ตอนที่ 8 เดินชมจันทร์ยามค่ำคืน 13/01/2557
22/05/2557
เสียงหรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืน ดังเคล้าคลอมากับเสียงเสียดสีของใบไม้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คาเซอริโอเคยชินแต่เขาก็ต้องทำตัวให้ชินและพยายามปรับตัวอยู่กับมันให้ได้ นับๆไปเขาก็มาอยู่ที่นี้ได้นานพอสมควรแล้ว คุ้นชินกับสถานที่และผู้คนมากขึ้นแต่ก็นั้นแหละ หมาพวกนั้นยังคงไม่คุ้นชินกับเขาอยู่ดี เขายังคงถูกมองด้วยสายตาเหินห่างและหวาดระแวง แต่ก็น่าแปลกที่พวกผู้คุมของเขาเหมือนไม่ว่างจะมานั่งคุมเขาได้อย่างที่รับปากเอาไว้ได้ วันนี้ก็เหมือนกันหลังจากที่ช่วยซ่อมหลังคากับเจ้าหมาตาแป๋วนั้นได้เกือบเสร็จ มันก็โดนเจ้าหัวนกแก้วลากตัวหายไป ถึงแม้เจ้าตัวจะอิดออดและหันมามองเขาด้วยสายตาละห้อยแค่ไหนแต่ก็ต้องรีบผละจากไปเพราะโดนลากและนี้อาจจะเป็นเรื่องแรกที่เขานึกขอบใจเจ้าหัวนกแก้วเพราะตลอดเวลาที่ซ่อมหลังคาเขาหวิดจะกระทืบมันไปกองกับพื้นก็หลายครั้ง ทั้งตาใส่แจ๋ว ทั้งปากหนาๆที่ชอบส่งถ้อยคำชวนรำคาญใจนั้นอีก
“เฮ้อ แล้วจะไปคิดมากวุ่นวายทำไม”คาเซอริโอเอ่ยกับตัวเองเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นยีหัว เรื่องที่เขาควรให้ความสนใจตอนนี้มันน่าจะเป็นการที่จะออกไปจากที่นี้ได้ยังไงมากกว่า ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ๆเจ้าหมานั้นก็ถูกลากออกไป
“ยังไงมันก็วนเวียนอยู่ที่เรื่องของเจ้านั้นอยู่ดีไม่รึไงวะ”คาเซอริโอพูดกับตัวเองปลงๆก่อนคิ้วจะขมวดเข้าหากันน้อยๆ บรรยากาศแปลกๆรอบๆหมาพวกนั้นเหมือนจะตรึงเครียดมากขึ้น ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนเขาว่าน่าจะมีเรื่องบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้นแต่ก็อีกนั้นแหละเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นมันก็ไม่สำคัญกับเขาเท่าไหร่ ขอแค่มันไม่มายุ่งเกี่ยวกับเขาเองก็เพียงพอแล้ว เขายินดีจะยืนอยู่นอกวงไม่ยอมเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเพราะการเอาตัวเข้าไปเรื่องชาวบ้านทำให้เขาต้องมาติดแหง็กอยู่ที่นี้ไม่ใช่รึไง ยุ่งเรื่องของตัวเองก็เหนื่อยมากพอแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ก็ชวนให้หงุดหงิดอยู่นิ่งไม่ได้จนต้องเดินหายออกมายามวิกาลเพื่อเดินทางไปพบตัวปัญหาทำการเจรจาให้เรื่องจบๆไปสักที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ยกมือเคาะไปบนบานประตูที่คุ้นตาก่อนจะนิ่งมองแสงไฟที่รอดออกมาจากร่องไม้ เสียงก๊อกแก๊กเงียบไปก่อนจะตามมาด้วยเสียงย่ำเดิน
“ลืมอะไรอีกงั้นเหรอครับ อ่ะ คุณคาโล..”ดวงตาสีดำคู่โตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจและดูเหมือนจะกว้างมากขึ้นเมื่อเขาดันตัวหมอหน้าขาวเข้าไปในบ้านและลงกลอนเรียบร้อย
“คุณคาโลมาหาผมดึกๆแบบนี้มีอะไรรึเปล่าครับ”คาเซอริโอกวาดตามองไปรอบๆก่อนจะหันกลับมามองคนถามและหยิบถ้วยดินเผาใบเล็กๆส่งให้
“อ๊ะ ถ้วยยา”
“อืม ฉันเอามาคืนและไม่ต้องส่งยาไปให้ฉันอีกนะ”
“เอ๊ แต่แผลคุณ”
“บอกว่าไม่ต้องไง”ดวงตาสีเทาตวัดมองคนตัวขาวด้วยแววตานิ่งเฉียบ เรื่องนี้แหละที่เขาต้องเคลียร์ให้รู้เรื่องเพราะถึงคาเซอริโอจะเป็นมาเฟียผู้ชอบพอกับเขม่าปืนและคราบเลือดแต่เรื่องที่เขาไม่ถนัดเลยแม้แต่น้อยคือเรื่องยา เขาเป็นคนที่กินยาได้ยากมากถึงมากที่สุด เขาเกลียดยาขมๆให้เขาสู้กับศัตรู 10 ต่อ 1 ซะยังดีกว่าบังคับให้เขากลืนยาขมๆสักเม็ด
“แต่ว่าผมเป็นหมอนะครับ แล้วเรื่องแผลคุณ...”
ปัง!!
“หมอ บอกว่าไม่ต้องไง”มือหนาท้าวลงข้างใบหน้าขาว ใกล้จนใบหน้าห่างกันเพียงคืบ
“เอ่อ คือว่า...”ใบหน้าขาวๆนั้นเสไปมองข้างๆเหมือนกระอักกระอวน แก้มที่เดียวขาวเดียวซีดน่าแกล้งซะจนอดใจแทบไม่ไหว
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้วไงหรืออยากให้ฉันพิสูจน์ว่าตัวเองแข็งแรงดีแค่ไหน”เสียงนุ่มๆกระซิบข้างหูก่อนจะผ่อนลมหายใจเบาจนคนฟังขนลุกเกรียว
“อ๊ะ เอ่อ ไม่ดีกว่าครับผมว่า หือ..”
“อย่าโวยวายเสียงดังหนักซิ อยากให้คนอื่นมาเห็นรึไงกัน”คนพูดไม่ได้สนใจกับมือที่เพียรพยายามดันหน้าอกเขาให้ออกห่าง ตอนนี้มีเพียงความสนุกที่ได้แกล้งเท่านั้น
“งั้น คุณคาโลก็ปล่อยผมสิครับ”
“ไม่”คาเซอริโอตอบเสียงเฉียบก่อนจะเปลี่ยนมือทั้งสองข้างมาโอบรอบเอวคอดดึงคนที่บางกว่าตนเองมากอดและจงใจกดจมูกโด่งๆลงข้างซอกคอขาวๆนั้นเพื่อสูดเอากลิ่นสมุนไพรที่ดมแล้วสบายจมูก
“หือ อย่าครับ...”
ก๊อก ก๊อก
“ท่านหมอขอรับ”เสียงเคาะและเสียงเรียกหน้าบ้านทำให้คนทั้งคู่ชะงัก
“อย่าเอ๊ะอะโวยวายหละ”คาเซอริโอยอมปล่อยหมอตัวขาวก่อนจะเร้นกายหายไปหลังตู้เก็บยาหลังสูงและส่งสายตาให้หมอตัวขาวปิดปากเงียบเรื่องที่เขามาที่นี้ เจ้าหมอฮิโตะสูดลมหายใจเข้าลึกๆจัดเสื้อสีขาวที่เหมือนเสื้อกาวน์หมอให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปเปิดประตู
“ครับมาแล้วครับ อ่ะคุณริวจิ”คาเซอริโอมองออกไปที่ประตู จากมุมที่เขาแอบอยู่มองเห็นประตูได้ถนัดแต่คนที่ประตูไม่มีทางมองเห็นเขาได้อย่างแน่นอน
“เออ คือว่าข้าจะมาบอกท่านว่าข้ากำลังจะออกไปเก็บสมุนไพรนะครับ”
“อ๊ะ ได้เวลาเก็บสมุนไพรแล้วเหรอครับเนี่ย แต่ว่าวันนี้ไม่ต้องออกไปเก็บก็ได้นะครับมัน...”
“ไม่ได้หรอกขอรับ ตอนนี้พวกเราจำเป็นต้องใช้สมุนไพรตัวนี้มาก”
“แต่ว่า ไปเก็บตอนกลางวันก็...”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับท่านฮิโตะ ข้าเก็บสมุนไพรดึกๆแบบนี้มาหลายคืนแล้ว ข้าจะระวังตัว ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะครับ”หมอตัวขาวหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องก่อนจะเดินไปค้นอะไรกุกกักพักหนึ่งและกลับมาพร้อมอุปกรณ์ที่เหมือนตะกร้า
“ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะครับ”
“ได้เลยขอรับ”ริวจิโค้งตัวเบาๆก่อนจะเดินจากไป คาเซอริโอรอจนเสียงฝีเท้าเงียบไปจึงออกมาจากที่ซ่อน
“คุณคาโลไม่น่าซ่อนตัวเลยนะครับ ริวจิไม่ใช่คนน่าสงสัยอะไรสักหน่อย”
“เฮ้อ นายนี้นะ อย่าลืมสิว่าตอนนี้ฉันถูกหมาป่าพวกนั้นจับตาดูอยู่ เกิดมีคนอื่นมาเห็นว่ามาหานายตอนดึกแบบนี้ก็เป็นเรื่องนะสิ”
“อ๊ะ จริงด้วยครับผมก็ลืมคิดไป”คาเซอริโอเหล่มองคนพูดด้วยแววตาหน่ายๆที่เจ้าหมอฮิโตะคงไม่มีทางได้เห็น เหตุผลที่เขาบอกไปมันก็แค่ของอ้างเท่านั้นแหละแต่เหตุผลจริงๆที่เขาหลบนะไม่มีหรอกมันก็แค่สัญชาตญาณล้วนๆ
“แล้วเจ้านั้นออกไปทำอะไรดึกๆดื่นๆ”
“อ๋อ ไปเก็บสมุนไพรนะครับ”
“หืม เก็บสมุนไพร”คนพูดเลิกคิ้วสูงเหมือนสงสัยเสียเต็มประดา หรือพูดให้ถูกคือเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปเก็บสมุนไพรตอนกลางคืน
“มีสมุนไพรบางตัวที่จะออกฤทธิ์ได้ดีเมื่อเก็บได้ถูกที่ถูกเวลานะครับ แต่ความจริงแล้ว rotundus จะเก็บตอนกลางวันก็ได้...อ๊ะ คุณคาโลคงไม่รู้จักสินะครับ นี้นะครับเป็นยาที่ใช้สมานแผลให้คุณไง”มือขาวๆยืนต้นบางอย่างที่ดูยังไงก็เหมือนหญ้าต้นสูงในสายตาคาเซอริโอมาให้ดู
“งั้นเหรอ”
“ครับ สรรพคุณดีมากๆเลยนะครับ รักษาแผลได้ดีนักเชียว”หมอฮิโตะยิ้มกว้างกับตัวเองตีความว่าการพยักหน้าของคาเซอริโอคือความสนใจในเจ้าหญ้าชื่อประหลาด แต่ที่เขาสนใจจริงๆคือประโยคก่อนหน้านั้นต่างหาก ฝืนออกไปตอนกลางคืนทั้งๆที่ออกไปตอนกลางวันก็ได้งั้นเหรอ แล้วยิ่งช่วงนี้
“ฉันกลับก่อนดีกว่า”
“อ๊ะ..”
“หายออกมานานแล้วเดี๋ยวชินริจะสงสัยเอา ถ้ามีคนอื่นมาอีกคงไม่ดีเท่าไหร่”
“อ๊ะ จริงด้วยนะครับ”
“กลับหละ”
“อ๊ะครับ เดินกลับดีนะครับ”
“อืม อ๋อแล้วไม่ต้องเอายาไปฉันกินอีกแล้วนะ”
“อ๊ะเอ่อ ได้ครับ”คาเซอริโอยกยิ้มให้กับใบหน้าที่แดงระเรื่อก่อนจะเดินหายไปในเงามืดของแสงจันทร์ที่เหว้าแหว่งไม่เต็มวง ประโยคสนทนาเมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนของหวานที่วางล่อให้เด็กๆเดินไปติดกับดักแม่มด
“ให้ตายสิ”มาเฟียหนุ่มสบถกับตัวเองอย่างหัวเสียที่ใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องและอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย แต่ที่กำลังหงุดหงิดอยู่นี้ก็เพราะลางสังหรณ์ส่วนตัวล้วนๆแทนที่จะรีบกลับไปเพราะชินริคงรู้แล้วว่าเขาหายออกมา แต่ลางสังหรณ์บางอย่างก็ทำให้เขาตัดใจเดินเลี้ยวไปอีกทางจนได้
ฝีเท้าเงียบกริบก้าวย่างช้าๆไปตามแนวป่า อาศัยเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเป็นตัวนำทาง รอยเท้าและรอยหักของกิ่งไม้ยังคงทอดยาวไปเรื่อยๆ รอยบนดินที่แตกระแหงเหมือนว่าคนที่เขากำลังสะกดรอยตามออกวิ่งด้วยความรวดเร็วไม่สนใจจะกลบรอยตัวเองให้เหมือนมืออาชีพหรือคิดอีกทีคงไม่มีเวลามากกว่า
“อะไรจะรีบได้มากขนาดนั้นนะ”คาเซอริโอพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนตาสีเทาจะเบิกกว้างมากขึ้นเล็กน้อยและแหวกโพรงหญ้าข้างหน้าดูให้ชัดๆ รอยเท้าที่มากกว่า 2 รอยและย้ำซ้ำๆอยู่กับที่เหมือนหยุดยืนและปรึกษากันด้วยเรื่องเคร่งเครียดก่อนจะแยกย้ายกันออกไป บ้าเอ้ย แสดงว่าเขามาไม่ทันสินะ
ดวงตาสีเทากวาดมองไปรอบๆขณะชั่งใจว่าจะตามต่อดีหรือไม่ ประสาทตาและหูเปิดรับให้มากขึ้นก่อนที่ใจจะตัดสินใจว่าจะตามดูอีกหน่อย ตามรอยเท้าที่ดูใหญ่กว่ารอยเดิมและลงน้ำหนักลึกกว่ารอยเดิม มือขาวเอื้อมหยิบมีดยาวที่ข้อเข่าถือให้กระชับก่อนจะออกเดินตามไปช้าๆระแวดระวังมากกว่าเดิม รอยใหม่แม้จะดูเร่งรีบแต่ก็อันตรายมากกว่าเพราะเหมือนจะมีรอยเท้าถึง 4 รอยอีกทั้งต้นไม้ใบหญ้าก็ถูกทำลายน้อยลงเหมือนพวกมันระมัดระวังไม่ให้เกิดรอยจนตามตัวได้ รอบครอบเหลือเกินนะ
“ชิ เดี๋ยวก่อน หยุดสักพักได้ไหมพี่”เสียงพูดแปร่งทำให้คาเซอริโอแฝงตัวเข้าไปในแนวพุ่มไม้ข้างหลัง
“อะไรของแกว่ะ”
“ปวดเบาว่ะพี่ทนมานานขอหน่อยได้ไหม”
ปึก!!
“ไอ้นรกเอ่ยมาปวดอะไรตอนนี้เดี๋ยวมันก็ได้แห่มาคาบคอหรอก”คนที่ตัวผอมกว่ายกมือขึ้นคลำหัวที่ถูกตบไปฉาดใหญ่
“โถ่พี่มันทนไม่ไหวจริงๆนี้หว่า อีกอย่างเจ้านั้นมันก็บอกเองว่าวันนี้พวกหมานั้นไม่ได้มาตรวจทางนี้”เจ้าคนผอมกว่ายังคงเถียง
“เออๆ เร็วๆหละพวกนั้นยิ่งจมูกดีๆอยู่ด้วยขืนตามกลิ่นแกมาได้ตายกันหมด”
“คร๊าบๆ อูยรอเดี๋ยวนะพี่”คนร่างผอมวิ่งแยกไปอีกทาง ดวงตาสีเทากวาดมองคนที่ยังคงยืนนิ่งพร้อมกระชับอาวุธในมือแน่น ปืน หึงานนี้คงน่าสนใจกว่าทีคิด เงาดำพลิ้วตัวจากหลังเงาไม้เร้นกายหายไปในความมืด
“อูย ไม่ไหวแล้วโว๊ยขอหน่อยเถอะ”
จ๊อก!!!
น้ำสายเล็กๆหยดลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก คนปล่อยออกยิ้มกว้างก่อนจะผิวปากเบาๆ
“อารมณ์ดีเหลือเกินนะ”เสียงเยียบเย็นกระซิบขึ้นจากด้านหลัง ดวงตาสีดำเบิกกว้างก่อนจะเบิกค้างเมื่อคมมีดวาววับสะท้อนกับแสงจันทร์เป็นจังหวะเดียวกับที่เลือดสีแดงสดพุ่งทะลึกออกจากแผลลึกบริเวณลำคอ ลำแขนขาวค่อยๆปล่อยให้ร่างที่แน่นิ่งร่วงลงพื้นตามแรงโน้มถ่วง ลำเลือดสีแดงยังคงพุ่งกระตุกออกมาตามแรงเต้นของหัวใจก่อนจะแผ่วลงช้าๆจนกลายเป็นไหลเอื่อยออกมาในที่สุด
“ไปดีนะ”ริมฝีปากยกยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะลงมือค้นตัวศพอย่างรวดเร็ว ปืนพกสองกระบอก มีดยาวๆ1เล่มและแผ่นหนังที่มองไม่ชัดว่าเขียนอะไรไว้
“น่าสนใจกว่าที่คิด”คาเซอริโอมองของในมือก่อนจะตัดสินใจโยนมีดด้ามยาวนั้นทิ้งเพราะเกะกะเกินกว่าจะพกพาตัดสินใจหยิบเพียงปืนสองกระบอกและแผ่นหนังไปเท่านั้น
“ทำบ้าอะไรของแกว่ะช้าชิบหาย”
“อืม โทษทีหาของนานไปหน่อยนะ”
“แก..”ร่างชายอีกคนหันขวับปืนยาวในมือยกขึ้นชี้ตรงมายังคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวมาแทนลูกน้องของเขา
“โอ๊ะ ๆๆอย่าดีกว่าเกิดโป้งป้างขึ้นมาพวกหมานั้นได้แห่กันมาแน่”
“แกเป็นใคร พวกหมาปีศาจงั้นเหรอ”
“เปล่าๆแค่คนธรรมดา”
“แกต้องการอะไร”คาเซอริโอมองคนพูดก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย คิดว่าเจ้าบ้านี้อาจจะคุยได้ง่ายกว่าคนที่เขาเชือดคอมันไปเพราะดูท่าจะฉลาดมากกว่าแต่คงฉลาดกว่ากันไม่มากเท่าไหร่นักหรอก
“คุย”
“คุยเรื่องอะไร”
“พอดีฉันสงสัยอะไรหลายๆอย่างนะ ยกตัวอย่างเช่นแกได้ปืนในมือมาได้ไง”เจ้าคนถูกถามลดสายตาลงมองปืนที่ถือในมือก่อนจะตวัดตากลับมามองเขาโดยยังไม่ยอมลดปืนลง
“แกรู้จัก”
“ก็ประมาณนั้น เอาอย่างนี้ดีกว่าพอดีฉันอยากรู้ว่าแกได้ปืนมาได้ยังไง แค่ตอบมาก็จบแล้ว”
“ใครจะไปตอบแก”
ปัง!!
“ชิส์ บอกให้คุยกันดีๆไง”ร่างที่เซถลาไปเพราะแรงอัดของกระสุนปืนกัดฟันอย่างหัวเสียก่อนจะพุ่งเข้าปะทะเจ้าคนยิงปืนที่กำลังจะพยายามบรรจุกระสุนนัดใหม่
“นรก บอกให้คุยกันดีๆไม่รู้เรื่อง”
พลั่ก!!
หมัดหนักๆจากมือขาวพุ่งเข้ากระแทกแก้มซ้ายเต็มแรงจนหน้าหัน เลือดสีแดงสดทะลักออกจากปากและจมูก
“ตอบมา แกไปเอาปืนนั้นมาจากไหน”ปืนสั้นในมือถูกเปลี่ยนไปจ่อหน้าผากคนที่เป็นรอง มือยาวๆที่เอื้อมไปคว้าปืนถูกเหยียบกระทืบจนได้ยินเสียงกร็อบ ลำตัวที่พยายามลุกจากพื้นถูกเข่าหนาๆกระแทกกลางอกจนจุก
“ถ้าไม่อยากมีกระสุนในหัวก็ตอบมา”
“ฉันไม่บอก”หลังมือข้างที่ว่างฟาดเข้าเต็มซีกหน้าจนเลือดกบปากแต่คนโดนทำเพียงแค่ถลึงตามองและถมเลือดใส่หน้าเขาเท่านั้น
“หึ อยากรู้อะไรอีกไหม”
“นั้นสินะ”มือข้างที่ว่างป้ายเลือดพร้อมน้ำลายออกมา ดวงตาสีเทามองปลายนิ้วที่ที่เปื้อนเลือดและน้ำลายนิ่งๆ
ปัง!!
“อ๊าก!!!”
“โสโครกจริงๆ”มือที่เปื้อนป้ายคราบเลือดปนน้ำลายลงบนใบหน้าที่หูข้างซ้ายหายไปตามแรงอัดของกระสุน
“อุตสาห์ว่าจะเล่นเงียบๆคงไม่ทันซะแล้ว ป่านนี้พวกนั้นคงกำลังแห่กันมาหละมั้งเสียงปืนดังลั่นป่าขนาดนี้”คาเซอรโอยกยิ้มมุมปากนิ่งๆก่อนจะตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
“แกเป็นใครกันแน่”
“ฉันอนุญาตให้แกถามฉันด้วยงั้นเหรอ จำได้ว่าฉันถามให้ตอบนี้น่า”คำพูดเรียบๆออกจากปากพร้อมปลายกระบอกปืนที่กดแนบกับหน้าผากความร้อนที่ปลายกระบอกดูจะน่ากลัวน้อยกว่าความคิดที่ว่าลูกกระสุนกำลังจะพุ่งเข้าเจาะสมองหละมั้ง
“หะ หัวหน้าให้ฉันมา”
“จากไหน”
“ฉันไม่รู้ หัวหน้าให้พวกเรามา สอนให้พวกเราใช้”
“แกเป็นคนที่ไหน”
“ซอเซียร์ ข้าเป็นชาวซอเซียร์”
“หืม”สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้คิ้วเข้มกดลงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“งั้นเหรอ งั้นแสดงว่าแกคงไม่รู้อะไรเพิ่มแล้วสินะ”
“ม๊ะ ไม่ใช่นะ ข้าแค่ทำไปตามคำสั่งของหัวหน้าเท่านั้น ข้าแค่ล่าพวกนั้นตามคำสั่งของหัวหน้าเท่านั้น เจ้านะปล่อยข้าไปเถอะนะแล้วมาแบ่งเงิน เงินนะ พวกตัวเมียกับพวกลูกๆมันนะข้าแบ่งให้เจ้าก็ได้นะ เท่าไหร่ก็ได้แค่ปล่อยข้าไป..”
“เฮ้อแกนี้นะ..”
โฮก!!
ปัง!!
เสียงสะท้อนของปืนดังมาพร้อมเสียงขู่กรรโชกและแรงกระแทกที่ส่งให้ตัวเขาลอยละลิ่วไปกระแทกกับต้นไม้
“ไอ้บ้าเอ้ย”ดวงตาที่เผลอปิดไปชั่วครู่จากแรงกระแทก ลืมขึ้นอีกครั้งเพื่อพบว่าภาพตรงหน้าถูกย้อมด้วยสีแดงและอาการปวดหัวตุ๊บ
กรร!!!!
โบ๋ว!!
เงาร่างสูงใหญ่หันขวับกลับมามองพร้อมดวงตาสีน้ำตาลที่ทอประกายในแสงจันทร์ ปากที่เต็มไปด้วยฟันขาวอ้ากว้างก่อนจะงับเข้าเต็มไหล่ เร็วเกินกว่าที่จะเปล่งเสียงร้องร่างทั้งร่างก็ลอยวืดขึ้นไปบนหลังตัวอะไรสักอย่างที่ออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ท่ามกลางเสียงด้านหลังทีห่างไกลออกไปและสติสัมปชัญญะที่ดับลง
รอบนี้แวะมาส่งตอนใหม่ตามกำหนดคะ ทางนู่นลงไม่ได้แต่ทางนี้ลงได้ตามปกติอีกไม่นานคงตามทันแน่นอน
สำหรับตอนนี้คาโลไม่ชิวแล้วแต่มีเรื่องให้ยิงปืน ฆ่าคนผ่านเข้ามา คาโลอาจจะโหดไปสักหน่อยแต่พ่อหนุ่มของเราก็เป็น
มาเฟียสายบู๊นี้นะ แล้วพบกันตอนหน้าคะ