LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557  (อ่าน 78545 ครั้ง)

ออฟไลน์ loyal_mook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 37 : การตัดสินใจ UP 29/7/2557
«ตอบ #90 เมื่อ29-07-2014 08:33:35 »

รู้สึกดีแทนอาโลอิส แต่ก็รู้สึกแย่แทนฟาราส ฮืออออออ  :z3:

hanahana

  • บุคคลทั่วไป
Re: LOST ANGEL *Lost 37 : การตัดสินใจ UP 29/7/2557
«ตอบ #91 เมื่อ29-07-2014 22:18:34 »

ตามทันแล้ววววว ดีใจ :hao7:
หน่วงหนักทุกตอน มีแอบหวานให้ชุ่มหัวใจเป็นพักๆ แล้วก็กลับมาหน่วงกันเบาๆ
ต้องเลือกแล้วล่ะจุดนี้ แต่ก็เหมือนไคลน์จะเอียงมาทางอาโลอิสน่ะ  :hao3:
ไคลน์แลดูหล่อจริงตอนล่าสุดหลังจากที่เราก็อ่านไปด่าไปมาหลายตอนอยู่ 55
เห็นใจทั้งอาโลอิสทั้งฟาราส รอดูว่าคำตอบสุดท้ายของไคลน์จะออกมาแบบไหน
ไม่กล้าเดากลัวหักมุม555

ปล. แต่ใจเราก็แอบเอียงไปทางอาโลอิสน่ะ55  :z2:   เป็นกำลังใจให้จ้า   

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
«ตอบ #92 เมื่อ29-07-2014 23:56:14 »




Lost 38 : ยมทูต




      "ข้าขอให้ท่านยกเลิกโทษของอาโลอิสซะ!"




      น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ดังกังวานนั้นทำให้อาโลอิสหันไปมองอย่างไม่เชื่อหู ดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึงไม่ต่างกับทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ หัวใจของตนกระตุกไหวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนั้น อาโลอิสรับรู้ได้ถึงความปิติยินดีที่ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็วของตน  และเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว



     ...ทั้งที่นึกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ไปแล้ว



    แค่เดินออกมากางปีกปกป้อง แค่เพียงออกมาช่วยชี้แจงแถลงไข เพียงเท่านั้นหัวใจก็เต้นระรัวด้วยความปิติล้นอก



    เมื่อทั้งเจ้านายและคนรักเอ่ยปากห้าม อาโลอิสคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้และล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว แม้หัวใจจะเจ็บแปลบลึกๆและยังปะปนด้วยความหวาดผวายามที่จะต้อง"หายไป"แต่ว่าการได้หายไปท่ามกลางความทรงจำดีๆเช่นนี้ทำให้ตนได้คิด...อย่างน้อย ก็มีความสุข



      แต่เมื่อไคลน์คุกเข่าลงและเอ่ยปากขอ"รางวัล"ที่ตนควรได้เป็นการยกเลิกโทษของเขา แค่นั้นทำให้อาโลอิสรู้สึกดีใจเสียจนแทบทนไม่ไหว



    ทั้งที่เป็นรางวัล เป็นสิ่งที่ควรได้รับ รางวัลจากการปราบอสูรร้ายลงได้ราบคาบ ควรจะเป็นค่าตอบแทนที่"ดีกว่านี้"



    แต่อีกฝ่ายกลับขอเพื่อมอบให้ตน ต่อหน้าคนรักและเจ้านาย คุกเข่าลงเอ่ยปากอย่างกล้าหาญ มันมีค่ามากเสียยิ่งกว่าที่เขาควรจะได้รับร้อยเท่าพันเท่า



      อาโลอิสเหลือบมองร่างของไคลน์ ที่ยังคงก้มหน้าคุกเข่าลงข้างๆ เขารับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความปิติของตน จ้องมองร่างของอีกฝ่ายแม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้เหลือบแลมาและยังคงเงยหน้ามองผู้มีอำนาจทั้งสองด้วยท่าทีจริงจัง



      ..เป็นความจริงจังที่งดงามและมีค่าเกินกว่าตนจะได้รับยิ่งนัก..



       "....." เซดิสนิ่งฟังคำขอนั้น ครู่หนึ่งตนชะงักไปพลางกระพริบตาถี่ด้วยท่าทีราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเริ่มหัวเราะ



      เสียงหัวเราะแผ่วดังกังวานไปในโถงใหญ่ สีหน้าขบขันและแฝงด้วยบางสิ่งยามจ้องมองกลับมานั้นทำให้ไคลน์กลืนน้ำลายช้าๆ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็ยังคงจ้องมองมาอย่างดุดัน แววตาวาววับอันบ่งบอกความปราถนานั้นทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องโถงนี้ต่างประจักษ์ชัด ว่าคนพูดนั้นเอาจริงเอาจังเพียงไร



       เสียงร้องของการาเวนดังขึ้นพร้อมกับโผเข้าที่ไหล่ของเซดิสผู้ที่ยังคงขบขัน ปลายนิ้วสีขาวที่บัดนี้แหวนประดับอัญมณีสีแดงก่ำปรากฏอยู่อีกคราลูบไล้เส้นขนสีดำสนิทเบาๆ ขณะที่เจ้ากาดำตัวใหญ่กระซิบคล้ายจะบอกถึงบางอย่าง



       "อ้อ.." เสียงรบคำของเซดิสดังขึ้นขณะที่เซธบินกลับไปเกาะคอนอีกครั้ง แววตาที่จ้องมองมาด้วยดวงตาสีเพลิงที่ระริกไหวคู่นั้นแปรเปลี่ยนไปราวกับรู้อะไรบางอย่าง เซดิสจ้องมองสบตาของไคลน์เงียบๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครา



      "คำขอของเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก.."วาจาคล้ายจะสรรเสริญ แต่ผู้ฟังรู้ดีว่าไม่ใช่ "กำลังขอลดโทษให้ศัตรูของตนงั้นรึ..ไคลน์..ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ"



       "ท่านจะให้ได้หรือไม่" ไคลน์ดูราวกับไม่สนใจน้ำเสียงที่คล้ายจะเยาะหยัน ดวงตาสีเข้มยังคงมองนิ่ง และเอ่ยปากถามซ้ำ



        "คำขอของเจ้า..ควรขอตรงต่อนายเจ้า หาใช่ข้า" เซดิสเอ่ยเรียบๆ



       "แต่ท่านคือนายของอาโลอิส"



       "ถูก.." ผู้ฟังพยักหน้า ก่อนที่แววตาจะปรากฏความสนุกสนานขึ้นชั่ววูบ "ดังนั้น จึงต้องให้นายของเจ้ามาขอข้าด้วยตัวเองยังไงล่ะ.."



           คำพูดนั้นทำให้ทั่วทั้งโถงเงียบกริบไปอีกครั้ง หาวาจาของไคลน์คือการราดน้ำมันลงบนกองไฟ คำพูดของเซดิสนั้นเล่าคงเหมือนการวางเชื้อเพลิงใหม่ให้ปะทุ ซ้ำยังลามไปลามผู้ที่อยู่นอกวงเสียด้วย มิต้องให้เดาหรือทำการคิดให้ถี่ถ้วนใดๆ ความต้องการของผู้ที่กล่าวนั้น คือการเหยีบเอาคำขอของไคลน์มาเทียบกับความภาคภูมิใจของคีเรสเป็นแน่



        ...เพียงเพราะคำขอของลูกน้อง ต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้เป็นนาย


         และเพียงเพราะ..คนบางคนอยากเห็นใครต้องทุรนทุรายมากขึ้นอีกสักนิด



           ไคลน์เบนสายตาไปจ้องมองเจ้านายตน ขณะที่คีเรสนิ่งไปพักด้วยไม่รู้ว่าจะถูกสาดฟืนเข้าหา แววตาของผู้ฟังปรากฏความประหลาดใจเพียงน้อยก่อนจะนิ่งสงบ สีน้ำเงินที่เข้มข้นลึกจัดนั้นจ้องมองใบหน้าของผุ้เป็นลูกน้องตน ความสงสัยเกิดขึ้นมาอย่างไม่อาจระงับ เมื่อรู้..ว่าคำขอนั้นมอบให้กับผู้ที่ไคลน์นั้นเคยชิงชังยิ่ง



        ...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?



       ความห่วงใยและท่าทีเช่นนั้นชวนให้นึกงวยงงมิใช่น้อย ทั้งยังคำขอที่แสนอุกอาจและคาดไม่ถึง การจะเปลี่ยนจากรางวัลที่ควรได้ เป็นขอให้ไว้ชีวิตคนที่เป็นศัตรู ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ดูราวกับเรื่องล้อเล่นชวนขัน



     ..ทว่า แววตาของไคลน์บ่งชัด


      นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น




       หันไปมองผู้ที่อยู่ข้างกาย เจ้าของอาภรณ์สีดำสนิทรวมไปถึงเส้นผมสีขนกาที่ยาวจรดพื้น ผู้ที่มีดวงตาสีเพลิงไหวระริกคล้ายต้องลม เจ้าของรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์เป็นปริศนา ที่กำลังมองมาคล้ายจะพิสูจน์ว่าตนนั้นสามารถทำให้คำขอของลูกน้องเป็นจริงได้หรือไม่



     ...ไม่ว่าอย่างไร ก้ยังชอบยั่วโมโหกันไม่เปลี่ยน



       คีเรสลอบถอนหายใจเนิบช้า นัยน์ตาตวัดมาจ้องมองลูกน้องคนสนิทของตนอีกครา รวมทั้งมองเลยไปยังผู้เป็นตัวการ เทพบุตรปีกสีดำที่คุกเข่าอยู่ข้างกายนั้น และยังมองไปถึงหนึ่งเทพบุตรผู้มีดวงตาสีทองฟ้า ที่บัดนี้มีสีหน้าราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองได้ยินเป็นอย่างยิ่ง



       "จะว่าอย่างไร ท่านคีเรส" น้ำเสียงเอ่ยถามกลับเร่งเร้า ความนัยนั้นคือสนุกอย่างไม่ต้องสงสัย คีเรสมองดวงตาสีเพลิงของอีกฝ่าย นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา



       "ท่านจะช่วยทำตามคำขอของไคลน์ได้หรือไม่ เซดิส.."



      "...โทษที่ร่วมกันกำหนด..ท่านจะยกเลิกง่ายๆกระนั้นหรือ" เซดิสมีท่าทีแปลกใจ แม้ไม่ได้เสแสร้ง แต่ผู้มองก็อดจะขัดตาไม่ได้



      "ข้าทราบ ว่าท่านยึดถือความยุติธรรม เหนือสิ่งอื่นใด" คีเรสเอ่ยตอบ ศรีาะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีทองอ่อนจางขยับโคลงเงียบๆ หากผู้ฟังต้องขมวดคิ้ว "..ดังนั้นข้าจึงขอ"



       "...คำขอของท่านเลยรึ?" เซดิสเลิกคิ้ว เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ



       "ใช่แล้ว" คีเรสพยักหน้า ดวงตามองไปยังลูกน้องของตนอีกครา "ขอให้ท่าน..ยกเลิกโทษของอาโลอิสได้หรือไม่"



       "ขอบคุณท่านคีเรส" ไคลน์ก้มหน้าแทบจรดพื้น เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความซาบซึ้ง



       "...ถือเป็นคำขอของเจ้า" คีเรสรับคำด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ "รางวัลสำหรับการทำภารกิจสำเร็จ แม้ข้าจะนึกแปลกใจก็ตาม.."



       "....ขอบคุณท่านคีเรส" ไคลน์เอยซ้ำอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็เงยหน้าไปมองเซดิสราวกับจะถามว่าคิดจะทำเช่นไรต่อ



       เซดิสเหลือบมองเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาไคลน์อีกครา เจ้าของดวงตาสีเพลิงยิ้มออกมาบางๆ ขณะที่เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับสายน้ำไหล



        "อุตส่าห์ขอข้าถึงเพียงนี้..จะไม่ทำตามก็กระไร"



        "อาโลอิส"



        "ขอรับ ท่านเซดิส" อาโลอิสเงยหน้าขึ้นช้าๆ พลางสบมองแววตาสีเพลิงของเจ้านายตน ดวงตาคู่นั้นยังคงลึกล้ำเสมอ



         "...โทษทัณฑ์ที่เจ้าควรได้รับ บัดนี้ถุกยกเลิกแล้ว"



         "ท่านเซดิส.." น้ำเสียงแฝงแววปลาบปลิ้มอย่างปิดไม่มิด หากผู้ฟังโบกมือ



         "ขอบคุณคนที่ช่วยเจ้าดีกว่า หาใช่ข้าไม่"



         "ขอบคุณท่านคีเรส" เมื่อได้ฟังดังนั้น อาโลอิสก็ก้มหน้าลงไปพลางเอ่ยขอบคุณผู้ที่ช่วยขอร้องให้ตนอีกครั้ง คีเรสพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนที่อาโลอิสจะหันไปมองคนที่คุกเข่านิ่งอยู่ข้างกาย



         ตาสบตา..ไคลน์จ้องมองมาก่อนแล้วขณะที่ใบหน้าเรียบเฉยนั้นปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ แววตาที่เป็นประกายระยับนั้นทำให้หัวใจของผู้มองกระตุกไหว



        "ขอบคุณ...ไคลน์"



          คำพูดที่ได้ฟังทำให้ตนยิ้มรับ ไคลน์พยักหน้าช้าๆ แววตาปรากฏความยินดีเช่นเดียวกัน ขระที่เอ่ยรับคำเบาๆ



       "ไม่เป็นไร"



          ..แค่เจ้าปลอดภัย ก็ดีแล้ว


      ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่..อยู่ตรงนี้ก็พอ





        แม้จะไม่ได้แตะต้องหรือสัมผัสอะไรมากกว่านั้น ทว่าแววตาของอีกฝ่ายทำให้ผิวแก้มของอาโลอิสร้อนวาบเสียจนต้องหันหน้าหนี ท่าทีเช่นนั้นของทั้งคู่นั้นทำให้ผุ้เฝ้ามองต่างนึกประหลาดใจ ด้วยไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะพบกับเรื่องราวน่าประหลาดเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย




       และในสายตาของผู้เฝ้ามองเช่นฟาราส ไม่ใช่เพียงแค่เขา..ทุกคนก็ล้วนรับรู้ ว่ามีบางสิ่งแปรเปลี่ยนไป



      ..สาเหตุอะไร ที่ทำให้คนที่ครั้งหนึ่งเคยชิงชังนักหนา เป็นฝ่ายออกปาก เอ่ยขอชีวิตให้กับคนที่ตัวเองเคียดแค้นนัก



      เรื่องราวดูจะเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว หากฟาราสรู้...ทุกอย่างจะปะติดปะต่อกันสมบูรณ์ หากตนได้รู้ว่าในยามที่คนทั้งคู่หายไปด้วยกัน เกิดอะไรขึ้น



       หัวใจแปลบวูบ ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นมาอย่างเแยบพลันเมื่อมองเห้นไคลน์กำลังจ้องมองคนผู้นั้นด้วยแววตาที่อ่อนโยนยิ่งนัก



       ทำเพื่อเขาขนาดนี้ ดีใจมากเสียขนาดนี้..ข้าจะคิด..คิดว่าเจ้ากำลังทำร้ายข้าได้หรือไม่ ไคลน์



      ...ข้าจะคิดได้ไหม ว่าหัวใจของเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ



      สังหรณ์ร้ายทำให้ฟาราสหรุบตาลงต่ำ ขณะที่คนทั้งห้องต่างจับจ้องท่าทีของทั้งคู่ ไคลน์ลึกขึ้นแล้ว เมื่อคำขอของตนสำเร็จผล แต่ก้ยังยืนเคียงข้างอาโลอิสที่ยังนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เจ้าของดวงตาสีแดงประกายยังคงอยู่ที่เดิมราวกับรอคำสั่ง



      ..เพราะหากเป้นเช่นนี้ ตนไม่ถูกกำจัดก็จริง แต่ก็ไม่มี"ปีก" และไร้พลังเช่นเดียวกัน



     เทพที่บัดนี้มีกำลังกายลดน้อยลงและกลายเป็นเพียงเทพชั้นต่ำ ไม่อาจอยู่ในที่แห่งนี้ได้อีก 



       นิ่งอยู่ที่เดิมด้วยอยากรู้ว่าชะตากรรมของตนจะเป็นเช่นไร เซดิสมองร่างที่ยังคงนิ่ง รับรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรอคอยอะไรอยู่ แต่ตนก็ยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย เงียบไปนาน..นานเสียจนเสียงร้องของเจ้าการาเวนตัวใหญ่ดังขึ้นอีกคราเหมือนจะเป้นคำเตือน เซดิสก็ถอนหายใจ



           "ไม่มีโทษแล้ว แต่บัดนี้ตัวเจ้าไร้กำลัง ทราบดีใช่หรือไม่"



           "ทราบขอรับ" อาโลอิสรับคำเบาๆ



           "ในยามนี้..สงครามที่โลกมนุษย์นั้นได้จบลงแล้ว" เซดิสเอ่ยนำเสียงเรียบเรื่อย ตามองร่างของอดีตคนสนิทตนที่บัดนี้ชะตาชีวิตพลิกผัน "..คนตายมากมาย ..มากเสียจนแทบเก้บไม่ไหว ดังนั้นข้ามีงานมอบให้เจ้า"



           "จงไปเป็นยมทูต คอยเก็บวิญญาณของผู้ที่ตายในสงคราม จากนี้ นั่นคือหน้าที่ของเจ้า"



           ยมทูต..



       ข้อความนั้นแทรกขึ้นในใจของทุกคนอย่างเงียบเชียบ ขณะที่อาโลอิสนิ่ง ดวงตาหรุบต่ำด้วยความรู้สึกบางอย่าง



        ยมทูต..เทพไร้พลังที่อยู่ในขั้นต่ำสุดของผืนพิภพ มีหน้าที่คอยเก้บวิญญาณ และวนเวียนอยู่ในโลก คอยทำหน้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด



       การต้องเปลี่ยนจากที่เคยเป้นคนสนิทของเซดิส มาเป็นเทพชั้นต่ำ ทุกคนคงนึกสังเวช..ขบขันในใจ



        ..แต่ไม่เป้นไรหรอก ขอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว



     แค่เพียงมีชีวิต และได้อยู่ต่อไปเท่านั้น



     แม้จากนี้จะไม่อาจเอื้อมมือไปหาคนที่ตนรักที่ได้อีกก็ตาม




       เหลือบมองไคลน์เงียบๆ และอีกฝ่ายก้มองตรงมาเช่นกัน อาโลอิสยิ้มออกมาน้อยๆ รับรู้ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีห่วงใย แต่ได้รับเพียงแค่นั้น หัวใจของตนก็เต้นกระน่ำด้วยความยินดี




        ...ข้าได้รับความห่วงใยและเจ้าทำเพื่อข้าเสียขนาดนี้ ถึงตายไปก็ไม่นึกเสียดาย




       "รับทราบขอรับ ท่านเซดิส" อาโลอิสรับคำแล้วลุกขึ้นเงียบๆ แม้การตอบรับของเขาจะทำให้หลายคนนึกยากออกปากค้าน แต่ไคลน์ก้รุ้ดีว่าตนเองไม่อาจทำอะไรได้แล้ว



      ...ทำได้เพียงเท่านี้แล้วจริงๆ



       "ถ้าเช่นนั้นไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัว" คีเรสเอ่ยสั้นๆ การตัดบทของผู้เป้นนายและเดินออกไปอย่างบ่งบอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในใดๆอีกทำให้ ตนต้องเดินตามไปเงียบๆ เช่นเดียวกับฟาราส และปล่อยให้คนที่เหลือจัดการกันอย่างเงียบๆแทน



      "ไคลน์" เสียงเรียของฟาราสดังขึ้นเมื่อก้าวเท้าออกไปยังห้องดถง ตามหลังผู้เป้นนายที่เดินเข้าอุโมงค์กุหลาบนั้นเงียบๆ



       "อะไรหรือ" ไคลน์รับคำเสียงเบา ตนอยู่ในภวังคืเสียจนไม่ทันสังเกตุสิ่งใด



       "ข้ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย"




          วาจาของฟาราสนั้นทำให้ผู้ฟังนิ่ง ไคลน์พยักหน้าช้าๆ หลังจากนิ่งอึ้งไปเมื่อสบมองดวงตาคู่นั้น



   ...ฟาราสคงได้รู้แล้ว ว่ามีอะไรผิดปกติ และมีบางอย่างเกิดขึ้น




     ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมาในใจ ขระที่ตนเองรับรู้ได้ ว่ามือเล็กที่เคยบีบกระชับ ได้ปล่อยลงอย่างรวดเร็ว





++++++++++++++


สุดท้ายก็รอด แต่รอดแบบได้เปลี่ยนไปสู่จุดต่ำสุดกันเลยทีเดียว //ซรับ

คือถ้ามองว่าเป้นผลของการกระทำที่ผ่านมามันก็พอฟังขึ้นอยู่นะ ไม่ใช่ว่าโออิสเป็นผู้ถูกกระทำหรอก55
 เพราะแบบ..อาโลอิสก็จัดไปหนักจริงๆ

ส่วนตอนนี้ฟาราสกับไคลน์ มีเรื่องให้คุยกันแล้ว จะเป้นยังไงโปรดติดตามมม

ปล. นิยายเหลืออีกไม่กี่ตอนจะจบแล้ววว ใครสนใจหนังสืออย่าลืมอุดหนุนกันน้าาา *3*/

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
«ตอบ #93 เมื่อ30-07-2014 00:10:16 »

รอลุ้นตอนต่อไปค่าาาาา
คนแต่งสู้ๆน้า

ออฟไลน์ loyal_mook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
«ตอบ #94 เมื่อ30-07-2014 08:30:13 »

สงสารฟาราสสสส  :hao5:

ออฟไลน์ EunJin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1313
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
«ตอบ #95 เมื่อ30-07-2014 08:45:13 »

แนวแฟนตาซีแบบนี้ ถูกใจมากๆๆๆๆค่ะ ชอบมากเลย

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
«ตอบ #96 เมื่อ30-07-2014 12:14:49 »

สงสารฟาเรส เหมือนสามีนอกใจไปรักเมียน้อยเลยอ่ะ เมียหลวงช้ำใจ ฟาราสมีคู่ไหมคนเขียน  :hao5:

hanahana

  • บุคคลทั่วไป
Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
«ตอบ #97 เมื่อ30-07-2014 15:19:52 »

ไม่โดนทำลายวิญาณก็ดีแล้วอาโลอิส เริ่มนับหนึ่งใหม่น่ะ  :กอด1:
รอดูตอนที่ไคลน์เคลียกับฟาราส ดูว่าไคลน์จะทำยังไง รอๆ ลุ้นๆ


ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 39 : Paris UP 31/7/2557
«ตอบ #98 เมื่อ31-07-2014 23:05:56 »



Lost 39 : Paris




                  ท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นสีดำสนิทพร่างพราวด้วยดวงดาวทอประกายเกลื่อนฟ้า แว่วเสียงคำรามของเครื่องบินรบวิ่งผ่านมาก่อนจะจางหายไป ท้องฟ้าของปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศสยังคงงดงามและเป็นเฉกเช่นเดิมอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้ท้องฟ้าดูจะไม่เป็นที่สนใจของผู้คนที่กำลังเยื้องกรายอยู่เบื้องร่าง เหล่ามนุษย์ในชุดเสื้อโค้ทสีดำสนิทที่นำพาตัวเองไปสู่จุดหมาย ท่ามกลางรอบกายที่มีแต่ซากปรักหักพัง





                    สงคราม...เครื่องหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนสันติภาพได้นำพาความรุ่งโรจน์และร่วงโรยมาสู่เมืองนี้อย่างรวดเร็ว จากอดีตที่ผ่านผัน วานวันที่เคยมีชีวิตอยู่และเฝ้ามองเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นด้วยสายตาของมนุษย์ผู้หนึ่ง ในยามนี้ที่ได้เหยียบกรายที่นี่อีกคราในสภาพความทรงจำอันแจ่มชัด เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยได้อาศัยดูจะเปลี่ยนไปมากมายเสียเหลือเกิน





                    วันเวลาผ่านไปรวดเร็วกว่าที่คิด เพียงไม่นานในที่ๆตนกลับไป อาโลอิสจำได้ว่าก่อนจากสงครามของมนุษย์ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ ทว่าในยามนี้เมื่อเขาต้องเปลี่ยนผัน ตัวตนที่ละจากความเป็นมนุษย์ไปสู่เทพชั้นต่ำอย่างยมทูตเมื่อกลับมาอีกครา ปารีสที่เคยงดงามในความทรงจำก็เปลี่ยนแปลงไป





                    ..เช่นเดียวกับตัวเขาที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน..





                    จากที่เคยมีปีกทั้งสองข้าง บัดนี้เหลือเพียงหนึ่ง ปีกอันเล็กจ้อยและไร้พลังเสียจนแทบนับเป็นไร้ค่า อีกสีดำสนิทที่บัดนี้เป็นตราบาปแสดงให้เห็นถึงผลของสิ่งที่ตนเองกระทำไว้ จากที่เคยเป็นเทพชั้นสูงบัดนี้พลังที่เหลือเพียงน้อยนิดทำให้ต้องตกต่ำกลายเป็นเพียงยมทูตธรรมดา ที่นอกจากไม่จำเป็นต้องดื่มกินแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่ต่างจากมนุษย์





                    สายลมโบกสะบัดให้อาภรณ์บนร่างปลิวตามแรงนั้น เสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำสนิทรวมทั้งทุกสิ่งบนร่างก็เป็นสีดำ มีเพียงดวงตาสีแดงก่ำ ผิวซีดขาว และเส้นผมสีเดียวกัน ที่ทำให้ผู้พบเห็นมองออกว่าร่างนี้...คล้ายมนุษย์





                     แต่ก็เป็นไปได้เพียงคล้าย..





                    กระชับเคียวสีดำสนิทในมือไว้มั่นขณะที่มองร่างของชายชราผู้หนึ่งที่หลับตานิ่งอยู่ในตรอกเล็กๆ กองขยะสูงท่วมหัวตนและชายเฒ่าที่อยู่ในชุดสกปรกซอมซ่อ ชายผู้มีชะตาว่าจะต้องสิ้นชีพในวันนี้ ร่างกายผ่ายผอมและแววตาแห้งผากเหลือบขึ้นมองมายังตนเพียงชั่วครู่ก่อนจะแน่นิ่ง หลับตาลงยามถูกเคียวยมทูตคร่าชีวิต




                    ร่างวิญญาณสีมุกลอยขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ดวงตาที่ลอยเหม่อคล้ายไม่อาจจดจำสิ่งใดเหลือบแลมายังตน อาโลอิสพยักหน้าให้เป็นการบ่งบอกสัญญาณให้วิญาณตนนั้นตามมา ก่อนจะก้าวเท้าเหยียบย่างไปตามเส้นทางแคบคับ สีดำสนิท ในมือของเขามีตะเกียงโบราณใบเล็กเพื่อส่องสว่าง นำทางไปยังดินแดนปรโลกขณะที่มีร่างของวิญญาณนั้นตามหลัง




                    "มาแล้วหรือ.." น้ำเสียงพร่าแหบทัก ขณะที่คนพูดนั้นคือชายหนุ่มที่ตนรู้จักดี เซธในร่างของการาเวนสีดำทักทายอยู่บนโค้งประตูที่ตนกำลังยืนรอให้มันเปิด อีกาตัวนั้นร่อนลงมาเกาะที่ไหล่ ขณะที่อาโลอิสพยักหน้าให้เงียบๆ




                     "...เจ้าไม่อยู่กับท่านเซดิส" เอ่ยถามกลับด้วยความสงสัย ขณะที่บานประตูเปิดออกพร้อมกับร่างวิญญาณนั้นถูกมือที่มองไม่เห็นกระชากพาเข้าไปแล้วปิดปัง ส่วนผู้ที่นำมาส่งก็เฉยเสียราวกับไม่ใช่ธุระ ก่อนจะยกตะเกียงใบเดิมขึ้นกลับออกไปอีกครา




                   "ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยตลอดเวลาเสียหน่อย" เสียงของเซธดังขึ้นพร้อมกับโยกตัวเบาๆบนไหล่ "ขึ้นไปบนนั้นน่าสนุกกว่า"





                    "ติดเที่ยวเกินไปแล้ว" น้ำคำนั้นเอ่ยตำหนิเรียบๆ





                    "..คงไม่เท่ากับเจ้า.."เซธสวนกลับนิ่มๆ





                     "ข้าไปทำงาน" อาโลอิสตอบกลับ ขณะที่แสงของตะเกียงค่อยๆดับลงเมื่อตนเดินออกมาสิ้นสุดปากทาง ปรากฏร่างอยู่ในตรอกที่เดิมจากที่เคยเดินเข้าไปเมื่อครู่





                      "สนุกรึเปล่า.." เซธออกปากถามก่อนจะกระพือปีกไหว บินโฉบขึ้นเหนือศีรษะของตน



                    "เซธ...." น้ำเสียงของอาโลอิสฉายแววตำหนิอยู่ในทีก่อนจะถอนใจเบาๆ "เจ้ามีธุระอะไรหรือ?"




                       "ข้ามีคำเตือนมาส่งให้"




                         "อะไร...?" วาจานั้นทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้วหากันด้วยความกังขา





                          "...ระวังตัวไว้.."





                          "ข้าระวังอยู่ตลอดเวลา" ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ขณะที่การาเวนตัวใหญ่โผมาเกาะอยู่บนไหล่อีกครา




                          "พลังของเจ้าไม่มากเหมือนเดิมแล้ว" เสียงเคร่งๆแปลกหูของเจ้านกตัวนั้นทำให้ต้องเงี่ยหูฟังจนได้ "ร่างของเจ้าก็ด้วย..การเป็นยมทูตเพื่อชดใช้ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องแปลก หากแต่..ระวังเอาไว้ให้ดี หากคราวนี้ถูกโจมตีอีก..ไม่ว่าจะด้วยเพราะวิญญาณร้าย หรือเพราะสิ่งใดเจ้าจะต้องหายไปตลอดกาล"




                            "....เข้าใจแล้ว" อาโลอิสถอนหายใจเนิบช้า





                            "แล้วก็..." เสียงของเซธดังขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้ ฟังดูราวกับกำลัง...สนุก?




                           "เจ้าถูกสะกดรอยมาพักหนึ่งแล้ว ระวังมันไว้เสียด้วยล่ะ ชะรอยว่าอาจจะเป็นพวกจิตไม่ปกติเสียก็ได้"




                         "อ่ะ..เซธ.." ได้ฟังแล้วคนฟังก็หน้านิ่ว อาโลอิสอ้าปากจะเอ่ยท้วง หากผู้พูดก็สะบัดปีกบินออกไปไกลโดยไม่อาจตามทัน อาโลอิสถอนใจช้าๆ คำเตือนแรกว่าควรฟังอยู่ แต่คำเตือนที่สองนั่น...




                        ...ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ตัวเสียเมื่อไหร่





                          นับจากลงมาทำหน้าที่ หลายครั้งหลายคราวที่รู้สึก..และสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกำลังติดตามตนอยู่ ด้วยความเป็นยมทูตนั้น คนทั่วไปย่อมมองไม่เห็นนอกจากคนตาย แล้วจะมีคนตายที่ไหนมีแรงมาตามติดเขาได้เล่า..หรือจะเป็นยมทูตตนอื่นก็ไม่น่าใช่ ไม่มีใครสนใจจะพูดคุยหรือสนทนากับผู้ที่ถูกลงโทษเช่นนี้หรอก จะมีก็แต่เย้ยหยันล่ะไม่ว่า






                        ใครกัน?




                       ขมวดคิ้วน้อยๆยามที่เดินทางไปต่อในความมืดมิด ม่านหมอกที่โปรยลงมาพร้อมความเย็นเฉียบบ่งบอกว่าฤดูหนาวใกล้จะมาถึง แสงของหลอดไฟบริเวณทางเดินทอแสงขมุกขมัวสะท้อนหมอกหนาวยามค่ำคืนเป็นภาพประหลาด สายลมพัดหวีดหวิว เสียงพูดคุยเบาๆและเสียงของเครื่องบินรบที่บินผ่านยังคงดังขึ้น





                       เงยหน้ามองประตูร้านดอกไม้ที่ตนเคยคุ้น เศษไม้ตอกปิดประตูและกระดาษเขียนบอกขายที่ดินบ่งชัดว่ามาดามคนสวยไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว อาโลอิสนึกถึงวันที่ตนเองเข้ามาซื้อดอกกุหลาบเพื่อบอกรักคนๆหนึ่ง และนึกถึงกุหลาบสีดำที่หมายถึงรักนิรันดร์..อันไม่เคยมีอยู่จริง ก่อนจะย้อนไปถึงดอกกุหลาบสีดำสนิทที่ใต้ผืนพิภพ





                        ดอกกุหลาบสีดำนั้นมีจริงแล้ว แต่รักนิรันดร์เล่า ?






                        ถามตัวเองอย่างขบขันขณะที่ขยับกายเดินต่อ ทั้งที่ในยามคืนวันนี้งานของตนเสร็จเรียบร้อยแล้วอาโลอิสก็ยังคงก้าวเท้าเดินต่อไป ดวงตาสีแดงสดเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเผลอไผล..มอง..อาคารสี่ชั้นบนถนนเกรย์มองที่ก่อด้วยอิฐสีแดง อาคารที่มีป้ายเขียนไว้ว่า"คลีนิกโรคทั่วไปโดยนายแพทย์ชาส์เดอตง"





                         ..ที่ๆเคยเป็นที่อยู่ของเขา






                        หัวใจสะท้อนด้วยความรู้สึกบางสิ่งยามเงยหน้าขึ้นมองอาคารที่เคยสวยงามซึ่งบัดนี้พังทลายลงด้วยฝีมือมนุษย์ จากอพาร์ทเมนต์สี่ชั้น กลับกลายเป็นอาคารไร้หลังคาด้วยแรงระเบิด ชั้นล่างที่เคยเป็นคลีนิกรักษาถูกตอกด้วยไม้ปิดประตูไว้ แต่กระจกที่อยู่ด้านข้างก็แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี ผ้าม่านสีครีมปลิวไสว แสงจันทร์นวลตาเผยให้เห็นโต๊ะ เก้าอี้และอุปกรณ์ทางการแพทย์นานาชนิด





                        ก้มมองฝ่ามือตัวเองอย่างลืมตัวขณะที่ปลายนิ้วขยับไหว อดจะนึกถึงเหล่าคนที่เคยอยู่ด้วยกันไม่ได้ ทั้งพ่อบ้านเฒ่าฟาเอล บอดี้การ์ดที่คอยดูแล นิโคลัสรุ่นน้องผู้ช่วย เมลิสสาแม่เลขาสาวสวย และ...รวมไปถึงคนๆนั้น





                        ไคลน์...





                       หลับตาลงแล้วกลืนน้ำลายช้าๆ อาโลอิสกำมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกมืดๆฝั่งตรงข้ามเอนตัวพิงผนังเย็นเฉียบ ขณะที่พยายามทำใจให้สงบลง





                        ...เพราะ ทุกสิ่งมันผ่านไปแล้ว และตัวเขา..ก็ไม่อาจเรียกคืนอะไรกลับมาได้อีก





                       ถอนหายใจอย่างเชื่องช้า ก่อนจะรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่หางตา อาโลอิสหันขวับ รับรู้ด้วยสัญชาติญาณเช่นกันว่ากำลังมีใครบางคนจ้องมองเขาอยู่





                    อีกแล้ว





                  "ใคร?" ถามกลับเสียงห้วนสั้น เค้าลางอารมณ์ไม่ปกติเป็นที่ยิ่ง






                     ความเงียบดำเนินอยู่เงียบๆขณะที่ฝั่งตรงข้ามนั้นมีเพียงอาคารอิฐสีทึบทึมตามวันเวลา เงียบไปเสียจนได้เพียงถอนหายใจหงุดหงิด อาโลอิสไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากนิ่งปล่อยให้มันเงียบหายไปอีกครั้ง เมื่อเจ้าของไม่ต้องการปรากฏตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้ หากเป็นเมื่อก่อนคงจะไล่ตามไปเค้นคอด้วยความหงุดหงิดเสียแล้ว แต่ในยามนี้ ยมทูตไร้พลังตนหนึ่งจะทำอะไรได้






                        ถอนใจแล้วนั่งลงบนเศษไม้ระเกะระกะ  นัยน์ตาจ้องมองไปยังอาคารที่คนเคยอยู่อาศัยอีกครั้ง  อาโลอิสมองไปยังชั้นสาม ที่ๆตนเคยอาศัยหลับนอน และมองหน้าต่างบานใหญ่ จำได้ว่าในอดีตอันแลนไกล เขายังเคยจ้องมองจากประตูบานนั้นผ่านมายังตรอกแห่งนี้ด้วยความสงสัยและหวั่นเกรง




                        บางสิ่งที่ปรากฏขึ้นยังฝั่งตรงข้ามทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ อาโลอิสเกือบจะตัดสินใจว่ามันเป็นเพียงภาพหลอนเสียแล้วเมื่อได้มองเห็นคนๆนั้นชัดถนัดตา แต่สิ่งนั้นกลับค่อยๆเดินตรงเข้ามาหา  ตาสบตา จ้องมองเขาภายใจเงื้อมเงาของความมืดในตรอกที่แสงจันทร์ไม่อาจส่องถึง




                          ...คนที่อยู่ตรงหน้านั้น คือคนที่ตนไม่คิดว่าจะได้พบอีกครั้งด้วยซ้ำ





                          ไคลน์...





                         นิ่งไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาสองคู่สบกันช้าๆ ก่อนที่ไคลน์จะกระแอมเบาๆเหมือนจะทายทัก




                          "สวัสดี..."





                          "....สวัสดี" ทั้งที่มันคล้ายจะเป็นคำทักทายที่แสนโง่เง่าหรือน่าขัน แต่ริมฝีปากของตนก็ยังคงพึมพำรับไปเช่นนั้นเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ อาโลอิสยังคงนิ่งจ้องหน้าอีกฝ่าย นาน..ก่อนจะลืมตัวก็เบือนหน้าไปทางอื่น




                         ระหว่างพวกเขายังคงมีแต่ความเงียบวนเวียน ก่อนที่ไคลน์จะสูดหายใจลึกอีกครา



                          "..งาน..หนักมากรึเปล่า"




                          "เปล่า..." ตอบเช่นนั้น ทั้งที่คนตายมากมายเหลือเกินจากสงครามเสียจนตนแทบไม่มีเวลาเว้นพัก อาโลอิสหรุบตามองพื้น หัวใจเต้นแกว่งด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งยินดี..และยอดแสยงด้วยความเจ็บปวดปนปร่าขมในใจ



                          คนๆเดิม กับสถานที่แห่งเดิม แต่มันกลับเปลี่ยนไป ทั้งตัวเขา..ทั้งไคลน์ และรวมไปถึงที่แห่งนี้ด้วย




                           ต่างก็ผุพัง ต่างก็ค่อยๆสลายหายไป เปลี่ยนแปลงและแปรผันตามกาลเวลา





                           มีเพียงความทรงจำที่ยังคงชัดเจนประดุจเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงวันวานเท่านั้น





                         "...ขอบคุณ" ท่ามกลางความเงียบที่ต่างฝ่ายไม่รู้จะพูดอย่างไร อาโลอิสก็โพล่งขึ้นมาเงียบๆอีกรอบ "ที่ช่วยข้า.."




                      "ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร" ดวงตาของไคลน์สะท้อนอารมณ์บางอย่างเมื่อได้ฟัง นัยน์ตาจ้องมองคนพูดเงียบๆ เสียก็แต่ดวงตาของอาโลอิสเสมองไปทางอื่น จึงไม่ได้เห็นมันแต่อย่างใด




                      "....ที่จริง ข้าอยากจะถาม" ไคลน์เอ่ยปากเบาๆ ท่าทีเก้ๆกังๆเล็กน้อยราวกับไม่รู้จะทำตัวอย่างไร นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองที่วางข้างกายคนตรงหน้า หากที่สุดแล้ว เขาก็ทำได้เพียงมองมัน และยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น




                     "อะไรหรือ.." อาโลอิสรับคำเบาๆ เงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ก็หลบตาวูบ



 
                    "...เจ้า สบายดีใช่ไหม?" คำถามฟังดูแปลกหูอย่างน่าประหลาดทำให้อาโลอิสกระพริบตาช้าๆ นิ่งทบทวนเรื่องราวก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา




                    "ข้าสบายดี..."





                   "งานนี้หนักเกินไปสำหรับเจ้ารึเปล่า..เจ้ายังไม่หายดีเลย" ไคลน์เอ่ยขึ้นมาอีกครา แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย




                   "ข้าสบายดีจริงๆ"





                    "อาโลอิส...."





                     "ข้าต้องไปทำงานต่อแล้ว" ลุกขึ้นจากกองเศษไม้สีทึม ขณะที่เอื้อมมือไปหาตะเกียงที่วางอยู่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันน้อยๆแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น




                      "..อาโลอิส" น้ำเสียงของคนฟังฉายความเจ็บปวดไม่น้อย หากผู้ฟังก็หรุบตาลงเสีย





                      "ขอตัวก่อน"





                    ร่างที่ขยับก้าวเท้าห่างออกไปทำให้ไคลน์เม้มปากเงียบๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกบางสิ่งที่ไม่รู้จะพูดออกมาได้อย่างไร สีหน้าลังเลและอึดอัดที่บอกออกมานั้นทำให้ผู้ได้มองทำเพียงแต่หลบตา เมินมองไปเสียทางอื่นราวกับไม่เห็น




                     "อาโลอิส..." น้ำเสียงของไคลน์เคร่งขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เอื้อมมือจับท่อนแขนขาวจัดไว้




                     "ไคลน์..." เจ้าของดวงตาสีแดงประกายหันมาสบ แววรวดร้าวบางอย่างปรากฏขึ้นชัดเจน ก่อนจะค่อยๆเลือนหาย




                      "เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่..และไม่ควรมาพบข้าอีก"




                        ...ตามที่เคยสัญญา ตามที่เคยบอกไว้





                         ทุกสิ่งจะต้องจบลงเมื่อก้าวออกมาจากที่แห่งนั้น





                       ".........."





                           "ข้ามีงาน ต้องไปแล้ว"






                             สิ้นคำพูด อาโลอิสก็ออกแรงบิดข้อมือเล็กน้อย ดวงตาหรุบลงต่ำก่อนจะขยับก้าวผ่านร่างที่ยังคงนิ่งงันของไคลน์สไตร์คเซอร์ออกมาเงียบๆ





                          ร่างในชุดสีดำเดินผ่านไปแล้วท่ามกลางความเงียบ ทำให้ไคลน์นิ่งอึ้ง




                          เทพบุตรหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ดวงตาเกลือนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เช่นเดียวกับฝ่ามือที่ยังคงสั่นระริกไหวเมื่ออีกฝ่ายขยับบิดออกไปเงียบๆ ราวกับไม่รอฟังคำใดอีกแล้ว




                        ไม่ควรจะมา




                       คำพูดนั้นแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ ทำให้ผู้ฟังได้แต่นิ่งงันด้วยไม่อาจถกเถียงหรือทำเช่นไร..ถูกแล้ว ที่ว่าไม่ควรจะมา..ใช่แล้ว เขาไม่ควรจะอยู่ที่นี่เป็นอย่างยิ่ง




                     แต่....





                     น้ำหนักของบางสิ่งที่ขยับมากดทับหัวใจทำให้ต้องสุดหายใจลึกแต่แช่มช้า ดวงตาที่วาววามราวกับน้ำใสจะเอ่อท้นยังคงชัดเจนในความทรงจำขณะที่ไคลน์ถอนใจเบาๆ ขยับเท้าก้าวไปเพื่อจะตามหาอาโลอิสอีกครา ก่อนจะเงียบไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินทางไปที่ใด




                     บนชั้นสามของอาคารสีอิฐที่รกร้าง...





                       สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่อบอวลเงียบๆ ไคลน์รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างแล่นวาบผ่านในใจ ขณะที่ขยับมือตนเองซ้ำกำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกบางอย่าง เมื่ออยู่ที่นี่ ตามสัมผัสของตนนั้นหากมองไม่ผิดแล้ว สิ่งที่ตนสัมผัสได้ คือมีมนุษย์อีกหนึ่งคนอยู่ในนั้น และยมทูตอีกหนึ่ง..





                       มันคงจะเป็นเพียงการเอาชีวิต เอาวิญญาณคนธรรมดาๆ หากว่าคนที่อยู่ในนั้น จะไม่ใช่ฟาเอล กีโยต์ 





                        ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะรีบถลาเข้าไปในบ้านหลังนั้นตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว




++++++++++++++++++++++++


กลับมาโลกมนุษย์กันเเล้วค่ะ เเต่อาโลอิสทำไมเย้นช้าจังเลยน้าาาา เเถมยังจะไปเจอพ่อบ้านคนสำคัญอีกตื่นเต้นๆๆ //เอ๊ะ เหมือนลืมพูดถึงใคร 55+++


เจอกันตอนหน้าค่าเเละนิยายยังเปิดจองอยู่นะคะ

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
«ตอบ #99 เมื่อ02-08-2014 12:00:16 »

Lost 40 : พบพานและจากลา






                    อาคารก่ออิฐถือปูนที่แสนเคยคุ้นบัดนี้กาลเวลาทำให้ทุกสิ่งแปรเปลี่ยน  ภายในที่เคยหรูหรา ปูด้วยพรมเนื้อดีซ้ำยังขัดเงาบันใดที่ทำจากไม้จนเงาวับกลายเป็นเพียงพื้นไม้เปล่าๆสีเทาทึบทึม ร่องรอยการงัดแงะและลักขโมยจนของมีค่าภายในบ้านหายไปยังคงประกฏชัด สงครามและความอดอยากทำให้ผู้คนเริ่มทำตัวไม่ต่างไปจากสัตว์     




 
                    ก้าวขาลงไปยังบันไดสีเข้มอันเคยคุ้น ขณะที่หัวใจยังคงเต้นไหวด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด การพบปะกับไคลน์เมื่อครู่ยังคงามอ่อนไหวมาให้เสียจนไม่น่าเชื่อ ซ้ำเมื่อก้าวเท้าเข้ามาแล้วได้รู้ว่าผู้ที่ตนต้องจัดการเอาวิญญาณนั้นเป็นใคร ร่างของอาโลอิสก็นิ่งขึงไปครู่ใหย่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย




                     ฟาเอล กีโยต์





                    ฟาเอลที่อยู่บนชั้นสามของอาคารหลังนี้ ฟาเอลที่เคยเป็นพ่อบ้านผู้จงรักภักดี และฟาเอลคุณลุงผู้แสนอาดูร คนที่ไม่ต่างจากพ่อ คนที่คอยดูแลทุกๆอย่าง ฟาเอล..ผู้ที่บัดนี้ยังสะเทือนใจกับการเสียชีวิตของเอนีล ชาส์เดอตงส์ไม่หายคนนั้น





                     หรุบตาลงช้าๆขณะที่ก้าวเท้ามายังบานประตูชั้นสามที่ผุกร่อน ลูกบิดประตูที่ทำจากทองเหลืองถูกแงะไปขายนานแล้วทำให้สามารถเข้าออกได้โดยอิสระ หากแต่อาโลอิสยังคงนิ่ง เงียบไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย นิ่งงันไปเมื่อแว่วเสียงร่ำไห้แหบโหย..คร่ำครวญด้วยความเสียใจมากมายมาจากภายในห้อง





                      ...เสียใจ





                        ความรู้สึกที่ตนรับรู้แม้มีบานประตูขวางกั้นทำให้นิ่งไปอีกครั้ง อาโลอิสหรุบตาลงมองบานประตู ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา สำนึกรู้เตือนให้ตนตระหนักถึงสิ่งที่ต้องจดจำไว้ให้มั่น..การทำหน้าที่นี้ จะยอมให้ความรู้สึกส่วนตัวมาปะปนไม่ได้เด็ดขาด





                     แม้จะเคยผูกพันร์หรือเป็นเช่นไร..ก็ไม่ได้





                    ก้าวผ่านบานประตูใหญ่เข้าไปเงียบๆ แสงจันทร์ทอลแดผ่านกระจกใสเข้ามาภายในห้องสีเหลี่ยมขนาดใหญ่จนสว่างคล้ายกลางวัน ผ้าม่านสีขาวทิ้งตัวลงข้างๆ ข้าวของสารพัดทั้งหนังสือและเครื่องเรือนตกแต่งยังคงครบพร้อมแม้จะมีแต่เศษฝุ่นเกาะเต็มไปหมด เศษกระดาษกระจายว่อนพื้น ขณะที่บนเตียงสี่เสาขนาดใหย่ ร่างของชายชราที่กำลังซุกแนบใบหน้าลงบนเตียงพลางร่ำไห้โดยไม่สกใจความสกปรกนั้นทำให้หัวอกแปลบวูบ





                     ร่างของฟาเอลที่ไม่พบเจอมานานพอควรบัดนี้มีแต่เส้นผมขาวเต็มศีรษะ ร่างกายผ่ายผอมนั้นอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทสีดำสนิทและมีหมวกใบใหญ่ถูกถอดไว้ ใบหน้าที่ซบลงกับผ้าปูเตียงสีขาวยังไม่มีท่าทีว่าจะหันมาแต่อย่างใด ขณะที่กลิ่นอายของความตายลอยอบอวลทั่วบริเวณ





                       อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ จ้องมองร่างตรงหน้า สัญญาณบ่งบอกว่าตนควรจะลงมือ ขณะที่ร่างของฟาเอลสั่นไหวไปด้วยแรงสะอื้น ปลายนิ้วสีขาวก็กำเคียวในมือตนแน่น เพื่อลงมือปลิดชีวิต




                      ปัง!




                      เสียงหน้าต่างถูกสายลมตีพัดเข้ามาอย่างรุนแรงทำให้ต้องชะงัก อาโลอิสมองหาที่มาของเสียง ขณะที่หน้าต่างเปิดออกกล้าง ผ้าม่านสะบัดไหว สายลมจากภายนอกพรุ่งพรูเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว




                       "...ปะ...ปีศาจ" เสียงร้องแหบเครือดึงให้สายตาของตนกลับมาสู่เป้าหมายอีกครั้ง อาโลอิสหันไปมองคนพูด ฟาเอล กีโยต์ลืมตาขึ้นมาจากบนเตียงหนาแล้ว ดวงตาสีเทาฟ้าฟางนั้นยังคงมองมาที่ตนอย่างตกตะลึง




                       "............" อาโลอิสไม่พูดอะไร ปีศาจ..คำเรียกขานนี้มักจะได้ยินเสมอเวลาที่คนใกล้ตายมองเห็นตน รูปลักษณ์ที่อยู่ในชุดสีดำและดวงตาสีแดงนั้นจะมองเช่นไรก็ไม่เหมือนมนุษย์ ไม่แปลกที่ถูกเรียกว่าปีศาจ เช่นเดียวกับไม่แปลก ที่ตนนั้นจะกลายเป็น"ปีศาจ" ตามที่ถูกเรียกขานจริงๆ





                     "แก...ปีศาจ แกใช่ไหมที่ฆ่าคุณชายของฉัน!" เสียงร้องดังขึ้นพร้อมร่างที่พยายามโถมเข้าหาราวกับเสียสติไปแล้วทำให้อาโลอิสต้องรีบหลบ ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจขณะที่ร่างตรงหน้าถลาเข้ามาหา ฟาเอล กีโยต์รำคามในลำคอ ปลายนิ้วยกขึ้นตรงมาทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ริมฝีปากก็บ่นพร่ำ พุดถึงคนที่มาทำร้ายคุณชายที่ตนรักคนนั้น




                      อดจะถอนใจออกมาอย่างเงียบงันไม่ได้เมื่อพบเจอสิ่งที่ตนประสบ พลางมองฟาเอลที่ตรงเข้ามาหาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อย่างไรมนุษย์ก็ไม่อาจทำร้ายคนซึ่งอยู่ในร่างของยมทูตที่แทบจะเป็นวิญญาณ อาโลอิสมองแผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงด้วยอาการหายใจหอบ ในขณะที่ปลายเคียวในมือนั้นยังไม่อาจขยับไหว




                      ลังเล..




                     ใช่ เขากำลังลังเล กำลังรู้สึกหวั่นไหวและไม่อาจปลิดวิญญาณชายผู้นี้ออกจากร่างไปได้





                      เขากำลังดูถูกหัวใจตนเองเกินไป ความรู้สึกและความผูกพันธ์ที่เคยมี แม้จะไม่ใช่ในร่างนี้กำลังทำให้การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะยมทูตกำลังถึงคราวผิดพลาด





                    ไม่ควรจะอ่อน และไม่ควรรู้สึกใดๆทั้งสิ้น





                   "กำลังทำอะไรอยู่" เสียงที่ดังขึ้นในหัวทำให้อาโลอิสชะงัก ขณะที่รับรู้ได้ถึงดวงตาสีแดงที่จ้องมองมา ร่างของเซธในรูปของการาเวนสีดำเกาะอยู่เหนือหลังคาของอาคารฝั่งตรงข้าม และมองมาทางนี้ด้วยดวงตาคู่นั้น





                    "...ขออภัย" อาโลอิสไม่อาจเอ่ยปากเถียงได้ ทำได้เพียงกระชับเคียวในมือแน่น และง้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของตน





                   "แก ปีศาจ ปีศาจ!!"





                   "อาโลอิส"





                   "ปีศาจ เจ้าปีศาจร้าย แกใช่ไหมที่ทำร้ายคุณชายของฉัน!!" ใบหน้านั้นถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาแดงก่ำ แฝงความเคียดแค้นและบ้าคลั่ง





                   ...อาโลอิสหรุบตาลงช้าๆ






                    ฝ่ามือที่กำเคียวนั้นค่อยๆง้างขึ้นถามกลางเสียงกรีดร้อง สลับกับเสียงกระซิบริมหู





                    "อาโลอิส"






                    "ปีศาจ ปีศาจ ปี--------"






                   เสียงเคียวตวัดผ่านอากาศดังขึ้นแผ่วเบาขณะที่ร่างของฟาเอลแน่นิ่งและทรุดกายลงเบื้องหน้า ดวงตาสีเทาเบิกค้าง และใบหน้านั้นยังคงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นแม้ในยามที่ตนกำลังสิ้นชีวิต






                   อาโลอิสสูดหายใจลึก ขณะที่เก็บเคียวของตนไว้ แล้วมองวิญญาณของฟาเอลซึ่งบัดนี้แปรเป็นเลื่อนลอยคล้ายไม่รู้จัก
     



                  เสียงกระพือปีกดังขึ้นยามเมื่อเซธเกาะลงบนเตียงสี่เสา ร่างของการาเวนตัวใหญ่กระพือปีกช้าๆพลางจับจ้องมาเงียบๆด้วยแววตำหนิอย่างปิดไม่มิด





                 อาโลอิสปิดดวงตาลงด้วยความละอาย หากแต่ก็ยังเป็นฝ่ายเอ่ยถาม





                  "รู้...ว่าจะเกิดขึ้นใช่ไหม?" อาโลอิสถามเสียงเรียบ ขณะที่ยกตะเกียงในมือขึ้นส่องกับผนัง ให้มันเปิดทางไปสู่ความมืดเบื้องหน้า





                  "ใช่"






                    "...คิดว่าข้าไม่อาจแยกแยะ"






                     "ที่ผ่านมา บ่งชัดแล้วว่าเจ้าทำไม่ได้" น้ำเสียงของเซธฟังดูเย็นชานัก ขณะที่ร่างนั้นโผนเข้าเกาะไหล่ ดวงตาที่เป็นประกายวามคู่นั้นจ้องมองมายังตน





                      "เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเซดิสถึงให้ทำงานนี้.. ไม่ใช่แค่เพราะคนไม่พอ..เเต่เพราะที่ผ่านมา..เจ้าปล่อยให้ความรู้สึกครอบงำตนเองมากเกินไป หากปล่อยเอาไว้ สักวัน..เจ้าจะต้องหายไปเพราะเรื่องเช่นนี้"





                    "............."




                        "ความรู้สึกทำให้เจ้าอ่อนแอ อาโลอิส"





                        "เช่นนั้นข้าไม่ควรมี" ยืนอยู่บนบานประตูเหล็กสีเข้ม พลางรอให้มันเปิดออกเช่นทุกครั้ง






                         "...หากอยากให้กำจัดมันไป..ย่อมได้" เสียงของเซธฟังดูเย็นยะเยือกจับใจ





                         "เอาสิ...หากมันเป็นปัญหาต่อข้านัก ก็จงทำลายมันเสีย" อาโลอิสตอบเสียงเบา ขณะที่มองร่างของฟาเอลถูกดึงหายเข้าไปในประตูบานนั้น ดวงตาสีแดงหรุบต่ำลงช้าๆ นึกไปถึงแม่น้ำแห่งความลืมเลือนในนรก ที่สามารถทำให้ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง





                       ..ชั่วขณะหนึ่งในความหงุดหงิดขัดเคืองใจ ตนกำลังอยากจะทุบทิ้งทำลายความทรงจำทุกอย่างให้ย่อยยับลงไปเสียด้วยซ้ำ





                      "ไม่ต้องหรอก..." เซธเอ่ยตอบ ก่อนจะสะบัดปีกขึ้น เตรียมตัวโผบินขึ้นไปอีกครั้ง ดวงตาสีแดงเข้มของนกตัวนั้นจ้องมองมา มันแฝงด้วยอารมณ์บางสิ่งที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่อาจเข้าใจ





                         "ทำไม" อาโลอิสขมวดคิ้ว จ้องมองร่างสีดำที่แทบกลืนหายไปกับความมืดมิด





                          "....ไม่นานเจ้าก็จะรู้"





                     ถ้อยคำนั้นดังขึ้นเบาๆ ขณะที่ร่างของเจ้าการาเวนตัวใหย่หายไปพร้อมกับความมืดมิดรอบกาย อาโลอิสยืนมองเงียบๆ นิ่งครุ่นคิดถึงคำตอบของร่างราวทั้งหมดอีกครา ก่อนจะพบว่าตัวเองนั้นกลับมายืนอยู่บนห้องเดิม นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจเบาๆด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง





                      "ควรจะให้ข้าลืมมันไปทั้งหมดเสียยังจะดีกว่า เซธ"





                        รำพึงกับความเงียบก่อนจะถอนหายใจ อาโลอิสขยับกายจะเดินออกไปด้วยไม่อยากให้สถานที่เดิมๆในความทรงจำกลับเข้ามากระตุ้นเตือนความรู้สึกจนต้องหวั่นไหวอีกครั้ง





                      "อาโลอิส!" เสียงทักที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ต้องสะดุ้ง อาโลอิสหันไปมองคนพุด ดวงตาหรี่ลงด้วยความไม่เข้าใจยามที่ไคลน์เปิดประตูตรงเข้ามาหาด้วยท่าทีเร่งร้อน ดวงตาของคนผู้นั้นกวาดมองทั่วร่างตนเองก่อนที่จะถอนใจด้วยท่าทีโล่งอก




                      "มีอะไร.." อาโลอิสถามกลับ ดวงตาขุ่นมัวไม่น้อยด้วยความรู้สึกไม่พอใจและอารมณ์บางอย่างที่ก่อตัวจากเรื่องราวเมื่อครู่ ทั้งคำเตือนของเซธเรื่องอารมณ์และสิ่งหนึ่งที่รู้ดีกว่าเขากำลังหวั่นไหวจากเรื่องราวของชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังทำให้รู้สึกหงุดหงิดและขัดเคืองใจมากกว่าที่คิด..





                      "ข้า....." ไคลน์นิ่งไปเมื่อมองสบดวงตาคู่นั้น ท่าทีของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าไม่พอใจกับการปรากฏตัวของตนทำให้ความหงุดหงิดพลันแล่นวูบ ทั้งที่เป็นฝ่ายเข้ามาเพราะห่วง กำลังกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่อาโลอิสเผชิญหน้ากับฟาเอล ทว่าสิ่งที่ตนพบกลับเป็นท่าทีเฉยชาเช่นนี้ ทำให้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้




                       อาโลอิสหมุนตัวเตรียมเดินออกไปเมื่อมีเพียงแต่ความเงียบเป็นคำตอบ ท่าทีของฝ่ายนั้นทำให้รู้ว่าเขากำลังทำตัวไม่ดีนัก การแสดงออกแบบนั้นไม่ต่างกับการพาลพาโล  ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับไคลน์สักนิด สาเหตุที่ตนต้องถูกตำหนิและทำให้เรื่องราวนี้เป็นปัญหา เป็นเพราะตัวเขา เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจควบคุม เพราะความหวั่นไหวที่ไม่ควรมี เพราะบกพร่องต่อหน้าที่อย่างไม่อาจให้อภัย





                       ทั้งที่กลายมาเป็นเทพชั้นต่ำก็ยังไม่วายลังเลจนเกือบทำงานพลาด..บางที การลืมเลือนทุกอย่างไปให้สิ้นแม้กระทั่ง"หัวใจ" คงจะดีกว่ามีมันไว้เช่นนี้





                        ยอมลืมไป ดีกว่าอยู่โดยมีหัวใจที่ปวดร้าว






                        ..ทางเลือกช่างแสนโง่เง่าและขี้ขลาดเสียจริงๆ





                          ข้อมือถูกคว้าไว้แล้วบีบแน่นเสียจนเจ็บและไม่อาจก้าวขาไปไหน อาโลอิสขมวดคิ้ว พยายามดึงแขนออกทว่าไม่เป็นผล กระทั่งพยายามด้วยความหงุดหงิดก็แล้ว มันก็ไม่อาจขยับ เขาหันกลับไปจ้องสบตาคนทำด้วยภาวะที่ตนเองอยู่ในอารมณ์กรุ่น แววตาและน้ำเสียงที่พูดจึงออกมาเย็นชาบาดหูยิ่งนัก





                        "มีอะไรวุ่นวายกับข้านักหรือ..ท่านเทพ"




                        "....เจ้าพูดถึงลืม ลืมอะไร" ไคลน์ถามกลับซ้ำ สาเหตุที่ตนเองตัดสินใจก้าวเข้ามาคุยทั้งที่เลือกจะยืนนิ่งรอแต่แรกคือเสียงพึมพำของเจ้าตัวในตอนท้าย ซึ่งทำให้หัวใจแปลบวูบด้วยความรู้สึกบางอย่าง




                          ลืม...ลืมอะไร พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกัน





                          กำลังจะลืม...ลืมข้าด้วยรึเปล่า?





                         ความหวาดหวั่นเกาะกุมหัวใจขณะที่ฟังแล้วไม่อาจคงสติให้กลับเป็นเช่นเดิมได้ ไคลน์จ้องมองผู้พุดเขม็ง ดวงตาแดงก่ำ เพราะรู้ดีว่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตนนั้นล้วนสร้างบาดแผลให้กับคนตรงหน้า  แม้รู้ว่าการไม่มีมันเสียยังจะดีซะกว่า แต่การรู้ว่าจะลืม..และต้องลืม มันทำให้หัวใจคนฟังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจระงับ





                      ได้โปรดอย่าลืม ...อย่าลืมไปเลย





                       ข้าขอโทษ ข้าขออภัย ขอโทษสำหรับทุกอย่าง แต่ได้โปรด ได้โปรดอย่าลืมไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้น





                      เปลี่ยนจากกำมือเป็นบีบไหล่แน่นเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบ ไคลน์รู้สึกได้ว่ามือของตัวเองสั่นระริกด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่อาโลอิสหลบตา ดวงตาสีแดงสดคู่นั้นเจือด้วยน้ำใสวาววามยามที่ได้ฟังคำถาม



                       อยากจะลืม ลืมไปให้หมดนัก แต่จะทำใจให้ลืมไปจริงๆได้อย่างไรเล่า






                        ในเมื่อข้ารักเจ้า..รักมากขนาดนี้ จะให้ลืมไปได้อย่างไร






                       "ไคลน์..." อาโลอิสสูดหายใจช้าๆ ก่อนจะตอบอีกฝ่ายสั้นๆ พลางระงับอารมณ์ของตน "...เจ้ากับข้าเคยสัญญาอะไรไว้..จำได้ไหม"





                       "....ข้าเพียงแต่..." ไคลน์ปล่อยมือจากไหล่ของอาโลอิส สีหน้าหม่นวูบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ขณะที่พยายามเอ่ยปากอธิบาย






                        "เจ้าไม่ควร..ทำแบบนี้" อาโลอิสสูดหายใจลึก หรุบตาลงด้วยความหวั่นไหวยามที่เอ่ยปาก "คนรักของเจ้า..จะเสียใจ"





                        "...ข้า..." ไคลน์นิ่งไปกับคำพูดนั้นก่อนจะเม้มปากน้อยๆ "ข้ารู้ ข้าเพียงแต่เป็นห่วง และข้าไม่อยาก---"





                       "ขอบคุณ" คำตอบนั้นดังเบาๆพร้อมกับร่างที่ถอยหลัง ขยับห่าง ดวงตาสีแดงประกายจ้องมองมาอย่างเงียบงันขณะที่ดวงตาคู่นั้นกำลังไหวระริกราวกับอัญมณีต้องแสงไฟ





                       "ข้ารู้ และไม่มีวันลืม ข้าจะไม่ลืม...ข้าสัญญา"






                       "...อาโลอิส"






                        "เจ้าเอง..ก็..ช่วยสัญญาด้วยได้ไหม ว่าจะไม่ลืม.."






                        สิ้นคำขอราวกับคำสั่งเสียสุดท้าย ดวงตาของอาโลอิสก็ปิดพับลงด้วยความหวาดหวั่นบางอย่าง และนิ่งไป..ราวกับกำลังรอคอย





                     สัญญา ว่าจะไม่ลืมว่าเคยรักใคร่ เคย..รู้สึกอย่างไรกับหัวใจดวงนี้





                    สัญญา สัญญาได้ไหม แม้มันจะเพียงฝันหนึ่งตื่น แต่สัญญา..ได้โปรดสัญญาว่าความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นมันคือเรื่องจริง







                      แค่เพียงสัญญา เจ้าพูดมา แล้วข้าจะจดจำมันเอง






                     ..หรุบตาลงช้าๆ ขณะที่นิ่งรอคำตอบนั้น ชั่วครู่หนึ่งอาโลอิสนึกตำหนิตนที่พูดอะไรออกมาคล้ายเสียงพึมพำอันโง่เง่า หากแต่ที่สุดก็ยังคงนิ่ง รอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำ





                      ..เพราะตัวเขาอยากรู้..อยากรู้จริงๆ






                      "ได้สิ" จ้องมองดวงตาคู่นั้น และรับคำโดยง่าย ไคลน์สูดหายใจช้าๆ ก่อนจะเอ่ยปาก "ข้าจะไม่มีวันลืม ข้าสัญญา"






                         "ขอบคุณ" ท่ามกลางความเงียบและดวงตาที่จ้องมองมาเงียบๆ ริมฝีปากของอาโลอิสก็ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยามที่จ้องมองมาเงียบๆ




                       "และ..." ไคลน์ยิ้มตอบอีกฝ่าย ตัดสินใจเอ่ยบอกจุดประสงค์ที่ตนเองได้ตามติดและคอยเฝ้าอีกฝ่ายมานับแต่ทำงานเป็นยมทูตให้รู้เสียที "..ข้าอาจจะพูดออกมาช้าเกินไป..และคนอย่างข้าไม่ควรได้รับการยอมรับเสียด้วยซ้ำ เพราะข้าได้ทำร้ายเจ้าไปมากมายเสียเหลือเกิน"






                       ขยับก้าวขาเข้าไปหา เอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายเงียบๆ ขณะที่สบตาคนตรงหน้าอย่างจริงจัง ไคลน์รับรู้ได้ว่ามือของเขาสั่น สั่นระริกยามค่อยกระซิบเอ่ยปากบอก






                          "ไม่รู้ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร จะไว้ใจข้าได้ไหม..จะ ยอมรับที่ข้าพูดอยู่รึเปล่า แต่ตอนนี้..นี่คือความรู้สึกของข้า...ความรู้สึกที่ออกมาจากใจ"




                         "ข้ารักเจ้า อาโลอ......."




++++++++++++++++++++++


ตัดฉับ ตัดให้ขาดเลย ชั้บๆ//ยืมเพลงที่บอกอายุมากกกกก// อะไรเนี่ยยย มันเกิดอะไรขึ้น  คำพูดที่เอ่ยมาท่อนท้ายยยยยย คือ

อะไร ต้องมาลุ้นกันตอนหน้าเเล้วค่ะ เเละนิยายยังเปิดจองอยู่นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
« ตอบ #99 เมื่อ: 02-08-2014 12:00:16 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
«ตอบ #100 เมื่อ02-08-2014 12:37:10 »

 :z3: :z3: ค้างสุดๆ

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
«ตอบ #101 เมื่อ02-08-2014 12:50:41 »

โอยยยย  บีบ หัวใจดี แท้  ไม มันดาม่างี้ หล่ะ  TT

ออฟไลน์ loyal_mook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
«ตอบ #102 เมื่อ02-08-2014 13:16:04 »

อรั้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ค้างงงงง  :katai1:

ออฟไลน์ Buppha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
    • https://m.facebook.com/buppha.manisaeng?refid=13
Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
«ตอบ #103 เมื่อ02-08-2014 13:58:56 »

มาต่อไวๆเลยป้า  :ling1: ไม่งั้นหนุจะบอกเซธไปฆ่าป้า หึๆ :hao3:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 41 : เพียงภาพฝัน UP 3/08/2557
«ตอบ #104 เมื่อ03-08-2014 10:24:54 »

Lost 41 : เพียงภาพฝัน





           น้ำเสียงที่เอ่ยมานั้นหยุดลงไปด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขณะที่สายลมหนาวโบกพัดอย่างรุนแรง ลมแรงเสียจนขนนกสีดำกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ ปลายนิ้วที่เกาะกุมไว้นั้นเย็นเฉียบยิ่งกว่าทุกครา มันเย็น..เย็นราวกับไร้ชีวิต ขณะที่ร่างตรงหน้าค่อยๆเลือนหาย กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น




            ปลายนิ้วที่เคยเกาะกุมไว้ในมือหายไปเสียแล้ว ร่างที่เคยยืนอยู่ตรงหน้ากลายเป็นเพียงเศษขนนกสีดำที่ปลิวว่อนทั่วทั้งห้องก่อนจะแปรเป็นเศษขี้เถ้าซึ่งปลิวหายไปตามลมที่กรรโชกอย่างรุนแรง ไคลน์ก้มลงจ้องมองฝ่ามือของตนเองที่สั่นไม่หยุดราวกับไม่เชื่อสายตา ภาพสุดท้ายที่ยังจำได้ คือดวงตาสีแดงประกายคู่นั้นสั่นไหวและเบิกกว้างขึ้นด้วยความยินดี




           รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงตราตรึงขณะที่ความจริงไม่เหลือแม้กระทั่งเศษฝุ่นให้ตามหา  สายลมแรงยังคงพัดเสียจนผ่านม่านปลิวไสวไม่หยุด  แต่บัดนี้ ร่างของคนที่เคยอยู่ตรงหน้ากลับหายวับไปเสียแล้ว




          ยืนนิ่งคล้ายกับคนโง่ ลมหายใจหลุดหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับหัวใจที่ราวกับกำลังหยุดเต้น ไคลน์เงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือตนด้วยความงวยงง ก่อนที่ดวงตาจะเบิกขึ้นเมื่อมองเห็นสีขาวที่อยู่เบื้องหน้า




         ร่างในชุดสีขาว อาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ ดวงตาสีท้องฟ้าและเส้นผมสีทองประกาย เทพบุตรผู้งดงาม..คนที่ครั้งหนึ่งตนเคยหลงไหล คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้า สบมองตากลับมาดวงดวงตาที่แดงก่ำและน้ำใสที่เอ่อท้นสองแก้ม




         ริมฝีปากของฟาราสยกขึ้นคล้ายจะยิ้มแม้กำลังร้องไห้  มันขยับเบาๆเป็นคำพูดที่ตราตรึงเข้าไปในหัวใจ




          "สาสมกับที่เขาควรได้รับแล้ว ไคลน์"




+++++++++++++++++++++++++++




       คำพูดของฟาราสยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคิดยามที่ก้าวเท้าเดินไปอย่างเหม่อลอย ฝ่าเท้าย่ำลงบนผืนศิลาสีดำสนิทและทางเดินหินโค้งประดับด้วยคบเพลิงและมีเถากอกุหลาบเบียดแทรกเสียจนแทบไม่มีช่องว่าง และกลิ่นหอมที่อายอวลฟุ้งเต็มทางเดิน




      กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงคนบางคน..และ...สิ่งที่จะไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว




        ไคลน์หรุบตาลงช้าๆ หัวใจหนักอึ้งเกินกว่าจะได้กล่าวอะไรอีก ความรู้สึกคล้ายกำลังถูกบดขยี้ด้วยมือที่มองไม่เห็นยังคงแจ่มชัดและดำเนินอยู่ในทุกคราวของการเคลื่อนไหว ความทรงจำนึกหวนคืนกลับไปยังคำคืนนั้นที่คำบอกรักของตนยังไม่ล่วงพ้นหลุดออกมาจากปาก ขนนกสีดำที่กระจัดกระจาย ร่างที่หายไปไม่เหลือแม้เศษฝุ่นผง และ..ตัวการลงมือ ที่เป็นคนรักของตน




     ...ไม่สิ เป็น"อดีต"คนรัก




      ในวันที่จบภารกิจและเดินออกมาจากใต้ผืนพิภพ หลังจากที่ตนเอ่ยปากขอให้ยอโทษให้กับคนผู้นั้น ฟาราสก็รับรู้แล้วว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป การพุดคุยนั้นไม่มีกระทั่งน้ำตาหรืออาการทุรนทุราย ราวกับว่าฟาราสนั้นรู้ และสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว ว่าหัวใจของเขา..แปรเป็นอื่น





       เมื่ออีกฝ่ายถามด้วยความอยากรู้ เขาก็ยอมรับในที่สุด ใช่..มันเปลี่ยนไป และไคลน์รู้อย่างชัดเจนว่ามันเปลี่ยน..ก็เมื่อรู้ว่าอาโลอิสจะต้องหายไปด้วยคำสัตย์ที่เป็นคนให้ไว้






      เขายอมทุกอย่าง ไคลน์ยอมออกปากอ้อนวอน ต่อรองและทุ่มเทเพื่อไม่ให้อาโลอิสหายไป แค่นั้นก็บอกได้ชัด..หัวใจของตนนั้นมีผู้อื่นอยู่






      ฟาราสไม่ร้องไห้ เทพบุตรผู้งดงามนิ่งฟังด้วยท่าทีสงบนิ่ง จวบจนเขาเอ่ยปากจบลงก็ยังคงเงียบ..ไร้ท่าทีไม่พอใจใดๆทั้งนั้น




      ..และนั่นทำให้ไคลน์รู้สึกเบาใจอย่างยิ่ง





        ไคลน์นั้นวางใจ และดีใจยิ่งนักที่ตนเองสามารถจบเรื่องราวทุกอย่างได้แต่โดยดี  เขามุ่งมั่นไปกับการตามหา คอยเฝ้ามอง คอยดูแลคนๆนั้นแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ เอาแต่ตามหลังเทพบุตรที่ครั้งหนึ่งเคยพร่ำบอกรักตนด้วยน้ำตา ขณะที่นึกโทษตัวเองที่ทำตัวร้ายกาจไปด้วย จนกระทั่งในที่สุด ..ในที่สุดจึงเอ่ยปากบอกความรู้สึกของตนเองออกไป







        ...แต่ใครจะรู้ ว่านั่นคือจุดจบ





     จุดจบที่เกิดขึ้นเพราะตัวเขา ความเห็นแก่ตัว และความลังเล คนที่เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น คนๆนั้นควรโดนประณามและเหยีดหยาม สิ่งเหล่านี้นั้นล้วนถุกต้อง





       ..แต่ มันไม่ควรเกิดเรื่องแบบนั้นกับอาโลอิส






       คนที่เปลี่ยนใจคือเขา คนที่ผิดล้วนเป็นเขา คนสองคนที่ต้องเจ็บปวดเพราะความลังเลและการกระทำที่ไม่แน่นอน คนที่ต้องเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ควรจะโกรธตัวเขา หาใช่มุ่งไปทำลายกัน






       ความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ความผิดที่เปลี่ยนแปลงไป ความผิดที่ทอดทิ้งและละทิ้งหัวใจของฟาราสเพื่อเอื้อมมือไปหาหัวใจของอาโลอิส ชดใช้มาด้วยชีวิตของคนที่ตนเองเพิ่งจะรู้ ว่ารัก รักมากมายเพียงไหน






       รู้ตัวเมื่อสายเกินไป บอกออกไปยามที่ช้าเกิน ช้า...และทำให้คนๆนั้นหายไปตลอดกาล





       ตลอดกาล





      ไม่เหลือแม้กระทั่งเศษฝุ่นหรือเศษหิน ไม่เหลือแม้กระทั่งเสี้ยวของวิญญาณ คนที่ถูกฆ่าซ้ำให้ตายครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สุดก็ต้องหายไปอย่างไม่อาจเอากลับคืนมาได้อีกแล้ว






       ความจริงนั้นทำให้ขอบตาร้อนผ่าว ไคลน์รู้สึกราวกับทุกสิ่งกำลังพังทลาย ..ยามที่เขาเข้าไปคุกเข่าอ้อนวอน ขอให้เจ้านายช่วยเหลือ ขอให้คีเรสหาวิธีช่วย ไม่ว่าต้องทำสิ่งใด ไม่ว่าต้องทำอย่างไรก็ตาม ขอให้ช่วย แบบเดียวกับตอนนั้น..






      ..เขายังคงมีความหวัง หากนำฟาราสกลับคืนมาได้ การนำอาโลอิสกลับมา ย่อมต้องมีทาง





        หากสิ่งที่ได้มีเพียงการถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างจนปัญญา  คนที่หายไปไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาณ จะให้นำกลับมานั้นไม่มีทางเป็นไปได้





       ไม่ต่างกับการลงไปขอร้อง อ้อนวอนต่อผู้เป็นนายของคนๆนั้น แต่เซดิสก็ยังคงส่ายหน้า..ไม่มีทาง และ เป็นไปไม่ได้...ไม่ต่างกันเลย






       ความหวังที่ภินพังไปแล้วทำให้ไคลน์รู้สึกถึงหัวใจที่รวดร้าวของตน  เจ็บปวด แต่ไม่อาจโทษผู้ใดได้นอกจากตนเอง ความรู้สึกผิดที่เข้าถาโถมทั้งกายและใจนั้นมีมากมายเสียจนแทบไม่อาจครองสติไว้ได้ การสูญเสียครั้งนี้นั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าคราวของฟาราสมากนัก





      ได้แต่พึมพำซ้ำๆ ได้แต่ด่าว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นเพราะข้า..เป็นเพราะข้าคนเดียว





      สติยังคงเลื่อนลอยอยู่ยามที่ถูกบอกให้ตามผู้เป็นนายลงไปยังเบื้องล่าง ไคลน์ก้าวเท้าผ่านอุโมงค์หินไปยังโถงทางดินใหญ่ที่ตนเคยคุ้นอีกครั้ง โถงสูงและมีแสงสีทองพาผ่าน บัลลังก์แสนงดงามใดดูราวกับจะไม่อยู่ในความสนใจ ดวงตามองไปอย่างเรียบเฉยด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายกับเซดิสถึงได้บอกให้ลงไปพบ






   ... ทว่าร่างที่แน่นิ่งอยู่บนแผ่นหินกลับทำให้ดวงตาต้องเบิกกว้าง





       "อาโลอิส?" ไคลน์ถามซ้ำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น ร่างที่ถลาเข้าไปหาพร้อมกับจ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตานั้นอยู่ภายใต้การจ้องมองของคีเรสและเซดิส ผู้เป็นนายทั้งสองเหลือบมามองตากันเพียงครู่ ก่อนที่เซดิสจะเป็นผู้เอ่ยปาก





        "อย่าเพิ่งดีใจไป..นั่นเป็นเพียง"ร่าง"ไม่มีอย่างอื่น"





       "หมายความว่าอย่างไร?" ไคลน์เอ่ยถามซ้ำ ขณะที่ประถองอุ้งมือของอาโลอิสมาแนบแก้มด้วยความโหยหาอย่างถึงที่สุด






      "....ร่างของเขา..เอากลับคืนมาได้" เซดิสตอบก่อนจะหันไปยังเบื้องหลัง ที่มีเซธในร่างมนุษย์ ยืนอยู่พร้อมกับฟาราส นั่นทำให้ไคลน์ขมวดคิ้วอีกครา






   ..หรือ จะต้องให้ตนตามไปทำร้ายฟาราส เพื่อนำอาโลอิสคืนมา?





    สังหรณ์ร้ายถึงเรื่องราวที่จะเกิดซ้ำทำให้ตนมีสีหน้าเครียดเคร่ง






        "..เพราะเจ้ามาอ้อนวอน ทั้งข้าและคีเรส เลยนึกสมเพชขึ้นมา" เซดิสเน้นคำว่าสมเพชอย่างจงใจยิ่งพร้อมกับรอยยิ้มร้าย "...เซธก็เลย...ไปขอปีกเล็กๆน้อยๆมาจากฟาราส ให้ข้าคืนร่างอาโลอิส"





        "ปีก?" ไคลน์ถามซ้ำด้วยความไม่เข้าใจ





        "ข้างที่เอาคืนไป  ยังคงมี"บางส่วน"เป็นของอาโลอิสด้วย..เมื่อยังมีอยู่ ข้าจึงนำมาได้ เพราะมันไม่ได้หายไปเป็นฝุ่นเหมือนกับอีกข้าง" เซดิสอธิบายช้าๆ ไม่ได้บอกถึงรายละเอียดว่าตนทำสิ่งใดลงไปซ้ำร้ายยังจงใจพุดให้อีกคนระลึกถึงสาเหตุที่อาโลอิสต้องหายไปอย่างชัดเจน





       “เขา..นึกรู้สึกผิดขึ้นมา เลยยอมให้พวกข้าจัดการ” เซดิสยิ้ม ปรายตามองไปยังฟาราสที่ยืนจ้องมองมาที่ตน วาจานั้นทำให้ไคลน์ขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกว่าท่าทีของฟาราสนั้นมันช่างห่างไกลคำว่า “ยินดี” มากเสียเหลือเกิน





        "...พวกท่านทำอะไรฟาราส" ไคลน์เป็นฝ่ายถามซ้ำ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดยามเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การทำร้ายฟาราสเพื่อนำอาโลอิสคืนมา มันย่อมไม่ควร..การจะต้องเริ่มวัฒจักรที่ให้ทำร้ายคนหนึ่ง เพราะสุฐเสียอีกคนหนึ่งแบบนั้น เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว





      เพราะผู้ผิดที่แท้จริงคือเขา




      ผิดที่ลังเล ผิดที่ไม่แน่ใจ ผิดที่รู้ตัวช้าไป..ผิด ทุกๆอย่าง..




       "ฟาราสยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองทำ จึงยอมช่วยเหลือ เจ้าอย่าได้ถามมากเลย อย่างไรก็ได้อาโลอิสคืนมามิใช่หรือ" เซดิสถาม ขณะที่เซธบีบไหล่ฟาราสซึ่งตัวสั่นน้อยๆเบา เป็นผลให้ร่างนั้นเกร็งเขม็งขึ้นมาทันควัน




       อัปกริยานั้นล้วนไม่พ้นจากสายตาของไคลน์ เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้วแน่น




         "จะอย่างไร ฟาราสก็ไม่ผิด คนที่ผิดคือข้า" ไคลน์เอ่ยปากบอก แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนลงมือสังหารอาโลอิส แต่ทว่าเขาไม่คิดจะนึกสาดความโกรธใส่ฟาราสแม้เพียงนิด การกระทำของฟาราสนั้นเป็นเพียงการทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ขณะที่ผู้ผิดที่แท้จริงเป็นเขา..คนหลายใจนามว่าไคลน์





         ..เป็นคนที่ทำให้อาโลอิสหายไป..คนที่ทำให้เกิดเรื่องราวทุกๆอย่าง




        "ไม่ต้องบอกข้าก็รู้" เซดิสยิ้มรับอย่างเยือกเย็น "คนผิดคือเจ้าไม่ต้องสงสัย ไคลน์ ..ดังนั้น เจ้าจึงได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณของเขามายังไงเล่า"




          "หมายความว่าอย่างไร" ไคลน์ถามเสียงเบาราวกับกระซิบ ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังใจหายวาบ..




          "....เขาหายไปแล้ว หายไป..." เซดิสเอ่ยย้ำพร้อมรอยยิ้ม "หายไปแล้ว จึงไม่มีอีกต่อไป ตรงนี้เป็นเพียงร่างไร้ชีวิต เป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งมอบให้เจ้าผู้โง่งม....ผลลัพท์ของการกระทำทั้งหลาย คือได้กอดเพียงร่างไร้วิญญาณอย่างไรล่ะ"





          สิ้นคำ ร่างของเซดิสก็สะบัดกายเดินหายไปทันควัน ไม่ต่างกับเซธที่นำตัวฟาราสออกไปบ้าง คำพูดนั้นทำให้ไคลน์นิ่งอึ้ง หัวใจที่ระริกไปด้วยความยินดีบัดนี้ราวกับถูกฉีกกระชากและเหยียบซ้ำ เทพบุตรหนุ่มจ้องมองร่างที่ยังคงนิ่งบนแผ่นศิลา ทุกอย่างช่างเหมือนตัวจริง ทั้งเส้นผมสีแดงเข้ม ผิวขาวจัด ใบหน้า ลำคอ จมูก ทุกอย่างล้วนเป็นอาโลอิสทั้งนั้น





        แต่เป็นอาโลอิสที่จะไม่มีวันลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว





       สิ่งที่ได้รับไม่ต่างกับโทษทัณฑ์ของแส้ที่ฟาดมาบนแผ่นหลัง ไคลน์ตัวสั่นระริก พลางกอดร่างไร้วิญญาณนั้นไว้ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ความหวังที่พังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เทพบุตรหนุ่มคล้ายกำลังจะบ้าคลั่งไปทุกที






         การกระทำของเซดิสบ่งชัดว่าชิงชังและรังเกียจที่ตนเป็นคนทำให้เรื่องราวบานปลายเสียขนาดนี้ แต่การลงโทษด้วยการคืนกลับเอาอาโลอิสมาเช่นนี้ ช่างเป็นผลตอบแทนที่ร้ายแรงยิ่งนัก





         หนัก..เสียจนไคลน์รู้สึกแทบจะเป็นบ้า..





       "ไคลน์..." น้ำเสียงของคีเรส ผู้เป็นเจ้านายดังขึ้นก่อนจะถอนหายใจเบาๆ มองสภาพของคนสนิทตนที่บัดนี้ ดูราวกับไร้สติ เอาแต่พร่ำกอดร่างของอาโลอิสผู้นั้นแล้วพึมพำซ้ำๆราวกับคนบ้า






       ...ผู้ที่เป็นบ้าใบ้ ผู้ที่ทุรนทุรายด้วยความสูญเสีย




      ข้อเท็จจริงนั้นทำให้คีเรสถอนหายใจแผ่วเบา ด้วยครั้งหนึ่งที่จำได้ ตนเองก็เคยเป็นเช่นนี้..เฉกเดียวกัน




       ดังนั้น ด้วยความสงสารหรือด้วยบางสิ่ง..เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินล้ำลึกผู้จ้องมองแผ่นหลังที่สั่นระริกนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเอ่ยช้าๆ...




       "เราทำได้เพียงเท่านี้" เสียงของคีเรสดังขึ้นราวกับจะตอกย้ำความรู้สึก "ทุกคนล้วนเสียใจ แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้...อาโลอิสได้จากไปแล้ว จากไปแล้วจริงๆ และการนำร่างของเขาคืนกลับมาให้เจ้า ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด..”




      “ข้ารู้”.ไคลน์พึมพำรับคำแผ่วเบา..แต่เป็นรู้ ที่ไม่ได้ต่างกับไม่รู้เสียเท่าไหร่




          “ข้าและเซดิสเหนื่อยมาก..ในการนำเขากลับมา” คีเรสกล่าวไปถึงผู้ที่เดินออกไปแล้ว แม้ท่าทีของเซดิสจะหงุดหงิดไม่พอใจ แต่ในยามที่ทุ่มเทเพื่อนำเอาร่างของลูกน้องตนคืนกลับ ก็นับว่าน่านับถือยิ่ง




         “ขอบคุณ”




       “แต่การนำร่างคืนกลับมาว่ายากแล้ว ยังไม่เท่ากับวิญญาณ..หากเจ้ายังปล่อยให้อยู่แบบนี้ ไม่นานร่างของเขาจะหายไป.."




      "...อะไรนะ" ไคลน์ชะงัก หลุดจากเสี้ยวคะนึงแห่งความรู้สึกผิดและความทุกข์ใจ เอ่ยปากถามกลับเจ้าของประโยคนั้นราวกับไม่เชื่อหู




       "สิ่งใดไม่มีวิญญาณ สิ่งนั้นย่อมไม่อาจคงอยู่ได้นาน นี่คือกฏ"




      "แล้ว ข้าต้องทำอย่างไร" ไคลน์ถามเสียงเบาราวกับกระซิบ เขาออกแรงกอดรัดร่างในอ้อมแขนแน่น ตั้งมั่นและปฏิญาณในใจ ว่าจะไม่ปล่อยให้คนๆนี้หายไปไหนอีกแล้ว แม้จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณก็ตามที





"เจ้าไม่อาจนำร่างของเขาขึ้นไปยังที่อยู่ของเราได้..เพราะเขาอยู่ในความมืด ย่อมไม่ถูกกับแสงสว่าง แต่เจ้าก็ไม่อาจนำร่างเขาไว้ที่นี่ เพราะร่างของเขาในสภาพนี้ไม่อาจทนต่อข้างใต้พิภพนี้ได้..หากปล่อยเอาไว้เพียงไม่กี่วัน ร่างของเขาก็จะหายไปอย่างที่ข้าบอก" คีเรสเอ่ยช้าๆ




        “แล้วข้าจะต้องทำอย่างไร?”




       "...ยังพอมีทาง นำร่างของเขาไปไว้บนโลกมนุษย์ ให้เลือดของเจ้ากับเขาทุกวัน คงพอจะพยุงร่างนี้ไปได้.."





       "ข้า เข้าใจแล้ว.."



        “.........” คีเรสพยักหน้าช้าๆ หมุนตัวทำท่าจะเดินออกไปเมื่อเสร็จธุระของตน



        “ท่านคีเรส...” เสียงของไคลน์ดังขึ้นเบื้องหลัง กังวานน้ำเสียงดูสงบขึ้น คล้ายกับว่าอีกฝ่ายนั้นสามารถทำใจได้แล้วต่อเรื่องที่เกิด “ไม่มีทาง...ไม่มีทางใดที่จะทำเขากลับมาอีกหรือ”



          คำถาม...ที่ยากยิ่งต่อคำตอบนั้นทำให้คีเรสถอนหายใจ




         “เนิ่นนานมาแล้ว มีตำนานเล่าขาน..ว่ากันว่า...” น้ำเสียงนั้นเรียบสงบ น่าฟังยิ่ง “มีใครคนหนึ่ง กลับออกมาจากอ้อมกอดของพระเจ้า ตามเสียงเรียกหาของคนรัก เขาเฝ้าร้องเรียกทุกวัน...ทุกคืน เพื่อนางจะกลับมา”



           "จากนี้ไป...สิ่งที่พอจะทำได้...คงเป็นเพียงการเฝ้าวอนขอภาวนาให้เขากลับมากระมัง" ครีเรสเอยช้าๆก่อนจะถอนใจ "แต่จงจำไว้ ว่ามันยาก...ยากยิ่งกว่าสิ่งใด จำไว้"



      "..........." ไคลน์พยักหน้าช้าๆ สองแขนสอดขึ้นนำร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน




      “แต่การทำแบบนั้นต้องเป็นศัตรูกับพระผู้เป็นเจ้า แย่งชิงเขาออกมาจากอ้อมแขนของพระองค์..เจ้ายังคิดจะทำหรือ”




     “ข้าจะทำ” ไคลน์รับคำหนักแน่น ดวงตาวาววับ




      “....เช่นนั้นข้าคงไม่อาจห้าม”



      "ขอบคุณมาก..ท่านคีเรส"



     "...ขออย่างให้ทุกอย่างเป็นเพียงภาพฝันก็แล้วกัน ไคลน์"




          สิ้นคำพูดนั้น ร่างของคีเรสก็หายไป ทั่วทั้งโถงใหย่เหลือเพียงความเงียบและเสียงหยดน้ำไหล ขณะที่ไคลน์สูดหายใจลึก จ้องมองร่างที่ไร้วิญญาณในอ้อมแขนตน ดวงตาสีน้ำตาลสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้มขึ้นราวกับตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว ร่างของเทพบุตรหนุ่มหยุดหายลุกขึ้นช้าๆ สะบัดปีกทะยานนำเอาร่างของคนที่ตนรักพาออกไปทันที



++++++++++++++++++





 :katai1:เฮ้ออออ นี่เป็นช่วงกรรมตามสนองสินะคะ ตอนนี้คงต้องรอปาฏิหารย์ซะเเล้วนะ เเต่เรื่องที่ไม่ต้องรอลุ้นปาฏิหาริย์นิยายยังเปิดจองอยู่นะคะ


ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
«ตอบ #105 เมื่อ03-08-2014 13:20:00 »

 :heaven อรั๊กกกกกกกกกกกก!!! ดาเมจช่างรุนเเรงยิ่ง   ร๊ากกกกกกเรื่องนี้จริงน้าาาา

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
Re: LOST ANGEL *Lost 41 : เพียงภาพฝัน UP 3/08/2557
«ตอบ #106 เมื่อ03-08-2014 13:24:08 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด TOT!!! สุปสรรคคคคค

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
«ตอบ #107 เมื่อ04-08-2014 07:35:58 »

   Lost 42 : จรดบันทึก 
   



               ว่ากันว่าเทวดา คือภาพหลอนของปีศาจ..




              ตัวพ่อไม่เคยพบกับเทวดา หรือปีศาจ มาอย่างน้อยก็เกือบทั้งชีวิตที่ตนอาศัยอยู่ในโบสถ์เล็กๆ หลังนี้ โบสถ์ในที่ดินของตระกูลเศรษฐีใหญ่แถบชานเมืองปารีส ที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากสงครามที่มาเยือน และจากไป..ไม่มีเรื่องราวร้ายๆใดเกิดขึ้นกับตัวพ่อ แม้ก่อนจะเริ่มสงคราม จะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นก็ตามที




              พ่อคิดว่าตนเองคงจะอาศัยอยู่ในโบสถ์นี้ไปจนตาย และเริ่มเอาเด็กน้อยคนหนึ่งมาเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม คิดจะสั่งสอนให้เขาเป็นนักบวชเช่นตนเองและคอยสืบทอดโบสถ์แห่งนี้..




              แต่มันก็เกิดบางเรื่อง ที่ทำให้ความคิดของพ่อเปลี่ยนแปลงไป





            ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก พายุแรง สายฟ้าแลบแปลบปลาบไม่หยุด พ่อกำลังดับเทียนในโบสถ์ เพื่อจะเข้านอนตามปกติ  แต่ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปนอน กลับได้ยินเสียงกุกกักที่ประตูอย่างที่ไม่ควรจะมี





             ..หรือจะมีคนเอาเด็กมาทิ้งไว้?




                พ่อคิดแบบนั้น เพราะตามปกติแล้วในคืนที่ฝนตกลมแรงขนาดนี้ ย่อมไม่มีใครจะเข้ามา นอกจากจะมีเด็กที่ไหนเกิดแล้วถูกนำมาทิ้งไว้ เศรษฐกิจหลังสงครามนั้นย่ำแย่ ดังนั้นการเอาลูกมาฝากไว้ที่โบสถ์ย่อมดีกว่าให้ทุกข์ตามพ่อแม่ไป เมื่อคิดเช่นนั้น ตัวพ่อก็รีบเร่งเปิดประตูโดยพลัน



               ..ก่อนจะได้พบสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต..




              "เกิดอะไรขึ้น..." ประตูบานใหญ่เปิดออก พร้อมกับเปลวเทียนที่ไหวพะยาบตามแรงลม เสียงฝนและเสียงฟ้าร้องด้านนอกนั้นดังเสียจนแทบกลบบทสนทนาให้หมดไป หลวงพ่อฌองวัยชราที่ตั้งท่าจะก้มมองพื้นเป็นสิ่งแรกเพื่อเจอทารกตามที่คิดไว้ กลับต้องสะดุ้ง เมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งท่ามกลางสายฝน




              "ขอเข้าไปหน่อย" เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นทำให้ร่างของบาทหลวงชราสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมองภาพเบื้องหน้าอย่างลืมตัว ชายคนหนึ่งที่อยู่หน้าโบสถ์ ถูกสายลมและสายฝนพัดพาเข้าหาเสียจนเปียกโชกไปทั้งตัว เจ้าของใบหน้าที่เคยคุ้นซึ่งครั้งหนึ่งตนเคยพบเจอทำให้นึกเบาใจได้บ้าง หากก็ต้องชะงัก เมื่อมองเห็นบางสิ่งที่บุรุษผู้นั้นอุ้มไว้ในอ้อมแขน




              ร่างในชุดสีดำสนิทของชายหนุ่มอีกคนที่ยังคงหลับไหลแม้อยู่ในสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัว ใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาปิดพับลงและมีผิวขาวจัด เส้นผมสีแดงเข้มดูประหลาดตายิ่งนัก ร่างนั้นถูกประคับประคองไว้อย่างอ่อนโยน ขณะที่หลวงพ่อฌองเปิดบานประตูกว้างขึ้นแล้วดวงตาก็พลันเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของชายหนุ่มผู้นั้น




                 ปีก...




               ปีกสีขาวบริสุทธิ์เช่นเดียวกับอาภรณ์ที่สวมใส่ ปีกที่เรืองรองส่องแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด ปีกที่ดูนุ่มราวกับขนนกและต่อให้เฝ้าพิจารณาอย่างไรก็ไม่อาจเป็นของปลอมไปได้เลย




               คนตรงหน้าดูราวกับเทวดาในพระคัมภีร์กระนั้น..




               "คุณ....." หลวงพ่อฌองถึงแก่พูดอะไรไม่ออก ขณะที่คนตรงหน้ายังคงไม่มีท่าทีจะสนใจใดๆ  ชายหนุ่มผู้นั้นอุ้มเอาร่างชายที่ยังคงสลบไสลวางไว้บนเก้าอี้ม้านั่งตัวยาวก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆ กำมือนั้นมาบีบแน่นแล้วกระซิบเรียกซ้ำเบาๆ ซ้ำไปซ้ำมา



   
                "...ช่วยมอบที่นี่เป็นที่พักพิงแก่เราด้วย" หลังจากนิ่งเงียบไปนาน ไคลน์ก็เอ่ยขึ้นมาเงียบๆพลางจ้องมองบาทหลวงชราเบื้องหน้า มือของเขายังคงกุมมือของอาโลอิสไว้ ขณะที่หลวงพ่อฌองนิ่งอึ้ง มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง



                "...นี่มัน...อะไรกัน..." น้ำเสียงนั้นเบาราวกับกระซิบ "พระผู้เป็นเจ้า.."




               "เรามาขอที่อยู่ ผมหวังว่าคุณจะยอมตกลง"ไคลน์มองบาทหลวงตรงหน้าที่พร่ำหาพระเจ้าและเริ่มคุกเข่าสวดอ้อนวอนเบาๆ สีหน้าของชายหนุ่มแฝงแววเจ็บปวดอย่างปิดไม่มิดเมื่อมองไปยังคนที่ตนรัก



              "อาโลอิส..." กระซิบเรียกชื่อแผ่วเบาทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ไคลน์เอนหน้าผากซบกับหน้าผากอีกฝ่าย พึมพำชื่อนั้นไม่หยุด



              "คุณ ต้องการอะไร..." นานกว่านาน หลวงพ่อฌองจึงหันมาอีกครั้ง สีหน้านั้นยังคงดูราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น



           "....นั่น...ปีก..เทวดา..ทูตสวรรค์..อย่างนั้นหรือ?"



              "....ถูก..แต่ไม่ใช่ทูตสวรรค์หรอก" ไคลน์รับคำ ยอมเผยความลับตนแก่มนุษย์ง่ายๆ ด้วยว่าตอนนี้มีสิ่งที่ตนเองต้องการกว่า ริมฝีปากของชายหนุ่มคล้ายจะยิ้มออกมาอย่างขื่นขมขณะที่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของพระคริสต์เบื้องหลังแท่นบูชา



              "ข้าเป็นเพียงเทวดา..ที่กำลังจะแย่งชิงสิ่งสำคัญจากพระผู้เป็นเจ้า"




              ...จะแย่งเอาเขากลับคืนมา จะนำเอาอาโลอิสคืนสู่อ้อมอก จะทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางเพื่อให้เขากลับมาเป็นของข้า




               พระเจ้า..พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดส่งเขาคืนกลับมาด้วยเถิด..



              ถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะหันไปยังหลวงพ่อฌองที่ทั้งพิศวงและงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งนัก ขณะที่ไคลน์ยกปลายนิ้วขึ้น ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังบานประตูและสั่งให้มันปิดลงอย่างรวดเร็วเสียจนหลวงพ่อฌองสะดุ้ง ก่อนจะจ้องมองมาเขม็ง




               ความทรงจำไม่ได้หลอกลวงถึงขั้นจำไม่ได้ ว่าคนๆนี้เคยมาที่นี่กับ ใคร..



               ชายหนุ่มที่มีใบหน้าประพิมประพายคล้ายเหมือนบุตรของเจ้าของที่ดินแห่งนี้ และเป็นคนเดียวกับที่เคยมีข่าวฆ่าตัวตายที่ริมฝั่งทะเลสาบอีกฟากของที่นี่



                ..แล้วในยามนี้




                 "ในยามนี้ผมเป็นเพียง..ผู้ที่ต้องการจะปกป้องสิ่งที่ตนเองรักด้วยทุกสิ่งที่มีเท่านั้น.." เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นราวกับรู้ในสิ่งที่ตนคิดทำให้ร่างของหลวงพ่อฌองสะดุ้งโหยง ก่อนจะมองภาพตรงหน้าด้วยความงวยงง  เมื่อชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังทำพิธีบางอย่างที่แสนน่าประหลาดสำหรับตนเองนัก




                  ปะรัมสำหรับเอ่ยคำสอนถูกเลื่อนออกแล้วแทนที่ด้วยสิ่งก่อสร้างคล้ายโลงหินที่ด้านในบุด้วยกำมะหยี่สีแดงเข้ม หินสีเข้มทึบทึมหากแต่ก็เงาวับราวกับกระจกใส ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงเมื่อปลายนิ้วของชายผู้นั้นเตะลงไป ก่อนที่ร่างนั้นจะตรงไปอุ้มเอาคนที่ยังคงหลับสนิทมาวางไว้ในโลงหิน



 
                 ..นั่นมันคนตายมิใช่หรือ?




                 เสียงในใจของหลวงพ่อฌองดังขึ้นอย่างพรึ่นพรึงเมื่อมองใบหน้าซีดขาวราวกับจะไม่มีสีเลือดนั้น



                 "เขาจะกลับมา.." ไคลน์ตอบเสียงเบา หากเสียงนั้นราวกับบอกตัวเองเสียมากกว่า ใบหน้าคมก้มมองร่างในโลงหินก่อนจะบรรจงหยิบมีดสั้นมาเชือดแขนตนเอง ป้อนโลหิตของตนลงไปยังริมฝีปากขาวซีดนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายกลับมามีชีวิตอีกครา




                 "ที่บอกว่าจะแย่งชิง..."หลวงพ่อฌองเอ่ยเสียงเบา ขณะที่ดวงตาจ้องมองภาพเบื้องหน้า




                 ไคลน์ยิ้ม "ใช่"




                ....จะแย่งชิงวิญญาณของคนตายกับพระเจ้า




                 ไม่ว่าอย่างไรก็จะเอากลับคืนมา




                 "มันไม่มีทางเป็นไปได้.." หลวงพ่อฌองเอ่ยช้าๆ ท่าทีราวกับกำลังไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังสนทนากับใคร..หรือสิ่งใดอยู่ "ลูกเอ๋ย มันจะเป็นบาป พระเจ้าทรงไม่อนุญ--"



                "ข้าจะขอรับมันไว้แต่เพียงผู้เดียว" ไคลน์ตอบด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง ก่อนจะจ้องมองสบตาคนพูด




                "...." หลวงพ่อฌองไม่อาจเอ่ยคำใดได้ นอกจากจะถอนหายใจเพียงแผ่วเบา




               ฟ้าแลบแปลบปลาบ ขณะที่หลวงพ่อวัยชราลุกขึ้นไปจุดเทียนให้ภายในโบสถ์สว่างไสว เสียงฟ้าร้องยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่บทสนทนาแปลกประหลาดหยุดชะงักลงเพียงเท่านั้น ร่างของเทพบุตรหนุ่มค่อยสะบัดปีกสีขาวให้จางหายไปก่อนจะนั่งลงช้าๆเคียงกับโลงหิน ขณะที่เสียงร้องสวดหาพระเจ้าของหลวงพ่อฌองก็ดังขึ้นเบื้องหลัง




                "...มีไหม" เสียงถามแถทรกเข้ามาในภวังค์ทำให้หลวงพ่อฌองที่กำลังจดจ่อพึมพำคำสวดอยู่พลันชะงัก




               "อะไร..หรือ" คำถามมาพร้อมกับความหนาวยะเยือกในใจ เมื่อสำนึกได้ว่าตนนั้นกำลังมอบที่พักพิงให้...สิ่งที่ไม่ปรกติ
       แม้จะเป็นผู้ที่มีปีกสีขาวและเป็นดั่งตัวแทนของพระเจ้า




               ...แต่คนๆนี้ก็เอ่ยปากบอกกล่าว จะต่อต้านพระเจ้า..เช่นเดียวกัน





                 "ดอกกุหลาบ" น้ำเสียงนั้นแผ่วเบายิ่ง พลางไร้ผิวแก้มคนในโลงหินเบาๆ "ดอกกุหลาบสีแดงสด..มาปลูกไว้นะ.."




                  "ทำไมกันรึ?" บาทหลวงชราเอ่ยพลางขมวดคิ้วเข้าหากันเงียบๆ




                "......." ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของไคลน์ เจ้าตัวยังคงจดจ่ออยู่กับใบหน้าของผู้ที่อยู่ในโลงหิน ขณะที่หลวงพ่อฌองนิ่งอึ้งอยู่กับคำขอนั้นพลางเงียบไปครู่ใหญ่



               "ได้.." ที่สุดแล้ว หลวงพ่อฌองก็รับคำเสียงเบา




                   "ขอบคุณ" ไคลน์เอ่ยปากขอบใจเบาๆ พลางบีบฝ่ามือของอาโลอิสเงียบๆ




                   "ไม่เป็นไร แล้ว...." อยากถามว่าต้องการอะไรอีกหรือไม่ แต่เสียงนั้นก็ไม่อาจหลุดรอดจากริมฝีปาก




                    "ผม...ขออยู่กับเขาสองคน" นิ่งไปนาน คำขอนั้นก็ดังขึ้น วาจานั้นราวกับคำอนุญาตที่ทำให้ไคลน์ออกปาก สิ้นคำพูดนั้นร่างของบาทหลวงเฒ่าก็หลบฉากออกไปยังด้านข้างโบสถ์ซึ่งมีทางเชื่อมนำไปสู่ที่พักด้านหลัง ปล่อยให้ไคลน์ยังคงนิ่งจมจ่ออยู่กับร่างของอาโลอิสเงียบๆ




                    ปลายนิ้วไล้แก้มขาวที่เย็นชืดเบาๆ ขณะที่ลมหายใจสั่นสะท้าน ไคลน์สูดหายใจลึก พลางเม้มปากเข้าหากันเงียบๆ
            นิ่งไปเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยคำ..



                     "เจ้าจะโกรธข้าไหม...อาโลอิส"




                      "........" ไม่มีคำพูดใดออกมาจากคนที่ไม่อาจลืมตาได้อีกแล้ว และฝ่ามือที่ไล้ผิวแก้มนั้นเริ่มสั่น




                      "พรากเจ้าออกมา..พาเจ้าออกมาจากอ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้า..ข้ากำลังพยายาม พยายามทำให้เจ้าต้องปวดร้าวอีกครา.."




                       "...หากจะโกรธคือง จะเคียดเเค้นข้าก็จงทำ..แต่เจ้าได้โปรดกลับมา กลับมาเถิด..กลับมาที่นี่"




                     ...ไม่ต้องรักข้า ไม่ต้องเป็นของข้าก็ได้




                      ขอเพียงกลับมา กลับมาให้ข้าได้..รัก





                  "เจ้าชอบที่นี่ใช่ไหม..ข้าจำได้" ริมฝีปากหนาเอ่ยแผ่วเบา ขณะที่จรดปลายจมูกลงกับผิวแก้มใส "...ทะเลสาบที่ใสราวกับกระจก  โบสถ์สีขาวเล็กๆมีเนินเขียวชอุ่ม...ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบมัน..ชอบมาก"




                   "อยู่ที่นี่ เจ้าคงพอใจใช่ไหม หากนอนจนเบือหน่ายขึ้นมาเมื่อไหร่..ได้โปรด กลับมาหาข้าเถิดนะ"




                       หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากผิวแก้มไปยังปลายนิ้วขาวจัด น้ำตาอุ่นร้อนหากแต่ก็ไม่อาจคืนชีวิตหรือสิ่งใดให้กับผู้ที่หลับตาลงไปได้อีกแล้ว ไคลน์เอ่ยปากพึมพำซ้ำๆ เอ่ยเรียกชื่ออาโลอิสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังคุยราวกับเจ้าตัวมีชีวิต ทำทุกอย่าง ทว่าก็รู้ดีแก่ใจ...อาโลอิสไม่ได้กลับคืนมา





                       เสียงคร่ำครวญโหยไห้ดังขึ้นท่ามกลางเสียงของฟ้าฝนและสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ ร่างที่สั่นไหวของเทพบุตรในชุดสีขาวบริสุทธิ์ผู้เอ่ยปากประกาศจะแย่งชิงวิญญาณของคนที่ตนรักจากพระผู้เป็นเจ้า ยังคงร้องไห้คร่ำครวญราวกับใจสลาย ร่างที่สั่นระริกนั้นทรุดลงอย่างสิ้นท่าและหมดทางไป เฉกเช่นเดียวกับหัวใจที่ถูกรายล้อมด้วยความเจ็บปวดอันยากเกินจะบรรเทา




                        เปลวเทียนดับลงไปเมื่อไส้ของมันหมดลงจนภายในโบสถ์เล็กเหลือเพียงความมืดมิด ร่างของไคลน์ยังคงซบลงกับโลงหินเงียบๆ ซึมซับความเจ็บปวดและสูญเสียอันยากจะทำใจ เขายังคงน้ำตาไหล ขณะที่ร่างของคนที่หลับสนิทยังมีเพียงความเงียบงัน แม้สีสันของผิวแก้มจะมีมากขึ้นยามได้ลิ้มชิมรสเลือดที่ให้มาก็ตาม ขณะที่เส้นผมสีแดงเข้มค่อยยาวขึ้นเล็กน้อย ราวกับพอใจที่ได้พลังเพิ่มขึ้น




                     ..ยังคงมีชีวิต 



 
                    เสียงฟ้ากัมปนาทยังดังอยู่เบื้องหลังยามที่ร่างในชุดบาทหลวงสีดำสนิทก้าวเข้าไปในอาคารที่พักของตน เสียงกุกกักดังขึ้นยามที่เอื้อมมือไปยังสมุดบันทึกเล่มหนา หลวงพ่อฌองเดินเข้าไปในห้องนอน ขณะที่หยิบปากกามาเขียนบันทึกด้วยฝ่ามือที่สั่นระริก..




                   มองฝ่ามือตนเอง อดจะกำแน่นไม่ได้ราวกับจะบอกว่านี่ไม่ใช่ฝัน ขณะที่เอื้อมมือกำไม้กางเขนเงินบนอก และจรดปากกาลงไปอย่างรวดเร็ว..




                   ตัวพ่อเองก็ไม่รู้ว่าเขาคืออะไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นดีหรือไม่ อาจจะเป็นภาพหลอน อาจจะเป็นร่างแปลงของปีศาจหรือสิ่งใด เขาผู้เอ่ยปากบอกว่าจะแย่งชิงของสำคัญของตนคืน เทวดาที่เอ่ยปากว่าจะแย่งของๆพระเจ้า




                   ...มันจะเหมือนเทวทูตลูซิเฟอร์ที่ก่อกบฏต่อสรวงสวรรค์หรือไม่?





                    พ่อคิดเช่นนั้นด้วยความตระหนก แต่เมื่อมองเห็นแววตาของเขาที่กำลังจ้องมองร่างที่หลับไหลนั้นแล้ว กลับเอ่ยปากอนุญาตไปโดยไม่รู้ตัว





                   แววตาคู่นั้นทำให้พ่อตระหนักถึงมันได้..แววตาของผู้ที่มีแต่ความรัก






                   รุ่นเช้าในวันที่อากาศสดใส พ่อได้มอบเอาต้นอ่อนของกุหลาบให้แก่เขา และจ้องมองเขาที่"ปลูก"กุหลาบนั้นไว้ในโลงหินอย่างงวยงง ยอดอ่อนสีเขียวที่แทงใบขึ้นมาเป็นต้นกล้าเล็กๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นความหวังที่ไม่มีวันดับสลาย





                    ทุกวันเขาจะออกไป และกลับมาในยามค่ำคืนเพื่ออยู่ร่วมกับร่างนั้น ร่างที่ไม่เน่าเปื่อยแม้เจ้าของจะไร้ลมหายใจ ร่างที่ยังคงเอาแต่ประสานมือแล้วหลับตาลงราวกับจะไม่ตื่นขึ้นมาชั่วนิรันดร์





                   ผ่านไปฤดูแล้วฤดูเล่า จวบจนต้นกุหลาบผลิดอกออกใบและตัวพ่อที่แก่ชราไปตามวันเวลา มีเพียงเขา และร่างในโลงหินนั้นที่ราวกับเวลาจะถูกผนึกไว้ บางครั้งบางคราว พ่อได้ยินเสียงสะอื้นคล้ายกำลังร่ำไห้ เสียงที่ครวญครางด้วยความเจ็บปวดเหลือคณานับ





                    จวบจนสายตาฝ้าฟางและร่างกายโรยรา ตัวพ่อในวันหนึ่งได้ถาม "เขา" ที่ให้เรียกตนว่าไคลน์ ด้วยความข้องใจยิ่งนัก




                    "อะไรคือการ..กลับมา ของท่าน?"




                      ดวงตาคู่นั้นหันมามอง ละสายตาจากร่างในโลงหิน เอ่ยตอบด้วยท่าทีจริงจัง "เมื่อเขากลับมา ย่อมจะรู้เอง"





                       "หากไม่กลับมาเล่า จะทำเช่นไร" คำถามของพ่อทำให้เขามีสีหน้าสลดไปครู่หนึ่ง ตัวพ่อไม่เคยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งกับคนที่กำลังหลับไหล และตัวเขา แม้จะทราบบ้าง ในบางคราจากเสียงคร่ำครวญนั้นว่าเกิดจาก"ความผิด"บางอย่างก็ตาม





                     ..เทพเทวดาก็ทำความผิดได้ด้วยรึ?




                     ตัวพ่อรู้สึกข้องใจยิ่งนัก





                     แต่กระนั้น การไต่ถามเรื่องราวของเทพ..ก็ดูจะไม่ได้รับคำตอบ




                     "เขา...จะต้องกลับมา ในสักวัน" คำตอบของคำถามนั้นแม้เศร้าสร้อยหากแต่ก็มุ่งมั่น พ่อละออกจากภวังค์พร้อมกับหันไปจ้องมองเขาเงียบๆ




                    "หากไม่กลับมา ผมก็เพียงแต่..รออยู่ ตลอดไป"




                       ...ตลอดกาล




                    เสียงกระซิบนั้นดังขึ้นในใจแผ่วเบา บ่งบอกให้เห็นถึงความตั้งใจอันไม่มีวันคลายลง





                       เมื่อยามที่เขียนบันทึกเล่มนี้ ทุกอย่างยังคงไม่เปลี่ยนไป มีเพียงกุหลาบที่แย้มบานชูช่อสะพรั่งและส่งเสียงวิงวอนต่อพระเจ้า บางคืน พ่อได้ขอวิงวอนแทนเขา หวังเพียงว่าพระผู้เป็นเจ้าจะประทาน"เขา" คืนมาให้กับคนผู้นั้น..ในสักวัน





                    สักวันที่ดอกกุหลาบแย้มบานสะพรั่ง สักวันที่ดวงตาคู่นั้นจะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง สักวัน..






                     ที่จะไม่เป็นเพียงภาพฝันอีกต่อไป..




+++++++++++++++++++++++++



อ๊าาาาาาาา...เศร้ารันทดเหลือเกินค่าาาาา  ปวดใจทะลุตับกันเลย ปาฏิหาริย์ช่างริบหรี่เหลือเกิน ต้องร้องาฏิหาริย์ไม่มีจริงรึเปล่าเนี่ย//นี่ก็เพลงบ่งบอกอายุมาก-_-//


มาลุ้นกันกับตอนต่อไปตอนสุดท้ายของเรื่องนะคะ"บทส่งท้าย" ในตอนหน้าค่ะ จบเเล้ว


เเละหนังสือเปิดจองอยู่นะคะ

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
«ตอบ #108 เมื่อ04-08-2014 10:17:50 »

ชอกช้ำ ฮืออออ อ่านแล้วบีบหัวใจ สงสารอาโลอิส อยากให้ฟื้นเร็ว แต่อีกใจก็อยากให้ไคลน์ทรมานนานๆ
ปล.ฟาราสหายไปไหนเนี้ย ร้องไห้จนน้ำตาท่วมสวรรค์ไปแล้วมั้ง  :hao5:

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
«ตอบ #109 เมื่อ04-08-2014 10:46:58 »

 :ling1: :ling1: :ling1:

อาโลอิสตื่นขึ้นเถอะสงสารไคลน์แล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
« ตอบ #109 เมื่อ: 04-08-2014 10:46:58 »





ออฟไลน์ EunJin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1313
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
«ตอบ #110 เมื่อ04-08-2014 11:44:34 »

ฮือออออออ น้ำตาจะไหล กำลังอ่านนิยายเศร้าอยู่ใช่ไหมคะเนี่ยงื้ออออ
หวังว่าตอนสุดท้ายจะมีปาฏิหาริย์ อยากให้จบแบบมีความสุขจังเลยค่ะ  :o12:

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
«ตอบ #111 เมื่อ04-08-2014 22:15:17 »

เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่น้ำตาก็ยังไหลปานเขื่อน   :hao5: 



ออฟไลน์ loyal_mook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
«ตอบ #112 เมื่อ04-08-2014 22:43:13 »

สงสารทุกคนเลย  :hao5:

ออฟไลน์ andear

  • ยาราไนก๊ะ ??
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-1
Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
«ตอบ #113 เมื่อ04-08-2014 23:07:13 »

อาโลอี๊สสสสสสสสสสสสสสส   :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *บทส่งท้าย UP 5/08/2557
«ตอบ #114 เมื่อ05-08-2014 07:30:07 »

บทส่งท้าย






                  ดอกกุหลาบสีแดงเข้มเกาะระเกะระกะทั่วผนังโบสถ์ลามไปจนถึงพื้น ภาพชวนแปลกตาของพันธุ์ไม้เลื้อยที่ออกดอกบานสะพรั่งในฤดูหนาวทำให้สายตาของเหล่าชาวบ้านที่มาสวดภาวนาในโบสถ์มองอย่างสนอกสนใจ กลิ่นกุหลาบหอมยังคงอายอวลขณะที่เสียงของหลวงพ่อวัยกลางคนเอ่ยปากบอกคำสอนในเช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดใส บนปะรัมพิธีมีแท่นหินสีดำขนาดใหญ่ให้กุหลาบกอใหญ่นั้นเกาะเกี่ยว นัยยะว่าเป็นที่หยั่งรากของมันนั่นเอง แต่ตรงไหนที่จะเป็นลำตนจริงๆกลับไม่มีใครรู้




                 สิ้นคำสอนคือเวลาพูดคุยและร่วมดื่มน้ำชายามบ่าย หลวงพ่อชาร์ล เลเออลอง วัยสี่สิบเศษหันไปเอ่ยปากเตือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตาคุ้ยเถากุหลาบไม่ไกลจากนั้น สักพักร่างของเด็กน้อยวัยสิบขวบก็ร้องจ้า วิ่งออกมาเพราะถูกหนามกุหลาบตำ ทำให้คนฟังต้องส่ายหน้า





                "ตายจริง..ขอโทษนะคะ ซนจนได้เรื่องเลย" หญิงสาวที่เป็นผู้ปกครองเอ่ยพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้ามาทำแผลและปลอบบุตรชายให้หยุดร้อง




                "ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงกุหลาบก็หนามเยอะพอควรเลยทีเดียว" หลวงพ่อชาร์ลเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่น





                 "แต่ก็สวยนะคะ เอ..หลวงพ่อไม่คิดจะตัดมันหรือคะ?" หญิงสาวเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ด้วยเถากุหลาบนั้นยาวเลื้อยไปเสียจนถึงผนังโบสถ์





                 "กุหลาบไม่ใช่ผมปลูก คงตัดไม่ได้น่ะ" หลวงพ่อชาร์ลหัวเราะเบาๆ





                 "อ้าว งั้นหรือคะ ดิฉันเห็นว่าปลูกมานมนานแล้ว นึกว่าอยู่คู่กับโบสถ์ซะอีกค่ะ" หญิงสาวผู้นั้นเอยก่อนจะอุทานเมื่อเสียงเรียกของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น "ตายล่ะ ถึงเวลาแล้ว ขอตัวนะคะ"





                  "แล้วพบกันใหม่วันอาทิตย์ครับ"






                    "แล้วพบกันใหม่ค่ะ"





                  เดินออกไปส่งที่หน้าโบสถ์พลางโบกมือให้กับสองแม่ลูกช้าๆ ร่างของหลวงพ่อชาร์ลยืนส่งอยู่จนกระทั่งทั้งสองลับสายตา ก่อนจะหันกลับมาเดินเข้าไปในโบสถ์





                  ร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาที่สวมชุดลำลองสีขาวแปลกตายืนอยู่ในโบสถ์ก่อนแล้ว เขายืนอยู่หน้าแท่นหิน เท้าเหยียบลงบนเถากุหลาบแต่ไร้ท่าทีเจ็บปวดใดๆ ปลายนิ้วของชายผู้นั้นเอื้อมไปสัมผัสบางสิ่งที่อยู่ภายในโลงหินนั้นเงียบๆขณะที่ฝาครอบขนาดใหญ่ที่ปิดไว้ไม่ให้ผู้คนมองเห็นหายไปเมื่อใดก็ไม่อาจรู้





                   "คุณไคลน์" หลวงพ่อชาร์ลเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อม แม้จะดูจากลักษณะภายนอกแล้วตนจะมีอายุมากกว่าโข "มาแล้วเหรอครับ?"





                   "อืม..."ไคลน์พยักหน้ารับ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันมามองเงียบๆ "เหมือนฉันจะทำให้เธอลำบาก"





                     ผู้ฟังส่ายหน้า "เปล่าเลยครับ ปกติดี เป็นคำถามที่มักจะถูกถามอยู่เรื่อยๆมากกว่า"





                    "แต่ฉันยืนยันจะไม่ตัด นั่นคงทำให้เธอต้องลำบากอธิบาย" ปลายนิ้วสีขาวไล้กลีบกุหลาบ ก่อนจะวกไปยังเส้นผมสีแดงเข้มแล้วนำมาจรดปลายจมูกเบาๆ




                   "ผมเข้าใจ"




                    "กุหลาบโตขึ้นมาก..ผมของเขาก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ" ไคลน์พึมพำคล้ายพูดกับตัวเองก่อนจะยิ้ม "นั่นเป็นเรื่องที่ดีนะ...เด็กน้อย"





                 "ผมโตแล้วนะครับ.." หลวงพ่อชาร์ลโคลงศีรษะ เอ่ยอธิบายอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าคนฟังนั้นยากจะเข้าใจ




                  "นั่นสินะ...." ไคลน์หันไปมองคนพูดก่อนจะยิ้ม "กี่ปีแล้ว...ตั้งแต่ฌองเป็นต้นมา..ห้าสิบ..หกสิบ รึเจ็ดสิบปี.."




                  "เจ็ดสิบครับ" หลวงพ่อชาร์ลเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองไปรอบๆโบสถ์ "นานจนผมคิดว่า..ควรหาเวลารับเลี้ยงเด็กอีกสักคนแล้ว"





                   "นานสินะ" แววตาของชายผู้เอ่ยคำนั้นแลดูเจ็บปวดเล็กน้อยยามก้มลงมองร่างในโลงหิน ฝ่ามือยกปลายนิ้วเรียวสีขาวจัดขึ้นมาจูบเบาๆก่อนที่น้ำเสียงแผ่วเบานั้นจะเอ่ยขึ้น "นานมากแล้วนะ...อาโลอิส"





                    "....." หลวงพ่อชาร์ลไม่พูดอะไรนอกจากหรุบตาลงแล้วเดินออกไปจากโบสถ์ เขาปิดงับบานประตูลงช้าๆ ขณะที่ก้าวเท้าออกไปดูแลพืชพรรณที่ตนปลูกไว้หน้าบ้าน ขณะที่สายลมพัดเข้ามาแรงอีกนิด ทำให้หน้ากระดาษบันทึกของหลวงพ่อฌอง..บาทหลวงคนก่อนที่ตนหยิบยืมมาอ่านปลิวไปตามสายลม





                   หยิบมันวางพร้อมกับนำหินไปทับขณะที่ใคร่ครวญถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเงียบๆ สิ่งที่ตนเองอ่านจากบันทึกของหลวงพ่อฌองดูคล้ายกับสิ่งที่ตนมองเห็นยามนี้ไม่น้อย ชายหนุ่มที่ไม่มีวันแก่ ร่างที่ไม่มีลมหายใจแต่ก็ไม่ย่อยสลาย กุหลาบที่เกาะโลงหินและเจริญเติบโตต่อไปไม่หยุด




                  ..ผ่านมาหลายสิบปี มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น





                   จากยามเล็กที่ตนถูกเรียกว่าเด็กน้อยกระทั่งเติบใหญ่ ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยนไป..





                 ประตูโบสถ์เปิดออกอีกครั้งก่อนที่ร่างของไคลน์จะเดินออกมา หลวงพ่อชาร์ลละจากงานในมือพลางเดินเข้าไปสมทบอีกฝ่าย ไม่นานร่างนั้นก็เอ่ยปากขอตัวออกไป บาทหลวงจึงเปิดประตูโบสถ์อีกครา ขณะที่กลิ่นหอมกุหลาบกำจายไปทั่ว





                ด้วยความสงสัยจึงเดินก้มลงไปมองเงียบๆ ปลายนิ้วแตะเข้าตรงกอกุหลาบก่อนจะชะโงกหน้าลงไปหา หลวงพ่อชาร์ลจ้องมองมันเงียบๆก่อนจะผละออกมาแล้วจุดเทียนในโบสถ์ให้สว่างไสวอีกครั้งแม้ในเวลากลางวัน





                 ขณะที่เบื้องหลัง เถากุหลาบขยับไหวช้าๆ สายลมแรงพัดโชยเข้ามาก่อนที่ดวงตาสีแดงประกายจะเปิดออกในที่สุด..





      +++++++++++++++





              สุสานที่ร้างไร้ผู้คนดูน่าหวาดกลัวแม้ในยามกลางวันที่ดวงอาทิตย์สาดแสง ขณะที่ร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ไร้ใบเงียบๆ ลำต้นซึ่งแห้งตายและกลายเป็นเพียงซากไม้ของมันชวนให้ระลึกถึงบางสิ่ง ดวงตาสีแดงประกายกระพริบมองขนาดของสุสานใหญ่ช้าๆ ก่อนจะเดินไปยังโดมขนาดใหญ่ตรงกลาง ที่ๆถูกเขียนไว้ว่าเป็นสุสานของคนๆหนึ่ง





                    มองป้ายสลักหลุมศพของชายซึ่งตนเคยรู้จักดีผู้หนึ่ง บุตรชายของมาร์ควิสแชร์ซองผู้เป็นเจ้าของสุสานและที่ดินผืนใหญ่ ป้ายบอกวันเวลารื้อและบ่งบอกว่าเจ้าของคือบริษัทอลังหาริมทรัพย์รายใหญ่ถูกแปะไว้ด้านหน้าสุสาน เวลาที่ผันผ่านทำให้โดยรอบไม่ใช่เนินทุ่งกว้างไร้ผู้คนอีกแล้ว  ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เช่นเดียวกับอีกฝั่งของโบสถ์ที่กลายเป็นที่อยู่ของคน แม้จะยังคงหนองน้ำใหญ่ไว้ก็ตาม





                   ความเปลี่ยนแปลงมากมายทำให้ดวงตาของผู้มองกระพริบช้าๆ ยกมือขึ้นมองราวกับจะยังไม่ชินกับสภาพร่างกายของตนเองมากนัก ขณะที่สายลมแรงพัดมาด้านหลังเสียจนเส้นผมสีแดงที่ยาวจรดปลายเท้าถูกลมตีเสียจนยุ่งเหยิง





                   "ระวังหน่อยสิ ข้าบอกว่าออกมาแล้วให้เรียกด้วย..เดี๋ยวจะหลง" เสียงทักทายเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับปลายนิ้วที่เอื้อมมือมารวบเส้นผมยาวไว้แล้วมัดรวบให้อย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว





                    "ขอโทษ" พึมพำรับเบาๆ มองร่างของคนที่ตนแสนคุ้นตายืนอยู่เคียงข้าง อาโลอิสสบตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววอุ่นหวาน ก่อนจะกลับไปมองยังสุสานขนาดใหญ่นั้นอีกครา




                     "...พรุ่งนี้มันจะถูกรื้อถอนแล้ว.."ไคลน์มองตามสายตานั้นและพอรู้ได้ "เสียดายหรือ..รึว่าไม่ชอบ"





                    "...ข้าเพียงแต่คิดอะไรบางอย่าง" พึมพำตอบเสียงแผ่วเบา ขณะที่หมุนตัวเดินลงจากเนินสูง





                    "ข้ารู้ได้รึเปล่า?" ไคลน์เอ่ยถาม ก้าวขาเดินไปข้างๆอย่างไม่เร่งร้อน





                     "ได้สิ" อมยิ้ม "เพียงแต่เจ้าบอกว่าอยากได้ยิน เพราะข้าคือสมบัติของเจ้า"





                     "อาโลอิส.."ผู้ฟังนิ่วหน้านิดๆแล้วเอื้อมมือไปบีบมือคนพูดเบาๆ "อย่าพูดแบบนั้นสิ...ข้าไม่ได้ต้องการแบบนั้นเสียหน่อย"





                       คนถูกบีบมือชะงักเล็กน้อย สบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแวววอนเว้า ความนัยน์จากดวงตาคู่นั้นทำให้คนมองอมยิ้มก่อนจะยอมถูกดึงไปอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่ายแต่โดยดีแล้วเอนกายพิงเงียบๆ





                     "ถ้าอย่างนั้น..."อาโลอิสนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยกลัวว่าตนเองจะพูดจาบาดหูอีกฝ่ายอีกก่อนจะยิ้ม "...ข้า..กลับมาเพราะเสียงของเจ้า"





                     "น่าฟังมาก" ไคลน์อมยิ้ม





                     "ข้ากลับมาเพราะอยากอยู่กับเจ้า"





                      "ไพเราะที่สุด"





                       "ข้ากลับมาเพราะ..." ผู้พูดนิ่งไปครู่หนึ่งขณะที่หน้าขึ้นสีจาง ดวงตามองปลายนิ้วของตนที่ถูกไคลน์จับไว้แล้วอมยิ้ม "...ข้ารักเจ้า"






                       ผู้ฟังชะงักไปครู่หนึ่งอย่างไม่เชื่อหู ก่อนที่จะยิ้มกว้าง





                       "ข้าก็เช่นกัน" ไคลน์ตอบรับมันอย่างยินดีก่อนจะจูบริมฝีปากบางเบาๆอย่างหยอกเย้า "..ในที่สุด ก็สามารถพูดคำนี้ได้จบเสียที"





                      ถ้อยคำนั้นทำให้คนฟังนิ่งไปก่อนจะหรุบตาลงช้าๆ ปลายนิ้วแตะท่อนแขนอีกฝ่ายเบาๆ





                      "ไปเสียนานเลย...ข้าขอโทษ"





                       "ไม่เป็นไร แค่เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว" ตอบรับ พร้อมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น "ถ้ารู้สึกผิด อย่าไปไหนโดยไม่มีข้าอีก สัญญาไหม"





                      "สัญญา" อาโลอิสยิ้มรับ ตอบออกไปอย่างจริงจังไม่น้อย





                     "แค่นั้นก็พอแล้ว" เอ่ยตอบรับ ดวงตามองหลุมศพเบื้องหน้าพลางคิดไปถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ผ่านมาและผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับฝันเพียงหนึ่งตื่น





                     หลังจากที่เจ้าจากไป ความทรมานนั้นนานนับชั่วกัปกัลป์






                     แต่เมื่อเจ้ากลับมานั้น ความสุขก็ราวกับเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่และพร้อมจะเลือนหายไปทุกครั้งที่เจ้าหนีหายไปจากสายตา





                    ไคลน์รู้ดีว่าตนเองกำลังออกอาการทั้งหึงหวงและห่วงเสียจนเกิดเหตุ เมื่อคนๆนี้หายไปไกลตาก็เป็นต้องตามหา เอามากอดไว้แน่นๆราวกับจะกระซิบบอกตัวเองให้หัวใจหยุดสั่นหวั่นไหว แค่คุยกับใครก็ต้องมองเขม่น หึงหวงทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเสียด้วยซ้ำ





                       ..เพราะ เมื่อได้เสียไป จึงรู้ว่าค่าของมันมากแค่ไหน





                        ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ตนต้องกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างอดไม่ได้ ระบายลมหายใจช้าๆ ด้วยความกังวลอันเจือจางที่ก่อขึ้นในหัวใจ




                      "คิดมากอยู่หรือ?" อาโลอิสเอ่ยถามเสียงเบา ปลายนิ้วเย็นแตะลงไปเบาๆบนท่อนแขนของอีกฝ่าย





                      "........." ไคลน์พยักหน้าเงียบๆ กังวล..เพราะพรุ่งนี้เป็นวันที่ตนและอาโลอิสต้องขึ้นไป "ข้างบน"อีกครา




                       ..เนื่องจากอาโลอิสนั้นกลับมาแล้ว






                       แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเป็นของเขาและกลับมาเพราะเขา แต่..ก็ไม่อาจเดาใจหรือขัดขวางสิ่งที่เหล่าผู้มีอำนาจจะตัดสินได้






                     "ไม่เป็นไร" เสียงกระซิบนั้นดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนที่ร่างของอาโลอิสจะหมุนตัวมาประจัญหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ ตาสบตา ท่ามกลางความเงียบของสุสาน และท่ามกลางหลุมศพของคนๆหนึ่งที่เคยเป็นอดีตของทั้งคู่ ในยามที่ปัจจุบันกำลังดำเนินอยู่ตอนนี้






                      ใบหน้าของคนที่ตนรักโน้มเข้ามาใกล้เสียจนมีเพียงลมหายใจคั่น หน้าผากมนจรดหน้าผากตนเบาๆแล้วบีบย้ำ ก่อนจะเอ่ยปากบอกเสียงเบา ทว่าหนักแน่น ตราตรึงยิ่งนัก





                    ...คำพูด ที่บ่งบอกว่าการรอคอยทั้งหลายสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ





                     "ไคลน์...ข้ากลับมาแล้ว"




                      ..กลับมา และพร้อมจะมีความสุขเสียที





                      ไคลน์ยิ้มรับ เอื้อมมือกอดร่างนั้นไว้ ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่ผอมขณะที่สูดเอากลิ่นกุหลาบกำจายเข้าสู่ร่างของตน กลิ่นที่บ่งบอกว่านี่คือความจริง บ่งบอกว่าภาพของร่างที่ลืมตาขึ้นและลุกออกมาจากโลงหินศิลาไม่ใช่เพียงแค่ความฝันอัน
เลื่อนลอยจากจิตสำนึกหรือเป็นเพียงปรารถนาลมๆแล้งๆท่ามกลางการสูญเสียและเจ็บช้ำอันยาวนาน




                     ในที่สุด..เทวดาของเขาที่หายไป ก็กลับมาได้เสียที..





+++++++++++++++++++++

END







จบเเล้วค่ะ  ดีใจที่อ่านกันจนจบค่าาาา  มันช่างปวดตับไต ทะลุม้ามได้ดีจริงๆ//น้ำตาอาบ//


สมดังหวังกันมั้ยคะทุกคนนนน   ต่อจากนี้จะอัพเดทเกี่ยวกับการทำหนังสือเเละตอนพิเศษในเรื่องค่ะ  ซึ่งเตรียมยาเเก้เลี่ยนลดความดัน เบาหวานกันไว้ได้เลย หึหึ


หนังสือสามารถสั่งจองได้อยู่นะคะ


ส่วนใครที่สงสยเรื่องราวต่อจากนี้ ติดตามได้ในหนังสือค่าาาาา ฮุฮุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2014 07:35:14 โดย Serin »

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย UP 5/08/2557
«ตอบ #115 เมื่อ05-08-2014 10:39:19 »

สนุกมากกกกกกกเขียนเก่งจัง

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย UP 5/08/2557
«ตอบ #116 เมื่อ05-08-2014 21:28:19 »

สนุกมากค่ะ  อ่านมาเรื่อยๆ   กำลัง คิดเลยว่า ถ้า จบเศร้า ชั้นจะทำยังไง

ไม่อยากอ่าน แบบเศร้าๆ นะ  แต่ก็เลิกอ่านไม่ได้ 

ขอบคุรที่แต่งนิยาย สนุกๆมาให้ อ่าน กันค่ะ

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย UP 5/08/2557
«ตอบ #117 เมื่อ06-08-2014 00:18:58 »

กรี๊ด......ทั้งเศร้า มาม่า แล้วซึ้งกินใจจริงๆเลยค่า.... :hao5: เป็นนิยายที่บริหารต่อมน้ำตาได้ดีจริงๆ เศร้าแต่ซึ้งและจบอย่างสวยงาม

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
*********เปิดจองนิยาย Lost Angel*********




มาแจ้งข่าวเปิดจองหนังสือค่าาาา

 

 

 

 

รอบนี้เปิดพิมพ์เอง ทำเองนะคะ จะมาเหนื่อยอีกรอบ ฮ่าา

 

 

(แต่ดีกว่ารอบที่แล้วแน่นอน ตอนนี้เราได้ทีมตรวจอักษรแล้ว กร้ากก)

 

 

 

 

++++

 

 

 

เปิดจองเรื่อง Lost Angel  (ชื่อไทยยังคิดไม่ออกเลยค่ะ /ผ่าง)

 

 

 

ราคาชุดละ 880 บาท (สองเล่มจบ)

 

 

เล่มละ 410 บาท ค่าส่ง 60 บาท แบบใส่กล่องลงทะเบียน

 

 

หนังสือหนาเล่มละ 350 หน้าโดยประมาณ

 

 

มีการ์ตูน 4 ช่องแถมในเล่ม + ตอนพิเศษ


มีทั้งหมด 5 ตอนในเล่มค่ะ อาจจะมีตอนที่ 6 เพิ่มเข้ามา




ตอนที่ 1-3 จะเป็นเรื่องของ อาโลอิสเเละไคลน์




ตอนที่ 4 เซดิสเเละคีเรส




ตอนที่ 5 เซธเเละ //เเอ่น เเอน เเอ๊น //เพรื่อ// ฟาราส ค่า

 

 

แถม ที่คั่นหนังสือ 2 อันทั้งชุดค่ะ

 

 

(ส่วนปกทำอยู่ค่ะ เเดี๋ยวเอาที่เสร็จสมูรณ์มาอวดอีกทีค่าา
 

     
โอนเงินได้ตั้งเเต่วันนี้   ถึง 1  กันยายน 2557 ค่ะ


เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับไฟล์งานเเละมีคนที่โอนเงินไม่ทันด้วยเลยขอขยายเวลาจอง ขออภภัยในความผิดพลาดด้วยค่ะ   

 

 กำหนดส่งหนังสือเดี่ยวจะเเจ้งอีกทีนะคะ คาดว่าจะได้ประมาณเดือนกันยายนปลายๆเดือนค่า

 

 



 

 

 

 

 

รายละเอียดการจอง

 

 

โอนเงินมาได้ที่

 

 

ธนาคารไทยพานิชย์

 

 

ชื่อบัญชี นางสาวนงลักษณ์ จันทร์เงิน

 

 

เลขที่บัญชี  173-244-4827 สาขาเดอะมอลล์ 3 รามคำแหง

 

 

จากนั้นก็แจ้งโอนเงินมาได้ที่ SerinNovel เเอท gmail.com

 

 

หรือหากมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามอะไร สอบถามมาได้ที่หน้าเพจ

 

 หรือส่งเมล์มาถามได้ที่เมล์เดียวกันนี้เลยค่า

 

 

ปล. ...ใครถามหาคุณอา คิวต่อไปจากคนนี้(ถ้างบพอ)รออยู่ค่ะ555

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2014 20:41:35 โดย Serin »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
ขอบคุณค่ะคนแต่ง แต่งได้สนุกมาก ถึงแถวๆตอนจบจะเศร้า แต่ตอนจบก็แฮปปี้
อยากให้เอาตอนพิเศษของคู่อาโลลิสมาลงหน่อยค่ะ อยากอ่าน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด