http://www.youtube.com/v/sOnNviPGjh4แล้วในที่สุดวันที่ผมเรียนจบหลักสูตรก็มาถึง สองปีเต็ม ๆ กับความอดทนและเพียรพยายามทุกอย่างทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องเรียนได้แต่เฝ้ารอคอยและภาวนาในใจอย่างเงียบ ๆ เวลาสองปีไม่สั้นเลยถือว่ายาวนานมากสำหรับคนที่นั่งนับวันนับคืนแบบผม ทุกคืนหลังจากทานข้าวเสร็จผมจะเข้าประจำที่โต๊ะเพื่ออ่านหนังสือ ปฏิทินตั้งโต๊ะเป็นสิ่งแรกที่ผมหยิบขึ้นมาแล้วขีดฆ่า คำว่า ผ่านไปแล้วอีกวัน เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจผมยิ้มได้ รูปถ่ายของใครบางคนที่ผมปริ๊นออกมาใส่กรอบวางไว้ที่โต๊ะ ทำให้แต่ละวันของผมมีรอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นได้
ตอนนี้เมืองไทยคงจะห้าโมงเช้าของวันใหม่แล้ว ไม่ว่าคนที่ผมเฝ้าคิดถึงทางนั้นกำลังทำอะไรอยู่แต่ขอให้รับรู้ไว้เสมอว่าผมคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครเข้ามาแทนที่หมาน้อยของผมได้......คนรักของผมมีเพียงแค่คนเดียว คือปิง
“หมาปิง มึงน่ะมันจอมขี้เหร่เลย ป่านนี้ที่ว่างข้าง ๆ กายมึงจะมีใครคนอื่นมาแทนที่กูคนนี้ไหม? สัญญาของเรามึงยังคงจำมันได้หรือเปล่า? คืนวันที่น่าจดจำ เราหยอกกัน มึงเถียงกู กูด่ามึง แล้วสุดท้ายก็จบลงที่เราปาข้าวของใส่กัน เมื่อไหร่ที่กูทำหน้างอมึงก็จะคอยมาง้อมายิ้มมาล้อเลียนกู ช่วงเวลาที่กูถูกมึงจีบ มึงร้องเพลงรักให้กูฟังจับมือกูไว้ซุกหน้าเข้าที่อก
ไม่เคยมีสักวันที่กูคนนี้จะลืมเหลืออีกแค่ปีเดียว แม้ว่ามึงจะไม่ได้รับรู้เลยว่าเมื่อไหร่เวลาไหนที่กูจะได้กลับไปหามึงอีกครั้ง กูจะพยายามอยู่ทางนี้ให้ดีที่สุดเพื่อให้กำหนดการสามปีไม่มีการเลื่อนออกไปอีก มึงทรมานแค่ไหนกูรู้ดี เพราะกูเองก็ทรมานไม่ต่างไปจากมึง แต่ในเมื่อมึงยังทนได้กูคนนี้ก็จะขอทนไม่มีการขอร้องให้ใครตามดูมึงอีก
ให้ตัวเราห่างกันจนถึงที่สุด ให้ความเหงาเข้ามาครอบครองจิตใจเราสองคน ที่สุดแล้วเราจะรู้ได้เองว่าเราควรจะขอบคุณความห่างไกลที่ทำให้เราตระหนักได้และรู้ตัวว่า ใครอีกคนของเรานั้นสำคัญมากมายจริง ๆ"
หลังจากนั้นหนึ่งเดือนผมเริ่มได้คิวฝึกงาน“ไม่น่าเชื่อเลยนะเอย์ เราสองคนได้ฝึกงานที่เดียวกันเหรอเนี่ย ตอนทำเรื่องขอไปไม่คิดว่าเขาจะรับเราทั้งคู่ด้วยซ้ำ”
“กัสจะออกไปพร้อมผมใช่ไหม”
“ก็แน่นอนสิ เราฝึกงานที่เดียวกันอย่าบอกว่าเอย์จะใจดำให้กัสขึ้นรถเมย์ไปเองง่ะ”
ผมเดินไปคว้าเอากุญแจรถแล้วหยิบโค๊ดยาวตัวที่ใส่เมื่อคืนมาสวมกระเป๋าสะพายพร้อมทุกอย่างพร้อม “งั้นก็ไปกัน”
“อ๊ะเดี๋ยว เนคไทเบี้ยวแน่ะเอย์ผูกแบบไหนเนี่ย เดี๋ยวกัสจัดการให้ใหม่” มือเล็กยื่นเข้ามาจัดเนคไทของผมอย่างถือวิสาสะ ผมตกใจนิดหน่อยถอยหลังไปอีกสองก้าวกัสก้าวเข้ามาประชิดจัดการผูกให้ใหม่แบบมืออาชีพมาก
“เสร็จเรียบร้อย หล่อแล้ว” ตบลงที่หน้าอกผมสองสามที
“ไปกันเถอะเอย์ตั้น”
........
“เฮ้อได้พักสักที นี่นิวยอร์กจริงเหรอเนี่ยกลางวันทำไมร้อนอบอ้าวส่วนกลางคืนนี่หนาวบรื๋อเลย” กัสยื่นน้ำในมือให้ผม เราสองคนออกมาดูไซด์งานกันที่สถานที่ก่อสร้างใหญ่ในเขตเมืองเก่า วิศวกรคนไทยคนเดียวที่ทำงานในบริษัทเทคแคร์พวกเราดีมาก คอยแนะนำให้คำสอน เราคุยเรื่องานกันทุกวัน ผมชอบติดรถพี่เขามาดูงานตามสถานที่ต่าง ๆ ข้างนอก พี่เขายังชวนผมกับกัสให้มาทำงานด้วยกันที่นี่เลยผมขอบคุณพี่เขาแล้วอธิบายไป เราคุยกันถูกคอ
“เดี๋ยวเดือนสุดท้ายที่พวกเราฝึกงานพี่จะพาไปดูแปลนของตึกเอ็มไพร์สเตท เอาแบบของแท้ออริจินัลเลย ที่เราดูๆกันอยู่นี่คือมันเป็นตัวก๊อปปี้ทั้งนั้น
“จริงเหรอครับ พวกเราจะได้ไปดูแปลนของตึกนั้นจริงนะครับ” กัสท่าทางดีใจใหญ่
“จริงสิ มาเรียนวิศวถึงที่นี่ถ้าไม่เคยได้ไปดูโครงสร้างเอ็มไพน์เลยนี่ถือว่ายังเรียนไม่จบหลักสูตรหรอกนะ”
“ขอบคุณครับพี่เดนิส” ผมบอก
“เอ้าตั้งใจทำงานกันต่อเถอะ”
“ครับผม”
..........
ก๊อกๆ
“เอย์ คืนนี้เราไปบอรดเวย์กันไหม อุตส่าห์มาอยู่นิวยอร์กตั้งสองปีถ้าหากไม่เคยไปดูละครเวทีเลยสักครั้งนี่คือเชยเลยนะ”
“ทำไมล่ะ นายอยากจะไปเหรอ”
“อื้อๆ พอเราดูละครเสร็จเราก็ไปเดินเล่นต่อที่ไทม์สแควร์ด้วยไง ตอนนี้เราฝึกงานแล้วนี่การบ้านก็ไม่มีเหมือนแต่ก่อนแล้ว กัสว่าเราสองคนเที่ยวกันได้แล้วนะ”
“กุญแจรถวางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงน่ะ ถ้าอยากไปก็ขับรถผมไปก็ได้ไม่ว่าหรอก”
“อ้าวแล้วเอย์ไม่ไปเหรอ”
“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ”
“โหยยนิดเดียวน่า เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเรา กัสติวหนังสือให้เอย์ตั้งหลายวิชานะ กัสเคยทำการบ้านให้เอย์ด้วย ภาษาอังกฤษก็เคยสอนแล้วกัสน่ะก็ยังทำอาหารทิ้งขยะถูบ้านแล้วก็........
“พอๆๆๆ โอเคเดี๋ยวไปแต่งตัวก่อนถ้านายจะไปด้วยกันก็ไปแต่งตัวแล้วออกไปรอผมที่รถ”
“เอย์ใจดีจัง ขอบคุณนะครับ จุ๊บ”
“!!!!!!!!!”
“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป ทำอะไรของนาย” ผมตกใจมากนะ พอตั้งสติได้เลยรีบดึงแขนไว้แล้วถาม
“ก็จูบขอบคุณไง เอย์ถือเหรอ โทษทีนะ กัสติดมาจากที่เรียนกับพวกฝรั่งมาแต่เด็กนี่”
“อย่าทำอีกถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันต่อไป”
“คร้าบๆไม่ทำคร้าบ กัสล้อเล่นเอย์เป็นเพื่อนกัสนะ”
................
“เอย์วันนี้กินเกี๊ยวกุ้งนะกัสไปได้มาจากมินิมาร์ทเปิดใหม่ถัดออกไปแค่สองบล็อกเนี่ย ยี่ห้อนี่น่าจะอร่อยเดี๋ยวจะลองเติมไข่ลงไปดู เอย์เอาด้วยไหมหรือจะให้กัสทำอะไรให้กิน”
“เอามาเหอะ กินได้หมด”
“แน่เร้อออ ไอ้กินได้หมดเนี่ยกัสเห็นเอย์กินเป็นอยู่ไม่กี่อย่างเองนะ”
“พูดมาก เมื่อไหร่จะได้กิน”
“จ้าๆ”
......
“เอย์พรุ่งนี้เราต้องรับประกาศนียบัตรจบหลักสูตรฝึกงานกันแล้ว เอย์ใส่ชุดนี้นะกัสเอาไปซักแห้งให้แล้วสูทตัวนี้เอย์ใส่แล้วดูดีแล้วก็หล่อมากส่วนเนคไทก็เป็นเส้นนี้เข้ากันกับสีเสื้อของกัส เราใส่เป็นแพ็คคู่ไง”
“ตัวไหนก็ได้นี่ ทำไมต้องเรื่องมากด้วย”
“ไม่ได้หรอกเราเป็นคนไทยแค่สองคนเพราะฉะนั้นต้องใส่เป็นดูโอ้”
“บีหนึ่งกับบีสองน่ะเหรอ”
“บ้าา เดี๋ยวนี้เล่นมุขนะ”
“เตี้ยเอ้ย”
“กล้าว่ากัสเหรอ”
“มีตรงไหนที่ไม่กล้าล่ะ”
“นี่แน่ะ” กัสขว้างหมอนใส่ผมแบบเต็ม ๆ
“ไม่โดนนะ ใสเจีย หึหึหึ” ผมเย้ยแล้วรีบไล่เจ้าเตี้ยให้กลับห้องตัวเองไป
................
ในที่สุดวันที่ผมฝึกงานจบก็มาถึง มีพิธีรับประกาศนียบัตรจากท่านประธานของบริษัทโดยมีพี่วิศวกรที่เป็นคนไทยพาพวกเราประมาณสิบกกว่าคนรวมนักศึกษาจากชาติอื่น ๆ ไปทำการรับมอบที่ห้องประชุมเล็ก
“ดีใจด้วยนะเอย์ ดีใจด้วยกัส ดีใจด้วยบลาๆๆๆๆๆ” พวกเรายืนล้อมรอบพี่เดนิสอยู่
“ขอบคุณครับพี่เดนิส” ผมกับกัสพูดออกมาพร้อมกัน พี่เดนิส วิศวกรพี่เลี้ยงที่ดูแลผมกับกัสมาตลอดสิบสองเดือนที่ฝึกงานเป็นคนไทยแท้ ๆ บ้านอยู่ที่ชลบุรีแต่พี่เขามาทำงานที่นี่ได้สิบกว่าปีแล้ว
“แล้วจะกลับไทยกันวันไหนล่ะเนี่ย”
“อาทิตย์หน้าครับ ผมต้องทำเรื่องส่งใบปริญญากับที่มหาวิทยาลัยก่อน”
“งั้นก็คงต้องบอกลากันแค่นี้ล่ะนะ พี่ดีใจที่ได้รู้จักเราสองคนถ้าหากมีโอกาสมาที่นิวยอร์กอีกอย่าลืมแวะมาทักทายกันบ้างเบอร์โทรก็มีกันแล้วนี่”
“ครับพี่เดนิส/ขอบคุณครับพี่”
เย็นวันนั้นเราออกไปเลี้ยงฉลองกับกลุ่มเพื่อน ผมเมานิดๆเพราะดื่มไม่เยอะกัสเองก็ดื่มเข้าไปนิดหน่อยเหมือนกันกว่าจะกลับมาถึงที่พักเกือบจะหกทุ่มแล้ว
“เอย์กัสหนาวอ่ะ ขอไม่อาบน้ำนะเข้านอนเลยได้ไหม” กัสว่าแล้วทิ้งตัวลงที่โซฟายาวของห้องรับแขกผมแทรกตัวเดินผ่านเข้าไป กัสฉุดคว้าข้อมือผมไว้
“เอย์” เสียงเล็กๆเรียกแล้วเงียบไปผมเลยหยุดยืนมอง
“มีอะไร”
“เอย์จะกลับไทยวันไหน”
“ศุกร์หน้า”
“กัสกลับด้วยสิ เราไปเที่ยวบินเดียวกันเลยดีไหม” เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งดี ๆ ผมนั่งลงข้าง ๆ
“ไหนเคยบอกว่าฝึกงานจบแล้วจะอยู่เที่ยวต่ออีกสักเดือนสองเดือนไง”
“ก็อยากอยู่อยู่หรอกแต่เอย์ไม่ยอมอยู่ด้วยนี่ ไม่รู้จะรีบกลับไปทำไมนักหนาหรือว่าคิดถึงคนในรูปกันนะ”
“นายว่าอะไรนะ” เพราะที่ท้ายประโยคกัสพูดเบามากผมเลยหันไปถามดูอีกครั้ง หันไปรินชาร้อนที่โต๊ะเล็กข้างโซฟาขึ้นมาจิบ
“เปล่าสักหน่อย กัสกำลังคิดว่าจะกลับพร้อมกันกับเอย์ด้วยเลยดีกว่า เอย์ซื้อตั๋วไว้หรือยัง”
“ยังเลยจะจัดการคืนนี้แหละ”
“โอเคเดี๋ยวกัสเปลี่ยนชุดแล้วจะตามไปที่ห้องเอย์นะ เอย์ทำธุระส่วนตัวไปก่อนเลย” กัสว่าแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งหายขึ้นไปบนห้องทันที ผมเดินเอาแก้วชาไปล้างจากนั้นขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าของผมบ้างไม่นานก็มานั่งพร้อมอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ปฏิทินถูกขีดออกอีกหนึ่งวัน
ผมอมยิ้ม
อีกแค่อาทิตย์เดียว....อีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น
ก๊อกๆ
“มาแล้วคร้าบบบ” ผมหันไปดู กัสไม่ได้มาแต่ตัว หอบหมอนหอบผ้าห่มมาเต็มสองมือแล้วทิ้งลงไปที่เตียงผม จากนั้นเขาก็รีบถลาเข้ามาหาผมที่โต๊ะหนังสือย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ
“ทำอะไรของนายเอาของพวกนั้นเข้ามาทำไม” ผมมองไปที่กองหมอนกองผ้าห่มที่ถูกโยนลงบนเตียง
“ก็เหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวเอง กัสอยากใช้เวลาอยู่กับเอย์ให้เยอะที่สุดนี่ หกเจ็ดวันนี้ให้กัสนอนกับเอย์ที่ห้องนี้นะ กัสรับรองกัสไม่ดิ้นกัสเรียบร้อย” เขาทำสัญลักษณ์ชูสองนิ้วอย่างสัญญาของลูกเสือ ผมมองดูกัสอย่างพิจารณาพร้อมกับคิดว่าควรจะต้องพูดในสิ่งที่ค้างคาใจผมมานานแล้ว
เรื่องความรู้สึกของกัสที่มีต่อผม
“กัส”
“ครับ” กัสนั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ ใช้คางตั้งลงที่โต๊ะมองหน้าจอแม็คบุคของผมอยู่ หน้าตาเขาน่ารักคล้ายผู้หญิงผมซอยไล่ระดับจนถึงลำคอ ถ้ามองผิวเผินจะเหมือนเด็กผู้หญิงห้าว ๆ คนนึง
“ดูนี่สิ” ผมเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปของปิงแล้วยื่นให้เขาดู กัสมองผมนิ่งก่อนรับเอาไป
“นายเคยถามผมตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ใช่ไหม เคยถามผมว่าคนในรูปนี้คือใคร เคยถามว่าผมยิ้มให้กับอะไรทุกครั้งที่จ้องมองโทรศัพท์ และเคยถามว่าผมว่าทำไมผมถึงต้องหวงโทรศัพท์มือถือขนาดนั้น”
“เอย์?”
“น้องที่อยู่ในรูปนี้เขาชื่อปิง เป็นคนรักของผมเอง และทุกครั้งที่กัสเห็นว่าผมยิ้มให้กับโทรศัพท์นั่นก็เพราะผมดูรูปของน้องเขา ส่วนเหตุผลที่ผมไม่ยอมให้กัสแตะต้องมือถือผมเลยก็เพราะว่าภายในนั้นมีข้อมูลที่เกี่ยวกับปิงอยู่เยอะมาก ทั้งรูปภาพทั้งข้อความ ผมไม่อยากต้องมานั่งเสียใจถ้าหากบางทีเกิดเรื่องผิดพลาดเผลอไปแตะลบข้อความต่าง ๆ ที่ผมเซฟเก็บไว้”
“เอย์?”
“กัสเคยถามผมใช่ไหม อาหารที่ผมไม่ชอบกินเลยคืออะไร แล้วผมก็ตอบว่าข้าวผัดกุ้ง เพราะอะไรกัสรู้ไหมครับ เพราะว่าข้าวผัดกุ้งเป็นเมนูที่ปิงทำให้ผมกินได้แค่คนเดียว เป็นอาหารที่ผมชอบทานที่สุด ผมไม่เคยคิดจะอนุญาตให้ใครคนอื่นมาทำเมนูนี้ให้ผมกินแทนปิงเลย ไม่ว่าผมจะหิวแค่ไหน ไม่ว่าอาหารตรงหน้าจะล่อตาเพียงใด แต่ผมจะไม่คิดจะกินถ้าไม่ใช่ข้าวผัดกุ้งที่ปิงเป็นคนทำ”
“เอย์” กัสพึมพำเรียกผมอีกครั้ง ผมรู้ว่าผมอาจจะใจร้าย แต่ผมคิดดีแล้วถึงได้พูด ผมไม่อยากปล่อยไว้ให้นานกว่านี้เพราะคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือเพื่อนคนนี้ของผม กัสเป็นคนดีนะ เป็นเพื่อนที่ดีมาก ถ้ากำจัดความรู้สึกตรงนี้ออกไปได้ เราสองคนจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันมากๆเลย
“ที่ผมพูดให้ฟังทั้งหมดนี้ก็เพราะอยากจะให้กัสรู้ไว้ว่า ผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้ว กัสเข้าใจผมใช่ไหมครับ”
กัสจ้องหน้าผมนิ่ง สายตาที่มองมาดูเศร้าลงไป ผมเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังเล็กอย่างปลอบโยน พยักหน้าเบา ๆ อยากให้กัสรู้ว่าระหว่างเราสองคนผมให้กัสได้มากที่สุดคือความรู้สึกของเพื่อนเท่านั้น
“กัสเป็นเพื่อนผม เราสองคนเป็นเพื่อนกัน” ผมย้ำลงไปอีก กัสนิ่งไปครู่ใหญ่ ๆ จ้องหน้าผมนิ่งเหมือนกับลำคิดตรึกตรองอะไรบางอย่างผมปล่อยให้เขาจัดการกับความรู้สึกของตัวเองจนในที่สุด
“เอย์ตั้น” ริมฝีปากเล็กค่อยคลี่ยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ กัสเรียกชื่อผมพร้อมกับยื่นมือออกมาขอเช็คแฮนด์
“เราสองคนเป็นเพื่อนกัน กัสจะจำไว้ครับเอย์” ผมเอื้อมมือออกมารับมือเล็กของกัส แม้จะไม่สามารถรู้ได้ว่าความรู้สึกของกัสที่มีต่อผมหมดไปแล้วหรือยังเขาจำกัดขอบเขตมันได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมสบายใจแล้วที่ได้บอกออกมา อย่างน้อยให้เขาได้รู้ว่าถ้าหากเราจะคบหากันต่อก็อย่าได้คิดกับผมมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนเลย
สุวรรณภูมิ, 2014 “โหยยยเมื่อยมากๆเลย นั่งยาวแบบนี้กัสไม่ค่อยชอบเลยอ่ะ เอย์แหละบอกให้เลือกทรานซิทก็ไม่เชื่อจะบินตรงอย่างเดียว”
ผมหันมองคนที่บ่นอุบอิบทั้งทุบหลังทุบขาทุบเอว นวดให้ตัวเอง ขณะที่เรากำลังเดินออกมาจากด้านในเพื่อไปต่อแถวที่ด่านตรวจขาเข้าคิวไม่ยาวนะและไม่มีอะไรยุ่งยากเหมือนขาเข้าของนิวยอร์กอาจเพราะเราเป็นคนไทยอยู่แล้ว
“เอย์นัดที่บ้านให้มารับหรือเปล่า”
“คนรถที่บ้านจะมารับน่ะ” เรากำลังยืนคอยกระเป๋าที่สายพาน ผมกับกัสเอารถมาเตรียมไว้คนละหนึ่งคันคือข้าวของเราสองคนเยอะพอกัน ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเพราะเครื่องดีเลย์นิดหน่อย เราสองคนจัดการกระเป๋าและสัมภาระของตัวเอง
“นี่ไงเหตุผลที่ผมไม่ชอบทรานซิทเครื่องเลย” เราสองคนเข็นรถออกมา กัสหันมามองประมาณถามว่าผมจะพูดอะไร
“ก็เพราะถึงแม้ว่าเราจะได้แวะพักผ่อนในระหว่างเดินทาง แต่เราก็ยังต้องมาเอากระเป๋าไปตรวจใหม่ทั้ง ๆ ที่ก็ไปเครื่องลำเดิม ผมเข้าใจนะมันเป็นขั้นตอนของความปลอดภัยที่ถูกต้องแต่คือผมขี้เกียจต้องมายกกระเป๋าขึ้น ๆ ลง ๆ ของเยอะด้วยเนี่ยสิ”
“ก็เลยต้องทนเมื่อยบินยาวสิบแปดสิบเก้าชั่วโมง เจ็ทแล็คกันเป็นแถว”
“ก็ลุกเดินบ้างสิครับ ใครจะนั่ง ๆ นอน ๆ ตลอดเหมือนคุณกันล่ะ เตี้ยไม่พอยังจะอ้วนลงพุงแล้วนะ สิบเก้าชั่วโมงที่อยู่บนเครื่องกินๆๆแล้วก็นั่งๆนอนๆดูแต่หนังอย่างเดียว เดี๋ยวได้เป็นหมูตอนแน่”
“บ้าๆๆเอย์ตั้นนายพูดอะไรน่ะ” มือเล้กฟาดตันแขนผมเพี๊ยะๆๆเอาซะจนผมหลบแทบไม่ทันเลยผมเลยชี้หน้าคาดโทษไปกัสสะบัดหน้าทำงอนทันที
ผมไม่สนเหอะ
“นี่เราจะแยกกันตรงนี้เลยใช่ไหม”
“อือ ก็ใช่ดิ่”
“ใจร้าย เอย์ใจร้ายมาก”
“อะไรอีกอ่ะ”
“นี่จะไม่ถามกัสสักคำเหรอว่ากัสจะไปที่ไหนอะไรยังไงต่อ”
“ก็ไหนว่าจะกลับบ้าน ที่เชียงใหม่”
“ก็นั่นแหละ แต่กว่าเครื่องจะออกก็พรุ่งนี้เช้าไง คืนนี้กัสจะไปนอนที่ไหนอ่ะ”
“...........”
“เอย์ตั้นสุดหล่อ”
“เรื่องของนายสิ”
“จิ๊ ไม่ถามเรื่องนี้ก็ได้ งั้นกัสถามอีกเรื่องได้ไหม”
“อะไร”
“ถ้ากัสไปสมัครงานที่
‘อัศวคอนสตรัคชั่น’ เอย์จะว่ายังไง”
ผมชะงักไปนิดหน่อยไม่คิดว่ากัสจะรู้ว่าผมเป็นคนของที่นั่น “รู้เหรอว่าผมเป็นคนของที่นั่น” ผมหยุดเดินแล้วหันไปถาม คือไม่เคยรู้เลยว่ากัสจะรู้เรื่องครอบครัวของผม
“ก็เพิ่งรู้ตอนคุณพ่อคุณแม่เอย์แวะไปหาเมื่อต้นปี กัสเคยเห็นท่านในนิตยสารเกี่ยวกับงานเอ็นจิเนียริ่ง พอดูที่นามสกุลเอย์ก็เลยรู้”
“แล้วจะไปสมัครตำแหน่งอะไร”
“เลขาของรองประธานคนใหม่ดีไหมนะ”
“ล้อเล่นหรือไง”
“พูดจริงสิ เดี๋ยวขอพักสักอาทิตย์แล้วจะขึ้นมาสมัครเลย วิศวกรจบโทจากนิวยอร์กเหมือนกับท่านประธานเปี๊ยบแบบนี้ กัสว่าเอย์ต้องรีบรับแล้วล่ะนะ”
ผมหันมองคนพูดทันที ยกยิ้มส่งให้ “นี่รู้อะไรไหม ผมไม่ได้จะไปทำงานที่นั่นหรอกนะ งานของผมอยู่ที่
'อัศวออโต้อิมพอร์ต' ต่างหาก”
“อ้าวทำไมอ่ะ เอย์เรียนจบวิศวโยธามาทำไมถึงจะไปทำงานอยู่ในศูนย์รถนำเข้าแบบนั้น”
“ก็เพราะว่าชอบไง”
“จ้าพ่อคนรวยเลือกได้นี่เนอะ”
“พูดเล่นน่า ความจริงก็ต้องทำทั้งสองที่แหละ แล้วเอาไงนายจะไปสมัครจริงเหรอ”
“ก็น่าจะอ่ะนะ ถึงตอนนั้นขอใช้เส้นรองประธานคนนี้ด้วยละกัน ช่วยเห็นใจเพื่อนสนิทคนนี้ด้วยนะคร้าบบบ”
“หึหึ ไม่รู้นะอันนี้ต้องขอดูความสามารถก่อน”
“กวนนักนะ”
“ธรรมดา คนมีความสุข”
“ได้กลับมาหาแฟนอ่ะดิ่”
“แน่นอน” ผมยิ้ม
ในที่สุดเราก็แยกย้ายกันกลับ ผมนั่งหน้าบานอมยิ้มมาตลอดทาง คิดวางแผนไว้หมดแล้วว่าวันพรุ่งนี้ปมจะไปที่ไหนบ้าง ผมจะตื่นแต่เช้าจะไปดักรอปิงอยู่ที่ร้านส้มตำมะละกอเล็กๆนั่น ปิงจะเข้าไปช่วยแม่กับพี่ขมจัดร้านทุกวันก่อนไปเรียน ตอนนี้ผ่านไปสามปีแล้วปิงคงจะทำงานแต่ถึงอย่างนั้นเด็กดีอย่างมันก็ต้องไปช่วยแม่เปิดร้านเหมือนเดิม แต่ถ้าผมไม่เห็นมันผมก็จะไปรอมันที่หอตอนเย็นปิงจะต้องกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกไปเตะบอล แต่ถ้ายังไม่เห็นอีก ผมจะไปรอมันที่บ้านเช่าในหมู่บ้านจัดสรรนั่น ที่ๆเมื่อก่อนนี้แม่ปิงชวนผมไปทานข้าวด้วยบ่อย ๆ และเมื่อถึงที่สุดแล้วผมยังไม่เห็นมันอีก ผมจะรออยู่ที่ห้องที่คอนโดของเรา ห้องที่ผมกับมันใช้เวลาทุกนาทีร่วมกันอย่างมีความหมาย
ผมเชื่อว่าปิงยังจะแวะมาที่ห้องนั้นเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเราสองคนจะไม่มีใครเปลี่ยน เพราะความทรงจำเหล่านั้นเราใช้หัวใจจดจำมันเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมด ผมไม่เปลี่ยนและปิงจะไม่ลืมผมคนนี้
....ก็เพราะเราสองคนสัญญากันไว้แล้ว....“คุณเอย์ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ” ลุงโชคคนขับรถของคุณแม่ที่ทำงานกับครอบครัวเรามาตั้งแต่ผมเป็นเด็กทักขึ้นเมื่อผมเดินมาเอารถที่แกกำลังเช็ดทำความสะอาด ผมอารมณ์ดีถึงขนาดเดินฮัมเพลงเลยล่ะ
“ผมใช้คันนี้ได้เลยเหรอครับ” ผมมองดูรถสปอตหรูสีขาวที่คุณแม่เพิ่งจะเอากุญแจส่งให้ผมเมื่อวานนี้เห็นว่าเป็นของขวัญต้อนรับกลับบ้าน
“คุณท่านให้ผมเตรียมตรวจเช็คทุกอย่างไว้ให้คุณหนูเอย์ตั้งแต่เมื่อสองสามวันที่แล้วแล้วล่ะครับ” ลุงโชคยื่นกุญแจส่งให้ผมส่งยิ้มขอบคุณแกไป
ถนนหนทางรถลาที่กรุงเทพยังคงติดอยู่ไม่เปลี่ยนแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ ผมรู้สึกได้เลยนะสามปีมานี่กรุงเทพทำไมมีรถใหม่ๆเยอะขึ้นมากเลย ขับไปทางไหนป้ายแดงเต็มไปหมด คนรวยเยอะขึ้นหรือว่าหนี้สินเยอะขึ้นกันแน่ก็ไม่รู้ หึหึ
ผมจอดรถลงที่เดิม หน้าร้านที่คิดว่าควรจะเป็นร้านส้มตำอีสานของแม่ปิง แต่เพ่งมองกี่ครั้งๆก็ไม่ใช่ มันกลายเป็นร้านสะดวกซื้อชื่อดังไปได้อย่างไรกัน ผมเดินออกมาดูมองซ้ายมองขวาก็คิดว่าตัวเองเข้าซอยไม่ผิด แน่ ๆ ที่ตรงนี้คือที่ๆผมยังจอดรถแช่ไว้อยู่เลยเมื่อสองปีที่แล้วตอนมารับปริญญาแล้วมาแอบดูมัน
ใจผมเริ่มเสีย คือไม่เคยคิดเลยว่าร้านจะถูกย้ายออกไปแล้ว ผมคิดไปถึงคุณแม่ผมทันที คำพูดที่ท่านขู่ผมไว้เรื่องบ้านปิงยังคงดังก้องอยู่ในหัว ผมไม่ได้ผิดสัญญา ผมไม่เคยได้ติดต่อมันเลย คุณแม่คงไม่ทำแบบนั้น ผมขึ้นรถแล้วขับออกไปที่หอพักปิงทันที เดินขึ้นไปเคาะหาที่ห้องเลย ปรากฏว่าคนที่มาเปิดเป็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะน้อยกว่าปิงสักสองสามปีได้ เขาถามผมว่ามาหาใครพอผมบอกชื่อมันเด็กนั่นบอกไม่รู้จัก ผมมองเห็นสภาพการจัดข้าวของภายในห้องเลยรู้ว่าไม่ใช่ห้องที่ปิงอยู่แน่ ผมลองถามดูว่าน้องเขาย้ายมาอยู่นานยังเขาบอกย่ายมาได้ปีนึงแล้ว
ผมตัวชาไปหมด รีบลงมาจับรถขับไปที่บ้านจัดสรรในหมู่บ้านเล็กๆของแม่ปิง ทาวเฮาส์หลังที่แปดที่ผมเคยมานั่งกินข้าวตำน้ำพริกทอดไข่ เก็บข้าวของที่มาจากร้านช่วยปิงแม่ปิงและพี่ขม ตอนนี้กลายเป็นบ้านของใครสักคนที่ไม่ใช่แม่ปิงแน่นอนแล้ว ผมคว้าเอารั้วเตี้ย ๆ นั้นไว้เพื่อทรงตัวหลังป้าเจ้าของบ้านเขาบอกว่า
“เจ้าของเก่าเขาย้ายออกไปได้เกือบจะปีแล้ว” พอผมลองถามว่าย้ายไปอยู่ที่ไหนแกก็ตอบว่าไม่รู้
“พ่อหนุ่มลองถามบ้านหลังข้าง ๆ ดูสิ เผื่อจะมีใครรู้บ้าง”
ผมลากขาที่หนักอึ้งไปกดกริ่งถามบ้านหลังที่อยู่ข้าง ๆ กันหลังแล้วหลังเล่า แต่คำตอบที่ได้รับก็มีแต่คนบอกว่าไม่รู้
“เคยได้ยินน้าศรีแกบอกเหมือนกันว่าจะย้ายไปแต่พอถึงเวลาจริง ๆ ย้ายไปแบบรวดเร็วมากเลย เจ้าปิงลูกชายแกได้ดิบได้ดีถึงขนาดสร้างบ้านเปิดร้านใหม่ให้แกเลยนะ” คุณน้าที่เดินผ่านมาแล้วได้ยินคุณป้าที่ผมเรียกถามเป็นหลังที่ห้าพูดขึ้น ผมรีบหันมอ
“แล้วคุณน้าพอจะทราบไหมครับว่าพวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน”
“เอออันนี้ก็ไม่รู้ เห็นขมเขาเคยบอกไว้ว่าไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก น้าจำชื่อไม่ได้แล้วขอโทษด้วยนะพ่อหนุ่ม”
คุณเชื่อไหมผมขับรถวนไปวนมาตามหามัน แต่คือยังไงก็ไม่เจอไม่เห็นไม่มี ผมนั่งคิดแล้วคิดอีกว่าปิงจะไปอยู่ที่ไหน มีอะไรทำไมถึงต้องย้ายที่อยู่ย้ายร้านถึงขนาดนี้ เวลาแค่สองสามปีเปลี่ยนอะไรๆได้มากมายขนาดนั้น? ผมไม่รู้รถมาจอดลงที่ลานจอดของคอนโดผมได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีคือผมก้าวลงมาแล้วเดินไปกดเรียกลิฟต์
ห้องของเรา
ห้องของผมกับมัน
ภาวนาขอให้มันนั่งอยู่ข้างในนั้น
ปิงมีกุญแจห้องผม
แกร๊กก กกก
ทุกอย่างมืดสนิท ใจผมหายวาบ หน้าชาตัวชาไร้เรี่ยวแรง ลากขาที่หนักอึ้งและหัวใจที่อ่อนล้าเปิดเข้าไปภายในห้องนอนใหญ่ เมื่อกดสวิทไฟมองเห็นเตียงสีขาวสะอาดถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ที่โต๊ะทำงานข้าวของที่วางอยู่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเหมือนกับเมื่อสามปีที่แล้ว ผมสะดุดตากับปฏิทินตั้งโต๊ะสีสันและรูปร่างแปลกตา
สามปีที่ผมไม่ได้อยู่ ปิงคงซื้อหาปฏิทินอันใหม่มาเปลี่ยนไว้ให้ แต่เมื่อสายตาผมโฟกัสไปที่หัวของเดือนในหน้าที่เปิดอยู่ใจผมแทบสลายเมื่อปรากฏว่ามันเป็นเมื่อสองเดือนที่แล้ว รอยขีดฆ่าล่าสุดอยู่ที่วันสุดท้ายของเดือนพอดี
ตอนนั้นเองผมถึงได้ตระหนักแล้วว่า ปิงรอผมจนกระทั่งถึงเมื่อสองเดือนก่อน มันไม่ได้แวะมาที่นี่อีกเลยนับจากวันนั้น ผมกอดปฏิทินไว้แนบอกจนแน่นมือไม้สั่นไปหมด ประคองหัวใจที่หนักอึ้งออกมานั่งอยู่ที่โซฟาด้านนอก วิวเจ้าพระยามองจากมุมนี้ยังคงสวยเหมือนเมื่อสามปีที่แล้วไม่เปลี่ยนตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่ผมชอบอุ้มแล้วปิงมันก็ชอบมาแย่งยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ห้องทั้งห้องที่เปิดไฟจนสว่างจ้าแต่ทำไมผมถึงมองเห็นทุกอย่างพร่าเลือนลงมากเหลือเกิน หยาดน้ำใสที่คลอขึ้นมาจนในที่สุดก็ล้นรินตกออกมาเป็นสาย
ผมเหลือทางเลือกสุดท้าย ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดเชื่อมต่อ หมายเลขที่ผมไม่เคยโทรหาเลยตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ผมประหม่าที่จะพูดคุยกับมันไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำพูดอะไรก่อนหรือหลัง ผมรู้ทุกอย่างเป็นผมทั้งนั้นที่ผิด ผมทิ้งไป ผมไม่เคยติดต่อปิดกั้นมันทุกอย่าง ผมผิด ผมผิดเอง หลับตาลงแน่น อธิฐานขอให้เป็นเสียงสดใสของมันที่ตอบรับผม....คนนี้
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
“หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ..........”เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีอยู่หรือเปล่า
เธอยังจำเรื่องเราในวันวานได้หรือไม่
เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว
เธอยังรักกันเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม
ช่วยบอกให้รู้ที......
Tbc.
# น๋มปังกาแฟมาเสิร์ฟแล้วค่า คิดถึงกันไหมคะ ตอนนี้เป็นพาร์ทสามปีของพี่เอย์นะคะ พี่เอย์กลับมาช้าไปไหม? อันนี้คือยังบอกไม่ได้คอยอ่านตอนหน้าเนาะ ห้ามพลาดเด้ออออ
# ขอบคุณทุกกำลังใจมากจริงๆค่ะ ช่วยเอ็นดูและดูแลปิงกับพี่เอย์กันต่อไปนะคะ คนอ่านน่ารักใจดีกับเราเสมอเลยเรามีกำลังใจค่ะ ที่หายไปนานนี่คือไม่ใช่ว่าเล่นตัวหรืออะไรนะแต่มันยังไม่เสร็จจริงค่ะ มีหลายครั้งเหมือนกันที่กำลังตันกับบท แต่พอเจอคนอ่านให้กำลังใจส่งเพลงมาให้ฟัง โหหหหแรงฮึดมาจากไหนไม่รู้ดันเอาจนจบได้อ่ะ
# ขอบคุณที่รักและเอ็นดูปิงกับพี่เอย์นะคะ มีความสุขกับครอบครัวในวันหยุดยาว มิลเลี่ยนแต้งส์ค่าาาา~~
