บทที่ 11 : เด็กดี
เขาหอมแก้มเธอแทบทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
ดูดีนะ
ทุกอย่างดูเป็นปกติ ทำตัวได้ปุถุชนอย่างเหลือเชื่อ คุณรู้ไหม ผมแทบไม่เห็นอาการผิดสังเกตเวลาเราสามคนพ่อแม่ลูกขณะที่อยู่ด้วยกันเลย
แค่คิดยังแสลงสมองอยู่นัยๆ
วันก่อน ผมลองขออนุญาตแม่ว่าจะเป็นไรไหมถ้าผมอยากจะไปกลับโรงเรียนเอง ผมเองก็ไม่ได้อยากไปรวบกวนใครหรืออะไรเท่าไหร่
“ยังไงพี่ก็ผ่านโรงเรียน ให้พี่ไปรับไปส่งกานต์นั้นแหละ ดีแล้วครับ”
เขาแทรกขึ้นแทบจะทันที แม้ผมกำลังจะพูดอยู่กับแม่ มาจากไหนไม่รู้ นี่ขนาดผมอุตส่าห์พูดในระหว่างที่คิดว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว พับผ่าเหอะ อยากจะลงไปดิ้นดิ้นดิ้น แล้วก็หัวเราะพร้อมกับชี้หน้าเขาด้วยความเคารพให้สักที แม่เห็นด้วย เธอเห็นด้วย ไม่แม้แต่จะปฏิเสธหรือเอนเอียงแม้แต่น้อย ไม่เลย เธอเข้าข้างเขาอย่างกับอะไรดี เห็นอยู่ชัดๆว่าเธอเข้าข้าง
คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้นผมหลายครั้ง มันยากที่จะออกมา และปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ ไม่ดีเลย ไม่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ผมถูกบีบให้เล่นบทเด็กดีต่อไป ไม่รู้ว่าบ้านของคนอื่นที่ผมอาศัยอยู่ตอนนี้มีกล้องวงจรด้วยหรือเปล่า เหมือนถูกมองไปมา จะจับวางตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น
เห็นแววตาแม่แล้ว ผมรู้สึกสมเพชตัวเอง
ควรจะทำยังไง แม้แต่ผิวดินยังอดหวาดระแวงไม่ได้ว่าสักวันมันจะยุบลงไปบ้างไหม ไว้ใจได้เหรอแม้แต่ตอนนี้ท้องฟ้าบนนั้นจะไม่ถล่มลงมาทับ
แล้วเขาก็ยิ้ม หลังบานประตูปิดลง มืออีกฝ่ายถือวิสาสะมาโอบไหล่ผมให้เดินนำหน้าเขาไป
หลังจากรถเคลื่อนตัวออกได้ไม่นาน ผมหลับตาลงด้วยความง่วง มันเป็นแบบนี้แทบทุกเช้าหรือคงมีเหตุผลอีกอย่าง เช่นผมแค่ไม่อยากลืมตามองโลกข้างนอกในเวลานี้ก็เท่านั้น
สักพัก จู่ๆเขาจอดรถ ใบหน้าเลื่อนเข้ามาใกล้โดยไม่จำเป็น ไออุ่นที่ไม่ควรเข้าใกล้ บอกให้ผมลืมตา
ทางเปลี่ยวๆ ไม่คุ้นเท่าไหร่ แค่เวลาไม่กี่วันคนเราสามารถพัฒนาการได้ขนาดนี้จริงๆน่ะเหรอ หรือเพียงแค่เผยสันดานแท้ๆออกมาเฉยๆเท่านั้น คงเป็นงั้นแหละนะ นาฬิกาเดินไปเรื่อย ไม่คิดจะรอกันบ้าง เช้านี้ผมว่าผมอาจได้อยู่แถวเข้าสาย เป็นอีกประสบการณ์ที่แปลกใหม่
ผมกำมือเขาแน่น พอเห็นปฏิกิริยาแบบนั้น เขาหลุดหัวเราะ ให้ตายสิ นี่ถ้าผมทำมากกว่ากำมือเขา จะเกิดไรขึ้นกับผมหรือเปล่า มีอะไรรับรองความปลอดภัยได้เพียงพอไหม สักนิด ก็ยังดี เพราะว่าตอนนี้ที่ผมอยู่เรียกได้ว่าไม่มีคนเลยนอกจากพ่อเลี้ยงแสนดีคนนี้
ข่าวคราวมีให้เห็นเยอะแยะและผมเชื่อว่าไม่มีอะไรแน่นอน จิตใจมนุษย์ลึกหม่นยิ่งกว่าขวดน้ำหมึก วันดีคืนดีถ้าผมงอแงขึ้นมาเขาอาจจะฆ่าปิดปากกันก็ได้ใครจะไปรู้ แค่คิดก็สยองแล้ว ไม่คุ้มหรอก ชีวิตผมที่ต้องมาจบด้วยความเลวทรามของคนอื่น เจ็บใจแย่เลย น่ากลัวนะ ผมกลัวมากๆ ไม่อย่างนั้นตัวจะสั่นขนาดนี้เหรอ
ไม่ ผมไม่ได้กำลังจะกลั้นขำหรอก โธ่ นั่นก็ออกจะตลกเกินไป
เขาจับมือผมไว้พร้อมใบหน้ายิ้มๆ
ในรถแอร์เย็นฉ่ำ
ไม่อยากตื่นเลย
“เป็นลม”
กระพริบตาอยู่สองสามครั้ง ภาพตรงหน้าพร่าเลือน ยิ่งเสียงที่เหมือนจะเข้ามาในโสตประสาทเป็นอะไรที่โคตรรบกวน ไม่นาน ผมจึงได้เห็นความชัดเจนขึ้นมาบ้าง เด็กผู้ชาย ใส่ชุดนักเรียนและกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น
แต่ถ้าย้อน จำได้ว่ากำลังเรียนอยู่ แล้วไงต่อนะ
“กานต์เป็นลมน่ะ”
หลังจากปรับสติให้เข้าที่เข้าทางจึงได้รู้ว่าผมกำลังนอนอยู่บนเตียงห้องพยาบาล อาจารย์เดินเข้ามา เธอพูดนั่นพูดนี่แล้วยื่นผ้าเย็นผืนใหม่มาให้ก่อนจะบอกให้นอนอีกสักพัก อ่า นั่นแหละ พอผมลุกขึ้นนั่ง ถึงได้รู้ว่ามีผ้าเปียกๆอีกผืนแหมะอยู่หน้าผากตัวเอง
“เหรอ”
ผมมอง อีกฝ่ายก็มอง เอาจริงๆเหมือนว่าจะเพิ่งได้คุยกันเป็นครั้งที่สองหลังจากเปิดภาคเรียนด้วยซ้ำสำหรับเพื่อนร่วมห้องคนนี้ คุ้นๆว่าเขาน่าจะมีชื่อแต่ผมจำไม่ได้ คนในห้องมีตั้งเท่าไหร่ เกือบสามสิบได้ เยอะมากใช่ไหมล่ะใครจะไปจำได้หมดกัน
พีระพัฒน์
ป้ายชื่อที่คล้องคอเป็นตัวบ่งบอก อ๋อ พี นักดนตรีคนเก่งของห้อง ซึ่งผมไม่ได้ไปตามติดอะไรเพื่อนคนนี้หรอก เพียงแต่การนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆเดียวกัน จะให้กีดกันทุกเสียง ไม่ได้ยินอะไรเลยก็คงเป็นไปได้ยาก
“ตอนเช้าไม่ได้กินข้าวมาเหรอ” พีถาม ผมมองไปยังต้นเสียงแค่แวบนึง
“มั้ง”
“มีขนมปัง เอามั้ย”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ”
ผมไม่สนิทกับผู้ชายในห้องและผู้หญิงก็ด้วย ว่ากันตามตรงผมมาเรียนงั้นๆให้ได้เกรดเพื่อเป็นการรับรองตามมาตรฐานว่าผมไม่ได้โง่เท่าไหร่ เพราะว่าความรู้ที่มีอยู่ทุกวันนี้ผมขวนขวายเองทั้งนั้น ยังไงดี พวกเขาไม่ค่อยสนับสนุนยกเว้นแต่ว่าคุณจะได้รางวัลหรือโด่งดังอะไรมา แล้วหลังจากนั้นก็จะมีแต่คนแย่งคุณไปถ่ายรูปเพื่อเอาหน้า ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้มีส่วนในความสำเร็จอันกระจ๋อยร๋อยนั่นสักนิด
แต่พอลองคุณทำเรื่องหน้าอับอายมาสิ พวกเขาเขี่ยทิ้งรวดเร็วทันใจยิ่งกว่าของร้อนซะอีก
ผมมักจะมีปัญหาด้านการจัดกลุ่ม เขาอ้างว่าอยากให้เด็กได้รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น มันก็ดีนะ และผมไม่ได้มีปัญหาว่าจะไม่มีกลุ่มอยู่หรอก ผมขยันและเป็นต้นฉบับของห้องขนาดนี้ ผมเพียงแต่ถกเถียงกับบุคคลากรที่ทำหน้าที่สอนอยู่บ่อยๆว่าผมขอทำงานเดี่ยว ยังดีที่พวกเขาไม่ค่อยงี่เง่าเท่าไหร่หลังจากผมพูดอย่างนี้แทบทุกภาคเรียน
“ส่งคณิตให้แล้ว”
“เมื่อไหร่”
“พอดีหยิบไปลอก ลอกเสร็จก็ส่งพร้อมกัน” ผมเกลียดพวกหยิบของคนอื่นโดยไม่ขอและเกลียดคนพูดมาก ยินดีด้วย คนคนนี้มีครบทุกอย่างที่กล่าวมา “หายมึนหัวยัง”
“ยัง”
“แขนไปโดนไรมา”
แขนมันก็อยู่เฉยๆของมันนั่นแหละ มีแต่เรื่องงี่เง่าที่เข้ามาจุ้นจ้านมากกว่า พีเอาแต่นั่งจ้องจนผมเริ่มรำคาญ แต่ไม่ได้แสดงออกว่ารังเกียจอะไรนอกจากหลับตาลงแล้วนอนต่อ เตียงกับแอร์ที่นี่มันนุ่มดี รู้งี้ผมน่าจะมานอนบ่อยๆ “แล้วทำไมไม่ไปเรียน”
“อยู่เป็นเพื่อน”
ตอแหล
“จริงๆขี้เกียจเลยหาเรื่องโดด”
อีกฝ่ายรีบแสร้งทำเป็นสำออย พอครูเข้ามาก็เดินกุมท้องไปนอนอีกเตียง
“กานต์ เมื่อวานเราโทรไปทำไมไม่รับเลย”
ช่วงนี้ผมไม่อยากอาหารจนน่าแปลกประหลาด
ไม่ดีต่อสุขภาพ ผมรู้ อาจจะเป็นสารเคมีสักตัวในสมองกำลังทำงานเกินหน้าที่หรือน้อยเกินไปเรียกง่ายๆว่าผิดปกติ ถ้ามีตังค์ผมว่าผมอยากไปพบจิตแพทย์สักวันนึง สักวันน่ะนะ
“เราอยู่กับแม่”
“แล้วค่อยโทรกลับก็ได้นี่”
จะว่าไปคนสังคมดีๆที่นี่ไม่ค่อยรู้จักและเข้าใจผิดเกี่ยวกับจิตเวชอย่างเหลือเชื่อ พวกเขาคิดได้ตื้นเขินจนน่ารักน่าเอ็นดูแค่ว่าการไปพบจิตแพทย์เป็นหน้าที่ของคนบ้า ผมเองก็ไม่รู้จะทำสีหน้ายังไงไม่ให้ดูเป็นการดูแคลนดีนะ ซึ่งในกรณีอย่างนี้คือพวกที่ไม่คิดจะพยายามเข้าใจแถมยังบั่นทอน รกพื้นดินน่าดู
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอ ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ ผมหมายถึงผมยังไม่ได้เธอเลย ได้ยินมาว่าสาเองมีแฟนหลายคน แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังคบกับใครอยู่หรือเปล่า ซึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะยังไงผมคงไม่เอาเธอเป็นแฟน
บางทีผมก็ค่อนข้างจะเหยียดเพศ แม้จะไม่ชอบการเหยียดเพศ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมไอ้สิ่งเหล่านี้มักย้อนกลับมาทุกที
คงเป็นเพราะการวางตัวแต่ละคนที่เข้ามาไม่เหมือนกันเลยจริงๆ สิ่งที่คิดอยู่อาจจะไม่ดีกับเธอแต่ว่าให้ทำไง ก็เธอชอบยั่วผม ทำไมผมจะไม่รู้ ผู้หญิงชอบทำตัวเป็นจุดที่ต่างออกมาเวลาอยู่กับคนที่เธออยากให้สนใจ สาก็เหมือนกัน นั่งแบบนั้น แต่งตัวแบบนั้น เธออ่อยผมชัดๆ
“เย็นนี้ว่างมั้ย” ยังไม่ทันได้ฟังคำถามด้วยซ้ำ เธอรีบยกมือห้ามไว้ “อย่าเพิ่งตอบว่าไม่นะ”
“ทำไม” ผมเหมือนจะยิ้ม เธอวางมือลง เธอยิ้มด้วย ดูสิ คงกำลังเขิน ผมชอบเวลาเธอทำเหมือนว่าสนใจผมแค่คนเดียว มันเป็นความรู้สึกที่ลึกๆน่าจะกำลังโหยหา อย่างที่บอก การเริ่มความสัมพันธ์น่ารำคาญ แต่คงไม่มีอะไรน่ารำคาญไปกว่ารักษามันให้ยั่งยืน
เวลาสามองผม สายตาที่ผมรู้สึกว่าผมกำลังเหนือกว่าเธอ เธอยกย่องผมให้อยู่อีกระดับ สามารถต่อรองอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการแต่ก็ไม่เกินขอบเขตเกินจำเป็น
“วันนี้เราว่าจะไปบ้านพีกัน ไปมั้ย”
“ไปทำอะไร”
“ไปเล่น ก็ประมาณว่าดูหนังฟังเพลง กินขนม เห็นว่าพวกมันจะซ้อมดนตรีกันด้วย”
ผมแปลกใจ ทำไมเธอถึงได้อยากให้ผมไปด้วยขนาดนั้น
ผมไม่รับปาก เพราะไม่แน่ใจว่าจะทำตามคำนั้นได้หรือเปล่า
เลิกเรียน เขาโทรมา
บางทีการมีโทรศัพท์ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ
“กานต์ก็มาเหรอวะ”
ผู้ชายสักคนในกลุ่มพูดขึ้น ผมเดาว่าอาจจะไม่ใช่อาการตื่นเต้นดีใจอะไร ตรงกันข้ามากกว่า
บ้านพีอยู่ใกล้กับโรงเรียนมากเกินไปจนทำลายจินตนาการในการเดินทางของผมหมดสิ้น เพราะเดินจากโรงเรียนไม่เท่าไหร่ก็ถึงที่หมาย นี่มันแย่มาก ผมคิดว่าผมจะหนีไปได้ไกลกว่านี้ซะอีก
“ไง หายเป็นลมยัง”
พีเดินเข้ามาทัก ผมนั่งลง ส่วนคนอื่นๆก็นั่งคุยกันเล่นนู่นเล่นนี่อย่างที่สาบอกไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ เสื้อนักเรียนพีไม่ได้อยู่ในกางเกงและกระดุมก็ถูกปลดลงไปสองสามเม็ด
“อือ น่าจะ”
“ตัวหนัก”
พีพูดขึ้น ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์ใดๆ แต่ผมว่าพีเป็นคนที่กวนตีน
“เราเป็นคนแบกกานต์ไปห้องพยาบาลเองแหละ”
“แล้วใครใช้ให้แบก”
“โห เพื่อนไม่สบาย จะให้ทิ้งไว้อย่างงั้นอะ?” พีหัวเราะ
ที่โต๊ะ มีเบียร์ กับน้ำอัดลมแล้วก็บุหรี่ บ้านพีใหญ่ดี เขาเล่าให้ฟังว่าพ่อซื้อหลังนี้ให้จะได้มาโรงเรียนได้ง่ายๆ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ค่อยกลับไปอยู่อีกบ้าน ถ้าไม่รวยก็คงไว้ใจลูกชายคนนี้น่าดู พีเปิดกระป๋องเบียร์แล้วยกจิบได้หน้าตาเฉย ผมไม่ดื่ม ไม่ชอบบุหรี่ ผมเกลียดกลิ่นของมันเพราะทั้งหมดนั่นทำให้นึกถึงพ่อ
พ่อจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ประโยคข้างต้นจะไม่มีปัญหาเลยถ้าหากมันไม่ส่งผลกระทบมาถึงแม่และแน่นอน มันกระทบผมเต็มๆ
“แล้วตกลง แขนไปโดนไรมา”
“ชนโต๊ะ”
อีกอย่าง ถ้าผมดูไม่ผิดไป สาน่าจะเป็นแฟนพี
คนกลุ่มนี้หรือเจาะจงเป็นรายตัว ส่วนใหญ่เขามีทัศนคติอย่างไร ผมไม่ทราบแน่ชัด แต่ผมรู้สึกว่าผมคงเข้าไปผสมกลมกลืนกับพวกนี้ไม่ได้แน่ ซึ่งถือว่าดีแล้ว
พวกนั้นกระซิบกัน เหมือนเริ่มมีปัญหา
“ไว้ใจได้?”
“เออน่าแบงค์ กานต์ไว้ใจได้” สารีบออกรับแทน
“เฮ้ย กานต์ มึงไม่ได้เป็นสายให้สารวัตรนักเรียนใช่มั้ย”
เป็นคำถามที่น่ารัก ผมหัวเราะเบาๆ เป็นอีกครั้งที่หลุดขำพรืดออกมา
“ทำไม”
“เอาดีๆ ไอ้กานต์”
“พอๆ มึงเลิกขู่เพื่อนได้แล้ว กานต์อุตส่าห์ให้มึงลอกการบ้านมาตั้งกี่ปี มึงตอบแทนเพื่อนยังงี้เหรอวะ” พีเข้ามาขัดขว้างกันบทสนทนาอันน่าขำนี่ลง เขาคงเป็นหัวหน้ากลุ่ม ส่วนสาก็ดูจะสนิทกับพวกนี่มาก แต่ผมก็ยังแอบสงสัย
โทรศัพท์และเวลา ผมแทบไม่ยุ่งกับมัน
ผมยังไม่อยากกลับ
“จริงๆเราจะเล่นกันนิดหน่อย กานต์จะเอาด้วยมั้ย ถ้าไม่ กานต์ก็แค่เงียบๆไว้” สาเป็นคนอธิบาย ปากแดงๆกับแก้มขาวๆของเธอไว้ใจไม่ได้เลย
พยายามทำความเข้าใจกับคำว่าเล่น
เป็นทางออกที่โง่ไปหน่อย เด็กดีเขาไม่ทำกันหรอก
อุปกรณ์บางชนิดที่พอรู้จักมาบ้างซึ่งโดยปกติเขาเอาไว้ใช้เสพยา
“อือ เอาดิ”
TBC
[21/12/2557]