{CH 43 คำบอกลา ? }
“ทำให้มันมีชีวิตชีวาหน่อยไอ้เล็ก”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ และหันไปมองตัวเล็กที่นั่งอยู่กับพื้นห้องข้างๆ รอบตัวของเรามีข้าวของของผมวางอยู่เต็มไปหมด เพราะผมต้องไปออสเตรเลียเยี่ยมคุณตาที่ไม่เคยเห็นหน้า 1 สัปดาห์ พี่ใหญ่ทำเรื่องลาทางมหาลัยให้ผมเรียบร้อย โชคดีที่วีคที่ผมจะไปไม่มีสอบ หรืออะไรที่สำคัญมากนัก และโลกก็แคบเกินกว่าที่จะไม่คุยกัน ยังมีสื่อออนไลน์อีกตั้งหลายอย่างที่จะทำให้เราติดต่อกันอย่างง่ายดาย แต่ตัวเล็กก็ทำท่าเหมือนเจ้าเนียร์ ที่นอนเป็นพรมเช็ดเท่าอยู่ข้างๆขาเก้าอี้พี่ใหญ่ที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์
“เล็กไม่อยากให้ปังปังไป เล็กคิดถึงงงงงงงงงงง”
“ไปแค่สัปดาห์เดียวเอง เราคุยกันได้ทุกวันนะ”
“แต่เล็กไม่ไว้ใจคนๆนั้น คนอะไรอยู่ดีๆก็มาบอกว่าเป็นป้า ถ้าปังโดยหลอกไปขายจะทำยังไง ใครจะช่วยปัง ปังปังต้องไปกับพ่อผดุงแค่ 2 คน แค่ 2 คนนะ ทำไมไม่เอาเล็กหรือพี่ใหญ่ไปด้วย”
“อย่าเยอะไอ้เล็ก” นายเสาร์ที่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงเลื้อยมาปลายเตียงและใช้มือโยกหัวตัวเล็กไปมา
“ไม่ได้เยอะ อยากน้อยก็เอาเจ้าเนียร์ไปด้วย เห็นหน้าตาแบบนี้กัดเก่งนะ แฮ่!” เจ้าเนียร์เหมือนรู้จังหวะดี มันเดินมาทิ้งตัวลงบนตักตัวเล็ก ทำให้ตัวเล็กก้มมาแยกเขี้ยวแหล่มๆของเจ้าหมาหน้าเอ๋อที่ทำท่าจะนอนอย่างเดียว
หัวเราะกับมุขของตัวเล็กได้เพียงแค่นิดเดียว ผมก็อดคิดมากไม่ได้เหมือนกัน ผมไม่เคยไปเมืองนอก ไม่คุ้นเคยกับอะไรสักอยาก เวลา 1สัปดาห์ที่ผมต้องอยู่ห่างจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างจากเพื่อน ห่างจากพี่ใหญ่ ในสังคมที่แสนอบอุ่น ทำให้ผมอดที่จะเหงาไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าผมไม่ไป ตาจะต้องเสียใจ และในสิ่งที่พ่อกับแม่ของผมทำผิดเอาไว้ก็ต้องคาราคาซังต่อไปไม่ได้ขอขมาให้คุณตาหลับอย่างสบาย … ยังไงผมก็ต้องไป แค่ 1 อาทิตย์เอง ไม่เป็นไรหรอก
“เห็นไหมไอ้แมว พูดซะไอ้อ้วนคิดมากเลย”
“หว๋า เล็กขอโทษน๊า!”
“ไม่ๆไม่เป็นไร เล็กไม่ทำงานอาจารย์หนวดหรือ พรุ่งนี้ส่งแล้วนะ”
“จริงด้วย เล็กลืมไปเลย งั้นเล็กไปทำก่อนนะ ก่อนที่จะโดนฆ่า!” ตัวเล็กตาลีตาเหลือกเดินออกนอกห้องไปโดยมีตายเสาร์เดินโซเซ จูงเจ้าเนียร์ตามออกไปด้วยทั้งห้องเลยตกอยู่ในความเงียบมีแต่ เสียงคีย์บอร์ดจากคอมพิวเตอร์ดังอย่างต่อเนื่อง ผมก็ค่อยๆเก็บของที่ตัวเล็กรื้อออกมาจัดประเป๋าให้ ลงไปในกล่องใส่เสื้อผ้าที่ว่างเปล่า ยังไม่อยากเก็บกระเป๋านี้ครับอีกตั้ง สัปดาห์นึงกว่าจะได้ไป ไหนจะต้องทำพาสสปอร์ตอีก ต้องยุ่งยากมากแน่ๆ
“พี่ใหญ่ฮะ”
“ว่า …”
“ตอนผมไปต่างประเทศเราจะคุยกันทุกวันไหม”
“ไม่อะ บางวันก็มีธุระ บางวันก็ไปเรียน นึกกรึมๆก็ไปกินเหล้า”
“ไม่เชื่อหรอก”
“อะไรไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อว่าพี่ใหญ่จะไม่คิดถึงผม”
“มั่นหน้ามากไอ้อ้วน”
ผมหัวเราะคิกเมื่อพี่ใหญ่หันมาพูดหน้าตาย แถมเบะปากอีก พี่ใหญ่พอเห็นผมหัวเราะก็เลิกคิ้วและควักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ ผมส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเดินไปเอาแผ่นไม้อัดที่ใหญ่กว่ามาวางกลางห้องและใช้กระดาษ A3 วางทาบลงไป เตรียมดินสอ ในหลายๆขนาดที่ให้ความคมของสีต่างกัน โจทย์ที่เพิ่งได้วันนี้คือรูปของเรือ เรือที่มีโครงสร้างชัดเจน และสามารถสร้างเป็นโมเดลที่ลอยน้ำและขับเคลื่อนได้จริง … นี้ผมเรียนศิลปะหรือวิศวะนะ ถึงผมจะไม่ถนัด แต่ผมก็จะพยายามเหมือนทุกครั้งที่ผมบอกเอาไว้ อ่อ ตอนไปบ้านตาผมก็จะเอาเรือไปวาดด้วย ตั้งชื่อช่วงคราวว่า ‘เรือของปัง’ แบ๊วไหมละ
“ไอ้หมู”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก่อนที่พี่ใหญ่จะพูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทำให้ผมกับพี่ใหญ่มองหน้ากัน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจและเดินหน่ายๆ ไปส่องตาแมวถอนหายใจเฮือกใหญ่หันมามองหน้าผมชี้ไปที่ประตูและพูดออกมาอย่างเซ็งๆ
“มิ้นต์มาหา” ผมเอียงคอเลิกคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะพยักหน้าให้พี่ใหญ่เปิดประตู เขาถอนหายใจอีกรอบก่อนจะยอมเปิดประตูให้ หน้าเหนื่อยใจไปนะพ่อหนุ่มคนนี้น่ะ
“ไฮ! สวัสดีปังปัง สวัสดีพ่อใหญ่ วันนี้มิ้นต์ขอมานั่งทำงานด้วยนะ” มิ้นต์แทรกตัวเข้ามาในประตูพร้อมกับอุปกรณ์ข้าวของที่อุตส่าห์หอบมาซะเยอะ ตาสีเขียวสบกับผมก่อนจะยิ้มจนตาปิด มิ้นต์เป็นคนยิ้มสวยผมเชื่อว่าทุกคนที่เห็นจะต้องหลงรัก ดีไร้เดียงสาและจริงใจที่สุด ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร มิ้นต์ก็ลงมานั่งข้างๆผม หยิบหนังสืออะไรสักอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษออกมาจากกระเป๋า
“ปังปัง อ่านหนังสือไหม”
“ภาษาปังไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ”
“อ้าวแล้วจะไปต่างประเทศได้ยังไงละ” มิ้นต์เอียงคอมองผม ไม่ใช่แค่มิ้นต์สงสัย ผมก็สงสัยเหมือนกันว่ามิ้นต์รู้ได้ยังไงว่าผมกำลังจะไปเยี่ยมคุณตา …
“มิ้นต์รู้ได้ยังไงว่าปังกำลังจะไปต่างประเทศ”
“… มิ้นต์มีเซ้นต์ไง เพื่อนๆเรียกมิ้นต์ว่ามิ้นต์ญาณทิพย์”
“มิ้นต์ … ปังไม่ตลกนะ” ผมว่าและจ้องหน้ามิ้นต์อย่างไม่ปิดบัง ในบางทีผมก็รู้สึกถูกมิ้นต์ล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวมากเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุด
“คือ … เมื่อวันก่อนร้านที่ปังกับพี่ใหญ่ไป มิ้นต์ก็อยู่ในร้านด้วย แหะๆ ” ผมเอียงคออย่างสงสัย เมื่อวานผมก็ไม่เห็นมิ้นต์เลยนี้หน่า หรือว่าผมไม่ทันได้สังเกต หันไปมองพี่ใหญ่ที่นั่งมองอยู่บนโต๊ะก็เห็นเค้ายักไหล่ให้ ผมก็เลยถอนหายใจนิดๆก่อนจะยิ้มอย่างปลงๆ เพราะยังไงเรื่องไปต่างประเทศก็ไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด
“แล้วมิ้นต์ไปทำอะไรที่ร้านนั้นละ”
“ไปทานข้าวน่ะ แต่บังเอิญเจอปัง กะจะเข้าไปทักเห็นคุยเรื่องสำคัญอยู่เลยไม่ได้เข้าไปแต่นั่งลงโต๊ะหลังปังคิดว่าจะเข้ามาทักหลังจากที่คุยเสร็จแล้ว แล้วก็ … ขอโทษนะที่เราแอบฟัง … ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“อือ” ผมว่าและก้มลงมองหนังสือในมือตัวเองที่มิ้นต์ยื่นให้ ก่อนจะเปิดดู … ผมอ่านออกบางคำ แต่ประติดประต่อเป็นภาษาไม่ได้ มันก็แย่จริงๆนะ ผมไปเยี่ยมตาคงไม่กล้าไปไหนแน่ๆ
“เอาไว้ก่อนดีกว่า ปังต้องทำงานก่อนนะ”
ผมว่าและวางหนังสือเล่มนั้นลง ก่อนจะหันมาสนใจงานของตัวเอง ผมใช้เวลาอยู่กับงานผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ พี่ใหญ่เปลี่ยนจากนั่งหน้าคอม มานอนเล่นเกมในมือถือบนเตียงหันหน้ามาทางผม เราสบตากันบ่อยครั้งและทำให้ผมเขินอยู่บ่อยๆ และเค้าก็ชอบแกล้งผมด้วย ส่วนมิ้นต์ตอนนี้ก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆผม มีบางจังหวะที่หันมาชวนผมกับพี่ใหญ่คุยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญแต่อย่างใด ห้องเลยตกอยู่ในความเงียบ จนผมเผลอพักสายตา เอาหัวพิงกับตู้เสื้อผ้าด้านหลังและหลับตาลง ผ่านไปกี่นาทีแล้วไม่รู้แต่หนังตาของผมหนักอึ้งขี้เกียจเกินกว่าจะฝืนมันจนหลับไปจริง ๆ ในที่สุด
“ทำไมละ ?” เสียงของมิ้นต์ปลุกให้ผมตื่นขึ้น ความรู้สึกนุ่มนิ่มและอุ่นทำให้รู้ว่าตอนนี้กายของผมซุกอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงหนาที่ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นของพี่ใหญ่ที่ผมคุ้นเคย
“ยังจะถามอีกเหรอไง พูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่าตอนนี้มันไม่ใช่เมื่อก่อนแล้ว” เสียงดุๆของพี่ใหญ่ ทำให้ผมตกใจ … เกิดอะไรกันขึ้น ระหว่างมิ้นต์กับพี่ใหญ่ … พวกเขาคุยเรื่องอะไรกันอยู่
“no!!!! I don't understand” ผมสะดุ้งแทบจะถลาออกไปจากผ้าห่ม แต่ … แต่ผมอยากที่จะรู้เรื่องมากกว่านี้ ถ้าผมออกไป ผมอาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้
“จะตะโกนหาอะไร” พี่ใหญ่กัดฟันพูด
“I เจ็บ!!!! you are not gay!!!!!!”
โครม!!! เสียงปิดประตูดังสนั่นหลังจากที่มีเสียงฉุดกระชากกัน ผมถลาออกจากผ้าห่มวิ่งไปที่ประตู ก่อนจะเปิดประตูออกไป ผมแอบส่องตาแมวที่ประตูก่อนเห็นพี่ใหญ่กับมิ้นต์พูดอะไรกันสองสามคำ ก่อนที่มิ้นต์จะร้องไห้ตาแดงปากกัดแน่นเหมือนคนที่โมโหมากๆ และพยายามจะเข้ามาภายในห้องอีก แต่ถูกพี่ใหญ่คว้าตัวไว้ ก่อนจะลากมิ้นต์ออกห่างห้องผมออกไป ใจในตอนนั้นของผมเต้นแรงซะจนคิดว่ามันอาจจะหยุดเต้นก็ได้ในเวลาต่อมา …
ผมต้องตามไปดู … นั้นคือสิ่งเดียวที่ผมคิด และทันกับความคิด ผมถลาออกไปจากห้องไม่สนใจรองเท้าหรือทรัพย์สินเงิน
ทองอะไร กลัวที่จะไม่ทันได้เห็น กลัวที่จะไม่ทันได้คุย กลัวจะไม่ทันได้รั้งพี่ใหญ่เอาไว้
“เร็วๆ สิ !” วินาทีนั้น อะไรก็เชื่องช้าไปหมด แม้แต่ลิฟต์ก็ยังไม่ทันใจ ผมเลยต้องใช้บันไดข้างๆแทน ผมเคยเชื่อว่าตัวเองจะวิ่งลงบันไดได้เร็วขนาดนี้มาก่อนในชีวิตจนกระทั่งวันนี้ ถ้าเกิดไม่ติดว่ารีบผมคงต้องหยุดหัวเราะตัวโยนแน่ๆ
ผมวิ่งลงหยุดหายใจที่ชั้นล่าง เงยหน้ามองไปข้างนอกตึก นี้คงเป็นเวลาค่อนข้างดึกจนไม่ค่อยมีคนในซอยแล้ว คงจะสัก ตี 2 - ตี 3 ได้แล้วละ ผมมองหาพี่ใหญ่กับมิ้นต์ในระยะสายตาก็ไม่เจอ เลยเดินออกไปจากด้านในที่มีฉากกระจกกั้นหน้าลิฟต์ มายืนอยู่คอนโซนด้านนอกของหอพักที่มีโซฟาตั้งรับแขกอยู่ ติดกับประตูทางเข้าหอ และทางขวามือเป็นห้องออกกำลังกายทางขวาเป็นเคาเตอร์ติดต่อสอบถามที่ตอนนี้ไม่มีคน ลุงยามที่เคยนั่งเฝ้าตอนนี้ก็หายไปไหนไม่รู้
มองไปรอบๆ และเดินออกไปนอกหอพักที่ว่างเปล่าไม่เจอใคร อยากที่จะโทรหาพี่ใหญ่ … แต่ก็ไม่ได้เอาโทรศัพท์ลงมา ระยะเวลาแค่นี้ พี่ใหญ่กับมิ้นต์ไม่น่าจะไปไกล ถ้าผมวิ่งตามพวกเขาไป อาจจะยังทันก็ได้ ถึงผมจะไม่รู้อะไร … แต่ผมก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี ไม่ใช่ไม่ไว้ใจพี่ใหญ่ ผมเชื่อพี่ใหญ่และรักเขา แต่คนที่ผมไม่ไว้ใจคือมิ้นต์ … อาจจะดูเป็นคนไม่ดี แต่ผมคิดแบบนี้จริงๆ และผมก็ต้องการรู้ … ว่าเรื่องระหว่างสองคนนั้นคืออะไรกันแน่
“อ้าวเจ้าปัง มากินข้าวป้าซะดึกเลย หิวเหรอลูก มาๆ ป้ากำลังจะเก็บร้านแต่เห็นหนูปังมาป้าทำให้ก่อนดีกว่า ว่าแต่เจ้าตัวแสบเพื่อนเราไม่มาด้วยหรือไง”
ผมยกมือไหว้ป้าร้านขายข้าวเจ้าประจำที่ตัวแสบของป้าคือตัวเล็กตีสนิทเอาไว้จนได้กินข้าวฟรีเป็นประจำเพราะคุยถูกคอ ผมส่ายหน้าหอบน้อยๆก่อนที่ป้าจากที่ยิ้มๆจะเปลี่ยนมาเป็นหน้าหน้าขึงขังและเดินออกมาโอบหลังผมให้เดินเข้าไปนั่งในร้านก่อน ผมเดินไปอย่างว่าง่าย ป้าอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพผมชัดๆ
“หนีอะไรมาเจ้าปัง”
“เปล่าครับป้า … ป้าหะ เห็นพี่ใหญ่ไหมครับ”
“ไม่นี้ลูก แล้วยังไงวิ่งออกมาเกือบหน้าซอยแบบนี้ทั้งๆที่เท้าเปล่า บอกป้าสิใครรังแก” ถ้าผมบอกว่าพี่ใหญ่รังแกผม ป้าจะไปตีพี่ใหญ่ให้ผมไหม …
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร ขอบคุณนะครับป้า”
“เดี๋ยวลูก เอารองเท้าคู่นี้ไปใส่ ตอนเช้าค่อยเอามาคืนป้า”
“แต่ …”
“เอาไปเถอะลูก ของไอ้แดงมัน มันไม่ห่วงของหรอก” ผมยกมือไหว้ป้าอีกครั้งก่อนจะใส่รองเท้าแตะสีฟ้าคู่ใหญ่กว่าเท้าของผมเกือบคืบ ก่อนจะเดินออกมาจากร้าน เดินคอตกกลับหอในเส้นทางที่เงียบสงบ ไม่มีใครเลย
ปริ๊นๆๆๆๆๆๆ !!! โสตประสาทของผมรับรู้ได้ถึงเสียงของแตร่รถที่ลั่นเป็นจังหวะสะท้านไปทั้งซอยกับแสงไฟหน้ารถสีส้มที่ส่องเข้าตาผมจนแสบไปหมด กว่าที่จะรู้ตัวรถสีขาวก็พุ่งเข้ามาหาผมอย่างจงใจ ทำให้ผมร้องไม่ออก หรือไม่ทันที่จะได้คิดอะไร ล้มลงนั่งกับพื้น เสียงล้อเสียดสีกับรถสนั่นไปทั้งซอย และทุกอย่างก็นิ่งสงบลง … รถคันนั้นถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมนั่งใจหายใจคว่ำอยู่ตรงนั้น … ผมไม่ได้บาดเจ็บอะไร … แต่ผมก็ไม่ได้ไปยืนกลางถนนขวางทางเขา … ผมอยู่ของผมดีๆ แต่รถคันนั้น … รถคันนั้นจะทำร้ายผม
“เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าปัง!”
ป้าร้านขายข้าวกับคนที่อยู่แถวๆนั้นเห็นเหตุการณ์ และวิ่งเข้ามาหาผม ทุกคนต่างซุบซิบกันที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง มีแต่ป้าใจดี ร้องสาปแช่งรถคันนั้น ผมยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะยกมือไหว้ป้าแกและเดินกลับมาที่หออย่างเลื่อนลอย … คนในรถคงไม่ใช่มิ้นต์ใช่ไหม … เธอไม่ได้เกลียดผมใช่ไหม … ผมต่างหากที่ควรจะโกรธเธอไม่ใช่หรอไง
“ไปไหนมา และทำไมสภาพเป็นอย่างงี้”
คำถามแรกของพี่ใหญ่ เมื่อผมเดินเข้ามาในห้อง เขาถลาเข้ามาจับตามเนื้อตัวถามย้ำอีกทีน้ำเสียงดุๆ แต่ผมส่ายหน้าไปมาและฝืนยิ้มให้ เขาเลยเดินไปนั่งที่เตียงเหมือนเดิม ผมกัดปากกลั้นน้ำตาเดินเข้าห้องน้ำไปล้างเนื้อล้างตัวใหม่อีกรอบ ออกมาจากห้องน้ำก็ยังเห็นพี่ใหญ่นอนลืมตามองผมอยู่ ผมเลยเดินเข้าไปทิ้งตัวนอนลงข้างๆเขาและซุกตัวลงไปกอดเขาไว้แน่น
“ตื่นมาทันเห็นสินะ” เสียงเย็นๆของเขาทำให้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมา และเขาก็กอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนที่อบอุ่นของเขา ถึงแม้ทุกอย่างมันจะสับสน หรือจะรู้สึกไม่ดีแค่ไหน ผมก็ยังอยากให้เขากอดผมไว้แบบนี้ … อยากให้กอดเอาไว้นานๆ
“ไม่มีอะไรใช่ไหมครับ” ผมกลั้นใจถามออกไป และหวังให้คำตอบนั้นถูกปฏิเสธกลับมา อย่างน้อย ผมก็เชื่อใจเขาถ้าเขาบอกไม่ ทุกอย่างก็จบ …
“มี … แต่ไม่ใช่อยากที่นายคิด ทุกอย่างมันยุ่งเหยิ่งสับสน และบังเอิญไปหมด แต่พี่รับรองว่ามันจะจบลง ไม่ต้องกลัว … จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น” เสียงของพี่ใหญ่แหบพล่านและจริงจัง ทำให้ผมคลายทุกสิ่งทุกอย่างที่หนักอื้อลงไป … ไม่อยากรู้อะไรอีกแล้ว เพราะมันอาจจะทำให้ผมไม่สบายใจไปมากกว่าเดิม เพราะในเมื่อพี่ใหญ่บอกให้ผมเชื่อมั่น …... พอแล้วสำหรับวันนี้ ผมอยากพักผ่อนแล้ว … บางทีพรุ่งนี้ผมตื่นขึ้นมาอาจจะมีมีเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นก็ได้
“ผมรักพี่ใหญ่นะ”
“ฮึ … พอรู้จักพูดก็พูดใหญ่เลยนะ” ผมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ และหลับในอ้อมกอดที่คุ้นเคย จะต่างออกไปก็คือความรู้สึกที่ยังคงไม่คลายความกังวลสงสัย
.
.
.
พี่ใหญ่บอกผมว่าอย่าคิดมาก ไม่มีอะไรต้องกังวน ให้ผมทำตัวปกติ เค้าไม่ยอมเล่าให้ผมฟัง และผมก็ไม่ถามเพราะกลัวในคำตอบที่จะได้รับ ผมเจ็บเท้าจากเมื่อคืนที่วิ่งไปตามทางคอนกรีตเย็นๆ แถมยังล้มก้มจ้ำเบ้าจนสะโพกเหมือนกันปวดๆด้วย … รู้สึกแย่มากๆเลย ที่กำลังคิดอยู่ว่าคนที่ขับรถจะมาชนผมคือ มิ้นต์ … มิ้นต์ผู้หญิงนัยน์ตาเป็นมิตรเหมือนท้องทะเลนั้นน่ะหรอที่จะทำร้ายผม … แล้วทำท่าจะมาแย่งพี่ใหญ่ไปอีก แต่ดูจากบทสนทนา … เป็นผมหรือเปล่าที่ทำผิด … แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นตอนไหน … เกี่ยวข้องกับสุชาดาหรือเปล่า … ผมไม่รู้อะไรเลย
“ทำงานเสร็จแล้วโทรมาจะได้ไปรับ”
“ครับ” ผมขานรับพี่ใหญ่ในขณะที่เขาเดินมาส่งผมที่หอสมุดในมหาลัย ที่ทำงานของผม ถึงแม้จะมีงานเยอะแต่ผมก็แบ่ง
เวลาเพื่อมาทำงานในตรงนี้ด้วย อาจจะลดเวลาไปบ้าง และอาจจะมีงานมานั่งทำบ้าง อาจารย์บรรณารักษ์ก็ไม่ได้ว่าแถมใจดีเอ็นดูผมเสมอมา ผมเลยไม่ได้มีปัญหาอะไร
“ไอ้ปัง” ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินเข้าไปด้านใน พี่ใหญ่ก็เรียกเอาไว้ก่อน ผมหันไปเอียงคอมองเขาอย่างสงสัยเพราะในตอนนี้หน้าเขานิ่งเหมือนอยากจะพูดหรืออธิบายอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา
“ฮะ?”
“เฮ้อ ช่างเถอะ ไว้กับมาแล้วค่อยคุยกัน ทำงานดีๆละไอ้หมูอ้วน” เขาพูดก่อนจะวางมือบนหัวผมเหมือนที่เขาชอบทำเป็นประจำ ผมเผลอยิ้มออกมาเพราะชอบที่เขาเป็นแบบนี้ ทำให้ผมรู้ว่า เขายังคิดกับผมเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด นั้นทำให้ผมวางใจขึ้นได้อีกเป็นกองเลย
“… เอาไว้เราคุยกันคืนนี้นะครับ”
ก่อนที่เขาจะหันหลังไป ผมก็ชิงบอกเขาไว้ก่อน เขาพยักหน้าและยิ้มให้ผมในแบบที่เขาเป็น ก่อนที่มือสากจะหยิกเข้าที่แก้มผมหนักๆหนึ่งที เราคุยกันอีกสองสามประโยคพี่ใหญ่ก็เดินกลับไป ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และเดินเข้ามาในหอสมุดที่เงียบสงบ
ผมค่อยๆวางกระเป๋าโน๊ตบุ๊กลงที่เคาร์เตอร์คืนหนังสือ ในวันนี้มีแค่ผมคนเดียวพี่ๆและอาจารย์ต่างติดธุระติดประชุมกันหมด หน้าที่หลักของผมคือดูแลความเรียบร้อยและให้นักศึกษาติดต่อสอบถามได้ในทุกๆเรื่อง และตอนหอสมุดปิดผมก็ต้องเอาเอาหนังสือไปวางตามชั้นให้เรียบร้อย สนุกดีนะครับ ผมชอบอะไรที่เงียบสงบแบบนี้ละ
แก๊ก “คืน …อ้าวปัง! ทำงานที่นี้เหรอ” ผมเกือบจะช็อกแต่เก็บอาการไว้ได้ทัน อยู่ๆมิ้นต์ก็เดินเอาหนังสือมาวางตรงหน้าผม … แต่ตอนนี้เธอไม่เห็นมีอาการโมโหอะไรผมเลย มีแต่รอยยิ้มให้ผมเหมือนเดิม แถมยังหน้าตาแจ่มใส ไม่เห็นเหมือนเมื่อคืนที่ร้องไห้ และทำหน้าเหมือนจะเข้ามาฆ่าผมในห้องให้ได้อย่างงั้นเลย
“อ่า … ใช่” ผมก้มหน้าและหยิบเอาหนังสือของมิ้นต์มาเปิดดูประวัติ ก่อนจะจัดการเช็คคืนวางไว้ในรถเข็นข้างๆ ขณะที่มิ้นต์ก็มองผมไม่วางตา ตอนแรกผมก็มองว่ารอยยิ้มนั้นสวยดีหรอกนะ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนรอยยิ้มนั้นไม่มีความสดใสเอาซะเลย
“เมื่อคืน…” ผมเหลือบมองมิ้นต์ก่อนจะหลบตาลง ถ้าเทียบตัวผมตัวใหญ่กว่ามิ้นต์เยอะ แต่ถ้าเทียบใจ ผมว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ยังจะไฟว์มากกว่าผมซะอีก งื้ออออออ
“เมื่อคืนมิ้นต์กลับก่อนละ เห็นปังหลับเลยไม่อยากกวน งั้นมิ้นต์ไปหาหนังสืออ่านก่อนนะ” ผมยังไม่ทันที่จะพูดอะไร มิ้นต์ก็
เดินเข้าไปในโซนชั้นหนังสือ ผมได้แต่มองตาม ถอนหายใจเฮือกใหญ่และทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เหมือนหมดแรง เฮ้อ …
“ยังไงไอ้ปังก็ยังไม่วายเป็นไอ้หมูขี้ขลาดสินะ”
อดไม่ได้ที่จะแคลนหัวเราะตัวเอง เฮ้อ … จะว่าไปงานผมที่เอามาวันนี้ก็เยอะนะ ผมควรจะพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน และทำงานจะดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เดี๋ยวผมก็ไม่ว่างต้องไปทำพาสสปอร์ตที่แสนน่าเบื่ออีก ไปเลยไม่ไหมไม่ต้องทำ หน้าอย่างผมไม่ทำร้ายใครหรอก … แต่ก็นะ เครื่องบินสินะไม่ใช่รถทัวร์ ทำให้มันถูกต้องจะดีกว่า ผมไม่อยากเป็นไอ้อ้วนที่โดนกักอยู่ที่สนามบินหรอกน๊า อีกอย่างพี่ใหญ่ก็บอกจะไปกับผมด้วย
ประหลาดเนอะ ทุกวันนี้ผมเจอแต่เรื่องประหลาด จากเมื่อก่อนที่ชีวิตผมไม่มีอะไรเลยแอบชอบคนๆนึงไปวันๆ โดนรังแกจากนักเลงเสาร์เป็นประจำ ในวันนึงที่ผมตัดสินใจเข้ามหาลัยตามคนที่ผมชอบ ผมกลับเจอคนที่ทำให้ผมกลัวมากๆ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร แต่ในที่สุด วันเวลาก็ทำให้ผมไม่อายที่จะบอกว่ารักเขา เพราะเขาได้ทำให้ผมรู้ว่าเขารักผมจากใจจริงไม่ใช่เพียงแค่เปลือกนอก ถึงจะอย่างงั้นผมก็อยากที่จะพัฒนาตัวเองในสิ่งที่ผมเป็นให้สมกับพี่ใหญ่ ถึงจะต้องแบบอยากชกพี่ใหญ่บางครั้งก็เถอะที่ขัดขวางผมในการลดน้ำหนักดูแลตัวเองสารพัด ตั้งแต่อ้อนจนขู่นั้นแหละ นอกจากเรื่องของผมกับเสือร้ายที่เปรียบเสมือนเส้นขนานที่มาบรรจบกันได้ ยังมีเรื่องของตัวเล็กกับชินโดและคนอื่นๆเพื่อนที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีมาก่อนเรื่องของตัวเล็กลามไปจนนายเสาร์ที่ในที่สุดก็มาญาติดีกันได้ จนถึงเรื่องของสุชาดาที่พี่ใหญ่พึ่งเจ็บตัวไป และในตอนนี้ก็ยังมีมิ้นต์เพิ่มขึ้นมาอีก ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ผจญภัยมาเยอะมาก ในเวลาแค่ ปีกว่าๆ
ในบางเรื่องผมคิดว่าไม่ต้องพูดไปน่าจะดีกว่า แต่เอาเป็นว่า ผมจะระวังตัวแล้วกัน เพราะยังไงตอนนี้ก็ยังดีกว่าตอนของสุชาดา ที่ผมไม่เคยรู้จักเลย แต่ในตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามิ้นต์เป็นคนยังไง ถึงจะไม่รู้ทั้งหมดก็เถอะ
“ปังปัง!”
“… ตกใจหมดเลย” ชินโดหัวเราะก่อนจะแทรกตัวมานั่งอยู่ข้างๆผม ก่อนจะฟุบหน้าลงกับเคาเตอร์ไม่พูดไม่จาอะไร ผมก้มลงไปมองด้วยความสงสัยว่าทำไมอยู่ๆชินโดก็มาหาผมที่หอสมุดในสภาพที่เสื้อยืดเก่าๆกับกางเกงวอร์มแบบนี้
โป๊ก! “โอ้ย จะ เจ็บ”
“ปังก็เจ็บ คางแตกแล้วมั้ง T^T” ผมเบะปากจะร้องไห้เพราะอยู่ๆชินโดก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างแรง ทำให้คางผมกับหัวชินโด
ชนกัน เรามองหน้ากันและหัวเราะในขณะที่ต่างคนก็ต่างลูบตรงที่โดนโขก หัวเหล็กหรือเปล่าเนี้ยคนเนี้ย!
“ชินโดเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ๆ หัวไม่แตก”
“ไม่ใช่ดิ หมายถึง มีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงมาที่นี้ได้ ไม่เฝ้าร้านหรือ”
“อ่อ … วันนี้เราลาน่ะ เบื่อๆเลยมาหาปัง”
“จริงอะ” ผมแกล้งหยีตามองชินโดอย่างหยอกๆ ชินโดเหลือบมองผมก่อนจะหลบตาและหันหน้าไปทางอื่น ผมแกล้งตี
ไหล่ชินโดจากด้านหลังทำเสียงแซวๆ และหัวเราะเมื่อชินโดหันหน้ามาค้อนขวับใหญ่ แบบนี้มันต้องมีอะไรแล้วละ
“มีอะไรบอกปังได้นะ”
“ก็เพราะปังนั้นแหละ”
“เรา ?”
“ใช่ เพราะปังนั้นแหละ พอปังไม่ชอบไอ้บ้านั้น มันเลยมาพาลลงกับเราเนี้ย โคตรบ้าเลย”
“ทำไมอ่ะ” ผมอยากจะหัวเราะกับหน้าของชินโดตอนนี้มากเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ไม่ได้ของเล่น ดูทั้งน่าสงสารทั้งน่าขำ จนผมบรรยายไม่ถูก ผมไม่เคยเห็นชินโดในลักษณะนี้คิดว่าชินโดจะเป็นคนเฉยๆ ซะอีก ที่ไหนได้ขี้หงุดหงิดเหมือนกันนะเนี้ย
.
.
.
มีต่อด้านล่าง