คำเตือน....นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากมโนครับผม
ฮันนีมูนแรก....5…(จบมโน)
“เฮีย....”
ผมเดินมาที่เตียงนอนที่มีเฮียมี่นั่งพิงหัวเตียงเหยียดขายาวอย่างเดาอารมณ์แกไม่ถูก
ฉากนี้..สถานที่ก็คือห้องพักบนโรงแรม..
สามสี่หรือห้าดาวก็จัดระดับให้ไม่ถูก...บนยอดเขาเกนติ้งครับ
“หืม...”
เฮียมี่จ้องมองสายตาคมๆที่ไม่สื่ออะไรมาที่ผมอย่างหน่ายๆเล็กน้อย
“เฮีย..จะ...จะนอนยัง...ครับ”
ถามแก้เก้อเมื่อคนบนเตียงทำท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ
ไม่สนใจว่าผมยังมีตัวตนอยู่ในห้องอีกคน
เวลาเราทำผิดเราก็จะเก้อๆเขินๆปนกระดากอายทำนองนั้น
แต่ความผิดความงี่เง่าของผม...
เฮียน่าจะทำตัวเตรียมตัวเตรียมใจให้ชินได้แล้วเนอะ คุณว่ามั๊ย
“อืม...”
เพิ่งรู้ตัวว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่เกลียดเสียงที่มันดังอืออาอยู่ในลำคอ
ไม่รู้ว่าคนทำเสียงแบบนั้นคิดอะไรอยู่
ถนอมคำกลัวดอกพิกุลจะร่วงซะงั้น
“เฮีย...”
ผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียงด้านหนึ่งแล้วคลานไปนั่งแปะใกล้ๆ
สีหน้าของผมในตอนนี้มันคงทั้งจืด เจื่อน และ จ๋อย
“ว่า...”
จะโมโหกลับไปอยู่แล้ว แต่วีรกรรมที่สั่งสมมาในช่วงวันสองวันนี้มันค้ำคอผมอยู่
มาฮันนีมูนแต่ผมก็ทำตัวน่าเบื่อ และเยอะ
“มะ...เมื่อยป่ะ...”
ผมวางมือข้างหนึ่งตรงหน้าตักเฮียอย่างไม่ค่อยมั่นใจในเสน่ห์และมารยาของตัวเอง
ที่มันคงจะมีอยู่น้อยนิด
“นิดหน่อยครับ”
ต้นขาของคนตอบข้างที่ผมวางมือลงไปนั้นเกร็งขึ้นมาใต้ฝ่ามือจนผมรู้สึกได้
สีหน้าและแววตาจากว่างเปล่าของเฮียเปลี่ยนเป็น...รู้ทัน
ตอนแรก..ยอมรับว่าผมที่เป็นฝ่ายจะเริ่มและรุก เกือบจะถอดใจ
เมื่อสิ่งที่ทำไปไม่ได้รับการตอบสนอง
พลันใจชื้นขึ้นมาทันทีทันใด
ผมจะบอกให้คุณรู้จากประสบการณ์ตรงที่ผมได้รับ
เวลาของการง้องอนคนรัก ไม่มีที่ไหนที่จะเวิร์คนอกจาก...บนเตียง
“เฮีย….”
“ฮะ....เฮีย....”
“อ๊ะ....เฮีย....อ่ะ...”
“อื้อ....หะ...หายใจ...มะ...ไม่....อ๊าส์....”
“ยะ....อย่า...ฮะ...อ๊าส์....”
คำพูดครวญครางที่ผมส่งไปง้องอนเฮียมากมาย
ได้รับคำตอบกลับมาว่า...
“ซี๊ดดดด......”
“อืมมม....อย่าดิ้น...สิ...ครับ...”
“อูย....อย่างนั้นหล่ะ....แยกขาออก...ซี๊ดดดด....”
ประมาณว่า...การง้องอนเฮียในครั้งนี้สำเร็จเสร็จสิ้นด้วยการที่
ตอนเช้า...
เมื่อยตัว
เหนื่อยล้า
เพลีย
แสบคอ
หน่วงท้อง
และ
หงุดหงิด
“หน้างอทำไมล่ะ...เริ่มเองนะครับ”
เฮียมี่เก็บของลงกระเป๋าไปพลางชำเลืองมองผมที่นั่งหน้างออยู่บนเตียง
“ฮ๊าวววว...”
ผมหาวยาวๆ ใช้มือปิดปาก
เฮียมี่เก็บของไล่จากห้องน้ำ
อุปกรณ์ทุกอย่างที่จัดเตรียมมาได้รับการเช็ดจนแห้ง
แล้วเก็บใส่กระเป๋าที่มีช่องแยกสำหรับกันกระแทกแตกหัก
เฮียละเอียดแม้กระทั่งเปิดฝาเปิดขวดโฟมล้างหน้า แชมพู ครีมอาบน้ำ
แล้วเช็ดตรงฝาด้านในที่มักมีเนื้อครีมและน้ำขังอยู่จนแห้ง
แปรงสีฟันก็สะบัดน้ำออกจนหมาดแล้วเก็บใส่กล่องของมัน
บอกแล้วผมมันเยอะ
แชมพูครีมอาบน้ำก็ต้องยี่ห้อคุ้นเคย
ดังนั้นไม่ว่าจะไปพักค้างอ้างแรมที่ไหนก็ต้องขนไปครับ ไม่งั้น...หงุดหงิด
จากห้องน้ำ มาถึงตู้เสื้อผ้า
เฮียแยกเสื้อผ้าใช้แล้วใส่ถุงพลาสติกซักแห้งของโรงแรม
ส่วนพวกถุงเท้าก็แยกใส่ถุงพลาสติกที่ได้จากการซื้อขนมของผม
โต๊ะเครื่องแป้ง อันนี้ง่ายหน่อยไม่ค่อยมีอะไรมากนอกจากแป้งและโลชั่น
“เรียบร้อยแล้ว...ไปกันครับ”
เฮียลากกระเป๋าเดินทางไปวางไว้หน้าห้อง
แล้วเดินมาหยิบกระเป๋าหนังของตัวเองขึ้นสะพายบ่า
พร้อมกับยื่นกระเป๋าหนังใบใหม่ของผมส่งมาให้
“ขอบคุณ..ครับ”
ผมรับมาสะพายไหล่แล้วลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูห้องอย่างเซ็งๆ
“วัยทองเหรอครับ”
เฮียรั้งแขนผมไว้แล้วดึงตัวผมเข้ามากอดหลวมๆ
ริมฝีปากที่กระซิบข้างแก้มเรี่อยระเรี่ยจากแก้มไปถึงมุมปาก
“เฮีย...”
“หืม...”
จมูกโด่งซุกไซร้ซอกคอที่ปราศจากน้ำหอม มีเพียงกลิ่นแป้งและโลชั่น
“ผมมันน่าเบื่อ..รึเปล่า...”
ผมยืนนิ่งปล่อยให้เฮียทำตามใจชอบ แค่กอดแค่หอมเท่านั้นล่ะครับ
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ”
เฮียหยุดชะงักกับการลวนลามเล็กๆ แล้วเชยคางผมให้เงยขึ้นมาสบตา
“ก็...ผมเอาแต่ใจ...งี่เง่า...เรื่องมาก...”
ผมบรรยายสรรพคุณ คุณสมบัติของตัวเอง
“ไม่นี่...ไม่เห็นจะเอาแต่ใจ...งี่เง่า...เรื่องมาก...ตรงไหน...เลยยยยย”
เกือบจะดีถ้าพยางค์สุดท้ายไม่ได้ลากยาวอย่างจงใจ
“เออ...ผมมันไม่มีอะไรดี...”
ผมเริ่มกรุ่น ไอ้สำนึกมันก็สำนึก แต่ติกันซึ่งๆหน้าผมก็รับไม่ได้
“นอกจาก....ตรงนี้ไง”
เฮียใช้นิ้วชี้ข้างหนึ่งแตะที่ปากผมเป็นการห้ามหรือ...ด่า กันนะ
“เฮียอ่ะ...”
ผมเม้มปากแน่น
“รู้ว่าตัวเองทำผิด....”
เริ่มแล้ว เริ่มอีกแล้ว พ่อรึไงห๊ะ
“ทำไมล่ะ ทำผิดแล้วไง ก็ยอมรับแล้วไง จะมาว่าอะไรผมอีก”
ผมพูดใส่หน้าเฮีย
เสียงผมมันดังขึ้นมาจากเดิมเล็กน้อยถึงปานกลางไปทางค่อนข้างมาก(งง...กับตัวเอง)
มาถึงตอนนี้ชักงงว่าผมโมโหอะไรเฮียมี่นะ ลืมไปแล้ว
“รู้ว่าผิด แล้วยอมรับมันไม่พอครับ”
เฮียมี่ช่างอดทนเหลือเกิน แกลูบหัวผมเบาๆ
“แล้วจะให้ผม..ทำไงล่ะ เรื่องมันก็ผ่านไปเป็นอดีตไปแล้ว
ทำไมเฮียต้องคิดเล็กคิดน้อย ไม่แมนเอาซะเลย”
จะโทษใครล่ะครับเวลาเราทำผิด นอกจากคนตรงหน้า
“ยอมรับแล้ว ก็ต้องแก้ไขสิครับ ไม่งั้นก็ต้องมายอมรับผิดไปเรื่อยๆทุกๆครั้งไป”
เสียงนุ่มๆเชือดนิ่งๆให้พอแสบๆคันๆ
“ครับ...”
หวังว่าสังคม เอ๊ย เฮียคงให้อภัยผมนะ
“ไม่เอาล่ะ...มาเที่ยวนะครับ อย่าเครียด”
เฮียดึงตัวผมเข้ามากอดแต่ผมเอามือน้อยๆทั้งสองข้างยันอกเฮียเอาไว้ทัน
“เฮียอย่าผิดคำพูดกับผมนะ”
ผมรีบพูดก่อนจะไม่ได้พูด
“ไม่ผิดครับ”
“คำไหนคำนั้น”
“มั่นใจได้”
“งั้น”
“อะไรครับ”
“ไม่เอา...อย่ามา...เอา...น้า...คริ คริ”
แล้วผมก็โดน....
1.เฮียดึงตัวผมเข้ามากอดมาจูบด้วยความหมั่นไส้ระคนเอ็นดู
2.เฮียหัวเราะ ฮาขี้แตกขี้แตน
3.เฮียยิ้มแล้วทำหน้าหื่นๆ
“แป๊ะ”
“โอ๊ย...”
มันไม่ใช่อาเจกอาแปะที่ไหนผ่านมาหรอกครับ
ไอ้หน่อยโดนฝ่ามือแบๆตบเบาๆที่หน้าผากเป็นการเรียกสติที่ฟุ้งซ่านให้กลับเข้าร่าง
จากเกนติ้ง ไปตึกแฝด ไปอควาเรียม ไปดูหุ่นขี้ผึ้ง
ไปดูที่เก็บของที่ระลึกที่สุลต่านได้มาจากมิตรประเทศ
วัดไทย วัดพม่า เกาะลังกาวี ช๊อปปิ้ง
สถานที่ไหนก่อนหลังจำไม่ได้ครับ เลือนๆ
แล้วนั่งรถนานมากๆข้ามแดนไปเมืองลอดช่อง...สิงคโปร์
ลอดช่องสิงคโปร์.....ที่สิงคโปร์ไม่มี.....แต่เมืองไทยมี
ขนมจีน.....ที่จีนไม่มี....แต่เมืองไทยมี
ข้าวผัดอเมริกัน......ที่อเมริกาไม่มี....แต่เมืองไทยมี
กล้วยแขก.....ที่อินเดียไม่มี......แต่เมืองไทยมี
เอาฮาครับ...
นั่งจนเมื่อยตุ้มเอ๊ยเมื่อยก้น...ก็มาถึง
เกาะเซนโตซ่า เมอร์ไลอ้อน สวนนก และอีกสามสี่ที่ รวมช๊อปปิ้งสารพัดห้าง
ที่ประทับใจผมก็ตอนไปดูน้ำพุดนตรีครับ
อย่างที่บอกพอฟังไกด์แนะนำสถานที่แล้วนัดแนะเวลาแล้ว
เราสองคนก็ปลีกตัวออกไปสร้างโลกส่วนตัวกันตามประสา...พี่น้อง
ความสัมพันธ์ของพวกผม คือ พี่น้อง
ไม่ว่าใครจะถาม กี่ครั้งๆ เราก็ยังยืนยันว่าเราเป็น...พี่น้อง
แต่ช้าก่อน....
ถ้าคุณจะถามต่ออีกสักนิด
คุณจะรู้คำจำกัดความของคำว่า...พี่น้องของเรา
นั่นก็คือ...พี่น้อง...ท้อง...ชน...หรือ...ติด...กัน
ดังนั้นถ้าคุณเห็นพี่น้องเพศชายที่ไม่มีส่วนใดบนใบหน้าหรือสรีระที่เหมือนกันและคล้ายคลึงกันเลยสักนิด
จงระลึกจดจำเอาไว้เถิดว่า พวกเขา....เป็น...
เหมือน...พวกผม...มั๊ง...
คืนนั้น...เดือนมืด
สองหนุ่มจากไทยแลนด์
นั่งกุมมือกัน
บริเวณลานแสดงโชว์น้ำพุที่เต้นระบำประกอบเสียงดนตรี
ณ.ประเทศ...สิงคโปร์
ท่ามกลางอุณหภูมิลดต่ำลง
อากาศหนาวเหน็บ
ท่ามกลางผู้คนร่วมโลกที่ไม่รู้จักกัน
ไม่มีกฎหมาย ไม่มีประเพณี ไม่มีวัฒนธรรม
ไม่มี..อะไร..จะทำ
ไม่ใช่ล่ะ...กลับมาๆ
ไม่มีสายตาใครมาจับจ้องเพราะมันมืดมาก
มีเพียงแสงจากการแสดงที่สาดส่องไปยังท่อส่งน้ำ
อ้าว...ไม่เวิร์ค
สาดส่องไปยังต้นกำเนิดน้ำ
ยังไม่โดน
สาดส่องไปยังน้ำพุที่พุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
แรงเบาตามแต่จะประดิษฐ์เนรมิตขึ้นมา
“สวยเนอะ...”
ผมมองน้ำพุหลากสีลดหลั่นกันไปมาอย่างน่าทึ่ง
ถึงแม้จะอดคิดถึงทุ่งกุลาร้องไห้ไม่ได้
เสียดายน้ำที่ปล่อยทิ้ง น่าจะเอาไปให้ชาวไร่ชาวนาไว้ทำกิน
เฮ้อ....มันใช่เวลามาอนุรักษ์น้ำป่ะ
“หนาวมั๊ยครับ”
แรงบีบกระชับมืออย่างอบอุ่น
ทำให้ผมลืมตำหนิเฮียที่ตอบไม่ตรงคำถาม
“นิดนึงครับ”
แล้วแขนข้างหนึ่งของเฮียที่อยู่ใกล้ตัวผมก็ยกขึ้นมาโอบไหล่ผม
“ดีขึ้นมั๊ยครับ”
เสียงหวานๆข้างหูชวนให้เคลิ้ม
“อีกนิด..”
มือข้างที่กุมมือผมอยู่ผละออกแล้วอ้อมมาด้านหน้าผ่านตัวผมมาหยุดที่เอวอีกข้าง
“เริ่มดีขึ้น...นิดๆ...”
ผมพูดอ่อย เพราะบรรยากาศมันพาไป
อ้อมกอดกระชับขึ้น จนตัวผมเอนเข้ามาซุกซบกับอกอุ่น
“ฟอด....พอมั๊ย...ครับ”
เฮียก้มลงหอมแก้มผม
ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารู้มาเห็นมาสนใจหรอกครับ
มันมืดจนเห็นแค่ดวงตาวาวๆ
แถมผม...หนูน้อยหมวกแดง ก็มีฮู้ดที่ดึงมาคลุมจนมิดหัว
หมาป่าเองก็ใส่หมวกสีเข้ม ดึงปีกหมวกด้านหน้าลงมาจนดูไม่รู้ว่าเป็นใคร
“จุ๊บ...”
ผมทำใจกล้าหน้าด้านเงยหน้าขึ้นไปจุ๊บปากผู้มีอุปการะคุณเบาๆ
“เฮีย...จุ๊บกันกอดกันในที่สาธารณะนี่มันตื่นเต้นเนอะ”
ผมกระซิบเฮียเบาๆ
“ครับ...มีความสุขที่สุดเลย”
ตอบไม่ตรงคำถามอีกล่ะ
แต่เอาเถอะตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ดี
จะยกโทษให้เฮียสักครั้ง
พักนี้มัวแต่อู้..อ่านนิยายในเล้ามันเกือบตลอดเวลาเลยครับ
มีแต่นิยายสนุกๆ บางเรื่องอ่านสามรอบเลยด้วย
แต่ผมอ่านเฉพาะนิยายที่จบแล้วนะครับ
กลัวเจอนิยายดองเค็ม....เหมือนของตัวกระผมเอง...
ว่างๆหรือมีอะไรสนุกๆจะมาต่อนะครับ
ขอบคุณทุกการติดตาม
คุณบางคนน่ารักมากครับ คอยถามคอยตามคอยเตือน
ไอ้หน่อยมันก็เลือนๆว่ามีอะไร...ค้างคาอยู่..คริคริ
ขอบคุณครับ