ตอนที่ 8 (สิงห์ & จีน)
....................................
“ตอนนี้คนไข้ทั้งสองคนพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”คำพูดของคุณหมอที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องไอซียู ทำเอาทุกคนที่ตั้งใจรอฟังข่าวอยู่หน้าห้องถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปตามๆกัน แต่ทว่าวินยังไม่ทันได้ถามคุณหมอก็ชิ่งพูดขึ้นมาก่อน
“แต่คนไข้ยังไม่ฟื้น แม้จะพ้นขีดอันตรายก็ตาม”
“เอ๊ะ? หมายความว่ายังไงครับคุณหมอ พ้นขีดอันตรายแต่ไม่ฟื้น” วินถามต่อด้วยความหงุดหงิด เพราะเขาเป็นห่วงคุณพ่อกับคุณไฟเอามากๆ ซึ่งคุณหมอรู้ดีว่าวินเป็นใคร จึงรีบตอบกลับไปว่า
“พวกเขาถูกยิงเฉียดที่ศีรษะทั้งคู่ ก็เลย...”
“เป็นเจ้าชายนิทรา คุณจะบอกแบบนั้นกับพวกผมใช่ไหมครับคุณหมอ” สิงห์พูดแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ซึ่งทำเอาคุณหมอถึงกับสะดุ้งตกใจทันที
“ไม่เอาน่าสิงห์ อย่าไปดุคุณหมอแบบนั้นสิ” วินรีบพูดห้ามลูกชายคนโตเพราะไม่อยากจะให้มีเรื่อง และที่สำคัญเขาไม่อยากให้คนนอกเห็นว่าพวกเขาใช้อำนาจมาเฟียพูดจาข่มขู่คุณหมออีกด้วย “แล้วพวกเขาสองคนจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ครับคุณหมอ”
คุณหมอได้ฟังที่วินถามก็กรอกสายตาไปมาก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นว่า
“อันนี้ผมไม่ทราบครับ แต่อาการโดยรวมดีขึ้นมากตามลำดับ ถ้ากำลังใจดี ไม่แน่ว่าคนไข้อาจจะฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน ถ้าพวกคุณจะเข้าไปเยี่ยม ผมอนุญาตให้เข้าไปทีละคน ส่วนคุณ...วิน...ผมขอเชิญคุณไปฟังอาการคนไข้ที่ห้องได้หรือไม่ครับ”
“ได้ครับคุณหมอ” แล้ววินก็เดินจากไปพร้อมกับคุณหมอ ทิ้งให้พวกสิงห์ เฟยจิ้ง ราตรี และพ่อแม่ของวีร์นั่งรออยู่หน้าห้องไอซียู
...............................
ผู้นำตระกูลพยัคฆ์ถูกโค่น?
ลือว่าเป็นฝีมือของคนในตระกูลงูที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน (อ่านต่อได้หน้าที่...)ข่าวอาการบาดเจ็บของไฟหรือพยัคฆ์ ผู้นำตระกูลเสือที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาจนถึงบัดนี้ได้ดังกระฉ่อนไปทั่ววงการมาเฟีย รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ได้รับรู้ข่าวนี้ต่างพากันหวาดกลัวในอำนาจมืดที่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
“พวกนักข่าวมันรู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือของพวกตระกูลงู ก็ในเมื่อพวกเราไม่ได้ปริปากบอกเลยซักคำเดียว” จีนเงยหน้าขึ้นพูดหลังจากก้มอ่านหนังสือพิมพ์ได้ซักพัก ตอนนี้ที่บ้านมีแค่เขากับพี่สิงห์ที่ยังอยู่ (เพราะเขายังไม่หายดี ก็เลยต้องอยู่บ้าน) ส่วนพี่ลีโอ พี่กระต่ายไปทำงานตามเดิม มีเพียงแค่คุณพ่อกับคุณลุงอิฐที่อยู่เฝ้าคุณไฟกับวีร์ที่โรงพยาบาล และเพื่อความปลอดภัยพวกเขาได้จัดเวรยามป้องกันอย่างแน่นหนา รวมถึงขออนุญาตทางโรงพยาบาลไม่ให้นักข่าวหรือคนนอกเข้าไปทำข่าวข้างในด้วย
“ไม่แปลกที่พวกนักข่าวจะรู้ พวกนี้จมูกมันไว” สิงห์กล่าวตอบก่อนจะดึงหนังสือพิมพ์ออกจากมือบาง “หยุดอ่านได้แล้วจีน รีบทานข้าวซะ เดี๋ยวมันจะเย็น”
จีนย่นจมูกเล็กน้อยอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ แต่ก็ยอมลงมือทานข้าวต่อแต่โดยดี ทว่า...
Trr…เสียงมือถือดังขึ้น ทำให้สิงห์ที่กำลังตักข้าวเข้าปากตัวเองก็ต้องหยุดชะงักลง ก่อนจะวางช้อนแล้วหันไปหยิบมือถือขึ้นมาดู และพอรู้ว่าปลายสายเป็นใครจึงกดรับสายทันที
“ครับคุณพ่อ...กำลังทานข้าวเช้าอยู่ครับ ได้ครับ ครับ ตกลงครับ อีกครึ่งชั่วโมงผมจะไป สวัสดีครับ” แล้วพี่สิงห์ก็กดวางสายลงพร้อมกับวางมือถือลงข้างจาน
“คุณพ่อโทรมาหรือพี่สิงห์” จีนถามด้วยความสงสัย
“ใช่” สิงห์ตอบก่อนจะถอนลมหายใจออกเบาๆ “เดี๋ยวพี่จะต้องออกไปหาคุณพ่อที่โรงพยาบาล พอดีท่านมีเรื่องจะให้พี่ทำ ระหว่างนี้เราก็อยู่บ้าน...”
“ไม่ จีนจะไปด้วย” เขาแย้งขึ้นมาทันที อยากจะไปเยี่ยมวีร์ใจจะขาด เพราะเมื่อวานยังไม่ทันได้เห็นหน้า ก็ถูกพี่สิงห์พากลับบ้านเสียก่อน
“ไม่ได้ พี่รีบไปรีบกลับ ไม่ต้องเถียง พี่จะให้ไอ้กล้าอยู่เป็นเพื่อนเราด้วย ถ้าพี่รู้ว่าเราแอบตามพี่ไป พี่จะลงโทษเราไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน แล้วอย่ามาหาว่าพี่รุนแรงกับเราเชียวล่ะจีน” แล้วร่างสูงก็ลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกจากห้องรับประทานอาหารไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้จีนได้แต่กระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ
...................................
ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าป้ายโชว์เด่นหราอยู่ทางเข้าชั้นหก ซึ่งไม่มีใครผ่านเข้าไปแม้แต่คนเดียว กระทั่งนักข่าวที่มาทำข่าวก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะต่างคนต่างเกรงในอำนาจของตระกูลพยัคฆ์กับตระกูลสิงห์ แต่ทว่ากลับมีเงาดำคืบคลานเข้าไปอย่างเงียบๆโดยที่ไม่มีใครรู้จุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ ซึ่งทางเข้าชั้นหกมีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่แน่นหนา ดังนั้นหากมีใครเข้าไปบอดี้การ์ดต้องรู้กันทุกคน เว้นแต่ว่า...
ผลัก...โครม!เสียงคนล้มระเนระนาดไปพร้อมๆกันราวกับนัดเอาไว้ ซึ่งเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากพวกบอดี้การ์ด แถมล้มลงไปแล้วก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาได้อีกเลย ก่อนที่เงานั่นจะเดินออกมาจากมุมมืด แลเห็นร่างสูงเพรียวชุดดำทั้งตัวเดินเนิบนาบเข้ามาอย่างใจเย็น จนกระทั่งร่างนั้นไปหยุดอยู่ตรงที่หน้าประตูห้องคนไข้พิเศษวีไอพีที่มีป้ายถูกเขียนชื่อไว้ว่า
นาย พยัคฆ์ / นาย กมลร่างปริศนามองชื่อนั้นก่อนจะยกมือที่สวมถุงมือสีดำขึ้นจับ แล้วจึงบิดลูกบิดอย่างเชื่องช้า เมื่อประตูถูกเปิดออกแล้ว เจ้าตัวก็แทรกเข้าไปยังข้างใน ก่อนแลเห็นสองเตียงที่มีคนป่วยนอนอยู่ท่ามกลางเครื่องช่วยหายใจ
ไม่ผิดตัวแน่...แม้คนป่วยจะได้รับบาดเจ็บบนใบหน้าด้วย แต่เค้าเดิมก็ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งมองดูก็รู้ว่าเป็นใคร แล้วบุคคลปริศนาหันไปมองอีกคนที่เป็นเด็กกว่าพยัคฆ์ ก่อนจะทอดถอนหายใจด้วยความสงสารแกมสมเพศ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนรักของพยัคฆ์ แต่กลับต้องมายุ่งเกี่ยวกับมาเฟียที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
“ฟังนะไอ้หนู ถ้าให้เลือกเกิดได้ คราวหน้าอย่าได้เลือกเกิดเป็นคนรักมาเฟียอีกเลย เพราะมันไม่คุ้มหรอกนะรู้ไหม” บุคคลปริศนาพูดบอกกับเด็กหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียง ก่อนจะหยิบหมอนขึ้นมาพร้อมกับปืนสีดำ “แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะลุงจะส่งคนรักตามแกไปทีหลัง จะได้ไปรักกันในปรโลกให้หนำใจไปเลย”
แกรกหมอนถูกวางบนใบหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะตามด้วยปืนที่ขึ้นมาจ่อเตรียมพร้อมยิง
“Good bye baby.”
ปุ!..........................
“เกิดอะไรขึ้นครับ?!”สิงห์แทบจะถลาเข้ามาพร้อมกับคำถามที่ฟังดูตื่นตระหนกเมื่อเห็นคุณพ่อกับลุงอิฐยืนทำหน้าเคร่งเครียด รอบกายทั้งคู่ต่างมีบอดี้การ์ดฝีมือดีนับสิบยืนอยู่ ส่วนวินเมื่อได้ยินคำถามจากสิงห์จึงหันมาตอบกลับไปว่า
“มีคนร้ายแอบเข้ามาน่ะ แต่โชคยังดีที่พ่อกับอิฐกลับมาทัน ไม่งั้น...”
คุณพ่อวีร์กับคุณไฟได้ตายอีกครั้งแน่...“แล้วพวกบอดี้การ์ดล่ะ” สิงห์กัดฟันพูดด้วยความหงุดหงิด “ได้ข่าวว่าคุณพ่อให้พวกฝีมือดีระดับต้นคอยอยู่เฝ้าไม่ใช่รึครับ ทำไมถึงปล่อยให้คนร้ายเดินเข้ามาได้ง่ายๆ ผมว่าพวกเราควรจะไล่ชุดนี้ออกไปแล้วหาจ้างใหม่ที่ดีกว่า”
“ไม่จำเป็น เพราะไม่มีดีกว่านี้อีกแล้ว”
“คุณพ่อ!” สิงห์ร้องอุทานออกมา แต่กลับต้องกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นคุณพ่อกระพริบตาให้สองสามครั้ง “ว่าแต่คุณพยัคฆ์กับวีร์ปลอดภัยไหมครับ”
“อืม ตอนนี้พ่อได้ย้ายทั้งคู่ไปไว้ที่อื่นแล้ว ฉะนั้นพ่อจะไม่บอกลูกว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน ขืนรู้มากก็ยิ่งทำให้เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้าหามากขึ้น” วินพยักหน้าตอบ ซึ่งสิงห์ก็พลอยเห็นดีเห็นงามด้วยตามนั้น
“แล้วเรื่องงานในตระกูลพยัคฆ์ล่ะครับจะว่ายังไง” สิงห์ถามต่อเพราะเห็นว่าตอนนี้ตระกูลพยัคฆ์กำลังขาดผู้นำอย่างเสือหรือไฟไป ทำให้คนในบริษัทเริ่มหวั่นวิตกเกี่ยวกับงานที่ตัวเองทำ
“เรื่องนั้นลูกไม่ต้องเป็นห่วงเขาไปหรอก แม้ตระกูลพยัคฆ์จะขาดผู้นำแต่ใช่ว่าจะจนตรอกเลยซะทีเดียว พ่อคิดว่าเขาเก่งมากเลยทีเดียว วางแผนการงานในบริษัททุกอย่างไว้ล่วงหน้าเป็นยี่สิบสามสิบปีจนไม่ต้องพึ่งเขาไปชั่วชีวิตเลยก็ว่าได้ เห็นเลขาบอกว่าคุณเสือได้ทิ้งพินัยกรรมไว้ให้กับเขา ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันลายลักษณ์อักษรได้เป็นอย่างดีว่าถ้าเขาหายตัวหรือตายจากไปเกินสามสิบปี อนุญาตให้เลขาขึ้นเป็นหัวหน้าแทนได้เลย”
!!!!!!................................................