Not Fat
{CH 25 อย่าโกรธปังปังเลย}
จากวันนั้นสถานการณ์ดูสงบลงไป คุณแม่พี่ใหญ่ไม่มาหาผมอีกเลย เป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์แล้ว ผมเองก็ไม่ได้สนใจมากนักและไม่ได้คิดมากที่จะเชือดเฉือนอะไรกับท่าน ผมเชื่อว่าท่านเองก็คงมีภาวะการตัดสินใจมากพอและคงไม่ใจร้ายแกล้งผมมากนัก เผลอๆเล็กอาจจะตื่นตกใจไปเองก็ได้ ก็ดูท่านเป็นคนดีน่ารักออก
เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่งานเปิดบ้านเยี่ยมชมมหาลัยจะเริ่มขึ้นภายในช้อปเริ่มคึกคักมากขึ้น จากที่ 6 โมง แยกย้ายกันกลับไปพักเริ่มกลายเป็นทุ่มสองทุ่มและก็ไล่ยาวมาเทียงคืนตีหนึ่ง อย่างที่ผมกำลังซมซานกลับหอพักอยู่ตอนนี้ คาดว่าถ้าใกล้วันงานเลิกเช้าเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนและเข้าเรียนเลยคงจะมาถึงอย่างแน่นอน เฮ้อ ถึงงานช้อปจะเร่งเข้ามาเรื่อยๆโมเดลที่ผมจะต้องส่งประกวนวันงานและการเรียนของผมก็ไม่เคยบกพร่อง ยังคงทำหน้าที่เครื่องจักรมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบครับ ฮ่าๆๆ
“โอ้ยเล็กเหนื่อยจางงงงง หิวด้วย งอแงๆๆๆ” ตัวเล็กบ่นงอแงทันทีที่ล้มลงเตียง ผมก็หิวนะแต่เลยเวลากินแล้วอ่ะ ถ้ากินตอนนี้ผมต้องตบะแตกแน่ๆ ช่วงนี้พี่ใหญ่ยิ่งเอาของกินมาล้อบ่อยๆอยู่ และผมก็ตกหลุมพลางบ่อยด้วย
วันนี้พี่ใหญ่อยู่ทำงานที่ห้องพี่ซิ่งยันเช้า เราเพิ่งแยกกันหน้าหอเมื่อกี้ เห็นว่าต้องทำส่งอาจารย์ก่อน 10 โมงเช้า ผมเลยมานอนกับตัวเล็ก ส่วนเสาร์ก็กลับห้องข้างๆไปแล้วงอนเล็กเพราะเล็กเหวี่ยงใส่ เดี๋ยวก็ดีกันนั้นแหละสองคนนี้ ความจริงสองคนนี้ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการนะ แต่ดูจากการกระทำก็คงไม่ต้องบอกอะไรแล้วใช่ไหมครับ ต่างคนต่างหาคนที่หยุดตัวเองได้ แค่นี้ก็น่าอิจฉาแล้ว
“ปังปัง เล็กจะไม่บ่นหิวแล้ว”อยู่ๆเล็กก็ฉุดตัวเองขึ้นมานั่ง
ในขณะที่ผมจองที่วาดโมเดลต่อที่โต๊ะทำงานกลางห้องที่เริ่มรกไปด้วยหนังสือ เพราะไม่มีเวลาที่จะจัดเลย พรุ่งนี้ผมหยุด กะว่าสายๆจะกลับไปหาพ่อสักหน่อยและค่อยมาเรียนในตอนเช้า เลยกะว่าจะลากยาวถึงเวลานั้นเลย … โมเดลเพิ่งวาดได้แค่ 30 % เอง ยังไม่รวมเวลาที่ต้องทำด้วย
“หิวก็โทรสั่งข่าวขึ้นมานะตัวเล็ก” ผมเงยหน้าขึ้นมาบอกเล็กที่เดินเข้ามาออเซาะแขนผมเหมือนแมวเหมียว
“ไม่เอา ปังปังดูนี้สิ มาเป็นชั้นเลยยยยย เพราะพี่ใหญ่นั้นแหละชอบเอาของมาให้ปังปังกิน พอเล็กเห็นเล็กก็ห้ามแล้วแล้วเล็กก็ไม่อยากให้เสียของ กินซะเรียบเลยยยย” ผมหัวเราะเมื่อเล็กยื่นขึ้นเปิดพุงที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นให้ผมดู ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็อวบขึ้นจริงๆนั้นแหละ แก้มยุ้ยเชียว แต่ถ้าอย่างเล็กเรียกอ้วนของผมล่ะ … เอ่อ ช่างมันเถอะนะ
“เอาน๊า เดี๋ยวผ่านงานนี้ไปค่อยไปลดกันต่อตอนนี้หิวก็ไปหาอะไรกินและไปนอนให้สบายนะ”
“จริงด้วยเนอะ งั้นเล็กโทรสั่งดีกว่าปังปังกินด้วยนะเล็กสั่งสุกกี้น้ำผักเยอะๆให้”
“เอาก็ได้ปังโต้รุ่งแล้วเล็กจะกินอะไร” ผมถามเล็กที่กำลังต่อสายถึงร้านข้าวที่เปิด 24 ชั่วโมง เล็กหันมายิ้มหัวเราะคิกคักให้ผม
“อิอิ เล็กอยากกินกระเพราะหมูกรอบ” เอ๊ะ ผมว่าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่อย่างเดียวแล้วล่ะ
ผมหัวเราะนิดๆก่อนจะหันมาสนใจโมเดลที่วาดค้างอยู่ ในงานนี้ค่อนข้างละเอียดถึงจะวางโครงร่วมกับเล็กและเสาร์แล้วว่าควรออกมาเป็นยังไง แต่มันก็ไม่ง่ายในการที่จะร่างภาพออกมา ในแต่ล่ะจุดเชื่อมผมต้องบอกได้ด้วยว่าควรให้วัสดุขนาดเท่าไหร่ถึงจะต่อกันได้พอดีเปะ
นั้นแหละครับทฤษฎีและก็คือรากฐานด้วย ก็เหมือนกับการทำหนังนั้นแหละครับถ้าบทไม่นิ่งฝืนทำงานไปก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง งานแบบนี้ต้องคนเดียวจับด้วยเพราะถ้าหลายคนจับอาจจะพากันพังทั้งหมด ตัวเล็กและเสาร์ไว้ใจให้ผมเป็นคนร่าง ส่วนสองคนรอที่จะประกอบ โมเดลรูปแบบจริง ตื่นเต้นเหมือนกันนะ เหลือเวลาอีกแค่สองเดือนกว่าๆเอง
“ปังปังพี่ใหญ่โทรมา ไม่ได้เปิดโทรศัพท์หรอ” เล็กกลิ้งเอาโทรศัพท์มาให้ผมก่อนจะมานั่งจุมปุ๊กดูโมเดลอยู่ข้างผม
เออ ลืมไปเลยแฮะว่าแบตหมดตั้งแต่เมื่อตอนเย็นยังไม่ได้ชาร์ตเลย ผมรับโทรศัพท์มาก่อนจะเดินออกมาที่ริมระเบียง เล็กผิวปากแซวผมเล็กน้อย ผมหน้าร้องผ่าว ทำไมไม่ชินสักทีนะ แง๊ม คนนี้แซว
“ครับ”
“ทำไมปิดเครื่อง”
“แบตหมดครับ เพิ่งนึกได้ ”
“หึ ขี้ลืมนักนะ เดี๋ยวกลับไปจะไปคิดบัญชี” ง๊ะ ผมทำอะไรผิด ผมบุ้ยปากก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อมองลงไปเห็นคู่รักนักศึกษากำลังจับมือกันเดินไปหน้าซอย ธรรมดาซอยหอพักมหาลัยก็คึกคักตลอดทั้งคืนอยู่แล้ว ผมเลยมองภาพนั้นว่ามันน่ารักดี
“เงียบ”
“ไม่เงียบนะ พี่ใหญ่ไม่ทำงานหรอครับ”
“ก็โทรมาหาก่อน ทำไมไม่อยากคุยหรอ”
“ทำไมพี่ใหญ่งอแงจัง” ผมว่า พี่ใหญ่งอแงผิดปกติวันนี้ แต่ก็น่ารักดี คิกๆ
“หึ เดี๋ยวจะโดน เออ แค่นี้แหละเบื่อจะคุยล่ะ”
“… ไม่เบื่อนะครับ” ผมได้ยินเสียงหัวเราะลอดออกมาจากปลายสาย … ไม่อยากให้เบื่อกันนะ ถึงผมจะไม่น่ารัก คุยไม่เก่ง ผมก็ไม่อยากให้เบื่อ …
“เออ ไม่เบื่อ นอยส์ทำไมว่ะ”
“เปล่านอยส์” ผมว่าเสียงค่อย ไม่ได้นอยส์นะ … แค่กลัว
“หึ ไม่นอยส์ก็ไม่นอยส์ พรุ่งนี้ส่งงานเสร็จแล้วจะไปรับพาไปหาพ่อแล้วกันเตรียมตัวด้วย”
“ไม่เอา ผมจะไปเอง” ผมค้านขึ้นทันที ปลายสายเหมือนชะงักนิดนึงก่อนจะหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ … ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียงดัง ผม …
“งอแง”
“ผมเปล่างอแง … เดี๋ยวพ่อรู้”
“ก็ดีสิ ไม่งอแงไปนอนได้แล้ว”
“…” ผมเม้มปากแน่น … ผมไม่อยากให้พ่อรู้ กลัว … กลัวพ่อทำใจไม่ได้ แน่นอนเลย พ่อต้องทำใจไม่ได้แน่ๆ เรามีกันแค่สองคนพ่อลูก …
“เลิกคิดมาก ทำงานล่ะ แล้วเจอกันตอนเช้าไอ้หมู ไม่เหงานะไม่มีคนนอนกอด”
“…ครับ” เหงาสิ …
เสียงปลายสายหัวเราะขึ้นเบาๆก่อนที่สายจะตัดไป ผมก้มมองโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆและเดินเข้าห้องไป … ไม่อยากให้พี่ใหญ่ไปด้วยเลย … ยังไม่พร้อมที่จะให้พ่อรู้ … ไม่ใช่ผมอายนะ แต่คนที่จะอายไม่ใช่ผมซักหน่อย …
.
.
.
7 โมงเช้า ผมมาอยู่ที่ตลาดหน้าบ้านที่คุ้นเคย ถึงจะไม่ได้กลับมานานแล้วคนที่ตลาดก็ยังจำผมได้และตะโกนทักทายตามภาษาแม่ค้าเป็นระยะๆ ผมค่อยข้างดีใจนิดๆที่บางคนชมว่าผมผอมลงและดูดีนั้น นั้นแหละครับ ผมออกจากหอมาตั้งแต่ตี สี่ครึ่ง เล็กนอนพุงป่องไม่ตื่นเลยในขณะที่ผมหนีพี่ใหญ่มา ไม่เอาอ่ะทั้งพี่ทั้งน้องเลยจะมากับผมให้ได้ พอวางสายจากพี่ไป คนน้องก็เกิดจิตตกจะตามผมมาให้ได้ ผมยังไม่อยากให้พ่อรู้ตอนนี้ รออีกหน่อยผมจะบอกท่านเอง มันเร็วเกินไป ถึงจะรู้ว่าโดนโกรธแน่นอนที่แอบมา … แต่ก็ไว้ค่อยเคลียก็แล้วกัน รีบไปรีบกลับ พี่ใหญ่จะได้ไม่โกรธมาก
ผมซื้อขนมครกกับโอเลี้ยง ข้าวไข่เจียวหมูสับน้ำพริกที่พ่อชอบ ก่อนจะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็กไปหาพ่อที่โรงเรียนที่พ่อทำงานอยู่
“นี้ครับลุง” ผมยื่นเงินให้ลุงคนขับ
ก่อนจะเดินมาแอบมองพ่อที่รั้วโรงเรียนที่ผมเคยเรียนมา ในตอนเช้าแบบนี้มีนักเรียนอยู่ไม่มากนัก แต่ภารโรงอย่างพ่อก็กำลังกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นตลอดทั้งปีอยู่ตามที่ต่างๆ โรงเรียนผมไม่ใช่โรงเรียนใหญ่โตอะไรแต่มีเด็กตั้งแต่อนุบาลยัน ม.6 และภารโรงอยู่แค่คนเดียว คือพ่อของผม ผมมองภาพของพ่อก่อนจะนึกถึงคำพูดของพี่ใหญ่ … ขอเวลาอีกนิดนะ พี่รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจยาก … ยิ่งเป็นผมกับพี่แล้ว … มันต่างกันเกินไป
“ไอ้ปัง” ผมสะดุ้ง โอ้ยยยย ลุงยาม ผมนึกว่าพี่ใหญ่ตามมากระชากวิญญาณน้อยๆของผมซะแล้ว
“สวัสดีครับลุงยาม” ผมยกมือขึ้นไหว้สวัสดีทันที
“ฮ่าๆๆๆ เอ็งจริงๆด้วย ข้านึกว่าหนุ่มที่ไหน หล่อขึ้นเยอะนี้หว่าไปอยู่เมืองกรุงไม่เท่าไหร่” ลุงยามตบไหล่ผมดังแอ๊กๆ โฮ้ย มือหนักเหมือนเดิมเลยลุงยาม ผมยิ้มแหยะๆ
“มาหาพ่อเอ็งเหรอ เข้าไปสิว่ะ”
“ครับลุงยามกินข้าวรึยังครับ”
“โอ้ย ข้าคิดตั้งแต่ตี 5 ล่ะ ไปๆ เข้าไป มายืนแอบมองอยู่ได้ ฮ่าๆๆๆ” ผมยิ้มก่อนจะเดินเข้าประตูโรงเรียนไป
พ่อนั่งหันหลังเช็ดเหงื่ออยู่ไม่ไกลนัก … ผมตื่นเต้นจังเหมือนทำอะไรผิดสักอย่างแต่ก่อนที่แอบรักแอบชอบพี่กาจพลอันนั้นได้แค่ชอบแต่ไม่ได้รัก … แต่นี้ผมกำลังคบกับพี่ใหญ่อยู่จริงๆ …
“พะ พ่อจ๋า”
“อ้าว … มาไงเนี้ยไอ้ปัง” พ่อหันมาทำหน้าตื่นตกใจ … ผมก็เริ่มใจสั่นแล้วเหมือนกัน ไม่สิผมต้องสงบสติอารมณ์ตัวเองไว้ ไม่กระโดกกระดาก …
“วะ วะ วันนี้หยุดจ๊ะ ”
“เอ็งเป็นอะไร” ผมสะดุ้ง เปล่านะผมไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้เป็นอะไรนะ
“เปล่าจ๋า พ่อจ๋าหนูซื้อข้าวมาให้ พ่อทานก่อนนะ เดี๋ยวหนูช่วยกวาด” ว่าแล้วผมก็กระโดดมาคว้าเอาไม้กวาดก่อนที่พ่อจะได้ถามอะไรอีก สงบสติสิปัง แหม =_=’
“ข้ากินเสร็จล่ะ เอ็งก็เลิกกวาดและมานั่งนี้ได้ล่ะ”
ผมพยักหน้าก่อนจะเดินเอาไว้กวาดไปพิงไว้ที่เดิมและไปนั่งข้างๆพ่อที่โต๊ะม้าหินเก่าๆ พ่อยังเหมือนเดิม ไม่สิอาจจะดูแก่ชรามากกว่าเดิมหน่อยๆนะ … ในระหว่างที่ผมโตขึ้นพ่อก็แก่ลง …
“ผอมลงนะ อดหรือไง”
“เปล่าจ๊ะหนูลดน้ำหนัก”
“หึหึ ดีแล้ว อ้วนมากโรคจะถามหา แล้วนี้มาคนเดียวหรอ” พ่อพูดไปก็เอาผ้าเช็ดหน้าเก่าๆขึ้นมาซับเหงื่อให้ผม …
“จ๊ะ …” ผมว่าก่อนจะเหลือบมองเด็กนักเรียนตัวเล็กๆที่เริ่มทยอยกันเข้ามาในโรงเรียนแล้ว
“หึหึ เอ็งจะกลับไปนอนเล่นที่บ้านสักพักก็ได้ เดี๋ยวข้าเลิกงานและจะตามไป” ผมขานรับก่อนจะมองตามหลังพ่อที่ถือไม้กวาดไปที่โรงอาหาร ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นเดินออกจากโรงเรียนมา ยกมือไหว้ลุงยามที่นั่งเฝ้าที่หน้าโรงเรียนก่อนจะเดินกลับบ้านในเส้นทางเก่าที่เคยเดิน …พ่อจ๋า หนูขอโทษ
.
.
.
เฒ่าผดุงเดินมานั่งที่โรงอาหารในโรงเรียนที่ตัวเองเป็นภารโรงดูแลความสะอาดอยู่ ก่อนจะลงหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ตนเพิ่งซับเหงื่อให้ลูกชายขึ้นมาดูคิ้วขมวดเล็กๆเมื่อนึกถึงหน้าปังปังที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวนใจ จริงอยู่ที่ลูกนั้นโตแล้วแต่ความเป็นพ่อแล้วลูกยังน่าเป็นห่วงและยังเด็กน้อยสำหรับพ่อเสมอเค้าหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลจ่าหน้าซองถึงเค้าแต่ไม่มีแสตมป์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนที่มืออันเหี่ยวย่นตามอายุจะค่อยๆแกะมันออกดู
ภาพของปังปังกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในร้านอาหารที่แออัดไปด้วยนักศึกษา มันอาจจะเป็นภาพธรรมดาๆ แต่สิ่งที่ทำให้เฒ่าผดุงต้องคิดหนักเมื่อในภาพเห็นชายร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลากำลังนั่งป้อนข้าวปังปังอยู่และเค้าเองก็เคยเห็นตัวจริงมาแล้วเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้มารับปังปังกลับไปเรียน … พี่ใหญ่
“เราคงแก่ไปซะแล้วมั่ง เฮ้อ ทำงานๆๆๆๆ”
เฒ่าผดุงเก็บรูปลงกระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นไปทำความสะอาดต่อในทันทีถึงแม้ในใจจะคิดมากอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าหากนั้นคือสิ่งที่ลูกชายเลือก คนเป็นพ่อคงได้แต่ยอมรับและเข้าใจ เพราะเฒ่าผดุงเองก็ไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไป สักวัน … ปังปังต้องมีทางของตัวเอง
.
.
.
“ปังๆ ทำไมทำแบบนี้!!!!” ผมเม้มริมฝีปากทันทีที่เล็กตะโกนมาจากปลายสาย ไม่น่ารับเลย จริงๆ เชื่อสิพอน้องวางไปสักพักพี่ก็ต้องโทรมาแน่นอน
“ขอโทษนะเล็ก”
“ไม่รู้แหละ เล็กงอน ปังปังไม่สนใจเล็กเลย ฮึก” อ้าว … ร้องไห้เฉย ผมขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆนั่งลงที่แคร่หน้าบ้านของตัวเอง
“ปังปังแค่ไม่อยากให้ใครต้องลำบาก เดี๋ยวจะรีบกลับนะ”
“ไม่เอา” แล้วเล็กก็วางสายไป
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจปิดโทรศัพท์ไม่ใช่ไม่สนใจนะแต่ผมแค่อยากตัดทุกอย่างไปช่วงคราว กลับเข้าสู่โลกเดิมๆที่เป็นรางเหง้าของตัวเองเดี๋ยวกลับไปค่อยไปมอบตัวน้อมรับทุกข้อกล่าวหาทีเดียว พี่ใหญ่ตัวเล็ก ปังขอโทษนะ เข้าใจกันหน่อยนะ T^T
ผมเดินเข้ามาในบ้านที่ยังสภาพปกติ ไม่ได้ อาจจะเก่าลงไปบ้างแต่ก็ไม่มอง พื้นที่ยังทรุดยู่ก็ยังคงทรุดต่อไป เสียงเอี๊ยดอ๊าดในขณะที่เดินยังคงดังเป็นปกติของมัน ผมเดินไปที่หน้าหิ้งพระที่มีรูปของแม่อยู่ ยกมือไหว้ก่อนจะเอื้อมตัวไปแขวนพวงมาลัยที่หิ้งของแม่
คิดถึงจังครับ แม่สุดสวยของหนู … อยู่บนสวรรค์ มีความสุขดีไหมครับ ปังอยู่ตรงนี้สบายดีนะครับไม่ต้องเป็นห่วง
เดินเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง ความรู้สึกเก่าๆ ภาพเก่าๆก็เริ่มกลับมา ผมมาไกลมากเหมือนกันนะเมื่อมายืนอยู่หน้ากระจกแบบนี้ …ความคิดอาจจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้างก็ได้ล่ะมั่งชั้นวางหนังสือที่เคยมีแต่ขนมซุกอยู่ก็ถูกพ่อทำความสะอาดจนเกลี้ยงมุ้งม่านที่นอนถูกเก็บเป็นที่เป็นทาง ตู้เสื้อผ้าปิดสนิท … ไม่ได้กลับมานานขนาดนี้เลยหรอเนี้ย เห็นทีต้องทำความสะอาดบ้านบ้างซะแล้ว
ว่าแล้วผมก็ลงมือทำความสะอาดบ้าน ปัดกวาดเช็ดถู รวมถึงซ่อมบ้านบางจุดที่คิดว่าตัวเองพอจะทำได้ ก่อนจะมานอนหมดแรงในห้องของตัวเองที่ตอนนี้สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนกับทั่วทั้งบ้าน ห้องเปิดโล่งรับลมทำให้กลิ่นอับผ้าหมดไปด้วย ก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเพลียในเวลาเที่ยงกว่าๆ
หลับไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ผมก็สะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกมีคนมานั่งอยู่ข้างๆและกำลังทำอะไรขยุกขยิกอยู่ตรงหน้าของผม ลืมตาขึ้นมาต้องผงะเมื่อเจอกับหน้าเรียบเฉยเย็นชาของใครบางคนที่ขอโทษนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เช้ามานี้ เค้ามาได้ไง
“พี่ใหญ่”
“ยังจำได้อีกเหรอ” อ่ะ …. โดนโกรธแล้วแน่ๆ ผมก้มหน้าลงมองมือพี่ใหญ่วางอยู่บนหัวเข่าตัวเอง ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นมองผมไม่วางตา … ความซวยมาเยือนแล้ว
“เอ่อ … มาได้ไงครับ”
“คิดว่ายังไงล่ะ ดื้อนักนะไหนบอกสิอะไรเข้าสิงถึงได้ขัดคำสั่งกัน” ผมกัดริมฝีปากยื่นมือจะเข้าไปจับมือพี่ใหญ่ แต่ก็โดนปัดออก
“ผม …”
“ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร งั้นฉันกลับล่ะ เหนื่อยจะตามล่ะ บอกตรงๆนะไอ้ปัง กูไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่”ผมสะอึกเมื่อพี่ใหญ่ลุกขึ้นจะเดินออกจากบ้านไปนานเท่าไหร่แล้วที่พี่ใหญ่ไม่ขึ้นมึงขึ้นกูกับผม …
พี่ใหญ่กำลังโมโหมาก … และคนที่ผิดก็คือผม แต่เค้าก็ไม่เข้าใจผมเลย ผมหลับตาลงฟังเสียงเดินลงบ้านไปของพี่ใหญ่ ก่อนที่ปฏิกิริยาร่างกายจะทำงานเอง
ผมวิ่งตามเค้าลงมาพี่ใหญ่กำลังจะขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไปผมรีบเข้าไปขวางหน้ารถพี่เค้าไว้ พี่ใหญ่ชะงักมือที่ใส่หมวกกันน็อก ก่อนจะค่อยๆถอดมันออกจ้องหน้าผมไม่วางตา … ผมเม้มปากและพูดขึ้นๆเบาๆ น้ำตาไหลออกมาเป็นทางผมไม่รู้ว่าผมงี่เง่าแค่ไหนที่ทำแบบนี้แค่ผมรู้แค่ว่าไม่อยากเสียเค้าไป
“ผมกลัว …” พูดได้แค่นั้น ทุกอย่างที่อยากจะพูด
ผมพูดได้แค่นั้น … ถึงพี่ใหญ่จะบอกว่าไม่สนใจคำติฉินนินทาของใครที่เราคบกัน คอยปลอบประโลมผมในสิ่งที่ผมกังวนมาตลอด แต่ทุกครั้งเค้าไม่เคยรู้เลย ว่าผมต้องทนฟังคำด่าคำว่าของใครต่อใครที่คอยบอกว่าผมมันต้อยต่ำติดดินเกินกว่าจะเคียงคู่กับพี่ใหญ่ มันเจ็บนะ ยิ่งพี่ใหญ่เอาจริงเอาจังมากเท่าไหร่ ยิ่งผมอยากจะจับมือพี่ใหญ่แน่นขึ้นเท่าไหร่ … ผมก็ยิ่งได้ยินคำพูดบ้าๆเหล่านั้นดังขึ้น!!!
เราสองคนไม่ได้อยู่โลกนี้เพียงสองคน …
“เลิกบ้าสักทีได้ไหม” เค้ากัดฟันพูดออกมา ผมกลัวเค้า … แต่ผมก็ยังอยากที่อยู่ตรงนี้ …
“…”
“กูกับมึงต่างกันตรงไหน คนเหมือนกัน!!! กูมีค่านักหรอไง มึงด้อยค่านักหรอไง ไหนมึงลองเอามีดมากรีดเนื้อกูดิ เลือดกูเป็นสีฟ้าหรือไง!!!!” ผมสะดุ้งพรวดเมื่อเค้าพุ่งเข้ามาจับข้อมือผมและเขย่าแรงๆ ฮึก เปล่า … เปล่าเลย อย่าโกรธผมเลยผมขอโทษ ฮึก ผมขอโทษ
“กูรำคาญที่มึงเป็นแบบนี้นะไอ้ปัง หนีปัญหา ซุกหัวอยู่ในกะลา เป็นเหี้ยอะไรก็ไม่พูด เป็นเหี้ยอะไรก็ร้องไห้ แต่มึงไม่เคยสนใจความรู้สึกใครทั้งนั้นว่าเค้าจะเป็นห่วงหรือเค้าจะแคร์มึงแค่ไหน” เค้ากระซิบบอกผม ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายแต่น้ำเสียงที่สั่นเทาทำให้ผมสงสารเค้าจับใจ ... ผมไม่ได้ตั้งใจ ...
“หยุดบ้าได้ล่ะนะ กูก็เป็นกู สนใจกูแค่คนเดียว รักกูคนเดียว ห้ามไปจากกู จากนี้และตลอดไป” ผมพยักหน้าก่อนจะได้รู้สึกอะไรต่อจากนี้อีก ผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดทันที … อบอุ่น … หึ กว่าจะรู้ตัวผมก็ติดสัมผัสไปซะแล้ว …
“อ้าวไอ้หนุ่ม เจอกันแล้วสิ” ผมผละออกจากพี่ใหญ่ทันทีที่เสียงของพ่อดังขึ้น อ่ะ … ตะ ตะ ตายแล้ว …
“พ่อ” ผมงึมงำมองภาพของพ่อที่ปั่นจักรยานคันเก่าเข้ามาในบ้าน
“ครับพ่อ” ผมหันกลับมามองพี่ใหญ่ที่ยืนหน้ายิ้มอยู่ข้างๆ … พี่ใหญ่ยิ้ม นรกแตกแล้วไอ้ปัง พ่อเจอพี่ใหญ่แล้ว พ่อเจอพี่ใหญ่แล้ววววววววววว ว ว
“เอ็งเป็นอะไรไอ้ปัง ร้องไห้เป็นเด็กเล็ก ๆ วันนี้ข้าเลิกงานไวพอดีเจอไอ้หนุ่มนี้เลยให้เข้ามาในบ้านก่อน ”
“เอ่อ … คือว่า”
“กินข้าวกินปลาซะก่อนค่อยว่ากัน มีเรื่องให้คุยอีกเยอะ” และพ่อก็เดินไปหลังบ้านที่เป็นห้องครัว ผมมองหน้าที่ใหญ่ที่หันมามองอย่างเจ้าเล่ห์ …
“พี่คุยอะไรกับพ่อแล้วหรือยัง”
“ให้ทาย ฟอดดด ”
“อ่ะ …คนบ้า” ผมตีพี่ใหญ่ไปเพี๊ยะใหญ่ๆ เจ้าเล่ห์ไม่พอยังลามกอีก เดี๋ยวพ่อออกมาเห็นจะว่ายังไง
“เฮ้ย ใจคอจะให้คนแก่ทำคนเดียวหรือไง!!!”
“จ้าพ่อไปแล้วจ้า” ผมตะโกนบอกไป ก่อนจะค้อนพี่ใหญ่วงใหญ่ และเดินไปหลังบ้าน …
แปลกนะอยู่ๆน้ำตาผมก็หายไปซะอย่างงั้น …
================
อย่าทะเลาะก๊านนนนนนนนนนนนนนนนนนนน 
เจอกันตอนหน้าค่ะขอบคุณที่ติดตามนะค่ะ กินมาม่าอร่อยจุใจแอบฟินท้ายๆก็บอกนะค่ะ อิอิ
ห้องเก็บนิยาย pa_pa
ฝากเพจค๊า ติดตามการแจ้งอัพนิยาย & ทวงนิยายได้ตลอดนะค่ะ
สุดท้ายขอฝากผลงานชิ้นล่าสุดคะ
สาปศารทูลจงรัก
และคุณจะหลงรักศาลทูลค่ะ 