SEVENTEEN
เขาว่ากันเว่าเมื่ออะดรีนาลีนในกายพลุ่งพล่าน คนเราก็มักทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คาดคิดเสมอ ผมก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเรื่องน่ากลัวที่ผมพบเจอมา ทั้งหมดมันไม่น่าตกใจเท่ากับการที่เห็นว่าอาซาได้รับบาดเจ็บ หัวใจผมบีบตัวแน่นจนหน้าอกเจ็บร้าว เป็นห่วงอย่างเดียวกลัวว่าเขาจะเป็นอะไร ผมไม่อยกาเสียใครในชีวิตไปอีกแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็ตอนที่ส่งผ่านร่างอาซาให้กับเวสตัน เมื่อนั้นผมถึงได้รู้ว่า ผมอุ้มงูกลับมาบ้าน!
ผมกล้าอุ้มสิ่งที่ตัวเองเกลียดที่สุดด้วยความหวงแหน
ผมได้แต่ก้มมองมือตัวเองเพราะไม่คิดว่าผมจะทำได้
ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัวงูแล้ว
ผมยังคงกลัว เพียงแต่กลัวอาซาจะเป็นอะไรไปมากกว่า
สรุปแล้ว...อาซาไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เสียพลังงานไปเยอะ บนเนื้อตัวเขามีรอยแผลแค่รอยถลอกและรอยเขี้ยวกัดแต่ไม่ลึกจนน่าเป็นห่วง คาร์เตอร์คุณหมอเจ้าประจำแวะเวียนมารักษาอาซาให้ ตามติดมาด้วยเฟลิกซ์ที่ชอบทำหน้ากระลิ้มกระเหลี่ยใส่ผม โดยมีอาซาที่นอนซมในร่างงูชูคอขู่ไม่ดูสังขารตัวเอง
“โธ่เว้ย! อยู่นิ่งๆได้ไหม เห็นไหมว่าฉันพันแผลไม่ได้!” คาร์เตอร์ดุอาซาที่ดิ้นหนีมือเขาไม่เลิก ทำท่าจะเลื้อยเข้ามาหาเฟลิกซ์ที่ยืนข้างผมเสียให้ได้ ตอนนี้อาซายังคงอยู่ในร่างงูเพราะพลังงานในร่างกายต่ำ ต้องให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้เขาถึงจะกลับเป็นคนปกติได้เหมือนเดิม ผมยืนอยู่ปลายเตียงข้างๆกับเฟลิกซ์ที่ยืนหัวเราะท่าทางของอาซาเหมือนคนบ้า
ซี่!
อาซาแลบลิ้นสองแฉกขู่คาร์เตอร์ แล้วตวัดหัวมาทางผม แววตาที่มองเฟลิกซ์เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ผมขยับก้าวห่างจากเฟลิกซ์นิดหน่อยเพื่อเว้นระยะ แต่แขนยาวๆของเฟลิกซ์เกี่ยวคอผมเอาไว้ก่อนจะดึงให้ไปยืนใกล้ๆ เสียงร้องจากอาซาก็เลยยิ่งดัง
ซี่ๆๆ ซี่!!!
อาซาดิ้นอีกครั้ง ผ้าพันแผลที่คาร์เตอร์พันใกล้จะเสร็จแล้วและกำลังจะติดเทปให้เป็นอันต้องหลุดออกอีกรอบ ทำเอาคาร์เตอร์หัวเสียโวยวายที่อาซาอยู่ไม่สุข อาซาที่ตกอยู่ในเงื้อมมือใหญ่ของคาร์เตอร์ก็ไม่ได้ดูสังขารตัวเองเลยว่าไหวไม่ไหว ชูคอขู่ใส่คาร์เตอร์ด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง
“ดิ้นนัก เดี๋ยวปั๊ดเขวี้ยงออกนอกหน้าต่าง!” คาร์เตอร์ดูหงุดหงิดจริงจัง เป็นใครก็ต้องอารมณ์เสีย เพราะถ้าให้นับ รอบนี้กำลังจะเป็นรอบที่ห้าที่คาร์เตอร์ต้องพันแผลบริเวณช่วงกลางลำตัวให้อาซา
เฟลิกซ์ก้มหน้าลงมาใกล้หน้าผมที่ยังคงจ้องอาซาในมือคาร์เตอร์ด้วยความกังวล เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจือเสียงหัวเราะ
“ไอ้อาซานี่ขี้หึงดีเนอะ เจ็บแล้วยังไม่เจียม”
“หืม อะไรนะ”
ผมละสายตาจากอาซามองเฟลิกซ์ หน้าเขาใกล้มากจนต้องเอนตัวถอยหลังหนี เสียงอาซาดังลั่นอีกรอบ ผมหันไปมองคิดว่าเขาจะเจ็บหรือเป็นอะไร ที่ไหนได้ เขาจ้องหน้าผมเหมือนไม่พอใจ
“ไอ้เฟลิกซ์ เลิกจีบเด็กไอ้อาซาได้แล้ว ถ้ามันหายแล้วตามไปเล่นงานแก ฉันจะไม่ช่วย” คาร์เตอร์ปรายตามองผมกับเฟลิกซ์ ผมรีบเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียง อาซาถึงได้สงบลง หันหัวมองตามผม ยอมอยู่นิ่งๆให้คาร์เตอร์ทำแผลต่อจนเสร็จ
“ฉันจัดยาแล้วก็อุปกรณ์ล้างแผลเอาไว้ให้ สักสองสามวันก็หายแล้ว หรือถ้าอยากให้หายเร็วๆมันก็พอมีวิธี...” คาร์เตอร์หยุดพูด ผมเลิกคิ้วสูงก่อนจะถาม
“วิธีอะไร...”
“หาเลือดมาให้มันกินซะ วิธีนั้นจะง่ายกว่า หรือไม่ก็ให้มันกินเลือดนายสักนิดสักหน่อย ขี้คร้านจะกลายเป็นคนในทันที"”
คาร์เตอร์พูดเหมือนทำง่าย ผมจะไปหาเลือดคนมาจากไหนละ พูดถึงเลือดแล้วก็นึกถึงนิกกี้ในวินาทีสุดท้าย...ภาพเลือดของเธอที่เจิ่งนองเต็มพื้นและเปรอะเปื้อนตามตัวทำให้ผมรู้สึกเจ็บหน่วงในอก
“เฟลิกซ์ เอาของลงไปเก็บที่รถ” คาร์เตอร์ส่งกล่องอุปกรณ์ทำแผลให้เฟลิกซ์ ก่อนไปเขายังเดินมาใกล้ผมแล้วพูดว่าเจอกันคราวหน้า อาซาที่กำลังจะเคลิ้มหลับด้วยฤทธิ์ยาที่คาร์เตอร์ฉีดให้ผงกหัวมองเฟลิกซ์ตาขวาง ผมละอยากจะขำความน่าเอ็นดูของงูที่จะหลับก็จะหลับ จะขู่ก็จะขู่
“แม่ง ทำตัวเป็นจงอางหวงไข่ สักวันจะขโมยไข่มากิน!” เฟลิกซ์ส่ายหัวขำๆก่อนจะออกไปจากห้อง คาร์เตอร์หันกลับมามองอาซาที่สงบลงด้วยสีหน้าเอือมระอา
“ช่วงนี้ไปบู๊กันมาหรือไง เดี๋ยวคนนั้นเจ็บเดี๋ยวคนนี้เจ็บ สนุกมากสินะ” คาร์เตอร์ถามผมทำหน้าสงสัย
“ก็...ประมาณนั้นมั้ง”
“เอาเถอะ บอกมันว่าอย่าลืมจ่ายค่ารักษาด้วย โอนเข้าบัญชีเดิม”
“อืม”
ผมเดินออกไปส่งคาร์เตอร์ที่ข้างล่าง เวสตันกับปารีสเพิ่งจะกลับเข้ามา ผมรีบเดินเข้าไปหาทั้งสองคนเพราะอยากรู้เรื่องงานศพของนิกกี้ ทั้งคู่ยิ้มให้ผม ปารีสขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เวสตันจึงเป็นคนอธิบายเรื่องกำหนดการทำพิธีศพให้กับผม
พ่อแม่ของนิกกี้เลือกจะตั้งศพที่วัดคริสต์นอกเมือง เป็นเวลาสามวันก่อนจะทำพิธีฝังในสุสารของทางวัดเลย งานจะมีในตอนเย็น เวสตันอาสาจะไปเป็นเพื่อนผมทุกวันเพราะอาซายังไม่หายดี ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในน้ำใจของเวสตันเป็นอย่างมาก
ผมให้เวสตันได้พักผ่อนเพราะเขายุ่งกับธุระของผมมาทั้งวันแล้ว ก่อนจะขึ้นไปดูอาซาผมโทรหาเติร์ดเพื่อบอกกำหนดการเกี่ยวกับงานศพของนิกกี้ เติร์ดเองก็จะไปด้วย น้ำเสียงของเติร์ดยังคงเต็มไปด้วยความเศร้า ผมได้แต่ขอโทษในใจ พรุ่งนี้ผมคิดว่าค่อยไปคุยรายละเอียดอย่างอื่นในคาบเรียน ผมขาดเรียนบ่อยสุดๆตั้งแต่เกิดเรื่อง ไม่รู้ว่ามาเรียนหรือมาผจญภัยในดินแดนมหัศจรรย์
ประตูห้องนอนของอาซาแง้มเปิดเอาไว้ ผมขมวดคิ้วฉับพลัน เพราะก่อนลงไปข้างผมจำได้ว่าผมปิดสนิท ความรู้สึกแรกบอกให้ระแวงระวังภัย แต่ผมก็คงจะวิตกจริตมากไปสักหน่อย นี่เป็นบ้านของอาซา ไม่มีใครเข้ามาทำอะไรได้หรอก อาจจะเป็นปารีสหรือไม่ก็เวสตันที่แวะมาเยี่ยม
ผมผลักประตูเปิดออกกว้าง มองเข้าไปในห้อง แต่ผมไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นนอกจากงูตัวสีเทาตัวใหญ่หันหน้ามาทางผม จ้องมองพร้อมกับแลบลิ้นออกมา ผมตกใจผงะถอยหลังอย่างเร็วก่อนจะก้าวพลาดล้มลงไปกับพื้น ตาที่โตอยู่แล้วเบิกกว้างเข้าไปอีกเพราะความตกใจ ผมยังคงขยับถอยหลังจนไปชนกับประตูห้องฝังตรงข้ามที่เป็นห้องจูเลียต แล้วประตูข้างหลังก็เปิดออก ทำเอาผมหงายหลังทั้งที่ยังตกใจกลัวไม่หาย
“ฟรินน์ นายเล่นอะไรของนาย” จูเลียตที่เดินข้ามตัวผมไปเผชิญหน้ากับงูตัวใหญ่ถามอย่างสงสัย เธอหันกลับมามองผมก่อนจะถอนหายใจพรืด
“นี่ก็กลัวไม่เลิก เลิกกลัวได้แล้ว ทีตอนอุ้มอาซายังอุ้มได้เลย”
มันเหมือนกันที่ไหนเล่า!
“ส่วนนาย กลับเป็นคนเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะมีใครช็อคตายในบ้าน” บ่นจบเธอก็เดินลงไปข้างล่าง ทิ้งให้ผมอยู่กับฟรินน์ในร่างงูแค่สองคน ฟรินน์สะบัดหัวของเขาไปมาก่อนจะยอมกลับสู่ร่างเดิม
“ไหนจูเลียตบอกนายไม่กลัวงูแล้วไง”
ฟรินน์พูดเหมือนงูคือแมว ต่อให้เป็นคนแล้วผมเปิดประตูเข้าไปเห็นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นใครก็ต้องตกใจ และความจริงผมก็ยังไม่ได้บอกเลยว่าผมไม่กลัวงูแล้ว แค่ผมตกใจจนอุ้มอาซาได้ไม่ได้หมายความว่าผมจะเกิดอาการรักงูจนโผเข้ากอดได้เสียเมื่อไหร่
“ฉันยังกลัวอยู่ แล้วนายก็ห้ามเล่นแบบนี้อีก ขอร้อง” ผมผลักตัวเขาที่ขวางประตูให้หลีกทาง อย่างน้อยถ้าจะมาในร่างงูก็ช่วยบอกกันหน่อย ผมจะได้ตั้งตัวและเตรียมความพร้อมทั้งกายและใจรอ
อาซายังคงนอนขดอยู่บนเตียง ผมห่มผ้าให้เขาก่อนจะนั่งเฝ้าข้างๆ ฟรินน์ที่แค่จะเข้ามาพิสูจน์ความกลัวของผมก็เดินออกจากห้องไปแบบเซ็งๆ มันไม่ใช่ความผิดผมนะที่จะทำให้เขาผิดหวัง คนเราใช่ว่าจะเลิกกลัวอะไรได้ง่ายๆ แต่กับอาซาในร่างงูตอนนี้ ผมก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงกล้าเข้าใกล้ คงเพราะผมรู้ว่าเขาไม่มีทางทำร้ายผม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร ใจยังคงเต้นตุ้มๆต่อมๆเวลาจ้องมอง และอาการหายใจติดขัดก็ยังมีอยู่บ้างตอนที่ผมใช้นิ้วแตะที่ลำตัวของเขา เพียงแต่ผมข่มความกลัวแล้วบอกกับตัวเองว่างูตัวนี้คืออาซา คือคนที่ผมรัก ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด
แต่พอเขาขยับตัวเบียดเข้าหาตัวผมก็ทำให้ผมสะดุ้งเป็นพักๆ พอให้เลือดได้สูบฉีดอย่างรุนแรงจนกระทั่งผมรู้สึกชินเวลาลูบหัวเขาเบาๆเป็นการกล่อม และชินยามที่อาซาเบียดกายเข้าหาคล้ายกำลังอ้อน
ผมไม่เคยเห็นงูในกริยาแบบนี้ แน่ล่ะ เพราะผมไม่เคยคิดจะเข้าใกล้งู จะไปรู้แน่ชัดได้อย่างไรว่าปกติเวลางูนอนจะทำตัวคล้ายเด็กติดสัมผัสจำพวกให้ตบก้นหรือตบอกก่อนนอนหรือเปล่า แต่ตอนนี้อาซาก็ไม่ต่างกับเด็ก ตัวเขาเล็กเท่าแขนผมไม่ใหญ่เท่าฟรินน์เหมือนเมื่อตะกี้ เวลาที่เขาขยับตัวเข้าหามือของผมแล้วเสียดสีแผลตัวเองเขาก็จะส่งเสียงรำคาญเบาๆ จนอดไม่ได้ที่จะระบายยิ้มบางๆ
ผ่านไปสามวันอาซาก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงกลับกลายร่างเป็นคนได้ ทีแรกกะไว้ว่าวันนี้เขาจะดีขึ้นแต่ก็เปล่า หลายครั้งที่เขาพยายามจะกลับไปเป็นคน แต่สุดท้ายก็มีแต่จะหมดเรี่ยวหมดแรง จนผมต้องสั่งห้ามเพราะทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาเจ็บ
“ฉันจะรีบกลับแล้วกัน แล้วก็อย่าเลื้อยไปเลื้อยมาให้ผ้าพันแผลมันหลุดอีกล่ะ เพราะแบบนี้ไงแผลถึงไม่หายสักที”
อาซาเป็นงูที่ดื้อสุดกำลัง ไม่ว่าผมจะไปไหน ไปกินข้าว ไปช่วยปารีสทำกับข้าว หรือจะออกจากบ้านไปเรียน แม้แต่จะเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำ เขาก็จะเลื้อยตามผมไปทุกที่ตลอดเวลา สุดท้ายผ้าพันแผลก็หลุดลุ่ยไม่อยู่กับตัว แผลก็ไถลไปตามพื้นไม่หายเสียที บ่นมากๆเข้าก็ไม่ยอมฟัง นี่ดีนะ ทุกเย็นที่ผมไปงานศพนิกกี้อาซาไม่ตามไปด้วย เพราะผมเพิ่งรู้ว่าพวกครึ่งคนครึ่งสัตว์ ถ้าหากอยู่ในร่างที่เป็นสัตว์จะเข้าไปในโบสถ์ไม่ได้
ซี่ๆๆ ซี่ๆๆ
อาซาที่เลื้อยไปมาบนเตียงส่งเสียงเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างกับผม หัวของเขาชูสูงขยับไปมา แต่เสียใจ ผมฟังเขาไม่รู้เรื่อง เคยพยายามจะตั้งใจฟังเผื่อว่าผมจะสามารถสื่อสารกับเขารู้เรื่องเหมือนในความฝัน หรือเหมือนตอนที่เขากลายร่างต่อหน้าผมครั้งแรกที่บ้านพักคาร์เตอร์ แต่จนแล้วจนรอดก็เปล่าประโยชน์ ยังไงผมก็ฟังอาซาที่เอาแต่ส่งเสียงซี่ๆทั้งวันไม่รู้เรื่องอยู่ดี ไม่รู้ว่าทำไม ไม่มีใครบอกผมได้ว่าทำไมครั้งนั้นผมถึงฟังเข้าใจ แต่คราวนี้ แม้แต่นิดเดียวก็ไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งผมต้องไปหาล่ามมาแปล ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล ก็คนในบ้านนี้ทั้งนั้น
ผมมีเรื่องมากมายที่จะคุยกับเขา ถ้าเขายังไม่หายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ไหนจะเรื่องที่เขาออกไปสู้กับเจอร์โรมจนบาดเจ็บ ไม่รู้ฝ่ายนั้นยังอยู่ดีหรือเปล่า นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องจิปาถะที่ผมเคยอยากจะถาม เรื่องที่ใครต่อใครบอกว่าผมเป็นงู หรือเรื่องที่ผมเป็นคนรักของเราเหมือนหลายพันปีก่อน แต่จนวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ถาม เขาหายเมื่อไหร่เราคงได้คุยกันอย่างจริงจัง จะมาอ้างว่ายังไม่ถึงเวลาไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันเลยเถิดมาจนเกินพอ
“แกนี่มันจริงๆเลยวะอาซา ฉันก็ไปเป็นเพื่อน เราไปกันทั้งบ้าน จะห่วงโยชิอะไรนักหนา” ฟรินน์เดินเข้าไปหาอาซาในชุดสีดำทั้งตัว ผมเองก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยเพื่อไปร่วมงานฝังศพนิกกี้
ซี่ๆๆ ซี่ๆๆๆ ซี่!
ผมปล่อยให้ฟรินน์กับอาซาคุยกันไป เลี่ยงเข้าห้องน้ำเพื่อฉีดน้ำหอมและทำธุระส่วนตัว ออกมาอีกทีฟรินน์ก็ยืนยิ้มแป้นในมือถือผ้าพันคอส่งมาให้ผม ผมมองงงๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะยื่นให้ผมทำไม
“คือไอ้อาซามันบอกว่ามันจะไปด้วย” เขาพูด ผมเหลือบไปมองอาซาบนเตียงที่นอนนิ่งไม่ได้เลื้อยไปมาอีกแล้ว
“ไม่ได้ ก็เวสตันบอกว่า...” ผมยังพูดไม่จบฟรินน์ก็พูดแทรก
“สุสานอยู่นอกเขตโบสถ์ เข้าได้”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จะให้ฉันอุ้มเขาเดินเข้าไปโจ้งๆ คนอื่นก็ได้ตกใจกลัวกันพอดีสิ”
ถึงยังไงคนปกติก็มักเป็นโรคไม่ถูกกับงูอยู่แล้ว น้อยคนที่จะไม่กลัวงู ถ้าพาอาซาไปก็มีแต่จะทำให้คนแตกตื่น และถึงจะบอกว่าอยู่นอกเขตโบสถ์ แต่ผมก็ไม่อยากเสี่ยงให้เขาหมดเรี่ยวหมดแรงไม่มากกว่านี้ เกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาแล้วเมื่อไหร่เขาถึงจะกลายเป็นคนได้สักที
“แต่นายจะทิ้งให้มันอยู่บ้านคนเดียวเหรอ เราไปกันหมดเลยนะ”
เอ่อ...นั่นสิ ผมลืมไปเลย
มองไปทางอาซาอีกครั้ง ก่อนจะเหสายตามองฝ้าพันคอในมือฟรินน์
“แล้วฉันต้องทำยังไง เอาผ้าห่อตัวเขาเหรอ”
ทำแบบนั้นแล้วคนจะไม่สงสัยเหรอว่าผมหอบอะไรไว้ในผ้าแทนที่จะหอบดอกไม้ไปให้คนตาย
ฟรินน์เดินกลับไปหาอาซา หิ้วตัวเขาขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวไม่ระวังเลยสักนิด หัวเขาห้อยต่ำจนผมกลัวว่าตัวอาซาจะไหลลงไปกระแทกพื้น จึงต้องเข้าไปแย่งมาอุ้มไว้แทน เลยถูกฟรินน์ยิ้มล้อ ก็ผมห่วงของผมนี่
“เอามันพันไว้ที่คอนายแล้วก็เอาผ้าพันคอคลุมทับอีกทีสิ แค่นี้ก็ไม่มีใครเห็นแล้ว” ฟรินน์แนะนำ แต่เป็นวิธีที่ทำให้ผมคิดหนัก งูนะไม่ใช่สร้อย จะได้เอาไปคล้องคอ
แต่ทางเลือกมีไม่มาก ผมเลยต้องเอาตามที่ฟรินน์พูด จับตัวอาซาคล้องคอเอาไว้ หัวของเขาซบอยู่บนบ่าผมก่อนที่เจ้าตัวจะขยับซุกหัวที่ซอกคอผม ผ้าที่คลุมปิดตัวเขาไว้ผมแหวกเปิดตรงจมูกให้เขาได้หายใจ
เราเอารถไปสองคัน คันแรกของเวสตันมีปารีสและจูเลียตนั่ง ส่วนคันของอาซาที่ฟรินน์ไปเอากลับมาให้จากจุดเกิดเหตุที่ผมพบอาซา ก็พบว่าน้ำมันหมด แล้วอาซาก็เลยจะเลื้อยกลับบ้าน แต่เจอคนมุงเข้าก่อน เลยไม่ได้ไปไหน ไหนจะหมดแรงเลื้อยต่อไม่ไหวอีก ถ้าผมไม่ไปเจอ อาซาคงถูกส่งตัวไปสวนสัตว์โดยที่ไม่มีใครรู้เรื่อง
“ขึ้นมาเลย” ฟรินน์ส่งเสียงเรียกเติร์ดที่อุ้มปุยเมฆยืนรออยู่หน้ามหาวิทยาลัยขึ้นรถ ผมหันไปมองมัน แต่ปุยเมฆแยกเขี้ยวขู่ผมอย่างที่ไม่เคยเป็น ส่วนอาซาที่หลบอยู่ใต้ผ้าพันคอก็ขยับตัวเหมือนอึดอัด ไอ้เติร์ดก็ดูจะแปลกใจกับท่าทางของแมวนิกกี้ที่ตอนนี้กลายเป็นแมวมัน
“เป็นอะไรวะ ปกติก็ออกจะเลี้ยงง่าย”
เติร์ดก้มมองปุยเมฆในอ้อมแขน ผมสบตากับฟรินน์อย่างขอความเห็น มือยกจับอาซาไม่ให้ขยับตัว เพราะมันเสียดสีที่คอจนจั๊กจี้
“อาซามันไม่ชอบแมว แล้วอีกอย่าง...” ฟรินน์มองกระจกหลัง จ้องปุยเมฆเหมือนใช้ความคิด ส่วนเติร์ดก็กำลังลูบขนปุยเมฆให้สงบ
“มีอะไรงั้นเหรอ” ผมถามเสียงเบา ไม่ให้เติร์ดที่กำลังคุยกับปุยเมฆที่ยอมสงบนอนนิ่งๆได้ยิน
“เปล่าหรอก”
ฟรินน์ส่ายหน้าเบาๆ เลิกสนใจปุยเมฆกลับไปจดจ่ออยู่กับถนน ผมต้องจับตัวอาซาเอาไว้ให้อยู่นิ่งๆ เขาก็ทำตามแต่โดยดี
ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มเข้ากับบรรยากาศที่แสนเศร้า ตลอดทางผมปล่อยอารมณ์ไปกับภาพนอกรถ ผู้คนที่เดินผ่านไปมา หรือแม้แต่หมาแมวที่บ้างก็เดินบ้างก็นอนอยู่ริมถนน มองเห็นชีวิตของมนุษย์ที่ต้องต่อสูดิ้นรนในวิถีทางที่ต่างกันออกไป ใครจะรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น ใครจะรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีเพียงมนุษย์ผู้โง่เขลา ผมไม่รู้ว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมา จะมีใครที่ไม่ใช่มนุษย์ปกติแอบแฝงอยู่เปล่า หรือเผลอคิดไปว่า วันนี้จะมีใครโชคร้าย...หรือโชคดีที่ไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไป
แต่ผมขอให้ไม่ใช่ผม ผมยังอยากมีชีวิตอยู่กับคนที่ผมรัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่ยอร์ช หรืออาซา ผมยังอยากอยู่ตอบแทนคุณพ่อและแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว อยู่ดูพี่ยอร์ชมีความสุข อยู่เพื่อความรักที่อาซามีให้ผม และผมขอให้ผมเป็นคนโชคดีที่ยังมีลมหายใจ
เพียงชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงโบสถ์ที่สามสี่วันมานี้ผมมาทุกวัน ฟรินนฺและเติร์ดลงจากรถก่อนผมพร้อมลูกแมวน้อย ผมกระชับผ้าพันคอให้เรียบร้อย ตรวจจนแน่ใจแล้วว่ามันจะไม่หลุดเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน
“อยู่นิ่งๆนะอาซา ห้ามกระดุกกระดิกโดยเด็ดขาดเข้าใจไหม” ผมกำชับ อาซาใช้หัวของเขาถูกซอกคอผมสองทีเหมือนจะบอกว่าเข้าใจแล้ว ผมถึงได้ลงจากรถ
ในวันนี้คนที่มาพิธีฝังศพมีไม่มาก ดอกไม้ที่ปารีสแวะซื้อระหว่างทางถูกส่งต่อให้พวกเราทุกคน พ่อกับแม่ของนิกกี้เข้ามาต้อนรับพวกเราด้วยความยินดี แต่ละคนมีใบหน้าที่อิดโรย เต็มไปด้วยความเสียใจที่ต้องสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รัก นิกกี้มีพี่น้องหลายคน เธอเป็นลูกคนที่สาม และยังมีน้องอีกสองคน ถือว่าเป็นครอบครัวที่ใหญ่พอสมควร
วันนี้ผมมาเพื่อลานิกกี้เพื่อนที่ผมรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะกลายเป็นนางฟ้าที่แสนงดงามอยู่บนสวรรค์
บาทหลวงเริ่มทำพิธีในการส่งดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ ผมยืนก้มหน้าต่ำเพื่อมองโลงที่อยู่ในหลุมฝัง นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งสุขและทุกข์ที่ผมกับนิกกี้มีร่วมกัน ในเวลาอันสั้น ความทรงจำแม้จะมีไม่มาก แต่ก็เป็นความทรงจำที่มีความหมายเปรี่ยมล้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะเจอเพื่อนดีจนเรียกได้ว่าเพื่อนแท้ และเธอคือเพื่อนแท้ของผม
‘เกิดชาติหน้า ขอให้เราเป็นเพื่อนกันอีกนะ เมื่อถึงตอนนั้น ฉันสัญญาว่าฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด จะไม่ให้เธอต้องเจอเรื่องแย่ๆอย่างชาตินี้ ฉันขอโทษ ได้โปรดยกโทษและอภัยให้ฉัน ฉันจะระลึกถึงเธอเสมอ’ ดอกกุหลาบสีสาวที่นิกกี้ชอบ ผมค่อยๆวางมันลงพร้อมดินก้อนในหลุมศพ น้ำตาสักหยดไม่ได้ไหลออกจากตาของผม ผมสัญญากับเธอแล้วว่าผมจะเข้มแข็ง ผมจะไม่ทำให้เธอต้องผิดหวังอีกซ้ำสอง เสียงร้องไห้โฮจากแม้ของนิกกี้ดังยามที่กำลังจะผิดฝาหลุมศพเสียดหัวใจยามที่ ผมข่มความคิดแย่ๆให้ลึกที่สุด แต่มันคอยแต่จะตีตื้นขึ้นมาทุกครั้งยามที่ได้ยินเสียงร่ำไห้เรียกหาคนที่จากไป ว่าผมคนนี้พรากดวงใจไปจากพวกเขา
อาซารัดคอผมแน่นเหมือนจะบอกว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ เขากำลังปลอบไม่ให้ผมเศร้าใจ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า ที่เริ่มจะมีแสงอาทิตย์สีทองส่องผ่านก้อนเมฆสีคล้ำที่ค่อยๆแหวกตัวออกเผยให้เห็นท้องฟ้าเบื้องบนที่สดใส
แด่เพื่อนรักที่จะไม่ตายจากหัวใจ
ฉันจะคิดถึงเธอ ต่อด้านล่าง