ผมไม่รู้ว่านี้คือความฝันหรือความจริง มือที่ถือหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ของวันสั่นเทาจนยากที่จะถือมันไว้ในมือ
สลด เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีฆ่าเพื่อนสาวตายอย่างอนาถ ไม่...ไม่จริง ผมไม่ได้ทำ
หนังสือพิมพ์ถูกเขวี้ยงทิ้งลงกับพื้น มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหูขวางกั้นคำต่อว่าต่อขานว่าเขาเป็นคนฆานิกกี้ตาย ดวงตาสั่นไหวปิดแน่นเมื่อเห็นภาพของพ่อแม่ของนิกกี้ เติร์ด และอีกหลายต่อหลายคนที่กำลังร้องไห้ด่าทอสาปแช่งให้เขาตายๆไปซะ จะได้ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
ไม่จริง ผมไม่ได้ทำ ไม่จริง
“ไม่!!!”
ผมสะดุ้งตื่นจากความฝันที่แสนโหดร้าย บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตาไหลนอง เสียงเรียกดึงสติผมให้กลับเข้าร่าง ปารีสจับตามลำตัวผมดูอาการผิดปกติ ผมหายใจติดขัดจากความตกใจกลัว มองรอบตัวว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ผมกลับมานอนในห้องของอาซา ไม่ใช่ที่โรงพยาบาล
“เป็นไงบ้าง ฝันร้ายเหรอ” ปารีสถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ผมพยักหน้า น้ำตาไม่ได้ไหลอีกต่อไป หมดเวลาของการอ่อนแอที่ไม่ช่วยให้อะไรดี มีแต่ทำให้เรื่องมันยิ่งแย่
“นายอาการหอบกำเริบตั้งแต่เมื่อคืน แล้วก็สลบไปจนตอนนี้ก็เกือบเย็นแล้ว ฉันจะลงไปอุ่นข้าวต้มให้ อยากได้อะไรไหม” ปารีสที่นั่งอยู่ริมเตียงถามผม ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ
เธอลุกเดินออกไปจากห้อง ความเงียบเริ่มเกาะกินจิตใจผมอีกครั้ง จังหวะการเต้นของหัวใจบอกให้รู้ว่าผมยังมีชีวิต ต่างกับนิกกี้ที่หัวใจของเธอไม่เต้นอีกต่อไป
‘สวัสดี ฉันนิกกี้ นายชื่ออะไร’
‘ฉันเหรอ?’
‘ใช่ นายนั่นแหละ’
‘ฉันโยชิ’
‘โยชิ ชื่อเหมาะกับน่านายมาก น่ารักจังเลย’ เธอทำเสียงร่าเริงแล้วกระโดดกอดผมไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน
‘เราเป็นผู้ชายนะ พูดว่าเราน่ารักได้ยังไง หยาบคายนะ’
‘ก็น่ารักจริงๆนี่น่า ช่างเถอะ ต่อไปนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ ฉันรู้เรื่องแถบนี้ดี ฉันจะดูแลนายเอง’ ผมยังจำได้ วันแรกที่ผมเจอกับนิกกี้ระหว่างทางเดินไปเอาตารางเรียนที่ห้องกิจการนักศึกษา เธอเป็นฝ่ายเข้ามาทักผมก่อนอย่างร่าเริง รอยยิ้มของเธอทำให้ผมยิ้มออก ไม่ต้องเศร้าเพราะคิดว่าจะไม่มีเพื่อน นิกกี้เป็นคนคุยสนุก เธอมักจะช่วยผมคุยโน่นคุยนี่ตลอดเวลา
ผมที่เป็นคนติดบ้าน ติดพ่อกับพี่ยอร์ช พอมีนิกกี้ ผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวที่ต้องย้ายมาเรียนในเมืองคนเดียว เธอทำให้ผมรู้ว่า ในเมืองหลวงที่ไม่น่าอยู่ก็มีคนดีๆแบบเธอแต่งเติมให้น่าอยู่ขึ้น
‘คิดถึงบ้านเหรอโยชิ หน้าเศร้าเชียว ไม่เป็นไรนะ คิดซะว่าฉันเป็นพี่สาวสิ ถ้านายเหงาโทรหาฉันได้ตลอดเวลา ฉันจะรีบมาหาทันที’ แค่ผมทำหน้าไม่สบายใจเธอก็ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง หรือแม้แต่ตอนที่เธอเห็นรอยจูบที่คอของผม เธอยังโวยวายแทบเป็นแทบตาย เพราะกลัวผมไปพลาดท่าเสียทีคนไม่ดีเข้า
‘ไม่ว่านายจะเป็นอะไร นายก็คือเพื่อนของฉัน แต่นายควรรู้เอาไว้ พวกฝรั่งมักรักง่ายหน่ายเร็ว แถมผู้ชายในกรุงเทพก็เป็นพวกรักสนุก ขี้หลอกและหวังฟัน ถ้านายปิ้งคนไหนหรือมีใครมาจีบ นายต้องบอกฉัน ฉันจะช่วยดูให้’ ตอนที่เราอยู่ด้วยกันสามคน เป็นช่วงเวลาที่ผมชอบมากที่สุด นิกกี้กับเติร์ดจะเถียงกันตลอดเวลา นิกกี้มักทำให้เราทั้งสามคนหัวเราะไปด้วยกัน เวลาไม่ถึงสองเดือน ผมกลับผูกพันกับเธอเหมือนเธอเป็นคนในครอบครัว
พี่ยอร์ชชอบบอกว่าผมไว้ใจคนง่าย เชื่อใจคนง่ายและให้ใจคนง่าย แต่ผมก็แย้งในใจตลอดว่า เพราะผมรู้ว่าคนๆนั้นเป็นคนดี ผมถึงให้ใจพวกเขาได้ง่ายๆ แต่ใช่ว่าผมจะเป็นแบบนั้นกับทุกคน ไม่งั้นผมคงมีเพื่อนเยอะกว่านี้ เพื่อนผมมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย บางคนมีกลุ่มเพื่อนหกเจ็ดคน แต่เพื่อนตอนมัธยมผมมีแค่สามคนเท่านั้น ซึ่งก็แยกย้ายกันไปเรียนคนละทิศละทาง เราไม่ได้ติดต่อกัน แต่รู้ว่าเรามีกันและกัน
นิกกี้กับเติร์ดก็เช่นเดียวกัน แค่มองตาผมก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนดี และผมอยากอยู่กับเพื่อนดีๆไปตลอดชีวิต
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น คราวนี้เป็นจูเลียตไม่ใช่ปารีส เธอเดินถือถาดอาหารเข้ามาให้ผม บอกว่าปารีสต้องไปคุยกับพ่อแม่ของนิกกี้กับเวสตันแทนผม เลยให้จูเลียตคอยดูแลผมแทนจนกว่าจะถึงเวลาประกอบพิธีฝังศพตามแบบคริสต์เพื่อส่งดวงวิญญาณของเธอขึ้นสวรรค์
จูเลียตปล่อยให้ผมนั่งกินข้าวเงียบๆ จนพร่องไปแค่ครึ่งชามผมก็รู้สึกไม่อยากกิน เธอไม่ได้พูดว่าอะไร แค่เอาชามข้าวต้มวางไว้บนถาดอาหารและนั่งอยู่เป็นเพื่อนผมหลายนาที ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดกับเธอ
“เธอคงนึกสมเพชฉันสินะ ที่ฉันอ่อนแอและไม่เอาไหน” และเธออาจจะพาลนึกไปว่าผมไม่คู่ควรกับอาซา
“ก็คงงั้น...”
เธอยักไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ แต่ไม่มีน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่ชอบใจ หรือแววตาแข็งกร้าวที่บ่งบอกถึงความเป็นศัตรู
“แต่นายก็ยังดีกว่าผู้ชายบางคน”
เธอเริ่มพูดอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผมแปลกใจ
“ถึงนายจะเจ้าน้ำตา ไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง แต่นายก็กล้าหาญพอที่จะเสี่ยงอันตรายช่วยเหลือใครสักคน กล้าหาญพอที่จะไม่หนีเอาตัวรอดแค่ฝ่ายเดียว”
“...”
“ก่อนที่ฉันจะรู้จักกับพวกเวสตัน ฉันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆในแถบชานเมืองของรุฐหนึ่งในอเมริกา ตอนนั้นพวกคนในหมู่บ้านที่เป็นนากินีไม่ได้ควบคุมตัวเองได้อย่างทุกวันนี้ ถ้าเราโมโหหรือโกรธจัด หรือมีอารมณ์แบบใดแบบหนึ่งแบบขีดสุด เราจะกลายร่างเป็นงู โดยทันที เราไม่รู้วิธีควบคุมมัน และนั่นทำให้พวกมนุษย์รู้และล่าเรา”
ยามที่จูเลียตเล่าดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ผมพอจะสัมผัสได้ เธอกำลังรู้สึกอ้างว้างกับอดีตเหล่านั้น ดวงตาที่ทอดมองออกไปนอกหน้าตาดูไร้จุดหมาย จนยากที่จะเข้าไปสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของเธอ
“ฉันหนีไม่ทันและถูกพวกมนุษย์ทำร้าย ฉันร้องเรียกให้พี่ชายของฉันช่วย แต่เขาปัดฉันทิ้งและหนีเอาตัวรอด ฉันยังจำแววตายามที่เขามองฉันได้ เขาชิงชังและรังเกียจที่จะช่วย เขามองฉันเป็นตัวถ่วง ถ้าช่วยฉันเขาก็จะไม่รอด ฉันตัดใจไปแล้วว่าตัวเองคงต้องตายจริงๆ แต่ดีที่เจอเวสตันกับปารีสเสียก่อน พวกเขาให้ชีวิตใหม่แกฉัน”
“แล้วตอนนี้พี่ของเธอ...” ผมอยากจะถาม แต่รั้งปากของตัวเองเอาไว้ก่อน จูเลียตไม่ได้ว่า เธอเหมือนจะรู้สิ่งที่ผมอยากถาม ไหล่ที่ลู่ตกของเธอตั้งตรงขึ้นเป็นเครื่องบอกว่าเธอจะต้องเข้มแข็ง
“ไม่รู้มัน จะไปตายอยู่ที่ไหนก็ไป ฉันกับมันไม่ใช่พี่น้องกันแล้ว”
“เสียใจด้วยนะ”
“เหอะ ไม่ต้องทำหน้าสงสารฉัน ฉันไม่ต้องการ แต่ที่เล่าให้ฟังเพราะมันไม่มีค่าอะไรสำหรับฉัน แต่มันอาจจะพอบอกนายได้ว่า บางทีคนเราก็ไม่ต้องเข้มแข็งอย่างวีรบุรุษหรอก แค่ไม่ขี้ขลาดตาขาวก็พอ”
“ขอบใจนะ” มันอาจจะงี่เง่าที่ผมคิดแบบนี้ แต่ผมคิดว่าเธอคงกำลังปลอบผม
“หึ การร้องไห้น่ะมันไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าเรายังมีหัวใจ”
“ฉันขอโทษที่ทำให้เธอเดือดร้อน” เป็นอีกครั้งที่ผมพูดอย่างใจจริง
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าไม่นับเรื่องอาซาที่ฉันจะไม่มีวันญาติดีกับนาย เรื่องอื่นก็แค่ขี้ผง”
ผมยิ้มหัวเราะให้กับคำพูดของเธอ ขนาดเธอไม่คิดจะญาติดีกับผม เธอยังเป็นคนดีขนาดนี้ แล้วถ้าเราเป็นเพื่อนกัน ผมเดาออกเลยว่าเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีขนาดไหน แต่เอาเถอะ มันก็แค่ความคิด ผมกับเธอท่าจะเป็นเพื่อนกันได้ยาก เพราะลึกๆเธอก็คงอึดอัดใจไม่น้อยถ้าจะต้องทำดีกับผม
“ฉันอยากไปที่ๆหนึ่ง ถ้าเธอว่าง...”
“ก็เอาสิ”
“ขอบใจ”
ผมคงจะต้องขอบใจจูเลียตในอีกหลายๆครั้งในอนาคตข้างหน้าแน่นอนผมรับรองได้
ผมอยากไปหาเติร์ด ไปบอกข่าวเรื่องนิกกี้กับเติร์ดด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่ามันจะรู้เรื่องหรือยัง แต่ผมก็อยากไปบอกด้วยตัวของผมเอง โดยที่ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เติร์ดเข้าใจโดยปราศจากความจริงบางส่วนได้ยังไง
สาเหตุที่ทำไมเธอถึงตาย และใครเป็นคนฆ่าเธอ
ระหว่างทางจูเลียตเล่าถึงสิ่งที่เวสตันและปารีสบอกกับแม่ของนิกกี้ ว่าการตายของเธอน่าจะเป็นสาเหตุเดียวกับข่าวคนตายในโทรทัศน์ ที่บ้างก็ว่าน่าจะเป็นฆาตกรโรคจิตหรือเป็นสัตว์ร้าย แต่บาดแผลของนิกกี้ที่เสียเลือดจากการถูกกัดทำให้หมอสันนิฐานว่าน่าจะเกิดจากรอยคมเขี้ยวของสัตว์ แม้จะมีข้อโต้แย้งที่ว่าสัตว์ร้ายที่ไหนจะเดินเผล่นพล่านในเมือง แต่เมื่อช่วงเช้าตำรวจพวกศพของสุนัขหมาป่าอยู่ที่ตรอกแห่งหนึ่ง เมื่อส่งไปตรวจสอบกับศพของนิกกี้ ปรากฏว่ามีเลือดของสุนัขหมาป่าตัวนั้นติดอยู่บนนิ้วมือของเธอ ครอบครัวของนิกกี้เสียใจเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทีแรกพ่อแม่นิกกี้ต้องการจะพบผม แต่เวสตัสบอกว่าผมยังไม่พร้อมที่จะคุยจึงไปคุยแทน
ทั้งหมดที่จูเลียตเล่า ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับนิกกี้ที่ความจริงบิดเบือน แต่ผมก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ผมไม่มีทางเลือก ได้แต่หวังว่าเธอจะยกโทษและให้อภัยผมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าอยากให้ผมชดใช้ให้ผมก็ยินดี
ผมโทรเรียกเติร์ดให้ออกมาเจอกันที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ผมไม่อยากไปหามันที่หอ ถ้าอยู่กันเพียงลำพังผมกลัวว่าผมจะทำใจแข็งเล่าเรื่องที่กุขึ้นอย่างไร้พิรุธไม่ได้ อย่างน้อยข้างนอกก็มีคนอื่นที่เป็นตัวบังคับให้ผมต้องโกหกได้อย่างแนบเนียน
และดูเหมือนว่ามันเองก็รู้เรื่องแล้ว ตอนเจอเติร์ดนั่งอยู่ในร้านกาแฟ ดวงตาของเติร์ดบวมช้ำอย่างคนที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ผมแทบหายใจไม่ออกเหมือนเห็นสภาพเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อน
“พรุ่งนี้เราจะไปร่วมพิธีศพของนิกกี้กัน” ผมบอก เติร์ดพยักหน้า มันจ้องตาผมนิ่ง เราทั้งคู่ต่างมองเห็นความเศร้าในดวงตาของกันและกัน ไม่ต้องมีคำพูด ไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใดๆเราก็รู้ว่าเราไม่โอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด แต่เราไม่มีน้ำตา เราต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนที่จากไป
“ฉันจะไปเอาปุยเมฆมาเลี้ยงที่หอ” เติร์ดพูดหลังจากที่นั่งเงียบไปนาน ผมเห็นด้วย เติร์ดคงจำได้ว่านิกกี้มีความสุขมากขนาดไหนที่ได้เลี้ยงปุยเมฆ ผมเองก็จำได้เช่นกัน และไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าแมวน้อยจะเป็นยังไงบ้าง
“ฉันเพิ่งรู้ว่าเวลาไม่เคยคอยใคร” เติร์ดพูดแล้วก็หัวเราะเบาๆเหมือนจะเยาะเย้ยตัวเอง
“ความรู้สึกที่เก็บไว้เพราะกลัวพูดออกไปแล้วจะเสียเพื่อน แต่ตอนนี้ ต่อให้อยากพูดก็ไม่รู้จะพูดให้ใครฟัง” ดวงตาของมันเอ่อคลอด้วยน้ำใส แต่มันเงยหน้าขึ้นให้น้ำตาไหลลงกลับ กระพริบตาถี่ๆขับไล่ความอ่อนแอ
“ต่อไปนี้ฉันจะเลิกเป็นคนขี้ขลาด อยากทำอะไรก็จะทำ เผื่อที่วันหนึ่งจะได้ไม่ต้องพูดอีกครั้งว่า มันสายไปแล้ว”
“อืม”
เรานั่งเป็นเพื่อนกันและกัน แบ่งปันช่วงเวลาที่เราต่างก็มีความสุขที่ได้อยู่กับนิกกี้ และเราสัญญาว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราจะไม่ลืมเธอ...ไม่ลืมว่าเราเคยมีกัน
ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาเติร์ดก็ขอตัวกลับ มันจะแวะไปที่หอนิกกี้เพื่อเอาปุยเมฆกลับไปเลี้ยง ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม จนกระทั่งผมได้ยินโต๊ะข้างๆพูดคุยกันเสียงดัง
“ตรงหัวมุมถนนคนเขามุงดูอะไรกันวะ”
“มีงูตัวประมาณแขนสีดำสนิททั้งตัวตาสีทองแบบที่ไม่เคยเจอบาดเจ็บเหมือนไปฟัดกับหมาที่ไหนมาอยู่ข้างรถคันหนึ่ง ใครเข้าใกล้มันขู่ทั้งที่ใกล้จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ คนแถวนั้นเลยโทรเรียก...”
ตัวผมชาวาบ ไม่อยู่ฟังต่อให้จบก็รีบวิ่งออกจากร้านทั้งที่ยังไม่ได้จ่ายเงิน เดือดร้อนให้จูเลียตเข้าไปเคลียร์ค่ากาแฟให้แทน ผมรีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ หาไม่ยากเพราะมีคนหลายคนมุงดูอยู่ ฝีเท้าของผมชะลอช้าลง เห็นรถคุ้นตาจอดอยู่ตรงหน้า ผมเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ภาวนาไม่ให้เป็นอย่างที่ผมคิด แต่ตอนนี้พระเจ้าคงกำลังลงโทษผมที่เป็นต้นเหตุให้นิกกี้ต้องตาย
“ขอ...ขอทางหน่อยครับ” ผมบอกคนที่ยืนขวางทางผมอยู่ ตรงหน้าคืองูตัวสีดำที่มีดวงตาสีทองที่ผมรู้จักดีที่สุด กำลังชูคอข่มขู่ทุกคนที่จะกำลังเข้าใกล้ เหมือนกลัวว่าจะมีใครทำร้ายตัวเอง หรือไม่ก็ทำไปเพราะอยากจะให้คนพวกนี้หลบไปให้พ้นทางไม่ให้เข้าไปยุ่ง ผมค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ ทันทีที่ดวงตาสีทองมองเห็นผม หัวที่กำลังชูตั้งก็ลดต่ำลง แววตาที่ก้าวร้ายทอแสงหม่นทันตา
“อย่าเข้าไปไอ้หนู งูนี่มีพิษร้าย!” ผมไม่สนใจคำเตือนของลุงคนหนึ่ง ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ต้นเหตุของความอลม่านมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆนั่งยองๆตรงหน้ามันช้าๆ เม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเห็นร่องรอยบาดแผลหลายจุด ไม่รู้ว่าผมไปเอาความกล้ามาจากไหน แต่ผมทนเห็นเขาเจ็บต่อไปไม่ได้ มือทั้งสองข้างยื่นออกไปช้อนตัวอสรพิษสีดำขึ้นสู่อ้อมอก ฝืนลุกขึ้นยืนกลืนก้อนน้ำตาไหลลงคอ
เจ้างูสีดำเมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนผมก็เหมือนงูสิ้นฤทธิ์ ทิ้งหัวซบลงบนอกผมเหมือนหมดแรง ผมรีบก้าวขากลับไปที่รถ ไม่สนใจเสียงเรียกของผู้คนที่ร้องห้ามไม่ให้ผมยุ่งกับงูในอ้อมแขน จนผมต้องหันกลับไปตวาดใส่คนพวกนั้นด้วยความรำคาญ
“เขาเป็นของผม เขาเป็นงูของผม!!!” คนพวกนั้นชะงัก ผมรีบหันกลับไปทางเดิมและออกวิ่งด้วยใจที่ไม่สงบนิ่ง ด้วยความกลัวว่าอาซาจะเป็นอะไรไป จนกระทั่งมาถึงรถจูเลียต ผมเปิดประตูเข้าไปในรถ จูเลียตหันมามองก่อนจะทำตาโต ไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้นเธอก็รีบออกรถอย่างเร็วทันที
............................
หน่วงอีกแล้วค่าคุณผู้ชมมมมมมม แต่เป็นความหน่วงโค้งสุดท้ายแล้วจริงๆ บอกว่าว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่า มีแค่หน่วง ซึ้งและเศร้า เหรอออออ
งานนี้พี่งูเจ็บหนัก อีกฝ่ายก็ไม่รอดแล้วหละคะ ดี! ตายไปเลยไอ้หมาบ้า! เรื่องนี้มีแต่เสียเลือดทั้งเรื่อง แต่การเสียเลือดครั้งสุดท้ายเป็นอะไรที่แบบ...คึคึ ไม่เล่าดีกว่า แต่ขอไปเรียนแปลงร่างเป็นจิ้งจกแปบ จะได้เกาะส่องทั้งวันทั้งคืน หรือเกาะเป็นเดือนๆ วิ้ววววววว แค่คิดก็ฟิน...ไปๆ จองตัวไปฟินแลนด์กันดีกว่าทุกคน หมดเรื่องเครียดละ
ไหน เห็นมีคนบอกอยากได้ดาวเสาร์ เอาไปเลย ยกให้ กร๊ากกกก
ส่วนหนูโย หนูหายกลัวพี่งูแล้วใช่ไหมลูก พี่งูเราจะได้สมหวังเสียที
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ และขอบคุณทุกคนที่คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้