https://www.youtube.com/v/xbZyjScHnAwเคร้ง!.....เคร้ง!!.....ปัง!.... ตึ่ง!!....เคร้ง!!!!เสียงโช้งเช้งโคร้งเคร้งดังลอดออกมาจากในครัวตลอดเวลา ผมที่จิตใจไม่สงบอยู่แล้ว กับพี่เชนที่คงจะหมดความอดทนพร้อมกันเราหันมองกันช้า ๆ หน้าตาพี่แกคือกระอักกระอ่วนมากอยากให้ผมลุกขึ้นไปดูไอ้คนที่มันทำบ้าบออยู่ในครัวน่ะแหละ
แต่ผมก็ยังคงนิ่ง
“น้องหมีครับ เดี๋ยวพี่เอย์จะเล่านิทานเรื่องนึงให้ฟังนะ” เสียงทุ้มต่ำดังออกมาชัดเจน มันบอกจะเล่านิทานให้หมีฟังแต่ผมนี่แหละที่หูผึ่ง แอบหันไปมอง
ไอ้พี่เอย์แม่งบ้า คือมันเอาผ้ากันเปื้อนผมมาสวมทับชุดทำงานหรูหราของมันน่ะแหละไม่เข้ากันซักกะติ๊ด กำลังตั้งใจหั่นอะไรสักอย่างอยู่ที่เขียงข้าง ๆน้องหมี มีช้อนสายตามองมาที่ผมด้วยนะ นันย์ตาเราเลยบังเอิญสบกันพอดีทั้งผมทั้งมันรีบหันไปคนล่ะทิศล่ะทาง
ผมกลับมาตั้งสมาธิกับงานผมต่อ
“เรื่องนี้มันผ่านมานานหลายปีแล้วแต่พี่เอย์ไม่เคยที่จะพูดให้น้องหมีฟังเลย น้องหมีตั้งใจฟังพี่เอย์นะครับ”
เสียงแป้นพิมพ์จากพี่เชนคือเงียบ ผมเหล่ตาไปมอง พี่เชนหยุดนิ่งเหมือนกันกับผม
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกชายผู้ซื่อสัตย์คุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่เขาเรียกเธอว่า
‘ คุณแม่ ’ เฝ้าขอร้องอ้อนวอนขอโอกาสจากเธอเพื่อให้เขาได้คบหากับคนที่เขารัก แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำตามความต้องการได้ ในที่สุดด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่เขากับคุณแม่มีร่วมกันก็คือ ถ้าหากเขายอมไปเรียนต่อต่างประเทศสามปีโดยไม่มีการติดต่อระหว่างกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากกลับมาแล้วคุณแม่จะยอมรับฟังเรื่องราวของเขาและคนที่เขารัก”
ผมลุกพรวดขึ้นทันที มองหน้าพี่เชนแล้วรีบเดินเข้าไปในครัว
“นี่คุณพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะครับ” พี่เอย์กำลังก้มหั่นแครอทเป็นชิ้นเล็กๆที่เขียง มันเงยหน้าขึ้นมาหาผม
“กูกำลังเล่านิทานให้น้องฟัง มึงก็ไปทำงานของมึงต่อสิกูไม่กวนหรอก” เสียงพี่เอย์คืออ่อนล้า หน้าตาเหนื่อยมากจริง ๆเท่าที่รู้มาคือมันมีประชุมยาวทั้งวัน เย็นย่ำแบบนี้ยังจะแวะเข้ามาที่นี่อีก
“แล้วนี่คุณกำลังทำอะไร จู่ ๆ จะมาทำอาหารอะไรที่นี่เหรอครับ พี่เชนเขาก็นั่งอยู่คุณต้องเกรงใจเจ้าของเขาบ้างนะ ผมว่าคุณกลับไปดีกว่าไหม”
“กูบอกเขาแล้วนี่ว่าขอใช้ครัว เขายังบอกเองว่าตามสบาย มึงไปนั่งทำงานต่อเถอะไม่ต้องสนใจกูหรอก”
มันก้มหน้าลงไปหั่นต่อ ผมถอนใจยาวหันซ้ายหันขวาเพราะความดื้อรั้นของมัน ตรง ๆ เลยนะผมเกรงใจพี่เชนด้วยคือถ้าผมอยู่กับมันสองคนผมไม่ว่าหรอกแต่นี่คือพี่เชนนั่งอยู่ด้วยไงผมเลยรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ตอนนี้อ่ะ
ผมเดินหัวเสียกลับมานั่งลงที่เดิม
“น้องหมีครับฟังพี่เอย์ต่อนะ”
เสียงมีดกระทบกับเขียงพลาสติกดังลอดออกมาพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำของมัน ผมนี่สมาธิกระเจิงมาก หูตั้งจิตใจจดจ่ออยู่แต่ว่ามันจะพูดอะไรแปลกๆออกมาอีก พี่เชนปรายตามาที่ผมเป็นระยะ
“ในช่วงที่เขาไปเรียนปีแรก คนรักของผู้ชายคนนั้นส่งข้อความไปให้ตลอดเลย เขายิ้ม เขาดีใจ แต่ในขณะเดียวกันเขากลับโกรธและโมโหตัวเองมากที่ไม่สามารถแม้แต่จะตอบอะไรกลับไปได้ เขาเสียใจเพราะเขารู้ว่าคนรักของเขาจะต้องทรมานมากแค่ไหนที่ไม่ได้ข้อความหรือข่าวคราวจากเขาเลย”
ผมนิ่งอยู่อย่างนั้นถ้อยคำทุกคำผ่านเข้ามาในหัวใจของผมทั้งหมด แอบหันไปมองคนที่อยู่ในครัวช้า ๆ แต่ดันป๊ะสายตากับพี่เชนอีกจนได้ คือผมอยากบอกว่าหน้าพี่เชนคือตลกมาก หน้าจืดๆคงทำหน้าไม่ถูกคิดว่าพี่เอย์จะมาพูดอะไรกับผมตอนนี้
“น้องหมีคิดดูสิครับ ผู้ชายคนนั้นทรมานแค่ไหนต้องหักห้ามใจตัดช่องทางการสื่อสารติดต่อทุกอย่างกับคนรักของเขา หัวใจที่แหลกสลายลงไปทุกวันๆ เมื่อคิดแต่ว่าคนรักของเขาสักวันนึงจะต้องท้อ รอเขาจนเหนื่อยท้อและทรมานลงเรื่อย ๆ
เขาแสนเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนรักของเขาต้องเหมือนคนที่ตายลงทั้งเป็น จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป ข้อความที่เริ่มห่างลง ในที่สุดคนรักของเขาก็ไม่ส่งข้อความหาเขาอีกเลย เขาร้องไห้ เขาสับสน กี่ร้อยกี่พันครั้งที่มือของเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วจะกดโทรออก แต่แล้วเขาเองก็ต้องหักห้ามใจไว้
ในเมื่อเขาทุ่มเทแรงใจมาขนาดนี้แล้วบอกกับตัวเองว่า เขาจะทนให้ถึงที่สุดตอบแทนผู้หญิงที่เขาเรียกเธอว่า
‘คุณแม่’ กลับมาจะได้พูดและบอกเธอได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้ผิดสัญญากับเธอ ความพยายามทั้งหมดของเขาจะต้องไม่สูญเปล่า เขาหวังไว้ว่าเมื่อกลับมาทุกอย่างระหว่างเขากับคนที่เขารักจะยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แม้ว่ารู้ทั้งรู้นี่คือการหลอกตัวเองอยู่ทุกวี่วัน จะมีใครบ้างที่เฝ้ารอคอยอย่างไร้ความหวัง จะมีใครบ้างที่อดทนรอคอยโดยไร้จุดหมาย และจะมีใครบ้างที่หัวใจยังไม่ด้านชาถ้าหากถูกทอดทิ้งและปล่อยให้รอคอยเนิ่นนานขนาดนี้”
พรึ่บบ!!ผมลุกพรวดขึ้นอีกครั้งเดินเข้าไปหยิบน้องหมียักษ์มันออกมาหนีบไว้ที่เอว “พอเถอะครับ ผมว่าคุณหยุดพูดได้แล้ว ทำไมต้องพูดเรื่องอะไรในที่แบบนี้ด้วย พี่เชนก็นั่งอยู่ด้วย คุณเกรงใจเขาหน่อยเถอะครับ"
“เกรงใจทำไมกูแค่เล่านิทานให้น้องหมีฟัง หมีมานี่นะ มาฟังพี่เอย์เล่าต่อนะครับ” มันเอื้อมมือมาหยิบหมีไปตั้งไว้ที่เดิมหน้าตาดื้อดึง ลงมีดกับเนื้อมะเขือเทศฝานเสียสวยเชียว สามปีมันไปหัดทำมาจนชำนาญขนาดนี้เลย? ผมเอนตัวพิงผนังข้าง ๆน้องหมี กอดอกไว้ลองฟังว่ามันจะพูดอะไรต่ออีก
“น้องหมีครับผู้ชายคนนั้นน่ะ คิดอยู่ตลอดเวลาเลยนะ วาดฝันไว้ตลอดถึงวันที่เขาจะกลับมาเจอกับหัวใจของเขาอีกครั้ง แต่พอกลับมาแล้วทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด คือเขาทรุดมาก ทุกอย่างคือดับมืด มองไปทางไหนกลับเหมือนคนที่อับจนไร้หนทาง เขาออกตามหาจ้างนักสืบขับรถวนเวียนค้นหาทุกวันทุกคืน จนสองเดือนผ่านไปมีข่าวแจ้งมาว่าคนรักของเขาทำงานอยู่ที่ศูนย์รถยนต์แห่งหนึ่ง ตอนนั้นคือหัวใจเขานี่เหมือนกับเจอโอเอซิสกลางทะเลทราย ขับรถไปแอบดูทุกครั้งที่มีเวลา แค่เห็นว่าคนรักของเขายิ้มได้หัวเราะได้ยังอยู่กับเพื่อนดีๆกลุ่มเดิมมันก็ทำให้เขาสบายใจ เขารีบดำเนินการทำทุกๆอย่าง จนในที่สุดเขาสองคนกลับเจอกันอีกครั้ง”
ผมยืนมองมันนิ่งยอมรับว่าจิตใจหวั่นไหวไปกับถ้อยคำของพี่เขามาก แต่ก็ยังควบคุมระดับของอารมณ์ไว้ได้ พี่เอย์คดข้าวมาเตรียมไว้ ตอกไข่สองใบใส่ถ้วย เทกุ้งสำเร็จใส่จานเล็ก ๆ มะเขือเทศแครอททุกอย่างหั่นพร้อม มันตั้งกระทะกดสวิทไฟใส่น้ำมันแล้วเททุกอย่างรวมกันในครั้งเดียว ผมกำลังจะอ้าปากบอกแต่ก็คิดได้ว่า ปล่อยให้มันทำต่อไปแบบนี้ก็ดี บางครั้งการยืนมองมันเฉย ๆ ก็รู้สึกสบายใจกว่าการเข้าไปบอกโน่นนี่นั่น
ผมรู้สึกว่าทำไมหัวใจผมหวั่นไหววะ เหี้ยเหอะผมรีบสะบัดหัวไล่ความรู้สึกนั้น....คล้ายกับความรู้สึกเมื่อสามปีก่อนมากจริง ๆ
ในที่สุดข้าวผัดกุ้งร้อน ๆ หน้าตาตลกๆ ถูกตักออกจากกระทะและวางลงบนโต๊ะ ผมเหล่ตามอง
“น้องหมีครับ น้องหมีว่าพี่เอย์ทำถูกไหมครับ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พี่เอย์ยังจะเลือกทำแบบนั้นอยู่ไหม? เลือกปล่อยมือจากคนที่ตัวเองรักแล้วเดินจากไป โดยที่ไม่บอกแม้คำว่าลา หายไปโดยไม่ติดต่อกลับมาเลย แต่ทว่า พอถึงเวลาที่ต้องกลับมายังมีหน้ามาทวงสัญญา ทวงคำว่ารักจากเขาคนนั้น ทั้งที่ตัวเองเป็นคนฉีกสัญญานั้นทิ้งไป เป็นคนปล่อยมือก่อน พี่เอย์คนไม่ดี โคตรของความโง่และเห็นแก่ตัวเลยใช่ไหม”
“คุณเอย์หยุดเถอะครับ อย่าพูดอีกเลยนิทานของคุณไร้สาระมากจริง ๆ ไม่มีใครเขาฟังหรอกครับ”
“กูเล่าให้น้องหมีฟังเหอะ”
“ถ้างั้นผมจะอุดหูน้องหมีไว้” ผมคว้าน้องมาแล้วเอามือพับหูสองข้างลง พี่เอย์หยิบแตงกวาที่ล้างสะอาดแล้ว มาเริ่มปอกเปลือกแบบช้า ๆ กระท่อนกระแท่น
มันค่อยๆเงยหน้ามองผม เราสองคนสบสายตากัน
“กูรู้ว่าสิ่งที่กูทำผิดมากต่อความรู้สึกของมึง แต่ถ้าหากว่าย้อนเวลากลับไปได้กูก็ยังจะเลือกทำแบบนั้นอยู่เหมือนเดิม ทว่าสิ่งที่จะแตกต่างจากเดิมคือกูจะเลือกบอกเหตุผลทุกอย่างกับมึง อย่างน้อย ถ้าหากครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับหัวใจ กูจะได้บอกกับครอบครัวได้ว่ากูทำทุกอย่างตามความต้องการของคุณแม่เต็มที่แล้ว กูตอบแทนให้ท่านเต็มที่แล้ว หลังจากนี้ต่อไปกูจะขอทำตามหัวใจของตัวเองบ้าง”
พี่เอย์ก้าวเข้าหา มองหน้าผมนิ่งด้วยแววตามุ่งมั่นเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด ผมก้าวถอยหลังแต่ถอยต่อไปไม่ได้อีกเพราะแผ่นหลังชนเข้ากับผนังแล้ว พี่เขาขยับสายตามองต่ำลงที่ตัวน้องหมีที่ผมอุ้มไว้ มันจ้องที่สร้อยคอของน้อง ผมเพิ่งสังเกตจริง ๆ ว่ามีเชือกเส้นนึงคล้องป้ายหนังอะไรสักอย่างไว้ พี่เอย์จับป้ายสี่เหลี่ยมเล็กๆพลิกอีกทางเพื่อเปิดข้อความที่ถูกซ่อนอยู่ โชว์ให้ผมได้เห็น...
‘ขอโทษ’
ผมตัวชานิ่งไปกับข้อความของมัน ปลายเท้าของเราชนกันแล้ว พี่เอย์ขยับเข้ามาใกล้มาก ผมเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคมจ้องหน้าผมนิ่ง
“ขอโอกาสให้กูสักครั้ง” กริ๊งงงงงงงงงเสียงโทรศัพท์ออฟฟิศดังขึ้นผมสะดุ้งรีบจับตัวน้องหมีดันมันออกไปคือพี่เอย์ยืนชิดผมมากจริง ๆ ผมหันไปมองพี่เชนคือโคตรจะเกรงใจ พวกผมมาปรับความเข้าใจอะไรกันตรงนี้แล้วพี่เขาจะคิดยังไงแบบไหน เฮ้ออ
“ปิง ลูกค้าโทรมา เขาจะคุยกับมึง” พี่เชนตะโกนเรียก ชะเง้อคอมา ผมเอาน้องหมียัดใส่อกมันไว้แล้วเดินออกมารับโทรศัพท์เลย
ผมคุยอยู่ครู่เดียวแล้ววางเป็นบริษัทโพล่า ที่ผมดูแลอยู่เขาปรึกษาเรื่องเซิร์ฟเวอร์เห็นว่าอยากจะได้อันใหม่แล้วบอกให้ผมหาให้ ผมเลยบอกโอเคเดี๋ยวจะหาให้ ถามสเป็คถามราคากันนิดหน่อยเขาเข้าใจแล้วก็วางไม่มีอะไรมาก
“เป็นไง บริษัทนี้ติดใจมึงแล้วดิ่”
ผมยิ้มบาง จริง ๆ คุยกับพี่เชนก็ได้เหมือนกันแต่คือที่นี่ผมเข้าไปดูเครื่องให้เขาบ่อย เจ้าของเขาเลยค่อนข้างสนิทและไว้ใจผม ผมก้มลงหยิบแฟ้มของอีกงานขึ้นมาแล้วชี้ให้พี่เชนดู เลย์เอาท์ของงานออกแบบระบบคร่าว ๆ ของอัศวออโต้ฯนั่นแหละ ผมลองร่างแบบไว้ตอนที่นึกได้ ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ต้องแก้ไขไหม พี่เชนเลื่อนเก้าอี้เข้ามาหาหยิบดินสอมาวงๆในส่วนที่บกพร่อง ผมกับพี่เขาปรึกษางานกันแบบนี้ประจำ
เคร้ง!!เสียงจานกระแทกลงบนโต๊ะกระจกต่อหน้าต่อตาพวกผม ผมกับพี่เชนแตกกันไปคนล่ะทางไม่ใช่อะไรนะ คือคนบ้าที่อยู่ในครัวเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมสองคนที่กำลังคุยงานกันอยู่ อิพี่เอย์แม่งยืนกั้นไว้เลยคือมันตัวสูงใหญ่ด้วยไง พี่เชนนี่คืองงเลย
“กินข้าวดิ่ กูทำให้มึงนะ” มันวางแก้วน้ำลงข้าง ๆ จานที่มันกระแทกลงเมื่อตะกี้ น้ำเสียงนี่คือ พี่เป็นผู้หญิงเหรอวะ คือเง้างอนเชี่ยไรเป็นผมต่างหากที่โกรธมันอยู่
“แล้วทำไมถึงมีจานเดียวล่ะครับ พวกผมนั่งอยู่สองคนนะ” ผมถามเย็นชา
“จิ๊!” พี่เอย์ทำเสียงในลำคอผมเงยหน้าขึ้นไปมองมัน มันยืนค้ำหัวผมไว้ คือบังระหว่างผมกับพี่เชนอ่ะง่าย ๆ เลย
“เรื่องดิ่ กูทำให้มึงกินคนเดียวเหอะ”
“อ้าวเมื่อกี้ยังเห็นผัดเต็มกระทะนี่ ตักมาเผื่อพี่เชนด้วยสิครับ แล้วของคุณล่ะไม่กินด้วยกันกับผมเหรอ”
“กูเททิ้งแล้ว” มันกัดปากหน้ามุ่ย คงไม่พอใจสุดๆที่ผมจะให้มันตักมาเผื่อพี่เชน ผมรู้ผมแอบขำอยู่ในใจเหมือนกันนะ
“หือ?”
“น้องหมีกินหมดแล้ว แบ่งไว้ให้มึงแค่จานเดียว” มันว่าแล้วเดินอ้อมๆมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของผมดึงเก้าอี้ผมให้ห่างออกจากพี่เชน หน้าคุณชายนี่งอมาก ผมแอบๆมองไปที่เจ้าของออฟฟิศอย่างพี่เชนคือรู้สึกสงสารพี่แกว่ะ ที่ต้องมานั่งรับฟังอะไรแบบนี้ของพวกผม
“กินดิ” เสียงพี่เอย์ดังขึ้น ผมมองดูข้าวผัดในจาน นึกไปถึงข้าวผัดไหม้ๆของมันเมื่อสามปีที่แล้ว คุณเชื่อไหม...วันนี้กับวันนั้นสีของข้าวผัดไม่ได้ต่างกันเลย คือดำๆด่าง ๆ หน้าตาแบบไม่สวยงาม ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รสชาติของวันนั้นผมจำไม่ได้หรอก กินทั้งน้ำตารสชาติคงขมขื่นแหละ แต่วันนี้รสชาติมันจะเป็นยังไงวะ เออรู้สึกหิวเหมือนกัน
ผมตัดสินใจลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านหลังหยิบจานเล็กกับช้อนมาอีกคัน ตักแบ่งข้าวผัดใส่จานแล้วยื่นส่งให้พี่เชน ผมแอบๆมองมันนิดๆหน้านี่คืองอมากตาเขียวปั๊ด แต่ผมไม่สนใจพี่เชนพี่ชายผมอ่ะ ทำให้ผมกินต้องให้พี่ผมด้วย ส่วนตัวมันปล่อยไว้งั้นแหละไม่ต้องมากินด้วยหรอก
“เฮ้ยกูไม่หิวหรอก มึงกินเลย” พี่เชนเลื่อนจานคืนมา ยิ้มเจื่อน ๆ
“ผมกินไม่หมดหรอกพี่ พี่ช่วยผมกินนะ”
“ไม่ดีหรอกปิง” พี่เชนมองไปที่มันแล้วรีบหลบตา หันมองหน้าจอของตัวเองอย่างเร็วคือพี่เอย์จ้องเขม็งอ่ะ ใครจะไปกล้ากิน
“คุณเอย์ครับคุณเล่นมานั่งจ้องกันแบบนี้พวกเราไม่กล้าจะกินหรอกนะครับ มีอะไรคุณก็ไปทำต่อสิในครัวโน่นน่ะ” ผมไล่
พี่เอย์ยังคงนั่งหน้างอกัดปากมองพวกผมสองคนไปมา ผมก็ไม่แตะเลยนะช่างดิ่ รอให้มันเดินไปก่อนแล้วจะลองชิมดู ในที่สุดมันลุกพรวดขึ้นเดินอ้อมไปหยิบช่อกุหลาบสีแดงที่ผมวางเอาไว้บนโต๊ะเตี้ย ๆ ข้างโซฟา พี่เอย์เดินถือช่อดอกไม้เข้ามาผมนี่หลับตาอย่างเร็วเลย ภาวนาในใจอย่าทำอะไรเสี่ยว ๆ ประเภทเอามายื่นให้ผมที่โต๊ะนะคือพี่เชนนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยไงคือผมก็อายเป็นนะ
ที่ไหนได้มันเดินหายเข้าไปด้านใน ผมถอนใจโล่งเลยดิ่ รีบมองไปทางมันเห็นกำลังทำอะไรกับช่อกุหลาบ ผมเลยลองตักข้าวผัดชิมดู เลื่อนจานเล็กส่งให้พี่เชนอีกครั้ง พี่แกมอง ๆ ผมพยักหน้าให้ในที่สุดก็ค่อยตักใส่ปากเหมือนกัน จริง ๆ เราสองคนลิ้นจระเข้มากกินอะไรก็ได้ไม่ค่อยสนใจรสชาติหรอกครับอร่อยหรือไม่อร่อยไม่รู้เรื่องหรอกขอให้อิ่มท้องแล้วนั่งทำงานต่อได้อย่างเดียว
“หวานว่ะ” พี่เชนพูดเบา ๆ ผมคาบช้อนไว้เลิกคิ้วถาม หวานตรงไหนวะ ทำไมผมรู้สึกว่าคือมันจื๊ดจืด
“โคตรของความหวานเลี่ยน นี่ถ้ากูเข้าไปโก่งคออ้วกในห้องน้ำคนทำเขาจะปรับค่าเสียหายลงในงานของเราป่ะวะ ความเสี่ยงหลายล้านเลยนะมึงข้าวจานนี้” พี่เชนว่าแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมเบ้ปากใส่
“หึหึหึ หวานเหี้ยๆเลยมึง”
“พี่ก็พูดไป หวานที่ไหน เนี่ยมันข้าวผัดกุ้งที่ขมที่สุดเลยพี่รู้ป่ะ”
ผมประชด พี่เชนหัวเราะหึหึแล้วส่ายหน้า หันไปมองด้านในคนบางคนกำลังยืนแกะช่อดอกกุหลาบเก้ๆกัง ๆ ดอกไม้คือเหี่ยวนิดๆแล้วมันเอาไปล้างใหม่เปิดน้ำใส่ก็แร๊งแรงคือหน้าดอกช้ำหมด พวกผมสองคนรีบหันกลับมาพร้อมกันตอนที่พี่เอย์เดินกลับมาพร้อมกับดอกไม้ในมือ
เสียงพรมแป้นพิมพ์ดังรัวมาอีกครั้ง ราวกับว่าผมกับพี่เชนกับลังประลองกันอยู่
เก้าอี้ผมขยับผมเลยเงยหน้าขึ้นมอง มันแทรกตัวเข้ามาระหว่างพวกผมอีกแล้ว ยื่นมือเอาดอกไม้มาเสียบลงที่แก้วปากกาตรงหน้าผมหนึ่งดอก มองหน้าผมตาละห้อยแต่ผมไม่สน มันเลยเดินออกไปที่โต๊ะอื่น ๆ เสียบให้โต๊ะละหนึ่งดอกครบทุกโต๊ะแม้แต่ที่เคาน์เตอร์มีแก้วการ์ตูนสีชมพูของพี่พิมวางทิ้งไว้มันก็ยังเอาไปเสียบ
ตอนนี้ทั้งออฟฟิศเลยเต็มไปด้วยกุหลาบสีแดงโต๊ะละดอก แต่ว่า....คงมีแต่โต๊ะพี่เชนที่มันตั้งใจไม่เสียบลงให้ พี่เขาก็มอง ๆ นะ กวาดตามองทั้งออฟฟิศแล้วก็มองลงที่แก้วปากกาของตัวเอง
คงรันทดแหละ คงจะคิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมโต๊ะกูถึงไม่ได้วะ
นี่ถ้าผมเอาหนึ่งดอกจากแก้วผมไปปักไว้ให้พี่เขาแทนนี่คือผมว่าเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ เลยเฉยไว้
เด็กโข่งในชุดกันเปื้อนทับเชิ้ตสีเทาเข้มหรูหราทิ้งตัวนั่งลงด้านหน้าโต๊ะผม ผมรีบขยับ ๆ หันหน้าจอบังหน้ามันไว้ คือไม่อยากให้มันจ้องหน้าผม อิพี่เอย์แม่งแย่ มันเลื่อนจอผมหันออกแล้วมันก็นั่งมอง
จ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น
“สองทุ่มแล้ว” มันพูดขึ้น น้ำเสียงอ้อน ๆ
“วันนี้มึงนอนไหน?” ผมหยุดมือจากแป้นพิมพ์ทันทีหว่างคิ้วนี่คือย่นเลยนะ ตกใจหน้าตื่นกับคำถามของมัน ที่สำคัญคือพี่เชนที่รัวมืออยู่ตลอดก็หยุดชะงักลงด้วย คือพี่เอย์ก็ไม่ได้พูดดังหรอกแต่ว่าผมกับพี่เชนนั่งอยู่ติดกันพี่เขาก็ต้องได้ยินคำถามมันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ
“ปิง” มันเรียกขึ้นมาอีกเมื่อเห็นว่าผมเงียบไม่ตอบมัน
“ผมจะนอนที่ไหนไม่เกี่ยวกับคุณนี่ครับ” ผมตอบแล้วเลี่ยงเข้าโหมดทำงาน เอื้อมมือข้ามไปเอาแฟ้มที่โต๊ะพี่เชน ชะโงกหน้าเข้าไปดูหน้าจอพี่เขานิดนึงอยากรู้ว่าทำไปได้ไกลหรือยัง ผมแทบขำก๊ากเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่างานพี่แกไม่ได้เดินหน้าเล๊ย แล้วไอ้เสียงรัวคีย์บอร์ดนั่นมันคืออะไร แสดงว่าแอบดูแอบฟังพวกผมอ่ะดิ๊ ปกติแล้วพี่เชนนี่คือเร็วมาก
จู่ ๆ พี่เอย์ลุกพรวดพราดขึ้นผมแหงนหน้ามองมันทำหน้ามุ่ย “กูจะกลับแล้ว” มันกระแทกเสียงถอดผ้ากันเปื้อนออกเดินเข้าไปอุ้มน้องหมีที่นั่งอยู่ในครัว
“น้องหมีกลับกันนะครับ เรากลับห้องเรากันนะ ห้องของเราไงห้องของเราสองคน ห้องที่เราทำอะไรๆด้วยกัน กินด้วยกันเล่นด้วยกันแล้วก็นอนด้วยกัน”
“อ่ะ..แค่กกกๆๆๆๆ ” เสียงพี่เชนสำลักน้ำที่กำลังดื่มทันที ผมนี่หน้าตาเสียคืออิพี่เอย์แม่งพูดอะไรไม่ได้ดูหน้าคนเล๊ยยย ผมรีบหันไปมองหน้าพี่เชนอีก คือพี่แกหน้าแดงแป๊ด น้ำหกจนเลอะเทอะไปหมดพี่เอย์ยืนอยู่ข้างกล่องทิชชู่พอดีมันโยนกล่องนั้นใส่อกพี่เชนรับไว้เกือบไม่ทัน
“ไม่ต้องมาอ้อนหมาปิงของกู มึงอยากมาแอบฟังพวกกูคุยกันเองสำลักน้ำตาลก็ช่วยไม่ได้ เรื่องของมึง”
“คุณเอย์คุณพูดอะไรน่ะครับ” ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปด้านหลังพี่เชน พี่เขายังไอโขลกไม่หยุด ผมกำลังจะทุบหลังให้แต่เจอสายตาอำมหิตจ้องมาเลยต้องชะงักมือไว้แค่นั้น
“ไหนว่าจะกลับไงครับ รีบกลับไปสิ” ผมไล่อีก
“มึงก็เดินออกไปส่งกูสิ”
ผมถอนใจยาวส่ายหัวไปมาคือระอาใจมากพี่เอย์เอาแต่ใจรั้นแล้วก็คือไม่ยอมรับอะไรเลย เรื่องของเราคือจบไปแล้วแท้ ๆ มันเองก็รู้ยังจะมาทำมาพูดอะไรแบบนี้อีก
ผมเดินออกไปหามัน พี่เอย์ยื่นน้องหมีส่งให้ผมเลยอุ้มเอาไว้เดินตามออกไปส่งมันที่หน้าออฟฟิศ
รถมันจอดอยู่ที่เดิม ที่เดียวกันกับเมื่อคืนที่ผมกับมันยืนอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกัน ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าดูเหมือนเมฆจะดำกว่าทุกวันคล้ายฝนจะตกลงมาอีกในค่ำคืนนี้ สายลมอ่อนพัดผ่านเข้ามา ต้นโมกที่เรียงตัวเป็นแนวรั้วของตึกส่งกลิ่นหอมของดอกสีขาวโชยเข้ามาแตะถึงปลายจมูก
บรรยากาศคือดีมากจริง ๆ
“ห้องที่คอนโดรกมากเลย มึงพอจะรู้จักใครเรียกเข้าไปทำความสะอาดให้กูได้ไหม”
“คุณเรียกพนักงานของที่นั่นให้เข้าไปทำให้ก็ได้นี่ครับ”
พี่เอย์นิ่งไปนิด จ้องหน้าผม “ใจร้ายกับกูจังนะ”
“คุณไม่ใช่เหรอครับที่ใจร้ายกับผมก่อน” ผมเองก็จ้องหน้ามัน นันย์ตาพี่เอย์เศร้าลง ใบหน้าดูหมองลงมากจริง ๆ
“นั่นสินะ คนใจร้ายแบบกูมันก็สมควรแล้วที่โดนมึงเมินแบบนี้”
“รีบกลับไปเถอะครับ ฝนจะตกแล้ว”
“ปิง”
“........”
“ทุกอย่างของเรา จะจบแบบนี้จริงๆเหรอ”
ผมก้มหน้านิ่งทันทีกับคำถามของมัน เรื่องราวของผมกับมันจบไปนานสามปีกว่าแล้วด้วยซ้ำมันยังจะมาพูดอะไรตอนนี้อีก
“คุณอยากจะพูดอะไรหรือครับ”
“กูอธิบายทุกอย่างให้มึงฟังไปแล้ว เรื่องที่บ้านของกู ข้อตกลงระหว่างกูกับแม่ของกู เหตุผลที่กูไม่ได้ติดต่อกลับมา กูไม่อยากให้ทุกอย่างมันสูญเปล่า ในเมื่อเราสองคนอดทนมาถึงขนาดนี้แล้วเราจะอดทนไปด้วยกันจนถึงที่สุด กูคิดแค่นั้นรอวันกลับมาหามึง”
ผมจี๊ดขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดคำจาของมัน สายตาแข็งกร้าวจ้องมันนิ่ง สะดุดหูที่สุดกับคำว่า
เราจะอดทนไปด้วยกัน ผมเดินหน้าเข้าหาผลักไหล่มันท้าทายเลย คือแบบพูดจี้ใจกันจริง ๆ
“ใครอดทนไปพร้อมกับคุณหรือครับ? คุณบอกว่าคุณอดทนเพื่อรอวันกลับมาหาผม คุณมีจุดหมายปลายทางของความอดทน คุณก็รอได้สิ แล้วผมล่ะ! ผมรออย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว ผมอดทนรอโดยที่ไม่เคยได้อะไรตอบแทนมาให้ชื่นใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว คุณคิดว่าผมไม่เสียใจเหรอ ผมก็คนนะ เสียใจเป็น ร้องไห้เป็น เจ็บปวดเป็น คุณเห็นผมเป็นอะไรดูถูกหัวใจของผมเหรอ ขอแค่คุณบอกผมแค่คำเดียวว่าคุณจะกลับมา ต่อให้เป็นสิบหรือยี่สิบปีหรือสามสิบปีผมก็จะรอคุณ แต่คุณเลือกที่จะทิ้งผมไปโดยที่ไม่บอกอะไรเลย ผมเสียใจ ผมเสียใจมากจริง ๆ ทุกคืนผมจะนอนนึกถึงคุณ ร้องไห้หา ละเมอฝันว่าคุณนอนอยู่ข้าง ๆ จนผมตื่นขึ้นถึงได้รู้ว่าความเป็นจริงแล้วไม่มีคุณอยู่ข้าง ๆ ผมเลย ผมผิดเหรอถ้าผมเลือกที่จะเลิกรอ ผมผิดมากไหมถ้าวันนึงผมจะรับใครเข้ามาแทนที่คุณ คนเราเมื่อความเหงามันกัดกินจนหัวใจผุกร่อนไปหมด ย่อมรับเอาใครอีกคนเข้ามาแทนที่ได้ง่าย ๆ ผมผิดไหม!! ฮึกก...ถ้าผมจะมีใครคนอื่นไปแล้ว...ฮึกก...ฮอึ่กก...ผมผิดไหม.....ฮึกก....”
ผมโกหกมัน โกหกทั้งหมด ผมไม่ได้มีใคร ผมไม่เคยมี!! สามปีที่ผมรอ ผมไม่เคยรับใครเข้ามาแทนที่พี่เอย์ของผมเลย คนๆเดียวในหัวใจของผมก็คือมัน แต่ผมเจ็บปวดมากจริง ๆ จะมีอะไรมารับประกันกับผมได้ ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าผมจะไม่ถูกมันทิ้งไปอีกพี่เอย์ค่อยก้าวเข้ามาหา มันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลตกลงมาให้ผม ปาดออกอย่างช้า ๆ แสงจันทร์รำไรสะท้อนหยดน้ำใสในดวงตาของมันเช่นกัน...พี่เอย์เองก็ร้องไห้
“อย่าโกหกกู ปิงเด็กดีไม่โกหกพี่เอย์นะครับ”ผมร้องไห้โฮออกมาทันทีที่มันพูดจบ ทำไมพี่เอย์ถึงรู้ว่าผมโกหก ทำไมถึงได้รู้ น้ำตาทะลักไหลออกมาคือผมไม่รู้เลยทำไมผมถึงอ่อนไหวแบบนี้ทั้งที่กับคนอื่นผมร้องไห้ยากมากแต่กับพี่เอย์แล้วคำพูดของมันกินใจผมนิดเดียวผมร้องเลย พี่เขายกมือขึ้นมาลูบแก้มผม อ่อนโยน ตอบคำถามทุกอย่างที่ค้างคาใจผมว่ามันรู้ได้อย่างไรว่าผมพูดโกหก
“นัยน์ดวงตาของมึงมีแค่ภาพของกูเท่านั้นที่สะท้อนออกมา เช่นกันกับนัยน์ตาของกู คนเพียงคนเดียวที่จะอยู่ในสายตากูได้ ก็คือมึง ”
ความรู้สึกบางอย่างภายในใจเอ่อล้น ตื้นตัน ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังคิดกำลังรู้สึกเช่นไร หากแต่คำพูดที่ผมคนนี้อยากจะเอ่ยมากที่สุดในเวลานี้ก็คือ.....
“เพราะว่าเราทั้งคู่สัญญากันไว้แล้วไง” ใช่ครับ...เพราะว่าเราสัญญากันไว้แล้ว
พี่เอย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำในขณะที่ผมเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ดังกังวานอยู่ในหัวใจ ไม่น่าเชื่อว่าเราสองคนเอ่ยคำๆเดียวกันขณะที่คนหนึ่งพูดมันออกมาอีกคนกลับคิดอยู่ในใจ
มือใหญ่และเย็นมือเดิมดึงผมเข้าไปกอด อ้อมกอดที่ผมคิดถึงมากที่สุด ปรารถนามากที่สุด และเฝ้ารอคอยมากที่สุด
สามปีกับอีกสามเดือน
หนึ่งพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าวัน
สองหมื่นแปดพันสองร้อยชั่วโมง
หนึ่งล้านหกแสนเก้าหมื่นสองพันนาที
ความรู้สึกของผมคนนี้ ยังคงเหมือนเดิมไหล่พี่เอย์อบอุ่นแข็งแรงและเป็นที่พักพิงให้หัวใจผมได้เสมอ ความทรงจำครั้งก่อนไหลเทเข้ามาราวกับแผ่นหนังที่ถูกรีเพลซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถ้อยคำชัดเจนเรียงร้อยออกจากหัวใจสองดวงที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
“พี่เอย์ครับ ถ้าพี่ได้ผมแล้วพี่ยังจะเป็นพี่เอย์คนเดิมของผมอยู่ไหม”
“ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป กูก็ยังจะเป็น ‘พี่เอย์’ คนเดิมของมึง กูสัญญา”
“สัญญากับกูว่าจะไม่ปล่อยมือนี้ เราจะจับกันไว้จนถึงที่สุด........สัญญาได้ไหม”
“ผมสัญญา”
“เรามาเริ่มกันใหม่นะ ที่ผ่านมากูขอโทษ”..กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ ๆ
เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ เหมือนเราได้พูดกัน
ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไปไหน
ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน....
Tbc.