SPECIAL
R.E.V.E.N.G.E
THREE
เสียงไก่ขันในยามเช้าบอกเวลาว่าควรตื่นนอน นาฬิกาธรรมชาติไม่เคยผิดพลาดเวลาตอนนี้ก็คงจะตีห้า แต่ที่ผิดปกติก็คือผมง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น พยายามอยู่สองสามครั้งก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายก็เลิกฝืนแล้วปล่อยลมหายใจทิ้งตัวสม่ำเสมออีกครั้ง ตื่นช้ากว่าเดิมสักชั่วโมงคงไม่เป็นอะไร
แต่เอาเข้าจริงผมไม่ได้หลับต่อเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงอย่างที่ตัวเองคาดหวังไว้ ผมสะดุ้งตื่นตอนที่แสงแดดสาดจ้าเข้ามาในห้อง โผลงลืมตามองนาฬิการ่างก็ลุกพรวดอย่างรวดเร็วจนเกิดอาการหน้ามืด สิบโมงกว่าแล้วหรือนี่
“ผมคงไม่อดข้าวกลางวันแน่ เพราะผมมาก่อนที่คุณจะตื่น”
“...!” ผมหันศีรษะมองเจ้าของเสียงอีกด้านหนึ่งทันที ผมปวดหัวจี๊ดเมื่อเห็นหน้าคนบุกรุก
“ใครอนุญาตให้คุณเข้ามาในห้องผมไม่ทราบ!” ผมกระแทกเสียงโมโห ลุกจากที่นอนจ้องหน้าเอเดนเอาเรื่อง ถึงผมจะยอมให้โอกาสเขาได้แก้ตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้เขาทำตามอำเภอใจถึงขนาดลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผม
"ผมแค่จะมาปลุก คุณไม่ตื่นสักที พ่อคุณบอกว่าผมจะต้องรับงานจากคุณคนเดียวเท่านั้น”
ผมยืนเท้าเอวเงยหน้าขึ้นแล้วหลับตา ข่มความฉุนเฉียวในอกให้สงบลง และลืมตามองสบกันเอเดนอีกครั้งด้วยความจริงจัง
“ผมขอบอกคุณเอาไว้เป็นอย่างแรก หากคุณต้องการจะอยู่ที่นี่ พื้นที่ห้องนอนของผมเป็นเขตหวงห้าม ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาไม่ว่าจะกรณีใดๆทั้งสิ้น”
“แม้ว่าคุณอาจเกิดอันตรายในห้องของตัวเองงั้นเหรอ” เขาเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อถามคำถามนั้น
“มันจะเกิดก็เมื่อคุณนั่นที่เข้ามา” ผมสวนกลับแบบที่ใจคิด
เอเดนหน้าตึงฉับพลัน “ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ”
“ใครจะไปรู้” เขาไม่ใช่คนที่จะไว้ใจได้ง่ายๆ ในตอนนี้ผมรู้เพียงเท่านี้
“ยอร์ช!”
ผมไม่สนใจเสียงดุดันที่กดต่ำจากพายุอารมณ์ เพราะตอนนี้ผมเองก็ไม่พอใจเช่นกัน
“เอาละ ออกไปจากห้องผมได้แล้ว เมื่อผมจัดการตัวเองเสร็จผมถึงจะบอกว่าคุณต้องทำอะไรบ้างหากจะอยู่ที่นี่ เพื่อเป็นการชดใช้ความผิด”
“ก็ไหนคุณบอกว่าให้อภัยแล้วไง”
“ผมบอกว่าให้โอกาสต่างหาก จะทำไม่ทำครับ”
“...” เขาเงียบใช้ความคิด หัวคิ้วเข้มรกไม่เป็นทรงแต่ก็ดูเข้ากับใบหน้าของเขาขมวดจนยุ่งเหยิง
“กลัวเหรอไง ถ้ากลัวจะกลับไปก็ได้นะ ผมไม่มีอะไรต้องแคร์อยู่แล้ว”
“โอเค ตกลงผมจะทำ”
“หึหึ ก็ดี ออกไปได้แล้ว ผมต้องการ ค ว า ม เ ป็ น ส่ ว น ตั ว !” ผมเน้นเสียงทีละคำ เดินก้าวไปเปิดประตูกว้างให้เอเดน เขาหมุนตัวมองผมก่อนจะยอมออกไปจากห้องนอนแต่โดยดี
คล้อยหลังเขาผมลอบถอนหายใจแผ่วเบาอย่างโล่งอก คิดจะรุกก็รุกจนน่ากลัว ถ้าผมยังไม่เห็นว่าเขากลับตัวกลับใจดีแล้วจริงๆ ดีทั้งจิตใจและกาย อย่าหวังว่าผมจะยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น แล้วเขาจะสำนึกที่ไม่ฟังคำเตือนของผมตั้งแต่ทีแรก
ผมจัดการทำความสะอาดร่างกายจนสดชื่นพร้อมที่จะออกไปทำงาน อาการเวียรหัวมีวูบๆขึ้นมาบ้างเพราะนอนไม่พอ ต่อให้มานอนหลับสนิทเอาช่วงเช้าก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นกว่าที่ควรเป็น
เอเดนทำให้ผมทึ่งเล็กน้อยเมื่อเห็นเขานั่งรอผมนิ่งๆที่ห้องนั่งเล่น ไร้แววหงุดหงิดที่ต้องรอนาน นับว่าเป็นสิ่งที่ผมก็ไม่คาดหวังว่าเขาจะปรับปรุงตัวดีขึ้นสักเท่าไหร่ แต่ถ้าปรับปรุงนิสัยได้ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลว ขอเพียงอย่าดีแตกก่อนก็พอ
ผมคิดว่าจะเริ่มทำข้อตกลงกับเขาเลยเกี่ยวกับการเข้ามาทำงานที่นี่ แต่เสียงท้องร้องก็ดังประท้วง ผมจึงเลือกที่จะเดินเข้าครัวแทนเพื่ออาหารเช้าลงท้อง
ผมนั่งจัดการข้าวต้มที่พ่อน่าจะเป็นคนเตรียมไว้ให้อย่างใจเย็น กางหนังสือพิมพ์อ่านไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนตามกิจวัตรประจำวันที่ทำเป็นปกติสม่ำเสมอ
สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ไม่ใช่พ่อแน่นอน ผมจดจำน้ำหนักฝีเท้าของพ่อได้ตั้งแต่ยังเล็ก ก็เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ในบ้าน
“ผมบอกให้คุณนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นไม่ใช่เหรอ” ผมพูด แต่ตายังคงกวาดอ่านข่าวสารบ้านเมือง นอกจากข่าวดีก็ยังมีข่าวร้ายเกิดขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะข่าวคนตายอย่างเป็นปริศนาที่ยังมีอยู่เนืองๆให้ผู้คนได้อกสั่นขวัญแขวน ผมรู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ไม่สามารถบอกอะไรใครได้ เรื่องมนุษย์กลายร่างอยู่นอกเหนือจินตนาการของมนุษย์ ขืนพูดออกไปนอกจากคนจะหาว่าผมเป็นบ้า พวกโยชิกับอาซาก็จะอยู่กันลำบาก
อ่อ เดี๋ยวก่อนนะ คนที่เคยทำให้เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ก็ยืนอยู่ในห้องนี้ด้วยนี่น่า คิดได้ก็รู้สึกโกรธขึ้นโดยไม่อาจห้ามความรู้สึก
“ผมรอนานแล้ว” เขาพูดเหมือนเด็กๆที่ไร้ความอดทน
“ถ้ารอไม่ได้ก็กลับไปสิครับคุณ ใครรั้งขาไว้ล่ะ” และผมก็ยังคพูดโต้ตอบกับเขาโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายแม้เพียงเสี้ยว
เอเดนเงียบ ผมได้ยินเสียงลมหายใจฟึดฟัด ผมรอว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะสติแตก แต่เขาก็ไม่ทำ กดข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้ระเบิดออกมา ทั้งที่ผมรู้ดีว่าความกวนประสาทของผมเป็นสายลมที่ช่วยให้เปลวไฟในอกของเขาพัดโหมกระพือรุนแรง
“ผมจะออกไปรอข้างนอก” เขากดน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยแล้วเดินออกไป
ผมปล่อยให้เขารอต่อไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมงถึงได้เดินออกไปหา เขานั่งเอนหลังพิงโซฟาหลับตานิ่งๆ และทันทีที่ผมทิ้งตัวนั่งลงเขาก็ลืมตาหันมามองผม ใบหน้าเขาเรีบยเฉยไม่มีแววขุ่นมั่วเหมือนก่อนหน้านี้
“เรามาเริ่มทำข้อตกลงกันเลยแล้วกัน”
“เดี๋ยว ก่อนคุณจะพูด ผมขอพูดอะไรสักอย่าง” เขาหยุดก่อนจะทำสีหน้าคล้ายจะเก้อเขินเมื่อพูดประโยคถัดมา “ขอ...ให้ผมพูดสักนิด...นะ”
อย่าบอกนะว่าเขากำลังขอร้องผม คนอย่างเอเดนเนี่ยนะ เหลือเชื่อ
“ว่ามาสิ”
“เอ่อ” เขากลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ หันเหสายตาหลบไม่สบจ้อง ผมไม่ได้เร่งเร้าให้เวลาเขาทำใจตามแต่สะดวก
ผมก็พอจะเข้าใจว่านิสัยหรือสันดานคนเราเปลี่ยนได้ยากและคนโดยส่วนมากมักเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ เอเดนก็คงไม่ต่างกันนัก เอาตรงๆผมไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองได้ด้วยซ้ำไม่ว่าจะเพื่อใคร นิสัยไม่ใช่ของที่นึกอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ ความเป็นผมบางอย่างที่เติบโตมาอายุยี่สิบหกผมยังแก้ไขไม่ได้ นับประสาอะไรกับเอเดนที่มีอายุอยู่มายาวนานขนาดนี้ นั่นแหละผมถึงได้กังวลยังไงล่ะว่าเขาจะทำได้จริงเหรอ
“ผมมาที่นี่ไม่ได้มีอะไรไม่ดีแอบแฝง วางใจได้” เขาพูด แต่ทำไมผมรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ความจริงที่เขาต้องการสื่อในที่แรก
“แล้วคุณมาทำไม” ผมถาม
“...” เขาเงียบอีกแล้ว แต่ไม่ได้หลบตา แต่เมื่อถูกเขาจ้องเอาๆไม่วางตาพร้อมทั้งประกายแวววาวบางอย่างที่ชวนให้ใจเซรวน ภาพสะท้อนในดวงตาสีเขียมมรกตของเขาในขณะนี้มีเพียงใบหน้าของผมปรากฏ และผมก็ป็นฝ่ายหลบตาหนีเสียเองเพราะไม่อยากมองเห็นความนัย
“ผมว่าคุณรู้นะยอร์ช ว่าผมมาทำไม” เขาพูด เสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทุ้มชวนฟัง
ผมส่ายหน้า “คุณอาจคิดผิด ผมไม่รู้เหตุผลที่คุณไม่คิดจะพูดมันออกมาหรอก”
เอเดนถอนหายใจใส่ผม เขาไม่พูดอะไรต่อ เป็นการบอกกลายว่าเขาจะไม่พูดมันออกมา และต่อให้ผมอยากรู้แต่ผมก็จะไม่มีวันถาม และต่อให้ถามคิดเหรอว่าเขาจะพูด
“เอาละ ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูด ผมก็ขอเริ่มสิ่งที่ผมจะพูดเลยแล้วกัน” ผมเปลี่ยนเรื่อง เขาขยับนั่งใหม่ หันข้างมาทางผม ขายกขึ้นไขว้ห้างและสองมือกอดอก ลำคอตั้งตรงวางมาดจนน่าหมั่นไส้
“คุณบอกว่าอยากจะมาทำงานที่นี่ใช่ไหม” ผมถามทวนความต้องการของเขา เป็นการเริ่มการสัมภาษณ์งานอย่างจริงจังหลังจากที่เมื่อวานล่มไม่เป็นท่า
“ใช่” เอเดนตอบเสียงแข็งขัน
ผมพยักหน้า “ช่วยบอกหน่อยสิว่าเพราะอะไรคุณถึงอยากทำงานกับเรา”
เอเดนกระพริบตาหนึ่งทีใช้เวลาราวสิบวินาทีก่อนตอบ “เพราะคุณ”
และคำตอบของเขาทำผมไปไม่เป็น
“เอ่อ...” ผมไม่ควรจะหน้าร้อนวูบวาบเพราะความเขิน ไม่ควรเลยจริงๆ และผมจะไม่ถามประเด็กนั่นต่อ จึงเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่นแทน
“พ่ออยากให้คุณมาเป็นผู้ช่วยในเรื่องการผลิตไวน์ แต่ผมจะยังไม่ให้คุณทำในส่วนนั้น”
“แล้วคุณจะให้ผมทำในตำแหน่งไหน”
“คนสวน” ผมพูด
“ห๊ะ อะไรนะ” เขาถามคิ้วย่น “คุณพูดผิดหรือเปล่า”
“เปล่า ผมพูดถูกต้องแล้ว ถ้าคุณจะอยู่ที่นี่ เพราะผม...” ผมกระดากปากเล็กน้อยที่จะต้องเอ่ยชื่อตัวเอง “คุณก็ต้องทำตามที่ผมต้องการ”
ผมคิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตำแหน่งนี้เหมาะที่สุดสำหรับด่านแรก มีหลายอย่างทีเอเดนควรจะเรียนรู้และบทเรียนแรกก็คือ เขาจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยปราศจากความเย่อหยิ่งจองหอง
“ทำไมผมต้องไปเป็นคนสวนด้วย”
“เพราะผมอยากให้คุณเป็น”
“เป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอ”
“ทำไม คุณจะบอกว่าคุณทำไม่ได้ คนที่เขาไม่เก่งกาจแข็งแรงเช่นคุณยังทำได้เลย แค่นี้ก็จะยอมแพ้งั้นเหรอ”
“โธ่ยอร์ช มันเกี่ยวกันตรงไหน” เขาพึมพำประท้วง
“และตรงไหนที่ไม่เกี่ยว คุณอยากอยู่ที่นี่ ผมเสนอให้คุณอยู่ในฐานะคนสวน ที่เหลือก็อยู่ที่การตัดสินใจของคุณแล้วว่าจะรับข้อตกลงนี้หรือไม่ ถ้ารับ คุณก็จะได้อยู่ที่นี่ต่อ แต่ถ้าไม่ ก็เชิญครับ ผมจะไปส่งที่ทางออก”
ข้อตกลงที่ผมกำหนดขึ้นผมเองก็ไม่มั่นใจว่าเอเดนจะรับหรือไม่ แต่ก็อย่างที่บอก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเขาทั้งนั้น ผมมีทางเลือกให้เขาเพียงเท่านี้ เขาจะหวังให้ผมเปิดใจรับเขาอีกครั้งหลังจากผ่านความทรงจำที่เลวร้ายในทันทีก็เป็นไปไม่ได้ ทางเลือกที่ผมเลือกให้เอเดน ผมคิดดีแล้วว่ามันจะดีต่อเราทั้งสองคนในภายหน้า แต่หากเขาจะยุติผมก็คงต้องทำใจยอมรับ
“ผมจะเป็นคนสวนก็ได้ แต่ผมต้องได้นอนที่บ้านของคุณ”
“ผมให้คนงานจัดห้องพักให้คุณแล้ว ห้องที่คุณเลยอยู่”
“ไม่เอา ผมจะนอนกับคุณที่นี่”
“เฮ้ย!” ผมตกใจอุทานเสียงดัง
เอเดนยิ้มขำ “ผมหมายถึงไม่ต้องห้องเดียวกันก็ได้ แต่ผมอยากอยู่ใกล้ๆคุณ”
“ผมก็ไม่มีทางให้คุณนอนห้องเดียวกับผมอยู่แล้ว” ผมพูดด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น
“หึ ทำเป็นไม่เคยไปได้”
“เอเดน อย่าพูดแบบนี้อีกผมไม่ชอบ”
“โอเคๆ ตามนั้นแหละ ผมจะทำงานเป็นคนสวน” เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น “และผมจะต้องได้อยู่ในบ้านหลังนี้ กับคุณ”
ผมหันหน้าหนีเขาพลางถอดถอนหายใจทันที ปวดหัวขึ้นมาทันทีกับความดื้อด้านเอาแต่ใจของผู้ชายต่างชาติตรงหน้า ผมจะเปลี่ยนนิสัยเขาได้หรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องที่ผมต้องคิดหนัก
“ก็ได้” ผมยอมตกลงในที่สุด ขี้เกียจต่อปากต่อคำให้ยืดยาว
“ดีล” เอเดนยื่นมาออกมาตรงหน้าผม ผมมองอย่างชั่งใจก่อนจะเชคแฮนด์ตอบ หลังจากนี้ชีวิตผมคงจะวุ่นวายจนหาความสงบไม่ได้
“ส่วนค่าจ้าง...”
“ผมไม่ต้องการ” เขาพูดอย่างรวดเร็ว “ผมรวยมากอยู่แล้วคุณก็รู้”
“ก็ดี ไม่เสียเงินผมออกจะชอบ” เขามันทำตัวน่าหมั่นไส้เกินใคร
ผมให้เอเดนพักที่ห้องรับรองแขก เขาอยากจะนอนที่ห้องของโยชิเพราะเป็นห้องที่ติดกับห้องผม แต่ผมยืนยันเสียงแข็งว่าเขาอยู่ห้องนี้ไม่ได้ โยชิยังใช้ห้องทุกครั้งที่กลับมาพักผ่อนที่บ้านพร้อมกับอาซา นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่โยชิจะปิดเทอม เขาบอกกับผมแล้วว่าจะมาพักที่นี่พร้อมกับเพื่อนคนอื่นนอกจากอาซา ผมยังไม่ได้บอกน้องชายเลยว่าเอเดนมาที่นี่ ถาเกิดรู้เรื่องไม่รู้ว่าโยชิจะโมโหมากแค่ไหน ถึงผมจะไม่ได้กลัวงู แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่พร้อมที่จะเห็นน้องชายกลายร่างเป็นอสรพิษตัวใหญ่ยักษ์
เอเดนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะที่จะทำงานตากแดดในไร่ จะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอเดนกวาดสายตามองรอบๆตัว พื้นที่ของไร่ที่ผมพาเขามาเป็นแปลงดินว่างเปล่าที่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้งาน
“คุณจะให้ผมทำอะไร” เอเดนยกมือปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผม ตากแดดแค่ครึ่งชั่วโมงผิวของเขาก็แดงเพราะโดนแดดลามเลีย
ผมชี้นิ้วไปนี่พื้นก่อนสั่ง “ปรับพื้นดินตรงนี้ให้เรียบ ผมจะให้คุณใชพื้นที่ตรงนี้ใรการสร้างโรงเพาะผักไฮโดรโปนิกส์”
ผมว่าทำเป็นแปลงปลูกผักก็ไม่เลว ที่ท้ายไร่ก็มีแปลงผักสวนครัวจำพวกข่า พริก โหระพา กระเพรา ผักที่ใชในครัวเล็กๆน้องๆ แต่แปลงนี้ผมจะทดลองทำการเกษตรแบบอื่นดูบ้าง
“ให้ผมทำเนี่ยนะ” เอเดนชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ผมพยักหน้าว่าใช่ ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร
“เครื่องมืออยู่ที่โรงเก็บอุปกรณ์ตรงนู้น มีทุกอย่างที่คุณต้องการแน่นอน วันนี้ก็ปรับหน้าดินไปก่อนแล้วกัน ส่วนพวกโครงเหล็กและของที่จะใช้สร้างโรงเพาะพรุ่งนี้ค่อยไปซื้อ” ผมบอกสรุปรวบรัด
“เริ่มงานได้” ผมเตรียมจะเดินแยกไปทำงานของตัวเอง แต่มือหนาเย็นคว้าแขนผมเอาไว้ไม่ให้ไปไหน
“ผมทำไม่เป็น” ใบหน้าของเอเดนเคร่งเครียด หยาดเหงื่อไหลจากใบหน้าสู่ลำคอ ผมเลือกที่จะเผิกเฉย เขาเป็นผู้ชายตัวโตๆ เรื่องแค่นี้คงทนได้
“ไม่ยากหรอก คุณสงสัยตรงไหนถามคนงานที่นี่ได้ทุกเมื่อ แต่เขาพูดอังกฤษไม่ได้นะผมบอกไว้ก่อน อ่อ แล้วก็ โทรศัพท์มือถือของคุณก็คงเข้าอินเตอร์เนตได้ ลองหาวิธีด้วยตัวเองสิ ไม่ว่าจะทำอะไรเราทุกคนต้องใช้ความพยายามของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกก่อนที่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น” ผมสอนเขาทันที
เอเดนคงเคยชินกับการที่เอ่ยปากสั่งทุกอย่างที่ตนเองต้องการโดยที่ไม่ต้องลงมือ เขาเคยอยู่จุดที่สูงที่สุด และผมกำลังจะดึงเขาลงมาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เริ่มทุกอย่างจากตัวเอง
“แต่ผมเจ็บมือ” เขาชูมือตัวเองที่มีผ้าพันแผลสีขาวพันเอาไว้ บาดแผลจากเมื่อวานอย่างน้อยเขาก็รักตัวเองมากพอดูที่จะรักษามัน
“ผมรู้ว่าคุณทนได้” แผลแค่นี้ทำเอาเขาไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่เลือดซึมหรือไม่แผลก็ปริแตก
“ผมทำกก็ได้” เขาพูดหน้าตึง ดูก็รู้ว่าไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาเลือกเองก็ไม่มีสิทธิ์อิดออด
“ขอให้สนุกกับการทำงาน” ผมอวยพร เดินไปทำหน้าที่ของตัวเองไม่ไกลจากจุดที่เอเดนยืนอยู่นัก
ผมทำงานไปคอยมองเขาไปด้วยความเป็นห่วง ให้โกหกตัวเองยังไงว่าไม่อยากจะสนใจคนอย่างเขา แต่เมื่อเผลอตัวสายตาก็เอาแต่จะคอยมอง
“สักวันคุณจะต้องขอบคุณผม”
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเอเดนยังไม่สามารถจับงานได้เป็นชิ้นเป็นอัน เขาเดินไปที่โรงเก็บอุปกรณ์แล้วหยิบจอบอออกมา นับว่ายังฉลาดที่หยิบเครื่องมือได้เหมาะกับงาน เขาทำท่าฟันจอบลงไปในดินอยู่สองสามทีแต่ไม่สามารถงัดดินขึ้นมาได้ มีคนงานเดินผ่านไปใกล้ๆเขา เอเดนถึงเรียกคนงานผมให้เข้าไปช่วย มองจากตรงนี้ก็พอจะรู้ได้ว่าเขากับคนงานคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงเลือกใช้ภาษามือแทนและในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจกันและกัน คนงานคนนั้นจึงสาธิตการฟันดินให้เอเดนดู เอเดนเรียนรู้อยู่นานกว่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ผ้าพันแผลที่เคยเป็นสีขาวบัดนี้เปื้อนสีเลือดเป็นหย่อมๆ ผมอยากเข้าไปห้ามให้เขาหยุดทำ แต่ขากลับถูกอะไรบางอย่างตรึงไว้ ทำได้แค่มองอย่างร้อนรน
“เป็นห่วงเขาก็เข้าไปดูสิครับคุณยอร์ช” ผู้ช่วยของผมเดินมายืนอยู่ข้างๆกันเมื่อไหร่ก็ไม่ทันรู้ตัว
“เงียบไปเลยไอ้ใหญ่ งานที่ให้ทำเสร็จแล้วเหรอไง” ผมพูดดุๆ แต่มันไม่เคยกลัวผมเลยสักครั้ง
“งานผมน่ะเสร็จแล้วครับ แต่งานของคุณยอร์ชน่ะดูจะไม่คืบหน้าเลยนะ ค้างแถวนี้เมื่อไหร่จะเสร็จครับ พรุ่งนี้ต้องลงองุ่นรอบใหม่แล้วนะ” ใหญ่ทำหน้าทำตาล้อเลียนที่งานผมไม่เดินเพราะมัวแต่มองไปทางคนตรงนู้น ผมเลยไล่เตะมันไปที่ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำงานอย่างจริงจัง สลัดเอเดนออกจากหัวช่วยคราว บอกกับตัวเองว่าแค่นี้ไม่ทำให้เขาตายหรอก เพราะขนาดที่โดนโยชิเล่นงานไปอย่างหนักหน่วงเขายังรอดกลับมากวนประสาทผมได้ นับประสาอะไรกับอีแค่แผลเล็กน้อยที่มือ
แต่พอลงมือทำงานได้ไม่เท่าไหร่ โทรศัพท์มือถือของผมก็แผดเสียงร้องจนตองหยิบออกมารับสาย เห็นชื่อคนที่โทรมาคอก็แห้งผากเอาเสียดื้อๆ
“ว่าไงครับตัวเล็ก โทรหาพี่มีอะไรหรือเปล่า” ผมกดรับสายโยชิ ตอนนี้เองที่ผมหันสายตามองเอเดนอีกครั้งด้วยความกังวล
“พี่ยอร์ช! สายของอาซาบอกว่าเอเดนไปที่ไร่ เขาทำอะไรพี่ยอร์ชหรือเปล่า ทำไมพี่ยอร์ชไม่บอกโยล่ะ” เสียงโวยวายของโยชิดังลอดโทรศัพท์จนแม้แต่ผู้ช่วยที่ยืนห่างกันไปสองก้าวยังได้ยิน แต่ผมยังไม่ได้ได้ตอบอะไร เสียงของน้องชายสุดที่รักก็ดังมาอีกระลอก
“พี่ยอร์ชระวังตัวด้วยนะ ผมกับอาซากำลังจะไปที่นั่น พี่ยอร์ชต้องอยู่ให้ห่างเอเดนนะครับ โยชิจะกลับไปจัดกสนเขาให้พี่เอง ไม่ต้องเป็นห่วง”
ใช่ โยชิน่าไม่น่าเป็นห่วงหรอก คนที่น่าเป็นห่วงคือคนที่กำลังทำงานกลางแดดอย่างตั้งอกตั้งใจต่างหาก ผมเดินก้าวเข้าไปหาเอเดนทันที อย่างน้อยก็ต้องขอให้เขาออกไปจากไร่ก่อนชั่วคราวก่อนที่โยชิจะมาถึง ไม่รู้ทำไมผมต้องปกป้องเขาด้วย ผมไม่เข้าใจตัวเองแม้แต่น้อย
......................
มาแล้วค่า ตอนหน้าจะเป็นความในใจฝั่งเอเดนบ้างนะ ขอโทษที่ให้รอนาน
อ่านแล้วคอมเม้นให้เค้าหน่อยนะ ขอกำลังใจปั่นต่อนิดหนึ่ง
ขอแจ้งข่าวการจัดทำหนังสือนิดหนึ่ง ตอนนี้ริริได้เปิดให้ลงชื่อจองคร่าวๆสำหรับการจัดทำเล่มนิยายเรื่องพี่งูนี้ เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ตามลิ้งค์ในเพจที่แนบมานะคะ หากใครต้องการก็ลงชื่อเล่นหรือชื่อจริงก็ได้พร้อมอีเมล ริริจะรวบรวมจำนวนคร่าวๆค่า
ลิ้งค์ https://www.facebook.com/RiRiWorld143/posts/874501319302083?comment_id=876576732427875
ขอบคุณทุกคนที่ยังแวะเวียนมาอ่านนะคะ