บทที่ 6 : เรื่องจริงที่เสแสร้ง
“อร่อยมั้ย?”
“ครับ”
ก็อร่อยดี
เขาพาผมมาทานข้าวในร้านอาหารสักแห่งของห้าง แม่ยังไม่กลับ ผมได้คุยกับเธอไม่กี่คำก่อนที่เขาจะดึงโทรศัพท์กลับไปคุยกันต่อ เธอไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้ มันอาจลำบากมากถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ค่าใช้จ่ายเขาเป็นคนช่วยเหลือ ทำให้อะไรๆเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตค่อนข้างดีขึ้นเยอะ
ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับญาติๆหรือสมบัติพัสถานของเธอมากนัก เรื่องแบบนี้ผู้ใหญ่ที่ไหนเขาจะเล่ากัน นอกจากจะอุบเงียบเก็บไว้เอง
“กานต์ลองกินนี่ดูสิ อร่อยนะ” เขาคีบอดีตสิ่งมีชีวิตวางบนจาน ก็แค่ศพหมู ไม่สิ ผมหมายถึงเนื้อหมูน่ะ
“ขอบคุณครับ”
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เรามากินกันอีกดีมั้ย” เขาเอ่ยชวนด้วยความใจกว้าง โว้ว ผมคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครโชคดีเท่าผมอีกแล้วล่ะคุณว่าไหม
ควรจะทำอย่างไร ปฏิเสธเหรอ ถ้าทำแบบนั้นเขาจะยอมหรือเปล่าล่ะ ก็คงไม่ เขามันดื้อด้านเอาแต่ใจ ทำเป็นสันดานจนเคยชินว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องไหลไปมาตามที่เขาต้องการ
โอเค มันก็ดีอย่าง ผมจะได้มีเวลาไปทำงานอ่านหนังสือบ้างด้วยความซึ้งใจ ไม่ต้องไปนั่งทำอาหารงกๆล้างถ้วยล้างชามเอง เมื่อก่อนสิ่งนั้นมักเป็นหน้าที่ของแม่ แต่เมื่อไม่มีเธอผมจึงได้รับการถ่ายโอนอำนาจไปโดยปริยาย
“หรือกานต์อยากกินอย่างอื่น ถ้าอยากกินอะไรก็บอกพี่นะ อยากได้อะไรก็บอก”
“อะไรก็ได้ครับ”
“พี่กลัวกานต์จะไม่ชอบน่ะสิ เห็นเราทำหน้านิ่งๆตลอด มีอะไรก็บอกพี่ได้เสมอไม่ต้องกลัวหรอก”
กลัวเหรอ
เขารู้ว่าผมกลัวด้วยเหรอ พฤติกรรมบางอย่างของเขากำลังฝืนตัวเอง ผมก็อยากจะรู้ว่าเขาจะห้ามการพังมันลงได้สักเท่าไหร่กันเชียว
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมกลับเองนะครับ”
“ทำไมล่ะกานต์?”
เขาหุบยิ้มทันควัน ภายใต้หน้ากากแสนดี ผมบอกแล้วไงว่าเขามันดื้อด้าน
“ผมไม่อยากรบกวน”
“ทำไมคิดงั้นล่ะครับ”
“บางวันผมก็เลิกเย็นบางวันผมอาจจะกลับไวหน่อย เวลามันไม่แน่นอน ผมเลยคิดว่าจะขอกลับเองดีกว่า”
ยาว พูดผมยาวเกินไปแล้ว มันเปลืองพลังงานในร่างกายสุดๆเลยนะเฮ้ หวังว่าหลังจากได้ฟังประโยคนี้เขาคงจะมีตรรกะทางความคิดมากพอที่จะเข้าใจมัน ไม่ต้องท่องแท้ก็ได้ ขอแค่เข้าใจสักนิดก็พอแล้ว
“แค่นี้เองเหรอกานต์…กานต์ไม่ได้รบกวนอะไรพี่เลย”
เขาคลายยิ้ม วางมือลงบนหลังมือของผม น้ำเสียงทุ้มพยายามเกลี่ยกล่อม หลอกล่อไอ้เด็กโง่ๆตรงหน้าให้เดินตามทางที่เขาขีดไว้ซะดีๆ
“แม่เขาเป็นห่วงเรา เรียนเหนื่อยๆพี่มารับนี่แหละดีแล้ว แม่เขาไม่อยากให้กานต์กลับบ้านคนเดียว”
ผมอยากจะเถียงใจแทบขาด
แต่ด้วยมารยาททางสังคมและจิตสำนึกส่วนบุคคลทำให้ผมกลืนคำปรามาสที่จะมอบแก่เขาลงคอเต็มท้อง เล่นเอาซะจุก
ผมดึงมือกลับ เขาชะงักแต่ก็ยังคงยิ้ม
ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนผมคงสรุปแล้วว่าเขาถ้าไม่บ้าก็เมายา
ตอนนี้ผมกำลังคิด คิดถึงแม่ มันเป็นการนึกคิด ไม่ใช่อาการโหยหา
ไม่รู้เมื่อไหร่เธอกลับสักที
สมบัติพวกนั้น หากเป็นไปได้ หากไม่ติดที่ว่าผมกำลังต้องเตรียมตัวสอบเพื่อขึ้นมหาลัย ชีวิตค่อนข้างวุ่นวายปั่นป่วน ผมคงตามเธอไปแล้ว ก็นั่นแหละ ถ้าหากไม่ติดที่ว่าเธอบอกผมเร็วกว่านี้สักหน่อย ผมตามไปแน่ๆ
เรื่องอะไรเล่า
นั่นมันเรื่องที่ดินเรื่องมรดกเลยนะ
อย่างน้อยถ้ามันขึ้นชื่อว่าแลกเปลี่ยนได้เป็นเงิน ผมจะพลาดได้ยังไง
อย่างน้อยถ้ามันเป็นชื่อเธอเป็นของเธอ สักวันมันก็ต้องเป็นของผมอยู่วันยังค่ำ
อีกข้อ ผมเบื่อการอยู่กับเขาสองคน มันน่ารำคาญ เขาทำแต่เรื่องแปลกๆ ทำตัวแปลกๆ แม้ภายนอกทุกคนจะมองว่าเฮ้ย ก็ดีแล้วนี่ เขาดูเป็นคนดีนิสัยดีแถมมีตังค์ แต่พฤติกรรมนั้นคงจะใช่ได้เท่าที่ควรถ้าหากผมยังเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบสอง
มันดูเสแสร้งเกินกว่าจะเป็นจริง
คุณเคยกลัวผีไหม
ตอนเด็กๆผมเคยอยู่ช่วงนึง แค่ช่วงเดียวจริงๆนะ ไม่นานหรอก อย่ามองผมเป็นคนโง่งมงายแบบนั้น
พวกผู้ใหญ่ชอบหลอกเด็ก อาจเพราะอยากข่มขู่ไม่ให้เหล่าผู้น้อยทำเลยเถิดจากเรื่องที่ตัวเองกำหนดไว้ หรือไม่ก็เพื่อความสนุกเอามันไปงั้น
มันมืดนะ
ผมเลยไม่แน่ใจว่าผีเขาหน้าตารูปร่างเป็นยังไงกัน จะสวยสู้แม่ได้หรือเปล่า แต่ขอเดาว่าไม่
ตั้งแต่กาลยุคจนปัจจุบันที่ไฟนีออนมีเต็มบ้านเต็มเมือง ก็ยังคงหลงเชื่อกันเป็นตุเป็นตะให้เห็นเกลื่อนกลาด พวกเขามองเพียงภายนอก มองแค่เปลือก ผมเลยได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่ถูกนิยายว่า‘ผี’ หน้าตาเขาคงเลวร้ายน่าดู
แต่ผมไม่ได้กลัวผีเพียงเพราะเขาหน้าตาย่ำแย่หรอกนะ โอ้ ถ้าคุณเกลียดกลัวเขาเพียงเพราะรูปลักษณ์ที่ไม่ปกติเหมือนกับคุณหรือในสายตา ช่างเป็นเหตุผลทำร้ายจิตใจผู้อื่นเสียจริง ผมไม่ใช่คนแบบนั้น โปรดอภัยหากผมเข้ากับสังคมแห่งนี้ไม่ได้
ก็แหม
ตอนเด็กๆ พวกผู้ใหญ่ชอบหลอกว่าถ้าดื้อผีจะมาหลอกแล้วก็ทำเสียงทำหน้าตาแปลกๆใส่กัน
เห็นพวกเขาอยากให้ผมกลัว ผมก็เลยกลัว
แค่นั้นเองเหตุผลง่ายๆ
ก็อย่างที่บอกว่ามันมืด
สมัยอายุน้อยๆผมเคยถูกจับขังไว้ในตู้สี่เหลี่ยมแคบๆ
แถมนะ ด้วยความเคารพ พ่อคงลืมเปิดไฟให้ผมด้วยล่ะมั้ง ผมคิดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก นิสัยพื้นฐานเขาแล้วค่อนข้างเป็นคนที่ดีมากๆ ถ้าเขาไม่ลืมพ่อต้องเปิดไฟให้ผมแน่ๆ หรือวันนั้นอาจจะเป็นวันประหยัดไฟโลกกรีนเดย์ แต่นึกๆดูแล้ว วันกรีนเดย์ตามปฏิทินก็ไม่น่าจะมีติดๆกันบ่อยขนาดนั้น
แต่หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่อย่างที่บอก ผมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับคำโกหกหลอกลวง ไหนผีวะ ไม่เห็นจะเจอสักที ไม่เจอเลย หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ผมตะโกนเรียกในใจเพราะกลัวว่าถ้าดังไปนอกจากผีจะได้ยินแล้วพ่อจะได้ยินไปด้วย เดี๋ยวกลายเป็นไปรบกวนเขากับบรรดาเมียน้อยของเขาเข้าอีก
ผมเรียกหาสิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวว่ามาเลย ผมโคตรเหงา มาอยู่เป็นเพื่อนหน่อย ในนี้แม่งโคตรมืด ถ้าศึกษาจากสื่อไม่ว่าจะเป็นนิยาย ละคร หนังสือ ภาพยนตร์ ความเห็นตรงกันว่าพวกคุณชอบที่มืดๆอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
ผมไม่เกี่ยงเรื่องหน้าตาหรอก ผมมนุษย์สัมพันธ์โคตรดีโดยเฉพาะกับพวกคุณ ออกมาเถอะน่า มาเล่นกัน นั่งนับว่าวันนี้พ่อจะใช้เวลากี่ชั่วโมงเล่นกับเมียน้อยของเขาก่อนที่แม่จะกลับและจับได้
แต่สุดท้ายไม่ยักจะเจอสักทีจนป่านนี้ก็ยังไม่เคย
ในความมืด แม้แต่เพดานขาวขุ่นยังถูกกลืนหายไปกับสีดำ ผมกลับไม่พบเจ้าสิ่งที่ถูกนิยามให้น่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ได้ยินก็แต่เสียงครวญครางจากการเริ่มสมสู่กันข้างนอกนั่น เสียงพ่อกับบรรดาเมียๆที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของเขา
หลอกกันเห็นๆ
โว้ว แต่ผมไม่ได้ฟังแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศนั่งช่วยเหลือตัวเองหรอกนะ ยังๆ ผมยังไม่ได้จังไรขนาดนั้น ออกแนวขยะแขยงด้วยซ้ำ
ผมเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่อง ยังไร้เดียงสาอยู่เลย
แต่ก็ไม่นานหรอก
ในตู้สี่เหลี่ยมผมไม่เจอผี อากาศช่างน้อยนิดและร้อนไปหน่อย แต่ก็ทำให้รู้สึกมึนๆและหมดสติเร็วดี ผมหมายถึง ผมมึนหัวจนหลับไปเองน่ะ เวลาจะได้ผ่านไปเร็วๆหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ยืดยาดอยู่เรื่อย
แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดเขา ผีน่ะ อาจจะมีตัวตน แต่คงขี้อายเกินกว่าจะออกมาเล่นกับผมเท่านั้นเอง
เพราะผมก็ไม่เคยเห็นเขาจะออกมาแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างที่พวกผู้ใหญ่พูดๆกันสักครั้งเดียว
“กินยานะครับ เดี๋ยวกลับไปจะได้นอนเลย เผื่อลืม”
ระหว่างอยู่บนรถ เขายื่นไอ้ยาเวรนั่นมา
กินเท่าไหร่ก็ยังไม่หมดสักที พอไม่กินก็อ้างว่าเดี๋ยวดื้อยา ต้องอย่าลืม ท่องเอาไว้ ผมเป็นเด็กดีมีวินัย ผมจะไม่ขัดคำสั่งผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ที่ให้เงินผมมา
เขาเป็นห่วงผมมากเลยนะ โธ่ คุณก็รู้ อุตส่าห์พาไปปั่นจักรยานตกทะเลสาบเพื่อหวังที่จะสานสัมพันธ์อันดีและยังได้ดูแลสุขภาพด้วยการพาผมไปหาคุณหมอเลยได้เช็คร่างกายประจำปีไปในตัวหลังจากที่ไม่ได้ไปตรวจมาพักใหญ่ๆเหตุเพราะไม่มีตังค์
รสขมและของเหลวผ่านปลายลิ้น
ถ้าเป็นไปได้ ความซวยยังไม่หยุดยั้ง คราวหน้าหากป่วยอีกผมจะขอยาน้ำ เอาหวานๆหน่อย
จู่ๆเขาเบี่ยงตัวเข้ามา ผมตกใจไปชั่วครู่ ยังดีที่เป็นคนค่อนข้างเก็บอาการเก่ง ไม่เผลอกำหมัดทุบเข้าเบ้าตาเขาเข้าสักทีแม้ในใจอยากจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เขาดึงเข็มขัดคาดให้แล้วก็ยิ้ม ผมมองเฉยๆก่อนเปลี่ยนสายตาไปทีกระจกข้างรถ
“ง่วงเหรอ…”
ไม่นานเท่าไหร่
“นอนไปก็ได้ ถึงแล้วเดี๋ยวพี่ปลุก…” เขายกมือแตะหน้าผาก
อาจเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเรียนติดกันหลายชั่วโมง
อาจเป็นเพราะความอ่อนล้าจากชีวิต
หรืออาจจะเป็นความผิดของแอร์ที่ดันเย็นสบายเกินไป
สมคบคิดกับเจ้ายาตัวร้ายที่คาดว่ากำลังออกฤทธิ์ให้ง่วงซึม
เรี่ยวแรงถูกสูบ การอ่อนตัวของเปลือกตาดูจะมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น แค่การขัดขืนง่ายๆกลับกันช่างยากเย็น
สติค่อยๆเลือนหาย หรือเรียกอีกอย่างว่าสมองกำลังพาลสั่งให้ร่างกายปิดสวิตซ์
รถกำลังเคลื่อนตัวหรือหยุดนิ่ง ณ ส่วนนี้ผมไม่สามารถรับรู้ได้อีกแล้ว
ก่อนที่จะไม่รู้สึกตัว ก่อนที่ความจำจะถูกลบเลือน
เสียงลมหายใจ ไออุ่น ริมฝีปาก สัมผัสของฝ่ามือที่ค่อยๆลุกล้ำเข้ามาใต้เสื้อนักเรียนสีขาว
ขาวเหรอ ไม่ ผมว่ามันไม่ขาวอีกแล้วล่ะ
“…กานต์…”
ผมขอคัดค้าน
ใครว่าผีน่ากลัว
ไม่จริง
มันไม่จริงเลย
TBC
[09/09/2557]