{CH 45 ปังปังห่างไกล}
ผมไม่ได้อยากอ่อนแอ ไม่มีใครหรอกอยากมานั่งร้องไห้ทั้งวันแบบนี้ เมื่อก่อนผมไม่เคยเป็น ถึงจะขี้ขลาดแค่ไหน ผมก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครแบบนี้ เว้นแต่ตอนที่แม่ผมเสีย ในตอนนั้นผมยังเด็กและยังไม่รู้เรื่อง แต่ทุกรสภาพกลิ่นเสียง ทุกอย่างก็ยังตราตรึงอยู่ เพียงแต่ว่ามันเบาบางมากเท่านั้น เพราะท่านจากไปด้วยความรัก แม้แต่ตอนที่พ่อตี หรือโดนแกล้งโดนรังเกียจ ผมก็โดนจนชินไม่มีอะไรต้องซีเรียท
แต่สถานการณ์ตอนนี้ สภาพจิตใจผมแย่ชะมัดเลย แค่คิดถึงน้ำตามันก็ไกลในใจมันเต้นตุ๊บๆ เหมือนจะระเบิด สรุปแล้วในทุกๆเรื่องที่ผ่านมา มันคืออะไร เราเป็นแฟนกัน ผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน คำพูดที่หนักแน่น การกระทำที่ทำให้เชื่อใจ ทุกความอบอุ่นของอ้อมกอดที่มอบให้ ... มันปลอมหมดเลยงั้นเหรอ แล้วทำไม … ทำไมถึงเป็นแบบนั้น และต่อจากนี้ผมควรจะทำยังไงดี .... ไม่ใช่แค่ผม แต่พ่อด้วย …
หลายวันมานี้หลับตาลงทีไร ผมก็จิตนาการเรื่องของผมกับพ่อไปเรื่อยๆ และทางออกที่ดีที่สุด คงไม่พ้นที่ผมกลับพ่อจะต้องกลับไปสู่ที่เดิม บ้านหลังเดิม ที่มีแค่เราพ่อลูก ส่วนผมก็คงต้องทำเรื่องย้ายมหาลัยมาเรียนใกล้บ้าน ไม่รู้ว่าสามารถโอนหน่วยกิตได้หรือเปล่า ... แต่ผมคงอยู่ไม่ไหวหากต้องเดินผ่านคนขี้โกหกทุกวัน ต้องกลับไปนอนที่เดิมๆ ... มันคงทรมาน แค่คิดก็ไม่ไหวแล้ว … ถึงตัวเล็กจะเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ คุณแม่ใจดี เนียร์ บ๊อบแอน โทนี่ และเจ้าวัวจะน่ารัก แต่ผมก็ ...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ! “ข้าเข้าไปนะ ” เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงเรียกของพ่อผดุงดังขึ้น ทำให้ผมที่ซุกตัวเองในผ้าห่ม ลืมตาขึ้นยันตัวลุกขึ้นนั่ง โลกทั้งโลกเหมือนขว้างไปหมด หน้าร้อนผาวไม่สบายตัวเอาซะเลย ทำไมไข้ผมถึงหายช้าแบบนี้นะ จะทรมานกันถึงไหน
“ดีขึ้นหรือยัง”
“จ๊ะ ดีขึ้นแล้ว พ่อถืออะไรมาจ๊ะ กลิ่นเหมือนยาเลย” ผมทักขึ้นเมื่อเห็นพ่อเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหม้อดินเผาที่มีควันกรุ่นๆ โชคดีที่บ้านป้าเบลมีเครื่องทำความร้อนทั่วทุกมุมห้อง อากาศที่อุณหภูมิลดต่ำตอนฝนตกแบบนี้เลยไม่ทำให้พ่อของผมที่เป็นคนขี้หนาวป่วยไปด้วยอีกคน ไม่งั้นผมคงนอยกว่านี้อีกหลายเท่า เฮ้อ ...
“ก็ยาน่ะสิวะ นี้ดีนะที่ข้าพกยาสมุนไพรมาด้วย สองสามวันมานี้เอ็งเอาแต่ตอนข้าเลยไม่อยากให้เอ็งกิน ถ้าตอนนี้เอ็งดีขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นมากินสักหน่อยจะได้หายสักที ข้าละไม่ชอบที่เห็นเอ็งเหมือนคนจะตายแบบนี้” ผมเม้มปากตัวเองแน่น ก่อนจะพยักหน้าและรับยาที่พ่อตักใส่ถ้วยกระเบื้องมาถือเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆยกขึ้นดื่ม และเบ้ปากแทบจะร้องไห้เพราะมันขมไปทั้งคอ
“แคกๆๆๆ ขะ ขมชะมัด”
“เอ๊า กินน้ำซะ” ผมรับน้ำมาจากพ่อและกระดกจนหมดแก้ว พ่อผมเอาเราะเมื่อเห็นผมเอาแลบลิ้นออกมาด้านนอก เพราะไม่อยากให้ลิ้นโดนน้ำลายเพราะมันขมสุดๆ
“น้ำผึ้งหมดเหรอพ่อ ทำไมไม่ใส่มาสักนิด โธ่” พ่อหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีก นี้สรุปแกล้งผมใช่ไหม คือปกติพ่อจะรู้ว่าผมไม่ชอบกินขม เวลาไม่สบายทีไรยาแผนปัจจุบันเอาผมไม่ค่อยอยู่ ต้องสมุนไพรแท้ๆนี้แหละผลชะงักดีนัก แต่พ่อก็จะใส่น้ำผึ้งให้ไม่ขมมากนี้หน่า ... ใจร้ายชะมัดเลย แบร่
“โทษทีข้าลืมซื้อ หึหึ”
“ไม่ได้แกล้งหนูใช่ไหม” ผมเอียงคอถามและนั่งพิงหัวเตียงมองไปยั่งภาพของพ่อผดุงที่หัวเราะอยู่ เฮ้อ … พ่อคิดถึงแม่บ้างไหมนะ เหงาบ้างหรือเปล่าที่อยู่คนเดียวกับลูกไม่ได้เรื่องอย่างผม เหนื่อยไหมที่หาเลี้ยงผมด้วยตัวเพียงคนเดียวแบบนี้
“เอ็งจะได้หายไวๆไง” มือผอมแกร่นและกร้านจากการทำงานหนักแต่ทว่ากลับแข็งแกร่งและอบอุ่นของพ่อวางบนหัวของผม ก่อนจะลูบเบาๆอย่างปลอบปะโลม
“ข้ากับแม่เอ็งน่ะ เคยโกรธกันขนาดที่แม่ของเอ็งหนีข้าไปอยู่บ้านเพื่อนเลยนะไอ้ปัง หึหึ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นข้าคงกินเหล้ามากไปหน่อยละมั้ง บวกกับแม่เอ็งท้องเอ็งด้วยเลยน้อยใจไปกันใหญ่ ข้าน่พตามง้อแม่เอ็งตั้งหลายวันกว่าจะกลับมาได้ ใจข้าอกไปอยู่ตาตุ่ม นึกว่าเมียจะน้อยใจไม่กลับมาซะแล้ว จากนั้นมาข้าก็เลิกเหล้าเด็ดขาดเลย หึหึ” ผมนั่งฟังพ่อเงียบๆ น้ำเสียงของพ่อดูมีความสุขเอาซะมากๆ จนผมต้องเอามือทั้งสองข้างกุมเข้าหากัน ในท้องร้อนผาวเพราะยาสมุนไพรออกฤทธิ์
“พ่อคิดถึงแม่ไหม” เสียงอ่อยของผมถามขึ้น พ่อผดุงมองผมและยิ้มกว้างให้พยักหน้านิดๆ
“เมียข้าทั้งคนนะไอ้ปัง หึหึ แต่ข้าไม่เสียใจหรอกนะ ที่ทุกวันนี้แม่เอ็งไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะแม่เอ็งไม่เคยไปไหน แต่ยังอยู่ตรงหน้าข้า และอยู่ในใจของข้าตลอดเวลา” พ่อชี้มาที่ผม ก่อนจะเอามือทาบที่หัวใจตัวเอง ผมเหรอ …
อ่า ...ใช่มีแต่คนบอก แม่กับผมน่ะเหมือนกันมาก แต่ผมว่าไม่เห็นเหมือนแม่ผมน่ะสวยจะตาย ท่านเป็นคนท้วมนิดๆไม่ถึงกับอ้วน ใบหน้าอิ่มผิวขาวเหลืองตามเชื้อสายจีนของท่าน ดวงตาหวานคม จมูกจิ้มลิ้มปากเล็กบางเป็นกระจับ รูปของท่านหนึ่งเดียวที่ผมมีอยู่ตอนนี้คงอยู่ในห้องพ่อผดุงที่บ้านของพี่ใหญ่ …
“เรื่องของข้าและเมียข้า เอ็งคงรู้หมดแล้ว ความรักของข้าไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ ไม่สมหวังเหมือนในละครน้ำเน่า แต่ข้าทั้งสองคนก็ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่รักกัน หึหึ เอ็งเข้าใจไหมไอ้ปัง เข้าใจที่ข้าพูดหรือเปล่า” ผมก้มหน้าหลบตาของพ่อส่ายหน้าไปมา … ผมไม่รู้ว่าพ่อพูดถึงอะไร ผมไม่รู้ ...
“ข้าถามจริง เอ็งเชื่องั้นหรอว่าไอ้ใหญ่มันหักหลังเอ็ง ...”
เหมือนความคิดของผมทั้งหมดที่เฝ้าโทษใครอีกคนมาชะงักลง … ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วแบบไหนละ พี่ใหญ่จูบมิ้นต์นั้นคือความจริงที่ผมเห็น และเขาไม่ได้เมา ทุกอย่างเกิดจากความตั้งใจ ตั้งใจที่จะหลอกผมเพราะเห็นผมโง่
“ทุกอย่างที่เอ็งผ่านมา มันไม่พิสูจน์อะไรได้เลยหรือไงไอ้ปัง”
“พ่อกำลังจะพูดอะไรกันแน่ พี่ใหญ่จูบกะ ...”
“เฮ้อ ... เอ็งเห็นแต่เอ็งไม่เข้าใจไงไอ้ปัง เอาเถอะ คิดเอาเองข้าไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับปัญหาของวัยรุ่น แต่ข้าเชื่อว่าข้าดูคนไม่ผิด คนที่มันจริงใจและจริงจังกับความรักและชีวิตขนาดนั้น ถ้ารองได้ให้มันรักใครรักคน มันก็จะทุ่มเททั้งชีวิตและไม่มีทางหักหลังคนที่มันรักหรอก อย่ามัวแต่เศร้าคุยกันซะบ้างแล้วใช้สมองอันน้อยนิดของเอ็งว่ามันสมควรจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า โตจนหมาเลียปากไม่ถึงแล้วอย่าโง่”
พ่อพูดจบก็เดินออกนอกห้องไป ...แรงชะมัดด่าว่าผมโง่ด้วยละ เฮ้อ ... ผมอาจจะโง่จริงๆก็ได้ แล้วทำควรจะทำยังไงละทีนี้ … สับสนไปหมดสรุปผมหรือพี่ใหญ่กันแน่ที่ผิด หรือบางทีเรื่องนี้มันไม่มีคนถูกเลยกันแน่ …
.
.
.
“ตาใหญ่ นั่งก่อนสิ”
ร่างสูงของพี่ใหญ่เดินเข้าบ้านของตนเองที่ผู้เป็นแม่นั่งคอยอยู่ก่อนแล้วบนโซฟาลายดอกไม้ในห้องรับแขก เพราะกับการต้อนรับของเจ้าสามสหายที่ตัวโตกันผิดหูผิดตา ทั้งบ๊อบแอนโทนี่แมวสีขาวบริสุทธิ์ที่กระโดดลงจากตักมารดาวิ่งมาหาเขาพร้อมๆกับเจ้าเนียร์ฮักกี้น้อยที่บัดนี้กลายเป็นเจ้าตัวยักษ์และเจ้าวัวหมาพันธ์ลายวัวที่ตัวเล็กกว่าเจ้าเนียร์หน่อยเดียว ทั้งสามต่างคิดถึงร่างสูงและเข้ามาคลอเคลียหวังให้เจ้านายที่รักนั่งลงมาเล่นกับตัวเอง แต่ร่างสูง ณ ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ร่วมกับอะไรทั้งนั้น ที่มานี้ได้เพราะเห็นแก่มารดาขอร้อง ไม่เช่นนั้นป่านนี้พี่ใหญ่คงอยู่ที่สนามบินแล้วเป็นแน่
“แม่มีอะไรครับ”
เสียงทุ้มต่ำถามขึ้นพร้อมกับเดินไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม สีหน้าไม่สู้ดีนัก รีบๆลนๆจนผู้เป็นแม่เหมือนได้เห็นภาพในอดีตนั้นอีกครั้ง แต่เมื่อครั้งสุชาดา เธอไม่ได้อยู่เคียงข้างลูกชายเพราะทำงานอยู่ต่างประเทศ และในตอนนี้เธอไม่มีวันจะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเป็นอันขาด
“จะไปไหนตาใหญ่”
“หาปังครับ”
“ใหญ่ ถ้ายังเห็นแม่เป็นแม่ แม่ขอให้ใหญ่ฟังแม่ได้ไหมลูก” คุณนายของบ้านพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือเรียวขาวของตัวเองมาจับที่ต้นแขนของลูกชายคนโตที่มักจะเป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอ แต่ในตอนที่ผิดหวังและเสียใจ ภาวะในการตัดสินใจมักจะเป็นศูนย์ ไม่ว่าจะครั้งไหนๆก็ตาม
“อีก 2 ชั่วโมงเครื่องจะออกนะแม่ ผมต้องรีบแล้ว” พี่ใหญ่พูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
ตาคมก้มลงไปมองเจ้าวัวที่ซบบนเท้าของเขา พาลให้นึกถึงใครบางคนที่อ้วนเหมือนกับเจ้าหมาตัวนี้ คิดถึง อยากเจอ อยากกอด อยากขอโทษ อยากอธิบาย จนหัวใจแกร่งแทบจะระเบิดออกมา อดไม่ได้ที่จะลงไปใช้มือลูบหัวของเจ้าวัวอยากเอ็นดู ไม่เพียงเจ้าวัวที่มีความทรงจำของเขาและปัง ยังมีเจ้าเนียร์และบ๊อบอีกด้วยที่ตั้งท่าอยู่ใกล้ๆ
“ใหญ่ลูกคิดดีแล้วเหรอที่ตามหนูปังไป ลูกคิดว่าไปแล้วอะไรมันจะดีขึ้นงั้นเหรอลูก” ใบหน้าคมเข้มนั้นแสยะยิ้มก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย แน่สิ ถ้าเขาไปเจอปัง เขาจะลากปังกลับมาโดยไม่ให้เจ้าหมูอ้วนไอ้อุทรใดๆ ทั้งนั้น ขอแค่ได้เจอจะไม่ปล่อยให้ไปไหนเด็ดขาด เพราะปังเป็นของเขา ของเขาเพียงคนเดียว
“ตาใหญ่ ลูกมีภาวะความเป็นผู้นำที่สูงและมักจะเป็นผู้ใหญ่เหนือกว่าเด็กที่รุ่นเดียวกัน แต่รู้ไหมทุกครั้งที่ลูกไม่มีสติ ลูกมักจะทำอะไรเหมือนเด็กเอาแต่ใจ และขาดวุฒิภาวะในการตัดสินใจและไม่สนอะไรทั้งนั้น ซึ่งนี้คือข้อเสียของลูก สุชาดากับหนูปัง ไม่ใช่คนเดียวกันนะลูก หนูปังดีกว่าสุชาดาหลายเท่า แม่ถามจริงๆเถอะ ใหญ่รักและเชื่อใจน้องบ้างไหม”
“มันโง่ ถ้าผมไม่ไปตาม มันคงไม่กลับมา ผมไม่ยอมให้มันไปไหน เพราะมันเป็นของผม”
“แม่ว่าหนูปังฉลาดออกที่หนีไป” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เพราะร่างสูงคิดว่ามันโง่มากที่หนีคนอย่างเขาเพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็จะต้องตามหาจนเจอ และสุดท้ายเขาก็จะพันธนาการไม่ให้ปังไปไหนเลยตลอดชีวิต
“แม่เชื่อว่าเรื่องนี้เราสองคนผิดทั้งคู่นะใหญ่ ปังผิดที่ไม่คิดจะฟังใหญ่ ใหญ่เองก็ผิดที่มีอะไรไม่พูดไม่อธิบาย ทั้งๆที่ต้องอธิบายมีโอกาสเยอะแยะแต่ก็ยังใจเย็น จนเรื่องมันออกมาแบบนี้ แล้วก็มานั่งเสียใจโทษคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยคิดจะโทษตัวเองที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ปากบอกว่าตัวเองผิดอยากขอโทษแต่ในใจกลับปฎิเสธและโยนความผิดให้ทุกคน รวมไปถึงหนูปังด้วย แม่พูดถูกไหมใหญ่ ?”
ร่างสูงนิ่งสงัด จริงทุกคำที่แม่ของเขาพูด ... แม่ของเขาเป็นคนที่มองคนออกจากหน้าที่การงานที่ต้องพบเจอคนมากมายและแข็งแกร่งมากกว่าผู้หญิงคนไหนๆ ที่เลี้ยงลูกเพียงคนเดียวมาตลอด 20กว่าปีที่ผ่านมา หลังจากที่พ่อของเขาประสบอุบัติเหตุและทิ้งพวกเขาและบริษัทเอาไว้เบื้องหลัง ใหญ่รู้ข้อนี้มาตลอด และหวังว่าสักวันเขาจะเป็นเสาหลักครอบครัว แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะรู้สึกแล้วว่า เขามันก็แค่เด็กคนนึง เด็กที่จะไม่รู้จักโต และปิดกั้นการเรียนรู้ตลอดมา
“ผมควรทำยังไง” พี่ใหญ่พูดเสียงเบาหวิว ทุกอย่างที่เขาคิดเขาอ่านมันดูเด็กน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้หญิงตัวเล็กๆตรงหน้า เผลอๆคนที่โตกว่าเขาอาจจะเป็นตัวเล็กน้องของเขาก็ได้
“รอไง ใหญ่ต้องรู้จักรอ รู้จักเรียนรู้ในความรักที่เอื้ออาทรกัน รอให้รู้จักความรักแบบผู้ใหญ่ ให้สมกับที่หนูปังจะฝากชีวิตไว้ได้”
“แต่…”
“แม่เชื่อว่าแม่ดูคนไม่ผิด หนูปังไม่ใช่คนโง่ เป็นเพียงคนที่เชื่อความรู้สึกมากกว่าเหตุและผล ในบางครั้งก็ซื่อจนน่ารำคาญและทำให้เราหัวเสียหลายต่อหลายครั้ง แต่หนูปังก็น่ารักไม่ใช่หรือไงตาใหญ่” ร่างสูงพยักหน้าอย่างจำยอม
เขาค่อยๆลุกขึ้น เดินขึ้นไปบนชั้นสองเงียบๆ เข้าไปในห้องของปังปังเจ้าหมูน้อยของเขาที่อยู่ติดกับห้องของเขา ผ้าปูที่นอนสีฟ้าสดใส เฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งด้วยสีขาวและสีครีมดูเรียบง่าย มองออกไปที่หน้าต่างมองเห็นท้องฟ้าอันสดใส ร่างสูงค่อยๆนั่งลงบนเตียงที่แสนจะคุ้นเคย ตาคมเหม่อมองไปบนฟ้าที่ว่างเปล่า ในใจที่เคยร้อนรุ่มเริ่มที่จะเบาบางลงวางพาสปอร์ทและตั๋วเครื่องบิน ที่ถือไว้แน่นอยู่ตลอดเวลาลงไว้ข้างกายก่อนจะล้มตัวลงใช้แขนข้างนึงหนุนศรีษะเอาไว้
มุมปากยกยิ้มเล็กๆเมื่อมองไปบนเพดานเห็นสติกเกอร์สะท้อนแสงรูปเสือและหมูตัวน้อยที่เคียงข้างกัน ไม่รู้ว่าเจ้าหมูดื้อเอาขึ้นไปติดเมื่อไหร่แต่มันน่ารักเอาซะมากๆ มันทำให้เขาผ่อนคลายและมั่นใจว่า ต่อให้เขาไม่บังคับจิตใจของปังปังเหมือนทุกครั้ง ในสักวันปังปังจะต้องกลับมาหาเขา ไม่ใช่เพราะปังรักเขา หรือ เขารักปัง แต่เพราะเรารักกันต่างหาก
“ถ้าคิดดูดีๆแล้ว พี่บังคับเรามาตลอดเลยนะปังปัง ....” พี่ใหญ่ยกแขนข้างซ้ายขึ้นก่อนที่แหวนสีเงินเรียบบนนิ้วนางจะสะท้อนกับแสงแดดอุ่นๆด้านนอก พราวระยับจนเขาต้องยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ... แหวนที่แทนตัวเองและปังปัง แหวนที่เขาทำให้ปังปังกับมือตัวเอง
“พี่ขอโทษ พี่จะรอ รอวันที่เรากลับมา และพี่จะไม่ทำให้มันเป็นแบบนี้อีก ...ถือซะว่าการรอคอยคือบทลงโทษของเราทั้งสองคนแล้วกันนะเจ้าหมูแดง” เขาพึมพำก่อนจะปิดตาลง พักผ่อนหลังจากที่ไม่ได้นอนมาหลายวัน
ในเมื่อตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงรอคอยอย่างมีความหวัง ในวันข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่รู้ ต่อให้สุดที่รักของเขาจะตัดสินใจยังไง คนหัวรั้นอย่างเขาก็จะไม่ฝื่นใจอีก ขอแค่อีกคนมีความสุข นั้นก็คือความสุขของเขาไม่ใช่หรือไง ใช่แล้ว ปังไม่เหมือนสุชาดา ไม่เหมือนมิ้นต์ ไม่เหมือนใครทั้งนั้น ... เพราะปังคือปัง เจ้าหมูตัวร้ายที่กล้าขโมยหัวใจของเสือร้ายจอมทรนงอย่างเขา
-ปัง- “ป้าเล็กครับ”
ผมเดินลงมาด้านล่างเห็นป้าเล็กแม่บ้านคนไทยวัยกลางคนกำลังเดินผ่านมาพอดี โชคดีนะครับที่ป้าเบลจ้างคนไทยมาเป็นแม่บ้านไม่อย่างงั้นผมคงพูดกับเขาไม่รู้เรื่องแน่ๆ ว่าแต่ทุกคนไปไหน ทำไมเงียบจัง พี่อลัน ป้าเบล พ่อหายไปไหนกันหมดนะ ทั้งๆที่ฝนตกทั้งวันแบบนี้แท้ๆ
“หนูปังดีขึ้นแล้วเหรอคะ ดีจริงๆเลยนะคะ”
“แหะๆ ได้ยาดีนะครับ” ผมว่าและเดินไปหาป้าเล็ก เอาจริงๆตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากกินยาของพ่อเข้าไปในท้องก็ร้อนเหงือออกและตาสว่าง ไข้เข้ยคลายลงอย่างเห็นได้ชัด แต่อาจจะมีไออยู่บ้างนิดหน่อยปะปลายตามอาการ
“ว่าแต่หายไปไหนกันหมดครับเนี้ย” ผมถามป้าเล็กที่ยืนมองผมอยู่ยิ้มๆ
“คุณนายกับคุณผดุงออกไปซื้อของเมื่อกี้คะ ส่วนคุณอลันเห็นว่าจะไปซื้อขนมเจ้าอร่อยให้คุณปังนะคะ”
“ทั้งๆที่ฝนตกแปปนี้น่ะหรือครับ”
“คะ แหม พวกท่านๆไปรถยนต์กันไม่เป็นไรหรอกคะ อีกอย่างฝนซาแล้วด้วย ว่าแต่หนูปังเพิ่งหาย มากินซุปให้คล่องคอดีกว่านะคะ” ผมยิ้มรับก่อนจะโดนป้าเล็กลากเข้ามานั่งในห้องอาหารที่เมื่อเช้าลงมาหาพี่อลันให้พาไปหาตาแล้วทีนึง เฮ้อ ไม่คุ้นเคยเอาซะเลยกับบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม
“รอตรงนี้นะคะ เดี๋ยวป้าไปตักซุปให้นะจ๊ะ”
ผมพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนที่ป้าเล็กจะหายเข้าไปในครัว เฮ้อ อยากได้โทรศัพท์ผมคืนจังอย่างน้อยก็ขอติดต่อตัวเล็กสักหน่อย หลังจากที่พ่อพูดมันก็ทำให้ผมเป็นห่วงพี่ใหญ่มาก ถึงจะยังไม่พร้อมที่จะเจอ แต่อย่างน้อยก็ขอรู้ก็ยังดีว่าตอนนี้พี่ใหญ่เป็นยังไงบ้าง เขาโอเคใช่ไหมเท่านั้นเอง ถ้าเค้ายังรักผมเหมือนที่พี่เค้าบอก เขาคงทั้งโมโหทั้งเป็นห่วงกันอยู่แน่ๆ หวังว่าเขาคงไม่รีบมาหิ้วผมกลับไปหรอกนะ งื้อ เฮ้อ นี้ผมหวังอะไรอยู่นะ
จริงสิ พี่อลันไม่อยู่นี้ … “มาแล้ว อ้าวหนูปังไปไหนลูก”
“ปังขอไปนอนพักอีกสักพักนะครับ ขอโทษครับป้าเล็ก”
“อะ โอเคจ้า”
ตอบป้าเล็กเสร็จตัวผมก็รีบวิ่งขึ้นบันไดก่อนจะย่องไปห้องของพี่อลันที่อยู่สุดทางเดินทางขวามือ ก่อนจะกลั้นหายใจพึมพำขอโทษเบาๆและบิดลูกบิดเข้าไปในห้องของพี่อลัน ขอโทษนะครับพี่อลัน ผมอยากได้โทรศัพท์ผมคืนจริงๆ ไม่มีเจตนาจะล้วงล้ำพื้นที่ของพี่เลย
“ว้าว ห้องสวยจัง”
ผมอุทานออกมาเบาๆเมื่อเปิดเข้าไปเห็นห้องของพี่อลันที่ตกแต่งด้วยสีขาวและสีน้ำเงินเข้มดูสดใสและน่าค้นหาเหมือนพี่อลันเลย พี่อลันจะเก็บโทรศัพท์ผมไว้ตรงไหนนะ โต๊ะลิ้นชักหัวเตียงหรือเปล่านะ นึกได้ผมก็รีบเดินไปหามันทันที อ่ะ ไม่มีอะ มีแต่พวกนาฬิกากับพวกเครื่องประดับเล็กๆน้อยเอง หรือว่าอยู่ตรงโต๊ะทำงานตรงมุมห้องนะ
แก๊ก แก๊ก “ล็อกอะ” น่าสงสัย เจ้าลิ้นชักนี้น่าสงสัย พี่อลันเอาของมีค่าใส่ไว้ข้างเตียงแต่กลับไม่ใส่โทรศัพท์ผมไปด้วย แล้วลิ้นชักนี้ก็ล็อก ผมปล่อยมือจากลิ้นชักนี้ และก้มลงไปค้นในลิ้นชักอื่นๆ พร้อมกับชั้นหนังสือที่วางเอาไว้อย่างเร่งด่วน งื้อ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนขี้ขโมยเลย แต่ผมแค่จะเอาของๆผมคืนเองนะ
“อยู่ไหนนะ” แย่ชะมัด แค่โทรศัพท์เครื่องเดียวพี่อลันเอาไปวางไว้ไหนนะ เฮ้อ …
หาตรงไหนก็ไม่เจอ ... ผมถอยหายืนกอดอกกลางห้องก่อนจะมองไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ผมเพิ่งค้นไปและหาอะไรไม่เจอนอกจากเสื้อผ้าราคาแพงของพี่อลัน ...จริงสิหลังตู้หรือเปล่านะ แล้วพี่อลันจะเอาโทรศัพท์ของผมไปไว้ทำไมบนนั้น ช่างเหอะ ก็หาทุกซอกทุกมุมแล้วมันไม่เจอนี้หน่า …
“ฮึบ ระวังตกนะ” ไม่มีใครเตือนผมหรอก ผมนี้แหละเตือนตัวเอง โต๊ะทำงานของพี่อลันถูกมาเป็นบันไดให้ผมขึ้นไปบนหลังตู้ได้ ขอโทษนะครับพี่อลัน แงงงงงงงงงงงง อ่ะ ... กุญแจล่ะ
พอไม่เจอโทรศัพท์ก็ต้องลงมาจากหลังตู้และนั่งลงบนเก้าอี้ที่ลากมา พิจารณากุญแจดอกเล็กๆในมือมันดอกเล็กเกินกว่าจะเป็นกุญแจบ้านละนะ ...หรือว่าจะเป็น … กุญแจลิ้นชักโต๊ะทำงาน ต้องใช่แน่ๆเลย
“ขอโทษนะครับพี่อลัน ขอดูแปปนึงนะ” ขอโทษพี่เขาเสร็จผมก็รีบเดินไปที่โต๊ะทำงานและจ่อกุญแจที่ชิ้นชักสรุปมันเข้ากันได้พอดีเป๊ะ งื้อออออออออออออ ปังขอโทษ!
แก๊ก … ผมค่อยๆกลั้นใจเปิดลิ้นชักหลังจากที่ไขปลดล็อกมันได้ …. ไม่มีครับ ไม่มีโทรศัพท์ของผม ... มีแต่รูปของผม ... ทั้งนั้นเลย ...
“ปัง ทำอะไรในห้องพี่”
.
.
.
ต่อด้านล่าง