ตอนที่ 13
กว่าเมฆากับจงรักจะพากันกลับแสงแดดก็อ่อนแรงลงมากแล้ว ขาออกเมฆาอาสาขับรถเอง เนื่องจากเขาพอจำทางได้และเห็นว่าฟ้ามืดเร็ว ถ้าให้น้องขับคงไม่เหมาะเท่าไหร่เพราะน้องยังขับรถไม่คล่อง ระหว่างทางกลับบ้านสวนจงรักขออนุญาตเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามาในรถแทนการเปิดแอร์ ลมหน้าหนาวทั้งเย็นและสดชื่น เมฆาเองก็เห็นว่ามันแทนกันได้ดีทีเดียวจึงไม่ได้แย้งอะไร
จงรักวางแขนกับขอบหน้าต่าง เอาคางเกยทับ ผินหน้าออกไปมองทิวทัศน์ข้างทาง ต้นหญ้าสูงท่วมเอวลู่ลมไปในทิศทางเดียวกัน ที่ปลายขอบฟ้าพระอาทิตย์ดวงโตสีส้มกำลังจะตกดิน พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำ จงรักนั่งดื่มด่ำกับภาพบรรยากาศที่แสนคุ้นเคย ส่วนเมฆาก็หันไปมองภาพที่ไม่คุ้นเคยเหล่านั้นบ่อยครั้ง มองสลับกับถนนข้างหน้า หากผ่านไปชั่วอึดใจเขาก็พบว่าอะไรกันแน่ที่เฝ้ามองอยู่ตอนนี้
ก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือโดดเด่นกว่าใครที่เขาเคยเจอหรือเคยคบด้วย ทว่าตอนนี้เพียงแค่ได้มองเห็นผู้ชายตัวเล็กคนนี้นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆ มันก็ทำให้เมฆารู้สึกอุ่นใจแล้ว คงไม่ต้องมีอะไรมายืนยัน ตอกย้ำให้ชัดเจนกว่านี้อีก เขาหลงรักจงรักเข้าแล้วจริงๆ
ก่อนจะแยกเข้าทางที่กลับบ้าน คนหน้าดุก็เลี้ยวรถแล้วจอดข้างทาง ตรงนั้นมีจุดพักรถเวิ้งเล็กๆซึ่งร้างไร้ผู้คนพอดี ผู้โดยสารตาโตหันกลับมาหาโดยไว เพียงแค่สีหน้าฉงนของเจ้าตัวก็ทำให้คนขับเอ่ยปากเฉลยเสียงเองโดยไม่ต้องเปลืองแรงถาม ซ้ำยังถูกถามตบท้ายอีกต่างหาก
“ก็เห็นบอกว่าชอบ พี่เลยจอดให้ดู รอมันตกดินเราค่อยกลับคงไม่เป็นไร หรือว่ารักรีบ”
“ไม่รีบครับ” จงรักส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“พี่ก็ไม่รีบ อยากอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้อีกสักพัก” คำพูดตรงไปตรงมาของเมฆาทำให้จงรักถึงกลับไปไม่ถูก ได้แต่ทำทีเสมองอะไรข้างๆเพื่อหลบสายตา
“ลงไปนั่งข้างล่างไหม จะได้เห็นชัดๆ”
“ก็ดีครับ” พยักหน้ารับง่ายๆ ก่อนเปิดประตูออกไป
จุดพักรถมีป้ายไม่ใหญ่นักแสดงแผนที่รอบๆแม่แจ่ม ข้างๆป้ายมีเก้าอี้ที่ใช้ไม้แผ่นกว้างหนึ่งฟุต ยาวสองเมตรโดยประมาณตีตอกกับเสากลมๆสองต้นหัวท้าย แม้จะถูกทำขึ้นอย่างไม่ประณีตนัก แต่ก็แข็งแรงพอที่จะสามารถนั่งได้สี่ถึงห้าคนสบายๆ จงรักเดินไปนั่งลงก่อน ในขณะที่เมฆายืนดูแผนที่สักพัก จากนั้นจึงเดินมานั่งข้างๆกัน เบื้องหน้าของทั้งคู่เป็นเวิ้งกว้างที่มีสามารถมองเห็นท้องฟ้าจรดพื้นดิน จากจุดที่นั่งคือเนินสูง ค่อยๆเทลาดลดหลั่นลงไป ทั่วทั้งบริเวณคือนาข้าวที่ยังไม่ออกรวง
“สวยนะครับ”
“อืม”
“ผมชอบตอนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะผมสามารถมองมันได้โดยไม่แสบตา แล้วแสงมันก็ดูอุ่นๆ นุ่มนวลกว่าช่วงไหนๆเลย พี่เมฆว่าไหมครับ”
“สวยจริงๆนั่นแหละ หน้าหนาวฟ้าใส แต่พระอาทิตย์ตกไว เดี๋ยวเดียวก็มืดแล้ว”
นั่งเล่นกันจวบจนอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า เมฆาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะยกขึ้นเปิดกล้องถ่ายรูป จงรักหันไปมองพี่เมฆเอนตัวเข้ามาใกล้อย่างกะทันหันก็ทำหน้าตื่น
“อะไรครับ”
“ถ่ายรูปกัน เร็วเข้าเดี๋ยวแสงหมด” ไม่ว่าเปล่า เมฆายังใช้แขนที่ว่างโอบกระชับให้น้องขยับเข้ามาใกล้แล้วกดถ่าย
ทว่ารูปที่ออกมานั้นไม่ได้ดั่งใจ คนหน้าดุที่ทำตัวแปลกไปตลอดทั้งวันจึงเปลี่ยนขยับมุมให้พอเหมาะพอดี เมื่อเห็นว่าพี่เมฆทำถึงขนาดนี้ จงรักจึงระงับอาการตกประหม่า ยอมเล่นไปด้วยกับคนรัก น้องเอนหัวเข้ามาจนแก้มเกือบชิดกัน เมฆาที่สังเกตเห็นในกล้องจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความพอใจ ก่อนจะให้สัญญาณแล้วกดถ่ายไปหลายภาพ ถ่ายทั้งรูปคู่ ถ่ายทั้งภาพวิวทิวทัศน์จนพอใจ ทั้งสองคนจึงชวนกันกลับบ้าน ประจวบเหมาะกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มพอดี แม้อยากอยู่ต่อแต่แสงก็ไม่เอื้ออำนวยอีกต่อไป
ตอนกลับมาถึงบ้าน ทุกคนอยู่พร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารและลงมือทานกันไปบ้างแล้วเพราะคิดว่าเมฆากับจงรักจะหาข้าวทานกันมาจากข้างนอก จงรักเดินไปล้างไม้ล้างมือแล้วหยิบจานมาเพิ่มสองใบ จัดการตักข้าวให้ตัวเองกับเมฆาแล้วนั่งขอร่วมวงทานอาหารด้วย
“พาพี่เมฆไปเที่ยวไหนมากลับเอาป่านนี้ ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน” จรัญถามขณะตักน้ำพริกอ่องใส่จานให้ลูกชายคนเล็ก
“ไปน้ำตกห้วยทรายเหลืองครับพ่อ” จงรักตักข้าวเข้าปาก เพิ่งรู้สึกตัวว่าหิวขนาดนี้
“คนเยอะไหมลูก” ผู้เป็นพ่อถามต่อ
“ไม่เยอะเท่าไหร่ครับ” เมฆเป็นคนตอบให้แทน เพราะเห็นน้องกำลังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆเต็มปาก
“ดีเลยสิ ไม่เสียงดังวุ่นวาย”
“ใช่ครับ เงียบสงบ อากาศก็เย็นดี ผมเลยเผลองีบหลับไปตื่นหนึ่งก็เลยออกมาเย็นหน่อย” เมฆเล่าเรื่อยๆขณะลงมือตักอาหาร
“แล้วพรุ่งนี้มีโปรแกรมจะพาพี่เขาไปที่ไหนล่ะเรา ขึ้นดอยไหม” เป็นจิราที่หันมาถามน้องชายบ้าง
“ยังคิดอยู่ว่าจะพาไปไหนดี ขอรักนอนนึกๆดูก่อนนะครับคืนนี้” จงรักบอกตามตรงก่อนจะหันมาตักข้าวเข้าปาก
“ก็ไหนเราว่ามีโปรแกรมแล้วไง” จรัญท้วงขึ้น เพราะจำได้ว่าเจ้าลูกชายพูดไว้เมื่อตอนกลางวัน
“ก็ความจริงรักจะพาพี่เมฆไปน้ำตกพรุ่งนี้ แต่วันนี้ไปมาแล้ว พรุ่งนี้เลยไม่รู้จะไปไหนครับ แต่ตอนเช้ากะว่าจะพาไปเดินในแปลงกุหลาบ เมื่อตอนกลางวันไม่ได้เดิน แดดมันร้อน”
“ตามใจเรา คิดๆให้ดีลูก ไม่ได้มากันบ่อยๆ”
“ครับพ่อ”
พอทานอาหารเสร็จก็เป็นเมฆากับจงรักที่ช่วยกันเก็บล้าง ด้วยให้เหตุผลว่าไม่ได้ช่วยทำอะไรเลย ไปเที่ยวกลับมาถึงก็ลงมือกิน จิราผู้เป็นแม่ครัวจึงไม่ขัดแล้วเลี่ยงออกไปอาบน้ำเข้านอน ส่วนจุรีก็ขึ้นไปเฝ้าลูกชายตั้งแต่ทานอาหารเสร็จ โชคดีที่หลานตัวน้อยไม่เป็นอะไรมาก ได้ยาจากคุณหมอเมื่อเช้าเข้าไปทำให้ตอนนี้ไข้ลดลงแล้ว
จงรักตั้งใจจะชวนเมฆาขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าแล้วนอนพักผ่อน ทว่าจรัญกลับชวนเมฆาให้นั่งจิบชาเป็นเพื่อนเล่นหมากรุก ชายหนุ่มร่างสูงจึงไม่ปฏิเสธ นั่นทำให้จงรักต้องขึ้นห้องไปคนเดียว ยังไงเขาก็อยากอาบน้ำก่อน เพราะไปเที่ยวมาทั้งวันรู้สึกเหนียวตัวไปหมด
อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย จงรักก็หยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวออกมาวางเตรียมไว้ให้พี่เมฆ ตั้งใจจะลงไปนั่งดูพ่อกับคนรักโขกหมากรุกอยู่เหมือนกัน ทว่าเสียงโทรศัพท์ก็ฉุดให้น้องต้องรั้งรออยู่ในห้องเสียก่อน
“สวัสดีครับ”
‘ไปเที่ยวกัน ไม่เคยชวนเฮีย’ เสียงโอดครวญแว่วมาให้ได้ยินตามสายเสมือนคำทักทาย
“เฮียวิน” จงรักจำได้ทันทว่าเจ้าของเสียเป็นใคร โดยที่ไม่ต้องดูชื่อซึ่งปรากฏบนหน้าจอ
‘ก็เฮียน่ะสิ! โธ่เอ้ย สู้อุตส่าห์เป็นพ่อสื่อให้เขาสมหวัง รักกันดิบดี แต่พอไปเที่ยวเขาก็ทิ้งเราเป็นหมาหัวเน่า ไม่ชวนสักคำ แม่งซึ้งน้ำใจน้องเลยว่ะ’
“โธ่ ก็รักนึกว่าเฮียไม่ว่างนี่ครับ เห็นช่วงนี้เฮียวินเงียบไป รักก็นึกว่างานยุ่ง เลยไม่อยากกวน” จงรักแก้ตัวเสียงอ่อน อันที่จริงเขาลืมชวนเฮียวินไปเสียสนิท เพราะมัวแต่ตื่นเต้นที่จะได้พาพี่เมฆมาพบกับพ่อ
‘ไม่ต้องมาอ้างเลยนะ คงสนุกมากเลยสิท่า หมั่นไส้ไอ้เมฆสุดๆทำมาเป็นอัพรูปให้อิจฉาเล่นอีก’
“อัพรูปอะไรครับเฮีย” จงรักถามขึ้นด้วยความสงสัย
‘อ้าว! นี่ยังไม่เห็นหรือไงว่าแฟนแกน่ะมันอัพรูปคู่อวดชาวบ้าน จนตอนนี้เขาเห็นกันทั้งเฟสแล้ว เพื่อนๆในรุ่นนะตกใจกันใหญ่ว่าไอ้เมฆเปิดตัวคบกับน้องที่เคยเตะบอลมาด้วยกัน’
พอได้ยินวินพูดแบบนั้น จงรักก็รีบหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเลื่อนดู แล้วก็เห็นจริงอย่างที่วินบอก เมฆาอัพรูปคู่ที่ถ่ายด้วยกันเมื่อตอนเย็นลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวหลายรูป มิหนำซ้ำยังเปลี่ยนสถานะแล้วติดแถกมาหาจงรักว่ากำลังคบกัน มือที่ถือแท็บเล็ตอยู่อ่อนแรงขึ้นมาทันที ยิ่งได้อ่านข้อความสัพยอกจากพวกรุ่นพี่ที่รู้จัก จงรักก็ยิ่งหลุดยิ้มเพราะรู้สึกเขินอายจนแก้มแทบระเบิด
‘เงียบทำไมล่ะนั่น ช็อคตายไปแล้วหรือไงจงรักน้องเฮีย’ เสียงล้อเลียนของวินทำให้จงรักกลับมาควบคุมสติได้อีกครั้ง
“ยังไม่ตายสักหน่อย เฮียก็พูดเกินไป”
‘ไม่เกินไปหรอก เฮียรู้เอ็งเขินจะตายอยู่แล้วนั่น ทำมาเป็นเก่ง ไอ้เตี้ยเอ้ย’
“เฮียอ่ะ รู้ดีจริง” เพราะมันจริงอย่างที่วินพูด จงรักจึงไม่อาจจะเถียงอะไรออกมาได้
‘มีความสุขดีไหม ไอ้เมฆมันดีกับรักหรือเปล่า’ อยู่ๆวินก็ถามขึ้นมา
“พี่เมฆดีกับผมมาก เฮียไม่ต้องห่วงนะ” จงรักตอบไปตามความสัตย์จริง ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เขาถือว่ามันดีที่สุด ดีเกินกว่าที่เคยฝันไว้มากแล้ว
‘ไม่ได้เป็นห่วงเว้ย จะทวงบุญคุณ เฮียนะช่วยเอ็งทุกอย่าง กลับมาจากเหนืออย่าลืมของฝากด้วย’
“ไม่ลืมหรอกครับ เดี๋ยวกลับไปนะ ผมจะเลี้ยงข้าวเฮียด้วยเลย” จงรักทำเสียงปะเหลาะเอาใจ
‘ดีมาก แล้วเฮียจะรอกินของฟรี’ คิดว่าจะวางสาย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะถามถึงเพื่อนสนิทสักหน่อย ‘แล้วนี่ไอ้เมฆมันไปไหนล่ะ หรือนั่งอยู่ข้างๆ’
“พี่เมฆเล่นหมากรุกกับพ่อข้างล่างครับ”
‘โห! เห็นมันเงียบๆ ไอ้เมฆแม่งร้ายกว่าที่คิด มีเข้าทางพ่อตาด้วยนะ’
“พี่เมฆเขาไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักหน่อย เฮียก็พูดไปเรื่อย” ออกรับแทนคนหน้าดุไป แต่จงรักก็อดขำในความคิดของวินไม่ได้
‘ทำมาเป็นเข้าข้างกัน เบื่อจริงๆ พอๆ เฮียไปนอนดีกว่า ไม่อยากคุยด้วยแล้ว’
“เอ้า! อะไรของเฮียเนี่ย นึกจะวางก็วาง”
‘เฮียจะนอน พรุ่งนี้ทำงานเช้า ไม่ได้ว่างงานแบบแฟนใครบางคนหรอก’ ก่อนจะวางสายก็ไม่วายที่จะสั่งเป็นคำสุดท้าย ‘แล้วอย่าลืมของฝากเฮียด้วย ฝันดี สามีกัดตูด’
“เฮียวิน!!” ประโยคสุดท้ายของวินทำเอาจงรักหน้าแดงวาบ จะด่าก็ด่าไม่ทัน เพราะทางโน้นเล่นวางสายไปเสียก่อนแล้ว คนตัวเล็กได้แต่บ่นงึมงำอยู่คนเดียวไล่หลัง ก่อนวางโทรศัพท์ลงแล้วหันมาสนใจรูปที่เปิดค้างเอาไว้แทน
นั่งดูรูปไปก็อมยิ้มไป ความจริงก็มีเพียงแค่สามรูป แต่จงรักก็สไลด์ดูซ้ำไปซ้ำมาก แถมยังเซฟเก็บไว้ในเครื่องอีกด้วย ก็จะไม่ให้ดีใจจนออกนอกหน้าได้อย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ถ่ายรูปด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่พี่เมฆประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเราคบกัน ทุกคนจริงๆ ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น จงรักรู้ดีว่าการคบกันเป็นเรื่องของคนสองคน มันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนักว่าคนอื่นจะรับรู้หรือไม่รับรู้ ทว่าก็ยังอดดีใจไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากการที่พี่เมฆทำเช่นนี้ มันทำให้คิดได้ว่าเขามีความสำคัญพอที่จะบอกใครๆได้ สำคัญพอที่จะเก็บบางเศษเสี้ยวเวลาที่ใช้ร่วมกันไปเป็นความทรงจำได้
เวลาสามทุ่มกว่า เมฆากลับขึ้นมาจากการเล่นเกมเล็กกับพ่อจรัญ พอเข้ามาในห้องเขาก็สังเกตเห็นจงรักนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนเตียง ในมือถือแท็บเล็ตของเจ้าตัวเอาไว้ เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อย คงเพราะอาบน้ำแล้ว แต่ที่เขาแปลกใจคือน้องยิ้มอารมณ์ดีเรื่องอะไรกัน ขนาดว่าเขาเข้ามาในห้องน้องยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมฆเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้ตรงปลายเตียง จงรักจงรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง
“พี่เมฆมาเมื่อไหร่ครับ”
“พี่เพิ่งขึ้นมา พ่อง่วงแล้วน่ะ เล่นได้เกมเดียวท่านก็ไม่ไหวแล้ว”
“อ๋อครับ ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะลงไปหาพอดี”
“อาบน้ำแล้วเหรอ”
“ครับ” จงรักพยักหน้าหน้ารับ
“แล้วทำอะไรอยู่ พี่เห็นยิ้มแก้มแทบปริ มีอะไรดีๆหรือเปล่า” ตอนแรกก็ว่าจะไม่ถาม แต่เห็นน้องยิ้มแป้นเมื่อกี้ มันก็อดไม่ได้จริงๆ
“อ่อ….เอ่อ..รักก็ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ” จงรักว่าพลางเก็บแท็บเล็ตเงียบๆ พยายามซ่อนแก้มแดงๆของตนเอง ทว่ามันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาคมของเมฆาไปได้
“เห็นรูปแล้วเหรอ” เขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ทว่าพอเป็นเรื่องของจงรักในใจก็เผลอคิดถึงแต่อะไรๆที่เข้าข้างตัวเองก่อนเสมอ
“ค…ครับ” จงรักพยักหน้าเบาๆ แก้มน้องแดงปลั่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง มันทำให้คนตัวโตยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาชอบที่จะเห็นปฏิกิริยาแบบนี้ของจงรักจริงๆ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามันน่ารักนักนะ
“แล้วโกรธหรือเปล่าที่พี่เอาไปลงโดยที่ไม่ได้บอกก่อน”
“ไม่ครับ ไม่โกรธเลย แต่..” จงรักรีบปฏิเสธอย่างแข็งขัน
“แต่?”
“แต่…” มองเห็นสายตากดดันให้พูดจงรักก็ยิ่งอยากมุดเตียงหนี เขาไม่น่าหลุดคำว่าแต่ออกไปเลย
“ว่าไงครับ แต่อะไร”
“แต่..รู้สึกเขินๆมากว่าครับ”
“หึ” เมฆาเดินเข้ามาลูบหัวน้องพร้อมกับบอก “ไม่ต้องเขินนะ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ชิน”
“อ่า..ครับ” จงรักผงกหัวรับ ก่อนจะเอียงหัวไปตามมือใหญ่ๆอุ่นๆของคนตัวสูง เมฆาเห็นดังนั้นก็ยิ้มบางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะผละออกไป เพื่ออาบน้ำ
“เดี๋ยวพี่มา รอก่อนนะอย่าเพิ่งหลับ”
“ครับ” น้องมองตามมือข้างนั้นอย่างแสนเสียดาย ก่อนเอนตัวลงนอนแล้วแอบดูรูปอีกครั้งทันทีที่ประตูห้องน้ำปิดไปแล้ว
ระหว่างที่นอนเล่นอะไรไปเรื่อยอยู่บนเตียงนอน เสียงโทรศัพท์ของเมฆาก็ดังขึ้น ครั้งแรกมันดังแล้วก็ดับไป แต่อีกครู่หนึ่งก็ดังอีก จงรักจึงตัดสินใจลุกไปหยิบดู บนหน้าจอไม่แสดงชื่อผู้ที่โทรเข้ามา หนุ่มตัวเล็กจึงเดินไปหยุดที่หน้าห้องน้ำแล้วเรียก
“พี่เมฆ โทรศัพท์ครับ เขาโทรมาหลายสายแล้ว”
“รับให้พี่หน่อยรัก บอกพี่อาบน้ำ มีไรฝากไว้ที่รักได้เลย” พอได้ยินคำอนุญาต จงรักจึงรีบกดรับ
“สวัสดีครับ”
‘พี่เมฆหรือเปล่า’
“ไม่ใช่พี่เมฆครับ” ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อ
‘ขอสายพี่เมฆหน่อยสิ’
“พี่เมฆอาบน้ำอยู่ครับ มีอะไรฝากเรื่องไว้ที่ผมได้ เดี๋ยวจะบอกให้ครับ” จงรักตอบกลับไปอย่างสุภาพ “คุณครับ ยังอยู่หรือเปล่าครับ” จงรักถามขึ้นเมื่อเห็นว่าปลายสายเงียบไปอีกครั้ง และคราวนี้นานกว่าครั้งก่อน
‘อยู่’ บอกเสียงห้วน แล้วเงียบไปอีกครั้งราวกำลังใช้ความคิด
“จะให้ผมบอกพี่เมฆว่าใครโทรมาดีครับ”
‘บอกว่าหนึ่งโทรมา จะเตือนเรื่องนัดสำคัญที่ไปบอกวันนั้น ให้เขาโทรกลับด่วน เท่านี้แหละ ขอบคุณ’
พูดจบปลายสายก็วางไปทันที ทว่าเมื่อจงรักได้รู้ว่ากำลังคุยอยู่กับใครเมื่อครู่ ร่างทั้งร่างก็ชาวาบขึ้นมาทันที จะเตือนเรื่องนัดสำคัญที่ไปบอกวันนั้น นัดอะไรกัน? แล้ววันนั้นคือวันไหน? เขาไปเจอกันมาเมื่อไหร่อย่างนั้นหรือ? คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวแทบจะพร้อมๆกัน ชื่อของหนึ่งนทีทำให้จงรักเสียศูนย์ได้ในทันที ความรู้สึกเหมือนถูกผลักให้ตกลงมาจากยอดเขาอย่างไรอย่างนั้น
วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะที่เก่า ก่อนจะเดินออกไปสูดอากาศที่ระเบียง พยายามปัดเรื่องฟุ้งซ่านในหัวทิ้งไปให้หมด แต่กลับพบเพียงความกังวนและตะกอนที่ถูกกวนจนข้นอยู่ภายในจิตใจ
เขายังติดต่อกันอยู่
ประโยคนี้มันส่งผลให้ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อน ไม่อยากคิดอะไรไปไกลเกินกว่าจะรู้เรื่องราวให้กระจ่างกว่านี้ หากแต่ก็ไม่สามารถหยุดตัวเองลงได้ และเป็นอีกครั้งในหนึ่งคืนที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งเอวถูกสองแขนแกร่งรวบเข้าไปกอด แผ่นหลังเล็กผนึกชิดกับแผ่นอกกว้าง จงรักสะดุ้งตกใจอยู่ในที ทว่าเมฆก็ไม่ได้ผละจากการกอด
“มายืนทำอะไร พี่เรียกตั้งนานทำไมไม่ตอบ”
“ไม่ได้ทำอะไรครับ” ส่ายหัวเบาๆก่อนตอบ
“แล้วออกมายืนทำไม หนาวออก เข้าข้างในเถอะ”
“ครับ” ตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วยอมเดินตามเข้าไปในห้องนอน
จงรักปีนขึ้นเตียงอีกฝั่ง ขณะที่เมฆาเดินไปปิดไฟดวงใหญ่ เหลือไว้เพียงไฟที่หัวเตียงดวงเดียวเท่านั้น แล้วร่างสูงก็กลับมาขึ้นเตียงนอน กำลังจะหันมาบอกฝันดีน้อง ก็สบเข้ากับดวงตาคมโตซึ่งฉายแวววูบไหวในแบบที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ เหมือนกับเจ้าตัวกำลังไม่สบายใจอะไรสักอย่าง เมฆาห่มผ้าให้ตัวเองกับน้องก่อนขยับเข้าไปชิด
“เป็นอะไร”
“เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร” จงรักปฏิเสธ หากแต่คนหน้าดุกลับไม่เชื่อ เพราะตาของจงรักมันฟ้องชัดขนาดนี้ จะบอกว่าไม่เป็นอะไรได้อย่างไร
“ไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้พี่ฟังสิ บอกว่าไม่เป็นไร แต่ทำหน้าทำตาแบบนี้ พี่ไม่เชื่อเราหรอกนะ” เขาเป็นคนพูดตรง ไม่ชอบอะไรๆที่มันคลุมเครือสักเท่าไหร่ จึงบอกออกไปตรงๆ
“เมื่อกี้หนึ่งนทีโทรมาหาพี่เมฆครับ”
เมื่อถูกจับได้ว่าไม่สบายใจ จงรักจึงยอมบอกออกไปว่าสาเหตุมาจากอะไร แม้จะกลัวว่าตัวเองมีสิทธิ์พอที่จะกังวนใจเรื่องหนึ่งนทีได้หรือเปล่า แต่ก็เลือกบอกไปดีกว่า เมฆานิ่งไปนิดก่อนถามต่อ
“แล้วเขาว่ายังไง”
“หนึ่งเขาบอกให้พี่เมฆโทรกลับครับ..” ส่วนที่ย้ำเรื่องนัดกับเรื่องที่เคยไปเจอกันมาก่อนจงรักเลือกที่จะไม่พูด อยู่ๆก็อยากรู้ว่าพี่เมฆจะทำอย่างไรต่อไป จะบอกเขาหรือไม่
“อืม” เมฆาตอบรับในลำคอ แล้วก็รวบตัวน้องเข้ามากอดแทน
“เดี๋ยวสิครับ…แล้วพี่เมฆไม่โทรกลับเหรอ หนึ่งเขาอาจมีธุระสำคัญก็ได้” จงรักไม่ได้ผลักไสอ้อมกอด แต่ขยับนิดหน่อยเพื่อให้ตนเองเงยหน้าขึ้นมาคุยได้ถนัด
“ระหว่างพี่กับเขาไม่มีธุระสำคัญอะไรหรอก ช่างเขาเถอะ”
“แต่หนึ่งเขาบอกว่าด่วนนะครับ”กระนั้นจงรักก็ยังไม่ลดละความพยายาม
“ด่วนก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของพี่ นอนกันเถอะ” เมฆว่าก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากน้อง
“ผมยังไม่นอนครับ ก็หนึ่งเขา…”
“ทำไมถึงอยากให้พี่โทรไปหาเขานักหืม..” สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เพราะจงรักดูพยายามเหลือเกินในการต่อต้านคำปฏิเสธของเขา
“ไม่ใช่ว่าอยากหรือไม่อยากให้คุย แค่คิดว่าทำไมพี่เมฆถึงบอกว่าไม่มีเรื่องจะคุย ทั้งที่หนึ่งนทีเขาบอกว่ามีก็เท่านั้น”
คราวนี้เมฆายอมปล่อยน้องออกจากอ้อมกอดแล้ว เขาถอยหลังออกมานิดหน่อย จงรักจึงผุดลุกขึ้นนั่ง เห็นดังนั้นคนหน้าดุจึงลุกขึ้นตาม บรรยากาศเงียบเชียบชวนให้อึดอัดในความรู้สึก ลอบมองหน้าน้องก็เห็นว่าเจ้าตัวมีสีหน้าไม่ดีเลยสักนิด เมฆาจึงปล่อยไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“พี่บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรต้องคุย พี่กับหนึ่งไม่มีธุระอะไรกันอีก มันไม่ชัดเจนตรงไหนกัน”
“แต่หนึ่งเขาบอกว่ามี” จงรักไม่ยอมแพ้ แม้จะถูกหาว่ารวนอยู่ก็ตาม
“รักไม่เชื่อที่พี่พูดเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อครับ” จงรักรีบปฏิเสธแล้วว่าต่อ “แต่เขาจะโกหกทำไมกัน”
“พี่ไม่รู้ แต่ที่คิดได้ตอนนี้ ระลึกได้ตอนนี้ มันไม่มีเรื่องอะไรที่พี่ต้องคุยกับเขาเลย”
“งั้นก็โทรไปถามสิครับ ว่าเขามีเรื่องอะไร”
“ทำไมต้องโทร ในเมื่อพี่บอกอยู่นี่ว่าไม่อยากคุย”
“เพราะผมอยู่หรือเปล่า ให้ผมออกไปรอข้างนอกก็ได้ ถ้าพี่ไม่สะดวกใจ”
“เฮ้อ..” เมฆาถึงกับถอนหายใจทิ้งด้วยความเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าจงรักคิดอะไรไปถึงไหนกัน เขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรดีแล้วตอนนี้ เขาจนปัญญาจริงๆ “พี่ไม่โทร ไม่คุยกับใครทั้งนั้น เพราะมันไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องคุย ถ้าไม่เชื่อกัน ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”
เมฆาทิ้งตัวลงนอน ปล่อยให้จงรักนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง ทันทีที่ร่างสูงหลับตาลง จงรักก็ระลึกได้ทันทีว่าตัวเองทำอะไรลงไป แม้จะยังสงสัยในสิ่งที่หนึ่งนทีพูด แต่ถ้าดื้อรั้นและงี่เง่าต่อไปมันก็เหมือนเป็นการบีบคั้นพี่เมฆเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ทว่ามันเป็นกลับเกิดขึ้นแล้ว
จงรักเคยตั้งใจว่าจะทำให้พี่เมฆยิ้ม แต่ตอนนี้กลับทำให้พี่เมฆโกรธ คงเป็นเพราะพี่เมฆดีกับเขา เขาจึงผยองในใจแล้วทำอะไรโดยไม่คิดให้ดี และจงรักก็เริ่มเสียใจกับการกระทำของตัวเองขึ้นมา ความพะว้าพะวงเรื่องของหนึ่งนทีหายวับไปพลัน ความกลัวว่าพี่เมฆจะไม่พอใจแล้วรำคาญกันมันมีมากกว่า
ร่างเล็กค่อยๆทิ้งตัวลงนอนข้างๆคนตัวโต ขยับเข้าไปชิดใกล้แล้วทำใจกล้า ยื่นมือไปเกาะแขนแกร่งใต้ผ้าห่ม จากนั้นจึงซบหน้าลงไปพิง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงอู้อี้
“ขอโทษครับ”
“……”
“พี่เมฆอย่าโกรธ อย่ารำคาญรักเลยนะ” พอคนตัวโตไม่ตอบ ไม่ส่งเสียง ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาหา จงรักก็แทบจะร้องไห้ออกมา เขาคงทำให้พี่เมฆโกรธมากจริงๆ ทว่าพอผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น
“พี่ไม่ได้โกรธ ไม่ได้รำคาญ แต่อะไรที่ต้องพูด พี่ก็พูดไปหมดแล้ว พี่อยากรอให้รักสงบใจก่อนแล้วค่อยคุย ไม่อยากทะเลาะกันกับแค่เรื่องของคนอื่น”
“รักขอโทษนะ พอได้ยินเสียงเขา รักก็กลัวขึ้นมา ทั้งๆที่เคยพูดเองแท้ๆว่าถ้าพี่จะกลับไปในวันหนึ่งก็จะไม่ห้าม แต่ตอนนี้ดันมางี่เง่าเองเสียแล้ว” พอได้ยินจงรักพูดถึงตรงนี้ เมฆาก็ตะแคงหันหน้ามาคุยกับจงรักอย่างจริงจัง
“รักไม่ได้งี่เง่า แต่รักคิดมากเกินไป อยากรู้อะไรให้ถามพี่ ข้องใจอะไรก็บอกได้ พี่เคยพูดว่าพี่ไม่โกหก จำได้ไหม”
“จำได้ครับ” จงรักพยักหน้ารับ
“เชื่อพี่นะ”
“ครับ รักเชื่อพี่เมฆ” เมฆายิ้มบางให้น้องที่ทำหน้ายู่ ก่อนจะกดจูบที่หัวคิ้วให้คลายปมออก
“นอนกันเถอะนะ ไหนพรุ่งนี้บอกว่าจะตื่นเช้าแล้วพาพี่ไปดูแปลงกุหลาบไง”
“ครับ” จงรักพยับหน้ารับก่อนจะหลับตา เมฆาเองก็หลับตาไปด้วย
ทว่าพอผ่านไปสักพัก จงรักที่ควรจะหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมา มองคนหน้าดุที่หลับอยู่ตรงหน้า คนตาคมช่างใจอยู่ครู่จึงเอ่ยเรียกเสียงเบา
“พี่เมฆ”
“หืม” ดวงตาคู่ดุเปิดขึ้นมามองหนุ่มตัวเล็กอีกครั้ง
“รักขอจูบพี่ได้ไหม”
“ทำไมต้องขอล่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคที่ดูเหมือนเป็นคำอนุญาต จงรักก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ ส่งริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสริมฝีปากของเมฆา ค่อยๆจูบเบาๆให้กระแสความรู้สึกอุ่นร้อนส่งผ่านไปถึงกัน มันทั้งนิ่มนวล ทั้งเนินนาน จนกระทั้งหนุ่มตัวเล็กพอใจจึงค่อยๆผละออก
“พอใจแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“ที่นี้เราก็นอนได้แล้ว”
“ครับ”
“ไม่งอแงแล้วนะ”
“ไม่แล้วครับ”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
มาแล้วค่ะ
มาช้า แต่ยาวกว่าเดิมนิดนึง อิอิอิ
ไม่ดราม่ามาก พอกรุบกริบเน้อ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
pungjungza