่ข้างนอกหน่อยนะเมฆา” อเลนบอกก่อนจะพูดต่ออย่างเร็ว “ไม่ต้องห่วงว่าเจ้าจะสู้กับมอนสเตอร์ไม่ได้ เพราะข้าไม่ได้ทำภารกิจที่ยากๆนะ”

เมฆาทำท่าครุ่นคิดก่อนจะตอบไปว่า

“ตกลง งั้นรอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”

“อืม”

แล้วเมฆาก็หายเข้าไปในห้องก่อนจะเดินออกมาด้วยชุดเกราะสีเทา ซึ่งแตกต่างจากชุดเกราะสีดำอันใหญ่ที่เคยสวมใส่

“อ้าว ทำไมใส่เกราะอันเล็กล่ะเมฆา” อเลนถามอย่างสงสัย

“มันสะดวก รวดเร็ว และเบา” เมฆาตอบพลางถอนหายใจ ซึ่งทำให้อเลนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเรี่ยวแรงเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว “ไปกันได้รึยัง”

“อืม” หลังจากนั้นพวกเขาสองคนก็พากันขี่ม้าออกไปข้างนอกเมือง

“ว่าแต่ภารกิจที่จะให้พาไปทำด้วยคืออะไรหรืออเลน” เมฆาถามในขณะที่พวกเขากำลังขี่ม้าอยู่

“หาดอกไวท์มูนไลท์*นะ” อเลนหันหน้ามาบอกเขา “มันมีลักษณะคล้ายรูปดาวสีขาว บานเฉพาะตอนกลางคืนเมื่อได้สัมผัสกับแสงจันทร์ แต่จะเอายากก็ตรงที่ดอกไม้นั้นตั้งอยู่เหนือถ้ำมังกรตัวหนึ่งที่ถูกขังไว้อยู่ที่นั่นนะ”

เมฆาขมวดคิ้วคิดก่อนจะร้องอ้อ

“ถ้ำมังกรวายเวิร์นสินะ”

“ใช่เจ้าเคยผ่านภารกิจกับมังกรวายเวิร์นตัวนั้นแล้วไม่ใช่รึไง ถึงจะเป็นคนละภารกิจที่ข้าทำก็เถอะ”

“ใช่ แต่มันนานแล้ว ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าไวเวิร์นจะยังจำข้าได้รึเปล่านะอเลน”

“ไม่ลองไม่รู้ แต่ถ้าเขายังจำเจ้าได้ก็ดีไป จะได้ไม่ต้องสู้กันอีกให้เหนื่อยแรง”

อเลนบอก ซึ่งทำให้เมฆาพลอยพยักหน้าตามไปด้วย เพราะตอนนั้นเขาทำภารกิจล่าเขี้ยวมังกรวายเวิร์นในถ้ำมังกรวายเวิร์น มันเป็นภารกิจที่เขี้ยวพอดู กว่าจะเอาเขี้ยวมาจากมังกรวายเวิร์นได้ก็เล่นทำเอาเขาหืดขึ้นคอเลยทีเดียว แต่หลังจากได้เขี้ยวมาแล้วเขาก็ได้เป็นเพื่อนกับมังกรวายเวิร์น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องประหลาดโดยแท้

แต่มันผ่านไปได้สิบปีในเกมแล้ว

วายเวิร์นจะยังจะจำข้าได้รึเปล่านะ


ทว่าทางที่จะไปถ้ำมังกรวายเวิร์นนั้นลำบากพอควร แถมมีระยะทางที่ไกลเอาเรื่อง จึงทำให้เมฆากับอเลนต้องขี่ม้าเดินทางล่องใต้และพักแรมในป่าอยู่ถึงสองคืน จนกระทั่งถึงที่หมาย

“ที่นี่สินะถ้ำมังกรวายเวิร์น” อเลนพูดพลางมองถ้ำอันใหญ่โตเบื้องหน้า

“ใช่ ถ้ำมังกรวายเวิร์น” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “ดูไม่มีอะไรก็จริง แต่ข้างในกับดักเพียบ ถ้าใครเคยมาแล้วก็ดีไป แต่ถ้าไม่ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม”

“ฮะๆ เข้าใจพูดนะ” อเลนหัวเราอย่างขำขันกับมุขของเมฆา แต่แล้วก็ต้องหยุดหัวเราะเมื่อพวกเขาสองคนได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งพูดมาจากด้านหลังพวกเขา

“ดอกไวท์มูนไลท์หรือครับ” เสียงคุ้นหูดังสะกิดต่อมความอยากรู้ของเมฆา “ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะเสียเหลือเกินนะครับ”

“ใช่จ้ะ มันเป็นดอกไวท์มูนไลท์ที่จะบานได้เฉพาะยามกลางคืน สวยมากเลยด้วยล่ะ”

“แล้วมันกินได้หรือเปล่าฮะท่านพี่ธิดา” เสียงนี้ก็คุ้นหูเมฆาเช่นกัน

“กินไม่ได้หรอกนะมาริโอ มันเป็นแค่ดอกไม้ อ๊ะ” เสียงนั้นหยุดพูดก่อนที่เมฆาจะหันหลังกลับมาดู ก็พบกับคนที่คุ้นเคยกำลังนั่งขี่ม้าอยู่ “น้องราตรี”

“ท่านพี่เมฆา”

.....................................

*ดอกไวท์มูนไลท์ เป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งมีลักษะคล้ายดาวเป็นสีขาว  :L2: :L2:


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 50 เจอกันโดยบังเอิญ (update 100%) P.3 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 15:49:10
บทที่ 51 วายเวิร์น

...............................

“น้องราตรี”

“ท่านพี่เมฆา”

ทั้งรัตติและเมฆาต่างพูดชื่อของอีกฝ่ายพร้อมกันก่อนจะมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

ท่านพี่เมฆายังปลอดภัยดี

รัตติคิดในใจอย่างโล่งอกเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเป็นปกติดี ส่วนธิดานั้นได้แต่มองรัตติสลับกับเมฆาอย่างงุนงง

“น้องรัตติรู้จักกับเขาด้วยหรือจ้ะ” ธิดาถามอย่างสงสัย ถึงแม้เธอจะไม่เคยคุยกับเมฆามาก่อน แต่เธอก็พอจะรู้จักใบหน้าค่าตาของผู้เล่นท็อปอย่างเมฆาในอินเทอร์เนตบ้าง

“ครับ” รัตติตอบโดยที่ยังมองเมฆาอยู่ “นี่ท่านพี่เมฆา คนที่ผมกำลังตามหาอยู่ไงครับท่านพี่ธิดา”

ธิดาได้ยินที่รัตติพูดก็พยักหน้า

“ท่านพี่เมฆาเป็นยังไงบ้างครับ เอ่อ ตอนนั้น…” รัตติพูดเกริ่นเข้าเรื่องเก่า “ผมถูกลักพาตัว ก็เลยไม่ได้อยู่ช่วยท่านพี่ได้”

“พี่สบายดีครับ น้องราตรีไม่ต้องเป็นห่วง” เมฆาตอบยิ้มๆ

“ท่านพี่เมฆามาทำอะไรที่นี่เหรอฮะ” มาริโอแย่งถามก่อนที่รัตติจะได้ถาม

“พี่พาเพื่อนมาทำภารกิจนะ” เมฆาตอบสั้นๆ ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงที่เมฆาพูดเป็นอย่างมาก

แปลก

เหมือนไม่ใช่ท่านพี่เมฆาคนเดิม


“ถ้าพวกน้องสองคนปลอดภัยแล้วก็ดี งั้นพี่ต้องขอตัวก่อนนะ” พออีกฝ่ายพูดจบ ก็รีบหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในถ้ำอย่างเร็ว แต่รัตติกลับไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้หนีเธอ รัตติจึงรีบกระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะวิ่งเข้าไปคว้าแขนของเมฆาอย่างเร็ว ซึ่งทำเอาอีกฝ่ายถึงกับหยุดชะงัก

“เดี๋ยวสิฮะท่านพี่ ทำไมท่านพี่ต้องหนีพวกผมด้วย ผมไม่เข้าใจ” รัตติถามอย่างสงสัย

“ปล่อยพี่สิน้องราตรี พี่กำลังรีบ” เมฆาพูดพลางสะบัดแขนให้หลุด แต่มือกลับไปปัดโดนเข้าที่หน้ารัตติอย่างแรง

เพียะ!

150


ความเจ็บจากการโดนตบที่แก้มมันชาจนรัตติถึงกับอึ้ง รวมไปถึงเมฆาที่ชะงักหันมามองเธอด้วยความตกใจ

“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ” อีกฝ่ายพูดขอโทษเธอ

“ไม่เป็นไรครับ เรืองแค่นี้มันผิดพลาดกันได้” รัตติตอบยิ้มๆ แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ ต่างคนต่างเงียบจนธิดาต้องลงจากหลังม้า

“เอ่อ สวัสดีค่ะคุณเมฆา แล้วก็…” ธิดาพูดพลางหันไปมองอเลนด้วย “…คุณอเลน จากสมาคมเงาใช่ไหมคะ ดิฉันธิดาจากสมาคมจันทราวารี ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ส่วนน้องผู้ชายคนนั้นชื่อรัตติหรือราตรีแล้วแต่คุณจะเรียก ส่วนเห็ดตัวนี้ก็คือน้องมาริโอ เป็นคู่หูของน้องรัตตินะค่ะ”

อเลนได้ยินที่ธิดาพูด จึงหันมายิ้มให้

“เช่นกันครับคุณธิดา” อเลนตอบก่อนจะเอ่ยปากถามต่อทันที “ว่าแต่คุณธิดารู้จักพวกผมได้ยังไงกันครับเนี่ย”

“แหม ก็ชื่อเสียงของพวกคุณออกจะโด่งดัง แถมยังมีรูปภาพตัวละครในเกมโชว์บนหน้าเว็บไซต์อีกด้วย ไม่ว่าเป็นใครๆก็รู้จักกันทั้งนั้นแหละค่ะ” ธิดาพูดหัวเราะโดยเอามือป้องปากไว้ “ว่าแต่พวกคุณมาทำอะไรแถวนี้คะ อย่าบอกนะว่ามาเก็บดอกไวท์มูนไลท์นะ”

“ใช่ครับ แหม คุณธิดานี่มีเซนส์ไม่เบาไม่เลยนะครับ ว่าแต่คุณธิดาสนใจจะมาทำภารกิจนี้พร้อมกับพวกผมไหมครับ” อเลนตอบก่อนจะพูดชวนต่อทันที

“สนสิคะ ทำไมจะไม่สน” ธิดาตอบพลางเหล่ตามองรัตติกับเมฆาที่ยืนเสหน้ามองไปทางอื่น ก่อนจะหันมามองอเลนต่อด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “จะได้ทำเสร็จพร้อมๆกันไปเลยทีเดียว ไม่ยุ่งยากดีค่ะ”

จะได้รู้ความสัมพันธ์ระหว่างน้องรัตติกับเมฆาด้วยว่าเป็นมายังไง

“ครับ ถ้างั้นพวกเราก็เข้าไปด้วยพร้อมกันเลยนะครับ เฮ้ย เมฆา เดี๋ยวให้คุณธิดาไปร่วมภารกิจนี้ด้วยนะ” อเลนหันไปบอกเพื่อน ซึ่งเมฆาได้แต่พยักหน้าเพียงอย่างเดียว ก่อนจะเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก “เฮ้อ ไม่ไหวเลยเมฆาเนี่ย จะรีบเดินไปทำไมก็ไม่รู้ อ๊ะ คุณธิดารีบเก็บม้าเลยนะครับ เดี๋ยวพวกผมจะไปยืนรออยู่ข้างใน”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวพวกดิฉันจะรีบไปเก็บม้าเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ”

......................

เมื่อพวกเขาได้เดินเข้าไปข้างในถ้ำโดยมีเขาเดินนำเป็นคนแรกแล้ว ก็พบว่าในถ้ำนี้เป็นถ้ำที่เต็มไปด้วยไอน้ำแข็งเกาะอยู่เต็มไปหมด จึงทำให้อากาศแปรเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นยะเยือก

“รัตติข้าหนาว”

“หนาวรึ งั้นรอซักครู่นะ” เสียงของน้องราตรีพูดก่อนที่เขาจะหยุดชะงักเดินพลางหันไปมองน้องราตรี ซึ่งอีกฝ่ายกำลังหยิบเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอยู่ “ดีนะที่พี่ศาสตราให้ชุดคุณหน้ากากทักซิโด้ไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่มีเสื้อคลุมกันหนาวใส่แน่มาริโอ”

“อืม” แล้วราตรีก็ใส่เสื้อคลุมให้กับมาริโอท่ามกลางสายตาของทุกคน โดยที่เมฆาลอบสังเกตเห็นว่าไหล่ของน้องราตรีสั่นระริกระรี้

เฮ้อ ตัวเองก็หนาวแต่ไม่ยักจะพูดซักคำ

เมฆาคิดอย่างเหนื่อยใจกับความอวดดีของน้องราตรี ครั้นพอเขาจะหยิบเสื้อกันหนาวออกมาจากกระเป๋าให้น้องราตรีใส่ กลับต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นธิดาเอาเสื้อคลุมให้กับน้องราตรีใส่เสียก่อน  ซึ่งภาพเหล่านี้อยู่ในสายตาของอเลนที่จ้องมองเพื่อนด้วยความสงสัยมาตั้งแต่แรก

“แล้วนี่อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงที่กุมขังของมังกรวายเวิร์นล่ะเมฆา” อเลนเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“สามชั่วโมง”

“ห๊ะ! สามชั่วโมง”

“เส้นทางมันซับซ้อน ยากเกินกว่าจะเดินเร็วได้ภายในหนึ่งชั่วโมงนะ”

แล้วเมฆาก็แสร้งทำเป็นเดินเร็วเพื่อตัดความรำคาญกับคำถามของอเลน ซึ่งทำให้คนอื่นๆต้องพลอยเดินเร็วตามไปด้วย ในระหว่างที่เมฆาพาทุกคนเดินนั้น เขาก็ได้แกล้งทำเป็นหยุดเดินเพื่อให้คนอื่นได้พักบ้าง แต่ก็แค่ห้านาทีเท่านั้นแล้วเขาก็ออกเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ จนกระทั่งเมฆาหยุดเดินหลังจากได้พาทุกคนเดินเลี้ยวซ้ายแล้ว ซึ่งทันทีที่เท้าขวาของเมฆาได้สัมผัสกับพื้นดิน รังสีอำมหิตที่มาจากเบื้องหน้าก็ได้ตรึงกำลังให้ทุกคนยืนอยู่กับที่ ซึ่งแน่นอนว่าเมฆาเองก็ขยับไม่ได้ด้วยเช่นกัน

“กล้ามารบกวนเวลาจำศีลของข้า ช่างบังอาจนักเจ้าพวกมดปลวกทั้งหลาย!” เสียงเข้มพูดตวาดดังลั่นถ้ำ ซึ่งทำเอาน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามหินถึงกับร้าวจนแตกลงมาเป็นก้อน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครโดนลูกหลงจากพวกก้อนน้ำแข็งที่ตกลงมาบนพื้นดิน

“นี่ข้าเอง...ท่านมังกรวายเวิร์น” เมฆากัดฟันพูดในขณะที่ต้องฝืนทนกระแสรังสีอำมหิตของอีกฝ่ายไปด้วย “ข้า...เมฆา เพื่อนเก่าเมื่อตอนที่มาเอาเขี้ยวของท่านในครั้งนั้นยังไงล่ะ”

พอเขาพูดจบ รังสีอำมหิตถึงกับจางหายไปในพริบตาเดียว ก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นกับภาพเบื้องหน้า ซึ่งเผยให้เห็นมังกรร่างยักษ์กำลังนอนลืมตาสีแดงข้างเดียวอยู่

“เมฆา?” มังกรวายเวิร์นพูดทวนชื่อ ก่อนจะทำท่านึกอะไรบางอย่างออกได้ “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เองเมฆา นานหลายปีแล้วสินะที่เจ้าเอาเขี้ยวของข้าไป ว่าแต่เจ้านึกยังไงถึงกลับมาหาข้าอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าคิดถึงข้า ก็เลยกลับมาหาข้าเพื่อที่จะชวนเล่นหมากรุกด้วยกันอีก”

มังกรวายเวิร์นพูดติดตลก แต่คนฟังกลับไม่ขำด้วย

“เปล่าเลยท่านวายเวิร์น พวกข้าก็แค่ต้องการเดินผ่านทางนี้เพื่อไปเก็บดอกไวท์มูนไลท์เท่านั้น” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “หากแต่ท่านต้องการเล่นหมากรุกกับข้า ไว้วันหลังข้าจะกลับมาเล่นด้วยแน่”

แทนที่มังกรวายเวิร์นจะยอมถอยออกให้พวกเขาได้เดินผ่านประตูซึ่งอยู่ด้านหลังของตัวเอง กลับแผ่รังสีอำมหิตออกมาอีกครั้ง

“เสียใจด้วยเมฆา คำขอของเจ้าข้าคงให้ไม่ได้” มังกรวายเวิร์นพูดเสียงเหี้ยมเกรียมพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “กลับไปซะ อย่าได้กลับมาที่นี่ถ้ายังคิดจะมีชีวิตอยู่อีก”

สงสัยภารกิจนี้จะต้องได้สู้กับมังกรวายเวิร์นซะแล้วมั้ง เมฆาคิดในใจ นี่ถ้าเป็นก่อนถูกคำสาปปีศาจ เขาคงจะล้มมังกรวายเวิร์นได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าด้วยสภาพร่างกายอันอ่อนแอในตอนนี้ เขาคงจะสู้มังกรวายเวิร์นไม่ได้เหมือนแต่ก่อน คงต้องพึ่งอเลนกับธิดาซะแล้ว

เมฆาคิดพลางส่งพรายกระซิบบอกทั้งคู่ไปว่าให้เตรียมพร้อมต่อสู้ ส่วนน้องราตรีกับมาริโอนั้น เขาคิดว่าสองคนนี้คงจะทำอะไรมังกรวายเวิร์นไม่ได้อย่างแน่นอน

“หลบไปไกลๆก่อนน้องราตรีน้องมาริโอ พวกพี่จะสู้กับมังกรวายเวิร์น” เมฆาพรายกระซิบบอกทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วง หากแต่ทั้งคู่กลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
 
“ท่านมังกรวายเวิร์น” น้องราตรีเรียกชื่อมังกรวายเวิร์น ซึ่งทำเอาผู้ถูกเรียกเหลือบตามองเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปี “พวกผมแค่ต้องการผ่านไปเฉยๆ มิได้ต้องการจะสู้กับท่านเลยซักนิด ขอความกรุณาให้พวกผมได้เดินผ่านไปด้วยเถอะครับ”

“เจ้าเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร จงบอกมาพ่อหนุ่มน้อยเอ๋ย” มังกรวายเวิร์นถามเสียงเข้ม ซึ่งน้องราตรีตอบกลับไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่นว่า

“ผมคือราตรีพิสุทธิ์ ลูกชายของเดรค ราชามังกรผู้ยิ่งใหญ่ และเหม่ยจิง นางพญามังกรครับ” เมื่อน้องราตรีพูดจบ ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบโดยเฉพาะอเลนกับธิดาที่ไม่คิดว่าคนพูดจะเป็นลูกรัชทายาทเผ่ามังกรผู้ยิ่งใหญ่ได้ ส่วนมังกรวายเวิร์นที่นั่งเงียบอยู่นานแล้วก็ได้ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น

“ฮะๆ ลูกชายของเดรคกับเหม่ยจิงเองหรอกรึเนี่ย” มังกรวายเวิร์นพูดไปหัวเราะไป “ไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านไปนาน สองคนนั้นจะยอมมีลูกกับเขาเหมือนกับมังกรตนอื่นบ้าง ฮะๆ ว่าแต่พ่อหนุ่มน้อยราตรีเอ๋ย ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าในตอนนี้ยังสุขสบายดีหรือไม่”

น้องราตรีได้ยินคำถามของมังกรวายเวิร์นแล้ว ถึงกับเม้มปากด้วยสีหน้าอันขมขื่น

“หากพวกเขาสบายดี ผมมิต้องเดินทางออกมาให้เหนื่อยเปล่าหรอกครับ” น้องราตรีกัดฟันตอบ “เพราะตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้ถูกราชาปีศาจจับตัวไปนะครับท่านมังกรวายเวิร์น”

แปลบ!

คำพูดของน้องราตรีได้เข้าแทงที่ขั้วหัวใจของเมฆาจนเขาได้แต่ขบริมฝีปากด้วยความเจ็บปวด

“ว่ายังไงนะ เดรคกับเหม่ยจิงถูกราชาปีศาจจับตัวไป” มังกรวายเวิร์นร้องอุทานเสียงดังลั่น “พ่อหนุ่มอย่ามาพูดเล่นลิ้นกับข้านะ ข้าไม่มีทางเชื่อหรอกว่าราชาปีศาจจะมาจับตัวสองตนนั้นไปได้ พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันนะ”

“ผมไม่ได้พูดเล่นลิ้นกับท่านเลยซักนิดท่านมังกรวายเวิร์น ผมไม่รู้จริงๆว่าเป็นเพราะเหตุใดใยราชาปีศาจจึงเข้าเล่นงานท่านพ่อกับท่านแม่”

แปลบ!

ความเจ็บปวดได้บั่นทอนกำลังจิตใจของเมฆา ทำเอาชายหนุ่มถึงกับกำมือแน่นจนเลือดออกซิบๆ

น้องราตรีพี่ขอโทษ เมฆาคิดในใจอย่างเจ็บปวด พี่ช่วยพวกเขาให้ออกมาจากที่กุมขังไม่ได้

ถึงแม้ตัวต้นเหตุไม่ใช่เป็นเพราะเขา แต่เป็นท่านพ่อของเขาก็ตาม แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ผิดอยู่ดี

ผิดที่ไม่ได้บอกเรื่องพ่อกับแม่ให้น้องราตรีได้รับทราบ

ขืนบอกไปมีหวังความสัมพันธ์ของเขากับน้องราตรีได้จบเห่แน่!


“อย่างนั้นเองหรอกรึ เจ้าเองก็ไม่รู้สาเหตุที่ราชาปีศาจลอบเข้าโจมตีพวกเจ้าสินะ” มังกรวายเวิร์นพูดพลางถอนหายใจแรงๆ “นี่ถ้าข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้าคงจะไปช่วยพ่อแม่ของเจ้าแล้วล่ะพ่อหนุ่มราตรี”

น้องราตรีได้ยินคำพูดของมังกรวายเวิร์นแล้วถึงกับก้มหัวลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“ไม่เป็นไรครับท่านมังกรวายเวิร์น แค่คำพูดของท่านเมื่อครู่นี้ผมก็ซาบซึ้งมากพอแล้ว”

“หึ พูดถ่อมตัวได้ดี สมเป็นลูกของเดรคกับเหม่ยจิง” มังกรวายเวิร์นพูดชมน้องราตรี “แต่ถึงเจ้าจะเป็นลูกของสองคนนั้น ก็ใช่ว่าข้าจะยอมให้ผ่านไปง่ายๆหรอกนะ”

“ท่านจะให้พวกผมทำอะไรก็ว่ามาได้เลยครับ” น้องราตรีบอก

“หึ ไม่ยากเลย แค่ตอบคำถามของข้าสามข้อกับทดสอบพลังเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”

“ตอบคำถามกับทดสอบพลังหรือครับ?”

“ใช่” มังกรวายเวิร์นตอบก่อนจะพูดต่อ “เป็นคำถามปริศนาที่พวกเจ้าต้องช่วยกันตอบ ซึ่งข้าจะไม่กำหนดเวลาที่จะตอบ พวกเจ้าจะตอบเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ส่วนทดสอบพลังนี้ต้องเป็นหลังจากตอบคำถามได้ถูกทุกข้อก่อนนะ”

แล้วน้องราตรีก็หันหน้ามาทางเขาราวกับต้องการคำตอบ ซึ่งเมฆาเห็นดังนั้นก็พลันถอนหายใจ

“ตามใจน้องราตรีแล้วกัน”

พอได้คำตอบ น้องราตรีถึงกับฉีกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหันไปพูดกับมังกรวายเวิร์นต่อ

“ตกลงครับ เชิญท่านถามมาได้เลยครับ”

มังกรวายเวิร์นได้ยินดังนั้นก็พลันขยับปีกเล็กน้อยก่อนจะพูดคำถามข้อแรก

“รถไฟขบวนหนึ่งออกจากสถานี มีผู้โดยสาร 30 คน ระหว่างทางจอดสถานีแรก มีผู้โดยสารขึ้นใหม่ 50 คน แต่ผู้โดยสารคนเก่า ลงจากรถ 5 คน แวะสถานีที่สาม รถไฟเพิ่มโบกี้ ทำให้รับผู้โดยสารเพิ่มได้อีก 50 คน สถานีที่สี่ ผู้โดยสาร 17.5% ของทั้งหมดลงจากรถไฟ และมีผู้โดยสารขึ้นมาใหม่ เป็นจำนวน 30% ของผู้โดยสารเดิมที่เหลืออยู่ คำถามนี้ข้าอยากถามว่าคนขับรถไฟขบวนนี้ชื่ออะไร”

“คำถามป้อมุงหรา” มาริโอโพล่งขึ้นมา ซึ่งทำเอาทุกคนสะดุ้งตกใจ รวมถึงมังกรวายเวิร์นที่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะยื่นหน้ามามองมาริโอใกล้ๆ พลางพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วก็อ้าปากพูดเสียงสั่นๆว่า

“ช้าก่อน เจ้ารู้ได้ยังไงว่านี่เป็นคำถามของพ่อข้า”

“หึ ก็คนมันเทพยังไงล่ะ”

มาริโอเอามือกอดอกหัวเราะ

ไอ้เกรียนเอ๊ย

ทุกคนคิดในใจพร้อมกัน

“ถะ...ถะ...ถูกต้องนะคร้าบบบ!” มังกรวายเวิร์นบอกก่อนจะเริ่มเข้าสู่คำถามที่สอง “อะไรเอ่ย ข้างบนคือน้ำ ข้างล่างคือไฟ”

“กาต้มน้ำ” ทุกคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ยกเว้นเมฆาที่ไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพราะเขารู้สึกเฉลียวใจจากคำถามแรก

เจ้าบ้านี่คงคิดเล่นลูกไม้กับคำถามของมันแน่ๆ

คำตอบไม่น่าจะใช่อย่างที่เราคิด


พอคิดเสร็จ เมฆาก็หยิบซองบะหมี่ออกมาจากกระเป๋าไอเทมก่อนจะชูซองบะหมี่ขึ้นมาโชว์

“ต้มบะหมี่กินไปคิดไปได้ไหม” เมฆาถามพลางถอนหายใจ

“ถูกต้อง”

“ห๊ะ!”

ทุกคนร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว โดยเฉพาะเมฆายิ่งตกใจกว่าใครเขา เพราะไม่คิดว่าคำพูดของเขานั้นจะกลายเป็นคำตอบไปเสียได้

“ต่อไปเป็นคำถามสุดท้ายแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าจงคิดดูให้ดีเชียวล่ะ เพราะมันยากกว่าสองคำถามแรกมากนัก” มังกรวายเวิร์นบอก แต่ทุกคนกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

คำถามกวนส้นมากกว่ามั้งครับคุณพี่มังกร!

“คำถามก็คือ นิลอะไรมีสีแดง*

“นิลที่มีสีแดงคือนิลบวม” จู่ๆ อเลนก็ตอบขึ้นมาทันทีที่มังกรวายเวิร์นพูดจบ ซึ่งทำเอาทุกคนหันไปมองอเลนพร้อมกันเป็นตาเดียว “นิลบวมผวนมาจากนวมบิน บินภาษาอังกฤษเรียกว่า fly รวมกันเป็นนวมfly นวมflyผวนกลับได้เป็นนายฟวม นายภาษาอังกฤษเรียกว่าบอส เป็นบอสฟวม และบอสฟวมผวนกลับได้เป็นบวมฟอร์ซ ฟอร์ซแปลว่าแรง เป็นบวมแรง และบวมแรงผวนกลับได้เป็นแบงรวม รวมภาษาอังกฤษแปลว่ามิกซ์ เป็นแบงมิกซ์  แบงมิกซ์ผวนกลับได้เป็นบิ๊กแมง บิ๊กแปลว่าใหญ่ ผวนกลับได้โตแมง แล้วโตแมงก็ผวนกลับได้เป็น...”

“แตงโม”

ทุกคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำให้มังกรวายเวิร์นได้ยินเข้าถึงกับอึ้งไปทันที

มันคิดได้ยังไงเนี่ย เนื่องจากคำตอบนี้มังกรวายเวิร์นตั้งใจเฉลยไว้ว่านินจาใส่ชุดแดง แต่เมื่อได้เจอกับกลยุทธ์คำผวนมหากาฬจากอเลนเข้า ถึงกับทำให้มันยอมรับในสติปัญญาอันเลิศล้ำของอเลน มนุษย์เหล่านี้ สติปัญญาช่างล้ำเลิศยิ่งนัก

“เฮ้อ เอาล่ะ ข้ายอมแพ้ เอาเป็นว่าคำถามทั้งสามข้อพวกเจ้าผ่าน”

“เย้! ผ่านแล้ว เย้ๆ” มาริโอโห่ร้องดีใจ

“ความจริงแล้วข้าไม่ได้คิดจะเล่นถามตอบกับพวกเจ้า แค่อยากทดสอบว่าพวกเจ้ามีสติปัญญาและไหวพริบในการแก้ไขปัญหาสักแค่ไหนเท่านั้น” มังกรวายเวิร์นบอก แต่ทว่าทุกคนกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

ไวพริบป้อมุงหรา

“ไหนๆ พวกเจ้าก็ผ่านแล้ว ข้าจะถามคำถามกับพวกเจ้าอีกซักข้อแล้วกันนะ ถือว่าแถมไปล่ะกัน” มังกรวายเวิร์นบอกกับทุกคนก่อนจะถามคำถามต่อ “คำถามคือ เกราะหนังมีพลังป้องกัน 25 เมื่อถูกโจมตีความเสียหายจากเดิม 500 จะลดลงเหลือเพียง 475 เกราะเหล็กมีพลังป้องกัน 90 เมื่อถูกโจมตีความเสียหายเท่ากัน จะลดลงเหลือ 320 อยากถามว่าพลังป้องกันของเกราะทั้งสองนี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์”

“DEF บ้านบิดาคุณสิ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์”

ทุกคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำเอามังกรวายเวิร์นถามกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อยๆว่า

“เป็นแฟนเว็บเฮียเหมือนกันด้วยเหรอ”

“ใช่”

ทุกคนตอบพร้อมกัน แล้วจากนั้นมังกรวายเวิร์นก็ขยับตัวลุกขึ้นยืน ทำให้หัวของมังกรวายเวิร์นติดกับเพดาน

“เอาล่ะ ต่อไปคือการทดสอบพลัง”

..................................

* (เครดิตจาก The Naked Show โดย น้าเน็ก)  :m20: :m20: :m20: :m20: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 51 วายเวิร์น (update 100%) P.3 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 16:00:10
บทที่ 52 คำสาปแผลงฤทธิ์

.....................

“เอาล่ะ ต่อไปคือการทดสอบพลัง” มังกรวายเวิร์นบอกก่อนจะเชิดหน้าไปทางขวามือของตัวเอง ซึ่งทำให้ทุกคนต้องหันไปมองตาม ก่อนจะพบกับก้อนหินก้อนใหญ่วางอยู่กับพื้นดินโดยมีดาบเล่มหนึ่งปักอยู่บนก้อนหินนั้นด้วย “ไหนพวกเจ้าลองดึงดาบเล่มนี้ดูซิ ถ้าหากใครดึงดาบหรือเอาดาบออกจากก้อนหินนี้ได้ ข้าก็ให้ผ่านได้เลยทันที”

ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงมองหน้ากันตกลงว่าใครจะเป็นผู้ดึงดาบเล่มนี้ก่อน ซึ่งผู้ดึงดาบคนแรกนั่นก็คือมาริโอ

“หากดึงดาบนี้ออกได้ ข้าจะได้เป็นราชา” คำพูดของมาริโอพร้อมกับท่าที่แสดงออกของมันทำให้ราตรีถึงกับส่ายหน้า

ไอ้เห็ดบ้า คิดว่าตัวเองเป็นคิงก์อาเธอร์หรือไง

“วางใจได้แน่เหรอน้องรัตติ” ธิดาถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติตอบกลับไปว่า

“ปล่อยให้ดึงจนหมดแรงจะได้หายบ้านั่นแหละครับ”

แล้วพวกเขาก็มองมาริโอที่พยายามดึงดาบขึ้นมาจากก้อนหิน แต่ปรากฏว่ามันดึงไม่สำเร็จ หน้าดำหน้าแดงดึงอยู่อย่างนั้นจนมังกรวายเวิร์นบอกให้พอได้แล้ว

“ชิ เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว” มาริโอบ่นด้วยความเสียดาย

สำเร็จบ้าอะไร ดึงไม่ขึ้นซักเซนเดียวเลยนะมาริโอเอ๋ย

ทุกคนคิดในใจพร้อมกัน ซึ่งรายต่อไปก็เป็นอเลนที่ขอดึงบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ และต่อมาก็เป็นธิดากับเมฆา ซึ่งผลก็ไม่แคล้วแบบเดียวกับอเลน

“ตอนนี้เหลือแต่เจ้าแล้วนะพ่อหนุ่มราตรี” มังกรวายเวิร์นบอก

“ครับ” รัตติตอบพลางเดินไปยังก้อนหิน ก่อนจะหยุดชะงักเดิน “จริงสิท่านมังกรวายเวิร์น ดาบเล่มนี้มันคมหรือไม่”

“คมสิ เป็นดาบที่คมมากที่สุดในปฐพี ว่าแต่เจ้าจะถามไปทำไมรึเด็กน้อย” มังกรวายเวิร์นพูดด้วยความแปลกใจ แต่ทว่ารัตติไม่ตอบ กลับใช้มือกดดาบลงไปแทนที่จะดึงขึ้นเหมือนกับคนอื่น ซึ่งทำให้ก้อนหินที่ถูกคมดาบถึงกับผ่าออกเป็นสองซีกท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน

“นี่ไงครับท่านมังกร ผมเอาดาบออกมาได้แล้ว” รัตติตอบพลางชูดาบขึ้นเหนือศีรษะหลังจากผ่าก้อนหินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำเอามังกรวายเวิร์นที่มองเธอด้วยความตกใจถึงกับหัวเราะ

“ฮะๆ ให้ตายสิเด็กน้อย เจ้านี่ช่างทำให้ข้าทึ่งเสียเหลือเกินนะ” มังกรวายเวิร์นพูดไปหัวเราะไป “ดึงดาบไม่ได้ก็ผ่าก้อนหินออกแทน ฮะๆ คิดได้ยังไงเนี่ย”

“ตกลงว่าพวกผมผ่านได้รึยังครับท่านมังกรวายเวิร์น” รัตติถามอย่างสงสัย

“อืม พวกเจ้าผ่านแล้วล่ะ”

“เย้! ในที่สุดก็ผ่านแล้ว!”

มาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจ

“สมแล้วที่เป็นถึงลูกของเดรค คราวหน้าคราวหลังถ้าเจ้าว่าง ก็แวะมาเยี่ยมเยียนข้าได้นะ ข้าอยากจะเล่นหมากรุกกับเจ้าซักหน่อย” มังกรวายเวิร์นบอก ซึ่งรัตติพยักหน้าตอบ

“ครับท่าน ว่าแต่ท่านรู้จักท่านพ่อกับท่านแม่ของผมด้วยหรือครับท่านมังกรวายเวิร์น” รัตติถามต่ออย่างสงสัย

“รู้จักสิ รู้จักกันตั้งแต่สมัยยังแบเบาะเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ตอนโตเป็นหนุ่ม ข้าก็โดนพวกเทพมากักขังไว้ที่นี่ซะก่อน ก็เลยไม่ได้เจอหน้ากับสองคนนานเป็นร้อยๆปีได้แล้วมั้ง” มังกรวายเวิร์นบอกก่อนจะหันมาพูดกับเขาต่อ “เจ้าโชคดีไปนะเมฆา ที่เจ้าไม่ต้องมาต่อสู้กับข้าเหมือนครั้งนั้นอีก แต่จะว่าไปการต่อสู้ครั้งนั้นก็ไม่เลวนะ หากมีโอกาสอีกล่ะก็ เจ้ามาหาข้าอีกจะได้รึไม่”

“ได้สิครับท่านมังกรวายเวิร์น ข้าจะมาหาท่านอีกแน่” เมฆาพูดฝืนยิ้ม

“งั้นข้าขออวยพรให้พวกเจ้าโชคดีในการเก็บดอกไวท์มูนไลท์”

มังกรวายเวิร์นบอก ซึ่งทุกคนก็ได้กล่าวขอบคุณมังกรวายเวิร์นที่ยอมให้พวกเขาผ่านแต่โดยดี และเมื่อกล่าวลาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เดินมุ่งหน้าออกไปยังบานประตูนั้นทันที

.....................

ย้อนเวลากลับไปสองวันที่แล้ว ปฐพีกับเพื่อนๆได้ขี่ม้ากลับไปยังสมาคมจับฉ่ายของตัวเองซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า

เมืองชิน

เมืองชินตั้งอยู่ทิศใต้ห่างจากถ้ำมังกรวายเวิร์นประมาณสักหนึ่งพันกิโลเมตร เป็นเมืองที่ติดอยู่ใกล้กับเมืองท่าเรือที่พวกเขาจากมา นอกจากนี้เมืองชินยังมีลักษณะพิเศษก็ตรงที่ผังเมืองมีส่วนคล้ายกับเมืองจีนสมัยโบราณ แถมยังขึ้นชื่ออาหารจีนที่มีอายุมานานเกือบสามพันปีด้วย เพราะเหตุนี้จึงทำให้ผู้เล่นส่วนมากเข้ามาในเมืองนี้เพื่อชิมรสอาหารอร่อยๆ กับทำภารกิจเล็กๆน้อยๆ หรือไม่ก็นัดพบปะสังสรรค์ทานอาหารกับพรรคพวกเท่านั้น และนอกจากนี้เมืองชินยังเป็นที่ตั้งของสมาคมจับฉ่าย ซึ่งมีปฐพีเป็นหัวหน้าสมาคมเป็นผู้คอยดูแลอยู่ด้วย

“จับฉ่ายครับจับฉ่าย ของดีจากชิน จับฉ่ายร้อนๆ ครับ” เสียงพ่อค้าตะโกนเรียกลูกค้า ซึ่งแน่นอนว่ามีผู้เล่นต่างสนใจเข้ามาชมเลือกซื้อกันเป็นทิวแถว

“พี่คะ เราไปซื้อจับฉ่ายร้อนๆกันเถอะค่ะ คริสตัลอยากกิน” ผู้หญิงอายุประมาณสิบสี่สิบห้าสวมหูกระต่ายในชุดแม่มดน้อยนามว่าคริสตัลพูดเสียงอ้อนกับปฐพี ซึ่งทำให้ชายหนุ่มที่เดินควงแขนมาด้วยก็ตอบกลับไปสั้นๆว่า

“อืม” แล้วคริสตัลก็หันหลังกับไปมองสองร่างที่กำลังเดินหอบของเป็นตั้งๆอยู่

“แล้วงุ้งงิ้งกับคอเบียร์จะกินไหม เดี๋ยวคริสตัลจะไปซื้อให้” ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ตอบ คริสตัลก็เดินไปซื้อโดยฟังคำตอบ ซักพักคริสตัลก็เดินกลับมาพร้อมถุงจับฉ่ายสิบถุงโต “อ๊ะ งุ้งงิ้ง คอเบียร์ ฝากถือคนละห้าถุงหน่อยนะจ้ะ”

แล้วหญิงสาวก็ยื่นถุงคล้องใส่แขนของทั้งคู่ก่อนจะหมุนตัวกลับไปเดินควงแขนปฐพีที่ยืนรออยู่ หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินชมตลาดต่อ ซึ่งในระหว่างที่คริสตัลเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นอยู่นั้น ปฐพีก็เดินเข้าหาทั้งสองหนุ่มที่ถูกใช้เป็นเบ้ตั้งแต่แรก

“เพื่อเป็นการขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกับน้องสาวฉัน กลับไปจะทำอาหารให้กิน” ปฐพีพูดเสียงกระซิบ

“ครับคุณป๋า” ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน แต่ก็ไม่วายโดนปฐพีเขกหัวเนื่องด้วยข้อหาเรียกเขาว่าคุณป๋า หลังจากพวกเขาซื้อของเสร็จแล้วก็พากันเดินกลับสมาคมซึ่งเป็นภัตตาคารที่ชื่อว่า

จับฉ่ายโภชนา

“เอาของไว้ตรงนั้นแหละคอเบียร์งุ้งงิ้ง อ้อ แล้วก็อย่าลืมเอาจับฉ่ายร้อนไปใส่ชามด้วย จะได้ทานพร้อมกัน อิอิ” คริสตัลสั่งเพื่อนเป็นว่าเล่น ซึ่งทำเอาปฐพีถึงกับส่ายหน้า

“อย่าไปสั่งพวกเขามากนักสิเรา พวกเขาไม่ใช่ทาสรับใช้ที่จะจิกหัวใช้ได้ตลอดนะ” ปฐพีพูดในเชิงสั่งสอนพลางเอามือขยี้เส้นผมสีชมพูของคริสตัลด้วยความหมั่นไส้

“ค่าคุณพี่สุดหล่อ” คริสตัลพูดพลางแลบลิ้นใส่เขา “หนูไม่ใช้พวกเขามากหรอก เพียงแต่พวกเขาต้องทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับหนู พวกเขาก็เลยต้องยอมเป็นคนรับใช้หนึ่งอาทิตย์นะค่ะ”

ปฐพีได้ยินที่คริสตัลหรือแก้วผู้เป็นลูกสาวของเขาพูดแล้วก็พลันขมวดคิ้ว

“ไปเล่นสัญญาอะไรกันอีกล่ะหืม?”

คริสตัลหัวเราะแห้งๆก่อนจะตอบเขากลับมาว่า

“ก็ถ้าใครเก็บเลเวลได้ถึงสามสิบก่อน คนนั้นจะเป็นผู้ชนะนะค่ะพี่ปฐพี”

ปฐพีได้ยินก็พยักหน้าเข้าใจ

เหมือนแม่ไม่มีผิด

แต่ปฐพีก็ไม่ลืมที่จะสอนลูกสาวตัวเองไปด้วย

“น้องก็อย่าใช้พวกเขามากแล้วกัน ประเดี๋ยวจะเกลียดขี้หน้ากันเอาซะเปล่าๆ” ปฐพีบอกก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวพี่ขอตัวไปทำอาหารกลางวันก่อนนะ อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าล่ะ”

“เอาหูฉลามน้ำแดง เป็ดปักกิ่ง สุกี้ไหหลำ ผัดจับฉ่าย แล้วก็เป็ดกับไก่ อย่างละตัวค่ะ”

คำตอบของคริสตัลหรือแก้วทำเอาปฐพีถึงกับขมวดคิ้ว

ยัยแก้ว หนูจะเป็นปอบหรือลูก

“โอเค งั้นไปนั่งรอที่ห้องรับแขกล่ะ” ปฐพีบอกก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องครัวของร้านอาหารตัวเอง ซึ่งภายในห้องครัวทุกคนที่เป็นสมาชิกของสมาคมจับฉ่ายกำลังวิ่งวุ่นทำอาหารอยู่

“อ้าวกลับมาแล้วหรือปฐพี ไปเที่ยวกับลูกสาวตัวเองเป็นไงบ้าง สนุกไหมล่ะ” ศาสตราเดินมาพร้อมกับพูดโดยใช้พรายกระซิบกับเขา

“ก็สนุกดี” ปฐพีตอบสั้นๆ เรื่องที่เขาเป็นพ่อของคริสตัลในโลกจริงนั้นมีเพียงศาสตรากับพิภพเท่านั้นที่ทราบ “ถ้าไม่มีสองคนนั้นไปด้วยนะ”

ศาสตราได้ยินที่ปฐพีพูดถึงกับอมยิ้ม

“แหม หวงลูกสาวเชียวนะปฐพี กลัวลูกสาวโดนสองคนนั้นจีบรึไง เด็กพวกนี้เพิ่งจะสิบขวบเองไม่ใช่รึ”

“สมัยนี้แค่สิบขวบก็ไม่ปลอดภัย” ปฐพีเถียงย้อนอย่างหงุดหงิด “ถึงในเกมแก้วจะมีรูปร่างอายุสิบสี่สิบห้าปี แต่ตัวจริงที่นอกเกมเป็นเพียงแค่เด็กสิบขวบเท่านั้น ยังไงแก้วก็ต้องมีผู้ปกครองดูแล”

“เออๆ รู้แล้วๆ คุณพ่อคนเก่ง ถามจริงที่แกหวงเพราะหวงเองหรือเมียสั่งมาคุม ...อะจ๊าก! พิภพช่วยฉันด้วย ปฐพีจะฆ่าฉานนน!” ศาสตราร้องลั่นพลางวิ่งเข้าไปหาพิภพที่กำลังคุมคนในโซนเตรียมอาหารอยู่ ซึ่งโชคยังดีที่ศาสตรากับปฐพีใช้พรายกระซิบในช่องสื่อสารระหว่างเพื่อนสนิท ก็เลยทำให้พิภพได้ยินบทสนทนาตั้งแต่ต้นอย่างชัดเจน

“ถ้ากลัวตาย อย่าริอาจลามปามถึงของสูง”

ปฐพีบอกพลางสาวเท้าเดินพร้อมกับรังสีอำมหิต จนทุกคนที่อยู่ในที่นั้นถึงกับสะดุ้ง แต่ไม่ทันที่ปฐพีจะได้เดินถึงตัวศาสตรา เสียงเจื้อยแจ้วของคริสตัลก็ดังลอดมาจากข้างนอกว่า

“พี่คะ อย่าลืมทำลำไยน้ำกะทิด้วยนะคะ!”

เท่านั้นแหละปฐพีถึงกับปล่อยดาบร่วงหล่นกับพื้นอย่างไม่ตั้งใจ รวมถึงศาสตรากับพิภพต่างสะดุ้งไหวจนแทบจะกอดกันเลยด้วยซ้ำถ้าหากไม่ติดตรงที่นี่มีคนหมู่มาก คงจะกอดกันด้วยความกลัวกับชื่อที่ได้ยินเมื่อครู่นี้

...........................

ย้อนกลับมาทางด้านพวกเมฆา ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้เดินออกมาจากถ้ำมังกรวายเวิร์นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเบื้องนอกถ้ำเป็นทุ่งดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา

“ว้าว สวยจังเลย” มาริโอร้องอุทานอย่างตะลึงเมื่อได้เห็นทุ่งดอกไม้

“ตอนนี้ยังเที่ยงอยู่เลย คงจะยังเก็บดอกไวท์มูนไลท์ไม่ได้” ธิดาบอกรัตติก่อนจะหันไปมองสองหนุ่มที่ยืนอยู่ “จะทานข้าวเที่ยงเลยไหมคะคุณเมฆาคุณอเลน”

“ก็ดีเลยครับ กำลังหิวอยู่พอดี ว่าแต่พวกคุณเอาของกินอะไรติดตัวมาบ้างหรือเปล่าครับ พอดีพวกผมสองคนเอามาแค่เนื้อหมูป่าย่างมาเท่านั้น” อเลนถามพวกรัตติ

“ดิฉันมีข้าวกล่องสารพัดประโยชน์แค่ชุดเดียวกับน้ำส้มคั้นหนึ่งกะติกเองค่ะ คงจะไม่พอท้องทุกๆคนได้” ธิดาตอบพลางหันไปถามรัตติบ้าง “แล้วน้องรัตติล่ะจ้ะ เอาอะไรติดตัวมาบ้างเอ่ย”

“ผมไม่มีติดตัวหรอกครับ มีแต่อยู่ในเต็นท์นะ” คำตอบของรัตติ ทำเอาทุกคนยกเว้นมาริโอหันไปมองอย่างสงสัย

“พอดีในเต็นท์ของผมสามารถสั่งอาหารได้นะครับ เดี๋ยวผมจะทำให้ดู” รัตติตอบก่อนจะเรียกเต็นท์ออกมากางกับพื้น แล้วเดินหายเข้าไปสักพักก่อนจะออกมาพร้อมกับกล่องอาหารปิ่นโตสามสี่เถาท่ามกลางสายตาตกใจของสองหนุ่มกับหนึ่งสาว “นี่ไงครับอาหาร อยากได้อีกก็บอกได้นะครับ ผมจะได้ไปสั่งอาหารข้างในเต็นท์อีก”

“สุดยอดเลยจ้ะน้องรัตติ นี่น้องไปได้เต็นท์นี้มาจากไหนหรือจ้ะ” ธิดาถามอย่างสงสัย

“ก็ไปได้จากพี่ชายคนหนึ่งนะครับ” รัตติตอบพลางนึกย้อนกลับไป ตอนนั้นเมฆาได้หลุดจากเกมไป ก็เลยทำให้เธอกับมาริโอต้องโดนหนอนยักษ์รุมทำร้าย แต่โชคยังดีที่ได้พี่ปริ๊นซ์เข้ามาช่วยได้ทันท่วงที “พวกพี่จะเอาอะไรเพิ่มอีกไหมครับ ผมจะได้เข้าไปอีก”

“ไม่ต้องแล้วครับน้องราตรี แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” อเลนบอก ซึ่งหลังจากนั้นธิดาก็เอาผ้าปูมากางกับพื้น ก่อนที่ทุกคนจะนำของกินตัวเองมาวางกับผ้าปู ซึ่งของอเลนกับเมฆาเป็นเนื้อหมูป่าย่างตามที่กล่าวไว้จริงๆ ส่วนของธิดาก็เป็นซูชิกับน้ำส้มคั้น ซึ่งน้ำส้มคั้นนั้นธิดาได้แบ่งส่วนให้คนละแก้ว และของรัตติก็เป็นปลาย่าง ผัดผักกุยช่าย โอนิกิริ แอปเปิ้ล ซึ่งในระหว่างทานอาหารนั้นมีเพียงธิดาที่นั่งคุยกับอเลนอยู่สองคน ส่วนรัตติกับเมฆาได้แต่นั่งทานอย่างเงียบๆ (ยกเว้นมาริโอที่นั่งซัดข้าวอย่างเดียว) หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ธิดาก็ได้เอ่ยปากท้าประลองฝีมือกับอเลน ซึ่งทำให้รัตติต้องนั่งอยู่กับเมฆาตามลำพัง (ส่วนมาริโอนั้นกลับเข้าไปนอนหลับในเต็นท์ของเธอ)

“ขอโทษนะ” จู่ๆ เมฆาก็พูดขึ้นมา ทำเอารัตติที่นั่งมองการต่อสู้ระหว่างธิดากับอเลนถึงกับหันไปมองผู้พูด

“เมื่อครู่นี้ท่านพี่พูดอะไรหรือครับ ผมไม่ทันได้ฟัง” รัตติถามอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไร” เมฆาตอบพลางหันหน้ามาทางรัตติ “เอ่อ…พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้ออกตามหาน้องตอนที่ถูกลักพาตัวไป พี่…”

“ท่านพี่ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วไป เพราะตอนนั้นผมกับมาริโอถูกพวกนั้นโยนลงน้ำทะเล ดีที่ท่านพี่ธิดาช่วยไว้ได้ทัน ไม่งั้นจมน้ำทะเลแย่เลย ว่าแต่ท่านพี่บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือครับ มีของอะไรติดตัวหล่นหายบ้างหรือเปล่า”

รัตติถามอย่างสงสัย เพราะการต่อสู้แต่ละครั้งน่าจะมีของตกหล่นเหมือนกับเธอ อาทิเช่นของกินหรือน้ำยาเพิ่มเลือดอะไรประมาณนี้ ซึ่งเมฆาได้ยินที่รัตติถามก็พลันส่ายหน้าไปมา

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร และไม่มีของหายด้วย” เมฆาตอบก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่น้องเป็นไงมาไงถึงได้ข้ามเรือขึ้นมาทวีปหลักล่ะ ระดับการต่อสู้ถึงสามสิบแล้วรึไงครับ”

“ยังครับท่านพี่ ผมเพิ่งจะเลเวลสิบห้าเองครับ” คำตอบของเธอทำเอาเมฆากุมขมับ

“เอาอย่างนี้แล้วกัน หลังจากเก็บดอกไวท์มูนไลท์แล้ว น้องไปเก็บเลเวลกับพี่อีกดีไหมครับ” เมฆาถามต่อ ซึ่งทำเอารัตติได้ยินถึงกับดีใจ

“ดีครับ แต่…” รัตติตอบพลางนึกขึ้นได้ว่าต้องอยู่ทำงานให้กับพี่ธิดา “…ผมต้องอยู่ทำงานตอบแทนบุญคุณท่านพี่ธิดา…”

“ไม่ต้องแล้วล่ะจ้ะน้องรัตติ เรื่องทำงานตอบแทนบุญคุณพี่นั้น น้องก็ได้ชดใช้ให้พี่จนหมดแล้ว”

เสียงธิดาพูดแทรก ทำเอาสองหนุ่มหันไปมองก่อนจะพบว่าธิดาเดินกะเผลกกลับมา พร้อมกับอเลนที่แทบจะคลานเดิน

“แต่ผมเพิ่งจะทำงานได้แค่สามวันเองนะครับท่านพี่” รัตติแย้ง แต่ทว่าธิดากลับส่ายหน้า

“สามวันก็จริง แต่น้องช่วยทำงานให้พี่มากพอแล้วจ้ะ” ธิดายิ้มพลางหันมามองเมฆา “เชิญเอาน้องรัตติไปเก็บเลเวลได้ตามสบายเลยนะคะคุณเมฆา เพราะหลังจากจบภารกิจนี้แล้ว ดิฉันต้องลุยงานสมาคมอีกเยอะ ไม่ว่างพาน้องรัตติกับน้องมาริโอไปเก็บเลเวลอีกแล้วล่ะค่ะ”

“ครับ ผมต้องขอบคุณคุณธิดาจริงๆที่อุตส่าห์ช่วยดูแลน้องราตรีกับน้องมาริโอในช่วงที่ผมไม่อยู่” เมฆาบอก ซึ่งธิดาได้แต่โบกมือไปมาว่าไม่เป็นไร หลังจากนั้นเมฆาก็ขอดูความคืบหน้าการฝึกวิชาของรัตติ ซึ่งผลหลังจากการที่ได้ดูรัตติใช้ทักษะเวรกรรมและทักษะรวมร่างกับมาริโอแล้ว เมฆาถึงกับพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วเวลาผ่านไปจนกระทั่งตกเย็น หลังจากที่พวกเขาได้ทดลองวิชากันจนหายอยากแล้ว พวกเขาก็นั่งพักทานข้าวเย็นด้วยกันอีกครั้ง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างมานั่งรอเวลาเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลาที่ดอกไวท์มูนไลท์จะบานออก

“อีกเดี๋ยวพอพระจันทร์ตรงหัวแล้ว ดอกไวท์มูนไลท์ก็จะบานออก”

ธิดาบอกรัตติที่นั่งอยู่ข้างๆธิดา ส่วนเมฆากับอเลนก็นั่งอยู่อีกฟากคอยรอเช่นเดียวกับพวกรัตติ

“แล้วดอกไวท์มูนไลท์นี่จะบานออกกี่ดอกรึครับ” รัตติถามอย่างสงสัย

“เจ็ดดอกจ้ะ” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “ฉะนั้นหายห่วงได้ว่าจะเก็บกันไม่ครบ เพราะภารกิจนี้เขาให้เก็บกันคนละดอก แล้วนำไปส่งให้กับจีเอ็มที่เมืองไหนก็ได้ แล้วจะได้ค่าตอบแทนเป็นขนนกชุบชีวิตนะจ้ะ”

“เหรอครับ งั้นก็ดีไปเลยนะสิฮะ ถ้าเพื่อนคนไหนตายก็สามารถชุบชีวิตเขาได้ทันทีเลย” รัตติพูดพลางเหลือบมองเมฆาก่อนจะวกสายตากลับมาที่ธิดาต่อ

“จ้า แล้วคนที่ชุบก็จะได้ไม่ต้องเสียค่าประสบการณ์ที่อุตส่าห์เก็บมานาน” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวอีกสิบนาทีก็เที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวพวกเราก็ได้เก็บดอกไวท์มูนไลท์แล้วนะจ้ะ”

“ครับท่านพี่” รัตติตอบพลางก้มมองมาริโอที่นอนหลับบนตักขาของตัวเอง เพราะมันดึกมากแล้ว มาริโอก็เลยนอนหลับไปก่อนใครเขา

ถึงจะปากร้ายแต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำอยู่ดี

รัตติคิดในใจพลางตบหลังมาริโอเบาๆ แล้วก็เงยหน้ามองพระจันทร์ที่เต็มดวงลอยอยู่บนท้องฟ้าเพื่อฆ่าเวลารอที่ดอกไวท์มูนไลท์จะบาน

“โอ้ย! ไม่นะ อ้าก!”

จู่ๆเสียงร้องของเมฆาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ทำเอาทุกคนหันไปมองคนร้องอย่างสงสัย รวมถึงมาริโอที่นอนหลับไปแล้วผุดลุกขึ้นมาอย่างตกใจ เผยให้เห็นชายหนุ่มนั่งกอดอกของตัวเองด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างใน

“ท่านพี่เมฆาเป็นอะไรไปครับ!”

รัตติร้องเรียกพลางลุกขึ้นไปดูอย่างเป็นห่วง

“เฮ้ยเมฆา เป็นอะไรไป เจ็บตรงไหนบอกข้ามาสิ”

อเลนที่อยู่ใกล้สุดร้องถามพลางแตะไหล่เพื่อน หากแต่โดนเมฆาปัดป้องมือออกห่างตัวเองก่อนที่เจ้าตัวจะกอดตัวเองนอนล้มกลิ้งกับพื้นไปมาพลางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

“คุณอเลนคะ ก่อนหน้าที่คุณเมฆาไปโดนอะไรมาหรือเปล่าบ้างคะ” ธิดาถามอย่างสงสัย

“เปล่าครับ เขาไม่ได้โดนอะไรมาเลยซักนิด” อเลนตอบพลางก้มมองดูเพื่อนกรีดร้องอย่างรู้สึกเจ็บปวดแทน “แปลกมาก แปลก”

“แล้วพี่อเลนไม่มีเวทมนตร์ที่จะทำให้ท่านพี่เมฆาหายเจ็บปวดได้เลยเหรอครับ”

รัตติถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

ไม่อยากเห็นท่านพี่เมฆาต้องเจ็บปวดแบบไม่รู้สาเหตุ

“ต้องรู้สาเหตุก่อนนะครับน้องราตรี” อเลนตอบพลางส่ายหน้า “งั้นเดี๋ยวพี่จะรีบแจ้งพนักงานให้มาช่วยดูดีกว่า เผื่อว่าแว่นตาอนาล็อกของเมฆาที่อยู่ด้านนอกเกิดประสิทธิภาพไม่ดี จะได้ช่วยกันแก้ไขได้ทัน”

ในขณะที่อเลนกำลังจะติดต่อกับพนักงานของเกมนั้น ร่างกายของเมฆาเกิดออร่าสีดำปกคลุมทั่วร่าง แล้วนัยน์ตาของเมฆาก็เบิกโพลง

“อ้ากกก!”

ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากแสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขาถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคมกวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิตและความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่เว้นแม้แต่รัตติที่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา สองมือกุมหูสองข้างของตัวเองราวกับต้องการปิดเสียงร้องของพี่ชายที่แสนดีแต่ก็ปิดไม่พ้น

“ไม่นะท่านพี่เมฆา...ม่ายยย!”

..............................................

(นอกบท)

“อ้ากกก!”

ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนไปริมฝีปาก แสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขา ถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคม กวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต และความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่เว้นแม้แต่รัตติที่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา สองมือกุมหูสองข้างของตัวเองราวกับต้องการปิดเสียงร้องของพี่ชายที่แสนดีแต่ก็ปิดไม่พ้น

“แอร๊ยยยย เดวิลแมน…”

จากนั้นเมฆาในร่างปีศาจก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้มือตบที่บ้องหูของรัตติ

ผัวะ!

500


“เดวิลแมน เตี่ยเอ็งดิ คนละเรื่อง สาด”

 :m20: :m20: :m20: :m20:

 
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 52 คำสาปแผลงฤทธิ์ (update 100%) P.3 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 16:14:12
บทที่ 53 คำสัญญา

..........................................

“ไม่นะท่านพี่เมฆา...ม่ายยย!”

รัตติกรีดร้องอย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเมฆา

“เมฆานี่เจ้า” อเลนพูดพึมพำพลางจ้องร่างของเมฆาที่แสนน่ากลัว “อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะไอ้นั่น คำสาป…”

ไม่ทันที่อเลนจะได้พูดจบ เมฆาในร่างปีศาจก็พุ่งเข้ามาทำร้ายอเลนโดยการบีบเค้นคอก่อนจะเขวี้ยงไปอีกทาง

ตูม!

8000


“คุณอเลน!”

ธิดาร้องเรียกชื่อพลางหันไปมองด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วเธอก็รู้สึกถึงแรงเตะเข้าที่ใบหน้าก่อนจะกระเด็นไปอีกทาง

ตูม!

9000


“ท่านพี่ธิดา!” รัตติร้องเรียกพลางดึงมาริโอเข้ามาใกล้ๆ เนื่องจากเธอยังไม่แน่ใจว่ารายต่อไปจะเป็นเธอหรือมาริโอกันแน่ พอเธอหันไปมองเมฆาอีกครั้ง ก็พบว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเดินสาวเท้ามาหาพวกเธออย่างเชื่องช้า “ท่านพี่เมฆา…ทำไมท่าน…ทำไมท่านพี่ต้องทำร้ายพวกเราด้วยครับ ท่านพี่เมฆา!”

ทว่าร่างสูงในคราบปีศาจหาได้ตอบไม่ นัยน์ตาสีแดงเลือดส่องประกายน่ากลัวจนมาริโอที่กำลังกอดรัตติอยู่นั้นถึงกับสั่นเป็นเจ้าเข้า ซึ่งรัตติรู้สึกถึงความกลัวของมาริโอได้ดี เพราะเธอเองก็รู้สึกกลัวเช่นเดียวกัน

“หนีไปมาริโอ หนีไปเร็วเข้า”

“ไม่ ข้าไม่หนี ถ้าเจ้าไม่หนี ข้าก็จะยืนอยู่ตรงนี้” มาริโอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความหวาดกลัว “หากจะหนีก็หนีด้วยกันสิ…”

ขวับ!

ผลัก!


รัตติผลักร่างมาริโอให้ออกห่างจากตนทันทีที่อีกฝ่ายได้ตวัดกรงเล็บใส่พวกเธอ ทำให้รัตติโดนกรงเล็บของเมฆาที่ใบหน้าเข้าไปเต็มๆ

7780

“โอ้ย!” รัตติร้องพลางเอามือกุมใบหน้าด้วยความเจ็บปวด นี่เป็นครั้งแรกที่โดนกรงเล็บฟาดใส่ใบหน้าของตัวเอง

“รัตติ/น้องรัตติ/น้องราตรี!” ทั้งมาริโอทั้งธิดาทั้งอเลนต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส เลือดไหลย้อยเต็มใบหน้าทำให้รัตติลืมตาแทบไม่ขึ้น ทำให้โลกทั้งโลกในสายตาของเธอกลายเป็นสีแดงจนแลดูน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่เลือดก็ไหลได้ไม่นาน เกล็ดมังกรของรัตติก็ขึ้นแทนที่เพื่อปกปิดบาดแผล

“ทะ…ท่านพี่…เม…ฆา” รัตติกัดฟันเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวด แต่ก็มิวายโดนอีกฝ่ายถีบท้องอย่างแรง

ผลัก!

8980

“อ็อก!” รัตติกระอักเลือดออกมาก่อนจะทรุดลงนั่งคุกเข่ากอดท้องกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ซึ่งทำให้มาริโอที่อยู่ใกล้ๆถึงกับรีบลุกขึ้นมาถีบร่างเมฆาด้วยความโมโห

“อย่ามาทำร้ายรัตติของข้านะ!”

ผัวะ!

1000


ถึงจะโดนมาริโอถีบ แต่ร่างสูงกลับนิ่งราวกับตุ๊กตา

“ยะ…อย่า…มาริโอ…นะ…หนี…ไป…ซะ แค่กๆ” รัตติพยายามฝืนพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงมาริโอ กลัวมันจะโดนพี่เมฆาฆ่าตาย “นะ…หนี…”

ผัวะ!

7031


มาริโอโดนเมฆาในคราบปีศาจใช้มือปัดกระเด็นลอยไปในทิศของอเลน ซึ่งทำให้อเลนที่เพิ่งลุกขึ้นมานั้นสามารถรับร่างมาริโอไว้ได้ทันท่วงที หากแต่มันโดนเพียงครั้งเดียวถึงกับสลบไป

“มาริโอ!”

“ไม่เป็นไรน้องราตรี น้องมาริโอแค่สลบไปนะ” อเลนตะโกนตอบกลับมาก่อนจะวางร่างมาริโออย่างเนิบนาบ พลางลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “มาสิเมฆา มาสู้กับข้า อย่าไปรังแกพวกน้องเขา มาสู้กับข้า!” พูดจบ อเลนเรียกดาบออกมาอย่างเร็ว เผยให้เห็นดาบเล่มสีขาวใหญ่ ซึ่งเสียงของอเลนทำให้เมฆาในร่างปีศาจหันไปมองผู้พูด ด้วยสีหน้าอันเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยรังสีอำมหิต ทำให้อเลนสะดุ้งไหวเล็กน้อย “เฮ้ย ไม่เอาน่า หมอนั่นมันก็เพื่อนของเราแท้ๆ จะกลัวไปทำไมกันละเนี่ย”

อเลนพูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะวิ่งออกมาเพื่อกันมิให้มาริโอโดนลูกหลง ซึ่งทันทีที่อเลนวิ่งออกมาแล้ว เมฆาในร่างปีศาจก็ได้หันหน้ามองตามร่างของเพื่อนที่ออกวิ่งก่อนจะวิ่งเข้าหาอเลนอย่างรวดเร็ว

เคล้ง!

อเลนใช้ดาบของตัวเองรับกรงเล็บของอีกฝ่ายที่ฟาดลงมาได้ทันท่วงที แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็มิสามารถสู้แรงปีศาจได้ จึงถูกกรงเล็บปัดมืออย่างแรง ทำให้ดาบเล่มที่อเลนถือถึงกับกระเด็นลอยไปปักพื้น

“อ๊ะ แย่แล้วสิ!”

ฉัวะ!

8991


“อ็อก!” อเลนกระอักเลือดทันทีที่โดนเมฆาใช้มือขวาจ้วงเข้าที่หน้าอกทะลุไปอีกด้าน “มะ…เม…ฆา นี่เจ้า”

ฉูด!

“อ็อก!”

เมฆากระชากมือขวาออกอย่างแรง ทำให้อเลนต้องกระอักเลือดอีกรอบด้วยความเจ็บปวด แล้วเมฆาก็เอากรงเล็บที่เต็มไปด้วยเลือดของอเลนขึ้นมาเลียอย่างกระหาย

ไม่จริง เมฆา นี่เจ้า

อเลนคิดในใจก่อนจะหงายล้มลงไปนอนกับพื้นหมดสติไปในทันที เมื่ออเลนล้มลงไปแล้ว เมฆาในคราบปีศาจก็หันไปมองธิดาที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง

“คุณเมฆา” ธิดาตั้งสติแล้วพยายามเรียกชื่อของอีกฝ่ายให้ชัดๆ “กรุณาใจเย็นๆนะคะ นี่ดิฉันธิดาเองนะคะ คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยตั้งแต่นอกถ้ำแล้วนะคะ”

ทว่าเมฆาหาได้ฟังไม่ กลับก้าวเท้าเดินเข้าหาธิดาอย่างเชื่องช้า ซึ่งทำเอาธิดาเห็นถึงกับก้าวเท้าถอยหลังอย่างลืมตัว

“คุณเมฆา”

ผัวะ!

7872

ธิดาโดนเมฆาตวัดหางฟาดเข้าที่ลำตัวอย่างแรง ส่งผลให้ธิดาถึงกับกระอักเลือด

“อั่ก!”

เมื่อโดนฟาดเสร็จ ก็ตามด้วยเกราะไหล่ ซึ่งระเด็นไปข้างหนึ่ง ก่อนชิ้นอื่นจะค่อยกระเด็นตามมา จากนั้นเศษเกราะชิ้นหนึ่งก็กระเด็นหลุดออกมาตามแรงฟาด จากนั้นหางของเมฆา ก็สะบัดเข้าใส่ร่างของธิดาอย่างบ้าคลั่ง จนธิดาต้องกรีดร้องอย่างโหยหวน ท่ามกลางแววตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความสะใจของปีศาจร้ายเมฆา ชิ้นแล้วชิ้นเล่า ของเกราะที่ธิดาสวมใส่ต้องกระเด็นหลุดออกจากร่างกาย ทิ้งไว้เพียงเศษเสื้อผ้าที่ชุ่มโชกด้วยเลือดและรอยแผลเป็นทางยาว ก่อนที่มันจะหยุดลง ปล่อยให้ร่างกึ่งเปลือยของธิดาที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับเศษผ้าและเศษเนื้อทรุดลงกับพื้น

“พอที…พอได้แล้วท่านพี่!”

รัตติตะโกนร้องให้อีกฝ่ายหยุด ซึ่งทำให้เมฆาเปลี่ยนทิศทางมาหารัตติทันที

ผัวะ!

7882


รัตติโดนเมฆาต่อยเข้าที่ใบหน้าเต็มแรงก่อนจะกระเด็นไปตามแรง

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

ทว่าเมฆาไม่รอให้รัตติได้หยุดนิ่ง กลับวิ่งคว้าคอไว้ แล้วเอามืออีกข้างชกรัวใส่

บึก! บึก! บึก! บึก!

6892

5960

7890

7001


“อ็อก!” รัตติกระอักเลือดด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เมฆาจะโจมตีรัตติรัวโดยไม่หยุดพัก “อั่ก อ็อค! ท่าน อั่ก! ท่านพี่…อั่ก! ท่าน…พี่…เม…ฆา”

รัตติเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงลมหายใจขาดห้วง ซึ่งในจังหวะนี้เองที่มาริโอ ได้สติลืมตาขึ้นมา

“โว้ย ได้สติซักทีเซ่ เมฆา!” มาริโอเห็นโดนรัตติทำร้ายก็โกรธจนลืมเจ็บ ก่อนจะลุกขึ้นพุ่งเข้าไปโจมตีเมฆา แต่ทว่าเมฆาไม่สนใจมัน แล้วพวกอเลนกับธิดาที่สลบไปนาน ก็ได้ฟื้นขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นคลานไปหยิบดาบ แล้วเดินโซซัดโซเซเข้ามาหาเมฆา ส่วนเมฆาที่กำลังสะใจกับการโจมตีรัตติอยู่นั้น เหลือบเห็นอเลนกับธิดากำลังเดินเข้ามาก็จริงแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก่อนจะหันมาโจมตีรัตติต่อ ซึ่งทำให้อเลนกับธิดาสบตากันแบบหนักใจ เพราะสภาพร่างกายของพวกเขาไม่เอื้ออำนวย ระหว่างนี้มาริโอก็ยังโจมตีเมฆาอย่างต่อเนื่องพลางเรียกให้เมฆาหยุด แต่ก็ไร้ผลจนสภาพร่างกายของรัตติเริ่มเป็นสีแดง ซึ่งหมายถึงว่าร่างกายของรัตติกำลังใกล้จะเป็นศูนย์ หรือที่เรียกว่าตายดีๆนั่นเอง

ไม่ไหว…แล้ว

“ทะ…ท่าน…พี่…เม…ฆา” รัตติใช้ลูกอึดครั้งสุดท้ายร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากอาบแก้ม ก่อนที่น้ำตาจะไปหยดลงบนหลังมือของเมฆา ซึ่งประกายแสงจากน้ำตาทำให้เมฆาหยุดชะงักการลงมือ ธิดากับอเลนเห็นดังนั้นก็ใช้โอกาสนี้เสือกดาบแทงข้างหลังเมฆาอย่างสุดแรงเกิด

ฉึก! ฉึก!

9000

9761


“อั่ก!”

เมฆาในคราบปีศาจกระอักเลือด ก่อนที่อเลนกับธิดาจะก้าวเท้าเดินถอยหลังเพื่อดูท่าทีของเมฆา ส่วนมาริโอนั้นก็ได้แต่ยืนมองอย่างสงสัย ซึ่งเวลาผ่านไปได้แค่หนึ่งนาที ประกายแววตาที่โหดเหี้ยมก็พลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่น ซึ่งเมฆาจะกระพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากทางหลัง

นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่?

ครั้นพอคิดได้ดังนั้น ก็พลันเห็นใบหน้าที่คุ้นตาในสภาพยับเยินไปด้วยเลือดจนดูไม่ได้

“น้องราตรี!” เมฆาร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง ก่อนจะปล่อยมือออกจากเสื้อแล้วโอบอุ้มอีกฝ่ายแทน “น้องราตรี ใครทำน้องราตรีกันแน่”

“ก็เจ้านั่นแหละเมฆา ที่ทำร้ายน้องราตรี”

เสียงอเลนตอบ ทำให้เมฆาต้องหันไปมองเพื่อนก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพดูไม่ได้ของอเลนกับธิดา

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงได้…”

“เพราะเจ้านั่นแหละเมฆา ฝีมือของเจ้าทำให้พวกเราต้องบาดเจ็บสาหัสยังไงล่ะ” อเลนพูดพลางหยิบน้ำยาเพิ่มเลือดขึ้นมาดื่มยกใหญ่จนหมดไปหลายขวด ส่วนธิดาก็เช่นเดียวกับอเลน เธอรีบน้ำยาเพิ่มเลือดเพื่อกันมิให้ตัวเองต้องตายแล้วจึงค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ “อย่ามัวแต่อึ้ง รีบเติมเลือดให้น้องราตรีเร็วเข้าสิ เดี๋ยวเขาก็ตายคามือของเจ้าหรอกเมฆา”

เมฆาได้ยินถึงกับสะดุ้งก่อนจะรีบหยิบขวดน้ำยาเพิ่มเลือดพลางป้อนให้อีกฝ่ายดื่ม ทว่ารัตติในตอนนี้ยังไม่ได้สติดีพอ จึงทำให้น้ำยาไหลออกมุมปากหมด

“น้องราตรีดื่มสิ ถ้าไม่ดื่มน้องจะตายเอาได้นะ!” เมฆาร้องพลางเขย่ารัตติให้ตื่น ทว่าร่างเล็กหาได้ตื่นตามเสียงปลุกไม่ มีเพียงแววตาอันเลื่อนลอยกับอีกข้างที่ปูดบวมจนปิดเนื่องจากถูกต่อยมากไปทำให้เมฆานึกปวดใจ

เป็นเพราะเราแท้ๆ

เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตื่น เมฆาจึงยกน้ำยาขึ้นมาอมไว้ก่อนจะประทับกับริมฝีปากเพื่อป้อนน้ำยาให้กับน้องราตรี ทำเอาอเลนกับธิดาและมาริโอถึงกับตะลึง ซึ่งเมฆาทำอยู่หลายครั้งจนร่างของรัตติหายเป็นสีแดง ยกเว้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นไม่ได้จางหายไปด้วย รอยแผลยังคงอยู่แต่ก็ใกล้จะเลือนหายไป ส่วนเลือดก็ได้หยุดไหลไปนานแล้ว

“น้องราตรีครับ ขอร้องล่ะฟื้นที” เมฆาร้องเรียกพลางกอดร่างบางด้วยน้ำเสียงสะอื้น “พี่ขอโทษ ขอโทษ พี่ขอโทษ พี่ไม่น่าทำกับน้องแบบนี้เลย ขอโทษ พี่ขอ…”

“ท่าน...พี่...เม...ฆา”

เสียงราตรีร้องเรียกชื่อ ทำให้เมฆาเงยหน้าขึ้นมองรัตติทั้งน้ำตา

“น้องราตรี”

“ท่านพี่...รู้สึกตัวแล้ว...หรือครับ” ราตรีถามพลางไอค่อกแค่ก แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่โดนทำร้ายร่างกายยังคงอยู่ “ดีจังเลย...นะครับที่รู้สึกตัวมาได้ ผม...เป็นห่วง...ท่านพี่แย่...แทบแย่...เลยรู้ไหมครับ แค่กๆ”

“น้องราตรีอย่าพูดมากเลยครับ ประเดี๋ยวบาดแผลจะเปิด...”

“บาดแผลแค่นี้...ยังเทียบกับความเจ็บปวด...ของท่านพี่ที่กลายร่างเป็น...ปีศาจไม่ได้หรอกครับ” รัตติบอกพลางยกมือขวาขึ้นลูบแก้มของเมฆาอย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวดที่ยังไม่ทุเลาดีทำให้มือขวาของรัตติสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งทำให้เมฆาต้องรีบจับมือขวาข้างนั้นไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้ “แค่ท่านพี่...รู้สึกตัวได้...ก็ดีแล้วครับ”

“พี่ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษที่ทำให้น้องกับทุกๆคนต้องได้รับบาดเจ็บ พี่มันแย่จริงๆ!”

รัตติหรือราตรีได้ยินถึงกับส่ายหน้า

“อย่าขอโทษเลยครับ ของแบบนี้ไม่มีใครผิดใครถูก เพราะตอนนั้นท่านพี่ แค่กๆ ก็ไม่ได้รู้สึกตัวเลยซักนิด เพราะฉะนั้นอย่าได้โทษตัวเองเลยครับ” ความใจดีของน้องราตรีทำเอาคนฟังแทบปวดใจ เพราะตอนก่อนที่เมฆาจะจำความไม่ได้ เขาได้เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่เต็มดวงอยู่ด้วย

นี่ถ้าเขารู้ตัวก่อนว่าพระจันทร์เต็มดวงทำให้ตนเองต้องกลายร่างเป็นปีศาจแล้วควบคุมไม่ได้ล่ะก็ คงไม่อยู่ให้พวกเขาต้องได้รับบาดเจ็บแบบนี้หรอก

“ต่อไปนี้ถ้าพี่แปลงร่างแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้อีกล่ะก็ พี่ขอให้น้องราตรี...” เมฆาพูดพลางถอนหายใจ แล้วทันใดนั้นร่างกายที่แสนจะน่ากลัวก็พลันกลับมาเป็นร่างมนุษย์ดังเดิม “...ฆ่าพี่ซะ อย่าให้พี่ทำร้ายใครได้อีก น้องราตรีรับปากพี่ได้ไหมล่ะครับ”

รัตติได้ยินดังนั้นก็พลันขมวดคิ้วกับคำสัญญาของเมฆา

“ผม...” รัตติพูดพลางกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก คำสัญญาไม่ว่าใครๆก็พูดได้ แต่พอเวลาที่จะทำจริง มันยากกว่าที่คิด “...ตกลงครับ ถ้าถึงเวลานั้นจริง ผมจะเป็นคนหยุดท่านพี่เองครับ”

เมฆาได้ยินที่ราตรีพูดก็พลันยิ้มออกมา

“ดีมากครับ แล้วน้องราตรีก็อย่าลืมสัญญานั้นเชียวล่ะ”

“ครับท่านพี่เมฆา”

แล้วจากนั้นรัตติก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย 

......................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 53 คำสัญญา (update 100%) P.3 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 17:35:20
บทที่ 54 ครอบครัวพบหน้า

...............................

กลับมาทางด้านปฐพีที่วันนั้นทั้งวันใช้เวลาอยู่กับลูกในเกมแล้ว วันต่อมาเขาก็ต้องออกไปทำภารกิจกับพวกศาสตราต่อ ซึ่งเป็นภารกิจในการล่าเขาหมาป่าระดับแปดสิบเพื่อนำเขาของมันมาส่งให้กับเอ็นพีซี ทว่าทางที่จะไปล่าหมาป่านั้นจะอยู่แถวเชิงหน้าผาติดอยู่กับถ้ำมังกรวายเวิร์นไปซักสองสามเมตรได้ จึงทำให้พวกเขาต้องใช้เวลานานอยู่เกือบสองวันกว่าจะไปถึงโซนล่าหมาป่าได้ พอไปถึงที่หมายแล้วสามหนุ่มก็ตั้งแผนล่าเขาหมาป่าอยู่สักพักก่อนจะแยกกันออกล่าตามแผนการ จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงเที่ยงวัน พวกเขาก็ได้เขาหมาป่าอย่างสมใจอยากก่อนจะไปนั่งพักปักเต็นท์อยู่ที่หน้าถ้ำมังกรวายเวิร์นเพื่อพักผ่อนเอาแรง

“อาหารมื้อนี้นายจะทำอะไรให้พวกเรากินเหรอปฐพี” ศาสตราถามอย่างสงสัยในขณะที่ตัวเองหิ้วถังน้ำมาวางไว้ให้ปฐพีที่กำลังหั่นเนื้อหมาป่าอยู่

“เนื้อหมาป่านึ่งมะนาวกับผัดเห็ดน้ำมันหอย”

แค่ฟังก็น้ำลายซอ ทำให้ศาสตรารู้สึกกระตือรือร้นที่จะช่วยเพื่อนทำอาหาร

“งั้นนายหั่นเนื้อไปนะศาสตรา” ปฐพีบอกทันทีที่ศาสตราเอ่ยปากจะช่วยเขา “หั่นเฉลียงๆให้เท่ากันล่ะ เอ้อ พิภพ วานนายหยิบน้ำมันหอยกับเห็ดมาซิ เดี๋ยวฉันจะไปตั้งกระทะให้เดือดก่อน”

ปฐพีบอกเพื่อนอีกคนที่ว่างงาน ซึ่งทำให้พิภพรีบทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากเวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง ปฐพีก็ทำอาหารจนเสร็จ

“ผู้เล่นปฐพีได้อัพทักษะการทำอาหารระดับ9,10”

เสียงระบบประกาศบอก ซึ่งปฐพีหาได้สนใจไม่ แล้วพวกเขาก็ลงมือทานอาหารกันทันทีด้วยความเอร็ดอร่อย ซึ่งในระหว่างทานอาหารไปนั้นพวกเขาก็ได้คุยกันเรื่องทักษะอาชีพของตัวเอง

“อย่างฉันต้องไปหัดเย็บเสื้อผ้า หัดเขียนแบบเสื้อผ้า เฮ้อ เหนื่อยไม่ใช่ย่อยเลยนะ” ศาสตราบ่นไปเคี้ยวเนื้อไปพลาง “นี่เพิ่งจะได้ทักษะตัดเย็บเสื้อผ้าแบบใช้เครื่องจักรระดับแปดเอง”

“เหรอ แค่นั้นก็ดีแล้วนี่” พิภพพูด แต่ศาสตรากลับโบกมือไปมา

“อย่างฉันจะไปสู้อะไรนายได้ล่ะพิภพ ได้อาชีพพร้อมกันแต่นายสามารถสร้างปืนได้เป็นคนแรกของเกมนี้ สุดยอดจริงๆ เดี๋ยวอีกหน่อยนายก็คงจะสร้างรถสร้างเรือได้แน่ๆ” คนถูกชมยิ้มน้อยๆ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่พยายามนิดหน่อยเอง” พิภพบอกก่อนจะพูดต่อ “อย่าว่าแต่ฉันเลย นายเองก็เพิ่งเย็บชุดราตรีแล้วนำออกประมูลได้เป็นล้านของคนแรกในเกมเลยไม่ใช่รึไง”

“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่ยังไงก็สู้นายไม่ได้อยู่ดีนะพิภพ ของนายมันสุดยอด เอ้อ ของปฐพีก็ด้วยนี่” ศาสตราหันมาพูดกับเขา

“ก็แค่ประกาศนียบัตรชมเชยว่าทำอาหารอร่อยหนึ่งใบกับชุดเครื่องครัวหนึ่งชุดและบัตรส่วนลดซื้อวัตถุดิบ มันจะสุดยอดตรงไหนของนายล่ะ” ปฐพีตอบพลางยกน้ำชาที่เขาปรุงเองขึ้นดื่มแก้กระหาย

“สุดยอดสิ ถ้าเป็นในโลกแห่งเกมที่หาซื้อของกินแพงแบบนี้ ไม่ว่าใครก็อยากได้กันทั้งนั้น”

“ถ้านายว่าสุดยอดแล้ว ทำไมนายถึงเลือกอาชีพดีไซน์เนอร์แทนที่จะเป็นพ่อครัวล่ะศาสตรา” ปฐพีแย้งอย่างมีเหตุผล ซึ่งทำเอาคนโดนว่าถึงกับเบะปาก ก่อนจะนั่งหน้างุดทานอาหารไปอย่างเงียบๆเพราะเถียงไม่ออก ในขณะที่พวกเขานั่งทานอาหารไปเรื่อยๆนั้น ก็มีเสียงคนพูดคุยดังลอดจากในถ้ำออกมา

“เฮ้อ กว่าจะได้ออกมาก็เหนื่อยแทบแย่ ท่านมังกรวายเวิร์นก็รั้งพี่ให้เล่นหมากรุกเสียตั้งนาน”

“ฮะๆ ก็ท่านพี่เมฆาเล่นหมากรุกเก่งนี่ครับ สมควรแล้วที่ท่านมังกรจะรั้งตัวเอาไว้”

เสียงคุ้นดังขึ้น ทำเอาปฐพีถึงกับวางช้อนแล้วหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะพบกับเมฆาที่กำลังเดินออกมาพร้อมกับเด็กหนุ่มผมสีเงินสั้น และเห็ดมาริโอ

“นั่นมันน้องรัตติกับน้องมาริโอนี่ โอ้ แถมมาพร้อมกับเมฆาซะด้วย อ๊ะ นั่นธิดานี่” ศาสตราร้องอุทานเสียงดังลั่น ทำให้สองร่างที่เพิ่งเดินออกมาจากถ้ำหันมามองพวกเขา รวมถึงหญิงสาวนามว่าธิดาเดินออกมาด้วยชุดเกราะรัดรูปสีเขียวอ่อนพร้อมกับอีกร่างเป็นชายหนุ่มที่ปฐพีไม่รู้จัก 

“อ้าวพี่ปฐพี พี่ศาสตรา พี่พิภพ พวกเราได้พบกันอีกแล้วนะครับ” น้องรัตติเอ่ยปากทักเขาก่อน “ท่านพี่เมฆาครับ นี่พี่ปฐพีคนที่เคยช่วยชีวิตของผมไว้ตอนความจำเสื่อมครับ ส่วนนั่นก็พี่ศาสตราและพี่พิภพ พวกเขาเป็นเพื่อนของพี่ปฐพี พวกเขาสองคนเคยแนะนำทักษะการต่อสู้ให้ผมตอนอยู่บนเรือด้วยล่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง ที่แท้คนที่ช่วยน้องก็เป็นพวกนายนี่เอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะตั้งแต่ในป่าเขาวงกต” เมฆาหันมาพูดกับปฐพี

“อืม ไม่ได้เจอกันนานเลย” ปฐพีตอบยิ้มๆพลางลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหาเมฆาโดยไม่มองธิดาที่ยืนอยู่ใกล้ๆเลยซักนิด “ว่าแต่พวกนายมาทำอะไรกันแถวนี้รึ อย่าบอกนะว่ามาทำภารกิจล่าเขี้ยวมังกรวายเวิร์นนะ”

“อ้อ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ พวกเรามาทำภารกิจเก็บดอกไวท์มูนไลท์นะ” เมฆาบอกพลางโบกมือไปมา แล้วธิดาก็เดินมาข้างน้องรัตติก่อนจะพูดว่า

“เดี๋ยวพี่ขอแยกทางกับน้องตรงนี้นะจ้ะน้องรัตติ”

“เอ๋ ท่านพี่จะไปแล้วเหรอครับ” น้องรัตติถามอย่างแปลกใจ ซึ่งธิดาพยักหน้าก่อนจะเอามือลูบหัวน้องรัตติกับน้องมาริโอ

“จ้ะ โชคดีนะ แล้วก็…” ธิดาหันมามองเมฆา “…คุณเมฆา ดิฉันฝากน้องรัตติกับน้องมาริโอด้วยนะคะ ดูแลให้ดีๆล่ะ อย่าทำให้น้องรัตติต้องเสียใจอีกนะคะ”

“ครับคุณธิดา”

“ค่ะ แล้วเจอกันนะจ้ะน้องรัตติน้องมาริโอ” ธิดาบอกก่อนจะเรียกม้าออกมาแล้วขึ้นขี่ม้าหายกลับเข้าไปในป่า เมื่อธิดาไปแล้ว หนุ่มๆต่างแนะนำตัวกันให้รู้จักกัน ก่อนที่ปฐพีจะเชิญเมฆา อเลน น้องรัตติ และน้องมาริโอให้มาทานข้าวกลางวันด้วยกัน

“โห น่ากินทั้งนั้นเลยนะฮะพี่ปฐพี” มาริโอพูดพลางอ้าปากจนน้ำลายหก ก่อนจะเหลือบไปเห็นอาหารอีกจานซึ่งวางอยู่ใกล้กับเนื้อหมาป่านึ่งมะนาว “นะ…นะ…นะ…นี่มันผัดเห็ดน้ำมันหอย! แง้! หนูไม่ทานเห็ดนะ ฮือๆ หนูไม่ทานเห็ดนะ!”

มาริโอร้องพลางล้มตัวนอนดิ้นไปดิ้นมา จนน้องรัตติต้องเข้าไปปลอบ

“โอ๋ๆ ไม่ทานครับไม่ทาน” น้องรัตติบอกพลางเงยหน้ามองเขา “พี่ปฐพีฮะ พี่พอมีวัตถุดิบเหลืออยู่บ้างหรือเปล่าครับ”

“ก็มีนะ น้องจะทำอาหารเพิ่มหรือ”

“ครับ” แล้วน้องรัตติก็ลงมือทำอาหารอย่างเร็วท่ามกลางสายตาหนุ่มๆ ซึ่งภายในยี่สิบนาทีน้องรัตติก็ทำจนเสร็จ

“โห น้องทำไมทำเร็วจัง” ศาสตราร้องอุทานอย่างตกใจ รวมถึงอเลนที่คิดว่าตัวเองทำเก่งแล้ว ยังอดนับถือน้องรัตติที่ทำเร็วกว่าตนเสียมิได้ “ขอพี่ชิมได้ไหมครับน้องรัตติ”

“เชิญเลยครับ ผมทำให้พวกพี่ทุกคนได้ทานนั่นแหละครับ” ว่าแล้วทุกคนก็ลองชิมอาหารที่น้องรัตติเป็นคนทำ ซึ่งจะมีต้มจืดเต้าหู้ไข่ลูกชิ้นปลากราย ผัดผักบุ้ง ยำไข่รวนสาหร่าย ต้มยำกุ้ง

“อร่อยสุดยอด!” ทุกคนพูดออกมาพร้อมกันเป็นเสียงเดียว รวมถึงมาริโอที่เอาแต่ซดน้ำต้มยำกุ้งไม่ยอมหยุด

“พี่ขอถามน้องหน่อย ทักษะทำอาหารของน้องมีระดับถึงไหนแล้วหรือ” อเลนถามอย่างสงสัย เพราะถ้าทำเร็วและอร่อยอย่างนี้ อย่างน้อยต้องมีระดับสิบ และต้องมีทักษะที่เกี่ยวกับการทำอาหารต้องมีระดับหกขึ้นไปด้วย

“สองครับ”

“ห๊ะ! สองเองเหรอ” อเลนร้องอุทานเสียงดังลั่น

“ครับ แค่สองเอง” น้องรัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “ของแบบนี้ไม่ยากครับ มีเคล็ดลับนิดหน่อยที่ทำอาหารให้อร่อย ไม่จำเป็นว่าต้องใช้ทักษะอะไรใดๆทั้งสิ้นครับ”

“เหรอ งั้นช่วยสอนพวกพี่ระหว่างทานข้าวไปได้ไหมล่ะ” อเลนถามต่อ

“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้”

แล้วจากนั้นพวกเขาก็นั่งลงทานอาหารกัน โดยในขณะที่พวกเพื่อนของเขากำลังนั่งถกเถียงเรื่องอาหารอยู่นั้น ปฐพีก็นั่งทานอาหารไปอย่างเงียบๆ

รสชาติอาหารแบบนี้มันเป็นของคุณยายชัดๆ

ในโลกนี้ยังมีคนที่ทำอาหารได้เก่งไม่แพ้คุณยายด้วยหรือนี่

น้องรัตติจะต้องเก่งมากแน่ๆ


เขาคิดในใจพลางจ้องดูอาหารในช้อนของตัวเอง ก่อนจะเอาเข้าปากเคี้ยวละเอียดอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ลิ้นได้สัมผัสรสชาติของอาหารอย่างเต็มที่

ไม่ผิดแน่...รสชาตินี้ฝีมือของคุณยาย

ไม่มีใครเลียนแบบได้!


ปฐพีคิดในใจพลางเงยหน้ามองรัตติที่กำลังหัวเราะกับเพื่อนของเขาอยู่

จริงสิ ชื่อของน้องรัตติก็แปลได้ว่าความมืดเหมือนกันนี่

รัตติ ราตรี ราตรีพิสุทธิ์

ไม่ผิดแน่!

ต้องลองเสี่ยงดูหน่อยซะแล้ว


ปฐพีคิดในใจพลางถอนหายใจเบาๆก่อนจะส่งพรายกระซิบไปหารัตติว่า

“น้องรัตติคือคุณยายใช่ไหมครับ นี่ผมเอง นพหลานชายของคุณยายยังไงล่ะครับ”

..............................

“น้องรัตติคือคุณยายใช่ไหมครับ นี่ผมเอง นพหลานชายของคุณยายยังไงล่ะครับ”

เสียงพรายกระซิบดังในหัว ทำเอารัตติที่กำลังหัวเราะอยู่นั้นถึงกับชะงัก

นพ? นพส่งพรายกระซิบหาเรา?

รัตติคิดพลางขมวดคิ้ว ซึ่งท่าทางชะงักของรัตติทำเอาทุกคนหันมามองเธอ

“น้องรัตติมีอะไรหรือเปล่าครับ” อเลนที่นั่งอยู่ใกล้รัตติเอ่ยปากถามอย่างสงสัย ซึ่งเธอมองซ้ายมองขวาเพื่อหาต้นเสียง เพราะการที่จะส่งพรายกระซิบได้ คนๆนั้นจะต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เธอนั่งอยู่ ครั้นพอหันไปทางซ้ายรัตติถึงกับชะงักเมื่อเห็นปฐพีกำลังจ้องเธอแบบไม่กระพริบตา

หรือว่าปฐพีจะเป็น...

นพ


“ไม่มีอะไรครับ ผมก็แค่รู้สึกได้ยินเสียงแปลกๆ แต่ก็ช่างเถอะครับ” รัตติตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนก็หันไปรับประทานอาหารของตัวเองต่อ แล้วรัตติก็หันไปมองนพในร่างปฐพีด้วยแววตาเพชฌฆาต ซึ่งทำเอาคนถูกจ้องตอบถึงกับสะดุ้งเฮือก

“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ มาคุยกับยายหน่อย” รัตติส่งพรายกระซิบบอกปฐพีที่กำลังนั่งหน้าซีดเหงื่อไหลอยู่ “อย่าลืมล่ะ นพ...หลาน...รัก หึๆ”

หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว รัตติก็อยู่ช่วยล้างถ้วยล้างจานสักพักก่อนที่จะส่งซิกส์ให้ปฐพีรู้

“เดี๋ยวผมมานะครับ รู้สึกจะทำของตกหล่นในถ้ำนะ แหะๆ” รัตติบอกสองหนุ่มพลางลุกขึ้นยืน

“งั้นพี่ไปช่วยหาให้แล้วกันนะน้องรัตติ” ปฐพีบอกพลางรีบลุกขึ้นตาม ก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำพร้อมกับเธอท่ามกลางสายตาอันงุนงงของพิภพ ศาสตราและอเลน หลังจากที่รัตติเดินนำเข้าไปรอปฐพีอยู่ข้างในถ้ำพอสมควรแล้ว เธอก็หยุดเดินก่อนจะหันหน้ากลับไปทางปฐพีที่เพิ่งจะเดินตามมาถึง

“เอ่อ…คุณ…” ปฐพีพูดเสียงตะกุกตะกัก “…คุณยาย”

รัตติยิ้มก่อนจะหยิบแส้ออกมาจากกระเป๋าไอเทม ซึ่งทำเอานพในคราบปฐพีถึงกับสะดุ้ง

“คะ…คะ…คุณยายเอาแส้ออกมาทำไมครับ” ปฐพีถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ซึ่งรัตติยังไม่ตอบคำถามปฐพีเดี๋ยวนั้น กลับลองแส้ไปมากับผนังเล่นสักครั้งสองครั้ง

“อืม ประสิทธิภาพดี ยังใช้งานได้” รัตติพูดกับตัวเองก่อนจะหันมามองปฐพี “นพรู้รึเปล่าว่าผลของการเล่นเกมโดยไม่มีคู่มือ ไม่มีคนแนะนำตั้งแต่แรกเริ่มมันรู้สึกยังไง”

“เอ่อ ผม…ผมไม่ทราบครับ”

“ไม่ทราบงั้นรึ” รัตติขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ ยายเป็นคนพูดขอร้องเองที่จะเล่นตามลำพังโดยไม่มีนพ แต่…ใครกันหนอที่ทำยายตอนอยู่บนเรือกันแน่นะ ทั้งขู่ทั้งทำร้ายร่างกายทั้งตะคอก”

“ผมไม่ได้ตั้งใจครับคุณยาย ตอนนั้นผมไม่ทราบว่าเป็นคุณยาย” ปฐพีพูดพลางเช็ดเหงื่อไปพลาง

เพี๊ยะ!

1000


“โอ้ย!” ปฐพีกระโดดขาเดียวพร้อมกับจับขาขวาที่โดนฟาดด้วยแส้

“รู้ไหมว่ายายตีเธอทำไมตานพ” รัตติถาม ซึ่งปฐพีส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ยายตีเพื่อให้หลานได้รู้ว่าอย่าใช้อารมณ์มาเป็นที่ตั้ง นี่ถ้าตอนอยู่บนเรือไม่ใช่ยายล่ะก็ คงได้มีเรื่องกันแน่”

“ขอโทษครับ ทีหลังผมจะไม่ใช้อารมณ์ทำร้ายคนอื่นอีกแล้วครับ” ปฐพีก้มหน้าขอโทษยอมรับความผิด

“อืม ดีมาก รู้จักสำนึกผิดตอนนี้ยังไม่สาย” รัตติบอกก่อนจะพูดต่อ “ไหนหันหลังมาสินพ”

นพในคราบปฐพีได้ยินดังนั้นก็หันหลังให้รัตติ

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

1000

1100

1009


“โอ้ย! คุณยายตีผมอีกทำไมกันครับ” ปฐพีร้องพลางกระโดดดิ้นจับก้นที่โดนฟาดอย่างเจ็บปวด

“ก็เอาคืนที่หลานจับยายทุ่มลงสระว่ายน้ำยังไงล่ะ หึๆ” รัตติพูดพลางหัวเราะอย่างสะใจ “ของแค่นี้ไม่ทำให้หลานตายหรอกนะ ใช่ไหมตานพ”

“ครับคุณยาย… โธ่ ก้นผมระบมหมด” ปฐพีบ่นพึมพำพลางลูบก้นตัวเองไปมา แล้วหลังจากนั้นปฐพีก็กราบขอขมารัตติที่ทำไม่ดีกับเธอมาหลายครั้ง ซึ่งเธอก็ให้อภัยปฐพีก่อนที่จะเล่าเรื่องตั้งแต่เธอเกิดเป็นมังกรให้ปฐพีฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าคนฟังย่อมแค้นราชาปีศาจยิ่งนัก

“ให้ผมตามคุณยายไปช่วยเก็บเลเวลกับช่วยคุณพ่อคุณแม่มังกรของคุณยายได้รึเปล่าครับ” ปฐพีเอ่ยปากขอร้องหลังจากฟังเรื่องเล่าของคุณยายจนจบ

“ได้สิ แต่ต้องถามเขาดูก่อนนะว่าจะให้ไปด้วยรึเปล่า เอ...ยายว่านพชวนเขาไปพักที่เมืองก่อนแล้วดีไหม แล้วค่อยถามเอาทีหลัง เพราะขืนให้ยายเป็นคนพูดก็คงไม่ดี”

“ได้ครับคุณยาย”

“จริงสิตานพ ระหว่างนี้ถ้าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ห้ามคุยหรือบอกคนอื่นว่ายายเป็นผู้หญิงที่เข้ามาเล่นเกมล่ะ ถ้าจะคุยก็ให้พรายกระซิบเอา เพราะยายไม่ต้องการให้คนอื่นว่ายายเป็นพวกวิปริตนะ”

ปฐพีได้ยินที่รัตติพูดก็พยักหน้าตอบรับคำขอก่อนจะพากันเดินออกจากถ้ำไปเพราะพวกเขาเข้ามาข้างในถ้ำนานเกินไปแล้ว

...............................

หลังจากที่เมฆากับอเลนนั่งจับเข่าคุยกับพวกศาสตราอยู่ได้เกือบชั่วโมงแล้ว น้องรัตติกับปฐพีก็ได้เดินออกมาจากถ้ำพร้อมกันทั้งคู่ ครั้นเมฆามองปฐพีก็พบว่าอีกฝ่ายหน้าซีดหน้าเซียวราวกับไปเจอเรื่องร้ายแรงมา ซึ่งผิดกับน้องรัตติที่มีใบหน้ายิ้มแย้มอิ่มเอิบราวกับไปเจอเรื่องสนุกสนาน

“ว่ายังไงครับน้องรัตติ หาของที่ทำตกเจอแล้วรึยังเอ่ย” เมฆาถาม ซึ่งคนถูกถามที่กำลังเดินมาถึงอยู่แล้วถึงกับชะงัก

“อ้อ ครับ เจอแล้วครับ” น้องรัตติตอบยิ้มๆ “เอ่อท่านพี่ครับ จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะชวนท่านพี่ไปแวะพักในเมืองใกล้ๆเพื่อซื้อของในตลาดนะครับ”

“ก็เอาสิ พี่เองก็กำลังอยากจะไปซื้อจับฉ่ายที่เมืองนั้นอยู่พอดี”

“จะไปซื้อจับฉ่ายที่เมืองชินกันเหรอครับ ถ้างั้นลองไปทานจับฉ่ายที่ร้านอาหารของผมดูไหมล่ะ” ปฐพีพูดสวนขึ้นมา ซึ่งทำเอาเขากับน้องรัตติหันไปมอง “พอดีสมาคมของผมเป็นร้านอาหารที่ชื่อว่าจับฉ่ายโภชนานะครับ”

“อ้อ ร้านจับฉ่ายโภชนาที่กำลังเป็นที่โด่งดังเป็นพลุแตกว่าเป็นร้านอาหารที่มีแต่จับฉ่ายเพียงอย่างเดียว ไม่มีข้าว ไม่มีกับแกล้ม หรือแม้กระทั่งน้ำดื่มเลยใช่ไหม” อเลนพูดแทรก ซึ่งทำให้ปฐพีสวนตอบกลับมาว่า

“นั่นไม่ใช่ร้านของผมครับ ร้านของผมมีอาหารทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวเปล่ายันอาหารฮ่องเต้”

“ฮ้า งั้นก็ดีเลย ผมเองก็นึกอยากจะลองอาหารฮ่องเต้ดูบ้างเสียแล้ว” อเลนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะหันมามองเขา “ไปกันเถอะเมฆา ข้าอยากจะไปทานอาหารฮ่องเต้ดูบ้างนะ”

“จะไปก็ไป แต่เจ้าต้องเป็นคนออกเงินเองนะ ห้ามใช้เงินของข้าหรือกองคลังของสมาคมเด็ดขาด”

“อือ ไม่ใช้แน่นอนอยู่แล้ว”

หลังจากนั้นพวกเขาก็ขี่ม้าออกเดินทางกันทันที ซึ่งในระยะสองวันที่เดินทางไปเมืองชินนั้นค่อนข้างไกลสลับกับหุบเขาที่ซับซ้อน ทำให้พวกเขาต้องหยุดแวะพักเป็นระยะๆ และแน่นอนว่าเมฆาได้ให้น้องรัตติเข้ากลุ่มปาร์ตี้ด้วย โดยแบ่งค่าประสบการณ์ไปให้น้องรัตติทั้งหมด ส่วนพวกเขาก็ได้เป็นคอยตัวหนุนเสริมกันมิให้น้องรัตติต้องรับมือมอนสเตอร์คนเดียวทั้งหมด ซึ่งทำให้เลเวลของน้องรัตติจากที่เคยอยู่ระดับสิบห้ามาตลอด กระเตื้องขึ้นมาที่ระดับสามสิบภายในสองวัน แถมทักษะนักดาบของรัตติก็ครบเต็มสิบเกือบทุกอย่าง ยกเว้นแต่ทักษะผ่ารัตติกาลที่ยังแค่ระดับเก้า ส่วนทักษะการรวมร่างนั้นก็ทำได้ครบจนเต็มสิบ ทำให้อยู่ได้นานถึงห้าสิบนาที และยิ่งกว่านั้นอายุของน้องรัตติได้อัพขึ้นจากอายุสิบห้าปีเป็นยี่สิบปี จากร่างที่เคยเตี้ยกลับสูงขึ้นเท่าปฐพี แต่ก็ยังเตี้ยกว่าเมฆากับอเลนอยู่ดี เมื่อพวกเขาขี่ม้ามาถึงเมืองชินแล้ว ก็พากันเก็บม้าของตัวเองไปก่อนจะเดินเท้าด้วยของตัวเอง

“เดี๋ยวเดินไปอีกสักหน่อยก็ถึงร้านของผมแล้วครับ” ปฐพีบอกเมฆา อเลน น้องรัตติ และน้องมาริโอ ซึ่งพวกเขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามหลังพวกปฐพี แต่ในขณะที่เมฆาเดินตามอยู่นั้น ก็พลันเหลือบเห็นคนคุ้นตาเดินผ่านฝูงชนด้านหน้าอยู่ไกลตา

นั่นมันปิเอโร่นี่!

ภาพปิเอโร่เดินคอตกอย่างคนไร้เลื่อนลอยทำให้เมฆาถึงกับหยุดเดินและมอง ซึ่งทำให้รัตติกับมาริโอที่เดินอยู่ข้างๆด้วยนั้นก็พลอยหยุดเดินตาม

“มีอะไรหรือครับท่านพี่เมฆา” น้องรัตติถามอย่างสงสัย ซึ่งทำให้เขาละสายตาจากปิเอโร่ไปอย่างน่าเสียดาย

“อ้อ เปล่าไม่มีอะไรหรอกครับน้องรัตติ สงสัยอินเทอร์เนตบ้านพี่มันแลคนะ” เมฆาตอบอย่างเลี่ยงๆ ก่อนจะมองหาปิเอโร่ซึ่งได้เดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ “เอ่อ พี่ว่าเรารีบเดินกันต่อเถอะ ประเดี๋ยวจะโดนพวกปฐพีเดินทิ้งห่างเอาหรอก”

“ครับท่านพี่”

แล้วพวกเขาก็รีบเดินตามพวกปฐพีอย่างเร็ว โดยที่เมฆาได้แต่เก็บความสงสัยกับปิเอโร่ที่เป็นมอนสเตอร์ซึ่งไม่น่าจะมาเดินอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างเงียบๆ

..........................

 :hao4: :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 53 คำสัญญา (update 100%) P.3 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 17:43:20
บทที่ 55 ปิเอโร่

..................................

“สัญญาได้ไหมว่าเมื่อฉันจากไปแล้ว คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อฉัน”

“ไม่นะมาเรีย อย่าพูดแบบนั้นสิ คุณต้องอยู่กับผมตลอดไป”

“มันสายไปแล้วค่ะที่รัก ที่ฉันอยู่ได้ก็เพราะเกมออนไลน์ แต่อีกเดี๋ยวพอร่างข้างนอกหมดลมเมื่อไหร่ ฉันก็คงจะหายไปจากเกมนี้แล้ว”

“ไม่มาเรีย คุณจะต้องไม่หายไป ผมจะไม่ให้คุณหายไปไหนแน่” ร่างสูงบอกพลันกอดร่างบางอย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าร่างที่กอดอยู่นี้จะหายไป ซึ่งทำให้ร่างบางพลอยกอดตอบเสียมิได้ แต่ก็ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนรักที่เขากำลังจะเลือนหายไปอย่างเชื่องช้า

“ที่รักคะ ดิฉันต้องไปแล้ว” เสียงหวานตอบพลางจูบปากของชายหนุ่มก่อนจะถอนริมฝีปากออกมา ซึ่งทำเอาชายหนุ่มถึงกับตกใจรอบสอง

“ไม่นะมาเรีย ไม่นะ! คุณจะต้องไม่ไปไหน!”

“รับปากสิคะว่าคุณจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” มาเรียบอกพลางผลักร่างคนรักให้ออกห่าง “เพื่อฉัน และเพื่อตัวคุณเอง”

แล้วมาเรียก็พลันหายไปในพริบตาเดียว โดยที่ชายหนุ่มมิทันได้พูดตอบสักคำเดียว

“ไม่นะมาเรีย! มาเรีย!”


“คุณครับคุณ จะสั่งอาหารอะไรดีครับ” เสียงเรียกดังขัดจังหวะ ความคิดก็พลันหยุดชะงักทั้งหมดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพนักงานร้านอาหารที่กำลังยืนอยู่ข้างๆเขา

“ขอเป็นต้มจับฉ่ายกับข้าวต้มหนึ่งที่”

“ได้ครับ กรุณารอสักครู่” หลังจากนั่งรอได้สักพักอาหารก็มาตามสั่ง แล้วเขาก็ลงมือรับประทานอาหารอย่างเงียบๆท่ามกลางสายตาผู้เล่นในร้านอาหารที่จับจ้องเขาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วเขาก็จ่ายเงินค่าอาหารก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก โดยจุดประสงค์ที่จะไปก็คือตึกโรงพยาบาล

“ตึกโรงพยาบาลยินดีต้อนรับครับ” พนักงานชายในชุดกาวน์สีขาวกล่าวทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาข้างใน “กรุณาเขียนชื่อกับไอดีก่อนครับ”

ซึ่งเขาก็ได้ทำการเขียนมันลงไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นพลางยื่นกระดาษให้กับพนักงาน

“กรุณารอซักครู่นะครับ” แล้วพนักงานก็ทำการคีย์ข้อมูลซักระยะ เมื่อเรียบร้อยแล้ว พนักงานชายจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง “ขอทบทวนชื่อก่อนนะครับ คุณลาสก์ ไอดีxxx สถานะมอนสเตอร์ใช่ไหมครับ”

“ใช่ขอรับ”

“เรียบร้อยแล้วครับ ถ้างั้นเชิญคุณลาสก์เข้าห้องนี้ได้เลยครับ ประเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่ของเกมมาตรวจสอบสภาพร่างกายของคุณนะครับคุณลาสก์” พนักงานชายบอกพลางผายมือไปทางซ้าย

“ขอบคุณขอรับ” แล้วลาสก์ก็เดินไปตามทางที่อีกฝ่ายบอกไว้ เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว เขาก็พบเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกให้เขาถอดเสื้อผ้าให้หมดยกเว้นกางเกงใน ก่อนจะสั่งให้ไปยืนในตู้กลมๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ก็สั่งให้เขาออกมาสวมเสื้อผ้าดังเดิม

“ตอนนี้คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่ถามขณะที่ลาสก์กำลังสวมเสื้อผ้าอยู่ แต่เขาไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าหน้าที่ของเกมในชุดกาวน์พูดอีกครั้ง “สภาพจิตใจของคุณกำลังแปรปรวน ผมขอแนะนำให้คุณพักผ่อน”

“กระผมสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วงขอรับ”

“คุณอย่าบ่ายเบี่ยงสิครับคุณลาสก์” เจ้าหน้าที่พูดฉุนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าลาสก์พูดโกหก “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ต้องคอยถามพฤติกรรมผู้ป่วยเป็นระยะๆ ถ้าหากคุณโกหก แล้วผมจะไปรักษาคุณให้ถูกต้องได้ยังไงครับ”

“กระผมไม่ได้ป่วย กระผมสบายดีอยู่ขอรับ”

“โอเค สบายดีก็สบายดี” เจ้าหน้าที่เบื่อที่จะเป็นไม้เมากับคนป่วยจึงพูดตัดบท “ถ้างั้นผมขอแนะนำให้คุณไปเดินเล่นในเมือง พักผ่อนคลายเครียดเสียบ้างนะครับ”

“ขอรับ” เมื่อจบบทสนทนาแล้ว ลาสก์ก็เดินออกจากห้องไป ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่คนเดิมได้แต่นั่งดูผลตรวจอย่างเหนื่อยหน่าย

“เป็นไงวะคราวนี้ ผลตรวจมันแย่เลยรึ” เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอีกคนเข้ามาถามเพื่อน

“ก็นิดหน่อย คลื่นสมองแปรปรวน” เพื่อนตอบพลางมองกระดาษที่มีเส้นรอยยักแสดงอยู่ในนั้น “นี่ยังดีกว่าตอนครั้งแรกๆที่มาตรวจใหม่นะ โหย คลื่นสมองแปรปรวนน่ากลัวชิพ รอยเส้นเกือบเป็นเส้นตรง คิดแล้วน่าขนลุก”

“สมควรแล้วที่เป็นแบบนั้น ก็เขาเพิ่งจะสูญเสียภรรยาไปทั้งๆที่อยู่ในโลกแห่งเกมได้เพียงแค่ปีเดียว แต่ก็ดีนะที่มีเกมแบบนี้ ให้คนเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราสามารถเข้ามาเล่นเกมได้”

“อืม จะว่าไปก็ยังมีอีกรายที่ยังมีชีวิตอยู่ นายจำลุงจิลนั่นได้ไหมล่ะ นั่นนะเจ้าชายนิทราเหมือนกัน ตอนนี้ยังเดินเล่นเป็นเอ็นพีซีอยู่บนเกาะเริ่มต้นอยู่เลย” เพื่อนทำท่าครุ่นคิดก่อนจะร้องอ้อ

“อ้อลุงจิลคนนั่นเองหรอกรึ จำได้ล่ะ เห็นว่าเมื่อหลายวันก่อนในเกมโดนผู้เล่นระดับท็อปฆ่าตายไม่ใช่รึไง”

“ใช่ ตอนนี้ก็ฟื้นแล้วแต่ก็ต้องนอนซมที่กระท่อมหลังนั้น” เขาบอกก่อนจะพูดต่อ “เฮ้อ เป็นเอ็นพีซีไม่ว่าดี อยากจะฆ่าผู้เล่นระดับท็อปซะได้”

“คงอยากจะเด่นอยากจะดังเพื่อให้คนอื่นได้จดจำว่าตัวเองเป็นผู้โค่นผู้เล่นระดับท็อปก็ได้นี่ เฮ้อ ไม่เอาล่ะเลิกๆ ยิ่งพูดยิ่งเศร้าแทนพวกเขา ไปทำงานต่อดีกว่า” แล้วพวกเขาก็หันมาทำงานของตัวเองต่อไป

...................................

ส่วนทางด้านลากส์เมื่อได้ออกมาจากห้องนั้นแล้ว เขาก็เดินไปแจ้งพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่าตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากโรงพยาบาล แล้วเดินต่อไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ครั้นพอเดินเข้าสู่ตลาดย่านที่มีจับฉ่ายขายอยู่เต็มสองข้างทาง ก็หยุดเดินก่อนจะหมุนตัวไปนั่งลงพิงข้างกำแพงหลับตาอย่างอ่อนแรง

กรุ้ง! กริ้ง!

เสียงเหรียญกระทบลงบนพื้น ทำเอาคนนั่งหลับตาต้องลืมตาขึ้นมอง

“น่าสงสารนะ นี่ขนาดในเกมยังมีขอทานได้ เฮ้อ” ผู้เล่นที่เป็นผู้หญิงพูด ซึ่งหล่อนมากับผู้เล่นชาย ทั้งคู่สวมชุดนักเวทย์ด้วยกัน “นี่นายลองเอาเงินมาให้เขาอีกสิ”

“แค่เหรียญเดียวก็พอ การศรัทธาเขาทำด้วยใจ ใช่ทำด้วยจำนวนเงิน”

“เออย่ะพ่อตัวดี ไม่ทำก็ไม่ทำ” หญิงสาวบ่นพลางใช้มือดันไหล่ของอีกฝ่ายไปพลาง “ไปเถอะ จะได้รีบไปเปลี่ยนคลาสซักที”

แล้วทั้งคู่ก็เดินจากไป ซึ่งทำเอาลาสก์ที่นั่งมองอยู่ก็นึกขำตัวเองในใจ

โดนเห็นว่าเป็นขอทานซะแล้ว ด้วยชุดที่ขาดกับเปื้อนเลือดที่แห้งเกรอะกรัง ทำให้ลาสก์ดูมอมแมมเหมือนขอทาน เปลี่ยนชุดหน่อยดีกว่า

ครั้นพอจะลุกขึ้นเดินหมายจะเข้าไปในซอยเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับมีมือปริศนามาขยุ้มคอเสื้อของลาสก์ก่อนจะฉุดกระชากให้เข้าไปในซอยอย่างแรง

โครม!

1000


ร่างลาสก์ล้มไปกระแทกกับกำแพง

“หึ คิดจะหากินแถวนี้คิดผิดคิดใหม่ได้นะ” เจ้าของมือปริศนาพูดเสียงห้วนพลางบิดมือดังกรอบแกรบ “อาชีพขอทานถึงจะไม่มีตามประกาศของจีเอ็ม แต่ข้าเป็นผู้คิดค้นก่อนใครเขา ฉะนั้นแกควรเอาเงินมาจ่ายค่าลิขสิทธิ์อาชีพขอทานกับข้าเสียโดยดี อย่าให้ข้าต้องได้ออกแรงซ้อมแกเชียวล่ะ”

ลาสก์ได้ยินดังนั้นก็พลางลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นไปมา จากใบหน้าเฉยเมยที่มอมแมมไปด้วยคราบฝุ่นสีเครื่องสำอางเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าอันยิ้มแย้มจนคนมองเผลอเดินถอยหลังหนีไปเสียหนึ่งก้าวอย่างลืมตัว

“เอ๋ กระผมไม่เคยรู้เลยนะครับว่าเกมนี้มีขอทานเป็นอาชีพด้วย” ลาสก์พูดพลางเอี้ยวคอไปมา ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “แถมยังต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์อะไรนั่นอีก ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย สงสัยกระผมคงจะพลาดข่าวดีของเกมไป”

“ชะ ใช่ เพราะงั้นแกก็จงเอาเงินมาให้ข้าเสีย แล้วรีบไสหัวไปซะ” ขอทานร่างยักษ์พูดขู่ แต่ลาสก์หาได้กลัวไม่ กลับหยิบไพ่ออกมา

“ตอนนี้ตัวของกระผมมีเพียงแค่ไพ่สำรับหนึ่งเท่านั้นขอรับ” ลาสก์พูดตามความเป็นจริง “ถ้าคุณอยากได้จริง คุณคงต้องแย่งชิงมันไปจากกระผมขอรับ”

“เฮอะ อย่าพูดมาก! ส่งเงินมาเดี๋ยวนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ขอทานยักษ์พูดพลางโชว์มีดสั้นให้ลาสก์ดู

“ถึงขนาดกับใช้มีดขู่กระผมเลยหรือขอรับ” ลาสก์พูดเสียงอ่อย ซึ่งทำเอาขอทานยักษ์ได้ใจคิดว่าลาสก์กลัวตนเอง จึงพูดสำทับไปอีกครั้งว่า

“ใช่ ถ้ากลัวก็จงเอาเงินทั้งหมดที่มีทิ้งไว้กับพื้นเดี๋ยวนี้ แล้วก็ไสหัวไปซะถ้าไม่อยากตาย”

ทว่าแทนที่ลาสก์จะยอมทำตามที่ขอทานยักษ์บอก กลับฉีกยิ้มก่อนจะถือไพ่ขึ้นมาแนบหน้าแลให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียว

“เสียใจด้วยขอรับ กระผมคงจะทำตามที่คุณขอไม่ได้” พอลาสก์พูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงระบบประกาศดังก้องในหัวขอทานยักษ์ว่า

“บอสปีศาจตัวตลกระดับ80 ปรากฏตัว”

ครั้นพอขอทานยักษ์ได้ยินเสียงประกาศ ก็แทบเข่าอ่อนจนเกือบทรุดลงไป ซึ่งทำเอาลาสก์ฉีกยิ้มอย่างพอใจ เพราะคิดว่าระบบคงจะได้ประกาศบอกตัวตนที่แท้จริงของเขาให้อีกฝ่ายได้รับรู้แล้ว

“ไม่จริง มอนสเตอร์จะมาเดินเล่นในเมืองได้ยังไงกัน” อีกฝ่ายพูดเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะขอรับ” ลาสก์พูดยิ้มๆ “ก็ในเมื่อคู่มือของเกมไม่ได้ระบุบอกเอาไว้ว่ามอนสเตอร์จะเดินเข้ามาในเมืองไม่ได้ แล้วอีกอย่างเขาก็ไม่ได้ระบุไว้ว่ามอนสเตอร์ไม่สามารถมีความคิดเป็นของตัวเองได้ จริงไหมล่ะขอรับ…คุณ…ขอ…ทาน”

คุณขอทานได้ยินที่อีกฝ่ายถึงกับหน้าซีดตัวสั่น พลางก้าวเท้าถอยหนีลาสก์ด้วยความกลัว

“ไม่เอาแล้วเว้ย!”

สุดท้ายขอทานนักเลงก็วิ่งหนีเตลิดหายลับไปเพราะกลัวจะถูกบอสปีศาจตัวตลกอย่างลาสก์ฆ่าตาย ซึ่งทำให้ลาสก์ที่เคยยิ้มแย้มกลับเปลี่ยนสีหน้าเฉยเมยดังเดิม

“สวัสดีครับคุณลาสก์” เสียงลึกลับดังขึ้นจากทางหลัง ทำให้ลาสก์หันหลังกลับไปมองก่อนจะพบชายหนุ่มในชุดสูท “ไม่ได้เจอกันนานร่วมเดือนยังชอบแกล้งผู้เล่นคนอื่นเสมอๆเลยนะครับ”

“กระผมเปล่าแกล้งขอรับ เขาตั้งหากที่มาแกล้งกระผมก่อนคุณดนัยเทพ” ลาสก์พูดยิ้มๆ ซึ่งทำเอาคนฟังถึงกับส่ายหน้า

“เรียกผมดนัยเถอะครับคุณลาสก์ ไม่สิ คุณปิเอโร่” คำพูดของดนัยเทพทำเอาลาสก์หรือปิเอโร่ถึงกับหุบยิ้ม “ทำไมคุณปิเอโร่ไม่คิดจะกลับไปหาคุณเมฆาอีกล่ะครับ เขายังไม่ได้ไล่คุณออกอย่างเป็นทางการเลยนะ”

ปิเอโร่สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังกลบเกลื่อนสีหน้าได้ดีโดยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“กระผมคงต้องรีบไปแล้วขอรับคุณดนัย เพราะหมอสั่งให้เดินเล่นในเมืองเพื่อคลายเครียด อ้อ จริงสิ คุณดนัยสนใจจะเล่นป็อกแปดป็อกเก้าไหมล่ะขอรับ” ปิเอโร่หรือลาสก์พูดเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งทำเอาคนฟังแทบขมวดคิ้ว

“ไม่ล่ะครับ ผมไม่สนพวกการพนัน” ดนัยเทพตอบก่อนจะพูดต่อ “ที่ผมมาหาคุณก็เพื่อมาเตือนคุณถึงกฎที่ทางเกมตั้งไว้ กรุณาอย่าลืมด้วยนะครับเพราะถ้าคุณทำผิดกฎแล้ว สถานะมอนสเตอร์ของคุณจะถูกปลด แล้วกลับไปเป็นผู้เล่นเหมือนเดิม”

“รับทราบขอรับคุณดนัย กระผมจะไม่ลืมแน่นอน” แล้วปิเอโร่ก็ขอตัวไปเดินเล่นต่อ ซึ่งทำให้ดนัยเทพได้แต่ยืนมองปิเอโร่อย่างเวทนา หลังจากลาสก์ได้เดินออกมาแล้ว เขาก็เดินเล่นอยู่ในเมืองซักพักก่อนจะเดินวกเข้าสวนสาธารณะ เมื่อเขาหาที่เงียบสงบได้แล้ว ก็กระโดดขึ้นบนต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งตั้งสูงกว่าเท่าตึกสิบชั้น ก่อนจะล้มตัวพิงต้นไม้โดยเอามือหนุนศีรษะของตัวเอง

“โอเพ่นสถานะ”

ปิเอโร่หรือลาสก์พูดขึ้นมาลอยๆ แล้วทันใดนั้นหน้าต่างสามมิติก็พลันเปิดออกมาต่อหน้าเขา

ชื่อ ลาสก์ (สถานะมอนสเตอร์)              ฉายา ปีศาจตัวตลก (บอส)

เลเวล: 80 (EXP: 687900/4008003)       อายุ: 27 ปี 7 เดือน (EXP: 1000403/41237874)

เผ่า: ปีศาจ                                             สถานที่จุติ: คณะละครสัตว์

ธาตุ: ลม                                                อาวุธประจำกาย : ไพ่

HP: 1234567/1234567                         อาชีพ: นักเวทย์               

SP: 1234000/1234567

เงินที่มี : 1, 874,000 เหรียญ

เจ้านาย : เมฆา


ปิเอโร่หรือลาสก์ดูผ่านๆอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง

“โอเพ่นกฎมอนสเตอร์”

กฎมอนสเตอร์

1.ฆ่าผู้เล่นคนอื่นได้โดยไม่ติดโทษ

2.เลเวลจะไม่อัพไปมากกว่านี้

3.ทักษะใช้ได้แค่ที่ตัวละครมี

4.หากเจอผู้เล่นอื่นถูกใจ ต้องเข้าปาร์ตี้ในฐานะข้ารับใช้เท่านั้น

5.มีความสามารถเทียบเท่าระดับบอส แต่จะไม่มีลูกน้อง


ลาสก์มองพลางครุ่นคิดย้อนหลังตอนที่มาเรียเพิ่งจะเสียได้วันเดียวและยังไม่เจอกับเมฆา

“กระผมต้องการเป็นมอนสเตอร์ คุณดนัยเทพช่วยทำให้กระผมเป็นได้รึเปล่าขอรับ”

“ได้สิครับทางเราจะจัดให้ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า คุณลาสก์จะเสียสิทธิ์อะไรหลายๆอย่างที่ผู้เล่นคนหนึ่งจะได้” ดนัยเทพตอบก่อนจะพูดต่อ “ฉะนั้นคุณลาสก์คิดให้ดีก่อนนะครับ เพราะทางเราจะไม่บังคับหรือฝืนใจให้คุณเป็น”

ลาสก์เหม่อไปพักหนึ่งก่อนจะฝืนยิ้มตอบไปว่า

“กระผมไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วขอรับคุณดนัยเทพ เพราะฉะนั้นคุณช่วยทำให้กระผมเป็นมอนสเตอร์ที”

หลังจากนั้นลาสก์ก็ได้เป็นมอนสเตอร์สมใจอยาก โดยที่พอเป็นแล้วก็โดนปล่อยให้อยู่ประจำเกาะสุสานร้าง และนอกจากนี้เขายังได้เอ่ยปากขอดนัยเทพเรื่องสุสานสำหรับมาเรีย ซึ่งทางเกมก็อนุญาตให้มีได้เป็นกรณีพิเศษ แล้วลาสก์ก็ได้อยู่ที่นั่นจนกระทั่งถึงวันที่เมฆาเดินไปเจอเขาเข้าโดยบังเอิญ

พรึบ!

ลาสก์ปิดหน้าต่างเบื้องหน้าก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย หลังจากที่เขาโดนเมฆาไล่ออกมาแล้วก็ได้เดินมาเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ครั้นจะกลับไปประจำที่เกาะสุสานร้างก็ไม่มีเรือที่จะข้ามไป เพราะมอนสเตอร์อย่างเขาไม่สิทธิ์ที่จะใช้เงินซื้อของได้ตามใจชอบ ยกเว้นอาหารหรือที่เติมพลังซึ่งทางเกมพอจะอนุญาตให้เขาซื้อได้ ในขณะที่ลาสก์ใกล้จะหลับเขาได้ยินเสียงคุ้นหูดังแว่วมาจากข้างล่าง

“อีกไกลไหมกว่าจะถึงนะ”

“ไม่ไกลแล้วเมฆา เดี๋ยวเลี้ยวหัวมุมนี้แล้วเดินอีกสองร้อยเมตรก็จะถึง”

เวรล่ะ เจ้านายผ่านมา! ลาสก์ได้ยินถึงกับสะดุ้งตกใจก่อนจะห้อยหัวแอบดูเมฆา ซึ่งอีกฝ่ายยังดูปกติดีแต่สีหน้ายังซีดเซียวด้วยคำสาปปีศาจที่ยังคงอยู่ แถมเดินคู่กับราตรีและมาริโออีกด้วย อะไรกัน นี่ยังไม่ได้บอกเรื่องพ่อแม่ให้น้องราตรีรู้อีกรึเนี่ย

ลาสก์คิดในใจพลางมองใบหน้าอันยิ้มแย้มของราตรี แล้วทั้งสามก็เดินผ่านต้นไม้ที่ลาสก์อยู่ไปโดยไม่ได้เอะใจว่าจะมีคนอยู่บนต้นไม้ ด้วยความที่ลาสก์ไม่มีอะไรทำ ผนวกกับอยากจะขอโทษเมฆาโดยการทำคุณไถ่โทษแต่ก็ไม่กล้าเสนอหน้าโผล่ให้อีกฝ่ายเห็น จึงกระโดดลงจากต้นไม้แล้วเดินสะกดรอยตามเมฆาไปอย่างเงียบๆ

..............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 55 ปิเอโร่ (update 100%) P.4 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 18:12:55
บทที่ 56 เที่ยวเกาะ

...................................

หลังจากที่ทุกคนไปถึงร้านอาหารจับฉ่ายโภชนาของปฐพีแล้ว ถึงกับตะลึงในความยิ่งใหญ่ของร้านนี้ ทั้งโครงสร้างทั้งรูปแบบต่างหลุดออกมาจากในยุคจีนโบราณจริงๆ ไหนจะพนักงานของร้านนี้ก็ยังสวมชุดเสี่ยวเอ้ออีก

“เดี๋ยวผมจะพาทุกคนไปนั่งทานอาหารห้องพิเศษดีกว่า เพราะที่นี่มันออกจะ...” ปฐพีพูดพลางหลบเสี่ยเอ้อที่เดินเสิร์ฟอาหาร “...ชุลมุนเล็กน้อย เชิญทางนี้เลย”

แล้วปฐพีก็พาทุกคนมายังห้องหนึ่งก่อนจะปล่อยให้พวกเขานั่งรอ ส่วนปฐพี ศาสตรา และพิภพต่างขอตัวไปทำอาหารให้พวกเมฆาได้ทาน ซึ่งราตรีรอได้สักพัก จู่ๆก็มีเสียงหวานดังมาจากทางหลังพร้อมกับสวมกอดเธอจนทำเอาเมฆา มาริโอ กับอเลนถึงกับสะดุ้งตกใจ

“พี่รัตติขา!” รัตติเองก็ตกใจไปด้วย เพราะไม่รู้จักหน้าค่าตาของคนกอด ส่วนมาริโอเมื่อเห็นดังนั้นก็ปรี่เข้าไปสวมกอดผู้หญิงคนนั้นด้วย

“คริสตัลคร้าบ ห๊อมหอมจังเลย ไม่ทราบว่าใช้สบู่ยี่ห้ออะไรเอ่ย”

เปรี้ยง!

1500


จู่ๆ สายฟ้าก็ผ่าลงมาฟาดหัวมาริโอ

เฟี้ยว! ฉึก!

มีดสั้นลอยมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ก็มาปักพื้นเฉี่ยวขามาริโอ ซึ่งทำเอามันแทบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียว

“โอ๋ ไม่เป็นไรแล้วนะมาริโอ” รัตติพูดพลางใช้มือลูบหัว แต่จู่ๆ เกิดประกายไฟลุกขึ้นหัวมาริโอ

พรึบ!

1000


“โอยร้อนๆๆ ขอน้ำหน่อย” มาริโอร้องโวยวาย ซึ่งเมฆาเห็นดังนั้นจึงหยิบน้ำจากเหยือกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะสาดใส่หัวมาริโอทันที ซึ่งทำให้ไฟที่เคยลุกไหม้ก็พลันหายไป “รัตติใจร้าย ทำไมเจ้าต้องแกล้งข้าด้วย ฮือๆ”

“ก็เจ้ามันอยากทะลึ่งเองดีนัก โดนเข้าก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ หุหุ” รัตติพูดไปหัวเราะไป ซึ่งทำให้คริสตัลที่ยืนอยู่ถึงกับหัวเราะ แล้วที่หลังของคริสตัลก็มีชายแปลกหน้าสองคนเดินออกมา

“นี่งุ้งงิ้งเป็นนักเวทย์ค่ะ” คริสตัลกล่าวแนะนำตัวผู้ชายที่มีสีผมเป็นสีชมพู ก่อนจะหันไปแนะนำอีกคนที่มีสีผมเป็นสีดำแต่สวมชุดรัดรูปดูทะมัดทะแมง “ส่วนคนนี้เป็นโจรค่ะ ชื่อคอเบียร์”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” งุ้งงิ้งกับคอเบียร์พูดพร้อมกัน

“ส่วนน้องชื่อคริสตัลค่ะ” คริสตัลพูดแนะนำตัวเองก่อนจะพูดต่อ “เป็นน้องสาวของพี่ปฐพีเองค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะทุกๆคน”

“เช่นครับ พี่เมฆา ส่วนคนนี้อเลน เป็นเพื่อนของพี่เอง อ้อ แล้วก็นี่รัตติกับมาริ...” เมฆายังพูดไม่ทันจบ คริสตัลก็พูดแทรกก่อน

“พี่รัตติกับน้องมาริโอนั้นน้องรู้จักแล้วค่ะพี่เมฆา เอ แต่พี่เมฆาก็น่าจะรู้จักน้องแล้วนะคะ เพราะตอนนั้นน้องกับพวกงุ้งงิ้งเข้าไปเก็บแร่ในถ้ำเหมืองแร่ด้วยนะ” เมฆาทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะร้องอ้อ

“ถูกของน้องคริสตัล พี่เคยเจอพวกน้องในถ้ำเหมืองแร่ครั้งหนึ่งแล้วนี่ ว่าแต่ตอนนั้นเก็บแร่ได้ไหมล่ะครับ”

“ก็ได้นะคะ แต่น้อยไปหน่อย แหะๆ”

“ได้ดีกว่าไม่ได้นะครับน้อง” อเลนพูดสวนขึ้นมา “เพราะน้อยคนนักจะได้แร่กลับติดมือไป ถ้าไม่ฟลุ๊กนะ ฮะๆ”

“ว่าแต่พวกน้องทานอะไรแล้วรึยัง ถ้ายังก็มานั่งทานด้วยกันสิ” เมฆาเอ่ยปากชวนคริสตัล

“ยังไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ ขอบคุณค่ะพี่เมฆาที่ชวน” คริสตัลพูดก่อนจะนั่งลงข้างๆรัตติ ส่วนอีกสองหนุ่มก็ไปนั่งข้างๆมาริโอแทน “ว่าแต่พวกพี่เก็บเลเวลถึงไหนกันแล้วคะ ของน้องเพิ่งจะสามสิบหนึ่งเอง”

อเลนยิ้มก่อนจะตอบไปว่า

“พี่เก้าสิบแปด ส่วนเมฆาเก้าสิบเก้า”

คำตอบของอเลนทำเอาคริสตัล รัตติ มาริโอ งุ้งงิ้ง คอเบียร์ต่างตกตะลึงไปตามๆกัน

“โห” คริสตัลพูดเสียงสูง “พวกพี่สองคนทำยังไงถึงได้ระดับนั้นละคะ”

“ก็ขยันเก็บเลเวลกับทำภารกิจนิดหน่อยก็ได้แล้วล่ะครับน้องคริสตัล” เมฆาตอบ ก่อนที่คริสตัลจะหันมาคุยกับรัตติ

“นี่ๆพี่รัตติขา” คำพูดของคริสตัลทำเอารัตติเขยิบที่นั่งถอยห่างออกมาเล็กน้อย “หูกระต่ายที่น้องเคยซื้อไป น้องขอขายมันกลับคืนได้หรือเปล่าคะ”

“ก็ได้นะ แต่จะซื้อครึ่งราคาที่เคยขายไป”

เด็กประหลาด

รัตติคิดในใจ แต่แล้วเธอกลับชะงักเมื่อมีพรายกระซิบดังในหัวว่า

“คุณทวดขา นี่เหลนแก้วเองนะคะ ตอนนี้แก้วเล่นเป็นคริสตัลค่ะ” เสียงนั้นบอกก่อนจะพูดต่อ “แล้วที่หนูรู้ได้ก็เพราะคุณพ่อปฐพีเป็นคนบอกเองค่ะ อิอิ ว่าแต่คุณทวดนี่โชคดีจังเลยนะคะ ได้เล่นเป็นผู้ชายด้วย”

แล้วแก้วหรือคริสตัลได้ขายหูกระต่ายคืนแก่รัตติในราคาครึ่งเดียวที่เคยขายไป ซึ่งพอรัตติได้กลับคืนมา รัตติก็ให้มาริโอสวมใส่แทน หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยกันอยู่สักพัก ปฐพี ศาสตราและพิภพต่างยกกับข้าวเข้ามาวางบนโต๊ะอาหารตรงหน้าพวกเขาทันที

“โอ้โห อาหารเยอะแยะเลย มีอะไรบ้างล่ะฮะเนี่ย” มาริโอร้องอุทานเสียงดังลั่นเมื่อเห็นอาหารอยู่เต็มโต๊ะ สามหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ลอบยิ้มให้กันก่อนที่ศาสตราจะเป็นคนร่ายชื่ออาหาร

“มีเป็ดปักกิ่ง ผัดโป๊ยเซียน ไก่แช่เหล้า หัวปลาต้มเผือก หอยเชลล์นึ่งฮ่องกง ปลาเก๋านึ่งซีอิ้ว และ…” ศาสตราหยุดพักหายใจพลางแอบเหล่ตามองมาริโอก่อนจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “…ต้มจับฉ่ายใส่เห็ดหอม!”

คำสุดท้ายที่ศาสตราพูดทำเอามาริโอถึงกับเบะปาก

“แง้ เห็ดอีกแล้ว แง้ๆ! หนูไม่ทานเห็ดนะ ไม่ทาน ฮือๆ”

รัตติส่ายหน้ากับความขี้แกล้งของศาสตราพลางเอามือลูบหัวปลอบใจมันอยู่สักพัก ก่อนจะสั่งสอนมันว่า “เวลาอยู่บนโต๊ะอาหารนั่งให้มันเรียบร้อยหน่อย แล้วอย่าชะโงกดูอาหารอีก จำไว้นะมาริโอ”

“ฮือๆ ข้าทราบแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”

เมื่อมาริโอตกปากรับคำแล้ว พวกเขาก็นั่งลงให้เรียบร้อยก่อนจะลงมือรับประทานอาหารทันที ซึ่งในระหว่างที่รับประทานอาหาร พวกปฐพีได้เอ่ยปากขอเมฆาว่าจะติดตามไปด้วย เพราะอยากจะเห็นฝีมือกับผลการฝึกของเขา ซึ่งเมฆาก็ไม่ได้ว่าอะไร จึงยอมให้ตามไปด้วยแต่โดยดี

..........................

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางต่อ โดยคราวนี้ได้เพื่อนร่วมทางอีกสามคนนั่นก็คือ คริสตัล งุ้งงิ้ง และคอเบียร์ ส่วนเหตุผลก็เป็นแบบเดียวกับพวกปฐพีจึงทำให้การเดินทางครั้งนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ

“น้องงุ้งงิ้งกับน้องคอเบียร์เลเวลเพิ่งจะยี่สิบเก้าเองเหรอครับ” อเลนถามสองหนุ่มน้อย

“ครับพี่อเลน” งุ้งงิ้งกับคอเบียร์ตอบพร้อมกัน ก่อนที่งุ้งงิ้งจะถามอเลนต่อ “ว่าแต่พี่อเลนมีอาชีพอะไรเหรอครับ เพราะผมดูชุดที่พี่ใส่ไม่ออกเลย”

“ไฮพรีสท์ครับ พอดีพี่ชอบตะบันหน้าศัตรูมากกว่ายืนรอฮีลอยู่ด้านหลัง ก็เลยใส่เกราะหนักถือดาบนะครับน้อง” อเลนตอบยิ้มๆ แต่เมฆาคิดในใจไปอีกอย่าง

ไอ้พรีสท์โรคจิต ฉันจะตายก็เพราะแกมัวแต่ฟัดเพลินจนลืมฮีล!

“แล้วพี่อเลนมีทักษะเพิ่มพลังด้วยหรือเปล่าคะ” คริสตัลถามต่อ

“ก็มีนะครับ ครบเซ็ตเลยก็ว่าได้”

“งั้นเวลาไปเก็บเลเวลกับพี่เมฆา พี่เมฆาก็สบายไปเลยนะสิคะ” คริสตัลพูดต่อด้วยความอิจฉา ซึ่งเมฆาได้แต่หัวเราะแห้งๆ

สบายแน่ๆ เพราะมันสับมอนสเตอร์ แรงกว่าฮีลอีก

“จริงสิพี่รัตติขา พี่รัตติเลเวลกับอายุเท่าไหร่แล้วเหรอคะ ของน้องเพิ่งจะเลเวลสามสิบกับอายุยี่สิบเอง” รัตติยิ้มก่อนจะตอบไปว่า

“ก็เท่ากับน้องแหละครับ” แล้วน้องรัตติก็หันหน้ามาคุยกับเขา “ท่านพี่เมฆาครับ ต่อจากนี้ท่านพี่จะไปที่ไหนต่อเหรอครับ”

เมฆาได้ยินก็พลันขมวดคิ้วใช้ความคิดก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ตอนแรกพี่จะพาเราไปที่สมาคมเงา แต่ตอนนี้มากันเยอะ พี่ก็เลยคิดว่าจะพาทุกคนไปเก็บเลเวลดีกว่า”

“ครับ/ค่ะ”

แล้วเมฆากับอเลนก็พาทุกคนไปยังที่เก็บเลเวลที่พวกเขาสองคนเคยไปเก็บมากันก่อน ซึ่งในระหว่างการเดินทางโดยมีม้าเป็นยานพาหนะนั้น พวกเขาก็คุยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่ลืมที่จะเก็บเลเวลไปด้วย หากแต่เส้นทางที่จะไปทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้นต้องใช้ระยะเวลานานถึงสิบวันเต็ม จึงทำให้ทุกคนเดินทางไปด้วยพร้อมกันอีกได้แค่หกวันเท่านั้น ก่อนจะพากันตั้งเต็นท์ของตัวเองแล้วออฟไลน์ออกจากเกมไป

....................................

เมื่อรัตติได้ออกจากเกมแล้ว เธอก็นั่งสมาธิก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ พอเสร็จธุระแล้วก็เดินออกมาเห็นแม่รุ้งเพิ่งจะลุกขึ้นจากที่นอน

“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้าลูกรุ้ง ประเดี๋ยวพวกคุณอวิ๋นจะรอนาน” เธอบอก ซึ่งรุ้งก็รับคำก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อเรียบร้อยแล้ว สองแม่ลูกก็เดินออกมาซึ่งประจวบเหมาะที่พวกนพก็ได้เดินออกมาด้วยพร้อมกันพอดี เมื่อพร้อมหน้าแล้วต่างพากันลงลิฟต์ไปชั้นหนึ่งเพื่อไปพบกับอวิ๋นและอาเฟยที่ห้องอาหารตามที่เคยนัดไว้กันตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน หวังว่าเมื่อคืนหลับสบายดีกันนะครับ” อวิ๋นกล่าวทักทายทุกคนเป็นภาษาอังกฤษ

“ค่ะ หลับสบายดีค่ะ” เธอตอบก่อนจะพูดต่อ “ดิฉันว่าพวกเราไปทานข้าวเช้ากันเถอะค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันเรือรอบเช้า”

“ครับๆ”

แล้วทุกคนก็เดินเข้าไปห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จกันหมดแล้ว ทุกคนก็พากันเดินไปยังท่าเรือซึ่งมีเรือตั้งท่าอยู่บนผิวน้ำอยู่หลายลำ

“ประเดี๋ยวผมจะไปติดต่อเช่าเรือก่อนนะครับคุณยาย” นพบอก ซึ่งเธอพยักหน้ารับคำแล้วนพก็เดินไปคุยกับพนักงานของเรือ คุยได้สักพักก็เดินกลับมา “ได้แล้วครับทุกคน เป็นสปีดโบ๊ดที่จะพาข้ามน้ำทะเลไปยังเกาะใกล้ๆนี่”

“เย้ จะได้ไปเที่ยวเกาะแล้ว” แก้วโห่ร้องด้วยความดีใจ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็พากันขึ้นเรือก่อนที่เรือจะแล่นออกจากฝั่ง ซึ่งในระหว่างที่นั่งสปีดโบ๊ดไป เธอก็นั่งคุยกับอวิ๋นเกี่ยวกับเรื่องปลาทะเลต่างๆนานาอย่างสนุกสนานจนกระทั่งถึงที่หมาย

“เฮ้อ ถึงซะที” นพพูดก่อนจะหันมามองลูกสาว “ลูกแก้วสนใจจะให้อาหารปลาไหมครับ ประเดี๋ยวพ่อจะได้ไปซื้ออาหารปลามาให้”

“สนใจค่ะคุณพ่อ” แล้วนพก็เดินหายไปในบังกะโล

“คุณจันทร์แรมจะนั่งพักก่อนดีไหมครับ” อวิ๋นหันมาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่าเขามาก

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะหันไปมองลูกสาวซึ่งกำลังยืนคุยกับมีนาอยู่ “แม่รุ้ง เดี๋ยวลูกช่วยไปซื้อของว่างกับน้ำดื่มมาให้หน่อยได้ไหม”

“ได้ค่ะคุณแม่” แล้วรุ้งก็เดินไปซื้อตามคำสั่งของจันทร์แรม

“เดี๋ยวผมปูผ้ารองพื้นนั่งให้นะครับ” อาเฟยพูดก่อนจะลงมือปูผ้าให้ทันที หลังจากปูเสร็จ อาเฟยก็ขอตัวไปเล่นน้ำบ้าง ซึ่งจะเหลือแต่จันทร์แรม อวิ๋น มีนา และแก้วที่นั่งรออยู่บนผ้า

“อาหารปลามาแล้ว” นพพูดพลางหอบหิ้วถุงอาหารปลาซึ่งเป็นจำพวกขนมปังหรือไม่ก็อาหารเม็ด “คุณจะไปด้วยหรือเปล่ามีนา”

“ไปสิคะ” แล้วนพก็หันมาชวนจันทร์แรม ซึ่งแน่นอนว่าจันทร์แรมปฎิเสธ เพราะเหนื่อยกับการเดินทางด้วยเรือมามากแล้ว

“ดูพวกเขารักกันดีนะครับ” อวิ๋นพูดพลางมองนพ มีนา และแก้วที่กำลังให้อาหารปลาอยู่

“ค่ะ พวกเขารักกันดี” จันทร์แรมตอบก่อนจะพูดต่อ “มีบ้างที่ทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นตบตี”

“ดีแล้วครับสำหรับหนุ่มสาวสมัยนี้ เพราะส่วนมากจะจบลงด้วยการตีกันหรือไม่ก็หย่าร้างกัน”อวิ๋นพูดพลางถอนหายใจ ซึ่งทำเอาจันทร์แรมหันมามองด้วยความแปลกใจ “ตอนสมัยเด็ก ผมเคยเห็นพ่อแม่ของเพื่อนมามาก เขาทะเลาะกันจนถึงขั้นตบตีจนต้องเข้าโรงพยาบาลไป หรือไม่ก็ตีกันจนเลิกไปก็มี ส่วนเหตุผลก็ไม่พ้นเรื่องความยากจน ชีวิตที่อยู่บนความยากจน มันน่าเศร้านะครับ”

“ค่ะ ดิฉันเข้าใจดี” จันทร์แรมพูดพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “อาจารย์ที่สอนวิชาต่อสู้ ท่านเคยเล่าให้ฟังสมัยท่านออกพเนจรที่จีน ท่านบอกว่าหมู่บ้านในชนบทที่ความเจริญเข้าไม่ถึง ผู้คนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หนุ่มสาวก็หนีไปตั้งหลักในเมืองใหญ่ ตัวท่านเองก็เคยอยู่ช่วยเขาพัฒนาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินทางต่อ”

อวิ๋นได้ยินที่จันทร์แรมเล่าถึงกับขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ถามถึงเรื่องอาจารย์ที่สอนวิชาต่อสู้ ฟางที่เป็นพยาบาลก็เข้ามานำยาบำรุงมาให้จันทร์แรมทานตามเวลา

“นี่ก็เที่ยงวันแล้ว ดิฉันว่าพวกเราไปทานข้าวกลางวันกันเถอะค่ะคุณอวิ๋น”

จันทร์แรมเอ่ยปากชวน ซึ่งอวิ๋นพยักหน้าก่อนที่จันทร์แรมใช้รุ้งให้ไปตามพวกนพมา ส่วนอาเฟยนั้น อวิ๋นเป็นคนอาสาไปตามด้วยตนเอง หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จกันแล้ว นพ มีนา รุ้ง แก้ว และฟางที่เป็นพยาบาลก็ขอตัวแยกย้ายไปเล่นน้ำบ้าง ส่วนอาเฟยขอไปดำน้ำชมปะการัง จะเหลือก็แต่จันทร์แรมกับอวิ๋นที่ยังคงนั่งอยู่บนผ้าปูตามเดิม ซึ่งอวิ๋นเห็นว่าไม่มีคนขัดแล้วจึงเอ่ยปากถามเรื่องอาจารย์ที่สอนวิชาการต่อสู้อีกครั้ง

“อาจารย์ที่สอนวิชาต่อสู้ของดิฉันนะรึคะ” จันทร์แรมพูดด้วยความแปลกใจที่อวิ๋นอยากจะรู้เรื่องอาจารย์ของตัวเอง “ดิฉันไม่รู้จักชื่อของท่านหรอกค่ะ เพราะท่านให้เรียกตัวท่านว่าซีฝูนะค่ะ ดิฉันรู้จักท่านตอนสมัยห้าขวบ ตอนนั้นดิฉันกับสามีเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันได้มาเที่ยวบ้านคุณปู่คุณย่าของดิฉันที่อยู่ในป่า”

จันทร์แรมหยุดพักหายใจพลางยกน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหายก่อนจะพูดต่อ

“ตอนนั้นดิฉันกับสามีกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ แล้วไปเจอท่านล้มฟุบอยู่ เลยช่วยกันหาข้าวหาน้ำให้ท่านกิน ท่านก็เลยสอนวิชาให้ดิฉันกับสามี ทีแรกแค่สอนเพื่อฝึกให้ร่างกายแข็งแรง แต่ไปๆมาๆกลายเป็นฝึกวิชาจริงๆเข้าโดยไม่รู้ตัว”

“อย่างนั้นเองหรือครับ มิน่าล่ะ ตอนพวกคุณสู้กับพวกนักเลงถึงได้จัดการสบายๆ” อวิ๋นพูดพลางพยักหน้า “แต่จะว่าไปท่าต่อสู้ของพวกคุณคล้ายกับของผมจังเลย เอ่อ คือความจริงแล้วผมนึกสงสัยอาจารย์ของคุณมาก เพราะผมเองก็มีอาจารย์ชื่อซีฝูเหมือนกันครับ”

“อะไรนะคะ?! เหมือนกันเหรอคะ”

“ครับ ผมถึงได้ถามคุณจันทร์แรมอยู่นี่ไงครับ” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “แต่ช่วงระยะเวลาที่ผมเจอท่านซีฝูนั้น เป็นตอนที่ผมอายุได้สิบห้าปี ว่าแต่คุณจันทร์แรมกับแฟนของคุณ เอ่อ ใช้ระยะเวลาในการฝึกกี่ปีกันละครับเนี่ย”

“สิบสามปีค่ะ” คำตอบของจันทร์แรมทำเอาอวิ๋นตกใจ

“สิบสามปี!” อวิ๋นร้องอุทานเสียงดังลั่น “น้อยกว่าตอนผมฝึกซะอีก ของผมใช้เวลาตั้งยี่สิบปีกว่าจะสำเร็จ แทบลากเลือดเลยก็ว่าได้”

จันทร์แรมยักไหล่ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง

“ดิฉันกับสามีก็แทบลากเลือดเหมือนกันค่ะ ไปเรียนหนังสือแต่ก็ต้องหลับในห้องเรียนเพราะฝึกวิชาจนล้า แต่นี่ยังดีที่ดิฉันกับสามีโชคดีทั้งคู่ ก็เลยรอดมาได้อย่างเฉียดฉิว”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมก็ต้องเรียกคุณจันทร์แรมว่าศิษย์พี่นะสิครับเนี่ย เพราะได้ฝึกวิชาก่อนผม” อวิ่นพูดพลางเปลี่ยนท่านั่งเป็นคุกเข่าก่อนจะหันหน้าไปทางจันทร์แรม แล้วโน้มหัวลงเล็กน้อย “ขอคาราวะศิษย์พี่”

“อุ้ย ไม่ต้องมีพิธีรีตองขนาดนั้นหรอกค่ะ เราคนกันเอง” จันทร์แรมบอก ซึ่งทำให้อวิ๋นเงยหน้าขึ้น

“เห็นแก่คุณที่เป็นศิษย์พี่ของผม คืนนี้หลังจากกลับไปโรงแรมแล้ว ผมจะขอชวนคุณไปทานอาหารเย็นด้วยกันสองต่อสองได้หรือเปล่าครับ” อวิ๋นเอ่ยปากชวนจันทร์แรม

“ได้สิคะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

จันทร์แรมตอบ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยด้วยเรื่องนิยายต่อ ก่อนเวลาจะผ่านไปได้สองชั่วโมง พวกเขาก็พากันขึ้นเรือกลับโรงแรม

.................................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 56 เที่ยวเกาะ (update 100%) P.4 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 04-03-2015 18:47:18
บทที่ 57 สารภาพรัก

......................................

หลังจากทุกคนได้นั่งเรือกลับมาที่โรงแรมแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปห้องพักของตัวเอง เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนพก็ได้มาชวนจันทร์แรมให้ลงไปทานข้าวเย็นที่นอกโรงแรม

“ขอโทษทีนะตานพ พอดียายมีนัดแล้วนะ” จันทร์แรมพูดปฏิเสธ ซึ่งทำเอาทุกคนตกใจ

“มีนัด!” นพร้องอุทานเสียงดัง “นัดกับใครหรือครับคุณยาย ทำไมผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

จันทร์แรมยิ้มก่อนจะตอบไปว่า

“ยายนัดกับคุณอวิ๋นนะ พอดีเขาชวนยายตั้งแต่อยู่บนเกาะแล้ว”

เมื่อทุกคนรับทราบแล้วต่างก็ปล่อยให้จันทร์แรมได้ไปทานข้าวเย็นตามที่ได้นัดกับอวิ๋น พอจันทร์แรมแยกย้ายกับพวกนพแล้ว เธอก็ลงลิฟต์ไปยังชั้นห้องภัตตาคารอาหารของโรงแรมนี้ เมื่อมาถึงเธอก็เห็นอวิ๋นยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้าก่อนแล้ว

“ขอโทษด้วยนะคะคุณอวิ๋น พอดีดิฉันมัวแต่คุยลูกหลานก็เลยมาช้าไปหน่อย” จันทร์แรมบอก ซึ่งอีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “ผมว่าเราไปนั่งข้างในดีกว่านะครับคุณจันทร์แรม”

“ค่ะ”

แล้วอวิ๋นก็เดินนำทางให้จันทร์แรมไปโต๊ะหรูตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง บนโต๊ะกลมที่เธอเห็นอยู่นี้มีเทียนไขถูกจุดตั้งอยู่หนึ่งเล่มกับขวดไวน์สองขวดตั้งอยู่ใจกลางโต๊ะ

“เชิญนั่งเลยครับคุณจันทร์แรม” อวิ๋นลากเก้าอี้ให้จันทร์แรม

“ขอบคุณค่ะ” จันทร์แรมกล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งบนเก้าอี้ ส่วนอวิ๋นนั้นเมื่อเห็นว่าจันทร์แรมนั่งไปแล้ว เขาจึงเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

“คุณจันทร์แรมชอบทานอะไรครับ ผมจะได้สั่งได้ถูก” อวิ๋นเอ่ยปากถามเธอ

“อะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณอวิ๋น” จันทร์แรมตอบ ซึ่งอวิ๋นพยักหน้าก่อนจะหันไปสั่งบริกรที่ยืนรออยู่

“ขอเป็นปลาทับทิมนึ่งบ๊วยกับผัดเห็ดหอมครับ” คำว่าเห็ดหอมทำเอาจันทร์แรมสะดุ้งไหวเล็กน้อย “ส่วนของหวาน ผมขอเป็นลอดช่องกับขนมตาลอย่างละถ้วยนะครับ แล้วคุณจันทร์แรมล่ะครับ จะสั่งขนมหวานอะไรดีครับ”

“ขอเป็น…ลำไยลอยแก้วแล้วกันค่ะ”

พอจันทร์แรมพูดจบ อวิ๋นถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสั่งบริกรตามนั้น เมื่อบริกรไปแล้วอวิ๋นค่อยหันหน้ามาคุยกับเธอด้วยเรื่องนิยายกำลังภายในจีนตามเคย พออาหารมาแล้วพวกเขาสองคนก็ลงมือทานโดยคุยไปทานอาหารไปพลาง ก่อนจะตบท้ายด้วยของหวานตามที่ตัวเองสั่ง

“เอ่อคุณจันทร์แรมครับ คุณพอจะรู้จักเกมเรียลไลฟ์ออนไลน์บ้างไหมครับ”

จู่ๆอวิ๋นเอ่ยปากถามจันทร์แรม ซึ่งทำเอาเธอกำลังรินไวน์อยู่นั้นต้องหยุดชะงักมือ

“ก็พอรู้จักนะค่ะ คุณอวิ๋นถามทำไมหรือคะ”

อวิ๋นเอามือเกาหัวก่อนจะวางมือลงบนโต๊ะ

“พอดีผมเล่นเกมนั้นอยู่นะครับ” อวิ๋นพูดด้วยความเขินอาย “อายุจนป่านนี้แล้วยังจะเล่นเกมเป็นเด็กๆ ผมนี่ไม่รู้จักแก่เลยนะครับ ฮะๆ”

จันทร์แรมได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็ยิ้มไปส่ายหน้าไปพลาง

“ดิฉันว่าอายุไม่น่าจะเกี่ยวนะคะ เพราะเกมคือสิ่งบันเทิงชนิดหนึ่งไว้สำหรับคลายเครียด ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือคนแก่อย่างเราๆก็ตาม ก็สามารถเล่นเกมได้กันทั้งนั้นแหละค่ะ”

“งั้นเหรอครับ ผมนี่แย่จริงๆ ฮะๆ” อวิ๋นพูดไปหัวเราะไปพลาง “จริงสิ คุณจันทร์แรมได้เล่นเกมนี้บ้างกับเขารึเปล่าครับ แต่คงจะไม่สินะ ผมนี่แย่ ถามอะไรก็ไม่รู้”

“ได้เล่นสิคะ ทำไมดิฉันจะไม่ได้เล่น”

คำตอบของจันทร์แรมสร้างความตกตะลึงให้แก่อวิ๋นเป็นอย่างมาก

“คุณเล่นด้วยหรือครับคุณจันทร์แรม”

“ค่ะคุณอวิ๋น” จันทร์แรมตอบยิ้มๆ “พอดีตานพชวนดิฉันให้เข้าไปเล่นเกมด้วยนะค่ะ ไอ้ดิฉันเองจะปฏิเสธคำขอหลานก็กระไรอยู่ เลยเล่นตามเลยนะค่ะคุณอวิ๋น”

“งั้นเหรอครับ แล้วนี่คุณจันทร์แรมเล่นเป็นอาชีพอะไรหรือครับ ของผมเป็นนักดาบสายเวทย์”

“ของดิฉันเองก็เป็นนักดาบสายเวทย์เหมือนกันค่ะ แต่ยังไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวอะไร” จันทร์แรมตอบพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบก่อนจะวางลงที่เดิม “นี่ถ้าไม่ได้เพื่อนช่วยแล้วล่ะก็ ยังคงเลเวลแค่สิบห้าอยู่อย่างนั้นนะค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ ฮะๆ ตอนนี้ผมเองก็กำลังพาเพื่อนคนสำคัญมากๆไปเก็บเลเวลด้วยกันเป็นปาร์ตี้ใหญ่มาก”

“เหรอคะ เหมือนกับดิฉันเลยสิเนี่ย ดิฉันเองก็กำลังไปเก็บเลเวลกับพวกเพื่อนๆอยู่เหมือนกันค่ะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะทำท่านึกอะไรออกขึ้นมาได้ “จริงสิ ถ้าคุณอวิ๋นมีโอกาสก็มาทานอาหารได้ที่ร้านของตานพในเกมได้นะคะ ดิฉันจะทำให้สุดฝีมือ แถมเลี้ยงให้คุณฟรีทุกมื้อเลยด้วยค่ะ”

“ไม่ต้องถึงขนาดเลี้ยงฟรีทุกมื้อก็ได้ครับคุณจันทร์แรม ผมเกรงใจ” อวิ๋นพูดพลางครุ่นคิดในใจ

“เอ หลานชายของคุณจันทร์แรมคงจะไม่ใช่เจ้าของจับฉ่ายโภชนาหรอกนะครับนี่”

“นั่นแหละค่ะ ร้านของตานพหลานชายของดิฉันเองค่ะคุณอวิ๋น”

คำตอบของจันทร์แรมทำเอาอวิ๋นถึงกับอึ้ง ใบหน้าซีดลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้จันทร์แรมที่นั่งมองอีกฝ่ายอยู่นั้นถึงกับขมวดคิ้ว

“คุณอวิ๋นคะ คุณอวิ๋นเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดจัง”

“ผมไม่เป็นไรครับคุณจันทร์แรม ผมสบายดี” อวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่ “คุณจะว่าอะไรผมไหม ถ้าผมจะขอทราบชื่อของคุณจันทร์แรมในเกมนะครับ”

“ไม่ว่าค่ะ ดิฉันยินดีที่จะบอก ชื่อในเกมของดิฉันก็คือ...”

“ราตรีพิสุทธิ์ค่ะ”

พอจันทร์แรมตอบคำถามแล้ว อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบยิ่งกว่าเดิม ซึ่งทำให้จันทร์แรมนึกสงสัยท่าทางของอวิ๋นจากที่เคยเห็นตอนต่อสู้กับพวกนักเลงในเมื่อวานก่อนนี้

อย่าบอกนะว่าคุณอวิ๋นจะเป็น...

“ท่านพี่เมฆา”

อวิ๋นถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินที่เธอพูด ซึ่งทำเอาจันทร์แรมถึงกับถอนหายใจเฮือกแรงๆ

จริงด้วย คุณอวิ๋นคือท่านพี่เมฆาจริงๆ

“ดิฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าคุณอวิ๋นชอบเกมเรียลไลฟ์มากแค่ไหน แต่...” จันทร์แรมหยุดพูดพลางมองหน้าอวิ๋นที่เอาแต่ก้มหน้าหนีเธอ “...ในเกมกับนอกเกมไม่เหมือนกัน จะเอามาปะปนกันไม่ได้นะคะ แล้วอีกอย่างเกมเรียลไลฟ์ก็เหมือนกับโรงละครที่ให้เราสวมบทบาทไม่แตกต่างจากนักแสดง แต่สำหรับนอกเกมคือชีวิตจริงของเรา อ้อ แล้วเราก็ยังมีสัญญากันอยู่นะคะ”

“ครับ”

หลังจากนั้นอวิ๋นก็ขอตัวกลับห้องพักไปอย่างเงียบๆ ซึ่งทำเอาเธอนึกเป็นห่วง เมื่อจันทร์แรมกลับเข้าไปในห้องพักแล้ว เธอก็คุยกับลูกสาวสองสามคำ ก่อนจะเข้าไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ แล้วรีบออกมาแต่งตัวพลางสวมแว่นตาอนาล็อกเข้าเกมโดยไม่นั่งสมาธิอย่างที่เคยทำทุกครั้ง

ต้องรีบกลับเข้าไปดูหน่อยแล้ว

.............................................................

“ผู้เล่นเมฆาได้ล็อกอินเกมเรียบร้อยแล้วค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอกหลังจากที่เขาได้กลับเข้ามาในเกมอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เมฆาได้นอนอยู่ในเต็นท์ของตัวเอง พอตื่นเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาจากเต็นท์เพื่อล้างหน้าตา

“สวัสดีเมฆา เพิ่งตื่นหรือ” ปฐพีกล่าวทักทายเขา ในมือของเจ้าตัวกำลังถือตะหลิวอยู่ “ไปล้างหน้าล้างตาอาบน้ำก่อนสิ ผมเพิ่งจะทำอาหารไปได้นิดเดียวเอง”

“อืม” เมฆาตอบพลางครุ่นคิดในใจ

นี่คงเป็นนพสินะ

แล้วเขาก็เดินไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธารเล็ก ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้เดินทางมาจนเกือบจะถึงเมืองดนตรีแล้ว แต่ก็ต้องหยุดแวะพักข้างทางเพื่อออฟไลน์เกมไป หลังจากเมฆาอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว เขาก็เดินกลับมาที่เต็นท์อีกครั้งก่อนจะพบว่าที่เต็นท์ในตอนนี้ทุกคนได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว โดยเฉพาะน้องราตรีผู้ซึ่งตัวจริงเป็นถึงคุณจันทร์แรมที่เขารู้จักในโลกภายนอกเกมได้มองหน้าเขาเกือบตลอดเวลา ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาคุยกับเขาอีกเลย

ไม่สิ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายหลบหน้า

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว เมฆาก็พาทุกคนขี่ม้าออกเดินทางต่อ ซึ่งใช้เวลาอยู่หนึ่งวันเต็ม พวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงเมืองดนตรีจนได้

“นี่ก็ดึกแล้ว พวกเรารีบไปหาโรงแรมพักผ่อนกันเถอะ” เมฆาบอกก่อนจะเดินนำหาโรงแรมโดยไม่รอฟังคำตอบจากทุกคน ทว่าเขายังเดินไปได้ไม่ถึงสี่ก้าวดี เสียงหวานก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“นั่นน้องราตรีกับน้องมาริโอนี่ คิดถึงจังเลย”

มาริโอก็พุ่งไปหาเจ้าของเสียงทันที

“เจ๊จ๋า! หนูคิดถึงเจ๊ที่สุดเลย”

แล้วมันก็กระโดดเข้ากอดร่างหญิงสาวสวยแปลกหน้าทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับด้วยการอุ้มมาริโอ

“แหม โตขึ้นเยอะจนพี่สาวคนนี้จำแทบไม่ได้เลยนะเนี่ย”

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเห็ดน้อย”

หนุ่มแปลกหน้าที่ยืนข้างสาวสวยเอ่ยปากทักบ้าง ซึ่งทำเอามาริโอเบะปาก

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับท่านพี่ชุนหลานท่านพี่เทียนหลง” น้องราตรีหรือจันทร์แรมพูดพลางเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น “พวกพี่ทั้งสองคนสบายดีหรือเปล่าฮะ”

ชุนหลานกับเทียนหลงได้ยินที่น้องรัตติพูดก็หันมายิ้มให้

“พวกพี่สบายดีจ้า ว่าแต่น้องราตรีไม่คิดจะแนะนำตัวเพื่อนๆให้พวกพี่สองคนได้รู้จักบ้างเหรอจ้ะ”

น้องราตรียิ้มแห้งๆก่อนจะพูดแนะนำตัวทุกคนให้รู้จัก ซึ่งหลังจากนั้นน้องราตรีก็ยืนคุยกับสองคนนั้นนานสิบนาที ทั้งสองก็ได้บอกลาทุกคนเพื่อที่จะไปทำภารกิจที่อื่นต่อ

“ท่านพี่เมฆาคะท่านพี่เมฆา” คริสตัลเรียก ซึ่งทำให้เขาหันไปมอง “น้องเคยดูจากในเว็บไซต์ ว่าเมืองนี้มีภารกิจที่สามารถอัพระดับการต่อสู้ได้ง่ายและเยอะด้วย น้องคิดว่าพวกเราน่าจะหยุดแวะทำภารกิจที่นี่สักหน่อยนะคะ”

เมฆาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองทุกคนเพื่อขอความเห็นบ้าง

“เอาตามที่น้องคริสตัลบอกก็ได้นะเมฆา เมืองดนตรีนี้ก็ดี มีภารกิจให้ทำเพื่ออัพระดับเยอะ แถมไม่ต้องเสี่ยงอันตรายด้วย” อเลนบอก ก่อนที่จะตามด้วยพวกปฐพีที่เห็นด้วยกับความคิดนั้น

“งั้นพักคืนหนึ่งที่โรงแรม แล้วตอนเช้าค่อยเดินออกมาหาภารกิจทำ”

แล้วเขาก็พาทุกคนไปพักในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทิศใต้ของเมืองดนตรีแห่งนี้ ค่ำคืนนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เมฆาก็นอนไม่หลับเพราะมีอะไรให้คิดมากมาย โดยเฉพาะเรื่องน้องราตรีหรือคุณจันทร์แรมในโลกนอกเกมที่ทำเอาเขาหัวหมุน

สับสน

นี่เราเป็นอะไรไป


แม้ว่าตัวเขาในเกมเป็นถึงเจ้าชายเมืองปีศาจที่ถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลเพราะอยากจะช่วยเหลือพ่อแม่มังกรของน้องราตรีก็ตาม แต่ชีวิตนอกเกมแล้ว เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ไร้พลังชื่ออวิ๋นเท่านั้นเอง ทว่าเมฆาต้องหยุดความคิดนั้นลงเพราะดันได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะถูกขับขานออกมาจากเบื้องนอกหน้าต่างโรงแรม

“ใครกันมาร้องเพลงตอนดึกตอนดื่นกันนะ”

เมฆาพูดพึมพำกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากโรงแรมเพื่อตามเสียงเพลงที่ตัวเองได้ยิน ซึ่งระยะทางของเสียงเพลงไม่ได้ไกลจากตัวโรงแรมที่เขาอยู่มากนัก ประกอบกับแสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ส่องสกาวสดใสบนท้องฟ้ายามกลางคืน ทำให้ชายหนุ่มได้ทันเห็นผู้ร้องขับขานเสียงเพลงนี้กำลังยืนอยู่บนหลังคาของตึกหลังหนึ่ง

น้องราตรี ไม่สิ คุณจันทร์แรม เมฆาคิดในใจพลางไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะสามารถร้องเพลงได้ไพเราะเพราะพริ้งถึงเพียงนี้ แม้นว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในร่างผู้ชายก็ตามที หากจันทร์แรมไม่ใช่ผู้หญิงล่ะก็ เขาคงจะไม่อยู่ฟังให้เสียเวลา แต่พอเขาลองฟังดูดีๆแล้ว น้องราตรีหรือจันทร์แรมกำลังร้องเพลงทำนองเศร้า ชวนสลดหดหู่ สงสัยกำลังคิดถึงคนรักที่จากไปแน่ๆเลย

เมฆาคิดในใจ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคุณจันทร์แรมมีคนรักอยู่แล้ว ถึงจะหายไปกับน้ำตกไม่มีวันหวนกลับก็เถิด คงจะยากที่จะกลับมารักใครใหม่ได้อีก พอคิดได้ดังนั้นเมฆาก็ถอนหายใจเฮือกแรงๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปทิศเดิม

กลับไปนอนดีกว่า

ไม่ทันที่เมฆาจะได้ก้าวเท้าเดินสักก้าว เสียงของคนร้องก็ได้หยุดลง

“ท่านพี่เมฆา” เสียงน้องราตรีเรียกเมฆา ซึ่งทำให้เขาต้องหยุดเดิน “ผมรบกวนเวลาพักผ่อนของท่านพี่หรือเปล่าครับเนี่ย”

เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายกระโดดลงมาจากหลังคากระทบพื้นเบาๆ ทำให้เมฆาเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงใช้ปีกมังกรในการบินแน่

“เปล่าเลย ไม่ได้รบกวน” เมฆาตอบโดยไม่หันหน้ากลับไป

ทำไมคุณจันทร์แรมยังเรียกเขาว่าเมฆาอยู่อีกนะ เมฆาครุ่นคิดอย่างหนักใจ แถมยังแสดงท่าทางเหมือนไม่รู้จักเขาว่าเป็นอวิ๋นอีกด้วย

ทว่าอวิ๋นหรือเมฆาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสิ่งที่จันทร์แรมทำไปนั้น เพื่อต้องการสอนให้อวิ๋นได้คิดว่าในเกมมันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ถูกสมมุตขึ้น ทุกคนต้องเดินไปตามบทบาทของตัวเองในเกม

“งั้นท่านพี่ก็มานั่งชมจันทร์กับผมหน่อยสิครับ พอดีผมนอนไม่หลับนะ แหะๆ”

น้องราตรีพูดชวน ซึ่งทำให้เมฆาถึงกับถอนหายใจเฮือกแรงๆอีกครั้ง

“ก็ได้ เพราะพี่เองก็นอนไม่หลับเหมือนกันกับเรานั่นแหละ”

“งั้นขึ้นมาตามผมเลยนะครับท่านพี่เมฆา”

น้องราตรีบอกก่อนจะบินขึ้นไปยืนรอบนหลังคา ซึ่งทำให้เมฆาต้องรีบกระโดดขึ้นไปตาม

ที่ยอมไปด้วยก็เพราะเห็นว่ากำลังเศร้าหรอกนะ

ครั้นพอกระโดดขึ้นไปตามแล้ว เมฆาก็เห็นน้องราตรีได้นั่งลงบนหลังคารออยู่แล้ว

“ดีนะที่วันนี้ไม่ใช่วันพระจันทร์เต็มดวง ไม่อย่างนั้นเราคงต้องสู้กันแน่ๆ” น้องราตรีพูดยิ้มๆ ก่อนจะใช้มือขวาตบลงบนหลังคาข้างตัวเองเบาๆ “มานั่งสิครับ จะยืนให้เมื่อยไปทำไมกันล่ะท่านพี่เมฆา”

เมื่ออีกฝ่ายชวนแล้ว มีหรือที่เมฆาจะไม่ทำตาม หากแต่เขาเดินเข้าไปนั่งห่างจากที่อีกฝ่ายนั่งพอควร แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ เพราะเมฆาไม่รู้จะพูดอะไรดี แถมอีกฝ่ายก็เป็นถึงคุณจันทร์แรมด้วย

“บทเพลงแห่งดวงดาว” จู่ๆ น้องราตรีก็พูดขึ้นมา ทำเอาเมฆาต้องหันไปมองอีกฝ่าย ซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองดาวบนท้องฟ้าอยู่ “เป็นเพลงที่ผมร้องยามเหงา แต่ก็ไม่ได้ร้องบ่อยหรอกนะครับ พอดีวันนี้เป็นวันครบรอบสามสิบปีที่เขาได้หายไป”

เขาที่น้องราตรีกล่าวถึงก็คือคนรักที่หายไปกับสายน้ำ ซึ่งจันทร์แรมเคยเล่าให้เขาฟังตอนอยู่นอกเกมแล้ว

“พี่ เอ่อ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”

เวลาที่น้องราตรีหรือจันทร์แรมพูดถึงคนรักทีไร เขามักจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

อิจฉา?

บ้าน่า เราจะไปอิจฉาคนที่ตายไปแล้วทำไมกัน


เมฆาคิดในใจ ในขณะที่อีกฝ่ายเลิกมองบนท้องฟ้าแล้วหันมามองเขา

“ท่านพี่เมฆามีอะไรอยากจะบอกผมหรือเปล่าฮะ” น้องราตรีเอ่ยปากถามเขาอย่างสงสัย “วันนี้ทั้งวันตั้งแต่ออนไลน์เกมมา ท่านพี่แทบไม่ค่อยจะพูดกับผมเลย แม้กระทั่งหน้าผมท่านพี่ก็ไม่ยอมมอง”

เมฆาได้ยินถึงกับสะดุ้ง

“เปล่านี่ พี่ว่าเราน่ะคิดมากเกินไปแล้ว” เมฆาบอกปัด แต่ใบหน้าคนฟังดูไม่ค่อยจะเชื่อในคำพูดนั้น “แล้วอีกอย่างวันนี้เราไม่ได้มาเดินคู่กับพี่ ก็เลยไม่ได้คุยกันตามปกติ แค่นี้เอง”

“ถ้างั้นแล้วทำไมท่านพี่ต้องนั่งห่างจากผมเป็นวาด้วยล่ะครับ”

น้องราตรีพูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาเมฆาสะดุ้งอีกครั้ง

“พี่ก็แค่…ก็แค่…”

“ผมมันน่ารังเกียจมากเลยรึไงครับ ท่านพี่ถึงได้ตีห่างจากผมนะ” น้องราตรีพูดแทรกอย่างดุดัน “หรือว่าเป็นเพราะท่านพี่ได้รู้จักตัวจริงของผมในโลกนอกเกมแล้ว ก็เลยพาลรังเกียจคนแก่ๆอย่างผม”

“พี่เปล่ารังเกียจน้องนะน้องราตรี!”

เมฆาร้องอุทานอย่างตกใจ

“โกหก” น้องราตรีพูดแย้งเสียงสั่น “ถ้าไม่รังเกียจจริง แล้วทำไมเวลาพูดกับผมถึงต้องหลบตาผมด้วยล่ะ แต่ก็ช่างเถอะ ผมมันคงแก่เกินไป ท่านพี่ก็เลยรังเกียจที่จะคุยด้วย…”

“ไม่ใช่! พี่ไม่ได้รังเกียจน้อง แต่พี่…พี่…”

“พี่อะไร อย่ามาพูดแก้ตัวกับผมหน่อย…”

“พี่รักน้อง! เข้าใจไหมว่าพี่รักน้อง!” เมฆาตวาดเสียงดังลั่น ก่อนจะหยุดพักหายใจมองเห็นสีหน้าอันตื่นตะลึงของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่เขา “พี่ ไม่สิ ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเข้าใจผิด คุณจันทร์แรม ผมไม่ได้รังเกียจคุณว่าแก่เลยซักนิด แต่เป็นเพราะ…เพราะผมรักคุณต่างหากคุณจันทร์แรม ทีแรกผมสับสนอย่างบอกไม่ถูกว่าทำไมตัวผมเองถึงไปหลงรักเพศเดียวกันได้ แต่พอได้รู้ตัวตนจริงของน้องราตรีในนอกเกมแล้ว มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกรักคุณมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่ผม…ผม…รู้สึกอายที่ได้คุยกับคุณก็เท่านั้นเองครับ”

พอเมฆาพูดจบ อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มหวานมาให้เขา

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะท่านพี่ถึงได้หลบหน้าผมอยู่ตลอด” น้องราตรีหรือคุณจันทร์แรมพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วจึงค่อยหันหน้ากลับมามองเขาต่อ “ขอบคุณท่านพี่ที่บอกความรู้สึกผมให้รู้ แต่…”

“แต่?”

“แต่ผมรับรักใครอีกไม่ได้แล้ว”

เปรี้ยง!

เหมือนมีเสียงฟ้าร้องผ่าเข้าที่กลางหัวใจเมฆาอย่างกะทันหัน พร้อมกับความรู้สึกที่เข้ามากระจุกรวมกันจนเขารู้สึกอึดอัด

“ทำไม?” เมฆาพูดเสียงสั่นเมื่อได้รับคำตอบปฏิเสธอย่างฉับพลัน

“คงเป็นเพราะผมยังรักเขาอยู่” น้องราตรีหรือจันทร์แรมตอบ “ถึงเขาจะตายจากผมไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังไม่สามารถลืมเขาลงได้ แล้วอีกอย่างผมก็คงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน จะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นผมถึงไม่อยากรับรักใครอีก ท่านพี่เมฆา ผมต้องขอโทษด้วยอีกครั้งที่ผมทำให้ท่านพี่ต้องเสียใจ”

เมฆาได้ยินเหตุผลที่อีกฝ่ายบอกแล้วถึงกับขบริมฝีปากเบาๆ

“ไม่” เมฆาแย้งกะทันหัน ซึ่งทำเอาน้องราตรีถึงกับขมวดคิ้ว “ผมจะรอ รอจนกว่าคุณจะหมดรักเขา รอนานแค่ไหนผมก็ยอม แต่ขอให้ผมได้อยู่ข้างเคียงคุณจะได้ไหมครับคุณจันทร์แรม”

พอเขาพูดจบ อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจเฮือกพลางส่ายหน้าไปมา

“อย่าดื้อสิครับท่านพี่เมฆา” น้องราตรียังคงใช้คำพูดผู้ชายตามเดิม ถึงแม้ว่าเมฆาจะเปลี่ยนคำพูดในการเรียกตัวเองไปนานแล้ว “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่สามารถรับรักใครได้ แล้วอีกอย่างผมเห็นท่านพี่เป็นแค่พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ไม่ได้เห็นท่านพี่เป็นผู้ชายคนหนึ่งเลยซักนิดเดียว”

ฉึก!

เหมือนมีศรมาแทงหัวใจเมฆา ทำเอาเขารู้สึกกระอักกระอ่วนจนพูดอะไรไม่ออก

“ผมเองก็ไม่ได้อยากใจร้ายกับท่านพี่หรอกนะครับ เพียงแต่ผมไม่อยากเห็นท่านพี่ต้องเจ็บปวดยามเมื่อผมไม่ได้อยู่บนโลกนี้ก็เท่านั้นเอง” น้องราตรีบอกด้วยน้ำเสียงที่เศร้า ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแทน “เอาเป็นว่าผมรับท่านพี่เป็นเพื่อนแทนได้ไหมครับ เพราะยังไงท่านพี่ก็เสมือนเพื่อนกับพี่ชายของผมคนหนึ่งล่ะ”

เมฆาได้ยินดังนั้นถึงกับถอนหายใจเฮือกแรงๆ

นี่เราเป็นได้แค่เพื่อนกับพี่ชายเองหรอกรึ?

เมฆาคิดในใจอย่างยอมแพ้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ได้บอกความรู้สึกของตัวเองไปจนหมดแล้ว แถมอีกฝ่ายก็ได้บอกความรู้สึกของตัวเองให้เขาได้ทราบแล้วเช่นกัน พอคิดได้ดังนั้นแล้วเมฆาก็ฉีกยิ้มออกมา เขาแพ้อย่างราบคาบโดยสิ้นเชิง แพ้ให้กับคนที่ตายไปแล้วชนิดที่ว่าสู้ไม่ได้เลยซักนิดเดียว

“ได้ครับ เพื่อมิตรภาพแล้ว พี่จะยอมเป็นพี่ชายกับเพื่อนแสนดีของน้องแล้วกัน”

เมฆาบอกแต่ในใจคิดไปอีกอย่าง นี่ถ้าน้องราตรีได้รู้ความจริงเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกว่ามีพ่อเป็นราชาปีศาจ และปกปิดเรื่องที่ซ่อนของพ่อแม่มังกรอีกด้วยแล้วล่ะก็

เมื่อถึงตอนนั้นจริง…

น้องราตรีจะยังยอมรับเขาเป็นพี่ชายหรือเพื่อนได้อยู่อีกหรือ…


...........................................

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 57 สารภาพรัก (update 100%) P.4 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tutankamen ที่ 04-03-2015 23:31:05
ซีนนี้ คุณปู่ คุณทวด เค้า คุยกัน -*-
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 57 สารภาพรัก (update 100%) P.4 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 05-03-2015 08:03:02
บทที่ 58 ความตาย 1

...........................................

รุ่งเช้าของการออนไลน์วันที่สองของราตรีหรือรัตติ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว รัตติกับมาริโอก็พากันออกจากห้องพักก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างเพื่อลงไปทานอาหารเช้า

“อรุณสวัสดิ์ครับน้องรัตติน้องมาริโอ เมื่อคืนหลับสบายดีไหมเอ่ย” อเลนกล่าวทักทายพวกเธอทันทีที่เห็นว่ากำลังเดินลงบันไดมาแล้ว

“ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ครับ” รัตติตอบพลางคิดในใจไปพลาง เพราะเมื่อคืนกว่าจะเดินกลับมาในโรงแรมพร้อมกับท่านพี่เมฆาได้ก็ปาเกือบตีหนึ่งแล้ว “ที่นอนแข็งไป แถมเมื่อคืนอากาศก็เย็นด้วย ก็เลยทำให้ผมนอนไม่ค่อยจะหลับนะครับพี่อเลน”

รัตติไม่ได้พูดโกหก ที่นอนของโรงแรมแข็งไปจริงๆ แล้วเมื่อคืนอากาศก็เย็นด้วย เลยทำให้เธอยิ่งนอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ ไหนจะเรื่องที่ท่านพี่เมฆามาสารภาพรักเมื่อคืนนี้อีก

“งั้นน้องรัตติมาดื่มโสมหน่อยไหมครับ พี่ทำเองกับมือเลยเชียวนะ” ปฐพีที่นั่งฟังอยู่นานแล้ว ก็ได้ผุดลุกขึ้นก่อนจะยกถ้วยขึ้นมาเสนอให้ถึงที่ ซึ่งทำเอาศาสตรา พิภพถึงกับตกใจในท่าทีของปฐพีที่เปลี่ยนไป

“เฮ้ย ทำไมจู่ๆปฐพีนึกเอาใจน้องรัตติได้วะ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันออกจะเกลียดน้องเขาแทบเป็นแทบตาย” ศาสตราพูดกระซิบกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“นั่นสิ ฉันเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน” พิภพพูดอย่างเห็นด้วยกับความคิดนั้น เพราะตั้งแต่พวกเขาได้ออนไลน์เกมอีกครั้ง ปฐพีก็ทำท่าเอาอกเอาใจน้องรัตติราวกับเป็นคนพิเศษ “หรือว่า...น้องรัตติจะเป็น...คุณยายที่ปฐพีกำลังตามหานะ”

พอพิภพพูดจบ ศาสตราถึงกับสะดุ้ง

“เฮ้ย เป็นไปไม่ได้หรอกน่า อย่างน้องรัตติหรือจะเป็นคุณยายของปฐพีได้ ไม่มีทางเด็ดขาด”

“ไม่รู้สิ ฉันก็แค่เดาเอา” พิภพพูดพลางยักไหล่ ก่อนจะหันไปดูน้องรัตติกับปฐพีต่อ ซึ่งรัตติได้กล่าวขอบคุณแล้วยกขึ้นดื่ม

“แล้วนี่ท่านพี่เมฆาได้เดินออกมาจากห้องพักแล้วรึยังครับ” รัตติถามต่อหลังจากดื่มเสร็จ

“ยังนะ” อเลนตอบหน้ามุ่ย “เมื่อวานไม่รู้มันเป็นบ้าไร เดินออกไปข้างนอกดึกๆดื่นๆ กลับมาก็ถีบพี่จนตกที่นอน นี่ถ้าไม่เห็นว่าติดคำสาปอยู่ล่ะก็ คงถีบกลับไปนานแล้ว”

คำพูดของอเลน ทำเอารัตติ ปฐพี ศาสตรา พิภพ คริสตัล คอเบียร์ และงุ้งงิ้งต่างตกตะลึงไปตามๆกัน เพราะเท่าที่ดูจากภายนอกแล้ว เมฆาแทบไม่เป็นอะไรเลยซักนิด

“คำสาป?” รัตติพูดพลางขมวดคิ้ว “คำสาปอะไรหรือครับ”

อเลนได้ยินที่รัตติถามก็ถึงกับชะงักราวกับรู้ว่าตัวเองเผลอพลั้งพูดอะไรออกมาไม่รู้ตัว

“เอ่อ คือ” อเลนพูดเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ คำสาปปีศาจนะ พอดีเมฆาไปโดนมาจากมอนสเตอร์ที่เป็นปีศาจ ก็เลยทำให้กลายร่างเป็นปีศาจในคืนพระจันทร์เต็มดวง น้องรัตติน้องมาริโอก็เคยเห็นมาแล้วนี่ครับ”

รัตติได้ยินก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ไม่ใช่แค่เป็นปีศาจเพียงอย่างเดียว ร่างกายของเขาจะอ่อนแอจนต่อสู้ไม่ค่อยจะไหว เท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มีแรงได้เพราะน้ำยาเพิ่มพละกำลัง”

“แล้วไม่มีทางแก้ไขได้เลยหรือครับ” ปฐพีถามอย่างสงสัย เพราะชายหนุ่มก็เป็นห่วงเพื่อนอยู่เหมือนกัน “อย่างพวกน้ำยาแก้คำสาปอะไรพวกนี้ ผมก็มีอยู่นะ”

อเลนส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ไม่ได้หรอก ของพวกนี้จะแก้คำสาปไม่ได้ถ้าหากไม่ได้จัดการตัวต้นเหตุซะก่อน”

“ถ้างั้นมอนสเตอร์ปีศาจนั่นคือตัวอะไรล่ะครับ พวกผมจะได้พาพวกสมาชิกในสมาคมจับฉ่ายไปช่วยฆ่าตัวนั้นให้” ปฐพีถามต่ออย่างคาดเดา เพราะคิดว่ามอนสเตอร์ปีศาจตัวนั้นคงจะมีระดับที่สูงพอกับเมฆาแน่ๆ ดังนั้นการจะช่วยฆ่าตัวนั้นให้ต้องพาคนเก่งๆหลายคนไปช่วยถึงจะประสบความสำเร็จ

“ปีศาจตัวนั้นคือ…”

“คือปีศาจธรรมดา” เสียงเมฆาดังมาจากด้านหลังอเลนที่เพิ่งจะเดินลงบันไดมา “แต่มันเป็นบั๊ก แล้วมันก็หายไปไหนไม่รู้”

“บั๊กงั้นหรือ งั้นก็ต้องไปแจ้งกับพวกจีเอ็มสิ” ปฐพีพูดต่อ ซึ่งเมฆายกมือขึ้นห้าม

“ไม่ต้องหรอกปฐพี กะอีแค่หมดแรง ดื่มน้ำยาเพิ่มพละกำลังก็สามารถต่อสู้ได้แล้วนะ” เมฆาบอกก่อนจะพูดต่อ “ฉันไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยาก เอ่อจริงสิ ฉันว่าเรารีบทานข้าวเช้ากันเถอะ จะได้ไปรับภารกิจในเมืองนี้กันต่อ”

“เมฆา ทำไมเจ้าต้องพูดโกหกทุกคนด้วยล่ะ” อเลนใช้พรายกระซิบถามเมฆาแทน

“นี่มันเรื่องของข้า เจ้าอย่าได้พูดออกไปเชียวล่ะ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะอเลน”

เมฆาพรายกระซิบตอบโดยไม่มองหน้า แล้วพวกเขาก็เดินออกจากโรงแรมไปก่อนจะเดินเข้าไปร้านอาหารเพื่อที่จะทานอาหารเช้า หลังจากทานอาหารเช้าแล้วพวกเขาก็เดินไปรับภารกิจที่ตึกภารกิจ ซึ่งเป็นภารกิจที่ไม่ยากแถมมีให้ทำอย่างหลากหลาย อาทิเช่น ตามหาเครื่องดนตรีในเมือง แข่งขันร้องเพลง แข่งขันเต้นตามลูกศร เป็นต้น แล้วเวลาก็ผ่านไปได้ห้าวันเต็ม รัตติ คริสตัล งุ้งงิ้งและคอเบียร์ต่างอัพเลเวลขึ้นมาแบบพรวดพราด โดยรัตติกับคริสตัลอยู่ที่ห้าสิบ ส่วนงุ้งงิ้งกับคอเบียร์ได้สี่สิบห้า ซึ่งถือว่าเป็นการอัพเลเวลที่คุ้มค่าพอสมควร ยกเว้นมาริโอที่ไม่ได้อัพเลเวลเหมือนกับคนอื่น ก็เลยงอแงจนรัตติต้องพามันไปกินไอศกรีมแทน

“เอาล่ะ หมดภารกิจของเมืองนี้ซักที พี่ว่าพวกเราก็รีบออกเดินทางกันต่อเถอะ” เมฆาพูดพลางถอนหายใจ พวกเขาหยุดแวะพักทำภารกิจที่เมืองดนตรีนานเกินพอสมควรแล้ว ซึ่งทุกคนเห็นด้วยดังนั้นจึงรีบออกเดินทางต่อทันที การเดินทางไปป่าสัตว์อสูรครั้งแรกของรัตติไม่นานนักเพราะติดอยู่กับเมืองดนตรี หากแต่มีเขตอาคมกั้นระหว่างเมืองดนตรีกับป่าสัตว์อสูรเอาไว้ “พอผ่านเขตนี้แล้ว ก็ระวังๆตัวกันหน่อยนะ เพราะในป่านี้มีสัตว์อสูรมาก”

เมฆาบอกทุกๆคน ซึ่งยกเว้นพวกปฐพีที่เคยมาแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร แล้วพวกเขาก็วางแผนโดยมีเมฆากับอเลนอยู่เบื้องหน้าคอยเป็นตัวล่อ ส่วนพวกปฐพีคอยคุ้มกันพวกรัตติอยู่ด้านหลัง ซึ่งการเก็บเลเวลครั้งนี้ออกจะยากกว่าที่อื่นเป็นไหนๆ เพราะต่างเจอสัตว์อสูรระดับห้าสิบขึ้นไป ทำให้รัตติต้องรวมร่างกับมาริโอเพื่อที่จะได้สู้อย่างสบาย

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์อัพเลเวลจาก50 เป็น51”

เสียงระบบประกาศบอกรัตติก่อนที่เมฆาจะบอกให้ทุกคนได้หยุดพักหายเหนื่อย

“เดี๋ยวนี้อาหารมื้อเที่ยงนี้พวกผมจะเป็นคนทำให้นะเมฆา” ปฐพีบอก ซึ่งเมฆาพยักหน้าตอบตกลง ก่อนที่ปฐพีจะใช้ศาสตรากับพิภพให้ไปหาฟืนกับน้ำมา ส่วนเจ้าตัวก็งัดอุปกรณ์การทำอาหารกับวัตถุดิบขึ้นมาทำอย่างเร็ว

“ให้ผมช่วยไหมครับพี่ปฐพี” รัตติถามอย่างมีมารยาท ถึงแม้เธอจะรู้ว่าปฐพีเป็นหลานชายของตัวเองก็ตาม แต่เธอก็ยังคงแสดงเป็นน้องราตรีหรือรัตติตามเดิม ส่วนปฐพีก็เช่นกัน เขาร่วมมือกับคุณยายในการแสดงเป็นพี่ชายกันมิให้เพื่อนของตัวเองต้องสงสัยคุณยายเอาได้

“อย่าเลยน้องรัตติ น้องเพิ่งจะต่อสู้มาหมาดๆ ไปพักผ่อนให้สบายตัวเถิด เดี๋ยวทางนี้พวกพี่จัดการให้เอง” เมื่อปฐพีบอกมาแบบนั้น รัตติจึงต้องจำใจไปนั่งพักอย่างช่วยไม่ได้ พอนั่งลงพิงกับต้นไม้แล้ว เธอก็หันไปมองพวกคริสตัลที่กำลังนั่งคุยกับงุ้งงิ้งและคอเบียร์อย่างสนุกสนาน ซึ่งต่างกับเธอที่คิดถึงพ่อแม่มังกรใจแทบขาด

ป่านนี้แล้วท่านพ่อท่านแม่จะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ

ราตรีคิดในใจ ถึงที่นี่จะเป็นเพียงแค่เกม แล้วสองคนนั้นก็เป็นเพียงแค่เอ็นพีซีที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่ผู้เล่นแบบเดียวกับเธอ แต่เธอก็รักพวกเขาเสมือนพ่อแม่ของเธอจริงๆ มีหนทางเดียวที่จะไปช่วยพวกท่านได้ก็คือ ต้องแข็งแกร่งให้เทียบเท่าราชาปีศาจหรือไม่ก็เก่งกว่าเท่านั้น พอคิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมา ซึ่งเธอไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น โดยแสร้งทำเป็นขอตัวไปอาบน้ำเพื่อคลายร้อน แต่ก่อนจะไป เมฆาได้ให้กำไลกับเธอ

“ใส่มันซะ จะได้อำพรางกายพวกสัตว์อสูรได้”

“ครับ ขอบคุณครับท่านพี่”

แล้วเธอก็เดินไปก่อนจะสวมกำไลทันที ทำให้ร่างของเธอเลือนหายไปกับอากาศ หลังจากที่ราตรีเดินมาถึงลำธารแล้ว เธอก็หยุดเดินก่อนจะนั่งลงข้างลำธาร

“ฮือๆ” ราตรีสะอื้นไห้เสียงเบาเพราะเกรงว่าจะทำให้เพื่อนๆที่อยู่ไม่ไกลจะได้ยินเข้า และถึงแม้ว่าราตรีจะสวมกำไลอำพรางร่างกายอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถอำพรางหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากนัยน์ตาของเธอลงบนพื้นดินได้ “ท่านพ่อท่านแม่...ข้าคิดถึงพวกท่าน...ทำไมพวกท่านถึงไม่มาเข้าฝันข้าอีก ฮือๆ”

ระหว่างที่ราตรีกำลังสะอื้นไห้อยู่นั้น จู่ๆ แสงสีฟ้าจากสร้อยคอผลึกเกล็ดย้อนก็เกิดเปล่งประกายแสงขึ้นมา ทำเอาราตรีถึงกับหยุดชะงัก ก่อนจะเห็นเงาคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากแสงสีฟ้า

“ท่านพ่อท่านแม่!”

แท้จริงแล้วเงาที่ราตรีเห็นนั้นก็คือเหม่ยจิงกับเดรคนั่นเอง หากแต่สภาพของทั้งคู่ทรุดโทรมผิดหูผิดตาที่ราตรีเคยเห็นเมื่อครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกัน

“ร้องออกมาเถอะลูกรัก” เหม่ยจิงพูดปลอบใจลูกชายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยน “ร้องเสียให้พอ เพราะหลังจากนี้ไปเจ้าจะต้องเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้อีก”

“ท่านแม่!”

ราตรีร้องเรียกเหม่ยจิงทั้งน้ำตา พลันลุกขึ้นยืนแล้วสวมกอดร่างเงาของผู้เป็นแม่ แต่ทว่าก็คว้าได้แต่เพียงอากาศเท่านั้น

“อ้าว จั่วลมเลยนะลูกรัก ฮะๆ” เดรคพูดไปหัวเราะไปพลาง แต่ก็ไม่วายที่จะโดนคนรักหยิกสีข้างให้อย่างแรงจนหน้าหงิก “ง่า ข้าแค่หยอกลูกเล่นเองนะตะเองก้อ”

“ถึงจะโตแค่ไหน แต่สำหรับแม่ เจ้าคือราตรีพิสุทธิ์ตัวน้อยๆของแม่เสมอ”

“ท่านแม่”

เท่านั้นแหละ ราตรีถึงกับปล่อยโฮออกมาทันที ซึ่งราตรีใช้เวลาร้องไห้อยู่ไม่นานก็หยุดร้อง ก่อนจะมองพ่อแม่อีกครั้ง

“ท่านพ่อท่านแม่” ราตรีเรียกทั้งคู่พลางใช้มือปาดน้ำตาออก “ตอนนี้ลูกได้เพื่อนมาเยอะแล้ว แต่ยังไม่เก่งกล้าสามารถพอที่จะไปช่วยพวกท่านได้ ท่านพ่อกับท่านแม่รอลูกหน่อยนะ อีกไม่นานลูกต้องไปช่วยพวกท่านแน่”

คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้ยินที่ลูกชายพูดออกมาถึงกับเป็นปลื้ม แต่ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไรกับลูกชาย ภาพของทั้งคู่ก็พลันจางหายไปต่อหน้าราตรีทันที แล้วราตรีก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะมองไปข้างหน้า

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะต้องเข้มแข็งขึ้นอีกให้จงได้”

พอพูดจบ ราตรีก็รีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบเดินกลับไปหาพวกเพื่อนๆต่อ เมื่อเธอเดินไปถึงแล้ว ก็เห็นธิดา หงส์หยก และปลาที่มีมาริโอนั่งตักอยู่ด้วยกำลังนั่งคุยกับเมฆาและอเลนอย่างสนุกสนาน พอหันไปอีกด้าน เธอก็เห็นงุ้งงิ้งกับคอเบียร์นั่งขัดดาบกับโล่อยู่ ซึ่งเธอเดาไม่ออกว่าสองหนุ่มนี้ขัดอาวุธให้ใครกันแน่ ส่วนปฐพี ศาสตรา และพิภพนั้นกำลังทำอาหารจวนใกล้จะเสร็จแล้ว เนื่องจากราตรียังรู้สึกไม่หายเศร้าดี จึงนั่งลงโดยไม่คิดจะถอดกำไลออก

ขอนั่งเงียบๆอยู่อย่างนี้สักพักหน่อยแล้วกัน

..........................................

ซึ่งราตรีใช้เวลาอยู่ไม่นาน เธอก็ลุกขึ้นเดินกลับไปทางเดิมก่อนจะถอดกำไลออกมา แล้วแสร้งทำเป็นเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ

“อ้าวท่านพี่ธิดา พี่หงส์หยก พี่ปลามาที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย” รัตติแสร้งทำเป็นทักทายด้วยความแปลกใจ ซึ่งทำเอาคนทักหันมายิ้มให้กับเธอ

“พอดีพี่มาเก็บเลเวลแถวนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วจ้ะน้องรัตติ มามะ มานั่งข้างพี่เร็ว”

“ครับ”

แล้วรัตติก็นั่งลงตามคำเชิญ ก่อนที่ธิดาจะชวนเธอคุยถามสารทุกข์สุกดิบต่างๆนานา จนกระทั่งถึงเวลาอาหารซึ่งรัตติได้เอ่ยปากชวนพวกพี่ธิดาร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วย และแน่นอนว่าปฐพีถึงกับหน้าบึ้งเมื่อรู้ว่าธิดามานั่งทานข้าวด้วย

เอ สองคนนี้มีอะไรกันแน่ สงสัยจริงๆ

รัตติคิดในใจก่อนจะใช้พรายกระซิบถามหลานชายตัวดีเดี๋ยวนั้น

“ธิดาเป็นอะไรกับหลานกันฮึตานพ ถึงได้จงเกลียดจงชังเธอนักนะ” ราตรีถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาปฐพีที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับหยุดชะงัก “ตอบยายมาดีๆล่ะ ไม่อย่างนั้นยายจะเอาเรื่องธิดาไปบอกแม่มีนาไม่รู้ด้วยนะ”

ปฐพียังไม่ตอบคำถามของเธอเดี๋ยวนั้น ทำเป็นตักข้าวเข้าปากก่อนจะเคี้ยวข้าวอย่างเชื่องช้าทั้งๆที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อไหลไคลย้อย

“โธ่คุณยายครับ ผมกับธิดาไม่ได้มีอะไรซักหน่อย ก็แค่…ไม่ถูกกันนิดหน่อย” ปฐพีพรายกระซิบตอบ “แล้วอีกอย่างธิดาก็เป็นเพื่อนของผม ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คุณยายคิดสักหน่อย”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับยาย บอกยายมาซะดีๆตานพ ว่าเป็นแค่เพื่อนหรือกิ๊กกันแน่ ถ้ากิ๊กล่ะก็…”

“ไม่ใช่กิ๊กแน่ครับคุณยาย! ผมรับรองได้” ปฐพีหรือนพรีบเถียงอย่างเร็ว เพราะกลัวจะโดนแส้พิฆาตเหมือนตอนอยู่ในถ้ำ หากแต่ปฐพีโดนคุณยายจับจ้องเอาผิด จึงทำให้ปฐพีถึงกับถอนหายใจ “เอ่อ ผมขอโทษ ผมผิดเองที่เคยหลงผิดชั่ววูบ หลงรักธิดาอยู่พักใหญ่ แต่คุณยายครับ คุณยายไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ผมไม่ได้รักหรือชอบธิดาแล้วครับ ผม…ผมรักมีนาคนเดียว และไม่คิดจะรักใครอีกแล้วครับ ถ้าคุณยายไม่เชื่อล่ะก็ ผมสาบานให้ตอนนี้เลยก็ได้นะครับ”

“หึๆ ไม่ต้องสัญญาหรอก ยายรู้ดีว่าแกไม่กล้าทำแน่ ว่าแต่หลานรู้จักธิดาตอนไหนล่ะ”

“ตอนที่เล่นเกมนี้ใหม่ๆ ครับ ตอนนั้นธิดาเป็นเพื่อนผู้หญิงคนแรกของผม เราคุยกันถูกคอ จนสนิทกัน แล้วก็กลายเป็นชอบโดยไม่รู้ตัว” ปฐพีตอบพลางยกน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหาย “แต่…ผมกับธิดา เอ่อ ไปด้วยกันไม่ได้ ธิดากับผมเป็นแฟนกันไม่ได้…ไม่ได้จริงๆ”

“ทำไมถึงเป็นไม่ได้ล่ะ ถ้าเป็นแค่ความรู้สึกในเกม หรือแกแอบคิดเลยเถิด หา เจ้านพ” ราตรีถามอย่างสงสัย ส่วนอีกฝ่ายเมื่อได้ยินที่เธอถามแล้ว ถึงกับเอามือปาดเหงื่อ ก่อนจะพรายกระซิบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มว่า

“เอ่อ คือว่า ที่ผมรักธิดาไม่ได้ ก็เพราะ…ธิดาเขา เป็น เอ่อ เป็น…”

“เป็น?”

“เป็น…ผู้ชายครับ ตัวตนจริงของธิดาในโลกนอกเกมเป็นผู้ชายครับคุณยาย”


คำตอบของปฐพีทำเอารัตติถึงกับอ้าปากค้าง เพราะที่แล้วมาเธอหลงนึกว่าธิดาเป็นผู้หญิงมาโดยตลอด

นี่มันอะไรกัน นึกว่ามีเพียงเธอคนเดียวที่เกิดมาในเกมแล้วจะตรงข้ามกับเพศของตัวเอง

แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีธิดาอีกคนด้วย

เหลือเชื่อจริงๆ

ให้ตายสิ


“สรุปว่าตอนนี้นพกับธิดาเป็นแค่เพื่อนกันสินะ” ราตรีคิดพลางถอนหายใจเฮือก จะว่าไปธิดาก็น่าสงสารไม่น้อย จากที่เคยคบกันจนถึงขั้นรู้ใจ และถึงกับยอมสารภาพเปิดเผยตัวตน แต่กลับถูกหลานชายของเธอปฏิเสธเอาเมื่อรู้ความจริง “แล้วหลานยอมรับเขาเป็นเพื่อนหรือเปล่าล่ะ”

ปฐพีผงกหัวนิดหน่อยก่อนจะพรายกระซิบตอบกลับมาว่า

“ครับ แต่มันทำใจลำบาก”

เฮ้อ? ราตรีได้แต่แอบถอนหายใจ ความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย ไม่แม้แต่จะคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ผลมันก็เป็นแบบนี้นั่นแหละ

น่าเห็นใจจริงๆ

ราตรีคิดในใจด้วยความเวทนาคนทั้งสอง ที่เผลอปล่อยใจให้อารมณ์ชักนำจนลืมกระทั่งความรอบคอบ ก่อนจะเลิกถามคำถามกับหลานชายตัวเองแล้วหันมาลงมือทานอาหารต่ออย่างเงียบๆ หลังจากที่ทุกคนทานข้าวกลางวันเสร็จกันเรียบร้อยแล้ว ก็ช่วยกันทำความสะอาดจานชามที่ตัวเองใช้ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหมกมุ่นกับงานล้างจานอยู่นั้น…

“ปีศาจ! ปีศาจเป็นฝูงเลย!” มาริโอเงยหน้าตะโกนเสียงดังลั่น พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปยังท้องฟ้า ซึ่งทำให้ทุกคนรีบเงยหน้าขึ้นไปมองตาม ทำให้เห็นปีศาจจำนวนนับพันกำลังลอยมาทางนี้ แถมสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกปีศาจก็เป็นบุคคลที่ราตรีพิสุทธิ์ไม่มีวันลืมกำลังขี่อาชาสีดำลอยมาบนท้องฟ้า ใบหน้าอันโหดเหี้ยมของคนที่ลักพาตัวพ่อกับแม่ของเธอไป

ราชาปีศาจ!

“ทุกคน! รีบคุ้มกันน้องราตรีเร็วเข้า!!” เมฆาที่อยู่ใกล้ราตรีมากที่สุดร้องตะโกนบอกเสียงดังลั่น ซึ่งทำให้ทุกคนรีบทิ้งจานชามของตัวเองก่อนจะกระโจนเข้ามาบังราตรีอย่างลืมตัว

“อเลน! ร่ายเขตอาคมเร็ว!” เมฆาออกคำสั่งกับเพื่อนก่อนจะหันไปทางพวกปฐพี “ปฐพี ศาสตรา พิภพ ฝากคุ้มกันหลังด้วย!”

“รับทราบ!” แล้วเมฆาก็หันไปทางพวกธิดา

“พวกคุณป้องกันซ้ายกับขวา ส่วนผมจะลุยด้านหน้าเอง!”

“ตกลง”

ด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิด ต่อให้ทุกคนอยู่คนละสมาคมก็ตาม แต่ถึงกระนั้นก็ยอมช่วยปกป้องราตรีเป็นอย่างดีโดยไม่ต้องถามให้เสียเวลา เพราะต่างรู้ดีกันอยู่แล้วว่าราชาปีศาจพากองทัพปีศาจมาทำไม ส่วนทางด้านราชาปีศาจที่มากองทัพปีศาจมาถึงจุดหมายแล้ว ก็หยุดชะงักกลางอากาศก่อนจะก้มหน้ามองมาทางราตรีกับเมฆาที่ยืนอยู่ใกล้กัน

“หึ เจ้าลูกทรพี ที่แท้ก็แอบมากกชู้รักนี่เอง มิน่าล่ะ ถึงหาตัวไม่เจอซักที”

ลูก? ราชาปีศาจพูดถึงใครนะ

ราตรีขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับคำพูดของราชาปีศาจ ทว่าด้วยความแค้นที่ฝังอกมานานแสนนานทำให้ราตรีเลิกสนใจก่อนจะรวมร่างกับมาริโออย่างเร็ว ส่วนคนอื่นๆต่างก็เรียกอาวุธของตัวเองมาด้วยเช่นกัน

“ทุกคนบุก! จับตัวเจ้าชายมังกรมาให้ข้า นอกนั้นฆ่าได้หมดอย่าให้เหลือ”

“โอ๊ทส์!”

.................................

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 57 สารภาพรัก (update 100%) P.4 4/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 05-03-2015 08:10:52
บทที่ 59 ความตาย 2

..........................................

ฉัวะ! ผัวะ! เคล้ง! ตูม!

เสียงการต่อสู้โรมรันตลอดเวลา ถึงแม้ทุกคนจะมีระดับการต่อสู้ที่สูงพอจะสู้กับพวกปีศาจได้ก็จริง แต่จำนวนของปีศาจที่สู้ด้วยมันมีมากเกินไป ทำให้ทุกคนเริ่มรับมือไม่ไหว

“กรี๊ด!” เสียงคริสตัลกรีดร้องดังลั่นเมื่อเห็นพลังเวทย์จำนวนหนึ่งตรงมายังที่เธอ ซึ่งคริสตัลรีบยกแขนขึ้นกันตามสัญชาตญาณอย่างไว

เปรี้ยง!

เสียงพลังเวทย์ปะทะกับอะไรบางอย่างดังสนั่น ซึ่งทำให้คริสตัลรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะเห็นหนึ่งหนุ่มกับหนึ่งสาวที่เพิ่งจะรู้จักก็เมื่อตอนอยู่หน้าเมืองดนตรี

“พี่ชุนหลาน พี่เทียนหลง” ราตรีหันไปเรียกชื่อคนทั้งสองด้วยความแปลกใจ ซึ่งทั้งคู่หันมายิ้มให้

“ไม่ต้องห่วงทางนี้น้องราตรี ประเดี๋ยวพวกพี่จะช่วยให้เอง” หยางชุนหลานบอกก่อนที่ทั้งคู่จะลากปีศาจออกไปจัดการซะส่วนหนึ่ง ถึงจะได้ทั้งคู่เบาแรงพวกราตรีแล้วก็ตาม แต่จำนวนปีศาจกลับมิได้ลดน้อยถอยลงเลย ซึ่งทางด้านเมฆาที่เกือบพลั้งเผลอถูกปีศาจระดับสูงฆ่าตายเพราะพละกำลังเริ่มอ่อนแรง ก็ได้มีไพ่ปริศนาเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทัน

ปัก! ปัก! ปัก! ปัก!

7098


7023

7021

7088


ไพ่ปริศนาปักที่ลำคอของปีศาจสี่ตนที่รุมล้อมเมฆาพร้อมกันทีเดียว หากแต่เมฆาหาได้สนใจไม่ เพราะต้องหันไปสู้กับปีศาจตัวอื่นต่อ

ฉัวะ!

3000

3897

วูบ!


“ไม่นะคอเบียร์ งุ้งงิ้ง!”

คริสตัลกรีดร้องเมื่อเห็นสองหนุ่มถูกปีศาจฆ่าตายต่อหน้าต่อตา และด้วยความเผลอไผลของเธอทำให้โดนปีศาจที่ซ่อนอยู่ทางหลังใช้กรงเล็บแทงเข้าที่กลางหลังอย่างแรง

ฉึก!

4874


“อั่ก!”

“น้องคริสตัล!” ปฐพีได้แต่ร้องเรียกชื่อด้วยความเจ็บปวด หากเขาไปช่วยได้ คงไปช่วยนานแล้ว

วูบ!

อีกหนึ่งชีวิตที่จากไปพร้อมกับแสงสีขาว ทำให้ราตรีนึกเจ็บปวดใจที่ช่วยใครไม่ได้

“ยอมแพ้ดีกว่าไหมไอ้ลูกชั่ว” จู่ๆ ราชาปีศาจก็พูดขึ้นมา “หึ แค่นำตัวราตรีพิสุทธิ์มา พ่อก็จะให้อภัยเจ้า แล้วเพื่อนของลูกจะได้ไม่ต้องตาย…”

“เมฆาลูกพ่อ” คำสุดท้ายที่ได้ยินทำให้ดาบที่ราตรีถืออยู่ถึงกับหลุดมือ

ท่านพี่เมฆา…เป็น…ลูกชายของ…ราชาปีศาจ

ฉึก!

7897


ด้วยห้วงความคิดทำให้ราตรีเผลอลืมว่าตัวเธอกำลังอยู่ในดงศัตรู ทำให้ปีศาจที่อยู่ด้านหลังของเธอใช้ดาบแทงเข้าที่กลางหลังทะลุไปยังอกด้านหน้า

“เนื่องด้วยผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ถูกปีศาจโจมตีในจุดตาย ฉะนั้นผู้เล่นจะต้องตายภายในห้าวินาที”

เสียงระบบประกาศในหัวของราตรีพร้อมกับความเจ็บปวดเสียดที่หน้าอก ทำให้ราตรีถึงกระอักเลือดออกมา

“ห้า”

“น้องราตรี!/น้องรัตติ!”

ทุกคนเรียกเธอพร้อมกันเป็นเสียงเดียว หากแต่จะเข้ามาช่วยก็โดนปีศาจขัดขวางเอาไว้ ส่วนปีศาจที่ใช้ดาบแทงราตรีนั้น ก็ได้ถูกราชาปีศาจใช้เวทย์ไฟแผดเผาเสียไม่เหลือแม้แต่ผงธุลี

“สี่”

“ข้าสั่งให้นำตัวมา ไม่ใช่ให้ฆ่า!”

“สาม”

ภาพในสายตาตอนนี้เริ่มขมุกขมัวจนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

“สอง”

“ทนเอาไว้ก่อนนะน้องราตรี พี่จะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”

เสียงของปฐพีดังกึกก้องก่อนจะตามด้วยเสียงของเมฆา

“หนึ่ง”

“ไม่นะน้องราตรี!”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ราตรีได้ยินก่อนจะดับวูบไป

......................................

“ไม่นะน้องราตรี!”

เมฆาร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่น้องราตรีจะกลายเป็นแสงสีฟ้าขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตาทุกคนที่ยังต่อสู้อยู่ ทำให้ทุกอย่างล้วนหยุดชะงักแม้กระทั่งราชาปีศาจ

น้องราตรี...

ตายแล้ว...

ตาย...


เมฆาคิดในใจพลางปล่อยดาบออกจากมือ

เคล้ง!

เสียงดาบกระทบพื้นดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ปฐพีที่ยืนถืออาวุธกัดริมฝีปากของตัวเองเสียจนเลือดออกมุมปาก ส่วนธิดายืนกำมือแน่นที่เห็นน้องชายของเธอตายไปต่อหน้า

“ฮึ ช่วยไม่ได้ ทุกคนกลับ” ราชาปีศาจสั่งลูกน้องอย่างหัวเสีย ในขณะที่ราชาปีศาจกำลังดึงเชือกอาชาให้หมุนตัววกกลับทางเดิม กลับต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงรังสีอมหิตจากลูกชายของตัวเอง แล้วทันใดนั้นร่างกายของเมฆาเกิดออร่าสีดำปกคลุมทั่วร่าง

“แย่แล้วสิ เมฆาจะกลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว” อเลนกับธิดาร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำเอาปฐพี ศาสตรา และพิภพหันไปมองด้วยความแปลกใจ แล้วร่างกายของเมฆาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากแสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขาถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคมกวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต และความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยกเว้นแต่ราชาปีศาจที่จ้องมองลูกชายด้วยความพอใจ

“ช่างเป็นปีศาจที่สง่างามอะไรเช่นนี้ ลูกข้า” ราชาปีศาจพูดเชยชมลูกชายตัวเอง ก่อนจะควบอาชากลับไปทางเดิม “ละเลงเลือดให้สำราญเถิดลูกเอ๋ย ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า!”

แล้วราชาปีศาจก็ขี่อาชาหายไปพร้อมกับกองทัพปีศาจส่วนหนึ่ง ทิ้งให้พวกอเลนต้องเผชิญหน้ากับเมฆาในร่างปีศาจท่ามกลางกองทัพปีศาจที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มาก

ชั่วอึดใจเดียว กองทัพปีศาจก็เหลือเพียงเศษซาก จากการอาละวาดของเมฆาในร่างปีศาจ ก่อนที่จะหันมายังพวกอเลน ด้วยแววตาอำมหิต อเลนที่ยังพอมีแรงเหลืออยู่ก็ตัดสินใจกางบาเรียขึ้นทันที แม้จะรู้ว่าทำได้แค่ถ่วงเวลาเล็กน้อยก็ตาม

“ฝากด้วยนะ ชุนหลาน”

“ค่ะ” จากนั้นหยางชุนหลานก็เข้าไปในบาเรีย แจกจ่ายน้ำยาฟื้นพลังให้กับทุกคนเพื่อประวิงเวลา พร้อมๆ กับรอคุ้มกัน งุ้งงิ้ง คอเบียร์ คริสตัล และรัตติ ที่กำลังจะเกิดใหม่ ให้เข้ามาอยู่ในเขตของบาเรีย ส่วนเทียนหลงก็โจนเข้าไปประจันหน้ากับปีศาจเมฆา

“เสียใจนะพวก แต่นายจะผ่านที่นี่ไปไม่ได้”

...............................

รู้สึกตัวอีกทีเธอก็มาอยู่ในห้องว่างเปล่าที่มีแต่สีขาวอยู่เต็มไปหมด และนอกจากนี้ที่นี่ยังมีผู้เล่นคนอื่นมากมายนั่งๆนอนๆอยู่อีกด้วย

ที่นี่มันที่ไหนนะ?

แล้วทุกคนหายไปไหนกันหมด


ราตรีคิดในใจอย่างสงสัย ก่อนจะตัดปัญหาโดยการเดินไปถามผู้เล่นคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับพื้น

“เอ่อพี่ชายครับ มิทราบว่าที่นี่คือที่ไหนเหรอครับ” ผู้เล่นคนที่ถูกถามลืมตาขึ้นก่อนจะมองราตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า

“น้องเพิ่งจะตายเป็นครั้งแรกสินะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ที่นี่คือห้องรอเกิดสำหรับคนที่ตายไปแล้วในเกม ซึ่งจะใช้เวลารอเกิดประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ ช่วงที่รออยู่นี้น้องก็นั่งรอไปก่อนเถอะ เพราะที่ออกจะน่าเบื่อเล็กน้อยนะ”

“ห้องรอเกิดงั้นเหรอครับ แล้วนี่ผมจะไปหาคนรู้จักที่ตายไปก่อนหน้านี้ได้ยังไงครับ” ราตรีถามอย่างสงสัย เพราะเท่าที่ดูจากสายตาของตัวเอง ภายในห้องรอเกิดกว้างสุดลูกหูลูกตา แถมผู้เล่นที่ตายแล้วมาอยู่ที่นี่ก็มีเยอะเสียจนราตรีมองหาพวกคริสตัลไม่เจอ

“วิธีนั้นไม่มีหรอก” คนเดิมต่ออย่างเบื่อหน่าย “เพราะที่นี่กว้างพอๆกับโลกในเกม ฉะนั้นต่อให้หาทั้งชั่วโมงก็ไม่มีทางเจอ”

แล้วผู้เล่นคนนั้นก็หลับตาลงต่อ ซึ่งทำให้ราตรีถอนหายใจก่อนจะเดินวกกลับมานั่งลงขัดสมาธิกับพื้น แล้วมาครุ่นคิดถึงคำพูดของราชาปีศาจ

ถ้าท่านพี่เป็นลูกชายของราชาปีศาจจริง

แล้วทำไมถึงไม่บอกเราตั้งแต่แรก

ทำไมถึงไม่ยอมบอกที่กุมขังของท่านพ่อท่านแม่

ทำไมต้องโกหกกันด้วย

ทำไมกัน?


แล้วราตรีก็นั่งสมาธิรออยู่เงียบๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง

“ขณะนี้ครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว กรุณาเตรียมตัวเข้าเกมอีกครั้งด้วยค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอก ซึ่งทำให้ราตรีรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

โทษฐานที่โกหกเรามาโดยตลอด

คอยดูเถอะ

กลับไปแม่จะซัดให้หงายเก๋ง


พอคิดเสร็จ แสงสีขาวก็ส่องจ้าจนทำให้ราตรีต้องรีบหลับตาลง ก่อนที่จะได้ยินเสียงลมพัดผ่านพร้อมกับกลิ่นไอเลือดลอยคละคลุ้งอยู่เต็มไปหมด

กลิ่นเลือด?! ราตรีคิดในใจก่อนจะลืมตาขึ้นมา ซึ่งเผยให้เห็นท้องฟ้าสีแดงกับพื้นที่ๆเธอยืนอยู่เต็มไปด้วยศพของปีศาจนอนอยู่เกลื่อนเต็มพื้นไปหมด นี่มัน…ทะเลเลือดชัดๆ

ราตรีคิดในใจก่อนจะหันไปมองรอบๆข้าง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นร่างสูงในคราบปีศาจยืนอยู่ใจกลางซากศพปีศาจที่ตั้งสูงเป็นกองภูเขากำลังปะทะกับเทียนหลงอย่างสูสี

“ไม่จริงใช่ไหม…นี่ท่านพี่…กลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว” ราตรีพูดด้วยความตกตะลึงก่อนที่มีมือน้อยๆมาดึงปลายเสื้อของเธอ

“รัตติ ข้ากลัว กลัวเหลือเกิน”

“มาริโอ” ราตรีก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีมาริโอยืนอยู่ข้างๆ “เจ้าก็ตายไปพร้อมกับข้าเหมือนกันหรือ”

“อืม ใช่” มาริโอตอบพลางเกาะเธอแน่นๆด้วยความกลัว

แล้วคนอื่นๆล่ะ หายไปไหนกันหมด

ราตรีคิดในใจพลางหันไปรอบๆเพื่อมองหาคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นบาเรียคุ้มกันอยู่ห่างๆจากจุดที่เธอยืนอยู่ประมาณสองร้อยเมตรได้ ซึ่งในบาเรียมี หยางชุนหลาน อเลน ปฐพี ศาสตรา พิภพ ธิดา หงส์หยก ปลา ส่วนคริสตัล งุ้งงิ้ง และคอเบียร์ ราตรีคิดว่าสามคนนี้คงจะเกิดก่อนเธอจึงเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งตอนนี้ทุกคนตกอยู่ในสภาพดูอิดโรยแถมเต็มไปด้วยบาดแผลหนักๆจนยากที่จะรักษาด้วยน้ำยาเพิ่มเลือด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว เธอจึงก้มหน้ามองมาริโอ

“มาริโอไปหลบอยู่กับพวกพี่ปฐพีซะ”

“ไม่เอา ข้าจะอยู่กับเจ้ารัตติ”

ราตรีสูดลมหายใจลึกๆโดยไม่ฟังเสียงพรายกระซิบของทุกคนที่พยายามเรียกเธอให้เดินไปที่บาเรียเลยซักนิด

“ไปเดี๋ยวนี้มาริโอ” ราตรีพูดเสียงเข้ม “หรือเจ้าอยากจะให้ข้าเตะส่งไปให้ถึงตรงนั้นล่ะ”

มาริโอได้ยินที่ราตรีบอกก็แทบเข่าทรุด

“ข้าไม่ไปไม่ได้เหรอรัตติ” มาริโอพูดเสียงอ่อย

“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสองนะมาริโอ”

“ก็ได้ ข้าไปก็ได้”

เมื่อมาริโอตกปากรับคำแล้ว มาริโอก็รีบวิ่งกลับไปหาพวกปฐพี ก่อนที่ราตรีจะแปลงร่างเป็นมังกรท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ตกตะลึง รวมถึงเมฆาในคราบปีศาจที่ได้ยินเสียงคำรามของราตรีก็หันมาดูด้วยความสนใจ ส่วนเทียนหลงก็รีบถอยกลับมาตั้งหลักในบาเรีย

“ถึงแม้ตอนนี้ท่านพี่จะจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ผมจะทำให้ท่านพี่กลับคืนร่างเดิมมาให้ได้” ราตรีในคราบมังกรพูดสื่อสารเมฆาผ่านทางพรายกระซิบ “เพราะฉะนั้นท่านพี่อย่าได้โกรธผมเชียวล่ะหากผมฆ่าท่านพี่ไป ขอแค่ท่านพี่กลับคืนเป็นมนุษย์ ผมก็จะทำครับ”

พอพูดจบ ราตรีก็อ้าปากพ่นไฟใส่เมฆาในคราบปีศาจที่กำลังเดินมาทันที หากแต่เมฆากระโดดหลบได้ทันก่อนจะวาดเท้าเตะเข้าที่ลำตัวของเธอ

ผัวะ!

5000

พลังลดวูบแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ราตรีบาดเจ็บมากนัก ทว่าราตรีไม่ได้ให้อีกฝ่ายโจมตีเธอเพียงอย่างเดียว เธอโต้กลับไปบ้างซึ่งทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บพอกันกับเธอ หากแต่ด้วยสภาพร่างมังกรซึ่งราตรีไม่เคยแปลงออกมาฝึกปรือฝีมือ จึงทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายรับแทนที่จะรุกเหมือนครั้งแรก ราตรีจึงกางปีกบินสู่ท้องฟ้าก่อนจะพ่นไฟลงมาใส่เมฆา ซึ่งอีกฝ่ายไม่สามารถหลบได้ทัน จึงโดนไฟของราตรีทั้งตัวไปเต็มๆแต่ก็ไม่หนักมาก จากนั้นปีกคู่หนึ่งที่ดูเหมือนปีกค้างคาวก็กางออกมาจากกลางแผ่นหลังของเมฆา เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองราตรีพลางกระพือปีกบินเข้าหาก่อนจะโจมตีด้วยหมัดทั้งสองข้างที่ใบหน้าของราตรี ส่วนราตรีก็ใช่ว่าปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำเพียงข้างเดียว เธอใช้กรงเล็บตวัดร่างของเมฆาไปด้วย ซึ่งทั้งคู่ผลัดกันรับผลัดกันรุก จนพวกอเลนที่ยืนมองในบาเรียต่างลุ้นเอาใจช่วยจนนั่งไม่ติดกับพื้น หากแต่ราตรีเริ่มรู้สึกถึงความเทอะทะของร่างกายอันใหญ่โตของตัวเธอเอง

บ้าจริง สู้ไม่ถนัดเลย

พอราตรีคิดในใจเสร็จ จู่ๆสร้อยคอผลึกเกล็ดย้อนเกิดเปล่งแสงสีฟ้าขึ้นมา ซึ่งทำให้เมฆาในคราบปีศาจตกใจจนบินถอยห่างออกราตรีอย่างรวดเร็ว จากร่างกายอันใหญ่โตก็ค่อยลดหลั่นลงมาเท่ากับเมฆา ส่วนรูปร่างที่เคยเป็นมังกรก็กลับเป็นมนุษย์ดังเดิม หากแต่ปีกที่หลังทั้งสองข้างกับมือและเท้าที่เป็นกรงเล็บยังคงสภาพอยู่ ส่วนเรื่องเกล็ดแข็งก็ยังมีให้เห็น กับหางยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันยังคงอยู่ด้านหลังแต่เล็กลงตามความเหมาะสมของมันเอง

“ท่านได้รับทักษะการแปลงร่างมังกรขั้นสุดยอด”

ราตรีแทบขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงระบบประกาศดังก้องในหัว

แค่เปลี่ยนร่างก็นับว่าเป็นทักษะได้ด้วย?

แล้วราตรีก็เริ่มโจมตีเมฆาต่อโดยที่อีกฝ่ายกำลังมองเธอด้วยความแปลกใจ ซึ่งเธอใช้กรงเล็บเป็นอาวุธ และแน่นอนว่าเมฆาไม่สามารถหลบได้ทัน จึงโดนเข้าที่ต้นแขนไปเต็มๆ

แขนหวิดขาดเลยไหมนั่น

ฝ่ายพวกกองเชียร์คิดในใจ ซึ่งการต่อสู้ระหว่างเมฆาในคราบปีศาจที่ไม่ได้สติกับราตรีในร่างมนุษย์มังกรนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว หากแต่ฝ่ายรุกกลับเป็นราตรีเสียเอง

“รีบรู้สึกตัวซะทีสิท่านพี่เมฆา!” ระหว่างการต่อสู้นั้นราตรีพยายามปลุกอีกฝ่ายให้รู้สึกตัว เพราะเธอไม่อยากจะเป็นผู้ลงมือฆ่าพี่ชายที่แสนดีอย่างเมฆา “ขอร้องล่ะ รีบๆรู้สึกตัวทีเถอะครับท่านพี่ ผมขอร้อง!”

หากแต่เมฆาหาได้รู้สึกตัวไม่ กลับแสยะยิ้มเย็นชาก่อนตวัดกรงเล็บใส่ใบหน้า ซึ่งราตรีไหวตัวทันจึงหลบกรงเล็บนั่นได้ไปอย่างฉิวเฉียดก่อนจะโจมตีกลับด้วยกรงเล็บเช่นเดียวกับเมฆา

“ทำไมพวกเราไม่ไปช่วยรัตติล่ะ” มาริโอถามพลางมองรัตติที่กำลังต่อสู้กับเมฆาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ถ้าไปได้คงไปนานแล้วล่ะน้องมาริโอเอ๋ย” อเลนตอบก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้พวกเรากำลังบาดเจ็บ แถมน้องราตรีก็เคยไปสัญญากับเมฆาไว้ว่าถ้าเมฆาแปลงร่างเป็นปีศาจเมื่อไหร่ เขาจะขอเป็นคนหยุดเมฆาด้วยมือของเขาเอง เพราะฉะนั้นน้องมาริโอดูอยู่ห่างๆเถอะ”

“แต่หนูเป็นห่วงรัตติ กลัวรัตติจะตาย” ธิดายิ้มก่อนจะเอามือลูบหัวมาริโอเบาๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วงรัตติหรอก เขาจะต้องไม่ตายแน่จ้ะ แล้วเมฆาจะต้องได้สติในเร็วๆนี้ด้วย”

พอธิดาพูดจบ พวกเขาก็หันไปมองการต่อสู้อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ทั้งคู่ไม่ได้ใช้กรงเล็บแล้ว หากแต่เป็นหมัดที่ทั้งคู่ใช้ตะบันหน้าซึ่งกันและกันอย่างมัวเมา แต่ก็มีบางครั้งที่ใช้เท้าบ้างขึ้นอยู่กับโอกาส จนกระทั่งใบหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยบาดแผลจากการชกต่อย หากแต่เมฆากลับยังไม่ได้สติเลยซักที จนทุกคนเริ่มหมดความหวัง

ขืนเป็นแบบนี้มีหวังตายทั้งคู่แน่ๆ

ในขณะที่ทุกคนกำลังจมปลักอยู่กับความคิดของตัวเอง ทันใดนั้น ราตรีก็หมุนตัวใช้หางฟาดเข้าที่ใบหน้าของเมฆาทันที

ผัวะ!

2000


เมฆาที่ถูกโจมตีกะทันหัน ถึงกับมึนไปชั่วขณะ แต่ก็เพียงพอสำหรับราตรีที่ได้โอกาสทอง จึงใช้กรงเล็บของตัวเองกระซวกเข้าที่ท้องของเมฆา

สวบ!

8000


การโจมตีของราตรีได้ทำให้คริสตัลกับมาริโอถึงกับตกใจ

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย” คริสตัลร้องถามอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของคุณทวดในคราบของราตรี “ปลุกกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องถึงกับฆ่าแกงกันด้วย โหดเกินไปแล้วนะ”

“แบบนี้ไม่เรียกว่าโหดหรอกคริสตัล เพราะการจะหยุดคนที่กำลังบ้าคลั่งให้สงบ เราต้องทำให้คนๆ นั้นหมดสติ ยิ่งเมฆาที่คลั่งจนกลายเป็นปีศาจแล้ว ยิ่งจำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงถึงจะสำเร็จ” ปฐพีพูดอธิบายให้ฟัง ซึ่งคริสตัลกับมาริโอได้ยินดังนั้นแล้วก็พยักหน้าทำความเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองราตรีต่อ ซึ่งอยู่ในสภาพที่มือขวาของตนคาอยู่ในท้องของเมฆา

“ขอบใจน้องราตรี...มากนะ...พี่ชายคนนี้...ตื่นแล้ว...ล่ะ”

เมฆายิ้มให้ราตรีก่อนจะกระอักเลือดออกมา แล้วหมดสติไป

........................................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

(นอกบท)

...............................

“ไม่นะน้องราตรี!”

เมฆาร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่น้องราตรีจะกลายเป็นแสงสีฟ้าขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตาทุกคนที่ยังต่อสู้อยู่ ทำให้ทุกอย่างล้วนหยุดชะงักแม้กระทั่งราชาปีศาจ

น้องราตรี...

ตายแล้ว...

ตาย...


เมฆาคิดในใจพลางปล่อยดาบออกจากมือ

เคล้ง!

เสียงดาบกระทบพื้นดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ปฐพีที่ยืนถืออาวุธกัดริมฝีปากของตัวเองเสียจนเลือดออกมุมปาก ส่วนธิดายืนกำมือแน่นที่เห็นน้องชายของเธอตายไปต่อหน้า

“แอร๊ย รมณ์เสีย เด็กๆ กลับ”

ราชาปีศาจสั่งลูกน้องอย่างหัวเสีย ในขณะที่ราชาปีศาจกำลังดึงเชือกอาชาให้หมุนตัววกกลับทางเดิม กลับต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงรังสีอมหิตจากลูกชายของตัวเอง แล้วทันใดนั้นร่างกายของเมฆาเกิดออร่าสีดำปกคลุมทั่วร่าง

“แย่แล้วสิ เมฆาจะกลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว”

อเลนกับธิดาร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำเอาปฐพี ศาสตรา และพิภพหันไปมองด้วยความแปลกใจ แล้วร่างกายของเมฆาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากแสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขาถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคมกวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต และความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยกเว้นแต่ราชาปีศาจที่จ้องมองลูกชายด้วยความพอใจ

“อ๊าย ลูกพ่อ เข้ม หล่อ เท่ กระชากใจม้าก มาก ฮ่า โดนฮ่ะ โดน”

“ซาตานอยู่ไหน” คำถามที่ออกมาจากปาก ทำเอาทุกคนถึงกับงุนงงไปตามๆ กัน แต่ยังไม่ทันที่จะมีใครตอบ เมฆาก็ย้ำคำถามของตนอีกครั้ง “ซาตาน อยู่ที่ไหน”

“มุงมาผิดเรื่องแย้ว แสรดดด นี่เรียล ออฟ ไลฟ์ ไม่ใช่ เดวิลแมน!”

.....................................

(นอกบท 2)

......................................

“แย่แล้วสิ เมฆาจะกลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว”

อเลนกับธิดาร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำเอาปฐพี ศาสตรา และพิภพหันไปมองด้วยความแปลกใจ แล้วร่างกายของเมฆาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากแสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขาถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคมกวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต และความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยกเว้นแต่ราชาปีศาจที่จ้องมองลูกชายด้วยความพอใจ

“ช่างเป็นปีศาจที่สง่างามอะไรเช่นนี้ ลูกข้า” ราชาปีศาจพูดเชยชมลูกชายตัวเอง ก่อนจะควบอาชากลับไปทางเดิม “ละเลงเลือดให้สำราญเถิดลูกเอ๋ย ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า!”

แล้วราชาปีศาจก็ขี่อาชาหายไปพร้อมกับกองทัพปีศาจส่วนหนึ่ง ทิ้งให้พวกอเลนต้องเผชิญหน้ากับเมฆาในร่างปีศาจท่ามกลางกองทัพปีศาจที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มาก

ชั่วอึดใจเดียว กองทัพปีศาจก็เหลือเพียงเศษซาก จากการอาละวาดของเมฆาในร่างปีศาจ ก่อนที่จะหันมายังพวกอเลน ด้วยแววตาอำมหิต อเลนที่ยังพอมีแรงเหลืออยู่ก็ตัดสินใจกางบาเรียขึ้นทันที แม้จะรู้ว่าทำได้แค่ถ่วงเวลาเล็กน้อยก็ตาม

“ไปกันเถอะชุนหลาน”

“ค่ะ” จากนั้นหยางชุนหลานก็เข้าไปในบาเรีย แจกจ่ายน้ำยาฟื้นพลังให้กับทุกคน เพื่อประวิงเวลา พร้อมๆ กับที่ งุ้งงิ้ง คอเบียร์ และคริสตัล ที่เกิดมาในเขตของบาเรียพอดี ส่วนเทียนหลงก็โจนเข้าไปประจันหน้ากับปีศาจเมฆา

“เสียใจนะพวก แต่นายจะผ่านที่นี่ไปไม่ได้ ตราบใดที่พวกเรายังอยู่” พลัน เข็มขัดรูปร่างประหลาดเหมือนตัวอักษร W ก็ปรากฏขึ้นที่เอวของเทียนหลง ก่อนที่เขาจะหยิบแฟลชไดรฟ์สีดำขึ้นมาถือในมือ ส่วนชุนหลานก็มีเข็มขัดเส้นเดียวกันปรากฏขึ้น พลางล้วงไปในอกเสื้อ หยิบแฟลชไดรฟ์สีเขียวขึ้นมาถือไว้

ไซโคลน / โจ๊กเกอร์

“แปลงร่าง”

สิ้นเสียงของทั้งสอง ชุนหลานก็เสียบแฟลชไดรฟ์ลงไปในเข็มขัด และตนเองก็หมดสติล้มลงไป ส่วนเทียนหลงก็เสียบแฟลชไดรฟ์สีดำลงไปเช่นกัน ลมพายุอันรุนแรงพลันกระหน่ำพัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยโดยมีเทียนหลงเป็นศูนย์กลาง พร้อมๆ กับชุดเกราะสีเขียวและดำ อย่างละครึ่งซีกจะขึ้นมาคลุมทับร่างของเทียนหลงไว้จนหมด พร้อมผ้าพันคอสีแดงที่ปลิวไสว

“เอาล่ะ เตรียมรับกรรมที่แกก่อไว้เถอะ”

“........... แม่เจ้าโว้ย คาเมนไรเดอร์ ดับเบิล ของแท้เลย”

งุ้งงิ้ง คอเบียร์ และคริสตัล ครางขึ้นมาพร้อมๆ กัน 

หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 59 ความตาย 2 (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 05-03-2015 08:20:44
บทที่ 60 ใต้แสงจันทร์

................................................

หลังจากเมฆาได้สลบไปแล้ว ราตรีก็ได้งัดอุปกรณ์ช่วยชีวิตทั้งหมดเท่าที่เธอมีมาเพิ่มพลังให้กับชายหนุ่มในอุ้งแขนของตัวเอง ก่อนที่อเลนจะตามมาใช้ทักษะฮีลในการเพิ่มเลือดให้กับเมฆาอีกที ส่วนตัวเธอเองนั้น ปฐพีได้ให้เธอดื่มน้ำยาเพิ่มเลือดจนหายเป็นปกติดีแล้ว ส่วนคนอื่นๆที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้รักษาจนหายไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ยกเว้นหยางชุนหลานกับเทียนหลงที่ได้ขอแยกตัวไปทำภารกิจต่อ

“จะว่าไปน้องราตรีก็เก่งใช่ย่อยนะ ทำให้เมฆาฟื้นคืนสติได้” ศาสตราเอ่ยปากชม ซึ่งทำเอาคนฟังเขินเล็กน้อย ตอนนี้เมฆานอนสลบอยู่ในเต็นท์ของปฐพีซึ่งกางไว้อยู่กับพื้นดิน

“น้องราตรีจ้ะ” ธิดาหันมาเรียกชื่อเธอ ทำให้ราตรีต้องหันไปมอง “พี่นึกสงสัยตั้งแต่คราวนั้นแล้ว ทำไมพวกราชาปีศาจถึงได้คิดตามล่าตัวน้องไปล่ะ บอกพี่หน่อยได้รึเปล่าเอ่ย”

พอจบคำถามของธิดา ทำเอาทุกคนหันไปรอฟังคำตอบจากปากของเธอ

“ผมคิดว่าราชาปีศาจคงอยากจะได้พลังมังกรของผมล่ะมั้งครับ” ราตรีตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะราชาปีศาจได้ตัวท่านพ่อท่านแม่ของผมไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยคิดจะมาเอาตัวผมไปด้วย”

“อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ว่าทำไมตอนนั้นถึงได้มีกองทัพปีศาจโผล่ด้วย” ศาสตราพูดพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“แล้วน้องราตรีไม่คิดจะช่วยพ่อแม่หรือ” พิภพถามต่ออย่างสงสัย

“คิดครับ แต่ผมคนเดียวคงทำอะไรราชาปีศาจไม่ได้แน่” ราตรีตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะขืนผมไปมีหวังได้โดนกองทัพปีศาจฆ่าตายเสียก่อนจะได้ช่วยพวกเขานะครับ ฮะๆ”

“งั้นจะไปยากอะไร เดี๋ยวพวกพี่จะพาพวกสมาชิกในสมาคมไปช่วย มีออกเยอะนะว่าไหมปฐพี”

“อืม ก็เยอะพอสมควร” ปฐพีตอบก่อนจะพูดต่อ “จะว่าไปสมาคมเงาที่คุณอเลนอยู่ ก็มีสมาชิกเยอะไม่ใช่หรือครับ”

อเลนยักไหล่ก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ใช่ เยอะมาก คงพอจะต่อกรกับกองทัพปีศาจได้สองส่วน แล้วคุณธิดาล่ะครับ เห็นว่าเป็นหัวหน้าสมาคมจันทราวารีไม่ใช่รึ ก็น่าจะมีสมาชิกเยอะพอสมควร แบ่งๆมาช่วยน้องราตรีด้วยก็ดีนะครับ”

“เรื่องนั้นดิฉันไม่เกี่ยงอยู่แล้วค่ะ เพื่อน้องราตรี ดิฉันจะช่วยอย่างเต็มที่เลย”

“รัตติ แล้วราชาปีศาจจะพากองทัพปีศาจมาโจมตีพวกเราอีกไหม ข้ากลัว”

“คงจะไม่” ราตรีตอบคำถามของมาริโอ “ราชาปีศาจเห็นข้าตายแล้ว ก็เลยไม่คิดจะย้อนกลับมาที่นี่อีกอย่างแน่นอน”

“นั่นสิ ก็เกมนี่นะ ถึงจะดูสมจริงยังไง แต่ก็ไม่มีวันได้รู้ว่าเราตายแล้วก็สามารถฟื้นคืนชีพได้อีกอยู่ดี” ศาสตราพูดพลางทุบมือตัวเองเบาๆ “จริงสิ ถ้าเมฆาตาย คำสาปที่ได้มาจากมอนสเตอร์ก็จะหายไป ทำไมคิดไม่ถึงตั้งแต่แรกเลยนะ”

ผัวะ!

200

“ไอ้บ้า ขืนทำแบบนั้นเมฆาก็ได้ถูกลดค่าประสบการณ์ตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นสิ” คนตบหัวศาสตรานั้นไม่ใช่ใคร พิภพนั่นเอง “อย่าลืมสิว่าผู้เล่นคนใดที่มีระดับเกินแปดสิบแล้ว ถ้าถูกฆ่าตายล่ะก็ จะถูกลดค่าประสบการณ์ที่เก็บมาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แถมดีไม่ดีถูกหักเงินออกไปตั้งสิบล้านเหรียญ ไหนจะถูกลดอย่างอื่นอีกเพียบ วุ่นตายชัก”

“เออวะ ฉันลืมไป” อาการป้ำๆเป๋อๆของศาสตราได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ทุกคน

“แต่ผมว่าเรื่องนี้พวกเรารอท่านพี่เมฆาฟื้นก่อนดีกว่านะครับ แล้วค่อยมาคุยกันอีกที”

ราตรีบอก ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยกับที่เธอพูด ก่อนจะแยกย้ายพักผ่อนอิริยาบถของตัวเอง แต่เพื่อไม่ให้ประมาท พวกเขาได้แบ่งหน้าที่กันเฝ้าเวรยามเผื่อว่าราชาปีศาจจะพาพวกกองทัพปีศาจมาโจมตีพวกเขาอีกก็เป็นได้ หลังจากแยกย้ายพักผ่อนแล้ว ราตรีก็ไปอาบน้ำอาบท่าให้หายเหนื่อยก่อนจะเดินกลับมาที่เต็นท์อีกครั้งพร้อมกับเปิดหน้าต่างสถานะของตัวเอง ซึ่งบัดนี้เลเวลของเธออยู่ที่สี่สิบเก้า แทนที่จะเป็นห้าสิบเอ็ด

สงสัยถูกลดค่าประสบการณ์หลังจากถูกฆ่าตายก็เป็นได้

แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเก็บใหม่ได้นะ


ราตรีคิดในใจก่อนจะปิดหน้าต่างสถานะของตัวเองลง แล้วจึงค่อยเปิดหน้าต่างทักษะเพื่อดูทักษะใหม่ที่ได้รับมาไม่นานนี้

ทักษะการแปลงร่างมังกรขั้นสุดยอด (3ชั่วโมง)

ราตรีขมวดคิ้วทันทีที่เห็นคำว่าวงเล็บตามด้วยสามชั่วโมง

อยู่ได้นานถึงสามชั่วโมงเชียวรึนี่ สมแล้วที่เป็นขั้นสุดยอด

ราตรีคิดในใจก่อนจะเงยหน้ามองเต็นท์ของปฐพีอย่างคาดหวังว่าเมื่อไหร่คนป่วยจะฟื้นเสียที

“น้องราตรีครับ มาทานของว่างยามบ่ายกันเถอะครับ” เสียงปฐพีเรียกเธอ ทำให้ราตรีจำต้องปิดหน้าต่างลงก่อนจะเดินไปตามเสียงเรียก พอไปถึงเธอก็เห็นทุกคนยกเว้นเมฆามานั่งรอบนผ้าปูลายตารางหมากฮอสวางอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งใจกลางผ้าปูนั้นได้มีของกินวางอยู่ “ของว่างมื้อบ่ายนี้เป็นพายแอปเปิลลูกเกดกับชาดาร์จีลิ่งครับทุกๆคน”

ปฐพีบอกชื่อของว่างให้ฟัง

เป็นของว่างที่หรูไปหน่อยมั้งพี่

ทุกคนคิดในใจยกเว้นราตรีกับคริสตัลที่ทำหน้าเฉยๆ เพราะเคยดื่มมาก่อน

“พายแอปเปิลลูกเกดนะพอเข้าใจ แต่ชาดาร์จีลิ่งนี่ ต้องดื่มยังไงกันล่ะปฐพี” ศาสตราเป็นคนแรกที่ถามก่อนใครเพื่อน เพราะคิดว่าคนอื่นคงไม่กล้าจะถาม “เอ่อ พวกฉันดื่มไม่เป็นนะ”

พูดแล้วทุกคนก็ก้มลงมองชาในถ้วยซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำสีทองสว่าง

“ไม่ต้องห่วง ก็แค่ดื่มตามปกติ” ปฐพีตอบ ทำให้ทุกคนรีบลองชิมดู

“หวาน?” อเลนพูดพลางขมวดคิ้ว “รสคล้ายองุ่นเลยนะปฐพี”

“องุ่นมัสคาเทลที่ใช้ในการหมักไวน์เป็นเอกลักษณ์ของดาร์จีลิ่ง ชาจากเนินเขาหิมาลัยที่หายสาบสูญไปเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว แต่กลับพบได้ในเกม” ราตรีพูดเกริ่น ซึ่งทำเอาทุกคนหันไปมองพร้อมกัน ก่อนที่ราตรีจะรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป จึงเงยหน้าขึ้นพูดโกหกไปว่า “พอดีพ่อของผมเคยเก็บไว้แล้วเอามาให้ผมได้ดื่มนะครับ แหะๆ”

พ่อเคยเอามาให้ดื่มจริง แต่นั่นมันตอนที่เรายังเด็กๆนะ

แต่จะว่าไปตอนนี้ชายังเหลืออยู่ในตู้กับข้าวอยู่เลยนี่


ไว้ออฟไลน์เกมแล้ว ค่อยให้ตานพทำให้ดื่มที่บ้านดีกว่า

ราตรีคิดในใจ เพราะกากชาที่เธอได้มาเป็นของแฟนที่อุตส่าห์ไปประมูลซื้อมาให้เธอโดยเฉพาะ

“โธ่คุณยายครับ เล่นพูดแบบนี้ระวังพวกเขาจะจับผิดเอาได้นะครับ” ปฐพีพรายกระซิบบอกเธอด้วยความเป็นห่วง ซึ่งทำเอาราตรียิ้มแห้งๆ

ก็คนมันลืมนี่หว่า

“งั้นหรือจ้ะ แหม น้องราตรีนี่โชคดีที่มีพ่อที่แสนดีอะไรเช่นนี้ ได้ดื่มชาดีๆกับเขาด้วย” ธิดาพูดด้วยความอิจฉา เพราะสมัยนี้ชาดีๆไม่มีหลงเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว จะมีแต่ก็ชาปลอมที่ทุกคนคิดค้นขึ้นมาให้ดื่มเล่นเท่านั้น หรือไม่ก็ไปหาตามแหล่งประมูลเอา แล้วพวกเขาก็ลงมือทานพายกับชาอย่างสนุกสนาน

.................................

“ฮะ ฮะ ฮ่า!”

เสียงหัวเราะดังลอดผ่านเต็นท์ ทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงรู้สึกตัวขึ้น

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เมฆาคิดในใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้า พลางสะบัดไล่ความมึนงง จริงสิ เราคลั่งจนกลายเป็นปีศาจนี่

แล้วเมฆาก็นึกย้อนความทรงจำก่อนจะสลบไปตั้งแต่ต้นจนจบ

น้องราตรีรู้ความจริงแล้ว จะเกลียดเราไหมนะ

“อ้าวเมฆาตื่นแล้วเหรอ ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วมาทานอาหารเย็นกันเถอะ” อเลนกล่าวทักทายเขาในขณะที่เดินเข้ามาในเต็นท์ “มื้อนี้น้องราตรีอุตส่าห์เป็นคนลงมือทำเองเชียวนะ รีบๆล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกไปทานกันเถอะ”

“อืม เข้าใจแล้วล่ะ”

เมื่ออเลนออกไปแล้ว เมฆาจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาในอ่างน้ำที่วางอยู่ข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเต็นท์ด้วยความรู้สึกสับสน หากแต่พอออกจากเต็นท์แล้ว เขากลับชะงักเมื่อเห็นสีหน้าอันยิ้มแย้มของราตรีที่กำลังหัวเราะกับมาริโอที่ทำท่าเต้นรำให้ทุกคนดูอยู่ ครั้นพอยืนดูได้สักพัก คนถูกมองชะงักพลางเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้ายิ้มแย้มก็พลันหายไปพริบตา ซึ่งทำให้คนที่เห็นเหตุการณ์อย่างอเลนพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเมฆากับน้องราตรีก็เลยรีบพูดแทรกไปว่า

“เมฆาไปนั่งเร็ว ทุกคนจะได้ทานข้าวเย็นซักที”

“อืม”

แล้วทุกคนก็นั่งลงที่ของตัวเอง ก่อนจะลงมือทานอาหารพร้อมกันโดยอาหารเย็นมื้อนี้ เนื่องจากตอนนี้มีอยู่กันหลายคน ราตรีจึงทำอาหารเยอะเป็นพิเศษ อาทิเช่น ข้าวปั้นซูชิ ซุปเห็ด ข้าวผัดไข่ ขนมปังฝรั่งเศส ขนมเทียน น้ำชาญี่ปุ่น พุดดิ้งพลัม น้ำส้มคั้น ปลาแซลมอนต้ม สลัดมิ้นท์ เป็นต้น ซึ่งผลปรากฏว่าอร่อยเกินความคาดหมายของทุกคน

“น้องราตรีไปเรียนวิชาที่ไหนมาจ้ะ ถึงสามารถทำอาหารได้หลากหลายชนิดและยังอร่อยอีกด้วย” ธิดาถามพลางจิบชาญี่ปุ่นไปด้วย ซึ่งคนถูกถามไม่ได้ตอบเดี๋ยวนั้น เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดริมฝีปากให้มาริโอก่อนจะหันมาตอบธิดาว่า

“ไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนไหนมาหรอกครับ พอดีผมได้คุณปู่คุณย่ากับพวกญาติๆที่เป็นเชฟมาก่อนช่วยสอนให้”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง มิน่าอาหารถึงได้อร่อยนัก” ศาสตราพูดพลางพยักหน้า “แต่จะว่าไปรสชาติอาหารพวกนี้ทำไมคล้ายกับอาหารที่ปฐพีทำล่ะ”

ทั้งราตรีทั้งปฐพีต่างสะดุ้งไหวเล็กน้อยเมื่อศาสตราพูดได้ถูกจุด ซึ่งทำให้เมฆาเดาได้ว่าปฐพีคงจะได้ราตรีเป็นคนช่วยสอนทำอาหารให้ จึงมีรสชาติคล้ายกันตามที่ศาสตราพูดไม่ผิด

“มันก็ต้องมีเหมือนกันบ้างล่ะ ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าอาหารหรือ”

เมฆาช่วยพูดแก้ตัวให้แทนราตรีกับปฐพี ซึ่งทำเอาคนถามเอามือเกาหัวหยิกๆ หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างแยกย้ายกันเข้านอนในเต็นท์ของตัวเองไป ส่วนเมฆานั้นเพิ่งจะหายป่วย ก็เลยต้องเข้าไปนอนพักที่เต็นท์ของอเลนอย่างช่วยไม่ได้ แต่ทว่าพอตกดึก เมฆากลับนอนไม่หลับเพราะนอนมากพอแล้ว เขาจึงเดินออกจากนอกเต็นท์เพื่อจะเดินเล่นฆ่าเวลารอให้ตัวเองได้ง่วงนอน ทว่าเดินไปได้สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงเพลงอีกครั้ง

เพลงนี้มัน…

เมฆาคิดในใจพลางสาวเท้าเดินตามต้นเสียงไป ซึ่งเขาเดินไปได้สักพักก็พบกับราตรีที่กำลังนั่งร้องเพลงอยู่บนต้นไม้สูง

ไม่กลัวสัตว์อสูรเข้ามาทำร้ายเลยรึไงเนี่ย เมฆาคิดในใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองได้มอบสร้อยคออำพรางสัตว์อสูรกับราตรีไปแล้ว จะว่าไปก็เข้าใจเลือกต้นไม้สูงได้ดีนะ มิน่าล่ะ แถวนี้ถึงได้ไม่มีสัตว์อสูรมาเดินเพ่นพ่านเลยซักตัวเดียว

แกรบ!

เมฆาเผลอเดินเหยียบใบไม้เข้า ทำให้คนร้องเพลงอยู่บนต้นไม้ถึงกับหยุดชะงัก

“อ๊ะ ท่าน...” ราตรีมองหน้าและทำท่าจะเรียกชื่อเขาแต่กลับหยุดเรียก ก่อนจะลุกขึ้นยืนทำท่ากางปีกเตรียมบินหนี

“เดี๋ยวสิน้องราตรี!” เมฆาร้องเรียกอีกฝ่ายพลางกระโดดขึ้นเหยียบกิ่งไม้ไปยืนอยู่ข้างราตรีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ไม่ให้บินหนีไปไหน ซึ่งทำให้คนที่บินไปได้แค่สองเซนติเมตรกลับต้องผงะไปตามแรงดึง “พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ…ปิดบังเรื่องพ่อแม่ของน้อง”

“คงสนุกมากสินะที่ปั่นหัวผมได้ ท่านพี่คงจะแอบหัวเราะเยาะผมที่เห็นผมทุกข์ใจที่ยังหาทางไปช่วยพ่อแม่ไม่ได้”

“ไม่ใช่!” เมฆาแย้งทันควัน “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกปั่นหัวน้อง พี่ก็แค่…แค่กลัวเราจะเกลียดพี่เมื่อรู้ความจริง”

ใช่แล้ว เรื่องนี้แหละที่เขากลัวที่สุด

กลัวว่าถ้ารู้แล้วจะเกลียดเขา

เหมือนเช่นตอนนี้


“อ้อ แล้วไงล่ะ” อีกฝ่ายพูดเสียงห้วน “ถ้าท่านพี่บอกผมเสียแต่แรก ผมก็คงไม่โกรธท่านพี่แน่ แต่ตอนนี้คงเห็นจะไม่ เพราะผมไม่น่าเชื่อถือสินะ ท่านพี่ก็เลยไม่บอกเรื่องที่ซ่อนพ่อแม่ของผมให้รู้ ท่านพี่ ไม่สิ ต้องเจ้าชายปีศาจสิถึงจะถูก กระทั่งเรื่องนี้ท่านก็ยังปิดบังกันได้ ฮึ ใช่ซี่ ผมมันก็แค่ไอ้ลาโง่ตัวหนึ่งที่ถูกหลอกให้หลงเชื่อง่ายๆ”

“คุณจันทร์แรม!” เมฆาร้องอุทานเสียงหลงเมื่อได้ยินสิ่งที่ราตรีพูด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าตอนนี้จันทร์แรมกำลังสวมบทเป็นราตรีพิสุทธิ์อยู่ หาได้เป็นของตัวเองไม่

แสดงได้แนบเนียนเกินไปแล้ว

เมฆาคิดในใจเพราะเขาเกือบจะคล้อยตามไปจริงๆ ส่วนอีกฝ่ายเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองแล้ว ก็เพียงทำหน้าขมวดคิ้วเพียงแวบเดียวก่อนจะปรับสีหน้าโกรธดังเดิม

“ผม…ชื่อ…รา…ตรี…พิ…สุทธิ์…ไม่…ใช่…จันทร์…แรม!” ราตรีกล่าวเสียงเน้นย้ำเสียจนเมฆาถึงกับผงะ “ได้ยินแล้วนี่ กรุณาปล่อยแขนผมเดี๋ยวนี้”

เล่นแบบนี้หวังจะเอาตุ๊กตานักแสดงเหรียญทองหรือไงครับคุณพี่

เมฆาคิดในใจพลางถอนหายใจเฮือกแรงๆ ก่อนจะดึงอารมณ์เก่าของตัวละครที่ตัวเองสวมอยู่นี้กลับคืนมาอีกครั้ง

“ไม่” เมฆาตอบด้วยน้ำเสียงเข้ม พร้อมกับบีบข้อแขนของอีกฝ่ายแน่นขึ้นกว่าเดิมจนราตรีถึงกับนิ่วหน้า “พี่จะไม่มีวันปล่อยเราไปถ้ายังไม่ปรับความเข้าใจกัน โอเค ก่อนหน้านี้พี่ยอมรับว่าพี่ผิดจริง พี่โกหก พี่ปิดบังน้องมาตลอด แต่…น้องราตรีจะไม่ให้อภัยพี่ชายคนนี้บ้างเลยหรือ”

ดูเหมือนว่าสีหน้าของราตรีจะดูอ่อนลงกว่าเดิมเมื่อครู่นี้ถ้าหากเขาดูไม่ผิด แต่แล้วอีกฝ่ายเกิดเม้มปากเสียเอาดื้อๆ

“เรื่องอะไรที่ผมจะไปให้อภัยกับคนที่ไม่เชื่อใจในตัวผมได้กันล่ะ ไม่มีวัน!!” เมฆาได้ยินดังนั้น เส้นประสาททั้งหลายก็พากันขาดผึง

ถ้าผมทำอะไรก็อย่ามาว่ากันล่ะคุณจันทร์แรม

เพราะมันไม่ใช่ตัวจริงของผม

แต่เป็นตัวละครที่ชื่อว่าเมฆาในเกม!


..............................................

ราตรีแทบผงะเมื่อเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดจากเมฆา

ตายล่ะ เผลอเล่นไปตามอารมณ์ราตรีพิสุทธิ์มากไปหน่อยแหะเรา ราตรีหรือจันทร์แรมคิดในใจ คุณอวิ๋นก็เหลือเกิน อินกับละครที่เราเล่นไปกับเขาด้วย เฮ้อ ไม่ไหวเลย

ในขณะที่ราตรีคิดจะพรายกระซิบบอกอีกฝ่ายให้เลิกเล่นละครนี้ได้แล้ว เพราะเธอชักไม่สนุกด้วย แต่อีกฝ่ายกลับยื่นหน้าเข้าก่อนจะประกบริมฝีปากของราตรีอย่างแนบแน่น

วะ ว้าย! คุณอวิ๋นทำอะไรเรานะ!!

จันทร์แรมหรือราตรีร้องอุทานในใจอย่างตะลึง เพราะไม่คิดว่าจะโดนอีกฝ่ายทำแบบนี้กับเธอ พอคิดได้ดังนั้นเธอก็พยายามดันร่างสูงให้ออกห่างแต่ก็ไม่ขยับ เมฆาบดขยี้ริมฝีปากของราตรีอย่างรุนแรงโดยไม่สนใจว่าเธอคือจันทร์แรม

“หยุด...หยุดนะคุณอวิ๋น!” ราตรีพรายกระซิบบอกทั้งน้ำตา ถึงแม้ว่าความรู้สึกกลัวนี้จะเป็นของตัวละครที่ชื่อว่าราตรีพิสุทธิ์ที่ถูกอีกฝ่ายกระทำกับเธอก็ตาม แต่จันทร์แรมก็ไม่ชอบที่อวิ๋นทำแบบนี้กับเธอด้วยเช่นกัน ทว่าอีกฝ่ายหาได้หยุดไม่ กลับทำแบบไม่ลืมหูลืมตาโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของจันทร์แรม

น่ากลัว...นรินทร์ช่วยฉันด้วย

ครั้นอีกฝ่ายจูบจนพอหนำใจแล้ว ก็ถอดริมฝีปากออกมาก่อนจะชะงักเมื่อเห็นนัยน์ตาสีฟ้าครามเต็มไปด้วยน้ำตา

ฉาด!

3000


เมฆาถูกตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนหน้าหัน ซึ่งทีแรกจันทร์แรมคิดจะต่อว่าอวิ๋นให้รู้สึกสำนึกว่าไม่ควรทำแบบนี้กับเธอต่อให้เป็นในเกมก็ตาม แต่ด้วยความที่ผ่านโลกมามาก จึงได้แต่ชะงักค้างโดยที่มือยังค้างในท่าตบ

“...ขอโทษ…พี่ ไม่ได้ตั้งใจ...พี่ขอโทษ” เมฆาหรืออวิ๋นกล่าวคำขอโทษกับเธอ ซึ่งราตรีไม่พูดพล่ามทำเพลง สะบัดมือที่ถูกอีกฝ่ายจับไว้ออกก่อนจะกางปีกบินลงบนพื้น แล้วเธอจึงค่อยสวมสร้อยคออำพรางกายเดินหายตัวไปโดยไม่หันกลับมามองเมฆาอีก

...........................................

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 59 ความตาย 2 (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 05-03-2015 08:26:52
บทที่ 61 โมโห

...........................................

เช้าวันรุ่งขึ้นของการออนไลน์เป็นวันที่สาม ปฐพีตื่นนอนแต่ก่อนไก่โห่เพื่อลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้ทุกคนได้ทาน หลังจากเสร็จภารกิจของตัวเองแล้ว เขาก็เดินออกไปนอกเต็นท์ก่อนจะพบกับความประหลาดใจเมื่อเห็นเมฆากำลังทำอาหารอยู่

“เอ๋? เมฆา ฉันจำได้ว่ามื้อเช้านี้เป็นเวรของฉันนะ” เมฆาที่กำลังใช้ทัพพีคนหม้อน้ำซุปอยู่นั้นก็หยุดมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งทำเอาปฐพีผงะเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ตาคล้ำอย่างกับหมีแพนด้า

“พอดีอยากจะทำนะ ขอโทษทีที่แอบทำล่วงหน้าก่อน” เมฆาตอบยิ้มๆ หากแต่นัยน์ตากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย ซึ่งทำให้ปฐพีนึกแปลกใจกับท่าทีของเมฆาที่เปลี่ยนไป “เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ จริงสิ ถ้ายังไงวานปฐพีช่วยหยิบจานชามไปเรียงวางบนโต๊ะให้ทีละกันนะ”

“อะ อืม” แล้วปฐพีก็เดินไปเรียงจานชามตามคำสั่ง แล้วเวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง พวกเพื่อนๆก็เริ่มเดินออกมาจากเต็นท์ของตัวเองซึ่งประจวบเหมาะที่เมฆาทำอาหารเสร็จพอดี

“นี่น้องมาริโอจ้ะ แล้วราตรีล่ะ เขาตื่นนอนแล้วรึยังเอ่ย” ธิดาถามทันทีที่เห็นมาริโอเดินออกมานอกเต็นท์

“งึมๆ ยังเลยฮะท่านพี่ธิดา” มาริโอตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “เห็นบอกว่าปวดหัว จะขอนอนอีกสักหน่อยนะฮะ”

“เอ๋? ในเกมมีปวดหัวกันได้ด้วยหรือ ไม่ยักกะรู้มาก่อน” ศาสตราเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ ซึ่งเพียงแค่เสี้ยววินาที ปฐพีได้ทันเห็นเมฆาทำแอปเปิลร่วงหล่นบนโต๊ะอาหารทันทีที่ศาสตราพูดจบ

แปลกคน?

“เดี๋ยวฉันไปดูน้องราตรีให้เอง พวกนายทานอาหารกันไปก่อนเถอะ” ปฐพีเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปในเต็นท์ของราตรีทันที เมื่อเขาได้เข้าไปแล้ว ก็พบว่าราตรีหรือคุณยายของเขากำลังนอนห่มผ้าห่มอยู่บนเตียง “คุณยายปวดหัวมากรึเปล่าครับ ผมจะได้ไปแจ้งจีเอ็มให้คุณยายออฟไลน์ไปพักผ่อน”

“ไม่ต้องนพ เมื่อคืนยายแค่นอนดึกไปหน่อย นอนพักอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็คงหาย นพไปทานข้าวเช้ากับเพื่อนต่อเถอะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ซึ่งทำเอาปฐพีหรือนพแปลกใจ เพราะร้อยวันพันปีคุณยายไม่เคยป่วยซักที

“ครับ ถ้าคุณยายหายปวดแล้ว ก็ลุกขึ้นมาทานข้าวได้นะครับ เดี๋ยวผมจะทำข้าวต้มรอไว้ให้”

“อืม”

แล้วปฐพีก็เดินกลับออกมา

“ว่ายังไงปฐพี น้องราตรีเป็นอะไรมากรึเปล่า” อเลนถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งรวมถึงทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขากันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งเมฆาที่ยืนลุ้นคำตอบจากปากเขาจนเผลอบีบแอปเปิลในมือจนเละ

น่าสงสัย?

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก น้องราตรีแค่บอกว่าเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ก็เลยปวดหัวนะ”

“อ้อ นอนดึกนี่เอง เดี๋ยวนอนพักก็หายแล้วล่ะ” อเลนพูด แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็รีบลงมือทานข้าวเช้ากันต่อโดยที่ปฐพีได้แต่นึกสงสัยเมฆาอย่างเงียบๆ ซึ่งเมื่อทุกคนทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปล้างจานชาม จะเหลือก็แต่ปฐพีที่กำลังทำข้าวต้มรอให้ราตรีตื่นขึ้นมาทานกับเมฆาที่นั่งเก็บเศษขยะบริเวณที่พวกเขานั่งทานข้าวเช้า

“เมฆาเป็นอะไรไปหรือ ทำไมขอบตานายดูคล้ำๆจัง” ปฐพีพูดเกริ่นดูเชิง ซึ่งทำให้เมฆาที่กำลังเก็บเศษขยะอยู่นั้นถึงกับชะงัก

“อ้อ เมื่อคืนมัวแต่ศึกษาทักษะของตัวเองอยู่ในเต็นท์จนดึกนะ”

“เหรอ นายนี่ขยันจัง มิน่าล่ะถึงได้เก่งขนาดนี้” ปฐพีแสร้งทำเป็นชม ทั้งๆที่สงสัยเมฆาอยู่ในใจเต็มแก่ “นี่ถ้าฉันได้สักครึ่งอย่างนายก็คงดี”

“ไม่ยากเกินความสามารถถ้านายขยันฝึกเก็บเลเวลบ่อยๆ” เมฆาตอบโดยไม่มองหน้า ซึ่งทำให้ปฐพีนึกสงสัยมากยิ่งขึ้น เพราะยายของเขาก็เป็นคนที่เข้านอนแต่หัวค่ำ จะมีนานครั้งที่ท่านจะเดินออกมาร้องเพลงตอนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นไปได้ยากที่ทั้งคู่จะมานอนดึกพร้อมกันได้โดยบังเอิญ

“จริงสิ นายเคยได้ยินน้องราตรีร้องเพลงตอนกลางคืนหรือเปล่าเมฆา” ปฐพีถามพลางแอบเหล่ตามองอีกฝ่ายดูเชิง ซึ่งผลปรากฏว่าเมฆาได้ยินคำถามของเขาเข้าถึงกับสะดุ้ง

มีพิรุธ

“ไม่เคยหรอก” เมฆาตอบพลางลุกขึ้นเดินหนีราวกับต้องการยุติบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้

น่าสงสัยว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างเมฆากับคุณยาย

ต้องสืบดูหน่อยเสียแล้ว


ปฐพีคิดในใจก่อนจะลงมือคนข้าวในหม้อต่อไป

....................

ย้อนกลับมาทางด้านราตรีหลังจากตบหน้าเมฆาแล้ว เธอก็โดดลงจากกิ่งไม้ก่อนจะกลับมานอนที่เต็นท์ของตัวเองแล้วหลับไปทั้งน้ำตา รุ่งเช้ามาริโอก็ได้เข้ามาปลุกเธอ

“ไปทานก่อนนะมาริโอ ข้าปวดหัว อยากขอนอนต่ออีกหน่อย” ราตรีบอกมาริโอ ซึ่งมันก็พยักหน้าตอบก่อนจะเดินออกไปนอกเต็นท์ เธอนอนไปได้สักพักเสียงฝีเท้าก็ดังเข้ามาในเต็นท์

“คุณยายปวดหัวมากรึเปล่าครับ ผมจะได้ไปแจ้งจีเอ็มให้คุณยายออฟไลน์ไปพักผ่อน” เสียงนั้นถามด้วยความเป็นห่วง

อ้อ นพนี่เอง

“ไม่ต้องนพ เมื่อคืนยายแค่นอนดึกไปหน่อย นอนพักอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็คงหาย นพไปทานข้าวเช้ากับเพื่อนต่อเถอะ” เธอตอบกลับไปเพื่อไม่ให้หลานชายต้องเป็นห่วง

“ครับ ถ้าคุณยายหายปวดแล้ว ก็ลุกขึ้นมาทานข้าวได้นะครับ เดี๋ยวผมจะทำข้าวต้มรอไว้ให้”

“อืม”

แล้วนพก็เดินออกไป ซึ่งเธอก็หลับตาลงต่อด้วยความอ่อนเพลีย จันทร์แรมไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่แต่พอรู้สึกตัวอีกที ก็เห็นปฐพีหรือนพเดินเข้ามาพร้อมชามอาหารที่มีไอควันลอยครุกกรุ่นแล้ว

“คุณยายตื่นแล้วหรือครับ งั้นลุกขึ้นมาทานข้าวต้มก่อนเถอะครับ” ปฐพีบอก ซึ่งเธอตอบครางอือ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ครั้นพอลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จู่ๆคนช่วยพยุงหลังเธออย่างนพกลับสะดุ้ง

“เป็นอะไรตานพ ลืมเขย่าขวดก่อนกินยารึไง” เธอพูดแซวอย่างขำขัน

“เปล่าครับคุณยาย ไม่มีอะไร” นพบอกก่อนจะส่งชามให้เธอ “ทานข้าวต้มก่อนสิครับคุณยาย กำลังอุ่นได้ที่อยู่เลย”

“อืม ขอบใจนะ” เธอพูดขอบใจหลานก่อนรับชามข้าวต้มมาแล้วใช้ช้อนคนเพื่อคลายความร้อนอีกที

“เอ่อจริงสินพ แล้วคนอื่นๆล่ะ” จันทร์แรมหรือราตรีเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย

“ไปเก็บเลเวลกันแถวๆนี้แล้วครับ” นพตอบยิ้มๆ “ส่วนมาริโอนั้นก็ตามไปด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณยาย”

“อืม ยายก็ไม่ได้เป็นห่วงเขามากนักหรอก กลัวอย่างเดียวว่ามันจะไปหม้อหนูปลา หนูหงส์หยก และยัยแก้วเอาได้นะสิ” ราตรีพูดอย่างเป็นกังวล ซึ่งทำเอาปฐพีได้ยินถึงกับหัวเราะเสียงดัง เพราะรู้ฤทธิ์เดชของมาริโอเป็นอย่างดีว่าเป็นมอนสเตอร์ที่ขี้หลีระดับเทพ

“คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาไปหรอกครับ พวกเขาเอาตัวรอดกันได้” ปฐพีพูดไปหัวเราะไปพลาง “โดยเฉพาะกับพวกขี้หลีเนี่ย หายห่วงได้แน่นอนครับ”

“ขอให้มันเป็นแบบนั้นเถอะ”

ราตรีถอนหายใจก่อนจะลงมือทานข้าวต้มต่อ เมื่อทานข้าวต้มเสร็จแล้วปฐพีก็บอกให้เธอนอนพักเอาแรงต่อ ซึ่งเธอก็ยอมนอนแต่โดยดีเพราะยังไม่หายปวดหัว ส่วนปฐพีเมื่อเห็นคุณยายของตนหลับไปแล้ว จากใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่นี้ ภาพนัยน์ตาสีฟ้าครามของราตรีซึ่งแดงกล่ำผ่านการร้องไห้มาอย่างโชกโชน ทำเอาปฐพีหรือนพที่ได้เห็นแล้วถึงกับโมโห

ต้องเป็นมันแน่!

มันคนเดียวเท่านั้น!!


ปฐพีคิดได้ดังนั้นก็พลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปอย่างหนักหน่วงโดยไม่ลืมที่จะชักดาบของตัวเองออกมาจากฝัก

แกไม่ได้ตายดีแน่!

ไอ้เมฆา!!


..............................

ทางด้านเมฆาที่พาทุกคนไปเก็บเลเวลแล้ว อเลนก็ไล่เขากลับไปที่เต็นท์เพราะเห็นว่าตนเอง และพวกศาสตราสามารถดูแลพวกคริสตัลเองได้ ส่วนธิดา หงส์หยกและปลา สามคนนี้เขาไม่ต้องห่วง เพราะสามารถเก็บเลเวลเองกันได้เป็นอย่างดี หากแต่เมฆาไม่กล้ากลับไปเจอหน้าราตรีตอนนี้เพราะรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเมื่อคืนนี้อยู่ จึงเดินเล่นไม่ห่างจากจุดตั้งเต็นท์มาก ซึ่งเมฆาเดินเล่นได้ไม่นาน เขาก็เห็นปฐพีเดินมาพร้อมกับถือดาบเล่มหนึ่งมาด้วย

“อ้าว นี่จะไปเก็บเลเวลกับเขา…” เมฆาพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆปฐพีก็พุ่งตัวเข้ามาหาเขาอย่างเร็ว พร้อมกับเสือกดาบเข้ามา ซึ่งทำให้เมฆารีบหลบคมดาบทันที “ทำอะไรของนายนะปฐพี เอาดาบมาโจมตีฉันทำ…”

วูบ!

เมฆาหลบลูกเตะของปฐพีที่ย้อนกลับมาเตะใส่เขา ก่อนจะตวัดดาบใส่เมฆารัว ซึ่งแน่นอนว่าเมฆาสามารถหลบได้ทุกครั้ง

“ไม่คิดจะบอกเหตุผลหน่อยรึไง” เมฆาถามในขณะที่หลบการโจมตีของปฐพีไปด้วย “หรือว่านายต้องการจะฝึกวิชากับฉันล่ะปฐพี ฉันขอบอกไว้ก่อนนะว่าตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้ว”

พอเมฆาพูดจบ เขาก็หลบคมดาบที่ปฐพีแทงเข้ามาอย่างเฉียดฉิว ทำให้ปลายเส้นผมที่ถูกคมดาบขาดไปสองนิ้ว

“อย่ามาทำเป็นใสซื่อหน่อยเลย” ปฐพีพูดเสียงเย็นชาพลางตวัดดาบขึ้นในท่าเตรียม “แกทำอะไรลงไปก็น่าจะรู้แก่ใจ อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำอีกเมฆา”

คำพูดของปฐพีทำเอาเมฆาถึงกับสะดุ้ง

หรือว่าปฐพีจะทราบเรื่องของเขากับจันทร์แรมแล้ว!

“ขอโทษปฐพี ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำกับน้องราตรี…”

“ไม่ต้องมาพูดแก้ตัว!”

ปฐพีตวาดเสียงใส่ก่อนจะพุ่งกระโดดเข้าหาเขาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาเห็นอีกฝ่ายยกดาบขึ้นหมายจะฟันหัวของเขาให้ขาด จึงเรียกดาบของตัวเองออกมารับคมดาบของอีกฝ่ายได้ทันท่วงที

เคล้ง!

ดาบกับดาบปะทะกันทำเอาเมฆาถึงกับกัดฟัน

แรงเยอะชะมัด

เมฆาคิดในใจ นี่ถ้าตนไม่ติดคำสาปปีศาจแล้วล่ะก็ เรื่องพละกำลังของเขาไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน

“เพราะแก…เพราะแก น้องราตรีถึงได้ร้องไห้!” ปฐพีพูดจบ ก็ปัดดาบของเมฆาที่ถืออยู่กระเด็นไปไกล ก่อนจะใช้ดาบฟันเข้าที่หัวไหล่ของเขาอย่างเร็วโดยที่เขาหลบไม่ทัน

ฉัวะ!

8900

ฉูด!


เลือดพุ่งกระฉูดใส่บนใบหน้าของปฐพี

“อ๊าก!” เมฆากรีดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดเข่าลงนั่งกับพื้นดิน

“เกิดอะไรขึ้นนะ?! เสียงดังไปถึงฟากนู่นเลย” เสียงของพวกอเลนตะโกนมาจากอีกฟากทางหลังของเมฆา ก่อนที่ทุกคนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองนั่งคุกเข่าเอามือกุมหัวไหล่ที่อาบไปด้วยเลือดกับปฐพีที่ยืนถือดาบที่มีรอยเลือดหยดลงกับพื้น

“นายเป็นบ้ารึไงปฐพี คิดจะฆ่าเม…”

“นี่มันเรื่องของฉันกับเมฆา คนนอกไม่เกี่ยว!” ปฐพีแย้งศาสตราทันควัน ซึ่งทำเอาคนฟังแทบหน้าจ๋อย แต่ทว่าเสียงของธิดากลับแย้งขึ้นมา

“ไม่เกี่ยวก็ต้องเกี่ยว ก็เพราะเขาเป็นเพื่อนของพวกเรา แล้วนายจะไปทำเขาไปทำไมกัน ไปโกรธเคืองอะไรเขาจนถึงขั้นจะฆ่าจะแกง...” ธิดาพูดยังไม่ทันจบ ดาบของปฐพีก็ลอยเข้ามาเฉียดแก้มของเธอก่อนจะลอยไปปักอยู่ที่พื้น

1500

ค่าดาเมจขึ้นพร้อมกับเลือดที่ไหลอาบบนแก้มของธิดา

“ถ้าขืนเธอพูดอีกคำ ระวังหัวจะไม่ได้อยู่บนบ่าอีก” ปฐพีพูดขู่ก่อนจะเดินไปหยิบดาบที่ปักอยู่บนพื้นก่อนจะเดินกลับมาที่เดิม ซึ่งทำเอาทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ แทบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะคริสตัลที่ร้องไห้โฮขึ้นมาอย่างไม่อายสายตาของทุกคน ซึ่งเมฆาเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะตนเองก็เจ็บหนักจนลุกไม่ขึ้น แล้วทันใดนั้นเมฆาก็ได้เห็นอีกฝ่ายยกดาบขึ้นเหนือหัวตัวเอง จึงหลับตาลงรอรับความตายโดยไม่คิดจะป้องกันตัวเอง

ฉัวะ!

....................

ฉัวะ!

8785

ฉูด!


เลือดพุ่งกระฉูดใส่เสื้อผ้าของปฐพี หากแต่เจ้าของมันกลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“น้องราตรี!” ภาพเบื้องหน้าของปฐพีในตอนนี้กลับกลายเป็นราตรี แทนที่จะเป็นเมฆาซึ่งน่าจะถูกคมดาบของเขาฟันสะพายแล่ง ไม่ได้มีเพียงแต่ปฐพีที่ตกใจกับภาพที่เห็น ทั้งอเลน ศาสตรา พิภพ ธิดา หงส์หยก ปลา คริสตัล งุ้งงิ้ง คอเบียร์ มาริโอ และรวมถึงเมฆาที่ลืมตาขึ้นมองเพราะได้ยินเสียงชื่อของราตรีแล้ว ต่างก็พากันตกใจจนอ้าปากค้างกันเป็นแถว ส่วนราตรีหรือคุณยายของปฐพีเมื่อถูกเขาใช้ดาบฟันแล้ว ก็ได้เอ่ยปากพูดกับเมฆาที่กอดหลวมๆอยู่

“มะ...มะไม่เป็นไรนะครับท่านพี่” หากแต่คนถูกถามได้แต่หน้าซีดพูดอะไรไม่ออก ปฐพีเดาได้ว่าเมฆาคงกำลังตกใจเช่นเดียวกับที่เขาตกใจอยู่ในขณะนี้ แล้วราตรีก็ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหันหน้ากลับมาทางเขาด้วยใบหน้าอันซีดเซียวโดยมุมปากยังเปื้อนเลือดอยู่ “พี่ปะ...ปฐพี...ผม...ว่าพี่หยุดพอแค่นี้เถอะครับ...อย่าให้มันเลยเถิดไปมาก...กว่านี้ ผมขอ...ร้อง แค่กๆ”

ปฐพีได้ยินดังนั้นแทบลมจับ เพราะเขาไม่อยากเชื่อว่าคุณยายจะพูดเข้าข้างเมฆา

“ทำไม...ทำไมน้องราตรีต้อง...ออกตัวรับการโจมตีแทนมันด้วย ทำไม!” ทว่าราตรีหาได้ตอบคำถามไม่ กลับส่งพรายกระซิบบอกกับเขาเป็นเชิงขอร้อง

“ตานพเอ้ย อย่าทำเขาไปมากกว่านี้อีกเลย เขาก็แค่ทำไปตามอารมณ์ในตัวละครที่ชื่อว่าเมฆา ไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเขาในโลกนอกเกม”

“นี่คุณยายยังคิดจะเข้าข้างมันได้อีกรึครับ” ปฐพีพรายกระซิบกลับไป “มันทำกับคุณยายจนร้องไห้ถึงขนาดนี้แล้ว คุณยายยังจะ...ฮึ่ม!”

“นพ”

“ผมไม่รู้ว่ามันทำอะไรกับคุณยายไปบ้าง แต่ผมไม่มีวันยอมที่จะปล่อยมันไปง่ายๆหรอก ไม่มีวัน!”


ราตรีได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็พลันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดตอบคำถามที่เขาเคยถามไปในตอนแรกโดยไม่ใช้พรายกระซิบอีก

“ที่ผมทำไปก็เพราะ...เขาเป็นพี่ชายที่แสนดีของผม”

แล้วร่างบางก็ทรุดฮวบกับพื้นต่อหน้าต่อตาทุกคน

.......................................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

นอกบท

“เอ่อจริงสินพ แล้วคนอื่นๆล่ะ” จันทร์แรมหรือราตรีเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย

“ไปเก็บเลเวลกันแถวๆนี้แล้วครับ” นพตอบยิ้มๆ “ส่วนมาริโอนั้นก็ตามไปด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณยาย”

“อืม ยายก็ไม่ได้เป็นห่วงเขามากนักหรอก กลัวอย่างเดียวว่ามันจะไปหม้อหนูปลา หนูหงส์หยก และยัยแก้วเอาได้นะสิ” ราตรีพูดอย่างเป็นกังวล ซึ่งทำเอาปฐพีได้ยินถึงกับหัวเราะเสียงดัง เพราะรู้ฤทธิ์เดชของมาริโอเป็นอย่างดีว่าเป็นมอนสเตอร์ที่ขี้หลีระดับเทพ

“คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาไปหรอกครับ พวกเขาเอาตัวรอดกันได้” ปฐพีพูดไปหัวเราะไปพลาง “โดยเฉพาะกับพวกขี้หลีเนี่ย หายห่วงได้แน่นอนครับ”

“ขอให้มันเป็นแบบนั้นเถอะ”

ราตรีถอนหายใจก่อนจะลงมือทานข้าวต้มต่อ เมื่อทานข้าวต้มเสร็จแล้วปฐพีก็บอกให้เธอนอนพักเอาแรงต่อ ซึ่งเธอก็ยอมนอนแต่โดยดีเพราะยังไม่หายปวดหัว ส่วนปฐพีเมื่อเห็นคุณยายของตนหลับไปแล้ว จากใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่นี้ ภาพนัยน์ตาสีฟ้าครามของราตรีซึ่งแดงกล่ำผ่านการร้องไห้มาอย่างโชกโชน ทำเอาปฐพีหรือนพที่ได้เห็นแล้วถึงกับโมโห

ต้องเป็นมันแน่!

มันคนเดียวเท่านั้น!!


ปฐพีคิดได้ดังนั้นก็พลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปอย่างหนักหน่วงโดยไม่ลืมที่จะเรียกดาบของตัวเองออกมา

แกไม่ได้ตายดีแน่!

ไอ้เมฆา!!

ไอ้ผัวเส็งเคร็ง!!!


...................

 :m20: :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 61 โมโห (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 05-03-2015 16:05:32
บทที่ 62 บทสรุปของความรู้สึก

............................................................

พอราตรีรู้สึกตัวอีกที เธอก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงในเต็นท์แล้ว

นี่เรา…ยังไม่ตายอีกรึ? ทีแรกเธอคิดว่าโดนหลานตัวเองใช้ดาบฟันหลังแล้วจะตายเสียอีก แต่นี่กลับไม่ตาย ครั้นพอมองไปด้านซ้าย ก็พบกับมาริโอกับคริสตัลที่นอนฟุบหน้าอยู่ข้างเตียงแลให้เห็นคราบน้ำตาบนผ้าปูที่นอน ทั้งคู่คงจะร้องไห้มากจนเผลอหลับไปสิเนี่ย เฮ้อ

ราตรีคิดในใจพลางลอบยิ้มออกมาอย่างขบขัน ครั้นพอจะลุกขึ้นเดินไปอีกฝั่งที่ไม่มีมาริโอกับคริสตัล กลับชะงักเมื่อเห็นหัวของใครบางนอนฟุบหน้าโดยมีมือหนึ่งกำนิ้วมือกับข้อมือของเธอไว้อยู่

คุณอวิ๋น ตานพ สภาพของเมฆาในตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดที่แห้งเกรอะกรังซึ่งเธอเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายได้ดื่มยารักษาบาดแผลของตัวเองไปแล้วรึยัง ครั้นพอมองปฐพีก็พบว่าหลานของเธอกำลังนอนฟุบหลับอยู่ข้างๆเมฆา

แล้วกัน นอนติดกันแบบนี้ไม่ทะเลาะกันตายรึนี่

ราตรีคิดในใจอย่างขบขันกับภาพที่เห็น ซึ่งออกจะเหลือเชื่อเพราะเมื่อก่อนหน้านี้ปฐพียังแทบจะฆ่าเมฆาเลยเสียด้วยซ้ำ

“อ้าวน้องราตรีตื่นแล้วหรือจ้ะ” เสียงธิดากล่าวทักทายพลางเดินเข้ามาในเต็นท์ในมือมีอ่างล้างหน้าถือติดมาด้วย ซึ่งพอธิดาเดินเข้ามาแล้วก็ยังมีหงส์หยกและปลาเดินตามเข้ามาด้วยติดๆ “ยังปวดหัวหรือเจ็บแผลอะไรอีกหรือเปล่า พี่จะได้ให้เราดื่มยารักษาอีก”

ธิดาถามพลางเดินเข้ามาทางฝั่งมาริโอที่นอนอยู่

“ไม่ครับ ไม่ปวดไม่เจ็บแล้วครับท่านพี่ธิดา” ราตรีตอบเสียงเบา เพราะเธอเกรงว่าสี่ร่างที่นอนอยู่จะตกใจตื่น ซึ่งทำให้ธิดาเห็นท่าทีของราตรีก็หัวเราะ

“ไม่ต้องกลัวว่าจะตื่นหรอกน้องราตรี เพราะพวกเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสองวันเต็มๆ”

“สองวันเต็ม? นี่ผมหลับไปนานขนาดนั้นเชียวรึครับท่านพี่ธิดา” ราตรีร้องอุทานอย่างตกใจ ซึ่งทำเอาหงส์หยกพยักหน้าตอบแทนธิดา

“ใช่จ้ะน้องราตรี สองวันเต็ม” หงส์หยกพูดก่อนที่ปลาจะเล่าต่อให้เธอฟัง

“สองวันที่พี่ปฐพีกับพี่เมฆาไม่หลับไม่นอน เอาแต่เฝ้าคอยดูแลน้องราตรีอยู่ไม่ห่าง ดีนะที่พวกพี่เขาไม่ได้ทะเลาะกันอีก ส่วนมาริโอกับคริสตัลนั้นงอแงอย่างกับเด็กๆ เฮ้อ”

“ขืนทะเลาะกันอีกสิ แม่จะซัดไม่เลี้ยงเลยล่ะ โทษฐานที่ทำให้น้องราตรีได้รับบาดเจ็บหนัก” ธิดาพูดพลางกำหมัดแน่น ซึ่งทำเอาราตรีหัวเราะ “แต่คุณเมฆาก็น่าทุบนักนะ ตอนนั้นตัวเองบาดเจ็บหนักอยู่แท้ๆ ไม่ยอมให้คุณอเลนได้รักษาก่อน อ้างบอกว่าต้องรักษาน้องราตรีก่อนนะไม่งั้นไม่ยอม ส่วนปฐพียิ่งแล้วใหญ่ รายนี้งัดยารักษาออกมาจนหมดกระเป๋าไอเทม เฮ้อ”

คำพูดของธิดาทำให้ราตรีถึงกับส่ายหน้า

ห่วงไม่เข้าเรื่องเลยพวกนี้นี่ แล้วราตรีก็ปล่อยให้ธิดาได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวไป ก่อนที่หงส์หยกจะป้อนข้าวให้เธอเพราะเห็นว่ามือข้างขวาไม่ว่าง ส่วนปลานั้นแค่เดินตามเข้ามาเพื่อให้กำลังใจเธอเฉยๆเท่านั้น สักพักธิดา หงส์หยก และปลาเมื่อเสร็จธุระแล้ว ก็ขอตัวไปข้างนอกโดยปล่อยให้ราตรีได้นอนพักผ่อน หากแต่ราตรีนอนหลับไม่ลง เพราะโดนจับมือไว้อยู่อย่างนี้ ครั้นพอมองหน้าเมฆากับปฐพีว่าจะลงโทษสองคนนี้ยังไงดีแล้ว เธอก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จริงสิ ยังมีวิธีนี้อยู่นี่นะ หึๆ

ราตรียิ้มพลางมองสองหนุ่มผู้ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองอย่างมีเลศนัย

.........................................

ปฐพีลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อมีไอแสงจากข้างนอกหน้าต่างเต็นท์เข้ามาโดนใบหน้าของตัวเอง

ร้อนแหะ ปฐพีคิดในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนป่วยที่ยังคงนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง คุณยายยังไม่ฟื้นอีกรึเนี่ย สองวันแล้วนะ ชักเป็นห่วงแล้วสิ

ปฐพีคิดอย่างเป็นกังวล พอหันไปมองอีกฟากของเตียง ก็พบว่าลูกสาวของตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของมาริโอ

ไอ้เห็ดจอมฉวยโอกาส! ครั้นพอคิดจะลุกขึ้นไปแยกมาริโอให้ออกจากคริสตัล ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเมฆานอนฟุบหน้ากับพื้นเตียงโดยมือของเจ้าตัวยังคงกุมนิ้วมือของราตรีอย่างหลวมๆอยู่ ชิ! นี่ถ้าไม่ติดว่าคุณยายสั่งห้ามไว้แล้วล่ะก็ ไม่ปล่อยให้จับอยู่อย่างนี้หรอก

ปฐพีคิดในใจอย่างเดือดดาล ก่อนจะเดินอ้อมไปทางฝั่งลูกสาวตัวเองจัดการแยกมาริโอให้ออกห่างจากคริสตัล เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงค่อยเดินออกนอกเต็นท์ไป

“อ้าว ปฐพีตื่นแล้ว…” พิภพที่ยืนอยู่ข้างนอกกับศาสตราเอ่ยปากทักเขาทันทีที่เห็นเขาเดินออกมา แต่กลับหยุดชะงักพูดเมื่อเห็นเขา “…รึ”

อะไรของพวกนี้หว่า?

ปฐพีขมวดคิ้วคิดในใจอย่างสงสัย

“อืม เดี๋ยวฉันว่าจะขี่ม้ากลับไปในเมืองดนตรีเพื่อซื้อน้ำยาเติมเลือดซักหน่อย พวกนายจะไปกับฉันไหมล่ะ”

“เอ่อ ไม่ล่ะ ฉันจะเก็บเลเวลแถวนี้กับศาสตรานะ”

พิภพพูดปฏิเสธ ซึ่งปฐพีก็ไม่คิดจะขัดใจ ก็เลยเรียกม้าของตัวเองออกมาก่อนจะขึ้นขี่มันแล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งประจวบเหมาะกับเมฆาที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาพอดี

นี่ยังไม่ฟื้นอีกรึ เมฆาคิดในใจพลางมองคนป่วยอย่างเป็นห่วง เพราะเดิมทีแล้วผู้เล่นที่โดนโจมตีแล้วสลบไป ส่วนมากจะใช้เวลาแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้น แต่นี่ปาเข้าไปสองวันเต็มแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าราตรีจะฟื้นขึ้นมาเลยซักนิด ครั้นพอนึกย้อนกลับไปเมื่อสองวันที่แล้ว ภาพราตรีที่เข้ามาปกป้องเขาจากการโจมตีของปฐพีนั้น ทำเอาเมฆานึกแปลกใจ ทั้งๆที่ผมทำร้ายจิตใจคุณมากไปแล้ว ทำไมคุณถึงยังคิดช่วยผมอีกคุณจันทร์แรม ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ

เมฆาคิดอย่างปวดหัว เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะอยู่ที่นี่อีก จึงลุกขึ้นเดินออกนอกเต็นท์ไปเพื่อที่จะไปอาบน้ำในลำธาร พอเขาเดินออกไปแล้ว ก็พบกับศาสตราและพิภพกำลังนั่งเช็ดอาวุธอยู่

“อรุณสวัสดิ์ศาสตรา พิภพ แล้วคนอื่นๆหายไปไหนกันหมดล่ะ” เมฆาถามพลางมองหาไปรอบๆ ซึ่งทำให้สองหนุ่มที่กำลังนั่งเช็ดอาวุธอยู่นั้นถึงกับหยุดมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบคำถามของเมฆา

“อ้อ พวกธิดาไป…” ศาสตราตอบแต่ก็ชะงักค้างอยู่แค่นั้น ซึ่งรวมถึงพิภพที่มองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้ว “…ไปเก็บเลเวลกับอเลนนะ เอ่อ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมเมฆา”

“ได้สิ ว่ามาเลย” เมฆาพูดพลางนึกสงสัยกับท่าทางของทั้งคู่ว่าทำไมถึงเอาแต่จ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ

“คืออย่างนี้นะ” ศาสตราพูดเสียงลังเลพลางยกมือชี้นิ้วที่หน้าของตัวเอง “นายไปทำอะไรกับ เอ่อ หน้าของนายนะ ลองดูกระจกสิ แล้วนายจะรู้เองเมฆา”

“ดูกระจกรึ?” เมฆาขมวดคิ้วพูด แล้วเขาก็หยิบกระจกออกมาจากกระเป๋าไอเทมขึ้นมาส่องดูก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

“เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้นกับหน้าของฉันเนี่ย!”

....................................................

“เฮ้อ?!”

ปฐพีถอนหายใจในขณะที่เขาขี่ม้ามาถึงหน้าเมืองดนตรีแล้ว ครั้นพอลงจากหลังม้าเพื่อที่จะนำไปฝากไว้กับเอ็นพีซี แต่กลับต้องชะงักเมื่อเขาได้ยินเสียงพูดกระซิบของผู้เล่นคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมา

ซุบซิบนินทาอะไรกันนะ? ถึงแม้ผู้เล่นคนอื่นจะใช้วิธีพรายกระซิบก็ตามที แต่เขาก็พอเดาได้ว่าคนอื่นกำลังนินทาตัวเขาอยู่แน่ๆ ทว่าปฐพีไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจนัก ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังตลาดเพื่อซื้อของตามที่ต้องการ เมื่อปฐพีเดินมาถึงตลาดแล้ว กลับมีผู้เล่นนินทาเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม อะไรของพวกเขานะ จ้องหน้าอยู่ได้

ปฐพีคิดในใจในขณะที่เดินเข้าไปดูซุ้มที่ขายเติมพลัง

“ขอซื้อน้ำยาเติมเลือด น้ำยาเพิ่มพละกำลัง และน้ำยาแก้คำสาปอย่างละสองพันขวดครับ” ปฐพีบอกรายการที่ตนเองต้องการจะซื้อ แต่ทว่าคนขายกลับยืนจ้องหน้าเขานิ่ง

นี่ก็อีกคน ไม่คิดจะต้อนรับลูกค้าเลยรึไง

ปฐพีคิดในใจก่อนจะสะกิดเรียกพ่อค้าที่ยืนจ้องหน้าเขาไม่หยุด

“ผมต้องการซื้อของครับคุณพ่อค้า ถ้าไม่ขายผมก็ไม่เอาแล้วนะ” ปฐพีพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ซึ่งทำให้พ่อค้าสะดุ้ง

“เอ่อ ครับๆ ขายครับขาย” พ่อค้าพูดไปเช็ดเหงื่อไป ก่อนจะเตรียมของขายให้เขา เมื่อปฐพีซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาได้เดินผ่านร้านขายของกิฟช็อปกับร้านขายเครื่องดนตรีด้วย

แวะซื้อของไปขอโทษให้ยัยแก้วกับคุณยายดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นปฐพีก็เดินวกกลับเข้าไปสองร้านนั้น หลังจากซื้อเสร็จแล้ว ปฐพีก็เดินออกมาจากเมืองก่อนจะขี่ม้ากลับไปยังจุดเต็นท์ที่พวกเขาอยู่ เมื่อเขากลับไปถึงแล้ว ก็พบว่าตอนนี้ในเต็นท์เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เป็นอะไรกัน ทำไมหัวเราะเสียงดังแบบนั้น เดี๋ยวก็รบกวนคุณยายเอาหรอก

ปฐพีคิดได้ดังนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่ลืมผูกเชือกติดไว้กับต้นไม้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกๆคน ครั้นไปถึงจุดที่พวกเพื่อนนั่งอยู่ พวกเขาต่างหันหน้ามามองเขาพร้อมกันเป็นตาเดียว

“จริงด้วย เหมือนกับที่คุณเมฆาโดนมาแล้วจริงๆ” ธิดาอมยิ้มพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งทำเอาปฐพีนึกสงสัยกับท่าทางของธิดา “เอ้าๆ ยังไม่รู้ตัวอีกว่าตัวเองโดนอะไรลงไป นี่สรุปว่านายไปในเมืองดนตรีมาแล้วจริงๆใช่ไหมปฐพี แหม น่าสงสารจังนะ คงไม่มีใครบอกนายเลยสิท่า คิกๆ”

ใครบอกอะไร?

ปฐพีขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนที่เมฆาจะโยนกระจกมาให้ ซึ่งเขารับมันมาพลางก้มลงมองกระจกอย่างไม่เข้าใจ หากแต่ภาพในกระจกทำให้ปฐพีถึงกับเบิกตากว้าง ซึ่งเผยให้เห็นคิ้วตาถูกเขียนด้วยปากกาสีดำ ขนตางอนงาม ขอบตาบนถูกเขียนเป็นสีอมชมพู กับขอบตาล่างถูกเขียนด้วยสีดำเข้มตวัดงอนงาม แก้มสองข้างที่มีเพียงแต่สีเนื้อธรรมชาติกลับถูกปัดเป็นวงกลมแดงเข้ม ไหนจะริมฝีปากที่ถูกด้วยสีแดงระเรื่ออีก

“นะ…นี่…มัน…อะไรกัน!!”

...............................................

“นะ…นี่…มัน…อะไรกัน!!”

เสียงปฐพีดังเล็ดลอดเข้ามาในเต็นท์ ทำให้ร่างเล็กต้องตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หึ สงสัยเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองโดนแต่งหน้าเหมือนผู้หญิง

ราตรีนึกขำขันในใจที่ได้กลั่นแกล้งหลานชายของตัวเอง จากนั้นเธอจึงค่อยล้างหน้าล้างตาจากอ่างน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกลมข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเต็นท์ทันทีที่ได้ยินเสียงของปฐพีอีกครั้ง

“ใครกัน ใครกันที่เขียนหน้าฉัน! บอกมาเดี๋ยวนี้…”

“ผมเองครับ ผมเองที่เป็นคนเขียน ไม่สิ แต่งหน้าให้พี่ปฐพีกับท่านพี่เมฆาเองแหละครับ” ราตรีตอบพลางก้าวเท้าเดินออกมานอกเต็นท์

“น้องราตรีฟื้นแล้วหรือครับ ยังปวดหัวหรือเจ็บแผลตรงไหนอยู่อีกรึเปล่า” เมฆาถลาเข้ามาถามเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล โดยที่ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางที่เธอเคยตกแต่งไปเมื่อเช้านี้

คงลบทิ้งไปแล้วสินะ

ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าค่อยแต่งใหม่ก็ได้

ราตรียิ้มกระหย่องกับแผนการของตัวเองในใจ

“ผมไม่ได้เจ็บอะไรแล้วครับท่านพี่เมฆา ขอบคุณที่เป็นห่วง” ราตรีตอบยิ้มๆ ซึ่งทำเอาคนฟังอดพลอยยิ้มตามเสียมิได้ แต่ก็ต้องหุบปากลงเมื่อราตรีส่งพรายกระซิบไปว่า

“อย่าคิดว่าดิฉันหายโกรธแล้ว จะยอมยกโทษให้หรอกนะคะคุณอวิ๋น”

“อะแฮ่ม!” เสียงปฐพีกระแอมไอขัดจังหวะ ทำให้เธอต้องหันไปมองหลานชายของตัวเองที่ยืนเม้มปากหน้าแดงอย่างไม่พอใจ “คราวหน้าคราวหลังถ้าจะแต่งหน้าให้ใคร น้องราตรีก็ช่วยดูคนด้วยนะครับ ไม่ใช่สักจะแต่งตามใจชอบ”

“อ้อ ไม่ใช่สักจะแต่งตามใจชอบ แล้วทำไมหลานถึงได้คิดจะฆ่าเมฆาล่ะ ไหนบอกยายมาซิ” คำพูดผ่านพรายกระซิบของราตรีทำเอาร่างสูงถึงกับสะอึก

“เอ่อ...ผม...ผม...”

“เรื่องของยาย ยายจัดการเองได้” เธอบอกพลางถอนหายใจท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องเธอกับปฐพีที่เล่นจ้องหน้ากัน “แต่ยายต้องขอขอบใจนพมากนะ ที่อุตส่าห์เป็นห่วงยาย ขอบใจมากจริงๆ ขอบใจ”

ปฐพีทำหน้าตะลึงเมื่อได้ยินคำขอบคุณจากเธอ

“ไม่เป็นไรครับคุณยาย”

เมื่อคุยกันเรียบร้อยแล้วปฐพีก็รีบไปล้างหน้าของตัวเอง แล้วทุกคนก็นั่งลงมือทานข้าวเย็นก่อนจะพากันไปเก็บเลเวลต่อจนถึงสองทุ่ม ซึ่งครั้งนี้ราตรีได้เมฆากับปฐพีช่วยเก็บเลเวลจนกลับมาที่ห้าสิบอีกครั้งในเวลาชั่วโมงเดียว แล้วค่ำคืนนั้นพวกเขาก็นั่งล้อมกองไฟเพื่อปรึกษาหารือว่าจะช่วยพ่อแม่ของราตรีให้พ้นเงื้อมมือราชาปีศาจได้ยังไง

“อย่างที่เคยคุยไว้ ปฐพี ธิดา เธอสองคนต้องไปบอกข่าวให้พวกสมาชิกในสมาคมให้ทราบว่าพวกเราต้องการคนไปปราบราชาปีศาจ ให้พวกเลเวลน้อยระดับห้าสิบถึงเจ็ดสิบเก้าเป็นกองเสบียงและกำลังพลกองฉุกเฉิน ส่วนพวกที่มีสายอาชีพเสริมอย่างพวกพ่อครัวมาทำหน้าที่รักษาเสบียง ส่วนพวกอาชีพนักประดิษฐ์ก็ให้คอยผลิตลูกธนู ดาบ แหวน ที่ป้องกันหรืออาวุธสำรอง พวกปรุงยาก็เร่งผลิตยาเพิ่มพลัง ยาเพิ่มเลือด ยาเพิ่มมานา ยาเพิ่มความเร็วยกกำลังสอง อะไรพวกนี้ อย่าลืมไปจัดมาให้เรียบร้อยนะ อ้อ แล้วก็อย่าลืมไปขนพวกดอกไวท์มูนไลท์ด้วยล่ะ”

เมฆาบอกแผนการที่ตัวเองวางไว้ให้ทุกคนฟัง ซึ่งปฐพีกับธิดาพยักหน้าตอบ เมื่อคุยกันเสร็จแล้วพวกเขาก็เข้านอนกัน พอรุ่งเช้าเข้าวันที่หกของการออนไลน์พวกปฐพีกับพวกธิดาก็ขอตัวกลับไปสมาคมของตัวเองเพื่อไปทำตามแผนการที่เมฆาบอกไว้ ซึ่งทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่เมฆา อเลน ราตรี คริสตัล งุ้งงิ้ง คอเบียร์ และมาริโอที่ยังคงเก็บเลเวลอยู่ในป่าสัตว์อสูร จนกระทั่งเข้าวันที่สิบของการออนไลน์เกม ทั้งราตรี คริสตัล งุ้งงิ้ง และคอเบียร์ต่างได้เมฆากับอเลนช่วยเก็บเลเวลตั้งแต่เช้าจนค่ำ

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้เลื่อนเลเวลจาก79เป็น80”

เสียงระบบประกาศบอกในหัวราตรี

“ผมได้เลเวลแปดสิบแล้วนะครับท่านพี่เมฆา” ราตรีบอกเมฆาซึ่งกำลังคิดจะไปลากสัตว์อสูรมาให้เธออีก “กลับเต็นท์กันเถอะครับ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะได้เวลาที่ผมออฟไลน์เกมแล้ว”

เมฆาได้ยินที่ราตรีพูดถึงกับชะงัก

“จะออฟไลน์แล้วหรือ” เมฆาถามเสียงเรียบ ซึ่งราตรีก็พยักหน้าแทนคำตอบ

“ครับ เพราะพรุ่งนี้พวกผมกับครอบครัวจะต้องกลับบ้านแล้วนะครับ” ราตรีบอกเหตุผลที่ต้องตื่นแต่เช้า ก่อนจะหันไปตะโกนบอกพวกคริสตัลที่กำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรอยู่ว่าเธอจะกลับเต็นท์เพื่อออฟไลน์เกม

“อยู่ทานข้าวมื้อเย็นก่อนออฟไลน์ไม่ได้หรือ” เมฆาถามทันทีที่ราตรีตะโกนบอกพวกนั้นเสร็จแล้ว

“งานนี้ผมขอผ่านครับ” ราตรีหันหน้ามาตอบ ซึ่งทำเอาคนฟังเม้มปาก “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทานอาหารร่วมกับท่านพี่ก่อนจะออฟไลน์หรอกนะครับ แต่ผมกลัวว่าระหว่างรับประทานอาหารอยู่ เกิดระบบประกาศออฟไลน์ขึ้นมา ผมมิต้องแย่เลยหรือ ฮะๆ”

ราตรีพูดไปหัวเราะไปพลาง แต่คนฟังไม่รู้สึกขำไปด้วย

“อยู่เที่ยวทะเลต่ออีกสองสามวันไม่ได้หรือครับคุณจันทร์แรม” เมฆาถามพลางเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกเธอไปด้วยพร้อมกัน

“คงจะไม่ล่ะครับท่านพี่เมฆา” ราตรีก็ยังคงตอบโดยไม่เปลี่ยนวิธีการพูดของตัวเองตามเดิม “เพราะหลานชายของผมจะต้องกลับไปทำงานในวันมะรืนนี้แล้ว คงจะอยู่เที่ยวทะเลต่อไม่ได้หรอกครับ”

แล้วราตรีก็หันตัวกลับไปทางเสียงเรียกของพวกคริสตัล หากแต่เธอต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายคว้ามือของเธอเอาไว้

“เรื่องคืนวันนั้น…เอ่อ…พี่…”

“เรื่องคืนวันนั้นผมลืมไปแล้วล่ะท่านพี่” ราตรีตอบโดยไม่รอฟังอีกฝ่ายพูดให้จบเสียก่อน “เพราะฉะนั้นท่านพี่อย่าไปคิดมาก ถือซะว่าแล้วก็แล้วกันไปนะครับ แต่…ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าผมรับความรู้สึกของท่านพี่แบบความรักฉันท์ชู้สาวไม่ได้ เพราะผมเห็นท่านพี่เป็นเพียงแค่พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ผมเข้ามารับคมดาบแทนท่านพี่ไว้จนต้องตัวเองบาดเจ็บสาหัสนั้น เป็นเพราะว่าผมไม่อยากให้หลานชายของผมต้องทำผิดไปมากกว่านี้ หวังว่าท่านพี่คงพอจะเข้าใจแล้วนะครับ”

“แต่…”

“ไม่มีแต่ครับท่านพี่” ราตรีแย้งทันควัน “ท่านพี่อย่าทำให้ผมต้องเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้เลยครับ แค่ท่านพี่ปิดบังเรื่องที่ซ่อนท่านพ่อท่านแม่ก็มากเกินพอแล้ว ไหนจะปิดบังเรื่องที่ท่านพี่เป็นถึงลูกชายของราชาปีศาจอีก”

“น้องราตรี”

“ผมเข้าใจดีว่าสิ่งที่ท่านพี่ทำไปก็เพื่อไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับท่านพี่ต้องขาดสะบั้น แต่ถ้าท่านพี่บอกผมเสียตั้งแต่ทีแรก ผมก็คงไม่ต้องโกรธท่านพี่เหมือนกับวันนั้นอีก ดีไม่ดี ผมนี่แหละอาจจะต้องขอบคุณท่านพี่ที่บอกความจริงกับผมก็ได้นะครับ”

พอราตรีพูดจบ ร่างสูงถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ถูกของน้อง พี่นี่แย่จริงๆ มัวแต่กังวลว่าถ้าน้องได้รู้ความจริงแล้วพาลจะรังเกียจพี่เสียอีก”

“ไม่เป็นไรครับ แค่ท่านพี่เข้าใจได้ก็ดี” ราตรีพูดยิ้มๆ ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยขวาออกมา ซึ่งทำเอาเมฆาเห็นถึงกับขมวดคิ้ว “สัญญากับผมสิครับ ว่าต่อไปนี้ถ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนใจหรือความลับที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ ก็มาระบายที่ผมได้นะครับ เพราะผมจะไม่มีวันไปบอกกับใครแน่ ผมสัญญา”

เมฆามองนิ้วก้อยราตรีอยู่ชั่วครู่ ก็พลันฉีกยิ้มออกมาก่อนจะเอานิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวก้อยกับนิ้วก้อยของเธอ

“ตกลง พี่สัญญา” ราตรีได้ยินถึงกับหายใจโล่งคอที่เรื่องนี้มันจบได้เสียที “แต่…พี่ขออะไรน้องเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมครับ นี่ไม่ใช่อวิ๋นขอแต่เป็นเมฆาขอ อ้อ แล้วน้องก็ห้ามโกรธพี่ด้วยนะ”

ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับงุนงง แต่ก็ยอมพยักหน้าแต่โดยดี

“ได้สิครับ ท่านพี่จะขออะไรผมก็ว่ามา…”

หมับ!

ราตรีพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ อีกฝ่ายก็สวมกอดเธอพลางใช้มือขวาช้อนหลังศีรษะของราตรีให้เงยหน้าขึ้นก่อนจะพรมจูบริมฝีปากอย่างนุ่มนวลท่ามกลางสายตาอันตกตะลึงของพวกอเลนที่เพิ่งจะกลับมาหลังจากต่อสู้กับสัตว์อสูรเสร็จหมาดๆ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอเองก็พลอยตาค้างด้วยความตกใจกับการกระทำของเมฆา ครั้นเวลาผ่านไปได้สองนาที อีกฝ่ายก็ถอนริมฝีปากของตัวเองออกก่อนจะเผยยิ้มหวานให้กับเธอ

“ต้องขอโทษจริงๆที่พี่ทำให้น้องต้องตกใจ แต่นี่เป็นความรู้สึกที่พี่อยากจะมอบไว้ให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกจากกัน พี่รู้ตัวดีว่าพี่เป็นได้เพียงแค่พี่ชายที่แสนดี แต่พี่ก็อยากให้น้องได้จดจำไว้ในความทรงจำว่าครั้งหนึ่งพี่เคยรักน้องมาก่อน…เฮ้อ ค่อยโล่งใจหน่อย รู้สึกว่าเหมือนว่าได้โยนความรู้สึกหนักอึ้งนี้ไปได้ซะที ฮะๆ”

ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็แทบโกรธไม่ลง เพราะอีกฝ่ายทำเอาเธอตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ครั้นจะด่าว่าอีกฝ่ายที่ทำกับเธอแบบนี้ก็ไม่ได้อีกด้วย เพราะดันไปสัญญาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ร้ายกาจจริงๆนะท่านพี่เมฆา

พอหลังจากคุยกันเสร็จแล้ว เธอก็บอกลาทุกคนก่อนจะออฟไลน์เกมไป

....................


นอกบทที่ 62  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:


แวะซื้อของไปขอโทษให้ยัยแก้วกับคุณยายดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นปฐพีก็เดินวกกลับเข้าไปสองร้านนั้น หลังจากซื้อเสร็จแล้ว ปฐพีก็เดินออกมาจากเมืองก่อนจะขี่ม้ากลับไปยังจุดเต็นท์ที่พวกเขาอยู่ เมื่อเขากลับไปถึงแล้ว ก็พบว่าตอนนี้ในเต็นท์เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เป็นอะไรกัน ทำไมหัวเราะเสียงดังแบบนั้น เดี๋ยวก็รบกวนคุณยายเอาหรอก

ปฐพีคิดได้ดังนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่ลืมผูกเชือกติดไว้กับต้นไม้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกๆคน ครั้นไปถึงจุดที่พวกเพื่อนนั่งอยู่ พวกเขาต่างหันหน้ามามองเขาพร้อมกันเป็นตาเดียว

“จริงด้วย เหมือนกับที่คุณเมฆาโดนมาแล้วจริงๆ” ธิดาอมยิ้มพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งทำเอาปฐพีนึกสงสัยกับท่าทางของธิดา “เอ้าๆ ยังไม่รู้ตัวอีกว่าตัวเองโดนอะไรลงไป นี่สรุปว่านายไปในเมืองดนตรีมาแล้วจริงๆใช่ไหมปฐพี แหม น่าสงสารจังนะ คงไม่มีใครบอกนายเลยสิท่า คิกๆ”

ใครบอกอะไร?

ปฐพีขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนที่เมฆาจะโยนกระจกมาให้ ซึ่งเขารับมันมาพลางก้มลงมองกระจกอย่างไม่เข้าใจ หากแต่ภาพในกระจกทำให้ปฐพีถึงกับเบิกตากว้าง ซึ่งเผยให้เห็นคิ้วตาถูกเขียนด้วยปากกาสีดำ ขนตางอนงาม ขอบตาบนถูกเขียนเป็นสีอมชมพู กับขอบตาล่างถูกเขียนด้วยสีดำเข้มตวัดงอนงาม แก้มสองข้างที่มีเพียงแต่สีเนื้อธรรมชาติกลับถูกปัดเป็นวงกลมแดงเข้ม ไหนจะริมฝีปากที่ถูกด้วยสีแดงระเรื่ออีก

“โอ้ววว! พระเจ้า นี่เรารึเนี่ย สวยเหลือเกิน แอร๊ยยย ทำไมเดี๊ยนช่างงดงามอะไรเช่นนี้!”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พากันเบือนหน้าหนีอย่างสิ้นหวัง

เฮ้อ โลกหนอโลก
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 62 บทสรุปของความรู้สึก (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 05-03-2015 16:13:13
บทที่ 63 เป้าหมายใหม่

.........................................

หลังจากออฟไลน์แล้ว จันทร์แรมก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ แล้วพอเธอออกจากห้องน้ำอีกทีก็พบว่ารุ้งกำลังเตรียมจะเข้าห้องน้ำเหมือนกัน

“คุณแม่คะ อรุณสวัสดิ์...ว้าย คุณแม่คะ ทำไมตาของคุณแม่ถึงแดงก่ำแบบนั้นได้ล่ะคะเนี่ย” รุ้งถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ซึ่งทำเอาจันทร์แรมขมวดคิ้ว

“แม่จะไปรู้ได้ยังไงล่ะลูกรุ้ง แม่มัวแต่นั่งสมาธิกับอาบน้ำแต่งตัว ไม่ได้ดูกระจกเลยสักนิด” เธอตอบพลางหันไปมองกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะเห็นนัยน์ตาแดงก่ำราวกับว่าได้ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

แค่ร้องไห้ในเกมก็ส่งผลถึงร่างกายที่อยู่ข้างนอกเกมได้ด้วยรึเนี่ย?

“ช่างเถอะลูกรุ้ง เดี๋ยวเดียวก็หายแล้วล่ะ อย่าไปสนใจนักเลย” จันทร์แรมพูดตัดบทก่อนจะเอ่ยปากไล่ลูกสาวให้รีบไปอาบน้ำ พอลูกสาวของเธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็รีบเก็บสัมภาระก่อนจะออกนอกห้องไปซึ่งประจวบเหมาะที่ห้องของนพถูกเปิดออกพอดี

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณยาย” มีนาในเสื้อยืดสีขาวลายดอกไม้กางเกงยีนส์ขาสั้นสามส่วนแลดูเรียบง่ายกล่าวสวัสดีทักทายเธอ ก่อนที่จะหันไปทักทายกับรุ้ง “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแม่”

“อืม อรุณสวัสดิ์แม่มีนา แล้วลูกนพกับหลานแก้วล่ะ ตื่นนอนรึยังจ้ะ”

“ตื่นเรียบร้อยแล้วค่ะคุณแม่ ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอยู่นะค่ะ”

รุ้งพยักหน้ากับคำตอบนั้น แล้วไม่นานนักนพกับแก้วก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระ ก่อนที่ทุกคนจะพากันเดินไปลงลิฟต์เพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมนี้ ในขณะที่ทุกคนกำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ก็มีเสียงเรียกชื่อจันทร์แรมจากทางหลังซึ่งทำให้เธอกับทุกคนหันหลังกลับไปดู

“คุณอวิ๋น?!” จันทร์แรมร้องอุทานเบาๆเมื่อเห็นร่างสูงวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากลิฟต์ ก่อนจะตามมาด้วยอาเฟยที่อุตส่าห์วิ่งหอบกระเป๋าสองใบดูทุลักทุเล

“แฮ่กๆ คุณจันทร์แรม แฮ่กๆ” อวิ๋นพูดไปหอบไปพลาง ซึ่งเธอ นพ รุ้ง มีนา และแก้วต่างยืนรอให้อีกฝ่ายหายเหนื่อยก่อน เมื่ออีกฝ่ายหายเหนื่อยแล้วก็รีบจัดแจงเสื้อผ้ากับผมของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะหันมาพูดกับเธอว่า “คุณจันทร์แรมจะกลับบ้านแล้วหรือครับ”

“ค่ะ ดิฉันกับพวกลูกๆหลานๆจะกลับบ้านแล้วนะค่ะ ว่าแต่คุณอวิ๋นมีอะไรหรือเปล่าคะ” จันทร์แรมพูดตอบพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย

จะมาไม้ไหนอีกล่ะนี่

ด้วยความที่เธอยังไม่ไว้ใจชายตรงหน้า จึงเดินถอยหลังหนึ่งก้าว

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ไหนๆก็จะจากกันแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เจออีกเมื่อไหร่ ผมก็เลยคิดว่าจะขออีเมล์แอดเดรสจากคุณจันทร์แรมซัก...”

“ไม่จำเป็น เพราะยังไงเดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี” นพพูดแทรกอย่างห้วนๆ

“อย่าเสียมารยาทสิตานพ” จันทร์แรมหันไปตวาดหลานชายตัวเอง ซึ่งทำให้คนโดนบ่นต้องหันหน้าหนีอย่างไม่พอใจ ก่อนที่เธอจะหันหน้าไปพูดกับอวิ๋นต่อ “ต้องขอโทษแทนตานพด้วยนะคะ พอดีเขาเพิ่งจะตื่นนอน เลยยังเบลอๆอยู่”

“ฮะๆ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”

“ส่วนเรื่องอีเมล์แอดเดรสของดิฉันที่คุณอวิ๋นต้องการนั้น ดิฉันไม่มีหรอกค่ะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะดิฉันเล่นคอมพิวเตอร์ไม่เป็นนะค่ะ ต้องขอโทษด้วย”

คนฟังส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องอีเมล์แอดเดรสไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้างั้นผมขอเป็นเบอร์มือถือกับที่อยู่ปัจจุบันของคุณจันทร์แรมจะได้หรือเปล่าครับ” อวิ๋นถามพลางเดินเข้ามาใกล้จันทร์แรมก่อนจะพูดกระซิบกับเธอว่า “จะได้คุยปรึกษาเรื่องในเกมได้ยังไงล่ะครับ”

จันทร์แรมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินที่อวิ๋นกระซิบ

ขนาดจูบลาในเกมไปแล้วยังหน้าด้านมาขอเบอร์มือถือกับที่อยู่อีก

ร้ายกาจจริงๆ


ด้วยความที่เธอกับอวิ๋นจะไม่ได้อยู่ใกล้กันแบบนี้อีก ก็เลยให้ไปแต่โดยดีเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเธอเหมือนในเกมได้อีกอย่างแน่นอน แต่ก่อนจะนั่งรถกลับบ้าน อวิ๋นกับอาเฟยยังตามมาส่งถึงรถยนต์อีก

“แล้วเจอกันในเกมนะครับคุณจันทร์แรม” อวิ๋นหันมาพูดกับเธอเบาๆ ซึ่งจันทร์แรมพยักหน้าแทนคำพูดก่อนจะเดินขึ้นรถยนต์ ในขณะที่นพกำลังจะขับรถยนต์พาทุกคนกลับบ้านอยู่นั้น จู่ๆอวิ๋นก็เดินเข้ามาพร้อมกับพูดกระซิบหูนพ ซึ่งทำให้คนฟังถึงกับเบิกตากว้างมองอวิ๋นด้วยความตกตะลึงปนโกรธเล็กน้อย “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”

แล้วอวิ๋นก็เดินจากออกไปโดยที่นพได้แต่มองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึงกับคำพูดกัดเจ็บของอวิ๋นที่ยังติดอยู่ริมหูว่า

“ปฐพี นี่ฉันเองเมฆา ฉันต้องขอบใจนายมากนะที่พาคุณจันทร์แรม ไม่สิ น้องราตรีเข้าไปเล่นเกมเรียลไลฟ์ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่มีทางได้เจอหน้ากันแบบนี้แน่ปฐพีเอ๋ย ฮะๆ”

...........................................................

ย้อนกลับไปในเกมอีกครั้งเมื่อหลายวันก่อน ในวันที่ราชาปีศาจพากองทัพปีศาจบุกไปชิงตัวราตรีอยู่นั้น ที่คุกชั้นใต้ดินในตอนนี้สองร่างกำลังนั่งพิงกรงขังโดยมีเดรคคอยประคองร่างบางอยู่มิห่าง

“...ที่รักคะ...” เสียงหวานสั่นเครือดังแว่วขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำให้ราชามังกรต้องลืมตาหลังจากนั่งทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังของตัวเองอยู่

“มีอะไรหรือเหม่ยจิง เจ้ายังต้องนอนพักอีกมากนะ อย่าฝืนแรงลืมตาหรือพูดอีกเลย” เดรคพูดด้วยความเป็นห่วงพลางบีบมืออันขาวเนียนน้อยนี้เบาๆ ซึ่งทำให้เหม่ยจิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเดรคนั้นถึงกับส่ายหน้าไปมา

“ไม่ค่ะเดรค ข้าไม่อยากหลับอีกแล้ว ข้าเป็นห่วงลูกเสียเหลือเกิน” เหม่ยจิงพูดเสียงสะอื้นไห้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีพลังพอที่จะใช้กระจกมายาเพื่อส่องดูความเป็นไปของลูกชายตัวเองได้อีกแล้ว ซึ่งคำพูดของเหม่ยจิงทำเอาคนฟังอย่างเดรคพลอยรู้สึกเป็นห่วงลูกชายด้วยอีกคน “ที่รักคะ เราไม่มีหนทางอื่นที่พอจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้แล้วหรือคะ”

เดรคได้ยินที่เหม่ยจิงพูดถึงกับถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ถ้ามีข้าคงพาเจ้าออกไปนานแล้วล่ะเหม่ยจิง” เดรคตอบพลางใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกตาเหม่ยจิงออกเบาๆ “แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ลูกเรามีเพื่อนเยอะ คงเอาตัวรอดจากเงื้อมมือ...”

“ถ้าเอาตัวรอดได้จริง ข้าคงไม่โผล่หัวมาให้พวกเจ้าเห็นได้เร็วขนาดนี้หรอก” เสียงของราชาปีศาจดังขึ้นขัดจังหวะ ทำเอาเดรคกับเหม่ยจิงต้องหันไปมองต้นเสียงอย่างเร็ว ก่อนจะเห็นราชาปีศาจยืนแสยะยิ้มด้วยความพึงพอใจ

“ไม่จริง ข้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าหรอกราชาปีศาจ”

“หึ ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ข้าขอยืนยันว่าลูกชายของเจ้าถูกปีศาจของข้าฆ่าตายไปแล้ว ฮ่าๆ” คำพูดของราชาปีศาจทำเอาเหม่ยจิงถึงกับกรีดร้องจนสลบไป

“เหม่ยจิง!” เดรคเรียกชื่อคนรักด้วยความเป็นห่วง หากแต่ร่างอันบอบบางที่อยู่ในมือได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไปจึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของเดรคเลยซักนิด เดรคจึงหันไปมองราชาปีศาจด้วยความโกรธ “แก...เพราะแกทีเดียว แกบังอาจทำให้ลูกชายข้าต้องตาย”

ราชาปีศาจได้ยินดังนั้นถึงกับแสยะยิ้มด้วยความพึงพอใจ

“หึ ช่วยไม่ได้ ก็ลูกชายของเจ้าอยากอ่อนแอเองนี่” คำพูดของราชาปีศาจทำเอาเดรคถึงกับกัดฟันด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะอำนาจพลังของเขาในตอนนี้แทบจะไม่เหลืออะไรเลย นอกจากลมหายใจกับพลังเล็กน้อยที่คอยประคองชีวิตไปวันๆเท่านั้น “จะว่าไปก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ลูกชายของเจ้าต้องมาตายเสียก่อน ทำให้ข้าอดสูบพลังไปเลย แต่…ก็ช่างเถอะ เพราะตอนนี้ข้ามีเป้าหมายใหม่ที่ดีกว่าสูบพลังของลูกเจ้าอีกตั้งเยอะ”

“เป้าหมายใหม่? อย่าบอกนะว่าแกจะ…”

“ข้าจะยึดครอบครองโลกนี้ให้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวยังไงล่ะเดรคเอ๋ย หึๆ พวกเจ้าคอยดูข้าอยู่ในนี้แล้วกัน ฮะ ฮะ ฮ่า!”

แล้วราชาปีศาจก็เดินออกจากคุกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะของตัวเอง

.........................................

ในช่วงที่พวกจันทร์แรมกับพวกอวิ๋นกำลังกลับบ้านอยู่นั้น ทางด้านบริษัทเกมในขณะนี้ทีมงานกำลังหัวหมุนเนื่องจากโปรแกรมเกมที่เขาเคยเขียนเอาไว้เกิดผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ ทำเอาดนัยเทพกับปริญไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะต้องเข้าร่วมประชุมข้ามวันข้ามคืนเพื่อหาทางแก้ไขให้ได้ก่อนจะที่สายเกินแก้ โดยเฉพาะข้อมูลของเอ็นพีซีอย่างราชาปีศาจที่เกิดรวนขึ้นมาเพราะได้มีแฮคเข้าไปเจาะเมื่อครั้งนั้น ทำให้พวกเขาต้องรีบเข้าไปแก้ไขระบบหากแต่ข้อมูลของราชาปีศาจเกิดเสียหายยากเกินที่จะแก้ไข ทำให้พวกเขาได้แต่จับตาดูราชาปีศาจอยู่ทุกฝีก้าวหากราชาปีศาจเกิดทำอะไรร้ายแรงขึ้นมาต่อระบบของเกมนี้ แต่มาบัดนี้ราชาปีศาจกลับมีความคิดของตัวเองได้ขึ้นมาโดยที่พวกเขาไม่ได้ไปทำอะไรกับมันเลยซักนิด

นั่นก็คือการครอบครองโลกแห่งเกมนี้!

ซึ่งทีมงานได้รีบเข้าไปทำการแก้ไขข้อมูลส่วนนี้แล้ว หากแต่ทำได้เพียงแค่ยับยั้งเวลาไม่ให้ราชาปีศาจเข้าไปเข่นฆ่าผู้เล่นในเกมได้เท่านั้น

“ผมหวังว่าจะมีการแก้ไขให้ดีขึ้นมากกว่านี้” ท่านประธานของเกมกล่าวพูดขึ้นหลังจากได้ฟังรายงานของลูกน้องแล้ว “แต่ก่อนอื่นผมขอให้พวกคุณแจ้งเตือนกับผู้เล่นไปว่าให้เตรียมรับมือราชาปีศาจกับกองทัพราชาปีศาจให้พร้อมทุกเมื่อ เพราะทางพวกเราคงไม่ทราบล่วงหน้าว่าราชาปีศาจจะเริ่มบุกเมื่อไหร่”

“ครับท่านประธาน” ดนัยเทพตอบ

“ความจริงแล้วผมก็อยากให้พวกคุณเข้าไปจัดการกับราชาปีศาจในเกมซะเสียตอนนี้เลย เพราะถ้าหากราชาปีศาจตายแล้ว ระบบมันจะทำการรีเซ็ตกลับมาใหม่ทำให้ราชาปีศาจกลับมาเป็นราชาปีศาจที่ดีดังเดิม แต่…” ประธานหยุดชะงักพูดไปชั่วครู่เพื่อพักหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “…ผมอยากให้ผู้เล่นจัดการกันเองดีกว่า เพราะถือซะว่านี่คือภารกิจพิเศษที่ทางเราเป็นผู้จัดให้ โดยที่ผมจะขอให้พวกคุณช่วยแก้ไขระบบในส่วนค่าประสบการณ์ของผู้เล่นที่จะต้องถูกลดเมื่อถูกราชาปีศาจหรือกองทัพปีศาจฆ่าตายไปแล้ว จากที่ระดับแปดสิบขึ้นไปลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้เหลือแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์พอ ส่วนผู้เล่นที่ระดับยังไม่ถึงห้าสิบก็ให้ลดแค่ห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น”

“ครับท่าน”

“ส่วนเรื่องของตอบแทนหลังจากโค่นราชาปีศาจได้นั้น ถ้าผู้เล่นคนใดไปรับภารกิจจากต้นไม้มานาแล้วล่ะก็ จะได้ของรางวัลเพิ่มเป็นอาวุธแทน ซึ่งทางนี้ผมขอมอบหน้าที่ให้ฝ่ายด้านไอเทมไปจัดการกันเอาเอง แต่ผมขอย้ำว่าเป็นของที่ดึงดูดให้ผู้เล่นน่าสนใจเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วย จะเป็นอะไรก็ได้แต่ต้องมีไม่เกินห้าชิ้นเท่านั้น”

“ครับท่าน” แล้วท่านประธานก็หันหน้าไปทางปริญซึ่งกำลังนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ส่วนคุณปริญ” ประธานเรียกชื่อปริญอย่างหนักแน่น “ผมขอมอบหน้าที่ให้คุณไปช่วยดูแลความปลอดภัยของผู้เล่นไอดีแปดพันโดยใช้ตัวละครของคุณที่สมัครเอาเอง ห้ามใช้ไอดีจีเอ็มเป็นอันขาด เพราะผมกลัวว่างานโปรเจคย้อนวัยจะพังเอาได้ถ้าหากมีคนรับรู้เรื่องนี้ แค่ไปดูห่างๆนะ ไม่ใช่เข้าไปใกล้เหมือนกับคราวก่อนๆ ไม่อย่างนั้นผมจะยื่นซองขาวให้คุณโดยไม่รับฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น แล้วก็อย่าลืมกลับออกมาเขียนรายงานส่งผมทุกครั้งด้วยล่ะ”

“ทราบแล้วครับท่านประธาน”

เมื่อจบการประชุมแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

................................................

หลังจากพวกจันทร์แรมได้กลับมาถึงบ้านแล้ว ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นพอดี ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมามากพอแล้ว นพจึงเอ่ยปากชวนทุกคนให้ออกไปรับประทานอาหารที่ข้างนอกบ้านแทน หลังจากที่นพพาจันทร์แรมและทุกคนไปรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ก็พากันกลับบ้านเพื่อพักผ่อน ทว่าพอถึงบ้านแล้ว แทนที่จันทร์แรมจะกลับเข้าไปอาบน้ำแต่งชุดนอนแล้วทำสมาธิเหมือนอย่างเคย แต่กลับเรียกนพให้เข้าไปคุยในห้องพระ

“คุณยายมีอะไรจะคุยกับผมงั้นหรือครับ” นพถามอย่างสงสัยในขณะที่เขานั่งลงคุกเข่าอย่างเรียบร้อยต่อหน้าคุณยายที่นั่งพับเพียบรอก่อนอยู่หน้านั้นแล้ว

“ไหว้พระก่อนเถิดตานพ” จันทร์แรมบอก ซึ่งทำเอานพรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามกลับไป แล้วนพก็ทำตามที่เธอบอกโดยการจุดธูปแล้วไหว้พระตามปกติที่เคยทำ ครั้นนพไหว้พระเสร็จแล้ว จันทร์แรมจึงค่อยเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “ที่ยายเรียกนพมานี่ก็เพราะอยากจะคุยเรื่องในเกมออนไลน์”

นพได้ยินถึงกับขมวดคิ้ว

“นพรู้ใช่ไหมว่าเกมเป็นอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่สมมุตขึ้นมาโดยให้เราเดินไปตามบทบาทของตัวละครที่เราได้ไปเกิดในนั้น” จันทร์แรมพูดเกริ่น ซึ่งทำเอาหลานได้ยินถึงกับผงกหัวตอบ “เพราะฉะนั้นเรื่องในเกมตอนที่หลานไปทำร้ายเมฆาเพราะความเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับยายล่ะก็ ยายอยากให้หลานยุติความบาดหมางกับเขาแต่เพียงเท่านี้ เพราะการที่จะไปแค้นใครไม่ได้ช่วยให้หลานดีขึ้นมาเลย มีแต่รังจะสร้างบาปติดตัวหลานไปตลอด ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นเพียงแค่เกมก็ตาม”

“ทราบแล้วครับคุณยาย ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับผมสัญญา” นพพูดก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี หลังจากนั้นจันทร์แรมก็ชวนหลานชายนั่งสมาธิสวดมนต์แผ่เมตตา ซึ่งกินเวลานับชั่วโมงจนกระทั่งนพขอตัวกลับห้องนอนของตัวเองไป ส่วนตัวเธอก็ค่อยเดินกลับไปห้องนอนโดยมีฟางที่เป็นพยาบาลช่วยพยุงกลับไปด้วย หลังจากที่จันทร์แรมได้อาบน้ำแต่งชุดนอนเสร็จแล้ว เธอก็นั่งสมาธิสักพักก่อนจะสวมแว่นตาอนาล็อกเข้าเกมอีกครั้ง หากแต่การออนไลน์ครั้งนี้ระบบได้ประกาศแจ้งข่าวเกี่ยวกับราชาปีศาจและกองทัพปีศาจให้ฟัง รวมถึงภารกิจลุงมานาที่เธอเคยไปรับมาตั้งแต่เธอยังมีร่างเป็นเด็กทารกด้วย ครั้นพอราตรีลืมตาขึ้นมา กลับพบเมฆานั่งฉีกยิ้มรออยู่ข้างเตียงพร้อมกับมาริโออยู่ก่อนแล้ว

โรคจิตชัดๆ มีอย่างที่ไหนมานั่งดูคนอื่นตอนหลับเนี่ย

ราตรีคิดในใจอย่างเอือมระอา ซึ่งเป็นความโชคดีของราตรีที่เกมนี้ได้ลงโปรแกรมไว้ว่าถ้ามีผู้เล่นคนใดออฟไลน์เกมโดยนอนอยู่ในเต็นท์แล้วล่ะก็ จะไม่มีผู้เล่นคนใดเข้ามาทำมิดีมิร้ายได้

“อรุณสวัสดิ์ครับน้องราตรี เดี๋ยววันนี้หลังทานข้าวเช้าแล้ว พี่จะพาเราไปเก็บเลเวลนะ” เมฆาพูดอรุณสวัสดิ์พร้อมกับเอ่ยปากชวนเธอไปพร้อมกันในทีเดียว

“แล้วพี่อเลน น้องคริสตัล งุ้งงิ้ง คอเบียร์ล่ะครับท่านพี่เมฆา”

“อ้อ พวกเขายังไม่ออนไลน์เกมกันเลยนะครับ” เมฆาตอบก่อนจะลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวพี่จะไปทำอาหารก่อนนะ”

“ครับ”

แล้วเมฆาก็เดินออกนอกเต็นท์ไปโดยมีมาริโอขอตามไปช่วยทำอาหารด้วย หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วเธอก็เดินออกไปข้างนอกเพื่อทานข้าวเช้า ซึ่งหลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้ว เมฆาก็พาเธอกับมาริโอตะลุยเก็บเลเวลกับพวกสัตว์อสูรต่อจนถึงเที่ยง ซึ่งแน่นอนว่าระดับของราตรีในตอนนี้ได้พุ่งขึ้นมาเป็นแปดสิบห้าแล้ว

“แค่นี้ฝีมือน้องก็ใกล้เคียงกับอเลนแล้วนะครับ” เมฆาพูดกล่าวชมราตรี ซึ่งทำเอาเธอรู้สึกเขินเล็กน้อย แล้วหลังจากนั้นพวกเธอก็เดินกลับไปที่เต็นท์เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน พอพวกราตรีเดินไปถึงแล้ว ก็พบคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีประมาณห้าสิบกว่าคนยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่หน้าเต็นท์เต็มไปหมด ซึ่งมีธิดา หงส์หยก และปลายืนอยู่หน้าคนกลุ่มนั้นด้วย

“ท่านพี่ธิดา!” มาริโอร้องเรียกชื่อหญิงสาวพลางอ้าแขนวิ่งเข้าไปหาด้วยความคิดถึง ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับเอามือกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ

ไอ้หน้าหม้อเอ้ย!

ส่วนธิดาเมื่อได้ยินเสียงเรียกของมาริโอแล้วก็หันมายิ้มให้ แต่ไม่ทันที่มาริโอจะได้วิ่งมาถึงตัวธิดา มีดสั้นเอย ดาบเอย พลังเวทย์เอย ต่างถูกซัดมาจากคนในกลุ่มนั้นมาปักลงพื้นต่อหน้ามาริโอ ซึ่งทำเอามันเกือบเบรกเท้าไม่ทัน

“อย่าเข้ามาใกล้ท่านประมุขนะไอ้เห็ดชีกอ!” หนึ่งในกลุ่มชุดสีฟ้าที่ซึ่งมีรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นพูดขู่มาริโอ ทำเอาเมฆาได้ยินถึงกับลอบอมยิ้มอย่างขบขัน ส่วนมาริโอเมื่อได้ยินคำว่าไอ้เห็ดชีกอแล้ว ถึงกับลงไปนอนดิ้นกับพื้นร้องไห้เสียงดังจ้า

“แง้! ข้าไม่ใช่เห็ดชีกอนะ! ฮือๆ” ราตรีส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าไปปลอบมัน ส่วนธิดาก็หันไปดุผู้หญิงคนที่ด่ามาริโอว่าเป็นเห็ดชีกอทันที

“ทีหลังถ้าฉันไม่ได้สั่ง ห้ามทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด! เข้าใจไหม!!”

“เอ่อ เข้าใจ...แล้วค่ะท่านประ...เอ่อ คุณธิดา” ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าตอบ ก่อนที่ธิดาจะเดินเข้าไปปลอบมาริโอด้วยอีกคน เมื่อมาริโอหยุดร้องแล้วเมฆาจึงค่อยเดินเข้าไปหาธิดา

“มีอยู่แค่นี้หรือครับคุณธิดา” เมฆาถามพลางมองผู้เล่นที่เป็นสมาชิกของจันทราวารี ซึ่งธิดาได้ยินก็หันหน้าไปตอบเมฆาว่า

“เปล่าค่ะคุณเมฆา นี่แค่ส่วนย่อยที่เคยติดตามฉันไปทำภารกิจอยู่บ่อยๆ แต่เดี๋ยวบ่ายๆจะมีตามมาทีหลังอีกค่ะ”

“แล้วจำนวนคนล่ะครับ ผมจะได้กะเกณฑ์ได้ถูก” เมฆาถามต่อ

“สามร้อยคนค่ะ แล้วของคุณเมฆาล่ะคะ ไม่กลับไปบอกคนในสมาคมเงาบ้างเลยหรือคะ”

“บอกสิครับ แต่ของผมไม่ต้องกลับไปบอกเพราะสามารถใช้โทรโข่งพิเศษบอกคนที่อยู่ห่างไกลเป็นพันกิโลเมตรได้นะครับคุณธิดา” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “แต่พวกเขาจะรอพวกเราที่นั่น เพราะสมาคมของผมเป็นทางผ่านที่จะไปดินแดนปีศาจพอดี”

“อะไรนะคะ สมาคมของคุณเป็นทางผ่านไปดินแดนปีศาจหรือคะ” ธิดาร้องอุทานเสียงเบา ส่วนราตรีเองก็ตกใจนิดหน่อยที่ได้ยินเรื่องนั้นเช่นกัน

“ครับ ก็แค่หมู่บ้านเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ” เมฆาตอบก่อนจะหันไปคุยกับอเลนที่เพิ่งจะเดินออกมานอกเต็นท์ของตัวเอง “งานที่ข้าสั่งเรียบร้อยแล้วใช่ไหมอเลน”

“อืม เรียบร้อยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง”

โชคดีที่ครั้งนี้มีคนอยู่เยอะ จึงทำให้พวกราตรีไม่ต้องลงมือทำอาหารเอง พอทานอาหารเสร็จก็ประจวบเหมาะที่พวกปฐพีได้ขี่ม้ากลับมาพร้อมพรั่งด้วยผู้เล่นที่ขี่ม้ามานับร้อย

“ขอโทษที่มาช้า พอดีมัวแต่เคลียร์งานในภัตตาคารนะ” ปฐพีพูดกับเมฆาพลางกระโดดลงจากม้าเดินเข้ามาหาทุกคน ซึ่งตามด้วยศาสตรากับพิภพที่กระโดดลงจากหลังม้าตาม ส่วนผู้เล่นคนอื่นที่ตามปฐพีมานั้น ก็พากันเก็บม้าของตัวเองกันไป

“ไม่เป็นไร ว่าแต่นายพาคนมาได้เท่าไหร่ล่ะ”

“ห้าร้อยคน แต่ก็ยังน้อยกว่าของนายแล้วกันเมฆา เห็นว่ามีตั้งแปดร้อยคนเลยไม่ใช่รึไง” เมฆายักไหล่เป็นคำตอบ

“ว่าแต่น้องราตรีเก็บเลเวลกับเมฆาไปถึงไหนแล้วครับ” ปฐพีถามราตรีเพราะเห็นยืนเงียบอยู่นานแล้ว

“แปดสิบห้าครับพี่ปฐพี แต่ผมคิดว่าแค่นี้ยังคงไม่พอ กะว่าจะเก็บให้ถึงเก้าสิบนะครับ”

“อืม ดีแล้วล่ะ”

หลังจากคุยเสร็จแล้ว เมฆาก็ได้แบ่งงานให้พวกธิดากับพวกปฐพีไปทำ ซึ่งไม่พ้นเรื่องหยูกยาอาหาร หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบที่จะใช้สร้างอาวุธด้วย เมื่อแบ่งงานเสร็จแล้ว เมฆาก็ได้ขอตัวพาราตรีกับมาริโอไปเก็บเลเวลต่อให้ถึงเก้าสิบตามที่ราตรีเคยพูดเอาไว้

...............................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 62 บทสรุปของความรู้สึก (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 05-03-2015 16:19:09
บทที่ 64 เริ่มต้นสงคราม

...............................................

ในขณะที่พวกราตรีกำลังฝึกฝนร่างกายเพื่อเตรียมสภาพพร้อมที่จะทำสงครามกับราชาปีศาจแล้ว ผู้เล่นคนอื่นที่ได้รับประกาศจากจีเอ็มต่างก็รวบกลุ่มกันฝึกซ้อมเช่นเดียวกับพวกราตรี ซึ่งเป็นผลพลอยให้พ่อค้าแม่ค้าต่างพากันงัดทำน้ำยาเพิ่มเลือดเพิ่มมานารักษาพิษขึ้นมาขายกันเป็นทิวแถว แถมราคาสินค้าจำเป็นต่อสงครามก็เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ก็เลยทำให้ตลาดทุกเมืองในตอนนี้กลายเป็นภาวะสงครามการค้าขายไปแล้ว และนอกจากนี้ตลาดก็ยังเต็มไปด้วยผู้เล่นที่ต่างมาจับจ่ายซื้อของ ซึ่งเยอะมากเสียจนจีเอ็มต้องประกาศให้พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านขายของในเวลาที่จำกัด ส่วนทางด้านพวกราตรีนั้น สองวันแรกเมฆาก็ช่วยเก็บเลเวลให้ราตรีกับมาริโอไปพลางๆก่อน ทว่าพอเข้าวันที่สามของการออนไลน์เกม เมืองที่อยู่ทางเหนือของทวีปหลักได้ถูกกองทัพปีศาจส่วนหนึ่งบุกเข้าโจมตี เป็นเหตุให้เมฆาต้องผละจากการช่วยเก็บเลเวลกับราตรีหันมาวางแผนประชุมเพื่อเตรียมรับมือหาทางช่วยเหลือผู้เล่นที่รอดตาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ราตรีกับมาริโอต้องหันมาเก็บเลเวลกับพวกคริสตัลแทน

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้เลื่อนเลเวลจาก94เป็น95”

“ท่านได้เลื่อนระดับอายุจากยี่สิบหกเป็นยี่สิบเจ็ด”


เสียงระบบประกาศบอกในหัวราตรี หากแต่ร่างกายไม่ได้สูงขึ้นตามอายุเลยซักนิด ซึ่งราตรีไม่ได้เก็บมาคิดเพราะเห็นว่าไม่สำคัญอะไร แต่สิ่งที่ราตรีต้องให้ความสนใจในตอนนี้คือการเก็บเลเวลให้ถึงเป้าหมายที่กำหนด จะได้ไม่ต้องเป็นตัวถ่วงให้ใครอีก

“พี่ราตรีขา เลเวลถึงเก้าสิบห้าแล้ว ยังคิดจะเก็บอยู่อีกไหมคะ” คริสตัลเดินมาถามหลังจากเสียงระบบประกาศเรื่องระดับของราตรีให้ทุกคนในปาร์ตี้ได้ยินพร้อมกัน

“ไม่แล้วครับน้องคริสตัล ผมกะว่าจะกลับไปที่เต็นท์นะ” ราตรีตอบพลางครุ่นคิดในใจ โชคดีที่เมฆายังไม่ได้ไปพร้อมกับพวกธิดาที่มุ่งหน้าไปช่วยเหลือผู้เล่นทางเหนือในวันนี้ “เดี๋ยวอาหารมื้อเย็นนี้ ผมจะทำสตูว์เนื้อหมูป่าให้ทุกคนทานแล้วกันครับ เห็นบ่นว่าอยากทานไม่ใช่หรือ”

“เย้! สตูว์เนื้อหมูป่า!! จะได้ทานแล้ว เย้ๆ” คริสตัลโห่ร้องอย่างดีใจกับมื้ออาหารที่จะได้ทานตอนเย็น ซึ่งรวมถึงมาริโอที่อดเต้นตามเสียมิได้ ส่วนงุ้งงิ้งกับคอเบียร์ไม่ได้โห่ร้องไปกับเขาด้วย เพียงแค่อมยิ้มกับท่าทางของคริสตัลเพียงอย่างเดียว

เนื้อหอมจริงๆเหลนฉัน

ราตรีคิดในใจหลังจากลอบมองสองหนุ่มนี้อยู่เป็นวันแล้ว

“งั้นพี่ขอตัวกลับเต็นท์ไปก่อนนะครับน้องคริสตัล” ราตรีบอกก่อนจะเดินหันหลังกลับไปทางเต็นท์ทันที เมื่อราตรีได้เดินกลับมาถึงแล้ว เธอก็พบกับผู้เล่นกลุ่มใหญ่ยืนเรียงเป็นแถวตอนลึกเต็มแน่นเอี๊ยดหน้าเต็นท์จนมองไม่เห็นผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเลยซักนิด

“ตามที่ข้าเคยบอกไปเมื่อครู่นี้ พวกเราจำต้องใช้แผนนั้น แต่แผนที่วางไว้จะเสี่ยงไปหน่อยเพราะพวกเรามีคนน้อย แต่ถ้าพวกเราร่วมมือกันแล้วจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องขุนพลปีศาจที่นำทัพบุกเมืองเหนือตนนั้นแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เพราะข้าเคยรู้จักเขามา...” เสียงนั้นชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของราตรี “...ก่อน เอาล่ะ วันนี้ประชุมพอแต่เพียงเท่านี้ หากไม่เข้าใจก็ให้มาถามใหม่ได้ แต่อย่ารบกวนพวกเพื่อนของข้าเชียวล่ะ เอาล่ะแยกย้ายได้”

“รับทราบ!” แล้วคนในชุดดำที่เคยยืนออนับร้อยก็พากันหายวับไปกับตา ซึ่งทำให้ราตรีกับมาริโอที่เดินตามมาทีหลังได้เห็นเมฆากับอเลนยืนเคียงคู่กัน

“น้องราตรีเก็บเลเวลเสร็จแล้วรึครับ แล้วพวกน้องคริสตัลล่ะ” เมฆาถามทันทีที่เห็นเธอ

“เก็บเสร็จแล้วครับ แต่พวกคริสตัลยังเก็บไม่เสร็จ ผมเห็นว่ามันก็ใกล้จะเย็นแล้วก็เลยขอกลับมาทำอาหารเย็นก่อนนะครับ”

“ให้พี่ช่วยไหมล่ะ น้องกลับมานี่ก็เหนื่อยแย่อยู่แล้วยังต้องมาทำอาหารอีก” อเลนพูดเชิงขอร้อง

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้ผมจัดการคนเดียวเองได้ พวกพี่สองคนไปทำอย่างอื่นก่อนเถอะครับ” ราตรีตอบพลางส่ายหน้าไปมา “เดี๋ยวผมทำเสร็จจะตะโกนเรียกเอาแล้วกันนะครับ”

“อืม เอางั้นก็ได้ เมฆา เดี๋ยวฉันขอตัวไปช่วยพวกน้องคริสตัลเก็บเลเวลนะ” อเลนหันมาพูดกับเพื่อนที่ยืนเงียบอยู่นานแล้ว

“อืม ตามสบายเลยแล้วกัน” เมฆาตอบก่อนที่อเลนจะเดินออกไปจากรัศมีจุดตั้งเต็นท์ เมื่ออเลนไปแล้วเมฆาจึงหันหน้ามาทางราตรีต่อ “น้องราตรีเลเวลเก้าสิบห้าแล้วใช่ไหมครับ”

ราตรีพยักหน้าแทนคำตอบ

“ดีมาก พรุ่งนี้พี่จะได้พาเราขึ้นเหนือไปด้วย ส่วนพวกน้องคริสตัล พี่คิดว่าเย็นนี้ก็คงจะเก็บเสร็จแล้ว จะได้ไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว” เมฆาบอกก่อนจะพูดอธิบายถึงแผนการที่ได้บอกกับพวกตัวเองไปเมื่อครู่นี้ให้ราตรีฟังอีกที “ตามนี้นะน้องราตรี อย่าลืมนำแผนนี้ไปบอกพวกน้องคริสตัลด้วย”

“ครับท่านพี่” ราตรีตอบก่อนจะทำท่าผละไปทำอาหารต่อ หากแต่เมฆารั้งแขนเธอเอาไว้ “มีอะไรอีกหรือครับท่านพี่”

ราตรีถามอย่างสงสัยพลางจ้องมือของอีกฝ่ายที่จับแขนเธออยู่สั่นเล็กน้อย

เป็นอะไรของเขาหว่า?

“พี่นึกขึ้นได้ว่าพวกปีศาจยังไม่รู้ว่าน้องยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากน้องไปปรากฏตัวท่ามกลางสงครามแล้วล่ะก็…” เมฆาพูดเสียงเครียด “…คงไม่ดีแน่ เพราะพี่เกรงว่าท่านพ่ออาจจะบุกมาชิงตัวน้องอีก”

อ้อ ที่แท้ก็เป็นห่วงเรานี่เอง

ราตรีคิดในใจ ถึงแม้เธอจะปฏิเสธเรื่องรักกับเมฆาไปแล้ว แถมสถานะภาพในตอนนี้ทั้งเธอและเมฆาเป็นเพียงแค่พี่ชายกับน้องชายเท่านั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังแสดงความห่วงใยเหมือนแต่ก่อนอยู่ดี

“ฮะๆ”

“นะ…น้อง…ราตรี?”

เมฆาขมวดคิ้วมองเธออย่างงุนงงเมื่อเห็นเธอจู่ๆก็หัวเราะออกมาอย่างหน้าตาเฉย

“เรื่องนี้ไม่ยากครับท่านพี่ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

“จัดการ? น้องจะทำอะไรงั้นหรือ บอกพี่ได้ไหมครับ”

เมฆาถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาราตรีฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็รู้เองครับท่านพี่ หึๆ”

............................................................

ในภาวะสงครามเมืองเหนือเริ่มร้อนระอุเมื่อกองทัพปีศาจเริ่มบุกโจมตีได้สามวันเต็ม หากแต่เมืองนั้นมีผู้เล่นคอยป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้าบุกโจมตีเมืองเกือบตลอดเวลา ซึ่งโชคยังดีที่มีสมาคมชื่อดังถึงสองสมาคมอย่างจันทราวารีกับจับฉ่ายคอยป้องกันอยู่ จึงทำให้ขุนพลปีศาจร่างยักษ์สามตาผู้มีกายเป็นสีแดงกับเขาบนหัวสองข้างเหมือนกระทิงที่นำกองกำลังปีศาจมาเพียงหมื่นกว่าตนบุกได้อย่างยากลำบาก แต่ทว่าด้วยจำนวนปีศาจที่มากกว่าและเวลาที่กระชั้นชิดเกินไป ทำให้สองสมาคมที่มีกำลังคนไม่ถึงหมื่นเริ่มหมดแรง เสบียงก็เริ่มร่อยหรอไปตามกาลเวลา

“ทำยังไงกันต่อไปดีคะท่านประมุข! ตอนนี้ข้าศึกใช้ท่อนซุงชนกับกำแพงแล้ว คาดว่าอีกไม่นานประตูทิศใต้นี้ก็คงจะพังอย่างแน่นอนค่ะ!” หนึ่งในสมาชิกจันทราวารีวิ่งขึ้นบันไดมายังตรงป้อมเพื่อบอกข่าวกับหัวหน้าของตัวเองในขณะที่ข้างกำแพงเต็มไปด้วยฝนธนูธาตุน้ำที่ลอยขึ้นสูงด้วยฝีมือของคนในสมาคมจันทราวารี เสียงร้องโห่จากพวกปีศาจกับผู้เล่นในสมาคมจันทราวารีดังเป็นระยะๆ ไหนจะเสียงต่อสู้ด้วยอาวุธอีก ถ้าหากเป็นเวลาไม่เร่งรีบ ธิดาคงจะหันไปตวาดคนที่พูดจาสำเนียงคล้ายนิยายกำลังภายในจีนกับเธออย่างแน่นอน แต่ทว่าตอนนี้เธอต้องตั้งสติครุ่นคิดถึงแผนการที่จะป้องกันประตูฝ่ายใต้เพื่อมิให้ข้าศึกเข้ามายังข้างในเมืองเพียงอย่างเดียว

“ปฐพีช่วยฉันคิดหน่อยสิว่าจะป้องกันประตูยังไงดี” ธิดาพรายกระซิบขอความช่วยเหลือกับอีกฝ่ายที่เฝ้าอยู่ประตูเหนือโดยไม่สนเรื่องความแค้นเก่าที่เคยมีต่อปฐพี ซึ่งอีกฝ่ายเมื่อได้รับทราบแล้วจึงพรายกระซิบตอบกลับเธอมาว่า

“บัฟเพิ่มพลังป้องกันประตู แล้วระดมยิงธนูกับเวทย์มนต์ใส่ตัวที่ตีเข้ามา หรือไม่ก็เล็งท่อนซุงแล้วทำลายมันซะ”

“อืม ขอบใจมากนะปฐพี ขอบใจ”

ธิดาพรายกระซิบขอบคุณ ซึ่งอีกฝ่ายก็พรายกระซิบกลับมาว่าไม่เป็นไร แล้วธิดาก็หันไปสั่งพรรคพวกเหมือนกับที่ปฐพีเคยบอก ก่อนที่ธิดาจะไปสั่งหงส์หยกกับปลาให้ทำตามแผนที่บอกไว้เมื่อครู่นี้ แล้วหันมาร่ายเวทมนตร์ธาตุน้ำจัดการกับพวกปีศาจต่อด้วยความหวังที่พวกราตรีจะมาช่วยพวกเธอในเร็วๆนี้ก่อนที่เมืองนี้จะพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ในขณะที่ธิดากำลังป้องกันการโจมตีของปีศาจอย่างเอาเป็นเอาตาย ทางด้านพวกปฐพีเองก็เหนื่อยกับการรับมือการโจมตีของกองทัพปีศาจที่ขนาบประตูทิศเหนือของเมือง หากแต่ฝ่ายด้านปฐพีโชคร้ายกว่าทางธิดามากนัก เพราะนอกจากจะมีพวกปีศาจนับพันแล้ว ยังมีขุนพลปีศาจยักษ์สามตาผิวสีแดงมีเขาบนหัวคล้ายกระทิงที่มาคุมทัพด้วยตนเองไม่ไกลจากกำแพงเมืองเท่าไรนัก

“หึ มนุษย์ก็เป็นซะแบบนี้ล่ะนะ เก่งก็จริงแต่เรื่องพละกำลังด้อยนัก อีกเดี๋ยวก็หมดแรงข้าวต้ม”

ขุนพลปีศาจยักษ์สามตาผิวสีแดงมีเขาบนหัวคล้ายกระทิงสวมชุดเกราะสีดำพูดเสียงเย้ยหยันเมื่อมองตรงไปยังพวกมนุษย์ที่กำลังป้องกันการโจมตีของมันเริ่มอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ขุนพลปีศาจยักษ์สามตานี้จะอยู่ห่างไกลป้อมที่ปฐพีอยู่มากก็จริง แต่เรื่องระดับสายตาของปีศาจอย่างมันแล้วกลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีกุนซือคอยออกคำสั่งอยู่เกือบตลอดเวลานับตั้งแต่เริ่มสงคราม ซึ่งกุนซือที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกเสียจาก...

ปฐพี

ส่วนปฐพีเองก็ใช่ว่าจะไม่เห็นขุนพลปีศาจยักษ์สามตา เพราะอีกฝ่ายมีร่างสูงใหญ่เกินกว่าปีศาจในทัพอยู่มาก ไหนจะมีร่างกายสีแดงเลือดอยู่ตนเดียว ดังนั้นชายหนุ่มจึงสามารถแบ่งแยกได้ด้วยสายตาว่าในทัพนั้นใครเป็นผู้ขุนพลนำทัพปีศาจกันแน่

“รับมือยากจริงๆเจ้าโอคุมะเนี่ย เฮ้อ” ปฐพีพูดพึมพำพลางครุ่นคิดถึงภาพปีศาจในคู่มือเกมที่ตนเคยอ่านเจอมาก่อน ซึ่งเขาพอรู้คร่าวๆว่าเป็นปีศาจยักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โตสีแดงเลือด มีเขาสองข้างบนหัวคล้ายกระทิง สวมชุดเกราะสีดำทะมึน และมีอาวุธประจำตัวเป็นขวานเล่มใหญ่อยู่ข้างกายเสมอ หากแต่ระดับสมองของโอคุมะกลับเทียบเท่าเด็กประถมเวลาเอาแต่ใจ ดังนั้นเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่ปฐพีจะรับมือต้านการโจมตีของอีกฝ่ายได้อยู่ถึงสองวันเต็ม ทว่าด้วยกำลังคนอันน้อยนิดผนวกกับเสบียงที่ใกล้หมด ทำให้ผู้เล่นทั้งฝ่ายสมาคมจับฉ่ายของเขา สมาคมจันทราวารีของธิดา และผู้เล่นจากสมาคมอื่นๆที่มีอยู่ในเมืองนี้เริ่มอ่อนแรงลงทุกทีๆ แล้วปฐพีก็หันหลังกลับมองตรงไปยังทิศตรงข้ามซึ่งเป็นทางทิศใต้ของเมืองนี้ด้วยความหวังอันริบหรี่ “เมฆานะเมฆา เมื่อไหร่จะยกทัพมาช่วยฉันอีกล่ะเนี่ย ฉันต้านได้อีกไม่นานแล้วนะ”

ตูม!

เสียงประตูทางเหนือระเบิดขึ้นโดยเป็นฝีมือของนักเวทย์ฝ่ายปีศาจหลังจากที่ท่อนซุงของพวกมันพังไปได้ครึ่งวันแล้ว

“แตกแล้ว! ประตูแตกแล้ว!! พวกเราลุย!!”

นักเวทย์ที่เป็นปีศาจแผดเสียงดังลั่น ทำให้ปีศาจตนอื่นได้ยินต่างพากันโห่ร้องกรูเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว ทำให้ศาสตราที่เคยร่ายมนตร์ธาตุไฟโจมตีกับพิภพที่ร่ายเวทมนตร์ธาตุลมใส่พวกปีศาจที่อยู่นอกกำแพงเมืองต้องหันมาชักอาวุธแทนขึ้นมาก่อนจะโหมเข้าจัดการพวกปีศาจที่อยู่ใกล้เป็นอันดับแรกเหมือนผู้เล่นคนอื่นๆ ยกเว้นปฐพีที่ไม่ได้ชักอาวุธเหมือนศาสตรากับพิภพ ชายหนุ่มยืนนิ่งจนกระทั่งมีปีศาจห้าตนกรูเข้ามาใกล้หมายจะฆ่าปฐพีให้ตาย

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

8988

8788

8888

8871

8978


พริบตาเดียวปีศาจทั้งห้าต่างกระเด็นหงายท้องก่อนจะหายไปในพริบตาเดียว แล้วหลังจากนั้นปฐพีก็หันไปจัดการกับปีศาจตนอื่นที่กรูเข้ามาในประตูที่พังไปแล้วต่อ ซึ่งรวมถึงผู้เล่นคนอื่นที่เห็นพวกปฐพีเริ่มลงมือแล้ว พวกเขาจึงชักอาวุธของตัวเองก่อนจะกรูเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยอย่างรวดเร็ว

เฮ! เฮ!

ฉัวะ!

อ้าก!


ทั้งเสียงโห่ร้อง ทั้งเสียงอาวุธ ทั้งเสียงกรีดร้องของผู้เล่นหรือกระทั่งปีศาจทำให้ที่เมืองเหนือนี้กลายเป็นสมรภูมิเดือด ซึ่งพอพวกปีศาจที่เล็ดรอดหลุดเข้าไปยังข้างในได้แล้ว กลับต้องชะงักเมื่อเจอผู้เล่นตั้งป้อมรอ ซึ่งเป็นเทียนหลงกับหยางชุนหลานที่มาตั้งท่ารอตามแผนการของเมฆาที่ได้วางเอาไว้ล่วงหน้า

“พวกเราลุย! อย่าให้พวกปีศาจเข้ามาได้!!”

เทียนหลงตะโกนพลางชักพลองยาวขึ้นมาเตรียมพร้อมสู้กับหยางชุนหลานก็งัดกระบองท่อนแขนหรือทอนฟาขึ้นมาใช้บ้าง ส่วนผู้เล่นนับร้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังเมื่อได้รับคำสั่งจากเทียนหลงแล้ว ต่างโห่ร้องพร้อมกันก่อนจะชักอาวุธขึ้นมาสู้ทันที

เฮ!

แล้วผู้เล่นคนอื่นก็วิ่งเข้าไปลุยกับพวกปีศาจอย่างไม่กลัวเกรง ส่วนเทียนหลงกับชุนหลานต่างก็ลงมือจัดการพวกปีศาจด้วยเช่นกัน หากแต่ทั้งคู่มีวิธีจัดการได้ดีกว่าและเร็วกว่าผู้เล่นคนอื่น จึงทำให้พวกปีศาจที่มีระดับสูงหันไปลงมือกับสองคนนี้แทนที่จะไปจัดการกับผู้เล่นคนอื่นแทน ในขณะที่ทางประตูเหนือกำลังต่อสู้กับพวกปีศาจที่ทะลักเข้ามาในประตูได้อยู่นั้น ฝั่งทางด้านประตูทิศใต้ก็เพิ่งจะถูกพวกปีศาจพังประตูเข้ามาได้ด้วยฝีมือนักเวทย์ปีศาจเช่นเดียวกับทางเหนือ ทำให้พวกธิดาเลิกใช้เวทมนตร์ก่อนจะชักอาวุธของตัวเองขึ้นมาสู้แทน ซึ่งการต่อสู้ในสงครามนี้กินเวลานานพอสมควร และดูเหมือนฝ่ายเสียเปรียบคือฝ่ายมนุษย์ จากที่เคยมีผู้เล่นนับพันๆคน มาบัดนี้ล้มหายตายจากไปรอเกิดใหม่ในห้องรอเกิดกันเป็นว่าเล่น ทำให้เหลือแต่ผู้เล่นที่อึดกับเก่งระดับแปดสิบเก้าสิบเท่านั้น ส่วนทางด้านพวกปีศาจก็มีถูกพวกปฐพี พวกธิดา และพวกเทียนหลงจัดการไปบ้าง ก็เลยทำให้พวกปีศาจตายไปเสียสองส่วน จะเหลืออีกสองส่วนที่ยังอยู่

“หึ ไม่เลวนักนะไอ้พวกมนุษย์ จัดการทหารปีศาจของข้าหายไปเยอะเลยเหมือนกันนี่” โอคุมะพูดชมพวกปฐพีที่กำลังต่อสู้อยู่หน้าประตูอย่างพึงพอใจ

แต่ถึงจะเก่งยังไง พวกมันก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี!

แล้วสิ่งที่โอคุมะคิดไว้ก็ได้ขึ้นเกิดจริง เมื่อผู้เล่นที่มีระดับสูงเริ่มทยอยตายไปกันทีละห้าหกคนพร้อมกัน รวมถึงผู้เล่นที่เคยช่วยพวกปฐพีต่อสู้อยู่ข้างๆด้วยก็เช่นกัน ซึ่งทำให้ตอนนี้เหลือแค่ปฐพี ศาสตรา พิภพ และผู้เล่นคนอื่นๆอีก ยี่สิบกว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่อยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยเลือด แถมออกอาการหอบให้เห็นเด่นชัดเจน

“หึ เท่านี้ก็จบแล้ว” โอคุมะพูดเสียงเย้ยหยันพลางเดินเข้าไปในประตูหมายมาดว่าจะขอท้าประลองกับกุนซืออย่างปฐพีด้วย ทว่ายังไม่ทันที่โอคุมะจะได้เหยียบย่ำเข้าไปในเมือง...

ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดเกิดขึ้นพร้อมกับร่างของทหารปีศาจที่อยู่เบื้องหลังของโอคุมะกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยก่อนจะพลันหายไป ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าตายนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้น?!” โอคุมะร้องอุทานด้วยความตกตะลึงจนก้าวเท้าไม่ออก ครั้นพอหันไปมองก็เห็นศพทหารปีศาจของตนที่อยู่ไม่ไกลนอนจมกองเลือดด้วยระเบิดเวทมนตร์ของบุคคลปริศนาซึ่งยากที่จะคาดเดาได้ ทำให้ทหารปีศาจที่เหลือต่างพากันยืนล้อมเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าเล่นงานขุนพลของพวกเขา ควันระเบิดลอยขโมงอยู่ได้สักพักก็จางลง ก่อนจะเผยให้เห็นร่างในชุดคลุมปกปิดหน้าตาอยู่ถึงสามคน “พวกแกเป็นใครกัน!”

โอคุมะตะโกนถามด้วยความเดือดดาลเพราะทนไม่ได้ที่ตัวเองโดนลอบกัดหลัง

“หากต้องการรู้ให้กระจ่าง” หนึ่งในชุดคลุมพูด ก่อนจะตามด้วยคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“พวกเราก็พร้อมที่จะแถลงไข”

“เพื่อไม่ให้โลกนี้ต้องถูกทำลาย”

“เพื่อรักษาโลกนี้เอาไว้”

“พระเอกที่แสนน่ารัก และมีสเน่ห์”


แล้วสามร่างก็เข้ามาใกล้กันก่อนจะทำท่าพิสดารจนพวกปฐพีหรือแม้กระทั่งพวกปีศาจเห็นแล้วรู้สึกเหม่งๆ

“แก๊งยาโอยแห่งจักรวาล”

“เรียลออฟไลฟ์ พรุ่งนี้ที่สดใส รอเราอยู่”


ถ้าพวกปีศาจไม่ได้ยืนหันหลังให้พวกปฐพีอยู่ล่ะก็ คงจะได้เห็นกุนซืออย่างปฐพีทรุดตัวนั่งสิ้นหวังไปแล้ว ส่วนเทียนหลงที่เตรียมใช้ท่าไม้ตายยังออกอาการค้าง ไหนจะผู้เล่นคนอื่นๆถึงกับช็อคจนอาวุธหลุดมือ หรือแม้กระทั่งปริญกับพวกจีเอ็มอีกยี่สิบชีวิตที่มาในคราบผู้เล่นซึ่งยืนอยู่ห่างไกลจากจุดนั้นเป็นร้อยๆเมตร ยังต้องก้มหน้าด้วยความสิ้นหวังไปด้วย

ใครหนอช่างคิดชื่อออกมาได้

สิ้นหวังแล้วตู


......................

 :m20: :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 64 เริ่มต้นสงคราม (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-03-2015 16:31:56
เฮ้ยโครตจี้อ่ะ 5555 อย่าบอกนะสามคนนั้นคือ มาริโอ้  เมฆาแล้วก็รัตติอ่ะ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 64 เริ่มต้นสงคราม (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 05-03-2015 18:06:55
บทที่ 65 โหมโรง

...................................

“กะ…แก…เป็นใครกันแน่?!”

โอคุมะถามอีกครั้งอย่างสงสัย ซึ่งทำให้หนึ่งในสามที่สวมชุดคลุมปิดบังหน้าตายืนอยู่ตรงกลางใช้มือเอาฮู้ตออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงเลือด ผมสีดำยาว

“ก็เป็นคนที่แกเคยพ่ายแพ้ย่อยยับในการประลองเมื่อสามปีก่อนยังไงล่ะโอคุมะ”

“จะ…เจ้าชายเมฆา!” โอคุมะพูดด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเปลี่ยนมาฉีกยิ้มอย่างพอใจที่ได้เห็นเมฆา “โผล่หัวมาได้ก็ดี ข้าจะได้จัดการเจ้าไปพร้อมกับพวกมนุษย์เสียเลยไอ้คนทรยศ”

คำว่าทรยศของโอคุมะ ทำเอาเมฆาได้ยินแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ถึงกระนั้นเมฆาก็ไม่ยอมให้ความรู้สึกมากดดันตัวเองให้เสียรูปแผนที่ตัวเองวางไว้

ต้องช่วยทุกคน!

นั่นคือสิ่งที่เมฆาคิดได้ในตอนนี้

“หึ อย่างเจ้ารึจะจัดการข้าได้นะโอคุมะ” เมฆาแสยะยิ้มพูดพลางมองโอคุมะอย่างดูถูกดูแคลน “แค่ขุนพลชั้นสวะ คิดหรือว่าจะเทียบชั้นข้าได้”

โอคุมะได้ยินคำดูถูกจากปากเมฆาแล้วถึงกับโมโหจนลืมเสียทุกอย่าง

“งั้นข้ากับแกจะได้เห็นดีกัน พวกเราลุย!”

โอคุมะตะโกนบอกกับพรรคพวกปีศาจของตัวเอง ซึ่งทำให้เมฆากับอีกสองร่างพยักหน้าให้กันก่อนจะหันหลังออกวิ่งกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าสามตัวที่ยืนรออยู่แล้ว

ฮี้!

เสียงม้าสามตัวร้องก่อนที่ทั้งสามจะควบม้าหนีกองทัพปีศาจอย่างรวดเร็ว

“ตามพวกมันเร็วเข้า! อย่าให้หนีไปได้!”

เฮ้!

แล้วโอคุมะก็พาพวกปีศาจทั้งกองทัพวิ่งตามพวกเมฆาไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่พวกเมฆาควบม้าหนีกองทัพปีศาจมาได้ไกลพอสมควร ก็รีบกระโดดลงก่อนเก็บม้าเข้าไปตามเดิม

“พร้อมแล้วใช่ไหมทุกคน” เมฆาถามพลางมองอีกสามคนกับหนึ่งตัวที่อยู่บนเนินสูงทั้งสองด้าน ซึ่งที่ๆพวกเขาอยู่นั้นเป็นช่องภูเขาแคบพอให้แค่คนเดินผ่านไปได้คนเดียวเท่านั้น

“พร้อมแล้วค่ะ/ครับ”

แล้วเมฆากับอีกสองร่างหันหลังกลับไปดู ซึ่งเบื้องหน้าอีกห้าสิบเมตรเป็นสะพานเชือกห้อยระโยงยาวโดยมีเบื้องล่างเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ในขณะที่พวกเขายืนรออยู่นั้น เมฆาก็ได้ถามเกริ่นกับคนข้างๆว่า

“ใครเป็นคนต้นคิดชื่อแก๊ง”

“มาริโอนะ ทำไมหรือ”

“เปล่า ไม่มีอะไร แค่ถามเฉยๆนะ” เมฆาตอบแต่ในใจคิดไปอีกอย่าง

กลับไปเอ็งตายแน่ไอ้เห็ดเกรียน

ซึ่งพวกเขายืนรอไม่นานนัก โอคุมะก็พาพวกปีศาจทั้งกองทัพมาจนถึงแล้ว

“หึ แค่นี้ก็หนีไม่รอดแล้วไอ้ทรยศ” โอคุมะพูดเสียงเย้ยหยัน “พวกเราลุย! อย่าให้มันรอดกลับไปได้สักคนเดียว!”

“เฮ้!”

แล้วพวกปีศาจก็พากันวิ่งกรูข้ามสะพานโดยมีโอคุมะวิ่งนำหน้า ซึ่งทำให้เมฆากับอีกสองร่างวิ่งถอยหลังเข้าไปในช่องแคบของหุบเขาก่อนจะหยุดวิ่งเมื่อเห็นว่าออกมาจากช่องแคบนั่นแล้ว

“จัดการได้เลย!!” สิ้นคำพูดของเมฆา เสียงระเบิดก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กองทัพปีศาจรวมถึงโอคุมะที่วิ่งไปได้แค่ครึ่งสะพานหยุดชะงัก

“อ๊าก!” เสียงพวกปีศาจร้องโหยหวนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตกลงไป ซึ่งเป็นความโชคดีของโอคุมะกับพวกปีศาจอีกสองร้อยตนที่จวนจะถึงฝั่งของสะพานแล้ว พากันกระโดดลอยไปข้างหน้าก่อนจะเหยียบพื้นดินได้อย่างปลอดภัย

“ชิ!” เมฆาสบถคำเมื่อเห็นว่าโอคุมะกับพวกปีศาจเอาชีวิตรอดมาได้ จึงเงยหน้าสั่งคนข้างบนอีกครั้ง “เริ่มแผนสามได้!”

“โอ้!!”

ฝ่ายอยู่ด้านบนตอนรับคำขานของเมฆา ก่อนที่ก้อนหินยักษ์จะกลิ้งหล่นลงมาจากหุบเขา ทำเอาโอคุมะกับพวกปีศาจที่กำลังจะวิ่งเข้ามาช่องแคบของหุบเขาถึงกับหยุดชะงักเท้าด้วยความตกตะลึง

“เหวอ!”

พวกปีศาจต่างกรีดร้องโหยหวนพลางหันหลังวิ่งหนีเอาตัวรอด ยกเว้นโอคุมะที่ยืนนิ่งจนกระทั่งก้อนหินยักษ์มาถึงตัวเองแล้ว พลันปล่อยหมัดของตัวเองเข้าประสานงากับก้อนหินยักษ์

ตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับก้อนหินได้ถูกทำลายอย่างง่ายดาย แต่ทว่าก้อนหินยักษ์ไม่ได้มีแต่เพียงเท่านี้ กลับมีอีกนับสิบก้อนที่ร่วงลงมาพร้อมๆกัน ซึ่งทำเอาโอคุมะเบิกตากว้างจนต้องหันหลังวิ่งหนีก้อนหินพร้อมกับพวกลูกน้องตัวเองอีกไม่กี่ชีวิตอย่างรวดเร็ว ครั้นพอพวกโอคุมะวิ่งไปถึงสะพานที่ขาดไปเพราะแรงระเบิดเมื่อครู่นี้ โอคุมะที่วิ่งนำหน้าก่อนพวกลูกน้องปีศาจของตัวเองก็ได้กระโจนลงไปทั้งตัวโดยใช้มือข้างซ้ายเกาะพื้นขอบเหวเอาไว้ ทำให้พวกลูกน้องปีศาจที่วิ่งตามหลังมาเบรกไม่ทันรวมถึงก้อนหินอีกหลายก้อนที่กลิ้งตามมา ต้องตกเหวลงแม่น้ำไปกันจนหมด

“ชิ! ยังรอดได้อีกอยู่รึนี่” เมฆาสบถคำเป็นครั้งที่สองเมื่อเห็นโอคุมะยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงเดินไปหาโอคุมะที่ยังคงเกาะอยู่ จนกระทั่งถึงที่หมายแล้วเมฆาจึงนั่งลงยองดูโอคุมะที่กัดฟันด้วยความโมโห

“พวกแกมันโกง เล่นรุมกันชัดๆ!”

“ใครรุมใครกันแน่โอคุมะ” เมฆาย้อน ก่อนจะพูดต่อ “ฝ่ายของข้ามีแค่ห้าหกคน แต่ของเจ้ามีตั้งพันสองพันตน แบบนี้เขาเรียกว่าหมาหมู่แล้ว”

แล้วเมฆาก็ชี้ที่หัวของตัวเอง

“ของแบบนี้อยู่ที่มันสมอง อย่างเจ้ามีดีแค่พละกำลัง โดนแหย่นิดหน่อยก็เต้นตามเกมที่ข้าวางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว” เมฆาพูดพลางลดมือลงก่อนจะไปจับนิ้วของโอคุมะที่เกาะดินอยู่ “แต่ก็ขอบใจที่อยู่ข้างท่านพ่อของข้า ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะชั่วสุดขีดก็เถอะ ขอบใจที่อยู่ข้างท่านพ่อของข้าจนวาระสุดท้าย…ไม่ได้ทรยศท่านพ่อเช่นเดียวกับข้าที่เคยทำ”

คำพูดสุดท้ายเมฆาพูดเสียงเบาจนได้ยินเพียงกันแค่สองคน แล้วเมฆาก็แกะนิ้วมือของโอคุมะออกจนหมด ทำให้ร่างยักษ์ร่วงหล่นลงเหวโดยที่มันได้แต่มองสีหน้าอันเจ็บปวดของเจ้าชายตนเอง

ตูม!

...........................................

ถึงแม้สงครามเมืองเหนือจะจบไปแล้ว แต่ฝ่ายราชาปีศาจไม่ได้จบไปด้วย เพราะราชาปีศาจได้ส่งขุนพลอีกสี่ตนยกทัพไปโจมตีเมืองอื่นๆอีก ซึ่งทำเอาผู้เล่นทุกคนที่ยังมีชีวิตรอดกับผู้ที่อยู่นอกเมืองต้องอพยพมาที่เมืองเหนือเพื่อขอความช่วยเหลือจากสมาคมเงา สมาคมจันทราวารี และสมาคมจับฉ่ายให้ไปช่วยเหลือเมืองอื่นๆที่โดนกองทัพปีศาจโจมตี และนอกจากนี้ผู้เล่นทุกคนได้ยกย่องให้เมฆาเป็นแม่ทัพใหญ่ให้กับทุกสมาคมอีกด้วย

ปัง!

เสียงทุบเก้าอี้ดังสนั่น ทำเอาเหล่าลูกน้องปีศาจที่ยืนเข้าเฝ้าราชาปีศาจต่างสั่นด้วยความหวาดกลัว

“พวกเจ้าว่าโอคุมะที่ข้าส่งไปทัพแรกตายกันหมดแล้วรึ” ราชาปีศาจถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกหลังจากฟังผลรายงานของลูกน้องที่รอดชีวิตมาได้ตนเดียว

“ขะ...ขะ...ขอรับท่านราชาปีศาจ”

ปัง!

เสียงทุบเก้าอี้ทำเอาลูกน้องปีศาจสะดุ้งตกใจเป็นครั้งที่สอง

“แล้วขุนพลตัวอื่นกับกองทัพที่ส่งไปล่ะ” ราชาปีศาจถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ซึ่งทำเอาลูกน้องที่เป็นผู้รายงานผลสงครามถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก

“เอ่อ ท่านขุนพลและกองทัพที่เหลือ...ไม่มีใครบาดเจ็บขอรับ แต่...ตายหมด”

ตูม!

ร่างของปีศาจผู้รายงานผลให้ราชาปีศาจฟังกระจัดกระจายไปพร้อมกับเสียงระเบิด เหลือเพียงแค่เศษซากชิ้นเนื้อให้ลูกน้องปีศาจตนอื่นที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนมองด้วยความหวาดกลัว

“ไอ้…พวก…ไม่…ได้…เรื่อง!” ราชาปีศาจกัดฟันพูดจนแลเห็นเส้นเลือดปูดออกมาจากขมับ “จัดพวกเก่งๆที่เหลือมารวมตัวที่นี่ให้หมด ข้าจะจัดประชุมแผนเตรียมบุกเมืองมนุษย์อีก…”

ราชาปีศาจยังพูดไม่ทันจบ มีปีศาจตนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

“เรียนท่านราชาปีศาจ แฮ่กๆ ตอนนี้…แฮ่กๆ พวกมนุษย์ยกทัพมาเป็นแสน แฮ่กๆ จวนจะถึงดินแดนปีศาจแล้วขอรับ!” ปีศาจตนนั้นพูดไปหอบไปพลาง

“ว่ายังไงนะ!!” เสียงราชาปีศาจตวาดถามดังกึกก้อง ทำเอาปีศาจตนนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ

“เอ่อ…พวกมนุษย์ยกทัพมาบุกถึงดินแดนปีศาจแล้วขอรับ คาด…คาดว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงที่นี่ขอรับ” ปีศาจพูดเสียงตะกุกตะกัก “ส่วนผู้ที่นำทัพมนุษย์มา…ก็คือ…เจ้าชายเมฆาขอรับ”

ปัง!

เสียงทุบเก้าอี้ดังขึ้นทำเอาลูกน้องปีศาจที่เข้าเฝ้าต่างสะดุ้งตกใจเป็นรอบที่สาม

“หึ ไอ้ลูกทรพี นอกจากจะทรยศแล้ว ยังจะพาพวกมนุษย์มาฆ่าข้าอีก” ราชาปีศาจแสยะยิ้มพูด ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากบัลลังก์พลางผายมือไปข้างหน้า “เตรียมกำลังพลให้พร้อม! อย่าให้มันได้มาดูถูกเผ่าปีศาจของพวกเราได้!”

“ไฮ! ยัวร์ไฮเนส!!”

พวกปีศาจโห่รับคำสั่งก่อนจะพากันหายตัวไปเตรียมกำลังพลตามคำสั่งของราชาปีศาจ พอพวกปีศาจไปแล้ว ราชาปีศาจก็แสยะยิ้มพลางบีบมือแน่น

“แล้วเราจะได้เห็นดีกันไอ้ลูกชั่ว”

............................................................

กว่าสงครามจะจบลงได้ก็กินเวลาอยู่เกือบสิบวันเต็ม โดยผู้ที่นำทัพไปจัดการขุนพลปีศาจทั้งสี่ตนซึ่งแยกไปโจมตีแต่ละเมืองได้นั้นก็หนีไม่พ้นเมฆา ธิดา ปฐพี และราตรี ซึ่งแน่นอนว่าผู้เล่นจากสมาคมอื่นยังไม่เชื่อฝีมือของราตรีเพราะเห็นเป็นเพียงแค่ผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีระดับสูง เมฆาเห็นดังนั้นจึงให้อเลน เทียนหลง หยางชุนหลาน ปลา คริสตัล งุ้งงิ้ง คอเบียร์ตามไปช่วยราตรีด้วย ซึ่งผลออกมาเกินความคาดหมาย เพราะนอกจากราตรีจะจัดการกับขุนพลปีศาจได้ด้วยตัวเองแล้ว ยังช่วยเหลือผู้เล่นคนอื่นนับยี่สิบชีวิตที่กำลังจะโดนขุนพลปีศาจฆ่าตายได้อีกด้วย

“น้องราตรีจ้ะ ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว น้องน่าจะเอาฮู้ตออกได้แล้วนะ คงร้อนตายแย่” ธิดาบอกราตรีที่อยู่ในชุดคลุมสีเทาปกปิดหน้าตาอย่างมิดชิด

“โอ๊ะ ผมลืมสนิทไปเลย แหะๆ” ราตรีพูดไปหัวเราะไปพลางก่อนจะเอาฮู้ตออก ซึ่งเผยให้เห็นเส้นผมที่เคยเป็นสีเงินสั้นก็ได้น้ำยาเร่งทำให้ผมยาวลากพื้น ส่วนสีผมก็จากที่เคยเป็นสีเงินก็แปรเปลี่ยนสีเป็นสีทอง ซึ่งถ้าไม่สนิทชิดเชื้อหรือเห็นหน้าราตรีทุกวันล่ะก็ คงจำไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือราตรี

“แต่จะว่าไปน้องราตรีทำไมต้องใส่เสื้อคลุมด้วยล่ะ ย้อมกับเร่งผมก็แล้ว ไม่น่าจะมีปีศาจตนไหนจำน้องได้สักคนนะ” อเลนถามอย่างสงสัย เพราะตอนที่ราตรีต่อสู้กับขุนพลตัวต่อตัวนั้น ฮู้ตที่อยู่บนหัวของราตรีได้หลุดออกจากหัวด้วย

“คงเป็นเพราะพวกปีศาจยึดติดกับรูปลักษณ์ของน้องราตรีว่าจะต้องเป็นผมสีเงินสั้นนะ” เทียนหลงตอบพลางมองหน้าราตรีก่อนจะวกกลับมาที่อเลนอีกครั้ง “แล้วอีกอย่างที่นี่คือเกมออนไลน์ ฉะนั้นข้อมูลของเด็กหนุ่มเผ่ามังกรที่มีผมสีทองยาวจะไม่มีในระบบเมมโมรี่ของพวกปีศาจยังไงล่ะ”

“อ้อ แบบนี้นี่เอง”

หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันออฟไลน์ โดยแบ่งหน้าที่กันว่าใครจะเข้ามาออนไลน์เมื่อไหร่ และมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้างหลังจากสงครามสิ้นสุดลงแล้ว ส่วนราตรีเมื่อได้ออฟไลน์เกมไปแล้ว เธอก็ทำภารกิจแบบเดิมตอนเช้าคือนั่งสมาธิ พอเสร็จแล้วก็รีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะเดินออกไปข้างนอกห้องเพื่อทำอาหารเช้า ซึ่งอาหารมื้อเช้านี้เธอไม่ต้องลงมือทำเอง เพราะรุ้งกับมีนาเป็นคนทำให้พร้อมเสร็จสรรพ ครั้นพอทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ต้องเดินลงไปส่งนพ รุ้ง มีนา และแก้วที่รถยนต์

“ขับรถกลับดีๆนะตานพ ไม่ต้องรีบร้อน” จันทร์แรมพูดด้วยความเป็นห่วง

“ครับ ผมจะขับกลับดีๆแน่นอนครับ คุณยายไม่ต้องเป็นห่วง” นพบอกก่อนจะพูดต่อ “ถ้ายังไงเรื่องในเกม คุณยายดูแลตัวเองให้ดีๆนะครับ เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายด้านปีศาจจะบุกมาเมื่อไหร่ ยิ่งตอนนี้พวกเราก็มายกทัพในดินแดนปีศาจด้วย ฉะนั้นคุณยายอย่าเดินออกไปเพ่นพ่านที่ไหนนะครับ”

ซึ่งเธอรับปากคำก่อนที่นพจะขับรถพารุ้ง มีนา และแก้วออกไปจากบ้านเรือนไทยหลังนี้ เมื่อพวกนพไปแล้ว เธอก็เดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับฟางที่เป็นพยาบาล

“เดี๋ยวฉันจะเล่นเกมสักหน่อย ระหว่างนี้เธอจะทำอะไรก็ทำไป”

“ค่ะคุณยาย”

ฟางตอบแต่ในใจคิดหาได้เช่นนั้นไม่ เมื่อจันทร์แรมบอกเสร็จแล้ว เธอก็รีบกลับเข้าไปในเกมอีกครั้ง เมื่อจันทร์แรมได้เข้าเกมแล้ว เธอก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิก่อนจะล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกมานอกเต็นท์ ซึ่งเผยให้เห็นกลุ่มเต็นท์นับหมื่นตั้งบนพื้นดินอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ครั้นพอมองไปรอบๆข้าง ก็เห็นผู้เล่นในชุดเกราะคล้ายทหารเดินถืออาวุธกันขวักไขว่ราวกับตรวจดูความเรียบร้อยของสถานที่แห่งนี้

จริงสิ ตอนนี้เรายกทัพออกมาที่ดินแดนปีศาจนี่นะ

พอคิดได้ดังนั้น ราตรีก็เดินออกไปยังซุ้มที่รับประทานอาหาร ซึ่งเต็มไปด้วยหม้อยักษ์ขนาดใหญ่เป็นจำนวนร้อยๆหม้อพอจะบรรจุคนอ้วนไปได้สองคนตั้งอยู่บนกองไฟที่ร้อนระอุ แถมตอนนี้ก็มีพวกผู้เล่นที่ใส่ชุดเกราะบ้าง ไม่ใส่ชุดเกราะบ้าง นั่งลงกับพื้นล้อมวงรับประทานอาหารอย่างสนุกสนานครื้นเครง

“อ้าว สวัสดีขอรับท่านรัตติ ในเกมเพิ่งจะผ่านไปได้สองวันเอง ท่านก็กลับเข้ามาออนไลน์เกมแล้วหรือขอรับ” หนึ่งในนั้นกล่าวทักทายรัตติอย่างสุภาพ ซึ่งทำเอาผู้เล่นคนอื่นที่นั่งคุยกับทานข้าวอยู่นั้นต้องหยุดชะงักแล้วหันมามองเธอพร้อมกัน “มาทานข้าวด้วยกันก่อนสิขอรับ อาหารเพิ่งจะทำเสร็จหมาดๆได้ไม่นานนี่เอง กำลังอุ่นได้ที่เลยนะขอรับ”

ด้วยความที่ราตรีเคยออกทัพกับกลุ่มพวกนี้ จึงทำให้พวกเขากล้าคุยกับเธออย่างสนิทสนม ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเธอว่ารัตตินั้น ก็เป็นเพราะว่าเมฆาไม่ต้องการให้ชื่อราตรีหรือราตรีพิสุทธิ์ลือเข้าหูของราชาปีศาจนั่นเอง

“อืม เอาสิ ข้าเองก็กำลังหิวอยู่พอดี” ราตรีหรือรัตติตอบก่อนจะนั่งลง แล้วพวกทหารในกลุ่มก็ยื่นชามข้าวมาให้เธอ ซึ่งเป็นข้าวโอตคลุกด้วยเนื้อหมูป่าผสมกับผักกาดขาว “อื้ม! อาหารอร่อยใช้ได้เลยนี่ วันนี้เป็นเวรของกลุ่มไหนทำกันล่ะเนี่ย”

“พี่เองครับน้องรัตติ พี่เป็นคนทำเองกับมือ ว่าแต่อาหารพี่อร่อยใช้ได้เลยใช่ไหมครับ” คำตอบที่ไม่ได้ดังมาจากผู้เล่นในกลุ่มที่เธอกำลังทานอาหารด้วยนั้นกลับดังมาจากข้างหลังแทน ซึ่งทำเอาทุกคนที่กำลังทานอาหารอยู่ถึงกับสำลักข้าวพร้อมกันในเวลาเดียว

“อร่อยใช้ได้เลยทีเดียวครับท่านพี่เมฆา” รัตติตอบพลางหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเห็นเมฆายืนถือชามอาหารไว้ในมือ “จะดีกว่านิดถ้าท่านพี่ใส่พริกไทยไปด้วย ว่าแต่ท่านพี่เห็นมาริโอบ้างไหมครับ”

“อ้อ มาริโอนะรึ กำลังทานข้าวเช้าอยู่กับหงส์หยกนะครับน้องรัตติ” คำตอบของเมฆาทำเอารัตติแทบเอามือกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ

หน้าหม้อไม่เลือกเวลาเลยนะมาริโอเอ๋ย

“ฮะๆ พี่ว่าเราน่าจะทำใจกับความเจ้าชู้ประตูดินของมาริโอได้แล้วนะครับ” เมฆาพูดพลางนั่งลงข้างรัตติ ซึ่งทำเอาพวกในวงเห็นต่างพากันขยับหลบออกห่างเมฆาเล็กน้อย “เพราะมาริโอคงจะทนเหงาไม่ได้ที่น้องรัตติไม่ยอมกลับมาออนไลน์ซักที ก็เลยไปขอนั่งทานข้าวกับหงส์หยกนะ”

รัตติพยักหน้าอย่างเข้าใจดี ซึ่งถ้าลองให้มาเป็นเธอล่ะก็ เธอคงทนไม่ได้อย่างแน่นอน เมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว เมฆาก็ได้ชวนเธอไปฝึกดาบด้วยกันท่ามกลางสายตาผู้เล่นหลายคนที่ฝึกอยู่ใกล้ๆ ซึ่งโชคยังดีที่ช่วงสองวันในเกมที่ทุกคนต่างรอผู้เล่นออนไลน์ครบจนหมดทุกคนนั้น ไม่มีทัพปีศาจบุกมาโจมตีพวกเขาเลยซักครั้ง พอเข้าวันที่ห้าของการออนไลน์เกม ปฐพีกับคริสตัลก็ได้ออนไลน์อีกครั้งพร้อมกับผู้เล่นคนอื่นๆ แล้วพวกเขาก็ประชุมหารือเกี่ยวกับการรบอีกครั้งก่อนจะพาผู้เล่นนับแสนมุ่งหน้าสู่สมรภูมิ

................................

 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 65 โหมโรง (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 05-03-2015 19:29:06
มันส์พะยะคะ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 65 โหมโรง (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tutankamen ที่ 06-03-2015 00:12:11
สงครามกำลังเริ่ม สู้ๆ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 65 โหมโรง (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 06-03-2015 08:14:38
บทที่ 66 ความช่วยเหลือจากเงามืด

..............................................................

ณ พระราชวังปีศาจใหญ่โตมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหุบเขาแลดูสวยงามและน่ากลัวไปพร้อมกัน หากแต่ผู้เล่นนับแสนที่ยกทัพมาด้วยใจฮึกเหิมกลับหาได้กลัวไม่ ยกเว้นเมฆาที่ควบม้านำทัพเบื้องหน้าสุดกลับรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก

คนทรยศชาติบ้านเมือง

เมฆาคิดในใจอย่างเจ็บช้ำจนแสบทรวง แต่เพื่อความถูกต้องและเพื่อราตรีแล้ว เขายอมโดนตีตราว่าเป็นคนทรยศต่อบ้านเมืองตัวเอง ซึ่งทำเอารัตติที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆลอบมองด้วยความเป็นห่วง ครั้นพอพวกเขายกทัพไปใกล้แล้ว ก็ได้เห็นกองทัพปีศาจตั้งทัพรออยู่ก่อนแล้ว หากแต่ผู้บัญชาการทัพปีศาจอย่างราชาปีศาจหาได้อยู่ตรงนั้นไม่ เมื่อพวกเขามาถึงแล้ว เมฆาก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณพร้อมพรายกระซิบบอกให้ทุกคนหยุดเดิน

“หึ ข่าวลือหนาหูว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยนำคนเพียงแค่หยิบมือไปปราบโอคุมะได้ไม่ถึงชั่วโมงนั้นที่แท้ก็เป็นพระองค์นี่เอง เจ้าชายเมฆา” แวมไพรพูดพลางแสยะยิ้ม เมื่อเห็นว่าเมฆาไม่ได้พูดโต้ตอบ จึงกล่าวต่อ “แต่พระองค์ทรงคิดยังไงถึงกล้าพาพวกมนุษย์มาบุกถึงถิ่นบ้านเกิดตัวเองล่ะขอรับ อยากจะแก้แค้นท่านราชาปีศาจที่ขับไล่พระองค์ออกไปจากที่นี่งั้นรึ ฮะๆ”

พอแวมไพรหัวเราะ ก็ทำให้พวกปีศาจที่เหลือก็พลอยหัวเราะเยาะไปตามด้วย ซึ่งทำเอาพวกรัตติที่พอรู้เรื่องเมฆาถึงกับโกรธ

“ข้าทำไปเพื่อความถูกต้อง” เมฆาแย้งเสียงเรียบหากแต่มือขวากำแน่นจนเลือดไหลซิบๆ “การเข่นฆ่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าปีศาจจะพึงกระทำ พวกมนุษย์ไม่ได้ทำอะไรให้เผ่าปีศาจเลยซักนิด แล้วทำไมต้องบุกโจมตีด้วย ในเมื่อท่านพ่อต้องการจะทำสงครามกับมนุษย์ ข้าก็จะสู้ ต่อให้ฆ่าท่านพ่อด้วยมือนี้ก็ตามที”

“ทำไปเพื่อความถูกต้อง?” แวมไพรพูดทวนในสิ่งที่เมฆาพูดไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง“ไม่คิดเลยว่าพระองค์ทรงตรัสเช่นนี้ แล้วพระองค์ล่ะ สิ่งที่พระองค์ทรงทำในตอนนี้มันถูกต้องนักหรือ ทรยศท่านราชาปีศาจทรยศบ้านเมืองตัวเอง แถมหนำซ้ำยังพาพวกมนุษย์มาบุกทำลายบ้านเกิดตัวเองแบบนี้เขาเรียกว่าถูกต้องงั้นหรือขอรับ”

“หุบปาก แกไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของเมฆาหรอกไอ้ตัวดูด...” อเลนยังเถียงไม่จบ เมฆาก็ยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน

“เถียงไปก็เปล่าประโยชน์อเลน พวกเขาเป็นปีศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อ จะเชื่อฟังก็แต่ท่านพ่อเท่านั้น” เมฆาบอกก่อนจะถอนหายใจ พลันจากสีหน้าที่เคยเหนื่อยล้ากับการฟังคำพูดของแวมไพรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้ามุ่งมั่นแทน “เอาล่ะทุกคน พร้อมกันแล้วใช่ไหม!”

เฮ!

เสียงทุกคนขานตอบรับก่อนที่เมฆาจะให้สัญญาณ

“บุก!”

เฮ!

แล้วผู้เล่นก็วิ่งถาโถมเข้าใส่พวกปีศาจ ส่วนพวกปีศาจเองก็วิ่งเข้าหาด้วยเช่นกัน ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสมรภูมิเดือดยากเกินที่จะบรรยาย

“อย่าหาว่ากระหม่อมใจร้ายหากทำให้พระองค์ต้องทรงสิ้นพระชนม์นะ หึๆ” แวมไพรพูดดูถูก ซึ่งเมฆาหาได้สนใจไม่

“จะเข้ามาก็เข้ามาสิ” เมฆาพูดพลางชักดาบขึ้นมาในขณะที่แวมไพรเองก็ได้ทำให้เล็บมือโผล่ยาวขึ้นมาแลดูน่ากลัว “ข้าเองก็อยากจะรู้ฝีมือแวมไพรอย่างเจ้าว่าจะแน่สักแค่ไหนเหมือนกัน”

เคล้ง!

ในขณะที่เมฆากำลังต่อสู้กับแวมไพรอยู่นั้น พวกรัตติก็ได้สู้กับพวกปีศาจระดับบอสด้วยเช่นกัน

ฉึก!

8900

ดาบตัดขั้วลมหายใจ ทำให้บอสปีศาจที่รัตติจัดการนั้นสลายไปในพริบตาเดียว ซึ่งแน่นอนว่ารัตติไม่ได้อยู่ดูจนจบ หันหลังกลับมาสู้กับบอสปีศาจตนอื่นต่อ ในขณะที่มาริโอเองก็ใช้วิชาพ่นดอกไม้ไฟใส่บอสปีศาจที่คิดจะเข้ามาใกล้รัตติอยู่เกือบตลอดเวลา มีบ้างที่มันจะกระโดดเหยียบหัวบอสปีศาจให้เกิดความมึนงง หรือไม่ก็ใช้สกิลของตัวมันเองซึ่งได้มานานแล้ว นั่นก็คือสกิลดาวพิฆาตศัตรู พอใช้แล้วร่างกายของมาริโอจะเกิดประกายแสงระยิบระยับ เมื่อมาริโอวิ่งเข้าไปโดนศัตรูเข้า ศัตรูมีอันกระเด็นจนพลังเลือดลดไปเกือบครึ่งหลอด ซึ่งทำให้พวกปีศาจมีอันเพ่งเล็งมาริโอว่าเป็นตัวมอนสเตอร์รับใช้มนุษย์ที่มีวิชาประหลาด ห้ามเข้าใกล้เป็นอันขาด ถึงแม้พวกเขาจะพาผู้เล่นขนมาเยอะเป็นแสน แต่ก็ล้มพวกปีศาจได้แค่สองส่วนเพราะปีศาจแต่ละตัวที่เจอส่วนมากจะเป็นบอสระดับแปดสิบทั้งสิ้น

น่าจะมากันได้แล้วนะ

ในระหว่างที่รัตติกำลังต่อสู้อยู่นั้น มีปีศาจคิดจะแอบลอบโจมตีรัตติตอนเผลอ ทว่าจู่ๆก็มีเปลวไฟพุ่งลงมาจากท้องฟ้า เผาปีศาจตนนั้นจนไม่เหลือแต่ซาก

ก๊าซ!

เสียงมังกรที่ดังจากบนฟากฟ้า ทำเอาผู้เล่นทุกคนรวมถึงปีศาจต่างเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะตกตะลึงไปพร้อมๆกัน

มังกร!

แถมมีเยอะกว่าพวกเรากับพวกปีศาจรวมกันอีกด้วย!!


ผู้เล่นคนอื่นตกใจเพราะไม่รู้ว่าจะมีมังกรมาช่วย ยกเว้นพวกรัตติที่ต่างรู้ก่อนอยู่แล้ว ก่อนจะพาขึ้นเรือพิเศษที่เคยได้พิเศษจากการทำสงครามเมื่อหลายปีก่อนในเกมไปเกาะมังกร ซึ่งเป็นบ้านเกิดของราตรีนั่นเอง ส่วนเหตุผลที่เมฆาพาราตรีกลับไปเกาะมังกรนั่นก็เป็นเพราะไปขอความช่วยเหลือจากพวกมังกรให้รวมตัวกันมาช่วยราชามังกรกับนางพญามังกรนั่นเอง เมื่อพวกมังกรมาถึงแล้ว ต่างเข้าโจมตีพวกปีศาจอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาผู้เล่นที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนมองอ้าปากค้างเพียงอย่างเดียว

ช่วยได้เยอะเลย

รัตติหรือราตรีลอบคิดในใจอย่างยินดี แล้วจู่ๆ ก็มีมังกรตัวหนึ่งที่ใหญ่กว่าในฝูงมังกรบินโฉบลงมาก่อนจะกลายร่างเป็นมนุษย์มานั่งคุกเข่าเคารพต่อหน้ารัตติ

“ขออภัยที่กระหม่อมล่าช้า” ชายหนุ่มหน้าเข้มผมสีน้ำตาลยาวกลางหลังในชุดเกราะพูดเสียงนอบน้อม ซึ่งทำเอาผู้ที่เคยร่วมทัพกับรัตติต่างมองด้วยความงุนงง

“ลำบากพวกท่านจริงๆ กว่าจะรวบรวมกำลังของพวกเราได้ คงใช้เวลานานน่าดู” รัตติพูดยิ้มๆ “ทำตามที่เราบอก จัดการเปิดทางให้เรา แล้วเราจะเข้าไปในนั้นเพื่อช่วยท่านพ่อท่านแม่เอง”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”

สิ้นคำของชายแปลกหน้า ร่างสูงก้มหน้าโค้งให้รัตติหนึ่งทีพลางเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนจะกลายร่างเป็นมังกรตามเดิมแล้วกระพือปีกบินขึ้นฟ้าพลางคำรามเสียงดังสนั่น

ก๊าซ!

เมื่อมังกรตัวนั้นส่งเสียงคำรามแล้ว ทำเอามังกรทุกตัวที่ได้ยินต่างพากันจัดการปีศาจที่ยืนขวางประตูอย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงห้านาที เส้นทางที่จะเดินไปยังตัวพระราชวังก็ได้ถูกเปิดให้เดินได้สะดวกแล้ว

ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเผ่ามังกรไม่ใช่หมูๆ

ผู้เล่นทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างคิดในใจพร้อมกัน แล้วเมฆาก็สั่งให้ผู้เล่นทุกคนคอยจัดการพวกปีศาจที่เหลือก่อนที่จะเดินนำทางพวกรัตติให้เข้าไปข้างในตาม ซึ่งทันทีที่รัตติหรือราตรีได้ก้าวข้ามธรณีประตูแล้ว ร่างกายของเธอเกิดชะงักขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกอันคุ้นเคยที่จากไปนานแสนนาน

กลิ่นไอนี่มัน...

ของท่านพ่อท่านแม่ไม่มีผิด!!

“เป็นอะไรไปหรือน้องรัตติ ทำไมไม่เข้ามาอีกล่ะ” เมฆาถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าไปมา

“ไม่มีอะไรครับ ผมว่าพวกเรารีบเดินกันต่อเถอะ” รัตติตอบก่อนจะก้าวเท้าเดินข้ามไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ทุกคนที่เดินนำหน้ารัตติหันหลังกลับแล้วรีบออกเดินตามหลังเมฆาไป ซึ่งในระหว่างทางนี้เธอเห็นว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องปกปิดอีกแล้ว จึงเอาฮู้ตออกมาจากหัวพร้อมกับคืนสภาพทุกอย่างให้กลับเป็นดังเดิม เมฆาพาทุกคนออกวิ่งไปเรื่อยๆ จากทางเข้าตัวพระราชวัง ห้องโถง ทางเดินที่เชื่อมลงไปข้างล่างใต้พระราชวัง ก่อนจะสิ้นสุดเป้าหมายตรงที่กำแพงซึ่งเป็นทางตัน

“ทางมัน...” ศาสตรายังพูดไม่ทันจบ เมฆาก็ได้ทำอะไรบางอย่างกับกำแพงจนกระทั่งกำแพงเบื้องหน้าได้ยุบหายตัวไปในพริบตาเดียว “...ตัน”

“อย่าเพิ่งเดินไปเชียวนะ เพราะทางข้างหน้านี้มีกับดัก” เมฆาบอกโดยไม่สนใจคำพูดอันซื่อบื้อของศาสตรา

“แล้วพวกเราจะต้องเดินไปกันยังไงล่ะครับ ในเมื่อมีกับดักนะ” ราตรีถามอย่างสงสัย

“เดี๋ยวพี่จะใช้ทักษะโล่ป้องกันทุกคนนะน้องราตรี” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะฉะนั้นเวลาจะเดินไปแล้วก็ช่วยจับมือต่อกันเป็นทอดๆ อย่าได้ปล่อยเด็ดขาดนะจำไว้”

เมื่อเมฆาพูดจบ ทุกคนพยักหน้ารับทราบก่อนที่เมฆาจะเริ่มใช้ทักษะตามที่กล่าวไว้ พอโล่ออกมาปกคลุมร่างเมฆาแล้ว ทุกคนก็เริ่มจับมือต่อกันเป็นทอดๆ พอมั่นใจแล้วว่าปลอดภัยดีแน่ เมฆาจึงพาทุกคนเข้าไปในนั้นทันที เมื่อผ่านกับดักซึ่งเป็นลูกธนูแล้ว ทันทีที่ได้เหยียบเข้าไปในห้องๆหนึ่งแล้ว ราตรีได้เห็นว่าท่ามกลางความมืดมิดมีชายผมดำยาวในชุดเกราะสีดำนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์กำลังแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเธอ

ราชาปีศาจ

ครั้นพอเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับกรงนกยักษ์ถูกแขวนอยู่บนกลางอากาศ

“ท่านพ่อท่านแม่!”

ราตรีร้องเรียกพ่อแม่ทั้งน้ำตาเมื่อเห็นทั้งคู่นั่งกอดกันโ ดยเอนหลังพิงกรงเหล็กด้วยสีหน้าซีดเซียว ซึ่งเสียงของราตรีนั้นทำให้สองร่างที่นั่งหลับตาอยู่นั้นถึงกับลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มมองหาต้นเสียง

“ราตรีพิสุทธิ์! นั่นลูกใช่ไหม” ผู้เป็นพ่อเรียกก่อนจะตามด้วยผู้เป็นแม่ที่กล่าวเสียงยินดีทั้งน้ำตา “ราตรีพิสุทธิ์ลูกแม่ ลูก…แม่ โอ้สวรรค์ ขอบคุณที่ช่วยลูกชายของข้าให้รอดพ้นจากความตาย”

ราตรีได้ยินดังนั้นทำท่าจะวิ่งเข้าไปหาหากแต่ถูกธิดารั้งเอาไว้

“อย่าน้องราตรี มันอันตราย”

“แต่ผมจะไปหาท่านพ่อท่านแม่”

“ถ้าอยากจะช่วย น้องราตรีต้องอดทนรอ ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงแค่…” เมฆาตอบด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนใจ “…โค่นบอสราชาปีศาจให้สำเร็จ”

พอราตรีได้ยินดังนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเมฆาเองก็ต้องลำบากใจที่ต้องจัดการพ่อของตัวเองด้วยเช่นกัน

“ครับท่านพี่”

“คุยพอกันรึยัง” ราชาปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายหลังจากรอได้สักพักแล้ว ก่อนจะชายตามองลูกชายของตัวเอง “ส่วนเจ้า ไม่ต้องห่วงไอ้ลูกชั่ว ในฐานะของพ่อ ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับชู้รักด้วยมือข้าเอง”

ส่วนเมฆาได้ยินที่พ่อของตัวเองพูดถึงกับพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

“ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อท่านไม่เห็นข้าว่าเป็นลูกอีกต่อไป ข้าก็จะได้ลงมือจัดการอย่างสบายใจซักที” เมื่อเมฆาพูดจบ ทุกคนต่างงัดอาวุธที่คิดว่าดีสุดขึ้นมาใช้ ซึ่งทำเอาราชาปีศาจที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ถึงกับแสยะยิ้มพลางลุกขึ้นยืน ก่อนที่มือขวาจะมีดาบเล่มหนึ่งที่มีไอความมืดแผ่กระจายจนพวกราตรีรู้สึกถึงมันได้

กระทั่งไอความมืดก็ยังสร้างกันได้

เกมนี้สร้างได้น่ากลัวเกินไปแล้ว!


ราตรีคิดในใจ รวมถึงทุกคนในที่นี้ด้วยเช่นกัน แล้วทุกคนต่างงัดฝีมือของตัวเองขึ้นมาใช้ตามแผนที่เมฆาเคยบอกไว้ หากแต่พลังป้องกันของราชาปีศาจมีค่าสูงเกินไป จึงทำให้พวกราตรีโจมตีไม่เข้า แถมหนำซ้ำยังถูกโจมตีกลับจนเกือบปางตายกันทุกคน

“อเลนเต็มถัง!”

“ได้เลย!”

อเลนตอบก่อนจะใช้ทักษะเพิ่มเลือดให้กับทุกคน ซึ่งทำให้พลังเลือดของทุกคนกลับคืนมา

“ยังคิดจะสู้อีกรึ ช่างไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลย” ราชาปีศาจพูดอย่างดูถูกดูแคลน

“ก็ยังดีกว่าเจ้าที่เอาพ่อแม่คนอื่นมาเป็นตัวประกันแล้วกันไอ้ราชาปีศาจจอมขี้ขลาด” มาริโอเถียงย้อน ทำเอาทุกคนหันไปมองมันพร้อมกัน

“มาริโอ” ราตรีร้องอุทานอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน และรู้สึกเป็นปลื้มที่เห็นมาริโอพูดแบบนี้ ส่วนราชาปีศาจนั้นเมื่อเห็นว่าผู้พูดนั้นเป็นใครก็ชี้นิ้วไปหามาริโอก่อนจะพูดว่า

“เป็นแค่มอนสเตอร์ระดับล่าง ริบังอาจลบหลู่เบื้องสูง ไปตายเสียเถอะ”

Dark Pillar!

9999


การโจมตีด้วยเวทมนตร์ของราชาปีศาจเพียงครั้งเดียว ทำเอามาริโอกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปนอนพับกับพื้นแลเห็นเนื้อตัวผิวไหม้เกรียมจนดูไม่ได้

“มาริโอ!” ทุกคนร้องเรียกมาริโอพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนที่อเลนรีบใช้พลังรักษาขั้นสุดยอด ทำให้ร่างมาริโอที่เคยไหม้เกรียมกลับหายเป็นปกติหากแต่สติของมันกลับเลือนหายไปพร้อมกับความเจ็บปวด

“ไม่ต้องห่วงมาริโอไปหรอกน้องราตรี อีกเดี๋ยวมันก็ฟื้นเอง” อเลนรีบบอกเพราะกลัวราตรีจะเป็นห่วงมาริโอจนทำอะไรไม่ถูก “ทางที่ดี น้องราตรีเอามาริโอไปไว้ด้านหลังไกลๆ เพราะพี่ไม่อยากให้มันโดนอีกเป็นครั้งที่สอง”

“ครับพี่อเลน” แล้วราตรีก็อุ้มมาริโอไปไว้ไกลๆก่อนจะวิ่งกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ราตรีคิดจะใช้ทักษะแปลงร่างมังกรขั้นสุดยอดในการต่อสู้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ใช้ราชาปีศาจก็พูดขึ้นแทรกมาว่า

“อย่าได้คิดสู้อีก ไม่เช่นนั้นพ่อกับแม่ของเจ้าตายแน่พ่อหนุ่มน้อยเอ๋ย” เมื่อราชาปีศาจพูดจบ ทั้งเดรคทั้งเหม่ยจิงต่างกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดซึ่งทำเอาราตรีถึงกับกัดฟันด้วยความเจ็บปวด แต่ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้นราตรีได้เหลือบเห็นเงาดำกำลังคืบคลานอยู่บนเพดานหลังบัลลังก์ที่ราชาปีศาจใช้นั่งอยู่

นั่นมันเงาอะไรนะ... ราตรีขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย เมื่อเห็นชัดเจนแล้วถึงกับอ้าปากค้างนิดๆ แต่ก็หุบปากเก็บกิริยาตัวเองไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะหันมามองทุกคนที่กำลังตกใจกับราชาปีศาจที่เลินเล่อกำลังดูดพลังของพ่อแม่เธอโดยไม่ทันได้สังเกตเงาดำนั่นเลยซักนิดเดียว ดีล่ะ...ต้องเสี่ยงหน่อยแล้วเรา...อาจจะเจ็บตัวหน่อยแต่ก็คุ้มค่าที่ได้ช่วยท่านพ่อท่านแม่ได้

ราตรีคิดในใจจบ ก็พลันกรีดเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดราวกับทนไม่ได้ที่เห็นภาพของพ่อแม่ตัวเองต้องทุกข์ทรมาน ซึ่งเสียงของเธอทำเอาทุกคนชะงักก่อนจะหันมามองเธอพร้อมๆกัน

“ฮือๆ ขอร้องล่ะ...อย่าทำอะไรท่านพ่อท่านแม่อีกเลย” ราตรีพูดขอร้องจนน้ำตาไหลอาบแก้ม “เอาผมไปแทนท่านพ่อท่านแม่ก็ยังได้...แต่ขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรท่านพ่อท่านแม่เลยได้ไหมครับท่านราชาปีศาจ”

“น้องราตรี!/พี่ราตรี” ทุกคนต่างร้องเรียกชื่อเธอพร้อมกันเป็นเสียงเดียว เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคน ส่วนราชาปีศาจนั้นเมื่อได้ยินคำขอร้องของราตรีแล้ว ถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่น

“ฮะๆ ได้สิ มาหาข้าเลย แล้วข้าจะปล่อยพ่อแม่ของเจ้าไป”

“ไม่นะ...ลูกรัก...อย่า...ทำแบบนั้น” เหม่ยจิงพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักในขณะที่เธอกับเดรคกำลังถูกราชาปีศาจใช้พลังทรมานเพื่อหลอกล่อทุกคนให้ยอมแพ้ ส่วนเดรคนั้นเมื่อได้ยินที่ลูกชายพูดแล้ว ก็ฝืนกัดฟันพูดกลับไปบ้าง “อย่า...ยอมแพ้...ง่ายๆ...แบบนี้...สิ...ลูกผู้...ชาย...ต้องสู้...ถ้า...ลูก...ยอมแพ้ตอนนี้...พ่อจะโกรธ...ลูก...ไป...ตลอด...ชีวิตแน่”

ราตรีได้ยินที่ทั้งสองคนพูดถึงกับกัดฟัน

ลูกขอโทษ แต่ลูกจำเป็นต้องทำ...

“ผมขอโทษฮะ” ราตรีกล่าวได้เพียงแค่นั้นก่อนจะก้าวเท้าเดินออกมาโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามของทุกคน เมื่อราตรีเดินมาถึงด้านหน้าของราชาปีศาจแล้ว เธอก็เหลือบเห็นเงานั้นกระโจนขึ้นบนกรงเหล็กอย่างแผ่วเบา

ขอให้สำเร็จทีด้วยเถอะ

“ดีมากไอ้หนุ่มน้อย ต้องแบบนี้สิ ถึงจะคุ้มค่ากับที่ข้าจะได้สูบพลังของเจ้า” ราชาปีศาจพูดอย่างพออกพอใจ ก่อนจะยื่นมือขวามาคว้าที่ลำคอขาวเนียนของราตรีท่ามกลางสายตาของทุกคน “แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า...ข้าจะปล่อยพ่อแม่ของเจ้าแน่แต่เป็นหลังจากที่ได้สูบพลังของเจ้าและพ่อแม่ของเจ้าจนหมดตัวนะ ฮะ...ฮะ...ฮ่า!”

“กะ...แก...ไอ้ราชาปีศาจ...ชั่ว...ไม่ทำ...ตามสัญญา...ที่ให้ไว้กันนี่ อ็อค!!” ราตรีแสร้งพูดด้วยความโมโหที่รู้ว่าโดนราชาปีศาจหลอกต้มซะเปื่อย แต่เธอก็พูดไม่จบเพราะโดนอีกฝ่ายบีบคอแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

พลัง...พลังกำลัง...ถูก...ดูดออกไป

ส่วนคนอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็แทบจะถลาเข้าไปช่วย หากแต่ไฟสีดำกลับโผล่ออกมาขวางเป็นกำแพงไว้ไม่ให้ใครเข้าย่างกรายได้

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละไอ้พวกหน้าโง่!” ราชาปีศาจหันไปตวาดพวกเมฆาก่อนจะหันมาแสยะยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่ถูกบีบคออยู่ “ถ้าไม่อยากให้เพื่อนของพวกแกตายเร็วล่ะก็ จงอยู่เฉยๆซะ หึๆ”

ครั้นราชาปีศาจจะหันไปหยามเดรค แต่ใจก็หายวาบไปถึงตาตุ่มเมื่อเห็นกรงที่เคยมีสองคนนั้นอยู่กลับว่างเปล่า เหลือแต่เพียงบานประตูกรงที่ถูกเปิดออก

“บ้าน่า?! หายไปไหนแล้ว!!” ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ราชาปีศาจที่ตกใจตนเดียว กระทั่งพวกเมฆาเองก็ตกใจด้วยเช่นกัน หากแต่พวกเขาตกใจได้เพียงชั่วครู่ จู่ๆเสียงสวรรค์ก็ลงมาโปรด

“ไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ที่นี่ตั้งหากล่ะขอรับท่านราชาปีศาจ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเมฆา ทำเอาทุกคนหันหลังกลับไปมองต้นเสียงอย่างเร็วก่อนจะตกตะลึงเมื่อเห็นพ่อแม่ของราตรียืนอยู่โดยมีตัวตลกคอยยืนประคองอยู่ข้างๆกายด้วย

“ปิเอโร่!”

..............................................

 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 65 โหมโรง (update 100%) P.4 5/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 06-03-2015 08:30:20
กำลังเข้มข้นเลยครัช สนุกๆ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 66 ความช่วยเหลือจากเงามืด P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 06-03-2015 08:56:16
บทที่ 67 สูญเสีย

..................................

“ปิเอโร่!”

ทุกคนร้องเรียกตัวตลกพร้อมกันเป็นเสียงเดียวอย่างไม่เชื่อสายตา ยกเว้นเมฆาที่นึกเอะใจตั้งแต่เห็นปิเอโร่เดินโผล่ให้เขาเห็นตอนอยู่ในเมืองดนตรีไปนานแล้ว

สงสัยมันตามเขามา

เมฆาคิดในใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกดีใจที่ปิเอโร่มาช่วยเขาในยามคับขัน ทว่าเมฆาดีใจได้ไม่นานนัก เสียงร้องของราตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อ็อค!”

ตายล่ะ มัวแต่มองปิเอโร่จนลืมน้องราตรีไปเสียสนิท!

ครั้นเมฆาและพรรคพวกคิดจะเข้าไปช่วยราตรีเดี๋ยวนั้น หากแต่ร่างบางเกิดแสงสีฟ้าขึ้นมาพร้อมกับเสียงระเบิด ทำเอาทุกคนต้องรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ทว่าช่วงทุกคนหลับตาอยู่นั้น ราตรีได้แปลงร่างขั้นสุดยอดก่อนจะใช้ทักษะเวรกรรมเตะผ่าหมากราชาปีศาจ

9999999

“อู๊วววววว!”

เสียงราชาปีศาจร้องโหยหวนอย่างกับควายถูกเชือด ซึ่งเมฆาได้ยินดังนั้นจึงรีบลืมตาขึ้นก่อนจะเห็นราชาปีศาจลงไปนอนหน้าเขียว สองมือกุมเป้ากางเกง นัยน์ตาเหลือกลาน น้ำลายฟูมปาก แล้วเมฆา อเลน ปฐพี พิภพ ศาสตรา ที่ยืนมองภาพนั้นอยู่ต่างก็ยกมือกุมเป้ากางเกงตนเองไว้อาลัยให้กับราชาปีศาจในทันที

ช่างอำมหิตเกินจะกล่าว

ลูกเตะเวรกรรม

แล้วราชาปีศาจก็ค่อยๆกัดฟันลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก

“อูย ซี้ด ไอ้เด็กบ้า โอย แก ทำ ข้า โกรธ โอย เจ็บเว้ย” ราชาปีศาจบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะกลายร่างเป็นปีศาจทันที ซึ่งพออีกฝ่ายแปลงร่างเสร็จแล้วก็เอ่ยปากพูดขึ้นต่อ “ข้ายังมีไพ่ตายเหลืออยู่อีกใบนะ”

“อะไรนะ?!” ทุกคนร้องอุทานพร้อมกัน ก่อนที่เมฆาจะรู้สึกปวดหัวจนต้องกรีดร้องออกมา

“อ้ากกกก!” แล้วจู่ๆก็มีออร่าสีดำครอบงำเมฆา ซึ่งราตรีเห็นท่าไม่ดีจึงพูดขึ้นแทรกว่า

“ท่านพี่อย่าให้จิตใจปีศาจเข้าครอบงำท่านสิ!”

ส่วนอเลนเองก็ทนอยู่เฉยไม่ได้ จึงพูดขึ้นบ้าง

“เมฆา เจ้านึกถึงเวลาที่เราสนุกด้วยกันสิ!”

“เมฆา!”

ทุกคนต่างร้องเรียกชื่อเมฆาเพื่อหวังเรียกสติชายหนุ่มให้ตื่น ซึ่งเสียงของทุกคนทำเอามาริโอที่นอนสลบอยู่นั้นถึงกับตื่น คราแรกมันออกจะมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นพอเห็นเหตุการณ์ก่อนจะทำการประมวลชั่วครู่ดูแล้วก็พอเข้าใจ มันจึงค่อยลุกขึ้นยืนก่อนจะตะโกนขึ้นว่า

“ตั้งสติหน่อยสิวะไอ้เมฆางี่เง่า!” สิ้นเสียงของมาริโอ ทำเอาเมฆาในคราบปีศาจหยุดชะงักร้องก่อนจะหันมามองมาริโออย่างเอาเรื่อง แล้วก็พุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อดึงมาริโอขึ้นมาท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ต่างมองด้วยความตกใจ

เพี๊ยะ!

500


“ปากเสียไม่หายซักทีนะไอ้เห็ดเวรตะไล” คำพูดของเมฆาทำให้ทุกคนดีใจที่เมฆายังเป็นคนเดิม แล้วเมฆาก็หันหน้าไปพูดกับราชาปีศาจต่อ “เสียใจด้วยนะตาเฒ่าที่ผิดแผน ถึงร่างกายของผมจะเป็นปีศาจ แต่หัวใจของผมยังเป็นมนุษย์อยู่เสมอ”

ราชาปีศาจได้ยินที่เมฆาพูดแล้วถึงกับสบถคำใส่อย่างเหยียดกลับมาว่า

“หัวใจของผมยังเป็นมนุษย์อยู่เสมองั้นรึ? น่าขันสิ้นดี เป็นปีศาจชั้นสูงแท้ๆแต่กระแดะอยากจะเป็นมนุษย์ชั้นต่ำ เห็นทีพ่อคนนี้คงต้องสั่งสอนลูกชายอย่างแกให้รู้จักหลาบจำเกี่ยวกับพวกชนชั้นสูงเสียแล้วกระมัง!”

พูดจบ ราชาปีศาจก็ดาหน้าเข้ามาหาเมฆาอย่างรวดเร็วก่อนจะตวัดกรงเล็บใส่เมฆาหมายจะทำลายใบหน้าคล้ายคลึงตัวเองนี้ให้สิ้นไป ทว่าเมฆารู้ตัวอยู่ก่อนแล้วจึงไหวตัวหลบได้ทันท่วงที ส่วนราตรีเมื่อเห็นเมฆาโดนโจมตีแล้ว จึงเข้าช่วยอย่างเร็ว

ผัวะ!

8000


ราตรีเตะเข้าที่สีข้างของราชาปีศาจ ทำเอาอีกฝ่ายกระเด็นไปด้านข้างตามแรงเตะก่อนจะพุ่งเข้าหาราตรีเพื่อที่จะเอาคืน แต่ก็โดนเมฆาใช้กรงเล็บตวัดกลับไปบ้าง

ขวับ!

ราชาปีศาจหลบการโจมตีเมฆาได้ทันก่อนจะหมุนตัวเตะเมฆากลับไปบ้าง โดยทั้งสามผลัดกันรุกผลัดกันรับเร็วมากเสียจนพวกอเลนไม่กล้าเข้าไปสู้ด้วยเพราะกลัวจะโดนลูกหลง แต่ก็มีบ้างที่ทุกคนจะหาโอกาสคอยเติมเลือดให้เมื่อเห็นราตรีกับเมฆาโดนราชาปีศาจโจมตีจนเสียเลือดไปเยอะ

“นี่ขนาดเมฆาแปลงร่างเป็นปีศาจกับน้องราตรีแปลงร่างเป็นมังกรขั้นสุดยอดแล้ว ยังเอาชนะไม่ได้อีกรึเนี่ย” อเลนพูดอย่างหัวเสีย

“นั่นสิ ทำไมถึงเอาชนะไม่ได้ซักที” ปฐพีพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนดูคุณยายต่อสู้อยู่นานแล้ว เพราะถ้าทั้งคู่ได้แปลงร่างตามเผ่าของตัวเองแล้ว จะมีพลังสูงกว่าเผ่ามนุษย์อย่างพวกเขามาก แต่แล้วปฐพีก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงหันหน้าไปหาพ่อแม่มังกรที่มีปิเอโร่คอยยืนประคองอยู่ข้างๆ “พวกท่านสองคนพอจะรู้จุดอ่อนของราชาปีศาจบ้างไหมครับ”

“เสียใจด้วยเด็กน้อย พวกเราไม่รู้อะไรเลย” เดรคตอบพลางส่ายหน้า ซึ่งทำเอาคนถามอย่างปฐพีฟังแล้วรู้สึกท้อ “รู้ไหมว่าเพราะเหตุใดทำไมลูกข้ากับเมฆาถึงเอาชนะราชาปีศาจไม่ได้”

“ผมไม่ทราบครับ” ปฐพีตอบอย่างจนมุม เพราะเขาไม่รู้ว่าทำไมสองคนนั้นถึงเอาชนะราชาปีศาจไม่ได้ซักที ทั้งๆที่ทั้งคู่มีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาที่เป็นมนุษย์อยู่มากโข

“นั่นก็เพราะลูกชายข้ายังงัดพลังของตัวเองออกมาใช้ได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่นะสิ”

“ห๊ะ?! ยังใช้ไม่ถึงหนึ่งในสี่เองหรอกหรือครับ?!” ปฐพีร้องอุทานอย่างตกใจ รวมถึงคนอื่นๆที่ยืนฟังอยู่นั้นก็พลอยตกใจด้วยเช่นกัน ซึ่งเดรคกับเหม่ยจิงพยักหน้าตอบพร้อมกัน

“ใช่ นั่นเป็นเพราะพวกเราผิดเองที่ไม่ได้มอบพลังให้แก่เขาก่อนจะพลัดพรากจากกัน” เดรคตอบพลางหันหน้าไปทางเหม่ยจิง “ยังพอไหวไหมเหม่ยจิง”

“พอไหวค่ะที่รัก ข้าพร้อมเพื่อลูกอยู่เสมอ”

“พวกท่านจะทำอะไรกันหรือ…”

ปฐพียังถามไม่ทันจบดี ทั้งสองคนก็หลับตาลงก่อนแสงสีฟ้าจะส่องประกายไปทั่วตัว แล้วแสงพลังนั้นก็ค่อยพุ่งเข้าหาราตรีอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาราชาปีศาจกับเมฆาต้องกระโดดถอยหนีตามสัญชาติญาณ

“เกิดอะไรขึ้น?!”

ทั้งราชาปีศาจทั้งเมฆาต่างตกตะลึง แม้กระทั่งตัวราตรีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน หากแต่ความรู้สึกถึงขุมพลังอันคุ้นเคยทำให้ราตรีเข้าใจเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะได้พลังมาแต่ทว่าราตรีกลับใช้พลังได้ไม่ถูกต้องจนคนเป็นพ่ออย่างเดรคต้องส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง

“ใจเย็นๆสิคะที่รัก เราต้องเชื่อมั่นในตัวลูกว่าต้องทำได้” เหม่ยจิงพูดปลอบ ซึ่งเดรคก็ได้แต่ถอนหายใจพยายามที่จะเชื่อมั่นในตัวลูกชาย

“ผมก็หวังว่าให้มันเป็นอย่างที่คุณว่าแล้วกัน” แล้วทั้งสองคนก็หันไปมองลูกชายกับเพื่อนต่อสู้ต่อด้วยความหวังอันริบหรี่ ซึ่งการต่อสู้ดูเหมือนจะยืดเยื้อไปอีกนานจนราชาปีศาจนึกเบื่อหน่ายที่จะต่อสู้แบบนี้ต่อไปอีก

“เล่นพอหอมปากหอมคอเท่านี้แล้วกัน” ราชาปีศาจพูดพลางกระโดดตีลังกาถอยหลังก่อนจะแบมือหันไปหาราตรี “ต่อไปนี้ข้าจะเอาจริงแล้วนะมังกรน้อย”

“อะไรนะ?!” ราตรีชะงักมือเมื่อได้ยินราชาปีศาจพูดกับตัวเอง ก่อนที่ราตรีจะรู้สึกว่าปลายเท้าของเธอเริ่มชาก่อนจะไล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วมากจนราตรีงัดน้ำยาแก้คำสาปขึ้นมาไม่ทัน และภาพสุดท้ายที่ราตรีได้เห็นก่อนจะดับวูบไปก็คือภาพของเมฆาที่วิ่งเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

“น้องราตรี!”

..................................................

ราตรีไม่รู้ว่าเธอนั้นสลบไปนานแค่ไหน แต่พอรู้สึกตัวดีเธอก็ได้ยินเสียงโอดโอยของเพื่อนๆดังอยู่รอบกาย ครั้นพอลืมตาขึ้นเธอก็พบว่าทุกคนยกเว้นพ่อแม่ของเธอนอนจมกองเลือดหากแต่สติของทุกคนยังคงอยู่

“เกิดอะไรขึ้น?!” ราตรีร้องอุทานอย่างตกใจ ครั้นจะขยับกายเข้าไปช่วยทุกคนหากแต่เท้าทั้งสองข้างกลับหาได้ขยับไม่

“หึ ดูท่ามังกรน้อยของเราจะรู้สึกตัวแล้ว” เสียงราชาปีศาจพูดเกริ่น ซึ่งราตรีได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองต้นเสียงก่อนจะพบว่าราชาปีศาจกำลังยืนแสยะยิ้มโดยที่ปลายเท้ามีเมฆา พ่อและแม่ของเธอนอนหายใจรวยรินอยู่ใกล้ๆ

มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เธอสลบไปกันแน่เนี่ย?!

“นะ…น้อง…ระ…รา…ตรี…นะ…หนี…ไป อั่ก!” เมฆาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แต่ก็มิวายโดนราชาปีศาจกระทืบหน้าอกแรงๆหนึ่งที ทำให้เมฆากระอักเลือดออกมา

“หุบปากไอ้ลูกชั่ว ยังไม่ถึงตาของแก” ราชาปีศาจพูดอย่างเลือดเย็น ก่อนจะก้าวเท้าเดินข้ามร่างเมฆาเดินไปหาคริสตัล งุ้งงิ้ง และคอเบียร์ที่ยังนอนคว่ำหน้าหายใจรวยรินอยู่ เมื่อเดินมาถึงแล้วราชาปีศาจก็หันหน้ามาแสยะยิ้มให้เธอ “เห็นแก่หน้าเจ้าที่เป็นลูกชายของเดรคและเหม่ยจิง ข้าจะให้เจ้าคอยดูคนที่เจ้ารักตายไปทีละคนโดยที่เจ้าทำอะไรไม่ได้เลย ส่วนพ่อแม่ของเจ้า ข้าจะเก็บไว้จัดการทีหลัง เป็นยังไงล่ะ ถูกใจเจ้าเลยใช่ไหมล่ะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า”

ราตรีได้ยินที่ราชาปีศาจพูดแล้วถึงกับกัดฟันด้วยความโมโห

โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!

ครั้นเธอจะใช้ทักษะเวทมนตร์เพื่อช่วยทุกคนให้รอดพ้นเงื้อมมือราชาปีศาจ แต่กลับใช้ไม่ได้เลยซักนิด

“เจ้าใช้เวทมนตร์ในตอนนี้ไม่ได้หรอกนะมังกรน้อย เพราะข้าได้ใช้คำสาปใบ้เวทมนตร์ให้เจ้าด้วย” ราชาปีศาจหันมาด้วยเมื่อเห็นว่าเธอจะใช้เวทมนตร์ “ฉะนั้นเจ้าจงยืนดูอยู่ตรงนั้นเฉยๆเถอะ หึๆ”

แล้วราชาปีศาจก็ชักดาบของตัวเองขึ้นมาก่อนจะแทงลงกลางหลังของคอเบียร์อย่างแรง ส่งผลให้คอเบียร์กระอักเลือดก่อนจะกลายเป็นแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วรายต่อไปก็เป็นงุ้งงิ้ง ซึ่งตายแบบเดียวกับคอเบียร์ ครั้นพอเป็นตาของคริสตัลบ้าง ยังไม่ทันที่ราชาปีศาจจะได้ฆ่าคริสตัล จู่ๆก็มีมีดสั้นพุ่งเฉียดแก้มราชาปีศาจจนเรียกเลือดออกมา

“ไม่นึกเลยว่าแม่นางน้อยคนนี้จะมีความสำคัญกับแกนะเจ้ามนุษย์” ราชาปีศาจพูดเกริ่นหลังจากรู้ว่าเจ้าของมีดสั้นนั้นเป็นใคร

“ห้ามทำ...น้องสาว...ของฉันนะ...ไอ้ราชาปีศาจ” เสียงปฐพีพูดตะกุกตะกัก ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ราตรีไม่สามารถหันคอไปมองได้ เพราะตั้งแต่คอลงไปจรดเท้าของเธอนั้นเป็นหินเกือบทั้งหมด จึงทำให้ราตรีมองได้แค่ตรงหน้าเท่านั้น แล้วราชาปีศาจก็หัวเราะลั่นเมื่อปฐพีพูดจบ

“หึ น้องสาวงั้นรึ” ราชาปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ “ดี ยิ่งเป็นน้องสาวก็ยิ่งอยากให้ข้าฆ่ามากยิ่งขึ้น”

ถึงแม้ที่นี่เป็นเพียงแค่เกม แต่สำหรับราตรีแล้ว ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยิ่งตายช้าก็ยิ่งเจ็บมาก ซึ่งเธอเคยเผชิญมาก่อนหน้านี้แล้ว

ไม่ได้! ยังไงเธอก็ไม่ให้เหลนแก้วต้องได้รับรู้ความรู้สึกแบบเดียวกับเธอเด็ดขาด!! 

“ได้โปรดละเว้นชีวิตเด็กคนนั้นสักคน ขอร้องล่ะ!” ราตรีเอ่ยปากอ้อนวอนสุดชีวิต ซึ่งทำให้ราชาปีศาจหันขวับมามองราตรีอย่างแปลกใจ

“โอ้ ดูท่าแม่นางน้อยคนนี้จะมีความสำคัญสำหรับเจ้าด้วยหรือมังกรน้อย แต่เสียใจด้วย...” ราชาปีศาจพูดจบ เสียงตวัดดาบดังขึ้นหนึ่งครั้ง พร้อมกับเสียงของปฐพีแผดร้องร่ำไห้ราวกับขาดใจมิปาน “...ข้าไม่เคยละเว้นชีวิตใคร ต่อให้มนุษย์ผู้นั้นจะเด็กผู้หญิงก็ตามที”

แล้วราชาปีศาจก็เดินย้อนกลับมาสู่สายตาของราตรีอีกครั้ง ก่อนจะตวัดนิ้วขึ้นหนึ่งครั้ง ร่างของปลากับหงส์หยกก็ลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนจะลอยมาหาราชาปีศาจที่ยืนแสยะยิ้มอยู่

“ดูได้จากสองคนนี้ ข้าจะฆ่าให้เจ้าดูเป็นตัวอย่าง” พอราชาปีศาจพูดจบ ก็ใช้มือทั้งสองข้างที่มีแต่กรงเล็บทะลวงเข้าท้องทั้งคู่อย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของทุกคนด้วยความตกตะลึง ก่อนที่ปลากับหงส์หยกจะกลายเป็นแสงขึ้นสู่ท้องฟ้าไป “ต่อไปจะเป็นใครดีนะ”

ราชาปีศาจพูดพลางทำท่าครุ่นคิด ซึ่งทำเอาราตรีโกรธจนแทบอยากจะออกไปฆ่าใจแทบขาด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะติดคำสาปหินอยู่ ซึ่งรายต่อไปนั้นก็เป็นศาสตรากับพิภพที่ถูกฆ่าด้วยคำสาปมรณะ และถัดมาก็เป็นธิดากับอเลนที่ถูกฆ่าด้วยกรงเล็บเฉกเช่นเดียวกับปลาและหงส์หยก

“หึ ต่อไปก็เป็นตาของแกแล้วนะ...” ราชาปีศาจพูดพลางก้มหน้ามองรายต่อไปที่จะฆ่า “...ไอ้ปิเอโร่”

ปิเอโร่หรือตัวตลกที่อดีตเคยเป็นทาสรับใช้ของเมฆานอนจมกองเลือดอยู่ก็จริง แต่ก็มิวายเงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มตามรูปลักษณ์ของตัวตลก

“กระผม...ไม่กลัว...ที่จะโดน...ราชาปีศาจ...อย่างท่าน...ฆ่าตายหรอก...ขอรับ”

“ฮึ จะตายอยู่แล้ว ยังปากดีได้อยู่นะ” ราชาปีศาจพูดด้วยความฉุนเฉียวที่เห็นปิเอโร่ไม่กลัวตาย “เพราะแกคนเดียวไอ้ปิเอโร่ ทำให้แผนการของข้าพัง ฉะนั้นข้าจะสงเคราะห์แกด้วยการฆ่าที่ทรมานที่สุดแล้วกัน”

หลังจากนี้ราตรีไม่รู้ว่าปิเอโร่ถูกราชาปีศาจฆ่าตายด้วยวิธีไหน เพราะเธอมองไม่เห็นปิเอโร่ เธอได้ยินแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของปิเอโร่เพียงอย่างเดียว ซึ่งตอนนี้จะเหลือก็แต่เมฆา ปฐพี มาริโอ และพ่อแม่ของเธอที่ยังคงมีชีวิตอยู่ เพราะพวกที่ตายไปแล้วกว่าจะเกิดใหม่ก็กินเวลาหนึ่งชั่วโมง ฉะนั้นไม่ต้องคิดให้เสียเวลาว่าพวกอเลนจะกลับมาช่วยเธอได้ทันเวลา

“ต่อไปก็ตาของเจ้าแล้วนะไอ้หนุ่มน้อย” ราชาปีศาจพูดพลางก้มหน้ามองปฐพีที่พยายามงัดน้ำยาฟื้นพลังขึ้นมาใช้ แต่ก็โดนราชาปีศาจเตะน้ำยาทิ้งจนใช้งานไม่ได้ ซึ่งราตรีพยายามเหลือบตามองหลานชายตัวเองให้ได้แต่ก็ไร้พ้น เพราะทั้งคู่อยู่ห่างจากสายตาของเธอที่จะมองเห็นได้ “จะฆ่าแบบไหนดีนะ จะใช้กรงเล็บหรือดาบดี”

“ไอ้ปีศาจโรคจิต” คำว่าปีศาจโรคจิตทำเอาราชาปีศาจที่กำลังครุ่นคิดถึงกับหยุดชะงัก

“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดอะไรออกมานะไอ้หนุ่ม ข้าได้ยินไม่ชัด”

“ไอ้…ปีศาจ…โรค…จิต” สิ้นคำพูดของปฐพี ราชาปีศาจก็ใช้เท้าถีบเข้าใบหน้าของผู้พูดอย่างแรง

บึก!

“เป็นแค่มนุษย์ผู้ต่ำต้อยบังอาจว่าข้าเป็นปีศาจโรคจิต แบบนี้คงปล่อยเจ้าให้ตายแบบดีๆเหมือนคนอื่นไม่ได้เสียแล้ว” ราชาปีศาจพูดเสียงเหี้ยม ก่อนที่ราตรีจะได้ยินกลิ่นเหม็นไหม้พร้อมกับเสียงกรีดร้องของปฐพีที่ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด ซึ่งราตรีพอเดาได้ว่าหลานชายของตนต้องโดนราชาปีศาจใช้เวทมนตร์ธาตุไฟเผาอย่างไม่ต้องสงสัย

ตานพ ยายขอโทษนะที่ช่วยอะไรหลานไม่ได้เลย

ราตรีหรือจันทร์แรมคิดในใจอย่างเจ็บปวด สุดท้ายแล้วปฐพีก็กลายเป็นแสงขึ้นฟ้าตามคนอื่นไป ซึ่งกลายเป็นว่าตอนนี้เหลือมาริโอ เมฆา และพ่อแม่ของเธอที่ยังอยู่

“ฮึ เจ้าเห็ดน่ารังเกียจ” ราชาปีศาจพูดพลางมองมาริโอที่ยังคงสลบอยู่ ก่อนจะสะบัดนิ้วขึ้นหนึ่งที ทำให้ร่างของมาริโอลอยขึ้นในระดับสายตาของราชาปีศาจ

ผัวะ!

5000


มาริโอถูกราชาปีศาจตบหัวแรงๆหนึ่งที ทำเอามันที่สลบอยู่ถึงกับสะลึมสะลือตาขึ้นมาอย่างมึนงง

“หนีไปเร็วมาริโอ!” ราตรีตะโกนบอกมันด้วยความเป็นห่วง “หนีไปซะ!!”

มาริโอได้ยินเสียงราตรีแล้วก็พลันหันหน้ามาก่อนจะตกตะลึงเมื่อเห็นราตรีกลายเป็นหินเกือบทั้งตัว

“อารายว้า แข็งท่านี้ไม่เมพเลย ก๊ากๆ ฮะ ฮะ ฮ่า!” มาริโอหันหัวเราะลั่นโดยที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่ากำลังอยู่ในเงื้อมมือของราชาปีศาจ “ฝีมือใครสาปวะ กากสุดๆ นู้บมากๆ จะสาปทั้งทีเลือกท่าที่มันดูแจ่มๆ หน่อยดิ”

เพี๊ยะ!

500


“อ้าว ตบหัวพ่อตายหรา ไอ้ราชากาก แน่จริงหยิบคีย์บอร์ดมาด่ากันตัวๆ ดิวะ”

เพี๊ยะ!

500


“ถุย แรงตุ๊ดวะ ไอ้นู้บ ลูกตุ๊ด”

กล่าวจบมาริโอก็ชูนิ้วกลางขึ้นหราจนเกือบทิ่มหน้าราชาปีศาจ ก่อนที่จะ...

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

500

500


500

“ฉ18+.......... (ข้อความนี้ มีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความรุนแรง เพศ และการใช้ภาษา ผู้ปกครองควรใช้วิจารณญาณในการชม)”

ขณะนี้ราชาปีศาจได้รับผลจากทักษะเกรียนทะลุจักรวาล

ขณะนี้ราชาปีศาจตกอยู่ในสถานะมึนงง

แม่เจ้าโว้ย มันเกรียนเหนือเทพจริงๆ


ทั้งเมฆาและราตรี ต่างคิดในใจพร้อมๆ กัน เมื่อได้เห็นทักษะเกรียนทะลุจักรวาลของมาริโอแล้ว เล่นเอาราชาปีศาจถึงกับมึนจนลงมือไม่ถูก

“เฮ้ย จะตายแล้วยังเกรียนอยู่ได้ เดี๋ยวพ่อบลัสเลยนี่”

“บลัสละงาย คิดว่าข้าจะกลัวหรา แน่จริงมาเจอกันนอกจอได้เว้ย…”

มาริโอพูดพลางชูนิ้วกลางใส่ราชาปีศาจอีกครั้ง

โพละ!

99999


“ไม่นะมาริโอ!”

ความเกรียนของมาริโอยุติลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่อหัวของมันถูกตบอย่างสุดแรงจนแตกละเอียด ก่อนจะกลายเป็นลำแสงหายไป ในขณะที่ราชาปีศาจถึงกับยืนหอบจนตัวโยน ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องมารับมือกับเกรียนพระกาฬจนตนเองเกือบหลุดอาการเกรียนแตก

“ร้ายกาจมากมังกรน้อย ถามจริง ไปขุดมันมาจากไหน”

“ไปขุดจากปากแกมั้งไอ้ราชาปีศาจ”

ราชาปีศาจได้ยินที่ราตรีตอบถึงกับขมวดคิ้ว จากสีหน้าที่เคยเคร่งเครียดยิ่งเคร่งเครียดไปกว่าเก่า

“ด่ามันได้เจ็บมากลูกพ่อ!” เดรคที่นอนหน้าคว่ำอยู่หลังไม่ห่างจากจุดที่ราชาปีศาจกับมาริโออยู่นั้นได้ตะโกนพูดเชียร์ราตรี “เหมือนแม่ตอนเป็นสาวๆเปี๊ยบ!”

“เดรค! นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเชียร์ลูกตอนนี้นะคะ!! แค่กๆ” เหม่ยจิงพูดตะโกนว่าเดรคก่อนจะไอออกมาเป็นเลือด ซึ่งทำเอาเดรคต้องหยุดพูดก่อนจะหันมาสนใจภรรยาที่นอนไออยู่ข้างๆ

“ห่วงกันเข้าไป อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้ตายพร้อมกันอยู่แล้ว” ราชาปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ซึ่งทำเอาราตรีนึกโกรธที่ไม่สามารถทำอะไรราชาปีศาจได้ “แต่พวกเจ้านอนรอไปก่อนแล้วกัน เพราะข้าจะขอไปจัดการไอ้ลูกชายตัวแสบก่อน หึๆ”

แล้วราชาปีศาจก็เดินหมุนตัวกลับมาหาเมฆาซึ่งนอนฟุบอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ราตรียืนแข็งเป็นหิน

“อย่านะไอ้ราชาปีศาจ ถ้าจะฆ่าท่านพี่ล่ะก็ มาฆ่าข้าเสียดีกว่า” ราตรีบอกเพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาตายต่อหน้าเธออีก หากแต่ราชาปีศาจหาได้ฟังไม่ กลับเผยรอยยิ้มอันเย็นยะเยือกจนราตรีรู้สึกหนาวถึงกระดูก “ท่านพี่หนีไปเร็วเข้า! หนีสิ!!”

เมฆาก็อยากจะหนีเหมือนกัน แต่สภาพร่างกายมันอิดโรยผนวกเสียเลือดไปมากก็เลยทำให้ชายหนุ่มขยับหนีไปไหนไม่ได้ แถมตอนนี้น้ำยาเพิ่มเลือดกับเพิ่มพลังมานาที่เคยมีก็ได้ใช้ไปหมดแล้ว จึงทำให้เมฆาได้แต่นอนรอความตายเพียงอย่างเดียว

“ถ้าจะโทษพระเจ้าล่ะก็ จงโทษตัวเองเถอะไอ้ลูกชั่ว เจ้าอยากจะเนรคุณบ้านเมืองกับข้าเองดีนัก”

ร่างของเมฆาก็ลอยขึ้นกลางอากาศต่อหน้าราตรีกับราชาปีศาจ แล้วราชาปีศาจจะใช้มือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บบีบที่ศีรษะของเมฆาก่อนจะกดแรงบีบแน่น

โพละ!

9999


เพียงครั้งเดียว ศีรษะของเมฆาแตกกระจายก่อนจะเป็นแสงขึ้นสู่ท้องฟ้าไปในพริบตาเดียว

“ม่ายยยย!!”

..........................

 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 67 สูญเสีย (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 06-03-2015 10:46:24
ราตรี๊  ไอ่ทักษะความมืดอ่ะ  งัดมายางงงงงงง โด่วววววงัดสกิลลับมาเด๊ :katai4:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 67 สูญเสีย (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 06-03-2015 11:56:16
บทที่ 68 สิ้นสุดสงคราม

..................................................

“ม่ายยย!!”

ราตรีร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเมฆากลายเป็นแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไป ซึ่งทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแต่เธอกับพ่อแม่ของเธอเท่านั้น ส่วนราชาปีศาจนั้นเมื่อเห็นว่าลูกชายของตัวเองได้จบชีวิตลงแล้ว ถึงกับลั่นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนราตรีนึกแค้นใจตัวเองที่ช่วยเพื่อนไม่ได้ซักคนเดียว

ทุกอย่าง...จบสิ้นแล้ว

ราตรีหลับตาลงด้วยความท้อแท้และสิ้นหวัง หากแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ยังคอยความหวังของลูกชายแม้จะเหลือเพียงแค่ 0.01% ก็ตามที ส่วนราชาปีศาจนั้นเมื่อเห็นราตรีหลับตาร้องไห้แล้ว ก็เดินสาวเท้าเข้าไปหาราตรีก่อนจะใช้มือจับคางเชิดหน้าขึ้น

เพี๊ยะ!

500


แรงตบของราชาปีศาจได้ทำให้ราตรีถึงกับลืมตาขึ้นโพล่งด้วยความเจ็บปวด

“คิดจะหลับตาหนีตอนนี้จะไม่ฝันไปหน่อยรึมังกรน้อย” ราชาปีศาจแสยะยิ้มพูดพลางบีบคางราตรีให้หันกลับมามองตัวเองตรงๆ “ดูเพื่อนของเจ้าตายไปแล้ว ฉะไหนถึงไม่ดูความตายของพ่อแม่ล่ะมังกรน้อย อย่าบอกนะว่าเจ้าทนเห็นไม่...”

“ข้าจะฆ่าแก...ไอ้ราชาปีศาจเฮงซวย” ราตรีกัดฟันพูดด้วยความโกรธ ซึ่งทำเอาราชาปีศาจหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะก้มลงมองราตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า

“แข็งเป็นหินแบบนี้ อย่าว่าแต่จะฆ่าข้าเลย แค่ช่วยเพื่อนตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ฝันไปเถิดไอ้หนู” ราชาปีศาจพูดจบ ก็หมุนตัวเดินกลับไปหาเดรคกับเหม่ยจิง “เอาล่ะ ถึงคิวของพ่อแม่เจ้าแล้ว คอยดูให้ดีแล้วกันนะมังกรน้อย หึๆ”

“ไม่นะ ไม่” ราตรีพูดทั้งน้ำตา ทั้งดิ้นทั้งขยับก็ไร้วี่แวว จนกระทั่งราชาปีศาจเดินถึงเดรคกับเหม่ยจิงแล้ว ทั้งสองร่างก็ลอยขึ้นกลางอากาศด้วยเวทมนตร์ของราชาปีศาจ

“พวกเจ้าต้องขอบคุณข้าที่ข้าอุตส่าห์เป็นคนจบชีวิตพวกแกด้วยมือของข้าเองนะไอ้เพื่อนรัก” ราชาปีศาจแสยะยิ้มพูด หากแต่เดรคหาได้ชอบใจไม่

“ฮึ ถ้าจะตายด้วยน้ำมือของแกแล้วล่ะก็ ข้าฆ่าตัวเองตายเสียจะดีกว่า” สิ้นคำพูดของเดรค ราชาปีศาจใช้มือจับคอของเดรคทันที

“ปากดีนักนะแก” ราชาปีศาจพูดเสียงเหี้ยมเกรียมก่อนจะหันไปบีบคอเหม่ยจิงด้วยอีกคน “เดี๋ยวข้าจะส่งพวกแกสองคนไปลงนรกพร้อมๆกัน จะได้ไม่ต้องทนเหงายังไงล่ะ อ้อ เดี๋ยวพอพวกแกตายไปแล้ว ข้าจะส่งลูกชายพวกแกไปทีหลังนะ ฮะ ฮะ ฮ่า!”

แล้วราชาปีศาจก็บีบคอทั้งคู่แรงขึ้น จนสีหน้าของเดรคกับเหม่ยจิงซีดอย่างเห็นได้ชัด ถึงทั้งสองคนจะเป็นเพียงแค่เอ็นพีซีในเกมแต่ราตรีก็นับเดรคกับเหม่ยจิงเสมือนพ่อแม่ของเธอจริงๆ

อุตส่าห์ได้พบหน้ากันแล้ว

เรื่องอะไรจะปล่อยให้ท่านพ่อท่านแม่ตายได้กันล่ะ

ไม่มีวัน!!


ครั้นพอราตรีคิดเสร็จ ร่างกายที่แข็งเป็นหินก็พลันมลายหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาราชาปีศาจที่รู้สึกถึงขุมพลังมหาศาลจากด้านหลังถึงกับชะงักปล่อยมือสองข้างที่บีบคอเดรคกับเหม่ยจิงออก ทำให้สองร่างทรุดลงไปนั่งกับพื้น ก่อนที่ราชาปีศาจจะหันหลังกลับไปดู ก็พบเห็นเด็กหนุ่มที่เคยแข็งเป็นหินยืนทำสีหน้าขึงขังพร้อมกับไอพลังสีฟ้าครามที่กำลังปะทุขึ้นอยู่รอบตัว

“โฮ่ ช่างเป็นพลังที่สูงอะไรเช่นนี้ เห็นทีข้าคงปล่อยเจ้าให้…” ราชาปีศาจพูดยังไม่ทันจบ ราตรีในคราบร่างมังกรขั้นสูงสุดก็บินพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ซึ่งภาพของราตรีในสายตาราชาปีศาจนั้นเป็นมังกรร่างจริงแลดูสวยงามและน่าเกรงขาม

สวย ช่างเป็นมังกรที่สวยอะไรอย่างนี้

ราชาปีศาจลอบคิดในใจอย่างชื่นชม

ตูม!

9999


เพราะด้วยความเผลอมองจนลืมป้องกันตัว ทำให้ร่างของราตรีพุ่งทะลุท้องของราชาปีศาจไปอย่างง่ายดาย

“อ็อค!” ราชาปีศาจกระอักเลือด ร่างกายสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด ส่วนราตรีนั้นเมื่อลอยทะลุท้องของราชาปีศาจแล้วก็พลันหยุดลงก่อนจะหันหน้ากลับมามองราชาปีศาจที่กำลังบาดเจ็บสาหัสใกล้จะตายอยู่เร็วๆนี้แล้ว “หึ ร้าย...กาจมาก...มังกร...น้อย...ทำ...ร้ายข้าได้...ตอนที...เผลอ อ็อค!”

ราชาปีศาจกระอักเลือดอีกครั้ง ซึ่งราตรีเองก็ไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสเพิ่มเลือดของตัวเอง รีบสาวเท้าเข้าไปหาราชาปีศาจ แล้วค่อยยกมือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันที่กลางอก แล้วทันใดนั้นลูกพลังสีฟ้าสดใสก็ปรากฏขึ้นคล้ายดวงอาทิตย์ขนาดเล็ก

“ในเมื่อแกต้องการพลังของมุกมังกรนัก ข้าก็จะให้แกได้ลิ้มรสมันเดี๋ยวนี้แหละ!” ราตรีพูดจบ ก็ยิงลูกพลังนั้นเข้าไปที่บาดแผลอันเกิดจากฝีมือของตนเองทันที ซึ่งเมื่อพลังของราตรีได้สัมผัสกับร่างของราชาปีศาจแล้วก็เกิดระเบิดต่อหน้าต่อตาราตรี

ตูม!

ร่างของราชาปีศาจโดนพลังแล้วก็ต่างพากันกระจัดกระจายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะพลันสลายไปกับอากาศทันที

ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์กำจัดราชาปีศาจสำเร็จ

เสียงระบบประกาศบอกก่อนจะตามด้วยเสียงโห่ร้องดีใจของผู้เล่นที่อยู่ด้านนอกพระราชวัง

นี่เรา...กำจัดราชาปีศาจได้แล้วรึเนี่ย

ราตรีคิดในใจ เมื่อรู้ว่าตัวเองทำสำเร็จแล้ว เธอจึงหมุนตัวกลับวิ่งเข้าไปสวมกอดพ่อแม่ที่ยืนกางแขนรอรับเธออยู่

“ท่านพ่อท่านแม่ ในที่สุดข้าก็ช่วยพวกท่านได้เสียที” ราตรีพูดไปน้ำตาไหลไปพลาง ซึ่งทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่พลอยน้ำตาไหลไปด้วย “ท่านพ่อท่านแม่บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ผมจะได้เอาน้ำยาเพิ่มพลังมารักษาให้”

แน่นอนว่าราตรีไม่รอให้ทั้งสองคนได้ตอบ เธอรีบงัดน้ำยาที่เหลือในกระเป๋าไอเทมขึ้นมาให้พ่อแม่ของเธอได้ดื่มเพื่อฟื้นพลังเลือดที่เสียไปทันที หลังจากที่ทั้งสองคนหายเป็นปกติดีแล้ว เดรคกับเหม่ยจิงก็ถามไถ่เรื่องราวของราตรีหลังจากผจญภัยโลกภายนอกว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งราตรีเองก็รีบเล่าโดยไม่คิดจะปิดบังทั้งสองคน

.............................................................

หลังจากเล่าจบเสร็จ ทุกคนที่ตายไปแล้วก็ได้กลับมาพร้อมกันอีกครั้งในเวลาใกล้เคียง ซึ่งทำเอาทุกคนที่เตรียมพร้อมจะสู้รบปรบมือกับราชาปีศาจอีกครั้งต้องพบกับความงุนงง เมื่อเห็นราตรีนั่งขัดสมาธิโดยมีเดรคกับเหม่ยจิงนั่งอยู่ข้างๆด้วยสีหน้ารอยยิ้มเหมือนคนปกติดี

“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องราตรีถึงไปนั่งอยู่กับพ่อแม่ได้ล่ะ แล้วราชาปีศาจหายไปไหน” เมฆาพูดด้วยความงุนงง ซึ่งราตรีก็ได้เล่าเรื่องของเธอว่ากำจัดราชาปีศาจได้ยังไงกัน หลังจากเล่าจบแล้ว จู่ๆคนที่ทุกคนไม่คาดฝันก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าราตรี ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับอ้าปากค้างช็อกกันเป็นแถว

“ราชาปีศาจ!” ครั้นพูดจบ ทั้งเดรค ทั้งเหม่ยจิง ทั้งเมฆา ทั้งปฐพีต่างกระโดดเข้ามาบังหน้าราตรีไว้จนมิด ส่วนคนอื่นๆที่เหลือต่างรีบงัดอาวุธของตัวเองขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะสู้อีกครั้ง หากแต่คนที่ถูกกล่าวถึงกลับทำหน้าขมวดคิ้วมองมาที่พวกราตรีอย่างงุนงง

“เมฆา นั่นเพื่อนของลูกหรือ” ราชาปีศาจหันมาถามเมฆาอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาคนถูกถามถึงกับมึนงง แล้วราชาปีศาจก็พูดต่อโดยไม่รอคำตอบจากลูกชายเลย “แล้วทำไมทุกคนถึงทำหน้าทำตาน่ากลัวแบบนั้นล่ะ มีอะไรอยู่ด้านหลังข้างั้นรึ?”

ครั้นราชาปีศาจพูดจบ มาริโอก็พูดขึ้นแทรกมาทันที

“ไอ้กาก พ่องตายเหรอ ฆ่าตู”

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

100

100

100

100


เสียงทุกคนตบกบาลมันเรียงตัว ซึ่งแม้กระทั่งราชาปีศาจก็พลอยตบหัวมันไปด้วยอีกคน

“ไอ้เห็ดปากเหม็น ข้าเคยไปทำอะไรให้เจ้าไว้ ห๊ะ มาถึงก็ด่ากันโครมๆ เดี๋ยวตบบ๊องหูแตกเลยปั๊ดเหนี่ยว” ราชาปีศาจพูดพลางทำท่าจะไปตบหัวมาริโออีกครั้ง แต่กลับชะงักเมื่อเห็นสายตาของเหม่ยจิงกับเดรคที่จ้องมองมา “อ้าว นั่นเหม่ยจิงกับเดรคนี่ พวกเจ้าสองคนสบายดีหรือ แล้วพวกเจ้ามาที่บ้านของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ”

“นี่เจ้าจำไม่ได้จริงๆหรือเคออส” เดรคถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาคนถูกถามขมวดคิ้วเกาหัวหยิกๆ

“ก็...จำได้ว่าข้าจะบินไปเยี่ยมเหม่ยจิง แล้วก็...ชวนเจ้าไปคั่วอีหนูแถวๆเมืองดนตรีนะ”

คำว่าอีหนูได้สะกิดต่อมความโกรธเหม่ยจิงเข้า

“เดรคอธิบายหน่อยสิคะ”

“อืม แบบนี้เป็นเคออสคนเดิมตัวจริงแน่ๆ” เดรคพูดตัดบทเอาดื้อๆ ซึ่งเหม่ยจิงทำท่าจะตวาดใส่เดรค หากแต่ธิดารีบเอ่ยปากชวนทุกคนให้มายืนเรียงแถวหน้ากระดานเพื่อที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกแทน

“เย้! ถ่ายรูปๆ” คริสตัลพูดเสียงตื่นเต้นดีใจ แล้วธิดาก็ไล่พวกผู้ชายให้ไปยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งมีเคออส เดรคกับเหม่ยจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เสกมาเป็นศูนย์กลาง ส่วนพวกผู้หญิงก็ให้ยืนอยู่ในแถวเดียวกับเคออส เดรค และเหม่ยจิง ยกเว้นมาริโอที่ขอยืนโชว์เดี่ยวด้านหน้าตามลำพังซึ่งธิดาก็ไม่คิดจะขัดศรัทธามัน ซึ่งในระหว่างที่ธิดากำลังไล่ทุกคนให้ไปยืนเรียบร้อยนั้น เดรคก็ได้เล่าทุกอย่างให้เคออสฟัง ซึ่งทำเอาเคออสต้องรีบขอโทษเพื่อนที่ทำอะไรลงไปไม่รู้ตัว

“เอาล่ะนะคะ ยืนนิ่งๆนับถอยหลังสิบวิแล้วยิ้มกันนะคะ” ธิดาพูดพลางเซ็ตกล้องก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปยืนข้างหงส์หยก ซึ่งในระหว่างที่ทุกคนกำลังนับเวลาถอยหลังนั้น จู่ๆอากาศด้านหน้าของทุกคนเกิดบิดมวลออกมา ก่อนจะเผยให้เห็นสองหนุ่มในชุดคลุมสีขาวพร้อมปีกขนนกสีรุ้งกับสีแดงปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนที่ยืนเรียงแถวถ่ายรูปอยู่

“โผล่มาในเกมแบบนี้มันจะดีหรือครับคุณโซล ประเดี๋ยวเกมก็ได้แฮ้งเหมือนคราวที่แล้วหรอก”

“ถ้าแฮ้งเดี๋ยวพวกเขาก็ซ่อมได้นะคีย์

แชะ!

เสียงถ่ายรูปดังขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่สองร่างปริศนาที่เพิ่งจะโผล่มาตกใจเล็กน้อย ส่วนราตรีเองนั้นก็เพิ่งเห็นหน้าสองหนุ่มที่เข้ามาแทรกระหว่างที่พวกเธอกำลังถ่ายรูป

“นั่นใช่พี่โซลกับพี่คีย์ที่เจอกันในป่าสีเขียวหรือเปล่าครับ นี่ผมเอง เด็กทารกที่พวกพี่เคยช่วยไว้ในป่านะครับ” ราตรีรีบปราดเข้าไปถามอย่างรวดเร็ว พร้อมกับลากมาริโอให้พวกเขาได้เห็นเผื่อจะจดจำเธอได้ ซึ่งทีแรกสองหนุ่มมองราตรีแล้วยังจำไม่ได้ แต่ครั้นพอเห็นมาริโอแล้วถึงกับร้องอ้อ

“อ้อ จำได้แล้วครับ น้องทารกคนนั้นนะเอง ว่าแต่กำราบเจ้าเห็ดปากเสียได้แล้วใช่ไหมครับเนี่ย”

คำถามของคีย์ทำเอามาริโอถึงกับโมโห

“ใครปากเสียห๊ะไอ้หน้าหวาน! โด่ แน่จริงมาสู้กันตัวต่อ…”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“โอ๊ยๆ!!”

300

300


มาริโอโดนอีกฝ่ายฟาดด้วยแส้ ซึ่งทำเอาทุกคนที่รู้นิสัยของมันดีถึงกับส่ายหน้า

สมควรล่ะ

อยากเกรียนเมพไม่เลิกเองนี่


หลังจากที่ราตรีได้แนะนำสองหนุ่มให้ทุกคนได้รู้จักแล้ว คีย์กับโซลก็รีบขอตัวออฟไลน์เกมทันทีเพราะกลัวจะทำเกมแฮ้งไปอีกรอบเหมือนคราวแรก แต่ก่อนที่จะไปนั้น คีย์ได้เข้ามากระซิบหูราตรีด้วย

“คีย์เค้ามาพูดกระซิบอะไรกับน้องราตรีเหรอครับ” เมฆาถามอย่างสงสัย หากแต่คนถูกถามกลับอมยิ้มตอบกลับไปว่า

“มันเป็น…ความลับครับ”

หลังจากนั้นธิดาก็ได้ให้ทุกคนถ่ายรูปอีกครั้ง โดยครั้งนี้ราตรีไม่ลืมที่จะพรายกระซิบเรียกหยางชุนหลานกับเทียนหลงให้มาร่วมถ่ายรูปด้วยกัน ครั้นถ่ายรูปเสร็จ เสียงระบบก็ได้ประกาศดังในหัวของราตรีว่า

ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์สำเร็จภารกิจช่วยเหลือต้นมานาค่ะ

แล้วระบบก็ประกาศของรางวัลที่ราตรีกับเพื่อนๆจะได้รับกัน ก่อนที่หยางชุนหลานกับเทียนหลงขอตัวกลับ เมื่อภารกิจเสร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยไม่ลืมที่จะนัดแนะกันไว้ว่าทุกสองเดือนของวันที่สองในเกมจะกลับมาเจอกันที่นี่ใหม่อีกครั้ง

...........................................

สองปีในเกมหรือหนึ่งปีของโลกจริงได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราตรีหรือจันทร์แรมก็ได้ล้มป่วยลงจนไม่สามารถเข้าไปเล่นเกมได้บ่อยเหมือนครั้งก่อนๆได้ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงที่ราตรีได้เข้าไปเล่นเกมนั้น เธอได้อยู่กับพ่อแม่ตลอดเวลาเพื่อชดเชยเวลาที่แยกจากกับพวกท่านเมื่อครั้นยังเป็นเด็กทารกด้วย จนราตรีหรือจันทร์แรมเริ่มเข้าเกมไม่ไหวแล้ว เธอก็ได้เข้าเกมเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อบอกลาพ่อแม่ของเธอโดยแสร้งทำเป็นว่าจะออกเดินทางเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตให้กับตนเอง

“ไปเถิดจ้ะลูกรัก ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้น พ่อกับแม่ก็ไม่ขอขัด”

“ครับท่านแม่”

“อย่าลืมส่งจดหมายกลับมาหาพ่อกับแม่ด้วยล่ะไอ้ลูกชาย” เดรคพูดพลางก้มหน้ากระซิบกับเธอเบาๆว่า “แล้วก็…เรื่องที่พ่อเคยบอก ลูกช่วยไปหาอีหนูสวยๆให้พ่อด้วยล่ะ”

“เดรค!” เหม่ยจิงเรียกชื่อเดรคพลางบิดหูจนอีกฝ่ายร้องโอดครวญ ซึ่งท่าทีของพ่อแม่ทำเอาราตรีถึงกับหัวเราะ

“ถ้างั้นผมขอตัวออกเดินทางก่อนนะครับท่านพ่อท่านแม่”

“จ้ะ ขอให้ลูกเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ”

แล้วราตรีก็เข้าสวมกอดทั้งสองคนอีกครั้ง ซึ่งเธอใช้เวลากอดร่ำลาทั้งคู่อยู่นานพอสมควรก่อนจะบอกลาพ่อแม่แล้วรีบออกจากพระราชวัง ก่อนจะออฟไลน์เกมทันที ทว่าราตรีหาได้รู้ไม่ว่าหลังจากที่เธอได้เดินก้าวออกจากพระราชวังแล้ว เดรคกับเหม่ยจิงได้มายืนส่งเธอทั้งน้ำตา

“ถ้าหากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้กลับมาเป็นพ่อแม่ลูกกันอีกนะ”

“ลาก่อนราตรีพิสุทธิ์”

...............................

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 68 สิ้นสุดสงคราม (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 06-03-2015 12:13:14
บทที่ 69 พบหน้า

...........................................

หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน จันทร์แรมอาการทรุดหนักลงจนลุกขึ้นจากที่นอนไม่ได้ ทำให้ทุกคนเริ่มไม่สบายใจกับอาการของเธอ ซึ่งโดยเฉพาะนพที่ดูทุกข์ร้อนกว่าคนอื่นๆ เพราะหมอที่รักษาคุณยายนั้นได้บอกว่าท่านคงมีชีวิตได้อีกไม่นานนี้ ขอให้เตรียมใจไว้พร้อมด้วย

“คุณจะโทรศัพท์กับส่งอีเมล์ไปชวนเพื่อนในเกมให้มาหาคุณยายงั้นหรือคะ” มีนาถามอย่างสงสัยในขณะที่นพกำลังนั่งส่งอีเมล์ถึงทุกคน

“อืม พอดีเป็นคำขอของคุณยายนะมีนา” นพตอบพลางกดส่งข้อความไปหาอวิ๋นหรือเมฆา ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่นพส่งอีเมล์ไป ทีแรกนพไม่รู้หรอกว่าเมฆาในโลกจริงนั้นเป็นใคร แต่พอได้รู้ความจริงจากคุณยายแล้ว นพถึงกับพูดไม่ออก ครั้นจะไปเอาเรื่องกับอวิ๋นก็ใช่ที่ เพราะอีกฝ่ายมีอายุมากกว่าตนเองนับพ่อได้เลยด้วยซ้ำ แถมคุณยายก็สั่งห้ามไม่ให้ไปเอาเรื่องกับอวิ๋นอีกด้วย “คุณยายบอกว่าอยากจะเจอกับเพื่อนๆทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย”

พอนพพูดจบ เขาก็หยุดพิมพ์ก่อนจะถอนหายใจเฮือกด้วยความเหนื่อยอ่อน ซึ่งคนเป็นภรรยาอย่างมีนาเห็นท่าทางของสามีแล้วก็รู้ได้เป็นอย่างดีว่าคนรักกำลังไม่สบายใจเรื่องคุณยายอยู่อย่างแน่นอน

“เดี๋ยวผมขอตัวไปโทรศัพท์หาคนอื่นก่อนนะมีนา”

“ค่ะ”

แล้วนพก็โทรหาทุกคน ซึ่งเพื่อนๆก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีว่าจะขึ้นเครื่องบินมาหาเขาถึงจังหวัดพิษณุโลกในวันพรุ่งนี้เช้า พอตกกลางคืนนพกลับเข้าไปดูข้อความอีกครั้ง ซึ่งผลปรากฏว่าอวิ๋นได้ส่งเมล์บอกเขาว่าจะมาถึงประเทศไทยตอนตีสอง โดยจะขึ้นเครื่องบินสองต่อมาลงที่จังหวัดพิษณุโลก ดังนั้นนพจึงต้องขับรถไปรับอวิ๋นตอนตีสาม ซึ่งแน่นอนว่านพไปรับอวิ๋นที่สนามบินในเวลานั้นจริงๆ หากแต่อวิ๋นไม่ได้มาเพียงคนเดียว ยังได้สอยอาเฟยห้อยตามมาด้วยอีกคน

“น้องราตรี ไม่สิ คุณจันทร์แรมนอนหลับไปแล้วใช่ไหมปฐพี” อวิ๋นถามทันทีที่ได้ขึ้นมานั่งในรถยนต์ของนพแล้ว

“เรียกผมว่านพตามเดิมเถอะครับคุณอวิ๋น” นพบอกพลางจับกระจกมองหลังให้เข้าที่ ก่อนจะหันหลังไปพูดกับอวิ๋นที่นั่งอยู่ด้านหลังคนขับ “ตอนนี้คุณยายหลับไปแล้วครับ คาดว่าจะตื่นอีกทีก็ตอนเก้าโมงเช้า”

แล้วนพก็หันหลังกลับก่อนจะสตาร์ทรถพาอวิ๋นกับอาเฟยกลับไปบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้ว นพก็ให้ทั้งคู่ได้นอนพักในห้องรับแขก ก่อนที่ตัวเองจะขอตัวไปนอนพักเอาแรงบ้าง รุ่งเช้าต่อมา นพก็ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าขับรถไปรับพวกเพื่อนๆที่นั่งเครื่องบินตามมาทีหลัง นพยืนรอจุดผู้โดยสารขาออกได้ไม่นาน ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข็นกระเป๋าสัมภาระออกมาด้วยพร้อมกัน ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากพวกเพื่อนๆในเกม

“อ้าวแล้วอเลนล่ะ ไม่ได้มาด้วยหรือ” นพถามอย่างสงสัย ซึ่งโชคยังดีที่เพื่อนๆเคยส่งรูปของตัวเองมาให้เขาดู จึงทำให้นพสามารถทักเพื่อนได้โดยไม่หน้าแตก แล้วคำถามของนพทำให้ชายหนุ่มหน้าเข้มผมสั้นรองทรงในคราบเสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงยีนส์สีเทาตอบกลับมาว่า

“เข้าห้องน้ำนะนพ เดี๋ยวก็เดินตามมา”

“อืม งั้นพวกเราก็รออเลนกันตรงนี้ก่อนแล้วกันศาสตรา” นพพูดพลางเสตามองพรรคพวกในเกมเป็นครั้งแรก จะมีแต่ศาสตรา พิภพ และธิดาเท่านั้นที่เขาเคยเห็น ส่วนอเลน งุ้งงิ้ง คอเบียร์ หงส์หยก และปลานั้นเขาไม่เคยเจอหน้าซักที เห็นแต่ในรูปที่พวกนั้นส่งมาเท่านั้น หากแต่พวกเขาดันใช้ชื่อจริงลงไปในเกมด้วย ก็เลยทำให้นพไม่ต้องจำว่าคนนี้ชื่ออะไรบ้าง จะยกเว้นก็แต่ธิดาที่ไม่ได้เป็นผู้หญิงจริงๆ ส่วนชื่อในเกมนั้นเจ้าตัวบอกว่าเป็นชื่อของแม่ที่เสียไปเมื่อสิบปีที่แล้ว

“สวัสดีฮะพี่ปฐพี ผมงุ้งงิ้งนะฮะ ส่วนนี่ก็คอเบียร์” เด็กหนุ่มวัยรุ่นผมสั้นเกรียนติดหนังหัวมาในคราบเสื้อยืดคอวีสีเทากางเกงยีนส์ขายาวยกมือขึ้นกล่าวสวัสดีนพพร้อมกับแนะนำอีกคนที่เป็นเด็กหนุ่มสูงกว่าหน่อย ผมสีน้ำตาลประกายทองยาวปะบ่า สวมเสื้อคอวีสีขาวกางเกงยีนส์สามส่วนยืนฉีกยิ้มยกมือขึ้นไหว้ด้วยเช่นกันกับงุ้งงิ้ง

“สวัสดีฮะพี่ปฐพี”

“สวัสดีน้องงุ้งงิ้ง น้องคอเบียร์” นพยกมือขึ้นไหว้รับเด็กๆ ก่อนจะพูดต่อ “เอ่อ พวกน้องไม่ต้องเรียกพี่ว่าปฐพีหรอกนะ พี่ชื่อนพ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ”

“ฮะคุณป๋านพของคริสตัล” งุ้งงิ้งพูดหยอกกลับ แต่คนโดนหยอกไม่เล่นด้วย จึงย้อนกลับไปว่า

“เฮ้ย น้อยๆหน่อย”

คอเบียร์เห็นท่าไม่ดีจึงพูดเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ใจเย็นครับคุณลุง งุ้งงิ้งเค้าก็พูดหยอกคุณลุงเล่นเท่านั้นเอง อย่าคิดมากเลยนะฮะ”

นพได้ยินที่คอเบียร์พูดถึงกับใจเสีย

นี่เราแก่ถึงขนาดเด็กเรียกเราว่าลุงแล้วรึเนี่ย

“นพ” ร่างสูงผมยาวปะบ่าในคราบเสื้อกั๊กกางเกงแสลกเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับเรียกชื่อไปด้วย “แล้วน้องราตรี ไม่สิ คุณจันทร์แรมเป็นยังไงบ้าง”

“ก็มีไข้บ้างเป็นบางครั้งแต่ตอนนี้ก็ลดลงแล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกธิดา เอ้ย ธีม” ธีมหรือธิดาในเกมยิ้มเมื่อเห็นว่านพเรียกชื่อเขาผิดไป แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับไป

“งั้นก็ดี เพราะวันนี้ฉันจะได้ทำอาหารให้คุณจันทร์แรมได้ทานบ้าง” ธีมบอกเหตุผลของตัวเอง “ว่าแต่ท่านทานได้แต่ของอ่อนๆใช่ไหมล่ะนพ ฉันจะได้ทำอาหารได้ถูก”

“อืม แต่ถ้านายจะทำล่ะก็ ต้องถามคุณอวิ๋นก่อนล่ะ เพราะขานั้นคิดจะทำอาหารให้คุณยายทานด้วย” นพตอบ ซึ่งธีมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วพวกเขาก็รอได้ไม่นานนัก อเลนซึ่งเป็นลูกครึ่งอังกฤษก็เดินกลับออกมาจากห้องน้ำ ก่อนนพจะพาทุกคนนั่งรถยนต์กลับไปบ้านของเขาทันที

.......................................................

เมื่อนพพาทุกคนมาถึงบ้านแล้ว นพก็ได้แนะนำแม่กับภรรยาของตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก

“แล้วคริสตัลละฮะ” สองหนุ่มเฟรชชี่ถามอย่างสงสัย

“อ๋อ ลูกแก้วเค้าไปปลุกคุณทวดนะจ้ะ” มีนาตอบยิ้มขำขันเมื่อได้ยินชื่อของลูกสาวตัวเองที่ใช้ในเกม ซึ่งทำให้สองหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ แถมได้รู้ชื่อจริงของคริสตัลไปด้วยพร้อมกัน “เดี๋ยวก็มาพร้อมกับพี่ฟางที่เป็นนางพยาบาลน่ะ”

“แล้วพี่เมฆา เอ้ย คุณอวิ๋นละฮะ”

“อ๋อ ทำอาหารเช้าอยู่ในครัวนะ จะเข้าไปทักทายเขาหน่อยไหมล่ะจ้ะ” รุ้งพูดตอบแทนมีนา ซึ่งทำเอาทุกๆคนพยักหน้าเพราะอยากจะไปเห็นตัวตนจริงของเมฆา แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไปในครัว เสียงใสเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้นมาจากชั้นสอง

“คุณทวดค่อยๆเดินนะคะ เดี๋ยวจะหกล้มตกบันได”

“อืม”

ทุกคนเงยหน้ามองไปยังบันไดเห็นสามร่างเดินลงมา ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงในชุดพยาบาลกับเด็กสาววัยสิบขวบในชุดตุ๊กตาสีชมพู ส่วนคนกลางที่ถูกประคองให้เดินลงมาด้วยพร้อมกันนั้น เป็นหญิงวัยชราอายุราวประมาณแปดสิบเก้าสิบเห็นจะได้

“โธ่ ลูกแก้ว นี่ลูกพาคุณทวดเดินลงมาทำไม ลูกก็รู้อยู่ว่าคุณทวดลุกขึ้นเดินไม่ไหวแล้ว” นพพูดบ่นอย่างหัวเสีย หากแต่จันทร์แรมที่เดินลงมาถึงชั้นล่างพร้อมกับแก้วและฟางแล้วกลับหยุดเดินก่อนจะตวาดเสียงใส่

“ฉันอยากจะลงมาเองล่ะตานพ ยัยแก้วไม่เกี่ยว” แล้วจันทร์แรมก็หันไปมองเพื่อนๆที่ยืนมองเธอด้วยความตกตะลึง “เอ่อ ผม ไม่สิ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ปิดบังทุกคน คงจะรังเกียจมากสินะที่เห็นฉันไม่ใช่เด็กผู้ชายเหมือนในเกมแต่เป็นหญิงแก่โรคจิตคนหนึ่งที่เล่นเกมเป็นตัวผู้ชายนะ”

เพื่อนๆที่ทำหน้าตะลึงได้ยินที่จันทร์แรมพูดก็รีบส่ายหน้ากันเป็นพัลวัน

“ไม่เลย ไม่ได้รังเกียจเลยซักนิด” ทุกคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งโชคดีที่นพได้บอกเรื่องตัวจริงของราตรีให้ทุกคนรู้ล่วงหน้าก่อนสองเดือนแล้ว และนอกจากนี้ไม่มีใครคิดจะรังเกียจราตรีที่เป็นผู้หญิงมาเล่นในตัวผู้ชายเลยด้วยซ้ำไป ส่วนคนฟังเมื่อได้รับคำตอบจากเพื่อนๆแล้ว สีหน้าก็ดีขึ้นกว่าเดิมราวกับเก็บความคิดนี้ไว้นานพอสมควร

“ขอบใจนะ ขอบใจจริงๆ” แล้วจันทร์แรมก็เอ่ยปากชวนทุกคนให้ร่วมรับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน แต่ในขณะที่ทุกคนนั่งคุยกันถึงเรื่องเกมอย่างสนุกสนานระหว่างรออวิ๋นทำอาหาร (งานนี้มีลูกมือหลายคนที่เข้าไปตามช่วยอวิ๋นในครัวด้วย) จู่ๆก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น “นั่นใครมานะตานพ ลองออกไปดูหน่อยซิ”

จันทร์แรมบอก ซึ่งนพพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปดูหน้าประตูรั้วที่ข้างนอกบ้าน แล้วจันทร์แรมกับทุกคนนั่งคุยกันได้ไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงนพก็ร้องดังออกมาจนทุกคนลุกขึ้นด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นหรือตานพ ร้องเสียงดังซะทุกคนตกอกตกใจกันหมดแล้วนะ” จันทร์แรมบ่นพลางเดินเนิบนาบโดยมีงุ้งงิ้งกับคอเบียร์คอยช่วยพยุงแขนด้วย ส่วนคนอื่นๆไม่ต้องพูดถึง ต่างวิ่งออกมาดูพร้อมกับจันทร์แรมทันทีที่ได้ยินเสียงของนพ ครั้นพอจันทร์แรมเดินออกมาในระยะสายตาพอจะเห็นนพกับคนที่มากดกริ่งแล้ว ถึงกับตะลึง เพราะภาพเบื้องหน้านั้นเป็นชายหนุ่มสามคนยืนยิ้มโบกมือให้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนที่ทุกคนไม่คิดว่าจะออกมาจากในเกมเรียลได้

“ปิเอโร่!!”

“ขอรับท่าน” ปิเอโร่ขานรับยิ้มๆพลางเหล่มองอวิ๋นที่ยืนถือตะหลิวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอย่างพึงพอใจ “กระผมปิเอโร่เองขอรับ ต้องขออภัยที่มาโดยมิได้บอกกล่าว”

ส่วนอีกสองหนุ่มนั้นทุกคนไม่รู้จักหน้าค่าตา หากแต่จันทร์แรมได้สังเกตมองดูคนฝั่งขวาของปิเอโร่แล้วถึงกับร้องอุทานเสียงดังลั่น

“พี่ปริ๊นซ์!” คำว่าพี่ปริ๊นซ์ทำเอาทุกคนหันไปมองจันทร์แรมพร้อมกัน

“คุณยายรู้จักเขาด้วยหรือครับ” นพถามอย่างสงสัย ซึ่งจันทร์แรมพยักหน้าก่อนจะพูดตอบกลับไปว่า

“เขาเป็นคนที่ช่วยยายกับมาริโอเอาไว้ตอนที่เจอฝูงหนอนยักษ์รุมนะ” ครั้นพอจันทร์แรมพูดจบ อวิ๋นถึงกับสะดุ้งไปอีกรอบ

“งั้นที่คุณจันทร์แรมกับมาริโอหนีรอดมาได้นี่ก็เพราะผู้ชายคนนี้ได้ช่วยเหลือเอาไว้อย่างงั้นหรอกหรือครับ” อวิ๋นพูดอย่างคาดเดา

“ค่ะ คนนี้แหละที่ช่วยดิฉันไว้” จันทร์แรมตอบอวิ๋นก่อนจะหันหน้ากลับไปทางเดิม “ว่าแต่พวกคุณมีธุระอะไรหรือคะ อย่าบอกนะว่ามาเยี่ยมดิฉันนะ”

สามหนุ่มยิ้มให้กันก่อนที่คนซ้ายมือสุดจะหันมาตอบกับเธอว่า

“ใช่แล้วครับ พวกผมมาเยี่ยมคุณครับ คุณจันทร์แรม” สุดท้ายแล้วจันทร์แรมจึงเชิญสามหนุ่มให้เข้ามาร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน โดยที่สองหนุ่มไม่ลืมที่จะแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จักกันอีกครั้ง ซึ่งทำเอาคนฟังถึงกับอ้าปากค้างเป็นรอบที่สอง แถมนอกจากนี้ดนัยเทพกับปริญก็ได้เล่าเรื่องโปรเจคย้อนวัยให้ทุกคนได้ฟังอีกด้วย

“ให้ตายสิ พวกคุณนี่เล่นอะไรก็ไม่รู้ เล่นเอาคุณยายของผมไปทดลองโดยไม่บอกก่อนล่วงหน้า แบบนี้ผมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องได้นะคุณ” นพพูดด้วยความฉุนเฉียว ซึ่งทำเอาดนัยเทพกับปริญได้แต่ยิ้มรับอย่างจนใจ

“ไม่เอาน่านพ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น” ธีมหันมาพูดปลอบใจเพื่อน “แล้วอีกอย่างโปรเจคนี้ก็เป็นการสุ่มไอดีด้วย ฉะนั้นคุณจันทร์แรมได้ไปก็เป็นความบังเอิญที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น จริงไหมครับคุณดนัยเทพ คุณปริญ”

“จริงครับ ของพวกนี้ขึ้นอยู่กับการสุ่มของเครื่องเกม แล้วอีกอย่างพวกผมก็คอยจับตาดูคุณจันทร์แรมอยู่ทุกเวลา แทบไม่ได้หลับได้นอนเลยด้วยซ้ำครับ” ดนัยเทพตอบพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อเล็กน้อย

“นายเองก็เหมือนกันธีม” นพหันไปพูดอย่างเอาเรื่อง “รู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่บอกกันบ้างเลยนะ ปล่อยให้ฉันเป็นห่วงคุณยายแทบแย่”

ธีมยิ้มแห้งๆเมื่อโดนนพดุ หากแต่จันทร์แรมกลับใช้ไม้เท้ายกขึ้นตีหัวนพหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

“ไม่ต้องไปว่าธีมหรอก เรื่องนี้ยายเป็นคนบอกให้ธีมปิดบังเรื่องนี้เองแหละ” จันทร์แรมพูดพลางถอนหายใจเฮือก “ยายอยากจะลองมีชีวิตแบบเด็กทารกดูก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหลานเลยซักนิดเดียว หรือว่าแกเห็นว่าไม่ดีล่ะตานพ”

นพยิ้มแห้งๆพลางเอามือลูบหัวที่ปูดบวมจากการโดนจันทร์แรมฟาด แล้วหลังจากนั้นปิเอโร่ก็ได้สารภาพว่าตัวเองนั้นเป็นผู้เล่นคนหนึ่งเหมือนกัน หากแต่ขอจีเอ็มไว้ว่าจะเป็นมอนสเตอร์ แต่ไปมากลับต้องเป็นทาสรับใช้ของเมฆาหรืออวิ๋นเสียจนได้

“แล้วอีกอย่างกระผมไม่ได้ชื่อปิเอโร่นะขอรับ” ปิเอโร่บอกเสียงเง้างอน “กระผมชื่อลาสก์ ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ”

แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็ได้รู้ประวัติความเป็นมาของลาสก์จากปากเจ้าตัว ซึ่งทำให้ทุกคนได้รู้คร่าวๆว่าลาสก์เป็นคนป่วยคนหนึ่งที่ทางเกมรับไว้ดูแลอยู่เกือบตลอดเวลา และนอกจากนี้ลาสก์ยังมีคนรักชื่อว่ามาเรียอีกด้วย แต่เธอคนนั้นป่วยเป็นเจ้าหญิงนิทรา ซึ่งเธอได้รับการรักษาโดยการเข้ามาเล่นเกมในเกมเรียลไลฟ์อีกด้วย ซึ่งทำให้ลาสก์ต้องตามสอยเข้ามาเล่นกับมาเรียจนกระทั่งอีกฝ่ายลาลับโลกไป

“แล้วฉันก็มาเจอนายที่เกาะสุสานร้างนั่นพอดี” เมฆาหรืออวิ๋นพูดต่อทันทีที่ได้ฟังลาสก์พูดจนจบ

“ใช่แล้วขอรับ” ลาสก์ตอบยิ้มๆ หากแต่นัยน์ตากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย “เพราะกระผมไม่มีที่ไป แถมคุณอวิ๋นก็พูดจนกระผมคิดได้ กระผมจึงขอตามคุณเป็นทาสรับใช้ยังไงล่ะขอรับ”

คำพูดของลาสก์ทำเอาอวิ๋นเอามือตบหน้าผากด้วยความกลัดกลุ้ม แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นก็ยังยินดีที่อีกฝ่ายคิดปลงกับชีวิตของคนรักที่เสียไปได้

“แต่ไหนๆกระผมก็ออกมาจากเกมทั้งทีแล้ว กระผมคงไม่อยากให้อีกคนต้องน้อยหน้าหรอกนะขอรับ” ลาสก์หรือปิเอโร่พูดเกริ่นขึ้น ซึ่งทำเอาทุกคนนึกสงสัยว่าลาสก์จะทำอะไรกันแน่ แต่แล้วลาสก์ก็หันไปพยักหน้าให้กับดนัยเทพและปริญ ทั้งสองคนเดินกลับไปที่รถยนต์ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับกล่องใหญ่ประมาณครึ่งตัวของแก้วออกมาแกะ แต่ในระหว่างที่ดนัยเทพกับปริญกำลังแกะกล่องนั้น ลาสก์ได้พูดต่อว่า “กระผมใช้เวลานานอยู่เลยทีเดียว กว่าจะไปขอร้องผู้อำนวยการของเกมนี้ให้ทำตามคำขอได้ ต้องเดินเข้าๆออกๆบริษัทเกมเป็นว่าเล่น แถมต้องเสียเงินตั้งเป็นแสนกว่าจะทำสำเร็จ”

เมื่อลาสก์พูดจบ พวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาดูดนัยเทพกับปริญแกะกล่อง จนกระทั่งฝากล่องหลุดออกจากกันแล้ว ซึ่งทำเอาทุกคนที่จ้องมองถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“มาริโอ!”

...........................................

ร่างของมาริโอนั่งหลับตาในท่าขัดสมาธิ หากแต่ด้านหลังของมาริโอกลับเต็มไปด้วยสายไฟนับสิบกว่าเส้นได้

“ผมวานคุณนพให้เอาตัวเชื่อมต่อเกมมาให้หน่อยได้ไหมครับ พอดีผมต้องการมาเสียบเพื่อเชื่อมต่อนะ” ปริญถามนพ ซึ่งชายหนุ่มพยักหน้าตอบแทนคำพูดก่อนจะวิ่งหายออกไปจากห้องรับแขก สักพักก่อนจะวิ่งกลับมาพร้อมกับเครื่องเชื่อมต่อเกม “ขอบคุณครับ ถ้ายังไงช่วยกรุณารอสักครู่ด้วย เพราะนี่เป็นงานวิจัยครั้งแรกที่ผมทำมันขึ้นมา”

แล้วปริญก็ลงมือต่อเครื่องด้วยตนเอง โดยที่ดนัยเทพกับทุกคนได้แต่ยืนจ้องดูเพียงอย่างเดียว แล้วเวลาผ่านไปได้สิบนาที ปริญก็หยุดมือก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินถอยออกห่างสองก้าวได้

“ผมจูนเครื่องเรียบร้อยแล้วครับ ทีนี้ก็รอดูกันว่าจะสำเร็จไหม” ปริญพูดจบ ทุกคนต่างหันไปมองมาริโอด้วยความลุ้นระทึก ถึงแม้จะไม่เข้าใจกับสิ่งที่ปริญทำก็ตามที แต่ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยจนกระทั่งร่างของมาริโอที่นั่งเป็นหุ่นก็เริ่มขยับไหวตัว ก่อนแพขนตาของมันจะขยับไหวสองสามรอบแล้วลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าพร้อมกับคำพูดที่คุ้นหู

“แม่งรอนานจนเผลอหลับไปแล้วนะเนี่ยไอ้ปิเอโร่ ไหนว่าจะช่วยข้าออกมาหารัตติที่มิติโลกคู่ขนานยังไงละวะ สงสัยมันหลอกเราแหงๆเลย”

ดูท่ามาริโอจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวมันนั้นได้หลุดออกมาจากโลกแห่งเกมแล้วจริงๆ!

“ข้าจะไปหลอกเจ้าทำไมกันล่ะไอ้เห็ดเน่า” ปิเอโร่หรือลาสก์พูดหยอกกลับแบบกวนๆใส่ หนำซ้ำยังสาวเท้าเดินเข้าไปนั่งลงยองตรงหน้ามาริโออีกด้วย “ลองหลับตาอีกครั้งแล้วก็เบิกตาดูให้ดีๆล่ะ ว่าโลกที่เจ้าเคยอยู่เมื่อครู่นี้มันเปลี่ยนไปแล้วนะ”

ว่าแล้วลาสก์ก็ปิดท้ายด้วยการทุบหัวมันเบาๆก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินถอยหลังออกห่าง ซึ่งทำเอามาริโอที่กำลังสับสนอยู่นั้น รีบหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง

“จริงด้วย! ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ข้าเคยอยู่แล้วจริงๆ” มาริโอแผดเสียงอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นผู้คนแปลกหน้ายืนรายล้อมตัวมัน ก่อนจะไปชะงักเมื่อเห็นปิเอโร่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ “รัตติอยู่ไหนล่ะปิเอโร่ ข้าแทบอยากจะเจอรัตติแทบแย่อยู่แล้วนะ!”

ปิเอโร่หรือลาสก์เชิดหน้ามาทางจันทร์แรม ซึ่งทำให้มาริโอรีบหันไปมองตามก่อนจะทำท่าตกใจ

“เฮ้ย! รัตติกลายเป็นอีแก่ไปแล้ว!!”

โป๊ก!

ไม้เท้าของจันทร์แรมลอยกระเด็นเข้ามาโดนหัวมาริโอเข้าจังๆ

“ปากเสียเหมือนเดิมไม่มีผิดเลยนะมาริโอ จำที่ข้าสอนไม่ได้แล้วรึไงว่าให้พูดจาเพราะๆนะ” เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสับสน จันทร์แรมจึงเลือกใช้คำพูดที่เคยอยู่ในเกมแทน ส่วนมาริโอนั้นพอได้ยินที่จันทร์แรมพูดแล้ว มันก็มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใช่เจ้าจริงๆแน่รึรัตติ ทำไมดูไม่เหมือนเจ้าคนเดิมเลยซักนิดล่ะ” มาริโอถามอย่างสงสัย ซึ่งจันทร์แรมยักไหล่ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ก็แหงล่ะ เพราะที่นี่คือมิติโลกคู่ขนาน แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อล่ะก็ ลองโดนแส้ของข้าซักหน่อยไหมล่ะ สติสะตังจะได้กลับมาซักที” มาริโอได้ยินที่จันทร์แรมพูดแล้ว ถึงกับรีบส่ายหน้าอย่างเร็ว

“ไม่ล่ะ ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าคือรัตติตัวจริง”

“แล้วลาสก์ไม่ได้ชวนพี่หยางชุนหลานกับพี่เทียนหลงมาด้วยรึ” จันทร์แรมถามอย่างสงสัย เพราะเธอไม่เห็นสองคนนั้นมาด้วย ซึ่งแทนที่ลาสก์จะตอบ กลับเป็นดนัยเทพยกมือขึ้นตอบคำถามของเธอแทน

“ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับทุกคนครับ” ดนัยเทพพูดยิ้มๆก่อนจะพูดต่อไปว่า “พอดีหยางชุนหลานกับเทียนหลงเป็นเอ็นพีซีที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ไว้สำหรับช่วยเหลือผู้เล่นในโครงการยามฉุกเฉิน โดยทางเราได้ใช้ข้อมูลบางส่วนจากราชามังกรกับนางพญามังกร จึงทำให้ทั้งคู่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือเมฆาในร่างปีศาจได้สบายๆ ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่มีตัวตนในโลกจริงครับ”

พอดนัยเทพพูดจบ ทุกคนถึงกับร้องอ้อเป็นเชิงเข้าใจกันหมด ยกเว้นมาริโอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำสีหน้างุนงง

..........................................

หลังจากนั้นทุกคนก็ได้สนุกสนานเฮฮาตามประสาคนไม่เจอกันนาน โดยเฉพาะจันทร์แรมที่ไม่ได้เข้าเกมนานนั้นรู้สึกสนุกสนานมากเป็นพิเศษ พอตกบ่ายจันทร์แรมได้ชักชวนให้ทุกคนไปยังที่โรงฝึกซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านของเธอ

“คุณยายคิดจะทำอะไรหรือครับ” นพถามอย่างสงสัยในขณะให้สัญญาณกับฟางที่เป็นพยาบาลให้ไปตระเตรียมอุปกรณ์ยามาให้พร้อม

“เดี๋ยวก็รู้กัน” จันทร์แรมตอบก่อนจะพาทุกคนเข้าไปยังในโรงฝึกที่ไม่ได้เข้ามานานเกือบสามสิบปี ทันทีที่ประตูถูกเปิด เผยให้เห็นห้องไม้สี่เหลี่ยมกว้างๆธรรมดา หากแต่ห้องหับเต็มไปด้วยฝุ่นหยากไย่ “สกปรกแบบนี้คงทำให้ดูไม่ได้ แม่รุ้งแม่มีนา ช่วยจัดการห้องนี้ให้สะอาดทีได้ไหม เอาแบบพอใช้ได้นะ อย่านานล่ะ เพราะฉันขี้เกียจรอ”

“ค่ะคุณแม่/คุณยาย” แล้วรุ้งกับมีนาก็ลงมือทำความสะอาดทันที ส่วนพวกจันทร์แรมก็ไปนั่งรอที่สวนดอกไม้ที่อยู่ใกล้ๆโรงฝึกนี้ หลังจากผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงรุ้งกับมีนาก็ได้ทำความสะอาดจนเสร็จ

“ตานพ ไปเอาดาบประจำตระกูลมาซิ” จันทร์แรมบอก ซึ่งทำเอานพกับทุกคนถึงกับงุนงง

“อะไรนะครับคุณยาย” นพถามอีกครั้ง ซึ่งทำเอาจันทร์แรมเอาไม้เท้ามาตีหัวนพหนึ่งที

“นี่แน่ะ ฉันบอกว่าให้ไปเอาดาบประจำตระกูลมา” จันทร์แรมพูดพลางส่ายหน้ากับความซื่อบื้อของหลานชายตัวเอง “เอามาสองเล่มนะ เข้าใจไหมตานพ” พอได้ยินชัดถ้อยชัดคำแล้ว นพก็เข้าใจแล้วว่าคุณยายต้องการอะไร

“ไม่ได้นะครับคุณยาย! คุณยายแก่มากแล้ว ผมไม่อยากให้คุณยายล้มป่วยไปมากกว่านี้” เมื่อนพพูดจบ ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าจันทร์แรมต้องการอะไร

“ถูกของนพ ผมว่าคุณอย่าทำอะไรเกินตัวจะดีกว่านะครับ” อวิ๋นเข้ามาพูดห้ามอย่างเป็นกังวล เพราะต่างรู้ดีว่าสุขภาพของจันทร์แรมจะแย่หากฝืนใช้ดาบในตอนนี้ “ถ้าขืนคุณใช้ดาบในตอนนี้ ผมเกรงว่าคุณจะ…”

“คุณอวิ๋นไม่อยากเห็นวิชาดาบลับขั้นสุดยอดของซินแซหรือยังไงคะ” จันทร์แรมพูดแทรก ซึ่งทำเอาอวิ๋นถึงกับขมวดคิ้ว

“อะไรนะครับคุณจันทร์แรม ผมฟังไม่ชัด”

วิชาดาบลับขั้นสุดยอด” จันทร์แรมตอบย้ำอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “วิชานี้นอกจากดิฉันกับนรินทร์แล้ว ซินแซไม่เคยสอนให้ใครอีกเลย”

“อะไรที่ทำให้คุณจันทร์แรมมั่นใจได้ว่าซินแซไม่เคยสอนนะครับ” อวิ๋นถามอย่างสงสัย

“ก็มั่นใจตั้งแต่ดิฉันได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคุณอวิ๋นในสงครามตอนอยู่ในเกมนะสิคะ” จันทร์แรมตอบพลางถอนหายใจแรงๆ “เพราะถ้าหากคุณเคยเรียนท่าดาบลับสุดยอดกับซินแซแล้วล่ะก็ คุณคงจะนำท่าดาบนี้ขึ้นมาใช้กับพวกบอสปีศาจในเกมไปนานแล้ว ฉะนั้นดิฉันจึงมั่นใจว่าคุณไม่เคยเรียนท่านี้มาก่อนอย่างแน่นอนค่ะ”

เมื่อพูดจบ จันทร์แรมก็ไล่นพให้ไปหยิบดาบประจำตระกูลมาอีกครั้ง ซึ่งทีแรกนพก็อิดออดไม่ยอมไปเอามา หากแต่โดนสายตาของจันทร์แรมที่จ้องมองมา ทำให้นพจำยอมเดินกลับไปเอาดาบมาให้แต่โดยดี

.............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 68 สิ้นสุดสงคราม (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 06-03-2015 12:29:56
 :mew2:  ไม่อยากให้จบเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทที่ 69 พบหน้า (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 06-03-2015 12:57:17
บทสรุป

...................................

หลังจากที่จันทร์แรมใช้นพให้ไปเอาดาบแล้ว นพก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับดาบสองเล่มในมือ

“คุณยายแน่ใจแล้วหรือครับว่าจะใช้ดาบนะ” นพถามย้ำอีกรอบอย่างเป็นกังวล แต่ก็ยังไม่ยอมยื่นส่งดาบให้เธอ “ผมกลัวว่าอาการคุณยายจะทรุดลง”

หากแต่จันทร์แรมไม่ฟัง กลับคว้าดาบทั้งสองเล่มออกมาจากมือของนพอย่างเร็ว

“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นสิตานพ” จันทร์แรมบ่นก่อนจะส่งดาบให้อวิ๋น ซึ่งทำเอาคนรับมองดาบด้วยความมึนงง “รับไปสิคะคุณอวิ๋น อย่าบอกนะว่าลืมวิธีการใช้ดาบไปแล้วนะค่ะ”

จันทร์แรมพูดแซว ซึ่งทำเอาคนฟังยิ้มแห้งๆ

“ไม่ได้ลืมหรอกครับ” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “ทำไมต้องให้ผมถือดาบด้วยล่ะครับ คุณจันทร์แรมจะแสดงวิชาดาบลับขั้นสุดยอดให้ผมดูเฉยๆไม่ใช่รึไงครับ”

จันทร์แรมได้ยินดังนั้นก็รีบส่ายหน้าทันที

“ไม่ใช่แค่แสดงให้ดู แต่ดิฉันจะสอนวิชาดาบนี้ให้คุณอวิ๋นตั้งหากล่ะคะ” พอจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนถึงกับร้องอุทานด้วยความตกใจ

“สอนดาบหรือครับ?!” อวิ๋นพูดอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ “ผมว่าอย่าเลยจะดีกว่า ผมคงไม่เหมาะที่จะเรียนวิชานี้หรอกครับ”

“เหมาะไม่เหมาะนั้นดิฉันจะเป็นคนตัดสินเองค่ะ เพียงแค่คุณอวิ๋นทำตามที่ดิฉันบอกก็พอ”

“แต่ผมเกรงว่า....”

“ดิฉันไม่ต้องการได้ยินคำว่าเกรงใจ” จันทร์แรมพูดแทรก ซึ่งทำเอาอวิ๋นอ้าปากค้าง “ที่ดิฉันสอนก็เพื่อไม่ต้องการให้วิชาการต่อสู้ของซินแซสูญหายไปตั้งหากค่ะ แล้วอีกอย่างดิฉันต้องการให้คุณอวิ๋นกับตานพได้สืบทอดวิชานี้ต่อด้วย”

“อะไรนะครับ ผมก็ต้องเรียนวิชานี้ด้วยงั้นหรือครับคุณยาย” นพพูดอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่แล้วนพ ยายจะให้หลานได้เรียนวิชานี้จากคุณอวิ๋นหลังจากที่ยายได้สอนเขาเสร็จแล้วนะ” จันทร์แรมหันมาตอบนพก่อนจะวกสายตากลับไปที่อวิ๋นตามเดิม “ขอความกรุณาช่วยจดจำท่าที่ดิฉันสอนให้ดีนะคะคุณอวิ๋น เพราะดิฉันคงทำให้คุณดูได้เพียงครั้งเดียว...ครั้งเดียวจริงๆ”

ครั้งเดียวที่จะทำให้ดูได้...

เพราะไม่แน่ใจว่าหลังจากทำเสร็จแล้ว ตัวเธอจะเป็นยังไงเนี่ยสิ


จันทร์แรมคิดอย่างหนักใจ หากแต่เธอกลัวทุกคนเป็นห่วงจึงแสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มออกมา

“ถ้าไม่ตอบก็เป็นอันว่าตกลงนะคะคุณอวิ๋น” จันทร์แรมพูดพลางปล่อยดาบลงบนมือของอีกฝ่าย ก่อนจะปล่อยไม้เท้าออกแล้วเดินเข้าไปในห้องฝึกราวกับคนปกติดีไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อน “มาสิคะคุณอวิ๋น มาเตรียมรับการถ่ายทอดวิชาจากดิฉัน ส่วนนพกับคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้อง ช่วยไปนั่งดูห่างๆหน่อยนะ เพราะฉันไม่แน่ใจว่าคมดาบของฉันจะไปโดนใครบ้างนะ”

เมื่อจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนต่างเดินเข้าไปในห้องก่อนจะนั่งลงพับเพียบที่ข้างกำแพงของห้อง ยกเว้นอวิ๋นที่เดินไปหาจันทร์แรม ซึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ใจกลางของห้องฝึก

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะคุณอวิ๋น เพราะดิฉันจะไม่ใช้ดาบด้านที่คม” จันทร์แรมบอกก่อนล่วงหน้า “ถึงไม่ใช่ด้านคม แต่มันก็สามารถทำให้คุณสลบได้ ดังนั้นขอให้คุณอวิ๋นได้เตรียมใจไว้ก่อนนะคะ”

“คะ…ครับ” อวิ๋นพูดตอบเสียงอ่อย ซึ่งทุกคนที่นั่งจ้องมองอย่างเงียบๆนั้นต่างลุ้นระทึกกับในสิ่งที่จะได้เห็นในต่อไปนี้ แล้วจันทร์แรมกับอวิ๋นก็ก้มหน้าทำความเคารพซึ่งกันและกัน ก่อนที่อวิ๋นกับจันทร์แรมจะเอาดาบออกจากฝักพร้อมกัน โดยอวิ๋นยกดาบขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อม ส่วนจันทร์แรมกลับยืนนิ่งปล่อยตัวตามสบาย ระหว่างที่จดจ้องกันและกัน ทุกคนได้เห็นเหงื่อเม็ดใหญ่ขึ้นบนหน้าอวิ๋นด้วย ครั้นพอทุกคนหันกลับไปมองจันทร์แรมอีกครั้ง กลับพบว่าอีกฝ่ายยืนในท่าสบายๆ ไม่มีอาการอึดอัดเหมือนที่อวิ๋นเป็นในขณะนี้

ฟุบ!

อวิ๋นเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นจันทร์แรมพุ่งตัวเข้ามาตวัดดาบใส่ ครั้นยกดาบรับ เขาก็รู้สึกว่าถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจนชาไปทั้งตัว ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย

..........................................

เมฆา…

เม…


“คุณอวิ๋น!” อวิ๋นลืมตาขึ้นโพล่งทันทีเมื่อได้ยินคนเรียก ก่อนจะเห็นจันทร์แรมนั่งยองอยู่ข้างเขา

“เฮ้อ ดิฉันนึกว่าคุณอวิ๋นจะสลบไปไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว สงสัยดิฉันจะออกแรงมากไปหน่อย”

“ไม่หรอกครับ ผมผิดเองที่รับดาบคุณไม่ได้จนสลบไป” อวิ๋นพูดพลางลุกขึ้นนั่งก่อนจะเห็นพวกเพื่อนๆนั่งล้อมเขามองดูด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่ท่าดาบที่คุณจันทร์แรมใช้เมื่อครู่นี้ เขาเรียกว่าอะไรงั้นหรือครับ ทำไมผมมองไม่เห็นดาบเลย”

จันทร์แรมยิ้มก่อนจะตอบกลับมาว่า

ดาบไร้ลักษณ์

“ดาบไร้ลักษณ์?”

“ค่ะ ดาบไร้ลักษณ์” จันทร์แรมตอบย้ำอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “มันเป็นดาบที่ไม่มีท่าตายตัว พลัง ความเร็ว นั่นคือเคล็ดลับของดาบไร้ลักษณ์ แต่ถ้าพูดให้ถูก…วิชานี้คือวิชาที่เอาไว้ใช้ฆ่าคนค่ะ”

พอจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนถึงกับอึ้ง

“ทำไม…ทำไมคุณจันทร์แรมถึงเอาวิชานี้มาสอนผมกับนพได้ล่ะครับ” อวิ๋นพูดด้วยความตกตะลึง “ในเมื่อมันเป็นดาบฆ่าคน ทำไมเซ็นแซถึงได้เอาวิชานี้มาสอนคุณกับแฟนของคุณได้ล่ะครับ เซ็นแซไม่กลัวว่าพวกเราจะเอาวิชานี้ไปใช้ในทางไม่ดีเลยรึครับ”

เมื่ออวิ๋นพูดจบ จันทร์แรมก็ส่ายหน้าไปมา

“ไม่เลยค่ะ เซ็นแซรู้ดีว่าพวกเราต้องไม่นำวิชานี้มาฆ่าคนอย่างแน่นอนค่ะ แล้วอีกอย่างดิฉันก็มั่นใจว่าคุณกับตานพต้องไม่เอาวิชานี้ไปใช้ฆ่าคนแน่ เพราะงั้นดิฉันถึงได้ตัดสินใจที่จะสอนวิชานี้ให้ยังไงล่ะคะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะพูดต่อ “ถ้าคิดในทางกลับกัน หากพวกเราใช้ดาบด้านที่ไม่คม วิชาดาบไร้ลักษณ์นี้ก็จะไม่เป็นวิชาที่ฆ่าคนอีกต่อไป แถมนอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้เพื่อป้องกันตัวเองหรือคนรักก็ย่อมได้ค่ะ”

ทุกคนรวมถึงอวิ๋นเมื่อได้รับทราบแล้วต่างพยักหน้าอย่างเข้าใจดี

“มิน่าล่ะ คุณจันทร์แรมถึงยอมลงทุนลงแรมสอนวิชานี้ให้ผมกับนพเพื่อการนี้นี่เอง”

“ค่ะ ถ้าคุณอวิ๋นเข้าใจแล้วดิฉันก็ค่อยโล่งอกหน่อย” จันทร์แรมพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวดิฉันจะไปเอาดาบมาก่อนนะคะ เพราะดาบที่คุณถือมันกระเด็นไปอยู่นู่นแล้ว”

จันทร์แรมเชิดหน้าไปด้านหลังของอวิ๋น ทำให้เขาต้องหันหลังกลับไปดูก่อนจะเห็นว่าดาบที่เขาเคยถือเมื่อครู่นี้มันปักอยู่ที่พื้นไม้ ซึ่งไม่ห่างจากจุดที่เขานั่งอยู่เท่าไหร่ ครั้นจันทร์แรมลุกขึ้นยืนแล้ว กลับเซล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาทุกคนที่กำลังหันไปมองดาบอยู่นั้นต้องรีบหันกลับมามองคนล้มทันที

“คุณจันทร์แรม/คุณยาย/คุณแม่/คุณทวด/รัตติ!”

หากแต่คนถูกเรียกกลับนอนแน่นิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน ซึ่งทำให้ฟางที่เป็นนางพยาบาลรีบเข้าไปดูอาการอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไหวค่ะ จากที่ใช้ดาบเมื่อครู่นี้ทำให้ชีพจรของท่านอ่อนลง ต้องนำส่งโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียวค่ะ” ฟางบอก ซึ่งทำให้นพพยักหน้าก่อนจะเข้ามาทำท่าอุ้มจันทร์แรมไปส่งโรงพยาบาล หากแต่คนล้มกลับคว้ามือของนพเอาไว้

“ไม่ต้องไป…ขอฉัน…นอน…ตาย…ที่บ้าน…ดีกว่า”

“คุณยาย!”

“ขอร้องล่ะ ขอฉันนอนอยู่ที่บ้าน…จนกว่าจะ…ถึงเวลา…นั้น” แล้วคนพูดก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ทำให้นพต้องบอกฟางให้เรียกหมอประจำตัวมาดูอาการคุณยายที่บ้านแทน ซึ่งพอหมอมาตรวจดูแล้วถึงกับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง เพราะอาการของจันทร์แรมหนักมากถึงขั้นเกินเยียวยาแล้ว หมอจึงทำได้เพียงแค่ให้น้ำเกลือก่อนจะบอกทุกคนให้เตรียมทำใจไว้ด้วย

“คงอยู่ได้ไม่ถึงพรุ่งนี้” นั่นคือคำบอกของหมอ ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับเศร้า แน่นอนว่าทุกคนอยู่เฝ้าจันทร์แรมไม่ห่างกายจนกระทั่งถึงเวลาตอนกลางคืนซึ่งเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง จันทร์แรมที่หลับไปนานแล้วก็ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณทวดฟื้นแล้วค่ะคุณพ่อ!” แก้วบอก ซึ่งทำเอาทุกคนที่นั่งหงอยเหงาถึงกับกระเถิบเข้าไปรุมล้อมจันทร์แรมที่นอนอยู่บนฟูกด้วยความเป็นห่วง ครั้นนพจะถามคุณยายว่าต้องการน้ำหรือยาดมไหม แต่คนป่วยกลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันรู้ตัวดีว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน ลูกรุ้งเอ๋ย จงอย่าเสียใจเลยถ้าหากแม่จากไป บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อของลูกเป็นคนเก็บหอมรอมริบสร้างขึ้นมาด้วยกับมือของตัวเอง ฉะนั้น ขอให้รักษาเอาไว้ให้ดี แม่ขอยกให้ยัยแก้วนะลูก”

“คุณแม่คะ อย่าเพิ่งพูดมากเลยค่ะ นอนพักผ่อนให้มากๆดีกว่านะคะ” รุ้งพูดไปเช็ดน้ำตาไปพลาง แต่ทว่าคนป่วยกลับไม่ยอมทำตามที่ลูกสาวของตัวเองบอก

“หมั่นทำบุญสร้างกุศลเข้าไว้ ตั้งตัวอยู่ในศีลในธรรม กุศลนั้นจะเป็นเหมือนแก้วคุ้มครองตน” จันทร์แรมพูดจบก็หันไปมองนพกับมีนาที่นั่งอยู่ข้างขวาของเธอ “นพ มีนา อย่าลืมคำอวยพรในวันแต่งงานที่ยายเคยให้ไว้นะลูก”

“ครับคุณยาย ผมกับมีนาจะทำตามที่คุณยายบอกอย่างแน่นอน” นพกัดฟันตอบด้วยความขมขื่น ก่อนที่จันทร์แรมจะหันไปมองแก้ว ซึ่งเอาแต่เช็ดน้ำตาไม่หยุดไม่หย่อน

“ยัยแก้วเอ๋ย เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่นะลูก ไม่มีใครรักหนูเท่าพ่อกับแม่ได้อีกแล้ว”

“ฮือๆ ค่ะคุณทวด” แก้วตอบเสียงสะอื้นไห้ จากนั้นจันทร์แรมจึงหันกลับไปที่นพอีกครั้ง

“ยายฝากมาริโอด้วยนะ ถึงมันจะเกรียน จะดื้อ แต่มันก็เป็นเด็กดี ยายเป็นห่วง กลัวว่าถ้าไม่มียายแล้วมันจะเกเร” จันทร์แรมพูดพลางหันไปมองมาริโอด้วยสายตาอ่อนโยน “นิสัยเกรียนๆก็เพลาลงหน่อยนะมาริโอ เจ้ายังต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง”

ครั้นจันทร์แรมพูดจบ มาริโอถึงกับร้องไห้น้ำตาไหล

“ไม่นะรัตติ เจ้าจะต้องไม่จากข้าไปไหน อยู่กับข้าตลอดนะรัตติ” จันทร์แรมได้ยินที่มาริโอพูดถึงกับส่ายหน้าไปมา ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบหัวมาริโออย่างแผ่วเบา

“ข้าไม่ได้ไปไหนหรอกมาริโอ ข้าจะอยู่ในเจ้าตลอดเวลา เชื่อข้าสิ”

“จริงนะรัตติ เจ้าไม่ได้โกหกข้านะ” มาริโอถามย้ำพลางสูดน้ำมูกที่ไหลย้อยแรงๆ “เจ้าจะอยู่กับข้าตลอดเวลานะรัตติ”

จันทร์แรมพยักหน้าทันทีที่มาริโอพูดจบ ก่อนที่เธอจะหันไปมองฟางซึ่งกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่

“หนูฟาง ที่ผ่านมายายขอบใจหนูมากที่ช่วยดูแลยายมาตลอด” ฟางได้ยินดังนั้นจึงเลิกซับน้ำตาก่อนจะพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“คุณยายอย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูก็รักคุณยายก็เหมือนยายแท้ๆของหนูค่ะ”

“ยายก็รักหนูเหมือนหลานแท้ๆเช่นกัน” พอจันทร์แรมพูดจบ ก็ได้หันหน้าไปมองพวกอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็มีความสุขมากที่ได้รู้จักกับทุกคน”

“คุณจันทร์แรม” ทุกคนพูดชื่อของเธอพร้อมกัน ก่อนที่จันทร์แรมจะหันหน้ากลับมามองฝ้าเพดานแทน

“เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน ขอหลับ...” จันทร์แรมพูดเสียงอ่อย นัยน์ตาสองข้างเริ่มปรือลง “...ตาลงพักสักหน่อย...นะ...ทุกคน”

แล้วนัยน์ตาของจันทร์แรมก็ได้ปิดลงสนิทพร้อมกับลมหายใจค่อยๆหมดลงอย่างช้าๆ ซึ่งทำเอาฟางที่อยู่ใกล้สุดสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงรีบเอานิ้วมืออังจมูกดูพร้อมกับวัดชีพจรข้อมือของจันทร์แรมท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังรอคำตอบจากฟางอยู่ ซึ่งไม่นานนักฟางก็ยืดตัวตรงพร้อมกับเม้มปากแน่นเอ่ยคำตอบให้กับทุกคน

“คุณยายท่าน...ได้จากพวกเราไปแล้วค่ะ”

..............................................................

“คุณยายท่าน...ได้จากพวกเราไปแล้วค่ะ”

คำตอบจากฟางทำเอาทุกคนถึงกับร้องไห้ออกมาทันที ผิดกับนพที่นั่งก้มหน้าเม้มปากมือไม้สั่นและไม่ได้ร้องไห้อย่างที่ควรจะเป็น

“ไม่จริง...” จู่ๆนพก็พูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องของทุกคน ซึ่งทำเอาทุกคนหันไปมองนพอย่างสงสัย “...คุณยายจะมาจากพวกเราไปง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน...ผมไม่ยอมหรอก”

“ใจเย็นๆนะคะนพ มีนารู้ว่านพเสียใจที่คุณยายจากพวกเราเร็วเกินไป...แต่ความจริงมันก็คือความจริง...คุณยายท่านได้ไปสบายแล้ว เพราะฉะนั้น...”

ปึง!

เสียงของแข็งกระแทกพื้น ทำเอามีนาถึงกับหยุดพูดไปในทันที

“ผมรู้มีนา ผมรู้ เพียงแต่...” นพก้มหน้ากัดฟันพูดด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะนึกถึงคำพูดของคุณยายที่เคยพูดเปรยให้เขาได้ยินอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว “...เพียงแต่คุณยายจะจากโลกนี้ไปโดยที่ท่านยังคิดถึงคุณตาอยู่ได้ยังไงกัน...แบบนี้ก็เท่ากับว่าท่านนอนตายตาไม่หลับนะสิ!”

“ลูกนพ!!” ผู้เป็นแม่ร้องอุทานอย่างไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยินจากปากลูกชาย

“ผมไม่ได้บ้าคิดเองเออเองนะครับคุณแม่ คุณยายเคยพูดกับผมไว้แบบนี้จริงๆ” นพตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองใคร “เพราะเหตุนี้ไง ผมถึงได้ชวนคุณยายเข้าไปเล่นเกมเรียลไลฟ์เพื่อที่จะให้ท่านได้เลิกคิดถึงคุณตา...แต่...แต่ผมคิดผิดทั้งหมด คุณยาย...คุณยายยังคิดถึงคุณตาอยู่มาตลอดจนถึงบัดนี้”

“อะไรที่ทำให้นพคิดแบบนั้นล่ะ บางทีคุณจันทร์แรมอาจจะเลิกคิดถึงคุณนรินทร์ไปแล้วก็ได้” อวิ๋นพูดตามความเข้าใจของตัวเอง เพราะเห็นว่าจันทร์แรมบอกลาทุกคนโดยไม่มีสีหน้าเป็นกังวลเลยซักนิดเดียว ซึ่งคำพูดของอวิ๋นทำเอานพถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นด้วยความเดือดดาล

“เลิกคิดรึ?” นพทวนคำพูดของอวิ๋นอย่างดูแคลน “คุณอวิ๋นคิดว่าคุณยายจะเลิกคิดถึงคุณตาได้ง่ายงั้นรึ ฮึ เสียแรงที่อยู่ข้างคุณยายในเกมมาตั้งนานสองนาน ไม่เคยรู้จักสังเกตคุณยายเลยบ้างซักนิด ทั้งๆที่คุณเองก็น่าจะเคยได้ยินเสียงท่านร้องเพลงในคืนพระจันทร์เต็มดวงตอนอยู่ในเกมนะ ให้ตายสิพับผ่า”

พอนพพูดจบ ก็ทำเอาทุกคนที่เคยเดินทางร่วมกับจันทร์แรมมาด้วยกันถึงกับร้องอ้อ แม้กระทั่งมาริโอเองก็พลอยพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของนพ เพราะทุกคนล้วนเคยได้ยินจันทร์แรมร้องเพลงมาก่อนแล้วจริงๆ

“แล้วเพลงนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับที่คุณจันทร์แรมยังไม่เลิกคิดถึงคุณนรินทร์ล่ะ” อวิ๋นยังคงถามอยู่ไม่เลิกรา ซึ่งทำเอานพนึกอยากจะลุกขึ้นไปต่อยหน้าอวิ๋นแต่เกรงว่ามันจะเป็นการไม่เคารพคุณยายที่เพิ่งจะเสียไปได้หมาดๆ

“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว” นพตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ก็เพราะบทเพลงนั้นเป็นบทเพลงที่คุณตาเป็นแต่งให้คุณยายไว้ก่อนที่ท่านจะเสียไปนะสิ”

พอนพพูดจบ ทำเอาอวิ๋นถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่าบทเพลงที่จันทร์แรมใช้ร้องเพลงทุกคืนพระจันทร์เต็มดวงจะสำคัญต่อจันทร์แรมถึงขนาดนี้

“ขอโทษนะนพ...พอดีฉันไม่คิดว่าจะ...”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ถึงตอนนี้พูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะคุณยายได้ตายไปแล้ว” นพพูดตัดบท ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น

ลา...ลัน...ลา

จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ซึ่งทำเอาทุกคนที่นั่งนิ่งถึงกับเงยหน้ามองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่ทุกคนก็สงสัยได้ไม่นาน เสียงเพลงนั้นก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

“เสียงเพลงนั่น...” นพพูดพลางขมวดคิ้วกับเสียงเพลงที่ได้ยิน “...ไม่ผิดแน่...เพลงนั้นเป็น...เพลงที่คุณยายเคยร้องอยู่เสมอ”

ครั้นนพพูดจบ ก็รีบผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปเลื่อนประตูที่อยู่ด้านข้างซ้ายของของทุกคนออก ซึ่งทำให้ทุกคนรีบลุกขึ้นตามนพไป ก่อนจะเผยให้เห็นสามร่างยืนอยู่นอกตัวบ้าน หากแต่สองในสามนั้นเป็นชายหนุ่มคุ้นตาทุกคนและรู้จักดีอยู่แล้วมาด้วยชุดเดียวที่เคยปรากฏตัวในเกมตอนที่พวกเขาถ่ายรูป แถมนอกจากนี้ที่ด้านหลังของทั้งคู่ยังมีปีกติดอยู่ที่หลังอีกด้วย

“นั่นมัน...คุณโซลกับคุณคีย์ไม่ใช่รึ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” นพพูดพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะเหลือบตามองอีกร่างโปร่งแสงที่เป็นชายหนุ่มอายุราวประมาณสามสิบต้นมาในชุดราชปะแตนยืนอยู่ห่างออกไปจากจุดที่สองคนนั้นยืนอยู่ไม่เท่าไหร่ ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจนแล้ว นัยน์ตาของนพก็ถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกใจ “คุณตา! ไม่จริงน่า?! คุณตา...ตายไปนานแล้ว...จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!!”

ดีที่คุณยายได้เอารูปคุณตาให้นพดูก่อนหน้านี้ ก็เลยทำให้นพจำได้ทันทีที่เห็น เมื่อนพพูดจบ ทุกคนถึงกับตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ยกเว้นรุ้งที่เป็นลูกสาวของจันทร์แรมกับนรินทร์หาได้รู้สึกกลัวไม่ แต่กลับร้องห่มร้องไห้เมื่อได้เห็นร่างวิญญาณของผู้เป็นพ่อแทน

“ผมมาทำตามสัญญาที่บอกไว้ตอนนั้นแล้วนะครับคุณจันทร์แรม” คีย์บอกยิ้มๆ ซึ่งทำให้อวิ๋นกับนพนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในเกม ตอนนั้นอวิ๋นได้ถามจันทร์แรมว่าคีย์พูดกระซิบอะไรกับจันทร์แรม หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มตอบเขากลับมาว่ามันเป็นความลับ

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง

แต่ทว่านพไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ แถมคุณยายเพิ่งจะเสียไปได้ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ทำให้นพรู้สึกโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“ทำตามสัญญาบ้าบออะไรกัน!” นพตวาดเสียงใส่ด้วยความเดือดดาล “พวกนายมันก็แค่พวกสิบแปดมงกุฎ กล้าเอาคนหน้าตาเหมือนคุณตามาล้อพวกเราเล่นแบบนี้ อยากตายนักรึไง!”

ครั้นนพพูดจบ ชายหน้าหวานถึงกับส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มตอบกลับมาว่า

“เรื่องนี้ผมไม่ได้ล้อเล่น ผู้ชายคนนี้คือคุณตาของพวกคุณ ถ้าหากพวกคุณไม่เชื่อก็ลองหันหลังกลับไปดูตอนนี้สิ” พอได้ยินดังนั้นแล้วทุกคนจึงหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นหญิงรูปงามอายุราวประมาณยี่สิบต้นสวมชุดที่สวยงามสง่าแบบกุลสตรีไทย หากแต่ร่างของผู้หญิงคนนี้กลับโปร่งแสงเช่นเดียวกับชายที่มีใบหน้าคล้ายคุณตา

“คุณแม่/คุณยาย?!” เนื่องจากรุ้งเป็นลูกสาวของจันทร์แรมย่อมเคยเห็นแม่ของตัวเองตอนยังสมัยสาวๆ ส่วนนพเคยเห็นรูปคุณยายสมัยสาวๆ ก็เลยสามารถรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือคุณยายของเขา หากแต่คนอื่นๆไม่เคยเห็นรูปจันทร์แรมสมัยสาวๆมาก่อน ก็เลยพากันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

“ขอบคุณที่มาตามสัญญาค่ะคุณคีย์ ไม่สิ คุณลูฟาเอล เทวทูตแห่งมวลดอกไม้” จันทร์แรมตอบพลางก้มหน้าขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับมาเพียงว่าไม่เป็นไร

“จันทร์แรม” เสียงทุ้มที่ดังมาจากชายหนุ่มที่นพคิดว่าคล้ายคุณตาได้พูดขึ้นมา “ขอโทษที่ให้คอยนาน ไปกันเถอะ”

ส่วนจันทร์แรมหรือคุณยายของนพในคราบสาวสวยเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็ฉีกยิ้มหวานก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ค่ะนรินทร์” แล้วคุณยายของนพก็สาวเท้าเดินหกระเหินออกนอกตัวบ้านไปโดยผ่านทุกคนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเข้าสวมกอดคุณตาที่กางแขนรอพร้อมอยู่แล้วอย่างแนบแน่น

คุณยายกับคุณตา...

ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที...


“ห้ามทิ้งคุณยายอยู่ตามลำพังอีกนะครับคุณตา!” นพตะโกนพูดทั้งน้ำตา “ไม่อย่างนั้นผมจะตามไปจัดการคุณตาที่บนสวรรค์แน่!”

ครั้นนพพูดจบ ทั้งนรินทร์ทั้งจันทร์แรมต่างฉีกยิ้มให้กับนพ

“ไม่ทิ้งหรอกหลานรัก...ตาให้สัญญา”

“ลาก่อนตานพ...ลาก่อนทุกๆคน”

จันทร์แรมเอ่ยคำลากับทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะพลันหายไปอย่างช้าๆพร้อมกับเสียงร้องไห้จากนพผู้ซึ่งเป็นหลานชายที่รักคุณยายมากที่สุด

“นพ” อวิ๋นพูดพลางเอามือมาตบไหล่เบาๆเพื่อต้องการปลอบใจชายหนุ่ม “เขาไปดีแล้ว คุณนรินทร์อุตส่าห์มารับถึงที่แล้ว เพราะงั้นนพเลิกเป็นห่วงคุณยายได้แล้วนะ ป่านนี้ทั้งคู่คงไปสวรรค์แล้วล่ะ”

นพได้ยินที่อวิ๋นพูดก็ได้แต่พยักหน้าไปเช็ดน้ำตาของตัวเองไปพลาง

นั่นสินะ คุณยายของเขาได้จากไปอย่างมีความสุขกับคนที่ตัวเองรักไปแล้ว

ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก...


เมื่อนพคิดในใจเสร็จแล้ว ก็หันจะไปเอาเรื่องกับสองหนุ่มนั้นต่อ หากแต่ทั้งคู่กลับยืนลอยกลางอากาศต่อหน้าต่อตาทุกคน

บ้าน่า?! คนธรรมดาที่ไหนจะเหาะเหินเดินอากาศได้!!

“ใช่ ถ้าเป็นคนธรรมดานะ” ชายที่ชื่อโซลตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ซึ่งทำเอานพถึงกับสะดุ้งตกใจ “แต่พวกเราสองคนไม่ใช่มนุษย์ แล้วอีกอย่างพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมอบสิ่งที่แม่นางผู้นั้นต้องการแทนคำขอโทษที่พวกเราไปทำให้ครอบครัวของแม่นางในเกมมีอันต้องพลัดพราก แต่ถ้าจะอธิบายให้ฟังเกรงว่าจะยืดยาว เอาเป็นว่าขอให้พวกเจ้าเข้าใจตามนี้แล้วกัน”

เมื่อโซลพูดจบ คนชื่อคีย์ก็รีบอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พวกนพได้ฟังอีกครั้ง ซึ่งทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องได้อย่างรวดเร็ว

“มิน่าล่ะ ว่าทำไมจู่ๆราชาปีศาจถึงนึกเกิดคลั่งทั้งๆที่บริษัทเกมตั้งโปรแกรมให้เป็นราชาปีศาจที่ดี” อวิ๋นพูดทบทวนความคิดของตัวเอง “ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพวกคุณนี่เอง”

“ถ้าพวกคุณเข้าใจแล้วก็ดี ผมจะได้สบายใจขึ้นมาหน่อย” คีย์พูดพลางถอนหายใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะบอกลาทุกคนแล้วพลันหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกใจของทุกคน

“นี่พวกเรา...กำลังอยู่ในเกมรึเปล่าเนี่ย” ธีมพูดพลางตบหน้าของตัวเองแรงๆ ราวกับต้องการออกจากเกมในตอนนี้ “ทั้งวิญญาณเอย ทั้งเทวทูตเอย ปนกันมั่วไปหมดแล้ว”

“จะอะไรก็ช่าง แต่เรื่องคุณยายนั้น ผมคิดว่ามันเป็นความจริง...คุณยายตายไปแล้ว ตายไปอย่างมีความสุขกับคนที่ท่านรอมานาน” นพกล่าวขึ้นมาลอยๆโดยไม่สนใจกับคำพูดของธีมเลยซักนิด เมื่อนพพูดจบ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องสว่างสดใสท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน

ลาก่อนครับคุณยาย ผมจะไม่มีวันลืมคุณยายไปตลอดชั่วชีวิต
 
อวสาน

.................................................

ปล.ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามอ่านนิยายของเราตั้งแต่ต้น ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริงค่ะ ^/\^

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทสรุป (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 06-03-2015 16:46:54
TT จบแล้ววว คุณยายตายแล้วว
ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวสนุกๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทสรุป (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tutankamen ที่ 06-03-2015 21:57:32
หนุกหนานๆ ขอบคุฯสำหรับเรื่องสนุกๆ ครับ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทสรุป (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 06-03-2015 22:58:23
จบแล้วว ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะมีตัวป่วนก็เถอะ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทสรุป (update 100%) P.4 6/03/58)
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 07-03-2015 02:11:33
สนุก สนาม มันส์หยด

ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆคะ
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 15-04-2015 12:46:34
 o13
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 26-04-2015 18:11:17
น้ำตาไหลพากเลย  ฮือออออ :hao5:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 22:37:27
 :mew1:
หัวข้อ: Re: The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 21-11-2017 14:42:12
เศร้าจัง แต่คุณยายดูแฮปปี้มาก
สงสารอวิ๋นมาก
ไม่วายจ๋าเท่าไหร่
ขอบคุณที่เอามาลงจนจบนะคะ