นับจากวันที่เสือมาหาผมแล้ว ผมก็ได้แต่เก็บความคิดนั้นไว้อย่างเงียบๆ ข้อเสนอที่เสือเสนอฟังดูน่าสนไม่ใช่น้อย เพราะจะได้ช่วยแม่ข้าวที่อยู่ในนั้นได้ แต่ผมต้องแลกกับชีวิตที่อิสระ ไปอยู่ใต้ความปกครองของเสือ ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าผมต้องผิดสัญญาที่มีให้ไว้กับลูกชายของผมด้วย
ดูท่าว่าคงต้องเลือกวิธีสุดท้ายแล้วจริงๆผมครุ่นคิดในใจพลางถอนหายใจเฮือกด้วยความเหนื่อยอ่อน ผมไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะทำได้สำเร็จ เพราะมันยากที่จะเชื่อว่าคนๆหนึ่งที่ตายไปแล้วจะสามารถกลับชาติมาเกิดได้ครับ
“มึงเป็นอะไรวะไอ้วีร์ นั่งเหม่อลอยเชียว” เสียงของเสกทำเอาผมชะงักความคิด ก่อนจะหันไปมองเสกกับเกมที่มองผมด้วยความเป็นห่วง “มึงมีอะไรไม่สบายใจก็บอกพวกกูได้นะเว้ย”
ผมถอนหายใจเฮือกแรงๆ ก่อนจะตัดสินใจถามอะไรบางอย่างพวกมันดู
“พวกมึงสองคนเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือเปล่าล่ะ”
“การกลับชาติมาเกิดนะหรือ?”
“ใช่ การกลับชาติมาเกิดนะ” ผมย้ำตอบเสียงหนักแน่น “คนที่ตายไปแล้วแต่กลับชาติมาเกิดเป็นคนใหม่พร้อมกับความทรงจำของชาติก่อน”
เสกกับเกมได้ยินที่ผมพูดถึงกับหันหน้ามองกันเองก่อนจะหันมาทางผมต่อ
“เรื่องนี้พวกกูไม่แน่ใจ แต่ก็เคยมีคนพูดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
“แต่กูเคยได้ยินคนแถวบ้านพูดมา” เกมพูดต่อจากเสก “ว่ามีเด็กผู้หญิงห้าขวบบอกว่าชาติก่อนตัวเองเป็นผู้ชาย เห็นว่าเป็นตำรวจเสียด้วย รู้สึกว่าจะโดนคนร้ายยิงตาย ทีแรกไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็เลยพาทุกคนไปพิสูจน์”
“แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อล่ะ”
“ก็สิ่งที่เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดมามันถูกทุกอย่างนะสิ!” เกมเฉลยเสียงดัง “แต่น่าเสียดายที่พอเด็กคนนั้นโตขึ้น กลับลืมเรื่องราวในอดีตไปจนหมด ก็เลยทำให้ทุกคนไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ต่ออีกเลย”
“เหรอ แต่เท่าที่กูเคยอ่านเรื่องนี้มา บางคนที่กลับชาติมาเกิดนั้น บางทีก็พกความสามารถในอดีตกลับมาพร้อมกับความทรงจำด้วย แต่นั่นก็แล้วแต่บางคนนะ แต่ส่วนมากจะลืมเลือนเมื่อตัวเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ว่าแต่มึงจะถามเรื่องนี้กับพวกกูไปทำไมวะไอ้วีร์” เสกพูดก่อนจะหันมาถามผมต่อด้วยความสงสัย
“นั่นสิวีร์ มึงจะถามเรื่องนี้กับพวกกูไปทำไมวะ” เกมก็หันมาถามผมด้วยเช่นกัน ซึ่งทำเอาผมถอนหายใจแรงๆอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างกับพวกมันไปว่า
“ถ้ากูบอกว่ากูเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด พวกมึงจะเชื่อกูไหมล่ะ”
.............................
สุดท้ายแล้วพวกเสกก็ไม่เชื่อที่ผมพูดครับ เพราะมันหัวเราะเยาะทันทีที่ผมบอกว่าอดีตของผมนั้นเคยเป็นวีรวัฒน์ ผู้นำตระกูลสิงห์รุ่นที่สอง ซึ่งพวกมันบอกว่าผมคงเครียดเรื่องเอนทรานซ์มากไป บวกกับเรื่องที่ผมไปอยู่กับตระกูลสิงห์แล้ว ก็เลยทำให้ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลนั้นด้วยครับ
“กูว่ามึงกลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่านะไอ้วีร์”
“นั่นสิ กลับไปพักผ่อนให้สบาย แล้วค่อยกลับมาเรียนดีกว่านะ” ซึ่งผมก็ทำตามที่พวกมันบอก เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา มีแต่เครียดเปล่าๆ พอลาอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกมาจากโรงเรียนทันที แต่เพราะผมออกมาไวไปหน่อย ก็เลยไม่คิดจะโทรไปบอกสิงห์ให้มารับผมครับ
เอี๊ยด!ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่นอกริวรั้วโรงเรียน กะว่าจะไปเดินเล่นคลายเครียดซักหน่อย แต่กลับต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นรถตู้คันสีดำแล่นมาจอดตรงหน้าผมเสียงดังลั่น ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก เผยให้เห็นชายชุดดำสวมหมวกไอ้โม่งวิ่งออกจากมาจากตัวรถ ผมเห็นดังนั้นกะจะคว้าปืนขึ้นมาสู้ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้พกปืนมาโรงเรียนด้วยจึงรีบหมุนตัวเตรียมวิ่งหนี แต่ไม่ทันครับ อีกฝ่ายคว้าร่างผมไว้ได้ ก่อนจะตามด้วยผ้าที่มาปิดจมูกปิดปากผม ทีแรกผมกลั้นลมหายใจกับดิ้นรนขัดขืนมันด้วยนะครับ แต่สุดท้ายก็ฝืนทนกลั้นลมหายใจไม่ไหว จึงสูดกลิ่นที่ติดมากับผ้าผืนนั้นเข้าไปเต็มๆ
“อื้อๆ!”
“อย่าดิ้นสิวะไอ้หนู” อีกฝ่ายตวาดเสียงใส่พลางอุ้มผมขึ้นรถ แต่ก่อนที่เรี่ยวแรงจะหมดไป ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการด้วยแรงเฮือกสุดท้าย แต่ก็เปล่าประโยชน์ครับ กลิ่นยาสลบทำให้ผมถึงกับหัวหมุน “หลับให้สบายนะคุณหนูเฟยหลงตระกูลมังกรเอ๋ย”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนสติจะดับวูบลง
....................................
ในขณะเดียวกันที่บริษัทของตระกูลสิงห์นั้น วินกำลังประชุมอยู่ในห้องประชุมโดยมีทุกคนกำลังนั่งถกเถียงหน้าตาคร่ำเคร่งอยู่ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีสิงห์ ลีโอ และกระต่ายรวมอยู่ด้วย ซึ่งทุกคนกำลังประชุมอยู่นั้นก็ได้มีลูกน้องของวินเดินเข้ามาพูดกระซิบกระซาบกับอิฐ
“ได้ เดี๋ยวฉันบอกท่านให้” เมื่ออีกฝ่ายเดินกลับออกไปแล้ว อิฐจึงค่อยลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินไปหาวินที่กำลังพูดอยู่หน้าห้องประชุม “ขออนุญาตครับคุณวิน พอดีมีคนมาขอพบคุณวิน ตอนนี้เขารออยู่ข้างนอกห้องแล้วครับ”
วินมุ่นคิ้วทันทีที่ได้ยินคนรักพูด จึงหันไปบอกทุกคนให้พักประชุมสิบนาที
“มีอะไรหรืออิฐ” วินหันไปถามต่อด้วยความสงสัย ซึ่งทำให้สิงห์ ลีโอ กับกระต่ายที่นานครั้งจะเจอกับเหตุการณ์หยุดประชุมสิบนาทีถึงกับต้องผุดลุกขึ้นมาร่วมฟังด้วยอีกคน “ไม่เป็นไรอิฐ ให้พวกลูกฉันอยู่ฟังด้วยได้”
“ครับ คือตอนนี้คุณพยัคฆ์กำลังรอพบคุณอยู่ที่ข้างนอกน่ะครับ”
!!!!!!
“คุณวินครับผมว่าพวกเราอย่าออกไปหาเขาเลยดีกว่าครับ” วินไม่ตอบแต่กลับหันไปบอกกับทุกคนว่าให้มาประชุมต่อในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะพากันแยกย้ายกลับไปทำงาน ซึ่งทำให้ตอนนี้เหลือแต่วิน อิฐ สิงห์ ลีโอ และกระต่ายเท่านั้น “คุณวินจะออกไปหาเขาหรือครับ ผมเกรงว่ามันจะอันตรายเกินไป”
“ไม่เป็นไรหรอกอิฐ ที่นี่คือบริษัทของตระกูลสิงห์นะ คนอย่างเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก เชื่อฉันสิ” วินบอกก่อนจะเดินออกไปข้างนอก ตามด้วยลูกชายกับลูกสาวของตัวเองที่เดินตามหลังมาต้อยๆ เมื่อทุกคนเดินออกไปข้างนอกพร้อมกันแล้ว ก็พบกับพยัคฆ์หรือเสือที่มานั่งรออยู่บนโซฟาพร้อมกับลูกน้องอีกห้าคน ส่วนอีกฝ่ายเมื่อเห็นวินเดินออกมาก็ลุกขึ้นยืนทันที
“ต้องขออภัยในความไม่สะดวก พอดีทางเรากำลังประชุมงานกันอยู่ ไม่ทราบว่า…”
“เป็นราชสีห์จนเคยตัวก็เลยความรู้สึกช้าสินะ ถึงได้ไม่รู้ว่าเด็กแกกำลังเจอกับอะไร”
ทุกคนเลิกคิ้วมองหน้ากันเองก่อนจะหันไปมองพยัคฆ์อีกครั้ง
“เด็ก? คุณพูดถึงใครกันแน่คุณพยัคฆ์” วินถามด้วยความสงสัย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ปกติดีทุกอย่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นร้ายแรงถึงชีวิตด้วย
“ก็จะใครซะอีกถ้าไม่ใช่กมลวีร์นะ!” พยัคฆ์ตวาดเสียงตอบก่อนจะโยนรูปภาพลงบนโต๊ะทันที ซึ่งพอทุกคนเห็นภาพที่พยัคฆ์โยนลงไปแล้วก็หยิบขึ้นมาดู ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะภาพที่เห็นมันเป็นภาพที่วีร์ถูกคนลึกลับใส่หมวกไอ้โม่งใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกยัดขึ้นรถตู้สีดำลึกลับที่หน้าโรงเรียน
!!!!!!
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมวีร์ถึง…”
“ถูกลักพาตัว อยากจะพูดแบบนี้สินะ หึ” พยัคฆ์แค่นเสียงหัวเราะ “แกก็รู้ว่าเด็กนั่นคือทายาทตระกูลมังกร ศัตรูตัวฉกาจของเราทุกคน โดยเฉพาะกับตระกูลเต่าที่มันอยากขอดเกล็ดมังกร ฉันไม่สนหรอกนะว่าแกปิดเรื่องนี้ไว้ทำไม แต่ถ้าวีร์เป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ ฉันจะไม่ปล่อยพวกแกแน่คอยดูสิ!”
!!!!!!
............................