ขอความกรุณาอ่านช่วงสนทนาพาทีท้ายบทด้วยค่ะ...นะคะที่รัก
TEN
เลือดในกายผมพลุ่งพล่านและร้อนระอุเหมือนมีเตาไฟอยู่ในร่าง ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย อาการปวดแผลที่แขนรุนแรงหนักขึ้น หัวใจผมเต้นแรงสลับแผ่วเบาจนเกือบจะไม่เต็ม ลมหายใจติดขัด เสียงกรนด่าของจูเลียตดังแว่ว รถขับเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาจนผมมึนหัวหนัก สายตาเริ่มพร่ามัว
“ฮัลโหล อาซา! ขอบคุณพระเจ้าที่นายรับสายฉันเสียที ตอนนี้เกิดเรื่องแล้ว โยชิกำลังจะตายแล้ว ฉันกำลังจะพาเขาไปโรงพยาบาล ห๊ะ! อะไรนะ!? ถ้าไปโรงพยาบาลไม่ได้แล้วจะให้ไปไหน เลือดเขาไหลออกใหญ่แล้ว โดนไอ้พวกหมาชั้นต่ำมันทำร้ายเอาน่ะสิ! ได้...ฉันจะรีบพาเขาไปเดี๋ยวนี้ และนายจะต้องเล่าให้ฉันฟังทั้งหมดว่าไอ้เด็กจอมรั้นนี่เป็นใคร เข้าใจไหม นายติดหนี้ฉัน!”
จูเลียตตะโกนเรียกผมและคอยตบให้ผมรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ผมพยายามฝืนตัวเองเอาไว้ กังวลว่าตอนนี้เลือดคงไหลออกหมดตัวแล้ว ไม่นานรถก็จอดสนิท จูเลียตลงจากรถหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมใครบางคน ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัดเพราะอาการบาดเจ็บที่ทำให้ผมมึนและน้ำตาที่คลอเอ่อบดบังการมองเห็น
“พาเข้าไปข้างในเลย เฟลิกซ์ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม”
เฟลิกซ์...หรือว่า...
“โอ๊ย!” ผู้ชายคนที่จูเลียตพามากระชากผ้าที่ปิดแผลผมอย่างแรง ผมร้องเสียงหลง หดแขนเข้าหาตัวแต่เขายึดไว้แน่น
“โดนพิษ ต้องรีบเอาออก ไม่งั้นแย่แน่”
แล้วตัวผมก็ลอยหวืด ถูกอุ้มเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ผมเพ่งสายตามองคนที่กำลังอุ้มผมอยู่ เขาคือคนที่ชื่อคาร์เตอร์ คนที่ผมเจอในผับวันนั้น
เขาวางผมลงบนเตียง ผมหลับตาแน่น กัดฟันข่มความเจ็บตอนที่คาร์เตอร์ใช้อะไรสักอย่างราดลงบนแผล แล้วตัวผมกระตุกอย่างแรงคล้ายอาการชัก ผมตกใจมาก เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผม ผมเริ่มจะหายใจไม่ออกเข้าไปทุกที ก่อนที่จะค่อยๆสงบลงเพราะยาบางอย่างที่คาร์เตอร์ฉีดที่แขนผม
“โยชิ!”
เสียงอาซา ผมจำได้...ผมอยากจะเอ่ยเรียกเขากลับ แต่ผมไม่มีแรงเลย หนังตาหนักอึ้ง เห็นเขาอยู่ตรงหน้าแค่เลือนราง ขยับปากจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้
“อาซา เราต้องใช้เลือดพวกนาย...เด็กนี่ไม่ใช่คนปกติ นายรู้ใช่ไหม”
“รู้...ใช้เลือดฉัน ให้เขา”
พวกเขาหมายถึงอะไร ผมยังไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดกันก็หมดสติไปเสียก่อน
....................
ASA ผมมองโยชิที่นอนอยู่บนเตียงข้างๆ เลือดของผมกำลังไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง ผมยังไม่ได้คุยกับจูเลียตเพราะให้เธอกลับบ้านพักไปก่อน ส่วนผมจะอยู่ดูอาการของโยชิ แผลที่ข้อมือมีผ้าพันแผลพันปิดเอาไว้ แต่ก็ยังมีเลือดซึมเป็นวงกว้าง ไหนจะแผลที่เท้า ตอนนี้อักเสบจนบวมเป่ง ผมเห็นแผลแล้วรู้สึกสงสารเขาอย่างถึงที่สุด
“ไง” คาร์เตอร์ทักผม ผมยืดตัวนั่งตรงบนเตียงที่โยชินอนพักอยู่
คาร์เตอร์เป็นพวกไทกริส หรือพูดง่ายๆคือมันเป็นเสือ เป็นพวกที่จะรักสงบก็ไม่ใช่เป็นนักล่าก็ไม่เชิง เพราะหน้าที่ของพวกไทกริสคือเป็นผู้รักษา พวกนี้โดยส่วนมากจึงเรียนแพทย์ โดยใช้การรักษาคนบังหน้า งานหลักคือรักษาพวกพิเศษอย่างเราๆ และผมเป็นคงสั่งให้จูเลียตพาโยชิมาที่นี่ เพราะถ้าไปโรงพยาบาลปกติ โยชิตายแน่ๆ
ผมกับพวกคาร์เตอร์ไม่ใช่มิตร แต่ก็ไม่ใช่ศัตรู พวกเราทั้งสี่กลุ่มต่างคนต่างอยู่เสียมากกว่า ยกเว้นผมและไอ้เจอร์โรมที่เป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย
“เขาปลอดภัยแล้วใช่ไหม” ผมถาม สายตาจับจ้องไปยังคนที่กำลังหลับใหล ลมหายใจเข้าออกแผ่วเบาจนน่าเป็นห่วง
“พ้นขีดอันตราย แต่พิษพวกแวร์วูฟค่อนข้างแรง พิษแพร่เข้าสู่กระแสเลือดบางส่วนต้องถ่ายออกแล้วให้เลือดใหม่เข้าไปแทน คงต้องรอให้ร่างกายปรับสภาพให้เข้าที่ก่อน แต่ไม่ต้องห่วง เลือดนายเข้ากับเขาได้ ไม่นานก็คงดีขึ้น”
“อืม”
พวกแวร์วูฟงั้นเหรอ...มันเป็นพวกหมาป่าชั้นต่ำ ต่างจากพวกไลแคน แต่ที่ผมกำลังแปลกใจอยู่ในตอนนี้ก็คือ โยชิไปเจอไอ้พวกแวร์วูฟได้ยังไง ในเมื่อพวกนั้นมีอยู่ไม่มากและมักอยู่กันลับๆ และพวกนี้ไม่มีไมตรีจิตให้พวกไหนทั้งนั้น ถ้าเจอกันต่อให้เป็นในร่างมนุษย์ก็คงได้วางมวยกันแน่นอน แต่ต่อให้โยชิเจอพวกมันเข้าจริงๆ มันก็ไม่น่าเกิดเรื่องขึ้น เพราะโยชิไม่ได้มีกลิ่นสายเลือดพิเศษชัดเจน ถ้าเลือดไม่ออกก็ไม่มีทางได้กลิ่นจากตัวเขา
“เด็กนี่เป็นใคร” คาร์เตอร์ถามผม
“เขาเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์” ผมตอบ
“อย่ามากวนอาซา นายก็รู้ว่าที่ฉันถามหมายความว่าไง” คาร์เตอร์ตีคิ้วยุ่งทำหน้านิ่งๆ ต้องยอมรับเลยว่า หมอนี่เป็นคนที่สายตามีอำนาจกดดันคนอื่นอย่างร้ายกาจ ผมจ้องตากลับอย่างไม่กลัวเกรง
“ถ้าไม่ตอบก็พากลับไป ฉันไม่รักษาให้”
“ไม่ได้!”
คิดจะเล่นแบบนี้เหรอวะ มันแสยะยิ้มร้ายแบบผู้ชนะ ผมพ่นลมหายใจหงุดหงิด ถ้าไม่ติดว่าโยชิกำลังแย่ ผมไม่มีทางยอมมันแน่ๆ
“เขาเป็นคนสำคัญของฉัน และก็อย่างที่นายรู้ เขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา” ผมอธิบายเกี่ยวกับคนตัวเล็กแค่สั้นๆ แค่นั้นก็พอแล้วที่คนนอกอย่างมันควรรู้
“แต่ก็ไม่เต็มตัว”
“ใช่”
“แล้วเจ้าตัวเขารู้หรือเปล่า” มันถามพลางเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียง ใช้มือจับชีพจรบริเวณใต้กรามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“ไม่รู้ แล้วก็ให้รู้ไม่ได้” ผมพูดพึมพำ ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากให้เขารู้เรื่อง ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่
“แต่มันจะไม่ดีกว่าหรือไงถ้าจะให้เขารู้ อย่างน้อยก็จะได้ระวังตัวเองมากกว่านี้” มันไม่ง่ายขนาดที่คนปกติธรรมดาจะยอมรับได้หรอก ต่อให้จิตแข็งแค่ไหน แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนแท้ๆ แต่มีจิตวิญญาณของสัตว์แฝงกายซ้อนเร้นอยู่ในตัว ก็คงแทบสิ้นสติถ้าหากได้รู้ความจริง นับประสาอะไรกับโยชิ
“ยังไงก็ไม่ได้ เรื่องนั้นช่างเถอะ เขาต้องรักษาตัวอีกกี่วัน” ผมตัดบท คาร์เตอร์ยืนท้าวเอวจ้องหน้าผม
“อย่างเร็วก็สามวัน อย่างช้าก็อาทิตย์หนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็คงจะปวดไปทั้งตัวเพราะพิษ ต้องรอจนกว่าเลือดจะล้างตัวมันเองจนสะอาด ระหว่างนี้ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัวไม่ได้สักวันสองวัน นายจะเฝ้าไหม”
“อืม แต่ฉันต้องกลับบ้านก่อน ฝากดูสักสองชั่วโมง”
“ได้”
ผมมองหน้าโยชิอีกครั้ง คาร์เตอร์เดินออกไปจากห้อง ผมขยับตัวเข้าใกล้โยชิมากขึ้น ทุกครั้งที่ได้จ้องมองเขาผมมีความสุขทุกครั้งเว้นแต่ครั้งนี้ที่ใจผมกำลังเจ็บปวด ผมคอยบอกกับตัวเองว่าจะคอยดูแลเขาไม่ให้เจอเรื่องร้ายๆ แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ ถ้าเพียงผมจะเป็นคนที่เจ็บแทน ก็คงจะดีกว่านี้
“หายไวๆนะคนดีของฉัน” ผมก้มลงจรดริมฝีปากบนแก้มนุ่มไร้สี ก่อนจะกดจูบบนริมฝีปากสีซีด ไล้ลิ้นเลียเติมความชุ่มชื้นให้ก่อนที่มันจะแห้งผากแตกเป็นขุยมากไปกว่านี้
ผมทำใจละสายตาจากโยชิ ลุกออกจากห้องนอนรับรองของบ้านไทกริส สวนทางกับเฟลิกซ์ที่กำลังจะเข้ามาในห้อง
“ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวดูให้”
“ขอบใจ”
ผมเดินออกมาหน้าประตูทางเข้า มองจนแน่ใจว่าไม่มีคนจึงกลายร่างเลื้อยกลับบ้านอย่างรวดเร็ว เพียงแค่สองนาทีผมก็มาถึงหน้าบ้านของตัวเอง ไม่บ่อยที่ผมจะทำแบบนี้ภายในมหาวิทยาลัย เพราะมีพวกมนุษย์ปนอยู่ปะปราย ไม่สามารถทำอะไรที่จะเลี่ยงต่อการทำให้ความลับถูกเปิดเผย แต่ครั้งนี้มันจำเป็นเพราะผมใจร้อนต้องถามจูเลียตว่าเกิดอะไรขึ้น
“อาซากลับมาแล้ว! โยชิเป็นไงบ้างวะ” ฟรินน์วิ่งเข้ามาถามผมเป็นคนแรก คนอื่นๆก็ส่งสายตาเป็นห่วงมา
“ปลอดภัยแล้ว เหลือแต่รอดูอาการ มันเกิดอะไรขึ้นจูเลียต” ผมเดินไปยืนหน้าจูเลียต เธอเงยหน้ามองผมหน้าตึง
“เฮ้อ...ฉันพาโยชิไปซื้อหนังสือที่ตรอกX เด็กนั่นเข้าไปดูคนเดียว ฉันรู้ว่าแถวนั้นมันเป็นถิ่นของพวกแวร์วูฟ ฉันเลยรอยู่แค่ในรถไม่ออกไปข้างนอก แต่ใครจะไปรู้ว่าเด็กนั่นไม่ใช่คนธรรมดา ทำไมนายไม่บอกฉันอาซา”
“แล้วไอ้พวกแวร์วูฟมันรู้ได้ไงว่าโยชิมีสายเลือดพิเศษ”
“จะไม่รู้ได้ยังไง ก็เล่นโง่ซุ่มซ่ามปล่อยให้เลือดไหล พวกมันก็เลยได้กลิ่น และฉันมีข่าวร้ายจะบอกนายนะอาซา และเรื่องนี้นายโทษฉันไม่ได้”
“เรื่องอะไร”
“เด็กจอมแส่ไม่เข้าเรื่องเห็นฉันตอนเป็นงู ตอนที่กำลังฆ่าพวกมัน”
หัวของผมเหมือนถูกทุบด้วยหินก้อนยักษ์ทันทีที่สิ้นเสียงจูเลียต ก่อนที่ความเดือดดาลจะเข้าครอบงำผม
“เธอปล่อยให้เขาเห็นได้ยังไง!” ผมตวาดเสียงดังถึงขนาดที่แจกันใบใหญ่ใกล้ตัวระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ฉันไม่ได้ปล่อย! ฉันปิดตาเจ้าเด็กบ้านั่นไว้แล้ว แต่มันดันพูดไม่รู้ฟัง เปิดผ้าแล้วก็ออกมานอกรถเฉย ฉันไม่ผิด!!!”
“โธ่เว้ย!” ผมสบถดังลั่นบ้าน ทำไมเป็นแบบนี้วะ
ตั้งแต่มีชีวิตมาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกลัวจับจิตจับใจ กลัวจนทำอะไรไม่ถูก ตอนที่ผมเสียเขาไปในตอนนั้น ผมยังไม่กลัวมากเท่านี้มาก่อน ถ้าเขารู้ว่าผมเป็นอะไร ผมเสียเขาไปแน่ๆ และผมคงไม่มีทางได้เขากลับคืน เขาจะต้องเกลียดผมไปจนวันตาย
ผมหมดแรง ทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟา ขยี้หัวตัวเองอย่างแรงเพราะความรู้สึกข้างในมันกำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง บ้านเงียบกริบไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงเสียงตะโกนร้องจากข้างในอย่างทุกข์ทรมาน เมื่อไหร่คำสาปเวรนั่นจะหายไปเสียที จะต้องให้ผมทรมานเหมือนตายทั้งเป็นไปจนถึงเมื่อไหร่
‘เมื่อไหร่ก็ตามที่บังเกิดความรัก...เมื่อนั้นความเกลียดชังจะบังเกิดขึ้น’ มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ สิ่งที่ผมหลีกหนีมาตลอด
“คราวนี้นายปิดเรื่องนี้ไม่ได้แล้วอาซา อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด นายควรให้เขารับรู้ซะ” เวสตันพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ แม้แต่จูเลียตก็ไม่ได้เปิดปากให้ผมหัวเสียไปมากกว่านี้ เพราะครั้งนี้ผมเครียดจริงจัง
ผมนั่งใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ ตั้งสติให้มั่นและคิดว่าตอนนี้มีอะไรที่ผมจะต้องทำ ผมยอมรับว่าผมกำลังอ่อนแอเพียงแค่รู้ว่าโยชิรู้เรื่องของผม ทำเอาผมเสียศูนย์จนคิดอะไรไม่ออก
“ถึงโยชิจะรู้ว่าเราเป็นอะไร แต่จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไร”
ผมยอมให้เขาเกลียดผม แต่ผมจะไม่ยอมให้เขาเกลียดตัวเอง ผมไม่อยากเห็นเขาเป็นทุกข์
“เอาล่ะอาซา ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว นายควรพูดความจริงเกี่ยวกับโยชิให้หมด พวกเราจะได้ตัดสินใจกันว่าจะเอายังไงต่อไป” ปารีสพูด ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“เขาเป็นคนรักของฉัน” ผมตัดสินใจเล่า ทั้งๆที่ไม่อยากจะเล่า ผมไม่อยากให้ใครรู้เพราะมันไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่ใครจะรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงก็คือ ผมก็แค่กลัวอดีต...ผมถึงไม่อยากพูดถึงมัน
"เมื่อสมัยกลางโยชิเขาเป็นเหมือนพวกเรา ฉันกับเขาเรารักกัน แต่มันผิดกฎธรรมชาติ เขาถึงได้ถูกทำลายเพราะถูกใส่ร้ายว่าเขาจะเป็นผู้ทำลายล้างพวกเรา เขาตายต่อหน้าต่อตาฉันโดยที่ฉันช่วยเขาไม่ได้เลย เขาเสียชีวิตพร้อมคำสาปติดตัว” ผมกล้ำกลืนฝืนทนพูดถึงอดีตที่แสนโหดร้าย
“คำสาปงั้นเหรอ?”
“ผู้ทำลายฝังคำสาปไว้กับจิตวิญญาณของโยชิ...เมื่อไหร่ก็ตามที่บังเกิดความรัก...เมื่อนั้นความเกลียดชังจะบังเกิดขึ้น”
“แต่โยชิเกลียดงูมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ งั้นที่นายบอกว่านายทำให้โยชิกลัวงูมันหมายความว่ายังไง” เวสตันถามอย่างไม่เข้าใจ คงนึกถึงคำพูดที่ผมเคยบอก
“ตอนโยชิเด็กๆ ฉันตามหาเขาจนเจอแล้วก็ตามเฝ้าดูเขาตลอด มีอยู่วันหนึ่งฉันไปมีเรื่องจนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็อยากจะแวะไปดูโยชิ แต่เขาดันมาเจอฉันเขา เขาไม่กลัวฉัน กลับทำแผลให้ ฉันพูดกับเขาและเขาฟังฉันรู้เรื่อง พวกนายก็รู้ว่าพวกเราถ้าเกิดถูกทำลาย ต่อให้เกิดเป็นคนก็ยังจะมีคำสาปติดตัว”
“เหมือนตราบาป แต่ไร้ซึ่งอำนาจ แต่ทำไมโยชิพูดภาษาพาเซลล์ได้” ฟรินน์ถาม
“เพราะโยชิพิเศษกว่าคนอื่น แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไม โยชิไปบอกพ่อตัวเองว่าจะเลี้ยงฉันไว้ ถ้านายจำได้เวสตัน ตอนที่ฉันหลังหักกลับมา นั่นแหละพ่อโยชิตีฉันเอง เพราะเขากลัวว่าฉันจะทำร้ายโยชิ ฉันไม่โกรธเพราะเข้าใจ แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เพราะตั้งแต่นั้นโยชิก็เหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดงู พอเจองูก็จะเข้าไปเล่น เข้าไปคุย ฉันต้องคอยกันพวกงูออกห่างจากโยชิเพราะพวกมันเป็นงูโดยแท้ ไม่อาจควบคุมสัญชาตญาณแต่อยู่มาวันหนึ่งฉันไปหาโยชิที่บ้าน วันนั้นไม่มีใครอยู่ ฉันเข้าไปรอในห้องนอนของเขา จนกระทั่งโยชิกลับมา เขาเข้ามาเจอฉันแล้วก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ ตั้งแต่วันนั้นโยชิก็เกลียดงูมาโดยตลอด”
“แล้วมันเกี่ยวกับนายทำให้โยชิกลัวงูตรงไหน”
“เพราะตั้งแต่วันที่เขาอุ้มฉัน กลิ่นฉันมันก็ติดตัวเขาจนทำให้งูเข้าหาเขา และทำให้เขารู้ว่าตัวเองพูดกับงูได้ โยชิเลยคิดว่างูไม่ใช่สัตว์ที่เลวร้าย ฉันแอบได้ยินพ่อและพี่ชายโยชิคุยกันจนรู้เรื่องว่าโยชิเผลอพูดภาษางูทั้งวัน พวกเขากังวลกับเรื่องนี้มาก สุดท้ายก็พาโยชิไปสะกดจิตเปลี่ยนความทรงจำทั้งหมด โยชิเลยมีปฏิกิริยากลัวและเกลียดงูโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้เจอ”
“ตายห่า แล้วทุกวันนี้โยชิยังฟังภาษาพาเซลล์” ไอ้ฟรินน์ตีหน้ายุ่งกับเรื่องทั้งหมดที่ผมเล่า
“ฉันไม่รู้ แต่ฉันไม่เคยเห็นเขาพูดอีกเลย”
“มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกอาซา แล้วนายรู้ไหมว่าใครเป็นคนสะกดจิตโยชิ เผื่อว่าเราจะแก้ไขเรื่องนี้ได้” ปารีสถาม ผมส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันเคยสืบแล้ว แต่สายเกินไป คนที่สะกดจิตโยชิตายไปแล้ว ก่อนฉันจะตามเจอแค่วันเดียว”
“เฮ้อ เรื่องมันซับซ้อนจังเว้ย”
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องไม่ให้โยชิรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และกันโยชิออกห่างจากไอ้เจอร์โรมให้มากที่สุด พวกนายจะช่วยฉันได้ไหม ฉันขอร้อง” ผมทิ้งตัวคุกเข่าต่อหน้าทุกคน ผมยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง ก้มหัวขอร้องคนอื่นแบบที่ผมไม่เคยคิดทำ แต่ถ้ามันจะช่วยให้โยชิปลอดภัยจากสิ่งเลวร้ายทั้งปวง ต่อให้แลกด้วยชีวิตของผม ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ยอม
“นายไม่ต้องทำขนาดนั้นอาซา ลุกขึ้น พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน คนในครอบครัวเดือดร้อนเราก็ต้องช่วยอยู่แล้ว” เวสตันเน้นคำหนักแน่นอีกครั้ง
“ฉันช่วยเต็มที่ ไม่ต้องห่วง” ฟรินน์เดินเข้ามากอดไหล่ผมแน่น
“ฉันก็ด้วย” ปารีสยิ้มให้ผม
“แล้วเธอล่ะจูเลียต เต็มใจจะช่วยคนในครอบครัวไหม” เวสตันถามจูเลียตสีหน้าจริงจัง ผมมองเธอที่มองออกไปทางอื่น ทุกคนรอคำตอบจากเธอ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจและคำตอบ
“ก็ได้...จะคิดเสียว่าทำบุญ”
“ขอบใจ...ทั้งล่วงหน้าแล้วก็วันนี้ ขอบใจที่ปกป้องเขา” ยังไงวันนี้จูเลียตก็ช่วยชีวิตโยชิเอาไว้ ไม่ได้เธอ หัวใจผมคงสลายเป็นผุยผงไปแล้ว
“ฉันทำเพื่อตัวเองต่างหาก” เธอสะบัดเสียงแล้วก็ลุกหนีขึ้นห้อง ผมและคนอื่นๆมองหน้ากัน ทุกคนยิ้มให้ผม ทำเอาผมเกือบทำสิ่งที่หน้าอายด้วยการร้องไห้ต่อหน้าทุกคน ครอบครัวของผมจริงๆยังไม่เคยช่วยเหลือผมได้ขนาดนี้ มีแต่จะพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากผม และผมจดจำช่วงเวลาแสนอัปยศได้ไม่เคยลืม
“เฮ้ทุกคน...ฉันว่าฉันมีแผน” เสียงของฟรินน์ปลุกผมออกจากความคิด
“แผนอะไร”
“แผนการกระตุ้นความทรงจำให้โยชิหายกลังงูไง เหมือนพวกความจำเสื่อม ไม่แน่นะ การที่โยชิรู้ว่าเราเป็นอะไร อาจทำให้เขาหายกลัวงูก็ได้”
บอกตามตรงว่าผมไม่ไว้ใจความคิดของฟรินน์แม้แต่น้อย เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะมันไม่เคยใช้ได้ผลยังไงล่ะ
........
อ่านต่อด้านล่าง