SEVEN
เขาใจร้ายแบบที่คนอื่นพูดจริงๆ พูดจาเย็นชาแบบนั้นแล้วก็หันหลังเดินจากไปแบบไม่ใยดี แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมถอดใจเพียงแค่นี้ เรื่องนี้ต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็น ผมไม่เชื่อว่าเขาไม่อยากเป็นเพื่อนกันผม ในเมื่อ...เขาทำให้ผมรู้สึกดีขนาดนี้ และผมกับเขาก็จูบกันแล้วด้วย อย่างน้อยเขาควรจะต้องรับผิดชอบอะไรบ้างสักนิดนึง
“เฮ้อ”
กลุ้ม!
“โยชิ!!!” เสียงตะโกนของนิกกี้ดังมาก่อนตัวเสียอีก ผมสะดุ้งมองเธอหน้าซีด ซวยแล้ว...ก็ว่าแล้วเชียวว่าผมลืมอะไร นึกเท่าไหร่ก็นึกไปออกจนถึงตอนเช้า
ผมลืมนิกกี้ไว้ที่ผับเมื่อคืนนี้!!!
เสียงกลืนน้ำลายดังขนาดที่ตัวผมเองยังได้ยิน ใบหน้า ทะมึนทึงและสายตาอันขุ่นเคืองของนิกกี้ทำเอาผมอยากจะวิ่งหนี
ปึก!
นิกกี้กระแทกตัวนั่งลงบนขั้นบันไดข้างๆผมอย่างแรงจนผมกลัวว่าเธอจะเจ็บสะโพก ผู้หญิงเวลาโมโหก็พายุทอร์นาโดดีๆนี่เอง
“เอ่อ...คือว่าฉัน...”
“ไม่ต้องพูด!” นิกกี้สวนฉับ ผมรีบหุบปากตามคำสั่ง
“เมื่อคืนหายไปไหนมา รู้ไหมว่าฉันเดินตามหานายเสียทั่วผับ สุดท้ายก็ไม่เจอ แทนที่ฉันจะได้มีเวลาทำความรู้จักกับหนุ่มๆสุดหล่ออีกสองสามคนที่น่าจะสานสัมพันธ์ด้วยได้ แต่เพราะนายโยชิ!”
ผมสะดุ้งกับความเกรี้ยวกราดของนิกกี้ ตัวเริ่มจะหดลงทุกทีๆ
“เฮ้อ...ช่างเถอะ พูดไปก็เสียอารมณ์ ว่าแต่นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม จะกลับก็น่าจะบอกกันก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ฉันรอด้วยความเป็นห่วง”
เธอทำผมรู้สึกผิดแบบจริงจัง ก็เพราะมัวแต่ช็อคกับคำพูดตัดเยื่อขาดใยของอาซา ผมถึงได้ไร้สติตรงดิ่งกลับห้องด้วยหัวใจที่สับสนไม่เป็นตัวของตัวเอง จนลืมไปเลยว่าผมไม่ได้ไปที่นั่นคนเดียว มานึกได้ก็สายเสียแล้ว
“ฉันโอเค เธอโอเคนะนิกกี้ ขอโทษจริงๆที่ทิ้งไว้แบบนั้น พอดีฉันรู้สึกเวียนหัว มองอะไรก็เบลอๆเลยรีบกลับก่อน ขอโทษจริงๆนะ”
ผมเป็นเพื่อนผู้ชายที่ไม่เอาไหน กล้าลืมเพื่อนที่เป็นผู้หญิงไว้ในผับคนเดียว
“อย่าคิดมาก แค่นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ยิ่งเอ๋อๆอยู่ ฉันละกลัวนายจะถูกล่อลวง”
ไม่ทันแล้วล่ะ...ผมโดนล่อลวงเต็มๆ
เรื่องเมื่อคืนนิกกี้ไม่ได้ถือสาหาความที่ผมทิ้งเธอไว้คนเดียว ในทางกลับกัน เธอบอกว่าคราวหน้าจะต้องไปอีกให้ได้ เพราะเธอคุยกับพวกขาประจำจนได้เรื่องได้ราวมาว่า ในคืนวันศุกร์ที่สิบสามที่จะถึง จะเป็นคืนปล่อยของ ฟังดูน่าตื่นเต้นจนนิกกี้เอาแต่พูดว่าจะต้องไปให้ได้ๆ และคะยั้นคะยอให้ผมไปกับเธอเป็นการไถ่โทษ ผมก็ได้แต่รับปาก ทิ้งคำสั่งห้ามของอาซาไว้ข้างหลัง
หมดชั่วโมงเรียน นิกกี้ลากผมไปกินข้าวที่แคนทีนของคณะวิศวะ คุณเธอบอกว่าหนุ่มหล่อที่เธอคุยด้วยเมื่อคืนอยู่คณะนี้ และนัดกันเอาไว้ว่าจะกินข้าวด้วยกัน ผมกับเติร์ดได้แต่ทำตามความต้องการของเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่ม
“ไกลก็ไกล รู้งี้ฉันไม่มาหรอก” เติร์ดบ่น ผมก็คิดแบบเดียวกัน พวกเราไม่มีใครมีจักรยานสักคน ทำได้แค่เดินและเดิน
“แกจะบ่นทำไม ข้างหน้าก็ถึงแล้วนี่ไง” นิกกี้ที่เดินอยู่ข้างหน้าหันมาทำหน้าบึ้งใส่เติร์ด หมอนี่ก็บ่นหงุบหงิบไม่มีเสียง ผมมองสายตาของเติร์ดออกนะว่ามันคิดยังไงกับนิกกี้ แต่คู่นี้คงจะลงเอยกันยาก เติร์ดก็เจ้าชู้ตัวพ่อ ส่วนนิกกี้ก็สาวหัวสมัยใหม่ ผมมองไม่ออกเลยว่าจะมีทางไหนทำให้สองคนนี้ลงเอยกัน
ทันทีที่พวกผมเดินเข้าไปในแคนทีนของคณะวิศวะ เกือบจะทุกสายตาเพ่งมองที่พวกผมเหมือนเรามีอะไรที่แตกต่างและแปลกแยก พวกเขาหยุดกินอาหารกลางวันกันไปชั่วขณะ
“รีบหาคนๆนั้นของเธอให้เจอเถอะนิกกี้ ฉันไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา”
“อืม นั่นไง อยู่นั่น”
จนกระทั่งพวกเราขยับตัว ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ พวกเขาเลิกสนใจพวกผมสามคน ก้มหน้าก้มตากินข้าว พูดคุยกันสนุกสนามเหมือนไม่มีเหตุการณ์แปลกๆแบบเมื่อกี้เกิดขึ้น เราเดินตามนิกกี้ไปที่โต๊ะหนึ่งที่มีผู้ชายที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกครึ่งนั่งอยู่คนเดียว เน้นว่าคนเดียวจริงๆ ไม่มีใครนั่งกับพวกเขา ทั้งๆที่โต๊ะก็แทบไม่พอให้นักศึกษาทั้งหมดนั่ง
การแต่งตัวของเขาค่อนข้างจะแปลก ถึงตอนนี้จะเป็นฤดูฝน แต่อากาศก็อบอ้าวเกินกว่าที่จะใส่เสื้อโค้ทหนังตัวยาว และที่สำคัญหนังที่เขาใส่เหมือนหนังเกล็ดจระเข้ไม่ก็งู
“ฉันคิดว่าเธอจะไม่มาเสียแล้วนิกกี้” เขาแจกยิ้มพราวเสน่ห์ใส่เพื่อนสาวของผม รวมไปถึงเผื่อแผ่มายังผมกับเติร์ดด้วย เรานั่งลงฝั่งตรงข้าม มีเพียงนิกกี้ที่เดินไปนั่งข้างเขา
“พอดีเดินมาเลยเสียเวลา นายก็น่าจะรู้ว่าการเดินข้ามคณะมันไกลพอสมควร”
“ฉันลืมไป ว่าแต่เพื่อนเธอชื่ออะไรกันบ้างล่ะ” เขาหันมาให้ความสนใจพวกเรา ผมแอบเห็นว่าไอ้เติร์ดเบ้หน้าไม่ชอบใจ ผมเองก็รู้สึกแปลกๆกับคนๆนี้เหมือนกัน แววตาของเขาไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด บางทีผมควรจะเตือนนิกกี้ให้อยู่ห่างๆเขาไว้
“คนนี้เติร์ด คนนี้โยชิ ทุกคนนี่เจอร์โรม”
จะ..เจอร์โรม!
‘วันนี้พวกเจอร์โรมมันจะเล่นงานพวกเวสตัน’
‘ฉันละอยากเห็นไอ้อาซาเล่นงานนัก หมันไส้มานานแล้ว’
‘ห้ามไปยุ่งกับไอ้เจอร์โรมเด็ดขาด อยู่แค่ในที่ของนายก็พอ เข้าใจไหม’ บอกผมทีว่าเขาไม่ใช่คนเดียวกัน คงจะมีเจอร์โรมสักสองสามคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ผมลอบมองหน้าเจอร์โรมแบบไม่ให้น่าเกลียดจนกลายเป็นการพิจารณา แม้ว่าผมกำลังทำแบบนั้นอยู่ก็ตาม เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนไทย เสื้อผ้าที่เขาใส่ก็ดูจะราคาแพง แค่เสื้อโค้ทของเขาก็คงราคาเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
เจอร์โรมคุยกับนิกกี้อยู่สองสามคำก่อนจะหันมามองหน้าผม เขาขมวดคิ้วนิ่งแต่มีรอยยิ้มที่มุมริมฝีปากบางๆ และจู่ๆขนแขนผมก็ลุกชัน
“เอ่อ...ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินดุ่มๆไปหาออกไปหาอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกสักหน่อย สายตาที่เจอร์โรมมองผมตอนที่นิกกี้แนะนำพวกเราให้รู้จักเขา เขามองผมเหมือนเหยื่อ
หมับ!
“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งที่อยู่ๆก็มีคนคว้าแขนไว้ แต่ผมหันไปผมก็ต้องถอนหายใจอย่างแรง
“ดาวเสาร์! ตกใจหมด” คิดว่าใคร ที่แท้ก็รูมเมตผมที่นานๆจะกลับห้องสักที เขาเลิกคิ้วทำหน้าสงสัย
“นายมาทำอะไรที่นี่” เขาถาม ผมเหล่สายตามองไปยังโต๊ะที่เพื่อนผมนั่งอยู่ แต่กลับมีแค่เติร์ดกับนิกกี้นั่งกันแค่สองคน ไร้ร่างเจอร์โรมอยู่ตรงนั้น…หายไปไหน
“ฉันมากินข้าวกับเพื่อน”
“เพื่อน? นายมีเพื่อนอยู่คณะนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ไม่มี ฉันหมายถึงเพื่อนฉันมีนัดกินข้าวกับผู้ชายที่ชื่อเจอร์โรม” บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยอยากจะเอ่ยชื่อนี้สักเท่าไหร่
“ไอ้เจอร์โรมเนี่ยนะมีนัดกินข้าวกับเพื่อนนาย?!”
“ทำไม ฉันมีนัดกินข้าวเที่ยงกับเด็กของฉันแล้วมันแปลกตรงไหน”
เจอร์โรมโผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง เขาพูดแล้วก็ขยับมายืนตรงหน้าดาวเสาร์และผม พอยืนใกล้ๆเขาแบบนี้แล้ว ผมตัวเล็กลงไปถนัดตา ขนาดดาวเสาร์ที่สูงกว่าผมประมาณหกเจ็ดเซนก็ยังเตี้ยกว่าเจอร์โรม เขามองสบตาผมนิ่ง และเป็นผมเองที่หลบตาเขาก่อน แววตาเขาน่ากลัวแบบที่ต่างกับอาซา รายนั้นแค่น่ากลัวเพราะตาของเขาดุ แต่เจอร์โรม...แววตาเขาน่ากลัวชวนขวัญผวา
“ฉันแค่สงสัย ปกติแกไม่เคยทำ” ดาวเสาร์ว่า
“ครั้งแรกเกิดขึ้นได้เสมอ ว่าแต่แกรู้จักเด็กคนนี้ด้วยเหรอ” เจอร์โรมเหล่สายตามองผม ทำเอาผมสะดุ้งนิดๆ
ผมกลายเป็นคนจิตอ่อนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บ้าชะมัด
“โยชิเป็นรูมเมตฉัน”
“โว้ว ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ ฉันไม่คิดว่านายจะอยู่ใกล้ฉันขนาดนี้” เจอร์โรมพยักหน้าและยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยคล้ายว่าพึงพอใจกับอะไรสักอย่าง
“แกหมายความว่าไงเจอร์โรม” ดาวเสาร์ขมวดคิ้วถาม
“ก็ไม่มีอะไรนี่”
“โยชิเป็นเพื่อนฉันอย่าคิดจะทำอะไร" ดาวเสาร์กระซิบกระซาบกับเจอร์โรม ผมเลยไม่ได้ยินว่าดาวเสาร์พูดอะไรกับเจอร์โรม ทั้งดาวเสาร์และเจอร์โรมมองหน้ากันเหมือนหยั่งเชิง ผมมองคนทั้งคู่สลับกันและกำลังสงสัยว่าผมจะยืนอยู่ตรงนี้ทำไม ในเมื่อผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับเจอร์โรม และสายตาที่เขามองผมก็ไม่น่าไว้วางใจ เพราะฉะนั้นผมควรไปจากที่นี่ซะ
“ฉันขอตัวก่อนนะ” พูดจบผมก็แยกตัวออกมา แล้วผมจะไปไหนต่อดี แดดเปรี้ยงเหมือนไม่ใช่หน้าฟ้า ฟ้าโปร่งแบบไร้เมฆ ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้กิน คงต้องหาซื้ออะไรกลับไปกินที่หอ ไม่ก็กลับไปกินบะหมี่ที่ห้องแล้วเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ ผมล้วงโทรศัพท์ส่งข้อความหานิกกี้ว่าผมรู้สึกเพลียขอตัวกลับไปนอนพักก่อน ส่งเรียบร้อยก็เก็บโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์
“ห้องน้ำไม่ได้ไปทางนั้น”
ผมชะงักเท้าเมื่อเสียงของเจอร์โรมดังมาจากข้างหลังและเสียงอยู่ใกล้มาก ผมหันกลับไปมอง เขาสอดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทขยับเดินเข้ามาใกล้ผม เขาตามผมมาทำไม เขาควรจะกลับไปนั่งกินข้าวกับนิกกี้สิถึงจะถูก
“นายมีอะไร” ผมมองเจอร์โรมด้วยความระแวดระวัง ผมเชื่ออาซานะ ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะใจร้ายกับผม แต่ผมก็ยังเชื่อใจและเชื่อในคำพูดของเขา
“นายคงไม่รู้ว่าห้องอยู่ที่ไหน ฉันจะพาไปเอง”
“ไม่เป็นไร ฉันไปเองได้” ผมรีบตอบ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ คนกันเองทั้งนั้น” คำพูดคำจาเป็นกันเองแต่ความรู้สึกผมไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองโดนคุกคาม และความจริงที่ว่าผมไม่ได้เกรงใจ ผมไม่อยากข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ แต่เจอร์โรมไม่สนใจคำพูดของผม เพราะเขาบังคับผมทางสายตาให้เดินไปกับเขา
“ฉันไปเองได้จริงๆ”
“ไม่เอาน่า เป็นเด็กดีหน่อยสิ”
“...”
“เผื่อนายจะไม่รู้ว่าฉันไม่ชอบพูดซ้ำสอง”
ผมนิ่วหน้าเมื่อเจอร์โรมเดินเข้ามาบีบต้นแขนผมและดึงผมให้เดินตามเขาไปอย่างเอาแต่ใจ ทั้งน้ำเสียงสีหน้าและแววตาทำให้ผมต้องยอมเดินตามแรงบังคับ มือที่จับอยู่ที่ต้นแขนของผมร้อนราวกับไฟ ผิวโดยรอบขึ้นสีแดงจางๆไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงเค้นหรือเพราะความร้อนกันแน่ แต่มันทำให้ผมค่อนข้างกังวลจนอยากจะสะบัดแขนเขาออกแล้ววิ่งหนีกลับหอให้รู้แล้วรู้รอด
หมับ!
“อ๊ะ!...”
แขนอีกข้างถูกกระชากอย่างแรงจากข้างหลัง ผมหันไปก็เจออาซา ใจชื่นด้วยความโล่งอกปนดีใจ ผมยิ้มออกโดยไม่รู้ตัว แต่ใบหน้าอาซากับเกร็งเครียด แนวสันกรามขึ้นรูปเพราะเจ้าตัวขบฟันแน่น ได้ยินเสียงสบถเบาๆจากเจอร์โรมแต่เขายังกำรอบต้นแขนผมแน่น
“ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!” อาซากัดฟันพูดเสียงเข้มขึ้นเชิงออกคำสั่ง มือที่กำแขนผมแน่นไม่ต่างจากข้างที่ถูกเจอร์โรมบีบเอาไว้ แต่ที่ต่างคือ...มือของอาซาเย็นเป็นน้ำแข็ง
“กล้ามากที่เข้ามาในถิ่นฉันคนเดียว” เจอร์โรมตาลุกวาวยอมปล่อยมือออกจากแขนผม อาซาดึงตัวผมให้หลบอยู่หลังเขา
“ฉันจะกล้ามากกว่านี้ถ้าแกล้ำเส้น ฉันเตือนแกแล้วนะ”
“แล้วไง ก็แกไม่ต้องการเด็กคนนี้แล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อวานแกพูดเอง นายก็จำได้ไม่ใช่เหรอโยชิ” รายนั้นถามความเห็นจากผมโดยไม่ได้ละสายตาจากอาซา ผมปิดปากเงียบไม่ได้ตอบ แน่นอนว่าผมจำได้ จำได้แม่นด้วย แต่ถ้าถามว่าผมเชื่อไหม บอกเลยว่าไม่!
“นั่นไม่ใช่เรื่องของแก อย่าให้ฉันต้องเตือนแกอีกรอบว่าอย่ายุ่งกับคนของฉัน”
“ทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งแกวะ”
“ก็เพราะฉันสั่งให้แกทำ มันยากตรงไหน หรือถ้าฟังภาษาคนไม่เข้าใจ ฉันจะให้ลูกน้องของแกมาแปลเป็นภาษาหมาให้”
“ไอ้อาซา!!!”
“อย่าคิดลองดี แกก็รู้ว่าแกสู้ฉันไม่ได้”
“งั้นก็ดูแลคนของแกให้ดีแล้วกัน พร้อมทั้งความลับของแกด้วย” เสียงเยาะหยันของเจอร์โรมดังไล่หลัง ดวงตากร้าวของอาซาดูโหดกว่าเดิมเมื่อคิ้วเข้มขมวดขึ้งเข้าหากัน ใบหน้าแดงเหมือนโกรธจัด เขาลากผมไปตามทางอย่างเร็วจนผมแทบเดินตามไม่ทัน
“อาซาคือว่าฉันไม่ได้ตั้งใจมาเจอกับ...” อ้าปากได้แค่นั้นเขาก็ขึ้นเสียงสั้นๆใส่ผมคำเดียว
“เงียบ!”
คำเดียวแต่เสียวถึงไส้ติ่ง
“แต่ฉัน...” ผมกำลังจะอธิบายให้อาซาฟังอีกครั้งว่าผมไม่ได้ตั้งจะใจขัดคำสั่งที่เขาบอกไม่ให้ผมยุ่งกับเจอร์โรม แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญ
“ฉันบอกให้เงียบ!” เขาหยุดเดินกะทันหัน หน้าผมกระแทกเข้ากับแผ่นอกแข็งอย่างจัง วินาทีต่อมากลิ่นเลือดลอยคละคลุ้งในจมูก ผมยกมือขึ้นแตะความแฉะที่ไหลออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้าง
เลือดกำเดา...ไหล
“Shit! บ้าเอ้ย เงยหน้าขึ้น!” อาซาตะคอกผมด้วยใบหน้าหวั่นวิตก แต่มือที่เชยหน้าผมขึ้นกับเบาราวไม่ได้สัมผัส
ผม เงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างที่เขาบอก แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาแดดเปรี้ยง ได้ยินเสียงคนที่เดินผ่านไปมาซุบซิบถึงผมกับคนดังที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดจากจมูกผม ผมทิ้งความสนใจเรื่องดินฟ้าอากาศและคนรอบข้าง เลือกสนใจแค่ผู้ชายที่กำลังทำหน้าเป็นห่วงผมเท่านั้น
“อาซา”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
“ทำไม”
“มันจะทำให้ฉันยิ่งหงุดหงิด” ดวงตาสีดำสนิทสบตาผมนิ่งๆ ผมไม่เข้าใจ นี่เหรอคนที่บอกไม่อยากเป็นเพื่อนกับผม แววตาที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วง คนที่ไม่อยากเป็นเพื่อนกันคงไม่มีความรู้สึกแบบนี้ ยังไงผมก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
“ฉันไม่เข้าใจ...เรื่องพวกนั้น”
“โยชิ” อาซากดเสียงต่ำดุผม
“นายไม่ชอบเวลาที่ฉันโมโหหรอก เชื่อสิ”
เลือดกำเดาผมหยุดไหลแล้ว อาซาถึงได้จูงมือผมพากลับหอพัก ระหว่างทางเดินเราไม่พูดอะไรกันสักคำ ผมลอบมองเสี้ยวหน้าเขาหลายครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาที่ผมหลงใหลติดจะหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าหงุดหงิดเรื่องเจอร์โรมหรือเรื่องผม หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง แต่ที่แน่ๆก็คือเขามีอะไรอยู่ในใจ
กริ๊งงงง~
เสียงโทรศัพท์มือถือของอาซาดังตอนที่มาถึงห้องหอพักผม เขามองหน้าจอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหนัก ผมลังเลว่าจะชวนเขาขึ้นไปบนห้องไหม แต่ก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างไหนดี
“ขึ้นไปพักเถอะ”
“อ่อ อืม”
ผมหมุนตัวเดินกลับไปที่หน้าประตูหอพัก แตะนิ้วลงบนแป้นสแกน ไม่วายหันไปมองอาซาอีกครั้ง เขารับสายและหันหลังให้ผม ถึงมีเรื่องจะถามมากมาย แต่เวลานี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่ ผมกลับขึ้นห้องด้วยความรู้สึกสองอย่างที่ตีวุ่นกันไปหมด อย่างแรกผมดีใจที่ได้เจออาซา อย่างที่สองผมอยากรู้ว่าเรื่องที่เขาพูดกับเจอร์โรมหมายถึงอะไร
อะไรที่เป็นความลับของอาซา
“เฮ้อ” เปิดประตูเข้าห้องและปิดมันลง สายตาก้มมองต่ำ ค่อยๆถอดรองเท้าออกก่อนจะเงยหน้าพร้อมกับผงะถอยหลังชนประตูด้วยความตกใจในวินาทีเดียวกัน
“ดาวเสาร์! บ้าเอ้ย!! นายทำฉันตกใจ”
มายืนประชิดไม่ให้สุ่มให้เสียง คนยิ่งมีเรื่องให้ต้องคิดอยู่ ผมเสยผมเซ็งๆ มองดาวเสาร์ที่จ้องหน้าผมนิ่ง คิ้วขมวดติดกัน
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมถาม เขาดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่จากที่เห็น
“นายรู้จักอาซาตั้งแต่เมื่อไหร่โยชิ”
“ก็...ตั้งแต่เปิดเรียน ทำไม” ผมแทรกตัวเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงด้วยความเหนื่อย แค่ช่วงเที่ยงแต่เหนื่อยเหมือนเจอศึกหนักมาทั้งวัน เสียงท้องร้องทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมต้องหาอะไรใส่ท้องแต่ก่อนอื่นผมอยากจะอาบน้ำ
“โยชิ ฉันขอเตือนนายว่าให้อยู่ห่างคนพวกนั้น ทั้งอาซาและเจอร์โรม คนพวกนั้นไม่ใช่คนที่นายควรจะไปยุ่ง” ดาวเสาร์ยืนเท้าเอวพูดจริงจังต่อหน้าผม ผมพ่นลมหายใจออกจากปาก
“ฉันไม่เข้าใจ พวกเขาเป็นมาเฟียงั้นเหรอ หรือเป็นพวกสูงศักดิ์ที่คนระดับฉันไม่ควรยุ่ง ทำไมถึงมีแต่คนบอกให้ฉันเลิกยุ่งกับพวกเขา ทั้งอาซาบอกว่าฉันไม่ควรยุ่งกับเจอร์โรม คนที่ชื่อคาร์เตอร์บอกว่าฉันไม่ควรยุ่งกับอาซา และนายบอกว่าฉันไม่ควรยุ่งกับพวกเขาทั้งสองคน เอาตรงๆนะดาวเสาร์ ฉันไม่เข้าใจ กับเจอร์โรมฉันไม่เถียงนะ เพราะเขาก็ไม่น่าคบจริงๆ แม้เขาจะเป็นเพื่อนนายก็เถอะ แต่กับอาซา...เขาเป็นเพื่อนฉัน และเขาดีต่อฉัน” ผมพูดยาวเหยียดแบบใส่อารมณ์นิดหน่อย เพราะผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนนั้นต้องสั่งให้ผมไม่คบคนนี้ คนนี้สั่งให้ผมอยู่ห่างจากคนโน่น ผมควรมีสิทธิ์ได้เลือกเองสิว่าอยากจะคบใครหรือไม่คบใครก็ได้ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาคอยสั่งคอยบอก มันเลยทำให้ผมค่อนข้างหงุดหงิด
หรือที่ผมหงุดหงิด ความจริงแล้วก็มีคนถึงสองคนบอกให้ผมเลิกยุ่งกับอาซา อ่อ ไม่สิ...สามคนต่างหาก เพราะเจ้าตัวเขาก็พูดเองว่าผมไม่ควรยุ่งกับเขา แต่ตัดออกไปเถอะ ผมไม่เชื่อและไม่ทำตามด้วย ผมดื้อรั้นเพราะถูกพ่อกับพี่ยอร์ชตามใจจนเคยตัว มันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะเป็นคนทื่สื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง
“นายรู้จักกับคาร์เตอร์ด้วยเหรอ” ดาวเสาร์ทำหน้าตกใจเข้าไปใหญ่ ผมส่ายหน้าเซ็งๆ
“ไม่รู้จัก”
“แต่นายเอ่ยถึงเมื่อกี้”
“ฉันไม่รู้จัก” ผมเน้นย้ำคำ
“เฮ้อ ฉันจริงจังนะโยชิ เพราะนายเป็นเพื่อนฉันถึงได้เตือน อย่ายุ่งกับคนพวกนั้น เพราะนายจะมีอันตราย” ดาวเสาร์วกกลับเข้ามาเรื่องเดิม ผมกรอกตาไปมาก่อนจะถามสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวสะอึก
“แม่แต่นายด้วยหรือเปล่าที่ฉันไม่ควรคบ เพราะนายเป็นเพื่อนของเจอร์โรมนี่”
เขานิ่งก่อนจะถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ใช่...รวมถึงฉัน นายก็ไม่ควรยุ่ง”
ต่อข้างล่างค่ะ