::: CHAPTER 1 ::: “พราน มึงอยู่ไหน”
“หน้าคณะแล้ว ทำไมกูไม่เห็นสักคนเลยวะ”
ผมพยายามกวาดสายตามองหาคนที่ดูเข้าข่ายว่าจะมางานแรกพบในวันนี้ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นเด็กคณะอื่นเกือบทั้งหมดแล้ว นี่มันก็เลยเวลาที่พี่เขานัดไว้เกือบสิบนาทีแล้ว ทำไมไม่มีใครมานั่งรอหน้าคณะเลยสักคน
“ไอ้เชี่ย แล้วมึงจะเห็นได้ไง ทุกคนเข้าคณะมาหมดแล้ว”
“...” อ้าว แล้วผมจะไปรู้ได้ไง
“มึงรีบนะเว้ย ใกล้ปิดประตูแล้ว”
“เออๆ กูไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ผมกดวางสายแล้วยัดมือถือลงกระเป๋าอย่างลวกๆ ก่อนเดินหาประตูทางเข้า นี่เป็นการมาคณะครั้งแรกเลยทำให้ไม่รู้ว่าควรจะเข้าทางไหนกันแน่ ก่อนเสียงโห่เชียร์จะดังออกมาเหมือนบอกว่ากิจกรรมกำลังจะเริ่มแล้ว ผมเลยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิมแล้วมุ่งไปหาเสียงเชียร์นั้น
‘ผลั่ก!!’
แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีผู้ชายรูปร่างสูงคนหนึ่งวิ่งอย่างรวดเร็วดูรีบมากจนเหมือนหนีอะไรบางอย่างมากกว่า ก่อนจะเบียดชนเข้ากับผมอย่างจัง ทำเอาผมที่กำลังรีบอยู่เหมือนกันนั้นถึงกับเซไปนิดนึง ผมอดไม่ได้ที่จะมองตามแผ่นหลังที่เดินนำหน้าไป เข้าใจนะว่ารีบแต่ทำไมวิ่งไม่ดูคนเลยวะ
“เฮ้ย โทษที”
“อือๆ ไม่เป็นไร”
เขาเอ่ยขอโทษเร็วๆ โดยไม่หันกลับมา ผมเลยได้แต่อือๆ ไปแล้วจัดกระเป๋าสะพายที่ถูกแรงผลักไปด้านหน้าให้เข้าที่ เสียงโห่เชียร์ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เร่งให้ผมรีบเดินเข้าไปประตูทางเข้า แต่แล้วผู้ชายคนเดิมกลับชิงผลักประตูนั้นเปิดออกแล้วเบียดเข้าไปก่อน ทำเอาผมหยุดแทบไม่ทัน
“เออนี่ ชื่ออะไร อยู่ภาคไหน”
ผมชะงักไปนิดนึงเมื่อคนที่เดินนำเข้าไปก่อนกลับหันกลับมาแล้วยืนรอให้ผมเดินเข้ามา ทั้งที่เมื่อกี้ตัวเองกำลังรีบแล้วทำไมมาชวนคุยตอนนี้วะ ผมไม่เข้าใจ
“นายพราน ถาปัตย์ภายใน”
“อืม...พรต ถาปัตย์หลัก”
พอผมตอบเสร็จเขาก็แนะนำตัวทันทีจนดูเหมือนจะไม่ใส่ใจจะฟังชื่อผมเลยสักนิด ความจริงถามชื่อไปตอนนี้ไม่มีใครจำได้หมดหรอก ต้องคุยกันไปทำกิจกรรมกันไปสักพักถึงจะเริ่มจำได้ แต่สำหรับคนที่ถือเป็นเพื่อนใหม่คนแรกในคณะแบบนี้ก็คงจำได้ล่ะมั้ง
ผมเดินตามพรตเดินไปนั่งต่อแถวเพื่อนคนอื่นซึ่งนั่งล้อมลานเล็กๆ กันแน่นขนัด และดูเหมือนจะเริ่มกิจกรรมกันมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ทันจะนั่งลงไปอยู่ๆ รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้ากิจกรรมซึ่งนั่งอยู่กลางลานก็หันกลับมามองผมกับพรตทันที
“น้องที่เข้ามาใหม่ ไหว้เจ้าที่ด้วยครับ”
พรตชะงักไปนิดนึง ก่อนจะหันมามองผมเมือนชวนกันลุกขึ้น ผมเลยจำใจเดินไปกลางลานท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่ บนแท่นที่พวกรุ่นพี่นั่งอยู่มีโฟมรูปที่แกะและพ่นสีให้เป็นรูปศาลเจ้าเล็กๆ ผมเลยค่อยๆ ก้าวเข้าไปหา
“นั่งท่าเทพบุตรด้วยครับ”
ผมค่อยนั่งลงอย่างเก้ๆ กังๆ ให้ตายเถอะ พยายามไม่ทำตัวเป็นคนเด่นในคณะเพราะต่อไปคนโดนเรียกโดนอะไรหลายๆ อย่าง แต่นี่แค่วันแรกก็โดนซะแล้ว
“น้องยกมือขึ้นอย่างนี้แล้วทำตามพี่”
รุ่นพี่คนหนึ่งที่นั่งอยู่บนแท่นลงมานั่งข้างๆ ผมแล้วแบมือยกแขนชูขึ้นให้ทำตาม ก่อนพี่เขาจะเหวี่ยงตัวไปทางขวาอย่างแรงจนผมสะบัดแล้วก้มเอาหน้ากับมือที่ชูขึ้นวางลงแนบกับพื้น ผมหันไปมองพรต จึงได้เห็นว่าเขาดูตกใจไปนิดนึง คงคิดเหมือนผมบ่ะมั้ง ขืนทำท่านี้อยู่กลางลานสองคนเพื่อนทั้งรุ่นคงจำได้
“เอ้า! น้องทำเลย สามครั้งนะ สะบัดแรงๆ”
เวรแล้วไง คราวนี้พรตเลยหันมามองผมเหมือนจะเกี่ยงว่าเอาไงดี แต่แล้วเจ้าตัวกลับยกมือขึ้นแล้วเหวี่ยงแรงจนผมเกือทำตามไม่ทัน ผมทำเท่าที่จะทำได้ท่ามกลางเสียงปรบมือเสียงโห่ของรุ่นพี่และเสียงหัวเราะของเพื่อนบางคน ทำให้เวลาประมาณสามสิบวินาทีนี้ยาวนานเหมือนสามชั่วโมง
“ดีมาก ไปนั่งที่ได้”
ผมลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้รุ่นพี่ด้วยอารมณ์ที่เหมือนนักเรียนไหว้ครูหลังโดนทำโทษ ขอบคุณที่ปล่อยกูไปอะไรทำนองนี้ และพอนั่งลงในแถวกลุ่มผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ก็หันมามองผมกับพรตยิ้มๆ แล้วเหมือนจะหันไปซุบซิบกับเพื่อนต่อ ถามว่าอายไหม...มาก แต่ทำอะไรไม่ได้
“โอเค ถ้ามากันครบแล้วก็ ขอต้อนรับเข้าสู้คณะสถาปัตย์อีกครั้งครับ!!!”
รุ่นพี่รุ่นน้องปรบมือโห่กันกระหึ่ม ทำเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้ มันอาจเป็นประโยคธรรมดาที่รุ่นพี่พูดขึ้นพอเป็นพิธี หรือเป็นประโยคที่เพื่อนบางคนปรบมือตามเพราะคนอื่นทำก่อน แต่มันฟังดูโคตรยิ่งใหญ่สำหรับผมเลย เหมือนกับจะบอกกับผมว่าในที่สุดมึงก็พาตัวเองฝ่าฝันมานั่งอยู่ตรงนี้จนได้
ผมละสายตาจากรุ่นพี่แล้วหันไปมองคนข้างๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาหันมามองผมก่อนอยู่แล้ว ผมชะงักไปนิดนึงแล้วยิ้มให้เขาเก้อๆ ถึงความจริงอยากจะถามทำนองว่ามองทำไมมากกว่าก็เหอะ แต่ยังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นจะถามคงน่าเกลียดไปหน่อย
“เดี๋ยวพี่จะให้น้องยืนขึ้นแนะนำตัวทีละคนนะครับ”
เสียงจากรุ่นพี่ทำให้ผมละสายตาจากพรตแล้วหันไปกลางลานแทน ไม่ค่อยเข้าใจว่าจะให้แนะนำตัวกันทำไม เพราะคงไม่มีใครจำชื่อเพื่อนเป็นร้อยได้ในครั้งเดียวหรอก รอให้ค่อยๆ รู้จักกันไปก่อนดีกว่า เพราะถึงตอนนั้นก็รู้ชื่อเองแบบไม่ต้องนั่งท่องชื่อเพื่อนกันแล้ว
“เริ่มจากน้องที่เข้ามาหลังสุดเมื่อกี้เลย”
อ้าว ชิบหาย กลายเป็นว่าผมต้องลุกขึ้นมาคนแรกท่ามกลายเสียงปรบมือจากทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ นี่แค่ไหว้เจ้าที่คนเดียวก็เด่นพอแล้วจะให้แนะนำตัวอีกคงไปกันใหญ่
“นายพราน สถาปัตย์ภายในครับ”
พอพูดชื่อเสร็จ เสียงปรบมือของเพื่อนก็ดังขึ้น ผมเลยนั่งลงไปเหมือนเดิม แต่แล้วพี่ที่ยืนมองอยู่จากระเบียงด้านบนกลับตะโกนห้ามทันที
“อย่างเพิ่ง!! เต้นก่อนแล้วค่อยนั่ง”
“!!”
ช็อคสิครับ ผมถึงเหวอไปเลยครับ ก่อนเพื่อนจะส่งเสียงเชียร์ให้เต้นกันยกใหญ่ มาถึงตอนนี้ก็เลี่ยงอะไรไม่ได้อยู่แล้ว มีหนทางเดียวคือทำให้มันจบๆ แล้วนั่งลง ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ เรียกได้ว่าแทบจะสบตากับเพื่อนทุกคนเลยล่ะ ผมยิ่งเป็นคนที่รู้สึกกดดันได้ง่ายตอนอยู่ต่อหน้าคนมากๆ ด้วยสิ
เป็นไงเป็นกันวะ! ผมยืนคิดครู่นึงแล้วหลับหูหลับตาเต้นภายในห้าวินาที ก่อนเสียงหัวเราะจะดังลั่นจนผมแทบนั่งลงไปไม่ทัน ที่ทำไปถึงจะดูกล้าแต่ไม่ใช่ไม่อายนะเว้ย ผมพยายามคุมสติตัวเองกลับมาเหมือนเดิมก่อนที่จะตื่นเต้นไปมากกว่านี้
“ฮ่าๆๆ ตลกว่ะ”
พอนั่งลงเท่านั้นแหละ คำที่เหมือนพูดลอยๆ เหมือนตั้งใจพูดกับตัวเองของพรตก็แทงใจผมทันที อะไรวะ ขนาดคนที่เพิ่งรูจักกันแบบนี้ยังขำไม่หยุด ชิบหายแล้วกู เข้ามานี่เกิดแน่ๆ
“ตลกแต่อายเว้ย”
“ดีแล้วๆ” พรตพูดไปหัวเราะไป
คือมันดีตรงไหนวะ ผมไม่เห็นว่ามันจะโอเคเลยสักนิด แต่เอาเถอะ ทำให้จบๆ ไปก่อน สักพักทุกคนคงลืมมันไปเอง
“พรต ถาปัตย์ ถาปัตย์ ครับ”
และในขณะที่ผมกำลังจะเป็นบ้ากับเหตุการณ์เมื่อกี้นั้นพรตก็ยืนขึ้นแนะนำตัว ผมเลยพับความอายของตัวเองเก็บไว้ก่อนแล้วสนใจเพื่อนใหม่แทน พอแนะนำตัวเสร็จพรตก็นั่งลง แต่...
“น้องครับ!! หมุนตัวก่อน”
นั่นไง เสียงพี่ตะโกนลงมาทำให้ชะตากรรมของพรตไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่ แต่ก็ถิอว่าโคตรโชคดีถ้าเทียบกับผมเพราะพี่แค่บอกให้ชูมือขึ้นแล้วหมุนโชว์ตัวเท่านั้น แถมยังมีเสียงกรี้ดของเพื่อนกับรุ่นพี่ผู้หญิงดังเป็นระยะๆ
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง และ...เออ จะว่าไปมันก็หน้าตาดีใช้ได้ ผิวขาว ตาคม อย่างที่ผู้หญิงชอบทุกประการ แต่การแต่งตัวกับทรงผมคงจืดไปหน่อยเลยทำให้ผมไม่รู้สึกถึงความหล่อของมันเลยจนถึงวินาทีนี้ และถ้าไม่มีใครกรี้ดผมก็คงไม่ทันสังเกต
พรตหมุนตัวอยู่สองรอบแล้วนั่งลงเหมือนเดิม เสียงกรี้ดยังดังไม่หยุดแต่เขากลับดูไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด คราวนี้ล่ะ ผมเลยได้ทีแหย่กลับบ้าง
“หล่อมากกก” ผมลากเสียงยาวอย่างล้อเลียน
“ฮ่าๆๆ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น”
พอคุยกันแบบนี้เลยได้รู้ว่าพรตเป็นคนยิ้มง่ายคุยง่ายกว่าที่คิด นี่ถ้าไม่ติดว่าตอนเจอกันหน้าประตูเขารีบมาก ความประทับใจแรกคงเกินร้อยไปแล้วล่ะ
ผมนั่งฟังเพื่อนทุกคนแนะนำตัวกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปสองชั่วโมง และอย่างที่บอกล่ะ ไม่มีใครจำเพื่อนได้เท่าไหร่ แถมบางคนยังพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ผมเลยนั่งเบื่อบ้างหันไปคุยกับพรตบ้างพอจะฆ่าเวลาสองชั่วโมงได้ ความจริงผมกะจะนั่งเล่นมือถือแต่รอบข้างไม่มีใครหยิบขึ้นมาเลยทำให้ผมไม่กล้าทำอะไรนอกจากนั่งฟังไปเรื่อยๆ
ในที่สุดเมื่อคนสุดท้ายแนะนำตัวเสร็จ รุ่นพี่เลยย้ำอีกครั้งถึงเรื่องกำหนดการของวันพรุ่งนี้ที่เป็นวันสัมภาษณ์ของเด็กแอดมิชชั่นซึ่งเข้ามาทีหลังรอบสอบตรง
“แอดมิชชั่นมาสัมภาษณ์แปดครึ่ง ส่วนรับตรงก็มาด้วยนะ ใส่ชุดนักเรียน”
และในขณะที่ผมกำลังนั่งฟังรุ่นพี่สรุปงานอยู่นั้น จู่ๆ พรตก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้นเอง
“เข้ามารอบแอดป่ะ”
“อืม ใช่ พรตล่ะ”
“...เหมือนกัน”
ผมพยักหน้ารับรู้แล้วหันกลับไปฟังพี่สรุปงานต่อ ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยผมก็มีคนรู้จักมาสัมภาษณ์พรุ่งนี้ด้วยสักคนเพราะเพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันทุกคนที่เข้าคณะนี้ก็เข้ารอบรับตรงแล้วทั้งนั้น มีแต่ผมนี่แหละที่เหลือเป็นติ่งอยู่คนเดียว
“เฮ้ย ฝากกระเป๋าหน่อย จะไปฉี่”
อยู่ๆ พรตก็หยิบมือถือออกจากกระเป๋าแล้วส่งย่ามทั้งใบมาให้ ผมเลยรับมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เข้าห้องน้ำก็ถือกระเป๋าไปได้ ต่อให้ไปขี้ก็ยังมีที่แขวนกระเป๋าให้อยู่แล้ว ผมวางย่ามสีน้ำตาลไว้ข้างตัวแล้วนั่งฟังพี่สรุปต่อ แต่ผ่านไปเกือบสิบนาทีพรตก็ยังไม่กลับมา เลยทำให้ผมเริ่มคิดแล้วล่ะว่ามันไปขี้หรือตกส้วมตายที่ไหน
“เอ้า! วันนี้ปล่อยแค่นี้ ขอบคุณครับ!!”
แต่ไม่ทันจะสงสัยอะไรมากขึ้น เสียงรุ่นพี่ที่อยู่กลางลานก็บอกให้น้องกลับบ้าน ทำให้คนจำนวนหลายร้อยลุกขึ้นเดินไปหาเพื่อนเดินกลับบ้านกันพลุกพล่านจนแทบดูหน้าไม่ทัน ผมมองย่ามที่ถือติดมือมาด้วยแล้วตัดสินใจเดินไปตามถึงห้องน้ำ
“อ้าวไอ้พราน กูกำลังหามึงอยู่ มาเลยๆ”
และก่อนจะได้บอกผมก็โดนลากออกจากประตูคณะที่เข้ามาเมื่อเช้า พอคนไม่ค่อยพลุกพล่านแล้วผมเลยถือโอกาสชิงพูดก่อนทันที
“กูต้องเอากระเป๋าไปคืนเพื่อน มันฝากไว้ตอนเข้าห้องน้ำ”
คราวนี้ ‘โอม’ เพื่อนสนิทจากโรงเรียนเก่ามันเลยชี้ให้ดูคนที่กำลังทยอยเบียดกันออกมาจากประตูกันยกใหญ่
“มึงจะเข้าไปอีกเหรอ”
แล้วจะให้ผมทำไงล่ะ มีย่ามของใครไม่รู้อยู่ด้วย จะให้ถือกลับบ้านไปด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ขี้เกียจเบียดคน’ ก็แย่ไปหน่อย พรุ่งนี้ต้องสัมภาษณ์อีก ถ้ามีของสำคัญหรือหลักฐานการสอบอะไรอยู่ในกระเป๋านี้ขึ้นมาผมจะกลายเป็นคนเลวทันที
“เดี๋ยวกูมา มึงรออยู่นี่แล้วกัน”
พูดจบผมก็เบียดกลับเข้าไปในประตู และมันยากกว่ามากที่จะเบียดสวนทางกับคนจำนวนมากที่เดินออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินกันเลยสักนิด กว่าผมจะเบียดเข้าไปทำเอาเหงื่อแตกเต็มหลัง และทันทีที่รอดมาได้ผมก็รีบดิ่งไปยังห้องน้ำชาย
ผมเดินผ่านโถฉี่ที่มีเพื่อนสองสามซึ่งไม่เคยห็นหน้ามาก่อนยืนใช้อยู่ เลยเดินเข้าไปถึงโซนส้วม วนสองสามทีแล้วไล่ผลักประตูดูข้างในจนครบ
...แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครอยู่
หลังจากกินข้าวเดินเล่นกับเพื่อนเสร็จแล้วผมก็กลับมาถึงบ้านตอนเย็นๆ ซึ่งตรงกับตอนที่น้องสาวผมออกไปกินข้าวกับเพื่อนพอดี ผมเลยโล่งใจไปหนึ่งเปลาะว่าไม่ต้องมานั่งตอบคำถามเยอะๆ อย่างที่มันชอบทำอยู่บ่อยๆ
ผมเดินเข้าห้องนอนอย่างเหนื่อยๆ เหวี่ยงกระเป๋าสะพายกับย่ามของพรตไว้บนพื้นข้างเตียง ก่อนจะล้มตัวลงบนเตียงโดยไม่เอาผ้าคุมออกแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเล่น เปิดแอพลิเคชั่นนู่นนี่ไปเรื่อยๆ จนมาถึงโปรแกรมแชทชื่อดังที่ขยันเด้งเตือนจบางทีผมแทบลบทิ้ง
พอเปิดมาก็มีคำทักทายจากคนนู้นคนนี้เรียงกันเต็มไปหมด รวมถึงกรุ๊ปแชทที่มีแต่คนสามสี่คนคุยกันเป็นพันให้คนอื่นอ่านเล่นโดยที่เขาไม่ได้อยากรู้ และล่าสุดเป็นของใบพลูน้องสาวผมเอง ดูเวลาแล้วช่วงนั้นผมยังไม่ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ ความจริงจะเดินมาพูดตรงๆ กันเลยจะดีกว่าด้วยซ้ำ หรือมีอะไรลึกลับขนาดคนอื่นได้ยินไม่ได้...
และเมื่อผมกดเข้าไปดูนั่นแหละ ถึงได้เป็นรูปผู้ชายที่จัดว่าหล่อคนหนึ่งกำลังยืนหันข้างเหมือนเหม่อมองอะไรอยู่แล้วโดนแอบถ่าย เป็นธรรมชาติของพลูที่จะชอบกรี้ดผู้ชาย แต่คราวนี้ข้อความด้านล่างไม่ใช่แค่ส่งมากรี้ดธรรมดาเหมือนที่เคยทำ
‘คนนี้สเป็คมาก อยู่คณะพี่พรานอ่ะ ถ้าเจอขอเบอร์ขอไลน์ให้หน่อย’
ผมเคยเสนอข้อแลกเปลี่ยนน้องไว้ว่าถ้ามีอะไรช่วยได้ก็จะช่วย ผมเคยถ่ายรูปเพื่อนตัวเองมาให้น้องหรือทำอะไรทำนองนั้นอีกสองสามอย่างเพราะมันก็ถ่ายรูปเพื่อนมาให้ผมเหมือนกัน แต่ไม่เคยมีถึงขนาดขอเบอร์เลยสักครั้ง ผมเลื่อนขึ้นไปถึงรูปนั้นอีกครั้งแล้วพยายามซูมเพื่อให้เห็นหน้าชัดๆ และด้วยความที่เป็นรูปด้านข้างทำให้ระบุไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คงไม่ใช่รุ่นเดียวกันแล้วล่ะ
‘ไม่ใช่ปีหนึ่งนะ เขาอยู่ปีไหนก็ไม่รู้ ช่วยสืบที’
...งานเข้าแล้วกู
-----------------------------------------------------------------------------------
บทแรก ลุ้นๆ กันไปก่อนเนอะ
