Lost 41 : เพียงภาพฝัน
น้ำเสียงที่เอ่ยมานั้นหยุดลงไปด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขณะที่สายลมหนาวโบกพัดอย่างรุนแรง ลมแรงเสียจนขนนกสีดำกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ ปลายนิ้วที่เกาะกุมไว้นั้นเย็นเฉียบยิ่งกว่าทุกครา มันเย็น..เย็นราวกับไร้ชีวิต ขณะที่ร่างตรงหน้าค่อยๆเลือนหาย กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น
ปลายนิ้วที่เคยเกาะกุมไว้ในมือหายไปเสียแล้ว ร่างที่เคยยืนอยู่ตรงหน้ากลายเป็นเพียงเศษขนนกสีดำที่ปลิวว่อนทั่วทั้งห้องก่อนจะแปรเป็นเศษขี้เถ้าซึ่งปลิวหายไปตามลมที่กรรโชกอย่างรุนแรง ไคลน์ก้มลงจ้องมองฝ่ามือของตนเองที่สั่นไม่หยุดราวกับไม่เชื่อสายตา ภาพสุดท้ายที่ยังจำได้ คือดวงตาสีแดงประกายคู่นั้นสั่นไหวและเบิกกว้างขึ้นด้วยความยินดี
รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงตราตรึงขณะที่ความจริงไม่เหลือแม้กระทั่งเศษฝุ่นให้ตามหา สายลมแรงยังคงพัดเสียจนผ่านม่านปลิวไสวไม่หยุด แต่บัดนี้ ร่างของคนที่เคยอยู่ตรงหน้ากลับหายวับไปเสียแล้ว
ยืนนิ่งคล้ายกับคนโง่ ลมหายใจหลุดหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับหัวใจที่ราวกับกำลังหยุดเต้น ไคลน์เงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือตนด้วยความงวยงง ก่อนที่ดวงตาจะเบิกขึ้นเมื่อมองเห็นสีขาวที่อยู่เบื้องหน้า
ร่างในชุดสีขาว อาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ ดวงตาสีท้องฟ้าและเส้นผมสีทองประกาย เทพบุตรผู้งดงาม..คนที่ครั้งหนึ่งตนเคยหลงไหล คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้า สบมองตากลับมาดวงดวงตาที่แดงก่ำและน้ำใสที่เอ่อท้นสองแก้ม
ริมฝีปากของฟาราสยกขึ้นคล้ายจะยิ้มแม้กำลังร้องไห้ มันขยับเบาๆเป็นคำพูดที่ตราตรึงเข้าไปในหัวใจ
"สาสมกับที่เขาควรได้รับแล้ว ไคลน์"
+++++++++++++++++++++++++++
คำพูดของฟาราสยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคิดยามที่ก้าวเท้าเดินไปอย่างเหม่อลอย ฝ่าเท้าย่ำลงบนผืนศิลาสีดำสนิทและทางเดินหินโค้งประดับด้วยคบเพลิงและมีเถากอกุหลาบเบียดแทรกเสียจนแทบไม่มีช่องว่าง และกลิ่นหอมที่อายอวลฟุ้งเต็มทางเดิน
กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงคนบางคน..และ...สิ่งที่จะไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว
ไคลน์หรุบตาลงช้าๆ หัวใจหนักอึ้งเกินกว่าจะได้กล่าวอะไรอีก ความรู้สึกคล้ายกำลังถูกบดขยี้ด้วยมือที่มองไม่เห็นยังคงแจ่มชัดและดำเนินอยู่ในทุกคราวของการเคลื่อนไหว ความทรงจำนึกหวนคืนกลับไปยังคำคืนนั้นที่คำบอกรักของตนยังไม่ล่วงพ้นหลุดออกมาจากปาก ขนนกสีดำที่กระจัดกระจาย ร่างที่หายไปไม่เหลือแม้เศษฝุ่นผง และ..ตัวการลงมือ ที่เป็นคนรักของตน
...ไม่สิ เป็น"อดีต"คนรัก
ในวันที่จบภารกิจและเดินออกมาจากใต้ผืนพิภพ หลังจากที่ตนเอ่ยปากขอให้ยอโทษให้กับคนผู้นั้น ฟาราสก็รับรู้แล้วว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป การพุดคุยนั้นไม่มีกระทั่งน้ำตาหรืออาการทุรนทุราย ราวกับว่าฟาราสนั้นรู้ และสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว ว่าหัวใจของเขา..แปรเป็นอื่น
เมื่ออีกฝ่ายถามด้วยความอยากรู้ เขาก็ยอมรับในที่สุด ใช่..มันเปลี่ยนไป และไคลน์รู้อย่างชัดเจนว่ามันเปลี่ยน..ก็เมื่อรู้ว่าอาโลอิสจะต้องหายไปด้วยคำสัตย์ที่เป็นคนให้ไว้
เขายอมทุกอย่าง ไคลน์ยอมออกปากอ้อนวอน ต่อรองและทุ่มเทเพื่อไม่ให้อาโลอิสหายไป แค่นั้นก็บอกได้ชัด..หัวใจของตนนั้นมีผู้อื่นอยู่
ฟาราสไม่ร้องไห้ เทพบุตรผู้งดงามนิ่งฟังด้วยท่าทีสงบนิ่ง จวบจนเขาเอ่ยปากจบลงก็ยังคงเงียบ..ไร้ท่าทีไม่พอใจใดๆทั้งนั้น
..และนั่นทำให้ไคลน์รู้สึกเบาใจอย่างยิ่ง
ไคลน์นั้นวางใจ และดีใจยิ่งนักที่ตนเองสามารถจบเรื่องราวทุกอย่างได้แต่โดยดี เขามุ่งมั่นไปกับการตามหา คอยเฝ้ามอง คอยดูแลคนๆนั้นแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ เอาแต่ตามหลังเทพบุตรที่ครั้งหนึ่งเคยพร่ำบอกรักตนด้วยน้ำตา ขณะที่นึกโทษตัวเองที่ทำตัวร้ายกาจไปด้วย จนกระทั่งในที่สุด ..ในที่สุดจึงเอ่ยปากบอกความรู้สึกของตนเองออกไป
...แต่ใครจะรู้ ว่านั่นคือจุดจบ
จุดจบที่เกิดขึ้นเพราะตัวเขา ความเห็นแก่ตัว และความลังเล คนที่เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น คนๆนั้นควรโดนประณามและเหยีดหยาม สิ่งเหล่านี้นั้นล้วนถุกต้อง
..แต่ มันไม่ควรเกิดเรื่องแบบนั้นกับอาโลอิส
คนที่เปลี่ยนใจคือเขา คนที่ผิดล้วนเป็นเขา คนสองคนที่ต้องเจ็บปวดเพราะความลังเลและการกระทำที่ไม่แน่นอน คนที่ต้องเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ควรจะโกรธตัวเขา หาใช่มุ่งไปทำลายกัน
ความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ความผิดที่เปลี่ยนแปลงไป ความผิดที่ทอดทิ้งและละทิ้งหัวใจของฟาราสเพื่อเอื้อมมือไปหาหัวใจของอาโลอิส ชดใช้มาด้วยชีวิตของคนที่ตนเองเพิ่งจะรู้ ว่ารัก รักมากมายเพียงไหน
รู้ตัวเมื่อสายเกินไป บอกออกไปยามที่ช้าเกิน ช้า...และทำให้คนๆนั้นหายไปตลอดกาล
ตลอดกาล
ไม่เหลือแม้กระทั่งเศษฝุ่นหรือเศษหิน ไม่เหลือแม้กระทั่งเสี้ยวของวิญญาณ คนที่ถูกฆ่าซ้ำให้ตายครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สุดก็ต้องหายไปอย่างไม่อาจเอากลับคืนมาได้อีกแล้ว
ความจริงนั้นทำให้ขอบตาร้อนผ่าว ไคลน์รู้สึกราวกับทุกสิ่งกำลังพังทลาย ..ยามที่เขาเข้าไปคุกเข่าอ้อนวอน ขอให้เจ้านายช่วยเหลือ ขอให้คีเรสหาวิธีช่วย ไม่ว่าต้องทำสิ่งใด ไม่ว่าต้องทำอย่างไรก็ตาม ขอให้ช่วย แบบเดียวกับตอนนั้น..
..เขายังคงมีความหวัง หากนำฟาราสกลับคืนมาได้ การนำอาโลอิสกลับมา ย่อมต้องมีทาง
หากสิ่งที่ได้มีเพียงการถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างจนปัญญา คนที่หายไปไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาณ จะให้นำกลับมานั้นไม่มีทางเป็นไปได้
ไม่ต่างกับการลงไปขอร้อง อ้อนวอนต่อผู้เป็นนายของคนๆนั้น แต่เซดิสก็ยังคงส่ายหน้า..ไม่มีทาง และ เป็นไปไม่ได้...ไม่ต่างกันเลย
ความหวังที่ภินพังไปแล้วทำให้ไคลน์รู้สึกถึงหัวใจที่รวดร้าวของตน เจ็บปวด แต่ไม่อาจโทษผู้ใดได้นอกจากตนเอง ความรู้สึกผิดที่เข้าถาโถมทั้งกายและใจนั้นมีมากมายเสียจนแทบไม่อาจครองสติไว้ได้ การสูญเสียครั้งนี้นั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าคราวของฟาราสมากนัก
ได้แต่พึมพำซ้ำๆ ได้แต่ด่าว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นเพราะข้า..เป็นเพราะข้าคนเดียว
สติยังคงเลื่อนลอยอยู่ยามที่ถูกบอกให้ตามผู้เป็นนายลงไปยังเบื้องล่าง ไคลน์ก้าวเท้าผ่านอุโมงค์หินไปยังโถงทางดินใหญ่ที่ตนเคยคุ้นอีกครั้ง โถงสูงและมีแสงสีทองพาผ่าน บัลลังก์แสนงดงามใดดูราวกับจะไม่อยู่ในความสนใจ ดวงตามองไปอย่างเรียบเฉยด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายกับเซดิสถึงได้บอกให้ลงไปพบ
... ทว่าร่างที่แน่นิ่งอยู่บนแผ่นหินกลับทำให้ดวงตาต้องเบิกกว้าง
"อาโลอิส?" ไคลน์ถามซ้ำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น ร่างที่ถลาเข้าไปหาพร้อมกับจ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตานั้นอยู่ภายใต้การจ้องมองของคีเรสและเซดิส ผู้เป็นนายทั้งสองเหลือบมามองตากันเพียงครู่ ก่อนที่เซดิสจะเป็นผู้เอ่ยปาก
"อย่าเพิ่งดีใจไป..นั่นเป็นเพียง"ร่าง"ไม่มีอย่างอื่น"
"หมายความว่าอย่างไร?" ไคลน์เอ่ยถามซ้ำ ขณะที่ประถองอุ้งมือของอาโลอิสมาแนบแก้มด้วยความโหยหาอย่างถึงที่สุด
"....ร่างของเขา..เอากลับคืนมาได้" เซดิสตอบก่อนจะหันไปยังเบื้องหลัง ที่มีเซธในร่างมนุษย์ ยืนอยู่พร้อมกับฟาราส นั่นทำให้ไคลน์ขมวดคิ้วอีกครา
..หรือ จะต้องให้ตนตามไปทำร้ายฟาราส เพื่อนำอาโลอิสคืนมา?
สังหรณ์ร้ายถึงเรื่องราวที่จะเกิดซ้ำทำให้ตนมีสีหน้าเครียดเคร่ง
"..เพราะเจ้ามาอ้อนวอน ทั้งข้าและคีเรส เลยนึกสมเพชขึ้นมา" เซดิสเน้นคำว่าสมเพชอย่างจงใจยิ่งพร้อมกับรอยยิ้มร้าย "...เซธก็เลย...ไปขอปีกเล็กๆน้อยๆมาจากฟาราส ให้ข้าคืนร่างอาโลอิส"
"ปีก?" ไคลน์ถามซ้ำด้วยความไม่เข้าใจ
"ข้างที่เอาคืนไป ยังคงมี"บางส่วน"เป็นของอาโลอิสด้วย..เมื่อยังมีอยู่ ข้าจึงนำมาได้ เพราะมันไม่ได้หายไปเป็นฝุ่นเหมือนกับอีกข้าง" เซดิสอธิบายช้าๆ ไม่ได้บอกถึงรายละเอียดว่าตนทำสิ่งใดลงไปซ้ำร้ายยังจงใจพุดให้อีกคนระลึกถึงสาเหตุที่อาโลอิสต้องหายไปอย่างชัดเจน
“เขา..นึกรู้สึกผิดขึ้นมา เลยยอมให้พวกข้าจัดการ” เซดิสยิ้ม ปรายตามองไปยังฟาราสที่ยืนจ้องมองมาที่ตน วาจานั้นทำให้ไคลน์ขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกว่าท่าทีของฟาราสนั้นมันช่างห่างไกลคำว่า “ยินดี” มากเสียเหลือเกิน
"...พวกท่านทำอะไรฟาราส" ไคลน์เป็นฝ่ายถามซ้ำ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดยามเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การทำร้ายฟาราสเพื่อนำอาโลอิสคืนมา มันย่อมไม่ควร..การจะต้องเริ่มวัฒจักรที่ให้ทำร้ายคนหนึ่ง เพราะสุฐเสียอีกคนหนึ่งแบบนั้น เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว
เพราะผู้ผิดที่แท้จริงคือเขา
ผิดที่ลังเล ผิดที่ไม่แน่ใจ ผิดที่รู้ตัวช้าไป..ผิด ทุกๆอย่าง..
"ฟาราสยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองทำ จึงยอมช่วยเหลือ เจ้าอย่าได้ถามมากเลย อย่างไรก็ได้อาโลอิสคืนมามิใช่หรือ" เซดิสถาม ขณะที่เซธบีบไหล่ฟาราสซึ่งตัวสั่นน้อยๆเบา เป็นผลให้ร่างนั้นเกร็งเขม็งขึ้นมาทันควัน
อัปกริยานั้นล้วนไม่พ้นจากสายตาของไคลน์ เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้วแน่น
"จะอย่างไร ฟาราสก็ไม่ผิด คนที่ผิดคือข้า" ไคลน์เอ่ยปากบอก แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนลงมือสังหารอาโลอิส แต่ทว่าเขาไม่คิดจะนึกสาดความโกรธใส่ฟาราสแม้เพียงนิด การกระทำของฟาราสนั้นเป็นเพียงการทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ขณะที่ผู้ผิดที่แท้จริงเป็นเขา..คนหลายใจนามว่าไคลน์
..เป็นคนที่ทำให้อาโลอิสหายไป..คนที่ทำให้เกิดเรื่องราวทุกๆอย่าง
"ไม่ต้องบอกข้าก็รู้" เซดิสยิ้มรับอย่างเยือกเย็น "คนผิดคือเจ้าไม่ต้องสงสัย ไคลน์ ..ดังนั้น เจ้าจึงได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณของเขามายังไงเล่า"
"หมายความว่าอย่างไร" ไคลน์ถามเสียงเบาราวกับกระซิบ ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังใจหายวาบ..
"....เขาหายไปแล้ว หายไป..." เซดิสเอ่ยย้ำพร้อมรอยยิ้ม "หายไปแล้ว จึงไม่มีอีกต่อไป ตรงนี้เป็นเพียงร่างไร้ชีวิต เป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งมอบให้เจ้าผู้โง่งม....ผลลัพท์ของการกระทำทั้งหลาย คือได้กอดเพียงร่างไร้วิญญาณอย่างไรล่ะ"
สิ้นคำ ร่างของเซดิสก็สะบัดกายเดินหายไปทันควัน ไม่ต่างกับเซธที่นำตัวฟาราสออกไปบ้าง คำพูดนั้นทำให้ไคลน์นิ่งอึ้ง หัวใจที่ระริกไปด้วยความยินดีบัดนี้ราวกับถูกฉีกกระชากและเหยียบซ้ำ เทพบุตรหนุ่มจ้องมองร่างที่ยังคงนิ่งบนแผ่นศิลา ทุกอย่างช่างเหมือนตัวจริง ทั้งเส้นผมสีแดงเข้ม ผิวขาวจัด ใบหน้า ลำคอ จมูก ทุกอย่างล้วนเป็นอาโลอิสทั้งนั้น
แต่เป็นอาโลอิสที่จะไม่มีวันลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว
สิ่งที่ได้รับไม่ต่างกับโทษทัณฑ์ของแส้ที่ฟาดมาบนแผ่นหลัง ไคลน์ตัวสั่นระริก พลางกอดร่างไร้วิญญาณนั้นไว้ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ความหวังที่พังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เทพบุตรหนุ่มคล้ายกำลังจะบ้าคลั่งไปทุกที
การกระทำของเซดิสบ่งชัดว่าชิงชังและรังเกียจที่ตนเป็นคนทำให้เรื่องราวบานปลายเสียขนาดนี้ แต่การลงโทษด้วยการคืนกลับเอาอาโลอิสมาเช่นนี้ ช่างเป็นผลตอบแทนที่ร้ายแรงยิ่งนัก
หนัก..เสียจนไคลน์รู้สึกแทบจะเป็นบ้า..
"ไคลน์..." น้ำเสียงของคีเรส ผู้เป็นเจ้านายดังขึ้นก่อนจะถอนหายใจเบาๆ มองสภาพของคนสนิทตนที่บัดนี้ ดูราวกับไร้สติ เอาแต่พร่ำกอดร่างของอาโลอิสผู้นั้นแล้วพึมพำซ้ำๆราวกับคนบ้า
...ผู้ที่เป็นบ้าใบ้ ผู้ที่ทุรนทุรายด้วยความสูญเสีย
ข้อเท็จจริงนั้นทำให้คีเรสถอนหายใจแผ่วเบา ด้วยครั้งหนึ่งที่จำได้ ตนเองก็เคยเป็นเช่นนี้..เฉกเดียวกัน
ดังนั้น ด้วยความสงสารหรือด้วยบางสิ่ง..เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินล้ำลึกผู้จ้องมองแผ่นหลังที่สั่นระริกนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเอ่ยช้าๆ...
"เราทำได้เพียงเท่านี้" เสียงของคีเรสดังขึ้นราวกับจะตอกย้ำความรู้สึก "ทุกคนล้วนเสียใจ แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้...อาโลอิสได้จากไปแล้ว จากไปแล้วจริงๆ และการนำร่างของเขาคืนกลับมาให้เจ้า ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด..”
“ข้ารู้”.ไคลน์พึมพำรับคำแผ่วเบา..แต่เป็นรู้ ที่ไม่ได้ต่างกับไม่รู้เสียเท่าไหร่
“ข้าและเซดิสเหนื่อยมาก..ในการนำเขากลับมา” คีเรสกล่าวไปถึงผู้ที่เดินออกไปแล้ว แม้ท่าทีของเซดิสจะหงุดหงิดไม่พอใจ แต่ในยามที่ทุ่มเทเพื่อนำเอาร่างของลูกน้องตนคืนกลับ ก็นับว่าน่านับถือยิ่ง
“ขอบคุณ”
“แต่การนำร่างคืนกลับมาว่ายากแล้ว ยังไม่เท่ากับวิญญาณ..หากเจ้ายังปล่อยให้อยู่แบบนี้ ไม่นานร่างของเขาจะหายไป.."
"...อะไรนะ" ไคลน์ชะงัก หลุดจากเสี้ยวคะนึงแห่งความรู้สึกผิดและความทุกข์ใจ เอ่ยปากถามกลับเจ้าของประโยคนั้นราวกับไม่เชื่อหู
"สิ่งใดไม่มีวิญญาณ สิ่งนั้นย่อมไม่อาจคงอยู่ได้นาน นี่คือกฏ"
"แล้ว ข้าต้องทำอย่างไร" ไคลน์ถามเสียงเบาราวกับกระซิบ เขาออกแรงกอดรัดร่างในอ้อมแขนแน่น ตั้งมั่นและปฏิญาณในใจ ว่าจะไม่ปล่อยให้คนๆนี้หายไปไหนอีกแล้ว แม้จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณก็ตามที
"เจ้าไม่อาจนำร่างของเขาขึ้นไปยังที่อยู่ของเราได้..เพราะเขาอยู่ในความมืด ย่อมไม่ถูกกับแสงสว่าง แต่เจ้าก็ไม่อาจนำร่างเขาไว้ที่นี่ เพราะร่างของเขาในสภาพนี้ไม่อาจทนต่อข้างใต้พิภพนี้ได้..หากปล่อยเอาไว้เพียงไม่กี่วัน ร่างของเขาก็จะหายไปอย่างที่ข้าบอก" คีเรสเอ่ยช้าๆ
“แล้วข้าจะต้องทำอย่างไร?”
"...ยังพอมีทาง นำร่างของเขาไปไว้บนโลกมนุษย์ ให้เลือดของเจ้ากับเขาทุกวัน คงพอจะพยุงร่างนี้ไปได้.."
"ข้า เข้าใจแล้ว.."
“.........” คีเรสพยักหน้าช้าๆ หมุนตัวทำท่าจะเดินออกไปเมื่อเสร็จธุระของตน
“ท่านคีเรส...” เสียงของไคลน์ดังขึ้นเบื้องหลัง กังวานน้ำเสียงดูสงบขึ้น คล้ายกับว่าอีกฝ่ายนั้นสามารถทำใจได้แล้วต่อเรื่องที่เกิด “ไม่มีทาง...ไม่มีทางใดที่จะทำเขากลับมาอีกหรือ”
คำถาม...ที่ยากยิ่งต่อคำตอบนั้นทำให้คีเรสถอนหายใจ
“เนิ่นนานมาแล้ว มีตำนานเล่าขาน..ว่ากันว่า...” น้ำเสียงนั้นเรียบสงบ น่าฟังยิ่ง “มีใครคนหนึ่ง กลับออกมาจากอ้อมกอดของพระเจ้า ตามเสียงเรียกหาของคนรัก เขาเฝ้าร้องเรียกทุกวัน...ทุกคืน เพื่อนางจะกลับมา”
"จากนี้ไป...สิ่งที่พอจะทำได้...คงเป็นเพียงการเฝ้าวอนขอภาวนาให้เขากลับมากระมัง" ครีเรสเอยช้าๆก่อนจะถอนใจ "แต่จงจำไว้ ว่ามันยาก...ยากยิ่งกว่าสิ่งใด จำไว้"
"..........." ไคลน์พยักหน้าช้าๆ สองแขนสอดขึ้นนำร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน
“แต่การทำแบบนั้นต้องเป็นศัตรูกับพระผู้เป็นเจ้า แย่งชิงเขาออกมาจากอ้อมแขนของพระองค์..เจ้ายังคิดจะทำหรือ”
“ข้าจะทำ” ไคลน์รับคำหนักแน่น ดวงตาวาววับ
“....เช่นนั้นข้าคงไม่อาจห้าม”
"ขอบคุณมาก..ท่านคีเรส"
"...ขออย่างให้ทุกอย่างเป็นเพียงภาพฝันก็แล้วกัน ไคลน์"
สิ้นคำพูดนั้น ร่างของคีเรสก็หายไป ทั่วทั้งโถงใหย่เหลือเพียงความเงียบและเสียงหยดน้ำไหล ขณะที่ไคลน์สูดหายใจลึก จ้องมองร่างที่ไร้วิญญาณในอ้อมแขนตน ดวงตาสีน้ำตาลสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้มขึ้นราวกับตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว ร่างของเทพบุตรหนุ่มหยุดหายลุกขึ้นช้าๆ สะบัดปีกทะยานนำเอาร่างของคนที่ตนรักพาออกไปทันที
++++++++++++++++++
:katai1:เฮ้ออออ นี่เป็นช่วงกรรมตามสนองสินะคะ ตอนนี้คงต้องรอปาฏิหารย์ซะเเล้วนะ เเต่เรื่องที่ไม่ต้องรอลุ้นปาฏิหาริย์นิยายยังเปิดจองอยู่นะคะ