...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]  (อ่าน 309392 ครั้ง)

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
น้องก็คิดถึงพี่แก้วเหมือนกันเจ้าค่ะ   เหยยยยยยไม่ใช่ๆ

รีบๆกลับไปเสร็จพี่แก้วซะทีเถอะ!  :hao7: :hao7: :hao7: 
สรุปว่าโต๊ะอีกตัวยังอยู่ไหม :hao5:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ตอนที่ ๒๐...กาลเวลาหวนคืน...







'ฝากความคิดไปกับสายนที
ดวงใจพี่อยู่ที่เจ้ามิเปลี่ยนผัน
ภาวนาให้หวนมาทุกคืนวัน
หากเจ้านั้นแว่วเสียงครวญให้หวนคืน'







...สิบวันผ่าน...๑๑ ๑๒ ๑๓...จนกลายเป็นสองอาทิตย์...ให้ตายสิผมจะมานั่งนับวันทำไมวะเนี่ย?...สภาพผมตอนนี้เหมือนคนพิการไม่มีผิด...นั่งๆนอนๆอยู่แต่บ้าน...อานิดเองก็ดูเหมือนจะติดตามชีวิตผมทุกฝีก้าว ทั้งๆที่ผมแทบไม่ได้ออกไปไหนเลยในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จะมีก็แค่ออกไปให้ไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อมันรุมด่าที่ร้านพี่โอ้อยู่สองวัน...ส่วนไอ้แชมป์น่ะเหรอ ไม่ต่างจากผมหรอกครับ มันโดนหนักกว่าผมเสียอีกเพราะปกติมันเป็นตัวนำเรื่องสังสรร แต่อยู่ดีๆมันก็กลายร่างเป็นหมาหงอยเอาแต่หมกตัวอยู่กับบ้าน กว่าไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อจะลากมันออกมาเจอได้ก็ต้องบุกไปถึงบ้านกันเลยทีเดียว...ได้ข่าวว่าป๊ากับม๊าไอ้แชมป์ตกใจน่าดูนึกว่าโจรขึ้นบ้าน เพราะมันไปกันอย่างโหด...ส่วนผมไม่ค่อยเรื่องมาก วันไหนเบื่อหน่อยก็ออกไปเจอพวกมันได้...ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ...

"กูไม่ไหวแล้ววววววว"ไอ้แชมป์ที่โพล่งขึ้นเสียงดังทำเอาป้าเพ็ญที่กำลังยกของว่างเข้ามาในห้องนั่งเล่นสะดุ้งจนแทบปล่อยถาดขนมหลุดมือ...ส่วนผมเองชินกับอาการแบบนี้ของมันแล้ว เลยได้แต่นั่งเงียบดูทีวีต่อ

"กูไม่ไหวแล้วธีร์ กูไม่ไหวแล้ววววว"พอมันเห็นผมไม่สนใจเลยหันมาเขย่าตัวผมแรงๆแทน

"ไม่ไหวก็ไปห้องน้ำดิครับ บอกกูทำไม"ผมแหย่มันเล่นครับ รู้อยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร

"ไม่ใช่แบบนั้น โอ๊ยเชี่ย มึงไม่เข้าใจกูเหรอวะ"

"เข้าใจ"ผมตอบกลับสั้นๆ

"เออ งั้นมึงก็เข้าใจดิว่ากูไม่ไหวแล้วววววว"แล้วมันก็บ่นซ้ำคำเดิม...จะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ


ไม่ใช่ว่าผมไม่เป็นอะไร...แต่ผมไม่รู้จะเป็นอะไรดีมากกว่า...ระหว่างนั่งโวยวายเป็นบ้าเป็นบอเหมือนไอ้คนข้างๆนี่...หรือนั่งเงียบเก็บตัวไม่สุงสิงกับใครแล้วหมกตัวอยู่แต่ในห้อง...สุดท้ายผมเลยไม่เลือกสักทาง...เพราะผมรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมานั่งเป็นบ้าเป็นบอหรือเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง...เพราะแค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็หน่วงมากพออยู่แล้ว...ผมไปทำเรื่องดรอปเรียบร้อยเมื่อสองวันก่อน...ช่วงนี้มหาวิทยาลัยปิดเทอมระหว่างภาคพอดีเลยไม่วุ่นวายมาก...ขี้เกียจไปตอบคำถามคนนั้นคนนี้ว่าทำไม แค่โดนไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อนั่งซักประวัติที่ร้านพี่โอ้เกือบสามชั่วโมงก็เมื่อยปากพอแล้ว...ส่วนไอ้แชมป์มันไม่มีปัญหาเรื่องสอบ เพราะคณะมันเรียนค่อนข้างสบาย เน้นส่งงานมากกว่า...ที่สำคัญป๊ากับม๊ามันก็ไปทำเรื่องขอสอบย้อนหลังให้มันเรียบร้อย

"สงบสติอารมณ์ซะบ้างครับมึง"ผมหันไปปรามไอ้ตัวดีที่นั่งหงุดหงิดงุ่นง่านตั้งแต่เมื่อครู่...วันนี้ป๊ากับม๊ามันเมตตายอมปล่อยมันให้มาหาผมได้ จนมันแทบคำนับฟ้าดินใส่

"กู...เบื่ออ่ะ"

"มึงบ่นมาสิบรอบละแชมป์"

"ก็กูเบื่ออ่ะ"ยังบ่นไม่เลิก...มันโดนผีง๊องแง๊งเข้าสิงหรือเปล่าครับ ผมว่าเมื่อก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนี้นะ

"ออกไปข้างนอกป่ะล่ะ"มันส่ายหน้าตอบแต่ไม่พูดอะไร

"แดกเหล้า?"ก็ยังส่ายหน้าอีก

"ดูหนัง...วินนิ่ง...เตะบอล...ว่ายน้ำ...เล่นโยคะ...ปาเป้า..."

"เชี่ยพอ!"อุตส่าห์หากิจกรรมให้ ไม่เอาอะไรสักอย่าง

"มึงก็เลิกซึมเป็นหมาหงอยซักที กูเห็นแล้วเบื่อแทน"หันไปส่ายหน้าเอือมๆให้มันสักรอบ

"มึงไม่เบื่อเหรอวะ กูแม่งเบื่ออ่ะ ไม่มีไรทำเลย"แล้วไอ้เมื่อกี้ที่ผมชวนใครมันเอาแต่ส่ายหัวดิ๊กๆวะ

"เบื่อมึงเนี่ย เยอะ!"ขอด่าสักที ไม่ไหวแล้วเหมือนกันเว้ย

"มึงแม่ง!!"เถียงไม่ได้ก็โวยวาย...เออ นอกจากจะเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันได้ สมองยังกลับเป็นเด็กสิบขวบได้อีกต่างหาก แต่ช่วยดูหน้ามึงด้วยครับแชมป์ว่าไอ้อาการง๊องแง๊งเหมือนเด็กน้อยนี่มันเข้ากับหน้าตี๋โหดๆของมึงไหม

"ทำมาบ่นว่าง กูเห็นงานมึงค้างเป็นกอง ทำแล้วเหรอไง"ผมจำได้ว่ามันต้องวาดงานส่งอาจารย์อีกตั้งหลายชิ้นเพราะมันหายตัวไปเกือบเดือน แล้วยังต้องเตรียมตัวสอบอีก...แต่มันก็ยังมานั่งบ่นนั่นบ่นนี่ที่บ้านผมอย่างกับคนไม่มีอะไรให้ทำ

"ไม่มีอารมณ์"ผมก็เข้าใจนะ พวกเรียนด้านศิลปะ เวลาจะทำงานแต่ละทีมันก็ต้องมีอารมณ์สุนทรีย์ แล้วอาการแบบนี้ผมว่ามันคงจะวาดรูปไม่ออกไปอีกนาน

"แล้วนี่อานิดไปไหนวะ"ไอ้แชมป์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าตั้งแต่มาถึงมันยังไม่ได้เจอกับเจ้าของบ้าน

"วันนี้มีสอน เห็นบอกจะกลับค่ำๆ"อานิดออกไปตั้งแต่เช้าเพราะถูกเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง

"เออมึง แล้วเรื่องเรือนเจ้าคุณจิตรา มันจริงเหรอวะ"ไอ้ตัวดียังคงซักต่อ...ผมรู้ว่ามันเองก็รู้สึกหดหู่ไม่แพ้กันเมื่อได้ยินเรื่องเรือนหลังนั้น

"ลุงเอกบอกกูมาแบบนี้ กูก็ไม่รู้ว่ะ"

"แล้วมึงว่า เราควรไปดูให้เห็นกับตามั้ย"คำถามที่ผมเองก็เคยคิด...แต่เพื่ออะไรล่ะ ถ้ามีคนยืนยันว่าเรือนนั้นถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไร...การที่ผมไปก็เหมือนกับตอกย้ำตัวเอง

"หรือเราควรถามญาติมึงที่เค้าเป็นเจ้าของที่อ่ะ พี่ชายคุณย่ามึงไง"ไอ้แชมป์ยังรบเร้าไม่เลิก...ผมเข้าใจดีว่ามันคงอยากไปเห็นด้วยตัวเองถึงสิ่งที่ลุงเอกได้เล่าให้ผมฟัง

"มึงอยากไปเหรอ"มันเพียงแค่พยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไร...ส่วนผม เพียงแค่อยากให้มันหายซึมแบบนี้สักที

"งั้นป่ะ...แต่พี่ชายคุณย่าเสียไปแล้ว เดี๋ยวกูพาไปหาป้ากู เค้าเป็นลูกสาวคุณปู่"ผมเรียกพี่ชายของคุณย่าว่าคุณปู่เช่นเดียวกัน ท่านเสียไปหลังคุณย่าไม่กี่ปี ส่วนผมเองก็มีโอกาสได้พบท่านเพียงไม่กี่ครั้งเพราะตอนนั้นยังเด็กนัก...ป้ารินที่เป็นลูกสาวท่านเลยกลายเป็นคนดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของคุณปู่
.

.

.
ผมขับรถพาไอ้แชมป์มาถึงบ้านของคุณปู่...ท่านไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวงเลยปลูกบ้านไม้หลังใหญ่อยู่กับภรรยาและลูกสาวแถวชานเมือง...แต่ตอนนี้เหลือเพียงป้าริน หรือ คุณรินลดา ลูกสาวของคุณปู่อยู่กับสามีเพียงสองคน

"ธีร์...นั่นธีร์เหรอ!"น้ำเสียงดีใจของป้ารินดังขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกผมคือคนที่มากดกริ่งเรียกแกอยู่หน้าบ้าน

"ป้ารินสวัสดีครับ นี่แชมป์เพื่อนธีร์ครับป้า"ผมแนะนำคนข้างๆที่ยกมือไหว้ตามมารยาท...ไอ้แชมป์ไม่เคยมาบ้านนี้และไม่รู้จักป้ารินมาก่อน...มันสนิทกับญาติทางฝั่งคุณย่าของผมมากกว่าเพราะบ้านเราอยู่ใกล้กัน

"ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี โตเป็นหนุ่มหล่อใหญ่แล้วนะหลานป้า ไปลูก เข้าบ้านไปกินน้ำกินท่าก่อน"ว่าพลางรุนหลังผมสองคนให้เดินเข้าไปในบ้าน...ถึงจะเป็นเพียงบ้านไม้แต่กลับโอ่โถงใหญ่โตนัก เพราะคุณปู่เองก็มีศักดิ์เป็นถึงหลานพระยาโสภณ สามีของคุณดาวเรือง

"ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะธีร์"คำถามที่ทำเอาผมได้แต่หันไปมองหน้าไอ้ตัวดี ส่วนมันก็ได้แต่พยักเพยิดให้ผมเปิดประเด็น

"ป้ารินครับ...คือ...ธีร์อยากรู้เรื่อง..."

"เรื่องเรือนไม้สักของพระยาจิตรานุวัตรน่ะครับ"เป็นไอ้แชมป์ที่พูดแทรกขึ้นก่อนที่ผมจะจบประโยคดี มันคงทนไม่ไหวที่เห็นผมอึกอักอยู่นาน

"หืม เรือนเจ้าคุณจิตราเหรอ"ไอ้ตัวดีรีบพยักหน้ารับ

"พอดีธีร์ได้เจอกับลุงเอก แล้วลุงเอกแกเล่าให้ฟังเรื่องเรือนของเจ้าคุณ เห็นว่าที่ดินตอนนี้เป็นชื่อของคุณปู่เหรอครับ"เจ้าของบ้านขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย...คงสงสัยที่หลานชายที่ไม่ได้เจอกันเกือบห้าปีอยู่ดีๆก็มาถามถึงเรื่องเรือนโบราณของบรรพบุรุษ

"คุณพ่อเซ็นต์ยกให้เป็นชื่อป้าตั้งแต่ก่อนท่านเสียแล้วล่ะ...ว่าแต่ธีร์ถามทำไมเหรอ"

"เห็นลุงเอกเล่าว่าเรือนเจ้าคุณถูกไฟไหม้หมดเลยเหรอครับ"

"ใช่จ้ะ คุณปู่ของป้าเคยเล่าให้ฟัง ท่านว่าตอนกลับมาเจ้าคุณท่านเสียไปแล้ว ส่วนเรือนก็ถูกปล่อยทิ้งเพราะเจ้าคุณเองไม่มีลูกหลานที่ไหน...ที่ตั้งก็ไม่ได้อยู่ในเขตชุมชน เรือนที่อยู่ใกล้กันก็ค่อนข้างห่าง...เห็นท่านว่าคืนที่เกิดไฟไหม้ไม่มีใครรู้เรื่องเลย ชาวบ้านมาเห็นอีกทีก็ตอนเช้าแล้วล่ะ"ตรงกับที่ลุงเอกเล่าไม่ผิดเพี้ยน...ผมเห็นไอ้แชมป์มีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด...ผมเองก็เช่นกัน แม้จะได้ฟังเรื่องนี้มาสองรอบแล้วแต่ก็ยังสร้างความหดหู่ในใจได้มากทีเดียว

"แล้วก่อนที่เรือนจะถูกปล่อยร้าง มีใครได้ขนย้ายของออกจากเรือนบ้างมั้ยครับ"

"ไม่น่าจะมีนะธีร์ คุณปู่ของป้าท่านเคยกลับไปที่เรือนนั้นแค่ครั้งหรือสองครั้งเองมั้งหลังเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศน่ะ แต่ท่านก็จ้างคนให้เข้าไปคอยดูแลทำความสะอาดอยู่ตลอดนะ"ราวกับยิ่งตอกย้ำ ว่าทั้งเรือนและโต๊ะไม้สักตัวนั้นคงมอดไหม้ไปพร้อมกันตั้งแต่ไฟไหม้เรือนครั้งใหญ่

"ป้าก็เสียดายนะ ป้าชอบเรือนเก่าๆ ตอนคุณปู่เล่าป้ายังบอกท่านเลยว่าอยากไปอยู่ ท่านว่าท่านก็เคยคิดแต่ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน"อย่างน้อย เรือนหลังนั้นก็ยังเคยมีคนคอยดูแล ไม่ได้ถูกทิ้งร้างอย่างที่ผมเคยเข้าใจ...ไอ้แชมป์ยังคงมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ คงเพราะยังติดใจเรื่องไฟไหม้ใหญ่คราวนั้น

"ผมอยากเห็นที่ตรงนั้นครับคุณป้า"และก็เป็นมันเองที่เอ่ยปากขอเจ้าของที่

"แชมป์อยากไปเหรอ อยู่ไม่ห่างจากบ้านนี้เท่าไหร่หรอก แต่มันไม่มีอะไรหรอกนะ เป็นแค่ที่โล่งๆ เพราะป้าให้คนเข้าไปถางหญ้าอยู่ตลอด...กำลังคิดว่าจะขายเพราะเก็บไว้ก็ไม่ได้ทำอะไร"

"ป้ารินจะขายที่ตรงนั้นเหรอครับ"ผมรีบถามด้วยความตกใจ...จริงอยู่มันเป็นเพียงพื้นที่โล่ง แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นที่ตั้งของเรือนไม้สักโบราณที่ผมกับไอ้แชมป์ผูกพันเป็นอย่างดี

"แค่คิดไว้น่ะ มีคนมาถามหลายคนอยู่เพราะที่ค่อนข้างกว้าง"

"ป้าริน...อย่าเพิ่งขายได้มั้ยครับ...ธีร์อยากได้ที่ตรงนั้น"คำขอร้องที่เจ้าของบ้านได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

"ถ้าป้าจะขาย ธีร์ขอซื้อที่ตรงนั้นเอง แต่ป้ารอธีร์หน่อยนะครับ"มีเพียงเหตุผลเดียวที่ผมยังไม่สามารถซื้อที่ตรงนี้ได้ นั่นคือผมยังเรียนไม่จบและยังไม่ได้รับมรดกทั้งหมดจากพ่อกับแม่...จะหาว่าผมผลาญมรดกก็ยอมครับ แต่ที่ตรงนี้ผมไม่อยากให้คนอื่นได้มันไปจริงๆ และผมคิดว่าถ้าพ่อยังอยู่พ่อผมคงเข้าใจเช่นเดียวกัน...ผมเห็นไอ้แชมป์อ้าปากค้างตอนที่ผมขอร้องป้าริน...มันเองก็คงไม่คิดว่าผมจะซื้อที่ต่อจากป้าจริงๆ

"ธีร์อยากได้ที่ตรงนั้นเหรอ"ผมพยักหน้ารับจริงจังกับคำถามนั้น

"ถ้าธีร์อยากได้ ป้าจะรอ...อย่างน้อยให้มันตกอยู่ในมือลูกหลานของท่านเอง ท่านคงจะดีใจ"แม้ผมเองจะเป็นลูกหลานของเจ้าคุณจิตราเช่นกัน แต่ก็คงดูไม่ดีนักหากจะเอ่ยปากขอที่ดินผืนนั้นจากเจ้าของเอาเสียดื้อๆ อย่างน้อยมันก็เป็นมรดกตกทอดมาทางคุณปู่ของแก

"แล้วยังอยากไปดูที่อยู่มั้ย ป้าจะพาไป"ผมกับไอ้แชมป์รีบพยักหน้ารับทันที



รอป้ารินแต่งตัวสักพัก แกก็นำทางเรามาถึงจุดหมายที่พวกผมอยากเห็นมันเหลือเกิน...ที่ดินผืนนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของป้ารินอย่างที่แกว่า...ขับรถมาประมาณ๑๕นาทีก็ถึง...ผมสังเกตเห็นรั้วไม้ที่ถูกตีล้อมพื้นที่เป็นแนวยาว...อันที่จริงก็พอจะรู้มาบ้างว่าเรือนเจ้าคุณจิตรานั้นกินพื้นที่กว้างขวางนัก แต่ด้วยตอนนั้นเพราะมีเรือนหลังใหญ่ และยังเรือนบ่าวด้านหลังกับโรงครัว ทำให้ที่นั่นดูไม่โล่งตาอย่างที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้...ผมนั่งมองพื้นที่โล่งกว้างด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนเปกันไป...ทั้งคิดถึง ทั้งหดหู่...แต่มากกว่าสิ่งใดทั้งหมด คือความระลึกถึงพระยาจิตรานุวัตร ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของผมเอง...ความรู้สึกหน่วงในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับคนที่นั่งอยู่เบาะหลังที่ผมสังเกตได้ว่าตามันแดงก่ำ หากแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาก็เท่านั้น...ไอ้แชมป์เข้มแข็งเสมอ ผมไม่เคยเห็นมันร้องไห้...แต่สถานการณ์ในตอนนี้ผมว่าผมเข้าใจมันดีเลยทีเดียว


ผมขับรถกลับไปส่งป้ารินที่บ้าน บอกลาตามมารยาทและขับรถกลับบ้านอานิดทันที...ระหว่างทางทั้งผมและมันเอาแต่เงียบไม่มีแม้บทสนทนาใดๆ มีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดคลอทำลายความอึดอัดที่ลอยวนเวียนอยู่ในรถ ซึ่งผมว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย...ไอ้แชมป์ขอกลับมาที่บ้านผมก่อน ทั้งๆที่ตอนแรกผมอาสาจะไปส่ง แต่พอเห็นสีหน้าไม่สบายใจของมันแล้ว ผมว่าตอนนี้ให้มันอยู่กับผมอีกสักพักก็ดีเหมือนกัน



กลับมาถึงบ้านเอาตอนเกือบค่ำ...พระอาทิตย์ดวงโตสาดแสงสีส้มฉาบท้องฟ้าเบื้องบน หากแต่หมู่ตึกสูงเรียงรายในเมืองหลวงกลับบดบังความงดงามไปเกือบหมดสิ้น...ผมเดินเข้าบ้านตามด้วยไอ้ตัวดีที่อยู่ด้านหลัง...ท่าทางมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่

"มึงโอเคนะ"มันพยักหน้ารับขัดกับสีหน้า

"แดกเหล้าป่ะ"ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรเลยได้แต่ชวนดื่ม ทั้งที่รู้ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา...แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้าตอบแล้วเดินนำเข้าไปในห้องนั่งเล่น...ทิ้งตัวบนโซฟาพลางหลับตาลงครู่หนึ่ง

"กู...หดหู่ว่ะ"มันค่อยๆลืมตาแล้วหันมามองผมที่นั่งอยู่ข้างๆ...ผมพยักหน้ารับเพราะกำลังรู้สึกแบบเดียวกัน

"ตอนที่มึงบอกป้ารินว่าจะซื้อที่ต่อแก กูดีใจมากอ่ะ เพราะกูกะว่าถ้ามึงไม่พูดกูจะขอเค้าเอง"ผมรู้อยู่แล้วว่ามันก็คิดจะซื้อที่ตรงนั้นเหมือนกัน

"ถ้ากูได้ที่ตรงนั้นมา กูจะปลูกเรือนไม้สักให้เหมือนเรือนเดิม...มึงช่วยกูวาดรูปเรือนนั้นหน่อยแล้วกัน"ไอ้ตัวดีพยักหน้าตกลง



...ก่อนที่ผมจะเห็นสีหน้ามันเปลี่ยนไป...คิ้วดกหนาของมันขมวดมุ่น ดวงตาเบิกกว้างราวกับนึกอะไรออก...แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไร มันก็ยื่นมือมากระชากแขนผมให้ลุกขึ้นทันที

"เชี่ยไรวะ"ผมสบถเสียงดังเพราะความตกใจ หากแต่อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแค่ออกแรงดึงข้อมือของผมไม่ลดละ

"อะไรของมึงวะแชมป์"ปากก็บ่นไปตามทางขณะที่มันลากผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง...และก็ราวกับมีอะไรมาเตือนสติ...ผมมองตามแผ่นหลังของไอ้แชมป์ที่ดูรีบร้อนต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

"มึงอย่าบอกนะ..."คำพูดที่ขาดหายพร้อมกับประตูห้องทำงานของอาต้นที่เปิดออกโดยไอ้ตัวดีที่กำลังฉุดข้อมือของผมเอาไว้...แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด...



...วูบหนึ่งที่คนข้างหน้าเหลียวกลับมามอง...ผมเห็นรอยยิ้มของมัน...ยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นเลยตลอดสองอาทิตย์ที่พวกผมกลับมา...และมันเอง...ก็คงเห็นสีหน้าของผมเช่นเดียวกัน...


...ผมกำลังจะกลับไป...


...กลับไปยังเวลาที่เรือนไม้สักหลังนั้นยังคงโดดเด่นงดงาม...


...กลับไปยังบ้านที่มีแต่เสียงจอแจของพวกบ่าวไพร่และเจ้านายทั้งสาม แต่กลับไม่รู้สึกว่าน่ารำคาญแม้แต่น้อย...


...กลับไปหาบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษ...เจ้านาย...เพื่อน...และ...คนสำคัญ...


...ผมกำลังจะกลับไป...โดยที่ผมไม่สนใจเลยว่าผมจะไปลงเอยที่เรือนไหนก็ตาม...
.

.

.

.

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0


"เสียใจด้วยนะครับพี่ธีร์...ท่าทางวันนี้มึงจะยังไม่สมหวัง หึหึ"แว่วเสียงไอ้ตัวดีเยาะเย้ยอยู่ข้างๆหูก่อนจะลืมตาขึ้นมองรอบๆ...ห้องทำงานของเจ้าคุณจิตราที่คุ้นเคย...โต๊ะไม้สักโบราณที่ในยุคปัจจุบันของผมไม่เหลือแม้แต่เศษซาก หากแต่โต๊ะตัวนี้ยังคงตั้งเด่นอวดลวดลายสลักงดงามอยู่ในห้องเช่นเคย...ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง...พระอาทิตย์ดวงกลมโตยังคงทอแสงสีส้มอ่อนๆ แสดงให้รู้ว่าเวลาค่ำใกล้มาถึงเต็มที...และผมไม่ได้ตอบอะไรไอ้แชมป์...เพราะผมเคยบอกไปแล้ว...มันไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อยว่าผมจะมาลงเอยที่เรือนไหน...

"แต่ก่อนอื่นเตรียมหูชาก่อนเลยมึง หายหัวไปซะครึ่งเดือนแบบนี้"นั่นแหละที่สำคัญ...คราวก่อนหายไปอาทิตย์เดียวยังโดนดุเสียหูแทบชา...คราวนี้นานกว่า...เห็นทีจะโดนลงหวายหรือเปล่านะ


ไอ้แชมป์ค่อยๆแง้มประตูออกไปเพื่อดูด้านนอก...ตอนนี้ยังไม่มืด ด้านนอกคงยังวุ่นวายอยู่...ผมเห็นคุณหญิงสร้อยนั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือนพร้อมกับคุณพิกุล ส่วนเจ้าคุณจิตราไม่ได้อยู่ด้วยแสดงว่ายังไม่กลับจากกรม...เมื่อเห็นว่าออกทางประตูไม่ได้เพราะจะเป็นที่ผิดสังเกตของทุกคนบนเรือน....ทางออกเดียวที่มีอยู่ก็เห็นจะเป็นทางหน้าต่างห้องทำงานนี่...แต่ปัญหาของพวกผมคือห้องทำงานของเจ้าคุณจิตราไม่ได้ติดกับต้นไม้สักต้นเหมือนห้องนอนของคุณดาวเรือง...เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะลงไปได้คือกระโดดลง ซึ่งผมไม่คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่...แต่ก็เป็นไอ้แชมป์ที่ตาดีสังเกตเห็นขอบไม้ที่ยื่นออกมาจากตัวเรือนไม่มากนัก พอให้เหยียบได้แล้วจึงค่อยกระโดดลงไปด้านล่าง...แต่ถ้าถามว่าเจ็บไหม...จะเหลือเหรอครับคุณ...ผมก็ไม่ใช่นักยิมนาสติกหรือกายกรรมทีมชาติเสียด้วยสิจะได้มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ...แต่เอาเถอะ อย่างน้อยถือว่าลงจากเรือนได้อย่างปลอดภัยครบ๓๒


...ตัวผมในตอนนี้ มันยิ่งกว่าคำว่าตื่นเต้น หรือ ดีใจ...ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายความรู้สึกที่มี...มันเอ่อล้นจนลืมความกลัวที่จะถูกบ่นเรื่องหายตัวไปเสียสนิท...ผมกำลังเดินขึ้นเรือน...เรือนไม้สักโบราณอันงดงามที่ผมนึกถึงมาตลอด...เสียงจอแจของผู้คนบนเรือนที่ผมคิดถึง...และรอยยิ้มของเจ้าของเรือนทั้งสามกับบ่าวไพร่ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี...จนผมแทบอยากจะตะโกนออกไปเหลือเกินว่า...ผมกลับมาแล้วครับ...


...น่าแปลกที่ทุกคนในเรือนไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นพวกผม ทั้งๆที่หายตัวกันไปถึงสองอาทิตย์ ผิดกับคราวที่แล้วลิบลับ...ถึงพวกผมจะอยู่ในสภาพเสื้อยืดกางเกงยีนส์กันเช่นเคย...แม้แต่คุณหญิงสร้อยเอง ก็เพียงมองหน้าพวกผมสองคนเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนของเรือน...ทำเอาผมกับไอ้แชมป์ได้แต่หันมาสบตากันด้วยความสงสัย

"กลับมากันแล้วรึพวกเอ็ง"น้ำเสียงอ่อนโยนของคุณหญิงสร้อยยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน...แต่ที่ทำให้สงสัยหนักคืออาการปกติจนเกินไปของทุกคนบนเรือนนี่สิ...จะมีก็แต่คุณพิกุลที่สีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อหันมาเห็นไอ้แชมป์

"ห๊ะ...เอ่อ...ครับ"

"คนที่บ้านเอ็งเป็นเยี่ยงไรกันบ้างเล่า"คำถามที่ทำเอาพวกผมได้แต่อ้าปากค้าง

"อะ...อะไรนะครับ!"ทั้งผมและคนข้างๆโพล่งขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนเจ้าของเรือนตกใจ

"จักเสียงดังทำไมนะพวกเอ็ง...ข้าถามว่าคนที่บ้านเอ็งเป็นเยี่ยงไรกันบ้าง"ก็คำถามนั้นแหละที่ทำให้ผมตกใจจนร้องลั่น...คุณหญิงสร้อยรู้?

"เห็นหลวงพิสิษฐว่าพวกเอ็งกลับไปเยี่ยมญาติที่หัวเมือง นึกว่าจักไปนานกว่านี้เสียอีก"คำตอบที่ช่วยให้ทั้งความกระจ่างและความโล่งอกจนถึงขั้นถอนหายใจยาวออกมาพร้อมๆกัน

"อ๋อ...เอ้อออ ใช่ครับคุณหญิง"และก็เป็นไอ้แชมป์ที่ตั้งสติได้ก่อน เพราะตอนนี้สติผมกลับหายไปหลังได้ยินชื่อเมื่อครู่...เขา...เป็นคนบอกทุกคนว่าผมกลับไปเยี่ยมญาติ...ทั้งๆที่ในวันนั้นตัวเขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขาเห็นมันคืออะไร

"หลวงพิสิษฐเป็นคนบอกคุณหญิงสร้อยเหรอครับ"เมื่อสติเริ่มกลับมาจึงได้ถามออกไป

"ก็ใช่น่ะซี หลวงแกมาบอกเมื่อวันที่พวกเอ็งไปนั่นล่ะ เห็นว่าญาติป่วยหนักรึ ดีขึ้นหรือยัง"เจ้าของบ้านถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ต่างจากลูกสาวที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ซึ่งผมคิดว่าผมรู้ว่าคุณพิกุลเป็นอะไร

"ก็...ดีขึ้นมากแล้วครับ...แล้วนี่ เจ้าคุณจิตรายังไม่กลับเหรอครับ"ไอ้แชมป์ตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก ยังดีที่คุณหญิงสร้อยไม่ได้สงสัยอะไร

"เห็นว่าไปหาหลวงพิสิษฐที่กรมแล้วจักมาพร้อมกัน ช่วงนี้หลวงแกกลับไปทำงานที่กรมแต่ก็ยังต้องมาช่วยงานฝั่งนี้บ้างเพราะใกล้งานเลี้ยงทูตเต็มที"คำตอบที่ทำเอาผมเบิกตากว้าง...เขา...กำลังจะมาที่นี่!


ผมเห็นไอ้แชมป์ปรายตามองเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร คงเพราะตัวมันเองก็มีเรื่องต้องคุยกับคนตัวเล็กที่นั่งอยู่อีกฝั่งเช่นกัน...ของมันน่ะ ผู้หญิง อารมณ์น้อยใจต้องมากเป็นธรรมดา...อย่างนี้จะเรียกว่าผมโชคดีหรือเปล่านะครับ?


นั่งคุยกับคุณหญิงสักพักเจ้าของเรือนก็เดินขึ้นมาพอดี...พร้อมกับแขกอีกสองคนที่ผมคุ้นเคย หากแต่คราวนี้หัวใจของผมกลับเต้นระส่ำ...จะด้วยความตื่นเต้นหรือความกลัว ผมเองก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกัน...เจ้าคุณทั้งสองท่านยังคงดูงามสง่าในชุดราชการ ท่าทีสง่าผ่าเผยเหมือนกับรูปภาพที่ผมได้เห็นในยุคปัจจุบัน...แม้จะดูออกว่าท่านมีอายุแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ราศีในตัวท่านลดลงเลยแม้แต่น้อย...ผมมองเจ้าคุณจิตราด้วยความรู้สึกต่างไปจากเดิม เช่นเดียวกับที่มองคุณหญิงสร้อยและคุณพิกุลในตอนแรก...ความรู้สึกตื้นตันมันเอ่อล้นขึ้นมาจนอยากจะร้องไห้มันเสียตรงนี้...บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณของพวกผมในเวลานี้ ในภายภาคหน้าท่านคือหนึ่งในบรรพบุรุษที่ครอบครัวผมยกย่องเทิดทูน


หากแต่สายตาของคนที่เดินตามมาด้านหลังกลับทำให้ผมชะงักงัน...ร่างสูงโปร่งที่ผมนึกถึงมาตลอดในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา...เขาอยู่ในชุดราชการเช่นเดียวกับเจ้าคุณทั้งสอง...ผมรองทรงเสยเรียบไปด้านหลังเผยให้เห็นกรอบหน้าคมเข้มชัดเจน...ท่าทางสง่าผ่าเผยไม่แพ้ใคร หากแต่แววตาที่มองมากลับประหลาดใจยิ่งนัก...

"งานที่กรมมีมากหรือเจ้าคะ กลับเอาเสียเกือบค่ำ"เป็นคุณหญิงสร้อยที่ทักขึ้นก่อนขณะที่ทั้งสามเดินมาถึงพื้นยกกลางเรือน

"ถูกเรียกตัวไว้เสียก่อนกลับน่ะแม่สร้อย"เจ้าของเรือนตอบกลับคุณหญิงผู้เป็นภรรยา

"กินอะไรกันมาหรือยังเจ้าคะ จักได้ให้บ่าวมันเตรียมสำรับให้"บทสนทาเนิบนาบน่าฟังที่ผมคิดถึง หากแต่สายตายังคงไม่ละไปจากคนตัวสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม...เขาเองก็เช่นเดียวกัน...แววตาของเขาไม่ได้แข็งกร้าว แต่แปลกไปไม่เหมือนเคย

"เรียบร้อยแล้วแม่สร้อย พอดียังมีเรื่องที่คุยค้างไว้กับเจ้าคุณไพศาล เห็นทีวันนี้คงดึกอีกกระมัง"คุณหญิงเจ้าของเรือนพยักหน้า ก่อนจะขอตัวลงไปดูของว่างมาให้แขกผู้มาเยือน...คุณพิกุลเองก็ตามลงไปด้วย...ผมเห็นไอ้แชมป์มองตามหลังคนตัวเล็กจนลับตา ตั้งแต่มาถึงมันยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอเลยสักคำ...ผมเองก็เช่นกัน

"กลับมาแล้วรึพวกเอ็ง"เป็นเจ้าคุณจิตราที่ถามขึ้นเมื่อคุณหญิงสร้อยและคุณพิกุลคล้อยหลังไป...สีหน้าท่าทางของท่านยังคงเป็นปกติ

"ครับ"

"พวกเอ็งนี่ก็จริงเชียว อยู่เรือนข้าแทนที่จักบอกข้า กลับไปบอกหลวงพิสิษฐเสียได้ เดือดร้อนหลวงแกต้องมาบอกข้าอีก"แต่ก็ยังบ่นตามประสาผู้ใหญ่ ซึ่งผมเองก็เข้าใจท่านดี

"ขอโทษครับเจ้าคุณ พอดี...มันกระทันหัน"ท้ายประโยคผมหันไปมองคนตัวสูงที่นั่งเงียบตั้งแต่มาถึง หากแต่แววตาคมนั้นยังจ้องมาไม่ลดละ...ผมไม่แปลกใจเลยถ้าเขาจะโกรธ...แต่ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเช่นกัน

"ญาติที่ว่าป่วย หายดีแล้วรึพ่อธีร์"เจ้าคุณไพศาลถามขึ้นบ้าง น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเช่นเดียวกับแววตาของท่าน

"ครับ หายแล้วครับ"ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เจ้าคุณทั้งสองถามอะไรอีกเลย เพราะผมรู้สึกแย่เป็นบ้าที่ต้องโกหก...แต่ถ้าการโกหกของพวกผมมันจะทำให้พวกท่านสบายใจ นั่นคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด


"กระผมขอตัวสักครู่นะขอรับ"เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ขึ้นเรือนมาก่อนจะลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่าง...ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั้น...หลากหลายความรู้สึกวนเวียนอยู่ข้างใน...หากแต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้...


"เดี๋ยวผมมานะครับ"พูดจบก็รีบลุกพรวดตามหลังอีกฝ่ายไปทันที แว่วเสียงเจ้าของเรือนบ่นอุบ...ให้ไอ้แชมป์รับหน้าไปก่อนแล้วกันนะครับ...



เดินลงมาข้างล่าง แต่ไม่เห็นแม้เงาของคนตัวสูง...ผมชะเง้อมองไปทางท่าน้ำก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น...หรือจะไปโรงครัว?...แต่เขาจะไปทำไมล่ะ...หากแต่อีกที่ที่พอจะนึกออก ก่อนที่จะพาตัวเองมุ่งตรงไปยังศาลาไม้สักข้างเรือนที่ขณะนี้เงียบสงบเพราะเป็นเวลาใกล้ค่ำเต็มที...พวกบ่าวไพร่คงไปรวมตัวกันที่โรงครัวเพื่อทานมื้อเย็นกันหมดแล้ว...เหลือเพียง...คนตัวสูงที่นั่งอยู่ อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด...


...ผมเดินเข้าไปใกล้แต่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเรียก...เขา...ยังคงนั่งเงียบราวกับกำลังใช้ความคิดบางอย่าง...


"คุณหลวงครับ"รวบรวมความกล้า สูดหายใจลึก ก่อนจะทักออกไป...หากแต่อีกฝ่ายเพียงปรายตามองเท่านั้น...และนั่นยิ่งทำให้ผมใจเสียหนักกว่าเก่า...เขากำลังโกรธ...นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรับรู้

"ผม..."คำพูดมากมายที่คิดไว้เมื่อไม่ได้อยู่ที่นี่...หากเจอคนตรงหน้าจะบอกว่าอะไรดี...คำพูดที่ตอนนั้นพรั่งพรูอยู่ในความคิด หากแต่ตอนนี้กลับหายไปหมดเหลือเพียงสมองที่ว่างเปล่าเพียงเพราะได้สบกับดวงตาคมวาววับตรงหน้า...ใบหน้าของหลวงพิสิษฐช่างเรียบเฉย ยิ่งทำให้ผมเดาอารมณ์ของเขาไม่ออกเลยสักนิด

"ผมกลับมาแล้ว"นึกอยากจะเขกหัวตัวเองสักสิบรอบ...พูดได้แค่นี้เองเหรอวะธีร์เอ๋ย...ทั้งๆที่หายตัวไปตั้งนาน...คำพูดแรกมันช่างน่าประทับใจเสียเหลือเกิน


...คนตัวสูงเพียงแค่ยืนขึ้นตรงหน้า...ระยะห่างเพียงแค่เอื้อม...หากแต่ผมทำได้เพียงแค่ยืนเฉย ด้วยไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่...มือใหญ่ที่ยื่นมาทำให้ผมต้องหลับตาแน่น...เขาจะโกรธจนตบผมรึเปล่านะ...ถึงจะรู้ว่าคงไม่มีทางเป็นแบบนั้นแต่ก็ยังนึกกลัวขึ้นมาไม่ได้...เพราะหากเป็นผมเอง ถ้าเขาหายไปต่อหน้าต่อตา ผมคงอยากจะต่อยหน้าให้หายโมโหสักทีสองที...



...หากแต่สิ่งที่หลวงพิสิษฐทำกลับยิ่งทำให้หัวใจผมเต้นระส่ำ...มือใหญ่ที่ยื่นมาเพียงสัมผัสแผ่วเบาบนแก้ม นิ้วเรียวดั่งลำเทียนระเรื่อยอ้อยอิ่งอยู่ไม่ห่างจนหน้าของผมร้อนวูบขึ้นมา


"กลับมาแล้วหรือพ่อ"เสียงนุ่มเอ่ยเพียงแผ่วเบา พร้อมกับรอยยิ้มปรายที่ผมเพิ่งจะได้เห็น...เขาไม่โกรธ...และนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด

"ผมขอโทษ"ช้อนตาขึ้นสบตากับอีกฝ่าย พลางยกมือขึ้นทาบทับกับมือใหญ่ที่แตะอยู่ข้างแก้ม...หากแต่ถูกมืออีกข้างรั้งเอวไว้ให้เข้าไปประชิดตัวพร้อมกับสองมือที่โอบรอบเอาไว้แน่น...ใบหน้าคมซุกลงบนไหล่ในขณะที่ผมเองก็เอื้อมมือไปโอบแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าเอาไว้เช่นกัน

"พ่อมิได้ทำอะไรผิด จะขอโทษเราทำไม"ได้ยินเสียงคนตัวสูงไม่ชัดนักเมื่อยังคงซบหน้าลงกับไหล่ของผม

"ผม..."สิ่งที่ทำได้ตอนนี้...เพียงแค่ซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้างของคนตัวสูงที่กระชับวงแขนให้แน่นกว่าเดิม


"ผมคิดถึงคุณหลวงนะครับ"คำพูดที่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่ทุกวัน...ในที่สุดก็ได้พูดให้เจ้าตัวได้ยินเสียที...ผมไม่รู้หรอกว่าระยะเวลาสองอาทิตย์ที่ผมเฝ้าบ่นกับตัวเอง...เขาจะรับรู้มันบ้างหรือไม่...แต่อย่างน้อยในตอนนี้...เขาก็ได้รับรู้มันเสียที


"พี่ก็คิดถึงพ่อธีร์"หากมีใครสักคนเดินผ่านแล้วเห็นภาพตรงหน้าคงตกใจไม่น้อย...แต่ผมไม่สนใจมันอีกแล้ว...เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด...คือผมได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง...กลับมาอยู่ในอ้อมแขนของคนตรงหน้าที่ผมเฝ้านึกถึงมาตลอด...และหากเลือกได้...



...ผมจะไม่ผละออกจากวงแขนนี้อีกเลย...



"แต่พ่อธีร์ต้องเล่าให้เราฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น"



...น้ำเสียงเรียบไม่แสดงความรู้สึก...หากแต่แขนทั้งสองยังคงกระชับแน่น...ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจ...แต่ในขณะเดียวกัน...ผมก็รู้ว่าเขาคิดถึงผมมากกว่าใคร...และถ้าหากเขาอยากรู้...ผมก็พร้อม


...ที่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง...


...................................................................................................


รอกันนานมั้ยเนี่ย :hao7:
ช่วงนี้คนเขียนติดภารกิจนิดหน่อยนะคะ เลยไม่มีเวลาปั่นงานส่ง
จะว่างอีกทีช่วงสิ้นเดือน ยังไงก็อย่าเพิ่งลืมกันก่อนน๊า  :sad4:

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ  :call: :call: :call:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
"ผมคิดถึงคุณหลวงนะครับ"
"พี่ก็คิดถึงพ่อธีร์"
โอ๊ย ละมุน ฮือ กอดกันแบบละมุน คราวนี้ต้องอธิบายยาวเลยใช่มั้ย เชื่อว่าหลวงแก้วจะเข้าใจ พอเข้าใจแล้วอาจจะต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในภายภาคหน้า ตอนนี้มันกำหนด มันบังคับอะไรไม่ได้ อนาคตจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ เฮ้อ แต่หลวงแก้วช่างแสนดี บอกคนอื่นว่าพ่อธีร์พ่อแชมป์ไปเยี่ยมญาติ
จะได้ไม่เป็นห่วงและไม่ตำหนิกัน ทั้งๆที่ก็เห็นหายไปต่อหน้าต่อตา พ่อธีร์อย่าทิ้งพี่แก้วเค้านะ งื้อ

ส่วนที่ยุคปัจจุบันก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเลย อยากรู้ข้อมูลหลวงแก้วจริงๆ ว่าเป็นยังไง
จะว่าไปก็สงสารอานิด ไปบรรยายพิเศษทีเดียว กลับมาหลานหายอีกแล้ว

รออ่านต่ออยู่นะคะ อยากให้เขียนจบเร็วๆจัง กลัวว่าเดี๋ยวคนเขียนจะยิ่งยุ่ง
เดี๋ยวนี้2-3วันมาต่อที กลัวอีกหน่อยต้องรอเป็นอาทิตย์

เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้นะ
   
สงสัยต้องรอกลับรอบต่อไปเลย แต่ก็ไม่รับประกันว่าจะได้รู้เรื่องเพิ่มรึเปล่าเนอะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2014 23:53:32 โดย AeRoMoZa »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
งานงอกเชย พ่อธีร์


 :z13:

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
คุณหลวง เราก็คิดถึงคุณหลวงนะ  :z1:

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
รู้สึกอยากเป็นธีร์ขึ้นทุกวันๆๆ555555555
คือคุณหลวงดีอ่ะแบบดีจริงๆ
ว่าแต่บอกไปแล้วจะเชื่อมั้ย

สิ้นเดือนก็รอได้ค่าาาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2014 01:56:26 โดย quiicheh. »

ออฟไลน์ knightprince

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอกันสักที บอกคิดถึงกันหวานซ้าาา
ได้เวลาบอกความจริงละ คุณหลวงคงต้องตั้งสติหน่อยเวลาฟัง
คือเชื่อว่าต้องเชื่อพ่อธีร์อยุ่แล้วแหละ เล่นหายไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้น
คนอ่านรอได้คะ แค่เอาให้คุ้มกะที่หายไปก็พอ อิอิ รอตอนหน้าจ้าาา

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เย้ กลับมาแล้ว ^^
ในที่สุดคุณหลวงก็จะได้รู้ความจริงซักที
รอตอนต่อไปนะคะ แต่โหเกือบสิ้นเดือนเลยหรอ TT

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ได้กลับมาเจอกันอีกก็ดีใจ แต่ก็สงสารคนทางนั้นเหมือนกันที่ต้องทุกข์ใจลูกหลานหายไปอีกแล้ว

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
เย้.........ได้อ่านซะที

ขอตัวไปอ่านก่อน

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
อ่านแล้วสงสารคุณหลวงมากๆ

คงคิดถึงแย่

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
ทำเป็นตีขรึมนะคุณหลวง
ในที่สุดธีร์ก็ได้กลับมา แต่ก็ห่วงอีกทางว่าจะเป็นยังไง

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
คุณหลวงงงงงงง :hao7: :hao7: :hao7:
สรุปที่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมายเท่าไหร่
สงสัยต้องรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ตอนที่๒๑...เวลาที่แตกต่าง...





หากคนหนึ่งคนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสองช่วงเวลา ทั้งอดีต และ ปัจจุบัน...จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง...เพียงช่วงเวลาเดียว...โดยไม่หวนกลับไปยังที่ที่จากมาอีกเลย...



"เมื่อยหรือไม่พ่อ"แว่วเสียงนุ่มถามขึ้น เมื่อเจ้าของร่างสูงที่กำลังนอนเหยียดตัวยาวอยู่บนม้านั่งของศาลาไม้สักริมท่าน้ำที่เรือนไม้ทรงฝรั่ง...หากแต่ถามขึ้นเพียงเพราะเขากำลังนอนหนุนตักของผมอยู่...ในมือยังคงกางหนังสือเล่มหนาเกี่ยวกับการบริหารการปกครองของแต่ละประเทศ...ท่าทีผ่อนคลายขัดกับหนังสือที่กำลังอ่านยิ่งนัก

"ไม่ครับ...แต่..."ผมส่ายหน้าตอบ...ไม่ได้เมื่อย แต่กังวลต่างหาก...อีกฝ่ายเพียงละสายตาจากหนังสือตรงหน้าขึ้นมองเป็นเชิงถาม

"ถ้าใครมาเห็นเข้า..."นั่นแหละปัญหา...ไอ้ศาลานี่ก็อยู่ริมน้ำ แล้วยังพวกบ่าวในเรือนอีก...ถึงแม้เจ้าคุณผู้เป็นเจ้าของเรือนจะไม่อยู่ก็เถอะ...อีกฝ่ายเพียงหัวเราะเบาในลำคอ

"กลัวรึ"น้ำเสียงยียวนชัดเจน แต่สายตากลับจดจ้องไปยังตัวหนังสือตรงหน้า

"ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกนะครับ...แต่คุณหลวงนี่สิ"

"เรามิเห็นกลัว...พ่อธีร์จะกลัวอะไร"กลับมายังไม่ทันพ้นสามวันก็แหย่ผมเล่นเหมือนเดิมเสียแล้ว

"ถือเป็นการทำโทษ ที่คราวก่อนหนีเราไปเสียได้"เพิ่งรู้ว่าสมัยก่อนเขามีวิธีทำโทษแบบนี้ด้วย

"ผมไม่ได้หนี"ได้แต่บ่นด้วยความไม่พอใจ...ใครว่าหนีกันล่ะ...ไม่ได้อยากไปเสียหน่อย

"แล้วจะเล่าให้ฟังได้หรือยังเล่า"คราวนี้กลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมนิ่งไป...หนังสือในมือถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับสายตาคมกริบที่ช้อนมองนิ่งเนิ่นนาน



...นับจากวันที่ผมกลับมาก็เพิ่งจะมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้ง...เพียงเพราะงานที่กรมที่เขาต้องรับผิดชอบ และยังมีงานเลี้ยงท่านทูตที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าคุณทั้งสองให้ช่วยอีก...กว่าจะมีเวลาว่างได้ก็ผ่านไปสามวัน แถมยังบังคับให้ผมมาที่เรือนทั้งๆที่ไม่มีงานอะไรต้องทำแล้ว หากแต่คนตัวสูงให้เหตุผลกับเจ้าคุณจิตราว่าผมต้องมาช่วยดูงานที่เขาทำเอาไว้ในช่วงที่ผมไม่อยู่...ใครว่าหลวงพิสิษฐอ่อนโยน ใจดี และมีเหตุผล...ผมเถียงขาดใจ...ก็เขาน่ะ...ดื้อเงียบ และเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งต่างหากเล่า


"คุณหลวงอาจจะไม่เชื่อที่ผมเล่าก็ได้นะครับ"สบตาอีกฝ่าย...พอเอาเข้าจริงกลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

"พ่อธีร์เพียงเล่า...แล้วเราจะบอกเองว่าเชื่อหรือไม่"คาดคั้นด้วยเสียงเรียบ หากแต่ผมรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจ


การจะเปิดปากเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผมแม้แต่น้อย...หากแต่เพราะรับปากคนตัวสูงเอาไว้ และไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว...สองครั้งที่ผมหายไปโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าผมไปไหน...มากไปกว่านั้นคือการที่ผมหายไปต่อหน้าต่อตาเขาในครั้งที่สอง...เป็นใครก็ต้องอยากรู้...

"ผม...ไม่ได้มาจากที่นี่"เพียงแค่เริ่มประโยค...คิ้วดกหนาของคนที่นอนหนุนตักอยู่ก็ขมวดมุ่น ราวกับมีคำถามมากมายอยู่ในใจ

"ที่ที่ผมอยู่...เค้าเรียกว่ากรุงเทพ"

"เรื่องนี้พ่อเล่าให้เราฟังแล้ว"คนตัวสูงแย้ง ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเขาจริงจังเป็นครั้งแรก

"ฟังให้จบสิครับ"โดนว่าเข้าเลยได้แต่นอนเงียบ

"กรุงเทพที่ผมอยู่..."สูดหายใจลึก...พลางมองหน้าอีกฝ่ายที่มีสีหน้าอยากรู้เต็มที




"คือพระนครในอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า"คำตอบที่ทำเอานัยน์ตาคมเบิกกว้างอย่างตกใจ..คนตัวสูงลุกขึ้นนั่งตัวตรงแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น



"พ่อว่าอะไรนะ!"



"ผม...มาจากอนาคต...ในปีพุทธศักราช๒๕๕๗"เขาเพียงสบตา ที่ทั้งนิ่งและไม่ไหวติงของผม...ราวกับกำลังคาดคั้นให้ผมพูดออกมา ว่าผมเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น...แต่สายตาของผมคงตอบคำถามทั้งหมดได้ดี...ว่าผมพูดความจริงทุกคำ

"พ่อธีร์...นี่มิใช่เรื่องที่พ่อจะมาล้อเล่นกับเรานะ"มือใหญ่ยื่นมาจับแขนของผมแล้วเขย่าเพียงเบาๆ ราวกับกำลังเรียกสติของผมให้กลับมา...หากแต่เป็นเขาเองต่างหากที่ต้องการมัน

"ผมไม่ได้ล้อเล่น...วันนั้นคุณหลวงก็เห็น"คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย

"วันนั้นคุณหลวงเห็นอะไร บอกผมได้มั้ยครับ"



"เราเห็นพ่อธีร์ ถือสิ่งหนึ่งอยู่ในมือ แต่มันสว่างจ้าเสียจนเรามิรู้ว่ามันคืออะไร...แล้วพ่อก็หายตัวไปต่อหน้าเรา"อีกฝ่ายนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นโดยที่ผมเพียงแค่พยักหน้ารับ

"มันคือที่ทับกระดาษบนโต๊ะไม้สักของคุณหลวงน่ะครับ...โต๊ะตัวที่อยู่ในห้องของคุณหลวงกับตัวที่อยู่ที่เรือนของเจ้าคุณจิตราทำให้ผมสามารถเดินทางย้อนเวลากลับมายังพระนครได้"

"เรามิเข้าใจ"

"เอาเป็นว่า...โต๊ะทั้งสองตัวนั้นเป็นตัวเชื่อมเวลาของที่นี่กับเวลาในโลกปัจจุบันของผม...และผมก็ต้องกลับไปเมื่อมันส่งเสียงเรียกอีกครั้ง"ความเงียบเข้าปกคลุม...อีกฝ่ายเพียงแค่นิ่งไปหากแต่นัยน์ตาคมฉายแววไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัด

"ผมรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ...แต่ในเมื่อคุณหลวงถาม ผมก็ตอบตามความจริง...สิ่งที่จะสามารถยืนยันคำพูดของผมได้...ก็คงเป็นเพียงสิ่งที่คุณหลวงได้เห็นในวันนั้นแหละครับ"

"พ่อกำลังบอกเราว่า ที่พ่อหายไปวันนั้น พ่อกลับไปยังอนาคตเช่นนั้นรึ"คิ้วดกหนาขมวดมุ่น หากแต่ผมเพียงแค่พยักหน้ารับ

"แล้วทุกครั้งที่พ่อได้ยินเสียงเรียก พ่อก็ต้องกลับไปรึ"คำถามที่ถูกถามไม่หยุดหย่อน แต่คำตอบของผมก็มีเพียงคำเดียว

"ใช่ครับ"

"ไม่ไปไม่ได้รึพ่อ"แววตาคมสบนิ่งราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ...คำถามที่ผมก็อยากตอบ เพียงแต่ผมเองก็ไม่รู้เช่นกัน...ที่ทำได้ก็เพียงหลบตาสวยคมคู่นั้น

"พ่อธีร์"น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกช่างต่างกับทุกครั้ง...ราวกับคนตรงหน้ากำลังร้องขอ...ไม่ใช่เพียงถามเพราะอยากรู้



"ผมไม่รู้"



นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมตอบได้...และมันทำให้เขานิ่งไปเช่นกัน




"พระนครในอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า เป็นอย่างไรหรือพ่อ"เมื่อเห็นว่าผมตอบรับในสิ่งที่เขาร้องขอไม่ได้ ก็ทำได้เพียงแค่เปลี่ยนเรื่องถาม...แว่วเสียงคนตัวสูงถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ

"อย่างที่ผมเคยเล่าให้คุณหลวงฟัง...กรุงเทพสมัยนั้นเจริญก้าวหน้ามาก...เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าอยากจะทำอะไรก็ง่ายไปหมด"คนตัวสูงเพียงนั่งฟังอย่างเงียบๆ แววตาฉายแววสนอกสนใจในอนาคตของประเทศตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

"แล้วสยามในเวลานั้นตกเป็นอาณานิคมของประเทศอื่นหรือไม่พ่อ"ผมส่ายหน้าตอบ

"ไม่ครับ...เรารักษาเอกราชเอาไว้ได้จนถึงตอนนั้น"รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าของอีกฝ่าย

"แต่...เรากลับสูญเสียความเป็นตัวของเราเอง...เราหลงไหลไปกับวัฒนธรรมของต่างชาติ...ทั้งตะวันตก...อเมริกา หรือแม้แต่ญี่ปุ่นกับเกาหลี...เรารับค่านิยมจากชาติพวกนี้จนเราแทบไม่เหลือเอกลักษณ์ของตัวเอง"สีหน้าของเขาสลดลงอย่างเห็นได้ชัด...แน่ล่ะ ในเวลานี้บรรพบุรุษของเรากำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชของประเทศ เพื่อให้ลูกหลานในภายภาคหน้าได้สืบทอดเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของสยามไว้สืบชั่วลูกชั่วหลาน หากแต่ความจริงแล้ว ถึงแม้เราไม่เคยสูญเสียเอกราช...แต่ในทางนามธรรม เราไม่เหลือแม้แต่เอกราชของชาติเอาไว้ให้ลูกหลานได้สืบทอดแม้แต่น้อย

"โธ่ น่าเสียดายยิ่งนัก"ผมเห็นด้วยกับคำพูดนี้...มันน่าเสียดาย...โดยเฉพาะเมื่อผมได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ชาวสยามทุกคนพยายามรักษาบ้านเมืองเอาไว้...เวลาที่ศิลปะ วัฒนธรรมของเรา ยังคงโดดเด่นจนแม้แต่ชาวต่างชาติเองก็ยังทึ่งในความงดงาม

"แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหลือซะทีเดียว ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่พยายามอนุรักษ์และรักษาวัฒนธรรมของเราไว้เพื่อให้ลูกหลานในภายภาคหน้าได้ศึกษาเรียนรู้"

"แต่ก็น้อยเหลือเกิน"คำพูดของเขาทำให้ผมเพียงแค่พยักหน้าตอบ

"คุณหลวงเคยบอกว่าอยากเห็นกรุงเทพ...ตอนนี้คงไม่อยากเห็นแล้วสินะครับ"ผมยังจำคำพูดของเขาวันนั้นได้ดี...เขาดูตื่นเต้นกับสิ่งที่ผมเล่า นั่นเพียงเพราะเขาไม่รู้เลยว่ามันคือสถานที่เดียวกัน หากเพียงต่างกันด้วยเวลาร้อยกว่าปีกั้น

"อยากเห็นซี...เราอยากเห็นว่าต่อไปภายภาคหน้าชาวสยามใช้ชีวิตกันเยี่ยงไร...แต่ช่างน่าเสียดายที่ศิลปะวัฒนธรรมอันงดงามของชาวสยามได้เลือนหายไปเสียเกือบหมด"

"สยามในตอนนั้น ต่างกับเวลานี้มากเหลือเกินครับคุณหลวง"ผมไม่อยากเห็นสีหน้าหดหู่เช่นนี้ของเขาแม้แต่น้อย หากแต่สิ่งที่ผมเล่ามันคือความจริงที่แม้แต่ตัวผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่างต่างกันมากเหลือเกิน


"พ่อธีร์"เสียงนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้ง

"ไม่กลับไปมิได้หรือพ่อ"น้ำเสียงเว้าวอนนั้นทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี หันไปมองภาพแม่น้ำสายหลักตรงหน้าแทน

"อยู่กับเราที่นี่มิได้รึ"ผมกำมือแน่น...ทำไมผมจะไม่อยากอยู่ที่นี่...หากแต่ผมไม่ใช่คนควบคุมกลไกทั้งหมดนี้...แล้วผมจะให้คำตอบอะไรได้...มือใหญ่เอื้อมมาแตะมือข้างที่กำแน่นของผมเอาไว้เพียงแผ่วเบาราวกับรับรู้ว่าผมกำลังหนักใจ...ผมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากคนตัวสูงอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบใด


"เราขอโทษที่ทำให้พ่อเป็นกังวล"ผมคลายมือออกแล้วกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แทน...ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็ทำให้ผมผ่อนคลายได้เสมอ


"ถ้าผมเลือกได้..."


"ผมก็อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปครับ"หากผมสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ...ขอให้ผมได้สมปรารถนาได้หรือไม่...


"เราช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก...ขอให้พ่ออยู่กับเรา ทั้งที่พ่อเองก็ต้องมีคนที่เป็นห่วงอยู่ทางนั้น"คนที่เป็นห่วง...ก็คงมี...หากแต่คนตรงหน้านี้ ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าใคร

"ถ้าคุณหลวงเห็นแก่ตัว...ผมเองก็คงเห็นแก่ตัวไม่น้อยไปกว่าคุณหลวงหรอกครับ"มือที่ยังเกาะกุมกันอยู่สั่นเล็กน้อย...ยิ่งได้กลับมา...ผมก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า ผมอยากอยู่ที่นี่มากขนาดไหน...ไม่ใช่เพียงเพราะคนตรงหน้า...แต่เป็นเพราะทุกสิ่งรอบตัวมันทำให้ผมรู้สึก...ว่าผมได้ค้นพบที่ของตัวเองเสียที

"ไม่คิดแล้วนะพ่อ...เราขอโทษ"ยกมือขึ้นลูบผมเพียงแผ่วเบาราวกลับจะปลอบโยน...อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยแม้แต่น้อย...ผมเองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูดคำนั้น...เพราะมันคือผมเอง ที่ทำให้เขาไม่สบายใจหลายต่อหลายครั้ง


"ขอบคุณคุณหลวงมากนะครับที่ช่วยพูดกับทุกคนให้พวกผม"หันกลับไปสบตาอีกฝ่ายนิ่ง...หากไม่ได้เขา ผมคงไม่พ้นถูกผู้ใหญ่ดุเสียเป็นการใหญ่...อีกฝ่ายเพียงยิ้มบางๆรับ

"เกรงว่าจะถูกดุเหมือนคราก่อน"ว่าพลางทิ้งตัวลงมานอนหนุนตักผมอีกครั้ง...เอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาเปิดอ่านต่ออย่างสบายใจ...แต่ผมรู้ว่าเขายังคงมีอะไรติดอยู่ในใจอีกมาก...ผมเองก็เช่นกัน

"ว่าแต่...ตอนที่ผมไม่อยู่ คุณหลวงแต่งกลอนไว้ให้ผมรึเปล่าครับ"ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะถามออกไป...ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากเห็นคนตรงหน้าเป็นกังวล...อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มปรายตอบกลับมา

"มิได้เขียน"

"แล้วกัน...ไหนบอกว่าจะเขียนให้ทุกวัน"ผมขมวดคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังกลั้นหัวเราะกับท่าทางไม่พอใจของผม

"มิได้พูดเสียหน่อย พ่อธีร์พูดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว"แล้วไหงมาโบ้ยว่าเป็นความคิดผมคนเดียวเสียล่ะ

"ถ้างั้นคงต้องอ่านที่มีอยู่ซ้ำไปซ้ำมาอีกแล้ว"เบือนหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเห็นรอยยิ้มยียวนของอีกฝ่าย ราวกับกำลังถูกแกล้ง

"บอกว่าไม่ได้เขียน มิได้บอกว่าไม่ได้แต่งให้เสียหน่อย"คำตอบที่ทำให้ผมตาลุกวาว หันกลับไปมองคนตัวสูงที่ยังยิ้มปรายให้อย่างอารมณ์ดี...ก่อนที่ริมฝีปากหยักหนาได้รูปจะขยับเอื้อนเอ่ยคำกลอนเพียงแผ่วเบา หากแต่ทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาได้







'แว่วเสียงครวญของนธีร์ว่าคิดถึง
ให้คำนึงถึงน้องที่ห่างหาย
หากแม้นเจ้าได้ยินเสียงหัวใจ
พี่ฝากไปกับสายลมบอกเจ้าที
วอนนธีร์ให้หวนคืนมาอีกครั้ง
จักไม่พลั้งเผลอปล่อยเจ้าให้หายหนี
จักโอบกอดแนบชิดสายนธีร์
วอนน้องพี่ช่วยดูแลดวงหทัย'







ราวกับเสียงกล่อมอันนุ่มนวลคลอกับสายลมเอื่อยยามเย็น...แม้เขาไม่ได้เขียนมันเป็นลายลักษณ์อักษร หากแต่ทุกถ้อยคำกลับสลักลงในใจของผมไม่จางหาย...คนตัวสูงเพียงหลับตาแล้วขับกล่อมกลอนเพียงแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในทุกถ้อยคำ...

"ตอนที่พ่อไม่อยู่ เราฝันถึงพ่อบ่อยครั้ง"หนังสือเล่มหนาในมือถูกกางพาดไว้บนอก...มือใหญ่เอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้

"ฝันว่าอะไรครับ"ผมขมวดคิ้วมุ่นกับคำบอกเล่าจากอีกฝ่าย

"ฝันว่าพ่อคิดถึงเรา"รอยยิ้มยียวนปรากฎบนใบหน้าทำเอาผมชะงักกึก

"คุณหลวงคิดไปเองนะครับ"ผมหัวเราะเบาในลำคอ...จริงอยู่ที่เขาฝัน...แต่เรื่องอะไรผมจะยอมรับง่ายๆเสียล่ะ

"จริงรึ...แต่เราได้ยินเสียงพ่อธีร์ชัดเจนทีเดียว...พ่อบอกเราว่า..."ยกยิ้มมุมปากก่อนจะช้อนตามองผมนิ่ง



"ธีร์คิดถึงพี่แก้ว"



คำพูดที่ทำเอาหน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที...นี่มันเหลือเชื่อ...ผมเคยได้ยินเสียงของเขาบ่อยครั้ง...แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดของผมที่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่ทุกวัน...เขาจะรับรู้มันเช่นกัน

"ไม่เคยพูดซักหน่อย"เสตามองไปทางอื่น ทั้งที่รู้ตัวเองว่าปิดอย่างไรก็คงไม่มิด

"แล้วกัน เราคิดถึงพ่ออยู่คนเดียวหรือนี่"แล้วไอ้น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจนี่ใครเขาสอนกันมาครับหลวงพิสิษฐ

"พูดให้ฟังอีกครั้งได้หรือไม่พ่อ"มือใหญ่ที่จับอยู่กระตุกมือผมเบาๆให้ผมหันกลับมามอง

"พูดอะไรครับ"ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แก้เขินไปอย่างนั้น

"พูดอย่างที่พ่อพูดให้เราฟังในฝัน"

"ฝันของคุณหลวงผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าผมพูดอะไร"

"เราเพิ่งบอกพ่อไปเมื่อครู่"ยังคงคาดคั้นไม่หยุดหย่อน...ช่างเอาแต่ใจเสียจริง

"งั้นคุณหลวงก็ได้ยินแล้ว"แต่จะให้ยอมตอนนี้ไม่มีทางเสียล่ะ...คนตัวสูงเพียงแค่ชักสีหน้าเล็กน้อยพอให้รู้ว่าไม่พอใจ...ทำเอาผมที่กำลังเก๊กหน้าขรึมแทบหลุดหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาอ่านตามเดิม...น้อยใจเป็นกับเขาเหมือนกันนะหลวงพิสิษฐ




"ธีร์คิดถึงพี่แก้วครับ"ทั้งๆที่เป็นคนพูดเองแต่กลับมานั่งเขินเอง ไม่ไหวเลยครับไอ้ธีร์...แอบเห็นคนตัวสูงยิ้มปรายบางๆแต่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือตรงหน้า...มือใหญ่ยังคงเกาะกุมมือของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย


"แต่ตอนนี้ธีร์ต้องกลับเรือนแล้วครับคุณหลวง"พยายามขืนตัวเล็กน้อยเป็นการเตือนอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว...อีกไม่นานเจ้าคุณไพศาลคงกลับมาถึง...และคงไม่ดีแน่หากท่านมาเห็นภาพตรงหน้า

"ใครว่าจะให้กลับเล่า"คำตอบที่ทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น...อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งก่อนจะส่งยิ้มยียวนมาให้เช่นเคย

"มิได้เจอเสียหลายวัน จะใจร้ายทิ้งเรากลับเรือนได้ลงคอเชียวหรือพ่อ"ใครก็ได้บอกผมทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี่คือหลวงพิสิษฐตัวจริงเสียงจริง...ไม่ได้ถูกวิญญาณเด็กน้อยเอาแต่ใจที่ไหนมาสิงร่าง

"แต่เจ้าคุณจิตรา..."กำลังหาข้ออ้างร้อยแปด

"เราเรียนเจ้าคุณท่านแล้วว่าพ่อจะค้างที่นี่เพราะงานยังมิเสร็จดี"แล้วไปแอบบอกกันตอนไหนเล่า!

"แต่พรุ่งนี้คุณหลวงต้องตื่นเช้าเข้ากรมไม่ใช่เหรอครับ"พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์เขาควรจะต้องเข้ากรมทำงานสิ

"วันพรุ่งตอนบ่ายเราต้องไปทำงานให้เจ้าคุณไพศาล ท่านขอตัวเราจากกรมไว้แล้ว"

"พ่อมีอะไรจะถามอีกหรือไม่"รอยยิ้มกวนของอีกฝ่ายทำเอาผมอยากจะหยิบหนังสือเล่มหนาในมือเขาขึ้นมาฟาดหน้าเสียให้...ถ้ารู้ว่าจะต้องมาค้างผมไม่ยอมหลวมตัวมาแต่แรกหรอก...ถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่ก็รักนวลสงวนตัวเหมือนกันนะครับ

"กลัวเรารึ เราเคยบอกพ่อแล้วว่าเรามิทำอะไรพ่อหรอก"ก็รู้อยู่ว่าไม่ได้ทำอะไร



"หากพ่อมิยอม"ยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี...ส่วนผมน่ะเหรอ

"คุณหลวง!"ก็หยิบหนังสือในมือนั่นฟาดเข้าให้ดังพลั่กน่ะสิ!...ใครมันจะไปยอมวะ...ก็ผมยังไม่เคย...ไม่ใช่!...พอเถอะครับ ชักจะไปกันใหญ่แล้วความคิด


"พ่อธีร์นี่ตลกนัก ฮะๆ"ยังหัวเราะร่วนอยู่ได้...โดนฟาดไปทีนึงเห็นทีจะไม่เข็ด ถึงกับต้องยกมือขึ้นมาป้องตัวเองเมื่อเห็นผมตั้งท่าจะฟาดให้อีกรอบ แต่ก็ยังไม่หยุดหัวเราะ

"พอแล้วพ่อ เราเจ็บ ฮะๆ"ก็หยุดหัวเราะคิกคักแบบนี้เสียทีสิวะ

"อยากให้พ่ออยู่ด้วย...มิได้รึ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาถามเสียชิด...น้ำเสียงยียวนกับรอยยิ้มกวนนี่ผมว่าผมได้เห็นมันบ่อยเกินไปแล้วนะ

"ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้ซักหน่อย"ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง...ยอมให้วันหนึ่งก็ได้...แค่เพราะขี้เกียจจะเถียงด้วยเท่านั้นนะครับ ไม่มีอะไรอย่างอื่นจริงๆ!


...ยิ่งได้มาใช้เวลาอยู่ตรงนี้มากเท่าไหร่...ผมก็ยิ่งรู้ตัวว่าผมมีความสุขมากขนาดไหน...ถึงจะโดนแกล้งโดนแหย่สารพัด แต่มันกลับทำให้ผมหัวเราะออกมาได้บ่อยครั้ง...อย่างตอนนี้ที่เป็นอยู่...ผมรู้ว่าคงไม่มีใครเข้าใจ...แน่ล่ะ...ผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถเดินทางข้ามเวลาได้...เพื่อได้มาพบกับผู้ชายอีกคน...มันตลกนะครับ...แค่ในโลกปัจจุบันการใช้ชีวิตแบบนี้มันก็ยากพอแล้ว...แต่ผมนี่ทั้งต่างที่ ต่างเวลา...ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่เห็นแม้แต่แสงสว่างของทางออก...แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม...ขอให้ผมได้อยู่ตรงนี้ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้...



...เพราะผมอยากเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้ไปอีกนาน...
.

.

.
วันนี้ป้าชื่นทำแกงเลียงกับน้ำพริก...ผมเห็นลวดลายสลักบนผักเคียงแล้วแทบกินไม่ลง...เพราะมันวิจิตรงดงามจนผมเสียดายหากต้องกินมันเข้าไป...นี่เพียงแค่บ่าวในเรือนธรรมดายังมีความสามารถมากขนาดนี้...ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวต่างชาติถึงได้ทึ่งกับฝีมือทำอาหารของคนไทยนัก เพราะมันครบเครื่อง ทั้งรูป รส และกลิ่นนี่เอง...ถ้าเป็นเวลาปัจจุบันของผม คงจะสรรหาความงามครบเครื่องแบบนี้ได้ยาก...แต่การมาอยู่ที่นี่มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมสามารถหาดูได้ทุกวัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2014 22:40:00 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

ผมเดินขึ้นมาบนห้องของหลวงพิสิษฐหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ...ส่วนอีกฝ่ายขอตัวไปอาบน้ำก่อน...โต๊ะไม้สักตัวเดิมยังคงอยู่ตรงนั้น...ทำให้ผมนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อสองอาทิตย์ก่อน...ที่ทับกระดาษไม้ส่องแสงเรืองรองสว่างจ้าเสียจนคนตัวสูงที่นอนอยู่บนเตียงยังตกใจ...ผมยังจำสีหน้าตกตะลึงของเขาในวันนั้นได้ดี...ดวงตาคมของเขาเบิกกว้างพร้อมกับส่งเสียงเรียก หากแต่ผมไม่สามารถก้าวขาออกไปหาเขาได้เลย...ในวันนั้นเขารู้สึกเช่นไร...ผมไม่สามารถตอบได้

"ทำอะไรอยู่รึพ่อ"เจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามาเห็นผมที่นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะไม้สักพอดี...ในมือถือที่ทับกระดาษพลางหมุนไปมาด้วยกำลังใช้ความคิดเพลิน...อีกฝ่ายเพียงสาวเท้าเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือมาหยิบที่ทับกระดาษไปจากมือ...เขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อบางกับกางเกงแพรเงาวับสีเขียวเข้ม...ผมรองทรงที่ปกติถูกเสยเรียบเป็นทรงแต่ตอนนี้กลับยุ่งเหยิงด้วยเพราะเพิ่งสระผมมา...หยดน้ำปรายยังเกาะอยู่บนเรือนผมสีดำสนิท...หากแต่เจ้าตัวกลับสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า

"สิ่งนี้รึที่พ่อบอกเรา"ผมช้อนตามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่พลางพยักหน้าตอบ...เขาขมวดคิ้วมองวัตถุในมืออย่างสงสัย จับมันพลิกไปมาราวกับกำลังสำรวจ หากแต่มันไม่มีอะไรผิดปกติไปจากที่ทับกระดาษธรรมดาอันหนึ่ง

"ที่เรือนเจ้าคุณจิตราก็เช่นกันรึ"ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง...ก่อนจะเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าอีกฝ่าย...เขาเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบของบางอย่างขึ้นมาก่อนจะเดินไปนั่งเหยียดขาอยู่บนเตียงสี่เสาพลางเอนหลังพิงหัวเตียงในท่าสบาย

"ทำอะไรครับ"ผมลุกตามไปนั่งอยู่บนเตียง...ในมือข้างหนึ่งเขาถือวัตถุปลายแหลมคล้ายสิ่ว หากแต่ปลายของมันเรียวแหลมกว่า...ส่วนอีกมือยังถือที่ทับกระดาษอันเดิมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"คุณหลวง"เรียกขึ้นอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ...ผมเห็นรอยยิ้มปรายบนใบหน้าราวกับเขากำลังนึกสนุกกับอะไรบางอย่าง

"ถ้าของสิ่งนี้นำพาพ่อมาหาเรา...มันก็ควรจะเป็นของพ่อ"คำพูดที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนักจึงได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย...หากแต่สิ่งที่เขาทำกลับทำให้ผมเข้าใจกระจ่างแจ้ง



...มือใหญ่ค่อยๆบรรจงจรดปลายแหลมลงบนด้านหลังของที่ทับกระดาษ แม้จะดูลำบากกว่าตอนเขียนหนังสือมากนัก หากแต่เขายังคงพยายามสลักเสลาตัวหนังสือลงไปบนนั้นให้ปราณีตที่สุด...สีหน้าจริงจังมุ่งมั่นทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปได้เลยแม้แต่น้อย...ราวกับภาพที่เคยเห็นมาก่อนหน้าปรากฏทับซ้อนกับสิ่งที่เห็นอยู่ในเวลานี้...ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดที่ราวกับคำทำนายออกมาโดยไม่รู้ตัว


"คุณหลวงระวังนะครับ!"ไม่ทันขาดคำดี มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็กระตุกวูบ...ผมรีบยกมือของเขาขึ้นมาดู...เลือดสีแดงสดซึมออกมาจากปลายนิ้ว แม้แผลจะไม่กว้างมากแต่ด้วยความคมของวัตถุนั้นทำให้แผลค่อนข้างลึก...หันซ้ายหันขวามองหาของที่พอจะช่วยห้ามเลือดได้บ้างแต่กลับไม่พบอะไร...สุดท้ายเลยใช้ชายเสื้อของตัวเองกดทับไปที่นิ้วเรียวของอีกฝ่าย

"เสื้อเปื้อนหมดแล้วพ่อ"เขาขืนมือออกเล็กน้อยพลางจับมืออีกข้างที่กำลังกดลงบนแผลเอาไว้แน่น

"แต่คุณหลวงเลือดออกนะครับ"ขมวดคิ้วมุ่นมองอีกฝ่าย

"เรามิเป็นอะไรมากหรอก"ว่าพลางชักมือกลับ ตั้งใจที่จะสลักตัวอักษรลงบนที่ทับกระดาษให้เสร็จ แต่ถูกผมยื่นมือเข้าไปห้ามเสียก่อน

"ทำไมดื้อจังครับหลวงพิสิษฐ"ถูกดุเข้าถึงได้ยอมละมือจากของตรงหน้าแล้วยอมให้ผมทำแผลแต่โดยดี

"ดีใจจริงที่พ่อธีร์เป็นห่วงเรา"แล้วมันใช่เวลามาหยอดตอนนี้ไหมเล่าคุณหลวง!



...โชคดีที่ปากแผลไม่กว้างมาก ใช้ผ้ากดห้ามเลือดครู่เดียวก็หยุด...ผมไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดแผลให้ก่อนจะพันผ้าทับ...แม้แผลไม่ใหญ่แต่ปลอดภัยไว้ก่อนก็ดี...แต่ถึงจะเจ็บตัวอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมแพ้ ดึงดันจะทำมันต่อจนเสร็จ...ผมเลยได้แต่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆกลัวว่าจะแทงตัวเองเข้าอีกสักแผลสองแผล...หากแต่คราวนี้เขาระวังมากขึ้น...นิ้วเรียวค่อยๆจรดปลายเหล็กแหลมลงบนเนื้อไม้อีกครั้ง...ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็หันผลงานที่เพิ่งทำเสร็จมาให้ดู



'ชลนธีร์'



"เอาไว้เตือนใจว่าสิ่งนี้ทำให้เราได้มาพบกับพ่อ"แว่วเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มปรายบนใบหน้า...ตัวอักษรบรรจงที่ถูกสลักลงบนเนื้อไม้ช่างงดงามไม่แพ้ลายมือที่เขียนในกระดาษ แม้ความปราณีตจะไม่เท่าหากแต่รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของคนที่ทำมันได้เป็นอย่างดี...ผมรับของสิ่งนั้นมาถือเอาไว้ในมือ...ไล่สายตาสำรวจทีละตัวอักษร ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่นั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี

"ชอบหรือไม่"ผมพยักหน้ารับ...ในที่สุดก็ได้พบ...คนที่เขียนมัน...ในที่สุดก็ได้รู้...ว่ามันก็คือชื่อของผมเอง...ไม่ใช่ความบังเอิญใดๆ หากแต่เป็นความตั้งใจของคนตรงหน้าที่ลงแรงไปกับมัน

"ขอบคุณครับ"ไม่รู้จะตอบอะไรได้มากกว่านี้นอกจากคำว่าขอบคุณ...ผมสบตาอีกฝ่ายที่นั่งมองผมอยู่นาน เช่นเดียวกับรอยยิ้มปรายบนใบหน้าคมนั้น

"อย่าบอกเจ้าคุณไพศาลเสียล่ะ เกรงว่าจะถูกเอ็ดเอา"พูดติดตลกอย่างอารมณ์ดี...ผมรู้ว่าเจ้าคุณไพศาลท่านไม่ว่าอะไร แต่คงสงสัยไม่น้อยถ้าได้เห็น...เอาเป็นว่า...เก็บไว้เป็นความลับของผมกับเขาสองคนก็แล้วกัน


คนตัวสูงเอื้อมมือมาดึงตัวผมให้ขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงอยู่ข้างๆ...แตะหัวให้เอนพิงไหล่ของเขาเพียงแผ่วเบา ก่อนจะเอื้อมมือมาโอบไหล่ของผมเอาไว้ไม่ห่าง

"เจ็บแผลมั้ยครับ"ถามขึ้นเมื่อเห็นเลือดเริ่มซึมออกมาจากผ้าพันแผลเล็กน้อย...อีกมือยังคงไล้เลี่ยเล่นกับผมยาวละต้นคอที่ผมคิดจะตัดมันทิ้งหลายครั้งแต่ก็ลืมเสียทุกที

"แผลเล็กนิดเดียว"ว่าพลางยกมือข้างที่พันแผลไว้ให้ดูใกล้ๆ...เลือดไม่ได้ซึมออกมามากเท่าไหร่

"อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องเจ็บตัวนะครับ"ได้แต่บ่นอุบ...เมื่อครู่ตกใจแทบแย่ตอนที่เห็นเลือดซึมออกมาจากมือของเขา...หากแต่อีกฝ่ายเพียงหัวเราะเบาๆ

"เจ็บตัวแต่เห็นพ่อยิ้มได้เราก็ดีใจแล้ว"ผมล่ะยอมแพ้จริงๆ...ผู้ชายสมัยนี้เขาไม่รู้สึกกระดากปากเวลาพูดอะไรหวานเลี่ยนกันบ้างหรือไงนะ

"แต่จะดีใจมากกว่านี้หากพ่ออยู่ที่นี่กับเราได้ตลอดไป"ใบหน้าคมหันมาแล้วฝังจมูกลงบนเรือนผมเพียงแผ่วเบา...ผมช้อนตาขึ้นสบกับตาคมที่ส่องประกายวาววับ ก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงทาบทับริมฝีปากหยักได้รูปลงบนเรียวปากของผม...สัมผัสอุ่นที่แตะเพียงเบาๆแต่กลับทำให้รู้สึกร้อนวูบขึ้นมา...จนเผลอตัวเผยอริมฝีปากรับรสสัมผัสนั้นให้มากขึ้น...จากแผ่วเบากลายเป็นหนักหน่วง...ทว่านุ่มนวลและหอมหวาน...สองมือของผมโอบรอบคอของคนตัวสูงราวกับกำลังหาที่ยึดเหนี่ยว...ลมหายใจขาดหายเป็นช่วงด้วยว่าถูกปิดทับด้วยริมฝีปากหยักได้รูปที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้า...เนิ่นนานจนแทบลืมวิธีหายใจก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก...แว่วเสียงหอบหายใจของตัวเองที่เรียกรอยยิ้มบางของอีกฝ่าย


"หวานเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่"คำพูดที่ทำให้หน้าของผมร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้งจนต้องหลบตาคมสวยคู่นั้น...หากแต่อีกฝ่ายเพียงกระชับอ้อมแขนให้แนบชิดกว่าเดิม...สิ่งที่ทำได้ เพียงแค่ซุกหน้าลงบนอกกว้างนั้น...ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายดังระรัวอยู่ข้างใน

"คุณหลวงครับ"เรียกขึ้นทั้งที่ยังซบหน้าอยู่กับอกกว้าง...เขาเพียงชะงักมือที่ไล้เรื่อยอยู่บนเรือนผมยาวของผมเพียงครู่

"ถ้าผมหายไปอีก คุณหลวงจะทำยังไงครับ"คำถามที่ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งไปนาน


"หากตามหาได้เราก็จะตามหา แต่หากพ่อไปยังที่ที่เราตามไปมิได้...เราคงทำได้เพียงรอ"

"แล้วถ้าผมไม่กลับมา..."นิ้วเรียวเลื่อนลงมาแตะที่ริมฝีปากผมเพียงแผ่วเบา

"ต้องกลับมาซี พ่อธีร์มิอยากกลับมาหาพี่แก้วรึ"คำพูดติดตลกที่ผมรู้ว่าเขาพยายามแค่นมันออกมา ด้วยว่าตัวเขาเองก็รู้ดีถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่



...ผมให้คำตอบไม่ได้ว่าผมจะอยู่ที่นี่ตลอดไปได้หรือไม่...


...แต่หากผมเลือกได้...


...ผมก็ไม่อยากไปจากที่นี่อีกแม้เพียงวินาทีเดียว...

...



แอบมาลงก่อน กลัวลืมกัน  :hao7:
ตอนนี้ยกให้พี่แก้วกับพ่อธีร์ซักตอนเนอะ ไม่ได้เจอกันมานาน  :hao3:
กำลังรีบปั่นตอนต่อไปนะคะ

ฝากตอนนี้ด้วยค่ะ กราบบบ :call: :call: :call:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2014 01:56:45 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หวานๆแบบทรมารใจนิดๆเมื่อคิดถึงอนาคต

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
น้ำตาคลอเบ้า น่ะ



 :sad11:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
หวานนนจริงๆ พี่แก้วก็ช่างกวนยียวนเหลือเกิน แต่มันทำให้น้ำตาลแอบจืดไปเล็กๆ ชอบเวลาพ่อธีร์พี่แก้วเค้าคุยกันนะ มันแบบบิดเหลือเกิน กรี๊ดๆ ดิ้นๆ ช่างน่ารัก พี่แก้วตีหน้ามึนพูดคำหวาน น้องธีร์ก็ไปไม่ค่อยถูกนะคะ แถมแผนสูงตลอด เอาน้องมาค้างด้วยนะพี่แก้ว!

โธ่ นี่ก็นึกว่าพี่แก้วสลักชื่อน้องธีร์เพราะความคิดถึงอัดอั้นสุดใจ จริงๆคือสลักตอนที่อยู่ด้วยกันหวานๆนี่เอง

แต่ความหน่วงก็มาได้ตลอด พี่แก้วเอ่ยปากที่จะไม่อยากให้น้องธีร์กลับไปโลกยุคปัจจุบัน แต่อะไรก็ไม่แน่นอน นี่ยังไม่รู้กันเลยว่ามาได้ยังไง มันบัังคับไม่ได้ หน่วง นอยด์กันต่อไป

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คุณหลวงน่าจะแทนตัวเองว่า "พี่" มากกว่า "เรา" นะ (พอคนสมัยก่อนเรียกตัวเองว่าเรามันฟังดูแปลกอยู่หน่อยๆ)
เป็นกำลังใจให้คนแต่งจ๊ะ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
คืนนี้อย่าปล่อยให้รอดนะพี่แก้ว  :z1:

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
น้ำตาคลอ ไม่ใช่เพราะคู่พระ-นาย
แต่เพราะคำบอกเล่าในเรื่องราวปัจจุบันนี้ต่างหาก มันน่าเศ้ราใจจริงๆ หากบรรพบรุษท่านรู้ท่านคงร่ำไห้เพราะประเทศเมืองไทยในตอนนี้ช่างแตกต่างจากสยามเมื่อนานกาล ก็รู้หรอกนะว่าพัฒนาเพื่อไม่ให้ด้อยไปกว่าประเทศใด แต่ว่าเมื่อพัฒนาไปแล้วทำไมไม่รู้จักนำเอาสิ่งเก่าๆ ปรับไปใช้ให้มันสอดคล้องกับสิ่งใหม่ นี่อะไรเอาแต่สิ่งใหม่ๆ เข้ามาโดยทิ้งขว้างสิ่งเก่าไว้ให้เป็นเพียงแค่ของที่มีเพียงคนแก่เท่านั้นที่สืบทอด ทั้งๆ ที่สิ่งที่เรามีอยู่นั้นก็งดงามกว่าชาติใดอยู่แล้ว
เราน้ำตาคลอกับค่านิยมสมัยนี้จริงๆ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
หวานนนนนนนนนนนนน
แต่อยากให้เรียกแทนกันธีร์กะพี่แก้วจัง อิอิ
ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตละกันฮือ

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
พี่แก้วของน้องงงงงงงงง :hao5: :hao5:
น้ำตาจะไหล คลอเบ้า ตรงประโยคที่พ่อธีร์เล่าถึงสยามในปัจจุบัน
สยามที่เปลี่ยนไป หลงลืมอดีต  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
อยากให้เรือนริมน้ำปัจจุบันพาพี่แก้วในอดีตมาหาพ่อธีร์ได้บ้าง คราวนี้ก็มิต้องจากกัน

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
โอ๊ย สงสัยตัวเอง ว่าพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง ฟินค่ะ
รอตอนหน้า

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :katai5: แวะมาให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
เราตามอ่านอยู่นะคะ  :bye2:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ตอนที่ ๒๒...ท่าทีที่เปลี่ยนไป...



...เรือนเจ้าคุณจิตรากำลังมีงานบุญใหญ่...จะเป็นงานอะไรได้นอกจากทำบุญวันเกิดครบรอบ๑๘ปีของลูกสาวเจ้าของเรือนที่จะมีขึ้นอีกสามวันข้างหน้า...ช่วงนี้พวกบ่าวไพร่เลยดูวุ่นวายกันเป็นพิเศษ...ไหนจะเตรียมของ ไหนจะปัดกวาดเช็ดถูเรือนให้สะอาด...คุณหญิงสร้อยก็ต้องลงมากำกับงานเองบ่อยครั้ง แกว่าจะนิมนต์พระมาที่เรือน จะได้เป็นสิริมงคลกับเรือนเจ้าคุณจิตราด้วย...

"นังชด เอ็งให้บ่าวมันเอาเครื่องทองเหลืองออกมาขัดหรือยัง ข้าสั่งหลายวันแล้ว มิเห็นใครมันจักทำสักคน"เสียงคุณหญิงสร้อยบ่นอยู่กลางเรือนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบ่าวไพร่กำลังปัดกวาดเช็ดถูกเครื่องเรือนกันเป็นพัลวัน

"บ่าวบอกนังอิ่มแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าจักให้พวกอ้ายสนยกออกมา"พี่ชดที่นั่งอยู่ข้างๆรีบรายงานคุณหญิงเจ้าของเรือน

"นังบุญมี เบามือหน่อยสิเอ็ง ประเดี๋ยวของข้าก็แตกเสียก่อน"ยังไม่ทันจบเรื่องเครื่องทองเหลือง คุณหญิงแกก็หันไปบ่นพี่บุญมีที่กำลังเช็ดโถลายครามอย่างเก้ๆกังๆจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยงเกือบทำหลุดมือ

"แล้วนี่อ้ายมิ่งมันไปไหน ข้าจักให้มันไปเอาของที่วัด"ดูท่าคุณหญิงแกจะตื่นเต้นกับงานนี้เสียเหลือเกิน เพราะตั้งแต่เช้ามาผมเห็นแกสั่งนู่นสั่งนี่ไม่ขาดปาก

"ขำอะไรของหล่อนรึแม่พิกุล"ว่าพลางหันไปหาลูกสาวที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ

"คุณแม่อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ เท่านี้พวกบ่าวมันก็ทำงานกันไม่เป็นเสียแล้ว"ดูท่าคุณพิกุลจะเข้าใจคุณหญิงสร้อยดีเลยเอ่ยปรามเสียบ้าง...คุณหญิงเจ้าของเรือนเลยได้แต่ถอนใจอย่างเสียไม่ได้

"ไม่ได้ดั่งใจข้าสักคน"แต่ก็ยังบ่นไม่หยุด

"เอ็งสองคนน่ะ งานการมิมีรึ ถึงได้มานั่งเสนอหน้าอยู่แถวนี้"เมื่อไม่รู้จะไปลงกับใครเลยหันมาลงกับพวกผมสองคนที่นั่งเงียบอยู่นานแทน...วันนี้ผมไม่ต้องไปที่เรือนเจ้าคุณไพศาลเพราะงานใกล้เสร็จเต็มที และยังมีเรื่องงานเลี้ยงท่านทูตที่จะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ทำให้เจ้าคุณทั้งสองและหลวงพิสิษฐต้องวิ่งวุ่นกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะคุณหลวงหนุ่มที่ต้องทำทั้งงานที่กรมของตัวเองและงานของเจ้าคุณไพศาล...ผมกับไอ้แชมป์เลยมีเวลาว่างมานั่งเอกเขนกอยู่ที่เรือนได้...แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเสียทีเดียวเพราะพวกผมก็ยังคอยช่วยพวกพี่สนทำงานอยู่ด้านล่างไม่ขาด

"เสร็จหมดแล้วครับ คุณหญิงมีอะไรจะให้ช่วยก็บอกได้นะครับ"เป็นไอ้แชมป์ที่รีบเสนอหน้าตอบทันที...อันนี้เขาเรียกปฏิบัติการเอาใจว่าที่แม่ยายหรือเปล่าครับ...แต่จะว่าไป ผมยังไม่ได้ถามไอ้ตัวดีเรื่องมันกับคุณพิกุลเลยตั้งแต่กลับมา...จะมีก็เพียงเห็นว่าคุณพิกุลยอมคุยกับมันเป็นปกติแล้ว หลังจากมึนตึงใส่มาหลายวัน

"เอ็งลงไปช่วยพวกอ้ายสนข้างล่างโน่น ให้มันเอาเครื่องทองเหลืองออกมาขัด"ผมรู้สึกว่าสายตาที่คุณหญิงสร้อยมองไอ้แชมป์ดูแปลกไป...จะว่าเฉยเมยก็ไม่ใช่ ดูเหมือนไม่อยากสนใจเสียมากกว่า...แต่น้ำเสียงท่านก็ยังคงเอ็นดูพวกผมสองคนเช่นเคย...คุณหญิงสร้อยมีอะไรหลายอย่างคล้ายกับแม่ของผม...ท่านเป็นคนใจดีแต่ก็พร้อมจะดุเมื่อเห็นใครทำผิด และท่านก็เมตตาพวกผมสองคนมากทีเดียวทั้งๆที่พวกผมเองก็เป็นแค่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าในสายตาของคนอื่น



"กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ"เสียงคุณหญิงสร้อยเอ่ยทักเจ้าคุณเจ้าของเรือนที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมา พร้อมด้วยแขกที่ผมคุ้นหน้าอีกสองคน

"แม่สร้อย บอกบ่าวให้เตรียมสำรับเย็นให้เจ้าคุณไพศาลกับหลวงพิสิษฐด้วยล่ะ วันนี้งานมากนัก กว่าจะเสร็จคงค่ำมืด"คุณหญิงพยักหน้ารับก่อนจะเดินลงจากเรือนโดยมีคุณพิกุลอาสาลงไปช่วย

"พ่อธีร์ สบายดีรึ"และก็เป็นเจ้าคุณไพศาลเช่นเคยที่ทักขึ้น...ผมที่กำลังช่วยพี่ชดทำความสะอาดเครื่องลายครามเลยต้องรีบวางมันลงแล้วยกมือไหว้ทันที

"สบายดีครับ เรื่องงานเลี้ยงท่านทูตเรียบร้อยดีมั้ยครับเจ้าคุณ"

"เรียบร้อยดี เห็นว่าฝ่ายกรมวังเขาเตรียมงานเสียใหญ่โต คงไม่มีปัญหาอะไร"

"มีก็แต่เจ้าพระยาเดโชนี่ล่ะ ขัดนู่นขัดนี่เสียจริง"เจ้าคุณจิตราบ่นขึ้นบ้าง ดูสีหน้าท่านไม่ค่อยสบายใจนักแต่ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะครั้งแรกที่ไปเรือนเจ้าพระยาท่านนั้นอาการผมก็ไม่ต่างจากแกสักเท่าไหร่...ผมเหลือบมองคนตัวสูงที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก...เพราะวันนี้เข้ากรมเลยแต่งตัวเต็มยศเหมือนเจ้าคุณทั้งสอง...อีกฝ่ายเองก็มองตอบพร้อมรอยยิ้มโปรยเช่นเคย

"ก็เขาเป็นคนใหญ่คนโต จักขัดก็มิแปลกหรอก"เจ้าคุณไพศาลตอบอย่างใจเย็น หากแต่เจ้าของเรือนยังมีสีหน้าไม่พอใจ

"จักให้พ่อแก้วร่วมงานด้วยก็มิยอม อ้างว่าพ่อแก้วมิได้สังกัดกรมเรา ปัดโธ่ ลูกชายท่านสังกัดกรมวังแต่มิเห็นทำประโยชน์อันใดยังให้ร่วมงาน"ผมหันไปมองหน้าคนถูกพาดพิงที่ยังเงียบอยู่ เพิ่งรู้ว่าเขาจะไม่ได้ไปงานเลี้ยงทั้งๆที่ตัวเองก็ลงแรงกับงานนี้ไปมาก แม้แต่ต้องไปคุยงานที่เรือนเจ้าพระยาเดโชอยู่บ่อยครั้ง

"ถูกของเจ้าพระยาท่านแล้วขอรับ กระผมมิได้สังกัดกรมการต่างประเทศโดยตรง มิมีหน้าที่ใดต้องเกี่ยวข้อง"คนตัวสูงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อมหมายจะปลอบให้เจ้าของเรือนอารมณ์เย็นลงบ้าง

"อีกอย่างกระผมเองเพียงอยากแบ่งเบาภาระของเจ้าคุณทั้งสอง มิได้ต้องการออกหน้าออกตาแต่อย่างใดขอรับ"สมกับเป็นหลวงพิสิษฐ...เรื่องปิดทองหลังพระนี่ขอให้บอก ของถนัดของแกเชียวล่ะ

"พ่อก็ช่างถ่อมตัวเสียจริง"เจ้าคุณจิตราได้แต่ถอนใจยาวแต่ก็จนด้วยคำพูด ใจหนึ่งผมก็เห็นด้วยกับเจ้าคุณ เพราะหลวงพิสิษฐเป็นคนแบบนี้ถึงไม่ได้ถูกยกย่องเชิดชูมากนักเมื่อเทียบกับข้าราชการอีกหลายคนที่ทำงานเอาหน้า เพื่อตำแหน่งและผลประโยชน์...แต่ผมกลับภูมิใจแทนประเทศชาติที่อย่างน้อยก็ยังพอมีข้าราชการดีๆหลงเหลืออยู่บ้าง รวมไปถึงเจ้าคุณทั้งสองก็เช่นกัน


"ทำบุญวันเกิดแม่พิกุลวันไหนรึ"ผู้มาเยือนถามขึ้นเมื่อเห็นเจ้าของเรือนเงียบไปเสียนาน คงหาเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้เจ้าคุณจิตราคิดมากเรื่องงานเสียมากกว่า

"อีกสามวัน แม่สร้อยเขาให้นิมนต์พระมาที่เรือนจักได้เป็นสิริมงคลแก่เรือนด้วย"

"ดีแล้ว...ว่าแต่ทำบุญวันเกิดแล้วเมื่อใดจักได้มีงานมงคลเสียทีเล่า"คำถามของเจ้าคุณเพื่อนสนิทที่ทำเอาโถลายครามในมือผมแทบร่วง...ผมเหลือบมองคนตัวสูงที่ยังคงนั่งยิ้มปรายไม่แสดงอาการใดๆ

"ข้าก็อยากให้มี แก่ตัวลงทุกวันก็หวังอยากเห็นแม่พิกุลเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีจักได้มีคนมาดูแลแทน"ดูท่าหลวงพิสิษฐกำลังถูกเจ้าคุณทั้งสองกดดันไม่ใช่น้อย...อย่าว่าแต่คนที่นั่งอยู่กลางวงสนทนาเลย แม้แต่ผมเองก็รู้สึกหน่วงไม่แพ้กัน...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา มันทำให้ผมลืมไปเสียสนิทว่าเขายังคงเป็นคนที่เจ้าคุณจิตราหวังจะได้มาเป็นเขย และทางผู้ใหญ่ฝ่ายเขาเองก็มีท่าทีเห็นด้วยเสียเต็มที

"ว่าอย่างไรเล่าพ่อแก้ว เจ้าคุณจิตราท่านเกริ่นมาเสียขนาดนี้แล้ว"เจ้าตัวที่นั่งเงียบอยู่นานแม้แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่...เพียงวูบหนึ่งที่ได้สบตากัน เขาเพียงแค่คลี่ยิ้มบางตอบกลับมา

"หากให้กระผมเรียนตามตรง แม่พิกุลนั้นงามหาหญิงใดเปรียบได้ยากแลกิริยามารยาทยังอ่อนช้อยสมกับที่ได้ร่ำเรียนมาจากในวัง"คำชมที่ทำให้ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับอย่างอารมณ์ดี หากแต่ประโยคถัดมากลับทำเอาเจ้าคุณจิตราขมวดคิ้วแน่น

"แต่กระผมคงมิสามารถออกเรือนกับแม่พิกุลได้ ด้วยกระผมมีคนในใจอยู่แล้วขอรับ"




"ตึง!!"




โถลายครามที่หลุดจากมือผมไปตอนไหนก็ไม่รู้ตกกระทบพื้นเสียงดังจนทุกคนบนเรือนหันมามอง...โชคดีที่มันไม่แตก

"อ้ายธีร์! ระวังหน่อยสิวะเอ็งนี่ เดี๋ยวของคุณท่านแตกไปเอ็งได้ถูกโบยแน่"พี่ชดโวยวายเสียงดังจนผมสะดุ้งโหยง หันกลับไปมองเจ้าคุณทั้งสองที่ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความซุ่มซ่ามของผม กับคนตัวสูงที่เหลือบมองมาเพียงชั่วครู่...เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ?

"เมื่อครู่พ่อแก้วว่ากระไรนะ"เจ้าของเรือนหันกลับไปถามคำถามเดียวกันอีกรอบให้แน่ใจ

"กระผมเรียนเจ้าคุณว่า กระผมมีคนในใจอยู่แล้วขอรับ"คนตัวสูงยังยืนยันคำเดิมด้วยสีหน้านิ่ง จนผมเองต้องรีบกอดโถกระเบื้องเอาไว้แน่นเพราะมันกำลังจะหลุดจากมืออีกครั้ง

"ใครรึ ทำไมเรามิเคยรู้มาก่อน"เจ้าคุณไพศาลถามขึ้นบ้าง ท่าทีตกใจไม่แพ้กัน ด้วยว่าเจ้าคุณเองทั้งรักและเมตตาหลวงพิสิษฐเหมือนลูกเหมือนหลาน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นหลวงแกสนใจหญิงใดในพระนครสักคน

"กระผมยังบอกมิได้ขอรับ แต่กระผมขอให้เจ้าคุณจิตราทราบไว้ว่ากระผมมิเคยรังเกียจแม่พิกุลแม้แต่น้อย หากแต่กระผมรักใคร่เอ็นดูแม่พิกุลเหมือนน้องสาวแท้ๆของกระผมเองขอรับ"น้ำเสียงนอบน้อมทว่าหนักแน่นทำเอาเจ้าคุณทั้งสองได้แต่ถอนใจยาว เหตุเพราะจนใจจะหาเหตุผลใดมาต่อว่า

"เอาเถอะ รู้กันเสียตอนนี้ก็ดี พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกจักได้เป็นธุระไปสู่ขอให้"เจ้าคุณไพศาลว่าพลางหันไปมองคุณหลวงคนสนิท...สู่ขอ?...นี่คุณหลวงคงไม่คิดจะให้เจ้าคุณไพศาลมาสู่ขอ...


...หยุดความคิดของเอ็งไว้ตรงนั้นเลยครับไอ้ธีร์...เพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว



ทำความสะอาดเครื่องลายครามเสร็จก็ขอตัวจากเจ้าคุณทั้งสองลงมาช่วยพี่สนกับไอ้แชมป์ขัดเครื่องทองเหลืองที่หน้าโรงครัวต่อ...ถึงคุณหญิงสร้อยจะบอกว่าไม่ใช่งานใหญ่โตอะไร แต่เห็นบ่าวไพร่วิ่งวุ่นกันทั้งวันแล้วเห็นทีจะไม่ใช่งานเล็กเสียล่ะ

"ขัดดีๆสิวะ มือไม้อ่อนอย่างกับคนมิเคยทำงาน"พี่สนว่าพลางเอาเท้ายันไอ้แชมป์เป็นเชิงแหย่...แต่ก็จริงอย่างที่แกว่า ก็ไอ้แชมป์มันลูกอาเสี่ยคาบช้อนทองมาเกิด แล้วมันจะไปเคยทำงานอะไรกับใครเขา นี่มาดีขึ้นก็ตอนมาอยู่ที่เรือนเจ้าคุณถึงได้พอทำอะไรเป็นกับเขาบ้าง...ส่วนผมเองก็ไม่ค่อยต่าง แต่ดีกว่าตรงที่ผมอยู่หอเลยพอทำอะไรเองได้บ้าง

"โหพี่ ก็ขัดดีอยู่เนี่ย จะเอาให้เงาวับส่องแทนกระจกได้เลยมั้ย"ไอ้ตัวดีมันยังเถียงกลับไม่เลิก นี่ถ้าได้มิ่งมาร่วมวงอีกคนคงเรียกเสียงฮาได้อีกเยอะ

"อ้ายธีร์ มาพอดี มาๆช่วยข้าหน่อย อ้ายแช่มนี่มันไม่ได้ความเสียเลย"พอพี่สนหันมาเห็นผมก็ร้องทักทันที ทำเอาไอ้แชมป์หันไปค้อนขวับเข้าให้...ผมนั่งลงบนแคร่ข้างพี่สนพลางหยิบพานทองเหลืองขึ้นมาช่วยขัด

"เนี่ยๆ พี่ดูมัน แค่เอาผ้าถูๆเช็ดๆยิ่งกว่าผมอีก"ได้ทีไอ้แชมป์รีบฟ้องพี่สนใหญ่ สงสัยกลัวจะโดนด่าคนเดียว

"กูเพิ่งมา ให้กูวอร์มมือก่อนดิ"

"ถุ้ยยย ปากดีว่ะ ไอ้คุณชายยยย"เถียงกันจนพี่สนได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมๆแต่ก็ไม่พูดอะไรได้แต่นั่งหัวเราะกับพวกผมสองคน


"พวกเอ็งเถียงอะไรกันเสียงดังแท้ อ้ายธีร์เอ็งไปเอาขนุนที่ข้างโรงครัวมาให้ข้าที อ้ายมิ่งมันเก็บไว้ให้แล้ว"คุณหญิงสร้อยที่เพิ่งเดินออกมาจากโรงครัวบ่นเสียงดัง ดูท่าแกยังหงุดหงิดที่บ่าวในเรือนทำงานไม่ได้ดั่งใจ

"เดี๋ยวผมไปเอาให้ก็ได้ครับ"เป็นไอ้แชมป์ที่รีบเสนอตัวก่อน มันรีบวางถาดทองเหลืองในมือตั้งท่าจะลุกขึ้น

"ไม่ต้อง ให้อ้ายธีร์มันไป เอ็งทำงานของเอ็งไปเถอะ"เสียงเย็นๆของคุณหญิงสร้อยทำเอาผมกับไอ้แชมป์รู้สึกแปลกพิกล แต่มันก็ไม่ได้เถียงอะไรยังคงนั่งขัดถาดทองเหลืองของมันต่อ...ผมเห็นคุณหญิงสร้อยเหลือบมองมันเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงครัว

"มึงว่าเดี๋ยวนี้คุณหญิงแกแปลกๆป่าววะ"ไอ้ตัวดีรีบสะกิดแขนผมยิกก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบกระซาบ...ผมเองก็รู้สึกเหมือนมัน แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณหญิงแกเป็นอะไร

"เมินกูมาสี่ห้าวันแล้วเนี่ย กูเข้าหน้าไม่ค่อยติด"ไอ้แชมป์ยังบ่นต่อ

"เค้ารู้ว่ามึงคิดไม่ซื่อกับลูกสาวเค้าอ่ะดิ หึหึ"

"เห้ย กูไม่เคยลามปามนะเว้ย ออกจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อย"ผมก็แซวเล่นไปอย่างนั้นแหละ ดันร้อนตัวโวยวายเสียงดังจนพี่สนหันมามอง

"ไม่มีไรหรอกมึงคิดมาก กูไปเอาของให้คุณหญิงก่อน เดี๋ยวแกบ่นอีก ดูท่าอารมณ์ไม่ค่อยดี"ผมว่าพลางลุกไปแบกขนุนลูกโตที่วางพิงอยู่ข้างโรงครัวเข้าไปให้คุณหญิงแก...เห็นคุณพิกุลกำลังเคี่ยวแกงอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตา กลิ่นหอมโชยเตะจมูกทำเอาท้องร้องเลย



...กว่าจะขัดเครื่องทองเหลืองของคุณหญิงสร้อยเสร็จก็เล่นเสียมือหงิก ทั้งถาด พาน ถ้วย ถัง กะละมัง ไห เยอะแยะไปหมด...ไหนว่าแค่ทำบุญวันเกิด ดูไปดูมาเหมือนจะเลี้ยงพระทั้งวัดเอานะนี่...คุณหญิงกับคุณพิกุลกลับขึ้นเรือนไปแล้วพร้อมสำรับอาหารเย็น ส่วนผมกับไอ้แชมป์ขอตัวมานั่งกินกับพวกพี่สนดีกว่า ไม่ค่อยชอบร่วมวงบนเรือนครับ มันเกร็ง...อยู่ข้างล่างนี่อยากทำอะไรก็ได้ จะคุยเสียงดังตอนกินก็ไม่มีใครว่า จะมีก็แต่ป้าน้อยที่บ่นบ้างแต่พวกผมก็ไม่เคยฟัง

"นังชดๆ เมื่อครู่เอ็งได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินไหมวะ"เป็นพี่บุญมีที่เปิดประเด็นกลางวงกับข้าว...วันนี้วงใหญ่หน่อยเพราะพวกบ่าวในเรือนที่ทำงานหนักกันมาทั้งวันต่างมาล้อมวงกินข้าวกันพร้อมหน้า

"เรื่องอะไรของเอ็งวะ"พี่ชดถามขึ้น

"ที่หลวงพิสิษฐเรียนท่านเจ้าคุณน่ะ"

"โอ๊ย เต็มสองหูข้าเชียวล่ะเอ็ง ข้าตกใจแทบแย่"พี่ชดร้องอ๋อขึ้นมาทันทีพลางเอามือทาบอก

"เฮ้ย เอ็งสองคนคุยอะไรกันวะ เห็นไหมพวกข้านั่งกันหัวโด่เนี่ย"พี่สนชักรำคาญกับบทสนทนาที่เข้าใจกันอยู่แค่สองคน

"ก็เมื่อครู่เจ้าคุณท่านถามหลวงพิสิษฐเรื่องคุณพิกุล ท่านว่าอยากให้คุณพิกุลออกเรือนเสียที"พี่บุญมีเริ่มเล่า ส่วนไอ้แชมป์หน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่มันก็ไม่พูดอะไรยังคงกินข้าวต่ออย่างเงียบๆ

"แต่คุณหลวงว่าแกมีคนในใจอยู่แล้ว ข้านี่ลมแทบจับ เห็นหลวงแกเทียวไปเทียวมาเรือนนี้ นึกว่าจะลงเอยกับคุณพิกุลเสียอีก"เสียงฮือฮาในวงกับข้าวดังขึ้น แต่ไม่เท่าอาการระริกระรี้ของไอ้คนข้างๆผมนี่หรอก

"จริงหรือวะ แล้วใครกันวะคนที่หลวงแกพูดถึง"ผมเหลือบไปมองไอ้ตัวดีที่นั่งยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ เห็นหน้ากวนๆของมันแล้วอยากยันโครมให้ตกแคร่เสียจริง

"ข้าก็ไม่รู้ หลวงแกว่ายังบอกมิได้ อยากรู้เสียจริงว่าเป็นลูกสาวเรือนไหน"พี่บุญมีตอบกลับ...แต่ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง สงสัยจะไม่ใช่ลูกสาวเรือนไหนหรอกครับ

"หน้าแดงไมวะมึง"ไม่รอช้ามันรีบเสนอหน้าเข้ามากระซิบถามทันที

"-วย"ผมตอบกลับแบบไม่มีเสียงเกรงว่าทั้งวงจะตกใจเสียก่อน ไอ้แชมป์มันได้แต่หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี



"คุณหลวง! ลงมาทำอะไรที่โรงครัวขอรับ"เสียงพี่สนโวยวายขึ้นเรียกเอาทั้งวงกับข้าวหันไปมองพร้อมกันทันที...คนตัวสูงที่ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ยังยิ้มโปรยเช่นเคย...ส่วนพวกบ่าวในวงกลับนั่งหน้าซีดกันเป็นแถวเพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่หรือไม่

"มีธุระกับพ่อธีร์ ขอตัวประเดี๋ยวได้หรือไม่"ผมมองหน้าคนที่ยืนอยู่ด้วยความสงสัย...ธุระสำคัญอะไรถึงกับต้องลงมาตามกันถึงโรงครัว...แต่จะให้ยืนรอนานกว่านี้ก็เกรงใจ...ไม่ได้เกรงใจเจ้าตัวนะครับ เกรงใจพวกพี่สนต่างหาก...เห็นนั่งเกร็งกันทั้งวงแล้วผมคิดว่าควรจะรีบไปเสียดีกว่า




"มีอะไรเหรอครับ"เดินตามอีกฝ่ายมาถึงท่าน้ำหน้าเรือนที่ตอนนี้เงียบสงบเพราะพวกบ่าวไปรวมตัวกินข้าวอยู่ที่โรงครัวกันเกือบหมดแล้ว

"ไม่มีอะไร"คำตอบที่ทำให้ผมได้แต่ยืนขมวดคิ้วสงสัย...ไม่มีอะไร...แล้วเรียกมาทำไมล่ะ

"ก็ไหนบอกว่ามีธุระ"ยังคงถามต่อ อีกฝ่ายเพียงแต่หันมายิ้มปรายให้เท่านั้น

"ถ้าบอกว่าคิดถึง นับเป็นธุระหรือไม่"

"คุณหลวง!"ตอบอะไรไม่ได้เลยได้แต่โวยวายเปลี่ยนเรื่อง...แว่วเสียงคนตัวสูงหัวเราะเบาๆ

"มิได้เจอเสียหลายวัน พอเรามาหากลับหนีลงมาอยู่เรือนบ่าวเสียได้"แล้วยังน้ำเสียงตัดพ้อต่อว่านี่อีก

"มาคุยงานกับเจ้าคุณจิตราไม่ใช่เหรอครับ"ลอยหน้าลอยตาตอบ ก็เห็นอยู่ว่ามาคุยธุระ

"มาคุยธุระแล้วอยากพบพ่อมิได้รึ"ดวงตาคมเป็นประกายระยับ

"เมื่อกี้ก็เจอไปแล้วไงครับ"จะให้ยอมแพ้ตอนนี้ไม่มีทางหรอก

"ยังมิทันได้ทักทาย ก็อายหนีลงจากเรือนเสียแล้ว"

"อายอะไรครับ"หรี่ตามองด้วยความสงสัย

"ก็อายเรื่องที่เราเรียนเจ้าคุณจิตราน่ะซี หรือพ่อจะบอกว่ามิใช่"

"อายทำไมครับ คุณหลวงพูดถึงใครผมยังไม่รู้เลย"ถึงจะพยายามบ่ายเบี่ยงแต่ก็รู้ว่าไม่เป็นผล

"แล้วกัน บอกเสียชัดเจนเช่นนั้น ยังมิรู้อีกรึ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก...โชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น ไม่เช่นนั้นผมคงได้กระโดดน้ำหนีความอาย

"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ"เบี่ยงตัวหลบไปอีกทางหมายจะเดินกลับไปที่โรงครัว หากแต่ถูกมือใหญ่รั้งข้อมือเอาไว้เสียก่อน


"พ่อธีร์"

"ครับ"หันกลับมามองอีกฝ่ายที่ยังยืนยิ้มเผล่อย่างอารมณ์ดี

"ที่เราเรียนเจ้าคุณทั้งสองเมื่อครู่...เรามิได้เพียงพูดเล่นนะ"คำพูดที่ทำเอาผมหน้าแดงวาบ...แค่ที่ได้ยินบนเรือนก็รู้แล้วว่าจริงจัง ไม่ต้องมาย้ำให้ผมอายหนักกว่าเก่าก็ได้ครับ

"กะ..ก็เรื่องของคุณหลวงสิครับ...ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว"คนตัวสูงยอมปล่อยมือแต่โดยดี ส่วนผมก็รีบสาวเท้าออกจากท่าน้ำโดยเร็ว...แว่วเสียงหัวเราะเบาๆมาจากด้านหลัง
.

.

.

((มีต่อหน้า ๘ ค่ะ))
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2014 22:32:59 โดย Vivid_Vuitton »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด