TWENTY
ASA Arch University ก่อตั้งโดยบาทหลวงเยโรมที่13 เขาเป็นสายเลือดของบาทหลวงเยโรม นักบุญที่คอยช่วยเหลือคนทุกข์ยากทั้งทางกายและทางใจ พวกเขาพบเจอมนุษย์กลายร่างและได้ทำการช่วยเหลือ ไม่มองพวกมนุษย์กลายร่างเป็นปีศาจร้ายดั่งเช่นที่มนุษย์สามัญทั่วไปทำ
และเขายังให้ความช่วยเหลือมนุษย์กลายร่างในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับมนุษย์กลายร่างสายพันธุ์อื่น จัดตั้งชุมชนและโรงเรียนให้เด็กพิเศษเกิดใหม่ได้มีที่เรียนรู้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครล่วงรู้ถึงความลับหรือเปล่า เพราะพวกเกิดใหม่ที่อายุยังน้อยจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ นักบุญเยโรมจึงอุทิศชีวิตครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือพวกมนุษย์กลายพันธุ์แบบลับๆ เมื่อเขาตาย ลูกชายของเขาทั้งสามคนก็สืบทอดเจตนารมณ์นี้ต่อจากผู้เป็นพ่อ พวกเขาย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ เพื่อรวบรวมชาวเราให้ได้มากที่สุด ให้เรามีสักกัด รับรู้การมีตัวตนและการปฏิบัติตนให้อยู่ร่วมกันและอยู่ร่วมกับมนุษย์สามัญอย่างสงบสุข
นับเวลาหลายร้อยปีเป็นหลายพันปี เวลาเปลี่ยนอะไรๆก็เปลี่ยน สังคมเริ่มมีแบบแผน ลูกแต่ละรุ่นของนักบุญเยโรมยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากพ่อของพวกเขา มนุษย์กลายร่างก็รวมกลุ่มกันกันมากขึ้นในแต่ละเมืองแต่ละประเทศ และในประเทศไทยก็ได้ตั้ง Arch University ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางของเหล่ามนุษย์กลายร่างและพวกเกิดใหม่ เพราะอย่างนั้นโยชิถึงได้รับเชิญให้มาเรียนที่นี่
ผมไม่คิดว่าโยชิจะมาในทีแรก ผมตามติดเขามาตั้งแต่เด็กๆนับจากวันที่ย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย และพบว่าเขาเองก็เกิดใหม่ที่นี่ น่าแปลก แต่ผมถือว่าเป็นโชคดี โยชิเป็นเด็กติดบ้านติดครอบครัว ไม่ค่อยไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงนัก เรียนเสร็จก็ตรงกลับบ้าน เป็นเด็กดีโดยตลอด แต่พอวันแรกที่โยชิย้ายเข้ามาที่นี่ ผมก็ตกใจไม่น้อย
สามสิบกว่าปีก่อน ผมยังอาศัยอยู่ที่อเมริกาและดาร์เรลหรือโยชิก็อยู่ที่นั่น นานนับตั้งแต่ที่เขาจากไปเพราะพ่อของผมและพ่อของเจอร์โรม รวมไปถึงพวกอื่นๆที่เป็นลูกน้องของพ่อร่วมมือฆ่าดาร์เรล เพียงเพราะเขาเป็นผู้ชายและเขาไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างผู้หญิง พวกนั้นกล่าวหาว่าพวกผมทำสิ่งผิดบาป และดาร์เรลจะเป็นผู้ที่นำความเดือดร้อนมาให้เหล่ามนุษย์กลายร่าง พวกเขาจึงลงมือกำจัดดาร์เรลอย่างเลือดเย็น
นับแต่นั้นผมก็ไม่เคยคิดจะเหยียบย่างกลับเข้าบ้าน ผมออกมาอยู่ตัวคนเดียวและคอยตามดูว่าดาร์เรลจะไปเกิดเป็นใคร จากหนึ่งปีเป็นสิบปี จากสิบปีเป็นร้อย จากร้อยเป็นสองร้อย และเป็นพันๆปี ผมเฝ้าตามดูดวงวิญญาณของดาร์เรล การตามหาไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งเจออีกทีเขาก็อายุยี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว และกำลังจะกลับคืนสู่สภาพเดิม หลายครั้งที่ผมอยากให้เขากลับเป็นเหมือนเดิม เราจะได้มีกันและกัน แต่สุดท้ายผมก็ตัดใจ เพราะผมรู้ว่าพ่อตามดูผมอยู่ห่างๆ ผมไม่อยากพรากทุกอย่างไปจากเขาอีกแล้ว โดยเฉพาะชีวิต
แต่ทว่า ความทรมานของผมก็ควรได้รับการเยียวยา และคนเดียวที่จะรักษาได้ก็คือโยชิ ดาร์เรลของผม
ไม่ใช่ว่าตอนนี้ผมไม่ห่วงเขา แต่วันเวลาที่ผ่านมานานขนาดนี้ พ่อคงจะตัดใจไปแล้วเรื่องที่ผมจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลก ไร้สาระสิ้นดี เพราะงั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
ยกเว้นแต่...
“นายทำอะไร”
เวสตันยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของผม เขามองกระเป๋าเสื้อผ้าบนเตียง ผมยัดเสื้อและข้าวของเครื่องใช้ใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว เมื่อเช้าผมโทรตามพวกเวสตันกลับบ้าน แผนการพักร้อนในฤดูฝนของพวกนั้นคงต้องพักเก็บไปชั่วคราว เพราะผมคงไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในบ้านร่วมกับโยชิอีก
“ฉันจะไปอยู่หอพักกับโยชิสักพัก มีอะไรก็โทรมาละกัน”
พ่อและพี่ชายของโยชิรับรู้ว่าผมคบหากับลูกชายเขา และก็คงรู้ว่าผมได้ล่วงเกินเด็กตัวเล็กไปแล้ว ถึงได้สั่งให้โยชิอยู่ที่หอ ไม่อนุญาตให้กลับมาอยู่ที่บ้านผม ผมไม่ขัดเพราะเข้าใจ ก็ทั้งสองคนเลี้ยงดูโยชิมาอย่างดี ก็ต้องหวงและห่วงเป็นธรรมดา
‘ฉันไม่เคยห้ามถ้าโยชิจะมีคนรัก แต่สิ่งที่นายทำมันก็ไม่สมควร ฉันรักน้องฉันมาก มากกว่าที่นายคิด ฉันจะไม่สั่งห้าม แต่บอกไว้ก่อนว่าฉันยังไม่ยอมรับนาย และหลังจากนี้ห้ามนายทำอะไรน้องฉันอีกเป็นอันขาด โยชิยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องพวกนั้น หวังว่านายจะเข้าใจและทำตาม’
‘อืม’
ผมเข้าใจ
‘เข้าใจก็ดี’ แต่ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ ผมคงจะทนต่อไปได้ ถ้าหากมันไม่มีครั้งแรก โยชิเป็นเหมือนสิ่งเสพติด ยิ่งเสพยิ่งอยาก ยิ่งได้ลิ้มลองยิ่งโหยหา
‘และอย่าได้คิดจะทำเรื่องเลวๆกับน้องฉัน ถ้านายทำโยชิเสียใจ นายเจอดีแน่’
‘จะไม่มีวันนั้นแน่นอน’
‘ให้มันแน่ อย่าดีแต่ปาก’ ผมเลิกสนใจคำพูดของพี่ชายโยชิ เอาอะไรกับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะถ้ารู้ เขาคงไม่พูดแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่มั่นคงในความรัก ผมก็แค่คนๆหนึ่งที่รักคนๆเดียวหมดหัวใจ และไม่อาจรักใครได้อีก
เวสตันว่าผมไม่เปิดใจรับคนอื่นที่เข้ามาในชีวิต แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้น ในเมื่อ...การรักเขาคือความสุขที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม
คงไม่มีใครโง่ละทิ้งความสุขในมือไปหยิบเอาความทุกข์ใส่ตัว อาจจะมีแต่ผมขอเป็นคนฉลาดที่มีความสุข
“ทำไมต้องไปอยู่หอพักด้วย ก็อยู่ที่นี่ด้วยกันอยู่แล้วนี่”
“เมื่อวานพ่อและพี่ชายของโยชิมา พวกเขารู้เรื่องที่โยชิคบกับฉัน เลยสั่งให้โยชินอนหอ”
“นายก็เลยจะหอบข้าวของย้ายตามไปด้วย”
“ก็ประมาณนั้น”
“ฮ่าๆๆ โอเค ไม่มีปัญหา ตามใจนายแล้วกัน ก็หัวใจอยู่นู่นนี่เนอะ”
เวสตันยิ้มขำเบาๆเดินออกไป ผมเก็บของต่ออีกนิดหน่อยก็กลับไปที่หอโยชิ ผมทิ้งเขาไว้ตั้งแต่เช้าเพราะโยชิไข้ขึ้นจากฝีมือผม ผมก็อยากจะหักห้ามใจ แต่การได้สัมผัสผิวนุ่มลื่นและกลิ่นหายหอมเฉพาะตัวชวนปลุกเร้า โยชิทำให้เส้นความอดทนผมขาดสะบั้น ได้สติอีกทีก็ตอนที่โยชิสลบคาอกไปเรียบร้อยแล้ว
วันนี้ผมเลยต้องไถ่โทษด้วยการเข้าไปเรียนแทนเจ้าตัว ความจริงคือแค่ไปเช็คชื่อแทนและนั่งจำหัวข้อของวันนี้เท่านั้น เรื่องที่โยชิเรียนผมเรียนมาหมดแล้วทั้งนั้นตั้งแต่อยู่ที่อเมริกา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะสอนให้คนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงเพื่อเตรียมสอบ
“โยชิ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ” ผมปลุกคนขี้เซา ไข้ดูจะลดลงนิดหน่อย แต่ก็ยังตัวร้อนพอควร ผมเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้โยชิอีกรอบ ซึ่งต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจที่จะยับยั้งชั่งใจตัวเอง พยายามมองร่างกายที่ไร้เสื้อผ้าปกปิดว่าเป็นเพียงรูปปั้นเท่านั้น แต่คงเป็นรูปปั้นที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
“อื้อ...อาซาเหรอ” เขาเรียกผมโดยที่ยังไม่ลืมตา ผมติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายเข้ารังกระดุม
“อืม หิวไหม ฉันแวะเอาอาหารเที่ยงมาจากบ้าน”
“หิว แต่ไม่อยากกิน”
“กินหน่อยแล้วกัน ฉันให้ปารีสทำซุปมาให้”
ผมพยุงโยชิขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะออกไปเทซุปใส่ถ้วยและอาหารของผมวางไว้ที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆสำหรับสองคน จากนั้นผมก็เข้าไปพยุงโยชิออกมากินข้าว ท่าเดินแปลกๆกับหน้าที่บิดเบ้ตามจังหวะก้าวเดินดูน่าสงสาร สงสัยผมคงต้องงดเรื่องอย่างว่าไปสักพัก
“อร่อยไหม” ผมถาม เขาส่ายหน้า
“ไม่รู้สิ มันขมคอ กินแล้วไม่รู้รสชาติ”
“ทนเอาหน่อยแล้วกัน พรุ่งนี้ก็น่าจะหายแล้ว”
“อืม”
โยชิกินซุปไปได้ไม่เท่าไหร่ก็หยุด ผมคะยั้นคะยอให้กินอีกก็ทำหน้าบูด ผมเลยให้กินยาไปเลยก่อนจะพาไปนั่งที่โซฟา เปิดโทรทัศน์ให้ดูไปพลางๆระหว่างรอผมกินเสร็จ
ผมติวเนื้อหาของวันนี้ให้โยชิที่นั่งฟังตาปรือ แต่เขาค่อนข้างเป็นคนหัวดี บอกอะไรสอนอะไรก็จำง่ายจำไว จนดูท่าจะไม่ไหวผมเลยหยุดติว โยชินอนหนุนตักผมหลับตาพริ้ม ไข้ลดลงหลังจากกินยาไปอีกชุดใหญ่ อุณหภูมิแอร์ถูกปรับให้เหมาะสมกับคนป่วย
“นี่” เขาเรียก ผมละสายตาจากโทรทัศน์เพื่อก้มมองคนบนตัก
“มีอะไร ปวดหัวเหรอ”
“เปล่า ฉันแค่มีเรื่องที่สงสัยอยากจะถาม” เขาลืมตาแป๋ว
“ว่ามาสิ”
“ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ วันนั้นฝนตก พ่อกับพี่ยอร์ชไม่อยู่บ้าน แถมไฟก็ดับ ฉันกำลังจะปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟ แต่ดันมีงูพันอยู่บนนั้น งูตัวนั้นคือนายเหรอ”
ผมนิ่งก่อนจะพยักหน้า ก็ผมรู้ว่าไฟมันรั่ว ถ้าโยชิเผลอจับก็อาจจะโดนไฟดูด ในบ้านก็ไม่มีคนพอที่จะช่วยเหลือหากโยชิเป็นอะไรไป ผมก็เลยต้องใช้วิธีนั้น
"ตกใจมากไหม นายเป็นลมไปต่อหน้าต่อตาฉัน ขอโทษทีนะ”
“ไม่เป็นไร ก็นายช่วยฉันไว้นี่”
เขารู้ มันทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจมากทีเดียว
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หลับ ผมอุ้มโยชิเข้าไปนอนในห้อง อาบน้ำอาบท่าก่อนจะทิ้งตัวนอนข้างๆโยชิ โอบกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมกอด โยชิขยับตัวหาท่าที่สบายแล้วก็หลับสนิททั้งคืน ผมเฝ้าดูอาการจนแน่ใจแล้วว่าตัวไม่ร้อนถึงได้หลับตาลงบ้าง เป็นอีกคืนที่ผมหลับสบายตั้งแต่มีคนๆนี้ก้าวเข้ามาในชีวิตอีกเป็นครั้งที่สอง
“ขอบคุณนะ ที่ไม่รังเกียจฉัน”
...........................
1 Month later “ฉันไปก่อนนะ ฝนเหมือนจะตกอีกแล้ว ถ้าไม่รีบคงไม่มีอาหารให้เจ้าปุยเมฆกินแน่ๆ”
“อืม พรุ่งนี้เจอกันนะ”
ผมโบกมือลาเติร์ดที่รีบวิ่งไปซื้ออาหารแมวให้เจ้าขนปุย เห็นว่าเป็นแมวที่เอาแต่ใจน่าดู อาหารไม่ถูกปากถูกกลิ่นก็ไม่แตะ จนพาลงอนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มาหา เติร์ดเลยต้องไปหาซื้ออาหารแมวยี่ห้อเก่าที่นิกกี้เคยซื้อให้เจ้าขนปุยกิน
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าก่อนจะถอนหายใจ เมื่อชั่วโมงก่อนที่ออกมานั่งกินเค้กกับเติร์ดท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลย แปบเดียวเองแท้ๆ
“อย่าเพิ่งตกเลยนะ ขอสักครึ่งชั่วโมงเถอะ”
หลังจากแยกย้ายกับเติร์ดแล้ว ผมก็เดินกลับแอชยูเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ก้อนเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณ ลมพัดแรงจนเศษใบไม้และเศษดินเล็กๆลอยปลิวขึ้นจากพื้น ผมต้องรีบหลับตาแล้วเอี้ยวตัวหนีไม่อย่างนั้นพวกฝุ่นผงได้เข้าตาแน่ๆ
“อ๊ะ!”
เพราะจังหวะที่หลบฝุ่นแต่ยังก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าเลยไม่ได้มองทาง ทำให้ชนเข้ากับใครสักคน
“เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงที่ฟังแล้วชวนขนลุกดังขึ้นข้างๆใบหู ผมหันไปมองด้วยความตกใจ แต่เมื่อได้สบตากับคนที่เดินชนแล้วผมก็รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก้าวถอยหลังออกห่าง
“มะ ไม่เป็นอะไร”
ผมรู้สึกแปลกใจที่ตนเองกลัวผู้ชายคนนี้มากๆ
“อืม”
ชายหนุ่มที่มีดวงตาสีเขียวมรกต จ้องมองผมที่ยืนตรงหน้าอย่างชั่งใจ คล้ายว่าเขากำลังสงสัยอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“เอเดน ไปได้แล้ว” เพื่อนของชายหนุ่มตาสีเขียวเอ่ยเรียก ผมสะดุ้งนิดๆ มองไปทางผู้ชายอีกคนที่เป็นคนพูดประโยคเมื่อกี้
ผมกระตุกยิ้มนิดๆลาคนที่เขาเดินชนก่อนจะรีบเดินเข้ามหาวิทยาลัย ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้อากาศแจ่มใส แต่ทำไมถึงมีพายุเข้าได้นะ
“เป็นอะไรเอเดน แกมองอะไรวะ” เมื่อเรียกแล้วเอเดนก็ยังคงอยู่ที่เดิม แถมยังมองตาหลังเด็กผู้ชายที่ไหนไม่รู้ อะไรของมันกัน ชายหนุ่มที่มาด้วยกันจึงเอ่ยถาม
“เปล่า ไปเถอะ” เอเดนดึงสายตากลับมาแล้วก็เดินตามเพื่อนไปทำธุระสำคัญ เขาว่าเขาได้กลิ่นอันคุ้นเคยจากตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่มันเจือจางมากจนจับไม่ได้ว่ามันคือกลิ่นของอะไร
เด็กคนนั้น....น่าสนใจจริงๆ มื้อเย็นของวันนี้ฝากเอาไว้ที่บ้านของอาซา ตั้งแต่พ่อสั่งให้ผมนอนอยู่ที่หอ อาซาก็ย้ายไปนอนกับผม ส่วนดาวเสาร์ทำเรื่องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ตอนนี้พ่อกับพี่ยอร์ชก็ยังไม่รู้เรื่อง ถ้าเกิดรู้เข้าผมคงโดนดุจนหูชา
“คืนนี้เราไปปาร์ตี้ดีไหม” ฟรินน์ชวนขึ้นกลางโต๊ะอาหาร มองซ้ายทีขวาทีรอความเห็น
“ก็ดีนะ ทุกคนคิดว่าไง”
ปารีสเห็นด้วย เวสตันเองก็พยักหน้าตกลง ผมหันไปมองอาซา ผมเฉยๆไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ แต่ถ้าอาซาอยากไปผมไปด้วยก็ได้ ไปกับคนพวกนี้ไม่น่าจะมีเรื่องยุ่งเกิดขึ้น
“เอาสิ ไปคลายเครียดหน่อยก็ดีนะ” อาซาพูด ผมก็เลยตกลง
ผมเพิ่งผ่านการสอบเก็บคะแนนวิชาหลักไปสองตัว ได้อาซาช่วยติดให้ก็ถือว่าสบายไปเยอะ แต่ก็สมควรช่วยผมอยู่หรอ เขาทำผมไปเรียนไม่ได้ตั้งสามวัน ดีที่โปรเฟสเซอร์ไม่ว่าอะไร ไม่ถามด้วยว่าผมหายไปไหน เพราะอาซาไปนั่งเรียนแทน และไม่ต้องห่วงว่าเขาจะขาดเรียน เขาไม่มีเรียนมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะมหาวิทยาลัยนี้อยู่ในความดูแลของพวกเขายังไงล่ะ แต่เรื่องนี้ให้ใครรู้ไม่ได้ นอกจากพวกที่มีหน้าทีเดียวกัน
ทานข้าวเสร็จเราก็พากันเคลื่อนพลไปสถานบันเทิงแห่งเดิม ผมแหยงๆที่จะเข้าไป แต่ความอบอุ่นที่กุมมือทำให้ผมมีความกล้า เอาน่า มากับอาซาทั้งคนจะกลัวอะไร
เวสตันนำขึ้นไปชั้นสาม จูเลียตเจอเพื่อนจึงแวบหายไปตั้งแต่ชั้นที่สอง ผมมองสภาพภายในผับที่คนยังน้อยและเสียงเพลงก็ยังเป็นเพลงเบาๆ อาจเพราะยังไม่ดึก นักทองราตรีทั้งหลายแหล่จึงยังไม่ปรากฏตัว
ผมชะงักเท้าเมื่อขึ้นมาถึงชั้นสาม เหลือบตาขึ้นมองป้ายบอกทางเป็นครั้งที่สาม และผลสรุปก็คือ ผมก็ยังคงอ่านมันเข้าใจ
“อาซา...ภาษาพวกนั้นคืออะไร ทำไมฉันอ่านมันเข้าใจ”
ผมชี้ให้อาซาดู เขามองตามยกมือขึ้นเกาหางคิ้ว
“อักษรรูนน่ะ เป็นภาษาโบราณที่เลิกใช้ไปแล้ว แต่คนสร้างที่นี่อยากจะให้พื้นที่ชั้นสามเป็นพื้นที่พิเศษสำหรับพวกเรา เลยใช้ภาษาที่แตกต่าง ส่วนทำไมนายถึงอ่านเข้าใจ ก็สัญชาตญาณไง”
“สัญชาตญาณ? ไม่เห็นจะเข้าใจ”
ยังไงผมก็มองว่ามันแปลกอยู่ที่ดีผมจะมองอักษรภาพแปลกๆพวกนี้รู้เรื่อง อาซาปล่อยให้ผมงง เขาจูงมือผมเดินไปสมทบกับพวกเวสตัน
ฟรินน์จัดการสั่งเครื่องดื่มและของกินแปลกๆมาหลายอย่าง และเขาก็ยังใจดีพอที่จะสั่งของที่ธรรมดาๆมาให้ผมกินเป็นกับแกล้ม อาซาไม่ห้ามถ้าผมจะดื่ม เขาแค่มองทุกครั้งที่ผมยกแก้วเหล้าเท่านั้นเอง แต่ผมไม่สนใจ นานๆจะได้มานั่งดื่มแบบไม่มีเรื่องทุกข์ใจให้ต้องคิด
“อาซา ฉันลืมบอก คราวก่อนที่ฉันไปพักร้อน บังเอิญพ่อนาย เขาถามถึงนายด้วยนะ” เวสตันพูด อาซาจ้องเวสตันนิ่งๆ คนอื่นพลอยไม่พูดไปด้วย พวกเขานิ่งมากจนอาซาเริ่มยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม คนอื่นถึงได้แอบถอนหายใจ
“เวสตัน อย่าพูดเรื่องเครียดๆน่า วันนี้มาสนุกกันไม่ใช่เหรอ” ปารีสบ่นเวสตันเบาๆ เวสตันแค่ยิ้มรับเท่านั้น
“ฉันก็แค่บอกเท่านั้น”
“อืม”
อาซารับคำในคอ ก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมจะตามไปด้วยแต่เขาบอกว่าไม่ต้อง ผมก็เลยปล่อยให้เขาไปคนเดียว
“เป็นแบบนี้ทุกทีเวลาที่เอ่ยถึงที่บ้าน” ฟรินน์กระซิบกับผม ผมไม่รู้จะพูดอะไรเพราะไม่ค่อยรู้เรื่องที่บ้านของอาซา ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับเขา รู้แค่ว่าผมกับเขาเคยเป็นคนรักกัน และพ่อของเขาสั่งให้พ่อของเจอร์โรมมาฆ่าผม ผมรู้แค่นั้นเท่าที่เขาบอก อาซายังคงเป็นคนที่ลักลับน่าค้นหาเหมือนวันแรกไม่ผิดเพี้ยน
“เขาจะโอเคใช่ไหม” ผมถามฟรินน์
“อืม มันไม่คิดอะไรหรอก เขาเรียกว่าชินชา” ฟรินน์ยิ้มกว้างให้เห็นว่าเรื่องอาซากับที่บ้านเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเครียดหรือคิดมาก
เกือบยี่สิบนาทีที่อาซาไปเข้าห้องน้ำ ผมคอยมองทางไปห้องน้ำทุกๆครึ่งนาที แต่อาซาก็ยังไม่มา จนทนไม่ไหวผมว่าจะลองไปดู แต่ในห้องน้ำว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ จูเลียตเงยหน้ามองผมที่ยืนค้ำหัวเธอ
“อาซาหายไปไหนไม่รู้”
ทุกคนหยุดสนทนาแล้วหันมองผม
“คงไปสูดอากาศที่ดาดฟ้าละมั้ง เขาทำแบบนั้นประจำ” ปารีสเป็นฝ่ายบอก ผมเอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนจะรีบไปหาอาซาบนดาดฟ้า แล้วก็เจอ
เขายืนอยู่ใกล้กับขอบปูนริมดาดฟ้า มือข้างซ้ายล้วงในกระเป๋ากางเกง มืออีกข้างถือบุหรี่จ่ออยู่ที่ริมฝีปาก ควันสีขาวลอยพวยพุ่งไปข้างหน้า ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ไม่คิดมาก่อนว่าอาซาก็สูบบุหรี่กับเขาด้วย เพราะผมไม่เคยเห็นหรือได้กลิ่น
“ขอมวนสิ” ผมพูด อาซาหันมามองผมงงๆ ผมเลยหยักหน้าไปทางบุหรี่ในมือเขา
“ขอมวนสิ บุหรี่” ผมพูดประโยคเดิม คราวนี้อาซาหน้าตึง ไม่ทำตามที่ผมขอ ผมเลยแย่งบุหรี่ในมือเขามาสูบ ผมเคยลองแค่ครั้งเดียว ตอนนั้นไอเกือบตาย
“แค่กๆๆ”
ครั้งนี้ก็เหมือนเดิม อาซาแย่งบุหรี่กลับไป เขาทิ้งมันลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้
“ใครใช้ให้สูบ สูบไม่เป็นแล้วยังจะทำ” เขาดุผมหน้าเครียด ผมไออีกสองสามทีก่อนจะทำเป็นไม่ได้ยินที่เขาดุ
“ทีนายยังสูบได้เหรอ ไม่อยากให้ฉันทำตัวเองก็อย่าทำสิ”
ผมไม่ได้เกลียดหรือแอนตี้บุหรี่ ใครจะสูบก็สูบไป แต่พ่อและพี่ยอร์ชห้ามสูบ ผมยังอยากอยู่กับคนที่รักไปนานๆ และตอนนี้ผมก็ไม่อยากให้อาซาสูบ
“เฮ้อ จะบอกให้ฉันเลิกหรือไง” เขาหันกลับไปสนใจวิวยาวค่ำคืนตรงหน้า ผมยักไหล่เบ้ปาก
“แล้วทำได้ไหมล่ะ เลิกเพื่อฉันได้ไหม” ผมลองถาม เขาเงียบไปนาน ดูท่าผมคงไม่สมหวัง
“ถ้าทำได้แล้วจะให้อะไร”
“อยากได้อะไรล่ะ ให้ทุกอย่าง”
“อยากได้นาย ให้ไหม” เขาหันมาจ้องตาผมนิ่ง แววตาที่ทำให้ผมรู้สึกร้อนๆหนาวๆ แววตาที่คล้ายจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้หลุดล่วงลงไปกับพื้น แววตาร้อนแรงที่ผมมองเท่าไหร่ก็ไม่ชิน
“ก็ได้ไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง” ผมทำเป็นหน้าหนาไม่เขินอาย ทั้งที่จริงคือตรงกันข้าม
“งั้นฉันจะเลิกบุหรี่ แลกกับตัวนายตลอดชีวิต ให้หรือเปล่า” เขาถามเน้นอีกรอบ ขยับก้ามเข้ามาใกล้จนตัวเราแนบติดกัน
“ถ้ากล้าทำก็กล้าให้”
งานนี้ผมทุ่มสุดตัว เขากระตุกยิ้ม ก้มหน้าลงมาแนบริมฝีปากที่มีกลิ่นมิ้นต์จางๆ แต่ยังไม่ทันได้จูบลึกซึ้ง เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งผลักอาซาออก มองหาต้นเหตุ อาซาก็สงสัยเช่นเดียวกับผม เขาสอดสายตามองหาจนไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง ด้านล่างหัวมุมถนน ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถูกใครสักคนลากเข้าไปในซอยมืด
ปึก!!!
“อาซา แย่แล้ว!” จูเลียตวิ่งเขามาหาพวกเราด้วยใบหน้าแตกตื่น
“มีอะไร” อาซาถามหน้าเครียด
“มีคนพบเจอรูปปั้นคนอีกแล้ว อยู่ที่ตรงหัวมุมถนนนั่น” จูเลียตชี้ไปยังจุดที่มีเสียงกรีดร้องเมื่อตะกี้ อาซาฟังแล้วก็รีบวิ่งลงไปข้างล่าง ผมและจูเลียตวิ่งตาม พอไปถึงหัวมุม ก็เจอปารีสและเวสตันยืนอยู่ที่ตรงรูปปั้นคนที่มีสีหน้าตกใจกลัวสุดขีด เสียงวิ่งดังมาจากข้างหลังของเวสตัน
“ในซอกนั้นมีอีกคน เป็นผู้หญิง” ฟรินน์พูดเสียงตื่น
ผู้หญิง?
หรือว่าจะเป็นผู้หญิงคนที่ผมกับอาซาเห็นที่ดาดฟ้า อาซาวิ่งไปในซอย ผมวิ่งตามจนไปผมกับรูปปั้นที่ว่า ในซอยแคบเงียบกริบไม่มีคนอยู่สักคน และที่สำคัญมันเป็นซอยตัน คนร้ายคนนั้นจะหายไปไหน ไม่ใช่คนร้ายสิ ต้องเป็นพวกงูเหมือนพวกอาซาแน่ๆ งั้นข่าวในทีวีก็คือพวกนากินีทำสินะ
“อาซา พวกไหนทำเหรอ” ผมถามอาซาที่ก้มลงดูอะไรสักอย่างบนพื้น เขาหยิบมันขึ้นมาดู จี้สร้อยรูปวงล้อที่มีงูเลื้อยขดพัน
“ของคนตายเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่”
อาซากำจี้นั่นแน่น ใบหน้าของเขาเครียด อาซาเดินกลับไปหาปารีส ผมมองแผ่นหลังกว้างด้วยความสงสัย เหมือนอาซาจะรู้ว่าเจ้าของจี้นั่นเป็นของใคร และใครคนนั้นก็คือคนร้ายที่ทำให้ผู้หญิงโชคร้ายกลายเป็นหิน
“เวสตัน” อาซาส่งจี้อันนั้นให้เวสตันและเพื่อนคนอื่นๆดู ทุกคนเห็นแล้วก็มีปฏิกิริยาเดียวกับหมดคือนิ่งค้างและตกใจ
“ฉันเจอมันข้างๆศพ” อาซาว่าแบบนั้น
“หมายความว่า” ปารีสพึมพำ
“ใช่ คนที่ทำเรื่องพวกนี้ทั้งหมดคือเอเดน” อาซาจ้องตากับเวสตันเมื่อเขาเอ่ยชื่อใครสักคนออกมา สีหน้าทุกคนยิ่งดูแย่กว่าเดิม ผมรู้สึกว่าชื่อเอเดนคุ้นๆหูยังไงชอบกล
“นายแน่ใจนะอาซา” ฟรินน์ที่ปกติดูร่าเริงไม่ค่อยคิดมากกลับจริงจังผิดหูผิดตา
“แน่ใจ” อาซาตอบเสียงเข้ม
“เดี๋ยวนะ เอเดนคือใคร” ผมถาม มองหน้าทุนคนเพื่อหวังคำตอบ
“พี่ชายของอาซา” เวสตันเป็นฝ่ายตอบ แต่ผมอึ้งไปเลย ตวัดหน้ามองอาซาที่ก้มมองจี้ในมือ สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังโกรธ
พี่ชายอย่างนั้นเหรอ
‘เอเดน ไปได้แล้ว’ เอ๊ะ!?
เดี๋ยวก่อนนะ หรือเอเดนพี่ชายของอาซากับผู้ชายคนนั้นที่ผมเดินชนจะเป็นคนเดียวกัน
“เอเดน ใช่คนที่ตาสีเขียวผมสีทองหรือเปล่า” ผมถาม และทุกคนก็จ้องผมอย่างไม่เชื่อหู ผมเริ่มรู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้อีกหน
“ใช่ นายรู้ได้ยังไง” เขาจ้องผมด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ แต่ใบหน้าของเขาแข็งขึง
“วันนี้เมื่อเย็นฉันเดินชนกับเขาที่หน้ามหาวิทยาลัย เขามากับผู้ชายคนหนึ่ง ตัวสูงๆ ผมสีน้ำตาลและมีรอยสักที่คอ” ผมเล่า อาซาถึงกับหัวเสียสบถไม่เป็นคำ
“เราจะเอาไงกันดี เขามาที่นี่แล้วทำเรื่องแบบนี้ทำไม” จูเลียตพูดแทนทุกคนที่คงคิดแบบเดียวกัน
“จะมาทำไมก็ช่าง แต่เราต้องหาเขาให้เจอแล้วหยุดเขาซะ” อาซากัดฟันกรอด
สัญชาตญาณบอกผมอย่างฉับพลันว่าการผจญภัยครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
DGseries. COLD-HEART SNAKE Vol.1 S.E.C.R.E.T END
To be continuing… COLD-HEART SNAKE Vol.2 B.L.O.O.D.L.I.N.E