พิมพ์หน้านี้ - LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Serin ที่ 26-05-2014 18:53:37

หัวข้อ: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 26-05-2014 18:53:37
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

หัวข้อ: LOST ANGEL บทนำ ในห้วงฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 26-05-2014 19:01:06
LosT Angle


บทนำ  ในห้วงฝัน

   
              สีแดง...สีของเลือด สีของผลองุ่นที่นำมาหมักเป็นไวน์ชั้นเลิศ สีสันของหยาดโลหิตที่สาดกระเซ็นผิวหน้า..ตัดกับสีขาว...สีของผิวเนื้ออันอ่อนละมุนงดงาม สีของปีกขนนกอันชดช้อย อ่อนละเอียดนุ่มราวกับผืนไหม..

         ข้ามองดูสีฟ้าของนัยน์ตาที่วาววับราวกับลูกปัดสีสวย  สีฟ้าอันงดงาม ความงามของเทพบุตรแห่งสวรรค์ผู้ลือชื่อ.. มันงดงามนักนัยน์ตานี้มิใช่หรือที่คนผู้นั้นทอดมองราวกับเพ้อคลั่ง แววตาคู่นี้มิใช่หรือ ที่ได้แลสบความรักอันเปี่ยมล้นจากนัยน์ตาที่ข้าแสนรักคู่นั้น

      ดวงตาคู่นี้มิใช่หรือ ที่ถูกยกย่องว่างามนักหนา ดวงเนตรอันงดงามนี้หรือมิใช่ ดวงตาที่เหล่าเทพบุตรเทพธิดาใหญ่น้อย
ต่างสรรเสริญเยินยอ...

งามนัก...งามเหลือ เกิน ท่านเทพบุตรผู้งดงามแห่งสรวงสวรรค์...

งามนัก ผิดกับดวงตาอันมืดมิดราวกับความมืดของรัตติกาล...ดวงตาอันแห้งผากและไร้ชีวิต..

       นัยน์ตาคู่นี้ยังงามงด แม้จะถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงสดเปรอะเปื้อน ดวงตาคู่นี้มันกลมใหญ่และมีเส้นสีแดงของเลือดอยู่โดยรอบ อา...ข้าจ้องมองมันอย่างหลงใหล จ้องมองมันด้วยความเพ้อคลั่ง มิไยดีเสียงกรีดร้องร่ำไห้อันน่ารำคาญหูใต้ร่าง...
เสียง...ไม่สิ เสียงนี้ เสียงนี้ก็ยิ่งมีคนรักไคร่นัก...

       ข้าทอดมองดวงตากลมใหญ่บนฝ่ามือ ก่อนจะออกแรงบีบมันแน่น ก่อนจะอ้าปากกลืนกินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว พลันร่างกายนี้รู้สึกราวกับพลังล้นปรี่  ราวกับว่าดวงตาที่กลืนกินลงไปทำให้ดวงตาของข้านั้นงามนัก...

       อา...ข้าทอดมองกองเลือดตรงหน้า เอื้อมมือไปยังลำคอที่ส่งเสียงครางผะแผ่ว ข้าเอื้อมมือไปหาปลายเล็บที่มีสีซีดดำพลันยาวขึ้น มันแทงเข้าไปในลำคอที่ขาวเพรียวงามระหง ข้าออกแรงสะบัด ดึงเอาสายเอ็นที่ให้ส่งเสียงออกมา เลือดสีสดไหลพุ่งออกมาจากลำคอของร่างตรงหน้าราวกับหิมะ หากข้าไม่สนใจ ข้ากลืนเส้นสีขาวนั้นลงไปในลำคอ พลันเปล่งเสียงหัวเราะออกมา รู้สึกราวกับว่าเสียงอันแหบห้าวไร้สเน่ห์ของข้า กลับกังวานใสราวกับระฆังทอง ดังเช่นคนที่เจ้าผู้นั้นหลงใหล..

        ปีกสีขาวนี้แสนนุ่มละมุนนัก สีขาวบริสุทธิ์มิมีแปดเปิ้อน ผิดแผกกลับปีกสีดำสนิทราวกับขนกาของข้ามากนัก สวรรค์เอ๋ย เหตุใดจึงไม่เป็นธรรมเหตุใดจึงเอนเอียงรักผู้หนึ่ง ให้คนผู้นั้นได้รับความรักมากมายเสียจนล้นปรี่ หากอีกผู้หนึ่งกลับไร้ผู้แยแสยินดี ทั้งที่กำเนิดเกิดมาจากสิ่งเดียวกัน

        "..อาโลอิส...อาโลอิส...." ข้าได้ยินเสียงเรียกพร่ำจากที่ไหนสักแห่ง หากตัวข้าไม่สนใจจะฟังมัน ข้ามองเห็นปีกคู่นี้โดดเด่นอยู่กลางแผ่นหลังงาม ข้าจึงเอื้อมมือไปหาแผ่นหลังนั้น เอื้อมไปฉีกกระชาก ออกแรงฉุดรั้งมันเพื่อมาเป็นของตน ด้วยแรงจากมือที่มีปลายปลายเล็บสีดำอันน่ารังเกียจ

     เสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ค่อยแผ่วหาย ด้วยลำคอนั้นมีเลือดไหลปานน้ำพุ หากข้าหัวเราะเเผ่วเบา กังวานไปทั่ว

     เส้นผมสีทองเงางามทิ้งตัวอยู่บนตักของข้า ข้าก้มมองมันด้วยสายตาหลงใหล สีทองประกายของเส้นผมนี้ช่างงามนัก ผิดแผกกับเส้นผมสีแดงแห้งผากและเเข็งกระด้างของข้าเสียเหลือเกิน

      ข้ากระชากเส้นผมนั้นออกมาด้วยแรงของตน มันหลุดร่วงอยู่ในมือข้าเป็นกำใหญ่ ข้าเอื้อมมือหยิบมันมาลูบไล้
ข้าก้มมองร่างที่อยู่บนตักตน มันมีสภาพราวกับมิใช่เทพผู้งดงามคนนั้น เลือดสีเข้มไหลอาบทั่วผิวกายสีขาว ดวงตาสองข้างต่างกลวงโบ๋มีเพียงเลือดสีเข้มไหลเอ่อนอง ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยรอยกรีดจนจำสภาพไม่ได้ เส้นผมสีทองหลุดแหว่งออกมาจากศีรษะดูน่าสมเพชนัก ลำคอของมันเอียงกระเท่ ด้วยมีเลือดสีเข้มไหลนองออกมาไม่ขาดสาย แล้วที่หลังของมันเล่า หลังของมันถูกกระชากปีกสีขาวออกมาจนไม่เหลือซาก มีเพียงร่างกายนอนทรมานบิดเบี้ยวราวกับมิใช่ร่างของเทพผู้งดงาม ทุกสิ่งเป็นของข้า ทั้งใบหน้า ดวงตา เส้นผม หรือแม้กระทั่งปีกสีขาว

        ได้มาแล้ว ข้าได้มาตามต้องการ ทั้งดวงตาสีฟ้าที่ท่านรัก ทั้งปีกสีขาวที่ท่านหลงใหล เส้นผมอันงดงามที่ท่านเคลียคลอและเสียงกังวานใสที่ท่านรักนักหนา

เพียงแย่งชิงมา ทุกสิ่งก็เป็นของข้า

....ข้าจะได้มัน ตามที่เจ้านายของข้าเอ่ย จะได้ความรัก เช่นที่เทพผู้เป็นเจ้านายขับขาน

เพียงแค่แย่งชิงมา ช่างงายดายเสียนี่กระไร ...

...เพียงเท่านี้ท่านก็จะรักข้า เพียงเท่านี้ท่านก็จะหลงใหลข้า จะมองข้าเพียงผู้เดียว เช่นที่ท่านมองมันผู้นี้...

 ...นี่จะเป็นข้า หาใช่ของเทวทูตตนนี้อีกต่อไป..














หัวข้อ: LOST ANGEL Lost 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 26-05-2014 19:09:14
Lost 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก



             เฮือก !!!
         
            แสงไฟสาดส่องเข้ามาในห้อง ผ่านม่านสีครีมที่พลิ้วไหว ทำให้ห้องที่เคยตกอยู่ในเงามืดสลัวสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ร่างเพรียวนั่งหอบหายใจแรงบนเตียง หลังจากผุดลุกขึ้นจากหมอน โดยมีเหงื่อท่วมกาย...

       ฝ่ามือขาวซีดลูบใบหน้าตนเองอย่างหวาดหวั่น ชายหนุ่มเพ่งมองฝ่ามือที่สั่นไหวของตนเองด้วยดวงตาที่พร่ามัวด้วยหยดน้ำตา  ขณะที่เสียงอื้ออึงดังขึ้นเบื้องนอก ทำให้เขาต้องลุกขึ้นจากเตียงด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง นัยน์ตาสีฟ้าเพ่งมองไปด้านนอกอย่างงวยงง เขามองเห็นภาพของกองไฟที่คุระอุอยู่ไม่ไกล แสงสว่างนั้นจัดจ้าเสียจนสามารถเห็นมันได้ชัด...ภาพบ้านเรือนอยู่ในกองไฟ ถูกเผาห่างออกไปจากที่พักของตนห่างเพียงเส้นถนนคั่น..


           ก๊อกๆ   

   เสียงเคาะประตูห้องทำให้ร่างสะดุ้งไหว แววตาสงสัยวาบผ่านดวงตาก่อนจะค่อยจางหาย ชายหนุ่มเดินผ่านเตียงและโต๊ะหนังสือของตนไปยังประตูห้อง จ้องมองรูเล็กๆที่ประตูและเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาจึงค่อยเปิดประตูออก

         " ครับ ? "  ใบหน้างดงามโผล่ออกมาจากบานประตู กระทบเข้ากับแสงไฟในตะเกียงโบราณซึ่งอยู่ในมือของชายชราตรงหน้า

         " ตอนนี้มีไฟไหม้อาคารเก็บพัสดุของรัฐที่ถนน เกรยมองต์ ...ผมเกรงว่าคุณชายจะตกใจ เลยมาตรวจสอบดูครับ " สีหน้าและแววตาแสนห่วงใยของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้คนฟังพยักหน้ารับด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้น

             “ ไม่มีอะไรหรอกลุงฟาเอล..ผมสบายดี.." เขาพยักหน้ารับคำเบาๆ ทำให้ชายชราค่อยวางใจ ฝ่ามือนั้นจึงปิดประตูห้องให้อย่างแผ่วเบา

             เสียงคำรามของเครื่องบินรบบินผ่านอาคารชวนให้คนฟังนึกหวาดหวั่น ร่างเพรียวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้าวไปปิดบานหน้าต่างที่เปิดอ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ ชายหนุ่มสบถเบาๆในลำคอ ด้วยความแปลกใจ ทั้งที่แน่ใจว่าตอนนอนเขาปิดมันแน่นหนาดีแล้วเชียว

             ถึงจะพักอยู่บนชั้นสี่ของอพาร์ตเมนต์ ทว่าหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ก็เป็นเหยื่อล่อขโมยชั้นดี ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจเริ่มฝืดเคืองเพราะไฟสงคราม โจรผู้ร้ายก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

             อีกทั้งด้วยฐานะของตน การถูกลอบจับเป็นตัวประกันหรือลอบสังหารจากคู่แข่งของบิดาก็มีโอกาสไม่น้อย นี่ถ้าผู้เป็นพ่อบ้านรู้ เขาคงมิวายโดนบ่นเป็นแน่

             งึมงำกับตัวเองพลางถอนหายใจ ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตการเหตุการณ์เบื้องนอก เอนีลกวาดนัยน์ตาสีฟ้าสดของตนไปยังเบื้องล่าง มองเห็นโคมไฟสีนวลส่องสว่างอยู่ด้านล่างของอพาร์ตเมนต์ที่ตนพักอาศัย และเงาร่างของความโกลาหลจากอุบัติเหตุในถนนเส้นถัดไปอยู่รางๆ..

          " เอ๊ะ....? " ครางในลำคอเบาๆเมื่อพบเงาร่างสีดำน่าสงสัยยังตรอกเล็กๆเบื้องล่าง ชายหนุ่มเบิกตาเขม้นจ้องหากราวกับคนผู้นั้นจะรู้...นัยน์ตาสีดำสนิทที่วาววับท่ามกลางแสงไฟสีนวลจึงหันมาจ้องทันควัน..

           ดวงตา...สีดำ...?     

   จู่ๆเศษฝุ่นผงและสายลมหนาวยะเยือกก็พัดโชยมาปะทะร่างอย่างรุนแรงจนต้องยกมือขึ้นกั้นอย่างลืมตัว ลมหนาวท่ามกลางค่ำคืนที่ร้อนอ้าวทำให้ความรู้สึกแปลกๆแล่นวาบ..หนาวสันหลังวูบและขนลุกทั่วกาย  แพทย์หนุ่มละมือลงจากใบหน้า จ้องมองตรอกนั้นอีกคราก็ไม่เห็นอะไร ความหวาดหวั่นลึกๆและลางสังหรณ์ประหลาดที่แล่นเข้ามาทำให้เขายกมือลูบแขนตนเองช้าๆ ก่อนจะรีบล็อกบานประตูอย่างแน่นหนาด้วยสีหน้าหวั่นระแวง

             ปลายเท้าที่จะก้าวเข้าไปบนเตียงสะดุดลงเมื่อเหลือบแลเห็นเงาของตนในกระจกบานใหญ่ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกระตุกโคมไฟบริเวณโต๊ะขนาดเล็กข้างเตียง ทำให้แสงสีนวลสาดผ่านทั่วห้อง

             ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองภาพของตนผ่านกระจกบานยาวด้วยสีหน้าครุ่นคิด มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าหวาดหวั่นไม่หาย...ประหวัดคิดไปถึงบางสิ่งที่ทำให้เขาจ้องตื่นขึ้นมากลางดึก...ทุกคืน...ทุกครา....
   
         ....กับความฝัน...ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนตัวเอง....   

           ความฝันที่ถูกชายคนหนึ่งทำร้ายเสียจนทรมานแทบสิ้นชีวิต ความเจ็บปวดนั้นหลอกหลอนมาแม้กระทั่งเขายังตื่นอยู่ จำได้ดีถึงวินาทีที่ปลายเล็บคมนั้นจิกเข้าไปที่ดวงตาแล้วกระชากมันออก จำได้ชัดถึงความเจ็บปวดยามปลายเล็บสีดำฉีกกระชากเส้นเลือดและกล่องเสียงที่ลำคอ...และรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะสิ้นใจ ในยามที่ปีกสีขาวบนหลังถูกกระชาก อีกทั้งปลายเล็บนั้นยังกรีดลึกเข้าที่ใบหน้าและร่างกายจนมันชุ่มโชกไปด้วยเลือด...

             ในจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว หวาดระแวง และความสงสัย......เจ็บ..เจ็บเหลือเกิน เหตุใดจึงทำร้าย เหตุใดจึงชิงชังและทรมานเขา...

         ตึก !!           

           ร่างทั้งร่างถึงกับผงะ เซไปชนเข้ากับข้างเตียงเมื่อภาพของตนที่ยืนนิ่งมองกระจกกลายเป็นภาพของร่างโชกเลือดนัยน์ตากลวงโบ๋และลำคอนองไปด้วยเลือด ชายหนุ่มใช้กำปั้นอุดริมฝีปากปิดเสียงกรีดร้องของตนไว้แน่นด้วยสีหน้าซีดขาวตกตะลึงแทบสิ้นสติ  หากเพียงกระพริบตา ภาพนั้นกลับเลือนหาย กลายเป็นร่างของตนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีทุกประการนั่งผงะผึงอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเผือดหวาดหวั่น...
         
   เอื้อมมือไปกุมหัวใจตนไว้ ฟังเสียงมันกำลังเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งด้วยความหวาดกลัว  จ้องมองภาพของตนเองในกระจกอีกครั้งด้วยสีหน้าเคลือบแคลง หากทว่า แสงไฟสีนวลที่สาดส่องมาให้มองเห็น ก็ยังเป็นภาพของตน ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีทองระไหล่ ดวงตาสีฟ้าสวยและใบหน้างดงามผู้เดิม...ชายคนเดียว กับบุรุษในความฝัน ที่ถูกปีศาจร้ายตนหนึ่งทรมานเสียจนสิ้นชีพ...

           ฝ่ามือที่สั่นระริกเอื้อมมือลูบใบหน้าและลำคอตนด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟและทอดกายลงนอนบนเตียงอีกครั้ง

         นัยน์ตาของเขาจ้องมองเพดานของเตียงสี่เสาบนศีรษะ ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและสายตาครุ่นคิด..พยายามบอกให้หัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งนี้สงบลงอย่างยากเย็น...เฝ้าบอกตัวเองว่าเขาคือ เอนีล ชาส์เดอร์ตง เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นคนธรรมดา หาใช่เทพบุตรหรือซาตานตนใดในฝันนั่น แม้รูปลักษณะจะคล้าย แต่นี่มันเป็นเพียงความฝัน...ฝันอันเหลวไหลไม่มีจริงเท่านั้น...

       ขมวดคิ้วแน่น พยายามคิดหาสาเหตุและที่มาของความฝันอันน่าสยดสยองของตนเองอย่างสับสน...ความฝัน....ฝันนี้ที่คอยหลอกหลอนเขามาเนิ่นนานนับแต่รู้ความ ฝันว่าตัวเองถูกทำร้าย ฝันว่าเขาถูกปีศาจผู้น่ากลัวฉีกกระชากปีก ดวงตาและทุกสิ่งของตนไป ฝันที่เริ่มสมจริงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความเจ็บปวดและเสียงหัวเราะเยาะหยันที่ก้องอยู่ในหู..

        ....เอนีลไม่เคยทราบว่าสาเหตุใดเป็นที่มาของความฝันนี้ เขาเป็นนายแพทย์ และช่วงเวลาที่เรียนอยู่เขาก็ได้ปรึกษากับอาจารย์ผู้สอน หรือกระทั่งพยายามวิเคราะห์อาการของตัวเองว่ามันเป็นเพราะเหตุใดด้วยต้องการให้ฝันร้ายนี้จางหาย แต่ก็ไม่เคยได้ผล คำอธิบายถึงสาเหตุของความฝันร้ายและวิธีที่จะทำให้มันหายไปจากปากผู้คนมากมายที่ส่งผ่านมาให้ ไม่เคยจะทำให้ความฝันนี้จางหายไปสักครา ไม่เคยเลยที่จะเป็นผล และยิ่งนานวันขึ้นมาก็ยิ่งสมจริงขึ้นทุกที ราวกับยิ่งพยายามวิ่งหนี มันกลับเกาะติด คอยหลอกหลอนอยู่ไม่ห่าง...

         ...เพราะอะไร.... ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น...ริมฝีปากขบเข้าหากันอย่างเป็นกังวล..

         ...ทำไม? ในฝันนั้นมันคืออะไร มันต้องการบอกอะไรเขา คนๆนั้นเป็นใคร ชายที่ฆ่าเขาด้วยมือเป็นใคร...
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา...


       ชายหนุ่มฝ้าครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล จนกระทั่งเผลอหลับไปตอนใกล้รุ่งสาง ท่ามกลางเสียงของฝูงบินรบที่บินผ่านน่านฟ้า และสีแดงของกองเพลิงที่ลุกโชน...

             หน้าต่างที่เคยปิดแน่นเปิดออกอย่างง่ายดาย พร้อมกับสายลมหนาวที่พัดเข้ามาภายในห้อง ทำให้ม่านสีครีมปลิวสะบัดไหว เผยให้เห็นร่างในชุดสีดำของบุรุษผู้หนึ่ง ที่ประดับรอยยิ้มไว้บนริมฝีปากในมือของเขามีอีกาสีดำเกาะอยู่เจ้านกสีดำตัวนั้นส่งเสียงร้องเบาๆ ก่อนทั้งคู่จะจางหายไปราวกับธาตุอากาศ เหลือเพียงขนนกสีดำสนิทที่ปลิวเข้าไปในห้องตามแรงลม........

......................


 ปารีส , ฝรั่งเศส ปี 1939           

   ท้องฟ้าสีครึ้มหม่นและเมฆหมอกที่ลอยต่ำในต้นเดือนพฤษภาคมทั้งที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ ทำให้สภาพอากาศทั่วกรุงปารีสขมุกขมัวยิ่งนัก ผู้คนในชุดโค้ดสีเข้มเดินจูงสุนัขตัวโปรดบ่ายหน้าไปยังสวนสาธารณะ ขณะเครื่องบินรบสีเหล็กทึมที่บินผ่านน่านฟ้า ทำให้หลายคนเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

    ตึกอาคารทรงสี่เหลี่ยมทาด้วยสีน้ำตาลอิฐ มีป้ายชื่อเขียนไว้อย่างเรียบง่ายบอกว่าที่นี่คือ "คลินิกโรคผู้ป่วยทั่วไป โดย นายแพทย์ ชาส์เดอตง "  ร่างของแพทย์ผู้เป็นเจ้าของคลินิกกำลังง่วนอยู่กับการตรวจอาการคนป่วย เอนีล ชาส์เดอตงในชุดกาวน์สีขาว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครึ้ม ผ่านกระจกใสภายในคลินิกของตน เขาหยิบชาร์ตจดบันทึกอาการของคนไข้ขึ้นมาเขียนอีกครั้ง

       เสียงของคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงบ่นขึ้นมาลอยๆ

               "...ช่วงนี้มีแต่ข่าวไม่สู้ดี...... " น้ำเสียงที่แผ่วเบาของผู้พูดบวกกับสีหน้ากังวลทำให้คนฟังพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

               "  เรื่องสงคราม...หมอไม่ถูกเรียกไปรบเหรอครับ ? "

    " ไม่ครับ....แต่ถ้าสงครามมาถึงฝรั่งเศสเมื่อไหร่ก็ไม่แน่ ผมอาจจะถูกเรียกไปเป็นแพทย์สนาม...ไม่สิครับ...ผมอาจจะสมัครไปเป็นแพทย์สนามเพราะในสมรภูมิ...กองกำลังผู้ช่วยเหลือ หาได้ยากกว่าพลรบ.."คำตอบนั้นทำให้ผู้ฟังพยักหน้ารับก่อนเจ้าตัวจะเริ่มบ่นขึ้นมาเบาๆ

           " แต่กับลูกชายผมนี่สิ...มีแววว่าจะถูกเรียกไปแน่ๆ...ถ้าเยอรมันบุกโปแลนด์เมื่อไหร่..."

              "...ผมว่าสงครามไม่ได้อยู่ไกลเราแล้วนะ ...พวกนาซีนั่นฉีกสัญญาจะไม่รุกรานดินแดนในยุโรปแน่ๆ..." เสียงของคนไข้อีกรายที่อยู่บนเตียงข้างๆซึ่งมีผ้าม่านสีขาวปิดไว้ เอ่ยออกมาบ้าง

              "...ฝรั่งเศสมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องรบ เพราะเราไปประกันเอกราชให้โปแลนด์แล้ว.... แบบนี้ฮิตเลอร์ต้องหาทางบุกมาโจมตีแน่เชียว.." คนไข้รายที่แพทย์หนุ่มกำลังดูอาการรับคำ

              " ผมว่าเรื่องแบบนี้ต้องพึ่งตัวเอง... " เสียงวิเคราะห์เรื่องการเมืองของสองคนไข้วัยชรา ทำให้หมอหนุ่มอมยิ้ม เขาพยักหน้าเรียกผู้ช่วยที่เดินตัวปลิวเข้ามาให้ไปจัดการคนไข้อีกรายที่นอนนิ่งอยู่

              " ....แต่เราไปรับประกันอิสรภาพให้พวกเขานะคุณ เรื่องนี้น่ะมันเป็นพันธะของคนผิวขาว ไปช่วยเหลือเขาแล้ว.... "

              "  แต่ตอนนี้เรายังเอาตัวแทบไม่รอดเลยนา ดูรัฐบาลเราสิ...ยังมีปัญหากันอยู่เลย  "

            น้ำเสียงทุ่มเถียงจริงจังของสองคนไข้ทำให้ผู้ช่วยของเขาหัวเราะเบาๆในลำคอ นายแพทย์ เอนีล ชาส์เดอตง แอบถลึงตาใส่ผู้ช่วยของตนเสียงทีหนึ่งโทษฐานที่ฝ่ายนั้นแอบขำจนเสียมารยาท หากแต่นิโกลัส ผู้ช่วยก็ทำเพียงโคลงศีรษะ ยิ้มขบขัน...

          " ครับๆ....มาเริ่มการรักษากันได้แล้วครับท่านผู้มีเกียรติ....เมอซิเยอร์ปิแอร์โร่...รบกวนหันหน้ามาทางผมหน่อยนะครับ เราจะได้ตรวจสุขภาพคอของคุณ.." น้ำเสียงทุ่มเถียงที่เริ่มโขมงโฉงเฉงของสองคนไข้ ทำให้นิโคลัสต้องเดินไปเริ่มงานเพื่อเป็นการห้ามทัพ ฝ่ายผู้ช่วยเดินไปตรวจคนไข้รายที่รออยุ่ คุณหมอเจ้าของคลินิกเดินไปทางเตียงผู้ป่วยของตน ชายหนุ่มยื่นท่อนแขนของตนให้คนไข้วัยใกล้ฝั่งเอื้อมมือเกาะพยุงกายด้วยรอยยิ้ม

                "..นี่ยาทานนะครับ เมอซิเยอร์....ผมเขียนรายละเอียดไว้แล้ว รบกวนเอากระดาษนี่ให้ลุกสาวของคุณที่รออยู่ด้านหน้าด้วยนนะครับ..." ปลายนิ้วสีขาวจัดยื่นยาในถุงให้กับผู้ป่วยด้วยรอยยิ้มบาง เอนีลอมยิ้มขบขันเมื่อแว่วเสียงโอดโอยดังมาจากห้องตรวจ ซึ่งคงไม่พ้นเป็นผู้ช่วยของเขากับคนไข้เมื่อครู่...

                ร่างของนายแพทย์หนุ่มเดินส่งคนไข้ออกมายังเคาน์เตอร์ด้านหน้าคลินิก เขายื่นใบเสร็จให้กับเลขาสาวผู้มีหน้าที่รับชำระเงิน นัยน์ตาสีฟ้าสดจ้องมองนาฬิกาลูกตุ้มตั้งพื้น ที่บอกเวลาเที่ยงสิบห้าด้วยสีหน้างวยงงเล็กๆ...

               " นี่เที่ยงแล้วหรือ? เเปลกนะ เมื่อกี้ผมไม่ได้ยินเสียงเลย " เอ่ยถึงเวลาเที่ยงที่นาฬิกามักจะส่งเสียงหง่างเหง่งดังก้อง เลขาของเขาหัวเราะเบาๆ จ้องมองแพทย์หนุ่มด้วยแววตาพราวหวาน

                "คุณหมอก็คงมัวแต่สนใจคนไข้อยู่ล่ะมั้งค่ะ ...ออกมาให้ฉันมองตาก็ตอนนี้นี่เอง" น้ำเสียงทอดสนิทคุ้นหู ที่ได้ยินมาไม่เว้นวันทำให้นายแพทย์หนุ่มเพียงแต่ยิ้มบางๆไม่ให้เธอเสียงหน้า เอนีลปลดสเต็ทโทสโคปที่สวมอยู่ออกจากลำคอ ..หยิบเสื้อกาวน์สีขาวที่ตัวเขาถอดออกเมื่อครู่มาพาดไว้บนท่อนแขน

                " งั้นผมจะออกไปทานอาหารก่อนนะ....ถ้ามีคนไข้....."


              กริ๊งง...

         เสียงกริ่งประตูดังขึ้นเบาๆ ทำให้แพทย์หนุ่มหันขวับไปมอง เขามองเห็นร่างสูงของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในคลินิก ชายหนุ่มสวมชุดโค้ทสีดำ หมวดทรงกลมถูกถอดออกและหนีบไว้ตรงข้อศอก  เขาแขวนเสื้อคลุมลงบนที่แขวน พร้อมกับวางกระเป๋าเดินทางที่ติดตัวมาวางไว้ข้างๆกัน และมีกระเป๋าเอกสารสีทึบขนาดกลางวางอยู่ข้างกาย นายแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย จับจ้องชายหนุ่มที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีสงสัย

         พลันใบหน้านั้นก็หันมาสบตา...เอนีลชะงัก..นัยน์ตาสีฟ้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองตรงมา ใบหน้าหล่อเหลาสมชายนั้นแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ปลายนิ้วเรียวค่อยยกขึ้นเสยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงให้เข้าทรง นายแพทย์หนุ่มสบมองรอยยิ้มอ่อนที่ติดตรึงตรงมุมปากของชายผู้นั้น....ชั่วขณะหนึ่งหัวใจวาบลึก...ราวกับจะหยุดเต้น..

      ฝ่ามือสั่นระริกไหว สัญชาตญาณบางอย่างที่ฝังลึกในวิญญาณร่ำร้องบอกว่าเขากำลังพบเจอกับบางสิ่งบางอย่าง...สิ่งที่ตัวเขาควรจะหนี หากแต่ก็ไม่ควรผละห่าง ทั้งน่าหวาดหวั่น แต่ทว่าก็น่าหลงใหล รักใคร่ยิ่งนัก...
ริมฝีปากสีจางเม้มเข้าหากัน อย่างเผลอไผล นัยน์ตาหรี่ลงช้าๆด้วยความระแวดระวังและ...ด้วยความสนใจใคร่รู้


             หง่างงงงงง     หง่างงงงง

            นาฬิกาตั้งพื้นส่งเสียงร้องลั่น ทั้งที่เลยเวลาเที่ยงมาแล้วทำให้นายแพทย์หนุ่มถึงแก่สะดุ้ง เอนีล ชาส์เดอตงหันขวับไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่นั้นอย่างงวยงงไม่น้อย ใบหน้าขาวนั้นซีดเผือดไม่รู้ว่าด้วยความตกใจหรืออะไรกันแน่จ้องมองลูกตุ้มนาฬิกาที่เเกว่งไกวขณะส่งเสียงร้องลั่นห้องรับรองผู้ป่วยและญาติ..ทั้งยังนานและเสียงดังผิดปกติจนเขาหน้าเสีย

           " ตายจริง...แบบนี้นาฬิกาคงเสียแล้วละค่ะคุณหมอ " เเว่วเสียงเลขาสาวบ่นออกมาดังๆ เอนีลพยักหน้ารับคำเธออย่างเลือนลาง นัยน์ตาสีฟ้าสดเบือนกลับมาสบนัยน์ตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มเบื้องหน้าอีกครั้ง  เขานิ่งงันจ้องมองร่างร่างของชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของชายปริศนายังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้ม..

           " คุณหมอ ชาส์เดอตงส์ใช่ไหมครับ...ผมมีข่าวมาจากพ่อและพี่ชายคุณ รบกวนเวลาสักครู่ได้ไหม ? " น้ำเสียงนุ่มทุ้มสำเนียงรื่นหูดังขึ้นเพียงแผ่วเบา พร้อมกับปลายนิ้วที่ยื่นมาแตะสัมผัสกันตามธรรมเนียมปฏิบัติ เอนีลยื่นมือทายทักหากเพียงปลายนิ้วสัมผัส กลับยังผลให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งวาบ แพทย์หนุ่มเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สบมองแววตาจืดเจื่อนของชายที่เขาชักมือกลับ..

            " อ่า...ขอโทษครับ...พอดีผม..เอ่อ.....เหนื่อยไปหน่อย คุณ....." ลำคอของเขาแห้งผาก น้ำเสียงตะกุกตะกัก...และ...หัวใจสั่นไหว..เต้นรัว...

             " สไตรเซอร์ครับ.. ไคลน์  สไตรเซอร์...ยินดีที่รู้จัก..."...ดวงตาทอดยิ้มของชายหนุ่มเบื้องหน้าช่างแสนติดตรึงตรา...เอนีลยิ้มออกมาอย่างเผลอไผล เขาเอื้อมมือแตะเข้ากับชายตรงหน้าอีกครั้ง...คราวนี้มันอุ่นวาบ...อุ่นไปถึงหัวใจ..

             " ครับ..ผม เอนีล ชาส์เดอตง ยินดีที่ได้รู้จัก " ปลายนิ้วที่แตะกันผละออกห่างเชื่องช้าราวกับไม่อยากให้เวลาผ่านผัน..และรอยยิ้ม...ที่พาดผ่านบนใบหน้าหล่อเหลานั่นยังคงทอดมองมาที่ตนไม่ละวาง.

             " เราไปหาที่คุยกันดีไหมครับ ...ส่วนสัมภาระ ฝากไว้ที่นี่ก็ได้ ผมกำลังจะไปทานข้าวพอดี " นายแพทย์หนุ่มเอ่ยชักชวน หลังจากยืนนิ่งตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในคลินิกมาครู่ใหญ่ ชายหนุ่มเบื้องหน้าพยักหน้ารับ เขาเอ่ยปากขอใช้ห้องแต่งตัวและออกมาในสภาพเสื้อสูทพาดลงบนท่อนแขน ก่อนจะเดินตามหลังนายแพทย์หนุ่มไปอย่างว่าง่าย...ด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าและดวงตาที่วาววับถูกใจ..

................................
หัวข้อ: LOST ANGEL Lost 2 : ไคลน์ สไตรค์เซอร์
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 26-05-2014 19:18:39
Lost 2 : ไคลน์ สไตรค์เซอร์



          ร้านอาหารแบบBrasserie เปิดขายทั้งวันไม่มีพัก ทำเลตั้งอยู่ใกล้ๆคลินิกเป็นที่ชื่นชอบของแพทย์หนุ่มพอสมควร เขาเดินนำแขกไม่ได้รับเชิญมาถึงอย่างรวดเร็ว ตัวร้านที่ตกแต่งย้อนยุคมีข้าวของโบราณจากหลายแห่งทั่วโลกประดับโดยรอบนั้นถูกรสนิยมคนฝรั่งเศสนัก เพราะมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาดสาย

        เอนีลเดินนำชายแปลกหน้าเข้ามาภายในร้านอย่างเคยคุ้น เขาโบกมือทักเจ้าของร้านและยิ้มรับเสียงทายทัก  ภายในร้านมีผู้คนอุดหนุนกันหนาตาพอควรเนื่องจากถึงเวลาเที่ยงวันนัยน์ตาสีฟ้าสดกวาดมองคร่าวๆก่อนจะก้าวไปยังบันไดที่อยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์เก็บเงิน ซึ่งนำไปสู่ชั้นสองของร้าน โดยที่มีบุรุษแปลกหน้าเดินตามไม่ห่าง....

      ย่ำขึ้นบันไดเวียนแคบๆ รองเท้าบู๊ตกระทบเหล็กส่งเสียงโกร่งกร่าง ไม่กี่ก้าวก็โผล่มายังชั้นสองที่คับแคบกว่าตัวร้านด้านล่าง หากแต่เงียบสงบเหมาะสำหรับเป็นที่พูดคุยชั้นดี

          “..โอ....." ชั้นสองของร้านนั้นแคบลงทั้งด้วยพื้นที่และของประดับตกแต่ง ด้วยมีรูปภาพสีน้ำหายากและตำราหนังสือกับอุปกรณ์ดาราศาสตร์เก่าๆจัดวางอยู่อย่างมีสไตล์บ่งบอกความชื่นชอบและหลงใหลในวัตถุโบราณของเจ้าของร้านได้อย่างดี  แพทย์หนุ่มอดจะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อแว่วเสียงครางเบาๆในลำคอของชายหนุ่มแปลกหน้า

      ดวงตาของชายหนุ่มผู้มองวาววับเต็มไปด้วยความประทับใจ ไคลน์กวาดตามองรอบห้องอาหารบนชั้นสองแล้วแทบจะผิวปากหวือ ตะเก้าอี้เข้าชุดกันกระจายสี่ห้าตัวรอบบริเวณ  บนเพดานมีรูปวาดเลียนแบบการโคจรของสุริยะจักรวาลของดาร์วินชี  ผนังทั้งสองด้านมีหนังสือเล่มหนาวางเรียงอยู่บนชั้น และด้านหน้าของร้านเป็นระเบียง ที่เปิดออกกว้าง ชวนให้ก้าวไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้ระเบียงที่มีพันธ์ไม้เลื้อยขนาดเล็กปลุกไว้ในกระถาง

          ทรุดกายนั่งตามหลังนายแพทย์หนุ่ม ถอนหายใจอย่างพึงใจในความงดงามและเงียบสงบ คงบรรยากาศเก่าๆในปลายศตวรรษที่18 นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงยิ่งวาววับชอบใจ และหันไปมองสบตาคนที่พามาอย่างชื่นชม..

             “...ร้านนี้สวยมากเลยครับ...Beautiful ...” อุทานออกมาโดยไม่รู้เลยว่าทำให้เด็กหนุ่มผู้รับออร์เดิอร์ถึงกับหน้านิ่ว...ไม่ต่างจากผู้ฟังที่คลายรอยยิ้มลงช้าๆ...หากก็ยังยิ้มรับ..
         
            “..รับอะไรดีครับ? “บริกรหนุ่มน้อยในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนและกางเกงสีเดียวกันคาดเอี๊ยมสีขาวออกปากถาม ในมือถือดินสอและกระดาษเตรียมพร้อม

            “...กาแฟคาปูชิโน่...แล้วของผมขอซุปหัวหอมกับตับบดแล้วก็บาแกตต์ด้วยนะ...คุณล่ะครับ ทานอาหารกลางวันมารึยัง? “ เอนีลออกปากถามชายหนุ่มเบื้องหน้า

     “ ยังครับ...เอาแบบคุณเลยก็แล้วกันแต่เปลี่ยนจากบาแกตต์เป็นครัวซองต์นะ...” ออกปากสั่งพลางกระชับเสื้อสูทสีดำที่ใส่อยู่ ไคลด์แย้มรอยยิ้มส่งให้แพทย์หนุ่มตรงหน้าอย่างเป็นมิตร นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสบกับดวงตาสีท้องฟ้าสด ทั้งอ่อนโยนทั้งเริงรื่น....

              ...สายตาจับจ้องไม่กระพริบ...จ้องมอง...ราวกับรอคอย มองหาคนๆนี้มานานแสนนาน...       

   “..เอ่อ...ที่คุณบอกว่า มีข่าวจากพี่ชายผมมาแจ้ง..” กระแอบเบาๆ ด้วยความขัดเขินกับแววตาหวานๆแสนจะมีสเน่ห์ของผู้มาใหม่ซึ่งเอาแต่จับจ้องไม่วางเสียจนประหม่า นัยน์ตาสีฟ้าสดเสหลบ..ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าดวงตาวาววับนั้นทำให้เขาขัดเขิน และผิวแก้มเริ่มผ่าวร้อนอย่างไม่ควรจะเป็น..

           “..อ่า...ใช่ครับ....ก่อนอื่น....นี่ครับ..จดหมายจากนายพลชาส์เดอตงส์ คุณพ่อของคุณ “ ปลายนิ้วยาวเรียวเอื้อมไปคว้ากระดาษสีน้ำตาลปึกหนาจากกระเป๋าเสื้อสูท ส่งซองกระดาษหนามาให้ เอนีลเลิกคิ้วนายแพทย์หนุ่มยื่นมือรับ มองดูสัญลักษณ์ตราประจำตัวของผู้เป็นบิดาที่อยู่ข้างตราประจำตระกูลและลายมืออันเคยคุ้น..มองสำรวจมันจนแน่ใจเขาจึงพยักหน้ารับก่อนจะร้องหากรรไกรจากเด็กเสิร์ฟ..

           มองเห็นสีหน้าที่งวยงงมาวูบหนึ่งของชายหนุ่มตรงหน้า นายแพทย์หนุ่มจึงโคลงศีรษะ แย้มรอยยิ้มขัดเขินอยู่ในที

           " คุณอาจจะมองว่าผมเจ้าระเบียบไปนะ..แต่ว่ามันเป็นความเคยชินไปแล้วน่ะ .." นัยน์ตาพราวระยับขบขันยามเอ่ยถึงพฤติกรรมของตัว ใบหน้าหวานขยับกระซิบกระซาบราวกับกับเด็กหนุ่มนินทาผู้ปกครองชวนให้นึกขันปนเอ็นดู..ไคลน์หัวเราะรับเบาะสบมองนัยน์ตาสีฟ้าสวยมีสเน่ห์ของบุรุษผู้งดงามเบื้องหน้าอย่างสนใจ...

           ปลายนิ้วเรียวยาวซ้ำยังเนียนสวยอย่างหาได้ยากช่างดูเหมาะสมกับอาชีพแพทย์นัก ไคลน์ สไตรเซอร์ ทอดมองกริยาของนายแพทย์หนุ่มชาวปารีเซียงที่ขยับสอดปลายนิ้วเข้าไปในกรรไกรอันเขื่องเพื่อตัดปากซองจดหมายอย่างประณีตด้วยความชื่นชม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายชอบใจอย่างเห็นได้ชัด...

            "...อาหารมาแล้วครับ " เด็กเสิร์ฟเดินถือกาแฟและถาดอาหารมาวางบนโต๊ะอย่างชำนิชำนาญ กลิ่นอาหารหอมฉุยเรียกน้ำย่อยประกอบด้วยซุปหัวหอม ตับบด และขนมปังบาแกตต์กับครัวซองต์อย่างละชุด พร้อมกาแฟคาปูชิโน่ส่งกลิ่นหอม  " กาแฟคาปูชิโน่สอง ซุปหัวหอมและตับบดอย่างละสองชุด...ขนมปังปาแกตต์หนึ่งกับครัวซองต์หนึ่ง...ได้รับอาหารครบนะครับ เมอร์ซิเยอร์ .."
       
           ..เอนีลพยักหน้าขอบคุณปลายนิ้วเรียวหยิบเอาธนบัตรใบสิบเหรียญวางบนถาดใส่รายการอาหาร ขณะที่เด็กเสิร์ฟโค้งรับเอ่ยปากขอบคุณสำหรับทิปก่อนจะรับเอากรรไกรจากมือเรียวแล้วเดินจากไป
         
          ค่อยคลี่กระดาษออก นัยน์ตาสีฟ้าใสกวาดมองตัวอักษรบนกระดาษสีขาวอย่างถี่ถ้วน พลันใบหน้าของผู้อ่านก็เคร่งขึ้น ไคลน์ลอบสังเกตอาการนั้นอย่างพิจารณา พลันสบกับนัยน์ตาของชายหนุ่มเบื้องหน้าซึ่งเงยหน้ามามองอย่างเผลอไผล

          "...โอ้...ขอโทษ...เชิญคุณทานก่อนได้เลยครับ..." นายแพทย์หนุ่มพับจดหมายลงพร้อมกับเอ่ยปากด้วยท่าทีเกรงใจ ทำให้ผู้ฟังขยับรอยยิ้มบาง

         "....ไม่เป็นไร...ผมรอได้...." วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ...ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองไปยังนอกร้านที่บัดนี้ท้องฟ้าครึ้มต่ำ..ฝนตกมาปรอยปราย...

         "... คุณเป็นทหาร? " ผ่านไปสักครู่...เอนีลเลิกคิ้ว หลังจากอ่านจดหมายจากบิดาจบ แพทย์หนุ่มกุมมือสอดประสานปลายนิ้วของตนเข้าหากัน ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยท่าทีสุภาพและป็นทางการ  ผิดกับอาการสบายๆเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

         " ผมเป็นแพทย์ทหาร " ไคลน์เอ่ยตอบ จ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าที่มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้น  ผิดแผดจากบรรยากาศเป็นกันเองเมื่อครู่ราวกับคนละคน นั่น.. ทำให้เขานึกรู้ ว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ได้มีความชื่นชอบในตัว"ทหาร"เสียเท่าไหร่

         “ คุณเป็นคนอังกฤษเหรอ? เมื่อครู่ผมได้ยินเสียงอุทานของคุณ “ เอนีลเลิกคิ้ว เอ่ยถามอีกครา..

         “ ทำไมหรือ..? รึว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมีท่าทีแบบนี้ ? “ นายทหารหนุ่มเลิกคิ้ว.. นั่นทำให้ผู้ฟังมีสีหน้าละอายวูบ..

         “ ไม่ๆ ผม....ผมแค่สงสัย...ว่าทำไมคุณมาอยู่ที่ฝรั่งเศส..ก็เท่านั้น ” แพทย์หนุ่มแก้ตัวเบาๆ ไม่อยากให้ถูกมองว่าเป็นพวกมีอคติ ไม่ชอบหน้าใครเพียงแค่เหตุผลว่าเป็นชนชาตินั้นชนชาตินี้...แม้ว่าเรื่องที่คนฝรั่งเศสกับอังกฤษไม่ถูกกันจะเป็นเรื่องที่...รู้ๆกันอยู่ก็เถอะ

           “ ผมเป็นลูกครึ่ง ฝรั่งเศส-อังกฤษ...และก่อนที่คุณจะถาม... “ ไคลน์ยกแขนขึ้นวางบนพนัก หลังมือเท้าคางตัวเองอย่างสบายๆผ่อนอารมณ์ ต่างกับคนฟังที่มีท่าทีเคร่งขรึม “ ผมเลือกจะรับใช้กองทัพฝรั่งเศส..”

          "....ขอบคุณครับ..ที่คุณเล่าให้ผมฟัง..และอีกเรื่อง ในจดหมายนี้พ่อผมเขียนว่าคุณเคยประจำที่แคว้นไรน์แลนด์ " เอนีล ชาส์เดอตงส์ยกรอยยิ้ม หากเป็นรอยยิ้มเครียดขึงแปลกตา "..ผมคิดไม่ออกเลยว่าทำไม นายทหารที่มากด้วยความสามารถอย่างคุณ ถึงต้องถ่อมาหาผม...ตามคำสั่งบ้าๆของพ่อ "

         "ผมไม่คิดว่าความห่วงใยของท่านนายพลที่มีต่อคุณ จะเป็นอะไรที่บ้าๆบอๆหรอกนะครับ เมอร์ซิเยอร์..." ไคลน์ยกรอยยิ้มให้กับแพทย์หนุ่มที่มีท่าทีเครียดเคร่งเบื้องหน้า " และ...นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าคุณก็รู้...ว่าตอนนี้ทหารฝรั่งเศสไม่ได้ประจำที่แคว้นนั้นอีกต่อไป ...นั่นไม่ใช่"พื้นที่"ของประเทศเราในตอนนี้...มันจึงไม่มีเหตุผลอะไร ที่ผมจะไม่ออกมาจากที่นั่น "

          ".....แล้วมันจำเป็นเหรอครับ ที่คุณต้องมา"คุ้มครอง"ผมตามคำสั่ง...ไม่คิดว่ามันเสียเวลาเปล่าบ้างรึไง ? " เอนีลขยับยิ้มเครียดอย่างไม่นึกขัน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องแคว้นไรแลนด์ที่ถูกเยอรมณียึดครอง ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อของตน..นายพล  เกรฟฟิน ชาส์เดอตงส์ ผู้กำลังกุมอำนาจกองทัพและลงไปสู้ในเวทีแย่งชิงความเป็นใหญ่ของประเทศ จะนึกห่วงใยความปลอดภัยของลูกชายคนเล็กของบ้าน...ที่อาจจะถูกพวกคู่แข่งตามปองร้ายเอาได้

       ทว่าเพียงแค่การซื้อตึกทั้งหลังและจ้างยามรักษาความปลอดภัยแน่นหนา อีกทั้งให้คนรับใช้เก่าแก่ของบ้านมาตามดูแล นั่นก็เพียงพอแล้ว เขาไม่เข้าใจเลยว่าผู้เป็นบิดาจะส่งแพทย์ทหารนายนี้มาอีกทำไม...เพื่ออะไรกัน "ชีวิต"ของเขาไม่ได้สำคัญมากขนาดจะมีใครเฝ้าปองร้ายตลอดเวลาเสียหน่อย

          "...มันเป็นคำสั่ง...ผมต้องทำตาม และไม่คิดว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่าหรอกครับ... " ไคลน์จ้องมองดวงตาสีฟ้าสดของชายหนุ่มเบื้องหน้าพร้อมยกรอยยิ้มบาง " ผมเต็มใจและพอใจ"อย่างยิ่ง"ที่จะมาปกป้องคุณ..”

       “......จากทุกๆสิ่ง "     

    ".........." เอนีลชะงัก...แพทย์หนุ่มหรี่ตาลงช้าๆนิ่งไปกับคำพูดประโยคหลังของชายหนุ่มเบื้องหน้านั้น ไม่ใช่ว่ามันจะลึกซึ้งตรึงตรา..หากแววตาสีน้ำตาลคู่นั้น กับฝ่ามือที่เลื่อนมากุมมือเขาและบีบแน่นนี่ต่างหากเล่า...ที่ชวนให้ต้องนิ่งงัน


              คำพูดที่เอ่ยว่าจะปกป้อง...จากทุกสิ่งและดวงตาที่จ้องมองมาคู่นั้น  ชั่ววูบหนึ่ง ชวนให้คิดคำนึงถึงสิ่งที่ตกตะกอนคั่งค้างอยู่ในความทรงจำ...สิ่งที่เรียกว่าฝันร้าย..ความฝันที่ไม่จางหายของเขา

              ....และลางสังหรณ์บางอย่าง....ที่ผุดขึ้นในใจอย่างเงียบงัน...
     

    " คุณคงไม่ใจร้าย...ขนาดจะไล่ผมกลับไปหรอกใช่ไหม? " ทหารหนุ่มผู้ตรงดิ่งมาจากสมรภูมิ   รบอันร้อนระอุเพื่อมาปกป้องตน เอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มบางด้วยตาแฝงแววเว้าวอน...ปลายนิ้วสีอ่อนนั้นไล้เบาๆบนหลังมือและข้อนิ้วแผ่ไออุ่น

          "....แล้วพี่ผม....." ริมฝีปากบางค่อยเอ่ยคำ เอนีลหรุบนัยน์ตาลงอย่างเชื่องช้า หลังมือที่ชายหนุ่มแตะไล้นั้นยังคงทิ้งสัมผัสอุ่นวาบ ทั้งที่ปลายนิ้วนั้นละห่างออกไปแล้ว

          "...พี่ชายคุณ...ฝากฝังมาดูแลคุณเช่นกัน...และ...ในกรณีนี้ เขาได้เล่าถึงความฝันของ...."

        ตึก !          

            ฝ่ามือขาวจัดกำแน่นและออกแรงทุบโต๊ะไม่เบานัก ทำให้ทหารหนุ่มที่กำลังเอ่ยคำพูดชะงัก เขาจ้องมองนัยน์ตาสีฟ้าสดที่ฉายแววไม่พอใจอย่างลึกซึ้งด้วยสีหน้าตกใจไม่น้อย ขณะที่เอนีลลุกพรวด

        "....อ้อ แบบนี้นี่เอง..." นายแพทย์หนุ่มหัวเราะหึ ยิ้มออกมาอย่างขับขันปนหงุดหงิด " แบบนี้เองสินะ ทั้งจดหมายจากพ่อ ทั้งคำสั่งจากพี่ผม...ก็ว่าอยุ่แล้วว่ามันแปลกๆ....”

         “...หึ ฝากมาดูแลงั้นเหรอ? พวกเขากลัวว่าผมจะเป็นบ้าใช้ไหม?กลัวว่าผมจะไปทำอะไรให้พวกเขาเสียชื่อเสียงใช่รึเปล่า ถึงส่งคุณมาควบคุมผม ...เป็นห่วงงั้นเหรอ บ้าบอทั้งเพ ! "

             " คุณ...."
         
             " กลับไปเลย เชิญเลย ผมเชิญคุณกลับไปในที่ๆคุณมา...เมอร์ซิเยอร์สไตร์คเซอร์ ...ผมไม่-ได้ -เป็น- บ้า ผมปกติดีและมีคนคอยคุมมากพออยู่แล้ว ออกไปให้พ้นหน้าผมซะ  ! " ปฏิกริยาที่รุนแรงขึ้นมาทันควันเมื่อถูกเอ่ยถึงความฝันของตนทำให้ทหารหนุ่มหน้านิ่ว  ไคลน์มองใบหน้าของหนุ่มฝรั่งเศสเบื้องหน้าที่ฉายแววโกรธเกรี้ยวไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดอย่างฉงนฉงาย  ได้แต่มองนัยน์ตาสีฟ้าสวยคู่นั้นถลึงมองเขาอย่างไม่พอใจเป็นที่สุด

        "...นี่คุณ ใจเย็นก่อนได้ไหม? " ไคลน์ยกมือขึ้นเชิงยอมแพ้กับท่าทีโวยวายไม่พอใจของนายแพทย์หนุ่ม...ผู้ซึ่งเคยยิ้มแย้มต้อนรับเขาเป็นอย่างดี แต่พอเอ่ยถึงธุระที่มาเท่านั้นแหละ...

          "...ไม่ จะให้ผมเย็นอะไรอีก...ให้ตาย ผมหงุดหงิดมามากพอแล้วนะ ผมเหนื่อยกับการต้องถูกเชิญไปพบหมอ ถูกตรวจนั่นโน่นนี่...พอผมปฏิเสธก็ให้มาหาถึงที่งั้นเหรอ? เอาผมไปช๊อตไฟฟ้าเสียดีไหม!? " แพทยืหนุ่มสถบอย่างหัวเสีย เอนีลเอื้อมมือคว้าเสื้อคลุมที่พาดไว้บนพนัก บ่งชัดว่าจะไม่ขออยู่ร่วมบทสนทนาอีกต่อไป เขาเสือกเก้าอี้ที่ลุกพรวดออกมาเข้าไปในโต๊ะอย่างรุนแรง

            "ให้ตายสิ พอกันที !! "
       
            " ....โอ้ยยย คุณนี่อารมณ์ร้อนเป็นบ้า นั่งลงแล้วคุยกันก่อนได้ไหม? " ไคลน์ลุกพรวดไปคว้าแขนแพทย์หนุ่มที่ทำท่าจะเดินออกไปอย่างรีบร้อน

           "ไม่....เรื่องนี้ผมจะไปคุยกับพ่อผมเอง " เอนีลพยายามสะบัดแขนออกมจากมือหนา อย่างหงุดหงิดสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ

           " นี่...ฟังผม มองตาผมสิ !! " ฝ่ามือของไคลน์ สไตร์เซอร์เอื้อมมาบีบไหล่ทั้งสองข้างแน่น ทำให้เขาถึงกับหน้านิ่ว เอนีลเม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจ เขาคำรามในลำคอกับการดูหมิ่นนี้ ก่อนจะถลึงตาพรืด มองตาชายหนุ่มตรงหน้าอย่างประสงค์ร้าย

           "...อะไรอีก คุณ ผมจะไป........."

             "....คุยกับผมก่อน..." นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นลึกลับและยากจะหยั่งถึง เปลี่ยนจากแววตาเริงรื่น เป็นดวงตาแฝงความนัยบางอย่างที่แสนลึกซึ้ง...แฝงพลังบางอย่างที่ไม่อาจรู้..เอนีลชะงัก..หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจค่อยคลายลงช้าๆอารมณ์ที่เคยเร่งร้อนไม่พอใจค่อยสงบลงอย่างประหลาด..

       นัยน์ตาสีฟ้าสดจ้องมองแววตาคู่นั้น และมองริมฝีปากที่เอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก แต่มันก้องในสมอง ชวนให้มึนงง เบลอพร่า...ก่อนที่เขาจะค่อยพยักหน้าอย่างเชื่องช้า...แววตาลอยเหม่อ

        " .....ครับ..คุยกับผมก่อน...ใช่..." ถ้อยคำเอ่ยราวกับกระซิบ หากแต่ก้องในสมอง ฝ่าเท้าที่เคยก้าวออกไปพลันหมุนกลับและทรุดกายลงบนเก้าอี้อย่างรวดเร็ว...ดวงตาสีฟ้าสดใสยังคงจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นไม่วางตา..

          " ฟังนะ....เอนีล ผมไม่ได้คิดว่าคุณเป็นบ้า...ผมแค่อยากมาดูแลคุณ.." ปลายนิ้วนั้นไล้หลังมือของเขาไปมาอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา...ผสานกับถ้อยคำเอ่ยนุ่มหู...

        "...แต่...ผม...."

        " ใครๆก็มีความฝัน ใครๆก็มีเรื่องฝังใจและลืมไม่ลงกันทั้งนั้น...ผมอยากให้คุณเชื่อว่าผมห่วงคุณ และอยากให้คุณเชื่อว่าผมหวังดีต่อคุณจริงๆ จึงได้อยากคอยดูแลใกล้ๆ..."

       "... คุณ...ผม...." ดวงตาคู่สวยลอยคว้าง ริมฝีปากบางเอ่ยถ้วยคำเพียงแผ่วเบา ไม่ปะติดปะต่อ

      " ครับ..ผมห่วงคุณและอยากอยู่ดูแลคุณ...ให้โอกาสผมได้ไหม? "เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบแผ่ว ฝ่ามือหนาดึงมือขาวนั้นเข้ามาจุมพิตแผ่วเบา....แสดงความรักใคร่อย่างชัดเจนทว่ามันก็ดูแสนจะแปลกประหลาดสำหรับคนที่ได้พบกันเพียงไม่นาน แต่เอนีลกลับไม่แม้แต่จะออกปากท้วง ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอยราวกับไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น....ไร้อาการชะงัก สะดุ้งไหวแม้กระทั่งริมฝีปากหนาของชายหนุ่มแตะลงบนขมับแผ่วเบา เขาก็นิ่งงันราวกับไม่รู้...ไม่เห็น...

             ....ที่ได้ยิน มีเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบา....หากหวานล้ำ
             เสียงของคนพูดนั้นสั่น....สั่นไหวระริกราวกับจะขาดใจ


             .... “ ผมรอเวลานี้มานานแล้ว..ที่รัก...”

       อย่างเชื่องช้า...ชายหนุ่มผู้ฟังจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มลอยเหม่อ รับรู้คำถามที่ต้องการคำตอบ อ้อมกอดและใบหน้าที่แนบชิด..ริมฝีปากที่แตะลงบนขมับและฝ่ามือจึงค่อยผละห่าง..วางท่าเช่นเดิม ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะยกขึ้นแล้วโบกผ่านใบหน้าที่ยังคงเหม่อลอยอย่างรวดเร็ว..

       " อ๊ะ....นี่ ...." ราวกับหลุดจากภวังค์ความคิด นัยน์ตาคู่สวยที่เคยเลื่อนลอยกลับมาสดใสวาววับ มันเกลื่อนด้วยแววประหลาดใจเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองชายผู้นั่งอยู่ตรงหน้าซึ่งยิ้มอาดูร...อ่อนหวาน

      "....คุณอารมณ์เสียทุกครั้งที่มีคนพูดเรื่องนี้รึเปล่า " คำถามเรียบเรื่อย ไม่ได้เจาะจง หากแต่ค่อยเอ่ยอย่างเป็นกันเอง ลดอาการต่อต้านลงไปได้มาก

      "...ก็ผม....." เอนีลเม้มปาก สีหน้าลังเล

       " เข้าใจครับ ว่าเป็นใครก็คงไม่พอใจ " ไคลน์ยิ้มให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า “ แต่ผมไม่ได้มาจับคุณไปช๊อตไฟฟ้าเสียหน่อย ผมแค่ของมาอยู่ด้วย ได้ไหม? “

         “ ชั้นสี่....ของอพาร์ทเม้นท์มีห้องว่างให้เช่า “ นิ่งอยู่นาน ไตร่ตรองผลดีผลเสียและปฏิกริยาของคนรอบข้าง เอนีล ชาส์เดอตงส์จึงถอนหายใจเฮือก ยินยอมในที่สุด..

           “ อย่างนี้สิ...” ไคลน์ยิ้มกว้าง เขายื่นมือจับกับบุรษเบื้องหน้าแล้วเขย่าอย่างยินดี..

           “ ยังไงผมก็ไล่คุณไปไม่ได้แล้วนี่ แต่ค่าเช่าแพงนะ บวกค่าอาหารด้วย “หนุ่มปาริเวียงยักไหล่ จิบกาแฟแก้อาการขวยเล็กๆ..

           “ เท่าไหร่ก็ยอม..” เพราะสีหน้ามาดมั่นและยินดีนักหนานั่นแหละ ทำให้ต้องหลบตากันเป็นพัลวัล แพทย์หนุ่มขบริมฝีปากเข้าหากันน้อยๆ...ชักจะรู้สึกถึงเสียงหัวใจที่ไม่ปกติของตัวเอง..

                ....รู้สึก...แปลกๆ
 
                 เหมือนอะไรหายไปสักอย่าง...บทสนทนา...ความจำ หรือ...อะไรคล้ายๆอย่างนั้น...

                 มองรอยยิ้มกรุ่มกริ่มแล้วหัวใจร้อนผ่าว..ริมีฝีปากอีกฝ่ายบางเฉียบแย้มเป็นรอยยิ้ม..ทำไม....ถึงได้รู้สึกราวกับว่ามันเคยสัมผัสแตะต้องร่างกายของเขา...ทั้งที่....เพิ่งพบเจอกันแท้ๆ...

         นัยน์ตาสีฟ้าสดหรุบต่ำ..เม้มปากแน่น พยายามปัดความสงสัยหรือความตะขิดตะขวงแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจออกไป บอกตัวเองว่าเขาชักจะเบลอไปหน่อยแล้ว คงเพราะฝันร้ายและอาการนอนไม่พอ สะดุ้งตื่นมากลางดึกทุกคืนๆแน่ๆ ที่เล่นงานให้เขากลายเป็นพวกเพ้อพกชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย…ไอ้ความหลงหรือภาพหลอนนั่น มันต้องพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์สิ !.

     ...มันส่งผลให้ชื่นชอบหรือตกหลุมรักคนง่ายไปรึเปล่านะ...เอนีลก้มหน้าจิบกาแฟอีกครั้ง ก่อนจะครางออกมาเบาๆเมื่อความร้อนเล่นงานปลายลิ้นจนชาวาบ


.................................
หัวข้อ: LOST ANGEL Lost 3 : ระวังภัย
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 26-05-2014 19:29:35
Lost 3 : ระวังภัย


        การรักษาในช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่แฝงความทุลักทุเลเอาไว้ สมาธิที่ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวมากนัก ทั้งสมองที่วนเวียนคอยแต่จะคิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเที่ยงวันและชายผู้มาเยือน เรื่องเหล่านี้มันทำให้แพทย์หนุ่มนึกหงุดหงิดกับตัวเองไม่น้อย การทำตัวเช่นนี้มันไม่ใช่ปรกติของเขาเอาเสียเลยพฤติการณ์ลอยเหม่อไม่เป็นมืออาชีพชวนให้กระแสความหงุดหงิดยิ่งพาดผ่าน แต่ทว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจจะสลัดใบหน้าของชายคนนั้นออกจากสมอง..

        ....ไคลน์ สไตรค์เซอร์      

               ชายผู้ที่เพิ่งพบเจอหากแต่ติดตรึง..อย่างที่ไม่ควรจะเป็น อีกทั้งคุ้นอย่างที่ไม่ควรจะคุ้น..

        ..ลางสังหรณ์กรีดร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง สัญชาตญาณบอกให้ระวังภัย ทว่าในหัวใจกลับเหมือนมีวิญาณที่ขัดแย้งบางอย่างคอยกระซิบให้จ้องมอง จับจ้อง และสนใจไว้ใจชายผู้นั้นอย่างใจภักดิ์

          เสียงที่น่ารำคาญนั้นบอกให้เชื่อทุกคำที่ได้ฟังจากริมฝีปากนั้น หัวใจที่เหมือนไม่ใช่ของตัวเองกำลังร้องหาความอบอุ่นจากฝ่ามือคู่นั้นมาแนบชิด

        ...น่ารำคาญ ชวนให้หงุดหงิด สับสนและไม่แน่ใจเอาเสียเลย     

    คิดมากไปก็เหมือนจะเปล่าประโยชน์..ถอนหายใจเฮือก หยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อนิ่มมาสวมและโยนเสื้อกาวน์ของตนลงตะกร้าซักรีด มองนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงเย็น ท้องฟ้ายามเย็นในต้นเดือนพฤษภาคมของวันที่ฝนตกปรอยปรายนั้นมืดหม่น ขมุกขมัวด้วยแสงอาทิตย์ที่ลาลับ ดวงไฟสีเหลืองอ่อนจางหน้าคลินิกที่ปิดทำการส่องเเสงจ้า สาดผ่านประตูกรุกระจกมายังภายในตัวอาคาร สรรพเสียงเคลื่อนไหวของผู้คนที่เคยพลุกพล่านในยามเช้าเหลือเพียงความเงียบงัน คลินิกถูกพลิกป้ายปิดทำการ

        แพทย์หนุ่มเจ้าของสถานที่เปลี่ยนชุดลำลองแล้วเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า สวนกับผู้ช่วยคนเก่งที่กำลังเก็บข้าวของอยู่ในห้องพัก

           " ว่าไง นิโคลัส เหนื่อยหน่อยนะวันนี้ "  เอนีลทักผู้ช่วยของตนด้วยรอยยิ้ม

           " ไม่เป็นไร ผมเต็มที่อยู่แล้ว " นิโกลัสหัวเราะรับคำทายทักออกปากหยอกเย้าด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตามองร่างของนายจ้างหวังให้ฝ่ายนั้นหันมาหา ทว่าก็เป็นเขาที่ต้องขมวดคิ้ว ออกปากทักเมื่อคนที่เคยยิ้มแย้มเริงร่ากลับเงียบงันอย่างไม่ควรจะเป็น..

          " เป็นอะไรไปครับวันนี้ ดูคุณใจลอยนะ " ผู้ถูกทักสะดุ้งโหยง สบถในใจงึมงำว่าขนาดคนอื่นยังสังเกตเห็น..ว่าแล้วเอนีลก็ถอนหายใจอีกเฮือก

           "ขอโทษด้วยนะ..อา... แล้วนี้จะไปโรงพยาบาลเหรอ? " มองร่างของนิโกลัสที่กำลังหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาแล้วใส่เสื้อโค้ตตัวเก่ง ผู้ช่วยของเขาคนนี้ยังเป็นนักศึกษาแพทย์จบใหม่อายุน้อย เขากำลังศึกษาต่อทางด้านแพทย์เฉพาะทางและทำงานเป็นผู้ช่วยของเอนีล อีกทั้งเจ้าตัวยังมีหน้าที่ขึ้นเวรดูแลผู้ป่วยของโรงพยาบาลประจำเขตอีกด้วย

          " ครับ...วันนี้ผมมีคนไข้อีกสองรายต้องตามอาการน่ะ.." นิโกลัสพยักหน้ารับ มองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นเจ้านายตนแล้วโคลงศีรษะ " ช่วงนี้คุณดูเหนื่อยๆนะ อย่าเครียดให้มากนักนะครับ..."

          "อืม ขอบใจ...." พยักหน้ารับคำเตือนนั้นแล้วโบกมือลาให้ผู้ช่วยคนเก่งรีบจ้ำออกไปจากด้านหลังคลินิก มองตามแผ่นหลังที่ค่อยลับไปช้าๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อแว่วเสียงพิมพ์ดีดดังขึ้นเบาๆด้านหน้าโถงรอญาติ

         แพทย์หนุ่มเดินออกไปมองเหตุการณ์ ด้วยสีหน้างวยงงไม่น้อยก่อนจะพบกับดวงตาสีเขียวสดของเลขาสาวที่จ้องมองมายังเขาด้วยแววตาพราวระยับ ทำให้ตนยิ้มออก และนึกตำหนิตัวเองในใจที่ลืมไปว่าคลินิกแห่งนี้ยังมี
ผู้ช่วยสาว ผู้น่ารักอยู่อีกคน

          " คุณหมอ...ช่วยมาดูบัญชีค่าใช้จ่ายเดือนนี้ด้วยค่า " เจ้าหล่อนส่งเสียงหวานมาให้แล้วยิ้มยินดี เอนีลพยักหน้าและก้มมองกระดาษในแฟ้มสีเข้มนั้น เขากวาดตามองมันอย่างถี่ถ้วน พยายามให้ความสนใจทว่าในยามนี้ตัวเลขใดๆก็ดูจะไม่เข้าสมองทั้งสิ้น

        " ขอบคุณครับ ทำงานเร็วตลอดเลยนะเมลิสสา...ยังไงคืนนี้ผมขอเวลาดูรายละเอียดแล้วกันนะ " เอนีลยิ้มเอาใจสาวเจ้า เรียกพวงแก้มขาวของหล่อนแดงขึ้นด้วยความชื่นมื่น แพทย์หนุ่มยิ้มรับ ก่อนจะออกปากอนุญาตให้เธอเลิกงานและกลับบ้าน กระทั่งเมื่อร่างนั้นเดินหายไปจากห้องโถง ก็เหลือเพียง เอนีล ชาส์เดอตงส์ นายแพทย์หนุ่มยืนเคว้งอยู่ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงพัดลมดังเบาๆเท่านั้น..

         จ้องมองบรรยากาศภายในคลินิกของตน ร่างของเอนีลยืนอยู่ท่ามกลางห้องที่เงียบสนิทไร้ผู้คน ทั้งที่เคยคุ้น...ทั้งที่เป็นที่ทำงานและที่พักของตนมานานวัน ทว่ายามนี้...ในวันที่ฟ้าครึ้มหม่น มีสายฝนหล่นโปรยปรายและบรรยากาศร้อนอ้าว หน้าต่างที่ถูกปิดลงและเก้าอี้ที่ว่างเปล่าถูกคลุมทับด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่ พัดลมเพดานกำลังทำงานอยู่อย่างขันแข็งส่งเสียงครางเบาๆท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงจากหลอดอินแคนเดสเซนต์สาดสีเหลืองอ่อน ไล้ตามโครงร่างของวัตถุจนเกิดเงาดำสลับลดหลั่นกันไป ความเงียบ และสีสันของบรรยากาศแปรเป็นความเย็นยะเยือกและเคว้งคว้างเสียจนน่าขนลุก..

         เส้นขนอ่อนๆลุกเกรียวกราวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกวาบลึกของผู้เป็นเจ้าของร่าง... นัยน์ตาสีฟ้าสดหรี่ตาลงช้าๆกับความรู้สึกแปลกที่ไหลผ่านทั่วกาย...

        ฝืนสูดหายใจลึก ควบคุมฝ่าเท้าที่เริ่มสั่นไหวให้มั่นคงแล้วก้าวออก แพทย์หนุ่มสาวเท้าไปยังนาฬิกาลูกตุ้มที่แกว่งไหวไปตามกลไก เขายืนจ้องมองการทำงานอย่างเที่ยงตรงและยังคงเป็นปกติของมันอย่างครุ่นคิด สมองไพล่นึกถึงระบบกลไกที่แปลกประหลาดไปในยามเช้าของวันอย่างนึกสงสัย...ทว่าชายหนุ่มก็บอกตัวเองไว้ว่ามันสมควรถูกซ่อม..เช่นเดียวกับตัวเขาที่สมควรพักได้แล้ว..

         ..สูดหายใจลึก ฝ่ามือเย็นชืดกำรวบเข้าหากันแล้วบีบแน่นรวบรวมพลังใจ แพทย์หนุ่มค่อยกำหนดลมหายใจ..สูดลึก...ค่อยปล่อยลงเนิบช้า...ยาวนานตามหลักการแพทย์เพื่อสงบอาการตื่นกลัว

        กระซิบบอกตนเองอย่างหนักแน่น..ความรู้สึกเย็นวาบ..หัวใจที่เต้นหน่วงเป็นจังหวะอันแปลกประหลาดเหล่านี้เป็นเพียงการอุปาทานเท่านั้น..เพราะเขาเหนื่อย เพราะตนเจอแต่เรื่องน่าประหลาดใจ จึงเกิดความระแวงสงสัยและมีพฤติการณ์เช่นนี้..

      ..เรื่องความรู้สึกแปลกประหลาดนี้เป็นเพียงการคิดไปเอง..ไม่ควรจะสนใจและจมจ่ออยู่กับมัน เพราะมันไม่มีจริง มันเป็นแค่ผลกระทบจากความเครียดและอาการนอนไม่พอเท่านะ..

              แกร๊ก... 

     เงาดำตัดกับแสงนวลของดวงไฟตัดผ่านมาด้านหลังอย่างรวดเร็ว  เสียงฝ่าเท้าและความเคลื่อนไหวที่ดังขึ้นด้านกลังทำให้ความคิดสะดุดลงและคนเหม่อถึงกับสะดุ้งสุดตัว!

      เอนีลใจหายวาบ ชายหนุ่มหันขวับไปมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและอารมณ์หวาดหวั่นสะท้านลึก หากพลันร่างที่เกร็งเขม็งค่อยคลายลงและตนเป็นฝ่ายถอนใจยาว..ค่อยกลับเป็นปกติเมื่อพบว่าร่างที่อยู่ด้านหลังคือไคลน์ สไตรค์เซอร์ ผู้อยู่ในชุดลำลองสบายๆและมีสีหน้างวยงงทั้งกังขา

        "ขอโทษ...ผมทำคุณตกใจรึเปล่า? " ชายหนุ่มเอ่ยถาม เลิกคิ้วขึ้นอย่างงวยงงไม่น้อย..

        " อา...ผมใจลอยเองล่ะ " แพทย์หนุ่มส่ายหน้าช้าๆ นัยน์ตาสีฟ้าสวยจ้องมองนายทหารหนุ่มเบื้องหน้าด้วยอาการโล่งใจขึ้น ความอบอุ่นที่แทรกผ่านบรรยากาศขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่มีการปรากฏตัวของชายหนุ่มเบื้องหน้าชวนให้คิดว่ามันเป็นเพราะความเงียบเหงาและวังเวงนี้รึเปล่า เมื่อมีคนเข้ามาพูดคุยจึงได้รู้สึกอุ่นใจนัก

         " คุณดูเหนื่อยๆนะ.." ไคลน์เอียงคอริมฝีปากหยักยิ้มจ้องมองใบหน้าและท่าทีของชายหนุ่มเบื้องหน้า เขามองเห็นดวงตาสีฟ้าสดน่าหลังไหลคู่นั้นเกลื่อนด้วยความขวยเขินเพียงชั่วครู่ก่อนจะเเปรเป็นรอยยิ้มบางอันแสนเคยคุ้น  เอนีล ชาส์เดอตงส์ยิ้มรับคำพูดของเขา เจ้าตัวพยักหน้าแล้วถอนหายใจ

          " นั่นสิ....ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน..." เอนีลเสหลบตาคนพูดที่มีท่าทีห่วงหานักอย่างรวดเร็ว แพทย์หนุ่มหันไปจ้องมองทางเดินสั้นๆด้านหลังของไคลน์เป็นการปกปิดความหวั่นไหว ก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดอีกครั้ง " ...แล้วคุณ..หิวรึยังครับ ผมจะบอกให้พ่อบ้านจัดอาหารให้ "

           " ...รอคุณทำธุระเสร็จก่อนก็ได้...เราต้องทำความรู้จักกันอีกมากไม่ใช่หรือ?  " ไคลน์ยิ้มให้คนพูด ฝ่ามือของเขายกขึ้นและแตะลงบนเส้นผมสีทองอย่างเผลอไผล

          "..........." เอนีลสะดุ้ง นัยน์ตาสีฟ้าสดตวัดขึ้นจ้องมองชายหนุ่มผู้กระทำการอุกอาจอย่างตกใจไม่น้อย ชั่วขณะที่กวาดผ่านด้วยอารามตกใจ แพทย์หนุ่มมองเห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเป็นประกายล้ำลึกด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง..ว่ามันคือความรักใคร่โหยหา...หากพลันมันค่อยแปรเป็นความละอายวูบเมื่อสบดวงตาของเขา

           " ผมขอโทษ " ไคลน์รีบเอยปากเมื่อดวงตาคู่นั้นมองมา ทหารหนุ่มละมือจากเส้นผมสีทองหยักสลวยที่ตนเผลอใจไล้เล่นอย่างลืมตน สีหน้าเคอะเขินเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนั่นทำให้เอนีลลอบถอนใจ

             ...ปัดความรู้สึกผิดหวังที่ตีตื้นขึ้นมาชั่วครู่แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายเห็น     


    "  ...ไม่เป็นไร....ผมขอตัวไปพักก่อนนะ " เอ่ยปากแล้วเดินผ่านร่างที่ยืนนิ่งอยู่ตรงทางเดิน ริมฝีปากเม้มแน่นช้าๆ และเมื่อเดินผ่านมานั่นแหละ...ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉย อีกทั้งร่างที่เดินผ่านออกมาอย่างองอาจราวกับไม่สนใจสิ่งใดจึงแปรเปลี่ยนไปทันควัน

       ..เอนีลขบปลายฟันลงกับริมฝีปากของตนอย่างเผลอไผล รู้สึกถึงใบหน้าที่แดงก่ำและลมหายใจสะดุดไหวของตนยามที่ปลายนิ้วนั้นแตะลงบนเส้นผม อีกทั้งเสียงเต้นเร่าของหัวใจและความรู้สึกบางอย่างที่ไหลผ่านร่างกาย..

     ....ทั้งคุ้นชิน...หลงใหล และรักใคร่...ทั้งปลายนิ้ว ฝ่ามือ เรือนกายหรือกระทั่งใบหน้าและดวงตาสีน้ำตาลของคนผู้นั้น ..
  .....รัก....ข้ารักเขาเหลือเกิน....


         ตึ่ก...         

             ฝ่าเท้าที่ก้าวขึ้นบันไดมายังชั้นสามของอพาร์ทเมนท์ และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องของตนพลันชะงัก..เอนีลจ้องมองฝ่ามือของตนที่กำแน่นอยู่บนลูกบิดประตูสีทองด้วยความฉงนฉงาย นัยน์ตาสีฟ้าสดกระพริบถี่อย่างงวยงง  บังคับตนเองให้สูดหายใจลึกเพื่อระงับอาการเต้นแรงของหัวใจ
          
             ก้มมองฝ่าเท้าและร่างกายของตนเองด้วยความงุนงงยิ่งนัก แพทย์หนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดทั้งงวยงงและไม่เข้าใจว่าตัวเขาก้าวมาถึงหน้าห้องได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ เขาขึ้นมาถึงเมื่อไหร่? เดินผ่านบันไดไปตอนไหน? กระทั่งฝีเท้าของตนที่ก้าวผ่านขึ้นมาและเสียงลมหายใจเหือดแห้งเพราะความเหนื่อยล้าก็ยังไม่อาจรับรู้เสียด้วยซ้ำ..

            ..ฝีเท้าที่ไร้ที่มา การเคลื่อนไหวที่หายไปจากความทรงจำ สมองที่ไม่อาจจดจำถึงวินาทีที่ก้าวขาขึ้นมายังห้องบังเกิดความงวยงงและตะลึงพรึงเพริดเกินบรรยาย..

      ...สมองเริ่มปวดตุบ..ฝ่ามือที่กำลูกบิดค่อยสั่นระริก ชื้นเหงื่อ..

      เสียงบางอย่างกำลังกรีดร้องขึ้นในหัว หนึ่งนั้นแสนเจ็บปวด และอีกหนึ่งกลับมากความสุขนัก..

       ริมฝีปากของเอนีลอ้าค้าง โกยเอาอากาศเข้าสู่ปอดและเพราะลมหายใจที่ทะลายทะลักมากเข้าในร่างนั้นเองเป็นผลให้ร่างไหวยะเยือก...หอบสั่น..

       หน้าแดงก่ำจากออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกายมากเกินปกติ หูอื้อ นัยน์ตาผ่าวร้อนเพราะอารมณ์สะท้านลึก หากร่างกายที่ผิดแปลกไปยังไม่อาจจะลบเสียงตะโกนอันไร้ที่มาจากในอก..

      ....ข้า...รักเขา....

       หมอหนุ่มหอบแฮ่ก สะบัดมือออกจากลูกบิดประตูราวกับต้องของร้อน ทาบปลายนิ้วทั้งห้าเข้ากับประตูไม้แกะสลักหน้าห้องอย่างมึนเบลอ เอนีลยกมือซ้ายแตะลงบนหน้าผากด้วยสีหน้าซีดเผือด ทั้งงวยงงและไม่เข้าใจว่าเสียงนั้นมันมาจากที่ไหน...ทั้งที่มาจากอกของเขา ความคิดของเขา..หัวใจของเขา..ทว่า...มันก็เหมือนไม่ใช่ตัวเขา...

     และกับคนที่เพิ่งพบเจอคนนั้น ...ความรู้สึกรักใคร่หรือหลงใหลมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันเล่า?

         จะรักได้อย่างไร..จะคิดถึง จะคุ้นเคย....กับผู้ชายคนนั้นมาจากไหน ในเมื่อตัวเขาเพิ่งได้พบเจอแท้ๆ

       แล้วยัง..ร่ายกายที่ผิดปกติ ความจำที่เลือนหาย..มันอะไร นี่มันอะไรกัน?

        "...บ้าไปแล้ว " ฝ่ามือบีบขมับแน่น เอนีลส่ายหน้าร้องครางออกมาอย่างสุดจะกลั้น ชายหนุ่มจ้องมองลูกบิดประตูทองเหลืองหน้าห้องอีกครั้ง ก่อนจะแตะลงไปอีกคราเพื่อเปิดมันแล้วนอนพักผ่อนอย่างที่ตั้งใจ

         “ อ่ะ..!!” ความร้อนวาบเล่นงานปลายนิ้ว ผิวเนื้อไวความรู้สึกกระตุกห่างออกจากลูกบิดประตูเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ เอนีลเบิกตากว้างแพทย์หนุ่มอ้าปากค้างเขาก้มมองปลายนิ้วตัวเองด้วยสีหน้ากังขา...หากสิ่งที่สัมผัสเมื่อครู่คือลูกบิดประตูที่ร้อนราวกับเหล็กเผาไฟ หากประสาทสัมผัสไม่ผิดพลาด สิ่งที่จะเห็น ควรเป็นปลายนิ้วแดงวาบหรือพุพอง หากสีสันของผิวเนื้อที่ยังเป็นปกติถึงกับทำให้ร่างของแพทย์หนุ่มสะท้านสั่นไปทั้งร่าง..

        “ ไม่...นี่มันอะไรกัน ..” ยกมือขยุ้มเส้นผมสีทองอร่ามอย่างงวยงง..ทั้งข้องใจทั้งสับสน ใบหน้าที่ซีดเผือกบิดเบี้ยวด้วยความไม่เข้าใจและความหวาดหวั่น อีกทั้งสัญชาตญาณกำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ว่ามันมีบางอย่างที่น่ากลัวนักรออยู่เบื้องหลังประตู..!

        “ อึ่ก....” กุมขมับที่เต้นตุบบีบรัดด้วยความเครียดที่รุมเร้า ริมฝีปากเม้มแน่นกดย้ำจนเจ็บแปลบ เอนีลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ รู้สึกเกลียดชังความรู้สึกบ้าๆที่คอยรังควานเขาอยู่เป็นที่สุด

        ..ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแค่เหนื่อย แค่เบลอ แค่พักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้น!

           ดวงตาสีฟ้าสดใสวาววับ ปลายนิ้วสั่นไหวแตะลงไปบนลูกบิดอีกคราอย่างไม่ยอมแพ้ ผิวเรียบลื่นของโลหะและความเย็นเช่นปกติของมันทำให้นึกเบาใจขึ้นโข ชายหนุ่มถอนหายใจพรู...ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไปหายากล่อมประสาทหรือยาอะไรสักอย่างมาทานก่อนที่จะเพ้อคลั่งหนักไปกว่านี้ ถ้าได้ยาดีและนอนพักผ่อนสักงีบ อาการพวกนี้คงจะกายไปแน่ๆ..
   ....เขาคงจะเหนื่อย และอ่อนล้าเกินไปจริงๆนั่นล่ะ...

              แกร่ก...        

           ส่ายหน้าแล้วถอนใจแรง กดปลดล็อกพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอน เอนีลหรุบตามองพลางพื้นถอนหายใจพยายามสะกดกลั้นอารมณ์..
           
          ...หากแต่ฝีเท้าที่ก้าวต่อพลันหยุดชะงัก..นัยน์ตาที่หรี่ปรือด้วยความอ่อนล้าและปวดรุมสะดุดกับสีสันของอะไรบางอย่างบนพื้น..

       สีแดง...สีแดงเข้มมากมายที่เอ่อท้นอยู่ตรงหน้า...สีแดงอันน่าหวาดหวั่นและน่าขยะแขยง ชวนให้อาการคลื่นเหียนและความหวั่นกลัวแล่นสู่ไขสันหลัง..

     ...อีกทั้งชวนให้คิดถึงความฝันอันน่าหวาดหวั่นนั้นเสียเหลือเกิน..

               สะบัดหน้าขึ้นพร้อมปัดภาพฝันอันน่าชังนั้นออกจากสมอง กระซิบบอกตัวเองว่าเขาตาฝาดและมันไม่มีทางเกิดขึ้นจริงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากพื้น...ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับทำให้ร่างทั้งร่างนิ่งงัน..

        ดวงตามัวพร่า ลมหายใจถี่แรง มือเท้าชาทั้งยังอ่อนแรงจนไม่อาจทรงตัวได้ และต้องทรุดกายลงกับพื้นในสภาพสลบไสลไม่ได้สติในที่สุด..

       ในความทรงจำสุดท้าย..ภาพที่ยังค้างคาและปรากฏชัดเจนคือสีสันของเลือด..และใบหน้าของปีศาจปีกสีดำที่ตนเคยคุ้นทั้งยังหวาดกลัวนัก มือนั้นกำศีรษะของเขาอยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มแสยะอันเต็มไปด้วยความพึงใจ..

............
     

   
หัวข้อ: LOST ANGEL Lost 3 : ระวังภัย
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 26-05-2014 19:30:29
           ปลายนิ้วแตะลงใต้จมูกเบาๆราวกับจะสูดกลิ่นของเส้นผมที่ตนแตะต้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดจ้องมองไปยังด้านหลังของแพทย์หนุ่มที่เดินจากไปเมื่อครู่ด้วยรอยยิ้ม แววตานั้นอ่อนหวานนัก..

       หันกลับมาอีกครั้ง...กวาดดวงตาจับจ้องบริเวณด้านหน้าของคลินิกด้วยแววตาวาววับ..ครู่หนึ่งจึงเป็นประกายวูบขึ้นพร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวตรงไปยังนาฬิกาตั้งพื้นที่ยังคงแกว่งไกวอย่างสม่ำเสมอ

        ฝ่ามือแตะลงบนหน้าปัด..จ้องมองกระจกที่สะท้อนเงาตนเองอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเเสยะยิ้ม..ทาบปลายนิ้วลงยังหน้าปัดนาฬิกาที่เดินบอกเวลาเข็มยาวๆนั้นยังคงเดินตามวงกลมอย่างเชื่องช้าทว่าซื่อสัตย์นัก ด้านใต้เป็นลูกตุ้มสีเข้มที่ไหวตามกลไก..ทุกสิ่งยังคงเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน..แต่ที่ชัดเจนกว่า คือขนนกสีดำเส้นเล็กที่ตกอยู่ด้านใน อย่างน่าสงสัยนักว่าใครเป็นคนทำให้มันมาอยู่ในนั้นได้

       นัยน์ตาเหลือบมองทั่วบริเวณอีกครั้ง มันยังคงมีเพียงเสียงเดินของนาฬิกาและเสียงพัดลมตัวใหญ่ ไคลน์ สไตรค์เซอร์ถอนหายใจเบาๆ เขาวางฝ่ามือลงบนหน้าปัดกระจก..จ้องมองมันครู่ใหญ่ก่อนจะออกแรงทุบไม่เบานัก ให้ตัวฝาครอบหลุดออกจากด้านหน้าของนาฬิกา

        เอื้อมมือหยิบขนนกสีดำขนาดเล็ก ไคลน์จ้องมองมันครู่หนึ่งก่อนจะแสะยิ้ม นัยน์ตาสีอ่อนที่แฝงความอ่อนโยนค่อยแปรเป็นเข้มขึ้นและมากด้วยกระแสความเย็นยะเยียบ ชายหนุ่มกำขนนกนั้นไว้ในมือซ้าย มือขวาติดกระจกนั้นไว้ยังที่เดิมได้อย่างรวดเร็วราวปาฏิหาริย์ ก่อนที่กลิ่นเหม็นไหม้และควันเอื่อยๆจะลอยออกมาจากฝ่ามือของชายเขา...และขนนกสีดำนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตา !

        ฟึ่บ ! 

    สะบัดมือเพียงครั้งเดียว เศษควันและเถ้าถ่านทั้งหมดก็เลือนหายไปในพริบตา พลันดวงตาสีน้ำตาลก็ตวัดจ้องมองยังที่มุมสำหรับแขวนเสื้อโค้ทของเหล่าผู้มาใช้บริการ มองสบดวงตาสีแดงก่ำวาววับในความมืดที่จ้องมองมาเช่นกัน ไคลน์แสยะยิ้มเหี้ยม ฝ่าเท้าก้าวตรงเข้าไปหา หากแต่เงาดำนั้นกลับขยับตัว มันลัดเลาะไปตามผนังสะท้อนแสงไฟอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าว่องไวไต่เลาะตามผนังเป็นเงาสะบัดไหวหลอกล่อให้ตัดกับก่อนจะเลือนหายไปยังบริเวณด้านบนของอพาร์ทเม้นต์ทันควัน!

         "....นี่มัน.." ไคลน์คำรามในลำคอด้วยความขัดใจ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก หันหลังเดินกึ่งวิ่งผ่านทางเดินนั้นไปสู่ด้านบนของอพาร์ทเม้นต์โดยเร็ว ด้วยรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

        "...เมอร์ซิเยอร์สไตรค์เซอร์ " น้ำเสียงแหบพร่าหากแต่เต็มไปด้วยความเข็มแข็ง เอ่ยทักทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสอง ไคลน์ผงะเล็กๆ เขาจ้องมองใบหน้าของคนรับใช้วัยชราผู้ยืนมองหน้าตนเงียบๆด้วยความตกตะลึงไม่น้อย ทว่าความร้อนใจที่มีมากกว่านั้นทำให้ชายหนุ่มส่ายหน้า คำรามในลำคอเบาๆด้วยความร้อนรน

          "...ขอทางหน่อย ผมรีบ "

          " ทางนั้นเป็นทางไปห้องของคุณชาย..ห้องของคุณอยู่ด้านนี่ครับ " ฟาเอล เอ่ยกับแขกผู้มาใหม่ ดวงตาสีเทาฟ้าฟางหากยังว่องไวนัก จับจ้องกริยาของชายหนุ่มผู้มาใหม่อย่างเพ่งพินิจ คนรับใช้เฒ่ามองเห็นสีหน้าขัดใจขึ้นมาครู่หนึ่งขอชายคนนั้น เจ้าตัวมีท่าทีลังเลวเพียงชั่ววูบ ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอย่างรวดเร็ว

           " ผมจะไปพบเอนีล... "

           " คุณชายกำลังพักผ่อน เห็นทีจะไม่ได้ " ฟาเอลเอ่ยขัดสั้นๆ

          " ...เดี๋ยวนี้...ก่อนที่เขาจะเป็นอะไรไป ! " ไคลน์คำรามด้วยความไม่พอใจ ทหารหนุ่มสะบัดมือออกแรงผลักร่างนั้นเบาๆให้ต้องเซไปด้านข้าง และเขาก็ก้าวเท้าผ่านฟาเอลไปอย่างรวดเร็ว จ้ำเท้าวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม เพื่อไปยังห้องของคนที่ตนเอ่ยถึงอย่างรวดเร็ว
       

              ปัง!    
   
    ประตูเปิดออกอย่างเร่งร้อนด้วยฝีมือของนายทหารหนุ่ม  ไคลน์กวาดสายตาไปทั่วห้องด้วยอารามร้อนรน พลันเขาก็ชะงักฝีเท้านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ ซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ที่ปลายเท้าท่ามกลางห้องนอนหรูหราโอ่โถงอันไม่ปรากฏความปิดปกติใดๆให้เห็นแม้สักนิด

        นัยน์ตาสีอ่อนแปรเป็นสีเข้มขึ้นและตวัดมองทั่วบริเวณ หางตามองเห็นเงาดำที่เขาเคยคุ้นโผออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มคำรามในลำคอเบาๆ ก้มลงช้อนร่างของชายผู้สลบไสลไม่ได้สติมาไว้ในอ้อมกอดด้วยอาการร้อนรนยิ่ง..

         " มันเกิดอะไรขึ้น? "  ฟาเอลเดินมาถึงและออกปากถามด้วยสีหน้าข้องใจเมื่อมองเห็นร่างอันไร้สติของนายน้อยที่เขาดูแลแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้มาใหม่ พ่อบ้านวัยชราจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าวางร่างเจ้านายตนลงบนเตียงนอนหนาอย่างพินิจพิเคราะห์  และมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวและสีหน้าเหนื่อยอ่อนของชายที่เขาดูแลและรักใคร่เช่นลูกในอุทร อาการผิดปกตินั้นทำให้ความสงสัยและความฉงนฉงายแล่นวาบขึ้นในใจ

           " ผมได้ยินเสียงเขาล้ม " ไคลน์เอ่ยสั้นๆ แม้จะรู้ดีว่ามันน่าแปลกใจเพียงใดที่คนซึ่งอยู่ชั้นแรกได้ยินเสียงล้มของชายผู้อยู่บนชั้นสาม..แน่นอนว่ามันไม่น่าเชื่อ ฟาเอลฟังแล้วจึงเลิกคิ้ว

            "...ผมประสาทหูดีกว่าคนทั่วไป..และ...ผมได้ยินเสียงร้อง " ไคลน์ละสายตาจากร่างของเอนีล จ้องสบตาหัวหน้าคนรับใช้ที่ยังคงมองมาด้วยท่าทีครุ่นคิดและจับผิด  " สำหรับคุณพ่อบ้าน...ผมคิดว่าด้วยวัยของคุณ จะไม่ได้ยินก็ไม่แปลกตรงไหน "

           "........"ความชราภาพ..ข้อกล่าวหานั้นไม่อาจจะปฏิเสธได้ฟาเอลจึงได้แต่นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำ แม้ความสงสัยในใจจะไม่ได้จางไปแม้แต่น้อยเลยก็ตาม

           " ขอผมตรวจดูอาการคนป่วยหน่อยแล้วกัน "หลังจากจ้องหน้ากันเงียบๆผ่านไปสักครู่จึงออกปากบอก  ไคลน์ผ่อนลมหายใจช้าๆและนั่งลงบนข้างเตียงนุ่มของผู้ป่วย  ฝ่ามือแตะลงบนท่อนแขนบางจับมือของคนป่วยมาวัดชีพจรและการเต้นของหัวใจอย่างเชี่ยวชาญ

          " ขอน้ำสะอาด ผ้าเช็ดเนื้อตัว และยาของเอนีลให้ผมด้วยครับ "

            ฟาเอลนิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหมุนกายหันหลังเดินไปยังด้านล่าง เพื่อจัดหาสิ่งที่ไคลน์ สไตรค์เซอร์ร้องขอ แม้ในใจจะนึกสงสัยท่าทีของชายหนุ่ม และการกระทำที่ค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่เช่นเดิม แต่ความห่วงใยในตัวผู้เป็นนายมีมากกว่าตนจึงยอมทำตามเงียบๆโดยไร้ปากเสียง ความสงสัยไม่คลายแต่ทว่ากับคนที่นายพลชาส์เดอตงส์สั่งการมาให้คอยดูแลแล้ว ตนก็มิอาจจะขัด

           คล้อยหลังฟาเอลและประตูที่งับปิดลงช้าๆ...นัยน์ตาที่จ้องมองชายหนุ่มผู้นิทราสนิทอยู่ค่อยแปรจากความสงบนิ่งเป็นรวดร้าว ไคลน์เม้มปากแน่น จ้องมองใบหน้าซีดเซียวและร่างที่นอนสลบไสลด้วยแววตาเจ็บปวดนัก..

        ฝ่ามือของเขาสั่นไหวระริก ยามที่แตะลงบนเส้นผมนุ่มและใบหน้างดงาม..ไคลน์ สไตรค์เซอร์แตะปลายนิ้วลงยังลำคอขาว สัมผัสเส้นชีพจรที่เต้นเร่า...ปลายนิ้วของเขาลูบมันเบาๆอย่างครุ่นคิด..นัยน์ตาที่ล้ำลึกครู่นั้นจ้องมองมันเงียบๆก่อนที่จะเป็นฝ่ายถอนหายใจเบาๆและดึงผ้าห่มมาคลุมกายของคนป่วยอย่างอาดูร..

            ดวงตาสีเข้มกวาดมองทั่วบริเวณ จ้องมองภายในห้องด้วยสายตาระวังระไว ...ห้องนอนหรูหราสมฐานะบุตรชายของนายพลใหญ่ระดับประเทศมีของตกแต่งเพียงน้อยนิดบ่งบอกถึงนิสัยสมถะของเจ้าตัว.. ตำราแพทย์และเอกสารต่างๆถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่กลางห้อง ถัดจากนั้นเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่กลายเป็นที่วางข้าวของสารพัดสารพัน ตู้เสื้อผ้าสองตู่ใหญ่ ชั้นหนังสือขนาดใหญ่ยาวจรดเพดาน และ...กระจกบานยาวใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงขนาดใหญ่หรูหรา

       ...นัยน์ตาคู่นั้นลอบพิจารณากระจกใสเบื้องหน้าอย่างถี่ถ้วน..แต่เพราะไม่พบสิ่งใดปกติทหารหนุ่มจึงลุกจากเตียง ก้าวเท้าไปยังหน้าต่างบานใหญ่รวบเปิดผ้าม่านสีเข้มที่ปิดทางเข้าของแสง...แม้จะสลัวเรือนลางด้วยเป็นเวลาย่ำค่ำแล้วก็ตาม

          ไคลน์แตะปลายนิ้วลงปลดล็อก เปิดหน้าต่างกระกระจกหนาออกกว้าง..เขาชะโงกหน้าลงมองเบื้องล่างเผยให้เห็นภาพของถนนหน้าคลินิกยามมืดโพล้เพล้ร่างของผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ กรุงปารีสในชุดโค้ทสีเทาปรากฏอยู่ประปราย สายฝนเม็ดเล็กสาดซัดเข้ามาใส่ใบหน้าตามแรงลมที่ลอดผ่านจนผ้าม่านไหวพริ้ว..ชั่วขณะหนึ่งที่มีขนนกสีดำขนาดเล็กปลิวเข้ามาเช่นกัน แต่ไคลน์ยกมือกำมันไว้ได้อย่างรวดเร็ว..

          ชายหนุ่มตวัดสายตาจ้องท้องฟ้าหม่นครึ้ม มองแสงวิบวับของเครื่องบินรบที่บินผ่าน ก่อนที่ดวงตาสีอ่อนจะจ้องมองไปยังซอกตึกฝั่งตรงข้าม อันมีดวงตาสีดำและร่างในชุดคลุมสีทึมเทาซ่อนอยู่

         ฝ่ามือขาวจัดกำแน่นจนเกร็งเขม็ง ขนนกสีดำในมือแปรสภาพเป็นเพียงถ่านเถ้าสีซีดจางและเปราะสลายไปตามแรงลม ร่างของเขาและเจ้าของดวงตาสีแดงก่ำนั้นยืนจ้องมองสบดวงตากันท่ามกลางการกระทำที่ราวกับประกาศศัตรู..  ไคลน์จ้องมองดวงตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นเขม็ง..นัยน์ตาของเขาวาววับไม่ยอมแพ้ทั้งยังฉาบฉายไปด้วยความไม่พอใจ...ต่างจ้องมองกัน กระทั่งมันค่อยเลือนหายไปจากสายตา


     แกร๊ก....     

   เสียงประตูเปิดอีกครั้งพร้อมกับของที่ต้องการมาถึงด้วยฝีมือของพ่อบ้านวัยชรา ไคลน์ปิดหน้าต่างกระกระจกใสลงอีกครา เขากดล๊อกฝ่ามือคว้าผ้าม่านสีเข้มมาไว้พร้อมกับกระซิบถ้อยคำบางอย่างผ่านรอยเชื่อมของหน้าต่างสองบานเสียงเบา..

        ปิดผ้าม่านลงอีกคราพร้อมกับห้องที่ค่อยส่วงจ้าด้วยสีนวลของหลอดไฟ ไคลน์เดินเข้ามานั่งลงข้างเตียงคนป่วยอีกครั้ง ชายหนุ่มแตะมือลงบนร่างของคนป่วย ลงมือตรวจอาหารและดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดท่ามกลางการจับตามองของพ่อบ้านเฒ่า ในเสื้อโค้ทตัวยาวของฟาเอล กีโยต์  ยังคงมีจดหมายจากนายพลชาส์เดอตงส์และประวัติของ"ไคลน์ สไตรค์เซอร์" ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วอย่างละเอียด กระนั้น ฟาเอลก็มิอาจะไว้ใจชายคนนี้ได้อยู่ดี

       ..สัญชาตญาณบางอย่าง  อีกทั้งประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชน กระซิบบอกผ่านในใจอย่างเงียบงัน ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา..


..............

  :try2: สวัสดีค่ะ หายไปซะนานจนหลายๆคนคิดว่ามันยังมีชีวิตอยู่มั้ย ช่วงนี้เน็ตเน่ามากกว่าจะอัพได้ มากันทีเอาเเบบยาวๆกลัวไม่ได้โผลาจากหลุมมาอีก รู้สึกตื่นเต้นกับการมาอัพนิยายจริงๆ เอาไว้เจอกันตอนต่อไปนะคะ รอบนี้หลอนเเค่นี้พอเป็นพิธีค่ะ o22

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 3 : ระวังภัย ** 26/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 26-05-2014 19:45:30
มาแล้ววววว  :sad4:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 3 : ระวังภัย ** 26/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: hanahana ที่ 26-05-2014 20:30:55
อืมครึม ลึกลับ น่ากลัว น่าสงสัย 
แล้วก็สงสารเอนีล :sad4: ไม่รู้ทำอะไรผิด คือทุกคนดูลึกลับ
ยิ่งคนใส่ชุดดำมีอีกาเกาะนี่คงไม่ใช่คนที่่ควักตาเอนีลใชมั๊ย..... แบบ จิตมากกกกก :katai1: :katai1: :katai1:
บรรยายบรรยากาศแบบว่าเราหลอนตามเลย :mew5:

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 3 : ระวังภัย ** 26/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 26-05-2014 22:23:58
คราวนี้ตามมาปกป้องคนรักให้ได้นะไคลน์

คิดดูว่าเทพองค์น้อยจะทรมานแค่ไหนที่โดนทำร้ายขนาดนั้น คนที่รักยิ่งเจ็บกว่าเป็นพันเท่า
แถมมีทีท่าว่าตนเองคือสาเหตุแห่งความทรมานนั้นอีก ต้องเห็นสภาพนั้นของคนรัก ต้องรอคอยที่จะเจออีกครั้ง
สู้ๆนะไคลน์

หัวข้อ: LOST ANGEL ** Lost 4 : ฝันที่กลายเป็นจริง ** 27/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 27-05-2014 13:09:16
Lost : 4  ฝันที่กลายเป็นจริง


     

             เสียงกรีดร้องยังดังระงม ผสานเสียงหัวเราะและเสียงของผิวเนื้อที่ถูกฉีกกระชาก..หากภาพเบื้องหน้าไม่มีสิ่งใดปรากฏ มีเพียงสีแดงแผ่ซ่านจนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หากยังรู้สึกถึงความเจ็บปวด ความทรมานและความไม่เข้าใจ น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างเหลืออด หัวใจกรีดร้องก้องกังขา เพราะอะไร ทำไมถึงได้เจ็บปวด ทำไมถึงได้ทุกข์ทรมานกับความฝันที่ไม่รู้จักจบสิ้น...
 
              ปลายนิ้วเรียวยาวสีขาวจัด และเล็บยาวสีดำสนิทปรากฏขึ้นมาในแสงแดงนั้น ฝ่ามือนั้นโฉบเข้าหา กำเส้นผมแน่นพร้อมทั้งฉีกกระชากมันจนขาดร่วง ในหูแว่วเสียงฉีกขาดของผิวเนื้อด้วยปลายเล็บแหลมคม ที่ค่อยกรีดเข้า..เชือดลึก..กระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจที่หลุดออกจากร่างและมองเห็นเส้นเลือดสีแดงพวยพุ่งลงเปื้อนกาย..

               ร่างของคนที่คุ้นแสนคุ้นแน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างถูกชโลมด้วยสีแดงของโลหิต แน่นิ่งไม่อาจขยับกาย นัยน์ตาที่เหลือเพียงข้างเดียวเบิกค้าง ไม่อาจส่งเสียงใดออกมาได้ หากแต่เพียงชั่วเเล่นภาพกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นร่างของตนในสภาพมีชีวิตสมบูรณ์เดินเข้ามาใกล้ พลันดวงตาสีฟ้าสดจึงเบิกค้าง ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วแปรเป็นไร้สีเลือดและทรุดกายแน่นิ่งลงทันใด..

                ปีศาจที่กำศีรษะอันไร้ร่างอยู่พลันหัวเราะลั่น ดวงตาของมันเบิกขึ้นด้วยความสาใจ ดวงตาที่เคยเป็นสีดำสนิท ค่อยแปรเป็นสีแดงเลือด..ยามจ้องมองราวกับได้กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง หยาดหยดสีแดงที่สาดกระเซ็นตกต้องอาบผิวแก้มขาวซีดของปีศาจตนนั้น พร่างพรมใส่ร่างที่ไร้สติและศีรษะที่ไร้ชีวิตนี้อย่างต่อเนื่อง จนอาบย้อมห้องให้กลายเป็นสีโลหิต กระนั้น เสียงหัวเราะก้องกังวานของมันก็มิได้ลดลงเลย..


              เฮือก!

             นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเปิดขึ้นพบกับภาพเพดานเตียงแสนเคยคุ้นของตนสาดปะทะ ความมึนงงเกิดขึ้นเพียงครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวานหวั่นจากความฝันอันเลวร้ายที่ยังจำได้ตรึงตรา ความรู้สึกนั้นก็มิได้คลายลงผิวแก้มจึงยังซีดขาวไร้สีเลือด ฝ่ามือสั่นระริกยกขึ้นกุมขมับของตนแน่นเอนีลรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะของมันจะยังก้องกังวานในหู ช่างน่ากลัวและชวนให้หวานผวาเหลือเกิน..

              ร่างทั้งร่างสั่นไหวราวกับลูกนก ดวงตาเบิกค้างจ้องมองเงาดำของเครื่องเรือนและแสงสีอ่อนจากดวงไฟ แม้จะเคยคุ้นกับห้องนี้มาหลายปี แต่กระนั้นยามนี้ไม่ว่าสิ่งใดก็ดูน่าหวาดกลัวไปเสียหมด..เอนีลซุกหน้าลงกับเข่าตัวสั่นกลั้นเสียงสะอื้นด้วยความหวั่นหวั่นและทุกข์ทรมานที่จะเล็ดลอดออกมาจากลำคออย่างยากเย็น



                แอ๊ด..

                 "คุณหนู" ประตูเปิดออกพร้อมเสียงของพ่อบ้านคนสนิท กระนั้นด้วยความหวาดหวั่นร่างทั้งร่างจึงยังสะดุ้งเฮือก สั่นไหวหวาดกลัวต่อทุกสิ่งที่พานพบ หลังจากประสบเหตุการณ์เลวร้ายที่ยากจะอธิบาย

              "ลุงฟาเอล..." เอนีลครางในลำคอแผ่วเบา ปลายนิ้วสั่นระริกเอื้อมคว้าแขนเสื้อของพ่อบ้านผู้ชราไว้แน่น.."ผม.."
 
              "คุณเป็นลมล้มพับไปอาจจะเพราะทำงานหนัก ร่างกายเลยอ่อนแอ"เสียงของหนึ่งบุรุษผู้มาใหม่ดังขึ้นข้างกายทำให้เอนีลสะดุ้งโหยง ใบหน้าหวานหันขวับไปสบนัยน์ตาสีน้ำตาลที่แฝงแววห่วงหาคู่นั้น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆเมื่อพบว่าร่างสูงนั้นนั่งกอดอกจ้องมองตนเงียบๆอยุ่บนเก้าอี้ข้างเตียงซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะนั่งตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว..

              "คุณ.."
       
                "ผมนั่งเฝ้าคุณอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้..ขอโทษด้วยที่ไม่ส่งเสียงทัก แต่ผมคิดว่าคุณอาจอยากได้เวลาสงบจิตใจ"ไคลน์อธิบายสั้นๆแก่แววตาหวั่นไหวของเอนีล นัยน์ตาสีเข้มสบมองแววตาไหวระริกของผู้ฟังด้วยอาการหนักใจไม่น้อย ใช่ว่าตัวเขาจะมองไม่เห็นอัปกริยาของหมอหนุ่ม ร่างที่สะดุ้งเฮือก และผุดลุกขึ้นมาด้วยอาการหวาดกลัว หวั่นผวา ฝ่ามือยกขึ้นปิดหน้าตาพลางจ้องมองไปรอบกายด้วยอารามหวาดระแวง กริยาท่าทางนั้น บ่งบอกถึงฝันร้ายที่ไม่มีวันจางหายของชายหนุ่มตรงหน้า...

             ริมฝีปากของเอนีลเหยียดยิ้ม จ้องมองชายหนุ่มที่กอดอกมองตนเงียบๆด้วยสีหน้าขื่น "แล้วยังไง ตอนนี้กำลังนึกสมเพชผมอยู่เหรอ? หรือว่ากำลังคิด..ว่าจะใช้ตำราแพทย์เล่มไหนมารักษาผมกัน"

            "เห็นได้ชัดว่าการเจอกับเรื่องไม่สบอารมณ์แม้ในฝันทำให้คุณหงุดหงิดง่าย ผมจะไม่ถือสาแล้วกัน"

            "ไม่สบอารมณ์"เอนีลทวนเสียงสูง เป็นจริงที่ว่าอารมณ์ของเขาไม่คงที่และหวั่นไหวง่ายจากการประสบกับฝันร้ายและภาพบ้าๆที่ปรากฏขึ้นก่อนจะสลบไสล ทว่าแม้จะเป็นเช่นไรเขาก็ยังไม่พอใจกับท่าทีวางเฉยและบอกว่าอาการของเขามันเป็นแค่ผลกระทบจากฝันของชายตรงหน้า

            "ก็ใช่ที่ผมกำลังหวั่นไหว แต่ความโกรธของผมไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะเยาะ!" หมอหนุ่มคำรามเสียงขุ่นด้วยอาการหงุดหงิดใจ ลืมแม้มารยาทหรือกระทั่งสาเหตุที่ชายตรงหน้ามาอยู่ที่นี่ไปโดยสิ้นเชิง "คุณลองมาเจอแบบผมบ้างดีไหม? นี่มันไม่ใช่ฝันแล้ว เหมือนกับมีวิญญาณร้ายตามมาหลอกหลอนกระทั่งตอนที่ผมมีสติ คิดว่าผมอยากเจอเรื่องแบบนี้นักรึไง!คิดว่าผมชอบใจเหรอที่ต้องกลายเป็นเคสศึกษาของอาการป่วยทางจิตที่รักษาไม่หายนะ!"

 
              หมอหนุ่มกัดฟันกรอดเมื่อมองเห็นสีหน้าเรียบเฉยของผู้ฟัง เอนีลกำหมัดแน่นออกแรงเขวี้ยงหมอนใส่ร่างของไคลน์อย่างรวดเร็วด้วยความหงุดหงิดจนแทบคลั่ง

               ..เขาไม่รู้ความหงุดหงิดมันมาจากไหน ความน้อยใจและความทรมานในใจมันผุดมาจากไหนนักหนา แต่มันทรมาน...ทรมานจนน้ำตาแทบไหลเมื่อมองเห็นท่าทีเฉยชาของคนตรงหน้า..

               ..หัวใจของเขากำลังกรีดร้อง อ้อนวอนร้องขอ...มองสิ..มองมาที่ผม อย่าเมินเฉย อย่ามองเลยผ่านไปหาคนอื่นอีกเลย..

               "เห็นได้ชัดว่าเครียดจนต้องระเบิดออกมา"เสียงพ่นลมหายใจแรงของไคลน์ดังขึ้นเหนือศีรษะ ร่างสูงใหญ่ของนายทหารหนุ่มปราดเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างและใช้เขาของตนกดทับต้นขาของเอนีลไว้แน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววหงุดหงิดไม่น้อยกับการอาละวาดของหมอหนุ่ม  ขณะที่เอนีลเม้มปากแน่น พยายามจะขยับกายแต่ทำไม่ได้เพราะถูกคนตัวสูงกว่าจับไว้แน่น

               "คุณเอาแต่พล่ามว่าคนอื่นคิดว่าคุณเป็นโรคจิต และคิดว่าคุณบ้าอย่างโน้นอย่างนี้ไปเพื่ออะไร? ต่อให้คุณจะมีประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำจากการรักษา แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่คุณจะเอามาตัดสินหมอคนต่อๆไปของตัวเอง ถ้าคุณไม่เปิดใจ แล้วใครถึงจะสามารถช่วยให้ฝันร้ายนี้หายไปได้"

              "ผมไม่ได้บ้า!"เอนีลตวาดลั่น

              "ผมไม่ได้บอกสักคำว่าคุณบ้า!อาการของโรคจิตเภทน่ะมีหลายอย่าง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ?อย่าเอาความรู้สึกของคนทั่วไปมาตัดสินสิ นี่แค่ฝันร้าย มันก็แค่ฝันร้ายเองจะกลัวมันไปทำไม?"

              "ตอนนี้มันไม่ใช่แค่ฝันแล้ว..." เอนีลพูดเสียงขื่น มือไม้ที่ถูกกำไว้อ่อนแรงเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนพบ นัยน์ตาสีฟ้าสดจึงยิ่งสั่นไหวหัวไหล่ลู่ลงพร้อมอาการสั่นระริก..

              "ไม่ใช่แค่ฝัน..แต่ผมเห็น..เห็นมันมาอยู่ตรงหน้า ทั้งเลือด..ทั้งเสียงหัวเราะของเจ้าปีศาจนั่นหรือกระทั่งภาพหัวขอตัวเองขาดออกจากร่าง..นั่นน่ะ...มัน..."เอนีลเอ่ยเสียงสั่น ครานี้เขาดึงมืออกจากการเกาะกุมของไคลน์ สไตรค์เซอร์อย่างง่ายดายเพราะชายหนุ่มเหมือนจะรู้ว่าเขาไม่คิดอาละวาดขัดขืน ฝ่ามือสั่นไหวของหมอหนุ่มทาบลงบนใบหน้าซบซุกกลั้นสะอื้นด้วยอาการหวาดผวา..

              "ผมเห็นมัน..มันเหมือนเดินออกมาจากฝัน..ทำไมมันต้องมาหาผม ทำไมมันต้องทำร้ายผม..ทำไมต้องเป็นผม..ทำไม..."           

            ".............."
             
                 "ทำไมกัน...."

                 "นั่นสินะ....ทำไม...." ฝ่ามือหนาแตะลงบนต้นแขนขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลของไคล์น ไสตร์คเซอร์ จ้องมองมายังคนที่กำลังตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น ครู่หนึ่งดวงตาคู่นั้นจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความนัยน์อันลึกลับ สีน้ำตาลของแววตาแปรเป็นความมืดมน กระทั่งใบหน้าก็ยังชาเฉยแปลกตา

              ความฝันที่ไม่มีวันหาย..ความโหดร้ายที่ตามมาหลอกหลอนอย่างนั้นหรือ..

              เรื่องเลวร้ายแบบนั้น...คนที่ทำเรื่องแบบนั้น ทำไปทำไมกัน จนบัดนี้ตนก็ยังไม่อาจเข้าใจเสียเลย..


             "..ผมก็...ไม่เข้าใจจริงๆ..."  ริมฝีปากหนาเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตาและใบหน้านั้นจ้องมองเส้นผมสีทองของบุรุษที่กำลังร้องไห้ด้วยความอัดอั้นเบื้องหน้า หากแต่ดวงตาคู่คมกลับไม่ได้สะท้อนเงาของเอนีล ชาส์เดอตงส์ มันไม่สะท้อนสิ่งใดเลยราวกับมองทะลุผ่านไปเสียอย่างนั้น..

              ปลายนิ้วเรียวยาวออกแรงกำแน่น..แน่นขึ้น...กำและบีบรัดท่อนเเขนของบุรุษตรงหน้าราวกับไม่รู้ตัว หากความเจ็บปวดนั้นเองทำให้หมอหนุ่มผู้กำลังหวาดกลัวเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย และยิ่งแปรเป็นงวยงงมากขึ้นเมื่อมองเห็นสีหน้าและแววตาของคนตรงหน้า..

             ..ดวงตาสีน้ำตาลเข้มลึกลับ...ดำมืดราวกับห้วงทะเลที่ไม่อาจหยั่งถึง  ชั่วขณะหนึ่งความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในหัวใจ แทรกผ่านกระดูกสันหลังและกระจายไปทั่วร่าง ให้ดวงตาเบิกกว้าง..ไหล่สั่นระริก..

             "คะ...ไคลน์" ริมฝีปากสีขาวเอ่ยเสียงสั่น เช่นเดียวกับทั้งร่างที่สั่นไหว สีฟ้าของท้องทะเลสะท้อนอยู่ในเงาตาทำให้ร่างสูงชะงัก ไคลน์สบมองดวงตาสีฟ้าสดที่จ้องมองตนมาด้วยความหวาดหวั่นก็พลันสะดุ้ง แขนทั้งสองของเอนีลนั้นพยายามจะดึงออกจากมือของเขา ร่างของชายหนุ่มเบื้องหน้านั้นสั่นระริกราวกับมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดกลัวหนัก

             "เอนีล" ทหารหนุ่มเรียกคนที่กำลังตัวสั่นเทาราวกับลุกนกอย่างห่วงใย หากแต่ร่างนั้นเอาแต่ถอยหนีและส่ายหน้าหวาดหวั่น

             "คุณหนู" ฟาเอลก้าวเข้ามาประชิดปลายเตียงเมื่อมองเห็นท่าทีผิดปกติของนายตน ใบหน้าของพ่อบ้านวัยชราเครียดขึง จ้องมองท่าทีนายน้อยของตนก่อนจะสะบัดหน้าขึ้นสบมองดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอย่างงวยงงไม่แพ้กัน

             "เอนีล...เอนีล!" ปล่อยมือลงจากแขนขาวที่ตนบีบแน่นอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นข้างหนึ่งคว้าหมับที่ไหล่และอีกข้างคว้าหมับที่ปลายคางให้ใบหน้างดงามนั้นเงยขึ้น ให้ตาสบตา ให้ดวงตาสีฟ้าสดที่แสนหวาดหวั่นนั้นได้มองนัยน์สีน้ำตาลที่แสนห่วงหา


              ปลายนิ้วเรียวไล้ผิวแก้มขาว สัมผัสแผ่วเบาและปลอบประโลมให้คนตรงที่กำลังหวาดกลัวเงยหน้าขึ้นมาสบตาอย่างงวยงง เอนีลทำท่าจะหันหน้าหนีแต่ทันทีที่สบดวงตาสีน้ำตาลเข้มร่างทั้งร่างก็พลันสะดุ้งเฮือก!
         
                 ร่างที่ดิ้นรนพลันอ่อนยวบลงทันควัน ไหล่ขาวที่เคยสั่นระริกคลายลงเหลือเพียงอาการนิ่งเงียบ ใบหน้าก้มต่ำ...
 ฟาเอลอ้าปากค้างมองกริยาของนายน้อยตนที่แปรจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่ได้สบตาชายผู้มาใหม่ ชายชราสะบัดหน้าไปมองไคลน์ทันควัน หากที่เขาพบเจอคือดวงตาสีน้ำตาลที่เปล่งประกายวาววับ แต่เพียงกระพริบตามันกลับจางหายไปราวกับเป็นความฝัน

            "ขอโทษ คุณเจ็บมากไหม" น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นดังผ่านโสต ฟาเอลมองชายหนุ่มผู้เอ่ยปากถามไถ่นายน้อยของเขาด้วยอาการอ่อนโยน ใบหน้าชาเฉยที่เขาเห็นแปรเปลี่ยนเป็นดวงหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนเช่นเคยเป็น ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยวาววับด้วยประกายความนัยน์บางอย่างที่ตนไม่อาจรู้กลับมาฉายรอยอุ่นอีกครั้ง และทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นเอนีลที่อยู่ในสภาพก้มหน้าก้มตาและเงื่องหงอยราวกับไม่มีสติก็พลันเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาของนายน้อยมีเพียงความมึนเบลอที่ฉายชัด หากเมื่อสบมองดวงตาของไคลน์ สไตรค์เซอร์อีกครา แพทย์หนุ่มก็สะดุ้ง.นัยน์ตาสีฟ้าสดกระพริบถี่อย่างงวยงง

            "ไม่..ผมไม่เป็นไร"เอนีลเอ่ยเบาๆครู่หนึ่งที่เขานิ่งเงียบไปด้วยความไม่เข้าใจกริยาอาการของตัวเอง รู้สึกไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อได้สบตาไคลน์เขาก็สามารถสงบใจได้มากขึ้น แม้เมื่อครู่เขาจะอาละวาด โวยวายกับไคลน์ราวกับเด็กๆ อาการประหลาดๆที่ตัวเองแสดงออกมาเขาก็พยายามบอกว่ามันเป็นเพราะความเครียดที่อยากระบายออกเท่านั้น  ความรู้สึกหวาดกลัวปนกับความปวดร้าวลึกๆอันหาที่มาไม่ได้เท่านั้นเป็นเพียงอาการอุปปาทานไปเอง เพราะใจจริงแล้วเขาก็ต้องการชายผู้อบอุ่นอย่างไคลน์มาคอยดูแลเช่นกัน

              เอื้อมมืออันสั่นเทารับยาจากฟาเอลพร้อมแก้วน้ำมาจิบเพื่อนสงบอารมณ์พลุ้งพล่าน เอนีลสบตาที่ฉายแววห่วงใยปะปนด้วยความตกตะลึงบางอย่างของพ่อบ้านตนแล้วยิ้มให้บางๆ  แม้จะนึกสงสัยทว่าก็ปล่อยผ่านไป เพราะคาดว่าฟาเอลก็คงจะนึกห่วงเขาเช่นทุกครั้ง เขาหันไปมองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องมองมาที่ตนเงียบๆ ปล่อยให้ความเงียบแขวนค้างอยู่กลางห้อง ขณะที่ความคิดกลับไปวนเวียนหาสิ่งที่ตนพบเจออีกครา..ความฝัน ความจริง ภาพหลอน เรื่องโกหก เรื่องปั้นแต่ง การคิดไปเอง หรือความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้า มันคืออะไร มันคือสิ่งไหน ที่เขาประสบอยู่ ตอนนี้เขาแยกไม่ออกแล้ว

              "เมื่อกี้ผมทำตัวแย่ๆกับคุณ..ขอโทษด้วย" เอนีลเอ่ยเบาๆด้วยความละอายเมื่อนึกถึงพฤติกรรมก้าวร้าวซ้ำยังเหมือนเด็กเอาแต่ใจของตัว
         
              "ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ" ไคลน์จ้องหน้าเขานิ่งครู่หนึ่งด้วยท่าทีครุ่นคิดก่อนจะพ่นลมหายใจลงช้าๆ "ใครเจอเรื่องแบบนี้ก็ต้องรู้สึกไม่ดีเป็นธรรมดา อาการที่คุณแสดงออกมายังน้อยนักถ้าเทียบกับคนที่พบเจอแบบนี้คนอื่นๆ"

             "..คนที่ป่วย..แล้วบอกว่าตัวเองเห็นภาพหลอน คนจะมาฆ่าหรือมาทำร้ายตัวเอง ผมก็คงอยู่ในประเภทนั้นใช่ไหม" เอนีลเอ่ยช้าๆ เขาจ้องมองถ้วยชาในมือที่รับมาจากพ่อบ้านแล้วระบายยิ้มขื่น "ความจริงที่ผมเรียนหมอ ก็เพราะอยากจะรักษาอาการนี้ของตัวเอง ขนาดผมนั่งวิเคราะห์อาการตัวเองแล้วยังบอกได้แลยว่านี่มันไม่ปกติ..มีคนที่ไหนจะฝันว่าตัวเองโดนฆ่าซ้ำๆซากๆได้ทุกคืน"

               "...แต่ตอนนี้..มันไม่ใช่แค่ฝัน ตอนนี้ผมกลับเห็นมันยืนอยุ่ตรงหน้า" เอนีลเอ่ยช้าๆ นัยน์ตาสีท้องฟ้าจ้องมองใบหน้าของไคลน์ราวกับขอความช่วยเหลือ ด้วยความอับจนและสับสนเกินกำลัง หยาดน้ำใสๆเอ่อคลอดวงตาที่แดงก่ำผ่าวร้อนด้วยความตระหนก "จากฝันร้าย กลายเป็นประสาทหลอน อีกไม่นานก็คงได้กลายเป็นไอ้บ้า"

             เสียงหัวเราะขื่นๆของหมอหนุ่มดังขึ้นในห้องสั้นๆก่อนจะเงียบไปด้วยต่างรู้ว่าไม่อาจขัน  ไคลน์หรี่ตาลงจ้องมองร่างของเอนีลที่นั่งนิ่งก้มหน้ามองผ้าห่มของตนเองเงียบๆด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลจะกวาดมองรอบบริเวณห้องนอนที่บัดนี้สว่างจ้าด้วยแสงจากดวงไฟ ขณะที่เบื้องนอกนั้นพระอาทิตย์ลาลับ แสงเงาในห้องกระทบกับเครื่องเรือนเกิดเป็นเงาสีดำทาบผ่านตู้เสื้อผ้า ตู้หนังสือ เงาของพัดลมติดเพดานที่พัดใบอย่างเชื่องช้า และร่างของพ่อบ้านวัยชราที่ยืนนิ่งอยู่ปลายเตียงด้วยใบหน้าสงบนิ่งหากดวงตาวาววับ

             "ผมคิดว่า...เราจะได้คุยเรื่องนี้กันหลังอาหารเย็น" ไคลน์จ้องสบมองดวงตาของพ่อบ้านชรา ริมฝีปากเอ่ยช้าๆ "แต่...เห็นได้ชัดว่าคงรอถึงเวลานั้นไม่ได้แล้ว"

             "กระผมคิดว่า...."

             "ผมขอคุยอะไรกับเอนีล"เป็นการส่วนตัว"สักครู่หนึ่งจะได้ไหมครับ" ใบหน้าหล่อเหลาแย้มรอยยิ้ม ส่งไปให้พ่อบ้านวัยชรา หากรอยยิ้มนั้นไม่ได้รวมไปถึงแววตาที่ยังคงกร้าวเเข็ง ฟาเอลมองร่างของนายน้อยที่ตนดูแลกับผู้มาใหม่ที่บัดนี้บังเกิดสัมพันธ์ประหลาดบางอย่างต่อกันอย่างไม่วางใจ ยิ่งเหตุการณ์ที่แสนจะน่าสงสัยเมื่อครู่ได้มองเห็นด้วยตาของตนแล้วฟาเอลยิ่งไม่อาจปล่อยไปใด้ พ่อบ้านชราจ้องมองบุรุษผู้มาใหม่เขม็ง สัญชาตญาณมันบอกว่าคนๆนี้อันตรายเกินกว่าจะปล่อยให้อยู่กับคุณหนูของเขาตามลำพังได้

              แต่...


           
หัวข้อ: LOST ANGEL ** Lost 4 : ฝันที่กลายเป็นจริง ** 27/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 27-05-2014 13:10:16
               "ลุงฟาเอล..ผมยังไม่หิว" เสียงอันอ่อนระโหยโรยแรงของนายน้อยที่ตนดูแลรักใคร่มาหลายปีดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าซูบซีดชวนให้นึกสงสาร ฟาเอลนั้นดูแลเอนีลมาแต่เกิด เขารักและห่วงใยคุณชายคนเล็กของบ้านไม่ต่างกับบุตรในอุทร รับรู้ถึงปัญหาและความทุกข์ใจ ทรมานต่อความฝันและอาการแปลกๆของนายน้อยที่ตนรักมาตลอด อาการของเอนีลไม่เคยหายมีแต่จะมากขึ้น..มากขึ้นตามวันเวลา และยามนี้เล่า..ในตอนที่นายน้อยขอให้ตนออกไปก่อนด้วยสภาพอ่อนแรงเพราะความหวาดกลัว ต้องการจะพูดคุยและสนทนาเกี่ยวกับเรื่อง"ความฝัน"นั้น พ่อบ้านอย่างเขาจะขัดขวางการรักษาของนายน้อยผู้เป็นที่รักได้อย่างไร
แม้จะยังไม่นึกวางใจ แม้สัญชาตญาณจะบอกว่าอย่าไว้ใจชายตรงหน้า แต่ ฟาเอลก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับคำ ใช้ดวงตาจ้องมองส่งนายน้อยของตนด้วยความรักกระทั่งงับประตูลงไปเท่านั้น..

              พ่อบ้านเฒ่าแตะมือลงไปในเสื้อสูทที่ตุงหนาขึ้นด้วยกระดาษเอกสารภายในนั้น ใบหน้าเคร่งขรึมขณะที่ก้าวเท้าลงไปเบื้องล่างเพื่อโทรศัพท์หานายพลชาส์เดอตงส์และคุณชายคนโต ตนอยากสอบถามข้อมูลและยืนยันความมั่นใจว่าชายคนนี้ไม่ได้มาด้วยเจตนาร้ายใด และเป็นหมอจริงๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง..แม้ว่าการมาของคนๆนั้นจะน่าสงสัยเพียงใดก็ตาม!

     
  ..................

                 เสียงประตูปิดลงดังขึ้นเบาๆขณะที่เอนีลถอนหายใจพรู เขาเอนกายพิงหัวเตียง ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองไคลน์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าประดับรอยยิ้มเฝื่อนอย่างบ่งว่ารู้ดีว่าอาการของตนนั้นอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติแค่ไหน

              "ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีกับการต้องมาอยู่กับคนบ้าๆบอๆแบบผม ผมจะโทรไปหาพ่อให้เลิกกวนใจคุณก็ได้นะ"ชายหนุ่มเอยปากเสนอทางออก

              "คุณนี่ชอบคิดอะไรในแง่ร้ายเสียจริงๆ" ไคลน์เงยหน้ามาสบมองใบหน้าของเอนีลด้วยท่าทีระอาหน่าย ดวงตาสีน้ำตาลลึกล้ำคู่นั้นจ้องมองใบหน้าและสบตาเขาพลางเอ่ยคำเบาๆในลำคอ "ทั้งมองโลกในแง่ร้าย ทั้งพูดจาชวนโมโหไม่เคยเปลี่ยน"

            "เอ๋?"เอนีลขมวดคิ้ว เมื่อไดยินเสียงพึมพำของชายหนุ่มเบื้องหน้า

            "ไม่มีอะไร..ผมแค่จะบอกว่าคุณน่ะควรจะสงบใจและเลิกคิดว่าตัวเองบ้า"ไคลน์ถอนหายใจช้าๆ ขยับตัวเอนกายมาสบตาผู้ป่วย "ผมประจำอยู่ในสนามรบ พบเห็นทหารที่เป็นบ้าหรือมีอาการผิดปกติเพราะความเครียดมามากมาย แต่ไม่เห็นว่าคนบ้าที่ไหนจะขี้หงุดหงิดแถมเอาแต่พูดว่าตัวเองไม่ปกติแบบนี้ คุณเคยได้ยินไหม ที่ว่าคนบ้า มักจะมักไม่รู้ว่าตัวเองบ้าน่ะ""

            "แต่อาการของผมมันอาจจะใช่ก็ได้นี่ " ริมฝีปากบางบิดขึ้นพร้อมใบหน้าขึ้นสีน้อยๆด้วยความไม่พอใจที่ถูกดุ ทำให้คนมองแย้มรอยยิ้ม

            "ครับๆ...ตอนคุยกันเรื่องนี้ครั้งแรกคุณบอกตัวเองไม่บ้า และเย็นนี้คุณบอกว่าตัวเองบ้า...โอเค ผมจะจำไว้ว่าครั้งต่อไปคุณจะบอกว่าตัวเอง"ไม่เป็นไร"

            "เอ๊ะ...ก็ผม...."เอนีลหน้านิ่วเมื่อถูกล้อเลียน ขยับปากจะประท้วง

            "วันนี้เราไม่ได้มาคุยกันว่าใครบ้า หรือใครไม่บ้า" ไคลน์เอ่ยพลางส่ายหัวช้าๆ "ผมไม่คิดจะมาพูดว่าคุณมีอาการเป็นคนป่วยประเภทไหน ไม่ได้บอกว่าคุณเป็นพวกประสาทหลอนหรือเป็น Schizoaffective Disorder  โรคก้ำกึ่งระหว่างจิตเภทกับอารมณ์แปรปรวน..ถึงมันจะเหมือนแค่ไหนก็เถอะ"

               "หา..ว่าไงนะ "

                "เห็นไหมล่ะ" เอนีลไม่ทันจะอ้าปากโวยทหารหนุ่มก็สวนคำขึ้นมาก่อน "คุณบอกว่าตัวเองบ้า แต่พอมีคนพูดบ้างก็รับไม่ได้ แถมหงุดหงิดอารมณ์แปรปรวนเสียอีก" ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของแพทย์หนุ่มแล้วคลึงมันเบาๆ "เอนีล ชาส์เดอตงส์ สิ่งแรกที่คุณควรจะทำตอนนี้คือทำใจให้สบายและพักผ่อน ไม่ใช่มานั่งคิดว่าตัวเองบ้าไม่บ้า หรือสิ่งที่เห็นมันเป็นความจริงหรือภาพหลอน"

                "...แต่"

                "ที่ผมขอเวลาคุยกับคุณ ไม่ได้อยากจะตรวจอาการหรือคุยเรื่องโรคนั้นโรคนี้  รึมานั่งวินิจฉัยว่าคุณเป็นอะไร แต่ผมอยากคุย และผ่อนคลายให้พื้นอารมณ์คุณเเจ่มใสเสียก่อน" ทหารหนุ่มเอ่ยช้าๆ "ที่จริงแล้วอาชีพแพทย์ของคุณน่ะมันเป็นหนึ่งในอุปสรรคการรักษาเลยรู้ไหม เพราะใช้สมองมากเกินไป เพราะเรียนรู้มามากพอจะรู้เรื่องทฤษฏีโรคจิตวิทยาหรือเรื่องต่างๆ มันทำให้คุณยิ่งคิด ยิ่งเครียด และยิ่งกังวลว่าตัวเองจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จนกระทั่งเครียดเกินไปและลืมกระทั่งจะผ่อนคลายอารมณ์"

                "สิ่งที่ผมเห็นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเครียด" เอนีลยกมือขึ้นเสยผม ยิ้มเเสยะอย่างไม่เห็นขัน

                "นั่นไงล่ะ...ผมบอกแล้วว่าคุณเอาแต่คิดวิเคราะห์มากเกินไป ต่อให้เป็นหมอ แต่คุณก็ไม่ใช่หมอด้านจิตวิทยา หรือแม้คุณจะเป็น ก็มีแพทย์ที่วินิจฉัยอาการของตัวเองผิดอยู่ถมเถ" ไคลน์เอ่ยพลางถอนหายใจช้าๆ "ผมไม่คิดจะสนใจว่าที่คุณเห็นมันคืออะไร เพราะตอนนี้ผมอยากให้คุณเลิกคิดและหลับตาลงซะ.."

                "ผม....ไม่กล้าหลับ..."เงียบไปนาน เสียงพึมพำเบาๆจากปากของเอนีลก็ดังขึ้น หากใจใจความนั้นทำให้คนฟังขมวดคิ้ว

             ไคลน์จ้องมองใบหน้าที่ก้มมองผ้าห่มของตนเงียบๆสีหน้าเศร้าสร้อยและแผ่นหลังงองุ้มจนน่าสงสาร แววรวดร้าวลึกในดวงตาบ่งชัดว่าเจ้าตัวเจ็บปวดและทรมานกับฝันร้ายนี้มากเพียงใด ทหารหนุ่มจ้องมองร่างของชายเบื้องหน้า ครู่หนึ่งแววตาของเขาเข้มขึ้นและใบหน้าแปรเป็นตึงขึง..ฝ่ามือกำแน่นคล้ายจะเอ่ยบางสิ่ง...

             "ถ้าผมหลับ ผมก็ต้องเห็นมันอีก..มันโหดร้ายเกินไป" ฝ่ามือขาวกุมใบหน้าของตนไว้แล้วร่ำไห้ออกมาเงียบๆ เอนีลเม้มปากแน่น สะอื้นเบาๆในลำคอขณะที่ขอบตาร้อนผ่าว ศีรษะปวดระบมเมื่อภาพฑัณทรมานอันโหดร้ายยังคงคิดตามแม้เพียงหลับตา ศีรษะอันไร้ร่างของเขาจ้องมองมาด้วยดวงตาว่างเปล่ามีเพียงเลือดเอ่อนอง ชวนให้ร่างทั้งร่างสั่นไหวด้วยความหวาดผวา หัวใจปวดร้าว ทั้งหวาดกลัวและไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องพบเจอเรื่องราวเช่นนี้..

             กี่วันที่หลับตาแล้วเจอแต่ภาพเดิมๆ...ความฝันเดิมๆ กี่คืนที่ต้องตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ส่งเสียงหวีดร้องด้วยลำคออันแห้งผากและดวงตาไร้หวัง

             เขาปรารถนาจะตะกายออกไปจากกรงขังที่โหดร้าย อยากจะลบเลือนภาพฝันที่คอยหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจบรรเทา

             ทำไม...ทำไมถึงต้องพบเจอ ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้กัน

            "หลับเสียเถอะ..." ฝ่ามือหนาแตจะลงบนเส้นผม ความอบอุ่นที่แผ่ลงมายังหัวใจทำให้ร่างทั้งร่างนิ่งงัน เอนีลเงยหน้าไปมองสบแววตาอ่อนโยนของบุรุษหนุ่มที่ตนรู้จักเพียงชั่ววันด้วยความงวยงง สิ่งที่เขาพบเห็นมีเพียงรอยยิ้มอุ่น แววตาอ่อนโยน และถ้อยคำปลอบประโลมที่ค่อยกำซาบเข้าไปในหัวใจ...

            "ตะ...แต่...ผม " หากเขายังไม่อาจลืมเลือนได้ ว่าสิ่งใดจะตามมาหลังจากเข้าสู่นิทรา..

            "ไม่เป็นไร เชื่อผม " ไคลน์ขยับตัวขึ้นนั่งข้างเตียงหน้า ร่างสูงเอนกายเข้าหาแพทย์หนุ่มที่เอนตัวพิงหัวเตียงไว้ช้าๆ ฝ่ามือค่อยไล้ลงมาจากเส้นผมสู่ผิวแก้ม ละเลียดไล้และสัมผัสแตะต้องมันอย่างแผ่วเบา เต็มไปด้วยความรักใคร่ "มองตาผม..สบตาผม และเชื่อที่ผมพูด.."

            "...ผม...กลัว" ริมฝีปากบางพึมพำเสียงแผ่ว นัยน์ตาไหวระริกจ้องสบแววตาสีน้ำตาลที่แสนอบอุ่น เอนีลรู้สึกว่าหัวใจที่เต้นแรงด้วยความหวาดหวั่นค่อยแปรเปลี่ยน มันยังคงเต้นแรง หากแต่เป็นเพราะสัมผัสของชายตรงหน้า..

            "ไม่ต้องกลัว.."ปลายนิ้วแตะไล้ปลายคางแล้วแตะให้มันเงยขึ้นสบมองแววตาสีน้ำตาลและจ้องมองใบหน้ากันตรงๆ "ผมอยู่ที่นี่...ไม่ต้องกลัว..."

            "...ไคลน์...." ริมฝีปากบางเอ่ยพึมพำเสียงแผ่ว จ้องมองดวงตาคู่นั้นนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด หากความปวดร้าวขมปร่าอันไม่มีที่มากดทับให้ครางออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้นสะอื้น และ...น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาอย่างรวดเร็ว

            "...เอนีล?" ไคลน์รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ชายหนุ่มค่อยขมวดคิ้วน้อยๆ จ้องมองดวงตาสีฟ้าใสที่มีน้ำตาเอ่อนองและดวงตาแดงช้ำ ใบหน้าเดิม..คนๆเดิม ทว่ากลับมีบางสิ่งที่แปลกไปอยู่..และนั่นทำให้คนมองขมวดคิ้ว ด้วยนึกรู้ ว่ามันคือสิ่งใด

             "...ข้าขอโทษ.." น้ำเสียงที่ออกมาจากริมฝีปากบางดังขึ้นแผ่วเบา แต่ใจความนั้นทำให้ร่างของแพทย์หนุ่มเกร็งเขม็ง
.นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองใบหน้าของเอนีล ชาส์เดอตงส์อันเคยคุ้น หากครู่หนึ่ง เขามองเห็นใบหน้านั้นแปลกไปกว่าที่เคยเห็น

               ดวงตาสีเดิม..ใบหน้าเดิมๆ แต่ทำไมถึงได้ทุกข์ระทมและรวดร้าวนัก?

           "ไคลน์?..." ชั่วพริบตา แม้จะไม่เนิ่นนานหากกลับชัดเจนนักในความรู้สึก ร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ที่เอนกายมาเบียดร่างของเขาก็พลันสะดุ้ง ใบหน้าและผิวแก้มแดงวาบด้วยความตกใจเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในลักษณะไหน หมอหนุ่มรีบยันตัวออกห่าง ใบหน้าร้อนๆพยายามมุดลงไปในกองผ้าห่มอย่างสุดความสามารถเมื่อเเว่วเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่ถูกลวนลามดังขึ้น
           
            "ผมขอโทษ! ผมไม่ได้ตั้งใจ ไคลน์ คือว่า...."เอนีลอ้าปากกุกกัก พยายามเหลือเกินที่จะอธิบายเรื่องราวให้คนตรงหน้าได้เข้าใจ แม้ว่าตัวเขาก็ไม่รู้ว่าเผลอตัวไปทำท่าทางแบบนั้นเอาตอนไหนหรือเมื่อไหร่

            "พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว หลับซะเถอะ "ไคลน์หัวเราะเบาๆในลำคอ ฝ่ามือดันร่างของเอนีลที่ยังคงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนให้เอนกายลงบนเตียง "ไปพักผ่อนสักสองสามชั่วโมง ประมาณสามทุ่มผมจะให้พ่อบ้านของคุณมาปลุกไปทานข้าว"

            "แล้วคุณ..?"เอนีลเอ่ยถาม ดึงผ้าห่มจากบั้นเอวขึ้นมาจรดปลายคาง

            "ผมขอไปจัดเสื้อผ้าแล้วก็จัดการธุระส่วนตัวก่อนแล้วกัน ผมยังไม่หิว"ไคลน์ยิ้มขันกับท่าทีเหมือนเด็กน้อยของชายหนุ่มตรงหน้า

            "อ่ะ...เอ่อ...."เอนีลร้องทักเบาเมื่อเห็นว่าไคลน์ทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นหันมาหา นัยน์ตาสีฟ้าสดหรุบต่ำ ผิวแก้มแดงวาบอย่างปิดไม่มิดขณะเจ้าตัวพูดเบาๆด้วยความขัดเขิน "คุณ..ช่วยอยู่ตรงนี้ก่อนได้ไหม"

             "...?" ไคลน์มีสีหน้าสงสัย

            "คือ...ผมนอนไม่หลับ..ถ้าไม่มีใครอยู่ด้วย" เอนีลเอ่ยปากขออกมาเบาๆถึงเรื่องน่าอายของตนที่ไม่คิดจะเผยให้ใครรู้เด็ดขาด กับความจริงที่ว่าเพราะความฝันนั้นทำให้เขาหวาดกลัวคามมืดยามปิดดวงตาลงมากมาย มันฝังใจมาตลอดจนไม่อาจสลัดนิสัยนี้หาย ที่ผ่านมาฟาเอลพ่อบ้านจะต้องอยู่เฝ้าเขาตลอด เจ้าตัวจะยืนถือเชิงเทียนและเฝ้ามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนกระทั่งเขาหลับไปทุกวันๆจนกลายเป็นความเคยชิน

            "อ้อ..." เอนีลคาดว่าเขาจะได้รับเสียงหัวเราะหรือท่าทีขบขัน เพราะตัวเขาที่อายุขนาดนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กๆ  แต่เปล่าเลย ไคลน์เพียงแต่พยักหน้าและยิ้มรับ และทรุดกายลงข้างเตียงอีกครา

             ".........." ฝ่ามือขาวจัดถูกดึงไปกุมไว้อย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วที่ไล้หลังมือเบาๆสร้างความผ่อนคลายและอบอุ่นนั้นรู้สึกดีจนตัดใจดึงมันออกไม่ลง เอนีลเงยหน้าขึ้นสบมองแววตาอบอุ่นจากชายหนุ่มเบื้องหน้า เขามองเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นเป็นประกายอ่อนโยนอย่างที่พบเห็นได้ยาก ทั้งรอยยิ้มและใบหน้ายิ้มแย้มนั้นช่างติดตรึง แม้จะชวนให้นึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดคนที่ได้พบกันไม่ถึงชั่ววันถึงได้มีท่าทีแบบนี้กับเขา ทว่า...ปลายนิ้วที่แตะลงบนหน้าผากและไล้เส้นผมเบาๆ ช่างแสนอบอุ่นจนนึกเสียดายหากจะมัวแต่นั่งระแวง

              ความเงียบดำเนินไปอย่างเชื่องช้า สรรพเสียงภายในห้องนอนนี้ไม่มีสิ่งใดนอกจากเสียงลมหายใจแผ่ว ท่ามกลางแสงไฟสีส้มอ่อนๆที่ส่องแสงนวลตาทั่วทั้งห้อง ภาพของบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหล่า มีใบหน้ายิ้มแย้มและแววตาอ่อนโยนช่างตราตรึง ทั้งสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือหนาก็ยิ่งชัดเจนนัก..

               นัยน์ตาสีท้องฟ้าค่อยปรือปิดลงช้าๆ ชั่วขณะหนึ่งเอนีลมองเห็นปลายนิ้วของไคลน์แตะลงมาที่หน้าผาก มันคงไม่แปลกหากจะไม่มีแสงนวลสีอ่อนๆออกมาจากปลายนิ้วเรียวงามนั้น แต่ความสงสัยเกิดขึ้นเพียงเสี้ยวหนึ่งทุกอย่างก็จางหาย ทันทีที่ปลายนิ้วนั้นแตะลงบนหน้าผาก กลิ่นหอมๆก็ชายโชยพร้อมกับสติที่เลือนรางค่อยหลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว

              ก่อนที่ประสาทรับรู้ทั้งหมดจะปลาสไปสิ้น เอนีลยังได้ยินเสียงกระซิบของไคลน์..มันดังขึ้นเบาๆหากแต่ซาบซึ้งและน่าฟังยิ่งนัก

              "ผมอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครทำอะไรคุณได้อีกแล้ว"

              นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยปิดลงพร้อมกับเสียงลมหายใจดังขึ้นเบาๆหากสม่ำเสมอเป็นสัญญาณที่บอกว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าเข้าสุ่ห้วงนิทรา ไคลน์กวาดตามองคนที่อยู่บนเตียงอยู่ครู่หนึ่ง เขาละปลายนิ้วออกจากหน้าผากบางและค่อยแกะมือออกจากการเกาะกุมพร้อมกับลุกออกมาจากเตียง หากกลับหันมามองอีกครั้งราวกับห้ามใจไว้ไม่อยู่ เขากวาดมองคนที่นอนหลับอยู่อีกครั้ง และความคะนึงหาที่รุนแรงในหัวใจทำให้ฝ่าเท้าของเขาก้มตัวไปหาเจ้าของเส้นผมสีทองอร่ามบนเตียง ใบหน้างดงามหลับตาพริ้ม สีหน้ายามนิทราช่างแสนงดงามและสงบสุข ทำให้ไคลน์ยิ้มออกมาบางๆ

              ปลายนิ้วแตะไล้เส้นผมสีทองคำ ไล้เล่นอย่างสเน่หารอยยิ้มประดับบนใบหน้าคมพลางจ้องมองใบหน้าของเอนีล ชาส์เดอตงส์อย่างหลงใหล แต่เมื่อกระพริบตาอีกครั้ง..นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลับค่อยแปรเป็นสีเข้ม ใบหน้าคมก้มแนบชิดหากไร้รอยยิ้ม และท่ามกลางความเงียบที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ฝามือหนาค่อยไล้ลงบนลำคอขาว แตะปลายนิ้วลงบนเส้นชีพจรเพียงแผ่วเบา..

              "อือ.." เสียงครางในลำคอของคนที่กำลังหลับสบายและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มราวกับกำลังฝันดีนั้นทำให้คนมองชะงัก ไคลน์ละมืออกจากลำคอขาว ยืดตัวขึ้น เขาจ้องมองใบหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีครุ่นคิด ที่สุดจึงผ่อนลมหายใจยาวใบหน้าคมปรากฏรอยยิ้มอีกครา ฝ่ามือหนาจัดการดึงผ้าม่านที่ถูกรวบไว้ข้างเสาเตียงออกอีกครั้ง คลี่มันออกและให้มันทิ้งตัวปิดบังภาพเจ้าชายผู้งดงามซึ่งกำลังนอนนิทราบนเตียงท่ามกลางแสงไฟอ่อนๆด้วยรอยยิ้ม

              ฝ่าเท้าก้าวผ่านเตียงหนา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองทั่วห้องเพื่อสำรวจตรวจตราเป็นครั้งสุดท้าย เขาเดินไปยังบริเวณหน้าต่างอีกครั้ง ชายหนุ่มดึงม่านออกกอย่างแรง เผยให้เห็นภาพของมหานครปารีสในยามค่ำคืน แสงไฟจากบ้านเรือนและอาคารต่างๆยังคงสว่างไสวบ่งบอกถึงความมีชีวิต และตรอกซอยตรงข้ามกับคลินิกไม่มีร่างเจ้าของดวงตาสีแดงคู่นั้นทำให้ตนนึกเบาใจ กระนั้นก็ไม่อยากประมาท ปลายนิ้วเรียวจึงแตะลงบนกรอบหน้าต่างริมฝีปากหนาพึมพำเอ่ยคำอย่างแผ่วเบาอีกคราเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะดึงม่านปิดลงอีกครั้ง

                แกร๊ก...
 
               ร่างสูงก้าวออกมาจากห้องนอนของผู้เป็นเจ้าของห้องพัก พลันสะดุดกับร่างของพ่อบ้านวัยชราเบื้องหน้า ไคลน์หรี่ตาลงน้อยๆ สบมองแววตากร้าวของฟาเอล กีโยต์ ที่โยนกระดาษใส่หน้าเขาด้วยความไม่พอใจ!

...........................




 :katai5: กระดื๊บบบบบบ  เเว้บมาค่า ดีจายที่เน็ตใช้ได้ ตอนนี้มาเเบบหวานๆอบอุ่นๆ //เหรออออ 55++ :mew5://เจอกันตอนหน้าค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 4 : ฝันที่กลายเป็นจริง ** 27/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 27-05-2014 13:23:05
 :mc4:
ถ้าเป็นกลางคืนจะไม่กล้าอ่านนะเนี่ย
ขอแว่บไปอ่านต่อ มาแบบยาวววว
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 4 : ฝันที่กลายเป็นจริง ** 27/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 27-05-2014 15:13:35
ตามมาจากพี่โต ตามมาอ่านเงียบๆ แบบ งงๆ
รอตอนหน้าเผื่อจะหายงง สับสนว่าใครเป็นใคร :really2:

มาให้กะลังใจคนเขียนค้าาาา  :katai4: ฮึบๆ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 4 : ฝันที่กลายเป็นจริง ** 27/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: oreena ที่ 27-05-2014 15:34:44
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: LOST ANGEL ** Lost 5 : Remember ** UP.28/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 28-05-2014 12:45:32
Lost 5 : Remember



                   กระดาษเอกสารสี่ห้าฉบับซึ่งถูกโยนใส่ใบหน้าทันทีที่ปิดประตูและเดินออกมาจากห้องพักของคุณหมอเอนีล ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไม่แม้แต่จะกระพริบเสียด้วยซ้ำยามเห็นกิริยาหยาบคายผิดวิสัยอาชีพ ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองแผ่นกระดาษที่ร่วงกราวลงอย่างรวดเร็ว เอกสารแจ้งข้อมูลพิมพ์ด้วยกระดาษเนื้อดียับย่นด้วยอารมณ์กรุ่นเคืองของผู้ถือ ฟาเอล กีโยต์ พ่อบ้านผู้ชราประจำตระกูลชาส์เดอตงส์จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยแววตาวาววับ ริมฝีปากผากแห้งเม้มแน่น เต็มไปด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกอย่างชัดเจนต่อชายเบื้องหน้า..

                   แกร่บ..


                   กระดาษเนื้อดีหล่นอยู่ตรงปลายเท้า ถูกหยิบขึ้นมาด้วยปลายนิ้วของไคลน์ สไตรค์เซอร์ ใบหน้าหล่อเหลางดงามที่คงรอยยิ้มอ่อนโยนเรียบเรื่อยแสนจะเป็นสุภาพบุรุษยามอยู่ต่อหน้าบุตรชายของนายพลใหญ่บัดนี้จางไปเหลือเพียงสีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างกับแผ่นกระดาษในมือ..

                    นัยน์ตาสีเข้มสบมองความไม่พอใจในดวงตาของพ่อบ้านชรา ใบหน้าหล่อเหลางดงามนั้นไม่ปรากฏความงวยงงขึ้นเสียด้วยซ้ำยามทอดมองใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่อยู่ในกระดาษ

                    เอกสารนั้นเป็นประวัติโดยละเอียดของชายคนหนึ่ง..บุรุษผมสีน้ำตาล ดวงตาสีเดียวกัน เชื้อสายฝรั่งเศษ-อังกฤษ ประกอบอาชีพรับราชการทหารกับกองทัพฝรั่งเศส อดีตเคยประจำอยู่ที่แคว้นไรน์แลนด์  ชายผู้มีชื่อว่า ไคลน์ สไตรค์เซอร์..

                    ..แต่ใบหน้าของบุคคลในรูปนั้น ไม่ใช่ ไคลน์ สไตรค์เซอร์ที่ยืนอยู่ตรงนี้!!!
 
                     "แก..." พ่อบ้านเฒ่าคำรามด้วยความไม่พอใจ ลางสังหรณ์ที่มีนั้นถูกต้องในที่สุด ตนนั้นนึกเคลือบแคลงสงสัยท่าทีของบุรุษผู้มาใหม่ไม่น้อย จึงได้ขอประวัติของไคลน์ สไตรค์เซอร์ จากเจ้านายตนเพื่อมาตรวจสอบให้แน่ใจ ฟาเอลคิดว่าชายคนนี้มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ ตนคิดว่าอาจจะได้เงื่อนงำในการเป็นสายลับ ชายคนนี้อาจจะมาสืบข่าวคราว หรือเป็นคนของคู่แข่งที่ส่งมากำจัดคุณชายก็เป็นได้

                      ... แต่ฟาเอลไม่คิด..เขาคาดไม่ถึงเลยว่าชายคนนี้จะมีใบหน้าแตกต่างกับคนในรูปอย่างสิ้นเชิง

                     ทั้งรูปร่างหน้าตา ลักษณะหรือแม้กระทั่งส่วนสูงมันผิดแผกไปหมด มันเป็นเพียงการแอบอ้างชื่อ ไม่ใช่คนเดียวกัน ไม่มีอะไรเหมือน ไม่ใช่การปลอมตัวเสียด้วยซ้ำ!! แต่ทำไมบอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันนายน้อยและดูแลอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ถึงได้ไม่รู้เรื่อง!? การ์ดพวกนั้นไม่ได้ตรวจสอบอะไรเลยหรือ? นี่พวกเขาเลินเล่อมากเท่าไหร่กันถึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ ซ้ำพวกตนยังเป็นฝ่ายปล่อยให้มันเข้าใกล้คุณชาย..

                      ปึง!

                   "จะไปไหนครับ?" เร็วเท่าความคิดฟาเอลกระโจนพรวด พยายามถีบตัวไปหาประตูห้องอย่างไม่คิดจะสนใจสภาพร่างกายของตน จิตประหวั่นคิดไปถึงนายน้อยที่เขาห่วงหานัก ทว่าเพียงแตะมือลงบนบานประตู  ท่อนแขนก็ถูกกระชากกลับซ้ำยังบีบแน่น แล้วเรี่ยวแรงชายชราอย่างตนหรือจะสู้บุรุษหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ได้ไหว

                   "เจ้าสายลับ!แกทำอะไรคุณชาย" ฟาเอลร้องตวาดสวนคำไปอย่างไม่ยอมแพ้ พ่อบ้านเฒ่าใช้ดวงตาอันฝ้าฟางของตนจ้องมองหน้าคนพูดเขม็ง ในใจร้อนรนยามคิดถึงคุณชายคนเล็กของบ้าน ฟาเอลนึกละอายใจนักที่ตนเองนั้นเลินเล่อ ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมเข้าถึงตัวคุณชายเพียงเพราะมีจดหมายมาจากท่านนายพล ทั้งๆที่มันอาจจะเป็นสายลับ อาจจะชิงหนังสือมาจากผู้รับคำสั่งตัวจริง มันอาจเป็นมือสังหารมาทำร้ายแก้วตาดวงใจของท่านนายพลก็เป็นไปได้

                   "เงียบหน่อยสิครับ เสียงดังเดี๋ยวเอนีลจะตื่นเอา" ฝ่ามือซ้ายบีบแขนพ่อบ้านเฒ่าและเอ่ยตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉย มืออีกข้างของไคลน์แตะลงบนลูกปิดประตู แสดงชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้สุ้มเสียงการทะเลาะวิวาทนี้เข้าถึงหูชายหนุ่มผู้กำลังนิทราอยู่เด็ดขาด แน่นอนรวมถึงไม่ยอมให้ใครเข้าไปรบกวนเจ้าชายผู้นิทราสนิทในนั้น

                   "แกทำอะไรคุณชาย! สายลับสองหน้าอย่างแกน่ะกำลัง..อึ่ก..."

                   “กล่าวหากันแบบนี้ไม่ดีนะครับ” ริมฝีปากหนายังคงหยักยิ้มอ่อนเช่นที่เคยพบเห็น ทว่ากับฟาเอลแล้วเขาถือว่ารอยยิ้มนี้เชื่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!

                   “กล่าวหาอะไร...กับไอ้คนที่แอบอ้างชื่อผู้อื่นอย่างแก!!” พ่อบ้านเฒ่าพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม หรืออย่างน้อยก็ยังคงพยายามตะโกนให้สุดเสียงเผื่อว่าเหล่าการ์ดข้างนอกจากได้ยินบ้าง

                   “ชื่อนั้นสำคัญฉไน...?” คิวเข้มเลิกขึ้นเนิบช้า อัปกริยาฉงนฉงายกลับทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูน่ามองขึ้นนับเท่าตัว ก่อนที่ ไคลน์ สไตร์คเซอร์จะถอนหายใจแผ่ว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องสบดวงตาของพ่อบ้านเฒ่าด้วยสีหน้าจริงจัง..

                    “รู้เพียงว่าผมมาเพื่อปกป้องดูแลคุณชายที่คุณรัก และมาช่วยขจัดปัดเป่าฝันร้ายของเขาให้หายไป เพียงเท่านั้นยังไม่พออีกหรือ?”

                     ใบหน้าหล่อเหลานั้นจ้องมองสีหน้าโกรธเคืองนั้นคล้ายฉงน ราวกับชายผู้นี้ไม่อาจเข้าใจความเคืองแค้นที่มุ่งมาสู่ตนได้ชัดเจนนัก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นยังพยายามจับจ้อง หวังเพื่อแสดงความจริงใจราวกับไร้เดียงสา

                     “แกพล่ามอะไร?” พ่อบ้านเฒ่าแค่นหัวเราะ สำหรับฟาเอลแล้ว ท่าทีเมื่อครู่นั้นน่าหัวร่อนัก “พยายามแสดงความจริงใจ ทั้งที่โกหกมาแต่แรกน่ะรึ น่าขำสิ้นดี!!”

                     “สำหรับมนุษย์ที่มีความเชื่อใจให้กันเพียงน้อยนิด ก็คงไม่พอจริงๆล่ะนะ...” ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว แม้ร่างสูงจะมีท่าทีระอาใจ แต่ฝ่ามือที่กำแขนของพ่อบ้านเฒ่าไว้ยังคงแน่นแข็งปานคีมเหล็ก ฟาเอลพยายามกรอกตาซ้ายขวามองหาจากชั้นสามเพื่อหวังพบเจอเงาหรือร่างของบอดี้การ์ดฝีมือดีที่ถูกจ้างมาสักนิด แต่ยามนี้ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเสียเลย ด้วยแม้สักเส้นผมยังไม่ปรากฏเสียด้วยซ้ำ

                   “ระ...รอสซะ...อั่ก!!”

                   "อย่าแม้แต่จะคิดบอกพวกการ์ดรักษาความปลอดภัยข้างนอก" คราวนี้ไคลน์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว ริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยเสียงแผ่ว นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงน้อยๆยามจ้องมองสีหน้าหวาดหวั่นและดวงตาที่เบิกกว้างของชายชราเบื้องหน้า..บุรุษที่ถูกปิดปากด้วยฝ่ามือของตนที่ขย้ำลงไปในลำคอเหี่ยวย่นนั้นโดยแรง..

                   "ฮึ่ก...ฮั่ก..." ร่างของฟาเอลดิ้นอย่างรุนแรงเมื่ออากาศหายใจเริ่มขาดห้วง พ่อบ้านชรารู้สึกหูอื้อและสมองอื้ออึงด้วยเสียงลม ดวงตาเบิกค้าง หากนัยน์ตาฟ้าฟางยังคงจ้องมองไปยังบุรุษตรงหน้าเขม็ง

                   “คุณไม่ควรดูถูกน้ำใจของคนอื่น เพราะมันจะทำให้ผมโกรธ...” ไคลน์ถอนหายใจ ฝ่ามือข้างที่ว่างทิ้งลงข้างตัวยังคงมีท่าทีไม่สะดุ้งสะเทือนแม้กำลังใช้กำลังประทุษร้ายร่างกายของผู้อื่นอยู่ ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นจ้องมองชายแก่ผู้มีสีหน้าบิดเบี้ยวพลางเอ่ยพร่ำคำสอน

                   “ทั้งที่ผมพยายามดูแลเขาด้วยใจจริง..เหตุใดถึงต้องเข้าใจผิดกันด้วยนะ มนุษย์..”     

                    ผู้ชายตรงหน้าจะพุดอะไรบัดนี้ไม่อาจเข้าหู ยิ่งนานลำคอยิ่งปวดร้าว พยายามดิ้นรนและต่อสู้ก็แล้วแต่เหมือนจะไร้ผล ฟาเอลมองเห็นแววตาเหนื่อยหน่ายที่แฝงความเย็นยะเยียบของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วหนาววูบในใจ สำนึกรู้ว่าเขากำลังจะตาย กำลังบอกให้น้ำตาค่อยทะลายหลั่งทะลักลงมาพร้อมกับร่างที่ดิ้นเร่าด้วยความทรมาน

                    หัวสมองมึนเบลอ คิดอะไรไม่ออก กระนั้นพ่อบ้านชราก็ยังไม่ข้าใจ แม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เรี่ยวแรงแตกต่างกับตนที่เป็นเพียงชายชราวัยไม้ใกล้ฝังอยู่แล้ว แต่นี่มันเกินไป ผู้ชายที่ใช้มือเดียวบีบคอเขาซ้ำยังสามารถยกร่างของตนขึ้นจนปลายเท้าไม่แตะพื้นด้วยท่าทีสบายๆ มันเหนือจริงเกินไป

                    ความประหวั่นพรั่นพรึงแทรกเข้ามาในใจอย่างเฉียบพลัน ใบหน้าแสดงอาการหวาดหวั่นหวาดกลัวชัดเจนเมื่อได้สบมองดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น..แม้จะยังเป็นสีน้ำตาลที่ดูอบอุ่น ทว่ากลับรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วตัวราวกับโดนทุบกระดูกเสียอย่างนั้น

                   ตุบ..

                   “อ่า...พอทำแบบนี้แล้วจะทรมานสินะ ลืมไปเสียสนิท..” อีกนิดเรียวแรงทั้งหมดจะหมดลงพร้อมทั้งเปลวเทียนแห่งชีวิตที่ไหวระริกจะดับวูบ แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับละฝ่ามือออกแล้วปล่อยให้พ่อบ้านเฒ่าทรุดกายลงหอบเอาหายใจเข้าปอดเพื่อยื้อชีวิต

                  "โชคดีที่ผมลงมือกับมนุษย์ไม่ได้" ริมฝีปากบางเอ่ยเสียงเรียบ หากใจความนั้นทำให้ความงวยงงบังเกิด ฟาเอลนึกสงสัยแม้บัดนี้เขาจะสำลักกระอักกระไอด้วยอากาศที่เผลอสูดเข้าไปอย่างตะกรุมตะกรามเมื่อพ้นเงามัจจุราช กระนั้นหูก็ไม่ได้ฝาดพอจะไม่ได้ยินคำๆนั้น..

               ลงมือ? มนุษย์?
               หมายความว่าอย่างไรกัน..?


                   "แต่ก็คงปล่อยไปไม่ได้" ร่างของไคลน์ทรุดกายลงเบื้องหน้าพ่อบ้านชรา นัยน์ตาคู่นั้นยังคงวาววับด้วยความนัยน์บางอย่างที่ฟาเอลมิอาจรับรู้ความหมาย พ่อบ้านชราจ้องมองกระดาษที่มีใบหน้าของ"ไคลน์ สไตรค์เซอร์" ซึ่งมีรูปลักษณ์แตกต่างกับชายหนุ่มรูปงามตรงหน้ามากนัก ลางสังหรณ์บางอย่างกรีดร้องให้หลีกหนี สัญชาตญาณเบื้องลึกกู่ก้องให้ผละห่าง มันกำลังพร่ำบอกอย่างหวาดกลัวต่อคนที่อยู่เบื้องหน้า และเมื่อดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นตวัดผ่าน พ่อบ้านเฒ่าถึงกับสั่นระริกไปทั้งตัวด้วยความหวั่นกลัว
     
                    "แก....เป็นใครกันแน่" น้ำเสียงแหบแห้งด้วยลำคออันบวมช้ำจากการบีบแน่นเอ่ยออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น ร่างอันสั่นไหวของพ่อบ้านเฒ่าพยายามคลานหนีร่างของบุรุษปริศนาเบื้องหน้าอย่างทุลักทุเล แม้ยากลำบาก..หากแต่ในใจยังนึกห่วงหาชายหนุ่มซึ่งตนรักดั่งลูกในอุทร เอนีล ชาเดอตงส์ คุณชายผู้นอนหลับอยู่ภายในห้องนั้น

                  แกร่กๆๆๆ

                     ฝ่ามืององุ้มง้างประตูห้องของคุณชายเอนีลออกอย่างสุดแรงแม้ดวงตาจะจับจ้องร่างของชายผู้นั้นไม่ห่าง ไคลน์  สไตรค์เซอร์ ยังคงยืนมองร่างของเขาอยู่แบบนั้น ดวงตาสีน้ำตาลจ้องเขม็ง ท่าทีลังเลราวกับไม่รู้จะทำอย่างไรกับตัวเขา ใบหน้านั้นจึงปรากฏรอยยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกราวกับฆาตกรที่มีความสุขกับการเห็นเหยื่อทรมานและหวาดกลัว..

                    ฟาเอลตัวสั่นระริก พยายามเสือกกายสอดแขนขาเข้าไปในห้องของนายน้อยตนอย่างสุดความสามารถ แม้จะทำได้ยากนักด้วยเรี่ยวแรงที่ยังไม่กลับมา และเขายังหมอบคลานอยู่กับพื้นพรมหนาเช่นนี้

                    ..แต่ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตของ เอนีล ชาส์เดอตงส์นั้นจะจบลงเพราะคนผู้นี้ไม่ได้!!

                   "คุณชาย..คุณชาย! ตื่นเถอะครับ คุณชาย!" ฟาเอลร้องเรียกหมอหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง ทว่าน่าเสียดายนักมันช่างแผ่วเบาจนไร้การเคลื่อนไหวใดๆตอบกลับ ผ้าม่านที่โรยลงรอบเตียงอันเป็นที่นิทราแสนสุขไม่มีอาการขยับไหวให้เห็นแม้สักนิด แม้จะพยายามเปล่งเสียงตะโกนเช่นไรก็ดูจะไร้ผล..

                   "คุณชาย!..รอสโซ่! ฟรานเชสโก้! คริสเตียะ...."

                   "เสียเวลาเปล่า" เสียงถอนหายใจดังขึ้นเหนือร่าง ฝ่ามือหนาตะปบลงบนริมฝีปากแห้งผากที่ตะโกนเรียกเหล่าบรรดาบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัยด้วยสีหน้าแตกตื่นไว้เพียงเท่านั้น ใบหน้าเหล่อเหลาก้มลงสบมองดวงตาอันฟ้าฟางของพ่อบ้าเฒ่าที่ดิ้นรนไม่หยุดด้วยสีหน้าครุ่นคิด และใช้เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะกระชากร่างของฟาเอลให้ออกห่างจากประตูห้องของคุณหมอเอนีล

                  "แกทำอะไร" ฟาเอลถามเสียงเครียดด้วยใบหน้าเผือดขาว ตกใจซ้ำยังงวยงงและไม่พอใจหนัก แม้ร่างสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่นและบางสิ่งที่ตนสามารถสัมผัสได้ชัดเจน..

                   ...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา

                   "คุณหมอชาส์เดอตงส์กำลังไม่สบาย สมควรจะพักผ่อน ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะรบกวน" ไคลน์ สไตรค์เซอร์ตอบออกมาสั้นๆด้วยริมฝีปากระบายยิ้ม "คุณฟาเอลห่วงคุณหมอเอนีลมากไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้เขาอุตส่าห์ได้นอนหลับอย่างไร้กังวลเสียที การไปรบกวนแบบนั้นมันเสียมารยาท....”

               “และผมก็ไม่ชอบคนไร้มารยาท”


                    เฮือก!!!

                   ร่างของชายแก่ผงะ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดหวั่นที่แล่นพรวด ร่างนั้นเสือกไถลตัวห่างออกจากชายหนุ่มเบื้องหน้าตามสัญชาตญาณจนแทบติดผนังห้อง ริมฝีปากของฟาเอลสั่นระริกยามได้สบมองแววตาสีน้ำตาลที่เย็นยะเยียบจับจิต...

                   ไคลน์ สไตร์เซอร์ จ้องมองร่างที่ผงะออกห่างและท่าทีหวาดกลัวของพ่อบ้านเฒ่าอย่างเฉยชา ชายหนุ่มพยายามควบคุมเพลิงโทสะที่ถูกกวนขึ้นมาจนขุ่นมัวในใจด้วยตนเองเงียบๆ รู้ว่าตนเองนั้นแสดงอารมณ์รุนแรงออกไปได้ในทันทีเมื่อมองเห็นกริยาของพ่อบ้านเฒ่า

                  “คุณเป็นคนดี..รักและห่วงใยเอนีล...รักมาก” ริมฝีปากหนาเอ่ยอย่างแช่มช้า พลางจ้องมองชายชราตรงหน้า ผู้ที่บัดนี้เป็นดั่งคนที่อยู่ในกำมือ   

                 “ถ้าเขาขาดคุณไป..เอนีลคงจะเศร้า” ไคลน์เอ่ยขึ้นช้าๆ สีหน้าแววตาครุ่นคิดราวกับกำลังติดสินใจอะไรบางอย่าง “อ่า...เศร้า...เศร้ามากแน่ๆ ผมไม่ต้องการให้เขาเจ็บปวดเลย”

                   ครู่หนึ่งดวงตาสีน้ำตาลฉายแววโศก ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมายังฟาเอลราวกับจะวอนขอ “แล้วทำไม ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจกันนะ..ผมไม่อยาก”จัดการ”แบบเดียวกับที่ทำกับพวกบอดี้การ์ดข้างล่างนั่นเลยจริงๆ”

                  “กะ...แก...แกทำอะไรกับคนพวกนั้น!!” ฟาเอลตะโกนถามอย่างตกตะลึง พลันเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นใครเลย ทั้งๆที่สุ้มเสียงวิวาทหรืออย่างน้อยความผิดปกติหลายสิ่งน่าจะทำให้พวกการ์ดเข้ามาตรวจสอบสถานการ์ณกันแล้วแท้ๆ

                  “คุณไม่ชอบผม เพียงเพราะหน้าตาไม่เหมือนในใบประวัติเท่านั้นหรือ?” ไคลน์ไม่สนใจคำถามของคนเป็นพ่อบ้าน ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามออกมาตรงๆ

                 แกร่บ..

                 “เรื่องหน้าตาไม่เห็นต้องคิดมากนี่ครับ ในเมื่อมัน"เปลี่ยน"ได้อยู่แล้ว" สิ้นคำ กระดาษที่มีข้อมูลของไคลน์ สไตค์เซอร์ตัวจริง ที่มีหน้าตาไม่เหมือนกับไคลน์ผู้อยู่ตรงนี้สักนิดก็ถูกดึงขึ้นให้อยู่ในระดับสายตาอีกครั้ง บุรุษผู้ที่บัดนี้ฟาเอลไม่รู้ว่าเขาคือใครกันแน่ โบกกระดาษสีขาวรูปใบหน้าขึ้นมาในระดับเดียวกันกับใบหน้าของตน ยิ่งมองยิ่งชัดเจนว่าไม่มีทางที่คนสองคนนี้จะเหมือนกันไปได้...


                 หากเพียงแค่คิด พลันกระดาษแผ่นนั้นก็เกิดการแปรเปลี่ยน ใบหน้าของชายในรูปเริ่มเปลี่ยนแปรไป จากผมตัดสั้น ใบหน้าคร้ามเข้ม คิ้วดกหนา ดูเคร่งขรึมจริงจัง กลายเป็นเส้นผมยาวสลวยระต้นคอและใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพบุตร..ใบหน้า..ที่เหมือนผู้ถือราวกับพิมพ์เดียวกันอย่างน่าอัศจรรรย์!

                 "คราวนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหมล่ะ" ไคลน์ปล่อยประดาษให้ร่วงลงกับพื้น พริบตาเดียวก็ใช้มือข้างนั้นฝ่าตะครุบริมฝีปากของพ่อบ้านเฒ่าไว้ บุรุษปริศนาผู้ใช้นามว่า ไคลน์ สไตร์เซอร์ยืดตัวขึ้นมองร่างของฟาเอลที่ผงะหงาย กรีดร้องออกมาได้แค่เสียงอู้อี้ แต่ก็ยังเบิกตากว้างมองดูเขาตาถลนราวกับไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนกำลังประสบ

                 "กะ..แก...ปีศาจ เจ้าปีศาจ..." ทันทีที่ละมือลง ริมฝีปากของพ่อบ้านเฒ่าก็สั่นระริก ร่างสะท้านขยับกายห่างด้วยความหวาดหวั่นผวา  ใบหน้าซีดขาว ซ้ำน้ำเสียงแหบพร่านั้นก็พึมพำหาพระผู้เป็นเจ้าและเอ่ยประณามว่าคนตรงหน้าคือปีศาจไม่หยุดหย่อน..

                 ..ปีศาจที่จะมาพรากชีวิตของคุณชายเอนีล ปีศาจร้ายที่คุณชายมองเห็นในความฝันอันไม่รู้จบ    มันต้องเป็นปีศาจตนนั้น มันต้องใช่เจ้าปีศาจร้ายนั้นแน่ๆ    เจ้าของความฝันโหดร้ายกำลังย่างก้าวเข้ามาคุกคามชีวิตคุณชายของเขา!!

                  "ปีศาจงั้นหรือ?" ไคลน์เลิกคิ้ว ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองพ่อบ้านเฒ่าที่เริ่มควักเอาไว้กางเขนมาสวดภาวนาด้วยท่าทีราวกับอ่อนใจ นัยน์ตาค่อยอ่อนแสงลงก่อนเป็นฝ่ายระบายลมหายใจแผ่วเบา " เสียมารยาทจริงๆน้า...แต่..มนุษย์น่ะมักจะคิดหวาดกลัวและมองการกระทำผิดธรรมชาติเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูติผีปีศาจไปหมด..ข้าก็ไม่น่าจะลืม..."

                  "อย่าเข้ามานะ ..ยะ...อย่าเข้ามา!" ฟาเอลครางเสียงสั่น เขาพยายามขยับกายหนีด้วยความหวาดกลัว หากแต่ไม่มีโอกาสจะทำได้เมื่อร่างสูงใหญ่นั้นเข้าประชิดกายของเขาอย่างรวดเร็วเพียงชั่วอึดใจ..

                   ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากกลมเกลี้ยงร้างไร้เส้นผมด้วยวัยที่ร่วงโรยอย่างรวดเร็ว สัมผัสนั้นแม้จะแผ่วเบา แต่ด้วยความหวาดกลัวที่มีอยู่เป็นทุนเดิมและมันจึงน่ากลัวยิ่งนัก!

               "ปล่อยข้า! เจ้าปีศาจ ปีศาจ อ้าก ก กกก!! "

               "ก็ดูเป็นชายแก่ใจดี แต่ทำไมถึงชอบโวยวายเสียจริง" ริมฝีปากหนาเอ่ย พร้อมกันนั้นก็พ่นลมหายใจเบาๆ ราวกับระอานักหนา..

                ไคลน์มองร่างของชายชราที่สลบไสลไปแล้วด้วยสายตาขบขันกึ่งระอา ชายหนุ่มจ้องมองสร้อยกางเขนที่อยู่ในมือฝ่ายนั้นซึ่งกำแน่น เขาค่อยแกะมันออกมาและจัดที่จัดทางให้พ่อบ้านเฒ่าพิงกายอยู่หลังบานประตูห้องของเอนีล ชาส์เดอตงส์ด้วยสีหน้าขบขัน ร่องรอยเขียวช้ำบนลำคอทำให้ใบหน้าคมแสดงอาการเจ็บปวดไม่น้อย ก่อนเขาจะค่อยๆรวบรวมเอกสารที่ตกเกลื่อนแล้วยัดไว้บนตักพ่อบ้านเฒ่าเงียบๆ

                    กระดาษที่แปรเป็นรูปของตนเองชัดเจนนั้นทำให้ไคลน์ยิ้มบางๆ  ชายหนุ่มมองใบหน้าซีดขาวนั้นแล้วถอนกายใจ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏความลังเลขึ้นชัดเจน

                   “ถ้าหากยอมเชื่อ...ก็คิดว่าจะไม่ทำแบบนี้แล้วเชียวนะ” ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองชายแก่ที่อยู่ในอาการช็อคจนสลบไปพลางถอนหายใจพรู ”แต่มันคงเป็นไปได้ยาก..ยากยิ่งสำหรับมนุษย์ที่ไม่อาจรับรู้ถึงปาฏิหาริย์”

                   แตะปลายนิ้วลงบนแผ่นอกด้านซ้ายเผื่อสัมผัสถึงหัวใจที่ยังเต้นระรัวในทรวงอกผ่ายผอม ฝ่ามือของไคลน์แตะลงบนหน้าผากของฟาเอลอีกครั้ง เพียงไม่นานแสงสีขาวอ่อนจางก็ค่อยปรากฏออกจากฝ่ามือและครอบคลุมทั่วร่างของพ่อบ้านเฒ่าให้ขาวโพลน มันปรากฏอยู่เพียงไม่กี่อึดใจก็จางหาย รวมทั้งรอยแผลบนลำคอและสีหน้าขาวซีดของ ฟาเอล กีโยต์ด้วย..   

               "ขอโทษด้วยนะ ที่ทำอะไรรุนแรง..แต่ข้าน่ะไม่อาจจะรอได้อีกแล้ว.."

                   นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงช้าๆ ก่อนจะหยัดกายขึ้นจากพื้น
 
                  "ข้า..ปรารถนาจะปกป้องเขาจากทุกสิ่ง เช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ ฟาเอล กีโยต์...."

                   น้ำเสียงที่เคยรื่นเริงกลับแฝงความเศร้าสร้อย ไคลน์ สไตรคเซอร์นิ่งอยู่ครู่หนึ่งหลังเอ่ยถ้อยคำจากใจออกมาเพียงแผ่วเบา ริมฝีปากเปื้อนรอยยิ้มกลายเป็นนิ่งขรึม ร่างสูงยืนนิ่งจ้องมองร่างของพ่อบ้านเฒ่าอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาขอลุแก่โทษ

                   ความเงียบไหลผ่านไปได้ไม่นานร่างของฟาเอลก็เริ่มเคลื่อนไหว เสียงครางเบาๆก็ดังออกจากร่างของพ่อบ้านเฒ่าทำให้ไคลน์ค่อยปรับสีหน้า ชายหนุ่มจ้องมองคนที่ขยับกายอีกครั้งและค่อยลืมตาขึ้นช้าๆอยู่เงียบๆ

               "เป็นอะไรรึเปล่าครับ?" น้ำเสียงถามห่วงใยดังขึ้นเหนือร่าง ฟาเอล กีโยต์ สะดุ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า พ่อบ้านเฒ่าขยับแข้งขา หยัดกายลุกขึ้นมาได้ด้วยฝ่ามือของไคลน์ที่ส่งมาให้เป็นดั่งที่เกาะ พ่อบ้านวัยชราผู้รับน้ำใจนั้นจึงเอ่ยขอบคุณแผ่วเบา..

               "เกิดอะไรขึ้น...นี่ผมเผลอหลับไปเหรอ"

               "ไม่ทราบเหมือนกันครับ พอผมออกมาคุณก็อยู่ในท่านี้เสียแล้ว " ไคลน์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ข้ามความจริงที่ว่าหากตนออกมาแล้วพบร่างของพ่อบ้านนั่งขวางประตู้ห้อง จะข้ามมาโดยไม่ให้ฟาเอลตื่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ทว่า..เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้คิดถึงข้อเท็จจริงนั้นเลยสักนิด

               ทั้งใบหน้า ท่าทาง หรือการกระทำ ดูไร้ความหวาดหวั่น ราวกับความทรงจำที่ผ่านมาจางหาย สีหน้าของพ่อบ้านเฒ่าจึงราบเรียบและไม่มีอะไรไปมากกว่าการรับใช้อย่างเป็นทางการต่อชายผู้เป็นทั้งแขกและยังจะมาคุ้มครองนายน้อยของตน

               "แล้วคุณชาย.." ฟาเอลเอ่ยปากถาม สีหน้าห่วงใย

               "กำลังพักผ่อนอยู่ครับ ท่าทางจะหลับสบาย" คำตอบและสีหน้าแสดงความมั่นใจนั้นทำให้พ่อบ้านเฒ่ายิ้มรับ..

               "ค่อยโล่งใจ ขอบคุณมากครับ" พ่อบ้านเฒ่าเอ่ยปากพร้อมกับโค้งตัวให้อย่างสุภาพ “นานมากแล้วที่คุณชายไม่ได้เจอหมอที่เข้ากันได้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าการมาถึงของคุณจะเป็นข่าวดีแก่นายท่านและพี่น้องทุกคน”

              “ผมจะพยายามให้ดีที่สุด” ไคลน์เอ่ยรับคำ

              “ขอบพระคุณมากจริงๆครับ”

              "ไม่เป็นไรครับ งั้นผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน" ไคลน์เอ่ยรับคำขอบคุณนั้นอย่างสุภาพ ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้พ่อบ้านเฒ่าเล็กน้อยเป็นคำจากลา เช่นเดียวกับฟาเอลที่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าแช่มชื่น พร้อมกับมองตามแผ่นหลังของชายที่เดินจากไป แล้วก้มมองกระดาษเอกสารที่อยู่ในอ้อมแขนซึ่งมันคือใบประวัติของชายหนุ่มเอง ฟาเอลจ้องมองรูปถ่ายของไคลน์ สไตรค์เซอร์ซึ่งมองตรงมาด้วยสีหน้าพึงใจ

                  ประวัติไม่มีปัญหา ทุกอย่างไม่มีปัญหา ชายคนนี้คือคนที่ท่านนายพลมอบหมายให้มาดูแลอาการเจ็บป่วย รวมทั้งคุ้มครองคุณชายของตนอย่างแท้จริง...

                    แอ๊ด...

                  เปิดประตูห้องนอนของคุณชายอย่างแผ่วเบาเพื่อตรวจความเรียบร้อย ฟาเอลจ้องมองภาพเตียงนอนสี่เสาที่มีผ้าม่านบางเบาโรยตัวปิดล้อมด้วยรอยยิ้ม ไม่กล้าจะก้าวเดินเข้าไปใกล้ด้วยกลัวคุณชายที่ตนรักจะตื่นจากนิทรา เพียงได้มองบรรยากาศแห่งนิทรารมย์อันแสนสุขจากบานประตูแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

                  ฝ่าเท้าก้าวถอยออกมาจากห้องแล้วงับบานประตูลงด้วยใบหน้าแช่มชื่นยิ่งนัก ฟาเอลนึกขอบคุณนายทหารผู้นั้นจากใจ ไคลน์ สไตร์เซอร์ผู้เข้ามาช่วยให้คุณชายเอนีลของเขาสงบลงจากเรื่องราวเลวร้ายที่พบเจอ ช่างเป็นบุรุษที่ควรค่าแก่คำขอบคุณนับร้อยนับพันครั้งยิ่งนัก 

                  คุณชายที่เขารักและห่วงใยก็กำลังพักผ่อนอยู่อย่างสงบ ประวัติของชายผู้มาใหม่ก็ไร้ปัญหา ทุกอย่างเรียบร้อยแต่ฟาเอล กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป บางอย่างที่แสนสำคัญนัก..หากแต่เขาพยายามคิดเท่าไหร่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ พ่อบ้านเฒ่าจึงเลิกสนใจมันเช่นเดียวกับเอกสารในมือที่ถูกทิ้งลงถังขยะใกล้ตัวอย่างรวดเร็ว

       
  .................................


เชื่อค่ะ เชื่อคุณไคลน์มากเลยค่าาาาา  เเค่ไม่เชื่อถึงกับโดนเลยทีเดียว เเถมยังต้องมีมารยาทกับเค้าด้วย โอ้เเม่เจ้า :katai1: ตอนนี้เอนีลไม่รู้เรื่องอะไรเลยขอเวลาพักบ้าง ปล่อยคุณพ่อบ้านโดนจัดเต็ม   เจอกันตอนหน้าค่าาาาาาา
 

 :t2:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 06 : ความฝันที่แปรเปลี่ยน ** UP.30/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 30-05-2014 00:02:27

Lost 06  ความฝันที่แปรเปลี่ยน


  เชิงเทียนยาวที่มีลำเทียนสีเข้มปักไว้ไหวระยับตามแรงขยับกาย มันถูกยกติดมือเหี่ยวย่นของผู้เป็นพ่อบ้านนามว่าฟาเอล กีโยต์ ที่บัดนี้กำลังกุลีกุจอจัดโต๊ะอาหาร ผ้าปูสีขาวถูกดึงจนเรียบกริบไร้รอยย่น จานกระเบื้องเนื้อดีถูกวางลงเบื้องหน้าชายหนุ่มผู้เป็นคุณชายและอีกหนึ่งผู้เป็นแขกคนสำคัญของบ้าน เมนูอาหารเลิศรสถูกจัดนำมาขึ้นโต๊ะส่งกลิ่นชวนน้ำลายสอ ขณะที่ชายผู้เป็นเจ้าของห้องพักนั่งมองด้วยรอยยิ้มพึงใจ ดวงตาสีฟ้าสดใสดั่งท้องฟ้าในฤดูไร้เมฆหมอกเป็นประกายระยับ


      "ขอบคุณมากนะครับ ลุงฟาเอล" เอ่ยบอกผู้เป็นพ่อบ้านเสียงเบา รอยยิ้มหวานของผู้เป็นนายถูกตอบรับด้วยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความภักดีของพ่อบ้านชราด้วยเช่นกัน


     ไคลน์ สไตร์คเซอร์ผู้อยู่ในฐานะของคนอาศัยจ้องมองภาพเบื้องหน้าเงียบๆ รอยยิ้มสุภาพเป็นทางการปรากฏอยู่บนริมฝีปาก ชายหนุ่มเฝ้ามองท่าทีของคุณชายเอนีลและพ่อบ้านชราเงียบๆก่อนจะละสายตาในที่สุดเมื่อฟาเอลโค้งให้ตนแล้วสะบัดกายหันหลังจากไป


     "...ช่างเป็นเกียรติจริงๆ ที่พ่อบ้านของคุณอุตส่าห์ช่วยจัดเลี้ยงต้องรับผมเสียขนาดนี้" ไคลน์เอ่ยพลางมองบรรดาอาหารบนโต๊ะ ซึ่งถือได้ว่าเป็นดินเนอร์มื้อหรูเลยทีเดียว


     "ไม่หรอกครับ ผมเสียอีกที่ต้องขอบคุณ" เอนีลตอบยิ้มๆ นายแพทย์หนุ่มกวาดตามองอาหารเบื้องหน้าเงียบๆ "ที่ผ่านมาผมมักจะทานข้าวคนเดียวเสมอ อาหารที่ลุงฟาเอลทำมา ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทานได้ไม่หมดเสียที ตอนนี้พ่อบ้านของผมคงกำลังดีใจ ที่มีคุณมาช่วยทานด้วย"


     ไคลน์ฟังแล้วหัวเราะเบาๆ ด้วยตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววอุ่นวาบยามสบดวงตาสีฟ้าสดคู่นั้น "....แค่พ่อบ้านหรือครับ?"


     "...อ่ะ" ผู้ฟังชะงัก ผิวแก้มร้อนวาบหากก็เสไปมองแก้วน้ำทรงสูงเบื้องหน้า"ผมก็ด้วยครับ..ผมดีใจและขอบคุณในหลายๆอย่าง.."


     ".........." ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของไคลน์ สไตร์เซอร์ หากดวงตาของนายทหารหนุ่มจับจ้องมาไม่ละวาง ดั่งคำขอให้อธิบายอย่างเงียบๆ


    "...ขอบคุณ.." เอนีล ชาส์เดอตงส์กระแอมเบาๆในลำคอ นายแพทย์หนุ่มขยับกายเล็กน้อย ยืดตัวขึ้นพลางเอื้อมมือสอดปลายนิ้วขาวจัดไปยังก้านเพรียวบาง..ราวกับจะหักของแก้วไวน์เบื้องหน้า


    "..ขอบคุณ และมีความยินดีอย่างยิ่งที่นับจากนี้คุณจะมาคอยดูแลอาการป่วยของผม..รวมทั้งช่วยเป็นเพื่อนร่วมทานอาหาร โดยเฉพาะข้อแรก ผมต้องขอขอบคุณให้หนักเลยล่ะครับ" นายแพทย์หนุ่มเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆในลำคอด้วยท่าทีอารมณ์ดี แม้จะดูเหมือนเป็นการยกยอปอปั้นตามมารยาท ทว่าแท้จริงแล้วมันหาได้เป็นเช่นนั่น เอนีลกำลังเอ่ยขอบคุณ..ขอบคุณชายตรงหน้าจากใจจริง


    "..คุณก็พูดเกินไป ชมเสียขนาดนี้ ผมก็ตัวลอยกันพอดี" ไคลน์หัวเราะ หากฝ่ามือก็เอื้อมไปหยิบแก้วไวน์มาชูขึ้นสูงพลางชนขอบปากแก้วกับแก้วไวน์ของคนตรงหน้าเพียงแผ่วเบา "ตัวผมต่างหากที่ได้รับเกียรติ"


   เสียงแก้วไว้กระทบกันดังกริ๊ก ขณะที่ดวงตาทั้งสองคู่สบมองกันอย่างเผลอไผล เอนีลยิ้ม..ดวงตาสีฟ้าสดใสฉายแววพึงใจยามคิดถึงเรื่องที่ตนเองเอ่ยปากไปเมื่อครู่


    ยามหลับตาลง แม้หัวใจจะอุ่นวาบหากส่วนลึกในใจยังคงไว้ซึ่งความประหวั่นพรั่นพรึง เอนีล ชาส์เดอตงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ จิตสำนึกบอกเขาว่าฝันร้ายนั้นจะยังคงตามหลอกหลอนเช่นเคยทุกคืนวัน ทว่าเมื่อได้หลับตาลงในอ้อมแขนของนายทหารผู้มาใหม่เบื้องหน้า แม้น่าอาย..หากยามที่หลับตาลง ฝันร้ายนั้นกลับไม่ปรากฏ


     ...ครั้งแรกในรอบหลายปีที่สามารถหลับตานอนได้อย่างมีความสุขและไม่ผุดลุกขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่นเช่นในทุกค่ำคืน ความสุขที่ได้รับจากนิททราอันเต็มเปี่ยมส่งผลให้พื้นอารมณ์แจ่มใส นั่นรวมทั้งความรู้สึกที่มีต่อแพทย์หนุ่มแปรเปลี่ยนไป จากความหวั่นระแวงไม่เชื่อใจไปจนถึงเคลือบแคลงและสงสัย กลับเป็นความพึงใจและนับถืออย่างมากล้น


  ...คนแรก...ไคลน์ สไตร์เซอร์คือผู้ที่สามารถทำให้ความฝันของเขาจางไปจางนิทราอันยาวนานได้เป็นคนแรกนับแต่ตนได้พบเจอผู้รักษาทั้งหลายมา ไม่ใช่หมอที่จะจับเขายัดลงไปในโรงพยาบาลโรคจิต หาใช่นายแพทย์ผู้ชื่นชอบที่จะให้ตนไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ไฟฟ้า หรือตัวสั่นงันงกอยู่ในห้องมืดๆ ด้วยทฤษฏีระงับอาการฝันร้ายมากมาย ที่แลกมากับความทรงจำข่มขืนสุดประมาณ..


   ไม่ต้องใช้วิธีการใด ไม่ต้องมีแม้แต่ยาสักเม็ด ชายผู้นี้เพียงแค่เดินเข้ามา เอ่ยปากปลอบประโลม ให้คำมั่น กอดเขาไว้แล้วนั่งรอจนนิทรามาเยือนพร้อมๆกันราวกับบิดาผู้อารีไม่ก็คู่รักที่ผู้พันธ์ลึกซึ้ง..


    ชะงักไปไม่น้อยกับข้อสันนิษฐานหลักสุด ทว่าเอนีลก็ปัดมันทิ้ง นายแพทย์หนุ่มนึกเสียว่ามันเป็นการเปรียบเทียบ ปลายนิ้วขาวละแก้วไวน์ลงข้างตัวช้าๆ เอ่ยปากสานต่อบทสนทนาด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าหะแรกยามพบเจอกันอย่างมาก


    “ที่จริง...ผมต้องขอโทษ หลายสิ่ง หลายอย่าง” ดวงตาสีฟ้าสดสบมองแววตาคู่นั้น “นับแต่พบหน้า..ผมทำกริยาแย่ๆไว้กับคุณเยอะมากๆ...คุณสไตร์คเซอร์”


     “ผมบอกแล้วไง...เรียกผมว่าไคลน์เถอะ” เอ่ยประท้วงกับชื่อนั้น ส่วนผู้พูดก็ชะงักแล้วยิ้มเหย


    “...ขอโทษครับ” ออกปากพร้อมรอยยิ้มขอลุแก่โทษบางเบา ชวนให้ผู้ได้มองขยับยิ้มบาง “ครับ ไคลน์”


    “ดีมากครับ งั้นเรามาทานข้าวกันต่อดีไหมเอ่ย ส่วนเรื่องการรักษาหรืออย่างอื่น ค่อยมาว่ากัน” นายทหารหนุ่มเอ่ยปากเสนอเมื่อเห็นว่าเวลาชักล่วงเข้ามาดึกดื่นเต็มที่ นั่นทำให้ผู้ฟังพยักหน้า เอนีลเริ่มจับช้อนส้อมเริ่มมื้ออาหาร บทสนทนาเต็มไปด้วยความรื่นเริงและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็น ช่างแตกต่างกันในยามกลางวันของวันนี้นัก ท่าทีผ่อนคลายอารมณ์ดีของผู้เป็นเจ้าของที่พักทำให้คนมองเผลอยิ้มตามอย่างเผลอไผล ริมฝีปากสีเข้มกระตุกยิ้มพึงใจ ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองตามและคอยจับจ้องคนตรงหน้าทุกอิริยาบถอย่างไม่ปิดบังความสนใจใดๆ


    ใช่ว่าเอนีลจะไม่สังเกตเห็นท่าทีนั้น ทว่านายแพทย์หนุ่มก็ไพล่คิดไปเสียว่ามันคงเป็นการสังเกตสังกาตามประสาผู้ดูแลและถือเป็นหน้าที่เสียมากกว่า ในยามคืนคืนที่อารมณ์ผ่อนคลายมากกว่าที่ผ่าน เขาไม่คิดจะนำความสงสัยใดมากวนใจให้ต้องหงุดหงิดครุ่นคิดกันอีกรอบ


    ...ท่าทีของไคลน์หาใช่ปัญหา ตัวเขาเห็นว่าชายหนุ่มเป็นคนดีและชักเจนส่าสามารถรักษาอาการฝันร้ายที่เขาเป็นอยู่ได้จริง ฟาเอลก็คงท่าทีเป็นมิตรอย่างยิ่งยวดต่อชายหนุ่มผู้มาใหม่แล้ว เห็นได้ชัดว่าประวัติและทุกสิ่งไม่มีปัญหา ไคลน์ สไตร์เซอร์คนนี้คือคนที่จะมาช่วยดูแลและปกป้องเขาจากทุกสิ่งตามที่เจ้าตัวเอ่ยปาก


    ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี...ไร้ปัญหาให้กังวลใจ..


     วางแก้วไวน์แดงที่พร่องลงไปมากบนโต๊ะ เพราะเพลินกับมื้ออาหาร และบทสนทนามากมายทำให้ดื่มหนักไปโดยไม่รู้ตัว เอนีลจ้องมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาวันใหม่พลางเอ่ยปากขอตัวเสียงเบาแล้วยืดตัวลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร หากความมึนเมาทำให้เขาเสียหลักเซวูบ รู้สึกถึงอ้อมกอดหนาเข้ามาประคองไว้ สติสัมปะชัญญะสั่งให้ดวงตาสีฟ้าสดใสปรือขึ้นมองผู้ที่รับร่างของตนอย่างเหม่อลอย และเมื่อเห็นว่าเป็นเขาใครก็ปิดตาลงอักครั้งแล้วหลับไปแทบจะในทันที


     ไคลน์จ้องมองร่างของคุณหมอหนุ่มที่หลับพับไปด้วยด้วยความเมาในอ้อมแขนตน ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อย เขาออกแรงอุ้มร่างนั้นมาไว้ในอ้อมกอดอย่างไม่ยากเย็น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองใบหน้านั้นเงียบๆ ขณะที่ปลายนิ้วดีดเบาๆ ทั้งเปลวเทียนและทุกสิ่งในห้องก็พลันมืดมิด ปกปิดทุกอย่างจากดวงตาสีแดงวาววับที่จ้องมองอยู่นอกหน้าต่างได้อย่างไม่ยากเย็น


    ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาคู่นั้นผ่านจุดที่ตนยืนอยู่ กระชับอ้อมแขนรั้งร่างที่หลับใหลไม่ได้สติไว้แน่น ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมาอย่างพึงใจ เมื่อเจ้าของดวงตาคู่นั้นก็ผละจากไปในที่สุด


    “have a nice dream…”


      กระซิบเอ่ยกับชายหนุ่มผู้หลับใหลเสียงแผ่วเบา ภายในห้องนอนที่ตนเคยคุ้น เพียงเดินเข้ามาห้องที่เคยมืดมิดก็พลันสว่างไสวด้วยแสงไฟ ไคลน์วางร่างของเอนีลไว้บนเตียงของเจ้าตัว จ้องมองร่างที่หลับใหลนั้นผ่านผ้าม่านสีอ่อนจางที่โรยลงมาจากเตียงสี่เสาทำให้เจ้าตัวดูราวกับเจ้าชายนิทรา


      ยืนจ้องมองเงียบๆราวกับประสงค์จะเก็บภาพนี้เอาไว้ในใจ หากแววตาอ่อนโยนพลันเคร่งเครียดขึ้นมาครู่หนึ่ง ไคลน์ยืนหันหลังให้ชายหนุ่มในห้อง หากกอดอกจ้องมองกระจกเบื้องหน้าด้วยแววตาขุ่นมัว


    ปลายนิ้วยื่นไปแตะบานประจก ลูบเบาๆ เพียงไม่นานก็พบเจอเศษขนนกสีดำสนิทที่กลายเป็นเถ้าถ่านคามือผู้ถือได้อย่างไม่ยากนัก  ไคลน์ก้าวยาวๆไปหาร่างของคุณชายเอนีลที่ยังคงหลับสนิท แตะริมฝีปากลงบนหน้าผากมนหนักๆอย่างถือสิทธิ์ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมล็อกหน้าต่างและประตูอย่างแน่นหนา


      ชายหนุ่มเดินลงมายังชั้นล่างด้วยความรวดเร็ว เพียงดีดนิ้วอีกหนึ่งครั้ง ห้องที่เคยมืดมิดก็กลับมาสว่างไสว ร่างของพ่อบ้านนามฟาเอลที่ตรงรี่เข้ามาเก็บจานหากชะงักอยู่ตรงประตูก็ขยับเข้ามาเก็บข้าวของอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่ผู้กระทำเดินไปเมียงมองริมหน้าต่าง จ้องมองออกไปยังถนนเบื้องหน้าที่ร้างไร้ผู้คน ทว่าก็ยังมีเงาของสิ่งมีชีวิตเดินผ่านประปราย


     “...ผมขอตัวออกไปเดินเล่นก่อนนะครับ” เอ่ยกับพ่อบ้านเฒ่าด้วยรอยยิ้ม ไม่ลืมจะกำชับให้ดุแลคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ที่ชั้นสาม เมื่อฟาเอลพยักหน้ารับ ไคลน์ก็เดินตรงไปยังประตูด้านหน้า สวมเสื้อโค๊ทลวกๆแล้วเดินออกไปทันที


       ปิดประตูด้านหน้าอพาร์ทเมนต์ แล้วกระชับเสื้อคลุมเข้าหากัน หากดวงตาไม่ได้มองเลยไปยังสิ่งใด นอกจากเจ้าของดวงตาสีแดงก่ำในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทที่กลืนไปกับรัตติกาล ผู้ที่จ้องมองมาก่อนแล้วจากตรอกเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามกัน


     ฝีเท้าของนายทหารหนุ่มสาวเข้าไปใกล้อย่างไร้ท่าทีกังวล ใบหน้าของเขานิ่งขึงไร้รอยยิ้ม ความไม่พอใจปรากฏชัดเจนเพียงครู่เดียวก็ไปประจัญหน้ากับเจ้าของดวงตาสีแดงคู่นั้น ไคลน์เอื้อมมือขึ้น ฝ่ามือตรงเข้าไปจับหวังยึดร่างนั้นไว้  หากแต่ลมพัดแรงๆมาวูบหนึ่ง คล้ายมีเศษฝุ่นผงปลิวเข้าตาจนต้องชะงัก และเมื่อลืมตามาอีกครั้งร่างนั้นก็จางหายไปในความมืดของตรอกนั้นราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่


     สถบเบาๆในลำคออย่างไม่พอใจเมื่อชักเจนว่าตนเสียรู้ ขณะที่บนชั้นสาม เขาแว่วเสียงตึงตังบางอย่างแปลกหู ก่อนที่ผ้าม่านจะไหวพะยาบและใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของห้องมองออกมา


    ใบหน้างดงามของเจ้าของห้องตวัดมองมาหาแล้วยิ้มให้ ทว่าด้านหลังเจ้าตัว...กลับมาเงาร่างสีดำสนิทนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบงัน มันวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่มที่ยังไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นราวกับเย้ยหยันตัวเขา แล้วพลันก็จางหายไปพร้อมเสียงหัวเราะอันแผ่วเบา


-------------

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 06 : ความฝันที่แปรเปลี่ยน ** UP.30/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 30-05-2014 00:05:33


          ...หะแรก ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนเคยเป็น


     เพียงหลับตาลง ความฝันดำมืดก็คืบคลานเข้ามาหา ความเจ็บปวดที่เสียดแทงทั่วร่าง เสียงกรีดร้องร่ำไห้ของตนเอง กลิ่นคาวเลือด และความรู้สึกยามถูกฉีกกระชากร่างกาย


    ความฝันอันน่าขยะแขยงที่บังเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า..


     ร่างของคนที่เคยนอนสงบนิ่งเริ่มกระส่ายกระสับ ใบหน้าปรากฏร่องรอยแห่งความเจ็บปวดและฝันร้ายที่เคยคิดว่าจางหาย กลายเป็นเพียงมลายไปชั่วครู่แล้วกลับมาอีกคราราวกับจะตอกย้ำให้รู้ว่ามีตัวตนอยู่


    ริมฝีปากแห้งผากคล้ายจะเปล่งเสียงกรีดร้อง หากไม่นาน..ภาพฝันอันเลวร้ายนั้นกลับแปรเปลี่ยนไป


       จากทิวทัศน์อันเปื้อนโลหิตและแววตาสีแดงอันน่ากลัวของปีศาจตนนั้น แปรเปลี่ยนมาเป็นหมอกหนาของยามค่ำคืนในที่ซึ่งไม่เคยพบเห็น เสียงร้องของนกกลางคืนดังมาชวนหนาวยะเยือกในอก เชิงเทียนที่ถือติดมือมาเพื่อนำทางนั้นไหวระริกยามต้องลม ทว่าเขากลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ


      จ้องมองฝ่าความมืดและเมฆหมอกยามค่ำคืน ดวงตาสีฟ้าสดใสฉายแววรอคอยนั้นโลดขึ้นอย่างปรีดายามเห็นร่างอันเคยคุ้นในชุดเสื้อโค้ทสีรัตติกาลตรงเข้ามาหา เหตุเพราะหมอกลอยหนาทำให้มองเห็นใบหน้านั้นไม่ชัด หากแต่ที่ชัดเจน คือความรู้สึกสุขสมและพอใจเมื่อได้พบเจอคนๆนั้น


      ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยนเมื่อมือนั้นเอื้อมมารับเชิงเทียนในมือของตนไว้ รับรู้ได้ถึงความปรีดาที่ล้นอกและหัวใจที่เต้นโลดเร่าดังเสียจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน เขาเงยหน้าขึ้น..ปราถนาจะมองเห็นใบหน้านั้นและได้จ้องมองดวงตาคู่นั้นยิ่งนัก...


เฮือก!


     สะดุ้งพร้อมกับลืมตาโพลง เอนีลกระพริบตาช้าๆ จ้องมองเพดานเตียงสี่เสาอันคุ้นตาของตนเองและกวาดสายตาไปรอบๆ ทัวทัศน์อันคุ้นตาบ่งชัดว่านี่คือห้องนอนของเขา ..ผู้เป็นเจ้าของห้องลุกขึ้นนั่งบนเตียงช้าๆ จ้องมองผ้าม่านสีควันบุหรี่โรลตัวลงมารอบเตียงป้องกันไม่ให้แสดงไฟสาดแรงจนเกิดไปเสียจนต้องตื่นลืมตาขณะที่มือกุมอกซ้ายซึ่งหัวใจเต้นโลดแรงเสียจนเจ็บแปลบ..


 ....แปลก...


   ...นิ่วหน้าน้อยๆ ยามนึกถึงความฝันประหลาดนั้น เอนีลหวนคิดถึงความฝันแรกที่ตนคุ้นเคย หากแต่ความเจ็บปวดที่คลื่นเหียนซึ่งมันจะตามติดมาดั่งเงาตามตัวของฝันอันน่าสะพรึงกลับจางลงไปอย่างประหลาด...มันเจือจางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตัวตนของความฝันอีกหนึ่งฉากซึ่งแปรเปลี่ยนไปต่างหากที่ชัดเจนยิ่งนัก...


    ที่นั่นคือที่ไหน..ชายหนุ่มไม่รู้ ภาพรอบกายนั้นถูกบดบังด้วยเมฆหมอกที่หนาทึบเสียจนมองไม่ออก ทั้งที่บรรยากาศนั้นแสนจะน่ากลัวราวกับอยู่ในหนังสยองขวัญ ทว่าตัวเขา..ผู้ซึ่งอยู่ในฝันนั้นกลับไร้ท่าทีประหวั่นพรั่นพรึงใดๆ เอนีลสัมผัสได้ถึงการรอคอยและจดจ่ออยู่กับคนๆหนึ่ง...เขาสัมผัสได้ถึงความยินดีปรีดาที่ล้นอกยามได้จ้องมองชายหนุ่มในเสื้อโค้ทสีเข้มผู้นั้น คนๆนั้นคือใครเขาไม่รู้..ใบหน้าหรือก็ไม่ปรากฏ


    ตัวเขาในความฝันนั้นช่างเต็มไปด้วยความยินดีปรีดายามเห็นร่างของอีกฝ่าย เสียงหัวใจเต้นโลดแรงในอกนั้นบัดนี้ยังดังก้องไม่หาย มันสะท้อนจนอดจะเจ็บนิดๆไม่ได้ ...คิด พลางเอื้อมมือไปยังแผ่นอกที่เต้นตุบของตนแล้วลูบเบาๆ


.....ความฝันนี้มันอะไรกันแน่นะ


     ไร้ความน่ากลัว ไร้ความประหวั่นพรั่นพรึง ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความน่าขยะแขยงหรือสิ่งใด มันเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาและบางสิ่ง.....บางสิ่งที่เอนีลอดจะคิดไม่ได้ว่านั่นคือความรัก


   แผ่นอกที่เต้นตุบรัวแรงของตนเองยังคงสะท้อนเต้นเป็นจังหวะบนฝ่ามือที่ทาบทับ เอนีลหวนไปนึกถึงฝันนั้นอีกครา คิดถึงมันด้วยความอยากรู้ปนความสุขเล็กๆ...นึกเสียดายขึ้นมาเป็นครั้งแรกที่ตนเองตื่นจากฝันนั้นก่อนจะได้จ้องมองใบหน้าของชายคนนั้นชัดถนัดตา


     ยิ้มออกมาอย่างเผลอไผล..นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ชายหนุ่มมีความสุขกับความฝันของตนมากเสียขนาดนี้ ไม่ใช่ความฝันเปื้อนเลือดอันน่าสยดสยอง แต่เป็นความฝันถึงใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักแต่มีความสุขนักที่ได้พบเจอ


    ...สุขมากเสียจนความรวดร้าวจากฝันอันน่าสยดสยองนั้นเบาบางลงจนไม่อาจเข้ามากล้ำกรายสร้างความพรั่นพรึงและหวาดผวาเช่นเคย


     นิ่งคิดอยู่นาน...ก่อนที่เอนีลจะค่อยรู้ตัว นายแพทย์หนุ่มกระพริบตาปริบๆมองรอบกายก่อนจะค่อยๆทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นช้าๆ แล้วครางออกมาแผ่วเบาในลำคอเมื่อพบว่าตนเองนั้นเมาเปราะสียจนต้องลำบากคนอื่นอีกแล้ว


      สาวเท้าลงจากเตียง ตั้งใจจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเสียก่อน หากจังหวะหนึ่งเซวูบด้วยความมึนเมาจากฤทธิ์ไวน์ เอนีลเผลอเตะตั้งหนังสือในห้องที่เก็บไว้ใกล้ผนังเสียจนมันล้มตึง ชายหนุ่มครางอู้ด้วยความเจ็บปวด หางตามองเห็นหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ เพราะอะไรดลใจไม่รู้ เขาจึงเดินไปใกล้ เอื้อมมือคว้าผ้าม่านแล้วแหวกออกด้วยความเคยชิน


    ....ดวงตามองออกไปด้านนอกก่อนจะตวักมองไปยังตรอกเล็กๆฝั่งตรงข้ามด้วยความเคยชิน กระพริบตาปริบๆเมื่อมองเห็นใครคนที่คุ้นตายืนอยู่ในตรอก เอนีลจ้องมองเสื้อโค้ทสีเข้มของไคลน์ สไตรค์เซอร์ด้วยความคิดแบบพิลึกพิลั่นของตนว่าช่างดูเหมือนคนในฝันคนนั้นนัก เขายิ้มยามที่คนๆนั้นเงยหน้ามามอง ขณะที่ไคลน์มีสีหน้าแปลกๆแล้วรีบเดินเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว


    ...กลัวจะถูกเขาเอ่ยปากถามหรือแสดงความสงสัยที่ออกไปเดินที่แบบนั้นตอนดึกๆดื่นๆหรืออย่างไร?


   นิ่งคิดด้วยความสงสัย ขณะที่สายลมเย็นๆ จากเบื้องนอกพักพามาชวนให้รู้สึกดี เอนีลแว่วเสียงเดินอย่างรีบร้อนขึ้นมาด้านบน ชายหนุ่มกำลังคิดอย่างขบขันว่าจะเอ่ยปากบอกคนที่ขึ้นมาอย่างไรให้เข้าใจว่ามีสิทธิ์ไปที่ไหนก็ได้โดยเขาไม่คิดจะห้าม


   ปึง


    เสียงเปิดประตูดังซ้ำยังดูรีบร้อน ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววตระหนกเล็กๆ ยามที่โผล่หน้าเข้ามาในห้องของผู้เป็นเจ้าของที่พัก สีหน้าร้อนรนแปลกๆนั้นทำให้เอนีลหลุดอาการยิ้มขำ


    “...ไคลน์...ดูรีบร้อนเชียวครับ มีอะไรหรือ?” เอนีลเอ่ยถาม ยังคงเอนตัวพิงกรอบหน้าต่างห้องตนเองที่มีสายลมพลิ้วโชยท่าทีสบายอุรา ทว่าในสายตาของคนมองแล้วหาใช่แบบนั้น ไคลน์รีบเดินไปหาเจ้าตัว สีหน้าดูเป็นห่วงเป็นไยทั้งยังดูขัดใจแปลกๆ ดูพิลึก..


      “....คุณ...ตื่นขึ้นมา” ชายหนุ่มไพล่ว่าไปอีกเรื่อง ราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรก่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเขาเขม็ง


      “อ่ะ...ครับ” เอนีลยิ้มรับก่อนจะพยักหน้า “พอดีผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา..เลยว่าจะมาเปลี่ยนชุดเสียหน่อย ขอโทษนะครับที่ลำบากให้คุณต้องมาดูแลอีกแล้ว”


      “อา....” ไคลน์กระพริบตาช้าๆ จ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าก่อนจะยิ้มออกมาและเรียกท่าทีสุขุมกลับมาอีกครั้ง “..ไม่เป็นไร ผม...คิดว่าคุณฝันร้ายน่ะ”


      ใจความของประโยคนั้นทำให้เอนีลชะงัก ดวงตาสีฟ้าใสเกลื่อนไปด้วยความลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม “...ผมแค่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเฉยๆน่ะ”


      “...ครับ” ไคลน์พยักหน้า รับคำเบาๆแล้วจ้องมองคนตรงหน้าเงียบๆครู่หนึ่ง สีหน้าที่มองดูราวกับจะบอกตนเองให้แน่ใจถึงบางสิ่งของชายหนุ่มนั้นดูแปลกตาจนอดจะเอ่ยปากถามไม่ได้


     “ไคลน์..? ”


    “...ไม่มีอะไร” เสียงปฏิเสธดังขึ้นเมื่อเห็นท่าทีสงสัยของเขา เอนีลยิ้มให้คนพูด ขณะที่อีกฝ่ายเอื้อมมือผ่านตัวเขาไปยังหน้าต่างบานใหญ่เบื้องหลัง งับลมแล้วใส่กลอนไว้ โดยที่มีตนเองยืนแทรกอยู่ช่างเป็นอะไรที่แปลกประหลาดยิ่งนัก


     ไออุ่นจากตัวคนที่ใกล้เสียจนได้กลิ่นของสายลมเบื้องนอกของชายหนุ่มโอบล้อมไว้เงียบๆ เอนีลยืนนิ่ง อยากจะอ้าปากประท้วงทว่ากลับได้แต่นิ่งขึง ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองเสื้อโค้ทสีเข้ม ชั่วขณะหนึ่งเขาไพล่นึกไปถึงชายปริศนาในฝัน หากก็ต้องรีบดึงตัวเองออกมาจากความคิดพิลึกพิลั่นโดยพลัน


     “...ถ้าอย่างนั้น..ผม...ควรให้คุณได้พักผ่อนต่อ” หลังจากผละออกมาได้ เหมือนไคลน์ สไตร์คเซอร์จะจำได้ในที่สุดว่าตนเองทำตัวแปลกๆไป ท่าทีเงอะงะปนประหม่านั้นจึงดูน่ามองแบบแปลกๆ เอนีลจ้องมองท่าทีนั้นผ่านเส้นผมสีทองของตนซึ่งทิ้งตัวลงปรกนัยน์ตา เขาพยักหน้าเงียบๆพลางยิ้ม


      “ครับ...ขอบคุณมาก” กระซิบบอก ขณะที่ปลายนิ้วสีขาวนั้นเอื้อมมาหา ช่วยจับเส้นผมของเขาทัดหูให้แล้วผละออกมาด้วยรอยยิ้ม


    “ราตรีสวัสดิ์”


    “ราตรีสวัสดิ์ครับ”


    เอ่ยปากบอกเสียงเบาพลางมองตามร่างของชายหนุ่มที่เดินจากไป เอนีลจ้องมองแผ่นหลังคู่นั้นไปจนกระทั่งเจ้าตัวปิดประตูลงในที่สุด ขณะที่ความคิดวนเวียนไปถึงความฝันแปลกๆนั้นอีกครั้ง


   ...เพราะอะไรถึงไม่บอกออกไปว่าฝันถึงสิ่งใดไปบ้าง


     คำถามที่ถามถึงตนเองดังขึ้นเงียบๆในใจ ขณะที่เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน เอนีลมองดวงตาของตนเองผ่านกระจกบานหนา ก่อนที่คำตอบจะดังขึ้นมาในใจอย่างเงียบงัน


    ...เพราะว่ามันไม่ใช่ฝันร้าย..และต่อให้มีฝันร้าย แต่ตัวเขาก็มีอาการทุเลาลงมากและไม่ได้ทรมารอะไรอีกแล้ว


    เขาไม่ใช่เด็กอมมือ ไม่จำเป็นต้องบอกความฝันทุกอย่างกับไคลน์เสียหน่อย


    เอ่ยบอกตัวเองอย่างแผ่วเบาขณะแทรกกายลงไปบนเตียงแล้วกระตุกโคมไฟให้ห้องมืดสนิทลง เอนีลมองเพดานเตียงเงียบๆก่อนจะพลับตา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่นึกหวาดกลัวว่าหลับตาไปแล้วจะเจออะไร ซ้ำยังนึกอยากรู้เสียด้วยว่าเรื่องราวในฝันจะดำเนินไปอย่างไรต่อ


    ...ความอยากรู้แปลกๆของตนเองนี่ช่างเป็นภัยเสียจริงๆ


    ความคิดวนเวียนอยู่ตรงนั้นก่อนที่สติจะค่อยๆเลือนราง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ ว่าประตูห้องได้เปิดออกอีกครั้ง และไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็เข้ามาเงียบๆ พลางยืนมองใบหน้ายามนิทราของตนอยู่จนเกือบรุ่งสาง..

--------------

ตอนนี้มีเหตุการณ์อะไรแปลกๆ อยู่เยอะแยะพอดู แอบมุ้งมิ้งสวีตแบบแปลกๆ

แถมพ่อไคลน์ยังมาทำโรแม้งแบบหลอนๆอีก

(...เป็นอิชั้นคงหลอนนะคะมีใครมายืนจ้องตูทั้งคืนเนี่ยถถถ)

ไว้เจอกันตอนหน้าค่า *0*/
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 06 : ความฝันที่แปรเปลี่ยน ** UP.30/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-05-2014 12:14:22
ออกแนว โหดๆ หลอนๆ ลึกลับมากๆ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 30-05-2014 23:40:00


Lost 7 แฝงเงา


   บ่ายสี่โมงเย็น แสงแดดอ่อนส่องผ่านหน้าต่างบานหนาเข้ามายังภายในห้องตรวจที่ผ้าม่านถูกรูดปิดไว้ เมฆครึ้มของฤดูฝนเหมือนจะย่างเท้ามาไม่ถึงในวันที่สดใสเช่นนี้ เอนีล ชาส์เดอตงส์ นายแพทย์หนุ่มเจ้าของคลีนิกกำลังถือชาร์ตจดอาการของคนไข้และซักประวัติผู้ป่วยอยู่ในห้อง ขณะที่ภายนอกมีเสียงกระดิ่งดังขึ้นเป็นระยะยามเมื่อมีคนเข้าออก บรรยากาศอันเป็นปรกติของสถานที่นี้ดูสดใสมากขึ้นยามได้เห้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนายแพทย์ผู้เป็นเจ้าของคลินิก ที่ระยะนี้ดูอารมร์ดีและรื่นเริงกว่าเดิมอย่างน่าประหลาดใจ


     "มีอะไรดีๆเกิดขึ้นรึ คุณหมอ" ผู้ป่วยรายหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงตรวจ เอ่ยปากถามด้วยรู้สึกสงสัยเสียจนอดรนทนไม่ไหว


     "เอ๋?"ผู้ถูกเรียกหันไปสบตาก่อนจะอมยิ้ม "มีอะไรหรือครับเมอร์ซิเยอร์ปิแอร์โร่ต์"


     "ช่วงนี้คุณหมอดูแจ่มใสกว่าที่เคย" ผู้ป่วยที่มากด้วยวัยเอ่ยพร้อมดวงตาจ้องมองใบหน้าอ่อนวัยที่ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่า


     ผู้ถูกทักอมยิ้ม นายแพทย์เอนีล ชาส์เดอตงส์วางชาร์ตตรวจอาการลงกับโต๊ะทำงานของตนเงียบๆ "ไม่มีอะไรหรอกครับ.."


       "แค่ช่วงนี้ผมหลับฝันดีเท่านั้นเอง"



     นายแพทย์หนุ่มหยิบผ้าสะอาดออกมาจากถาดพลางเดินไปหาผู้ป่วยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "อ้าปากสิครับเมอร์ซิเยอร์ปิแอร์โร่ต์ แล้วเรามาตรวจสุขภาพคอของคุณกัน"


       "ชอบพูดอะไรเป็นปริศนาอยู่เรื่อยเลยนะครับ คุณหมอ"


     น้ำเสียงทักทายคุ้นหูดังขึ้นหลังจากเดินเข้ามาบริเวณส่วนพักผ่อนเพื่อล้างมือและเปลี่ยนเสื้อผ้า เอนีลโยนเสื้อลงบนตระกร้าซักรีด พลางเงยหน้ามองผู้ถาม นิโคลัส ผู้ช่วยแพทย์ของเขากำลังยืนกอดอกยิ้มกริ่มอยู่ด้านหลัง เจ้าตัวยังสวมเสื้อผ้าชุดไปรเวทบ่งบอกว่าเพิ่งมาถึง ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลวาววับนั้นแสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างโจ่งแจ้ง


        "ผมเปล่าเสียหน่อย ว่าแต่คุณไม่ดีใจเหรอ ที่ตอนนี้ผมอารมณ์ดีน่ะ นิก" เอนีลเอ่ยถามกลับ ยังคงมีท่าทีรื่นเริง


        "ดีใจสิครับ แต่แหม..แบบนี้ความนิยมผมก็ลดลงแล้วสิ" นิโคลัสเอ่ยพลางทำหน้าเสียอกเสียใจ นั่นทำให้ผู้มองหลุดขำ เอนีลเดินไปหยิบเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนพลางเอื้อมมือไปปัดเศษฝุ่นออกจากศรีษะของเจ้าตัวเบาๆ


       "มาทำงานกันดีกว่าครับเมอร์ซิเยอร์นิโคลัส อย่าลืมไปล้างมือฆ่าเชื้อโรคแล้วปัดฝุ่นออกจากผมยุ่งๆนี่ก่อนล่ะ เดี่ยวผู้ป่วยของเราจะป่วยเอาได้"


      ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางพลางดึงเอาขนนกสีดำที่ติดอยู่กับเส้นผมของลูกจ้างมือหนึ่งออกแล้วเดินจากไป นิโคลัสขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปปัดไรฝุ่นออกจากศรีษะ นึกฉงนว่าตัวเขาไปเผลอมุดซอกสกปรกตรงไหนถึงได้มีเศษฝุ่นเศษขนนกติดมาได้ ทว่าความสงสัยนั้นอยู่เพียงครู่ก็จากไป ดวงตาของชายหนุ่มเบิกขึ้นน้อยๆ ยามมองเห็นผู้เป็นเจ้านายของตนยืนคุยอยู่กับชายหนุ่มผู้หนึ่งทางด้านหลังคลีนิก ก่อนจะผิวปากเป็นทำนองเพลงออกมาเบาๆ


       เอนีลปิดประตูด้านหลังพลางเดินเข้ามาในคลีนิกอีกครั้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในมือของเขายังมีอาหารว่างเล็กๆน้อยๆสำหรับรองท้องที่ได้รับมาจากอีกหนึ่งผู้อาศัยของบ้าน นั่นคือ ไคลน์ สไตร์คเซอร์ แม้ว่าเอาเข้าจริงๆตัวเขาจะมีอาหารของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่ของที่ได้รับฝากมาก็ทำให้รู้สึกยินดีมากกว่าเคย


      "อะแฮ่ม"


เสียงกระแอมดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง


    "ที่แท้มีหนุ่มหล่อมาคอยดูแลนี่เอง แบบนี้กระผมก็หมดโอกาสแล้วสิครับ"


    "นิค" เอนีลหันขวับไปมองผู้ช่วยที่บัดนี้อยู่ในชุดฆ่าเชื้อเตรียมทำงานเรียบร้อยแล้ว นิโคลัสยิ้มส่งแววตารู้ทันมาให้พลางมองของที่อยู่ในมือของเขา ก่อนจะก้มลงกระซิบเบาๆ


   "แต่ถึงอกหักรักคุด ผมจะไม่ปูดเรื่องของนายจ้างแน่นอน ขอสัญญานะครับ"


     ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วเบาๆในลำคอ


   "..เอ๋ อารมณ์ดีอะไรกันคะเนี่ย" เสียงทักทายอีกหนึ่งดังมาจากเบื้องหลังทำให้นายแพทย์หนุ่มสะดุ้งอีกคำรบ เอนีลหันไปยิ้มให้ธุรการสาวของเขา เมลิสสาเดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาคู่โตสีเขียวสดของหล่อนจับจ้องที่ผู้เป้นเจ้านายพลางเอ่ยปากถามด้วยความฉงนสนเท่ห์


     "ครับ...มีอะไรหรือเมลิสสา?" เอนีลเอ่ยถามออกไป และพยายามปรับให้ตนเองแสดงท่าทีปรกติที่สุด


     "อ๋อ ก็ฉันเห็นนิคเดินยิ้มอารมรืดีไปโน่นน่ะค่ะ เลยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น" ใบหน้าสะสวยจัดนั้นเมียงมองมาพร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำ "ช่วงนี้คุณหมอก็อารมณ์ดี วันนี้นิกก็รื่นเริงออกเสียอย่างนั้น ฉันก็อยากรู้บ้างสิคะว่าคลินิกเรามีเรื่องบันเทิงอะไรกัน"


     "ไม่มีอะไรหรอกครับเมลิสสา แค่ผมกับนิกคุยล้อเล่นกันเท่านั้นเอง" เอนีลรีบปฎิเสธแล้วยิ้มหวานกลบเกลื่อนให้หล่อน ซึ่งผู้ฟังก็ทำหน้าเข้าอกเข้าใจ


      "น่าเสียดายนะคะ ที่ฉันไม่ค่อยได้หยอกล้อกับคุณหมอบ้างเลย อิจฉาจังค่ะ..อ่ะ..นั่นของฝากจากรูมเมทของคุณหมอเหรอคะ?" เสียงหวานๆบ่นกระเง้ากระงอดเพียงครู่ก็เปลี่ยนมาจ้องมองกล่องของว่างในมือแพทย์หนุ่มด้วยท่าทีอยากรู้ "เขาชื่ออะไรนะคะ เมอร์ซิเยอร์สไตรค์เซอร์ใช่ไหม..พ่อหนุ่มอังกฤษคนนั้น"


      "เขาเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสด้วยครับ" เอนีลแก้ไข้ข้อมูลที่ถูกต้องให้หญิงสาวตรงหน้ารับรู้ พลางยิ้มจางๆให้แล้วชูกล่องของว่างขึ้นในระดับสายตา "มาทานด้วยกันไหมล่ะ"


      "เกรงใจค่ะคุณหมอ ฉันอยู่ในช่วงลดน้ำหนักเสียด้วยสิ " หญิงสาวออกปากปฏิเสธแม้มีท่าทีเสียดาย "แต่รูมเมทของคุณหมอนี่ใจดีเสียจริงนะคะ เอาของฝากมาให้ไม่เว้นแต่ละวันเชียว...ไม่รู้ยังโสดอยู่ไหมนะ"


      เสียงบ่นพลางพึมพัมในประโยคหลังเล็ดรอดออกมาก่อนที่สาวเจ้าจะตวัดสายตามองเขาแล้วรีบบอกด้วยท่าทีร้อนรน "อ่ะ ฉันแค่พูดลอยๆนะคะคุณหมอ ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะคะ แค่เห็นว่าเขาเป็นหนุ่มหล่อใจดีเท่านั้นเอง"


      เอนีลหัวเราะ  "ผมไม่ได้ว่าอะไรนะครับ..แล้วก็เห็นจริงตามที่คุณพูดล่ะ"


      "แต่แหม..." เมลิสสาหรี่ตาลงน้อยๆพลางทอดถอนใจ "คุณหมอนี่ละก็ ทำไม่รู้ไม่เห็นแบบนี้ฉันก็เหนื่อยนะคะ..เฮ้อ...ต้องไปทำงานต่อแล้วด้วยค่ะ พักให้สบายนะคะ"


      เอ่ยแล้วเจ้าของร่างอรชรก็เดินจากไป ทิ้งให้ผู้ฟังมองตามแล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา


   ...ไม่มีใครแล้วกระมัง


       นายแพทย์หนุ่มมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาใกล้บ่ายสี่โมง อันถือเป็นเวลาพักของตนพลางเดินถือกล่องของว่างไปยังห้องพัก เอนีลงับประตูห้อง นั่งเอนหลังบนม้านั่งตัวโปรดเงียบๆพลางเคาะปลายนิ้วลงบนกล่องกระดาษในมือด้วยท่าทีใจลอย


      หลังจากวันที่ไคลน์ สไตรค์เซอร์ เดินทางมาพบและตกลงจะอยู่ร่วมอพาร์ทเมนต์ด้วยกันในฐานะบอดี้การ์ดและผู้ดูแลผ่านมานับสองอาทิตย์แล้ว ถือเป็นการอยู่ร่วมกันที่สงบสุข..ไม่มีเรื่องราวชวนลำบากใจใดๆ ไคลน์เข้ากันได้ดีกับพ่อบ้านและเหล่าบอดี้การ์ดของเขา รวมไปถึงรู้จักลูกน้องที่ทำงานร่วมกันอย่างเมลิสสาและนิคโคลัส


     ชายหนุ่มยังคงเปี่ยมด้วยสเน่ห์และอัธยาศัยไมตรี แทบทุกวันที่ไคลน์จะนำของว่าง ของฝากมาให้เขาในช่วงพัก และหลายครั้งยังเอ่ยปากชวนไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน มิพักต้องเอ่ยถึงอาการจากฝันร้ายที่ทุเลาลงมาก พื้นอารมณ์ของเขาจึงรื่นเริงแจ่มใสขึ้นจนมีผู้สังเกตุและเอ่ยปากทัก ซึ่งทั้งหมดนั่นมาจากการดูแลของชายหนุ่ม ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่องทั้งในฐานะเพื่อน รูมเมท บอดี้การ์ด และหมอประจำตัว


      คิดพลางอมยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเงียบลงไปอีกครั้งยามที่ได้ยินเสียงของผู้ร่วมงานดังมาจากด้านนอก เอนีลขมวดคิ้วเล็กน้อย..ผู้ช่วยทั้งสองของเขา..นิคโคลัสและเมลิสสา แม้ทั้งคู่จะไม่ได้เป็นอริต่อไคลน์ แต่แน่นอนวาการแสดงออกนั้นแตกต่างกัน นิคโคลัสดูจะอยากรู้อยากเห็นและสนอกสนใจเรื่องราวระหว่างเขาและไคลน์ว่ามีอะไรมากกว่านั้นแทรกอยู่หรือไม่ ชะรอยสัญชาติญาณบางอย่างของคนเป็นหมอจะรับรู้ได้กระมัง แน่นอนว่านิคไม่ได้ทราบเรื่องอาการป่วยหรือฝันร้ายของเขา รวมทั้งไม่ทราบว่าไคลน์มาอยู่ในฐานะหมอประจำตัวของเขาด้วย


      ผู้ช่วยทั้งสองของเขาทราบเพียงไคลน์มาอยู่ในฐานะผู้ร่วมเช่าอพาร์ทเมนต์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติยามที่สงครามใกล้เข้ามาและเศรษฐกิจเริ่มฝืดเคือง แต่แน่นอนว่ามันส่งผลต่อความเชื่อถือของเขาอยู่ไม่น้อย เพราะตัวเจ้าของคลินิกยังต้องหาผู้ร่วมเช่าเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วบรรดาลูกจ้างจะไม่วิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นอยู่ของตนได้อย่างไร


    แต่กระนั้น มันก็คงดีกว่าให้ทั้งสองทราบว่าแท้จริงแล้วไคลน์อยู่ในฐานะใดกันแน่..


        และมันคงไม่ดีแน่หากนายแพทย์ผู้เป็นเจ้าของคลีนิกจะมีอาการป่วยไข้ทางจิตใจเสียจนต้องมีหมอประจำตัวแบบนี้ แม้มันจะไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตประจำวันหรือการทำงาน แต่ในสายตาของผู้อื่นจะคิดอย่างไรต่อตัวเขาก็ไม่อาจทราบ จะอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ทราบจริงๆ       


     ส่วนเมลิสสา....


       เอนีลเปิดกล่องแซนวิชที่ได้รับมาแล้วทานเงียบๆ ครุ่นคิดถึงแม่สาวธุรการประจำคลีนิกของเขา คำพูดของหล่อนและแววตาหวานๆที่ส่งมาให้มีนัยยะใดเขาใช่จะไม่รู้ เมลิสสาเป็นผู้หญิงที่ดี...ดีมากและเป็นสาวสวยเสียขนาดนั้น แต่กระนั้นเขากลับรู้สึกกับหล่อนเพียงเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้มีนัยยะเชิงชู้สาวใดๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าในเร็วๆนี้ ตัวเขาคงต้องเอ่ยปากบอกหล่อนถึงสิ่งที่ตนคิดเพื่อไม่ให้ความหวังไปมากกว่านี้ และเปิดโอกาสให้เธอได้เจอผู้ชายดีๆแทนที่จะมานั่งรอเขาจนสังขารร่วงโรย


หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 30-05-2014 23:44:27


       สรุปเรื่องราวกับตัวเองเงียบๆ ขณะที่แซนวิชในมือค่อยหมดไป เอนีลเดินออกไปหยิบน้ำเปล่ามาทาน สายตารับรู้ถึงการเคลื่อนไหวเบื้องหลังทำให้เขาต้องหันไปถาม


     "ว่าไงครับนิค มีอะไรรึเปล่า?"


     "................"


     "นิค?"


     "..............."


          ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของผู้ช่วยหนุ่มของตน ท่าทีนั้นทำให้เอนีลขมวดคิ้ว นายแพทย์หนุ่มอ้าปากจะเอ่ยถาม ทว่าบรรยากาสบางอย่างทำให้เขาชะงัก


      เสียงพูดคุย เสียงพิมพ์ดีด เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเหมือนจะอยู่ไกลออกไป ทั้งที่เมื่อครู่ภายในห้องยังสว่างไหสวด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น ทว่าบัดนี้มันกลับมืดครึ้ม วังเวงและเงียบสงัดราวกับถูกเมฆหมอกของฤดูฝนเข้าปกคลุม


     บรรยากาศเย็นยะเยือกทำให้ชายหนุ่มขนลุกวาบ..


    "นิค!" เอ่ยเรียกผู้ช่วยของตนเสียงดังขึ้นอีกนิด นิโคลัสผู้ที่นับแต่ย่างเท้าเข้ามาในห้องพักยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรแม้สักครึ่งคำ และจดจ่ออยู่กับการหันหลังให้กับเขาถูกสะกิดด้วยปลายนิ้ว ทว่าร่างของผู้ช่วยหนุ่มไม่แม้จะแสดงอาการรับรู้ใด


    ".....นิค...." เอนีลเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง สัญชาติญาณกำลังกรีดร้องบอกเขาว่ามีสิ่งใดผิดปกติ มันกำลังบอกให้เขาก้าวเท้าออกไปจากห้องนี้ ทว่า..จะให้ออกไปแล้วทิ้งผู้ช่วยของตนยืนนิ่งอยู่อย่างไม่รู้ชะตากรรม ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถจะทำได้


    "....นิโคลัส.." เอ่ยเรียกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาไม่อาจจะนับ รอบกายมีเพียงความเงียบอันเยือกเย็นและน่าขนลุกโผล่มาปกคลุมอย่างเงียบเชียบเสียจนไม่รู้ตัว กว่าจะนึกได้ก็ยามที่เงยหน้าขึ้นมานั่นล่ะ เขาจึงได้เห็นว่าหลอดไฟในห้องนี้ดับวูบไปเสียแล้ว


     แสงสว่างจากที่เคยริบหรี่มีน้อยอยู่แล้วบัดนี้หายไปอีกยิ่งทำให้บรรยากาศมืดครึ้ม กระจกใสสะท้อนแสงอาทิตย์เบื้องนอกดูไร้ประโยชน์ใดเมื่อมีเพียงเมฆหมอกสีครึ้มที่กำลังจะลงเม็ด และเบื้องหน้าของเขา..ร่างของผู้ช่วยที่คุ้ยเคยกลับยืนนิ่งอยู่ตรงมุมห้องไม่ขยับกายหรือเคลื่อนไหวใดๆแม้จะถูกเรียกหรือสะกิดทัก


     เอนีลขมวดคิ้วแน่น  คืบคลานไปที่ประตูพลางแตะลูกบิดอย่างระมัดระวัง สัญชาติญาณบอกให้หนี แม้ว่าจะนึกห่วงใยและสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาอยู่ต่อไปไม่ดีแน่..ไม่ควระยืนอยู่ตรงนี้ท่ามกลางบรรยากาสชวนขนลุกที่ทำให้ประหวัดนึกถึงเรื่องราวแปลกประหลาดที่ตนได้พบเจอ


ปึ่ก!


  ".......!!!" เสียงฝ่ามือทาบลงกับประตูเบื้องหน้าทำให้ร่างสะดุ้งโหยง เอนีลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เย็นหลังสรีษะวาบเมื่อพบว่าร่างของตนถูกกักไว้ในอ้อมแขนของผู้ช่วยหนุ่มที่มีท่าทีแปลกประหลาด มือที่เริ่มสั่นอย่างช่วยไม่ได้กำลูกบิกแน่นแล้วพยายามเปิดออกไปเบื้องนอก ทว่าก็เป้นอีกครั้งที่เขาต้องนิ่งอึ้ง..


   ...เปิดไม่ออก


    ความไม่เข้าใจทำให้เผลอเขย่าลูกบิดประตูแรงขึ้นโดยอัติโนมัติ  แม้จะเป็นประตูที่ปิดล็อกได้ ทว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีการกดล็อคใดๆเพื่อสะดวกต่อการเข้าออกของตัวเขาและผู้ช่วยทั้งสอง แม้จะรู้ว่าทำแบบนี้หากเรื่องราวรู้ไปถึงหูของบรรดาผู้ป่วยที่รออยู่ภายนอกชื่อเสียงของเขาจะเสื่อมเสีย ทว่าจะให้ยืนนิ่งอยู่ในบรรยากาศแสนน่ากลัวเช่นนี้เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน


    ..แต่ตอนนี้แม้จะเปิดออกไปก็ทำไม่ได้หรือ?


      "..นิโคลัส คุณมีอะ----------"  ฝืนทำใจแข็งหันกลับไปมองด้วยความกล้าเพื่อเผชิญเหตุการณ์เมื่อรู้ว่าไม่อาจหลีกหนี  ทว่าเพียงหันกลับไปมอง เอ่ยเสียงทายทักไม่ทันจบประโยค ชายหนุ่มกลับต้องนิ่งงัน


    เอนีลเบิกตากว้าง เขาจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง  แม้ผู้ช่วยของเขาจะไม่ได้มีหน้าตาหรือรูปร่างที่แปลกประหลาดต่างไปจากเดิม ทว่าเพียงได่สบมองดวงตาสีน้ำตาลที่บัดนี้แปรเป็นสีแดงก่ำ นายแพทย์หนุ่มก็สะท้านเฮือก


     ร่างที่สูงใหญ่กว่าตนแม้ไม่มากกำลังยืนคร่อมทับอยู่พลางจ้องมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ แววตาที่เขาไม่เคยประสบพบเจอและใบหน้าที่นิ่งเฉยไร้อารมณ์นั้นสั่นประสาทได้อย่างรวดเร็ว  เบื้องหลังชายหนุ่มคือความมืด มืดมิดชนิดที่ไม่อาจรับรุ้ได้ว่าเขากำลังยืนอยู่ที่ไหน มืดเสียจนเอนีลไม่แน่ใจเสียแล้วว่าที่นี่คือห้องพักของตนหรือที่ใดกันแน่


    ".......!! " ฝ่ามือของผู้ช่วยตะปบเข้าที่ไหล่ของเขาแล้วบีบแน่น เอนีลสะดุ้งโหยง เงยหน้าไปมองดวงตาแดงก่ำคู่นั้นอย่างจนใจ สมองเริ่มจะเป้นเหน็บชาไปแล้วด้วยความสับสนและตระหนก ทว่าอีกครึ่งมันก้ยังร่ำร้องวิ่งวนหาทางออกอย่างบ้าคลัง


     "...แก..." น้ำเสียงแหบแห้งดังออกจากริมฝีปากของนิโคลัสนั้นดูราวกับไม่ใช่เสียงของเขา  จังหวะการขยับนั้นช่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก ฝ่ามือนั้นบีบไหล่เขาแน่นขึ้น และเค้นประโยคต่างๆออกมาอย่างยากเย็น


    "...มาแล้ว"


    "นะ...นิค" เอนีลเอ่ยเสียงเรียกผู้ช่วยของตนเบาๆ


    "..หายไปซะ มิฉะนั้น เจ้าจะต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมารชั่วนิรันดร์.."


    "...นิค? "


    "..อาโลอิส..." ชื่อเรียกของบางคนที่ติดตรึงอยู่ในความฝันทำให้เอนีลสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหวั่น ยามเมื่อนึกถึงเสียงกรีดร้องชื่อน้ำซ้ำไปซ้ำมา..เสียงร้องอันโหยหวนเย็นยะเยือกที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ


  ...ทำไมนิโคลัสถึงรู้จักชื่อนี้


  ไม่...


นี่ไม่ใช่นิค



    "............" สิ่งที่รับรู้ได้ทำให้เนื้อตัวสั่นระริก เอนีลจ้องมองดวงตาสีแดงของผู้ช่วยตน ซึ่งบัดนี้เขาแน่ใจแล้วว่านี่ไม่ใช่คนที่ตนรู้จัก ไม่ใช่นิโคลัสผู้ช่วยคนนั้น แต่เป็นใครสักคนที่เขาไม่เคยพบเจอ


....ใครสักคนที่มีดวงตาสีแดงก่ำ ใครสักคนที่รู้ชื่อในความฝัน ใครสักคน...ใครที่เป็นเจ้าของน้ำเสียงเย็นยะเยียบจับใจนี้


   "อั่ก!" สะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์เมื่อฝ่ามือใหญ่ตะปบเข้าที่ลำคอแน่น  ปลายนิ้วที่เคยแต่หยิบจับเครื่องมือแพทย์และทำการศึกษาเพื่อช่วยชีวิตคนบัดนี้มีเป้าหมายที่ลำคอของเขา เอนีลสะดุ้งเฮือก ใบหน้าบิดเบี้ยวทันทีที่รับรู้ได้ถึงความเจ็บหนึบที่แล่นเข้ามาจากฝ่ามือนั้น นายแพทย์หนุ่มพยายามดิ้นรน ฝ่ามือของเขาตะกุยท่อนแขนของผู้ช่วยตน ทั้งดึงรั้งแตะต่อยและดิ้นรนทุกวิธีให้ฝ่ามือนั้นคลายออก แต่กลับไร้ผลใด  ท่อนแขนนั้นยังคงแข็งแกร่งและมั่นคงไม่เคลื่อนไหวราวกับไม่ใช่เนื้อหนังมนุษย์


    จ้องมองเส้นเลือดบริเวณลำคอที่เกร็งเห็นเป็นแนวเส้นขึ้นมายามเจ้าของร่างออกแรง กานดิ้นรนที่ไร้ประโยชน์เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เอนีลเงยหน้าขึ้นจ้องมองดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นดว้ยความไม่เข้าใจ สมองที่มึนงงและตื้อทึบหนักเนื่องจากขาดอากาศไปหล่อเลี้ยงเริ่มร้องอุธรณ์ด้วยความทรมาร เช่นเดียวกับร่างของเขาที่กระตุกไหวด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสีท้องฟ้าเอ่อด้วยน้ำใส


    " หายไปซะ" เสียงกระซิบหนักแน่นดังขึ้นแทรกขึ้นมาในอนุสติอันเลือนราง เจ้าของน้ำเสียงแหบพร่านั้นกระซิบบอกซ้ำๆ ย้ำเจตนาของตนอยู่เบื้องหน้า เอนีลรับรู้ว่าฝ่ามือของตนที่พยายามดิ้นรนนั้นเริ่มไร้เรี่ยวแรง สติของเขากำลังใกล้จะเลือนหายไปแล้วในที่สุด..


ปึงๆๆๆๆ



   เสียงเคาะประตูดังลั่นเหมือนจะแทรกเข้ามาไม่ถึงด้านใน รวมทั้งเสียงเอะอะจากเบื้องนอก เอนีลแว่วเสียงคุ้นหูคล้ายว่านั่นจะเป็นเมลิสสา ธุรการสาวของเขา และอีกหนึ่งเสียงที่เรียกชื่อเขาด้วยความร้อนรนนั้น คือ ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ชายหนุ่มที่คอยดูแลคนนั้นนั่นเอง


    "............" แม้จะอยากเอ่ยปากตอบออกไปทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกจากริมฝีปาก เอนีลจ้องมองภาพเบืองหน้าอย่างเลื่อนลอย ดวงตาพร่ามัวมองเห็นสิ่งใดไม่ชัด..และคงเพราะเหตุนั้น เขาจึงได้อนุมานไปเอง ว่าเบื้องหน้าไม่ใช่นิโคลัส..ผู้ช่วยของเขาคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นใครสักคน..ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าซีดขาว เส้นผมยาวสีดำสนิท กำลังจ้องมองตนที่ใกล้จะหมดลมหายใจด้วยแววตาเย็นยะเยียบจับใจ


   ".............." ริมฝีปากของคนผู้นั้นขยับไหว ทว่าสำเนียงที่จับต้องได้กลับเบาแสนเบาจนไม่อาจจับใจความ ในหูของเขาอื้ออึงด้วยเสียงวิ้งๆ ดวงตาใกล้จะปรือปิดเช่นเดียวกับฝ่ามือที่เคยเกาะอยู่บนท่อนแขนของผู้ประทุษร้ายค่อยตกลงข้างกาย


ปัง!


   "เอนีล!!" เสียงตะโกนร้อนรนดังขึ้นพร้อมกับร่างของผู้บุรุกพากันกรูเข้ามา แรงถีบที่ทำให้ประตูเปิดผางเมื่อครู่เป็นผลให้ร่างของนายแพทย์หนุ่มและผู้ช่วยกระเด็นออกไปโดยอัติโนมัติ เอนีลรู้สึกว่าตัวเขาถูกใครคนหนึ่งโอบกอดไว้แล้วเขย่าตัวแรงๆ ขณะที่ตนเองนั้นสำลักกระอักกระไออย่างรุนแรง ทั้งยังปวดหัวจี้ดด้วยเผลอสูดลมหายใจแรงอย่างตะกรุมตะกราม


    สรรพเสียงแห่งความวุ่ยวายดำเนินต่อไปโดยที่เขาไม่อาจรู้ตัวแม้แต่น้อย ลำคอที่ปวดระบมและสมองมึนชาเรียกร้องการพักผ่อน ดวงตสีท้องทะเลจ้องมองภาพชุลมุนวุ่นวายเบื้องหน้าอย่างเลือนลาง ภาพฝันสะเปะสะปะไม่เป็นรูปร่างบอกเขาว่า ไคลน์ สไตร์เซอร์คือคนที่โอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขนพลางช่วยปฐมพยาบาลให้ด้วยความเป็นห่วง ขณะที่เบื้องหน้า ร่างของนิโคลิส ผู้ช่วยของตนถูกชายฉกรรจ์สามสี่นายซึ่งเป็นบอดี้การ์ดของเขาคอยจับตัวไว้ เอนีลมองเห็นร่างที่ดิ้นรนทุรนทุรายของนิโคลัส ขณะที่หูก็แว่วเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของเมลิสสา


    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย!!" น้ำเสียงที่ใกล้เคียงกับคำว่ากรีดร้องดังแทรกเข้ามาในอนุสติอันเลือนราง


    "นิค..คุณหมอ อะไรกันคะ นี่มันอะไรกัน!?"


  "ใจเย็นครับคุณเมลิสสา ไม่มีอะไรแล้ว อย่าตกใจไปเลย!"


   "จะให้ฉันไม่ตกใจได้ยังไงคะ ในเมื่อมัน...นี่นิคทำอะไรคุณหมอกันแน่!"


    "ไม่มีอะไรแล้วครับ ไม่มีอะไร แค่อาการลมบ้าหมูของเขากำเริบเท่านั้นเอง!!" 


        เสียงทุ่มเถียงเอะอะดังอยู่รอบตัว ดวงตาอันพร่ามัวจับอยู่ที่เสี้ยวหน้าหล่อเหลาอันเต็มไปด้วยความตระหนกและเคร่งเครียดของไคลน์ เอนีลเอื้อมมือไปหาชายหนุ่ม ทว่าเพียงครึ่งทางเขาก็หมดแรง สติที่แทบจะประคองไม่ไหวกระซิบบอกตัวเองท่ามกลางความวุ่นวายก่อนจะหลับตาลง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น..ไม่ได้เป็นเพราะลมบ้าหมูแน่ๆ..



++++++++++++++


ยังคงความซวยกันอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ไคลน์โผล่มานิดเดียวแต่หล่ออีกแล้วว ส่วนเอนีลคะ เราไปวัดกันเถอะะะะ

/เอนีลบอกซวยขนาดนี้เพราะใครล่ะะ

ส่วนเรื่องราวจะเป็นไงต่อ พ่อนิคกี้จะทำเรพาะลมบ้าหมูจริงๆหรือไม่ โปรดติดตามค่าาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-05-2014 01:32:11
มันหลอนมาก อันไหนจริงอันไหนเท็จไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: Maii2206 ที่ 31-05-2014 17:03:02
มาตามอ่านในเล้าค่ะ ฮี่ๆๆๆ  o13

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 08 : สับสนวุ่นวาย ** UP.01/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 01-06-2014 02:08:43

Lost 08  สับสนวุ่นวาย


    เปิดดวงตาขึ้นมาช้าๆ สติที่เลือนลางยังไม่แจ่มชัดทำให้สมองยังคงมึนเบลอ สิ่งแรกที่สามารถจับได้คือภาพอันพร่ามัวของเพดานบนหัวเตียงอันเคยคุ้น เอนีล ชาส์เดอตงส์ครางเบาๆในลำคอ ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบเสียจนกลืนน้ำลายยังลำบาก สติที่เริ่มแจ่มใสขึ้นทบทวนเรื่องราวที่เกิดเงียบๆ  พลันก็ต้องเบิกตากว้างแล้วลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงเมื่อจำได้ถึงเรื่องราวทั้งหมด


...ทั้งเรื่องที่ตัวเขาถูกทำร้ายโดยนิโคลัส ผู้ช่วยที่เชื่อใจ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และ..สภาพอาการที่เหมือนไม่ใช่ปกตินั่น..


    ความมืดในห้องพักที่ราวกับมาจากโลกอื่น ภาพทับซ้อนของชายหนุ่มผมดำยาวผิวขาวซีด และน้ำเสียงอันแหบพร่าน่ากลัวที่บอกให้เขาหายไป...หายไปซะ


...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


   "ฟื้นแล้วเหรอครับ?"  ไม่ได้นิ่งคิดหรือหวาดกลัวนานพอจะเพ้อเจ้อวุ่นวาย น้ำเสียงทุ้มๆนุ่มหูที่ดังขึ้นเบื้องหลังก็ทำให้เอนีลชะงัก นายแพทย์หนุ่มหันไปหาเจ้าของเสียงอันเคยคุ้น คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังม่านสีควันบุหรี่ที่โรยรอบเตียง คือหมอประจำตัวของเขา และคนที่ช่วยเหลือเขาออกมาจากเหตุการณ์แปลกประหลาดนั้น ไคลน์ สไตร์คเซอร์นั่นเอง


      ชายหนุ่มเบื้องหน้ายังมีท่าทีอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่นยังทาบอยู่บนริมฝีปากคู่นั้น แม้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งจับจ้องมายังตัวเขาจะแฝงแววกังวลก็ตาม ไคลน์นั่งลงข้างเตียง พลางเอื้อมมือปัดผ้าม่านหนาออกจากสายตาแล้วแทรกกายเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ 


      "..เป็นยังไงบ้างครับ เอนีล?" คำถามเบาๆที่มาพร้อมกับฝ่ามือแนบศรีษะทำให้เขาสะดุ้ง


       "เอ่อ...ผม...." นายแพทย์หนุ่มมีท่าทีอึกอักก่อนจะค่อยผ่อมลมหายใจลงช้าๆ เขารู้สึกสงบลงอย่างประหลาดเมื่อฝ่ามืออุ่นๆนั่นแตะลงบนผิวแก้มแล้วไล้เบาๆ แม้จะเป็นอัปกริยาที่ดูแปลกประหลาดเกินไปกว่าการสำรวจดูอาการหรือวัดไข้ ทว่าในยามนี้เขาไม่มีเหตุใดจะให้ติดใจสงสัย ความสบายที่เกิดขึ้นทำให้เอนีลยิ้มตามได้ไม่ยาก


       "ครับ.." ผู้ที่เฝ้าพิจารณาใบหน้าของตนอย่างอ่อนโยนและไล้เบาๆทั่วผิวแก้มละมือออกพลางตั้งใจฟัง เอนีลอดจะก่นด่าตัวเองเบาๆไม่ได้เมื่อรู้ว่าเขากำลังนึกเสียดายที่สัมผัสอุ่นๆชวนสบายใจนั้นผละจาก


      "ไม่เป็นไรแล้วครับ..ผมแค่..." ฝ่ามือคลำลงไปที่ลำคอซึ่งปวดระบม ไม่ต้องบอกเอนีลก็พอจะทราบว่ามันคงเกิดร่องรอยฟกช้ำจากฝีมือของผู้ช่วยตนเป็นแน่


     "อ้อ..." เพียงมองฝ่ามือที่แตะลงบนลำคอ ไคลน์ก็เข้าใจได้ไม่ยาก "ที่คอของคุณมีรอยช้ำจากการถูกทำร้ายนิดหน่อย..ถึงจะบอกว่านิดหน่อยแต่ถ้ามีคนเห็นคงไม่ดีแน่ ช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูมรสุมแล้ว ใส่ผ้าพันคอสักผืนก่อนออกไปข้างนอกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีนะครับ "


      ".....แล้ว..นิค" เอนีลพยักหน้ารับคำเตือนนั้นเงียบๆ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามถึงคนก่อเหตุอย่างอดรนทนไม่ไหว


      "ตอนนี้เขาได้สติแล้วครับ ขอพักงานสักอาทิตย์..หวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไร" ไคลน์ตอบอีกฝ่ายพร้อมกับช่วยหยิบหมอนมารองหลังให้คนตรงหน้าเอนตัวพิงลงบนหัวเตียง "...และนอกจากนี้ เขายังฝากมาขอโทษ และหวังว่าคุณจะไม่เอาเรื่อง"


      "ผมไม่เอาเรื่องเขาหรอกครับ ไม่เอาแน่ๆ " เอนีลโบกมือทันที "ที่จริงผมอยากคุยกับเขา คือ..ผมคิดว่านั่นนิดไม่น่าจะตั้งใจ..เขาไม่ใช่คนแบบนั้น นิคเป็นผู้ช่วยผมมาตั้งหลายปี..."


     "แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นเมื่อผมพังประตูเข้าไปคือเขาทำร้ายคุณ" ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆยามเอ่ยปากถกเถียง "ทั้งจากพยานและจากสิ่งที่ได้เห็น..มันเชื่อยากครับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ.."


      "...แต่"


      "เขาล็อคกลอนประตูไว้ด้วย...จากที่ผมถามเมลิสสา ห้องนั้นไม่เคยล็อคประตูไม่ใช่เหรอครับ นั่นยิ่งเป็นหลักฐานบอกชัดว่าเขาทำไปโดยตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ.."


      "..............." เอนีลเงียบไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เพราะหากดูจากสภาพแวดล้อมแล้ว มันบ่งชัดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ


     "ตอนนี้คุณฟาเอลกำลังรอคุยกับคุณอยู่..เห็นว่าอยากปรึกษาเรื่องแจ้งกับทางบ้านของคุณ ที่คุณถูกทำร้าย" เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปไคลน์ก็เอ่ยปากเล่าเรื่องราวต่อ "..ฟาเอลกังวล..ว่านิโคลัสอาจจะถูกซื้อตัวน่ะครับ "


      "ซื้อตัว?" เอนีลถามซ้ำ เลิกคิ้วอย่างไม่เห็นขัน "อย่างนิคน่ะเหรอครับ?"


     "คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่มันก็มีทางเป็นไปได้ คุณพ่อของคุณมีคู่แข่งทางการเมืองมากมาย..." ไคลน์เปรยขึ้นเบาๆ ถึงข้อสันนิษฐานที่ถูกคิดไว้ อันเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการชิงอำนาจซึ่งบิดาของชายหนุ่มตรงหน้าร่วมลงเล่นในเกม


      "...ฆ่าผมไปแล้วได้อะไร" เอนีลส่ายหน้าอย่างไม่เป็นด้วย "ผมเป็นแค่ลูกชายคนเล็ก ไม่ใช่คู่แข่งทางการเมือง ไม่ใช่ลูกชายคนโปรด...ผมไม่เห็นประโยชน์ในการปองร้ายนี้"


      "แต่มันก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้"


      "ไคลน์" เอนีลหันไปจ้องสบตาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ "คุณก็เชื่อแบบนั้นงั้นหรือครับ?"


      "...ผม...." ชายหนุ่มผู้ถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบาง "คำตอบของผมไม่ใช่ทุกสิ่ง"


      "ตอนที่เมลิสสาโวยวาย..ร้องถามว่าผมเป็นอะไร ตัวคุณแท้ๆ..ที่พูดไปว่านิคเป็นลมบ้าหมู.." เอนีลจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของชายหนุ่มเบื้องหน้า ขณะที่ความทรงจำนึกย้อนไปยังตอนที่เกิดเหตุ "แล้วตอนนี้ คุณบอกว่าเขามีสิทธิเป็นคนที่ถูกส่งตัวมา ซื้อตัวมาเพื่อสังหารผม โดยหวังทำลายคุณพ่อของผม...งั้นหรือครับ?"


      "ผมบอกเธอไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่...ตอนนั้นมีคนไข้อยู่ด้วย..ถ้าหากมีคนรู้ว่าคุณถูกผู้ช่วยตัวเองทำร้าย คลินิกของคุณจะเสียชื่อ" ผู้ถูกถามเอ่ยตอบพลางจ้องมองดวงตาสีฟ้าสดคู่นั้น


     เงียบอยู่ครู่หนึ่ง นิ่ง..นาน...ท่ามกลางดวงตาสองคู่ที่สบมองกันอย่างเงียบงัน เอนีล ชาส์เดอตงส์ก็ถอนหายใจเบาๆ


     "ขอผมใช้โทรศัพท์สักครู่"


+++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 08 : สับสนวุ่นวาย ** UP.01/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 01-06-2014 02:12:26


         วางสายลงพลางเดินขึ้นบันไดมาเงียบๆ เอนีลมองผ่านสายตาห่วงใยของพ่อบ้านตนไปเสีย ขณะที่สมองก็นิ่งครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อครู่ คนที่เขาเอ่ยปากขอคุยด้วยนั้นไม่ใช่ทั้งผู้เป็นบิดาหรือใครที่ไหน แต่กลับเป็นนิโคลัส..ผู้ช่วยของตนที่บัดนี้ถูกกล่าวหาจากเหตุการณ์ทั้งหมดว่าตั้งใจในการทำฆาตกรรมเขา


   เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง ทั้งความเจ็บที่ลำคอ รอยแผลที่กลายเป็นสีม่วงคล้ำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยามเย็นของวันนี้ไม่ใช่ความฝันหรือเรื่องราวเพ้อพก และเพราะมันเกิดขึ้นจริงนั่นล่ะ ชายหนุ่มจึงต้องคุยกับผู้ถูกกล่าวหาให้เรียบร้อย


     หากถามถึงความคิดส่วนตัว เอนีลไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อเลยว่าคนอย่างนิโคลัสจะทำร้ายเขาเพียงเพื่อหวังรางวัลหรือถูกซื้อตัวจากคู่แข่งทางการเมืองของพ่อ ไม่นับเรื่องราวแปลกประหลาดที่เขาพบเห็น มิพักเอ่ยถึงความผิดปรกติต่างๆที่สังเกตุได้ ลำพังแค่การกระทำของนิโคลัสก็ถือว่าไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว


       จริงอยู่ที่ว่าชายหนุ่มลงมือทำร้ายเขา ทั้งการเข้ามาในห้องพักแล้วล็อคปิดประตูพลางลงมือบีบคอกันให้ขาดอากาศหายใจ แต่หากมาลองคิดแล้ว..หลังจากนั้นล่ะ นิโคลัสจะใช้ชีวิตยังไงหรือ ต่อให้ทำลงไปแล้วสำเร็จ หลักฐานทั้งหมดก็ต้องบ่งชี้ไปที่ตัวเขาอยู่ดี นิคไม่มีทางจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มีทางจะได้เรียนแพทย์ต่อ ไม่มีทางจะได้ทำอาชีพที่เขาใฝ่ฝัน แล้วนิคจะทิ้งทุกอย่างนั่นเพื่อลงมือฆาตกรรมเขาเพื่ออะไร


       เอนีลรู้จักนิคมาหลายปี นิโคลัสนั้นเป็นนักเรียนแพทย์รุ่นน้องที่รู้จักกันผ่านเพื่อนคนหนึ่งของเขา เป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นขยันขันแข็งทั้งยังอารมณ์ดีเป็นที่หนึ่ง ตัวเอนีลทราบมาตลอดว่าความฝันของอีกฝ่ายคือการเป็นศัลยแพทย์ ฉะนั้นเขาจึงให้โอกาสนิคในการเป็นผู้ช่วยของตนเพื่อเสริมทักษะ ทั้งเวลาที่รู้จักกัน ทั้งระยะเวลาที่เป็นผู้ช่วยของตนไม่มีเลยสักครั้งที่นิคจะมีท่าทีไม่พอใจหรือเป้นอริกับเขา พวกเขาทั้งคู่ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้ง ไม่เคยมีความแค้นใดๆต่อกัน


     หากพุดถึงความรู้สึกส่วนตัวแล้วยังไม่พอ นายแพทย์หนุ่มนึกไปถึงการกระทำของอีกฝ่าย นิคบีบคอเขา...บีบคอไม่ใช่วิธีการฆาตกรรมที่ฉลาดเอาเสียเลย ทั้งรอยนิ้วมือที่ตามตัวได้ ทั้งการดิ้นรนของเหยื่อที่มีโอกาสหนีรอด ทั้งที่นิคนั้นเป็นหมอ เจ้าตัวรู้ถึงวิธีการมากมายในการช่วยชีวิตคน รวมไปถึงวิธีการมากมายในการคร่าชีวิตมนุษย์ด้วยเช่นกัน การวางยา ฉีดยาพิษ การทำร้ายด้วยอย่างอื่นจนถึงแก่ความตายโดยจับมือใครดมได้ยากนั้นมีอยู่มากมาย อย่างนิคน่ะหรือจะเสี่ยงใช้วิธีแบบนี้เพื่อฆ่าเขา..ทุกๆอย่างนั้นล้วนไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย


     ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เอนีลโทรไปหาอีกฝ่าย นิโคลัสผู้ซึ่งรับสายด้วยอาการละล่ำละลัก เอ่ยปากขอโทษเสียจนหายใจหายคอไม่ทันนั้นดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่คนที่ต้องการคร่าชีวิตเขาเสียเลย เจ้าตัวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าพลางเอ่ยปากขออย่าให้เขาเอาเรื่อง ซึ่งอาจจะทำให้เจ้าตัวถูกไล่ออกจากวิทยาลัยแพทย์ ซึ่งเอนีลเอ่ยปากรับคำทันที และทั้งนี้ก้เอ่ยถามถึงสาเหตุของการกระทำนั้นไปในตัว


    ไม่มีคำตอบใดจากนิโคลัส เจ้าตัวได้แต่เพียงนิ่งเงียบ ไม่อาจตอบอะไรมาได้ นิคบอกเพียงว่าเขาจำอะไรไม่ได้ รู้ตัวอีกที ก็เป็นยามที่ถูกบอดี้การ์ดของเขาคุมตัวไว้แล้ว อีกฝ่ายยืนยันว่าไม่เคยใช้สารเสพติดประเภทหลอนประสาทซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจนลุกมาทำร้ายร่างกายเขา แต่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าด้วยเหตุผลกลใดถึงได้ลงมือทำเรื่องนี้ลงไป..สรุปแล้ว..อย่างไรนิคก็ไม่อาจเป็นคนที่ตั้งใจฆ่าเขาได้เลย


..แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?


   เอนีลไม่ได้เอ่ยปากถามถึงคำพูดที่ออกมาจากปากอีกฝ่าย น้ำเสียงที่เหมือนไม่ใช่ของเจ้าตัว หรือวาจาแปลกประหลาดนั้น ชายหนุ่มเก็บมาคิดกับตัวเองเงียบๆ ยามก้าวเท้าขึ้นบันใดไปยังห้องพัก ทว่ายิ่งคิด ก็ยิ่งไม่มีคำตอบใด


..นิคไม่ได้ตั้งใจฆ่าเขา..ไม่ใช่แน่ๆ


แต่ก็ปฏิเสธเรื่องที่นิโคลัสเอื้อมมือมาบีบคอเขาไม่ได้อยู่ดี


 แล้วยังดวงตาสีแดงก่ำ น้ำเสียงแหบพร่าและภาพหลอนอันเลือนรางที่เขาเห็น..ทุกอย่างนั่นผสมปนเปกันจนชายหนุ่มชักจะปวดหัว..


  ตอนนี้เอนีลเริ่มสงสัย ระหว่างเขากับนิค ใครกันแน่..ที่กำลังใกล้จะสติแตก   


     "คุณไม่เอาเรื่องเขาจริงๆสินะครับ" เสียงถามที่ดังขึ้นทำให้ชะงัก ละออกจากภวังค์ เอนีลเงยหน้าขึ้นมองคนพูด เขาสบตากับไคลน์ สไตรค์เซอร์ที่ยืนอยู่หน้าห้องนอนของตน อีกฝ่ายคงรอดูท่าทีของเขาแล้วมารอพูดถึงที่


    "....และจะไม่มีการบอกพ่อผมด้วยครับ" นายแพทย์หนุ่มเอ่ยในสิ่งที่คาดว่าอีกฝ่ายต้องการจะรู้ต่อจากนี้


   "เขาจะ"ฆ่า"คุณนะครับ" ไคลน์จ้องมองคนพุดอย่างไม่เข้าใจ หัวคิ้วขมวดมุ่น


   "นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของนิค มันเป็นแค่อุบัติเหตุ..เขาไม่เคยคิดจะฆ่าผม"


       นิ่งไปครู่หนึ่งหลังเอ่ยประโยคนั้นออกมา ไคลน์ก็ถอนหายใจเบาๆ ชายหนุ่มสบตาผู้พูดเงียบๆ พลางยิ้ม...แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยมีความสุขเสียเท่าไหร่


    "คุณนี่ดูจะ ชอบ เขาเสียจริงๆนะครับ..เอนีล"


    "ผมไม่เข้าใจความหมายของคุณครับ" เอนีลขมวดคิ้ว


    "ไม่มีอะไรครับ" ผู้ถูกถามโคลงศรีษะบางๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องของบุรุษเบื้องหน้าเงียบๆ "เมื่อเจ้าทุกข์ไม่คิดเอาเรื่องผมก็ทำอะไรไม่ได้...รบกวนเวลานอนของคุณมามากแล้ว คุณคงต้องการพักผ่อนต่อ ราตรีสวัสดิ์ครับ"


     เอ่ย..แล้วเจ้าของคำพูดนั้นก็โค้งตัวให้เงียบๆ เอนีลมองตามแผ่นหลังที่เดินห่างออกไปด้วยความไม่เข้าใจ นายแพทย์หนุ่มมีสีหน้างวยงง ฉงนกับการกระทำที่ใกล้เคียงกับคำว่าไร้มารยาทของอีกฝ่าย ทว่าที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตูแล้วเตรียมตัวนอน



   มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้...ในสายตาของชายหนุ่มที่มีหน้าที่ทั้งคอยรักษาและดูแลตัวเขา..คงจะไม่พอใจที่นิโคลัสทำร้ายเขา และยิ่งไม่พอใจมากกว่าที่เขาปล่อยคนร้ายไปง่ายๆ เพียงเพราะความใจอ่อนหรือรู้จักกันส่วนตัว เอนีลรู้ว่าการทำแบบนี้นั้นไม่ฉลาดเอาเสียเลย การที่เขาบังคับทุกคนกรายๆให้ปล่อยผ่านเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้ไป


     แต่เหตุผลของเขา จะให้อ้าปากอธิบายกับใครคงเป็นไปไม่ได้ จะอย่างไรมันก็เป็นความรู้สึก ให้อ้าปากพูดไปหรือว่าเวลานั้น..เวลาที่โดนทำร้าย เขารู้สึกว่านั่นไม่ใช่นิค จะให้พูดว่ามองเห็นนิคมีดวงตาสีแดงก่ำ มองเห็นเงาของใครไม่รู้ซ้อนทับกับร่างผู้ช่วยของเขา และยังได้ยินเสียงพูดแปลกหูอย่างนั้นหรือ


     ทั้งหมดนั่น..เรื่องราวประหลาดเหล่านั้นจะมีใครเชื่อ มันก็ไม่ต่างจากความฝันของเขานั่นล่ะ..ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนกับอาการวิตกจริตเหมือนคนบ้า หากนำมาประกอบกันแล้ว ไปๆมาๆ เอนีลอาจจะถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้าเสียก็ได้ ใครจะรู้ 


     แต่อย่างหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ..คำพูดของไคลน์นั่น..ทำไมฟังเหมือนคำประชดประชันกันด้วยความหึงหวงเสียก็ไม่รู้


     คิดแล้วแพทย์หนุ่มก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธกับตัวเองเป็นพัลวัน  ไม่ใช่เสียล่ะ ที่ได้ยิน มันเป็นเพราะเขาทำตัวให้ชายหนุ่มหงุดหงิดเท่านั้นเอง


   ก๊อกๆ..


      เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบาๆระหว่างที่กำลังสวมชุดนอนทำให้เจ้าของห้องชะงัก เอนีลรีบติดประดุมเสื้อเชิ๊ตเนื้อนุ่มที่ตนสวมอยู่ ก่อนจะเดินไปที่ประตู


     "ครับ?"


     "ไม่ต้องเปิดประตูก็ได้ครับ ผมแค่อยากจะถามอะไรนิดหน่อย" กำลังเอื้อมมือไปที่ประตูแท้ๆ ทว่าเสียงที่ดังขึ้นก่อนราวกับรู้ทันนั้นทำให้ชะงัก เอนีลลดมือลงจากลูกบิด แม้จะงวยงงและไม่เข้าใจแต่ก็ทำตามที่อีกฝ่ายร้องขอ


      "มีอะไรเหรอครับ" คงเป็นเรื่องประหลาดแน่หากจะเอาแต่ยืนจ้องประตูเป็นวรรคเป็นเวร เอนีลจึงหันหลัง เอนตัวพิงประตูห้องพลางจ้องมองสภาพห้องนอนของตนเองเงียบๆ


      เตียงหลังใหญ่มีสี่เสาเหมือนที่นอนของเจ้านายสมัยโบราณ ผ้าม่านสีควันบุหรี่โรยรอบเตียง ข้างเตียงมีโต๊ะเครื่องแป้งที่กลายเป็นจุดวางหนังสือ  ที่พื้นมีหนังสือวิชาการมากมายกองไว้ ผนังมีชั้นวางหนังสือที่สูงจรดเพดาน ตู้เสื้อผ้าสีน้ำตาลเข้มใบโต กระจกบานยาวและที่กั้นสำหรับแต่งตัว และถัดจากนั้นก็เป็นหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งเปิดกว้างรับแสงจันทร์ยามค่ำคืน และผ้าม่านสีขาวโชยพลิ้วด้วยแรงลม...


  แกว๊ก!


     เสียงร้องของนอกกลางคืนดังลั่นพลางบินผ่านประตูไปทำเอาสะดุ้งเฮือก เอนีลยกมือลูบอกใจหายวาบ ขณะที่หูแว่วเสียงเคาะประตูปึงปังเบื้องนอก


     "มีอะไรรึเปล่าครับ เกิดอะไรขึ้น?" คำถามร้อนรนนั้นดังมาจากปากของไคลน์ สไตร์คเซอร์ไม่ผิดแน่ เอนีลถอนหายใจเบาๆ บอกตัวเองให้สงบสติอารมณ์ รวมทั้งบอกให้เชื่อว่าภาพดวงตาสีแดงก่ำของนกตัวนั้นที่เหมือนจ้องมองมาที่ตอนนั้นเป็นการคิดไปเอง ชายหนุ่มกระแอมเบาๆก่อนจะเอ่ยปากตอบ


    "ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เหม่อนิดหน่อย เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ"


    "ผมขอโทษที่เมื่อกี้แสดงกริยาไม่เหมาสม.." เมื่อได้รับคำตอบ ความร้อนรนในน้ำเสียงนั้นก็เหมือนจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง รวมถึงอาการตระหนกตกใจของผู้ฟังที่ลดลงจนแทบไม่เหลือ "ผมแค่เป็นห่วงคุณ.."


    ฟังแล้วคนฟังก็ยิ้มน้อยๆ เอนีลเอ่ยตอบออกไปอย่างแผ่วเบา "ครับ..ผมรู้"


    "ความจริงผมรู้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจของคุณ และตัวเองไม่มีสิทธิก้าวก่าย ผมขอโทษด้วย"


    "ไม่เป็นไรจริงๆครับ ไคลน์..อย่าคิดมากไปเลย"


     "เพื่อเป็นการขอโทษ..พรุ่งนี้วันอาทิตย์ เราไปเที่ยวกันดีไหมครับ" ข้อเสนอนั้นทำให้ผู้ฟังชะงัก เอนีลเงยหน้าขึ้นมาจากพื้นพรมแล้วหันไปมองบานประตูห้องตัวเอง เขายิ้มออกมาแม้จะรู้ว่าคนที่อยู่อีกฝั่งไม่มีทางเห็น ก่อนจะเอ่ยปากตอบรับเงียบๆ


    "ได้สิครับ.."


     "ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญ.." เสียงแกร๊กกรากเบื้องนอกทำให้คนในห้องเลิกคิ้วฉงน ไม่ทันจะอ้าปากถาม บานประตูก็ถูกเปิดออก แล้วใบหน้ายิ้มแย้มที่แสนอ่อนโยนของไคลน์ สไตร์เซอร์ ก็โผล่มาอย่างรวดเร็ว


     "ราตรีสวัสดิ์ครับ เอนีล" รอยยิ้มทั้งในใบหน้าและแววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทำให้ผู้สบมองยิ้มตามได้ไม่ยาก


     "ราตรีสวัสดิ์ครับ..ไคลน์"


    "แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะครับ" เอ่ยแล้วคนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างอุกอาจก็ปิดประตูไปด้วยรอยยิ้ม เอนีลอมยิ้มขบขันนึกชอบใจไม่น้อยกับการกระทำท่าราวกับเด็กหนุ่มห่ามๆของคนตรงหน้า ความประทับใจและชื่นชอบมีมากเสียจนไม่คิดจะสงสัยถึงข้อที่ว่าอีกคนเปิดประตูเข้ามาได้อย่างไรทั้งที่เขาล็อคไปแล้ว ยามเอ่ยปากตอบรับคำพูดอีกฝ่ายเบาๆ เขาจึงรื่นเริงยิ่งนัก


     เอนีลปิดประตูลงแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มซุกตัวลงนอนกับเตียงพลางหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ทว่าก็อ่านไปได้เพียงเล้กน้อย เพราะความตื่นเต้นและรอคอยวันพรุ่งนี้นั้นมีมากเกินไปเสียจนไม่มีสมาธิจดจ่อ นายแพทย์หนุ่มอดจะบ่นใส่ตัวเองไม่ได้ที่มีท่าทีรื่นเริงเกินไปเสียขนาดนี้  กระนั้นยามล้มตัวลงนอนเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความคิดมากมายเกี่ยวกับการไปท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้อยู่ดี


     พื้นอารมณ์ที่แจ่มใสมากขึ้นทำให้เอนีลหลับสนิทไปโดยง่าย ผู้ที่เผชิญเหตุการณ์เลวร้ายในยามเย็นมาบัดนี้แทบปลดความวิตกเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้นออกไปจากสมอง ดังนั้นในคำคืนนี้ จึงเป็นอีกคืนที่เขาไม่รู้ว่าประตูห้องถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง และเอนีลถูกเฝ้าดูจากเจ้าของแววตาสีน้ำตาลอันแสนอบอุ่น กับอีกหนึ่งดวงตาสีแดงก่ำเบื้องนอก


....และภายในค่ำคืนอันเงียบสงบที่ใครหลายคนกำลังหลับไหล เรื่องราวมากมายก็ยังดำเนินต่อไป



++++++++++++++++++


ตอนแรกเหมือนจะดราม่า ตอนหลังแอบมุ้งมิ้งเล็กๆ (เล็กมาก)


พ่อหนุ่มไคลน์นี่แอบหึงเอนีลชิมิ  //ทำหน้ารู้ทัน


และเรื่องราวก็ยังดำเนินแบบสวีทชวนหลอนต่อไป ฮ่าา แล้วเจอกันตอนต่อไปค่ะ

ปล. แจ้งข่าวนิยายเล็กน้อย อยากรู้กดเลยค่า http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=715758&chapter=21 (http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=715758&chapter=21)

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 06 : ความฝันที่แปรเปลี่ยน ** UP.30/5/57
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 01-06-2014 09:26:29
555+ โรเเม้งเเบบหลอนๆนี่มันยังไงล่ะนั่น เเต่สนุกม๊ากมาก รอตอนต่อไปนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 09 : เรื่องเล่า ** UP.02/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 02-06-2014 16:11:22


Lost 09 เรื่องเล่า


     ผืนน้ำกว้าง ทะเลสาบน้ำใสราวกับกระจกจนมองเห็นต้นหญ้าและสาหร่ายเบื้องล่างสะท้อนอยู่ในเงาตา ร่างของนายแพทย์หนุ่มยืนอยู่ริมน้ำ นัยน์ตาสีท้องฟ้าจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มพึงใจ  ริมฝีปากอ้าออกอุทานอย่างตื่นตาไม่น้อยเมื่อเห็นห่านสีขาวตัวยักษ์บินร่อนลงในทะเลสาบแล้วลอยคอว่ายน้ำจับปลาตัวเล็กกิน  ชนบทที่ดูเงียบสงบ วันที่ท้องฟ้าใสกระจ่างไร้เมฆหมอกของฤดูฝน แสงแดดอ่อนๆทอลอดยอดไม้เขียวชอุ่มบอกเวลาสิบเอ็ดโมงเช้าของวันอาทิตย์แห่งการพักผ่อน


     "นึกไม่ถึงเลยครับ ว่าแถบนี้จะมีที่แบบนี้ด้วย ผมอยู่มานานแท้ๆ รู้ไม่เท่าคุณเลย" หันไปหาผู้ที่ชวนมาด้วยรอยยิ้ม เอนีลจ้องมองไคลน์สไตร์เซอร์ที่กลับมาจากการเอารถไปจอดใต้ร่มไม้แล้วถือตระกร้าหวายใบใหญ่ติดมือมาด้วย ชายหนุ่มในชุดไปรเวทสวมโค้ทสีน้ำตาลเข้ม เสื้อเชิ๊ตสีขาวเขนยาวตัวในและกางเกงขายาวสีดำ การแต่งตัวดูเรียบง่ายธรรมดา ทว่ามันกลับดูดีอย่างประหลาดเมื่ออยู่บนร่างของชายหนุ่มตรงหน้า ซึ่งมีรอยยิ้มประดับอยู่บนริมฝีปากและมีท่าทีอ่อนโยนเป้นมิตรยิ่งนัก


      "วันก่อนผมขับรถหลงทาง.." ไคลน์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะพลางเดินตรงมาหาอีกฝ่าย "ก็เลยมาเจอที่นี่..อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายนะครับ ที่ทำให้คุณอารมณ์ดีเสียขนาดนี้"


      "สถานที่สวยๆแบบนี้ ใครได้มาก็ต้องอารมณ์ดีทั้งนั้นแหละครับ" เอนีลอมยิ้ม ปูพรมผืนเล็กลงบนพื้นหญ้าสีเขียวสดใต้ร่มไม้ใหญ่ "ชานเมืองปารีสยังมีที่สงบๆแบบนี้อยู่ด้วย...น่าแปลกใจจริงๆเลย"


     "ผมดีใจครับที่คุณอารมณ์ดี.." ไคลน์ยิ้มให้อีกฝ่าย "นึกว่าคุณจะเครียด ไม่ก็เคืองผมแทบแย่จากเรื่องเมื่อวาน"


     "อา..." เมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อวานเอนีลก็อดจะเอื้อมมือไปแตะต้นคอของตนที่ยังถูกพันไว้ด้วยผ้าพันคอไม่ได้ "มันผ่านไปแล้ว..ผมไม่คิดมากหรอกครับ แต่นั่นก็เป้นการตัดสินใจของผม..ต้องถามคุณมากกว่าว่าไม่โกรธใช่ไหม"


    "ผมจะโกรธคุณยังไงได้ลงคอล่ะครับ" ไคลน์วางตระกร้าหวายลงบนพื้นพรมนุ่มๆ "ถูกแล้วที่เป้นการตัดสินใจของคุณ แต่ถ้าจะถามเรื่องที่แอบหงุดหงิด ก็คงเป็นคุณนั่นล่ะที่ไม่ห่วงตัวเองเอาเสียเลย"


    "เอ๋?" ฟังแล้วนึกฉงน เอนีลเลิกคิ้วมองดูคนที่เดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีสลักสำคัญ


    "คุณน่ะ ไว้ใจคนง่ายมากเกินไป แถมไม่ยอมโกรธเอาเสียเลยทั้งที่ตัวเองถูกทำถึงขนาดนี้ เรื่องนี้ต่างหากล่ะครับที่ผมโกรธ" เจ้าของคำพูดดุว่านั้นจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งฉายแววห่วงหา คำตำหนิแสนอ่อนโยนพร้อมกับฝ่ามือที่กุมมือตนเองไว้เงียบๆทำให้หัวใจเต้นโลดแรงขึ้นด้วยความปรีดามากกว่าจะเคืองโกรธ


       "ห่วงตัวเองหน่อยสิครับ ผมน่ะเป็นห่วงคุณ ไม่อยากให้คุณได้รับอันตรายหรอกนะ.." ไคลน์เอ่ยพลางส่ายหน้าช้าๆ ขณะที่เอนีลสบตาคู่นั้นเงียบๆจ้องมองแววตาห่วงหาอาธรของอีกฝ่ายอย่างอดยินดีไม่ได้


      "ขอบคุณครับ..ผมจะระวัง.." พึมพัมรับคำเบาๆ พลางออกแรงบีบมือนั้นกลับเงียบๆ


      "จะระวังแล้วยิ้มแก้มปริแบบนั้นหมายความว่ายังไงล่ะครับ ดื้อเหมือนกันนะคุณเนี่ย" ไคลน์ส่ายหัวช้าๆ อมยิ้มพลางจูงมืออีกฝ่ายให้นั่งลงบนพรมที่ขนมาปูรองพื้นด้วยกัน ส่วนคนถูกดุก็นั่งลงข้างๆ ท่าทียิ้มแย้มไร้วี่แววสำนึกผิดจนน่าจะถูกดุต่อแต่ก็น่ารักเสียจนชวนใจอ่อน


      "จะระวังไงครับ..ปกติผมก็ระวังตัวอยู่..." เอนีลเอ่ยปากแก้ตัว แม้จะไม่ได้บอกว่าหลังๆ เพราะอารมณ์ดีจากความฝันร้ายๆที่จางหายไปและการปรากฏตัวของใครบางคนนั่นล่ะทำให้เขาลดการป้องกันตัวลงเกือบหมด


       "ดีแล้วล่ะครับ ผมก็จะช่วยดูแลคุณอย่างเต็มที่เหมือนกัน.." ชะรอยว่าไม่พูดตัวการก็พอจะรู้อยู่ รอยยิ้มของไคลน์ สไตร์คเซอร์ที่มองตอบมาจึงได้อ่อนโยนยิ่งนัก


       "...ครับ.." รับคำเบาๆพลางเบนสายตาไปมองผืนน้ำทะเลสาบเบื้องหน้าเสีย เอนีลทำทีเป็นสนอกสนใจกับเจ้าหงส์ขาวตัวนึงที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดขนของมันราวกับน่าสนใจเสียเต็มประดา แม้จะรู้สึกถึงดวงตาของอีกฝ่ายที่จับจ้องมองเขาไม่ห่างและสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือที่ยังกอบกุมกันอย่างเงียบเชียบ


       เงียบไปนาน..ราวกับต่างฝ่ายต่างพอใจที่จะได้จ้องมองผู้ที่ตนปราถนา เสียงของไคลน์ก็ดังขึ้น "คุณชอบดนตรีรึเปล่า.."


       "ดนตรี.." เอนีลหันไปมองอีกฝ่ายซึ่งกำลังเอนตัวนอนสบายๆพลางสบตามองเงียบๆเบื้องหน้า "..ก็ชอบ..ครับ"


       "ผมพอจะเล่นฟลุ๊ตได้..ครั้งหน้าที่เรามาด้วยกัน จะรังเกียจฟังมั้ยครับ?" เอ่ยถาม..แต่นั่นไม่ต่างกับคำชักชวนเพื่อมาที่นี่อีกรอบเสียเท่าไหร่ เอนีลสบตาอีกฝ่ายแล้วพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว เขายิ้มกว้างอย่างเผลอไผล


       "ไม่เลยครับ ผมจะรอฟัง..คราวหน้า ถ้าเรามาด้วยกันนะครับ.."


       "ขอบคุณครับ.." รอยยิ้มของผู้ชายที่กำลังเอนตัวจ้องมองคนเองอย่างสบายอารมณ์นั้นช่างเปี่ยมสเน่ห์ยิ่งนัก เอนีลรู้สึกตัวว่าเขากำลังหน้าแดงมากขึ้นเรื่อยๆ นายแพทย์หนุ่มจึงต้องเสไปมองอย่างอื่น ก่อนจะนิ่งไปเหมือนนึกขึ้นได้เมื่อมองเห็นตระกร้าหวายบนพรมผืนเล็ก


        "ออกมาตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย ทานข้าวกันเถอะครับ" ชักชวนพลางดึงมืออกจากการเกาะกุมเงียบๆ นายแพทย์หนุ่มมองเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเสียดายอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเขาก็แสร้งไม่เห็น  กุลีกุจอหยิบเอาแซนวิชและน้ำชาที่ฟาเอล..ผู้เป็นพ่อบ้านของเขาช่วยจัดการให้มาวางไว้พร้อมยื่นผ้าสะอาดสำหรับเช็ดปากและมือให้อีกฝ่าย


        ไคลน์เอื้อมมือหยิบแซนวิชพลางเอาผ้าปูรองวางไว้บนตัก ชายหนุ่มนั่งทานไปพลางจิบชาและมองทิวทัศน์เบื้องหน้าเงียบๆ ก่อนที่จะมองเห็นโบสถ์สีขาวหลังเล็กอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ


        "..มีโบสถ์อยู่เสียด้วย ผมนึกว่าแถวนี้จะไร้ผู้คนเสียอีก" ไม่ได้มีเพียงแต่เขาที่สังเกตุเห็น นายแพทย์หนุ่มเอนีล ชาส์เดอตงส์ก็สังเกตุได้เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มเคี้ยวแซนวิชไส้เบคอนในมือพลางชะเง้อมองไปยังโบสถ์สีขาวที่อยู่อีกฝั่ง "เหมือนภาพในเทพนิยายเลยนะครับ..ทะเลสาบสวยๆกับหงส์ตัวหนึ่งและโบสถ์สีขาว.."


         "เหมือนเรื่องทะเลสาบหงส์ขาว?" ไคลน์เอ่ยชื่อเทพนิยายเรื่องหนึ่งขึ้นมายิ้มๆ


        "...ก็อาจจะคล้ายล่ะมั้งครับ..เอ๊ะ..พูดไปผมก็เหมือนเด็กสินี่" เอนีลหันไปมองคนขำด้วยท่าทีเหมือนถูกจับได้ ขณะที่ไคลน์หัวเราะรับ


   "ผมเปล่านะครับ ไม่ได้มีใครว่าคุณเหมือนเด็กเสียหน่อย" ชายหนุ่มปฏิเสธยิ้มๆ "แต่มองไปก็เหมือนภาพฝันจริงๆล่ะครับ ดูสวยงามจนไม่น่าเชื่อเลยล่ะ...เหมือนกับ...สรวงสวรรค์"


         "สรวงสวรรค์?" เอนีลเอ่ยทวนช้าๆมีสีหน้าประหลาดใจกับคำพูดของอีกฝ่าย


          "ครับ..กำลังคิดอยู่รึเปล่า ว่าท่าทีของผมไม่เหมาะเสียเลยที่จะพูดเรื่องแบบนี้" ไคลน์โคลงศรีษะพลางถามกลับยิ้มแย้ม "เห็นแบบนี้..ตอนเรียนอยู่ ผมเลือกวิชาเทววิทยาเป็นวิชาเลือกด้วยนะครับ"


         "เอ๋?"..คราวนี้ผู้ฟังดูแปลกใจอย่างจริงจัง


         "ดูแปลกใช่ไหมล่ะครับ ที่ผมจะมาสนใจอะไรแบบนี้" ไคลน์มองดูคนที่มีท่าทีงวยงงแล้วยิ้ม "แต่ผมชอบนะครับ..เป็นวิชาที่พูดถึงเรื่องลึกลับได้โดยไม่รู้สึกว่ามันแปลก"


         "..........." เอนีลพยักหน้าเงียบๆ แต่กำลังคิดถึงเรื่องราวในวันวาน และใคร่ครวญว่าจะบอกอีกฝ่ายดีหรือไม่


       "คุณมีอะไรจะบอกผมรึเปล่า?" คำถามราวกับรู้ใจที่ดังขึ้นนั้นทำให้ความคิดของนายแพทย์หนุ่มชะงัก


       "ครับ?" เอนีลทวนคำถามซ้ำ พลางจ้องมองใบหน้าคนพูด


       "เรื่องเมื่อวาน คุณมีอะไรจะบอกผมรึเปล่าครับ?" เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นมองมาก่อนแล้วด้วยท่าทีจริงจัง แววตาที่มองมานั้นทำให้เอนีลเงียบกริบ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ


       ".....ผม"


      "........" ไคลน์ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มจ้องมองเงียบๆ สีหน้าแสดงออกชัดว่ากำลังรอฟังอยู่


      "มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกๆและอาการประสาทหลอนของตัวเอง..ผมว่าไม่ควรจะให้รบกว------"


     "เรื่องของคุณไม่ใช่เรื่องรบกวน และไม่เคยรบกวนผม" คำตอบที่เอ่ยสวนขึ้นมาทั้งที่ยังพูดไม่จบนั้นทำให้คนฟังนิ่ง เงียบไปนานก่อนจะเม้มปากแน่น เอนีลมีสีหน้าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจช้าๆ


      "ถ้าอย่างนั้น..ถือว่านี่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าแปลกในวิชาเทววิทยาก็แล้วกันนะครับ"



หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 09 : เรื่องเล่า ** UP.02/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 02-06-2014 16:16:56


         เอ่ยพร้อมกับถอนใจเบาๆแล้วยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เอนีลเงียบอยู่ครู่หนึ่งเหมือนจะคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด แน่นอนว่าเขาใคร่ครวญอีกครั้งว่าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนที่อยู่ข้างๆฟังดีไหม ทว่าความลังเลนั้นก็เกิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะจางหายไป หากนี่เป็นเรื่องแปลกประหลาด ไคลน์ก็เป็นคนที่ได้พบเจอเรื่องประหลาดเกี่ยวกับเขามามากมาย และหากนี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ..ตัวเขาก็ควรจะระบายมันออกมาเสียบ้างเพื่อ จะได้ไม่คิดมากไปมากกว่านี้


      "ที่ผมไม่อยากเอาเรื่องนิค...ส่วนนึง เพราะผมเชื่อ ว่าคนทำไม่ใช่เขา.." เปรยขึ้นมาเงียบๆพร้อมกับสบตาอีกฝ่าแล้วยิ้มบาง "อาจจะดูโง่นะครับ ที่ไม่เชื่อทั้งที่เขาก็ลงมือทำอยู่ เรื่องนี้ผมรู้..รู้และเห็นอยู่เต็มตา แต่เรื่องที่ผมไม่เชื่อ ไม่ใช่เพราะสัญชาติญาณหรือว่าความเชื่อใจที่มีต่อนิค..แม้ว่ามันจะมีส่วนบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดแน่ๆ"


      ".................." ไคลน์ไม่พูดอะไร ชายหนุ่มพยักหน้าเงียบๆ แสดงอาการรับฟัง


     "ตอนที่ผมนั่งอยู่ในห้อง แล้วจู่ๆนิคเข้ามา..." เอนีลประสานมือเข้าหากันช้าๆท่าทีครุ่นคิด "ผมไม่ได้คิดว่าเขาจะทำอะไรผมก็จริง แต่ผมก็รู้สึกแปลกๆ.."


      "นิคเอาแต่เงียบแล้วยืนอยู่ตรงหน้าห้อง พอผมคิดว่ามันประหลาดเกินไปแล้ว ตั้งท่าจะออกไป นิคก็เข้ามาขวาง..และ ใช่ เขาลงมือบีบคอผม"


      ...ไคลน์เอื้อมมือไปบีบมืออีกฝ่ายเงียบๆ แสดงอาการรับฟังและเป็นกำลังใจอยู่ในที


     "แต่ว่า...ผม..ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนั้นเลยนะไคลน์ นิคเขามีตาแดงก่ำ..สีแดง..อย่างที่ไม่ได้เกิดเพราะเหล้าแน่ๆ ดวงตาสีแดงก่ำไปจนแก้วตาและทุกอย่าง ไม่เหลือกระทั่งตาดำเสียด้วยซ้ำ..นั่นมันแค่ตาแดงปกติเหรอ...มันไม่เคยมีอยู่ในตำราแพทย์เสียด้วยซ้ำ..ตอนแรกผมก็นึกว่าตัวเองตาฝาด แต่ต่อให้จ้องมองกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม.."


      "แล้วยัง..เสียงของเขา...เสียงที่เขาพูดออกมา นั่นไม่ใช่เขาแน่..ไม่ใช่เสียงของนิค..." พูดพลางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองต้องการจะสื่อ "..เสียงของนิคไม่ใช่แบบนั้น เสียงที่เขาพูดออกมามัน...แหบ ต่ำ..เย็นยะเยือก..แค่ฟังผมก็รู้สึกขนลุก...มัน....มันเหมือนกับ..."


     "เอนีล..." ไคลน์เอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ เพราะคนตรงหน้ามีท่าทีหวาดกลัวบางอย่างจนเขาไม่รู้ว่าควรจะให้เล่าต่อดีหรือไม่


    "เสียงนั้นมันเหมือนกับที่ผมได้ยินในฝัน...เขาเรียกชื่อ...." เอนีลกลืนน้ำลายลงช้าๆ เขาตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้เมื่อนึกถึงชื่อที่ออกมาจากริมฝีปากของผู้ช่วยเขา ชื่อที่เขาหวาดกลัวเหลือเกิน "เขาเรียกชื่อคนที่อยู่ในฝันนั่น เขาบอกว่าผมต้องหายไป...หายไปจากที่นี่ซะ.."


       "ผมไม่เข้าใจ ผมไม่เคยเล่าเรื่องฝันนี้ให้กับนิค ไม่เคยแม้แต่จะคิด แล้วทำไม..ทำไมนิคถึงรู้ ไมนิคถึงพูดชื่อนั้น เขาเรียกชื่อคนที่อยู่ในฝันของผม คนที่ทำร้ายผม เขาเรียกชื่ออาโลอิสซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วบอกให้ผมหายไป..หายไป..ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้างหลังของเขาก็มืดไปหมด ผม...ผม.."


     "พอแล้ว...พอแล้วครับ ไม่ต้องเล่าอะไรแล้ว.." แว่วเสียงสถบอุบในลำคอพร้อมกับอ้อมแขนอบอุ่นที่โอบล้อม เอนีลเพิ่งได้รู้ว่าเขาตัวสั่นสะท้าน สั่นไปทั้งกายยามระลึกไปถึงน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกและความนัยอันเป็นปริศนา มันช่วยไม่ได้จริงๆที่เขาจะกลัว แม้ว่าระยะนี้ความฝันอันเลวร้ายจะไม่ได้กล้ำกรายเข้ามา แต่ทว่าความหวาดกลัวที่ถุกมันหลอกหลอนมาหลายปีก็พันธนาการให้เขารู้สึกหวาดผวาทุกครั้งที่พูดถึง


     ความฝันอันเลวร้าย...ความฝันที่เขาถูกทรมารอย่างไม่จบสิ้น

    ความเจ็บปวดที่เหมือนจริงมากขึ้นทุกที และเรื่องราวที่กลับมาดำเนินซ้ำๆในทุกค่ำคืน


  ....เอนีลไม่รู้เลย ไม่รู้เลยจริงๆว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่


     "ใจเย็นๆนะ คุณไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว.." น้ำเสียงปลอบนุ่มหูพร้อมกับฝ่ามือที่ลูบแผ่นหลังเบาๆนั้นแสนอ่อนโยนเสียจนหัวใจที่เต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัวค่อยๆสงบ เอนีลสูดหายใจลึก เขาหลับตาลงพลางซบไหล่ของไคลน์เงียบๆครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง


       "ขอบคุณครับ...ขอบคุณ" เอนีลพึมพัมเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายเงียบๆกับไหล่หนา นายแพทย์หนุ่มกระพริบตาตั้งสติเงียบๆก่อนจะยิ้มเจื่อนๆเมื่อนึกได้ว่าตัวเองนั้นช่างทำตัวอ่อนแอน่าอายเสียเหลือเกิน "ขอโทาด้วยนะครับ เล่าเรื่องบ้าๆบอๆแบบนี้ไป..ทำให้คุณคิดมากเสียเปล่าๆ"


      "คุณต่างหากล่ะครับที่คิดมาก ผมไม่เป็นไรเลย..." ไคลน์ลูบผมอีกคนเบาๆพลางคลี่ยิ้มอ่อนโยน แม้ตัวเขาจะไม่เข้าใจเรื่องราวที่อีกฝ่ายประสบมากนัก แต่ทว่าก็ยังยิ้มด้วยความอ่อนโยนและห่วงใย "อย่าคิดมากไปเลย..ทำใจให้สบายๆนะ..เชื่อผม"


      "คุณคิดว่าผมบ้ารึเปล่า...เรื่องนี้มันเป็นเพราะผมประสาทหลอน เพราะใกล้ตายเลยจับเอาความฝันบ้าๆบอๆมารวมกันจนเป็นแบบนี้ใช่ไหม?" เอนีลเอ่ยถามพลางเยียดยิ้ม สีหน้าทุกข์ระทม


     "ไม่เลย...ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นแบบนั้น"


    "แต่ผม....!..." ชั่วครู่หนึ่งนายแพทย์หนุ่มอ้าปากจะตวาดคนตรงหน้าด้วยความขุ่นเคือง ทว่าก็เงียบ เอนีลกัดริมฝีปากตน ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่เผลอแสดงท่าทีหงุดหงิดฉุนเฉียวออกมาทั้งที่อีกฝ่ายมีแก่ใจห่วงใยตนเองเสียขนาดนี้ "..ขอโทษด้วย ผม.."


     "ไม่เป็นไร คุณคิดมาก ผมเข้าใจดี" ไคลน์ยิ้มออกมาบางๆอย่างอาดูรพลางลูบเส้นผมสีทองของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายครุ่นคิด "...ขอโทาด้วย ที่ผมบังคับคุณเล่าเรื่องนี้ รวมทั้งเมื่อวาน ที่ผมพูดจาไม่ดีใส่คุณอีก "


     "ไม่หรอก...ผมก็เป็นเสียอย่างนี้ ไม่ยอมเล่าเอง คุณจะหงุดหงิดก็สมควรแล้ว ...ไม่สิ ตอนนี้คุณได้รู้ คุณก็คงคิดมากยิ่งกว่าเดิม.." เอนีลยิ้มออกมาเศร้าๆพลางถอนใจ "..เพราะกลับกลายเป็นว่าผมไม่ปกติเอามากๆเสียแล้ว"


      "คุณนี่ชอบมองโลกในแง่ร้ายเสียจริง..แบบนี้ต้องปรับปรุงตัวนะครับ คุณหมอ" น้ำเสียงหยอกล้อทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมกับหน้าผากถูกดีดเบาๆ ความเจ็บแปลบเล็กๆที่แทรกผ่านเข้ามาพร้อมความห่วงใยทำให้ผู้ถูกประทิษร้ายอดจะอมยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะชะงักไปอีกคราเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างเย็นๆที่กระทบใบหน้า


      "อ้าว..ฝนลงเม็ดเสียแล้ว อากาศช่วงนี้ไว้ใจไม่ได้เสียจริง" ไคลน์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่แม้จะยังสดใสทว่ากลับโปรยเม็ดฝนลงมาอย่างไม่บอกกล่าว "รีบหลบฝนกันก่อนเถอะครับ ก่อนคุณจะไม่สบาย"


     เอนีลพยักหน้ารับ พลางช่วยเก็บพรมและข้าวของที่นำมาด้วยกันอย่างรวดเร็ว และเมื่อตระกร้าใส่ของกินกับพรมผืนเล้กถูกม้วนเก็บใส่ไว้ด้านหลังรถเรียบร้อย ฝนเม็ดโตก็โปรยปรายลงมาอย่างรวดเร็ว


       "ยังดีนะครับที่เก็บทัน" เข้ามานั่งประจำที่นั่งข้างคนขับ เอนีลเอื้อมมือปัดๆเม็ดฝนที่พร่างพรมลงมาบนศรีาะตนเอง เช่นเดียวกับคนข้างกาย นายแพทย์หนุ่มมองออกไปด้านนอกที่เริ่มมืดครึ้มและฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ ครู่หนึ่งเขาก็อดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้


        "แปปเดียวแท้ๆ..แบบนี้นัดเที่ยววันหยุดของเราพังหมดเลย" คนข้างตัวเขาเอ่ยปากบ่นอุบ นั่นทำให้ผู้ฟังยิ้มขันๆ เอนีลมองตระกร้าหวายบนตักก่อนจะเอื้อมือไปค้นกุกกัก เขารินชาให้อีกฝ่ายและตัวเอง ขณะที่ภายนอก เม็ดฝนยังคงพร่างพรามไม่ขาดสาย ซ้ำท้องฟ้ายังร้องครืนคราง


       "ไม่เสียเปล่าหรอกครับ ผมสนุกมาก...น้ำชาไหม?" ยื่นถ้วยชาให้อีกฝ่าย จิบชาร้อนๆพลางจ้องมองสายฝนโปรยปรายเบื้องหน้า ครู่หนึ่งที่เขาต้องยิ้มกับความคิดที่ว่า มันช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและอบอุ่นเสียจริงๆ


       "...มาปิกกันในรถก็แปลกใหม่ดีนะ" ถ้อยคำที่เอยขึ้นราวกับรู้ใจนั้นทำให้เอนีลหัวเราะ นายแพทย์หนุ่มหันไปสบมองแววตาสีน้ำตาลแสนอบอุ่นและรอยยิ้มของอีกฝ่าย อดจะคิดอย่างขบขันไม่ได้ว่ามันสร้างความอบอุ่นมากเสียยิ่งกว่าน้ำชาในมือเสียด้วยซ้ำ


       เป็นเวลาครู่ใหญ่ที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากนั่งดื่มน้ำชาและจ้องมองกันเงียบๆ เบื้องนอกยังคงมีสายฝนโปรยปรายและฟ้าร้องไม่หยุด ทะเลสาบที่พวกเขานั่งเชยชมเมื่อครู่บัดนี้มีแต่สายฝนพร่างพรมลงไปจนมองเห็นสิ่งใดไม่ชัด เจ้าหงส์ขาวตัวโตโผบินออกไปแล้ว ส่วนโบสถ์สีขาวของอีกฝั่งน้ำก็ลั่นระฆังบอกเวลาอย่างแผ่วเบา


      "...เราไปพักหลบฝนที่นั่นกันดีไหมครับ" ข้อเสนอที่ดังขึ้นทำให้เอนีลพยักหน้า ชายหนุ่มเก็บเอาถ้วยชาจากมืออีกฝ่ายและของตนลงไปไว้ในตระกร้าบนตัก ขณะที่ไคลน์บิดกุญแจสตาร์ทรถ ขณะที่อุ่นเครื่องให้เครื่องยนต์ร้อนขึ้น น้ำเสียงของคนขับก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา


     "เอนีล..."


     "ครับ?"


     "เรื่องที่คุณพูด..ผมเชื่อคุณนะ"


         ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังหันไปมองคนเอ่ย เอนีลจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของไคลน์ สไตร์คเซอร์เงียบๆ ขณะที่อีกฝ่ายจ้องมองไปด้านหน้าแล้วเรุ่มหมุนพวงมาลัยถอยรถเข้าสู่ถนนเล็กๆที่จะนำพาไปยังโบสถ์สีขาวของอีกฟากฝั่งทะเลสาบ ครู่ใหญ่กว่านายแพทย์หนุ่มจะละสายตาออกมา ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองภาพอันพร่ามัวของเม็ดฝนและถนนลูกรังเบื้องหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเงียบงันแล้วเอนหลังพิงเบาะรถอย่างผ่อนคลาย


...แค่มีคนๆเดียวที่เชื่อเรื่องราวทั้งหมด ก็เพียงพอแล้ว...



++++++++++++++++++++


ช่วงนี้เอาแต่ฝนค่ะ เพราะร้อนมากเลยโหยหาฝน 555


ส่วนตอนนี้ //ปัดๆมด สองคนนี้มันสวีตกันจริ๊งงง หมั่นไส้เล็กๆค่ะ  :laugh:


แล้วตอนนี้เราไปแต่งงานกันที่โบสถ์ /ไม่ใช่ ตอนหน้าเราไปเที่ยวโบสถ์กันต่อเน้อออ

ปล. ประกาศเกี่ยวกับนิยายค่าา http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=715758&chapter=21

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL ** Lost 09 : เรื่องเล่า ** UP.02/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 02-06-2014 18:31:06
เกาะอยู่เบาะหลังแอบดูสองหนุ่มจู๋จี๋กัน

 :impress2:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 10 เทวดาและปีศาจ + Lost 11 สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ * UP.06/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 06-06-2014 17:19:20


Lost 10 เทวดาและปีศาจ


       รถยนต์เเล่นฝ่าฝนไปตามทางลูกรังขนาดเล็ก ถนนที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้พาหนะขนาดใหญ่สัญจรนั้นทั้งแคบและเต็มไปด้วยกรวดหินขนาดใหญ่ เส้นทางขรุขระทำให้ผู้ที่โดยสารภายในรถถึงกับเคลงเคลงกระดอนไปมาตามจังหวะ กระนั้นคนที่อยู่ภายในก็เหมือนจะอารมณ์ดีนัก ชายหนุ่มทั้งสองสนทนากันไปพลางและช่วยกันบ่นพร่ำเรื่องสภาพอากาศไปพลางอย่างถูกคอ


      เอนีลจ้องมองทางเบื้องหน้า ใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มเปื้อนยิ้ม ริมฝีปากแย้มออกเป็นยิ้มขำๆและหลุดเสียงหัวเราะทุกครั้งที่คนข้างกายพูดอะไรชวนขบขันออกมา ส่วนไคลน์ สไตร์คเซอร์ ก็บังคับพวงมาลัยไปและเล่าเรื่องโจ๊กในค่ายทหารออกมาอย่างคล่องปาก สภาพอากาศเบื้องนอกยังคงมืดครึ้ม สายฝนโปรยปรายอย่างหนักหน่วงและสร้างบรรยากาศทึบทึมราวกับอยู่ในม่านหมอก นายแพทย์หนุ่มจ้องมองเส้นทางเบื้องหน้า ขณะที่กำลังคิดว่าเมื่อไหร่จะไปถึงโบสถ์หลังนั้น ภาพอาคารสีขาวที่มีเครื่องหมายกางเขนก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า


     รถยนต์คันโตจอดลงที่หน้าโบสถ์ ไคลน์ยังคงไม่ดับเครื่อง นายทหารหนุ่มชะเง้อมองดูโบสถ์หลังเล็กที่ประตูถูกปิดไว้อย่างใคร่ครวญ ขณะที่เอนีลก็พยายามกวาดตาหาผู้คนหรือผู้ที่เป็นเจ้าของสถานที่ ทั้งสองเงียบอยู่นานก่อนจะมองเห็นร่างในชุดนักบวชที่ออกจากด้านหลังของโบสถ์แล้วเปิดประตูให้เป็นการเชื้อเชิญ


     มือคว้าตระกร้าหวายพลางเปิดประตูรถยนต์แล้ววิ่งลิ่วเข้าไปยังภายในโบสถ์  แม้จะพยายามวิ่งแต่กระนั้นสายฝนเบื้องบนก็สาดเทเข้ามาจนได้ เอนีลเอื้อมมือปัดละอองฝนให้พ้นจากศรีษะ พลางรู้สึกถึงมือที่แสนเคยคุ้นของใครอีกหนึ่งคนเอื้อมมาหา นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสบตาคู่นั้นพลางอมยิ้ม


    เสียงงับบานประตูดังเข้าหูทำให้ชายหนุ่มชะงัก เอนีลสบตากับอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองผู้ที่เอื้อเฟื้อให้ที่หลบฝนแก่พวกเขา สาธุคุณวัยชราในชุดบาทหลวงสีดำประดับด้วยสัญลักษณ์ไม้กางเขนและมีกางเขนเงินห้อยอยู่ตรงลำคอ ใบหน้าอิ่มเอบด้วยความกรุณาและแววตาที่เต็มไปด้วยความอาทรนั้นทำให้ผู้มองยิ้มตามได้ไม่ยาก


     "....อรุณสวัสดิ์ครับสาธุคุณ..ขออภัยด้วยที่พวกผมมารบกวน" เอนีลยิ้มบางพลางเอ่ยปากขออภัยชายชราเบื้องหน้า ผู้ถูกทักทายมีสีหน้ายิ้มแย้มพลางส่ายหัว


     "ไม่เป็นไรหรอก..ฝนกำลังตกหนัก พ่อดีใจที่โบสถ์แห่งนี้ได้เป็นที่พักพิงให้กับพวกลูกๆทั้งสอง" ฝ่ามือถือยื่นมาจับเป็นการทายทัก เอนีลยื่นมือไปหาอีกฝ่ายพลางบีบเบาๆ เช่นเดียวกับไคลน์ที่เข้าไปทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


     "สายฝนคงตกอีกนาน นั่งพักกันก่อนจะเป็นไรไป" บางหลวงวัยชราเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนพร้อมกับเดินเข้าไปจุดเทียนเพิ่มตรงหน้าแท่นบูชา เอนีลเอ่ยปากขอบคุณแล้วเดินเข้าไปนั่งตรงม้านั่งสำหรับผู้มาเยือนด้านหน้า ชายหนุ่มวางตระกร้าหวายในมือลงบนเก้าอี้ไม้ นัยน์ตาสีฟ้าสดกวาดมองรอบๆด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น


      แม้ที่แห่งนี้จะเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆแต่ภายในกลับตกแต่งได้อย่างงดงามและเรียบง่าย  ด้านหน้าของพวกเขาคือแท่นพิธีสำหรับกล่าวคำสอน ถัดไปอีกไม่มากคือรูปปั้นของพระเยซูคริสต์ยามทรงถูกตรึงกางเขน เบื้องหลังคือกระจกหลากสีสันถูกนำมาประดับเป็นรูปของนักบุญและพระเเม่มารีซึ่งกำลังโอบอุ้มพระบุตรด้วยสีหน้าอ่อนโยน  แสงสว่างที่ส่องเข้ามานั้นมีไม่มากนักเนื่องจากสภาพอากาศภายนอก แต่หากเป็นวันที่อากาศสดใส เอนีลเชื่อว่าแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาจะต้องอาบไล้รูปปั้นของพระเยซูคริสต์อย่างอ่อนโยนเป็นแน่แท้


      "ที่นี่สวยมากเลยครับ" เอ่ยปากชมจากใจ ขณะที่บาทหลวงผู้จุดเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังยืนสงบอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นพลางเอ่ยสวดภาวนาเบาๆ


     "ขอบคุณลูกมากสำหรับคำชม ...แต่น่าเสียดาย นานๆทีจะมีผู้แวะชมมาเสียครั้ง" บาทหลวงชราเอ่ยพลางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล แววตาอ่อนโยนที่ทอดมองมาดูอบอุ่นยิ่งนัก


     "ไม่ค่อยมีคนมาหรือครับ?" ไคลน์เอ่ยถามบ้าง สีหน้าของชายหนุ่มคล้ายจะฉงน ว่าเหตุใดผู้คนถึงลืมสถานที่อันสวยงามและเงียบสงบเช่นนี้ไปได้


     "...ยามนี้...ศาสนาไม่จำเป็นเท่าศึกสงคราม.." เอ่ยแล้วบาทหลวงชราก็ถอนหายใจเพียงเเผ่วเบา


     "...น่าเสียดายนะครับ" ได้ฟังแล้วเอนีลทำได้เพียงยิ้มจาง สถานการณ์ในเวลานี้ใกล้ถึงคราวแตกหักเข้าไปทุกที สงครามใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว ฮิตเลอร์เถลิงอำนาจ ประกาศจะนำดินแดนเยอรมันที่ถูกแบ่งสรรปันส่วนไปในยามสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคืนกลับมาแล้วตั้งเป็นจักรวรรดิไรซ์ที่สาม ฝรั่งเศสที่ครอบครองแคว้นซูเดเตแลนด์อยู่ก็จำต้องถอนกำลัง ทว่าสถานการณ์ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นซ้ำร้ายเหมือนเวลาแห่งสงครามใหญ่จะใกล้เข้ามาทุกที


     "...พระผู้เป็นเจ้าโปรดอวยพร" เสียงพึมพัมดังขึ้นแผ่วเบาพร้อมกับริมฝีปากที่ทาบบนไม้กางเขน นายแพทย์หนุ่มจ้องมองภาพนั้นเงียบๆ ต่อให้รู้สึกโศกเศร้าแต่ตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้


      "...ดื่มชาไหมครับหลวงพ่อ" เสียงของไคลน์ดังขึ้นพร้อมกับถ้วยชาที่อยู่ในตระกร้าหวายถูกนำมาจัดเรียงไว้เมื่อใดก็ไม่ทราบ "อากาศเย็นๆอย่างนี้ต้องดื่มชาอุ่นๆ..พวกผมนำติดมือมาด้วยพอดี ถ้าไม่รังเกียจเชิญเลยครับ"


    เอ่ยแล้วชายหนุ่มก็นำชาไปยื่นให้กับบาทหลวงชราเบื้องหน้าด้วยกริยาอ่อนโยน เอนีลจ้องมองภาพเบื้องหน้าเงียบๆก่อนจะเอื้อมมือรับน้ำชาที่ถูกส่งมาให้เช่นเดียวกัน น้ำชาอุ่นๆ ล่วงคอเข้ามาทำให้รู้สึกดีไม่น้อย กลิ่นหอมของชาจัสมินทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ไม่ใช่เพียงแค่เขาที่รู้สึกเช่นนั้น เอนีลมองเห้นรอยยิ้มของบาทหลวงชราเบื้องหน้าปรากฏขึ้นเงียบๆ


      "ขอบคุณมากสำหรับน้ำชา พ่อนี่ช่างแย่เสียจริง ต้องให้แขกมาคอยบริการ...ซ่้ำยังเอาแต่พูดเรื่องหดหู่เสียได้"


       "พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ หลวงพ่ออุตส่าห์เอื้อเฟื้อที่หลบฝนกับพวกเรา แค่น้ำชาตอบแทนยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ" เอนีลรีบเอ่ยตอบเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมา ทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆในลำคอของบาทหลวงผู้ได้ฟัง


       "เป็นหน้าที่ของพ่ออยู่แล้ว..ว่าแต่ลูกทั้งสองมาจากไหนรึ...แถวนี้ไม่ค่อยมีคน นานๆทีถึงจะมีผู้แวะเวียนมา"


      "พวกผมเจอทะเลสาบสวยๆเลยแวะมาพักผ่อนกัน เห็นโบสถ์สีขาวสะดุดตาก็เลยแวะเข้ามาหลบฝนน่ะครับ" ไคลน์ตอบพลางยิ้มบางๆ "ที่นี่ทั้งสงบและสวยงาม น่าเสียดายจริงที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก"


      "ผมเองก็ไม่รู้เลย ว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ชนเมือง นึกว่าต้องไปไกลถึงชนบทเสียอีก" เอนีลหัวเราะเบาๆ


      "โบสถ์นี้กับที่ดินแถวๆนี้ถูกเศรษฐีกว้านซื้อไว้ตั้งนานแล้วน่ะ จึงไม่มีใครเข้ามาตั้งรกรากอยู่..เห็นว่าเป็นมรดกตกทอดกันมานานหลายร้อยปี" บาทหลวงชราเอ่ยยิ้มๆ "พ่อเองก็ได้รับความกรุณาจากเจ้าของที่ดิน ถึงได้มาประจำอยู่ในโบสถ์เล็กๆที่เงียบสงบแห่งนี้"


      "แสดงว่านี่คือโบสถ์ประจำตระกูลงั้นหรือครับ?" เอนีลเอ่ยถาม


      "ที่ดินเป็นที่มีเจ้าของก็จริง แต่โบสถ์แห่งนี้รับใช้ทุกคนที่แวะเวียนเข้ามา" รอยยิ้มในดวงตาสีเทาคู่นั้นยังอ่อนโยนอยู่เสมอ "ด้านข้างนี่มีสุสานประจำตระกูลอยู่ แต่ไม่ได้ใช้มานานแล้วล่ะจะเรียนสุสานร้างก็ว่าได้"


     เอนีลฟังแล้วพยักหน้ารับ แม้จะนึกฉงนอยู่ไม่น้อยก็เถิด ดูท่าว่าคนเป็นเจ้าของจะดูแลแต่ก็เหมือนไม่ใส่ใจดูแลเสียชอบกล หากมีที่ดินกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะนำไปทำประโยชน์อื่นๆก็ย่อมได้ แต่กลับปล่อยทิ้งร้างไว้แบบนี้ ชะรอยว่าจะเป็นวิสัยแปลกๆของเศรษฐีเก่ากระมัง


     "...ฟ้าเริ่มสางแล้ว พ่อของตัวออกไปดูแปลงดอกไม้ข้างนอกก่อน ฝนตกแรงขนาดนี้กลัวว่าจะช้ำหนัก..ลูกทั้งสองคนเชิญพักผ่อนตามสบาย" บาทหลวงชรามองไปยังเบื้องนอกที่ท้องฟ้าเริ่มสดใสและมีแสงแดดทอเข้ามาด้านในรางๆ


    "ขอบคุณมากครับ" เอนีลรีบตอบรับทันทีด้วยรอยยิ้ม


   "พ่อชื่อฌอง..หากมีเรื่องอยากปรึกษาหรือทุกข์ใจใดๆก็มาหาได้ทุกเมื่อ..ขอบคุณมากสำหรับน้ำชา" ชายชรายิ้มอ่อนโยนพลางเอ่ยปากขอตัวแล้วเดินไปเปิดประตูด้านหน้าโบสถ์ เอนีลมองตามแผ่นหลังงองุ้มนั้น เป็นไปตามที่คาดว่าสายฝนนั้นหยุดลงแล้ว เหลือเพียงเม็ดฝนที่ค้างจากหลังคาไหลรินลงมาเงียบๆ รวมทั้งแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างเจิดจ้าราวกับไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่เพิ่งมีมรสุมพัดผ่าน


     "...ฝนหยุดแล้วจริงๆเสียด้วย อากาศช่วงนี้แปรปรวนจังนะครับ" เอนีลเก็บถ้วยชาใส่ตระกร้าหวายพลางเอ่ยปากชวนคุย


     ความเงียบที่เป็นคำตอบกลับมาทำให้ผู้เอ่ยเลิกคิ้วฉงน เอนีลหันไปจ้องมองผุ้ร่วมเดินทาง เสี้ยวหน้าคมคายหล่อเหลานั้นจ้องมองไปยังภาพของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่ถูกแสงสว่างจากหน้าต่างกระกระจกสีเบื้องหลังส่องลงมา อาบไล้ให้ดูอ่อนโยนและงดงามยิ้มนัก นายแพทย์หนุ่มจ้องมองใบหน้าที่เหม่อมองไปราวกับตกภวังค์เงียบๆ ตัดสินใจไม่เอ่ยถามต่อ


      "...เมื่อกี้...." เงียบไปครู่ใหญ่ผู้ถูกจ้องจึงจะรู้สึกตัว ไคลน์หันกลับมาสบดวงตาสีฟ้าสดใส แววตาอ่อนโยนและรอยยิ้มบางในดวงหน้าหล่อเหลางดงามนั้นทำให้ผู้ถูกมองชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายรอยยิ้มบางพลางเอื้อมมือไปลูบไล้เส้นผมสีทองสุกสว่างนั้นเบาๆ


     สะดุ้งน้อยๆยามปลายนิ้วนั้นแตะลงบนปลายผม ทว่านายแพทย์หนุ่มก็ไม่ได้ขัดขืน เอนีลจ้องสบตาคู่นั้นเงียบๆ แววตาเกลื่อนไปด้วยความเคอะเขินเบาบางก่อนจะค่อยจางลงไป แม้ว่าเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำจะไม่ได้ลดลงเลยก็ตาม


      "...อา...อากาศดี" หลังจากจ้องมองกันเงียบๆครู่หนึ่ง ปลายนิ้วสีขาวนั้นก็ผละออกแล้วเอ่ยปากขึ้นมาในที่สุด เอนีลกระพริบตาช้าๆ ความรู้สึกเสียดายแล่นขึ้นมาวูบหนึ่งจนรีบปัดทิ้งแทบไม่ทัน เขายิ้มบางๆ สบมองดวงตาสีเข้มคู่นั้นแล้วพยักหน้ารับ


      "..นั่นสิครับ อากาศดี" พยักหน้าพลางลูบเส้นผมตัวเองเบาๆก่อนจะมองเลยไปยังรูปปั้นเบื้องหน้าที่คนข้างตัวเฝ้าจ้องมองมันเมื่อครู่ "...สวยมากนะครับ สมแล้วที่คุณจะจ้องอยู่แบบนั้น"


     "...ที่จริง..." เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ไคลน์จะหัวเราะออกมาเบาๆ "..มันชวนให้ผมคิดถึงบางสิ่ง"


     "เอ๋?" คนฟังเลิกคิ้ว


     "เมื่อกี้คุณมีเรื่องเล่ามาเล่าให้ผมฟัง ตอนนี้สนใจฟังเรื่องเล่าของผมบ้างไหมครับ คุณหมอ" ร่างสูงใหญ่ของนายทหารหนุ่มลุกขึ้นพลางขยิบตาให้เขาราวกับซุกซน ท่าทีนั้นทำให้เอนีลเบิกตาขึ้นราวกับตกใจเล็กๆแล้วยิ้มรับ 


      "เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิชาเทววิทยารึเปล่าครับ?"


      "ใช่แล้ว" ไคลน์วางถ้วยชาที่ตนถือติดมือมาลงไปในตระกร้าหวาย "อากาศดีออกอย่างนี้ เราไปเดินชมรอบๆแล้วฟังเรื่องเล่าของผมไปด้วย ...ดีไหมครับ"


      "ตกลงครับ" เอนีลตอบรับทันทีพร้อมกับลุกขึ้นยืนเคียงข้างชายหนุ่ม ทั้งสองหยิบตระกร้าหวายติดมือมาด้วยแล้วนำไปวางไว้ด้านหลังรถ ก่อนจะเอ่ยปากขอเที่ยวรอบๆนี้กับสาธุคุณฌองซึ่งก็อนุญาติแต่โดยดี  ดวงอาทิตย์ที่เริ่มสาดแสงร้อนๆมาให้ถูกบังไว้หลังเงาเมฆสีขาว ท้องทุ่งที่มีหญ้าสีเขียวสดและดอกไม้เล็กๆงอกขึ้นเต็มไปหมดนั้นดูเหมือนพรมผืนโตน่ากลิ้งเล่น ขณะที่ร่างของชายหนุ่มทั้งสองเดินไต่ขึ้นเนินอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มบาง...


++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 10 เทวดาและปีศาจ + Lost 11 สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ * UP.06/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 06-06-2014 17:23:58



       "..เรื่องเล่าของผม ออกจะแปลกสักหน่อยนะ" หลังจากเดินออกมาสักพักจนคาดว่าพ้นรัศมีการได้ยินของบุคคลภายนอก ไคลน์จึงเริ่มเอ่ยปากเล่า "เป็นเรื่องที่ไม่ว่าผมจะเอาไปเล่าให้ใครฟังก้ไม่ค่อยมีคนเชื่อด้วยล่ะ"


         "..ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?" เอนีลเลิกคิ้ว นึกฉงนว่าคนอย่างไคลน์มีเรื่องที่เล่าไม่ได้และไม่มีใครคิดจะเชื่อถือเหมือนเขาด้วยหรือ


         ชายหนุ่มพยักหน้า "มันคงจะ...เป็นเรื่องที่ขัดกับสามัญสำนึกของคนส่วนใหย่กระมังครับ เลยไม่ค่อยมีคนเชื่อถือ"


        "..หืม...จะบอกว่ามันเป็นผลมาจากวิชาเทววิทยา เลยทำให้การวิเคราะห์ดูแปลกไปรึเปล่าครับ?"


        "อาจจะใช่นะ" ไคลน์ยิ้มขันพลางยกมือเสยเส้นผมสีน้ำตาลของตนเงียบๆ "...เป็นทั้งแพทย์ เป็นทั้งทหาร...แถมยังร่ำเรียนวิชาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยอย่างเทววิทยา ความคิดความอ่านของผมคงแปลกพิลึกกว่าคนทั่วไปกระมัง"


        "อย่าคุณเรียกว่าแปลก แล้วผมจะเรียกว่าอะไรล่ะ" เอนีลโคลงศรีษะ "น่าจะเข้าข่ายคนบ้าได้เลยนะครับ"


        "คุณไม่ได้บ้า.เชื่อผมซิ" ฝ่ามือใหญ่วางลงบนเส้นผมของอีกฝ่ายแล้วลูบเบาๆ "มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เรื่องที่ผมเล่าไม่ค่อยมีคนเชื่อ ..ที่ผมว่ามันขัดกับสำนึกของคนส่วนใหย่ อาจจะเป็นเพราะมุมมองที่ผู้คนมีต่อมันก็เป็นได้"


        "......" เอนีลพยักหน้า รอรับฟัง


        "ในสายตาของคุณ..ไม่สิ..ส่วนใหญ่แล้ว สีดำจะให้ความรู้สึกอย่างไร..?"


        คำถามแปลกๆนั้นทำให้ผู้ฟังเลิกคิ้วฉงน แต่ก้ยังเอ่ยปากตอบ "ดูลึกลับ...อันตราย..และเป็นสื่อแสดงถึงความชั่วร้ายกระมังครับ"


       "..ส่วนสีขาว ก็แสดงถึงความสะอาด บริสุทธิ์ และสดใสใช่ไหมล่ะครับ" ไคลน์ยิ้ม "สีทั้งสองสีเป็นเหมือนด้านขั้วตรงข้าม ขาวกับดำ..ตัวแทนของความดีและความเลวร้าย สิ่งนี้จะเป็นสื่อที่เราสามารถพบเห็นได้เสมอ..ทั้งในตำนาน หรือในเรื่องราวของศาสนา สีดำที่ปรากฏตัวขึ้นมา ก็ยังคงเป็นนัยยะแห่งความชั่วร้ายเช่นกัน"


         นายแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับเงียบๆ


        "...ความดีคือสีขาว ความชั่วร้ายคือสีดำ..เทวดาที่ครอบครองปีกสีขาวบริสุทธิ์ กับปีศาจที่มีปีกสีดำสนิท นรก..และสวรรค์" ทั้งสองก้าวขึ้นมาบนเนินพลางทอดสายตาไปรอบๆ "นี่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรับรู้และเข้าใจ...แต่ทว่า พอลองมองลึกลงไป คุณก็จะพบว่าทั้งสองล้วนมีจุดกำเนิดเดียวกัน"


       "หากเป็นในมุมมองของจิตวิทยา..จุดกำเนิดที่ว่านั่นอาจจะมีจากมนุษย์ที่มีทั้งความดีงามและความชั่วร้าย ใช่หรือไม่ครับ"


       "ถูกต้อง" ไคลน์ยิ้มรับ "แต่หากเป็นมุมมองของศาสนาหรือวิชาเทววิทยา ...ปีศาจและเทวดา เกิดขึ้นมาแต่พระเจ้า..ตามตำนานที่เล่าขานกันมา..ว่ากันว่าเเรกเริ่มเดิมที ปีศาจนั้นคือเหล่าสมุนของอัครสาวกอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า..ลูซิเฟอร์..ผู้ซึ่งริษยามนุษย์...สิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นและทรงรักใคร่เหลือเกิน ทั้งที่มนุษย์นั้นชั่วร้าย เลวทราม เขาจึงได้ปลอมตัวเป็นงูเพื่อหลอกล่อให้อีฟทานผลไม้ต้องห้ามในสวนของพระเจ้า จนมนุษย์ถูกขับไล่ลงมายังโลก"


      ตำนานที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและเรื่องเล่าต้นกำเนิดของมนุษย์ถูกเอ่ยมาจากชายหนุ่มข้างกาย เอนีลยืนฟังเงียบๆ พลางเงยหน้ารับสายลมเย็นอันแสนสดชื่นและหอบไอฝนเข้ามาหา


      "ลูซิเฟอร์ก่อกบฏต่อพระเจ้าและถูกขับไล่ลงไปยังนรก เขาถูกพรากปีกสีขาวอันแสนงดงามไป และหลงเหลือเพียงปีกสีดำอันเป็นเครื่องหมายของความชั่วร้าย...นี่เป็นสิ่งที่พวกเรารู้ " ไคลน์เอยช้าๆแววตาใคร่ครวญ "...แต่สิ่งที่ผมจะพูด..คือ...ถ้าหากว่า..แท้จริงแล้วสีดำ ไม่ใช่เครื่องหมายของความชั่วร้ายล่ะ...ถ้าหากมันเป็นเพียงอีกหนึ่งหน้าที่ๆต้องกระทำเล่า"


      "หน้าที่?" เอนีลเลิกคิ้ว


     "...ว่ากันว่า.." ไคลน์สบตาสีฟ้าที่ดูฉงนนั้นแล้วเอ่ยปากเล่าเรื่องราวต่อ " เทวดาและปีศาจกำเนิดมาจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน เทวดา คือผู้ที่มีหน้าที่รับวิญญาณของมนุษย์ซึ่งทำความดีไปเสวยสุขอยู่ในสรวงสวรรค์ และปีศาจ มีหน้าที่รับเอาวิญญาณอันชั่วร้ายของมนุษย์ไปชดใช้กรรมในนรก...เทวดาไม่ใช่สัญลักษณ์ของการทำความดี ปีศาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของความชั่วร้าย พวกเขาเพียงทำหน้าที่ซึ่งแตกต่างกันตามที่ตนเองเลือกเท่านั้น"


       "ในสีขาวก็ย่อมมีทั้งความดีงามและชั่วร้าย เช่นเดียวกับในสีดำ ที่ยังมีความดี..และความเลวเช่นเดียวกัน แต่กระนั้น ผู้คนก็เลือกจะเชื่อว่าสีขาวคือความดี และสีดำคือความชั่วร้าย เพราะสิ่งที่ตนเห็นและเชื่อมาโดยตลอด"


     "แล้วคุณล่ะครับ..เชื่อแบบไหน?"


     คำถามที่เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่จ้องกลับมาเงียบๆนั้นทำให้เอนีลชะงัก ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ยังคงมองมาอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกันทว่าก็แฝงด้วยความจริงจัง ชายหนุ่มคิดตามทีอีกฝ่ายพูดเงียบๆ เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า


    "ไม่รู้สิครับ"


    "หืม?"


    "หากนี่เป็นบททดสอบทางจิตวิทยา มันก็เหมือนคำกล่าวโดยอ้อมๆว่าจงอย่ามองคนที่ภายนอก สิ่งที่เห้นอาจไม่ใช่อย่างที่เป็น..และทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ" นายแพทย์หนุ่มหมุนตัวเดินไปอีกด้านเมื่อเห็นรั้วเหล็กสีดำแปลกตา "แต่หากมองในมุมของตำนาน เรื่องราวในวิชาเทววิทยาที่คุณว่า..ผมก็ไม่อาจจะตอบอะไรได้ อาจเป็นเพราะผมยึดติดว่าความดีคือสีขาว ความชั่วร้ายคือสีดำก็คงใช่..แต่เหนือกว่านั้น คือความไม่แน่ใจ เพราะผมคงไม่อาจตัดสินใครด้วยสีสันที่เขาสวมใส่ หรือเรื่องราวที่เขาเป็น"


    "นั่นสินะ" ไคลน์หัวเราะเบาๆ พลางมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายเงียบ


  "แล้วคุณล่ะครับ?" คำถามนั้นทำให้ผู้ถูกถามเลิกคิ้วฉงน


   "คุณเชื่อแบบไหน..อย่างไหน ระหว่างสีขาวคือสีขาว สีดำคือสีดำ กับสีขาวมีสีดำ และในสีดำก็มีสีขาว"


   "ผม...." ไคลน์หรี่ตาลงน้อยๆเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม


   "ผมไม่อาจจะเชื่อเรื่องสีดำหรือสีขาวพอๆกับคุณ แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่ตัวเองแน่ใจ....นั่นคือ...จะอย่างไรสีดำของปีศาจ ก็คือสิ่งที่น่ารังเกียจอยู่ดี"


   "น่ารังเกียจ..." เอนีลนิ่งไปชั่วครู่ วูบหนึ่งหัวใจหดเกร็งอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


   "...ไม่ว่าในสีดำจะมีสีขาวหรือไม่...จะอย่างไรปีศาจก็คือปีศาจ" แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกระด้างแข็งเสียจนผู้มองนิ่งเงียบ "...ผมก็คง..ถูกครอบงำด้วยมายาคติเดิมๆเหมือนทุกคนล่ะมั้งครับ"


     "...อา นั่นสินะครับ" ได้แต่หัวเราะยามดวงตาคู่นั้นตวัดมามองพร้อมแววตาอบอุ่นและรอยยิ้มบางๆเช่นเดิม เอนีลยิ้ม..แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆขึ้นมาก็ตาม..


   ทั้งที่ความคิดนี้ก็เป็นปกติ..แต่..ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด


    "ทำให้คุณทำหน้าไม่สบายใจเสียแล้ว เรื่องเล่าของผมคงน่าเบื่อ.." เหมือนผู้พูดจะจับความรู้สึกเขาได้ ไคลน์จึงเอ่ยปากออกมาเงียบๆ


    "ไม่หรอกครับ..เรื่องเล่าของคุณสนุกมากเลยนะครับ..แล้ว..ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อหรอกนะ" เอนีลยิ้มเกลื่อน หันเหความสนใจของตนไปยังสิ่งก่อสร้างเบื่องหน้า เกาะดูเสาเหล็กเตี้ยๆที่โผล่พ้นเนินเดินแล้วชะงักฝีเท้า "จริงๆคือผมแทบจะเป็นพวกไม่เชื่อถือในกระเจ้า..เพราะฉะนั้นสีดำหรือสีขาว..ผมก็ไม่รู้จะเชื่อถืออย่างไหนเหมือนกัน...อ่ะ..นี่สินะครับสุสานที่หลวงพ่อฌองพูดถึง"


    "...เป็นสุสานที่เก่ามาก..แต่ก็อยู่ในสภาพดี เจ้าของที่ดินคงเป็นพวกขุนนางเก่าแน่ๆ" ไคลน์จ้องมองภาพสุสานขนาดใหญ่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด


    "น่าเสียดายนะครับ.." เอนีลลดมือลงพลางมองฝ่ามือตัวเองที่มีคราบสนิมจากรั้วเหล็กติดมาบางๆ


    "คุณชอบสุสาน?" ไคลน์เลิกคิ้ว


    "..มันดูสงบดีครับ..แต่สุสานนี้..ดูเศร้า...เศร้ามาก" นายแพทย์หนุ่มเอ่ยพลางจ้องมองเหล่าโลงหินและป้ายสลักรูปหินประดับหน้าหลุมศพรวมทั้งรูปปั้นพระแม่มารีและเทวทูตตัวน้อยที่บัดนี้ถูกกาลเวลาชะล้างจนกลายเป็นสีหม่น ต้นไม้ใบหน้าที่ควรจะเลื้อยปกคลุมกลับไม่มีอยู่ ไม่ได้แสดงถึงการดูแลเพราะต้นไม้ใหญ่ที่ไร้ใบปกคลุมบ่งบอกว่าพวกมันกลายเป็นเพียงซากต้นไม้แห้งๆ ไร้ชีวิตและไม่อาจจะผลิดอกออกใบได้อีก ไม่ต่างไปจากร่างของผู้คนที่หลับไหลอยู่ในสุสานแห่งนี้ ซึ่งไม่อาจจะลืมตาขึ้นได้อีกแล้ว


    ความเศร้าสร้อยบางอย่างอวลอยู่ในอก ระคนกับความโหยหาและทุกข์โศกเสียจนแปลบใจวูบ เอนีลยกมือขึ้นลูบอกตัวเองเบาๆ สีหน้าที่เคยยิ้มแย้มค่อยซีดจางลงจนคนข้างกายสังเกตุ ฝ่ามือหนาวางลงบนไหล่เบาๆ ส่งผ่านความอบอุ่นและอาทรมาให้โดยไร้คำพูด สัมผัสนั้นสร้างความอุ่นใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอนีลเงียหน้าขึ้นยิ้มกับชายหนุ่มเงียบๆเป็นการขอบคุณ


    "...เดินมานานพอสมควรแล้ว เราไปกันเถอะครับ" เอ่ยปากชักชวน ซึ่งอีกคนก็พยักหน้าตามโดยง่าย เอนีลเดินออกจากสุสานแห่งนั้นโดยที่ไหล่ของเขายังมีมือของไคลน์วางอยู่ ใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มกลับมาเต็มด้วยรอยยิ้มดังเดิมราวกับสลัดเรื่องที่เคยทุกข์ร้อนออกจากใจ ทว่าครู่หนึ่ง..เพราะสังหรณ์บางสิ่งทำให้เขาหันกลับไปมองเบื้องหลัง


     ...ด้านหลังต้นไม้ที่ยืนต้นตายอย่างน่าเศร้านั้นกลับมีร่างหนึ่งปรากฏ เสื้อคลุมสีดำและเส้นผมสีขนกาสะบัดไหว เอนีลชะงักวูบ เขารู้สึกได้ถึงดวงตาสีแดงคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว นกสีดำบนไหล่ของคนผู้นั้นกรีดเสียงร้องดังลั่นหูเสียจนสะดุ้งเฮือก เอนีลบอกให้ตัวเองหันหลังกลับไป ทว่าทำได้ยากเหลือเกินเมื่อถูกจ้องมองโดยดวงตาสีแดงคู่นั้นไม่วางตา


       เสียงของใครบางคนร้องเรียกอยู่ใกล้ๆ ควรจะหันกลับไปหาพร้อมกับเอ่ยปากพูดคุยด้วยอย่างปกติแต่ทว่าทำไม่ได้ เอนีลชะงักฝีเท้า ยืนตัวเเข็งทื่อจ้องมองหนึ่งคนปริศนาและอีกหนึ่งนกสีดำ  ก่อนที่เขาจะมองเห็นนกตัวนั้นขยับปีกแล้วโผบินเข้ามาหา เสียงร้องแหลมเย็นยะเยือกของมันดังลั่น เช่นเดียวกับดวงตาสีดำก่ำที่จ้องมองมาและร่างที่โผเข้าหาราวกับจะบินเข้าชน


    หลบ...ต้องหลบ...เสียงเตือนดังขึ้นในหัวตามสัญชาติญาณ ทว่าไม่อาจจะทำได้ เอนีลจ้องมองร่างนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ขนกาสีดำสนิทจะปิดดวงตาของเขาทั้งคู่จนไม่อาจจะมองเห็นสิ่งใดอีกเลย



+++++++++++++++


...ตอนแรกๆเหมือนจะสวีต แต่ตอนหลังๆมาแบบแอบสยองอีกแล้ว นี่คือสเตปของนิยายเรื่องนี้สินะ ฮ่าาาา


เรื่องปีศาจสีดำสีขาว คนเขียนโมเมเองทั้งสิ้น ไม่ได้อิงมาจากตำนานไหนนะคะ เป็นแค่แนวคิดอะไรประมาณนั้น


ส่วนตอนหน้าเอนีลของเราจะเจอเรื่องชิพหัยอะไรต่อไป โปรดติดตามมม //โดนขุ่นหมอเอาเสื้อกาวน์รัดคอ


หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 10 เทวดาและปีศาจ + Lost 11 สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ * UP.06/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 06-06-2014 17:28:09


Lost 11 สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์



...เสียงฝีเท้า


     จ้องมองฝ่าเท้าสีซีดขาวเหยียบลงบนพื้นหญ้าเขียวสด การเคลื่อนไหวอันเงียบเชียบและแผ่วเบานั้นทำให้เจ้าของเรือนผมสีทองคำที่ยังจดจ่ออยู่กับบางสิ่งในมือมิได้หันมาหา  ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองแผ่นหลังแบบบางเงียบๆ นิ่งไปครู่ใหญ่ราวกับจะตัดสินใจบางสิ่ง และนั่นก็เป้นเวลาที่นานพอสำหรับผู้ถูกจ้องมองจะหันมาหา


    ดวงตาสีท้องฟ้าจดจ้องกลับราวกับกังขา เจ้าของใบหน้างดงามแย้มยิ้มเป็นมิตร  หากแต่ผู้ได้มองนั้นหาได้ยินดีไม่ เจ้าของฝ่ามือสีขาว เล็บมือสีดำสนิทยื่นมืออกไปช้าๆ กระชากร่างนั้นให้โผมาสู่อ้อมกอดอย่างรวดเร็วก่อนที่สีแดงฉานจะสาดกระจาย


     เสียงกรีดร้องร่ำไห้ เสียงอ้อนวอนที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง เสียงนั้นทำให้เจ้าของเรือนผมสีทองคำซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงใหญ่ขยับตัวกระส่ายกระสับ ใบหน้าซีดขาวมีเม็ดเหงื่อผุดพราย  แสดงอาการบ่งบอกถึงฝันร้ายไม่มีที่สิ้นสุด


  ...ความฝันอันลึกลับ..ภาพที่เห็นซ้ำๆ..ทุกวันคืนที่ผ่านมา ตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง


   เสียงกรีดร้องร่ำไห้ ความเจ็บปวดที่ราวกับเกิดขึ้นจริง ฝันเลวร้ายจากเจ้าของดวงตาสีโลหิต เส้นผมสีเข้ม ผิวกายซีดขาวและใบหน้าเฉยชา ความฝันที่ไม่เคยปราถนาเดินทางกลับมาแสยะยิ้มราวกับจะบอกว่าไม่มีวันหลีกหนีพ้น


    ไม่มีวัน..จะหนีปีศาจปีกสีดำคู่นั้นได้เลย ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม..



  เฮือก!!


      ลืมตาโพลงแล้วลุกพรวดขึ้นมาจากหมอน  เอนีล ชาสต์เดอตงส์ นายแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับตัวเองเงียบๆด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะลูบหน้าช้าๆ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ ขณะทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยพยายามอย่างยิ่งในการไม่นับรวมเอาความฝันที่แสนน่าประหวั่นของตัวเองไปด้วยและตั้งสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว


  ...กระนั้น เอนีลก็พบว่ามันทำได้ยากนัก


   ภาพสุดท้ายก่อนโลกทั้งใบจะจางหายไปคือดวงตาสีแดงก่ำของอีกาตัวใหญ่ ปีกสีดำสนิท..และชายหนุ่มปริศนาผู้อยู่ในชุดสีดำทึมเทาที่จ้องมองมาไม่วางตา


    ผมสีดำ...ดวงตาสีแดง...ผิวขาวซีด


   ..เหมือน คนที่อยู่ในความฝันนั้นเหลือเกิน


    มือสั่นน้อยๆยามยกมือขึ้นเสยผมแล้วดึงมันแรงๆราวกับจะระงับสติไม่ให้ฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้น นายแพทย์หนุ่มกวาดตามองรอบๆ นึกเบาใจขึ้นไม่น้อยที่กลับมายังที่พักได้ในที่สุด ทว่าเขาก็ต้องเอ่ยขอโทษกับผู้ที่ต้องลำบากลำบนพาร่างอันสลบไสลไม่ได้สติของตนกลับมาอย่างยากลำบากอยู่ซ้ำๆในใจ


     แล้ว...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


     สภาวะที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่ามีสติเต็มร้อยทำให้ชายหนุ่มต้องสูดหายใจลึกๆเพื่อเรียกเอากำลังและปลุกปลอบขวัญตัวเอง นายแพทย์หนุ่มหายใจเข้าออกซ้ำๆ พยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติและสงบอาการตื่นตกใจของตัวเองให้เร็วที่สุดเพราะถ้าเขายังคงเอาแต่แตกตื่นกระวนกระวายอยู่แบบนี้คงเอาแต่คิดเรื่องบ้าๆบอๆจนไม่อาจทำอะไรได้


      ...เอนีลเรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้นช้าๆ เขาไปเที่ยวกับไคลน์..เกิดฝนตก..พวกเขาทั้งคู่จึงไปหลบพักฝนในโบสถ์เล็กๆแห่งหนึ่ง ได้เจอกับหลวงพ่อผู้อารีย์ และจากนั้นก็เดินชมรอบๆ จนไปถึงสุสาน แล้ว...เขาก็หมดสติไป


    ..หมดสติไปหลังจากเจอชายหนุ่มในชุดสีดำและอิกาที่ปรี่บินเข้ามาหาตัวนั้น


     หรือเขาจะตกใจนกตัวนั้นจนสลบ?


     ถามตัวเองเงียบๆพลางยกมือขึ้นลูบดวงตาและใบหน้าราวกับจะสำรวจบาดแผล เอนีลยิ้มเฝื่อนๆเมื่อพบว่าไม่ได้มีแผลใดๆเกิดขึ้นบนใบหน้าและเขาก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อยเนื้อตัวตรงไหน บ่งชัดว่าข้อสันนิษฐานนั้นไม่อาจเป็นไปได้ แต่..ไม่สิ อาจจะเป้นไปได้ เอนีลหลบนกตัวนั้นพ้น แต่ตัวเขาเองก็ตกใจเสียจนสลบ ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าของนกตัวนั้นกับไคลน์จะเป็นอย่างไร ไม่แน่ว่าเขาอาจจะนั่งรออยู่ข้างล่าง และจิบน้ำชากับพ่อบ้านของตนฆ่าเวลาอยู่ก็ได้..


     ยิ้มให้ตัวเองเงียบๆ แม้รอยยิ้มนั้นจะฝืดเฝื่อนเหลือใจ ยามนี้แล้วนายแพทย์หนุ่มยอมยกข้ออ้าง ข้อสันนิษฐานข้างๆคูๆหรือสาเหตุที่ฟังไม่ได้อะไรก็แล้วแต่มาบอกตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงอาการหวาดกลัวเกิดเหตุของเขา จะเป็นเรื่องบ้าบอแค่ไหนก็ได้...น่าอายเพียงไหนก็ไม่ว่า ถ้าหากมันจะสามารถกลบทับความจริงที่เป็นหลุมดำๆซึ่งกำลังเจาะรูลึกอยู่กลางอก


    ...กับข้อที่ว่า..ไม่มีทางเลย..ที่ชายหนุ่มคนนั้นกับนกตัวนั้นจะยังมีอยู่


    ไม่ใช่ว่าตกลงกันแล้วเลยหายไป ไม่ใช่ว่าคุยกันเรียบร้อยเขาเลยกลับไปแล้ว ...แต่เป็นเพราะว่าไม่มีอะไรมาแต่ต้น


    อาการป่วยเพราะเห็นภาพหลอน..สันนิษฐานว่าจะมีคนมาทำร้ายตัวเอง ไม่ก็...ผลกระทบจากความฝันบ้าๆบอๆ


    .....กำลังป่วยทางจิต


   เหยียดยิ้มขึ้นมาอีกครั้งอย่างเศร้าๆ...ป่วย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองป่วย..เอนีลผู้ป่วยไข้ เป็นบ้า เป้นโรคผวาจากความฝันจนประสาทหลอน..เป็นคนที่ต้องได้รับการรักษา เอนีลเกลียดความคิดนนี้ เกลียดที่ต้องพบว่าตนเองเป็นเช่นนั้น


    แต่บัดนี้ การเป็นบ้า...อาจจะดีเสียกว่า


   ดีกว่าการต้องพบว่า มีตัวตนที่อยู่ในฝันร้ายนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที..



      แอ๊ด..


     เสียงประตูเปิดทำให้เอนีลชะงัก ชายหนุ่มเงยหน้ามองผู้ที่มาพร้อมกับแสงไฟในห้องซึ่งสว่างจ้าขึ้น รอยยิ้มของไคลน์ สไตร์เซอร์ยังคงอ่อนโยนเช่นเดิม เช่นเดียวกับรอยยิ้มของฟาเอล กีโยต์ พ่อบ้านของเขา ทั้งสองคนจ้องมองมาที่เขาอย่างเงียบๆก่อนที่ไคลน์จะนั่งลงข้างเตียงช้าๆ


     "เป็นยังไงบ้างครับ.." ฝ่ามืออุ่นๆวางบนหลังมือตนแล้วลูบเบาๆ "หิวไหม..เจ็บตรงไหนรึเปล่า?"


     "อึ่ก..."เอนีลเม้มปากเน่น สีหน้าเครียดคล้ำ


     "..ช่วยไปเตรียมยากับซุปให้เอนีลหน่อยนะครับ คุณฟาเอล" ไคลน์หันไปบอกพ่นบ้านเฒ่าด้วยอาการอ่อนโยน และนั่นทำให้ผู้ฟังโค้งตัวออกไปเงียบๆ ไม่ได้ไปเตรียมยาหรืออาหารหรอก เอนีลรู้..แต่เพียงไคลน์อยากจะขอเวลาตรวจอาการเขาสักครู่เท่านั้นเอง


     "ว่าไงครับ" ฝ่ามือถูกกุมเงียบๆโดยมือทั้งสองข้าง ดวงตาที่จ้องมองมาอย่างอ่อนโยนนั้นทำให้ผู้ฟังหรุบตาลงช้าๆ เอนีลเม้มปากแน่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลังเลปะปนกับความทุกข์ใจและกระวนกระวาย ดวงตาสีฟ้าสดเต็มไปด้วยความว้าวุ่นเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีน้ำตาลครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับขอความช่วยเหลือ ก่อนจะหรุบตาลงต่ำ เป็นเช่นนี้ซ้ำๆอยู่ครู่ใหญ่ราวกับคนตรงหน้าไม่รู้จะทำเช่นไรดี


      "นั่น...มัน" เม้มปากแน่น เอนีลก้มลงมองผ้าห่มที่ถุกเขาขยำจนยับยู่ราวกับกลัวคำตอบ


   หวาดกลัว...ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ความฝัน ภาพหลอน หรืออะไรก็ตาม..


      "ผม...."ไคลน์มีท่าทีอึกอักก่อนจะถอนใจเบาๆ "ถึงไม่อยากจะพุด ก็คงต้องพูด"


       "เขาไม่ใช่คน...เอนีล"


      คำตอบที่ได้ทำให้ผู้ฟังนิ่งอึ้ง เอนีลเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนพุดราวกับไม่เชื่อหู ดวงตาเบิกกว้างและท่าทีตกตะลึงนั้นทำให้ผู้ฟังทำได้เพียงแย้มรอยยิ้มบาง ขณะที่คนฟังรู้สึกราวกับมีหินสองก้อนที่กลิ้งอยุ่ในใจ


      ก้อนหนึ่งมันค่อยหลุดออกไปด้วยความยินดี...หรืออย่างน้อยก็ใกล่เคียงที่พบว่าตัวเขาไม่ได้โดดเดี่ยว เชื่อในสิ่งที่ไม่มีคนเชื่อหรือเอาแต่บ้า เพ้อหาและหวาดกลัวกับเรื่องราวแปลกๆเช่นนี้อีกแล้ว มีอีกคนนึงที่เขาใจ มีอีกคนหนึ่งที่รับรู้ และเห็นในสิ่งที่เขาเห็น


        หากแต่ก้อนที่สองอันหนักอึ้ง...คือความจริง ที่ตอกย้ำและบอกอย่างชัดเจน ว่าตัวเขาในตอนนี้ กำลังเผชิญกับสิ่งที่ตนไม่รู้ว่ามันคืออะไร


        ที่รู้มีเพียง...มันกำลังย่างก้าวคืบคลานเข้ามาในชีวิตของเขาด้วยเจตนาร้ายอย่างชัดเจน


        "ไม่ใช่คนเหรอ..แต่ แต่...." พยายามเอ่ยปากคัดค้าน เอนีลแสร้งหัวเราะเบาๆ "นี่มันโจ๊กหลัง..."


         "ไม่ใช่โจ๊กก่อนอาหารแน่ๆ.." ไคลน์ตัดบทอีกฝ่ายเงียบๆ "แม้ผมไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ..."


         "เขาหายไป...หายไปกับตา..ไม่ใช่แค่ผมที่เห็น แต่หลวงพ่อฌองก็ด้วย...ดังนั้นผมจึงไม่อาจจะปฎิเสธได้อีกแล้วว่าเรากำลังเผชิญกดับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์.."


           "................" ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ขณะที่ไคลน์ทอดมองคนตรงหน้า และตัดสินใจเอ่ยปากในที่สุด


          "..และผมก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน..ว่ามันต้องการทำร้ายคุณ"


        เงียบไปนานราวกับไม่รู้จะเอ่ยบอกสิ่งใด ขณะที่ฝ่ามืออุ่นค่อยลูบเส้นผมสีทองสลวยช้าๆ  เอนีลนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามองผู้กระทำด้วยสายตาเว้าวอน  เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจเสียจนไม่อาจทนไหว ความทุกข์ตรมและขื่นขมอัดแน่นอยู่ในใจราวกับพร้อมจะปะทุออกมาทุกเมื่อ เช่นเดียวกับสภาพจิตใจที่เหลือเพียงด้ายเส้นบางๆก่อนทุกสิ่งจะขาดวิ่นออกจากกัน


       สิ่งที่เห็นเบื้องหน้านั้นทำให้หัวใจของผู้มองปวดหนึบ ไคลน์นิ่งอยู่ได้เพียงคู่ก่อนจะคว้าตัวอีกฝ่ายไปซุกไว้ในอ้อมแขนเงียบๆ และนั่นเองที่ทำให้สิ้นสุดความอดทน ผู้ที่ถูกโอบกอดสะดุ้ง ขืนตัวเพียงเล็กน้อยก่อนจะแน่นิ่งแล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกของตนราวกับไร้เรี่ยวแรง


     "....ไม่ไหวแล้ว" เสียงกระซิบพร่าสั่น ใบหน้าที่ซุกซนอยู่กับแผ่นอกนั้นกดต่ำจนไม่อาจเห็นสิ่งใด ทว่าความเปียกชื้นที่สัมผัสได้ทำให้รู้ได้ไม่ยาก อ้อมแขนของชายหนุ่มจึงกอดรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้น "ผมไม่ไหวแล้วไคลน์..ทำไม...ทำไมถึง...."


       "................." ไม่อาจเอ่ยคำใดปลอบใจได้ ไคลน์สไตร์คเซอร์หลับตาลงช้าๆ สีหน้าปวดแปลบไม่แพ้ผู้ที่อยู่ในอ้อมแขน ชายหนุ่มกอดรัดผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนเงียบๆขณะที่หัวใจเต้นแรงเสียจนเจ็บไปหมด


       "...ไคลน์...ผมจะเป็นบ้าอยู่แล้ว.." น้ำเสียงที่สั่นไหวจนไม่อาจจับใจความดังขึ้นอู้อี้ นายแพทย์หนุ่มในอ้อมกอดนั้นมีท่าทีราวกับใจหายไปจากตรงนี้ไม่ว่าวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เสียงพึมพัมนั้นบอกให้รู้ว่ามันหมายความตามที่พูดจริงๆซึ่งนั่นยิ่งทำให้สีหน้าของผู้ฟังรวดร้าวมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว


      "ไม่เป็นไรนะครับ...ไม่เป็นไร"กระซิบบอกเเผ่วเบาพลางลูบเส้นผมสีทองสว่าง "ไม่เป้นไรนะ เอนีล..มันเป็นแค่ฝันร้าย...แค่ฝัน..."


      "ไม่อยากฝัน...ผมไม่อยากฝันอีกแล้ว...ไม่..." ส่ายหน้าแรงๆพลางหลับตาแน่น เอนีลประหวัดนึกถึงความฝันของตน..ถูกคนๆหนึ่งฉีกทึ้ง ฆ่าทิ้ง เจ็บปวดและทรมารอยู่ทุกค่ำคืนราวกับไร้จุดสิ้นสุด


    เขานึกว่าฝันร้ายนี้จะจบลงแล้ว แต่เปล่าเลย..


    ...มันกำลังเดินมาหาเขา


      ความฝันนั้นกำลังคืบคลานเข้ามาหา และไม่ใช่แค่ความฝัน มันคือความจริง..เขากำลังถูกความจริงค่อยๆเล่นงานอย่างหนักหน่วงเสียจนตัวเองแทบจะเป็นบ้า


       ...วันไหนกันที่ตัวเองจะพบว่าถูกควักลูกตา เชือดเนื้อเถือหนัง และทรมารอย่างโหดร้ายเยี่ยงในฝัน


      ...วันใดที่เขาจะได้เจอเจ้าของดวงตาสีโลหิตอันน่าสะพรึงผู้นั้น



หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 10 เทวดาและปีศาจ + Lost 11 สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ * UP.06/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 06-06-2014 17:31:30



           "เอนีล..ฟังผม" ไคลน์ดึงเอาร่างของคนที่ซุกอยู่กับแผ่นอกตนเองมาจ้องเงียบๆ สบมองดวงตาสีแดงก่ำของชายหนุ่มที่ตนมาคอยคุ้มครอง "ผมบอกว่าผมจะมาปกป้องดูแลคุณ...ผมก็จะปกป้องดุแลคุณ..อย่าห่วงไปเลย..คุณจะไม่เป็นไร"


         "แต่........."


        "ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นอะไร ไม่ว่าคุณจะต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ผมจะคอยดูแลคุณ" คำมั่นสัญญานั้นแทรกซึมเข้ามาในดวงใจที่กำลังหวาดหวั่นเงียบๆ


       "..สิ่งนั้น...."


       "มันคืออะไรผมไม่รู้...แต่ผมจะไม่ยอมให้มันมาทำร้ายคุณเป็นอันขาด" ไคลน์จ้องมองดวงตาสีฟ้า เขาสัญญากับอีกฝ่ายอย่างหนักแน่น "เชื่อผม...เชื่อใจผม เอนีล"


        ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจ้องมาอย่างจริงจัง เต็มไปด้วยความจริงใจและหนักแน่นจนสัมผัสได้ เอนีลมองสบดวงตาคู่นั้น ชั่วขณะหนึ่งที่หัวใจอุ่นวาบ...ความรู้สึกบอกว่าคุ้นแสนคุ้นกับแววตาและคำพูดเช่นนี้ ราวกับเมื่อนานมาแล้ว มีคนๆหนึ่งเคยเอ่ยคำนี้กับเขา


    "เชื่อสิ...เชื่อมั่น"


       เสียงกระซิบเเผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่สัมผัสไหล่แล้วบีบแน่น ดวงตาสีน้ำตาลแสนอ่อนโยน ใบหน้ายิ้มแย้ม เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เจดจรัสงดงามเสียจนตาพร่าและทำให้คล้อยตามได้อย่างง่ายดาย


    ..รวมทั้ง ทำให้หัวใจที่ตายลงไปค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง...



    "ครับ" นิ่งไปสักครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แววตาของผู้พูดค่อยสดใส ความกังวลค่อยจางลงไปราวกับมีบางสิ่งพัดปัดเป่านั้นดูน่าฉงนไม่น้อย "ผมเชื่อคุณ"


     ดวงตาสีฟ้าสดใสจ้องกลับมาอย่างเชื่อมั่น แววตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อ...เชื่อตามที่ตนเองพูดออกไปทำให้หัวใจของผู้มองสั่นไหวอย่างประหลาด


       "ขอบคุณ" นิ่งไปครู่ใหญ่ แม้จะแปลกใจ ทว่าชายหนุ่มก็ยิ้ม ไคลน์ตอบรับคำพูดของอีกฝ่าย เขาออกแรงกอดแน่นขึ้น และนั่นเองที่ทำให้ทั้งคู่เพิ่งตระหนักว่าอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน..เอนีลยิ้มออกมาอย่างขัดเขิน ก่อนจะขยับห่างเงียบๆ


       "เดี่ยวผมจะไปเอาข้าวกับยามาให้...แล้วเรามาคุยกันต่อนะครับ" ไคลน์ยิ้ม ยกแขนกอดอีกคนแรงๆก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็วเหมือนไม่อยากให้คนถูกกอดนึกขึ้นได้ว่าโดนฉวยโอกาส


       "...อ่ะ" ความอบอุ่นที่ผละออกไปทำให้เอนีลชะงัก เสียงประท้วงดังขึ้นเบาๆก่อนจะเงียบกริบเหมือนลืมตัว เรียกให้ผู้ถูกทักเลิกคิ้ว..ซึ่งคนพูดก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ


      "...แล้วผมจะรีบกลับมา" ไคลน์ยิ้ม แววตาที่จ้องมองกลับมาราวกับรู้ทันท่าทีนั้น ก่อนที่จะลุกขึ้นเงียบๆ ชายหนุ่มสบตาผู้ที่นั่งบนเตียงแล้วยิ้มหวานมอบให้อีกคราก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว


     เอนีลมองตามแผ่นหลังอีกฝ่าย ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชมกับความเสียสละที่อีกฝ่ายมีให้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นวางบนแผ่นอกซ้ายตนเองช้าๆ นิ่งฟังเสียงหัวใจที่โลดแรงขึ้นของตัวเองเงียบๆ พลางหลับตาลงราวกับจะระลึกถึงความรู้สึกบางสิ่ง บางอย่างที่วาบผ่านขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ..


     ...รอบกายคือที่ไหนไม่รู้เขาไม่ทราบ เกิดอะไรขึ้นเอนีลไม่รู้ ทว่าที่จำได้ มีเพียงน้ำเสียงหนักแน่น สัมผัสที่หัวไหล่ ความอ่อนโยนหากแฝงไปด้วยพลังนั้นแทรกซึมเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ก่อเกิดเป็นความลึกซึ่งบางอย่าง


      ความทรงจำแปลกประหลาด....ไม่รู้ที่มา..หากแต่ชวนอุ่นใจเหลือเกิน


        เสียงขยับปีกดังขึ้นแหวกความเงียบทำให้ชายหนุ่มชะงัก ดวงตาสีฟ้าสดเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เอนีล ชาส์เดอตงส์ หันไปมองต้นเสียง จากที่ๆเขานั่งอยู่ซึ่งก็คือบนเตียง เมื่อเหลียวมองไปยังหน้าต่างบานใหญ่ในห้องซึ่งเปิดกว้างรับแสงจันทร์ ผ่านม่านสีครีมสะบัดไหว ขนนกสีดำสนิทปลิวลงมาเงียบๆ การาเวนตัวใหญ่เกาะอยู่บนหน้าต่างใช้ดวงตาสีแดงจ้องมองเขาเขม็ง


       และ.ไม่ไกลจากนั้น ร่างของใครคนหนึ่งในอาภรณ์สีดำสนิท เส้นผมสีดำยาวและผิวหน้าซีดขาว เจ้าของดวงตาสีแดงก่ำที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ 


          ภาพนั้นทำให้ผู้มองเบิกตากว้าง เอนีลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆรู้สึกถึงเนื้อตัวที่สั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ แต่กระนั้น ก็รุ้ดีว่าตนจะอยู่เฉยๆไม่ได้เช่นกัน


          ลุกขึ้นจากเตียงพยายามเดินไปที่ประตูแต่ก็ทำได้เพียงยืนนิ่งเมื่อดวงตาสีแดงก่ำนั้นจ้องเขม็ง แผ่นหลังหดเกร็งจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าพรั่นพรึง "สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์" ยังคงยืนจ้องมองเขาอย่างเงียบเชียบไม่ขยับไปไหน เงียบอยู่อย่างนั้นราวกับว่าจะรอดู..ทดสอบว่าใครกันจะหมดความอดทน


       ไม่นาน...ท่อนแขนขาวจัดก็ยื่นมาเบื้องหน้า เผยให้เห็นปลายเล็บสีดำสนิทและนิ้วมือซีดขาว ขนนกสีดำเรืองรองปรากฏขึ้นมาในมืออีกฝ่าย ก่อนที่ริมฝีปากของคนผู้นั้นจะยิ้ม


     "ถ้าอยากรู้ ก็รับไปสิ"


     น้ำเสียงนั้นราวกับดังขึ้นในสมองมากกว่าจะผ่านออกมาจากริมฝีปาก ทั้งที่ควรจะหวาดกลัวหนักหนา ทว่าบางสิ่งกลับผลักดันให้เขาเอื้อมมือไปรับ ทั้งที่ต้องเดินเข้าไปใกล้ แต่เพียงกระพริบตา ขนนกสีดำสนิทก็ตกมาอยู่ในมือของตน


     "เอนีล"


    "............"


    "เอนีล"


    "...อ่ะ..." แสงสีขาวสาดกระทบแววตาทำให้ต้องชะงักไปอีกครั้ง เอนีลจ้องมองภาพเบื้องหน้า สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือเพดานเตียงเช่นเดียวกับทุกครั้ง ร่างที่ยังมึนงงพยุงตัวเองลุกขึ้นขณะที่ตาก็กวาดมองไปรอบๆ ไคลน์ สไตร์คเซอร์กลับมาแล้วพร้อมกับอาหารเย็นและยาทาน เจ้าตัวกำลังกุลีกุจอวางอาหารลงตรงหน้า  เอนีลหันไปมองหน้าต่าง พลันขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันปิดสนิท


      "มีอะไรรึเปล่าครับ?" คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก เอนีลยิ้มให้ผู้ถาม เขาหันไปสนใจอาหารเย็นพลางเอ่ยปากของคุณผู้ที่นำมา ทั้งที่ความคิดยังเกลื่อนไปด้วยความงวยงง


  ...เมื่อครู่


มันเกิดอะไรขึ้น?         


++++++++++++++



ในที่สุดหนุ่มชุดดำก็มีบทพูดซักที ตั้งหนึ่งประโยคแหนะ //เหลอะ


แต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่าไม่ใช่คนสินะ งานนี้จะคน ผี ปีศาจ เทวดา บลาๆ จะเป็นตัวอะไรก็ต้องรอดูกันต่อไปค่าา


หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 10 เทวดาและปีศาจ + Lost 11 สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ * UP.06/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: whitefang ที่ 06-06-2014 21:25:23
ลุ้นอ่า อะไรยังไง :katai1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 10 เทวดาและปีศาจ + Lost 11 สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ * UP.06/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 06-06-2014 21:32:45
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 12 พบหน้า + Lost 13 Red rose * UP.07/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 07-06-2014 22:59:24


Lost 12  พบหน้า



     เสียงนกกลางคืนร้องออกมาเบาๆ ขณะที่บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือก หมอกสีขาวทิ้งตัวลงต่ำ น้ำค้างเย็นๆหยดจากปลายยอดไม้สีเขียวลงมากระทบไหล่ยามแทรกกายเพื่อผ่านไปยังที่นัดหมาย..หนาว หนาวเย็นเสียจนสั่นไปทั้งกาย หนาวมากเสียจนเสื้อคลุมตัวใหญ่ไม่อาจปกป้องจากความเย็นยะเยือกนี้ไปได้


       ริมฝีปากกระทบกันไม่หยุด หากแต่เจ้าของฝ่ามือขาวซีดไม่ละจากความพยายาม ยกตะเกียงเจ้าพายุในมือขึ้นสูง สาดแสงนวลของมันไปยังเบื้องหน้าเพื่อนำทางไปยังที่ซึ่งตนปราถนา หัวอกของเขาล้นปรี่ไปด้วยความคาดหวังและยินดี หาได้สนใจความหนาวเหน็บใดๆที่แผ้วพาน


      เปิดรั้วเหล็กช้าๆ เสียงครางของมันดังขึ้นแผ่วเบา ขณะที่บรรยากาศรอบกายยิ่งเงียบสงัด ดวงตาจ้องมองฝ่าแสงตะเกียงอย่างไม่ยอมแพ้ ย่ำฝ่าเท้าเปล่าเปลือยลงบนพื้นหญ้าสีเขียวสดที่เย็นเฉียบชวนสะท้านจนต้องเดินเร็วๆ ขณะที่รอบกายมีเพียงป้ายหินสีดำทะมึน


     ต้นเร้ดวู้ดขนาดใหญ่ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางป้ายหินมากมายนั้นสะบัดใบไม้ไหวเอนไปตามลม แว่วเสียงเสียงสีของกิ่งราวกับเสียงกระซิบ ขณะที่ร่างนั้นเดินไปใกล้แล้วรอยคอยอย่างใจจดใจจ่อ


    ความยินดีและความพึงใจอวลอยู่ในอก ยิ้มแย้ม จ้องมองไปยังรอบๆราวกับมองหาใครบางคนโดยไร้ความกลัว ทั้งที่สถานที่แห่งนี้คือสุสาน รอบกายมีแต่อันตรายและดูน่าประหวั่นราวกับเป็นที่สิงสู่ของวิญญาณร้าย หากแต่ผู้ที่ยืนรออยู่กับไร้ความหวาดหวั่น มีเพียงความดีใจมากมายปรากฏ...มีความสุข เสียจนไม่คิดจะมองดูสิ่งอื่นใด


    "...มาแล้วหรือ.." เสียงที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบานั้นดังขึ้นเมื่อร่างของใครคนหนึ่งปรากฏ บุรุษในเสื้อคลุมสีเข้ม ท่าทีดูลึกลับน่ากลัว แต่กับคนที่ยืนรออยู่กลับไม่มีความหวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น


      ย่ำเท้าเข้าไปหาแล้วโผเข้าสู่อ้อมแขนนั้น รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจนถึงในอก หลับตาพริ้ม...การรอคอยที่แสนจดจ่อจบลงพร้อมรอยยิ้มระบายความสุขบนใบหน้า เขายังคงยิ้มอยู่เช่นนั้น แม้ตะเกียงเจ้าพายุจะหล่นลงจากมือ และมีรอยเลือดซึมชื้นปรากฏอยู่บนร่าง


      ตุบ...


      เสียงของหนักๆทิ้งตัวลงบนผืนหญ้าดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เสียงที่ไร้การเหลียวแลใดเมื่อปรากฏอยู่บนสุสานอันกว้างใหญ่ที่ไร้สิ่งมีชีวิต ร่างของชายหนุ่มผู้เดินทางมาถึงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในมือของเขาเปื้อนด้วยเลือดสีเข้มรวมทั้งบนเสื้อโค้ทและใบหน้า ทว่าเจ้าตัวดูจะไม่คิดใส่ใจใดๆ ดวงตาที่ฉายแววเย็นยะเยียบจับใจจ้องมองร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้นข้างตะเกียงที่ส่องสว่าง ใบหน้าของชายผู้นั้นยังคงเปี่ยมด้วยความสุขสันต์ รอยยิ้มประดับบนใบหน้า ไม่รับรู้ถึงความตายและสิ่งที่ตนเองเผชิญจวบตนวาระสุดท้ายของชีวิต..


     สายลมเบื้องบนโชยพัดอย่างแผ่วเบาขณะที่แว่วเสียงฟ้าร้องครืนคราง กิ่งใบของต้นเร้ดวู้ดต้นใหญ่ยังคงเสียดสีและก่อท่วงทำนองแปลกประหลาด แมงมุมตัวใหญ่ซึ่งเกาะอยู่บนแผ่นหินหนาค่อยๆชักใยสร้างรังของมันอย่างตั้งอกตั้งใจ การาเวนตัวหนึ่งเกาะอยู่บนรูปปั้นพระแม่มารี มันใช้ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงครู่ก่อนจะส่งเสียงร้องลั่นแล้วสะบัดปีกโผบินจากไป


    ...หายไปเช่นเดียวกับชายหนุ่มปริศนา เหลือเพียงซากศพของคนผู้หนึ่งและตะเกียงซึ่งดับแสงลงในที่สุด




      ลืมตาขึ้นมาช้าๆ จ้องมองภาพเพดานสี่เสาที่แสนเคยคุ้น ดวงตาสีฟ้าเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ราวกับครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยู่ในความฝัน เอนีล ชาส์เดอตงส์ขยับปลายนิ้วเบาๆหลังจากพบว่าเขากำลังกำมือแน่นเสียจนผ้าห่มในมือยับยู่ไปหมด


     ถอนหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า รอบตัวมีเพียงความมืดและแสงสว่างรางๆจากแสงจันทร์ที่ไม่อาจส่องผ่านผ้าม่านและหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ ทั้งที่ในยามปกติ ควมมมืด ความเงียบและห้องของตัวเองในยามที่ลืมตาตื่นมาจากฝันคือสิ่งที่เขาหวาดหวั่นนักหนา แต่ยามนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรชายหนุ่มจึงได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ได้รู้สึกถึงความกลัวนั้น ที่ตนสัมผัสได้มีเพียงความคิดที่วนเวียนอยู่ในความฝันเท่านั้นเอง


    ความฝันที่เคยมีความสุข..

    ความฝันแสนหวานที่เคยมาแทนฝันร้าย...จุดจบของมันคือแบบนี้น่ะหรือ?


      ขมวดคิ้วน้อยๆ เอนีลลุกขึ้นแล้วเอนตัวพิงหัวเตียงเงียบๆ  ครุ่นคิดถึงฉากฆาตกรรมที่เพิ่งผ่านพ้น หลังจากฉากพบปะอันแสนหวานในฝันครั้งแล้วครั้งเล่า จุดจบของตัวเขาหรือชายที่อยู่ในฝันผู้นั้น คือถูกชายหนุ่มปริศนาที่ตนรอคอยคร่าชีวิตอย่างรวดเร็วเสียจนแทบไม่รู้ตัว


     หัวอกวูบโหวง จะโศกเศร้าหรือก็เปล่า..อาจจะเพราะในความฝัน คนผู้นั้นยังคงตายไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข แต่เมื่อลองเรียบเรียง นึกถึงความฝันแสนสุขที่เขาเคยพอใจกับมันแล้ว ตอบจบที่เป็นแบบนี้ทำให้หัวใจแปลบวูบอย่างประหลาด


      ทั้งที่มันเป็นแค่ความฝัน

     เขาอ่อนไหวกับความฝันทั้งหลายเกินไปแล้ว...


   ถอนหายใจซ้ำๆ ควานมือเปะปะตามองหานาฬิกาเพราะอยากรู้เวลาแต่ก็ไม่พบ เอนีลลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง แม้เขาจะรู้ว่านี่เป็นเวลากลางคืนและการมาเปิดหน้าต่างดูคงไม่ทำให้รู้เวลามากขึ้น แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้เอื้อมมือไปถอดสลัก ดึงผ้าม่านสีครีมให้เปิดออกและผลักบานหน้าต่างให้เปิดกว้าง รับเอาลมเย็นๆเจือความหนาวเหน้บของต้นเดือนกรกฏาคมเข้ามาในห้อง


     สายลมหนาวพรั่งพรูมาใส่ใบหน้า เย็นเสียจนอดนึกไปถึงเรื่องราวในความฝันนั้นไม่ได้ เอนีลวางมือลงบนขอบหน้าต่าง มองแสงจันทร์สะท้อนภาพปลายนิ้วและฝ่ามือของตนเอง ขณะที่ก้มลงครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ


    หลังจากงวยงงสงสัยมานาน..เขาก็พบว่าสุสานในความฝัน คือสุสานที่ตนพบเจอชายหนุ่มแปลกๆคนนั้นกับไคลน์ไม่ผิดแน่  นี่เป็นอาการจับเอาสิ่งที่พบเจอในยามกลางวันมาเรียงต่อกันเป็นความฝันงั้นหรือ? ทั้งกาตัวนั้น ทั้งชายหนุ่มผู้นั้นเป็นสิ่งที่ตนได้เจอไม่ผิดแน่


     แปลกไปบ้างก็มีเพียงสภาพของสุสานและต้นไม้สูงใหญ่ต้นนั้น ในความฝัน มันคือสุสานที่ยังคงได้รับการดูแลอย่างดี ค้นไม้สูงใหญ่ไม่ได้เหลือเพียงตอไม้แห้งโกร๋นไร้ใบ และช่วงเวลา ที่ดูจะเก่ากว่าในยามนี้ไม่น้อย


    ...เหมือนอยู่ในช่วงยุคกลาง ไม่ก็ในละครหรือนิยายย้อนยุค

    นี่อ่านหนังสือนิยายมากไปหรือไร



    คิดกับตัวเองอย่างขบขัน ถ้าชอบอ่านอะไรแบบนั้นจริงจะฝันถึงมันก็ไม่แปลกหรอก เสียแต่เอนีลอ่านแต่ตำราแพทย์ และไม่มีความสนใจใดๆเกี่ยวกับเรื่องราวอารยธรรมโบราณหรือนวนิยายยุคศักดินาแต่อย่างใด แล้วทำไมถึงได้ฝันถึงกันเล่า


      ความฝันนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไรนะ...


   ขมวดคิ้วน้อยๆ นับแต่ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน มาจนฝันดีๆที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนถึงจุดจบของฝันดีในคำคืนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเกิดขึ้นจากอะไร มีสิ่งใดเชื่อมโยงกัน มีอะไรแฝงอยู่ในนั้น รวมทั้ง...นี่เป็นอาการบ้าบอไปเองอีกหรือไม่


    ถึงไคลน์จะบอกว่าคนที่เขาเจอนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกความฝันของเขาจะเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้น หรือเป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด


     แกว๊ก


       เสียงร้องที่คุ้นหูทำให้ละออกจากภวังค์ เอนีลสะดุ้ง ตวัดสายตาหาที่มาของเสียง เขาพบเจอเจ้าการาเวนตัวใหญ่ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองมาจากหน้าต่างของอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่พัก นายแพทย์หนุ่มเม้มปากแน่น ความหวาดกลัวบอกให้เขารีบหนี ชายหนุ่มลนลานเอื้อมมือไปจับบานหน้าต่างแล้วงับปิด ทว่าก่อนจะสำเร็จ เสียงกระพืบปีกก็ดังผ่านหูอย่างแผ่วเบา


     "ฝันดีไหม?"


    ".............." ตัวเย็นวาบ เอนีลแข็งทื่อไปทั้งกายเมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือขาวซีดซึ่งวางอยู่บนหัวไหล่ เสียงกระซิบเย็นๆแฝงนัยยะยั่วเย้าดังขึ้นพร้อมกับสีดำที่ปรากฏเบื้องหน้า ฝ่าเท้าที่เยียบลงบนขอบหน้าต่าง เจ้าของเส้นผมสีดำยาว ดวงตาสีแดงก่ำจ้องกลับมาในระยะประชิด เรียวปากบางนั้นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้หนาวสันหลังวาบ


    ผงะไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว พยายามสลัดเอามือที่วางอยู่บนไหล่ออกแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่หลุด เอนีลถอยกรูด จ้องมองคนที่เข้ามายืนในห้องและยังคงแตะไหล่ตัวเองอย่างร้อนรน แววตาสั่นระริกด้วยความกลัวและความหวาดหวั่น อยากจะอ้าปากร้องเรียกให้ช่วย แต่กลับไร้เรี่ยวแรงใดๆ


      "ตกใจทำไม เย็นนี้ยังกล้ารับของจ้าข้าไปเลยนี่" คำพูดนั้นทำให้ชะงัก เอนีลเงยหน้าขึ้นมองคนพูด นึกไม่ถึงเรื่องราวที่ผ่านผัน ในตอนเย็นของวันนี้เขารับของจากอีกฝ่ายอย่างที่ว่าก็จริง..เอื้อมมือไปรับขนนกสีดำนั้น แต่ทว่านั่นมันคือความจริงหรือ ไม่ใช่ความฝันหรอกรึ ก็ในเมื่อไม่มีอะไรอยู่ในมือ และเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงของตัวเองไม่ใช่รึไงกัน


     "...โง่สิ้นดี" น้ำเสียงเรียบเย็นนั้นทำให้หนาววูบ เอนีลกลืนน้ำลายลงช้าๆ เนื้อตัวพลันสั่นระริกอีกคราเมื่อนึกว่าตนเองต้องพบเจอกับอะไรบ้าง ในความฝันที่เขามีทั้งสองเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทุกตอนจบของมันคือความตายอันทรมารของตนทั้งสิ้น


     สภาพหวาดกลัวและลนลานเสียจนทำอะไรไม่ถูกของตนเหมือนจะถูกใจชายหนุ่มเบื้องหน้านัก เรียวปากซีดขาวนั้นแสยะขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดวงตาสีแดงเข้มหรี่ลงเล็กน้อยก่อนที่ขนนกสีดำอีกอันจะปรากฏอยู่ในมือ


     "อยากรู้ไหมล่ะ...ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก"


    "................" สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ต่างจากของที่เขารับมาเมื่อเย็นวันนี้ หากนี่คือต้นตอของันร้ายเขาก็ไม่ควรจะรับ หากมันคือสิ่งที่มาจากคนผู้นี้เขาไม่ควรจะเอื้อมมือไปหา ทว่าบางสิ่งกลับกระซิบให้เอื้อมมือออกไปและรับมันมาอยู่ในมือแต่โดยดี


   ...สิ่งที่เรียกว่าความอยากรู้ สัญชาตญาณที่ทำให้เอนีลนึกหงุดหงิดเคืองใจกับตัวเองไม่หาย ทำให้เขาเอื้อมมือไปรับมันมาไว้กับตัว แม้จะรู้ดีว่าต้องพบเจอกับความฝันเหล่านั้นอีกครา


     แต่หากไม่รับไว้...หากต้องจมอยู่กับความงวยงงและไม่รู้สิ่งใด ชายหนุ่มก็ไม่อาจทนได้เช่นกัน


     "เป็นแบบนี้อยู่เสมอเลยนะ" เสียงหัวเราะเเผ่วเบานั่นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เอนีลจ้องมองชายหนุ่มที่ผละออกห่างจากตนไม่ไหล เงาร่างสีดำสนิทนั้นจ้องมองตรงมาขณะที่อีกาตัวใหญ่เกาะอยู่บนไหล่ เจ้าของเส้นผมสีดำสนิทยาวเหยีดนั้นแย้มรอยยิ้มเป็นปริศนา แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทำให้เอนีลได้เห็น ว่าคนตรงหน้านั้นไม่มีแม้กระทั่งเงาเสียด้วยซ้ำ


    ...ไม่มีเงา ไม่มี...แม้กระทั่งปลายเท้า ดูราวกับร่างที่ผุดขึ้นมาจากความมืดมนอนธกาลเพื่อหลอกหลอนเขาอย่างแท้จริง


     "เจ้าผู้ซึ่งพ่ายแพ้กับตนเองร่ำไป....สาสมแล้วจริงๆ"


     เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับเสียงของปีกที่สะบัดโบกบินจากไปของการาเวนตัวนั้น มันหายไปพร้อมกับชายหนุ่มปริศนาอย่างรวดเร็ว ไม่เหลือสิ่งใดไว้นอกจากสายลมของฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกจับใจ


     เอนีลตัวสั่นระริก ถ้อยคำที่ราวกับคำสาปนั้นดังก้องอยู่ในสมอง ชายหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้นห้องราวกับไร้เรี่ยวแรง ดวงตาสีฟ้าสดเบิกค้างจ้องมองเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย รู้สึกราวกับว่าถ้อยคำนั้นเป็นการเอ่ยปากตัดสินชะตากรรมของตนไปแล้วจริงๆ


     แอ๊ด..


  "เอนีล ..."


 "..........."


 "เอนีล ..นอนไม่หลับเหรอครับ?"


  เฮือก!


     ฝ่ามือที่วางบนไหล่ทำให้ร่างสะดุ้งเฮือก เอนีลละออกจากหวังค์ หันไปมองผู้พูดอย่างรวดเร็วราวกับกระตุก สมองกำลังคิดหาคำอธิบายหรือคำบอกกว่าใดต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งการมานั่งทรุดตัวบนพื้นและถือของแปลกๆอยู่ในมือ ทว่าชายหนุ่มกลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างเหมือนคนนอนไม่หลับธรรมดา และไม่มีอะไรอยู่ในมือสักอย่าง


    ....มันเกิดอะไรขึ้น นี่เป้นความฝันอีกแล้วเหรอ หรือเขากำลังทำอะไรโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว


     ถามตนเองอย่างสับสนขระที่ริมฝีปากก็ฉีกยิ้มโง่ๆมอบให้ไคลน์ สไตร์คเซอร์ผู้ที่เดินมาอาอย่างฉงน เจ้าของฝ่ามืออุ่นๆมองเขาอย่างงวยงงไม่น้อย แม้จะยิ้มกับรอยยิ้มขัดตาทัพที่เขามอบให้ เอนีลกลืนน้ำลายลงช้าๆ วางมือลงบนขอบหน้าต่างอีกครั้งและพยายามทำท่าทีให้สบายๆทั้งที่สมองกำลังมึนงงและสับสนอย่างหนัก


     "ผม...นอนไม่หลับน่ะ ก็เลย" หัวเราะเจื่อน  พลางเสมองออกไปยังเบืองนอก กวาดหาอย่างไม่ได้ตั้งใจถึงเจ้าของขนนกสีดำผู้นั้น  แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดนอกจากความเงียบปรากฏ นายแพทย์หนุ่มหันกลับมาอีกครั้ง เขามองเห็นหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของไคลน์วูบหนึ่ง


    "มีอะไรรึเปล่าครับ?" เอ่ยปากถาม ไม่ได้ลืมว่าในยามนี้คือเวลากลางดึกและพวกเขาควรจะหลับอยู่ในห้องของตนเอง แม้ว่าเอนีลจะนอนไม่หลับ ไคลน์ก็ไม่จำเป็นต้องนอนไม่หลับด้วย และไม่จำเป็นจะต้องบุกรุกห้องเขายามวิกาลเช่นกัน


    "..เปล่าครับ พอดีผมได้ยินเสียงกุกกัก...." คำตอบนั้นทำให้ผู้ฟังทำได้เพียงยิ้มเจื่อน เอนีลไม่อาจจะเถียงอะไรได้หากพูดถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น จะให้ปกปิดคงเป้นไปไม่ได้ ตัวเขาก็เกือบจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่แล้วด้วยซ้ำ


    "ขอโทษด้วยนะครับ ต้องทำให้คุณตื่นขึ้นมาด้วยเลย" ยิ้มเจื่อนๆให้อีกฝ่ายอย่างขอลุแก่โทา เอนีลทั้งกล่าวขอโทษคนตรงหน้าและก่นด่าตัวเอง ถ้าเขาไม่นึกคึกอยากรู้เรื่องบ้าๆบอๆก็ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้แล้วแท้ๆ


    "ไม่เป็นไรหรอกครับ การดูแลคุณเป็นหน้าที่ของผม" ริมฝีปากแย้มยิ้ม ทว่าแววตาของผู้พูดฉายแววใคร่รู้ เอนีลมองดวงตาที่กวาดไปรอบๆบริเวณของอีกฝ่าย ไคลน์ส่งตะเกียงในมือให้เขาถือ ขณะที่เจ้าตัวเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างเงียบๆ


   "ขอโทษนะครับ..แต่ผมว่าปิดหน้าต่างดีกว่า ช่วงนี้ขโมยชุกชุม มันอันตราย" คำอธิบายนั้นทำให้ผู้คิดจะเอ่ยปากค้างเงียบเสีย เอนีลทำได้เพียงยิ้มรับ มองดูไคลน์ปิดหน้าต่าง ลงกลอนและปิดผ่านม่านเงียบๆ


    เมื่อไม่มีแสงสว่างจากหน้าต่างบานใหญ่ ภายในห้องก็เหลือเพียงแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันในมือ เอนีลยื่นมันกลับไปให้คนที่อุตส่าห์ตื่นมากลางดึกเพื่อดูแลความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มขอลุแก่โทษ ยิ้มแม้ในหัวใจจะยังมีแต่ความงวยงงสงสัยกับเหตุการณ์ก่อนหน้าและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


     "ผมทำให้คุณลำบากตื่นมาเสียกลางดึก ขอโทษจริงๆ" ยิ้มเจื่อนให้ไคลน์ อีกฝ่ายยิ้มตอบรับเขาเงียบๆแล้วกวาดตามองไปรอบๆห้อง สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนคลายลงแล้วหันมายิ้มตอบให้เขาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


    "ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นไร " ส่ายหน้าช้าๆ พลางทำท่าเดินไปยังประตูเพราะตนอยู่นานแล้ว โดยมีผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินตามหลังมาส่งด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ


    "..ถ้าอย่างนั้น ราตรีสวัสดิ์อีกครั้งนะครับ" เอนีลเอ่ยปากบอกผู้ที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง


     ฝ่าเท้าของไคลน์ชะงักกึก ชายหนุ่มยืนนิ่งครู่หนึ่งซึ่งทำให้คนมองเริ่มงง หากยังไม่ทันจะอ้าปากถาม ร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวกลับมาประจัญหน้าแล้วจ้องมองกลับดวงตาสีฟ้าสดใสอย่างจริงจัง


    "เอนีล"


   "ครับ"


    "คุณเชื่อผมไหม?" คำถามแปลกหูนั้นทำให้ผู้ฟังเลิกคิ้ว เอนีลมีท่าทีงวยงง เขาจ้องมองคนที่เอ่ยปากบอกให้เชื่อมั่นในยามเย็น คนที่บัดนี้มาเอ่ยถามอีกครั้ง ด้วยสีหน้าอัดอั้นบางสิ่งเหมือนมีอะไรอยู่ในใจกระนั้น


   "....ครับ เชื่อ " แม้จะงง แต่เขาก็เอ่ยปากรับ นายแพทย์หนุ่มคลี่ยิ้มบางแล้วเอ่ยออกไป เชื่อออย่างยิ่งว่าความจริงใจในสีหน้าและแววตาของเขาจะทำให้ไคลน์รับรู้และสบายใจขึ้นได้ไม่ยาก


    "ผมเชื่อมั่นในตัวคุณ"


    "ขอบคุณนะครับ" ฝ่ามือถูกบีบเบาๆ ไคลน์สบตาเขาอย่างขอบคุณก่อนจะสุดหายใจลึก "ถ้าคุณเชื่อผม ทำตามที่ผมบอกสักอย่างได้รึเปล่า"


    "ทำอะไรเหรอครับ?" เอนีลเลิกคิ้วสงสัย


    "อย่าเปิดหน้าต่างบานนั้นอีกเลยนะครับ"


     ".............."



         คำพูดนั้นทำให้เอนีลเงียบกริบ นายแพทย์หนุ่มจ้องมองสบตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองกลับมาอย่างจดจ่อ ดวงตาคู่นั้นที่ทั้งหวาน อ่อนโยน และเต้มไปด้วยความเข้มแข็งบัดนี้แฝงไปด้วยนัยยะอ้อนวอนและเรียกร้องราวกับสัตว์เลี้ยงตัวโตกำลังอ้อนขอเจ้านาย อีกทั้งฝ่ามือทั้งสองข้างที่กุมมือเขาไว้แล้วบีบแน่นๆ บ่งชัดว่าคำตอบ..ของคำขอที่ดูเหมือนไร้สาระนี้สำคัญในสายตาอีกฝ่ายแน่นอน


     "ได้สิครับ ผมจะไม่เปิดมันอีก" นิ่งไปอึดใจ เอนีลก็ตกปากรับคำ แม้จะมีแต่ความงวยงงสงสัยที่มาของคำขอ ทว่าเขาก็ยังเอ่ยปากตกลงเมื่อคนขอคือคนๆนี้ นายแพทย์หนุ่มมองเห็นดวงตาคู่นั้นพราวระยับด้วยความยินดีทันที


      "ขอบคุณมาก" ถูกรวบไปกอดในอ้อมแขนหนา ใบหน้าคมซุกอยู่กับเส้นผมสีทองอร่ามพลางกระซิบขอบคุณอย่างจริงจัง ท่าทีนั้นทำให้ผู้ถูกกอดหน้าแดงวาบ เอนีลรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นโครมครามของตน ยังมิวาย คนกอดยังทิ้งท้ายด้วยจูบหนักๆที่หน้าปากเสียอีก


     "ราตรีสวัสดิ์ครับ เอนีล"


         เอ่ยส่งท้ายแล้วไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็งับประตูบานนั้น ทิ้งให้คนถูกกอดเป็นรอบที่สองของวันยืนหน้าร้อนฉ่า เอนีลพาตัวเองมานอนบนเตียงในสภาพหัวใจเต้นระรัวแรง ทั้งความกลัวปะปนกับความขัดเขินเสียจนข่มตาหลับอย่างยากลำบาก


    แม้จะยังสงสัยเกี่ยวกับคำขอแปลกๆ ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยังงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งก่อนหน้าและตอนนี้ แต่ในที่สุดความง่วงงุนก็เอาชนะไปได้ในที่สุด นายแพทย์หนุ่มหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยท่าทีผ่อนคลาย ขณะที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ยืนถือตะเกียงน้ำมันอยู่นอกห้อง ใบหน้าของชายหนุ่มก้มต่ำไม่แสดงอารมณ์ ขณะที่ในมือมีขนนกสีดำหลายอันถูกแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า



++++++++++++++++++


     คืนนี้แอบระทึกอึกอึกอึก //แอคโค่ว
ตอนจบของฝันหวานๆคืออาการม่องเท่งซะงั้น

ส่วนเอนีลเจอกับพ่อหนุ่มพกกา(?)แล้ว แถมนำพาด้วยความอยากรู้อีกล่ะ ส่วนไคลน์ก็ดมกลิ่นตามมาอย่างรวดเร็ว ฮ่าาา


หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 12 พบหน้า + Lost 13 Red rose * UP.07/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 07-06-2014 23:07:34
Lost 13 Red Rose


     หินสีดำทะมึนก่อร่างกันเป็นห้องที่มืดมิด  เปลวเทียนสว่างจากด้านบนสะท้อนให้เห็นอัญมณีมากมายเป็นประกายพราวด้านหลัง เสียงหยดน้ำตกกระทบแผ่นหินดังสะท้อนขึ้นภายในความเงียบงัน สลับกับเสียงครางของสายลมที่ลอดผ่านหุบผาฟังคล้ายเสียงหวีดร้องของปีศาจจากก้นนรกานต์


     ร่างในชุดสีดำยาวยืนหันหลังพลางพินิจจ้องมองบางสิ่งที่เกาะอยู่บนหลังมือ การาเวนตัวใหญ่ดวงตาสีแดงก่ำขยับปีกพลางขยับเกาะแล้วเสียดสีกายแนบชิดอย่างรักใคร่ เสียงร้องของมันดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่มันจะโผบินออกไปเกาะคอนที่แขวนไว้ด้านบนเมื่อแว่วเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา


     "มีอะไรรึ?" ถามพลางทรุดกายลงนั่ง นิ้วเรียวขาวซีดประดับทับทิมแดงก่ำประสานเข้าหากัน พลางจ้องมองผุ็ที่อยู่เบื้องหน้า


     "...ข้ามีเรื่องอยากถาม" วาจานั้นทำให้หัวคิ้วเลิกขึ้นสูง ผู้ถูกถามมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย หากก็แย้มยิ้ม


     "พูดมา"


    ".....สิ่งที่ต้องการ" น้ำเสียงเย็นเรียบเอ่ยขึ้นมา พร้อมดวงตาสีแดงเข้มตวัดมองสบอย่างเงียบเชียบ "หากมีสิ่งที่ต้องการ ทำอย่างไรจึงจะได้มันมา?"


    ".....เหตุใดเจ้าจึงไม่คว้า?" คิ้วเรียวเลิกขึ้นราวกับฉงน


   "........." ผู้ถูกถามนิ่งงันอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ "เกิน...เอื้อม"


       ครานี้ดวงตาของผู้พูดเพ่งพินิจอีกครั้งอย่างตั้งใจ เส้นผมสีแดงเข้มเกือบดำระใบหน้าของผู้พูดจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าอันก้มต่ำ ผิวซีดขาวและดวงตาแดงก่ำคู่นั้นไหวระริกคล้ายเปลวเทียนยามต้องแสงไฟ..น่ากังวลหากประหวัดนึกถึงความตั้งใจนั้น หากแต่ก็น่ายินดีเช่นกัน


...หัวใจ

ของเจ้าเต้นขึ้นมาแล้วงั้นหรือ?


     "ไม่มีสิ่งใดเกินเอื้อม" ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขยับกายเดินไปยังการาเวนสีดำที่มันร้องเรียกเบาๆราวกับรักใคร่ ดวงตาสีแดงก่ำเป้นประกายลึกซึ้ง ครู่หนึ่บปรากฏร่องรอยความรู้สึกเบาบาง ก่อนจะพลันจางไปเมื่อดวงตากระพริบปิดลง


    "หากคว้าไม่ได้ ก็จงทำลายมันเสียสิ" ริมฝีปากบางพรายยิ้ม "อาโลอิส"


...คำตอบนั้นทำให้ดวงตาสีโลหิตเป็นประกายวาบ



ก๊อกๆ


     เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเลือนรางในอนุสติก่อนจะค่อยเเจ่มชัดขึ้น ดวงตาสีท้องฟ้าปรือขึ้นอย่างงวยงง จมอยู่กับความง่วงงุนและเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำรุนแรงเสียจนต้องยกมือกุมอก


    "คุณชาย ถึงเวลาทานอาหารเช้าแล้วครับ" เสียงบอกจากด้านนอกทำให้ผู้ฟังกระพริบตาถี่ๆอีกครั้ง เอนีลเงยหน้าขึ้นมอง พลันก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าบัดนี้เป็นเวลาสาย แสงอาทิตย์สอดเข้ามาภายในห้องทำให้สว่างขึ้นอย่างมาก และทำให้รู้เช่นกันว่าในยามที่ตนจมจ่ออยู่กับความฝัน โลกเบื้องนอกยังคงดำเนินไป


     "..ครับ..ขอเวลาผมสักครู่" เอ่ยตอบไปพลางป่ายผ้าห่มลงจากตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำ นายแพทย์หนุ่มรองน้ำอุ่นมาล้างหน้าบนอ่างทองเหลืองขณะที่จ้องมองก๊อกน้ำสีเดียวกันกับอ่าง ก็ประหวัดไพล่คิดไปถึงความฝันนั้นเงียบๆ


   ...ที่นั่นที่ไหน

เขาไม่ทราบ

คนพวกนั้นคือใคร

เขาไม่รู้

เอนีลจำได้เพียงบทสนทนาแปลกประหลาด การาเวนสีดำ และชายผู้มีดวงตาสีแดงก่ำคนนั้น

...กับ...อาโลอิส?


    ก้มลงล้างหน้า ลูบน้ำอุ่นให้สมองปลอดโปร่งขณะที่ความคิดยังจมจ่ออยู่กับความฝันของตนไม่หาย เอนีลนึกฉงนอย่างหนึ่ง..เพราะชายหนุ่มที่เขาพบเจอนั้น บัดนี้เมื่อมองเห็นในความฝัน เคียงคู่กับ"อาโลอิส"ผู้นั้น ตนจึงทราบว่าไม่ใช่คนๆเดียวกัน


    ผมสีดำสนิท ชุดสีดำ ดวงตาสีแดงก่ำ การาเวนตัวใหญ่ที่ส่งเสียงร้องชวนขวัญผวา นั่นคือสิ่งที่เขาจดจำได้ ทว่าบัดนี้ ในความฝัน เมื่อเห็นชายผู้ถูกเรียกว่าอโลอิสผู้นั้น ชายหนุ่มจึงได้ตระหนักถึงความแตกต่าง ทั้งสีผม รูปร่าง แววตาและลักษณะของคนสองคน ที่แท้ประพิมประพายคล้ายเหมือน แต่ก็ยังเป็นคนละคนกัน


   คนที่เขาได้พบเจอในยามค่ำคืนนั้น...ไม่ใช่อาโลอิส


   ไม่ใช่ปีศาจปีกสีดำอันบ้าคลั่งที่เคยฉีกทึ้งตนอย่างโหดร้ายในความฝันอันแสนน่ากลัว


  "ใช่แล้ว..."


เฮือก!!


    ขณะที่จดจ่ออยู่กับความคิดของตนและกำลังเช็ดหน้าตัวเอง เพียงเงยหน้ามาก็พลันสะดุ้งเฮือก เอนีลเบิกตากว้างจ้องมองกระจกที่สะท้อนเงาของตนเองซึ่งมีใบหน้าตกตะลึง..และ ในนั้นยังมีผู้อื่นอยู่อีกด้วย


    ชายหนุ่มผมดำยาว ดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นยืนจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก ท่าทีพึงใจ ทว่าอย่างไรก็แสนจะน่ากลัว การปรากฏตัวเช่นนี้ มิไยต้องถามถึงความปกติใด และแน่นอนว่าเมื่อหันหลังกลับไป ก็จะไม่มีร่างนั้นอยู่ด้านหลังแน่ๆ


      นายแพทย์หนุ่มเบิกตากว้างเบิ่งมองเงาในกระจกซึ่งสะท้อนภาพตนและชายผู้นั้น ริมฝีปากพะงาบๆของเขาคงน่าขันพอดูชายผู้นั้นจึงหัวเราะ...หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก


     "ข้าไม่ใช่มัน" เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "แต่ก็เกลียดชังเจ้าได้ไม่แพ้กับมันหรอก"


ก๊อกๆ


   เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้นอีกคำรบทำให้เอนีลสะดุ้งเฮือก และเพียงหันขวับไปมองประตู กลับมาอีกครั้งภาพในกระจกนั้นก็หายไปแล้ว เอนีลกลืนน้ำลายลงช้าๆ กลับตาลงขณะที่สูดหายใจลึก


   "มีอะไรเหรอครับลุงฟาเอล"


   "..เมอร์ซิเยอร์ไคลน์บอกให้ผมมาดู เผื่อคุณหนูจะไม่สบาย" เสียงตอบนั้นทำให้เอนีลยิ้ม อุ่นวาบขึ้นมาในใจอย่างเงียบๆเมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อผู้มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสดใส


    "ผมไม่เป็นไรครับ..แค่ตื่นสายเล็กน้อยเอง" เอนีลเอ่ยตอบยิ้มๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วปลดล็อด ตัดสินใจปักเรื่องราวประหลาดให้พ้นออกไปจากสมองก่อน มิฉะนั้นตัวเขาคงเอาแต่หมกมุ่นจนใกล้บ้าเสียแน่ๆ


   กริ๊ก...


     เสียงลูกบิดประตูครางเบาๆ หากแต่ครางนี้มันดูก้องในหูอย่างประหลาก เอนีเลิกคิ้วน้อยๆ ทว่าชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไร มือข้างขึ้นกำผ้าพันคอไว้ขณะที่ดันประตูห้องน้ำเปิดออก เพื่อจะแต่งตัวและร่วมรับประทานอาหารกับผู้คนที่ตนแสนคุ้นเคยเบื้องนอก และ..ได้พบเจอคนที่เขารู้สึกอบอุ่นยามเมื่ออยู่ใกล้ผู้นั้น


    "...ตื่นสายแบบนี้ไม่ดีนะครับ..." เสียงบ่นของพ่อบ้านชราดังขึ้นม้จะแง้มประตูได้เพียงน้อย "มันแต่ฝันอยู่รึยังไง..จะอย่างไรความฝันมันก็เป้นเพียงความฝัน ความจริงที่อยู่ตรงหน้าสิ จึงจะชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด..."


    "..............." ผ้าขนหนูในมือหล่นร่วงลงจากมือ  มืออีกข้างหลุดออกจากประตูลูกบิดเงียบๆ เอนีลเบิกตากว้างจ้องมองภาพเบื้องหน้า ขณะที่พ่อหน้าเฒ่าของตนเงยหน้าขึ้นช้าๆ


 ...ร่างของฟาเอลยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งการแต่งตัว รูปร่าง ลักษระท่าทาง ไม่ว่าอย่างไรนี่ก้คือฟาเอลไม่ผิดแน่ ทว่า..ใบหน้าที่ควรเต็มไปด้วยความชราภาพและเหี่ยวย่นตามวัยกลับเนียนกริบ ผิวหน้าแต่งตึงไร้รอยย่นใด  ริมฝีปากบางแย้มเปแนรอยยิ้มหวาน ยิ้ม...ด้วยใบหน้าของชายในชุดดำที่เคยอยู่ในกระจกเมื่อครู่..


    "ลุงฟาเอล!!" เสียงที่ใกล้เคียงกับคำว่ากรีดร้องดังขึ้นทันทีที่มองเห็นภาพเบื้องหน้า ร่างของฟาเอลที่มีใบหน้าของคนๆนั้นทำให้เอนีลถึงกับตัวสั่น นายแพทย์หนุ่มรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่เข้ามาจู่โจมหัวใจ พ่อบ้านของเขาเป็นอะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครมาทำอะไรลุงฟาเอลของเขา!!


     "ปล่อย...ออกไป ออกไปจากตัวเขาเดี๋ยวนี้!!" เอนีลร้องลั่นขณะที่ใบหน้าที่ไม่ใช่ลุงฟาเอลของเขานั้นกำลังอ้าปากเปล่งเสียงหัวเราะชวนสยองขวัญ นายแพทย์หนุ่มไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีทางเลยที่ลุงฟาเอลจะเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหากฟาเอลไม่มาหาเขา ไม่มาเรียกเขาไว้


      "ไม่.." เสียงหัวเราะนั้นยังคงดังขึ้นพร้อมกับภาพเบื้องหน้าที่เปลี่ยนไป เอนีลตัวเย็นวาบ ชายหนุ่มหันไปมองเบื้องหลัง พลันพบว่าประตูห้องน้ำที่เคยอยู่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าวกลับห่างออกไปโขโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทิวทัศน์รอบกายกำลังแปรเปลี่ยนไป ไม่ใช่ห้องนอนอันเคยคุ้น ไม่ใช่ห้องน้ำที่เคยยืนอยู่ ไม่มีตู้หนังสือ เตียง ผ้าห่ม หมอน นาฬิกา หรือแม้แต่หน้าต่างบานใหญ่ ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปรวดเร็วเสียจนขาตั้งตัวไม่ทัน


     ที่นี่คือที่ไหน ชายหนุ่มไม่อาจจะรู้ ทว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา บ้านของเขา ไม่ใช่ปารีสแน่ๆ ไม่ใช่..แต่กลับเหมือนภาพที่ปรากฏอยู่ในฝันของเขาทุกๆอย่าง!!   


      "ที่นี่มันที่ไหน..." ริมฝีปากอ้าค้าง ไม่อาจเอ่ยถามสิ่งใดออกมาได้นอกจากรำพึงด้วยความฉงน เอนีลมองพื้นใต้ฝ่าเท้าที่เคยเป็นพรมนุ่มเท้าและปูหินอ่อนสีนวลตา ซึ่งบัดนี้มันเป็นผืนดินสีดำสนิทแตกระแหงคล้ายรกร้างมานานปี เมื่อมองออกไป รอบกายไม่มีใครนอกจากลุงฟาเอลที่มีใบหน้าของคนผู้นั้นซึ่งกำลังแสยะยิ้มราวกับสนุกสนานมาให้


     รอบกายที่เคยเป็นห้องกว้างบัดนี้แปรเป็นผนังสีดำ..หินสีดำมะเมื่อมในฝันนั้นดูน่ากลัวกว่าที่เคยพบเจอนับร้อยเท่าพันทวีเมื่อบัดนี้มันอยู่ต่อหน้า ห้องที่มีลักษณะเหมือนโถงใหญ่ในถ้ำกว้างนับร้อยพันปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ มันก่อร่างเป็นทางเดินสีโลหิต มีคบเพลิงประดับเรียงรายตามทางไปจนสุดทางออกที่เป็นสีขาวไกลลิบตา


   ฝ่าเท้าที่เคยเหยียบผืนดินแห้งแล้งไร้สิ่งใดบัดนี้รู้สึกถึงความเปียกชื้น เอนีลก้มลงไปมอง พลันตัวสั่นระริกเมื่อสัมผัสได้ว่ามันคือเลือด เลือดสีเข้มเจิ่งนองอาบย้อยเบื้องล่างให้กลายเป็นสีแดงฉาน..และ ไม่ไกลจากนั้น..มีเสียงกรีดร้องอันคุ้นหูแว่วมาแผ่วเบา


    "คุณหนู..."ถ้อยคำที่ลุงฟาเอลเคยเรียกขาน บัดนี้ช่างแสนน่าคลื่นเหียนสะอิดสะเอียนเมื่อออกมาจากปากของชายผู้นั้น เอนีลเงยหน้าขึ้นมองด้วยริมฝีปากสั้นระริก รู้สึกปวดร้าวเสียจนแทบร่ำไห้เมื่อมองดูสภาพที่แปลกประหลาดของพ่อบ้านตน


     "นั่นเสียงอะไร...อยากรู้จริง ไปดูกันไหม..ไปกันไหม.." น้ำเสียงระริกระรี้เชื้อเชิญราวกับมีความสุขนักหนา เอนีลส่ายฟน้า ก้าวถอยหลังทันทีเมื่อได้ยินคำชวนนั้น ขณะที่หัวใจเต้นแกว่งด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง สังหรณ์ร้ายกำลังกรีดร้องและบอกให้เขารู้ว่าไม่ควรจะเข้าไปหาเสียงนั้นเป็นอันขาด


เพราะนั่นมันคือเสียงเขา...เสียงกรีดร้องของเขา!!


     "ไม่ไปเหรอ น่าเสียดายจริง..." ลำคอที่เหีย่วย่นขยับไปมาเสียจนได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ "เสียใจ จนหัวใจแทบสลาย..คุณหนุ อยากดูไหม..หัวใจข้าจะสลาย..."


     น้ำเสียงเสณ้าสร้อยเมหือนจะร่ำไห้นั้นดังขึ้นพร้อมกับปลายนิ้วอันเหี่ยวย่นนั้นแปรเป็นกรงเล็บคมกริบ เล็บสีดำข่วนจิกลำคอของตนเบาๆจนเลือดสีเข้มเริ่มซึมชื้น และค่อยๆฉีกเสื้อสีขาวของชายชราไปด้วย เลือกหยดไหลลงตามลำคอ ขณะที่ปลายนิ้วนั้นพลันแตะลงบนอกซ้าย..


     "ไป!!" เอนีลส่งเสียงกรีดร้องทันทีที่มองเห็นเล็บคมๆนั่นใกล้จะสัมผัสแผ่นอกผอมบางของพ่อบ้านเฒ่า แม้ฟาเอลจะเผลี่ยนไป แม้จะดูแปลกประหลาด ทว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก้จะไม่ยอมให้เจ้าสิ่งนี้ทำร้ายฟาเอลเป็นอันขาด!!


    "..ผมไป..ให้ผมไปลุงฟาเอล พาผมไปที!!" ชายหนุ่มพูดอย่างร้อนรน สีหน้คล้ายจะร่ำไห้นั่นทำให้ผู้ฟังยิ้ม มือข้างนั้นแปรเป็นฝ่ามือเหี่ยวย่นแต่อ่อนนุ่มและแสนอารีนั้น  ฟาเอลเข้ามาฟาเขา จับมือ และพาเดินนำไปอย่างอ่อนโยน พลางส่งเสียงหัวเราะไม่ขาดปาก


    เอนีลเม้มปากแน่น สีหน้าของนายแพทย์หนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัวและทรมาร หัวใจของเขาเต้นหนักเสียจนได้ยินอยู่ข้างหู ชายหนุ่มก้าวขาไปตามแรงดึงนั้น ฝ่าเท้าสั่นระริกสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่มากขึ้นเสียจนชายกางเกงของเขาซับสีแดงก่ำ กลิ่่นคาวเลือนอวลหนักเสียจนน่าเวียนหัว ขระที่เสียงกรีดร้อง...เสียงหวีดร้องร่ำไห้ของตนเองดังขึ้นชวนให้สะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย


 "ได้โปรด...ได้โปรด.."


"ทำไม เพราะอะไร"


"ได้โปรด เจ้าอย่าทำร้ายข้าเลย"


    เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นอย่างทรมาร หากเนิ่นนานมันค่อยแผ่วระโหยด้วยไม่อาจต้านทานไหว เงาตะคคุ่มของสองร่างท่ามกลางเส้นรอยต่อของสีขาวและสีดำปรากฏเบื้องหน้า ทุกอย่างกลายเป้นสีแดงฉาน..ปีกสีขาว อาภรณ์อันงามบริสุทธิ์ ร่างที่นอนหายใจรวยริน...ดวงตาสีท้องฟ้าถูกควักจนกลวงโบ๋ ร่ำไห้ด้วยน้ำตาสีโลหิต เส้นเลือด ลำคอ ทุกอย่างถูกดึง คว้านควัก และนำมาร้อยเรียงเข้าไปในริมฝีปากของคนผู้หนึ่ง 


"ทำไม.....ทำ...ไม"


    เสียงแผ่วเบานั้นดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ปลายนิ้วขาวซีดจะกระชากเส้นเสียงออกจากลำคอบาง โลหิดสาดประเซ็นเป็นสาย..เจ้าของดวงตาสีท้องฟ้าที่เหลือเพียงข้างเดียวกันมามองสบตา...จ้องมาด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาไหลพราก..


    ร่องรอยความเจ็บปวดยังปรากฏทุกอณู ทุกการขยับไหว แววตาสั่นระริกไหวคู่นั้นขยับเพียงแผ่วเบา ราวกับกำลังร้องของชีวิต..ขอความช่วยเหลือจากตัวเขา


   ..ดวงตาคู่นั้นยังเอ่ยถามว่าทำไม..ทำไมจนกระทั่งแน่นิ่งไม่ไหวติง


   เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน


  ทำร้ายข้าทำไม เหตุใดจึงโหดร้ายกับข้าเช่นนี้...ทำไม ทำไม...


    คำถามปนเสียงสะอื้นดังอยู่ในมโนสำนัก ขณะที่ริมฝีปาากอ้าค้าง พยายามจะขยับไหว..พยายามเอ่ยพูดอะไร ทว่าก้อนสะอื้นก็จุกแน่นในลำคอเสียจนพูดไม่ออก


     "...คุณหนู..นั่นมันเจ้าไม่ใช่เหรอ?" คำถามดังขึ้นข้างหูพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วเบา และปลายนิ้วเย็นยะเยือนวางลงบนไหล่ "...เจ็บไหม...เจ็บรึเปล่า..อาโลอิส หันมาซี ที่ตรงนี้ยังมีอยู่นะ..."


    วาจานั้นทำให้เจ้าของอาภรณ์สีดำสนิทที่กลืนนัยน์ตาสีท้องฟ้าลงไปในลำคอหันมามอง ใบหน้าเย็นชา ดวงตาสีดำสนิทเย็นยะเยียบจับใจ และเส้นผมสีแดงเข้มอันเปรอะเปื้อนด้วยสีสันของโลหิต


    เป็นครั้งแรก...หลายปีนับจากความฝันอันแสนยาวนาน ที่ชายหนุ่มได้มองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดๆ


    ริมฝีปากของชายผู้นั้นขยับไหว เจ้าของปีกสีดำยื่นกรงเล็บเปื้อนโลหิตมาหา เอนีลรีบถอยห่าง หากแต่ฟาเอลมายืนขวางไว้ ชายหนุ่มแว่วเสียงหัวเราะดังขึ้นด้านหลัง เสียงหัวเราะที่ผสานกันระหว่างเสียงหัวเราะของชายผู้นั้นและลุงฟาเอลสะท้อนก้องอยู่ในหู มันดังขึ้น ดังมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับกรงเล็กสีดำสนิทที่ใกล้เข้ามา


.....จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ


        "เอนีล...เอนีล ..เอนีล!"


     "คุณหนุครับ..คุณหนู"


       "ฟาเอล ไปเอายากับน้ำสะอาดมา"


       "ครับ..."


           เสียงเรียกคุ้นหู เสียงร้อนรนสั่นไหว น้ำเสียงและฝีเท้าที่ดูวุ่นวายดังขึ้นท่ามกลางอนุสติอันเลือนราง เอนีลลืมตาขึ้นช้าๆ นายแพทย์หนุ่มมองเห็นใบหน้าของไคลน์สไตร์คเซอร์ที่จ้องมองตนด้วยความห่วงใย ดวงตาสีฟ้ากระพริบเชื่องช้า เอื้อมมือไปหาใบหน้าคมคาย หากพลันความทรงยามทุกอย่างก็แล่นวาบ


    "เอนีล..เอนีล คุณเป็นอะไรไป เอนีล!" ไคลน์เอ่ยปากถามอย่างร้อนรน เมื่อคนที่จู่ๆก็หายไปนานเสียจนนึกห่วง ฟาเอลจึงเข้ามาดู เมื่อพบว่าเอนีลหมดสติอยู่บนพื้น เขาจึงเข้ามาช่วยเหลือ ทว่าเพียงลืมตาชายหนุ่มกลับลุกพรวดขึ้นจากเตียง แล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือด้วยร่างอันสั่นระริก


    "เอนีล...เอนีล" ไคลน์เอื้อมมือลุบไหล่บางที่สั่นไหล สีหน้าห่วงใยและลำบากใจเหลือล้วน ด้วยไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลือคนตรงหน้าได้อย่างไร


     ".....ก....ลัว..." เสียงกุกกักที่ออกมาจากริมฝีปากคนตรงหน้าทำให้ไคลน์ขมวดคิ้ว


    "เอนีล?.."


    "ผมกลัว..ผมกลัวเหลือเกิน!" น้ำเสียงร้องร่ำไห้ที่ใกล้เคียงกับคำว่ากรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมใบหน้าที่เงยขึ้นจากฝ่ามือในที่สุด หากใบหน้างดงามที่เปื้อนน้ำตาทำให้หัวใจชายหนุ่มแปลกวูบ ไคลน์เอื้อมมือไปหา ชายหนุ่มหวังจะกอดปลอบประโลมคนตรงหน้าให้หายปวดใจ หากกพลันก็ต้องเบิกตากว้าง


   ตุบ...


   กลิ่นหอมกำจาย...กุหลาบ..กลีบกุหลานสีแดงเข้มร่วงพรูลงมาจากอุ้งมือของชายหนุ่ม เอนีลเผยอริมฝีปากค้าง เสียงสะอื้นถูกกลืนเข้าไปในลำคอ ก่อนจะก้มลงมองกลีบกุหลาบสีแดงเข้มที่หล่นลงมาจากมือตนเองอย่างงวยงง


   "นี่...มะ"...ยังไม่ทันจะได้ถามหรือเอ่ยปากทักอย่างงวยงงกับสิ่งที่เกิด ไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็เอื้อมมือไปกำกุหลาบสีแดงเข้มดอกใหญ่แน่น  แรงบีบนั้นแน่นเสียจนกลีบบอบบางยับยู่ หากชายหนุ่มดูจะไม่สนใจ ดวงตาสีน้ำตาลนั้นแฝงความบ้าคลั่งและโกรธแค้นคุโชน


   "เอนีล!" ฝ่ามือของชายหนุ่มตะปบเข้าที่ไหล่ ดวงตาเต็มไปด้วยความพยาบาทอันลึกซึ้ง "คุณไปได้มันมาจากไหน!!!"



++++++++++++++


ตอนนี้ฟีลเหมือนระเบิดลงชอบกลฟฟฟ

ทั้งระเบิดจากพ่อหนุ่มชุดดำปริศนา ..เจ้าตัวบอกว่าไม่ใช่คนละคนซะงั้น

ส่วนระเบิดอีกลูกก็จากไคลน์ ถึงกับสติแตกกันเลยทีเดียว

พรุ่งนี้มาวางระเบิดอีกซักลูกกันเถอะค่ะ!

//เผ่น


หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 14 เผชิญหน้า + Lost 15 รูปภาพหลังหนังสือ * UP.10/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 10-06-2014 19:14:48


Lost 14 : เผชิญหน้า


      กุหลาบดอกโต...สีแดงเข้ม กลิ่นหอมกรุ่นกำจาย กลิ่นของพันธ์ไม้ที่มีลักษณะเฉพาะ ต้นไม้ที่ว่ากับว่าเป็นสัญลักษณ์ของความงดงามและความรักอันลึกซึ้งที่ผู้คนนิยมมอบให้แก่กันเพื่อเป็นของกำนัล และแสดงความในใจ


      ..กุหลาบ..ไม่ใช่ลางร้าย ไม่ใช่ดอกไม้แห่งหายนะ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ได้ได้พบเห็นจะพรั่นพรึงและหวาดกลัว ทว่าบัดนี้ เมื่อมันร่วงหล่นลงมาจากตักของเอนีล ชายหนุ่มกลับตัวแข็งทื่อ


     กลีบกุหลาบร่วงพรู กลิ่นหอมเย้ายวนกรุ่นติดปลายจมูก กุหลาบดอกใหญ่ทั้งสวยและหอม หอมนัก..แต่ทว่าเพียงสูดหายใจ มันกลับมีกลิ่นคาวเลือดปะปนอยู่


     ..ความทรงจำย้อนไปนึกถึงเรื่องราวที่เผชิญ ภาพของซากชีวิตตนเองที่นอนแน่นิ่ง ดวงตาเหลือแต่โพรงอันกลวงเปล่ามีโลหิตสีแดงนองเอ่อ ใบหน้านั้นหันมาหา ริมฝีปากขยับ...อ้าอากและดิ้นรนร้องขอทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง


     กลิ่นเลือดยังลอยวนอยู่ใต้จมูก..ฝ่าเท้า..รู้สึกราวกับชื้นแฉะและสัมผัสได้ถึงโลหิตสีเข้มที่รินไหล หยดเลือดสาดกระเซ็นใบหน้า  ฝ่ามือแดงฉานมีแต่โลหิต กลิ่นคาวชวนคลื่นเหียน และเสียงกรีดร้องร่ำไห้อันทรมารต่อผู้หวาดหวั่นกับความตาย..


   "เอนีล! คุณไปได้มันมาจากไหน!!!"


    เสียงที่คล้ายถ้อยคำตวาดลั่นดังอยู่ข้างหู ปลุกให้สติกลับมายังปัจจุบันเบื้องหน้า นายแพทย์หนุ่มเงยขหน้าขึ้นสบตาผู้ที่กำไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้ เอนีลจ้องมองใบหน้าและแววตาของไคลน์ สไตร์คเซอร์ ผู้ซึ่งบัดนี้เบิกตากว้าง แววตาเต็มไปด้วยโทสะและมีใบหน้าถมึงทึงแปลกตายิ่งนัก


   แรงเขย่ามากขึ้นอีกและถูกจ้องด้วยแววตาคาดคั้น ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองกุหลาบกลีบยับในมือของชายหนุ่ม ไม่ได้อุบปาทานไปเอง..นายแพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว ได้กลิ่นอันคลื่นเหียนนั้นชักเจนกว่าเดิม


       "อึ่ก..." รีบเอามือปิดปากไว้ ใบหน้าเหยเก ด้วยรู้สึกคลื่นไส้เสียจนอยากจะอาเจียร


       "เอนีล!!" อยากพัก อยากลงไปล้างหน้าล้างตา ทว่าเสียงลั่นๆของคนตรงหน้าเหมือนจะไม่ยอมให้เขาได้ทำตามใจหวัง แรงบีบที่ไหล่มากขึ้นอีกเสียจนเจ็บแปลบ และเขาถูกเขย่าเสียจนหัวสั่นหัวคลอน ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ดูจะงวยงง อยากรู้ และคับอกคับใจถึงที่มาของกุหลาบดอกนี้นัก


      "..ผมไม่รู้" แม้จะทั้งงวยงง ไม่เข้าใจ และพะอืดพะอมแค่ไหน นายแพทย์หนุ่มก็กลืนมันลงคอไปและพยายามตอบให้คนที่ตนอุ่นใจเสมอเวลาอยู่ร่วมกันได้ทราบ


      "ไม่รู้? ไม่รู้ได้ยังไง ก็มันหล่นมาจากตัดของคุณนะ!" แม้จะพยายามตอบอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เย็นลงเสียแล้ว ท่าทีร้อนรน ไม่พอใจ และหงุดหงิดเสียจนแทบทนไม่ไหวที่ปรากฏนั้นสร้างความฉงนให้ผู้มองอย่างรวดเร็ว ..หากไม่ใช่เพราะรู้จักกันมาสักระยะแล้ว เอนีลคงไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าคือ ไคล์น สไตรค์เซอร์ ผู้ที่มักมีท่าทียิ้มแย้มและใจเย็นเป็นนิจ คนที่คอยปลอบประโลมและดูแลเขายามที่สับสน ว้าวุ่นเสียจนใกล้บ้า


      ..แล้วคนๆนี้ กลับหงุดหงิด อารมณ์เสีย มีท่าทีราวกับทนไม่ได้เมื่อเห็นกุหลาบดอกหนึ่งหล่นลงมาจากตัดของเขาน่ะรึ?


     หากมองเป็นความผิดปกติ สิ่งที่น่าประหลาดก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะจนถึงกระทั่งเมื่อครู่ ทั้งเอนีลและไคลน์ไม่ได้รู้ว่ามีกุหลสบดอกนี้อยู่ กระทั่งเขาเอื้อมมือกุมหน้าตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น ครานั้น..กุหลาบดอกโตจึงปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบงันและร่วงหล่นลงจากฝ่ามือของเขา


     ..ทำไม เพราะอะไร?


   มันมาอยู่ได้ยังไง มันคืออะไร แล้วทำไม...เมื่อเห้นมัน ไคลน์ สไตร์คเซอร์ถึงได้มีท่าทีร้อนรนฉุดเแยวเสียขนาดนี้



      ""เอนีล ตอบผมสิ เอนีล!!" เพราะมัวแต่จมจ่ออยู่ในภวังค์ เสียงถามร้อนรนละล่ำละลักจึงยิ่งดังขึ้น ทว่าดังเพียงใดก็ยิ่งทำให้ความเข้าใจลดน้อยลงมากเท่านั้น เอนีลจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยอ่อนโยน จ้องมองความร้อนรนในแววตาชายหนุ่มด้วยดวงตาไม่เข้าใจ


       "ผมไม่รู้..ไม่รู้....ไม่รู้อะไรเลย" ทั้งที่เขาก็กลัวและหวาดผวาเสียจนแทบบ้า กลิ่นโลหิตชวนคลื่นเหียนยังตามมาหลอกหลอนไม่จางหาย จนท้องไส้และกระเพาะปั่นป่วน คนตรงหน้าก้ดูรางกับไม่เข้าใจ ไคลน์ยังคงเฝ้าถามย้ำๆซ้ำๆ ในสิ่งที่เขาไม่อาจจะรู้


      "...มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง..คุณไปไหนมา!!" คำถามล่าสุดเหมือนเสียงตวาดดังขึ้นมาไม่หยุด ทำให้ความหงุดหงิดแล่นริ้ว เอนีลเบ้หน้ากับแรงบีบที่ไหล่ เขาออกแรงดิ้นทันที


     "เจ็บ..ผม...อุ่ก...." ในที่สุดก็ไม่อาจทนต่ออาการคลื่นเหียนได้ไหว เอนีลพยายามปัดมืออีกฝ่ายออก ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดริมฝีปากตัวเองแล้วดีดตัวขึ้นจากเตียง ชายหนุ่มวิ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องน้ำไม่ไยดีเสียร้องเรียกตามหลัง จากนั้นจึงปิดประตูโครมใหญ่แล้วทรุดตัวลงอาเจียรอย่างเอาเป็นเอาตาย


     "อึ่ก...." นานโขกว่าอาการคลื่นเหียนจะค่อยทุเลา เอนีลรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่คลอเอ่อของตนเอง ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดมันเงียบๆขณะที่ดึงสายชักโครกให้น้ำสะอาดไหลเวียน


    โซเซเดินมาที่กระจกหน้าอ่างทองเหลืองแล้วก้มลงล้างหน้าตัวเองด้วยน้ำเย็นแรงๆเพื่อให้สติกลับมา เอนีลหอบเบาๆ ขณะที่บ้วนปากเอารสชมๆของน้ำย่อยที่ออกมาจากกระเพาะ


      "อุ่ก..." อาการคลื่นเหียนชวนอาเจียรยังเกิดขึ้นเป็นระยะ ทว่าก็ไม่มีอะไรออกมา ท้องของเขาว่างเกินกว่าจะมีอะไรนอกจากน้ำย่อยสีเหลืองจากกระเพาะอาหาร นายแพทย์หนุ่มเอื้อมมือหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า พลางเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจกด้วยแววตาแดงก่ำ


       เขาไม่ได้ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวหรือเสียใจ ทว่าหยดน้ำที่ซึมออกมาจากดวงตากำลังบอกว่าร่างกายรับความเครียดไม่ไหว ทั้งความฝัน ทั้งสิ่งที่พบเจอ ทั้งกลิ่นเลือด และเสียงตะโกน ทุกอย่างที่รุมล้อมทำให้ชายหนุ่มแทบไม่อาจครองสติไว้อยู่


       เอนีลก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตัวเอง ชายหนุ่มกำมือแน่นพลางเม้มปากเขาหากัน ความคิดในสมองยังคงสับสน หากสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คืออาการคลื่นเหียนที่เกิดนั้นไม่ได้มาจากสาเหตุปกติ จะอย่างไรเขาก็เป็นหมอ..ไม่มีแพทย์ที่ไหนได้กลิ่นเลือดแล้วต้องวิ่งโร่ไปอาเจียร แต่หากกลิ่นของโลหิตที่ปะปนกับกลิ่นหอมของกุหลาบ กระตุ้นความทรงจำให้นึกถึงภาพที่ตัวเองถูกทรมารเสียจนไม่ใช่ผู้ใช่คน..


      ถอนหายใจยาว ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าเสียจนแทบทนไม่ไหว  เหตุการณ์ที่เข้าจู่โจมในยามเช้าของวันได้สูบเรี่ยวแรงและกำลังทั้งหมดออกไปจากร่าง เอนีลรู้สึกเหนื่อยหน่ายและล้าแรง ราวกับว่ากำลังวิ่ง..เหมือนเขากำลังวิ่งตามอะไรสักอย่างที่ตัวเองไม่อาจหนีพ้น ยิ่งวิ่งยิ่งเหนื่อย ยิ่งหนี ยิ่งถูกกระชากกลับมาด้วยแรงที่มากขึ้น...มากขึ้น


     ...มาบัดนี้ ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาเหนื่อย เหนื่อยมากเสียเหลือเกิน


     ความฝันที่คอยหลอกหลอนมานานปีจางหายไปแล้วอย่างไร..มันหายไป แต่กลับมีเหตุการณ์ประหลาดเข้ามาแทนที่ มีความฝันแปลกๆมากมายฝุดขึ้นมาเสียจนนับแทบไม่หวาดไม่ไหว ผู้คนประหลาด..พฤติกรรมแปลกประหลาด และการที่มีคนใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเขา


     เอนีลรู้สึกราวกับทุกวันนี้กำลังใช้ชีวิตอยู่บนสองโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หนึ่งคือความจริง และสอง..คือความฝันที่นับวันมันยิ่งกางปีกครอบคลุม แผ่ขยายอิทธิพลครอบงำตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆทุกที


      ...เมื่อก่อนเขาเคยหวาดกลัว เคยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้า มาบัดนี้...ในยามที่ล้าเหนื่อยแรงเหลือกำลัง ชายหนุ่มกลับคิดขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างประชดประชัน ว่าให้เป็นบ้าไปเสียเลยยังจะดีกว่า..


    ..อย่างน้อย ก็ไม่ต้องมานั่งปวดหัวคิดถึงสิ่งที่พบเจอ มองหาคำตอบ..ของเรื่องราวที่ไม่อาจมีคำอธิบายใดๆ


    เขาเหนื่อย..เหนื่อยมากจริงๆ


ก๊อกๆๆๆๆๆ


   "เอนีล...เอนีล คุณเป็นอะไรรึเปล่า เปิดประตูให้ผมหน่อย!" เสียงตะโกนร้อนรนดังขึ้นด้านนอกแทรกเข้ามาในความเงียบงัน เอนีลเปิดดวงตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดว่ามีคนที่ยังรออยู่ด้านนอก ชายหนุ่มใช้ผ้าขนหนูในมือเช็ดหน้าตัวเองแรงๆ เขายืนมองกระจกอยู่จนรอให้ตัวเองไม่ได้มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว จากนั้นจึงหันไปแตะลูกบิดจะเปิดประตู


   ...ฝีเท้าชะงักกึก


    ความทรงจำบางอย่างแล่นขึ้นมาอีกครั้ง เอนีลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ชายหนุ่มไม่ได้ลืมว่าเมื่อครู่...หรือในยามเช้าของวันนี้ เวลาที่เขาแตะประตูเปิดออกไป สิ่งที่รออยู่หลังบานประตูกลับเป็นสถานที่อันแปลกประหลาดที่ตนไม่เคยพบเจอ


    ...แล้วครั้งนี้ล่ะ...มันจะ...จะเป็นแบบนั้นอีกไหม


    จ้องมองลูกบิดทองเลหืองเบื้องหน้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างหวาดหวั่น แม้จะเฝ้าบอกและปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร...เขาไม่เป็นไร และคนที่อยู่ข้างนอกนั้นคือไคลน์ ...ไคลน์ สไตร์คเซอร์ตัวจริงเสียงจริงที่กำลังรอเขาอยู่ คนๆนั้นเป้นห่วงเขา ยืนรอ และเฝ้าถามหาด้วยความร้อนรน ไม่มีเสียล่ะที่เหตุการณ์จะเป็นอย่างเมื่อครู่ไปได้


     ...แม้จะคิดเช่นนั้น แม้จะบอกตัวเองซ้ำๆ ทว่าปลายนิ้วที่แตะอยู่ก็ไม่อาจขยับไหว ความทรงจำที่น่ากลัวนั้นสดใหม่และชัดเจนจนเกินกว่าจะบอกตัวเองให้ลืมเลือนมัน


      เปิดสิ...เปิดออกไป..


    ชายหนุ่มกระซิบบอกตัวเองซ้ำๆ ดวงตาปิดลงเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้  ภาพที่เกิดขึ้นหากมองจากสายตาคนอื่นมันคงเป็นเรื่องน่าขัน ชายหนุ่มคนหนึ่งมายืนตัวสั่น ท่าทีหวาดกลัวมากมายกับแค่การเปิดประตูบานเดียว


   ทัง้ที่แค่เอื้อมมือไป หมุนลูกบิดประตู แค่นั้น.. คนที่รออยู่หลังประตูนั่น ก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่งของเขามิใช่หรือ


    ...แต่ทั้งๆอย่างนั้น


กริ๊ก...


     เสียงลูกบิดถูกหมุนดังขึ้นทั้งที่ไม่ได้ออกแรงอะไรชวนให้ใจหายวาบ เอนีลเปิดดวงตาขึ้นอย่างตกใจไม่น้อย ความคิดในแง่ร้ายทำงานทันทีเมื่อนึกว่าเขาอาจจะต้องเจอกับอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น  ทว่าร่างที่สั่นระริกกลับถูกกอดไว้ในอ้อมแขนที่เคยคุ้น ความอบอุ่นที่แสนคุ้ยเคยโอบล้อมทำให้หัวใจกระตุกไหว..


    ...นี่มัน..


    "ไคลน์...." เงยหน้าขึ้นแล้วพึมพัมเสียงเบา เจ้าของอ้อมกอดที่เปิดเขามาหากอดเขาไว้แน่นทั้งยังซบหน้าลงกับไหล่ของเขาเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียก พลันอ้อมแขนนั้นก็รัดแน่นขึ้นอีกนิด..ก่อนจะถอนหายใจราวกับโล่งอกเมื่อเขายกมือขึ้นช้าๆ...เอนีลตัดสินใจโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่มตอบโต้เงียบๆ


      ทั้งสองไม่มีคำพูดใดให้กันนอกเสียจากความเงียบ ร่างของผู้ชายสองคนมายืนกอดกันหน้าห้องน้ำดูน่าขัน ทว่าเสียงหัวใจที่เต้นประสานเป็นจังหวะเดียวกันนั้นนำมาซึ่งความสุขและอบอุ่นใจเสียจนแทบจะร้องไห้ด้วยความยินดี


     หัวใจที่เต้นระส่ำด้วยความกลัว ร่างที่สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว และจิตใจที่อ่อนไหวเหนื่อยล้าจนไร้เรี่ยวแรง บัดนี้ค่อยฟื้นคืน เอนีลรู้สึกรางกับว่าเขาค่อยๆพลิกฟื้น กลับมามีชีวิตและได้รับพลังใจจากชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มซุกหน้าลงบนแผ่นอกอีกฝ่าย ซึมซับความอบอุ่นและความอ่อนโยนนี้ด้วยความยินดียิ่งนัก..


   ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจเต้นกระตุกเสียจนขอบตาผ่าวร้อน..เสียงของใครบางคนดังขึ้นในหูอย่างเงียบงัน


....ไคลน์....ไคลน์....ไคลน์


 รัก..ข้ารักเขาเหลือเกิน..



      เสียงอันแปลกประหลาดดังขึ้นราวกับไม่ใช่ตัวเอง ถ้อยคำที่เหมือนเคยได้ยินในยามที่พบหน้ากันคราแรกฟังดูน่ากลัวในความแปลกประหลาด แต่ในยามนี้มันกลับดูสอดคล้องได้อย่างไม่น่าเชื่อ


    แอ๊ด...


       เสียงเปิดประตูทำให้คนทั้งคู่สะดุ้งไหว ไคลน์ผละออกมาจากร่างของคนตรงหน้าอย่างจงใจอ้อยอิ่งพลางมองข้ามไหล่ตนไปยังเบื้องหลัง ชายหนุ่มมองเห็นพ่อบ้านเฒ่า ฟาเอล กีโยต์ ยืนถือถาดยาและผ้าเช็ดตัวมองมาที่พวกเขาทั้งคู่ด้วยแววตาบางอย่าง ขณะที่คนในอ้อมแขนของเขาส่งเสียงเหมือนสำลัก แดงก่ำไปทั้งหน้าจนถึงใบหู


      ภาพน่ามองนั้นทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม ยอมผละออกมาในที่สุดพลางจูงมืออีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำ เขายังไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเอนีลจะพยายามดึงมือออกเมื่อมองเห็นแววตาของฟาเอล สีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ที่ดูน่าหมั่นไส้อย่างน่าประหลาดนั่นทำให้ชายแพทย์หนุ่มอดจะเขวี้ยงค้อนใส่ไม่ได้


      นั่งลงบนเตียง ขณะที่ฟาเอลนำยาและผ้าสะอาดมาให้ พ่อบ้านเฒ่าถอยไปยืนมองการรักษาอยู่เยื้องจากปลายเตียง ทว่าแววตารู้ทันก็ยังคงจ้องมองมือซึ่งประสานกันเขม็ง และเเมื้คุณชายเจ้าของอพาร์ทเมนต์จะพยายามดึงออกอย่างไร ชายหนุ่มผู้อาศัยก็ยังคงจับต่อไปด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่รู้เห็นสิ่งใด


      "ไคลน์...." เอ่ยปากทักเบาๆในที่สุด เอนีลหน้าร้อนวาบหลบสายตาจากพ่อบ้านคนสนิทเสียจนไม่รู้จะหลบยังไงไหว


      "ครับ...ทานยาหน่อยไหม?" ริมฝีปากของชายหนุ่มแย้มยิ้มอ่อนโยนและอารมณ์ดีเฉกที่เคยเป็น ราวกับท่าทีอารมณ์ร้อนเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เอนีลไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเบื้องหลังบานประตูหลังจากที่เขาโผเผเข้าห้องน้ำไป เมื่อกลับออกมา ไคลน์จึงมีท่าทีเปลีย่นเป้นคนละคนเช่นนี้ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้ถาม เขารับยามาทานจากมือของไคลน์ผู้วึ่งยอมปล่อยมือที่ประสานกันอยู่ในที่สุด


       "ขอบคุณ..."หลังจากกินยาและดื่มน้ำตามเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็เอ่ยเบาๆ เอนีลมองชายหนุ่มตรงหหน้ากุลีกุจอตรวจความดัน วาดไข้และดูจังหวะอัตราการเต้นของหัวใจอย่างขมักเขม้นตรงนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน


      "ความดันปกติ ดูท่าวันนี้คุณจะเครียดนิดหน่อย...เราหยุดพักกันสักอาทิตย์ไหมครับ?" ไคลน์เอ่ยถาม พลางวางอุปกรณ์ตรวจความดันลงไปบรรจุในกล่องเก็บรักษา ขณะที่เอนีลนิ่งครุ่นคิด หลังจากคลีนิดปิดทำการได้นับอาทิตย์ วันนี้คือวันที่เขามีกำหนดการจะเปิดอีกครั้ง ทว่า..ในเมื่อคนเป็นเจ้าของสถานพยาบาลมีอาการเช่นนี้ จะไปรักษาคนอื่นได้อย่างไร


      ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ "นั่นสินะครับ..งั้นลุงฟาเอลครับ ช่วยโทรไปบอกผู้ช่วยผมว่าหยุดงานต่ออีกหนึ่งอาทิตย์นะครับ แล้วก็รบกวนไปเปลี่ยนป้ายประกาศ บอกเพิ่มเวลาหยุดอีกหนึ่งอาทิตย์ที่หน้าคลีนิกที"


      ฟาเอลพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกไปทำตามคำสั่ง หลังบานประตูปิดลง ก็มีเพียงความเงียบ ขณะที่เอนีลนิ่งครุ่นคิด เขาสังเกตุอีกอย่างว่าภายในห้องไม่มีกลิ่นหอมทว่าชวนอาเจียรของดอกกุหลาบดอกโตนั้นอีกแล้ว มันอันตธารหายไปที่ไหนเขาก็ไม่อาจรู้ ไคลน์อาจจะเป็นคนเอาทิ้งก็ได้..


     "คุณ......"หันไปจะถาม หากผู้ถูกเรียกจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ด้วยแววตาแปลกประหลาด


     "เจ็บไหม?" คำถามนั้นถามถึงอะไรเขาไม่รู้ มันจะแฝงนัยยะแปลกๆอะไรเขาไม่ทราบ เอนีลจ้องมองแววตาผู้พูดที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดอย่างไม่ปิดบัง รวมทั้งฝ่ามืออุ่นร้องที่ลูบแก้มเขาเบาๆอย่างอ่อนโยน


     "....หมายถึงที่ไหล่เหรอครับ ผมไม่เป็นไรหรอก" ชายหนุ่มรีบบอกในเรื่องที่เป้นไปได้มากที่สุด


     "อา...ผมขอโทษ" ไคลน์ยิ้มบางๆทว่าแววตายังคงเต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่าง


     "...ไคลน์..." เอนีลเอ่ยชื่อชายหนุ่มเสียงสั่น พลันครู่หนึ่งเขารู้สึกอยากจะเล่าเรื่องราวทุกอย่าง บอกและระบายความรู้สึกทั้งหมดให้คนตรงหน้าฟัง เพียงเพื่ออย่างน้อยจะได้ไม่เห็นแววตาเศร้าๆคู่นั้น


     "พักก่อนดีไหมครับ...นอนหลับสักงีบ ทุกอย่างอาจจะดีขึ้น" ความคิดถูกหยุดไว้ด้วยถ้อยคำของอีกฝ่าย เอนีลอ้าปากจะค้าน หากเขาถูกดันให้นอนลง ก่อนที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายจะแตะลงบนหน้าผาก ลูบมันเบาๆ พลางเลยไปยังเส้นผมนุ่ม


     "...ไคลน์ ผม....ยัง..." ทั้งที่เพิ่งตื่น และบัดนี้ก็เป็นยามสายที่ไม่น่าจะมีวี่แววหลับลงได้ แต่ดวงตากลับปรือปิดอย่างรวดเร็วทันทีที่อีกฝ่ายสัมผัสลงบนหน้าผาก เอนีลรู้สึกงวยงงไม่น้อย ชายหนุ่มขยับริมฝีปากพูดออกมา แต่ที่สุดแล้วมันก็กลายเป็นเพียงเสียงละเมอเบาๆจากในลำคอ


      "...ฝันดีนะครับ" เสียงกระซิบดังขึ้นพร้อมกับจูบเบาๆบนหน้าผาก ทั้งที่ปิดตาลงและไม่อาจทราบถึงถ้อยคำนี้ แต่ริมฝีปากของอีกฝ่ายกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมีความสุข ซึ่งขัดกับใบหน้าเรียบเฉยและแววตาเย็นยะเยือกขึ้นมาวูบหนึ่งของผู้ทำโดยสิ้นเชิง


      ไคลน์ สไตร์คเซอร์ยืนตัวขึ้นจากเตียง ชายหนึ่มดึงเขาผ้าม่านสีควันบุหรี่จากหัวเตียง ปล่อยมันคลี่ออกคลุมรอบเตียงราวกับจะปกป้องเจ้าชายนิทราเบื้องหลัง ขณะที่ฝีเท้าของชายหนุ่มก้าวออกไปเบื้องหน้า และยืนประจัญอยู่กับร่างของชายหนุ่มในชุดดำทะมึนซึ่งยืนอยู่บนหน้าต่างเบื่องนอกด้วยแววตาคุโชน


+++++++++++++++


ตอนนี้แอบมุ้งมิ้งอีกแล้ว อยากไปแทรกตัวในอ้อมกอดของสองคนนั้นจริงๆ .. //คาดว่าจะโดนฆ่าทิ้ง

ว่าแต่เอนีล แพ้ท้องเหรอคะ อย่าเพิ่งนะ ไคลน์ยังไม่ได้ซั่---------- //โดนแบน

สองหนุ่มเผชิญหน้ากันแล้ว..ว่าแต่นี่มันชั้นสามนะคะ ไปยืนอยู่นอกหน้าต่างกลางวันแสกๆ ช่าวบ้านเค้ามิช็อคแย่เร้อออออ พ่อหนุ่มชุดดำ

...หรือนี่เป็นวิธีช่วยหาลูกค้าให้ขุ่นหมอเอนีลกันนะะะะ (..........)


แล้วเจอกันตอนหน้าค่าาา
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 14 เผชิญหน้า + Lost 15 รูปภาพหลังหนังสือ * UP.10/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 10-06-2014 19:21:34



Lost 15 : รูปภาพที่หลังหนังสือ


        กระจกหน้าต่างบานใหญ่ยาวที่ถูกปิดล็อคนับจากวันที่ผู้เป็นเจ้าของห้องได้เอ่ยปากสัญญาว่าจะไม่เปิดมันอีกขวางกั้นระหว่างคนสองคนไว้ ผ้าม่านสีขาวปิดบังเสี้ยวหน้าและแววตาของชายสองคนที่เผชิญหน้ากันอย่างเงียบเชียบ แม้เบื้องนอกจะเป้นเวลากลางวัน ทว่าบัดนี้กลับดูอึมครึม มืดครึ้มไปด้วยสาเหตุใดก็ไม่อาจจะทราบ


       ฝ่าเท้าของบุรุษในชุดสีดำสนิทแตะลงบนกรอบหน้าต่าง ขณะที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยสายตาราวกับพร้อมจะกระโจนใส่ทุกเมื่อ ใบหน้าของชายผู้มาเยือนนั้นยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มพราย ก่อนจะหายไปจากหน้ากระจกบานนั้น และปรากฏตัวอยู่ข้างเตียงของชายหนุ่มผู้หลับสนิทโดยพลัน


      "......!!" ไคลน์หันขวับ เบิกตากว้าง แทบจะกระโจนเข้าไปหาเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายตวัดม่านผ้าคลุมสีควันบุหรี่ออก


      "......ช่างหลับสนิทไร้ความกังวลใดๆซะจริง" น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ย พร้อมกันนั้นก็จ้องมองบุรุษที่ปราดเข้าหา และส่งสายตาเป็นอริอย่างชัดเจนมาให้


      "ปล่อย" ไคลน์เอ่ยเสียงต่ำ จ้องมองมาอย่างไม่พอใจ


      "...เจ้า...." เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังออกมาจากริมฝีปากอีกฝ่าย "ปิดหูปิดตาเขาไม่ได้ตลอดหรอก..."


      "ปล่อยมือ" ชายหนุ่มยังคงมีท่าทีหงุดหงิดใจ ไม่ได้สนใจคำพูดของอีกคนสักนิด


       "ข้าไม่ได้แตะต้องอะไรเสียหน่อย" คนถูกตวาดหัวเราะยอมรามือออกจากผ้าม่านในที่สุด ดวงตาสีแดงเข้มจัดจ้องมองใบหน้าผู้พูดเงียบๆก่อนจะยิ้มบาง "...และไม่ได้ทำผิดกฏใด"


      "ไม่งั้นหรือ.." ไคลน์จ้องมองผู้พูดแล้วยิ้ม " ท่านพาเขาไปที่ไหนมา.."


      "ข้าจำต้องตอบรึ?"


      "กุหลาบดอกนั้น...."


      "ใช่.." บุรุษปริศนารับคำและเอื้อมมือไปลูบขนการาเวนบนไหล่ตนเองเงียบๆ "ของเขา"


       "...นี่มันผิด!..ท่านเป็นคนนอก อย่าได้เข้าม-----"


      "ข้า ไม่ ใช่" ไม่ทันที่จะเอ่ยจบ ริมฝีปากของผู้ฟังก็เหยียดยิ้มและเอ่ยปากขัดสั้นๆ "เขาเป็นของข้า เจ้าก็รู้ดีแก่ใจ ไคลน์"


      ".....แต่ตอนนี้" ดูเหมือนคนฟังพยายามจะเอ่ยปากแย้ง..แม้จะทำได้ยากนัก


     "เขาเป็นของข้า ทั้งก่อนหน้ายามนี้ และตลอดไป" กาดำตัวใหญ่ส่งเสียงร้องเบาๆพลางขยับปีกของมันหลายครั้ง มันจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างท้าทาย "แค่เพียงได้โอกาส...หาได้หมายความว่าเขาคือของเจ้า..และแม้ดวงใจจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเรา..หากไม่ได้หัวใจ ก็ใช่จะเป็นเรื่องใหญ่"


       "หึ..." นิ่งฟังครู่หนึ่ง ไคลน์ก็เหยียดยิ้ม ริมฝีปากกระตุกราวกับกำลังขบขัน "ไม่ได้ใจใคร ก็ทำลายทิ้งเสีย นั่นเป็นวิธีการของพวกท่าน..ข้ารู้"


      "รู้แล้วไย...ข้าหาได้สนใจ" ปลายนิ้วสีดำละออกจากขนกาสีเดียวกัน "ความจริงคือของเจ้า ความฝันคือของข้า"


      "...เขาจะเชื่อสิ่งใด...ก็ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง"



    เอ่ยแล้วเงาร่างสีดำนั้นก็ลับหายไปจากสายตาเพียงกระพริบ ขณะที่ไคลน์ยืนนิ่ง ชายหนุ่มจ้องมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า นิ่งซึมซับถ้อยคำที่ได้รับมาอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะหันไปจ้องมองชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่เบื้องหลัง แววตาคู่นั้นหม่นแสงลงอย่างเศร้าสร้อยเพียงชั่วครู่ พลันก็เปิดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้


       ก้าวขาไปยังเตียงใหญ่ มือป่ายเอาผ้าม่านผืนบางนั้นออกไปพลางโน้มกายเหนืออีกฝ่าย ไคลน์จ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าเงียบๆ ใบหน้างดงามยามนิทรา ดูผ่อนคลายและสงบนิ่ง เส้นผมสีทองระใบหน้าถูกปัดออกเงียบๆ ชายหนุ่มจ้องมองภาพเจ้าชายนิทราเบื้องหน้าเงียบๆครู่ใหญ่ ก่อนจะก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผากบางอย่างอดรนทนไม่ไหว


        กดจูบเงียบๆครู่ใหญ่ก่อนจะผละออกมาในที่สุด ไคลน์ลุกมาจากเตียง จัดผ้าม่านให้อยู่ในระดับเดิมก่อนจะหันไปยังประตู


        ชายหนุ่มสบตา ฟาเอล กีโยต์เงียบๆ พ่นบ้านชราจ้องมองเขากลับด้วยดวงตาสีเทาที่ฟ้าฟางไปตามวัย บุรุษต่างวัยทั้งสองยังคงเงียบงันราวกับไร้บทสนทนา แต่เปล่าเลย...พวกเขากำลังนิ่ง และรอคอยว่าจะมีฝ่ายใดพูดขึ้นมามากกว่า


         "คุณชาย...."


         "ยังหลับอยู่ครับ อย่าใดห่วงเลย" ไคลน์เดินตรงเข้าไปหา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนเช่นเคย


         "....ตัวคุณ" ฟาเอลขมวดคิ้วแน่น "กำลังทำอะ...."


        "อะไรเหรอครับ?" ไคลน์ถามด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม ฝ่ามือโบกตวัดผ่านหน้าพ่อบ้านเฒ่า คนที่กำลังอ้าปากเอ่ยถามถึงสิ่งที่เห้น แต่ฟาเอลไม่มีโอกาศจะพูดออกมา เพราะบัดนี้ร่างของเขานิ่งงัน ริมฝีปากอ้าค้าง ไม่อาจพูดสิ่งใด และไม่อาจทำอะไรได้นอกจากยืนนิ่งราวกับรูปปั้น


      ฝ่ามือที่ตวัดผ่านหน้าเมื่อครู่วางลงบนไหล่ ไคลน์ออกแรงบีบไหล่ชายชราเบาๆ ก่อนจะกระซิบเสียงเฉียบ


       "...ช่วยอยู่นิ่งๆจะได้ไหม"


      ...เสียงดีดนิ้วดังขึ้นเบาๆข้างหู  ฟาเอลชะงัก ชายชรากระพริบตาถี่ จ้องมองรอบกายก่อนจะพบว่าตัวเขายืนอยู่ในห้องคุณชายของบ้าน พ่อบ้านชราหันไปมองรอบกาย และได้สบมองรอยยิ้มเยื้อนแสนใจดีของไคลน์ สไตร์คเซอร์


       "...ผมมาถามอาการคุณชาย ถ้ายังไงช่วยอธิบาย..." พ่อบ้านเฒ่าเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตน


      "ได้สิครับ ผมจะเล่าให้ฟัง ยังไงเราไปคุยกันข้างล่างไหม กลัวจะรบกวนคนป่วยน่ะครับ" ไคลน์ยิ้มรับ


      "ได้ครับ..ขอบคุณมาก" ฟาเอลเอ่ยปากรับคำ พลางเอื้มมือไปเปิดประตูแล้วเดินนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านชราแทบไม่เหลือความสงสัยใดเกี่ยวกับความงวยงงของตนที่ยืนอยู่ในห้องของคุณชายของบ้านเมื่อไหร่ก้ไม่ทราบใด ฟาเอลตระหนักถึงเพียงจุดประสงค์ อยากรู้เหตุการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคุณชายของเขาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ตนจึงนำอีกฝ่ายไปอย่างไม่รีรอ


    ...และแล้วก็เป็นอีกดครั้ง ที่ชิ้นส่วนความทรงจำอันหายไปไม่ติดปะต่อครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกปัดทิ้งออกจากความคิดอย่างรวดเร็ว


      ขณะที่ประตูปิดพับลงอย่างเงียบงัน และภายในห้องมีเพียงความเงียบสงบ ดวงตาของคนที่นอนนิ่งนิทรา กลับค่อยๆเปิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เอนีลลุกขึ้นมานั่งอยู่กลางเตียง ชายหนุ่มจ้องมองบานประตูก่อนจะปิดพับดวงตาลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกุญแจรถ และลุกไปสวมเสื้อผ้าหน้ากระจกเงียบๆ  ด้วยแววตาใคร่ครวญ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


       รถยนต์คันเดิมที่เคยถูกนำมาเป็นพาหนะยามออกไปเที่ยวกันเมื่อวันอาทิตย์ถูกนำมาใช้งานอีกครั้ง เอนีลลอบออกจากห้องและผ่านสายตาของบอดี้การ์ดออกไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มขับรถออกไปท่ามกลางท้องฟ้าสีครึ้มหม่นและเสียงเครื่องบินรบที่บินผ่านเหนือศรีษะ ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองเบื้องหน้าเงียบๆ ขณะที่ความคิดล่องลอยไปไกล


       ยังคงมีคำถามในถ้อยคำและบทสนทนาอันแปลกประหลาดที่ได้ยิน เอนีลรู้สึกตัวตื่นมานับแต่ได้ยินเสียงของไคลน์ที่เอ่ยห้ามคนๆนั้นแตะปลายนิ้วลงมายังตัวเขาแล้ว แม้การจะหลับตาลงนั้นน่าแปลก หากเขากลับพบว่าการลืมตาตื่นนั้นน่าประหลาดกว่า คล้ายหลับไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าเวทย์มนต์ซึ่งไม่มีอยู่จริง ยามตื่นลืมตา จึงได้สับสนวุ่นวายยิ่งนัก


      ชายหนุ่มทบทวนบทสนทนาที่ได้รู้นั้นเงียบๆ..อะไรคือของเขา..หรือของคนอื่น สิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นและไคนล์พุดกันมันคืออะไร เป็นเหมือนเรื่องของเขา แต่ก็ไม่ใช่ตัวเขา สิ่งที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์และชายในชุดดำผู้นั้นเอ่ยถึง มันช่างเป็นเรื่องราวที่ยากจะเข้าใจ


   แล้วยัง...ประโยคนั้น...


   "ความจริงคือของเจ้า ความฝันคือของข้า"


มันหมายความว่าอย่างไร?


     เกี่ยวข้องอะไรกับความฝันของเขา จะบอกว่าชายในชุดดำคนนั้นคือผู้ที่ทำให้เกิดฝันร้ายอันยาวนานกับเขากระนั้นหรือ...รึหมายถึงความฝันหลังจากนั้น ฝันดีบอกว่าตัวเองโดนฆ่าอีกครั้ง และเรื่องราวที่ถูกชักพาให้ไปยังดินแดนประหลาดนั่นน่ะรึ..คือความฝัน


  แล้วยัง...ดอกกุหลาบนั่น


เพราะไคน์รู้ว่ามันเป็นของชายคนนั้น ไคลน์ถึงได้โกรธ..ถึงได้มีท่าทีฉุนเฉียวขนาดนั้นงั้นเหรอ?


    ..และ ไคลน์...ทำอะไรกับพ่อบ้านของเขา


    เอนีลไม่ได้ลืมตา ชายหนุ่มไม่ได้แสดงอาการว่าตื่นขึ้นมาแม้กระทั่งยามที่ถูกจุมพิตหน้าผากด้วยความอ่อนโยนลึกซึ้งนั้น แม้หัวใจจะเต้นกระหน่ำด้วยความขัดเขินเพียงไหน ทว่าสิ่งที่ได้ยิน หลังจากนั้นไม่นาน นอกจากเสียงของบานประตูที่เปิดออก และคำถามชวนให้พูดไม่ออกของพ่อบ้านตน กลับเป็นเสียงที่เปลี่ยนไปของไคลน์ และ..หลังจากนั้นก็เป็นท่าทีที่แปลกไปของฟาเอลอีกด้วย


   ...ไคลน์ทำอะไรกัน?


     เมื่อไม่ได้ลืมตามาย่อมไม่อาจมองเห้น เอนีลได้แต่เดาจากเสียงที่ตนได้ยินเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่อาจยืนยันอะไรได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้ คือด้วยพฤติกรรมและท่าทางของฟาเอล ไม่มีทางที่พ่อบ้านของเขาจะยอมปล่อยปละเรื่องราวนี้ไปได้ หากฟาเอลเห็นถึงพฤติกรรมและท่าทีอันเกิดปกติของพวกเขา ฟาเอลจะต้องถาม..และ...จะต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของเขาแน่ๆ


     แต่แล้วทำไม..เพียงเงียบไปเสียครึ่งคำ หลังประโยคหนึ่งของไคล์นลุงฟาเอลของเขาถึงได้เปลีย่นท่าทีรวดเร้วราวกับไม่เห็นอะไรอีก


    ....มันผิดปกติ เกินไป..


   ทั้งชายคนนั้น  ทั้งไคลน์ ทั้งลุงฟาเอล


มันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนปกปิด ปิดบังเขาจากความจริงกันแน่


แล้วเขาจะต้องอยู่อย่างไม่รู้อะไรไปอีกนานแค่ไหน? ทำไมถึงไม่มีใครยอมพูด ยอมบอกอะไรกับเขาซักอย่าง!!



     เอ๊๊ยด


   เหยีบเบรคตัวโก่งหลังจากพบว่าเหม่อเสียจนเกือบเลยเป้าหมาย เอนีลหมุนพวงมาลัย ขับรถเข้าไปยังหน้าโบสถ์ก่อนจะจอดและดับเครื่อง แต่ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ลงไป เขานั่งเงียบอยู่หน้าพวกมาลัยครู่ใหญ่ราวกับจะทบทวนบางสิ่ง


   โบสถ์สีขาวหลังเล็กเบื้องหน้าทะเลสาบกว้างใหญ่และงดงาม เขตแดนที่ไร้ผู้คนราวกับอยู่คนละโลก ที่ๆผุ้เป็นบาทหลวงบอกว่าผู้เป็นเจ้าของปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ทำมาใช้ประโยชน์ใด


   ...ที่มาถึงที่นี่ เป็นเพราะหนึ่งในฝันของเขา ความฝันนั้น...


ชายหนุ่มที่เหมือนจะเป็นตัวเอง.. ชายผู้รอคอยใครตคนหนึ่งมาหาในสุสาน และสุดท้ายก็ถูกคนผุ้นั้นฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม


  ความสงสัยเล็กๆ เกิดขึ้นอย่างเงียบงันทำให้เอนีลตัดสินใจมาที่นี่อีกครั้ง


....แน่นอนว่าเขามาคนเดียว 


ก๊อกๆ


     เสียงเคาะเบาๆที่กระจกรถทำให้ใบหน้าที่ซบอยู่กับพวงมาลัยรถเงยขึ้นมา เอนีลหันไปมอง เขาสบมองดวงตาสีเทาที่ฉายแววอบอุ่นของหลวงพ่อฌอง ชายหนุ่มยิ้มบาง ก่อนจะพยักหน้าทักทายแล้วเอื้อมมือเปิดประตูรถ


     "สวัสดีครับหลวงพ่อ ต้องทำให้ลำบากมาเรียก ขออภัยด้วยนะครับ" พอโผล่ออกมายืนเรียบร้อย เอนีลก็รีบขอโทษขอโพยเสียเป็นการใหญ่


     "ไม่เป็นไรหรอก ลูกมาเยี่ยมพ่อก็ดีใจ" รอยย่นบนใบหน้าบ่งบอกความใจดีและเปี่ยมด้วยเมตตา ก่อนที่หลวงพ่อฌองจะมองเลยไปยังด้านหลังของเขา "แล้ววันนี้ อีกคนไม่มาด้วยรึ"


      "เขาติดธุระน่ะครับ ผมเลยมาคนเดียว" เอนีลยิ้มให้แล้วเอ่ยปัดสั้นๆ ชายหนุ่มจ้องมองหลวงพ่อในชุดสีเข้มเบื้องหน้าก่อนจะกระแอมเบาๆ "พอดีผมมีเรื่องจะ..ปรึกษา"


     "...ได้สิ สารภาพบาปหรือ?" หลวงพ่อฌองเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน


    "เปล่าหรอกครับ ผม..เอ่อ..อยากถามเกี่ยวกับ..ที่นี่" นายแพทย์หนุ่มเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง


    "แปลกดี...ลูกเป็นคนแรกๆที่สนใจประวัติของที่นี่" บาทหลวงชราเอ่ยก่อนจะขยับก้าวเดินนำ "เข้าไปนั่งรอในโบสถ์ก่อนสิ พ่อมีรูปถ่ายแล้วก็หนังสือประวัติของโบสถ์นี้ ..แต่มันอยู่ในบ้าน ประเดี๋ยวจะเอามาให้ดู"


    "อ่ะ.ขอบคุณ ขอบคุณมากนะครับ" นายแพทย์หนุ่มรีบเอ่ยปากทันควัน "รวมทั้งเรื่องวันนั้นด้วย ผมหมดสติไปคงทำให้ลำบากหลายอย่าง"


    "หมดสติ?" สีหน้างวยงงนั้นทำให้เอนีลชะงัก


    "ที่ผม...." นายแพทย์หนุ่มอ้าปากจะอธิบาย หากก็นิ่งเงียบและเปลี่ยนเป็นยิ้ม "ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จำผิดไป ยังไงจะไปนั่งรอหลวงพ่อในโบสถ์นะครับ"


    "...ได้เลย งั้นรอสักครู่" เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ผู้ฟังก็ไม่ได้เอ่ยปากซักไซ้ หลวงพ่อฌองเดินเลียบข้างโบสถ์ไปยังบ้านพักที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ขณะที่เอนีลผละออกมาเดินเข้าไปในโบสถ์


     ฝีเท้าย่ำเข้าไปในโบสถ์เล้กๆที่ไร้ผู้คน มันก้องสะท้อนเบาๆเนื่องจากความสูงของหลังคาที่ไร้ฝ้าเพดาน เอนีลยืนจ้องมองรูปปั้นของพระเยซูคริสต์เบื้องหน้า แสงอ่อนๆที่สาดส่องเข้ามานั้นน้อยนิดเหลือเกินจนตกกระทบเสี้ยวหน้าที่มีแต่ความโศกเศร้าของพระองค์เท่านั้น กระจกสีด้านหลังสะท้อนภาพเทวดาตัวน้อยได้อย่างเลือนรางเมื่อเบื่องนอกมืดครึ้มด้วยพายุฝน นายแพทย์หนุ่มยืนมองเงียบๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่แถวหลังสุดของโบสถ์


     ....หลวงพ่อฌองไม่ทราบว่าเขาหมดสติ


     ก็ไม่แปลกหรอก เพราะเอนีลไปกับไคลน์สองคน ดูจากท่าทางชายหนุ่มคงมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะอุ้มเขาคนเดียวได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปเรียกหลวงพ่อฌองมาให้ยุ่งยาก จะแปลกอะไร..หากทำตัวเขามาแล้วเอาใส่รถพลางขับกลับไปเงียบๆ


    ...ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่มีคนเห็นหรอก..ไม่ใช่


   แม้ก่อนจะไปเขาจะได้ยินหลวงพ่อฌองบอกเต็มปากว่าตัวเองจะถอนหญ้าอยู่หน้าบ้าน แต่ใช่ว่าสาธุคุรผู้นั้นจะอยู่ตลอดเวลาเสียเมื่อไหร่..


 ก็แค่เรื่องธรรมดาสามัญที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ก็เท่านั้น


     "รอนานรึเปล่า..." เหม่อลอยสักพัก เสียงของหลวงพ่อฌองก็ดังขึ้น เอนีลกระพริบตาช้าๆ ชายหนุ่มมองร่างของอีกฝ่ายที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าพลางถือเทียนมาด้วยแล้วยิ้มบางๆ


     "ไม่หรอกครับ นั่งอยู่ตรงนี้สงบดี..ผมชอบ"


     "...มีอะไรปรับทุกข์ก็บอกพ่อได้นะ.." คงเพราะสีหน้าของเขาชัดเจน เอนีรลได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร ขณะที่หนังสือปกหนังเล่มใหญ่วางอยุ่ตรงหน้า


     "นี่...." เอนีลจ้องมองมันเงียบๆ "ดูเก่า..มากเลยนะครับ"


     "นับแต่สร้างโบสถ์ขึ้นมานะ มีอายุพอๆกันเลยเชียว" หลวงพ่อฌองเอ่ย ก่อนจะพลิกกระดาษสีน้ำตาลเก่าซีดช้าๆทีละแผ่น "เวลาจะอ่านต้องค่อยๆพลิก ...พ่ออ่านมันมาหลายรอบแล้ว แต่ครั้งนี้เพิ่งมีคนมาขออ่านด้วยกัน ก็รู้สึกแปลกดี"


      "...ผมคงรบกวน" นายแพทย์หนุ่มยิ้มเจื่อน


     "ไม่เลย..." บาทหลวงชราส่ายหน้าเงียบ"เป็นเรื่องดี หากมีคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องเก่า...อา...นี่คือคำอุทิศ"


      เอนีลจ้องมองถ้อยคำในกระดาษ ชายหนุ่มอ่านมันเงียบๆ "โบสถ์หลังนี้สร้างอุทิศแด่ลูกชายของมาควิสแชร์ซอง..ผู้จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย.."


      "เป็นการจากลาที่น่าเสียดาย ว่ากันว่าท่านมาควิสเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมา เลยตัดสินใจสร้างโบสถ์แห่งนี้อุทิศให้กับวิญญาณของบุตรชายตน" หลวงพ่อฌองเอ่ยสั้นๆ "โบสถ์แห่งนี้บูรณะมาแล้วสามครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อสิบปีก่อน จึงได้ทาผนังเป็นสีขาว ซึ่งแต่เดิมมันถูกก่อด้วยอิฐสีแดง"


       เอนีลพยักหน้ารับเงียบๆ ขณะที่หลวงพ่อฌองพลิกรูปวาดแสดงการบูรณะให้ดู


      "..ดูเหมือนจะมีพินัยกรรม หรือคำสั่งอะไรก็แล้วแต่ ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ว่าห้ามขาย หรือทำลายที่ดินแห่งนี้ รวมทั้งห้ามทุบโบสถ์หลังนี้ทิ้งด้วย" สาธุคุณวัยชราเอ่ยต่อเบาๆ พลางพลิกกระดาษสีเหลืองกรอบช้าๆ "แต่ก่อนจะมีคนของตระกูลมาวางดอกไม้ และพวงหรีดเนื่องในวันเสียชีวิตของบุตรชายท่านมาร์ควิสที่นี่..แต่ระยะหลังก็ค่อยๆหายไป"


       "...อาจจะเปลี่ยนที่กระมังครับ เพราะที่นี่ค่อนข้างไกล"


       "อาจเป็นไปได้ เพราะสุสานที่อยู่ด้านหลัง แต่เดิมก็ไม่ใช่ของตระกูลอยู่แล้ว" ฝ่ามือของชายชราพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ "แต่ทว่า สาเหตุที่ต้องมาวางดอกไม้..เห็นว่าลูกชายของท่านมาควิสเสียชีวิตที่นั่น"


        "เอ๋" ข้อความนั้นทำให้เอนีลใจหายวาบ "หมายถึง...สุสานน่ะหรือครับ"


       "...ใช่แล้ว" หน้ากระดาษใกล้จะหมด ฝ่ามือเหี่ยวย่นจึงค่อยช้าลง "จากที่ได้ฟังมา..เห็นว่าเสียชีวิตอยู่ใต้ต้นเร้ดวู้ดที่ตอนนี้กลายเป็นต้นไม้ที่เฉาตายคาต้น...ว่ากันว่าถูกฆาตกรรม และจับมือใครดมไม่ได้ เพราะแบบนี้กระมัง ผู้เป็นพ่อถึงได้เสียใจนัก"
        "อา...นั่น...สินะครับ" นายแพทย์หนุ่มเม้มปากแน่น ฝ่ามือสั่นระริก


       "มีคำร่ำลือกันว่าเกิดอาถรรพ์จนต้นไม้ต้นนั้นเฉาตายคาต้นเสียแหนะ...สมัยก่อน เรื่องราวช่างมีหลากหลายเสียจริง" หลวงพ่อฌองเอ่ยก่อนจะยิ้ม "พ่อจำได้ว่ามีรูปวาดลูกชายท่านมาควิสอยู่ด้านหลัง วาดด้วยสีน้ำมันเสียสวย เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี----------------"


       ถ้อยคำที่จะเอ่ยต่อไปกลับเงียบกริบ ฝ่ามือที่จะพลิกกระดาษสีน้ำตาลซีดจางไปยังหน้าสุดท้ายพลันชะงักอยู่แค่นั้น เอนีลเลิกคิ้วงงๆ หันไปหาบาทหลวงชราอย่างไม่เข้าใจ


      "มีอะไรรึเปล่าครับ?" เอนีลเอ่ยถาม


      "เปล่าหรอก..พ่อแค่นึกได้ว่าตากผ้าทิ้งไว้ นี่ฝนก็ใกล้จะตกแล้ว ยังไงก็ต้องไปอะ-----"



   ตุ๊บ


     ดูเหมือนบาทหลวงชราจะรีบร้อนเสียจนทำหนังสือหล่น เอนีลรีบก้มไปหยิบมาก่อนด้วยความรวมเร็วตามประสาผู้ที่ร่างกายแข็งแรงกว่า ชายหนุ่มหยิบมันมายื่นให้หลวงพ่อฌองแล้วยิ้ม


     "นี่ครับ  ผมขอบคุณมากสำหรับ............."


          ถ้อยคำที่จะออกมาจากปากของชายหนุ่มเงียบหายไปจนเหลือแต่เพียงถ้อยคำที่ไร้เสียง เอนีลจ้องมองภาพที่แลบออกมาจากด้านหลังของหนังสือ เส้นผมสีทองคำและดวงตาสีฟ้าของผุ้ที่อยู่ในภาพสีน้ำมันนั้นจ้องมองกลับมาอย่างเงียบๆ อะไรบางอย่างบอกให้เอื้อมมือไปหา เอนีลพลิกกระดาษสีน้ำตาลเก่าซีดนั้นช้าๆ ไปจนถึงหน้าสุดท้าย และได้มองภาพสีน้ำมันนั้นอย่างเต็มตา..


      บุรุษผู้หนึ่งในชุดแต่งตัวอย่างในยุคกลาง เสื้อสีขาวมีเน็คไทอันใหญ่ติดอยู่ตรงใต้คอ เสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนขลิบขาว นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ใบหน้าที่มองตรงมานั้นแฝงด้วยความอ่อนโยน ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองตรงมาเงียบๆ เส้นผมสีทองคำคลอเคลียไหล่ถูกมัดรวบไว้ด้านหลังด้วยริบบิ้นสีสด ริมฝีปากพรายยิ้ม ใบหน้างดงามยิ่งนัก ทั้งเปี่ยมด้วยบรรยากาศความอบอุ่นอ่อนโยนและเป็นกันเอง


      นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าไปสบตาหลวงพ่อฌองเงียบๆ ขณะที่บาทหลวงชราเอื้อมมือไปคว้ากางเขนที่ห้อยอยู่ในลำคอมาแนบอกแล้วพึมพัมถึงพระเจ้าเสียงเบา


       กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ พลางยื่นหนังสือคืนไปให้ เอนีลไม่รู้จะเอ่ยปากพูดสิ่งใด เมื่อคนในรูปนั้นเหมือนกับเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน!


++++++++++++++++++++++++++++++++

สองหนุ่มเจอกันแล้วแต่ก็คุยกันได้นิดหน่อย  มารอบนี้คุณพ่อบ้านซวยเบาๆอีกล่ะ ฮ่า


ส่วนเอนีล ...อุตส่าห์ไปสืบคนเดียวทั้งที ดันมาเจอว่าตุเคยม่องที่นี่จริงๆซะงั้น แหม อาจจะเป็นแค่คนที่เหมือนกันก็ได้นะคะะะ


//ไว้รอตอนต่อไปเน้อออ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 16 ความอยากรู้ + Lost 17 เรียกตัว * UP.13/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 13-06-2014 21:20:46



Lost 16 : ความอยากรู้


       ...แค่คนหน้าเหมือนกัน..เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว


เวลาที่ห่างกันนับร้อยปี..เรื่องแบบนี้ใช่จะเพิ่งมีเสียเมื่อไหร่



       กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ขณะที่ใบหน้าก้มต่ำ เอนีลจ้องมองฝ่ามือตัวเองที่กุมเข้าหากันแน่นเสียจนขึ้นข้อขาว เขาแว่วเสียงหลวงพ่อฌองขอตัวเอาหนังสือไปเก็บหลังจากคืนหนังสือประวัติของโบสถ์เล่มหนาไปให้ ชายหนุ่มไม่เอ่ยคำใด เขาไม่ได้หันไปมองหรือสบตาหลวงพ่อฌองเสียด้วยซ้ำ อาจจะเพราะกลัว.. หากสายตาของอีกฝ่ายมองมาเยี่ยงเขาเป็นตัวประหลาด ชายหนุ่มคงยากจะทานทน


       ...มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นได้กระนั้นหรือ..


     ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ด้วยความที่เรียนแพทย์ เอนีลมีคำอธิบายมากมายเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้อยู่ในสมอง ไม่ว่าเป็นความเกี่ยวข้องของเซล ยีนส์ หรือแม้แต่เรื่องรหัสด้านพันธุกรรมของมนุษย์


   ทว่าไม่มี...ไม่มีแม้คำอธิบายใด ที่จะบ่งบอกว่าทำไม...ความฝันของเขากับเรื่องราวความตายที่เกิดขึ้นจึงได้เหมือนกันขนาดนั้น
   ชายหนุ่มที่เดินออกไปในสุสานยามค่ำคืนเพื่อพบคนๆหนึ่ง ที่สุดแล้ว กลับถูกคนผู้นั้นสังหาร จากนั้นเขาก็หายไป และไม่อาจจับมือใครดมได้ว่าใครคือผู้ทำ


      ....เรื่องราวหลังจากความฝันนั้น คือที่มาของโบสถ์แห่งนี้


    และภาพก่อนหน้าความตายที่เขาพบเห็น ความสุขและความรักมากมายที่บุตรชายของหลอดเเชร์ซองพบเจอ นั่นคือค่าตอบแทนของคำว่ารักที่คนผู้นั้นมีให้ชายผู้หนึ่งที่เขาไม่รู้จักใช่หรือไม่..


       ...ไม่รู้จักงั้นหรือ...


       ไม่ใช่หรอก เขารู้จัก



       เอนีลกลืนน้ำลายช้าๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเงียบๆก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากม้านั่ง ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองเสี้ยวหน้าอันอ่อนโยนของรูปพระแม่มารีที่กระจกติดหน้าต่างด้านหลังเงียบๆ ม้องฟ้าหม่นครึ้ม แสงที่สาดลงมานั้นแสนอ่อนแรงจนไม่อาจเอื้อมถึงใบหน้าอันทุกข์ตรมของพระเยซูเจ้าที่ถูกตรึงกางเขน ทุกอย่างดูมืดมัว แช่นเดียวกับดวงตาสีท้องฟ้าที่ราวกับมีเมฆหมอกปกคลุม


      นายแพทย์หนุ่มสุดหายใจลึกก่อนจะผ่อนออกมาช้าๆ ที่สุดก็ตัดสินใจหลับตาลงและเดินออกไปในที่สุด


      ย่ำเท้าขึ้นไปตามเนินสีเขียวสด ด้านหลังคือทะเลสาบกว้างใหญ่งดงามและโบสถ์สีขาวหลังเล็ก อาณาบริเวณกว้างขวางไร้ผู้คน สวยเสียจนน่าชื่นชม หากบัดนี้ผู้ที่กำลังย่ำเท้าไปเงียบๆนั้นไม่ได้รับรู้ถึงความงามนั้นสักนิด เอนีลก้มหน้าต่ำ ดวงตาจ้องมองฝ่าเท้าของตนเงียบๆ สลับกันเงยหน้าขึ้นมองรอบกายเป็นพักๆ


    เมื่อออกมาร่างของหลวงพ่อฌองก็หายไปแล้ว อาจจะอยู่ในห้องหรือที่ใดก็ตามชายหนุ่มสุดจะรู้ เอนีลเดินดุ่มขึ้นไปตามเส้นทางเดิมที่เขาไปกับไคลน์เมื่อวันนั้น ชายหนุ่มนิ่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอยู่ในสมองเงียบๆ และไม่นาน..สุสานเก่าที่เขาเห็นในความฝันนั้นก็ปรากฏ


       ยืนมองรั้วเหล็กสีดำที่เหมือนจะมืดสนิทมากยื่งขึ้นเมื่อท้องฟ้าเบื้องบนนัน้มืดครึ้มด้วยเงาฝน เอนีลวางมือลงบนรั้วเหล็กนั้นเงียบๆ ออกแรงไม่มากก็สามารถผลักประตูสุสานที่ถูกงับปิดไว้ได้อย่างง่ายดาย


     ก้าวขาเข้าไปในสุสานที่เงียบสงบและเปลี่ยวเหงา เสียงลมพัดหวีดหวีวดังขึ้นใกล้ๆหูชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองจะกลับไปเป็นคนนั้น เป็นชายหนุ่มผู้ถูกฆาตกรรมในค่ำคืนนั้นอีกครั้ง ทุกฝ่าเท้าที่ก้าวย่างไปราวกับซ้ำอยู่ที่รอยเดิม ทุกเสียงลมหายใจนั้นสั่นพร่าราวกับจะรู้ว่าเวลาแห่งชีวิตนั้นใกล้จะจบสิ้น


     หยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่กลายเป็นเพียงซากแห้งกรังไร้ชีวิต หากไม่ได้ทราบมาจากคำบอกเล่าเขาคงไม่รู้ว่านี่คือต้นเร้ดวู้ด เอนีลจ้องมองมันเงียบๆ พลางหันกายไปจ้องสุสานกว้างขวาง ชายหนุ่มมองดูรุปปั้นเทวดาตัวน้อยที่บัดนี้ปีกสีขาวของมันหักทั้งยังถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลา น้ำฝนที่หยดไหลลงมารวมตัวกันคล้ายหยดน้ำตาสีเข้มบนหินที่แกะสลักรูปเทพธิดาสาว ใบหน้าก้มต่ำนั้นถูกผ้าคลุมศรีษะปกปิดเสียครึ่ง ทว่าก็ไม่อาจจะปิดบังความโศกเศร้าและท่าทีหวนอาลัยของหล่อนไปได้


     แกว๊ก....


       เสียงที่เคยคุ้นดังขึ้นเบื้องหลังทำให้เอนีลสะดุ้ง ไหล่ของเขาสั่นระริกน้อยๆ แต่ฝีเท้าก็ยังคงหันไปหา หมนตัวกลับไปยังด้านหน้าต้นเร้ดวู้ด ในที่ๆคนๆนั้นถูกฆาตกรรมและตายอย่างโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแล


      ร่างในชุดคลุมสีดำปรากฏอย่างเงียบเชียบเบื้องหน้าทำให้เผลอสุดหายใจลึกอย่างไม่รู้ตัว เอนีลจ้องมองดวงตาสีแดงของคนผู้นั้นเขม็ง แม้จะกลัวแต่เขาก็ไม่ถอยหลัง แม้จะมีท่าทีอดทนอดกลั้นจนตัวสั่นระริกเขาก็ไม่ปริปากร้อง


      "เห็นแล้วสินะ.." แววตาคู่นั้นทั้งรู้ทั้นและดูขบขันอยู่ในที


      "................" เอนีลพยักหน้าเงียบๆ ไม่ต้องถาม เขาก้รุ้ชายคนนี้หมายถึงสิ่งใด มันก็คงจะเป็นรูปภาพสีน้ำมันของชายหนุ่มคนนั้นเป็นแน่


      "เด็กหนุ่มคนซื่อ..." เสียงผ้าคลุมสะบัดไหวดังขึ้นเมื่อชายผู้นั้นยกแขนขึ้นให้การาเวนตัวใหย่เกาะลงเงียบๆ "...บุตรชายของท่านมาร์ควิสเจ้าของที่ดินอันร่ำรวย เติบโตมาในครอบครัวที่ดี..และมีความสุข เสียก็แต่ มีบางอย่างรบกวนจิตใจเขามาเนิ่นนาน..."


      ".......ฝัน..." เอนีลพึมพัมเสียงเบาราวกับกระซิบ ชายหนุ่มรู้สึกว่ามือของเขากำแน่นขึ้น


      "ถูกต้อง..." ริมฝีปากคู่นั้นยิ้มเยื้อน จ้องมองมาอย่างรู้ทัน "ความฝันที่เจ้าคงเคยชินกับมันมิใช่น้อย...สิ่งที่เราไปดูด้วยกันวันนั้นอย่างไรเล่า...ความฝัน...."


       "ฝันของเจ้า แต่คือความจริงของใครหลายคน"


      "................."


      "....ที่สุดเหมือนเขาจะเจอใครบางคน ที่รักและเข้าใจเขาเสียเหลือเกิน ปลอบประโลม คอยเคียงข้าง เข้าอกเข้าใจ.." ชายผู้นั้นเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ "และสุดท้าย....จุดจบของเขา คือถูกชายผู้นั้นฆ่า"


       "....เจ้าก็เห็น ในฝันนั้นคือใคร"


       "...ผม..." เอนีลเม้มปากแน่น "...ไม่ ชะ--------"


      "ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าเชื่อ" ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะแผ่วเบา "แต่เจ้าก็สงสัยใช่ไหมล่ะ ถึงได้มาที่นี่เพียงคนเดียว...ไม่เอาองค์รักษ์ของตนมาด้วย"


      "ผมแค่อยากรู้"


      "ความอยากรู้..." ดวงตาสีแดงคู่นั้นหันมาสบ "ใช่แล้ว เจ้านั้นมักพลาดพลั้งกับความอยากรู้เสมอ..นับแต่อดีต มาถึงยามนี้..ไม่เปลี่ยนแปลง"


      "ความอยากรู้ทำให้เจ้าหันมามองข้า ความอยากรู้ทำให้เจ้ารับของสิ่งนั้นไปจากข้า ความอยากรู้ ทำให้เจ้ามาที่นี่...ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าจะพบข้า"


     "และความอยากรู้...จะทำให้ชีวิตเจ้าสั้นลงอีก"


    "กำลังขู่ผมเหรอ" เอนีลเม้มปากแน่น เงยหน้าไปจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาวาววับ


    "ข้าจำต้องขู่เจ้าด้วยรึ..." ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาอย่างเงียบเชียบ ขณะที่ปลายนิ้วเรียวไล้ขนนกสีดำสนิทของการาเวนบนแขนตนเบาๆ


    ".....คุณไม่น่าไว้ใจ" ชายหนุ่มเอ่ยสั้นๆ


    ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆ "ใครที่เจ้าไว้ใจได้บ้าง..ข้ายังสงสัย"


     "...เจ้าไว้ใจพ่อบ้านเฒ่าๆผู้นั้นรึ...หรือว่าเป็นพวกคนคุ้มครองที่อยู่รอบๆ...ไว้ใจชายหนุ่มที่เคยบีบคอเจ้า..หรือไว้ใจ....."มัน" ที่กำลังปกปิดและหลอกลวงเจ้าอยู่"


     "....ไคลน์ไม่ใช่คนแบบนั้น"


     "...บางทีสิ่งที่เหมือนเดิม..ในตัวเจ้าคงมีเพียงความดื้อดึงและดันทุรัง" ปลายนิ้วสีขาวละออกจากกาตัวใหญ่ พลางเอื้อมมือมาเบื้องหน้า เอนีลเบิกตากว้าง เขาอยากจะถอย แต่ทว่าฝีเท้ากลับนึ่งอึ้งราวกับถูกหินถ่วงและไม่อาจขยับไหว


     "...หากอยากรู้ความจริง จงเรียกชื่อข้า" ปลายนิ้วสีขาวแตะลงบนหน้าผากเพียงเเผ่วเบา หากกระแสเย็นยะเยีบที่แผ่ออกมาทำให้สมองชาหนึบ "เซดีส"


    ตุ๊บ.....


      เพียงออกแรงผลักเล็กน้อย ร่างของนายแพทย์หนุ่มก็ทรุดตัวลงไปนอนแน่นิ่ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดสนิทราวกับอยู่ในนิทรา หากใบหน้าแสดงชัดถึงความเคร่งเครียดไม่เข้าใจ ดวงตาสีแดงของผู้กระทำเหลือบมองเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ร่างนั้นจะหายลับไปอย่างเงียบเชียบ


       สายฝนค่อยโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าสีหม่นราวกับท้องนภากำลังร่ำไห้ ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นอนนิ่งไร้สติอยู่ในสุสานกว้างใหญ่นั้นยังไม่มีท่าทีราวกับจะลุกขึ้น เขานอนอยู่ที่นั่นพลางหลับตาลงและทอดกายลงบนผืน ใต้ต้นเร้ดวู้ที่ไร้ใบไร้ชีวิต ภายในสุสานรกร้างที่มีเพียงแมลงและสิ่งมีชีวิตอื่นอันไม่ใช่มนุษย์ ยิ่งสายฝนโปรยปรายหนักเท่าไหร่ หมอกสีขาวก็โรยตัวลงมากยิ่งขึ้น รอบกายดูขมุกขมัวราวกับเป็นดินแดนแห่งความฝัน และยิ่งดูราวกับ...เขานั้นได้ตายลงไปแล้วจริงๆ


 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ปวดหัว.....


     สิ่งแรกที่รับรู้ยามลืมตา คือศรีษะที่ปวดราวกับถูกฆ้อนรุมกระหน่ำ ลมหายใจผ่าวร้อน และดวงตาที่หนักอึ้งจนแทบเปิดขึ้นไม่ไหว ทุกสิ่งนั้นทำให้เอนีลตระหนักได้ว่าเขากำลังไม่สบาย


      ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง สิ่งแรกที่มองเห็นคือเพดานเตียงอันเคยคุ้น อดจะยิ้มแล้วคิดอย่างขบขันไม่ได้ว่าเมื่อไหร่กันที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนเตียงนี้มากกว่าทำกิจกรรมอื่น ในระยะนี้ตัวเขาเดี๋ยวก็ป่วย เดี่ยวก้สลับ หมดสติไปจากสาเหตุหลากหลายเสียจนนับครั้งไม่ถ้วน


   ....และเกินกว่าครึ่ง มันยังเป็นสาเหตุที่ไร้คำอธิบายเสียด้วย


    ถอนหายใจอย่างระทดระท้อ รับรู้ได้ถึงสายตาของใครบางคนที่มองมา เอนีลเอียงใบหน้าจ้องมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าอ่อนโยนนั้นถูกผ้าม่านสีอ่อนปิดบังไว้ หาากแต่ชายหนุ่มก้คุ้น คุ้นเสียจนแทบไม่ต้องเดาเลยว่าคนๆนั้นคือใคร


     "ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ" ชายหนุ่มเอ่ย พลันรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเขาแหบแห้ง


     รอยแยกของผ้าม่านถูกเปิดออกพร้อมกับใบหน้าของไคลน์ สไตร์คเซอร์ ที่ฉายแววเคร่งขรึมมองมาเขม็ง "คุณหลับไปตั้งคืนนึงเต็มๆ"


    "นานจัง..." เอนีลยิ้ม นึกได้ว่าตอนที่เขาไปยังโบสถ์แห่งนั้น มันยังเป็นตอนบ่าย


    "คุณ...." สีหน้าของชายหนุ่มเหมือนจะถามและซักไว้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหากแต่ก็เงียบและพยายามอดใจไว้ "หิวน้ำรึเปล่า"


    "...ขอน้ำอุ่นนะครับ"เอนีลพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะพยุงตัวเองนั่งพิงหัวเตียง แม้จะรู้สึกมึนอยู่ไม่มากก็น้อย


   "น้ำมาแล้ว ค่อยๆทานนะ" เสียงของไคลน์ทำให้เอนีลค่อยละออกจากภวังค์ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรับน้ำอุ้นในแก้วที่ถูกส่งมาให้อย่างรวดเร็ว


หากพลันปลายนิ้วแตะกระทบกัน ร่างพลันกระตุกเฮือก!   


    "เอนีล!" ไคลน์ร้องเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง ทันทีที่ปลายนิ้วของเอนีลสัมผัสกับมือของเขา ร่างของชายหนุ่มพลันสะดุ้งราวกับมีบางสิ่ง ซ้ำยังปละออกราวกับต้องของร้อน นั่นทำให้น้ำในแก้วหกลงรดผ้าห่มทันที ขณะที่เจ้าของห้องยกมือขึ้นกุมศรีษะตัวเองทันควัน!


    "เอนีล เอนีล ..! คุณเป็นอะไร?" ไคลน์ร้องเรียกชื่อชายหนุ่มอย่างร้อนรน ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววงวยงงและตระหนกกับเรื่องที่เกิด ขณะที่เอนีลไม่ได้ตอบรับใด ร่างของชายหนุ่มงองุ้มเข้าหากันพลางขมวดคิ้ว ใบหน้าซุกลงกับเข่าและมือทั้งสองข้างกุมศรีษะตนเองแน่น


    "เอนีล...เอนีล ตอบผมสิ!!" ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ไคลน์ดึงผ้าห่มออกไปจากร่างของคนป่วยพลางถลาเข้าหา ทันทีที่เขาแตะปลายนิ้วลงไปร่างของคนตรงหน้าพลันสะดุ้งเฮือก นอกจากผิวกายที่ร้อนจัดราวกับเปลวไฟเนื่องจากพิษไข้ ร่างที่สั่นระริกราวกับหวาดกลัวของชายหนุ่มเบื้องหน้าก็ทำให้แปลบใจวูบ หากแต่เมื่อตัดสินใจจะเข้าไปกอดไว้ มือของชายหนุ่มกลับยกขึ้นมากันราวกับนกรู้


     "ไม่......ไม่เป็นไร" เอนีลพึมพัมเสียงเบา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาในที่สุดด้วยดวงตาแดงก่ำ ครู่หนึ่งมันฉาบไปด้วยความเจ็บปวดบางสิ่งที่ตนไม่อาจเข้าใจ ไคลน์ชะงัก เขาขยับห่างออกจากเจ้าของร่างเมื่อผู้เป็นเจ้าของห้องค่อยๆลูบผมและลูบหน้าตัวเองช้าๆ ราวกับกำลังจัดการสติให้เข้าที่


    "...ขอโทษ เมื่อกี้ ผมปวดหัว ปวด....มากๆ" ปลายนิ้วสีขาวยกขึ้นสางผมตัวเองยังคงสั่นระริกและดวงตาสีท้องฟ้านั้นแดงก่ำ


    "....คุณ...มีไข้สูง" ไคลน์มองท่าทีนั้นอย่างห่วงใย


   "...ครับ..ผมขอโทษ ผมไม่ทันระวังตัว ผม..." จะเอ่ยถึงสถานที่ๆตนไปแต่ก็เงียบเสียงลง "...ผมปวดหัวมากจริงๆ"     


   "...กินยาไหมครับ เดี๋ยวคงดีขึ้น" ไคลน์เอ่ยเสียงเบา แม้จะรู้ว่ามีบางสิ่ง แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอกเขาก็สุดจะคาดคั้น


   "ก็ดีครับ..ขอบคุณนะ" เอนีลหันไปยิ้มบางๆให้ชายหนุ่ม หากมันคงเป็นเพราะพิษไข้เป็นแน่แววตานั้นจึงสั่นไหวและดูเสณ้าสร้อยอย่างน่าประหลาด


    รับยาไปกินพลางตามด้วยน้ำเงียบๆ แม้เอนีลจะมีท่าทีแปลกไปแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรอีกแล้วเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกัน  ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองผ้าห่มที่เปียกน้ำเป้นวงกว้างแล้วยิ้มเจื่อน ".....ทำหกหมดเลย ผมนี่ซุ่มซ่ามจริงๆ"


    "อย่าคิดมากเลย เอาไปทำความสะอาดแปปเดียว" ไคลน์ยิ้ม เอื้อมมือไปบีบมือคนตรงหน้าเงียบๆ คล้ายจะบอกว่าผมอยู่ตรงนี้โดยไร้คำพูดใด


    "...อืม...ขอบคุณนะครับ" ดึงมือออกช้าๆ พลางเสไปดึงผ้าห่มออกไปจากตัว "คงต้องหาผืนใหม่เสียแล้ว...เห็นว่าเก็บอยู่ในตู้ใช่รึเปล่านะ"


   "...ผมจะลงไปบอกฟาเอลให้"  ไคลน์เสนอตัวอย่างมีน้ำใจ


   " ..อืม ครับ ผมไม่ต้องใช้ผ้าห่มก็ได้ ตอนนี้รู้สึกร้อนๆแล้ว สงสัยยาจะออกฤิทธิ์" เอนีลตอบยิ้มๆก่อนจะค่อยทรุกตัวลงนอนบนเตียงพลางหลับตาลงช้าๆ


    "นอนพักอีกสักครู่คงดีขึ้น..." เอ่ยบอกเบาๆ แต่กระนั้นไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็ยังไม่ลุกไปไหน


    "...ครับ..." เอนีลรับคำเบาๆก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง "ผมขอนอนพักก่อน..คุณไปพักเถอะนะครับ.."


    "...ผมจะอยู่ตรงนี้ จนกว่าคุณจะหลับ" ถ้อยคำที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาดูอ่อนโยนนัก


    "ไม่เป็นไรหรอกครับ" เอนีลส่ายหน้าช้าๆ "แค่นี้ก็รบกวนจะแย่อยู่แล้ว ...คุณไปพักเถอะ.."


    "แต่...."


    "นะครับ..ผมอยากนอนพัก....คนเดียว"


     ถ้อยคำนั้นทำให้ไคลน์นิ่งเงียบ ชยหนุ่มมองหน้าเอนีล สบตาสีท้องฟ้าที่ยังฉายแววเหนื่อยล้าครู่หนึ่งก่อนจะถอนใจเบาๆแล้วยิ้มรับ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากข้างเตียง  หันไปจูบหน้าปากของคนป่วยเสียทีหนึ่งอย่างมิใยเสียงคัดค้านปนขัดเขินนั้น ก่อนจะปลดผ้าคลุมเตียงให้บังรอบเตียงของชายหนุ่มแล้วเดินออกมาช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองคนที่นอนพักบนเตียงครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วงับปิดลง


     ผ่านไปครู่ใหญ่ ท่ามกลางเสียงลมหายใจที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้ เอนีล ชาส์เดอตงส์ลุกขึ้นจากเตียงเงียบๆ ชายหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียงฝั่งขวามือของตนเองพลางมองประจกบานใหญ่เบื้องหน้า สิ่งที่สะท้อนออกมายังคงเป็นใบหน้าและแววตาเดิมๆของตนเองที่แสนเคยคุ้น


    นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาช้าๆ เอนีลยกมือทั้งสองข้างกุมใบหน้า ซุกตัวลงบนเข่าพลางร่ำไห้ด้วยเนื้อตัวสั่นระริก


+++++++++++++++



แว้บมาแบบตอนนี้แอบดราม่าาาา


ได้เจอหนุ่มพกกาอีกแล้ว ตอนนี้เฉลยแล้วนะคะว่าพ่อหนุ่มนี่ชื่อว่าเซดิส แต่จะเกี่ยวอะไรกันไหม โปรดติดตาม อุอุ

ส่วนตอนนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมเอนีลถึงได้ร้องห่มร้องไห้  ทะเลาะดราม่าอะไรกับพ่อไคลน์ อันนี้ไว้ติดตามเช่นกันค่าา

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 16 ความอยากรู้ + Lost 17 เรียกตัว * UP.13/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 13-06-2014 21:25:39



Lost 17 เรียกตัว



เวลาล่วงเข้าไปถึงยามใกล้เที่ยง กว่าเจ้าของห้องจะลงมาทานอาหารเช้า..


    เอนีล ชาส์เดอตงส์มีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเงียบๆพลางจ้องมองผู้ที่รอตนอยู่บนโต๊ะอาหาร ดวงตาสีท้องฟ้าสบมองดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองมาก่อนแล้วด้วยความแปลกใจไม่น้อย นายแพทย์หนุ่มยิ้มให้เงียบๆพลางนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วหยิบหนังสือพิมพ์กรอบเช้ามากวาดตามองดู


    บนหน้ากระดาษไม่ได้มีข่าวใดไปมากกว่าเรื่องราวเดิมๆที่เป็นอยู่ในขณะที่ การรุกรานของเยอรมันนี้ เคลื่อนพลไปโปแลนด์ ฝรั่งเศษเตรียมตั้งรับ อังกฤษรอดูท่าที บทเพลงของสงครามใกล้จะขับขานอีกครั้ง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฝืดเคืองมากขึ้นตามลำดับ นายแพทย์หนุ่มพับเก็บหนังสือพิมพ์หลังจากครัวซองต์ร้อนๆและซุปหัวหอมถูกวางลงเบื้องหน้า


     "ทานข้าวรึยังครับ?" เอ่ยถามอย่างมีน้ำใจ ยามเมื่อพับเก็บกระดาษหนังสือพิมพ์ลงแล้วชายหนุ่มเบื้องหน้ายังมองอยู่เงียบๆ


     "...รองท้องมาบ้างแล้วล่ะครับ" นั่นแสดงว่าไม่ได้กินอะไรแน่นอน เอนีลจึงหันไปขออาหารเช้าให้ไคลน์อีกหนึ่งชุด


     "....คุณคงมีเรื่องอยากคุยกับผม"ชายหนุ่มพอจะเดาท่าทีจากสายตาคู่นั้นออก


     "...มากพอดูด้วยครับ" ไคลน์ยิ้ม


     "อืม..." เอนีลรับคำพลางพยักหน้าเงียบๆ ชายหนุ่มกัดครัวซองต์เคี้ยวคำหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้ม ท่าทีสงบนิ่ง "พูดมาสิครับ..ผมจะรอฟัง"


      "เมื่อวาน..." ไคลน์ สไตร์คเซอร์เกริ่นขึ้นเงียบๆ แม้จะมีท่าทีงวยงงกับอาการของอีกคน แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรไปมากกว่านั้น และอีกอย่าง ชายหนุ่มอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มากกว่า "คุณหายไปไหนมา"


      "น่าจะทราบไม่ใช่เหรอครับ.."เอนีลเลิกคิ้ว "น่าจะเป็นคุณ..ที่ไปรับผมกลับมา" จากการคาดเดาแล้ว จะเป็นคนอื่นยิ่งเป็นไปไม่ได้


      "นั่นมันก็จริงครับ" ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆ สัมผัสได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น "...ผมถึงยิ่งอยากถาม..ทำไม เพราะอะไร คุณถึงไปที่นั่นอีก ทั้งที่...มันไม่ใช่สถานที่ซึ่งมีความทรงจำดีๆ"


       "มีสิครับ" เอนีลขัดขึ้นเงียบๆพลางยิ้มบาง "ที่ๆคุณพาผมไป..นั่นคือความทรงจำที่ดี"


       "...ถ้าอย่างนั้น ผมก็อยากให้เราไปด้วยกัน"


       "อย่างที่เราเคยตกลงกันไว้น่ะหรือครับ? " เอนีลถามชายหนุ่มเบื้องหน้ายิ้มๆ


       "...ผมเป็นห่วง...ผมกลัวคุณจะเป็นอันตราย" ได้มองรอยยิ้มราวกับไม่รู้สึกรู้สาใดแล้วไคลน์กลับปวดฟันจี้ดขึ้นมาดื้อๆ รู้สึกราวกับคนตรงหน้ากลับไปเป็นคุณชายผู้เอาแต่ใจดื้อดึงในวันแรกที่พบกันอีกครั้ง ทั้งที่ไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขายังสนิทสนมกันมากมาย นายทหารหนุ่มอดจะคิดไม่ได้ ว่าตนเองทำความผิดอะไรไว้ คนตรงหน้าถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นนี้


       "เมื่อวานผมรู้สึก...ขอโทษนะครับ...คือผมรู้สึกแปลกๆ อึดอัดเหมือนจะเป็นบ้า..ผมคิดว่าตัวเองอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องไปที่ไหนสักแห่ง..ต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นจะได้เสียสติเอาจริงๆ" เหมือนจะจับได้ถึงความไม่สบายใจของอีกคน เอนีลจคงรีบเอ่ยปาก นายแพทย์หนุ่มหัวเราะเจื่อนสีหน้าขอลุแก่โทษจ้องมองมาเงียบๆ


         "เพราะอย่างนั้นผมเลยออกไป..ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอก แต่เวลานั้น ผมรู้สึกอยากอยู่คนเดียว แม้จะรู้ว่าไม่ปลอดภัย แต่ผมก็อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ...คิดอะไรเงียบๆ ที่ๆผมนึกออก ก็เป็นที่นั่น"


        "จากนั้นก็อย่างที่เราเจอนั่นล่ะครับ ไม่นานฝนก็ตก ผมขับรถไปขอพักที่โบสถ์ของหลวงพ่อฌอง อยู่ดีๆก็นึกครั้มอยากเดินกลางฝนขึ้นมา..เล่นเอาป่วยเสียจนต้องมาวุ่นวายดูแลกันแบบนี้ ผมขอโทษนะครับ"


         "...แต่จากที่คุณ"....ไคลน์อยากท้วงถึงเรื่องที่ชายหนุ่มนอนสลบสไลอยู่ในสุสาน ด้วยสภาพราวกับคนตายเช่นนั้น เขาไม่อยากจะพูดเลยว่ายามนั้นตัวเองรุ้สึกหวาดกลัวและสังหรณ์ร้ายเพียงใดว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นต่อคนๆนี้


        ".....ครับ"


        "ไม่มีอะไรมากกว่านั้น...จริงเหรอ?" ไคลน์จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า แววตาคล้ายจะหมองลงไม่น้อยด้วยความเศร้าบางอย่าง


        "ขอโทษครับ..แต่ไม่มีจริงๆ" เอนีลถอนใจเบาๆ "ผมรู้ว่ามันน่าห่วง ครั้งก่อนผมก็เป้นลม สลบไปอย่างนั้น แต่คราวนี้ไม่มีอะไรหรอกครับ"


        "...ผู้ชายคนนั้น" ไคลน์เปรยขึ้นมาเบาๆ "ที่เราเจอเขาเมื่อวันก่อน..."


   เอนีลชะงัก วางแก้วกาแฟที่จะจิบลงทันควัน แววตาไหวระริก


....ชายที่พวกเขาว่ากันว่าไม่ใช่คน...ชายคนนั้น


        "....ผม ไม่ได้เจอเขา" เอนีลเม้มปากแน่นก่อนจะถอนใจเบาๆ "..ขอยอมรับนะครับ ว่าแอบคิดว่าจะได้เจอ จริงๆตอนนั้นผมช่างบ้าบิ่นเสียเหลือเกิน คิดว่าถ้าได้เจอแล้วถามให้รู้เรื่อง จะได้ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายอะไรกับตัวเองอีก ทุกอย่างจะได้จบลๆ ทั้งฝันีร้าย ทั้งเรื่องราวแปลกๆบ้าบอ โง่สิ้นดี.."


       "................"


       "แต่เหมือนจะไม่มีใครเข้าข้างผม..สิ่งที่รออยู่เมื่อไปที่นั่น มีเพียงสุสานเก่า ป้ายหิน รูปปั้นแตกหัก..กับสายฝนเท่านั้นเอง"
พูดแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงขื่นขม..


      ไคลน์ไม่พูดอะไร ชายหนุ่มมองคนที่จิบหาแฟเอสเพรสโซ่เข้มจัดเบื้องหน้าด้วยแววตาปวดร้าวอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่แม้จะเป้นเพียงครู่เดียว เขาก็สัมผัสได้ถึงความทุกข์ตรมขื่นขมของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน


        "เอนีล...." ผ่านไปครู่ใหญ่ ไคลน์ก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง


        "ครับ?" ชายหนุ่มรับคำเสียงใส ใบหน้ายิ้มๆจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลเข้มของผู้เอ่ยถาม


        "......ผม" ท่าทางเหมือนไคลน์จะอึดอัดขัดข้องใจอะไรบางอย่าง จึงได้มีท่าทีกระวนกระวายปนครุ่นคิดเช่นนั้น "...ผมอยากถาม"


        "..............."


         "คุณยังไว้ใจผมอยู่ใช่ไหม?"


         ชายหนุ่มกระพริบตาปริบ "ใช่สิครับ"


         "ยังไม่ได้เปิดหน้าต่างบานนั้นใช่ไหม?"


          "ผมทำตามที่คุณบอกอย่างเคร่งครัด" เอนีลอมยิ้ม


          "ถ้าเช่นนั้น..." ไคลน์ถอนหายใจเบาๆ เอื้อมมือไปหาพลางกุมมืออีกฝ่ายไว้เงียบๆ สีหน้าและแววตาแฝงความจริงจังและมุ่งมั่นชัดเจน "...นับจากนี้..หากคุณมีอะไร ผมอยากให้คุณพูดกับผม บอกกับผม แม้ผมจะช่วยอะไรไม่ได้ แม้ผมจะเป็นที่ปรึกษาที่แย่ แต่ผมก็เป็นห่วงคุณ..ห่วงใยคุณมากๆ และกลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป ที่คุณหายไป...สำหรับผม มันคือเวลาที่เลวร้ายที่สุด"


        ดวงตาสีท้องฟ้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงียบๆ กริยาอาการนั้นทำให้เอนีลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเบาๆแล้วเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่าย เขาบีบมือไคลน์ไว้แน่นเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายจับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน


         "ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้คุณไม่พอใจ..." นายแพทย์หนุ่มสบตาอีกคนเงียบๆ "ผมยอมรับว่าเมื่อวานทำตัวไม่ดี..คราวนี้ผมจะไม่ห่างสายตาคุณโดยไม่บอกอีกแล้ว..นะครับ...ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจคุณหรือคิดว่าคุณพึ่งพาไม่ได้ แต่บางครั้งผมก็แค่อยากคิดทบทวนอะไรเงียบๆคนเดียว.. ถ้ามันทำให้คุณไม่สบายใจ หลังจากนี้ผมจะบอกคุณทุกครั้งนะครับ"


         "...ขอบคุณครับ" เมื่อได้ฟังคำมั่นนั้นแล้วไคลน์ก็มีท่าทีผ่อนคลายลง "ขอบคุณมากๆ ที่คุณเชื่อใจและไว้ใจผม"


         ถ้อยคำนั้นทำให้ดวงตาของผู้ฟังไหววูบไปครุ่หนึ่ง หากเอนีลก็พยักหน้า "ครับ..ผมเชื่อ..และไว้ใจคุณ"


    แววหวั่นไหวในดวงตาของคนทั้งคู่หายไปแล้ว เหลือเพียงความอบอุ่นและเชื่อใจกันอย่างลึกซึ่งที่ส่งผ่าน พวกเขาจ้องมองกันอย่างเงียบๆโดยที่ปลายนิ้วและฝ่ามือยังกุมกันอยู่อย่างนั้นกระทั่งอาหารกลางวันถูกมาเสริฟ์พร้อมเสียงกระแอมของฟาเอลที่ดูจะดังกว่าปกติ ทำให้ผิวแก้มของเอนีลร้อนวาบ เสไปจิบกาแฟยามเช้ากลบเกลื่อนอาการเสีย ท่ามกลางแววตาวิบวับรู้ทันของไคลน์ สไตร์คเซอร์คนนั้น


       บรรยากาศแปลกๆทั้งชวนขัดเขินและกระอักกระอ่วนของมื้อเช้าในยามใกล้เที่ยงวันดำเนินไปเช่นนั้น ทั้งสองสนทนากันเรื่อสัพเพเหระพลางทานอาหารไปด้วย ทว่าไม่ทันจะได้จบมื้อ เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น


        เอนีลมองฟาเอล กีโยต์ พ่อบ้านของตนเดินไปรับโทรศัพท์ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาหา


      "...นิโคลัสโทรมาครับ"


    เอนีลชะงัก วางครัวซองต์ในมือลงทันที พลางเช็ดมือกับผ้ารองบนตัก


      "ครับ ผมคุยเอง"



+++++++++++++++++++++++++++++



        กระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มเข้ากับตัว พลางถือหมวกสีดำและกระเป๋าใส่เอกสารในมือขวา อากาศที่แปรปราวนของกรุงปารีสบอกให้ควรพกร่มติดมือไว้ จ้องมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบบ่ายโมง เวลานัดใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ตัวเขายังออกจากบ้านไม่ได้ เพราะชายสองคนที่กุลีกุจอทำนั่นทำนี่ให้ไม่หยุด


         "กินยารึยังครับ?" นี่คือคำถามจากฟาเอล พ่อบ้านเฒ้าห่วงใยสุขภาพของเขาเสมอ


         "กินแล้วครับ เมื่อกี้นี่เอง" เอนีลตอบยิ้มๆ


        "อากาศแบบนี้ไม่น่าไว้ใจ ให้ผมไปส่งไหม" นี่ก้เป้นคนใหม่ที่เข้ามาห่วงใยและทำตัวเป็นผู้ปกครองของเขาอีกราย ไคลน์ สไตร์คเซอร์


         "ผมพกร่มมาแล้วนะ ไม่เป็นไรหรอกครับ"


        "ถ้าอย่างนั้นผมขอไปส่ง"


         "โถ่ ใกล้นิดเดียวเอง"


         "แบบนั้นก็ถือว่าผมไปเดินยืนเส้นยืดสาย ออกกำลังกายกับคุณแล้วกันนะครับ"


        "ห่วงกันเสียยิ่งกว่าคุณพ่ออีกแหนะ ผมไปคนเดียวเองได้ครับ ลุงฟาเอล...ช่วยห้ามไคลน์แล้วบอกให้เขาพักสบายๆอยู่ที่ห้องหน่อยสิ"


        "...ครั้งนี้ผมเห็นด้วยกับเมอร์ซิเยอร์สไตร์คเซอร์ครับ"


        "....เข้าขากันดีตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย"


           บทสนทนาที่เต็มไปดว้ยความห่วงใยแต่แสนจะวกวนไปมาในสายตาคนฟังดังอยู่เป็นหลายนาทีแล้วแต่ยังไม่อาจได้ข้อสรุป เอนีล ชาส์เดอตงส์รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจล้นเหลือ  แม้เขาจะรู้สึกดี..รู้สึกพอใจและปลาบปลามเป้นอย่างมากในความห่วงใยที่ได้รับ ทั้งจากลุงฟาเอลผุ้เปรียบเสมือนบิดา และกับไคลน์..คนที่บัดนี้เขาถือว่ามีความพิเศษอยู่ในใจอย่างหนึ่งแม้ตนไม่อาจะรู้และจำแนกลักษระของความรู้สึกนี้ได้ก็ตาม ...คนสองคนที่สำคัญต่อเขา รุมห่วงใยและเต็มใจคอยดูแล ช่างแสนน่าปลื้มใจ...


         ..เอนีลก็ปลื้ม เขาปลื้มใจมาก หากแต่ชักจะเริ่มปลื้มไม่ไหว หลังจากพบว่าการ"ห่วงมากไป"ทำให้เขาไม่ได้ออกไปจากบ้านเสียที


       นายแพทย์หนุ่มมองเวลาแล้วถอนหายใจเบาๆ เขามีนัดที่มหาวิทยาลัยแพทย์ของปารีสหลังจากที่นิโคลัสโทรมาหา เรื่องที่ผู้ช่วยของเขาอาละวาดทำร้ายร่างกายตนนั้นหลุดรอดไปสุ่หุของอธิการบดีเมื่อใดก้ไม่อาจทราบใด ทว่ามันส่งผลร้ายต่อนิโคลัสเป็นแน่แท้ ชายหนุ่มจะถุกตั้งคระกรรมการสอบสวน และถูกประเมิณคุณลักษระในการประกอบอาชีพใหม่ และเขา..เอนีลก็เป็นเพียงคนเดียวที่จะไปให้การและช่วยเหลือนิโคลัสได้


      เขาไม่มีทางยอมให้อนาคตของคนๆหนึ่งต้องมาพังเพราะความผิดที่ไม่รู้ตัวว่าก่อไปตอนไหนแน่ๆ


      ...แต่ตอนนี้ สองชายในบ้านกำลังจะทำให้เขาสาย ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าลดความเชื่อถืออย่างยิ่ง


        "เดินไปไม่ทันเวลานัดแน่ๆ..แะนั้น ไคลน์ครับ รบกวนขับรถไปส่งผมหน่อย.." ที่สุดนายแพทย์หนุ่มก้จำต้องเอ่ยปาก "ส่วนลุงฟาเอล..ผมทานยา ผมจะรักษาสุขภาพให้ดีที่สุด ที่ๆผมไปคือวิทยาลัยแพทย์ชั้นหนึ่งของฟารีส.. แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมต้องได้รับการดูแลรักษาที่ดีทีสุดแน่นอน"     


         " แต่ผมไม่อยาก...."พ่อบ้านเฒ่ายังเอ่ยปากค้าน


         "แน่นอนครับ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่อง ผมก็เช่นกัน เพราะแะนั้นผมจะดูแลตัวเอง" เอนีลจูบแก้มเหี่ยวย่นเบาๆ "..ก็แค่พุดเผื่อไว้ ต้องไปแล้วล่ะครับ"


         ว่าแล้วนายแพทย์หนุ่มก็เปิดประตูอพาร์ทเมนต์เดินออกไปด้านนอกทันที เขามองไคลน์ที่สตาร์ทเครื่องยนต์รออยู่แล้วเดินขึ้นไปนั่งข้างคนขับ พลางหันไปโบกมือให้ฟาเอลที่เดินมายืนมองอย่างอาลัยที่หน้าบ้านก่อนจะลดมือลงเมื่อพ้นจากแยก


          "....รู้สึกเมหือนพวกคุณวางแผนกันไว้เลย" ชายหนุ่มหมายถึงการเอาแต่ห่วงโน่นห่วงนี่เสียจนเขาไม่อาจจะเดินมาโดยง่าย แถมทำให้ช้าเสียจนต้องขอให้ไคลน์ขับรถมาส่ง


         "ผมเปล่า.." ไคลน์เอ่ยปากปฏิเสธยิ้มๆ แต่เอนีลกลับรู้สึกประหนึ่งชายหนุ่มกำลังบอกว่า "ใช่ คุณเดาถูกแล้ว" เสียมากกว่า


        "มันไม่มีอะไรหรอกครับ.." พอจะรู้ถึงความกังวลของทั้งสองคนได้ เอนีลถอนหายใจเบาๆ "ผมไม่เป้นไร ส่วนนิก..เขาไม่ทำอะไรแล้วล่ะ"


       ".........." ไม่มีคำตอบใดจากปากของชายหนุ่ม หากอาการขมวดคิ้วบ่งชุดว่าไม่เห็นด้วย


       "ที่นั่นเป็นมหาวิทยาลัย คนเยอะแยะ แถมพบกันต่อหน้าอาจารย์แพทย์ และทีมไต่สวน ถึงอยากจะทำเขาก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอก.." เอนีลเอ่ยช้าๆ ยังพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ


        "...แต่หลังจากนั้นล่ะ" ไคลน์ขมวดคิ้ว ขณะที่ขับรถเลี้ยวไปตามวงเวียน


       "...ไคลน์..." สัญลักษณ์ป้ายมหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลบ่งบอกว่าใกล้จะถึง "ขอบคุณที่คุณห่วงใย แต่ผมไม่ใช่เด็กอมมือนะครับ ผมดูแลตัวเองได้ ไม่อยากให้ห่วงมากเกินไปเลย ทั้งคุณ ทั้งลุงฟาเอล.."


        "ผมก็ไม่อยากจะพูด" ไคลน์ถอนใจ "แต่ครั้งสุดท้ายที่คุณออกไปไหนมาไหนคนเดียว ผลคือแบบไหนคุณก็รู้ดี..ผมไม่อยากจะตำหนิและควบคุมคุณ..แต่ผมเป็นห่วงคุณ อย่างที่เคยบอก"


     รถค่อยเคลื่อนช้าลงเนื่องจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยมีการสัญจรค่อนข้างติดขัด เอนีลมองไปยังด้านข้างรถ เขามองเห็นนักศึกษายืนแจกใบปลิวต่อต้านสงครามและต่อร้านรัฐบาลท่ามกลางผุ็คนที่ขวักไขว่เดินไปมา ดวงตาสีฟ้าหันกลับมาอีกครั้ง ปลายนิ้วเลื่อนไปกุมมือที่กำลังกุมกระปุกเกียร์รถยนต์อย่างเงียบเชียบ


       "...ผมรู้..ขอบคุณ" สบตาผู้พูดเงียบๆก่อนจะยิ้มบาง "ผมจะดูแลตัวเอง นะครับ..นะ"


       ไคลน์ถอนหายใจเบาๆ "...ผมจะรออยู่ที่นี่"


      "..ใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ ผมว่าคุณกลับไปพักผ่อนเถอะ" เอนีลถอนใจเบาๆ เขาค่อยละมืออกหลังจากรถแล่นเข้าอาณาบริเวณในมหาวิทยาลัย "ลุงฟาเอลบอกว่าคุณเอาแต่เฝ้าผมจนไม่หลับไม่นอน แบบนั้นผมรู้สึกไม่ดีเลย"


       "ถ้าคุณอยากให้ผมพักผ่อน ก็ต้องดูแลตัวเอง.." ไคลน์นำรถเข้าจอดบริเวณใต้ตึกอธิการบดี "...ถ้าคุณไม่สบาย..ผมก็จะยิ่งไม่สบายใจ แต่ถ้าคุณมีความสุขเมื่อไรห่ ผมก้จะมีความสุขมากขึ้นไปด้วย"


      มองคนพูดครู่หนึ่ง เอนีลรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว "คุณนี่..."


       "ผมจะรออยู่ตรงนี้..มาถึงเมื่อไหร่บอกนะ" แม้อีกฝ่ายจะเขิน แต่คนพูดกลับไม่มีท่าทีสะทนสะท้าน ซ้ำยังขยิบตาใส่หน้าตาเฉย


      "...ครับ ผมจะรีบกลับมา" ที่สุดก็ทำอะไรไม่ได้ เอนีลถอนใจเบาๆ แม้ริมฝีปากจะยังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเสียจนรู้สึกว่าผิวแก้มเริ่มล้า ชายหนุ่มเปิดประตูรถลง ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้


       "ไคลน์!"


       "ครับ?"


       "...ขอบคุณครับ " ปรัทับริมฝีปากลงข้างแก้มเร็วๆเหมือนจูบขอบคุณแล้วผละออก เอนีลปิดประตูรถ เดินก้าวฉับๆไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังห้องพิจารณาสืบสวนคดีของนิโคลัส ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงยิ้มแก้ว ผิวแก้มแดงชัด ไม่ต่างกับคนถูกจูบแก้มที่ดวงตาเบิกขึ้นครุ่หนึ่ง หากแววตาพราวระยับชอบใจ


     เอนีลก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสามอย่างอารมณ์ดี แม้จะรู้ตัวว่าควรสำรวจในยามนี้ ทว่ากลับควบคุมตัวไม่ได้ ชายหนุ่มพลอยแต่จะยิ้มและหลุดหัวเราะอยู่ร่ำไป แม้ว่าไม่ควรเอามากๆก็ตามที


     ทั้งที่ยังยิ้ม หากเมื่อก้าวขึ้นชั้นที่สามบรรยากาศก็พลันเปลี่ยนไป โถงอาคารที่ยังเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและสรรพเสียงต่างๆพลันเงียบลงอย่างน่ากังขา ทิวทัศน์เบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือนราวกับอยู่ในเมฆหมอกทีละน้อย..ขระที่เบื้องหน้า มีร่างอันเคยคุ้นตายืนจ้องมองอยู่


      เอนีลชะงัก ฝีเท้าหยุดลงครุ่หนึ่งหากก็ก้าวต่อไป ใบหน้าแปรเป็นเรียบเฉยสบกับดวงตาสีแดงก่ำที่ฉายแววพึงใจอย่างประหลาดกับท่าทีนั้นของเขา นายแพทย์หนุ่มสุดหายใจลึก หยุดฝีเท้าลงเบื้องหน้าชายในชุดดำก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา


       "มาตามที่เรียกแล้วครับ เซดิส"


++++++++++++++++


ทำไมบรรยากาศมันเหมือนคบชู้ #เดี่ยว


เหมือนภรรยาหนีจากสามีที่แสนดีและบ้านที่อบอุ่นไปหาชู้แบดบอยเลยข่ะะะ #Nooooooooooooooooooo


แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป คุณสามีแสนดี(?)จะเอาตัวคุณภรรยากลับมาได้หรือไม่ และคุณชู้สุดเร้าใจ(?)จะทำอย่างไรต่อ โปรติดตามค่าาา

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 18 ภาะสะท้อน + Lost 19 Rose & Promise * UP.14/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 14-06-2014 21:47:30

Lost 18 ภาพสะท้อน


  เอนีล ชาส์เดองตงส์ก้าวเท้าช้าๆ เดินตามหลังชายที่เขารู้ว่าชื่อเซดิส ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ขณะที่สมองเฝ้าคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอย่างเงียบเชียบ เบื่องหน้าเขาคือแผ่นหลังของชายคนนั้น ร่างนั้นเดินนำหน้า แต่การาเวนตัวโตที่เกาะอยู่บนไหล่อีกฝ่ายยังจ้องมองเขาเขม็งไม่วางตา ขณะที่ก้าวเท้าไปยังที่ไหนสักแห่ง ดินแดนที่เอนีลรู้ว่าไม่ใช่ที่เดิมที่ตนเองยืนอยู่แน่นอน


      ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ ว่ามาแล้วจะต้องพบกับอีกฝ่าย เอนีลพอจะรู้ ไม่ว่าด้วยลางสังหรณ์หรือสิ่งใด บางอย่างกระซิบบอกเขาตั้งแต่รับโทรสัพท์สายนั้น ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่คิด


     ไปช่วยนิโคลัสน่ะอาจจะใช่ แต่...บางอย่างบอกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น  ดังนั้นเขาจึงพยายาม..จึงเอ่ยปากขอมาคนเดียว เพียงเพื่อจะไม่ได้ตกเป็นที่สงสัย


     ...เพราะเขามีบางสิ่งที่จะต้องรู้ให้ได้


      "...เห็นแล้วใช่ไหม" นิ่งคิดแยู่สักพัก คำถามนั้นก็ดังขึ้น เอนีลชะงัก กระพริบตาลงช้าๆ ก่อนจะพยักหน้า


    เรื่องราวทุกอย่าง..ที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้น


    ในความฝันอันยาวนานนับแต่หลับตาลงท่ามกลางสุสาน ราวกับทุกอย่างได้ย้อนไปในอดีต ช่วงเวลาที่"ชายคนนั้น"ยังคงมีชีวิตอยู่


     เอนีลไม่นึกกังขาอีกแล้วว่าบุตรชายของมาร์ควิสแชร์ซองจะใช่ตนหรือไม่ จะเป็นคนๆเดียวกันไหม รึจะเป้นเพียงอาการคิดไปเองของตน เขายืนอยู่ในร่างของคนๆนั้น รับรู้ความรู้สึกและเรื่องราวทุกอย่างที่ดำเนินไป ทั้งฝันร้าย ทั้งความหวาดกลัวที่มีเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน คนที่เข้ามา เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่เขาเฝ้าคะนึงหา และ...จวบกระทั่งคมมีดฝังอยู่บนร่าง..


     เช่นเดียวกับเขาที่มีใบหน้าคล้ายบุตรชายของมาร์ควิสแชร์ซอง....คนในฝันของเขา..ก็มีใบหน้าคล้ายกับ ไคลน์ สไตร์คเซอร์


     ....อาจจะเป็นการเล่นตลก โชคชะตา หรือการกลั่นแกล้งของใครสักคน ที่ดลให้เรื่องราวในยามนี้เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน


     ราวกับบอก และกระตุ้นเตือนเขาอย่างเงียบเชียบ ว่าหากมอบหัวใจให้กับไคลน์ ตัวเขาจะต้องตายเพราะคมมีดนั้นเช่นเดียวกันกับวันวาน   


      "แต่....."


     "ก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด" เสียงนั้นเอ่ยตอบคำของเขา ขระที่เอนีลเงยหน้าขึ้น จ้องมองดูคล้ายจะถาม ว่าทำไมจึงได้รับรู้ความในใจของตน


    "ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เจ้าก็ยังเหมือนเดิม...เสียก็แต่ครั้งก่อน ไม่มีใครเอื้อมมือไปถึงตัวเจ้าได้ แต่ครานี้มันต่างออกไป"


   ชายคนนั้นหยุดฝีเท้า เอนีลกระพริบตามอง พลันเขาถึงรู้สึก ว่าตนเองได้มาถึงที่ไหนสักแห่งโดยไม่รู้ตัว เบื้องหน้าคือประตูบานใหญ่ หนา หนัก คล้ายทำจากเหล็ก แกะสลักเป็นรูปภาพและเรื่องราวที่เขาไม่เคยเห็น ทั้งดูสวย งดงาม น่ากลัว และลึกลับ


     ชายคนนั้นวางมือลงบนประตูเหล็กเงียบๆ หากแต่ไม่ได้ออกแรงผลักไป แต่หันมาสบตาตัวเขา


     เซดิสแย้มรอยยิ้มบาง


    "มาสิ....ผลักประตูเปิดเข้าไป แล้วไปพบกับอาโลอิสกัน"


    เอนีลเกร็งตัวเยือกเมื่อได้ยินชื่อนั้น ชายหนุ่มรู้สึกถึงฝ่ามือที่สั่นไหวของตน ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองท่าทีของบุรุษตรงหน้าอย่างหวั่นใจ หากที่สุดแล้วเขาก็เม้มปากแน่น เอื้อมมือไปข้างหน้า ยกขึ้นผลักบานประตูหนา..หนัก นั้นให้เปิดออกไป...


      .....เพื่อไปพบกับความจริง


++++++++++++++++++++++++++++++


..เพราะอะไรถึงได้ยอมมากับคนแปลกหน้า สิ่งที่ตนเองรู้ว่าไม่ใช่คน และ..ชายที่เคยหลอกหลอนทำร้ายเขาเสียจนหมดสติ


     หากใครได้มาเจอเอนีลในยามนี้ คงต้องมิแคล้วหัวเราะ ขบขันเสียเต็มประดาถึงการตัดสินใจอันโง่เง่าและบ้าคลั่ง ที่จะยอมทิ้งชีวิตและสิ่งสำคัญของตนเพื่อไล่ตามความอยากรู้อยากเห็นอันโง่งมของตนเอง


     เอนีลยิ้ม...ชายหนุ่มยิ้มออกมาเศร้าๆหลังจากประตูบานหนานั้นปิดลง และรอบกายเขามีเพียงความมืดมิด


    การกระทำของเขามันโง่เง่า ใช่ เขารู้ดี

    เชื่อคนที่ไม่รู้จักมันช่างโง่แสนโง่ ชายหนุ่มก็รู้

    แต่เพราะอะไร เพราะอะไรเขาถึงได้ย่างเท้าก้าวเข้ามา เพราะอะไรถึงได้มาที่นี่ เอนีลก็ยังไม่ทราบ

   ....อาจจะเพราะเขารู้ ว่าจะอย่างไรก็หลบไม่พ้นกระมัง


     จ้องมองภาพเบื้องหน้า ขณะที่รอบกายมืดมิด เอนีลมองเห็นแสงสว่างอันสลัวรางจากอีกฟากหนึ่งของความมืด รอบกายเหมือนจะเป็นอุโมงค์ที่ทอดยาว มีสีสันของเลือดและความมืดผสมกันอย่างน่าขนลุก ทว่าโดยรอบกลับมีกลิ่นกุหลาบอายอวล และฝั่งตรงข้าม ทางออกที่มีเพียงแสงสว่างอันเลือนรางกลับมีเสียงหวีดร้องร่ำไห้ดังออกมาอย่างแผ่วเบา


     ชายหนุ่มกลืนน้ำลายช้าๆ ฝ่าเท้าผงะถอยไปโดยไม่รู้ตัว


    ...สิ่งที่เกิดขึ้นในแสงสว่างนั้นคือภาพอะไร เขารู้...


    "...จงมองมัน" เสียงเย็นๆดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง เซดิสที่เขาคาดว่าหายไปแล้วกลับยืนจ้องมองอยู่อย่างเงียบเชียบด้วยดวงตาสีแดงวาววับ "อย่าหลับตา อย่าหลบ มองและจดจำไว้ให้ดีว่าอะไรได้เกิดขึ้นบ้าง"


     "....คุณบอกว่าจะพาผมไปหา..อาโลอิส"


     "นี่ไง อาโลอิส"


  สิ้นเสียงของเซดิส เปลวไฟจากคบเพลิงพลันถูกจุดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงให้แสงสว่างบังเกิดขึ้นทันควัน


    ทว่า สิ่งที่ปรากฏหลังจากแสงสว่างมาเยือนกลับทำให้เอนีลเบิกตากว้าง


   ...ศพ...รอบตัวเขามีแต่ศพ ศพที่ถูกเถากุหลาบนับร้อยพันยึดโยงเอาไว้ ดอกกุหลาบสีรแดงเข้มจนเกือบดำที่หอมจัดจบกลบกลิ่นคาวเลือดนั้นเป็นของที่เขาได้มาในวันนั้นไม่ผิดแน่ กุหลาบชูช่อเกาะเลื้อยตามผนังและรัดพันซากของสิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ไว้ ราวกับกำลังหยั่งรากและเติบใหญ่ได้โดยปุ๋ยที่มีชื่อว่าคน


     เอนีลยืนนิ่ง ชายหนุ่มนิ่งขึงไปทั้งตัวไปอาจขยับไหว ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างไหวระริกด้วยอารมณ์หลากหลาย แน่นอนว่าเขาเคยพบเจอศพมาก่อน แน่ละว่าเขาเคยเห็นคนตายมามากมาย แต่..มันไม่ใช่กับคนตายที่ทุกคนมีใบหน้าเหมือนเขาทั้งนั้น!!


     "นี่...." ชายหนุ่มเค้นเสียงแทบไม่หลุดออกมาจากลำคอ "นี่....มัน"


   ....ร่างของนายแพทย์หนุ่มสั่นระริก เอนีลยกมือขึ้นกอดเเขนตัวเองไว้พลางขบริมฝีปากลงกับปลายฟันเงียบๆ เนื้อตัวสั่นระริกไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างกายของคนที่ตายแล้วซึ่งทั้งหมดต่างก็เหมือนเขา บ้างก็ถูกฆ่า บ้างก็ถูกรักคอ บ้างก็ถูกแทงที่หัวใจ และตายด้วยวิธีอื่นมากมาย ปรากฏขึ้นและตอกย้ำให้ความมึนงงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


   ...อะไร ทำไม ทำไมเขาถึงต้องพบเจอเรื่องแบบนี้


ใคร ฝีมือใครกันแน่ ไคลน์เหรอ หรือว่าอาโลอิส ใคร...ใครกัน


   เสียงกรีดร้องที่แว่วมาทำให้เอนีลสะดุ้งเฮือก "...ฝีมือ เขา...งั้นเหรอ"


  "เขา..." เซดิสผู้ถูกถามเลิกคิ้ว พลางแย้มรอยยิ้มบาง "เขาที่เจ้าว่าคือเขาไหน...อาจจะใช่ หรือไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เรารู้จัก"


  "ก็เขาคนนั้น คนที่กำลังทำแบบนั้นอยู่ไง!!" เอนีลกระชากเสียงห้วน แม้ปลายหางเสียงจะสั่นไหว ชายหนุ่มหมายถึงคนที่ทำให้เสียงกรีดร้องนี้ดังขึ้นเป็นแน่


    "....อาโลอิสงั้นรึ" เซดิสหัวเราะ "...มันคงอยากทำกระมัง...หากทำได้ คงอยากตามล้างปลาญเจ้าไปสักร้อยพันชาติภพ"


    ".........." ถ้อยคำนั้นทำให้อาโลอิสตัวหนาววูบ


    "....แต่ผู้ที่ลงมือน่ะ..คือ ไคลน์ สไตร์คเซอร์ คนนั้นต่างหาก"


    "ผมไม่เชื่อ!!" เอนีลร้องสวนทันที "ไคลน์มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาทำร้ายผม คุณหลอกผมต่างหาก ทั้งในฝันนั้น แล้วทั้งเรื่องนี้ ไม่มีทางเสียหรอกที่ไคลน์จะทำอะไรแบบนี้!!"


      "....ไม่ได้บอกให้เจ้าเชื่อ"


      "และถึงไคลน์จะทำ คุณจะให้ผมเทียบระหว่างสิ่งที่ผมเจอน่ะเหรอ ที่นั่นน่ะ!!" เอนีลชี้มือไปยังแสงสว่างอีกฝั่งของปลายอุโมงค์อย่างเกรี้ยวกราด เสียงหวีดร้องสะอื้นไห้อันแสนทรมารยังคงปรากฏเป็นระยะ


       "ผมไม่เข้าใจ คุณทำแบบนี้ทำไม พวกเขาเกี่ยวอะไร แล้วผมเป็นอะไร...ทำไม...ทำไมถึงเป็นแบบนี้!!" คล้ายกับจะสิ้นสิ้นความอดทน เอนีลโผเข้าไปหาชายตรงหน้าด้วยดวงตาวาวโรจน์ ทั้งที่ไม่เคยมีนิสัยชอบใช้กำลัง แต่สำนึกรู้ที่บอกว่าคนตรงหน้าคือคนที่ช่วยไขความสงสัยของตนได้กระตุ้นให้เอื้อมมือไปหา ไปคว้าชายเสื้อคลุมสีดำนั้นไว้


   แกว๊ก!!


     "โอ๊ย!" หากยังไม่ทันเอื้อมถึง การาเวนตัวใหย่กลับดผนมาจิกมือโดยแรง เอนีลร้องดังลั่น เขารีบปัดมันออกเป้นพัลวันแต่ไม่อาจหลีกพ้น จากการชุลมุลของคน กลายเป็นเพียงภาพของมนุษย์ตัวจ้อยตบตีกับนกกาตัวใหญ่อุตลุด


     ท่ามกลางวุ่นวาย เอนีลแว่วเสียงหัวเราะของเซดิสดังขึ้นแผ่วเบา มันทั้งขบขันและดูชวนหัวยิ่งนัก


    แต่สำหรับคนที่เจออย่างเขาแล้ว มันไม่ได้น่าชวนขันสักนิด!!


     "ปล่อยนะ ปล่อย ไป!!" เอนีลร้องแหวออกมาด้วยความหงุดหงิด ชายหนุ่มตวัดแขนใส่กาตัวใหย่ด้วยแววตาคุกรุ่น แสดงถึงพื้นอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดและแปรปรวน


     "พอได้แล้ว" เซดิสสั่งเสียงเรียบเรื่อย นั่นทำให้การาเวนตัวนั้นโผนไปเกาะไหล่ของตน ดวงตาสีแดงสดจ้องมองผุ้ที่มองกลับมาด้วยแววตาวาววับ ก่อนจะยิ้มบาง


     "ถามว่าข้าเป็นใครรึ..."


    "ใช่..."เอนีลกลืนน้ำลายช้าๆ จ้องอีกฝ่ายเขม็ง


    "ข้าคือเจ้านายของเจ้า"


    "พูดอะไร ผมไม่เคยมีจะ----"


     "....เคยหรือไม่..ใครเล่าจะรู้" ริมฝีปากของชายหนุ่มยิ้มบาง "รึอาจจะเป็นเจ้านายของไคลน์กระมัง"


     "โกหก" ครานี้ชายหนุ่มเอ่ยสวนกลับชัดเจน ไม่มีทางเสียล่ะ ในเมื่อเขาได้ยินไคลน์เกรี้ยวกราดใส่คนตรงหน้านี้มากมายเพียงนั้น


     "...แล้วเจ้ารู้ความจริงใดเกี่ยวกับมันบ้างล่ะ" เซดิสเอ่ยถามคำถามนั้นแสนเรียบเรื่อย หากเอนีลชะงัก "แล้วทำไมเขาถึงมาหาเจ้า..รู้ไหม?"


    "เขามาตามคำ-----"


    "คำสั่ง...." เซดิสทวนพลางยิ้มขัน "คำสั่งจากบิดาของเจ้า..พ่อผู้ชราที่ห่วงใยบุตรชายนัก จึงได้ให้คนมาดูแล..ไม่ต่างจากบิดาคนก่อนๆของเจ้าเลย พวกเขาทั้งรัก และเฝ้าดูแล ทะนุถนอม.."


   "หากเพียงพริบตา..ชีวิตเจ้าก็ถูกคร่าไปโดยผู้อื่น!"


หมับ!


   แรงฝ่ามือที่บีบลงบนไหล่ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง ฝ่ามือกดเข้าแล้วออกแรงพลักตัวเขาให้หันเข้าผนัง หะแรกเอนีลนึกผวา เขาคิดว่าตัวเองต้องประจัญหน้ากับศพเหล่านั้น แต่ก็เปล่า เบื้องหน้ากลับกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกระจก..เงาสะท้อน..สิ่งที่มองเห้นคือภาพของตนเองที่มีใบหน้าซีดเผือกและงุนงง


      เอนีลจ้องสบตากับภาพตนเงียบๆ หากพลันมันก็เริ่มเปลี่ยนไป จากตัวเขา..กลับเป็นตัวเขาอีกคน..ที่ยังมีใบหน้าและทุกสิ่งเหมือนเดิม ทว่ากลับอยู่ในการแต่งตัวและสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง มีลักษระไม่ต่างจาก"ศพ"ที่เขาได้เห็น ภาพสะท้อนนั้นแสดงเรื่องราวทุกอย่างของชายคนนั้น ทุกสิ่งช่างคล้ายคลึง คนที่เกิดมาพร้อมกับความฝันอันเลวร้าย ตกอยู่ในความหวาดกลัวจนได้พบกับใครคนหนึ่งที่ค่อยคลายความหวาดผวานั้น และอีกไม่นาน..ชายคนนี้ก็ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย


        ภาพในกระจกแปรเปลี่ยนไป เงาสะท้อนเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ทว่าละครยังคงฉยอยู่ในฉากเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา


      ราวกับนั่งดูตัวเองในเสื้อผ้าแปลกๆ และการทำตัวที่ต่างออกไป แต่บทบาทกลับซ้ำกันเสียทุกตอน หวาดกลัว พบรัก ถูกหลอกและฆ่าให้ตาย ความทุกข์ตรมบางอย่างจากภาพที่เห็นค่อยทิ่มแทงจิตใจและตอกย้ำเข้าไปเสียจนรู้ตัวอีกที น้ำตาของเขาก็นองเอ่อ


      ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ทำไม...ทำไม และทำไม

      ทำไมถึงได้พบเจอแต่เรื่องราวแบบนี้

      ทำไมถึงได้ถูกหลอกซ้ำๆ...


        ทรุดตัวลงกับพื้นหินเงียบๆพลางเอื้อมมือจิกทึ้งเส้นผมสีทองของตนเอง เอนีลรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งร่างราวกับบางสิ่งถูกฉีกกระชากออก ความทรงจำที่เป้นของใครไม่รู้ต่างก็วาบผ่านเข้ามาในสมอง ปะปนกันและแทรกซึมเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับน้ำป่าทะลัก เจ็บ...เขาเจ็บในอกและอึกอัดแทบบ้า ทั้งยังปวดหัวและรู้สึกคลื่นไส้เหลือคณา


     "ไม่หรอก...ไม่" แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็ยังพึมพัมสิ่งที่ตนเองย้ำคิดเสียงแผ่วเบา


    "ไคลน์...ไม่มีวันทำแบบนี้กับผม"


    เสียงพึมพัมแผ่วเบา ท่ามกลางอุโมงค์ที่ค่อยมืดทึบลงอีกครา เสียงครางแผ่วเบาและสั่นพร่า ราวกับจะวอนขอ อ้อนวอน และร่ำร้องให้ความปราถนาเดียวของตนสัมฤทธิ์ผล ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่แว่วมาจากอีกฝั่งของอุโมงค์สีดำ แสงขาวหม่นสลัวเลือนราง เสียงหวีดร้องคละเคล้าเสียงพึมพัมสั่นพร่า..ซึ่งหากฟังไปฟังมา มันดูราวกับว่าประสานเป็นเสียงเดียวกัน


++++++++++++++++++++


บ่ายสี่โมงเย็น...ท้องฟ้าของกรุงปารีสเริ่มมืดครึ้ม


    ไคลน์ สไตร์คเซอร์นั่งอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ ชายหนุ่มมองร่างของนักศึกษามากมายเดินผ่านไป พร้อมกับตวัดสายตามองเครื่องบินรบที่บินผ่านน่านฟ้า ดวงตาฉายแววครุ่นคิดจางๆ และนั่งรอคอยอย่างอดทนเพื่อให้คนที่เขามาส่งมาถึง


    "ไคลน์" น้ำเสียงทักคุ้นหูดังเข้ามาใกล้ทำให้เขาชะงัก ลุกพรวด


    "คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่ได้ยินเสียงเลย" ไคลน์เอ่ยปากทัก พลันขมวดคิ้ว "เป็นอะไรรึเปล่า..เอนีล หน้าคุณซีดมาก"


   "เปล่าหรอกครับ" นายแพทย์หนุ่มยิ้มเจื่อน มือป่ายเอามือของอีกฝ่ายที่เอื้อมมาสัมผัสใบหน้าตนออกอย่างเงียบเชียบ "ผมเหนื่อยน่ะ โดนซักซะเยอะ บรรยากาศก้เครียด กลัวช่วยนิคไม่ได้..แทบแย่เลยครับ"


     "อา..."ไคลน์ยอมลดมือลงแต่โดยดี แม้มีท่าทีห่วงใย "แล้วผล?"


     "ยังไม่ทราบครับ แต่นิคท่าทางโล่งใจน่าดู เรากลับกันเถอะครับ ฝนจะมาแล้ว ผมเหนื่อยด้วย อยากพัก"


     "นั่นสิ งั้นเชิญครับ" ไคลน์เดินเข้าไปหารถที่จอดอยู่แล้วรีบสตาร์ทเครื่องเปิดประตูให้อีกฝ่าย ขณะที่เอนีลก็นั่งตามมาพลางขดตัวบนเบาะนั่ง หลับตานิ่งอย่างเหนื่อยอ่อน


       "เย็นวันนี้...." ชายหนุ่มจะชวนคุย หากชะงักกับกลิ่นกุหลาบที่โชยมาจากร่างของอีกคนอย่างเงียบเชียบ "เอนีล..กลิ่น.."


   ไคลน์หันจะไปถาม หากพบว่าคนตรงหน้าหลับตานิ่ง ข้าสู่นิทราไปแล้วอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมองใบหน้าเหนื่อยอ่อนและซีดเซียวนั้น พลันเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบกุหลาบแดงเข้มบนศรีษะอีกฝ่าย เขาเม้มปากแน่น จ้องมองคนที่หลับอยู่ด้วยแววตาเครียดขึ้ง...



++++++++++++++++++


ถ้าอารมร์ตอนที่แล้วเหมือนคบชู้ อารมณ์ตอนนี้เหมือนคบชุ้แล้วโดนสามีจับได้ค่ะ ฮ่าา


แถมสามีเป็นพวกหึงโหดซะด้วยฟฟฟฟฟ



หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 18 ภาะสะท้อน + Lost 19 Rose & Promise * UP.14/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-06-2014 21:52:58
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 18 ภาะสะท้อน + Lost 19 Rose & Promise * UP.14/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 14-06-2014 21:55:13

Lost 19 : Rose & Promise



...เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากรถถูกจอดไว้หน้าอพาร์ทเมนต์


     มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ดีอย่างที่ว่ากันไว้ หลังจากเอาแต่ทำตัวน่าสมเพช เจอเรื่องชวนผวาหรือมีปัญหาทีไรไม่ร้องให้ใครช่วยก็เอาแต่หมดสติไปอย่างน่าสมเพช บัดนี้เอนีลพอใจในตัวเองมากขึ้น..แม้เพียงเล็กน้อย ที่เขาไม่ได้เอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญอย่างเดียว ทว่าอย่างน้อย ก็ยังรู้จักประคองตัวเองให้เป็นปกติได้


    การที่ตนเองสามารถเดินกลับมาที่รถและยิ้มแย้มสนทนาตามที่ตนต้องการได้ถือว่าดีนักหนา แม้จะไม่ตรงตามที่ต้องการ.."มากนัก" แต่ก็ดีกว่าที่ผ่านมา ดีกว่าจะง่อยเปลี้ยนเสียขาไม่อาจทำอะไรได้เช่นเดิม


    บัดนี้เเล้ว เอนีลพบว่าสิ่งที่เขาควรทำคือการออกไปสู่ความจริง ไม่ใช่การเอาแต่ขดตัวอยู่ในเปลือกแคบๆที่ห่อหุ้มตนเองไว้หรืออาคารที่ตนเรียกว่าบ้านเพื่อหลีกหนีจากฝันร้ายที่ตามมา


...อาจเพราะลึกๆแล้ว..ในใจเริ่มตระหนัก ไม่มีผู้ใดสามารถ"ปกป้อง"และช่วยเหลือเขาจากภยันตรายทั้งมวลได้


ไม่มี แม้แต่กับผู้ที่เอ่ยคำสัญญานั้น


       "ถึงแล้วครับ.." ถ้อยคำอ่อนโยนดังเข้าหู เอนีลหันไปมองคนข้างกายเงียบๆ ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ยังคงมองมาที่เขาด้วยแววตาอ่อนโยนอยู่เสมอ ผู้ที่มาพร้อมกับคำสัญญาว่าจะคอยปกป้องเขาจากทุกสิ่ง ยังคงมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ของตนได้ดีเสียจนควรได้รับมากกว่าคำชม


 ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร หรือเคยทำอะไรมาก่อนก็ตาม


       "ขอบคุณครับ.." เอนีลยิ้มรับ พลางพยักหน้า ชายหนุ่มเลื่อนปลดเข็มขัดนิรภัยรถเงียบๆก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ
   ทว่าเมื่อเอื้อมแขนไปถึงประตู มือของไคลน์กลับคว้าไว้เงียบๆ


       "...........?" ไม่มีคำถามใดจากนายแพทย์หนุ่ม เขาหันไปช้าๆ แม้จะมีท่าทีตกใจแต่ก็ไม่ได้สะบัดออก เอนีลเลิกคิ้วน้อยๆ แสดงถึงความอยากรู้ในสาเหตุที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าทำพฤติกรรมเช่นนี้อย่างเงียบเชียบ


       "...คุณ" ดูเหมือนเมื่อไม่มีปฏิกริยาใดจากคนตรงหน้า ไคลน์ก็ดูราวกับจะอึกอักมากขึ้นและลังเลที่จะเอ่ยปาก "...อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่เป็นไรมากใช่ไหม?"


     "ไม่เป็นไรหรอกครับ" เอนีลยิ้มให้ เขาดึงมือออกจากการเกาะกุมอย่างช้าๆ "ผมเหนื่อยอย่างที่บอก คุณก็รู้นี่ครับ เรื่องแบบนี้มันเดิมพันด้วยความเสี่ยงในวิชาชีพและจรรยาบรรณของแพทย์ ผมก็เลยค่อนข้างคิดมากน่ะ"


      "อา..." ไคลน์ยิ้ม..ทว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสนัก "นั่นสินะครับ ผมก็เสียมารยาท ที่เอาแต่เซ้าซี้"


      "ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง" เอนีลตอบเบาๆ และพูดราวกับจะย้ำกับตนเองไปด้วย "ขอบคุณจริงๆครับ"


   เปิดประตูรถออกมาพลางก้มศรีษะลงไปจ้องมองชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่หน้าพวงมาลัยอีกครั้ง "เดี๋ยวผมขอตัวแว้บเดี๋ยวนะ"


      "..อ่ะ เอนีล?" ไม่ทันที่คนถูกบอกจะได้เอ่ยปากอนุญาติหรือท้วงถามใดๆ ร่างของนายแพทย์หนุ่มก็เดินตัวปลิวออกไปจากบริเวณตัวรถเสียเเล้ว ไคลน์สถบอุบเบาๆในลำคอ แววตาเข้มขึ้นยามมองตามหลังอีกฝ่ายไม่กระพริบ พลางขยับถอยรถจอดให้เข้าที่เข้าทางไปด้วย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองตามแผ่นหลังในชุดเสื้อโค้ทสีดำสนิท ชายหนุ่มเบาใจลงไม่น้อยเมื่อพบว่าร่างนั้นหยุดอยุ่ไม่ไกล..ที่หน้าร้านขายดอกไม้ของมาดมัวเเซลโดโรธี สาวโสดในอพาร์ทเมนต์ฝั่งตรงข้ามนี่เอง


      "สวัสดีค่ะคุณหมอ หายป่วยแล้วหรือคะ?" คำถามแรกที่ดังขึ้นมื่อโผล่หน้าไปเยี่ยมเยียนยังร้านดอกไม้เล็กๆแสนน่ารักตรงฝั่งเส้นถนนตรงข้าม เอนีลยิ้มให้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของร้านพลางหยิบหมวกสีดำที่ตนหนีบไว้ใต้รักแร้มาสวม


      "สบายขึ้นมาแล้วครับมาดมัวแซล..ขอบคุณที่ห่วงใยนะครับ" ริมฝีปากสีอ่อนระบายยิ้มหวาน มอบไมตรีให้แก่เจ้าของร้านผู้ซึ่งอุตส่าห์แสดงความห่วงใยต่ออาการป่วยไข้ของตน


     "ดีแล้วล่ะค่ะ ตอนคุณหมอปิดร้านขึ้นมาฉันใจเสียแทบแย่...นึกว่าจะโดนเรียกไปสนามรบเสียแล้ว" หล่อนส่งเสียงกระซิบ สีหน้าไม่วางใจต่อเหล่าเครื่องบินรบที่บินผ่านน่านฟ้าและข่าวคราวของสงครามแย่งชิงแคว้นซูเดเตแลนด์ที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ รวมทั้งใบปลิวต่างๆที่โจมตีเยอรมันและโจมตีรัฐบาลฝรั่งเศสในยามนี้


     "ยังหรอกครับ...ผมจะอยู่รับใช้คุณอีกนานเลยล่ะ" เอนีลเอ่ยพร้อมขยิบตาให้อีกฝ่ายเงียบๆ ก่อนจะกวาดตามองพันธ์ไม้ในร้าน

 
     "อุ๊ย ขอบคุณค่ะ" ฟังคำยืนยันแล้วเจ้าของร้านสาวก็อมยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปข้างๆ ชายหนุ่มผู้จดจ่อกับดอกไม้นานาพันธ์เบื้องหน้าพลางเอ่ยปากเจื้อยแจ้วตามประสาคนค้าขาย "สนใจดอกไม้แบบไหนอยู่เหรอคะ อยากจะเอาไปปลูกเอง หรือว่าให้ใครกันเอ่ย?"


     "อืม...ผมว่าห้องว่างๆ เลยอยากได้ดอกไม้ไปประดับสักหน่อยน่ะครับ" เอนีลยิ้มให้สตรีสาวเบื้องหน้า


     "ชอบแบบไหนล่ะคะ ดอกเล็กๆน่ารักอย่าง---"


     "ผมเอากุหลาบก็แล้วกันครับ" เอนีลเอ่ยสวนขึ้นมาโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันพูดจบ หลังจากมองไปรอบๆร้านอยู่นาน ฝีเท้าก็พลันชะงัก ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองดอกกุหลาบสีแดงเข้มดอกใหญ่ที่ถูกตัดก้าน ริดเอาหนามออกเบื้องหน้า


      "...จะเอาไปให้สาวๆก็บอกสิคะ" มาดมัวเเซลโดโรธีออกจะขันกับท่าทีนั้น "..หล่อนคงปลื้มน่าดู ดอกกุหลาบสีแดงเข้ม "ความรักที่ลึกซึ้ง ไม่มีวันจืดจางไปจางหัวใจไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน" โรแมนติกนะคะเนี่ย"


     เอ่ยพลางเอื้อมมือไปหยิบดอกกุหลาบสีแดงเข้มนั้นมาจัดแจง ตกแต่งและเข้าช่อผูกบูเกต์อย่างชำนาญ เอนีลมองตามปลายนิ้วเรียวนั้นขณะที่ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าของร้านผู้ร่าเริงไปด้วย


      "...แต่ดอกนี้สีเข้มมากเลยนะครับ จนเกือบดำเชียว ดูหายาก" เอนีลมองดอกกุหลาบดอกใหญ่ที่ตนเอ่ยปากต้องการซึ่งบัดนี้ถูกประกบด้วยกุหลาบสีเข้มเพื่อประกบเป็นช่อดอกไม้อีกสองสามดอก ทว่ามันก็ล้วนมีขนาดเล็กลงไป


     "...คุณหมอโชคดีนะคะ" มาดมัวเเซลโดโรธีอมยิ้ม "กุหลาบสีดำก็ความหมายดี.."รักนิรันด์" เสียก็แต่มันต่อท้ายว่าดูจะไม่มีอยู่จริงน่ะสิ..ว้าย...แต่ฉันไม่ควรพูดสิ "


     "ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่อนี้ผมเอาไว้แต่ความหมายดีๆดีกว่า" เอนีลยิ้มพลางเอียงคอมองเงียบๆ "สวยมากเลยครับ มาดมัวแซล แค่ผูกริ้บบิ้นก็พอครับ ไม่ต้องตกแต่งอะไรมากหรอก.." เอ่ยปากห้ามเมื่อกระดาษลูกไม้หลากสีสันจะถูกนำมาพันรอบ 


     "..ค่ะ...งั้นเท่านี้นะคะ..เรียบร้อยแล้วค่ะ" มาดมัวแซลโดโรธียื่นช่อกุหลาบให้พลางเอ่ยปากคิดเงิน เอนีลรับมาพลางเอ่ยปากขอบคุรสาวเจ้า ก่อนจะผลักประตุเดินออกมาและไม่วายโบกมือกลับอีกครา


     ชายหนุ่มมองดอกกุหลาบในมือ ช่อดอกไม้สีสันสดใสถูกผูกด้วยริบบิ้นสีขาวอันใหญ่ กุหลาบสีแดงเข้มเสีนจนเกือบดำที่เป็นดอกใหญ่ที่สุดนั้นโดดเด่นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกุหลาบสีแดงเข้มอีกสามดอกที่มีขนาดลดหลั่นกันลงไป กลิ่นหอมรวยรินที่โชยมาทำให้เอนีลอมยิ้มด้วยความพึงใจ พลางจรดปลายจมูกลงสูดดมกลิ่นหอมอย่างอดรนทนไม่ไหว


      "ผมนึกว่าหายไปไหนเสียนาน.." เสียงทักทายที่ดังขึ้นหลังจากเดินเข้ามาในเขตบล็อกอพาร์ทเมนต์ของตนทำให้เอนีลเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของชายหนุ่มดูจะยังแย้มยิ้มอารมณ์ดีกับช่อดอกไม้ในมือจึงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ


      "เผอิญนึกครึ้มใจอยากซื้อดอกไม้ขึ้นมาน่ะครับ เลยแวะเสียหน่อย" ว่าแล้วก็ก้มลงจรดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมๆอีกครั้งอย่างอดใจไม่ไหว


      "ผมนึกว่าจะเอาไปให้สาวที่ไหนเสียอีก.." ไคลน์มองช่อกุหลาบในมืออีกฝ่าย "แอบอิจฉาล่วงหน้าเลยนะ.."


     "พูดเป็นเล่นไป ผมจะซื้อให้สาวสวยที่ไหนกันล่ะครับ" เอนีลหัวเราะเบาๆ ขณะเดินกลับเข้าไปในอพาร์ทเมนต์ และแขวนโค้มกับหมวกไว้บริเวณที่แขวนด้านหน้าประตู


      "เพราะไม่รู้นี่ล่ะเลยตกใจ.." ไคลน์หัวเราะ ดูจะพึงใจกับท่าทีรื่นเริงของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก "..อันที่จริง.."


     "ครับ?.." เอนีลยื่นกระเป๋าเอกสารให้ฟาเอล พลางเลิกคิ้วยิ้มๆ


    "..ผมนึกว่าคุณจะไม่ชอบกลิ่นของมัน..หลังจาก...." ไคลน์เปรยขึ้นช้าๆ สีหน้าครุ่นคิด


    "อา.." ฟังแล้วชายหนุ่มชะงักก่อนจะยิ้ม "ไม่หรอกครับ ..ดอกไม้มันก็อยู่ส่วนดอกไม้นี่นา..กลิ่นหอมออกอย่างนี้ผมเกลียดไม่ลงหรอก"


    "นั่นสิครับ ผมนี่ก็คิดมากเกินไป" ไคลน์พยักหน้ารับ สีหน้ากลับมาเป็นปรกติ


     "อ้อ แล้วก็..." เอนีลมองตามหลังพ่อบ้านของตนที่หายเข้าไปในครัว ก่อนจะหันมาหาคนตรงหน้า "ที่บอกจะอิจฉา..ผมว่าคุณต้องอิจฉาตัวเองแล้วล่ะครับ เมอร์ซิเยอร์ สไตร์คเซอร์"


      ว่าแล้วก็ยัดกุหลาบทั้งช่อลงไปในมือของไคลน์ก่อนที่คนตรงหน้าจะมีโอกาสเอ่ยปากท้วงหรือพูดอะไรมากกว่านั้น เอนีลวิ่งตึงๆ ขึ้นบันไดไปไม่รอช้า เสียงรองเท้ากระทบพื้นเงาขัดมันดังเสียจนฟาเอลต้องออกมาดู พ่อบ้านเฒ่าทำได้เพียงมีสีหน้าฉงน ส่วนผู้ที่ได้รับก็กระพริบตาช้าๆ จ้องมองแผ่นหลังที่หายหลับไปหลังประตูห้องของผู้ก่อการ ก่อนจะมองของในมืออีกครา


      ช่อกุหลาบในมือส่งกลิ่นหอมยวนเย้า กุหลาบสีแดงเข้มจนเกือบดำถูกรายล้อมด้วยกุหลาบสีแดงเข้มเฉดใกล้เคียงกันและมัดด้วยริบบิ้นสีขาว ปลายนิ้วตวัดจับริบบิ้นอันโตช้าๆ สัมผัสความเรียบลื่นของมัน ขณะที่สูดกลิ่นหอมจางนั้นเข้าจมูก


     "ความรักที่ลึกซึ้ง ไม่มีวันจางไป...รักนิรันด์.." เอ่ยแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบในห้องโถง ไคลน์ถือกุหลาบช่อนั้นเดินขึ้นไปชั้นบนเงียบๆ แววตาเป็นสีเข้มกระด้างแข็งขึ้นอีกคราด้วยอารมณ์บางอย่าง


    "ที่ไม่มีอยู่จริง"


     เสียงเอ่ยแผ่วเบาราวกับจะขบขัน ไคลน์จ้องมองประตูห้องของผู้ซึ่งมอบของกำนัลให้ตนเงียบๆ ยกมือขึ้นจะเคาะเรียก หากก็เปลี่ยนใจแล้วเดินขึ้นชั้นสี่อันเป็นที่พักของตนเสีย แม้ไม่มีวาจาใดบ่งชัด ทว่าชายหนุ่มก็รับรู้ได้จากสัญญาณที่ส่งผ่านมาจากท่าทีและแววตาคู่นั้น


...ว่ามันมีบางสิ่งแปรเปลี่ยนไป



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิทไร้แสงดาวเพราะดวงจันทร์กลมโตขึ้นไปอยู่เหนือยอดไม้ คืนพระจันทร์เต็มดวงทำให้แสงนวลของมันสาดเข้ามาภายในห้องอย่างชัดเจน หลอดไฟอินแคนเซนส์สีเหลืองนวลดูจะเทียบไม่ได้เอาเสียเลยกับเงาของพระจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างบานหนา เอนีลจ้องมองแสงสลัวที่เลือนรางไปไม่น้อยด้วยถูกผ้าม่านสีเข้มปกปิดไว้ ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วลูบตัวอักษรในหนังสือเล่มหนาที่ตนเองอ่านอยู่อย่างใจลอย ที่สุดแล้วจึงถอดแว่นสายตาออกและลุกขึ้น เมื่อประจักษ์ว่าตนเองไม่ได้มีสมาธิในการอ่านเสียเท่าไหร่


     เอนหลังพิงกระจกหน้าต่างแล้วมองเงาตัวเองที่สะท้อนกลับมาเงียบๆ เสียงกึกที่ดังออกมาเบาๆบ่นบอกว่ากลอนยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ล็อคหน้าต่างไม่ได้ถูกดึงออกและเปิดนับตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาสัญญากับไคลน์ไว้ว่าจะไม่เอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างบานนี้อีก


   ..แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร


น่าขัน แม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่เขาก็ยังทำตามอยู่ราวกับคนบ้าใบ้


ช่างเหมือน...เหมือนสิ่งที่ตัวเองมองเห็นเสียเหลือเกิน



     เอนีลหรุบตาลงช้าๆ ถอนหายใจแผ่วเบายามระลึกไปถึงเวลาในช่วงยามบ่าย ภาพของสารพัดความตายที่แรกผ่านเข้ามาในความทรงจำนั้นยังคงวนเวียนอยู่ราวกับไม่อาจลบออก ชายหนุ่มรู้สึกราวกับเสียงร้องไห้และคร่ำครวญของตัวเองที่ผสานกับเสียงกรีดร้องนั้นยังดังหลอกหลอนอยู่ข้างหู ราวกับว่าอีกไม่นานจะได้พบเจอกับภาพอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นอีกคราด้วยตนเอง


  ...ลางสังหรณ์บ้าๆ ที่เขาไม่อยากให้มันแม่นยำสักนิด


   ลืมตามาจ้องมองปลายเท้าตัวเองที่ไขว้หากันแน่น สิ่งที่อยู่ในฝันมันช่างแสนโหดร้าย ขณะที่ภาพซึ่งเขาพบเจอ คนที่ตายลงไปเพราะถูกชายคนหนึ่งฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้อยู่ในชาติภพและรูปลักษณ์ที่แตกต่างนั้นทำให้หัวใจเจ้บร้าวได้มากพอกัน


    เขามองเห็นไคลน์ฆ่าตัวเองซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า

    เขาจ้องมองศพของตัวเองถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความไม่เข้าใจนับสิบครั้ง


    นั่นคือไคลน์..หรือว่าเป็นใคร เอนีลยังไม่อาจหาคำตอบ อาจจะเป็นไคลน์หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ จะคนหน้าคล้าย หรือเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสร้างของ"เซดิส"ก็สุดจะรู้


     ทว่ามีอย่างหนึ่งที่เอนีลรับรู้ได้..


   ระหว่าง "ไคลน์" กับ "อาโลอิส" ผู้นั้น ต้องมีบางสิ่งเชื่อมโยงกัน


   อาจจะด้วยศพของเขา ความตาย หรืออะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เอนีลสามารถมองเห้น คือความหมกมุ่นที่อาโลอิสทำร้ายเขาในความฝันครั้งแล้วครั้งเล่า กับความอ่อนโยน หากแต่บางครั้งก็ดึงดันรุนแรงของไคลน์ ยามที่มี"บางสิ่ง"ขยับมาเข้าใกล้ตัวเขา


    ..อะไรคือความจริงทั้งหมด?

    บัดนี้ก็ยังไม่รู้

    คนเหล่านี้ต้องการอะไรจากเขา?

    เอนีลก็ยังไม่ได้คำตอบ

  ....ไม่รู้กระทั่งว่าเป็น"คน"จริงๆรึเปล่าเสียด้วยซ้ำ


     อดจะหัวเราะด้วยความสมเพชเวทนาตนเองไม่ได้ รู้สึกราวกับคนโง่ที่วิ่งวนไปมาในฝ่ามือของผู้อื่นไม่จบสิ้น เอนีลเม้มปากแน่น หันกลับไปหาหน้าต่างบานโตแล้วเอื้อมมือไปเปิดม่านให้อ้าออก แสงจันทร์สาดมากระทบดวงตาเต็มที่เช่นเดียวกับเงาของบานหน้าต่างที่ถูกปิดล็อกคล้ายกรงขัง ปลายนิ้วสีขาวไล้ไปยังกรอบหน้าต่างเงียบๆขระที่ประหวัดถึงคำสัญญาที่ตนมอบให้คนๆหนึ่งไว้


   "จะไม่เปิดหน้าต่างบานนั้นอีก"


   ....ถ้าผิดสัญญา จะเป็นยังไงนะ?

    จะโกรธเคือง ไม่พอจะ จะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นไหม?


      เอนีลขมวดคิ้ว จ้องมองออกไปด้านนอกด้วยความไม่เข้าใจ ในสายตาของเขา เบื้องนอกก็ยังคงเป็นเช่นเดิม มีอาคารห้องพัก มีรถจอดไว้ มีผู้คนที่กำลังทำกิจกรรมต่างๆไม่ก็หลับไหล มีสัตว์กลางคืนออกเที่ยวหากิน ภายนอกหน้าต่างยามค่ำคืน..ไม่เคยเป็นโลกที่เขาหวาดกลัวหรือตัวสั่นงันงกยามคิดจะก้าวออกไปแม้เพียงน้อย


      หากแค่คำขอร้อง..และคำสัญญานั้นทำให้บานประตูนี้ไม่ถูกเปิดออก


     ชายหนุ่มคงเปิดมันออกไปอย่างง่ายดาย ไม่คิดจะทำตามคำขอไร้สาระนั้นหากคนพูดไม่ใช่ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ผุ้ที่เอ่ยถามถึงความเชื่อใจของเขาด้วยน้ำเสียงวิงวอน และแววตาวอนขอราวกับเรื่องการปิดหน้าต่างนั้นแสนสำคัญเสียจนไม่อาจละเว้นได้


     ...ไม่ใช่แค่คำสัญญา แต่มันเป็นเรื่องของความเชื่อใจ


      แต่ในตอนนี้...


       เอนีลมองออกไปด้านนอก ทั้งที่เป็นทิวทัศน์ธรรมดาๆ แต่มันกลับกระตุ้นเร้าให้เขาอยากเปิดออกไปสัมผัสเสียจนทนไม่ไหว ทั้งที่ผ่านมาเคยได้มองมันในยามค่ำคืนอยู่หลายครั้ง แต่ในเวลาที่ถูกบอกให้ปิดไว้ ห้ามเอื้อมมือไปหา มันกลับทำให้ความอยากพุ่งทะยานสวนทางกับสิ่งที่ควรจะทำ


        ไม่ต่างกับในเย็นวันนี้ที่เขาทำตัวแปลกๆไป..ปริศนาและความอยากรู้ในสถานการณ์ เรื่องราวที่ตนเผชิญ กำลังบอกให้เขามุ่งมั่นในการค้นหาทุกสิ่งที่อยากรู้ก่อนจะสายเกินแก้ แม้จะไม่รู้ว่าอะไรคือสายไป แต่หากไม่ลงมือทำ คงอยู่เฉยๆไม่ได้แน่แท้


       แค่เปิดหน้าต่างออกไป การขบฐเล็กๆที่แลกมากับความเชื่อใจและคำสัญญา มันคุ้มค่ารึยังหากจะแลกกับความจริงที่อยากพบเจอ?


    ก๊อกๆ


       เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นยามแตะปลายนิ้วลงไปและตั้งท่าจะเปิดหน้าต่างออกทำให้เอนีลถอนใจพรู แอบโล่งใจนิดๆที่มีบางสิ่งมาหันเหความสนใจตัวเองจากการทำผิดสัญญาไปได้แม้จะอดเสียดายอยู่ลึกๆเช่นเดียวกัน นายแพทย์หนุ่มเดินไปที่ประตู เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปจับลุกบิด มองลอดออกไปจากช่องประตูแมวก่อนจะเปิดออก


      "ครับ?" เอนีลยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า "อ่ะ...."


      "ของตอบแทน" ไคลน์เอ่ยยิ้มๆ มือยื่นกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งมาให้ เอนีลมองแล้วหัวเราะออกมาอย่างขัดเขิน แต่เขาก็เอื้อมมือรับ


      "..ผมไม่ได้ให้เพื่อรอของตอบแทนนะ" บ่นอุบอิบ แต่ก็ยกมันมาจรดปลายจมูกเพื่อดมดอมกลิ่นหอม


      "..ผมอยากจะให้ไง" ไคลน์ตอบยิ้มๆก่อนจะชะโงกตัวไปมองภายในห้อง "ขอผมเข้าไปได้รึเปล่า?"


      "ได้สิ..เชิญครับ" เอนีลเปิดประตูกว้างขึ้น ให้ร่างของชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเขางับบานประตูลงและหันมาอีกครา ร่างของไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานหนานั้นเสียแล้ว


       "ผมดีใจ" เมียงมองครุ่หนึ่ง ชายหนุ่มก็หันมาหา "ที่คุณรักษาสัญญา"


       "..อืม..ขอบคุณครับ" เอนีลได้แต่รับคำ ก้มหน้ามองฝ่าเท้าตนเองขณะเดินมาสมทบกับอีกฝ่าย ไม่กล้าบอกว่าเมื่อครู่นี้เองที่เขากำลังตัดสินใจจะเปิดมันอยู่แล้ว


       "..เอ่อ....." เงียบไปครุ่ใหญ่ จากนั้นทั้งคู่ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน เอนีลเงยหน้าขึ้นมาจากพื้นพรมแล้วสบตาไคลน์ที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาทั้งคู่หัวเราะ ก่อนจะไคลน์จะยกมือทั้งสองข้างขึ้นแบบยอมแพ้


       "ผมขอพูดก่อนแล้วกัน" ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ "แต่ค่อนข้างยาวนะ.."


      "หือ..." เอนีลมีท่าทีสนอกสนใจ เมื่อเห้นว่ายาว เขาจึงหันไปลากเก้าอี้อ่านหนังสือของตนมานั่ง "เรื่องเล่าในวิชาเทววิทยา?"


     "ถูกต้อง" ไคลน์หัวเราะ ชายหนุ่มเอนตัวพิงหน้าต่าง ท่าทีสบายๆ


     "เรื่องของ..เทวดา..กับปีศาจ.."


    "..อืม" เอนีลพยักหน้า แม้จะแอบคิดในใจว่าอีกแล้ว..ก็เถอะ


   "ไม่ใช่เรื่องเดิมนะ" ไคลน์หัวเราะ ก่อนจะมีท่าทีจริงจังขึ้นขณะที่ทอดมองบุรุษผู้ใช้สายตาอ่อนโยนจ้องกลีบกุหลาบขาวของดอกไม้ในมือ "มันเป็นเรื่องของ..."


    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดมองข้ามไหล่ตนเองไปยังตรอกด้านล่างเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองผู้ฟังซึ่งจ้องมาตาแป๋ว


     "การถูกทำร้าย และ การเอาคืน"



+++++++++++++++++++++++++


ปัดๆกลีบกุหลาบที่ร่วงออกมาจากนิยาย 555

ตอนนี้กุหลาบหลายดอกกันเลยทีเดียว แถมความหมายยังอื้อหือ..กันอีกด้วย

แลดุเหมือนหลังจากพบชู้คุณภรรยา #ไม่ใช่ จะเเข็งข้อแปลกๆนะคะ คุณไคลน์..ถึงขั้นต้องมานั่งเล่านิทานให้ฟังต่อกันเลยทีเดียว ฮ่าาาา


  ส่วนตอนหน้าจะเป็นไงต่อก็ติดตามกันค่า  :กอด1:

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 18 ภาะสะท้อน + Lost 19 Rose & Promise * UP.14/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 15-06-2014 16:45:32
 :L1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 20 สายลมที่พรั่งพรู + Lost 21 ตื่นจากฝัน * UP.19/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 19-06-2014 01:31:57


Lost 20 สายลมที่พรั่งพรู 


"...เหมือนคำสอนเลยนะครับ"


    เอนีลเลิกคิ้วกับคำกล่าวของชายหนุ่ม เขายิ้มแล้วเอ่ยทักออกไป แขนสองข้างวางพาดกับพนักเก้าอี้ส่วนคางก็เกยอยู่บนสุด ในมือยังมีดอกกุหลาบสีขาวส่งกลิ่นหอมรวยริน ดวงตาจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เป็นผู้มอบมันให้แก่เขา ไคลน์ สไตร์คเซอร์


    ..ภายในค่ำคืนของวันที่ท้องฟ้ากระจ่างไร้เมฆฝน เขาสองคนกลับมานั่งเล่า"นิทาน"ให้กันฟัง ช่างดูแปลกประหลาดนัก


      "อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ" ผู้ถูกถามอมยิ้มน้อยๆ แผ่นหลังทาบอยู่กับกระจกบานหนาที่ถูกปิดล็อกไว้ไม่ให้สายลมจากภายนอกโชยพัดมา ผ้าม่านสีขาวถูกดึงออกรวบไว้ด้านข้างจนเผยให้เห็นดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่เบื้องนอก แสงสว่างที่สาดเข้ามานั้นกระจ่างมากเสียจนแทบไม่ต้องพึ่งหลอดไฟสีเหลืองนวลบนเพดานห้องเสียด้วยซ้ำ


       "...คำสอนที่ว่ากันว่า ได้มาเท่าไหร่ ก็ต้องตอบคืนไปเท่านั้น แต่ถูกทำร้ายเพียงใด ก็ต้องเอาคืนเท่ากันอย่างไม่อาจยกเว้น"


       "กฏแห่งความเที่ยงธรรม?" เอนีลเอ่ยเบาๆ


       "ครับ จะเรียกแบบนั้นก็ได้กระมัง" ไคลน์หัวเราะ "ผมไม่รู้จะใช้คำไหน..แต่จะเรียกว่ากฏก็คงได้ ไม่มีใครหลีกพ้นแม้แต่คนเดียว"


       "........" เอนีลพยักหน้าเป็นการรับรู้


       "...ไม่ว่าที่ไหน...ใคร หรือโลกใด กฏชนิดนี้ก็ไม่เคยงดเว้น" ไคลน์สบตาอีกฝ่าย เส้นผมสีน้ำตาลเข้มสะท้อนแสงจันทร์จนอ่อนจางลงและทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าดูสว่างไสวมากยิ่งขึ้น "...มันก็เลยเข้าสู่เรื่องเล่านึงของผม..เกี่ยวกับเทวดาหนึ่งตน และปีศาจอีกหนึ่ง"


       "..กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" เอนีลเอ่ยปากขึ้น พอคนฟังทำหน้าฉงนเขาก็หัวเราะ "ผมแค่ขึ้นต้นให้นะ"


       ไคลน์หัวเราะ "ดีเลย ขอบคุณครับ..กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเทพอยู่องค์หนึ่ง ว่ากันว่าเขาเป็นเทพที่งดงาม...งดงามมากๆ...มากมายเสียจน..ไม่ว่าใครได้พบ ต่างก็หลงรัก หลงไหลและคลั่งไคล้"


      ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันมาสบมอง แววตาพราวระยับด้วยความรักใคร่ยามเอ่ยถึงความงามนั้นทอดมองมาที่ตนราวกับจะบอกว่าเป็นคนที่ทำให้คนตรงหน้าซาบซึ้งกับสิ่งที่พูดนั้นคือตัวเขา เอนีลหลบตาวูบ เสก้มลงมองกุหลาบราวกับสนใจนักหนา ทั้งที่อดจะใจเต้นรัวกับแววตาคู่นั้นไม่ได้


      "เทพองค์นั้นมีนามว่าฟาราส.." เสียงทุ้มๆเอ่ยเล่าต่อด้วยจังหวะเนิบช้าชวนฟัง "ฟาราสมีคนรักเป็นเทพองค์หนึ่ง ..ว่ากันว่าเขาคือแม่ทัพแห่งสวรรค์ ทั้งสองเป็นคู่รักที่มีแต่คนชื่นชม กระทั่งวันนึง แม่ทัพคนรักของเขาต้องไปทำภารกิจในนรก และกลับมาพร้อมกับสหายศึก นั่นก็คือปีศาจตนหนึ่ง"


       "ทันทีที่ปีศาจตนนั้นได้พบกับฟาราส...ปีศาจตนนั้นหลงรักฟาราสทันที เหมือนกับทุกๆ และเหมือนกับ ผู้ที่พบเห็นความมมืดมิดมาเนิ่นนาน หลงไหลต่อแสงสว่างที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า"


        เอนีลนิ่งฟังเงียบๆ หากเขาค่อยขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ เมื่ออกค่อยปวดตุบ และหัวใจเต้นโลดแรงขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ


      "ปีศาจตนนั้นรู้ว่าฟาราสมีคนรัก และตัวมัน..มิอาจทำอันตรายใด ต่อแม่ทัพผู้เป็นคนรักของฟาราสได้ มันจึงคิด..." ไคลน์ยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองคนที่ก้มมองพื้นเบื้องหน้า ด้วยแววตาบางอย่าง"คิดว่า...หากดึงเอาเทพบุตรผู้แสนงดงามลงมาได้ เมื่อนั้น ฟาราสก็จะเป็นของตน..มันแย่งชิง ทุกๆอย่างไปจากเขา..ปีกสีขาว..ดวงตา..หัวใจ ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างๆ......."


        ".............." เอนีลกลืนน้ำลายช้าๆ เขาเงยหน้าขึ้นมามองไคลน์ขณะที่หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงมากขึ้นเสียจนนึกกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินเสียด้วยซ้ำ


       "เพราะถูกทำร้าย หมดสิ้นพลัง ฟาราสก็เลยกลายเป็นเพียงคนธรรมดา ..และทุกๆครั้งที่เขาเกิดมา ปีศาจตนนั้นและเทวดาที่เป็นคนรักของเขา ก็จะย่างเท้าเข้ามาหา ทั้งสองตนกำลังทำสงคราม เพื่อแย่งชิงเอาคนที่ตนเองต้องการ และเอาคืนอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ"


        เอ่ยแล้วเจ้าของเรื่องเล่าก็เบือนหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างเต็มตาทำให้แววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นยิ่งมองเหม่อไปไกล ราวกับจะระลึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น


       ".......แล้ว" เมื่ออีกคนเงียบไปนาน เอนีลก็เอ่ยถาม หากแต่หางเสียงของเขาสั่นไหว ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็แล้วแต่


       "จบแล้วล่ะครับ" ไคลน์หันมายิ้มให้ "ว่ากันว่านิทานเรื่องนี้ไม่มีวันจบ..และบางที..มันอาจจะเป็นแค่การเปรียบเทียบว่าระหว่างความดีกับความเลว อันไหนสามารถช่วงชิงพื้นที่ในชีวิตของเรามากกว่ากันก็ได้"


        ฟังแล้วเอนีลก็หัวเราะ นายแพทย์หนุ่มหัวเราะเบาๆขณะที่มือขวาจับลงบนหน้าอก อะไรบางอย่างในหัวใจเต้นแรงเสียจนมือไม้สั่นระริกไหว ดวงตาสีท้องฟ้าหรุบต่ำ พยายามทำท่าขลบขันเสียจนต้องก้มตัวก้มหน้าไม่ให้ไคลน์เกิดความงวยงง แต่ทว่ามันก็ดูจะเป็นไปได้ยากเต็มที


       "ดูเป็นตำนานธรรมดาๆ ที่น่าขันสินะครับ..เหมือนแปรเอามาเป็นเรื่องรักโรแมนติก..เพื่อดึงดูดไม่ให้น่าเบื่อ" ทั้งที่หากมองคงจะรู้ความผิดปกติ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมองออกไปนอกหน้าต่างจึงไม่ได้สังเกตุเห็นใบหน้าซีดเซียวและท่าทีประหลาดของคนตรงหน้า ไคลน์มองเครื่องบินรบที่บินผ่านน่านฟ้า ชายหนุ่มยิ้ม


        "สงครามกำลังจะเริ่ม..."


        "..อา...นั่นสินะครับ" จู่ๆการเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ทำให้เอนีลนึกงวยงง แต่เขาก็เออออไปตามเรื่อง มือขวาพยายามนวดอกที่ปวดหนึบช้าๆ ให้อัตราการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปรกติ นึกดีใจขึ้นมาวูบหนึ่งที่อีกคนไม่สังเกตุเห็นอาการแบบนี้ของตน
        " เวลา..." ไคลน์ยิ้มน้อยๆ แววตาแปรเปลี่ยนไปเป็นวูบไหว "ใกล้จะหมดแล้ว"


        "......นั่นสินะ....ครับ.." ก้มหน้าลงช้าๆ เอนีลไม่อาจจะตอบอะไรได้นอกจากคำตอบเดิมๆ ชายหนุ่มไพล่คิดถึงการที่คนในครอวครัวของตัวเองอาสัยตำแหน่งหน้าที่เรียกเอานายทหารผู้ทำหน้าที่ในสมรภูมิมาช่วยปกป้องเขา ในยามที่สงครามใหญ่ใกล้มา ไคลน์คงจะได้ถูกเรียกตัวกลับมาอีกครั้ง และ..เวลาก็ใกล้จะหมดลงอย่างที่ชายหนุ่มเอ่ยบอก


        "คุณรู้ไหม..ไม่ว่าจะที่ไหน ในตอนนี้ก็คงมีสงครามเหมือนกันนะครับ" ไคลน์หันมาในที่สุด ทำให้คนมองรีบลดมือลงจากอก แม้ชายหนุ่มจะแปลกใจกับท่าทีนั้นแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากมาย และเอนีลรู้สึกดีใจที่ตัวเองยิ้มออกมาได้เสียที


        "คุณหมายถึงส่วนอื่นๆของโลก?" หูยังพอฟังจับใจความรู้เรื่อง เอนีลเลยเอ่ยถามต่อไป


       "...ตามตำนาน....ในวิชาเทววิทยา" ไคลน์ยิ้มราวกับเป็นปริศนา "เวลาแบบนี้ ..จะมีปีศาจจากใต้ขุมนรกที่ตื่นขึ้นมา"


       ".............."


       "มันตื่นขึ้นมากวดล้างและทำลายทุกอย่าง  ในเวลาเดียวกันกับที่บนโลกมนุษย์มีสงครามใหญ่ ปีศาจที่เติบโตขึ้นมาด้วยความชิงชังและความเกลียดของผู้คนที่ตายไป แปรเปลี่ยนเป็นอสูรกายที่อยู่ใต้นรก ว่ากันว่าเวลามันตื่น จะต้องมีคนช่วยกันไปปราบ มิฉะนั้นแล้ว..ทุกอย่างก็จะสูญสิ้น" 


       "น่ากลัวจังนะครับ" เอนีลหัวเราะเจื่อน


      "เป็นเวลาเดียวที่สีขาวและสีดำจะรวมกันได้เลยนะครับ" ไคลน์ยิ้มขันๆ "แล้วเพราะแบบนั้น..สีดำเลยมาอยู่ในที่ของสีขาว และทำร้ายคนของสีขาวได้ยังไงล่ะ"


      เอนีลชะงักไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมาเบาๆ "ถ้าอย่างนั้น นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมกับตำนานเรื่องแรกสินะครับ"


      "ใช่แล้วครับ.." ไคลน์ยิ้ม "มันน่าสนใจใช่ไหมล่ะ"


      ".........." ผู้ฟังพยักหน้าเงียบๆ แม้จะยิ้ม ทว่าแววตาของเขาไม่ได้เริงร่าเท่าทีปรากฏ


     "เป็นอะไรไปรึเปล่าครับ เอนีล?" เหมือนในที่สุดอีกฝ่ายจะสังเกตุได้ ไคลน์เอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย "ผมไม่น่าเอาเรื่องแบบนี้มาเล่าให้ฟังเลย คุณคงรู้สึกไม่ดี"


      "ผมไม่เป็นไรหรอกครับ..ไม่เป็นไร" เอนีลหัวเราะเบาๆก่อนจะนิ่งไปแล้วกลืนน้ำลายช้าๆ "ผมแค่กำลังคิด..ว่าอีกไม่นาน..สงครามก็จะเริ่ม..."


     "แล้วคุณก็จะจากไป"


    ครานี้ไคลน์เป็นฝ่ายชะงักดวงตาสีท้องฟ้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงียบๆ ก่อนที่ไคลน์จะเอื้อมมือมาลูบผิวแก้มของอีกฝ่ายเพียงแผ่วเบา และประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนหนักๆอย่างไม่รีรอ


      "...ผมจะอยู่กับคุณ เอนีล"


     "..แต่" เอนีลไม่ได้มีท่าทีต่อต้านใดราวกับการกระทำแปลกๆนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ทว่าผิวแก้มแดงวาบขึ้นมา บ่งบอกว่าชายหนุ่มรับรู้ชัดเจน


     "ตามคำสัญญาของผม" ไคลน์ยิ้ม "หากคุณไม่ผิดสัญญากับผม ผมก็จะไม่ผิดสัญญากับคุณ"


     "ผมจะมาปกป้องและคอยอยู่เคียงข้างคุณเสมอ"


    ดวงตาสีฟ้าไหวระริกกับคำสัญญานั้น ขณะที่หัวใจเต้นระทึก เงียบไปครู่หนึ่งท่ามกลางความอึดอัดที่แขวนค้าง เอนีลก็เงยหน้าขึ้น เขาสบตาอีกฝ่ายเงียบๆ ทั้งสองจ้องสบตากันอยู่นาน ก่อนที่ฝ่ามือของนายแพทย์หนุ่มจะประคองใบหน้าของคนที่สูงกว่าให้โน้มตัวลงมาหา และประทับจูบเบาๆบนริมฝีปากของกันและกันอย่างเนิ่นนาน


     ริมฝีปากคลอเคลียอย่างอ่อนหวานไม่ได้เข้าไปรุกล้ำด้านในหรือทำอะไรมากกว่านั้น ทว่ากลับลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงจูบฉาบฉวยแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน หากมันทำให้หัวใจอุุ่นวาบ ในอกที่เมื่อครู่พลุ้งพล่านและดิ้นรนคล้ายทุรนทุรายบางอย่างค่อยสงบลงอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีฟ้าปรือปิดลงเงียบๆ ขณะที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายวางลงบนบั้นเอวแล้วรั้งร่างของผู้เริ่มรุกเร้าให้แนบชิด พร้อมกับเริ่มสอดปลายลิ้นเข้าไปทักทายในที่สุด


      เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นราวกับประท้วงเมื่อสัมผัสเรียวปากอีกฝ่าย หากไม่นานก็เงียบไป เอนีลสะท้านอยู่ในอ้อมแขนแกร่งที่โอบล้อมเขาไว้ให้พ้นจากอันตรายทั้งมวล ปลายนิ้วกำชายเสื้อของชายหนุ่มแน่น ตัวสั่นนิดๆ กริยาอาการราวกับไร้เดียงสานั้นทำให้นึกเอ็นดูยิ่งนัก ไคลน์จึงโน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายมากขึ้น สัมผัสและมอบความรู้สึกทั้งหมดที่ตนมีให้อีกฝ่ายรับรู้


       เนิ่นนานราวกับไม่รู้เวลา ริมฝีปากชาหนึบหลังจากจูบคลอเคลียกันอย่างอ่อนหวานจึงค่อยผละออก ดวงตาที่เหม่อลอยราวกับอยู่ในภวังค์นั้นแสนแปลกตานัก แต่คนทั้งคู่ที่ยังหลงอยู่ในมนต์ของจันทรายังคงเงียบงัน ไร้ถ้อยคำใดต่อกันและซุกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ท่ามกลางเสียงเต้นของหัวใจที่สอดประสานกันเงียบๆ


        ดอกกุหลาบขาวที่หล่นจากฝ่ามือลงไปยังพื้นพรมปรากฏในสายตาอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่ เอนีลค่อยๆขยับตัว ผละจากอ้อมแขนของไคลน์แล้วก้มลงหยิบกุหลาบดอกนั้นไว้ในมือ กริยาอาการที่อาจทำไปเพียงเพื่อแก้ขวยแต่ก็ทำให้บรรยากาศเมื่อครู่ค่อยจางหาย ไคลน์กระแอมเบาๆ หันไปจ้องมองนอกหน้าต่าง เช่นเดียวกับเอนีลที่จดจ่ออยู่กับการมองกุหลาบขาวในมือ


       ..ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามถึงความนัยของการกระทำเมื่อครู่ และสาเหตุของมัน


      ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่ยืนนิ่งและเงียบงัน ไม่ใช่ด้วยความเขินอาย แต่เพราะความไม่แน่ใจ และ..ค้างคาในบางสิ่ง


      แม้จะรู้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้นชื่นชอบ และอาจจะถึงขั้น ...รัก แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ควรสัมผัสกันอย่างย่ามใจเช่นนี้


      ยังก่อน...ยังไม่ใช่ตอนนี้


       ไคลน์บอกตัวเองซ้ำๆขณะที่จ้องมองพระจันทร์เบื้องนอก ชายหนุ่มพยายามนิ่งคิดสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนจะหันมาอีกครั้ง หากหัวใจก็เต้นโลดผิดไปอีกเมื่อสบตาสีฟ้าใสที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามือที่จะเอื้อมไปหาชะงักก่อนจะยิ้มบางๆ


      "...วันนี้ดึกมากแล้ว...ถ้ายังไง.."


      "ไคลน์" เสียงเรียกเบาๆที่ดังขัดขึ้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก


      "ครับ?"


      "กุหลาบสามดอกที่ผมเอาให้วันนี้.." เอนีลก้มหน้ามองพื้นเงียบๆก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ"


      ".............."


      "ราตรีสวัสดิ์นะครับ"


      "ครับ ราตรีสวัสดิ์"


          ร่างของเจ้าของห้องเดินเข้าไปในห้องน้ำเมื่อเอ่ยจบประโยค ปากผู้ฟังนิ่งงัน ไคลน์เอื้อมมือไปรูดม่านปิดหน้าต่างช้าๆ ดวงตาเข้มขึ้นอีกครั้งขณะที่เดินไปยังบานประตูห้อง


       กุหลาบสามดอก...


"ผมรักคุณ"


+++++++++++++++++++++++++++++++


เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างของไคลน์ก็ออกไปจากห้องแล้วดังคาด..


   เอนีลนั่งลงข้างเตียง จดกระดุมชุดนอนช้าๆ พลางมองร่างตัวเองที่สะท้อนอยู่กับกระจก ชายหนุ่มยกมือขึ้นนวดขมับเงียบๆ สีหน้าเคร่งขึ้นพลางถอนหายใจช้าๆ ท่าทีหนักใจบางสิ่ง ขณะที่ตามองไปยังกุหลาบขาวบนแจกัน


   ...บอกไปแบบนั้น..ถือว่าโง่รึเปล่านะ?


   เอ่ยถามตัวเองแผ่วเบา หากแต่ก็ไร้คำตอบ จะด้วยแรงกระตุ้นอะไร เอนีลไม่แน่ใจ เรื่องราวยามกลางวันนี้ ที่บอกวให้รู้ว่าเขาอาจะถูกคนๆนี้ฆ่า สมควรจะหวาดกลัวนักหนาแต่มันก็ไม่ใช่ เขากลัวก็จริง แต่ไม่ได้กลัวจะถูกพรากชีวิตไป เขากลัวจะต้องรับรู้ว่าชายหนุ่มหลอกลวงกันมากกว่า


    แล้วตอนนี้ พอมาคิดว่าไม่นานคนๆนี้จะต้องจากไป..ก็เลยเผลอไปจูบ แล้วก็พลั้งปากไปแบบนั้น


 ....ทว่ามันก็คือความจริง


   ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารักคนๆนั้น


    ความรักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและยึดที่มั่นในหัวใจมากขึ้นจนเกินจะรู้ตัว มานึกตระหนก สับสนและเสียใจเอาก็ในยามที่ได้พบว่าเรื่องราวแปลกๆที่พบเจออาจจะอยู่ภายใต้การกระทำที่ไคลน์มีส่วนร่วมด้วยนี่เอง


    ..ทั้งที่ไม่ควรพูดกลับพูดไป..


        "โง่งมเสียจริง" เสียงพูดที่ราวกับนั่งอยู่กลางหัวใจดังขึ้นเงียบๆ นั่นทำให้เอนีลชะงัก พลันสะดุ้งอีกครั้งเมื่อร่างนั้นปรากฏอยู่ในกระจก ชายหนุ่มหันขวับไปด้านหลัง ก่อนจะพบว่าชายคนนั้นนั่งเอกขเนกบนเตียงของเขาด้วยสีหน้ารื่งเริงเสียเต็มประดา


        "เซดิส..." เอนีลเรียกชื่ออีกฝ่ายเงียบ


       "...ทั้งที่รู้ว่าตัวเองอาจจะต้องตาย แล้วเจ้าพูดไปทำไม" ปลายนิ้วสีขาวเเตะเส้นผมสีดำสนิทของตัวเองเบาๆ เอ่ยถามเขาราวกับฉงน


       เอนีลเม้มปากแน่น "แอบฟังคนอื่นพูดไม่ดีนะครับ"


      "เจ้า จำได้ แล้วใช่ไหม?" ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองมาเงียบๆ


      "................." ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของคนถูกถาม


       "...รู้ใช่ไหม ว่านั่นคือคำโกหก" เซดิสเปลี่ยนไปพูดอีกเรื่อง ไม่ได้สนใจซักถามต่อ


      "...จนป่านนี้ ผมยังไม่ทราบว่าใครพูดความจริงหรอกครับ" เอนีลตอบสั้นๆ "แต่ที่แน่ๆ ไคลน์น่าเชื่อถือกว่าคุณมาก"


     คำพูดนั้นทำให้ผู้ฟังหัวเราะราวกับถูกใจ


       "...น่าเชื่อถือ เชื่อถือเรอะ แล้วเหตุใด ถึงได้มีท่าทีแบบนั้นล่ะ..เวลาได้ยินชื่อฟาราสน่ะ" เซดิสยิ้มขัน "ฟาราส...ฟาราสผู้งดงามและแสนดี..เจ้าได้ยินชื่อเขาแล้วทำไมถึงรู้สึกแปลกประหลาดขนาดนั้น?"


       "..........."


       "เจ้านี่ไม่ว่าอย่างไรก็น่าขัน" เซดิสหัวเราะ สีหน้าขบขัน..เช่นเดียวกับริมฝีปากที่พรายยิ้มบาง "อุตส่าห์เอ่ยปากเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเจ้าก็ยังทำไมรู้....ตามใจเถิด"


      "....ทำไมผมต้องเชื่อคุณ" เอนีลสวนกลับ แววตาวาววับ "คุณก็ไม่เคยพูดจริงสักอย่าง บอกจะพาผมไปเจออาโลอิส นอกจากศพตัวเอง ผมก็ไม่ได้เจอสิ่งอื่นนี่"


       "....เจ้า" ผู้ฟังเลิกคิ้ว สีหน้าคล้ายฉงน "ก็ได้เจอแล้วมิใช่หรือ"


      "คุณหมายถึงเสียงกรีดร้องแล้วก็การทำ...ทำแบบนั้นน่ะเหรอ" เอนีลถามกลับ แววตาวาววับเมื่อนึกถึงภาพอันเลวร้ายในความทรงจำ


     "...เจ้าอาจจะโกหกผู้อื่นได้ แต่เจ้าโกหกตนเองไม่ได้" เซดิสเอ่ยเสียงเบา "เจ้ารู้ดี ว่านั่นมันคืออะไร"


     "ผม...."


    "หากไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น เจ้าก็เดินไปถามมันเสียซิ...ว่ามันเคยฆ่าเจ้าไหม"


      "ผมจะพูดแบบนั้นทำไม ใครจะยอมรั-----"


      "เจ้าไม่ได้ไม่กล้าพูดเพราะกลัวมันเสียใจที่เจ้าระแวงสงสัย" เซดิสหัวเราะ "เจ้าพูดเพราะกลัวมันตอบว่า"ใช่"ต่างหาก"


       "..................."


          ปลายนิ้วสีดำยื่นมาตรงหน้า แววตาที่เข้มขึ้นของอีกฝ่ายทำให้เอนีลหนาววูบ เขาจะขยับหนี ทว่าก็ไม่อาจทำได้ ราวกับถูกบางอย่างตรึงเอาไว้ เนื้อตัวจึงชาดิก ไร้การเคลื่อนไหวายหนุ่มจ้องมองปลายนิ้วที่เคลื่นเข้าหมาใกล้อย่างงวยงงและหวาดกลัว ยิ่งมองเห็นแสงบางอย่างวาบขึ้น หัวใจก็ยิ่งเต้นโลดแรง


        สบตาสีแดงก่ำราวกับวอนขอ หากที่ได้รับตอบมามีเพียงแววขบขัน เรียวปากของเซดิสยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ


      "เวลาใกล้จะมาถึงแล้ว.."


      "ถือว่านี่...เป็น"ของขวัญ"จากเจ้านายของเจ้าก็แล้วกัน"


        ทันทีที่เอ่ยเช่นนั้น ร่างที่เเข็งทื่อของเอนีลก็ร่วงหล่นลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว


     "สนุกกับความฝันครั้งสุดท้ายของเจ้าเสียนะ...เด็กน้อย"


        เอ่ยพร้อมกับสะบัดปลายนิ้วออกจากหน้าปากอีกฝ่าย เซดิสลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มกวาดตามองทั่วห้องก่อนจะสะบัดแขนโดยแรงหนึ่งที บานหน้าต่างที่ปิดล็อคมาตลอดก็พลันเปิดอ้า เสียงหน้าต่างกระทบผนังดังตึงใหญ่ มาพร้อมกับสายลมแรงที่หอบบางอย่างให้พรั่งพรูเข้ามาในห้อง


     แว่วเสียงฝีเท้าก้าวลงมาอย่างเร่งร้องและเสียงลูกบิดประตูถูกเขย่าเปิดออกโดยแรง ริมฝีปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยามเมื่อสบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่วาววับด้วยความไม่พอใจ หากก่อนที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้น ร่างในชุดสีดำก็อันตธารหายไป เหลือเพียงผ้าม่านที่สะบัดไหวให้สายลมในยามค่ำคืนเข้ามาเยือน


     ..และร่างที่สลบไสลอยู่บนเตียงนอนราวกับจะไม่ฟื้นขึ้นมาชั่วนิรันดร์


      +++++++++++++++++++++++


ตอนนี้มีสองบรรยากาศ หนึ่งคือหวานมากและสองคือมึนมาก555

//ชาวบ้านบอกมึนตัลหลอดแหละะะ


ความลับซัมติงใกล้จะเปิดเผยแล้ววววว มาลุ้นกันเถอะค่ะว่าจะออกหัวออกก้อยยย เฮฮฮ *0*/


หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 20 สายลมที่พรั่งพรู + Lost 21 ตื่นจากฝัน * UP.19/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 19-06-2014 01:37:31


Lost 21 : ตื่นจากฝัน


    ไม่มีฝันครั้งไหนที่ยาวนานมากกว่าครั้งนี้..


     เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มันคือยามเช้าตรู่ หลังจากหลับหมดสติไปด้วยน้ำมือของเซดิส เอนีลไม่ได้หลับไปนานหลายวันหลายคืนแต่อย่างใด ทว่ามันกลับเนิ่นนานนักในความรู้สึก ความรู้สึกในยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลากหลายเสียจนต้องนิ่งตั้งสติครู่ใหญ่ ราวกับได้บางสิ่งกลับมาให้เป็นคนเดิมที่ควรเป็น ทว่าก็ราวกับต้องสูญเสียบางสิ่งที่แสนสำคัญไปด้วยเช่นกัน..


    ....ความทรงจำ ความฝัน และเรื่องราวประหลาดทั้งหลายเหล่านั้น


      ยิ้มคนเดียวอย่างเงียบงันครู่ใหญ่ ก่อนชายหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นเงียบๆเขาไม่พบร่างของใครอื่นที่อยู่รอบกาย เตียงสี่เสาหลังใหญ่มีผ้าม่านสีควันบุหรี่ปกคลุมโดยรอบนั้นเป็นสิ่งที่คุ้นตา สายลมเย็นๆพัดเข้ามาทำให้ม่านผืนบางไหวพริ้มตามแรงลม


     ดวงตาสีท้องฟ้าตวัดไปยังหน้าต่างบานใหญ่ในห้องของตน ไม่ผิดไปจากที่คิดเมื่อมันเปิดกว้างให้สายลมเย็นลอดผ่าน  แสงสว่างทอลอดเข้ามาอย่างอ่อนโยนในยามเช้าที่อากาศดีเช่นนี้ เอนีลละสายตาจากหน้าต่างบานใหญ่ ชายหนุ่มจ้องมองดอกกุหลาบสีขาวที่ถูกปักไว้ในแจกันข้างหัวเตียง ก่อนจะป่ายผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกขึ้นเงียบๆ


     ยืนกลัดกระดุมเสื้ออยู่หน้ากระจกบานหนา เอนีลจ้องมองใบหน้าและดวงตาของตนที่สะท้อนตอบมาอย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มเม้มปากแน่น รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่สั่นน้อยๆของตนและริมฝีปากที่เหยียดออกราวกับรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงบางสิ่งเกินจะทน


  แอ๊ด...


      "คุณหนู.." เสียงครางของพ่อบ้านเฒ่าแสนคุ้นหู เอนีลหันไปตามเสียงเรียกนั้น เขาสบตาฟาเอล กีโยต์เงียบๆ ดวงตสีเทาของชายชราสั่นระริก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโล่งใจพลางเดินมายิ้มให้อย่างยินดี "ฟื้นเสียที..ผมเป็นห่วงมาก"


     "ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ..ขอบคุณมาก" เอนีลตอบรับเบาๆ ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองชายตรงหน้าเงียบๆ พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าเหี่ยวย่นตามวันเวลานั้น ฟาเอลมีท่าทีประหลาดใจ ทว่าก็เอื้มมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆเช่นกัน


     "ผมกลัวจะเป็นอะไรไปจริงๆ..."น้ำเสียงนั้นบ่งบอกความห่วงใยชัดเจนก่อนจะเงยหน้าขึ้น "เมื่อครู่ท่านนายพลโทรมา บอกว่าทางที่ดีให้เตรียมตัวไว้..สงคราม"


      "ผมรู้ครับ" เอนีลยิ้ม "ผมกำลังเตรียมตัวอยู่"


      "...ไม่ได้อยากสมัครเป็นแพทย์สนามใช่ไหม?" ฟาเอลอ้าปากค้าง ถามเสียงเบาราวกับกระซิบ


     "เปล่าหรอกครับ...ไม่ใช่หรอก" เอนีลเอื้มมือไปบีบมือคนตรงหน้าเบาๆอีกครั้ง "ผม...แค่เตรียมตัว"


     "............."


     "ขอบคุณมากนะครับ ที่คอยเป็นห่วงมาตลอด" เอนีลละฝ่ามืออกแล้วสวมกอดชายตรงหน้าเบาๆ "ผมนี่แย่เสียจริงๆ ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย"


     "คุณชาย...." น้ำเสียงของฟาเอลลังเล คล้ายสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาเบาใจได้เอาเสียเลย


     "...ผมหิวแล้ว" นิ่งไปครู่เอนีลก็หัวเราะ "เช้านี้มีอะไรบ้างครับ อยากกินซุปเห็ดจังเลย"


    "วันนี้มีซุปหัวหอมกับตับบด ถ้าอยากได้ซุปเห็ด ผมจะไปเตรียมมาให้นะครับ" เมื่อเห็นว่าคนป่วยขอ ฟาเอลก็ละล่ำละลักบอกทันที "..คุณหนูอย่าหักโหมมากนะครับ เดี่ยวลงมาทานข้าวด้วยกันแล้วไปให้หมดตรวจอีกรอบเถอะ"


     "ผมไม่เป็นไรแล้วครับ" ผู้ฟังยิ้มบาง "..หายแล้วล่ะ"


    "....คุณชาย" ฟาเอลจ้องมองผู้พูด ท่าทาสงบนิ่งและยิ้มแย้มเช่นนี้ควรทำให้วางใจแต่ก็เปล่า มันราวกับเป็นลางสังหรณ์ที่ทำให้ผู้มองนึกหวาดหวั่น "...ผมว่า..."


    "เดี๋ยวผมขอเป็นผู้ตรวจให้แทนนะครับ คุณฟาเอล" เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ทั้งสองชะงักอีกครา เอนีลหันไปมองผู้พูดที่ถือวิสาสะยืนมองเขาอยู่ที่ประตู ไคลน์ สไตร์คเซอร์กอดอกแล้วมองมาทางนี้เงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะพยายามทำท่าทีผ่อนคลายแต่ก็ไม่อาจเป็นไปได้ "หวังว่าคุณคงอนุญาต"


      "....ครับ..ได้" เอนีลพยักหน้ารับพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปหาฟาเอล "ผมจะให้ไคลน์ตรวจให้ เบาใจได้แล้วนะครับ"


     "..ถ้าแบบนั้นผมก็ยินดี" ฟาเอลยิ้มรับ "ผมจะลงไปเตรียมอาหารเช้า..ถ้าตรวจเสร็จแล้วลงมาทานมื้อเช้าด้วยกันนะครับ"


    "ได้เลยครับ" เอนีลกอดพ่อบ้านเฒ่าอีกครั้งแล้วผละออก ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน


     "ด้วยความยินดีครับ.." ไคลน์รับคำ ชายหนุ่มเปิดประตูออกกว้างให้ขณะที่ฟาเอลเดินออกไปจากห้อง จวบจนเมื่อร่างของพ่อบ้านเฒ่าลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงงับประตูปิดอีกครั้ง และสาวเท้ามาหาคนที่อยู่ในห้อง


     "คึกคักกันจริงนะครับ..." เปรยขึ้นเบาๆ ขณะที่วางมือลงบนกรอบหน้าต่าง ตามองออกไปยังถนนเบื้องล่างซึ่งผู้คนเริ่มคลาคล่ำ ใบหน้ารับแสงอาทิตย์และสายลมเย็นๆที่ลอดเข้ามา "สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกที..คงประกาศสงครามกันเร็วๆนี้แน่"


    "....อีกไม่นาน" ไคลน์เอ่ยปากรับคำเบาๆ


    "..แต่เดี๋ยวคุณก็คงต้องไป" ดวงตาสีฟ้ายังไม่ละออกจากภาพเบื้องนอก


    "คุณก็เหมือนกัน"


        เอนีลยิ้มรับคำนั้นและไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มหันมาสบตาคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ดวงตาสีฟ้าสดทั้งอ่อนโยนและฉาบฉายไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง เสื้อเชิ๊ตสีดำสนิทและกางเกงสีเดียวกันทำให้นายแพทย์หนุ่มดูแปลกตาไปไม่น้อยเพราะที่ผ่านมาเอนีลมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีอ่อนสบายตามากกว่า ทว่าความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นไม่ได้ทำให้ไคลน์เอ่ยปากพูดอะไร ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบกับดวงตาสีฟ้าสดที่มันสงบอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เจ้าของดวงตานั้นจะยื่นมือมาหา


     "...รู้สึกไม่มีแรงชอบกล ตรวจให้หน่อยได้มั้ยครับ"


     "...ได้สิครับ" จับมือขาวที่ยื่นมาหา สัมผัสปลายนิ้วเรียวขณะที่แตะลงบนแอ่งชีพจรตรงต้นแขน ไคลน์มีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้ยิ้มแย้มหัวเราะ ไม่ต่างอะไรกับความเงียบอันมีที่มาจากคนตรงหน้า


      "คุณเคยบอกผม..." ผ่านไปหลายนาที และนายแพทย์ทหารนามว่าไคลน์ก็ยังจดจ่อกับการวัดชีพจร ซึ่งทำให้ภายในห้องเงียบกริบได้อย่างไม่น่าเชื่อ คนเป็นเจ้าของห้องก็เอ่ยปาก "ถ้าเรามีโอกาส..ได้ไปที่นั่นอีกครั้ง จะเป่าฟลุ๊ตให้ผมฟัง"


      "....ครับ ใช่" ไคลน์รับคำเบาๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาหา


     "ผมอยากไปจัง...วันนี้ว่างไหมครับ" เอนีลเอ่ยปากถาม ใบหน้าแย้มยิ้ม


    "ผมว่าง" ไคลน์ละสายตาออกจากข้อมืออีกฝ่ายในที่สุด "หน้าที่ของผมคือปกป้องคุณ ย่อมไปได้อยู่แล้ว"


     "ดีจังครับ" เอนีลยิ้ม..ก่อนจะดึงแขนออกจากปลายนิ้วอีกฝ่าย "แล้วอาการผมเป็นยังไงบ้าง?"


     "ปกติดี..ชีพจรเต้นอ่อนไปนิด แต่ก็ยังถือว่าไม่น่าห่วง" ไคลน์ตอบเบาๆ พลางเอื้อมมือบังผ้าม่านที่ปลิวเข้ามา ชายหนุ่มรวบผ้าม่านไว้กับกรอบหน้าต่างข้างหนึ่ง พลางสบตาคนถามไปด้วย


    "ร่างกาย...ปกติดีสินะครับ" รับคำเบาๆ ก่อนที่เอนีลจะลุกขึ้น "ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว..ไปทานข้าวกันเถอะ"


    ไคลน์พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร


    "จริงสิครับ.." หลังจากเดินไปถึงประตู เอนีลละมือที่กำลังแตะลูกบิดออกแล้วหันมาหา "...หน้าต่างบานนั้นเปิดไปเสียแล้ว ผมขอโทษด้วย"


    "...ไม่ใช่ความผิดของคุณ" ไคลน์รู้ ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ลงมือเอง


    "...แต่ก็ผิดคำสัญญาไปซะแล้ว" เอนีลยิ้มบางๆ สบตาคนตรงหน้า "ขอโทษนะครับ"


    "มันแค่หน้าต่าง.." ไคลน์อยากจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่นัยยะบางอย่างในแววตาคู่นั้นทำให้เขาเอ่ยปากบ่ายเบี่ยงไปเสีย


    "นั่นสิครับ.." นายแพทย์หนุ่มพยักหน้า "...คำสัญญา..ไร้สาระ"


     "แต่ผมก็ดีใจที่คุณยึดถือมันไว้.."


     "ผมก็เหมือนกันครับ..แม้จะเป็นแค่ช่วงนึงก็ตาม" เอนีลหัวเราะออกมาเบาๆ แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายประหลาด ยามสบตาสีน้ำตาลอ่อนของคนตรงหน้า


      "ในเมื่อหน้าต่างเปิดไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องผมอีกต่อไปแล้วล่ะครับ"


     ไม่มีคำตอบใดจากปากของไคลน์ ชายหนุ่มจ้องมองแผ่นหลังที่หายลับไปหลังบานประตูเงียบๆ ฝ่าเท้าก้าวเดินตามไป ขณะที่ตามองเห็นกุหลาบสีขาวที่เขาเป็นผู้ให้ถูกวางลงบนข้างเตียง ฝ่ามือออกแรงเปิดและปิดประตูห้องที่แสงสว่างจากภายนอกยังคงสาดจ้า ผ้าม่านปลิวไสว ร่อยรอยของการใช้ชีวิตยังคงปรากฏ ทว่ากุหลาบที่วางลงไปบนเตียงดูราวกับคำอาลัยวางไว้หน้าหลุมศพกระนั้น


++++++++++++++++++++


         มื้ออาหารที่เงียบเชียบดำเนินไปราวกับเป็นเรื่องปกติ..


     ในสายตาของผู้เฝ้ามอง ฟาเอล กีโยต์ พบว่ามันไม่เหมือนกับทุกครั้ง แน่นอนว่าคุณชายของเขาและแขกกิติมศักดิ์ไม่ใช่คนช่างพูด ทว่าทั้งสองก็มักมีเรื่องราวมากมายมาแบ่งปันกันอยู่เสมอ มีรอยยิ้มมอบให้กันไม่ได้ขาด บรรยากาศรื่นรมย์ เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสบายใจที่มอบให้กันนั้นเป็นสิ่งที่ตนเคยคุ้น หลายครั้งที่รู้สึกถึงความใกล้ชิดเสียจนเกินปกติ และความสนิทสนมที่ห่างไกลจากคำว่าธรรมดา ฟาเอลก็เงียบเสีย พ่อบ้านเฒ่ายอมสงบปากสงบคำไม่เอ่ยคำทักท้วงใด เพราะเห็นแก่ความสุขของคุณชายที่เขารักและผูกพันธ์ราวกับบุตรในอุทร


      หากแต่ในเช้าวันนี้ ความเงียบและบทสนทนาเรื่อยเปื่อยไม่อาจปกปิดความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ใบหน้าของคนสองคนที่ยิ้มแย้มให้กัน ทว่าแววตานั้นฉาบไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ตนไม่กล้าคาดเดา ดูเงียบงันและสงบราวกับทะเลไร้คลื่นลมก่อนเกิดพายุ


   ....สังหรณ์ในใจบางอย่างของฟาเอลผุดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ว่ามันต้องมีบางสิ่งที่ผิดแปลกไป


    "ลุงฟาเอล" เสียงของคุณชายที่ตนรักใคร่ดังขึ้นทำให้ละออกจากภวังค์ "วันนี้ผมจะออกไปธุระกับไคลน์ อาจจะกลับช้านะครับ"


    "จะออกไปแล้วเหรอครับ..." พ่อบ้านเฒ่าส่งเสียงคล้ายกังวลและห่วงใย ด้วยห่วงถึงอาการของคุณชายคนสำคัญ


    "ครับ..ผมไปกับไคลน์ไง ปลอดภัยแน่ครับ" เอนีลยิ้ม


     "....ผมรู้ แต่ อาการ..." ชายชรามีท่าทีอึกอัก


     "ผมตรวจดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ " ไคลน์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา "อย่าห่วงเลยครับ"


      เอนีลยิ้มให้แล้วพยักหน้ารับคำกับพ่อบ้านเฒ่าเป็นมั่นเป็นเหมาะ ราวกับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น และราวกับจะไม่สงสัย ว่าเหตุใด ไคลน์ สไตร์คเซอร์ถึงได้ไม่เอ่ยปากถามอะไรถึงเรื่องแปลกๆนั้น


       มองท่าทีรับคำเป็นมันเหมาะของทั้งสองคนแล้วพ่อบ้านเฒ่าก็ถอนใจแล้วยิ้มออกมา "เดินทางดีๆนะครับ"


     "ครับผม ขอบคุณมาก" เอนีลเดินมากอดอ้อนชายชราเช่นเดิม เมื่อสบกับดวงตาสีท้องฟ้าที่ฉายแววออดอ้อนรักใคร่นั้นชายชราก็ต้องใจอ่อนไปอีกครา ฟาเอลกอดตอบคุณชายของตนเงียบๆ และคอยดูแลเรื่องของกินและช่วยอำนวยความสะดวกต่างให้อย่างเต็มที่ กระทั่งส่งทั้งสองคนขึ้นรถจากไปแล้วนั่นล่ะ พ่อบ้านเฒ่าจึงได้พอใจ


     เดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วจัดการเก็บกวาดทุกอย่างตามปกติ หากแต่ช่อกุหลาบที่เหี่ยวแห้งอยู่ในถังขยะทำให้ฟาเอลนึกแปลกใจไม่น้อย หากจำไม่ผิด นี่เป็นช่อกุหลาบที่คุณชายเอนีลถือติดมือมาเมื่อวาน ดอกกุหลาบสีแดงเข้มจนเกือบดำดอกใหญ่และดอกเล็กๆอีกสองสามดอกถูกมัดเป็นช่อสวย แม้มันจะถูกเหวี่ยงลงบนถังขยะราวกับไม่ใส่ใจแล้วกระนั้นยังสดและส่งกลิ่นหอมเจือจาง


      ทว่าสิ่งที่ทำให้ฟาเอลแปลกใจ คือทำไม..เพราะอะไรกันแน่ มันถึงได้ถูกเขวี้ยงลงถังขยะเช่นนี้ คนที่ได้รับมัน หากตนจำไม่ผิด คือไคลน์ สไตร์คเซอร์ผู้นั้นไม่ใช่หรือ...คนที่มีท่าทีสนิทสนมรักใคร่คุณชายของเขาเสียขนาดนั้น ทำไมถึงได้ทิ้งของที่ได้ไปเสียเล่า


    ...และคุณชายของเขา จะรู้ไหมนะ ว่าดอกกุหลาบที่ตนมอบให้ ถูกทิ้งไปไม่ไยดี


          ตะกร้าหวายที่บรรจุถ้วยน้ำชา มื้อเที่ยง และของหวานวางอยู่บนตัก ด้านหลังคือพรมผืนเล็กหากแต่นุ่มเท้าสำหรับปูนั่ง ข้าวของและสัมภาระไม่ได้ต่างจากครั้งที่แล้วสักกี่มากน้อย ถูกบรรทุกมาในรถคันเล็กที่สองหนุ่มใช้ท่องเที่ยว ด้านหน้าของไคลน์มีกล่องใส่เครื่องดนตรีที่ไม่รู้ชายหนุ่มเอามาจากที่ไหน ทว่าคนร่วมทางก็ไม่คิดจะถาม เอนีลนั่งมองท้องฟ้า ใบหน้าระบายยิ้มน้อยๆดูสงบ และราวกับมีความสุขนักหนาที่ได้เฝ้ามองดูรถรา ผู้คน อีกทั้งถนนหนทางไปเรื่อยๆ


       "ครั้งนี้ไปเยี่ยมหลวงพ่อฌองกันด้วยดีไหมครับ?" เอนีลเอ่ยถามยิ้มๆ "ครั้งที่แล้วคงทำให้ท่านตกใจพอดู"


      "...นั่นสินะครับ" ไคลน์ไม่ได้ถามว่าตกใจเกี่ยวกับอะไร หรือเรื่องไหน ทว่าชายหนุ่มอาจจะทราบแล้วก็เป็นได้


      "ครั้งนี้แปลกจัง..ที่คุณไม่ถาม" คำถามที่ดังขึ้นนั้นราวกับคนซักจะอดใจไม่ไหว "แปลกจริงๆนะ"


       ".....ผมคิดว่าคุณอาจไม่อยากพูด" ไคลน์ตอบเบาๆ ยังไม่ละสายตาจากถนนเบื้องหน้า


      เอนีลหัวเราะ "อาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริง..."


      "หากผมถาม คุณจะตอบ?"


      "เรื่องประหลาดเยอะแยะ ผมว่าคุณคงไม่ชอบล่ะมั้ง" เอนีลยิ้มขันๆ


     "ผมอยากฟัง" ไคลน์ยืนยันหนักแน่น ท่าทีของวันนี้ดูเคร่งขรึม ไร้รอยยิ้มระรื่นเช่นที่เคยเป็น


     "คุณจำเรื่องที่เล่าให้ผมฟังเมื่อคืนได้ไหมครับ?" เอนีลไม่ได้ตอบคำถามนั้น ชายหนุ่มหันไปถามอีกเรื่องราวกับไม่ได้ยิน

"...ปีศาจที่หลงรักเทพบุตร..."



    "วันนี้ ผมก็มีบางสิ่งอยากเล่าให้คุณฟังเหมือนกัน" เอนีลยิ้ม "เรื่องของปีศาจ ที่หลงรักเทพบุตรคนหนึ่ง"


    "................" ไคลน์ไม่ตอบอะไร เขาจ้องมองคนพูดเงียบๆ


    "เป็นเรื่องที่มาจากความฝันของผม ซึ่งอาจจะขัดกับเรื่องเล่าในวิชาเทววิทยาของคุณก็ได้" เอนีลหันมาสบตาอีกฝ่าย ซึ่งละสายตาจากถนนมาจ้องเขาเงียบๆ "ระวังรถครับ"


    "ขอบคุณครับ" ไคลน์หันกลับไปมองถนนอีกครั้ง


     "....ความฝันของผม มันพิลึกพิลั่นมากเลยล่ะ" เอนีลเอ่ยปากเล่าต่อ ชายหนุ่มยิ้มบาง แววตาสงบนิ่ง "..ทุกอย่างเหมือนจะผิดไปจากที่ๆควรจะเป็น...แล้วไปๆมาๆ ยังเหมือนการเข้าข้างสีดำที่คุณเกลียดอีกด้วย"


     "................." ไม่มีคำตอบใด ขณะที่รถเลี้ยวออกจากถนนใหญ่เข้ามายังหมู่บ้านเล็กๆ และไต่ไปยังเส้นทางที่จะนำไปสู่ทะเลสาบอันมีโบสถ์สีขาวที่ตนเคยคุ้น


     "แล้วยังมีเรื่องนี้อีกนะครับ ที่ผมอยากจะเล่า" เอนีลเอ่ยปากพูดต่อเมื่อคนข้างกายไม่ตอบรับอะไรกลับมา ดวงตาของเขามองไปรอบๆ ด้วยท่าทีรื่นเริง ไร้อาการกังวลใจ  "เรื่องของ...การเอาคืน..แบบเดียวกับที่คุณเล่าเลย"


      "แต่สำหรับบางคน อาจจะเป็นการแก้แค้นกระมัง.."


      รถจอดลงในที่สุด เอนีลมองต้นไม้ใหญ่และทะเลสาบที่น้ำใสราวกับกระจกซึ่งตนแสนคุ้นตา  ทว่าเขาไม่ได้ลุกไปไหน ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งและนั่งอยู่ในรถต่อไปแม้ว่าคนข้างกายจะดับเครื่องยนต์ไปแล้วก็ตาม พวกเขาทั้งคู่นั่งนิ่ง เงียบอยู่อย่างนั้นจนท้องฟ้าด้านบนต้องส่งเสียงร้องครืนครางมาราวกับคำเตือน


      กลิ่นอาหารยังคงโชยฉุยออกมาจากตระกร้าหวายบนตัก ขณะที่ปลายนิ้วสีขาวนั้นไล้มือบนกรอบกระจกรถเงียบๆ ราวกับตกอยู่ในภวังค์


        "กุหลาบช่อนั้น ....น่าเสียดายนะครับ"


       "ผมเกลียดสีดำ" ไคลน์ตอบสั้นๆ ไม่มีท่าทีแปลกใจที่เอนีลรู้...ว่าเขาทิ้งของที่อีกฝ่ายมอบให้ รวมทั้งคำพูดและความหมายของดอกกุหลาบช่อนั้นไปเช่นกัน


       "ผมรู้..." เอนีลตอบรับเบาๆ "แต่มันเป็น การพนันเล็กๆน้อยๆ ที่อยากนึกสมหวังบ้าง"


       "............."


      "แบบเดียวกับหน้าต่างที่ปิด..และเปิดออกในเช้านี้" ดวงตาสีฟ้าสดกระพริบช้าๆ "นั่นคือคำตอบของผม และของคุณเช่นกัน"


      "ต่อให้มันไม่ถูกเปิด..คำตอบก็ไม่เปลี่ยนไป" ไคลน์หันมามองเสี้ยวหน้าอีกฝ่าย ตอบสั้น


       "................." ครานี้เอนีลเงียบ ไม่ตอบอะไรบ้าง และไคลน์ก็เงียบ..ไร้ถ้อยคำใดสานต่อเช่นกัน


    ...ราวกับพวกเขาไม่อาจสรรหาถ้อยคำใดมาสนทนากันได้อีกแล้ว


    และราวกับ..ภาพของการสนทนาเรื่อยเปื่อยไร้กังวล รอยยิ้ม ความใกล้ชิดที่มีจะค่อยเจือจางหายไปเช่นกัน


    หายไป เช่นเดียวกับความจริงที่คืบคลานมาแทนที่มันอย่างเงียบเชียบ


       "...จะฟังที่ข้าพูด หรือว่าจะฆ่าข้าก่อนละ ไคลน์.." เงียบไปนาน เสียงเรียบๆของเอนีลก็ดังขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มยังคงมองไปเบื้องนอก ถนนเล็กๆที่ไร้ผู้คนสัญจรและดูเหมือนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ


      สรรพนามและคำพูดประหลาดหูไม่ได้ทำให้ไคลน์แปลกใจหรือสงสัย ชายหนุ่มนั่งฟังอยู่ด้วยอาหารสงบ นิ่ง...นาน..จึงเอ่ยตอบคำ



      "ครั้งสุดท้ายของเจ้า พูดมา อาโลอิส"


     ผู้ฟังแย้มรอยยิ้ม ดวงตาสีฟ้าไหวระริกราวกับระลอกคลื่น ดวงตาคู่นั้นฉายแววเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด ยามได้ยินเสียงเอ่ยเรียกชื่อแปลกหู เขายิ้ม..ทั้งที่อยากจะร้องไห้เหลือทน


      เสียงฟ้าร้องครืนคราง ดังมาเบาๆและประสานกับเสียงฝนที่สาดลงมากระทบหลังคารถ เอนีล...ผู้ถูกเรียกว่าอาโลอิสค่อยหัวเราะออกมาแผ่วเบา และเอ่ยเสียงเนิบช้า



     "Tuez-moi. Je desire etre tue par votre main."



+++++++++++++++++++++++++++


ตอนนี้เป็นอินโทรดราม่าค่ะะ //ชาวบ้านบอกแค่อินโทรเราะ 55


มีเรื่องให้ตกใจกันนิดหน่อยที่โดนเรียกว่าอาโลอิส ความจริงจังเป็นยังไง ติดตามกันได้พรุ่งนี้เลยค่าาา



หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 20 สายลมที่พรั่งพรู + Lost 21 ตื่นจากฝัน * UP.19/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 19-06-2014 23:14:23
จะหักอีกสักกี่มุม
ปวดใจจัง
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 22 เรื่องเล่าของปีศาจ + Lost 23 สิ้นพันธนาการ * UP.20/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 20-06-2014 01:37:59



Lost 22 : เรื่องเล่าของปีศาจ



"Tuez-moi. Je desire etre tue par votre main."


       สิ้นประโยคที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบาราวกับคำอ้อนวอนขอครั้งสุดท้ายของเอนีล ชาสด์เดอตงส์ ผู้ฟังกลับหัวเราะ เสียงหัวเราะไร้ความขบขันดังออกมาจากปากของไคลน์ สไตร์คเซอร์ ผุ้ซึ่งบัดนี้ใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เต็มไปด้วยความชิงชังอย่างปิดไม่มิดจ้องมองมาที่ชายหนุ่มข้างกาย


    "...คำขอนั่น.."


    "ย่อมเป็นจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่" เอนีลเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ชายหนุ่มจ้องสบแววตาแข็งกระด้างคู่นั้น เขาไม่ได้มีท่าทีแปลกใจ..ตกใจราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนหรือหวั่นกลัวใดๆทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกลับนิ่งสงบ..แม้จะหวั่นไหว หากแต่น้อยนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ในยามที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์ไม่คิดจะปิดบังตัวตนหรือความชิงชังของตนอีกต่อไป ก็ราวกับท้องฟ้าที่เก็บกักละอองน้ำมาเนิ่นนานได้กลั่นเป็นพายุฝนที่เต็มไปด้วยความโกรธกริ้ว


     "...ใช่" ไคลน์เอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ แววตาแข็งกระด้างนั้นยังคงมองมา "แล้วเจ้าจะเอ่ยขอเพื่ออะไรรึ น่าขันนัก"


    "เพียงแค่การลงพนันขันต่ออันไร้สาระ" เอนีลตอบสั้น "วิสัยของปีศาจ..เจ้าคงไม่คิดสนใจกระมัง"


    ผู้ฟังเหยียดรอยยิ้ม อันเต็มไปด้วยความชิงชัง "ปีศาจเช่นเจ้า มีค่าใดล่ะ อาโลอิส"


    "....................." เอนีล...ผู้ที่บัดนี้ถูกเรียกว่าอาโลอิสเบือนสายตาไปยังกระจกรถ จ้องมองทิวทัศน์อันพร่ามัวด้วยละอองฝนอย่างเงียบเชียบ


    "ไม่มีคำใดจะกล่าวแล้วรึ..." ไคลน์เอ่ยถาม น้ำเสียงของเขายิ่งเรียบสนิทเท่าไหร่ ยิ่งเต็มไปด้วยความชิงชังมากขึ้นเท่านั้น "ไม่มี...แม้แต่คำขอโทษต่อฟาราสรึอย่างไร....ปีศาจเช่น..เจ้า.."


    ".....พูดไปไยเจ้าจะฟัง ไคลน์" ผู้ถูกซักถามหันมาจ้องด้วยดวงตาสีฟ้าสดใส ที่บัดนี้เรียบสนิทเช่นเดียวกับใบหน้าและน้ำเสียง "..."เรื่องเล่าในวิชาเทววิทยา"อันแสนน่าขันนั่นบอกให้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร แล้วทำไมข้าถึงต้องพูด"


    "ก็เลยร้องขอให้ข้าฆ่าเจ้าตัวมือตัวเองงั้นรึ อาโลอิส" ไคลน์จ้องมองผู้พูด ชายหนุ่มแสยะยิ้มอันเต็มไปด้วยความชิงชัง "ให้ข้าฆ่าเจ้าที่อยู่ในร่างของคนที่ข้ารัก นั่นคือสิ่งที่เจ้าพึงคิดได้ใช่ไหม ไม่มีแม้แต่คำขอโทษกับฟาราส ไม่มีแม้แต่ความสำนึกผิด ปีศาจที่น่ารังเกียจเช่นเจ้าบังอาจพรากเขาไปจากข้า มาบัดนี้แล้วยังกล้าขอสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนั้น!"


    "..............." ไม่มีคำตอบใดๆออกมาจากปากของผู้ฟัง ใบหน้านั้นจ้องมองตรงไปยังทิวทัศน์อันเลือนรางด้วยสายฝน ท่าทีราวกับไม่ได้ยินอะไรยิ่งทำให้ความหงุดหงิดในใจยิ่งคุโชน


    "เจ้าทำร้ายเขา!!" เสียงของไคลน์เต็มไปด้วยอารมณ์อันคั่งเเค้น "เจ้าทำร้ายคนรักของข้า! ทรมารเขา..แล้วตอนนี้ก็อยู่ในร่างของเขา!"


    "ฟาราสได้ทำอะไรให้เจ้า ฟาราสไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยแล้วเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายเขา..เจ้าที่ฉีกกระชากปีกของเขาออกไป เหยียบย่ำทำร้ายเขาทั้งเป็น! ความทรมารแค่นี้ยังนับว่าน้อยนัก ที่ปีศาจชั่วร้ายอย่างเจ้าต้องพบเจอ อาโลอิส!!"


     "คิดว่าข้าอยากทำรึ..."ไคลน์หัวเราะ หากสีหน้ากลับใกล้เคียงกับคำว่าคลุ้มคลั่งด้วยความเคียดแค้น "ตามฆ่า..ตามไปทำร้ายคนที่มีใบหน้าเหมือนผู้ที่ตนเองรัก แม้ข้าจะบอกว่าวิญญาณข้างในมันคือเจ้า แต่ใบหน้านี้ก็คือใบหน้าของฟาราส! ข้าต้องทนทุกข์ใจ ทำร้ายคนที่ตนรักมานับครั้งไม่ถ้วน...ยามที่ได้พบเจอเจ้าน่ะหรือ..มนุษย์ที่คร่ำครวญหวนไห้ด้วยความทุกข์ทรมารจากความฝัน..ทำไมข้าถึงต้องพบเจอเรื่องนี้ ทำไมข้าถึงต้องถูกทำร้ายอย่างในฝันนั่น..ข้าหวาดกลัวปีศาจปีสีดำตนนั้นเหลือเกิน..เจ้ารู้ไหมว่ามันน่าขันเพียงใด..น่าสมเพชแค่ไหน สนุกไหมอาโลอิส ที่เจ้าต้องมานั่งหวาดกลัวทุกข์ทนกับสิ่งที่ตนเองทำ เจ้ารับรู้และซาบซึ้งแล้วใช่ไหม ว่าฟาราสต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมารเช่นใด!!"


     "มาวันนี้...." หลังจากระเบิดอารมณ์ไปอย่างรุนแรง ไคลน์จึงค่อยระงับสติตัวเองได้บ้าง "ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย..ข้ามีเพียงความสงสัยเพียงเล็กน้อย..ความข้องใจที่อยากให้เจ้าช่วยไข.."


      "เจ้าทำร้ายฟาราส..คนรักของข้าเพราะอะไร อาโลอิส?"


       เอนีลหันไปมองผู้พูด..ตัวเขาผู้ที่บัดนี้ถูกเรียกว่าอาโลอิสสบตาไคลน์เงียบๆ ริมฝีปากของชายหนุ่มพยายามกระตุกเป็นรอยยิ้ม หลังจากนิ่งฟังถ้อยประณามหยามเหยียดที่อีกฝ่ายสาดเข้าหา แม้จะเจ็บปวดและแสบร้อนกับคำพูดเหล่านั้น ทว่าตนเองก็ไม่อาจแย้งได้แม้นสักครึ่งคำ เพราะทุกอย่างที่ถูกเอ่ยมานั้น ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น..


      ความจริงอันน่าขบขันปนสะอิดสะเอียนที่ตนเองเริ่มค่อยซึมซับ และตระหนักรู้อย่างเงียบเชียบหลังจากพบเจอเซดิสในสุสานค่อยไหลผ่านมาช้าๆ เศษซากความทรงจำที่กระจัดกระจายถูกนำมาต่อกันและเชื่อมเข้าหาอย่างเงียบเชียบ..มันค่อยๆก่อร่างขึ้นและสมบูรณ์แบบในความฝันอันยาวนานครั้งสุดท้ายนี่เอง....น่าขันนักที่ความจริงมันกลับตัลปัตร "ตัวเขา" นั้นไม่ใช่เอนีล ไม่ใช่ฟาราส..ไม่ใช่ชายหนุ่มที่มีผมสีทองระยับ ใบหน้างดงาม และดวงตาสีท้องฟ้าสดใส ไม่ใช่ แต่ในขณะเดียวกันก็"เป็น" ทั้งเอนีลและฟาราสด้วยเช่นกัน


    แต่ไม่ได้เป็นด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เลย เขาเป็นเพราะแย่งชิงมาต่างหาก


     อาโลอิส..ใช่..เขาคืออาโลอิส ปีศาจที่มีดวงตาสีแดงก่ำ เล็บสีดำ ผิวขาวซีดเผือดและเส้นผมสีดำเหลือบแดงที่แข็งกระด้าง ปีศาจปีกสีดำผู้ชั่วร้าย ปีศาจที่ปรากฏตัวในความฝันของตนครั้งแล้ว ครั้งเล่า เพื่อลงมือฆ่าเทวดาปีสีขาวแสนงามผู้หนึ่ง คนที่เขาละเมอเพ้อพกว่านั่นคือตัวเอง และต้องตื่นมาพร้อมกับความหวาดกลัว ขวัญผวาและหวาดหวั่น


       น่าขันเป็นที่สุด..น่าขำอย่างที่ไคลน์พูด ตัวเขาที่มานั่งหวาดกลัวตนเอง กลัวในสิ่งที่ตนเองทำไว้ เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วพฤติกรรมของเขาช่างน่าขำ เอาแต่หวาดกลัวตนเอง คิดว่าตนเองคือผู้ถูกกระทำอันโชคร้ายเสียเต็มประดา คร่ำครวญหวนไห้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดโชคชะตาจึงประทานเรื่องราวอันโหดร้ายมาให้


      แท้จริงแล้ว ทุกอย่างแล้วผิดพลาด และกลับตัลปัตรไปเสียสิ้น แท้จริงมันคือการลงโทษที่สาสมแล้ว..ควรแล้วที่ตนเองจะได้รับ


      โทษของการทำร้ายเทพบุตรที่แสนงดงามและแย่งชิงเอาทุกสิ่งของคนผู้นั้นมา ก็สาสมแล้ว ที่จะต้องทุกข์ทรมารซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีจบสิ้น ทั้งยังสมควรแล้วจริงๆที่ไคล์นจะเกลียดชัง และตามมาปองร้าย คร่าชีวิตเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกชาติไป...


     "ตอบคำถามข้ามา!!" ถ้อยคำเกรี้ยวกราดของไคลน์ดังขึ้นทำให้ละออกจากภวังค์ อาโลอิสสบตาคู่นั้น เขายิ้มออกมาเงียบๆ


     "..ดวงตา..ใบหน้า เส้นผม..เพราะข้ากินมันเข้าไป..จึงได้เหมือนเขา ใช่หรือไม่?" คำถามที่คาใจถูกเอ่ยออกมา "และที่เจ้าตามมา ฆ่าข้า เพราะต้องการนำกลับคืนไปให้เขา..ข้าคิดถูกใช่ไหม?"


    "ในยามที่เจ้าทำร้ายเขา ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึ!" ไคลน์ถามกลับห้วน ดวงตาวาววับด้วยความชิงชัง ความทรงจำย้อนกลับคืนไปยังช่วงเวลาที่ตนต้องพบเจอสภาพอันน่าอเนจอนาถของคนรัก ที่ถูกปีศาจตนหนึ่งทำร้ายเสียจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม


     ฟาราสผู้เคยงดงามและอ่อนหวาน..เทพบุตรปีกสีขาวที่ตนรักใคร่ ถูกปีศาจตนนึงทำร้าย คร่าชีวิตและกลืนกินทุกสิ่งของเขาไป ไคลน์จำได้ว่าเขาคลุ้มคลั่ง อาละวาดทำร้ายด้วยความเจ้บปวดจากการสูญเสีย ซ้ำเมื่อพบว่าคนทำคือใคร ความจริงที่ปรากฏทำให้เจ็บปวดใจเกินจะทานทน


     "ข้าเคยถือว่าเจ้าเป็นเพื่อน..แต่เพราะเหตุใดถึงทำร้ายคนรักของข้าแบบนั้น!!" ไคลน์ถามออกไปอย่างอดรนทนไม่ไหว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทั้งคั่งแค้นและเจ็บร้าว ปีศาจ...ใครต่างก็เอ่ยถึง พูดว่าเทพบุตรไม่สมควรรู้จักกับปีศาจปีกสีดำเหล่านั้น แม้จะมาจากที่เดียวกัน ทว่าเหล่าปีศาจที่อยู่ในนรกานต์ต่างก็ซึมซับความชั่วร้ายและความเลวทรามจนจิตใจมีสภาพไม่ต่างจากอสูรกาย


     ...ไคลน์ไม่เชื่อ..ตนเองแม้จะเป็นสีขาว หากก็เชื่อว่าในสีดำย่อมมีความดีงามอยู่ การได้พบเจอกับ"อาโลอิส" เทพบุตรที่มีปีกสีดำยืนยันความคิดนี้ ในยามนั้นพวกเขาได้พบเจอและร่วมทำภารกิจปราบอสูรกายที่แสนน่ากลัว มิตรภาพที่ก่อเกิดทำให้ไคลน์ยิ่งเชื่อว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นไม่ผิดพลาด เขายินดีกับมิตรใหม่เสียจนชักนำไปพบกับคนรักผู้แสนงดงามของตน หากใครจะรู้ ว่าเพียงหลังจากนั้นไม่นาน..เพื่อนของตนจะเป็นผู้ลงมือทำร้ายคนรักของเขาอย่างโหดเหี้ยม


      เมื่อถึงครานั้น ไคลน์จึงได้ตระหนัก แท้จริงแล้วความคิดของเขาช่างน่าขำนัก ปีศาจ..ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นปีศาจอยู่วันยังค่ำ!!


       "ข้าไม่เคยคิด..ว่าเจ้าคือเพื่อน" อาโลอิสตอบกลับเสียงเรียบเฉย ใบหน้าที่ยังคงงดงามเฉกเช่นเดียวกับคนรักของตน ทว่าแท้จริงแล้วคือคนที่ลงมือคร่าชีวิตคนสำคัญนั้นทำให้ไคลน์ทั้งเกลียดชังและอยากปกป้อง หนึ่งคือคนที่แค้น อีกหนึ่งคือคนที่รัก ทั้งสองกลับมารวมอยู่ในคนๆเดียวกัน ความจริงอันแสนน่าชังนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกขมขื่นใจ


     "....เข้าใจแล้ว" ไคลน์หัวเราะ หากมันไม่ได้บ่งบอกความรื่นรมย์ แววตาที่คับแค้นนั้นยิ่งฉายแววคุ้มคลั่ง "เป็นความผิดข้าเอง ที่เชื่อใจเจ้า ให้เจ้าได้พบกับฟาราส..และทำร้ายเขา...ทั้งที่เขาไม่ได้มีความผิดใดเลย"


      "...เหตุที่เจ้ายังรั้งรอ..ไม่ลงมือฆ่าข้า เพื่อต่อว่าข้ารึ" อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่าง หากท่าทีไร้ความรู้สึกนั้นยิ่งทำให้ผู้มองคับแค้นเกิดจะทน


      "ทุกครั้ง.." ไคลน์เค้นเสียงออกมาจากลำคอแผ่วเบา "ที่ข้าลงมาเพื่อฆ่าเจ้า..ข้าไม่เคยถาม..ไม่เคยพูด ว่าเพราะอะไร..เพราะเหตุใด และเจ้าไม่เคยจำได้ ว่าทำไม เจ้าถึงต้องฝัน ถึงต้องตายด้วยน้ำมือข้า..."


      ".............." อาโลอิสไม่ตอบคำ เพียงสูดหายใจลึกขึ้น แสดงอาการรับรู้


      "..หากแต่ครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้าย" ไคลน์จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง "เจ้าอาจจะรู้..จากการดิ้นรนของเซดิส..เจ้านายของเจ้าว่ามันมีบางสิ่ง..รึเจ้าอาจจะรู้จากความทรงจำนั้นก็ได้ ว่านี่คือครั้งสุดท้าย..ที่เจ้าจะมีชีวิต ทั้งในฐานะมนุษย์ และปีศาจ"


      "หากข้าลงมือ เจ้าจะหายไปตลอดกาล ไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว"


      "ข้า.....รู้" เสียงตอบดังมาจากอาโลอิสเบาๆ


      "ดังนั้นข้าจึงอยากถาม อยากให้เจ้าตอบ และบอกทุกสิ่ง ก่อนที่เจ้าจะหายไป ก่อนที่วิญญาณของเจ้าจะสูญสลายไปว่าเป็นเพราะเหตุใด" ไคลน์เอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ "เป็นความจงใจของข้าที่จะทรมารเจ้า..หลอกให้เจ้าไว้ใจและปล่อยให้เจ้าจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะข้าอยากได้คำตอบ...ของสิ่งที่เจ้าทำทุกๆอย่าง"


      "นั่นรวมถึงการหลอกให้ข้ารักเจ้าด้วยรึเปล่า..ไคลน์ " อาโลอิสถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาที่ปิดสนิท ไม่ได้ลืมขึ้นมาจ้องมอง ดังขึ้นเขาจึงไม่ได้เห็นว่าดวงตาของไคล์นนั้นไหววูบด้วยความรู้สึกบางอย่าง


      "นั่นคือคำโกหกของเจ้า" ไคลน์ตอบห้วน


      "........" ผู้ฟังลืมตาขึ้นมา อ้าปากคล้ายจะเอ่ยบางสิ่งทว่าเงียบไป ก่อนจะหัวเราะ "เจ้าจะถามข้าเพื่ออะไร หากเชื่อว่าทุกสิ่งคือคำโกหก"


      "เพราะข้าหวัง" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเขม็ง "หวังเป็นครั้งสุดท้าย ว่าเจ้าจะรู้สึกผิด...เสียใจ..และยอมตอบว่าเพราะเหตุใดจึงทำร้ายคนรักของข้า.."


      "...ข้าไม่รู้สึกผิด" เอนีล...หรืออาโลอิสหันไปสบตาผู้พูดอย่างเงียบเชียบ แววตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกบางสิ่งที่ไคลน์ไม่อาจคาดเดา "ที่ทำร้ายเขา..ไม่รู้สึกผิดเลย.."


      "เจ้า...!" เสียงคำรามดังขึ้นมาในลำคอทันทีที่เอ่ยจบนั้นไม่ได้ทำให้แปลกใจแต่อย่างใด อาโลอิสหัวเราะเบาๆ ขบขัน...ทั้งที่บางสิ่งในหัวใจกำลังค่อยๆพังยับ


    "เพราะข้าเป็นปีศาจ.." ดวงตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปด้านนอกเงียบๆ "ปีศาจ..ย่อมไม่รู้สึกผิดใดๆ ไม่เสียใจที่ทำร้าย ทำให้คนรักของเจ้าต้องเจ็บปวด..ฟาราสที่ถูกข้าแย่งชิงทุกสิ่ง และเจ้าที่ต้องสูญเสียคนรักไป..ข้าไม่เสียใจ ไม่เลย"


    "รู้ไหมว่าเพราะเหตุใด" คำถามนั้นเบาราวกับกระซิบ ขณะที่ฝ่ามือของผู้ถามแตะลงบนประตูรถแล้วดันมันให้เปิดออก


    "เพราะข้าจงใจแย่งชิงทุกสิ่งมาไงล่ะ..ไคล์น"



+++++++++++++++++++++++++++++++++


       สายฝนยังคงพร่างพรมไม่ขาดสาย หากฝีเท้าของเอนีล ชาส์เดอตงส์ผู้ที่ถูกเรียกว่าอาโลอิสนั้นยังมั่นคง ร่างที่อยู่ในชุดเสื้อเชิตและกางเกงสีดำสนิทเดินลงจากตัวรถอย่างเชื่องช้า ก้าวขาไปบนทางถนนเล็กๆที่มีแต่หินและเศษฝุ่น สายฝนทำให้ฝุ่นผงแปรสภาพเป็นโคลนหนาเปื้อนเปรอะชายเกงเกงสีดำ หากแต่ผู้ที่เดินอยู่ไม่คิดจะใส่ใจ ร่างนั้นยังคงก้าวเท้าไปกลางสายฝน ท่ามกลางท้องฟ้าสีหม่นและบรรยากาศที่ราวกับมีหมอกหนาลงมาปกคลุมรอบกาย ร่างของเขาเหมือนจะหายไปราวกับวิญญาณ


      เส้นผมสีทองเปียกชื้น เม็ดฝนตกกระทบใบหน้าและกลิ้งลงไปตามผิวหนังเย็นเฉียบ ผู้เป็นเจ้าของไม่คิดจะใส่ใจเอื้อมมือไปปัดเช็ดมันแต่อย่างใด ดวงตาสีท้องฟ้ากระพริบอย่างเชื่องช้า จ้องมองต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบแสนงามด้วยความรู้สึกบางสิ่ง ความเจ็บปวดและขมปร่าที่ลำคอทำให้ต้องกลืนมันลงไปช้าๆ เพื่อควบคุมความรู้สึกของตนอย่างเงียบๆ


      "ข้าไม่คิดจะหนีไปไหน..ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้" อาโลอิสเอ่ยทักผู้ที่ตามมาด้วยท่าทีเร่งร้อนและเกรี้ยวกราด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม..


      "...เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อ..เจ้าอีกงั้นหรือ" ไคลน์หยุดฝีเท้าเบื้องหลังร่างนั้น แสดงความชิงชังออกมาอย่างชัดเจน


      "...เจ้าไม่เชื่อข้า แต่ก็ยังอยากรู้.." อาโลอิสเอ่ยแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้เปลือกสีดำของต้นไม้ใหญ่เงียบๆ "...แปลกจริงนะ ไคลน์"


      "อาโลอิส.." ไคลน์กัดฟันกรอด บ่งชัดว่าหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว


      "ข้ามีเรื่องเล่า..." น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้น "อาจจะน่าขันเสียยิ่งกว่า "เรื่องเล่าในวิชาเทววิทยา"ของใครสักคนซะอีก..และ..เป็นเรื่องเล่าที่น่าสมเพชเสียยิ่งกว่า น่าขันยิ่งกว่าเรื่องใดๆที่เจ้าเคยได้ฟัง"


     ผู้ที่เอ่ยปากหันมาสบตา ใบหน้าที่ยังคงงดงามและเหมือนกับคนที่ตนรักทุกกระเบียดสะท้านชัดเจนในแววตาของไคลน์  ริมฝีปากของคนผู้นั้นแย้มออกเป็นรอยยิ้ม ยิ้มที่แฝงแววเศร้าลึก..ราวกับจะร่ำไห้เช่นเดียวกับตอนที่เอ่ยขอให้ตนเป็นผู้ลงมือฆ่าด้วยตัวเอง


     ..แต่คนที่ลงมือทำร้าย บอกว่าตนเองตั้งใจแย่งชิงทุกสิ่งของเขาน่ะรึ จะโศกเศร้าอะไร


    แววตานี้ ก็เป็นคำลวงเช่นเดียวกับดอกกุหลาบเหล่านั้น เช่นเดียวกับคำรักที่แสนน่าสะอิดสะเอียนนั่น


     "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..." ดวงตาสีท้องฟ้าหรุบต่ำ ไม่ได้สบตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นอีกต่อไป "...มีปีศาจตนนึงอยู่ในนรก..ว่ากันว่าปีศาจนั้นก็คือเทพบุตรที่มีปีกสีดำ แต่ใครเล่าจะสนใจ..พวกที่มีสีดำ ย่อมเลวร้ายอยู่วันยังค่ำ.."


     "วันหนึ่ง..ปีศาจตนนั้นได้พบกับเทพบุตรผู้หนึ่ง ที่มาช่วยเหลือเขา..ในการปราบอสูรกายตัวร้าย...เขาไม่ชอบมันหรอก เขาเกลียดมัน และคิดว่ามันก็ไม่ต่างจากเทพบุตรอื่น ที่มองว่าปีศาจนั้นคือสิ่งชั่วร้ายเสมอ.."


       ไคลน์นิ่งฟังถ้อยคำนั้น..เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ ยามนึกไปถึงห้วงเวลาที่ตนเองได้พบเจอกับคนตรงหน้าเป็นครั้งแรก..พบกับอาโลอิส ผู้เป็นอาโลอิส ไม่ใช่ อาโลอิสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของฟาราสเช่นนี้


      "การปราบอสูรกายตัวนั้นมันช่างยากพอดู.." เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นเพียงเเผ่วเบา ขณะที่ไคลน์ก็นิ่งทบทวนไปถึงเวลานั้น ยาก..ใช่ ตนจำได้ว่ามันร้ายกาจและจัดการได้ยากเย็นเพียงไร "...ปีศาจตนนั้นเเทบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว เขาทำสิ่งใดไม่ได้ แล้วก็คงไม่วายตกเป็นเหยื่อ แต่ในยามนั้น ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง เทพบุตรตนนั้นก็ยื่นมือมา แล้วบอกว่า..ให้เชื่อ...เชื่อในตัวข้าสิ เชื่อว่าข้าจะทำได้ เชื่อในตัวของข้า เช่นเดียวกับที่ข้าเชื่อในตัวเจ้า...เขาพูดแบบนั้น"


     "...แม้มันจะเป็นคำพูดอันน่าขัน..ดูช่างไร้สาระ แต่ทว่ามันกลับทำให้ปีศาจปีกสีดำตนนั้นเชื่อ และมีกำลังใจขึ้นมาจริงๆ เขาทำตาม เขาร่วมมือกับเทพบุตรตนนั้นจนสามารถเอาชนะได้ ..แล้วทั้งสองก็กลายเป็นมิตรกัน โดยไม่สนใจว่าจะเป้นสีดำหรือสีขาว..ช่างเป็นเรื่องราวที่งดงามเสียเหลือเกิน"


     "แต่มันมีบางสิ่งที่ทำให้เปลี่ยนไป..เจ้ารู้ไหม?"


    คำถาม..ที่ดังขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้ไคลน์ชะงัก หลังจากนิ่งตกอยู่ในภวังค์และใคร่ครวญถึงอดีตที่ผ่านผัน ริมฝีปากขยับจะตอบ หากแต่เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นต่อราวกับไม่ได้ตั้งคำถามใด


      "เหตุเพราะเป็นสหาย เป็นเพื่อนรัก...เทพบุตรตนนั้นจึงแนะนำให้ปีศาจปีกสีดำได้พบเจอกับ..อา...คนรัก" เสียงหัวเราะดังขึ้นมาเมื่อพูดจนจบประโยค เสียงหัวเราะเฝื่อนหูและแปร่งปร่าไปอย่างน่าประหลาด "...คนรักของเขา เทพบุตรปีกสีขาวผู้แสนงดงาม..เรื่องราวมันผิดแผกไปจากเรื่องเล่าของเจ้าจากตรงนี้แหละ..ไคลน์"


     "................." ไคลน์นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำพูดใดๆต่อ เขายืนฟังเรื่องเล่าทั้งหมดท่าทมกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด
     "ปีศาจปีกสีดำตนนั้น...เขาหลงรัก" หัวใจของผู้ฟังกระตุกวูบเมื่อได้ยิน แต่อาโลอิสยังคงเล่าต่อไปเรื่อยๆ "...รักเทพบุตรตนหนึ่ง..เขาหลงรักเข้าแล้ว และเจ็บปวดทุกข์ทรมารกับสิ่งที่ตนเองได้รู้ ว่ารักของเขาไม่มีวันได้มา..ไม่มีวันเลย"


     "เพราะอยากรู้..เพราะกลุ้มใจหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจึงได้ไปหาเจ้านายของเขา ปีศาจตนนั้นถาม..หากอยากได้แล้วไม่อาจคว้า ไม่อาจชนะ..จะทำอย่างไรล่ะ?...แล้วเจ้านายของเขาก็ตอบว่า..."จงแย่งชิงมันมาซะสิ"..."


     "เพราะรักฟาราส เจ้าถึงได้...." ไคลน์เอ่ยถามขึ้น ดวงตาวาววับ


     "...เทพบุตรปีกสีดำนั้นคิดตาม..ปีศาจ อย่างไรเขาก็ถูกเรียกว่าปีศาจ.." อาโลอิสยังคงเล่าเรื่องต่อไปรามกับไม่ได้ยินเสียงทักท้วงนั้น "..ปีศาจที่ไม่ว่าจะทำเช่นไร ก็ไม่อาจจะคว้าสิ่งที่ตนต้องการมาได้..เขาผู้ที่ความรักบดบังสายตาจนมืดบอด..และไม่เคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่าการเสียสละหรืออื่นใด ก็ตัดสินใจลงมือ"


     "แย่งชิงทุกอย่างมาเป็นของตน เพื่อจะได้ครอบครองรักนั้นไว้ตลอดกาล"


    "...................."


       เสียงสายฝนสาดเทลงบนพื้นและเสียงครืนครางของท้องฟ้ายังคงดำเนินต่อไป ขระที่รอบกายของทั้งสองมีแต่ความเงียบงัน เทพบุตร..หรือปีศาจในร่างมนุษย์ทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่ง ต่างนิ่งไปอย่างจนถ้อยคำใดที่จะเอ่ย หนึ่งนั้นยังคงก้มหน้าจ้องมองผืนดินไม่เอ่ยคำใด อีกหนึ่ง..ยังคงจ้องมองผู้ที่ยืนพิงต้นไม้ใหญ่ไม่เคลื่อนไหวหลังเล่าเรื่องราวนั้นจบลง


     "...อาโลอิส" ไคลน์เอ่ยขึ้นช้าๆ สีหน้าราวกับกำลังใคร่ครวญและอดกลั้นบางสิ่ง "เพราะรักเขา..แต่สิ่งที่เจ้าทำ.."


     "...ข้าทำลงไปโดยไม่เสียใจ ไม่เสียใจใดๆ" อาโลอิสยังคงเอ่ยย้ำ น้ำเสียงนั้นยังเหมือนจะกลั้วหัวเราะขบขัน "ไม่เสียใจ ไม่เลย"


     "เจ้าทำร้ายคนที่รัก! ทำร้ายฟาราสแล้วเจ้าคิดว่าจะได้หัวใจเขาหรือ จะมีความสุขหรือ อาโลอิส!" ไคลน์จ้องมองผู้พูด ฝ่ามือเอื้อมไปบีบไหล่ผอมๆสองข้างนั้นเเน่น "เจ้าคิดว่าเพราะข้า เจ้าถึงไม่อาจได้หัวใจของฟาราสงั้นหรือ..เจ้าไม่อยากทำร้ายข้า หรือเจ้าไม่อยากทำร้ายใคร..รักของเจ้ามันคือการทำลายและครอบครองหรือ เจ้าถึงได้ทำร้ายฟาราสเช่นนี้!!"


   ปึ่ก..


     เสียงฝ่ามือกระทบกันพลางปัดออกจากไหล่ดังขึ้นเงียบๆ ขณะที่ผู้ฟังยังคงหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นเบาแผ่วและเต็มไปด้วยความขบขันราวกับประชดประชันบางสิ่ง


      "..ข้าถึงได้บอก..ว่ามันไร้ประโยชน์ ข้าถึงได้พูด..ไม่ว่าอย่างไร ก็ไร้ประโยชน์ที่จะบอกทุกอย่างออกไป"


      "อาโลอิส..."


      "....เรื่องเล่านั้นของเจ้าคือทุกสิ่งที่เจ้าคิดใช่ไหม..เทพบุตรปีกสีดำผู้ชั่วร้ายหลงรักเทพบุตรปีกสีขาวผู้แสนงดงาม เขาพบว่าเทพบุตรคนนั้นไม่อาจะเป็นของตน จึงได้ทำร้ายและช่วงชิงทุกสิ่งของเทพบุตรตนนั้นมา ในเมื่อเขาไม่ได้ คนอื่นก็ไม่มีทางได้ แบบนั้นใช่ไหม..ที่เจ้าคิด"


      "....แล้วจะให้เป็นอย่างไร หรือจะบอกว่าการช่วงชิงทุกสิ่งของฟาราส คือความหวังดี ความรักของเจ้า" ไคลน์เอ่ยท้วง


     "ไม่เลย" อาโลอิสเอ่ยตอบ ริมฝีปากกระตุกสั้นๆเป็นรอยยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่ง ทว่าไคน์ไม่มีโอกาสได้เห็น "ไม่ใช่ด้วยความรัก ความหวังดีใดๆ ข้าบอกไปแล้วว่าไม่เสียใจ และไม่รู้สึกผิดแม้เพียงนิด"


     "แต่สิ่งที่น่าขันคือความคิดของเจ้า..ไคลน์ เรื่องเล่าของเจ้ามันน่าขัน..เจ้าคิดว่าข้ารักเขางั้นรึ? ฟาราส..เทพบุตรผู้งดงามที่มีแต่คนหลงไหล งามเสียจนแม้แต่ปีศาจที่ไร้หัวใจก็อดจะหลงรักไม่ได้.."


    ใบหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตาในที่สุด แม้จะเป็นใบหน้าของคนที่ตนรัก ฟาราส เทพบุตรผู้งดงามคนนั้นหรือเป็นใบหน้าของเอนีลในชาตินี้ หากแววตาและบางสิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้นแสดงถึงตัวตนและวิญญาณของอาโลอิส ที่อยู่ในร่างนี้ได้เป็นอย่างดี ดวงตาคู่นั้นสั่นไหว เต็มไปด้วยความเจ็บปวดระคนบางสิ่ง ขณะที่ริมฝีปากซีดขาวไหวระริก "เรื่องเล่าของเจ้ามันช่างน่าขำสิ้นดี...ปีศาจ..ไม่ตกหลุมรักใครด้วยความงามหรอก.."


    "แต่ปีศาจปีกสีดำตนนั้นหลงรักใครบางคนด้วยคำพูดและหัวใจของเขา...หลงรักสีขาว ที่ไม่ได้มองเพียงสีดำในตัวเขาแต่มองไปถึงหัวใจ หลงรักแต่ไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าได้ เพราะเทพบุตรตนนั้นมีคนที่รักอยู่แล้ว..เพราะหลงรัก จึงได้แย่งชิงและทำร้ายคนรักของเขาได้อย่างไม่รู้สึกผิดและเสียใจใดๆ.."


     ริมฝีปากบางแย้มออกเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มสั่นไหวและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดบางเบา  ดวงตาสีท้องฟ้าที่ฉายแววปวดร้าวกลั่นน้ำตาออกมาปะปนกับสายฝนที่พร่างพรมลงสู่ใบหน้า และสบตากับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยทอแววอุ่นหวาน ซึ่งบัดนี้มันเบิกกว้างขึ้นและเต็มไปด้วยความตกตะลึง


     "...ปีศาจตนนั้น...อาโลอิสหลงรักเจ้า ถึงได้ทำร้ายฟาราสและทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นเช่นนี้ไงล่ะ ไคล์น"


    สายฝนพร่างพรูลงมาจากท้องฟ้าสีหม่นไม่ขาดสาย เสียงครืนครางจากเบื้องบนดังไม่หยุดเช่นเดียวกับเสียงของเม็ดฝน ขณะที่ท้องฟ้าและทุกสิ่งยังคงดำเนินไป คำสารภาพที่ออกมากลับทำให้คนสองคนใต้ต้นไม้ใหญ่ได้แต่ตกอยู่ในความเงียบงัน



++++++++++++++++++++++++


พาร์ทนี้มาเฉลยความจริงอย่างอุกอาจค่ะฟฟฟ


แท้จริงแล้วพ่อหนุ่มโหดตอนต้นเรื่อง อาโลอิสที่หลายคนผวา ปรากฏว่าก็เป็นคนที่เราอยู่ด้วยมาตลอดนั่นล่ะ //ผ่าง


หลังจากวิ่งวนสงสัยคนโน้นคนนี้มาเยอะ ปรากฏคนร้ายตัวจริงคือผู้เสียหายซะงั้น ชาวบ้านบอกเอ็งหลอกตรูววว


ส่วนไคลน์ก็..มาตามฆ่าจริงๆนั่นแหละ แต่มาแบบมีเหตุผลประมาณนี้ ส่วนอาโลอิส..ถ้ารอบนี้โดนคิลก็ม่องจริง #มั่ยยยยยย

เรื่องที่หน้าตาเหมือนกิ๊กพ่อไคลน์ยังกะฝาแฝด อาจจะเฉลยเลาๆไปแล้ว แต่ถ้าจะชัดเจนก็ตอนหน้านะคะ


แต่ยังมีความจริงหลายอย่างต้องเฉลยกัน แถมด้วยว่านี่ตกลงพวกเอ็งจะฆ่ากันไหม มาติดตามกันตอนต่อไปค่าาาา *0*/
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 22 เรื่องเล่าของปีศาจ + Lost 23 สิ้นพันธนาการ * UP.20/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 20-06-2014 01:44:35


Lost : 23  สิ้นพันธนาการ


     "...ปีศาจตนนั้น...อาโลอิสหลงรักเจ้า ถึงได้ทำร้ายฟาราสและทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นเช่นนี้ไงล่ะ ไคล์น"


ปีศาจตนนั้น..

อาโลอิสหลงรักเจ้า


    ถ้อยคำที่ได้ฟังค่อยซึมซัมลงไปในจิตใจของเทพบุตรผู้มีนามว่าไคลน์ช้าๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงครู่ใหย่ก่อนจะค่อยสงบลงช้าๆ นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองผู้ที่บัดนี้สบมองแววตาของตนอย่างเงียบเชียบ ดวงตาสีฟ้าสดใสนั้นคือของฟาราส..คนรักของตนไม่ผิดแน่ดวงตา ใบหน้า เส้นผม และทุกๆสิ่ง ของคนผุ้นี้คือของฟาราส..


    หากฆ่าเทพบุตรหรือปีสาจตนได้แล้วกลืนกลินมันเข้าไป เจ้าจะได้รับพลัง รูปลักษณ์ และทุกสิ่งทุกอย่างของคนผู้นั้น..


     "อาโลอิส..." น้ำเสียงของไคลน์ฟังดูช่างสั่นไหวและเต็มไปด้วยความรู้สึกบางสิ่ง..บางอย่างซึ่งตนไม่อาจยอมรับว่ามันคือความสงสารปะปนกับความรวดร้าวลึกๆ "...เจ้า..."


     "เจ้าชอบเทพบุตรผมสีทอง...ดวงตาสีท้องฟ้า.." น้ำเสียงของอาโลอิสดังขึ้นแผ่วเบา แม้ห้วงวลีนั้นจะเอ่ยมาด้วยสำเนียงของฟาราส หากแต่เมื่อได้สัมผัสอีกครามันกลับมีเค้าของอาโลอิสปะปนอยู่ "...ปีกสีขาว แสนบริสุทธิ์"


      "นั่นคือสาเหตุที่เจ้าฆ่าฟาราสงั้นรึ?" ไคลน์เอ่ยถามราวกับไม่อยากเชื่อ "เจ้าฆ่าฟาราสเพราะอยากได้ผมสีทองของเขา อยากได้ดวงตาสีฟ้าของเขา..อยากได้"


       "อยากได้ความรักของเจ้า ที่มีต่อเขา!" อาโลอิสจ้องกลับ ดวงตาคู่นั้นวาววับ อารมณ์ซึ่งปรากฏขึ้นน้อยนักเมื่อยามเป็นปีศาจปีกสีดำนั้นบัดนี้เกิดขึ้นชัดเจน "อยากได้..และต้องการเสียจนไม่เสียใจเลยสักนิดที่แย่งมา.."


       "...เช่นนั้นเจ้าก็ควรรู้..ข้าหาได้รักใครที่รูปลักษณ์ภายนอก"


       "ข้ารู้..." อาโลอิสกระวิบเสียงแผ่ว สำเนียงของมันราวกับจะกลืนไปในยามสายฝนพร่างพรม "เจ้าไม่เคยหยุดรักเขา ไม่ว่ารูปลักษณ์จะเป้นเช่นใด..สู้พยายามมา...ช่วงชิงทุกสิ่ง คืนจากตัวข้า...ข้ารู้ดี.."


        "..แต่มันสายเกินไปแล้ว เจ้าก็รุ้เช่นกัน" ไคลน์สบตาอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ "...ไม่ว่าสาเหตุของเจ้าคือสิ่งใด"


       อาโลอิสยิ้มรับ..ยิ้ม แม้หัวใจกำลังแหลกสลาย "ข้ารู้"


       "ข้าต้องลงมือ.." ไคลน์สุดหายใจลึก "อย่างที่รู้..ครั้งนี้เป้นครั้งสุดท้าย...หากฆ่าเจ้า จะไม่มี"ตัวเจ้า"เกิดขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเป็นที่ใด..และเมื่อฆ่าเจ้าไป ฟาราสก็จะฟื้นกลับคืนมาในที่สุด"


       อาโลอิสนิ่งฟัง ไม่เอ่ยปากทักท้วงใดๆ


      "ข้า..." ไคลน์ขยับริมฝีปาก เอ่ยพูด หากสุดท้ายกลับได้เพียงนิ่งเงียบ


     ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองร่างของชยหนุ่มที่ยืนเปียกฝนตรงหน้า แม้จะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่าง ทั้งใบหน้า เส้นผม ผิวกาย แววตา แต่ในยามนี้ ไคลน์รู้สึกว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอาโลอิสอย่างแท้จริง หาใช่อาโลอิสในร่างฟาราสผู้ที่ทำให้ตนปวดใจนักยามลงมือสังหาร และเจ็บปวดยิ่ง เมื่อถูกคำถามอันอันจน หวาดกลัวในความฝันกล่าวออกมาซ่้ำด้วยความรวดร้าวแล้ไม่เข้าใจ


      ทุกครา..เมื่อคะนึงถึงความดกรธแค้น ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมารของฟาราส และการทรยศของบุรุษผู้ที่ลงมือสังหาร ไคลน์สามารถลงมือได้ง่ายนัก..เสียจนอาโลอิสคนนั้นๆม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดหรืออันตรายที่แผ้วผานเข้ามาแม้นสักนิด


      ...แต่ในยามนี้ อาโลอิสผู้จำได้ทุกสิ่ง กลับทำให้ไคลน์นิ่งงันไม่อาจลงมือ


     เพราะอะไร ความสงสารงั้นรึ?


     เมื่อทราบสาเหตุทุกสิ่งของการกระทำ มันช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง อาโลอิสผู้นั้นหลงรักตน แต่เมื่อพบว่าตนหลงรักฟาราส อาโลอิสก็ฆ่าฟาราสเพื่อแย่งชิงทุกสิ่งมา แย่งชิงทั้งที่รุ้ว่าไม่อาจครอบครองได้อย่างแท้จริง จิตใจของเทพบุตรปีกสีดำผู้นั้นซุกซ้อนความคิดและความนัยใดไว้..ไคลน์สุดจะหยั่งรู้


    ...เจ้ารักข้า แต่ก็พรากคนรักของข้า

    รักของเจ้า..คือการครอบครองงั้นรึ..อาโลอิส


       ความรักที่แสนเห็นแก่ตัวเช่นนั้นเป็นที่รู้กันว่าหาใช่วิสัยของเหล่าสีขาว...แต่เมื่อเป้นสีดำ อาโลอิสผู้ถูกย้อมสีนั้นจึงกระทำตามวิถีของตน นั่นคือการเเย่งชิง


    ควรโกรธแค้น เอ่ยปากป่าวประณาม หากครู่หนึ่งไคลน์ก็นึกสงสารจับใจ


    เจ้าไม่อาจคว้าความรักนี้มา..หาใช่เพียงเพราะข้ามีหาราส แต่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้จักรัก..รักที่เป็นฝ่ายมอบให้ผู้อื่น อาโลอิส

    และด้วยเหตุนั้น..ข้าจึงไม่อาจลงมือสังหารเจ้าได้อย่างนั้นหรือ


   "ไคลน์" หลังจากจมอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ เสียงของอาโลอิสก็ดังขึ้นเพียงแผ่วเบา น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบไร้อาการสั่นไหว ดวงตาสีท้องฟ้านั้นจ้องมองมาที่ตนเงียบๆ "ก่อนจะฆ่าข้า..ข้าขออะไรบางอย่างได้ไหม.."


    "...เจ้าพูดมาสิ" ไคลน์เอ่ยเบาๆ ดวงตาจ้องมองอีกฝ่าย


   "ช่วยกอดข้าหน่อยได้ไหม..ไคลน์" คำขอนั้นทำให้ไคลน์นิ่งอึ้ง "ข้าอยู่ในร่างของฟาราส มันคงไม่อยากใช่ไหม กอดข้าแล้วคิดถึงเขาก็ได้..ขอเพียงแต่กอดข้าไว้..เป็นครั้งสุดท้ายก็พอ"


    "อาโลอิส.."


    "ได้โปรด..." ถ้อยคำกระวิบนั้นช่างเบาแสนเบา


    "เจ้าจะต้องเจ็บปวด" ไคลน์จ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ "..เจ็บปวดเพราะข้าไม่ได้รักเจ้า"


    "ข้ารู้..." อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ น้ำเสียงนั้นสั่นพร่าน่าสงสารยิ่งนัก "..แต่เพียงครั้งสุดท้าย..ก่อนข้าจะหายไปเท่านั้น.."


    เทพบุตรหนุ่มผู้ได้ฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง ไคลน์รู้สึกไม่เข้าใจ เต็มไปด้วยความสงสัยและงวยงงในคำขอเหล่านั้น ริมฝีปากหนาขยับคล้ายจะตั้งคำถาม หากที่สุดแล้ว..ไคลน์กลับเอื้อมมือไปหา ปลายนิ้วสัมผัสใบหน้าที่เย็นเฉียบเพราะเม็ดฝน ก่อนจะโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากที่เรียวปากบางอย่างแผ่วเบา


    ดวงตาสีฟ้า..หากแววตานั้นไม่ใช่ฟาราส หรือแม้แต่เอนีลเงยขึ้นมองสบ


     "ตกลง" ไคลน์เอ่ยกระซิบ..นัยน์ตาจ้องมองดวงหน้าอันเคยคุ้นของเทพบุตรที่ตนรักยิ่ง ก่อนจะสบมองดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่แดงก่ำและไหวระริก..ดวงตาของปีศาจปีกสีดำตนนั้น


     "ตอนนี้ข้าจะรักเจ้า..อาโลอิส"


        สายฝนพร่างพรมลงมาเป็นสายจากท้องฟ้าสีหม่นครึ้ม เม็ดฝนสาดกระทบผิวแก้มขาวจัดและเสื้อผ้าสีดำสนิทที่เปียกลีบติดเนื้อตัว หนาว..อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบเมื่อสายฝนยังคงสาดเทลงมาไม่หยุดหย่อน แม้จะมีรถจอดทิ้งไว้ หากแต่ร่างของทั้งสองผู้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลับไม่คิดเข้าไปอาศัย ปลายนิ้วขาวจัดเย็นเฉียบแทรกเข้าเกาะกุมไหล่หนา ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองใบหน้าที่ตนเคยคุ้น ทั้งจำหลักรักใคร่มาเนิ่นนานนั้นไว้ จ้องมองและจดจำอย่างเงียบงัน ขณะที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายวางลงบนแผ่นอก สัมผัสหัวใจที่เต้นแรงเสียจนสัมผัสได้ ด้วยแววตาแฝงความนัยบางสิ่งที่ตนไม่อาจหยั่งถึง


       อาโลอิสหรุบสายตาลงช้าๆ จ้องมองฝ่ามือนั้นที่วางลงบนแผ่นอกของตน หัวใจที่เต้นแรงเสียจนเจ็บ ความเจ็บปวดปะปนกับความสุขเพียงเล้กน้อยที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของผู้อันเป็นที่รักแม้เป็นเพียงชั่วครู่หนึ่งในยามหลับตาก็ตามที เนื้อตัวของชายหนุ่มเกร็งเยือกเข้าหากัน หาใช่ด้วยความเหน็บหนาว แต่ด้วยความรู้สึกบางสิ่งที่พลุ้งพล่านสะท้านไหว ร่างของผู้ที่ตนหลงรักนั้นอยู่ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจ และฝ่ามือของอีกฝ่ายที่สัมผัสลากไล้สัมผัสทั่วกายา..


    เพียงเท่านี้ แม้จะเป็นความฝัน แม้จะถูกรัก และโอบกอดในนามของผู้อื่นก็ไม่เป็นไร

    ไคลน์...ข้ารักเจ้า..รักเจ้า..ไคลน์


        ถ้อยวลีที่ตนไม่อาจเอ่ยไปสะเทือนอยู่ในห้วงคิด ดวงตาสีท้องฟ้ากระพริบถี่เพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นแวะเวียนมาสบมอง ราวกับจะเอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้าย..และราวกับไม่แน่ใจ หากคำตอบคือปีศาจ..ผู้อยู่ในร่างของเทพบุตรอันงดงามตนนั้นผ่อนลมหายใจ เอนกายไปพิงเปลือกไม้หนาและเเข็งหยาบด้านหลัง ให้ที่เรียวปากของอีกฝ่ายประพรม พร่างพรูทั่วใบหน้าและผิวกาย


       ลมหายใจร้อนผ่าวโฉบประทับ แวะเวียนและเฝ้ากระซิบแผ่วหวานฟังไม่ได้ศัพท์ ปลายนิ้วที่วางลงบนไหล่อีกฝ่ายจิกขยุ้มเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ปัดนี้เปียกชื้นไม่ต่างกันจนยับยู่ ระบายอารมณ์พลุ้งพล่านสะท้านไหว ผิวกายที่เคยเย็นเฉียบผ่าวร้อน...สลับกับเย็นยะเยือกชวนหวามใจ แปรเปลี่ยนจังหวะไปตามที่ริมฝีปากหนากดทับ ปัดผ่าน และผละออกมาย้ำซ้ำ สร้างรอยประทับแดงจัดราวกับกลีบกุหลาบบางเบา..


        หอม..กลิ่นอายอวลแปลกประหลาดค่อยแผ่ซ่านและหว่านล้อมอนุสติ หะแรกที่ความรู้สึกแปลกประหลาดปนกระอักกระอ่วนใจกล่าวกระซิบให้ลังเลและล้มเลิกไป แต่เมื่อสบมองดวงตาไหวระริกราวกับจะสลายไปได้ทุกเมื่อคู่นั้นร่างกายก็พลันเข้มโรมรัน โอบกอดแนบชิด ราวกับจะปลุกปลอบ เอ่ยถ้อยคำปลอบประโลมอย่างเงียบเชียบ แม้จะทราบดีแก่ใจว่าชะตากรรมโหดร้ายใดกำลังเฝ้ารอ


        สูดหลิ่นหอมลึก..กลิ่นของกุหลาบที่ยั่วเย้าและลึกลับ ราวกับกลิ่นของราตรีกาลกำลังโอบล้อม มนต์สเน่ห์ของสีดำอันยากจะหยั่งถึงที่ตนเคยสลับอาจเป็นสิ่งนี้ หอม..เย้ายวนและชวนให้หลงไหลคลั่งไคล้อย่างน่าประหลาด หากปะปนไปด้วยรสขมของน้ำตาและเสียงร้องผะผ่าวแฝงความร้าวไหว ไคลน์พรมรอยจูบบนผิวเนื้อขาวจัด ขบเม้ม เน้นย้ำและละออกมาอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วไล่แกะเสื้อเชิ๊ตสีดำนั้นเสียให้พ้นตา แผ่นอกขาวที่กำลังขยับสะท้อนเสียงหัวใจและเสียงครวญคล้ายสะอื้นปรากฏเบื้องหน้า ริมฝีปากหนาและปลายฟันคมจึงจรดลงจุมพิต สลับกับขบกัดแผ่วเบา


        "ไคล..น์" สำเนียงคล้ายกำลังพร่ำกระซิบราวกับจะร้องไห้ หากก็เต็มไปด้วยอารมณ์ปราถนา ปลายนิ้วขาวจัดขยุ้มหัวไหล่ของอีกฝ่ายช้าๆ ใบหน้าแหงนเงยขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อรับรู้ว่าอุ้งมือร้อนผ่าวนั้นกำลังสัมผัสส่วนอ่อนไหวของตน อาโลอิสกรีดเสียงสะอื้นซบหน้าลงกับหัวไหล่ของอีกฝ่ายท่อนเเขนผอมบางยกขึ้นกอดรัดรอบลำคอร่างสูงใหญ่ไว้ หลับตาลง และขบกัดปลายฟันยังเนินเนื้อบริเวณหัวไหล่ ร่างเล็กกว่าสะท้านไหว พลันรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งแทรกเข้ามาในกายของตนอย่างรวดเร็ว


       ร้อน..ทั้งที่อากาศเย็นจัดแต่ผิวกายกลับร้อนระอุ  มึนเบลอ และเจ็บหนึบด้วยความไม่คุ้นชิน ริมฝีปากฉ่ำหวานเผยอครวญครางปนหอบสะท้าน ใบหน้าหวานจัดซบลงกับไหล่หนาอีกครา เปล่งเสียงกรีดร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างหลงลืมตน


      "ไคลน์...ไคลน์.." หลับตาลงกลั้นน้ำใส หากมันกลับไหลรินลงมาอย่างช้าๆ อ่อนเพลียและชาหนึบจรดปลายเท้า ทำได้เพียงเอนกายตามแรงสอดแทรกนั้น แผ่นหลังครูดผ่านเปลือกแข็งของต้นไม้ หากผู้รองรับหาได้สนใจ อาโลอิสกอดรักอีกฝ่ายไว้ หัวอกสะท้านไหวด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่ตนไม่เคยพานพบ ความรู้สึกของการถูกครอบครองและสัมผัสแม้ในที่ซึ่งตนไม่อาจมองเห็น ริมฝีปากสั่นไหวพร่ำชื่อของไคลน์ซ้ำไปซ้ำมาราวกับกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน..ฝันที่งดงามและหวานล้ำจนไม่อยากตื่นมาพบปะกับความเป็นจริง


    ...ความฝัน..ที่มีเทพบุตรซึ่งตนหลงรักได้โอบกอดไว้และรักใคร่ไม่ยอมผละห่างออกจากกัน

    ...ฝันที่แสนงดงามเหลือเกิน


      "..ฟาราส..." น้ำเสียงหอบสะท้านสะดุดไหวลงราวกับมีบางสิ่ง อาโลอิสเบิกตาขึ้นคล้ายถูกตบหน้า ร่างของตนยังคงถุกสอดแทรกและสัมผัสอย่างร้อนแรงภายใต้สายฝนที่หนาวจนสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย แผ่นหลังบอบบางสะท้านไหว ขณะที่ไคลน์ซบใบหน้าลงกับไหล่ขาวบาง ดวงตาปิดสนิทและเอ่ยซื่อของคนรักตนซ้ำไป ซ้ำมา


     น้ำใสเอ่อท้น หยุดไหลลงมาอย่างเงียบเชียบไม่อาจกลั้น อาโลอิสนึกดีใจนึกเมื่อจังหวะแทรกลึกเปลี่ยนเสียงสะอื้นเป็นเสียงหอบครางได้ทันควัน หากปลายนิ้วจิกทั้งแน่นสั่นไหวและสะท้านเสียจนไม่อาจโอบกอดแผ่นหลังของอีกฝ่ายไว้มั่นเช่นเคย

       ..เจ็บ....


     ความเจ็บปวดที่ตนแสนเคยคุ้นทิ้งตัวแผ่ลงมาปกคลุมอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นไหว ดวงใจเจ็บร้าว หากร่างกายยังถูกกระตุ้นตามตลื่นอารมณ์หวามที่ชักพาไป เสียงคราวครางกึ่งสะอื้นปนปะนกับเสียงกระซิบพร่ำเรียกชื่อคนรักของเทพบุตรหนุ่มซ้ำไป..ซ้ำมา


     อาโลอิสอยากบอกเหลือเกิน...ข้าไม่ใช่เขา

      หากตนสุดใจจะเอ่ยคำใด ด้วยความเจ็บร้าวที่แทรกลึกไม่อาจถอนได้ และด้วยความขมขื่นที่เกาะกินอยู่ภายใน ดวงตาสีท้องฟ้าพลันหลั่งน้ำตาอีกครั้ง พร่างพรูลงไปท่ามกลางสายฝนซึ่งค่อยอ่อนแรงลง


      ...เจ็บปวด เจ็บ..เช่นที่ไคลน์บอกให้รู้

       ให้ข้ากอดเจ้า..ทั้งที่รู้ว่าข้ารักเขา...เจ้าก้ต้องเจ็บ


      ...เจ็บ..เจ็บ...ข้าเจ็บ เจ็บเหลือเกิน ทั้งปวดร้าวและชอกช้ำนักกับน้ำเสียงร่ำเรียกชื่อคนรักของอีกฝ่าย หากแต่ไม่อาจทำสิ่งใด ด้วยตนเองเป็นฝ่ายกระซิบ บอกออกไป..ยอมตกลงอย่างโง่งมให้กอดข้าไว้...แม้ใจเจ้าจะคิดถึงฟาราสผู้นั้นก็ตาม


     ...ข้ารู้ดี รู้ดีว่าเจ้านั้นรักเขา เจ้ากอดข้า...เพียงเพราะอยู่ในร่างของเขา

      รู้ดี..หากแต่ก็เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน

      รักที่แย่งชิงมาได้แล้ว รักที่นำมันมาจากฟาราสซึ่งตนริษยายิ่งนัก..ที่สุด กลับทิ่มแทงและหวนคืนมาทำร้ายเสียจนหัวใจนั้นย่อยยับไม่มีชิ้นดี

      ...แย่งชิงมาแล้ว แต่ก็มิอาจนำมาได้ คว้าเอาไว้..แต่ทำได้เพียงสะอื้นไห้อย่างไร้หนทาง


       หลั่งน้ำตาลงอย่างไม่ขาดสาย แม้ร่างขยับไหวสะท้าน เสียงสะอื้นแปรเป็นเสียงครวญครางอย่างสุขสมไม่อาจระงับ ร่างกายยังคงเต็มไปด้วยหยาดหยดแห่งความปราถนา เนื้อตัวสั่นไหว กระตุกและรับรู้ถึงความสุขสมมากเพียงใด หากในใจเจ็บปวดและตรมตรอมเสียจนไม่อาจเยียวยา


       "อาโลอิส..." แว่วเสียงกระซิบแผ่วเบา..คล้ายชื่อของตนลอดออกจากริมฝีปากหนา ดวงตาสีฟ้าสดใสที่แดงช้ำกระพริบเชื่องช้าราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หากพลันวูบหนึ่งในความงวยงงนั้นก็ถูกความสุขสมหอบทับ คลื่นความปราถนาซัดเอาเสียงสะอื้นไห้และน้ำตานั้นไหลไปกับน้ำฝนอันเย็นเฉียบ แปรเป็นสายน้ำแห่งความปราถนาที่หลั่งรินลงอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับหยาดหยดอุ่นร้อนซึ่งรินรนในร่างของตน


      เสียงหอบครางดังขึ้นแผ่วเบา ทั้งเหนื่อยอ่อนและเต็มไปด้วยความปราถนา ผิวแก้มแดงซ่าน และดวงตาสีท้องฟ้าแดงช้ำแปลกตา ถูกปกปิดไว้ท่ามกลางหยาดฝนและเสียงของท้องฟ้าร้องครืนครางแผ่วเบา


       สายฝนชะล้างน้ำตาและเสียงสะอื้นไป หากสิ่งที่ยังปรากฏชัดไม่อาจลบเลือนได้ คือเศษซากของหัวใจที่พังยับ...ไม่มีชิ้นดี


++++++++++++++++++++


         สายฝนที่พร่างพรูลงมาไม่ขัดสายค่อยซาลงช้าๆ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มเริ่มมีสีสันต้อนรับดวงอาทิตย์ที่ทอประกายใต้ก้อนเมฆขาว ทะเลสาบน้ำใสราวกับกระจกสะท้อนเงาของคนผู้หนึ่งยืนมองมันเงียบๆ เส้นผมสีทองคำเปียกชื้น แนบติดผิวแก้ม ขณะที่เสื้อเชิ๊ตสีดำสนิทถูกกลัดกระตุมติดมันอย่างลวกๆ ไม่ต่างจากกางเกงสีเดียวกันที่ยังคงเปียกชื้นด้วยเม็ดฝน


         สายลมอ่อนคลอเคลียผิวแก้มเย็นๆราวกับจะปลอบให้เเจ่มใสและรื่นเริงขึ้น ร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ หรืออาโลอิสผละจากทะเลสาบนั้น หันไปจ้องมองชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า หลังจากพายุฝนพัดผ่านเช่นเดียวกับพายุอารมณ์ที่ผ่านพ้น เมฆหมอกที่ปกปิดตัวตนและทุกสิ่งไว้ถูกคลี่ออกให้แจ่มชัด..เช่นเดียวกับสิ่งที่ทั้งสองรู้ว่าจะต้องกระทำ


          "....อาโลอิส" นิ่งไปครู่ ขณะที่ทั้งสองจ้องสบตากันเงียบๆ ไคลน์จ้องมองร่างของอาโลอิสผู้ทรุดกายนั่งลงบนต้นไม้ใหญ่


          "ถึงเวลาแล้ว..ข้ารู้" น้ำเสียงแหบพร่าน้อยๆ จากการกรีดเสียงสะอื้นไห้ครวญครางนั้นฟังดูแปลกหู อาโลอิสหรุบตาลงต่ำ ก่อนจะเอื้อมมือไปที่ตระกร้าหวายใยใหญ่ ที่ตนเป็นฝ่ายของร้องให้ไคลน์นำมันมาให้


         "เจ้าจะ....." ไคลน์เอ่ยขึ้นช้าๆ ท่าทีไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะลงมือทำเช่นไร ดวงตาของเทพบุตรหนุ่มวูบไหว ความสับสนก่อเกิดขึ้นทั้งที่ตนไม่อยากให้มี


         ทั้งที่ควรจะฆ่า ควรจะลงมือ ควรทำ เพื่อฟาราส เพื่อคนรักของตนจะได้ฟื้นคืนกลับมา

         แต่เพราะเหตุใด..ถึงได้ยอมทำตามคำขอร้องของอีกฝ่าย และ...ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยังลังเล ไม่อยากลงมือ..

        สงสาร..งั้นรึ

        เป้นความสงสาร..ความเห็นใจ สมเพชเวทนาหรือเพราะเหตุใดกันแต่

       รึต้องเอ่ยชื่อของฟาราสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อรั้งให้ตนเองไม่เผลอไผลไปกับความเย้ายวนและมนต์สเน่ห์ของปีศาจปีสีดำในอ้อมแขนเช่นเมื่อครู่

       ...ต้อง...ทำเช่นไรกัน


          "ข้าจะคืน.." ดวงตาสีฟ้า..หากแดงก่ำด้วยหลังน้ำตามากไปเสียจนบวมช้ำเงยมาสบ แววตาคู่นั้นหาได้สั่นไหว เต็มไปด้วยความเจ็บปวด โศกเศร้า รึหวนอาลัย..หากมันเรียบเฉย เย็นชา


          ...เช่นเดียวกับดวงตาของอาโลอิส..ที่ตนเคยสบมองมันในยามแรกเจอ


        ไคลน์ชะงัก ด้วงสังหรณ์บางอย่าง ทำให้ชายหนุ่มหันไปหา แต่ก็พลันนิ่งไปอีกครา เมื่อเอนีล ชาส์เดองตงส์หยิบเอามีดปลายเเหลม เนื้อดีออกมาจากตระกร้าหวายใบโต


          "ทุกสิ่งทุกอย่าง" อาโลอิสสบตาชายกนุ่มเบื้องหน้า ไร้ร่องรอยของความหวั่นไหว


         "อาโลอิส..." ไคลน์ไม่รู้..ไม่อาจเดาใจว่ายามนี้ ปีศาจปีกสีดำตรงหน้ากำลังจะทำอะไร


         "ของๆฟาราสที่เจ้ารัก..ข้าคืนให้" มีดแหลมคมจรดปลายลงบนข้อมือสีขาว..วางนิ่งอยู่ครึ่งหนึ่งแล้วออกแรงกด..ปาดลึก เชือดสุดแรงจนมองเห็นเนื้อกระดูกสีขาว ด้วยความเชียวชาญของวิสัญญีแพทย์ทำให้การกระทำครั้งนี้ทำได้อย่างไม่ยากเย็น

"เคยเอามาด้วยวิธีใด จะคืนกลับไปด้วยวิธีนั้น"


       เลือดสีแดงกระฉูดออกจากข้อมือราวกับน้ำพุ มันค่อยไหลรินลงไปเปื้อนเปรอะต้นขาและซึมลงเนื้อผ้าตามแรงโน้มถ่วง หากผู้กระทำ..ผู้ที่ถือมีดไว้ในมือกลับยังนิ่งเฉย สบมองแววตาที่เบิกขึ้นราวกับตกใจไม่น้อยอย่างเยือกเย็น แม้ฝ่ามือจะสั่นระริก


        ...เจ็บ...เจ็บมาก เจ็บยิ่งนัก ประสาทสัมผัสทุกส่วนกรีดร้อง ทุกเซลล์ในสมองเต้นเร่าพล่านไปด้วยความหนึบชา แม้จะเจ็บ เจ็บนักหนา แต่ทว่าไร้เสียงร้องอุทรใดๆ


        ...เจ็บใดเล่า จะเจ็บเสียยิ่งกว่าในหัวใจ


          "ฟาราสของเจ้า.." มือขวาที่ประคองไว้ได้ค่อยกรีดลงบนผิวเนื้อ เลือดสีเข้มซึมไปตามการขยับนั้นแต่ผู้กระทำยังขยับไม่หยุด "ทุกอย่างที่เป็นของเขา..เชิญเอากลับคืนไป"


         "อาโลอิส..." ไคลน์ได้แต่มองภาพเบื้องหน้าอย่างคาดไม่ถึง


        "ไม่ว่าจำเป็นเส้นผม...รูปลักษณ์ ใบหน้า...ดวงตา...ลมหายใจ..ทุกสิ่งของเขา เอาคืนไป เอาคืนกลับไปให้หมด" ดวงตาคู่นั้นยอมหันมาสบมองในที่สุด แววตาเจ็บช้ำ รวดร้าวและอดทนอดกลั้นเสียจนดวงตาแดงก่ำ "ของๆเขาที่เจ้ารัก..คืนมันกลับไป"


         "...เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้" ไคลน์กระซิบ จ้องมองปลายมีดที่กำลังเลื่อนมายังลำคอ บ่งชัดถึงเจตนาจะ"คืน"และมอบทุกสิ่งกลับไปยังคนที่ตนช่วงชิง "เพียงแต่พูด..ว่าสำนึกผิด และ..ขออภัย"


         "...ข้าไม่รู้สึกผิดใดๆ ยามนี้ก็ยังไม่รู้สึกผิด" ท่อนแขนมีเลือดซึมชื้น ฝ่ามือเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงเปรอะเปื้อนกระนั้นยังคงกดปลายเข้ากับลำคอของตนเอง "ข้าไม่รู้สึกผิด..แต่จะคืน คืนทุดสิ่งที่นำมากลับไป"


         "...ข้าจำได้ดี เสียงร้องครวญครางของชีวิต เสียงของฟาราสที่เจ้ารักคือเสียงของข้า ดวงตาสีฟ้าของฟาราสที่เจ้ารัก คือดวงตาที่ข้าแย่งชิง กลืนกิน และนำมันมา ไม่ต่างกับเส้นผม และปีกสีขาว..ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ข้าคือผู้ทำร้าย ทำลาย ช่วงชิงมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง!"


          "สาสมแล้ว สาสมกับสิ่งที่ข้าได้รับ สาสมเป็นที่สุดที่จะถูกทำร้าย ถูกตามคร่าชีวิต ถูกหลอกให้.." อาโลอิสสบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องตนเขม็ง "หลงรัก...บัดนี้ข้าซาบซึ้ง ข้ารับรู้ และได้รู้แล้วว่าการแย่งชิงเพื่อครอบครองสิ่งที่ตนต้องการนั้น หากไม่ได้หัวใจ...ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่อาจสำเร็จ.."


          "...คำขอของข้าไม่อาจเป็นจริงหรอกไคลน์" อาโลอิสสบมองดวงตาคู่นั้น ปลายมีดคมกรีดลึกบนลำคอมากยิ่งขึ้น  ฝ่ามือของอีกฝ่ายไหวระริกแม้สติจะเริ่มเลือนราง หากแต่ยังไม่ละสายตาไปไหน "...ข้าไม่เสียใจ ที่ทำทุกสิ่งลงไป"


            "ไม่เสียใจที่ทำร้ายคนรักของเจ้า ไม่เสียใจที่ทุกสิ่งจบลงเช่นนี้ หากข้าจะเสียใจ ก็มีเพียงอย่างเดียว.."


          ฝ่ามือกำแน่น ขยับปลายนิ้วแดงฉานรอบๆ..


             " ข้าไม่เคยสัมผัสถึงหัวใจของเจ้าได้เลยสักครา"


         เลือดสีแดงไหลซึมชื้น เปรอะลงบนเสื้อเชิ๊ตสีดำสนิท และอาบลำคอขาวผ่องที่มีร่องรอยรักสีกุหลาบเป็นตราประทับแห่งความใคร่...หาใช่รัก


              "ไคลน์" เอนีลกระพริบตาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีฟ้าสวยบัดนี้มีน้ำใสหลั่งริน "...ข้ารักเจ้า สุดหัวใจ.."


              "รัก..มากมายเกินไป..จริงๆ"


         เสียงบางสิ่งดังกระทบผืนหญ้า เข่าทั้งสองข้างของไคลน์จมลงกับซากโคลนสีเข้มเจือโลหิตที่เอ่อท้น ดวงตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มเบิกออกอย่างตกตะลึง ยามจ้องมองใบหน้าที่เนืองนองด้วยน้ำตามีโลหิตสีเข้มเเต้มอยู่ประปราย เลือดยังไหลไม่หยุด นองเนืองราวกับน้ำพุจากลำคอขาวที่ถูกปาดด้วยมีดด้ามเล็ก..คมกริบซึ่งหลุดออกจากปลายนิ้วอันไร้เรี่ยวแรง เช่นเดียวกับสติรับรู้ รวมทั้งลมหายใจที่แผ่วเบา..รวยริน


          เอื้อมมือไปหา รั้งร่างบอบบางที่ตนเคยโอบกอดนับครั้งไม่ถ้วนมาไว้ในอ้อมแขน เสื้อเชิ๊ตขาวเปรอะเปื้อนด้วยโลหิตสีแดงเข้มที่ส่งกลื่นชวนคลื่นเหียน หากแต่ไคลน์ไม่ได้ใส่ใจ ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด..รวดร้าวลึก หัวใจเจ็บหนึบด้วยบางสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ จะด้วยความเจ็บปวด..อันต้องมาพบเจอกับซากศพของคนที่ตนรักซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า หรือด้วยความเจ็บร้าว..กับคำรักอันแสนเศร้าที่เป็นดั่งคำลาของดวงวิญญาณปีศาจสีดำที่ตนเคยชิงชัง


         "ข้ารักเจ้า..สุดหัวใจ..รัก..มากมายเกินไป..จริงๆ"


        ปีศาจตนนั้น ที่หลงรัก..รักเขาอย่างสุดหัวใจ


       ปีศาจปีกสีดำ..กลีบกุหลาบสีโลหิตกรุ่นกลิ่นหอมกำจาย ปีศาจที่แสนเลวร้าย แต่ก็รัก..รัก...มากมายเสียจนต้องดับสูญไป


         "อาโลอิส.." นิ่งอยู่เนิ่นนาน ราวกับทุกสิ่งได้หยุดเคลื่อนไหว ดวงตาของชายหนุ่มในอ้อมแขนปิดพับลง เฉกเช่นเดียวกับลมหายใจที่สงบนิ่ง ราวกับกำลังหลับสนิทอยู่ในนิทรา ..เสียงฟ้าร้องครืนครางแผ่วเบา ดังจะบอกให้ทราบถึงจุดสิ้นสุดของการวนเวียนตามล้างผลาญชีวิตของคนผู้หนึ่ง และการกลับมาของคนที่ตนรัก ท่ามกลางความยินดี..ปนขื่นขมเหล่านั้น น้ำเสียงแผ่วเบา..เบายิ่งก็ดังขึ้นราวกับกระซิบผ่านสายลม




          "อาโลอิส..."




--------------

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 22 เรื่องเล่าของปีศาจ + Lost 23 สิ้นพันธนาการ * UP.20/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 20-06-2014 01:45:14


       เสียงร้องของการาเวนดังแว่ว เช่นเดียวกับเสียงกระพือปีกขนาดใหญ่ที่ขยับไหว นกสีดำตัวใหญ่เกาะลงยังไหล่ของชายหนุ่มผู้มีผมสีดำสนิทยาวจรดปลายเท้า เซดิสกระพริบดวงตาสีดำสนิทของตนเองเบาๆ ก่อนจะหยักยิ้มคล้ายขบขัน เมื่อสลับรับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเจ้ากาบนไหล่ ปลายนิ้วสีขาวไล้เส้นขนดำเงามัววับ ขณะที่ดวงตาวาววับราวกับลูกปัดของสัตว์เลี้ยงบนไหล่ขยับหลุกหลิกเมียงมองไปรอบๆไม่หยุด


        "ช่างโง่เง่าและซื่อตรงไม่เปลี่ยนแปลง.."


          น้ำเสียงเย็นยะเยียบ..เอ่ยแผ่วเบาพลางลุกขึ้นจากพื้นหลังคาสีดำที่ตนเหยีบย่าง บนโบสถ์สีขาวหลังเล็กที่มีเครื่องหมายกางเขนปรากฏชัดเจน ร่างในอาภรณ์สีดำสนิทมองตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งของทะเลสาบขนาดใหญ่ แม้ด้วยความจริง ระยะจากดวงตาคู่นั้นมิอาจมองเห็นสิ่งใด ทว่าเซดิสกลับรับรู้ ว่ามีร่างไร้ชีวิตที่ถูกจัดให้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้าราวกับกำลังหลับสนิทอยู่ในนิทรา


        "...มันยังไม่จบหรอก"


          น้ำเสียงนั้นราวกับขบขัน หมุนกายหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสียงสะบัดผ้าคลุมแว่วผ่านสายลมอย่างเงียบเชียบ ร่างของเซดิสก็พลันหายไปจากหลังอาคารราวกับไม่เคยปรากฏ เช่นเดียวกับร่างของการาเวนตัวโตที่สะบัดปีกหายลับไปจากท้องฟ้าให้ดวงตาของชายหนุ่มผู้หนึ่งบนจักรยานกระพริบถี่ด้วยความงวยงง


         มือนั้นคว้ากระดาษจากกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ข้างตัวรถโยนเข้าไปยังใกล้ตู้ไปรษณีย์หน้าโบสถ์แล้วปั่นจักรยานผ่านไปอย่างรวดเร็ว สายลมหอบเอาหนังสือพิมพ์ซึ่งถูกโยนมากลิ้งลงบนพื้นหญ้า มันเกือบเลอะโคลนเอาเสียแล้วหากมือเหี่ยวย่นของหวางพ่อชราจะไม่ได้หยิบมาก่อนพลางแกะอ่านเงียบๆแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะก้าวเข้าไปในโบสถ์เพื่อสวดมนต์ภาวนา..


         
กระดาษหนังสือพิมพ์ม้วนใหญ่ที่ถูกวางทิ้งไว้นั้นบอกวันที่ 1 กันยายน 1939 มีตัวหนังสือขนาดใหญ่พิมพ์หราเต็มหน้าเป็นข้อความชัดเจน


"THE WAR IS ON"


         +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


...ตอนนี้มา..มาเเต่เลือดดด เลือดเต็มไปหมดดดดด

   คาดว่าจะไม่ได้นองจากฉากเรทแต่เป็นเนื่องจากฉากหลังมากกว่า อาโลอิสผู้ต้องการคืนทุกอย่างให้แต่ไม่เสียใจ ก็ปาดเลือดกระฉูดซะเลย ตอนแรกจะเอาควักตาด้วยแล้วแต่มันโหดไ------------ //โดนแบน

  จากนี้เราหมดธุระกับภาคมนุษย์แล้ว(?) จะเเล่นไปหาแฟนตาซีเต็มๆละทีนี้

  ส่วนเรื่องราวเป็นแบบนี้แล้ว..จะเกิดอะไรขึ้น เป็นยังไงต่อไป ไว้รอดูกันนะคะ

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 22 เรื่องเล่าของปีศาจ + Lost 23 สิ้นพันธนาการ * UP.20/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: EXILE07 ที่ 20-06-2014 16:16:18
รอครับ>_< รอๆๆๆๆๆๆ
ตอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ^^~
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 22 เรื่องเล่าของปีศาจ + Lost 23 สิ้นพันธนาการ * UP.20/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:28:31

Lost 24 : กลับสู่ตัวตน

 

 

              "ข้ารักเจ้า..สุดหัวใจ..รัก..มากมายเกินไป..จริงๆ"

 

 

               "อาโลอิส..."

 

 

                    "อาโลอิส..."

 

 

 

 

                 น้ำเสียงคุ้นหูดังแผ่วเบาก้องอยู่ในห้วงแห่งจิตสำนึก ค่อยดังขึ้นทีละเล็ก..ทีละน้อย.. เช่นเดียวกับสติที่ค่อยกลับคืนมาช้าๆ เสียงน้ำหยุดกระทบแผ่นหินและกลิ่นสีสนิมจางคุ้นจมูกกระตุ้มเตือนให้นึกถึงบางสิ่ง หัวคิ้วกระตุกไหวขมวดเข้าหากันน้อยๆ ยามเมื่อนิ่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆแล้วจดจำได้เพียงเลือนราง เสียงฝน..เสียงร้องไห้ น้ำคำสะอึกสะอื้นและกลิ่นคาวเลือดคละเคล้าอ้อมแขนอบอุ่น กระตุ้นให้หัวใจที่เต้นอย่างแผ่วค่อยกระตุกไหวเป็นจังหวะถี่แรง

 

 

                กระพริบเปิดดวงตาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อถูกแสงจากคบเพลิงด้านบนสาดกระทบ ค่อยขมวดคิ้วเข้าหากันมากขึ้นเมื่อยันกายขึ้นมานั่งบนพื้นเงียบๆ ดวงตากวาดมองรอบกายเพื่อพบกันทิวทัศน์อันแปลกประหลาดหากแต่ก็คุ้นตา แผ่นหินสีเข้มมันวับ สะท้อนแสงไฟราวกับอัญมณี เสียงลมหวีดหวีดหวิวดังมาจากเหนือศรีษะ บ้างก็คลอเสียงพูดคุยและเสียงโลหะกระทบกันสะท้อนก้องมาจากเบื้องล่าง ให้ความทรงจำบางอย่างค่อยผุดพรายขึ้นมาช้าๆ เป็นเหตุให้ต้องก้มลงมองตัวเอง

 

 

                 เส้นผมสีแดงเข้มจัดราวกับโลหิตทิ้งตัวลงมาระแนวไหล่ อุ้งมือสีขาว ผิวขาวจัดจนเกือบซีดเอื้อมไปสัมผัส จ้องมองสีสันของผิวเนื้อตัดกันกับสีโลหิตแดงของเส้นผมที่ยาวจนถึงกลางหลัง เรือนร่างสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีดำสนิทและเมื่อหยัดกายขึ้นลุกยืนช้าๆ เงาที่สะท้อนผ่านแผ่นหินสีดำเข้ามา คือใบหน้าอันซีดขาวเฉยชาและดวงตาสีแดงประกาย

 

                ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนแผ่นหินเรียบลื่นเย็นเฉียบ ดวงตากวาดมองรอบกายเงียบๆ ขณะที่ก้าวตามทางเดินหินโค้งอันสวยงามประดับด้วยคบเพลิงเพื่อให้แสงสว่าง เสียงหยดน้ำกระทบแผ่นหินยังคงดังสะท้อนอยู่ไม่ไกล เช่นเดียวกับเสียงของสายน้ำที่หลั่งไหลจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง อากาศรอบกายนั้นนั้นชื้น หากแต่ไม่ถึงกับหนาวเหน็บและไร้ร่องรอยของตระไคร่น้ำหรือพืชพันธ์ชนิดอื่นปกคลุม ทั้งยังเงียบกริบ นอกจากเสียงฝ่าเท้าและเสียงน้ำไหล โดยรอบนั้นนิ่งสงัดราวกับไร้ผู้คน

 

 

                 เสียงกระพือปีกดังขึ้นเบาๆพร้อมกับกรงเล็บสีดำที่เกาะลงบนไหล่ การาเวนตัวใหญ่สีดำสนิทและดวงตาสีแดงก่ำนั้นเคยคุ้นจนต้องยกมือลูบขนมันเงานั้นเบาๆ ซึ่งเจ้าสัตว์ที่เกาะอยู่ก็ตอบรับด้วยการจิกเบาๆแล้วคาบสางเส้นผมเล่นอย่างสนิทสนม

 

 

                "....กลับมาแล้วหรือ?" น้ำเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้น ออกมาจากปากนกสีดำตัวนั้น หากแต่เป็นเสียงของมนุษย์ ดวงตาสีแดงสดหันไปจับจ้องนัยน์ตาวาววามเหมือนลูกปัดของกาตัวใหญ่บนไหล่ แล้วหยักหน้ารับเงียบๆ

 

 

                แกว๊ก..แกว๊ก

 

 

                 เจ้ากาตัวใหญ่อ้าปากร้องเบาๆ ด้วยเสียงที่แปรเป็นสำเนียงนกเช่นปกติ มันโผออกจากไหล่ผอมบาง น้ำหนักที่หายไปมากพอดูจนไหล่ไหวยวบ

 

 

                "แปลกใจอยู่รึเปล่า" น้ำเสียงที่ดังอยู่ห่างไปไม่มาก ทำให้ต้องหันไปหา ร่างของบุรุษที่ตนคุ้นตายืนอยู่บนพรมสีขาว สุดทางเดินจากอุโมงค์ยาว คือห้องที่มีลักษณะเหมือนห้องโถงขนาดเล็กที่ก่อร่างด้วยหินสีดำขนาดใหญ่ เสาต้นใหญ่แกะสลักประดิดประดอยงามตานับสิบๆต้นมีคบเพลิงแขวนไว้ มันค้ำยันเพดานสูงราวกับหลังคาราชวัง ด้านบนเจาะช่องจากแผ่นหินให้แสงสีทองส่องลอดเข้ามากระทบกับเนินโค้งของหลังคาเป็นภาพน่าชม

 

 

                ก้าวเท้าขึ้นไปยังบันไดเตี้ยๆสี่ห้าขั้นที่นำทางไปยังห้องโถง พรมสีขาวปูลาดยาวใช้เป็นทางเดินยามก้าวเท้าไปช้าๆ ดวงตาจ้องมองร่างของบุรุษผู้กำลังยืนมองนกสีดำตัวใหญ่ที่เกาะอยู่บนคอนด้วยท่าทีพึงใจนั้น ท่ามกลางเสียงหยดน้ำกระทบพื้นหินเป็นจังหวะคล้ายขับกล่อม

 

 

                "ท่านเซดิส..."

 

 

                คุกเข่าลงช้าๆ พลางก้มศีรษะให้อีกฝ่ายครู่ใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงฉานหันมาจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ร่างในชุดสีดำสนิทจรดปลายเท้าเช่นเดียวกับตนเดินไปนั่งบนม้าหินที่ปูด้วยพรมขนสัตว์ เส้นผมสีดำสนิทยาวจรดปลายเท้าของอีกฝ่ายบัดนี้ถูกถักเปียไว้เรียบร้อย ปลายนิ้วสีขาวที่มีแหวนทับทิมเม็ดเขื่องปรากฏอยู่เอื้อมไปหยิบแก้วทรงสูงบรรจุของเหลวสีแดงเข้มก่อนจะหันกลับมาสบตาอีกครา แววตาพึงใจปรากฏขึ้นชั่วครู่ก่อนเจ้าตัวจะยิ้ม ริมฝีปากสีโลหิตแย้มพรายขึ้นอย่างปริศนา

 

 

                 "...ยินดีต้อนรับกลับ อาโลอิส.." น้ำเสียงนั้นแฝงความยินดีเจือจาง หากแต่สามารถสัมผัสได้ "..ของข้า"

 

 

                ".........." พยักหน้ารับน้อยๆกับคำเอ่ยตอนรับนั้น ทว่าแววตาก็ยังฉายความไม่เข้าใจ

 

 

                "แปลกใจงั้นหรือ?" เซดิสเอ่ยถาม "...เจ้าจำเรื่องทุกอย่างได้หรือยัง.."

 

 

                 "ยังไม่ทั้งหมด...แต่ก็จำได้มากพอดู.." นัยยะหนึ่ง คือจำได้มากพอจะรู้ว่าตนเองนั้นกระทำสิ่งใดลงไป

 

 

...อาโลอิสที่ฆ่าคนรักของไคลน์ เทพบุตรผู้งดงาม ช่วงชิงทุกสิ่งของอีกฝ่ายมา และกลายเป็นคนๆนั้น

 

 

ถูกคนๆนั้นฆ่าทิ้งซ้ำๆ จวบจนกระทั่ง..ในยามที่จะไม่เหลือแล้วกระทั่งวิญญาณ

 

 

                ควรจะสูญสลาย ควรจะจากไปไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาญ แต่เพราะเหตุใด...

 

 

                "..ดื่มนี่" น้ำสีแดงเข้ม คล้ายกับสีของไวน์องุ่นถูกยื่นมาตรงหน้า อาโลอิสจ้องมองดวงตาของผู้พูดครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือรับ และดื่มกินตามที่อีกฝ่ายสั่งการ

 

 

                รสหวานซ่านแผ่ลงมาจากลำคอไปยังทั่วกาย ร้อนวาบขึ้นมาเสียจนแก้มแดงจัด อาโลอิสไอโขลก ไม่ทันตั้งตัวกับรสหวานจัดและร้อนแผดกระเพาะของเครื่องดื่มในแก้ว ยื่นมือคืนไปให้ผู้เป็นนายแล้วหอบเบาๆครู่ใหญ่ ก่อนจะพลันรู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่มีมากขึ้น และ..สัมผัสได้ถึงบางสิ่งผุดออกมาจากสะบักไหล่และขยับไหวอยู่เบื้องหลัง

 

 

                 เมื่อสัมผัสถึงการคงอยู่ของมันได้..เทพบุตรผู้มีปีกสีดำก็เข้าใจ

 

 

                ...ยังมีอีกสิ่งที่ไม่ได้ส่งคืนกลับไปยังเจ้าของ

 

 

                 ปีกสีขาว..ที่ตนกระชากแย่งชิงมา

 

 

                 ของๆฟาราส ที่ยังไม่ได้คืนกลับไป..

 

 

                "...ช่างไม่เข้ากับเจ้าเอาเสียเลย" ผู้เป็นนายเอ่ยคล้ายจะบ่น ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ดูแปลกตา หนึ่งคือปีกสีดำสนิทราวกับขนกา แต่อีกหนึ่งกลับเป็นปีกสีขาวบริสุทธิ์

 

 

                 แม้จะงดงาม หากแต่ก็ไม่อาจรวมเป็นหนึ่ง

 

 

                ....สีขาวกับสีดำ ไม่มีทางหลอมรวมกัน

 

 

                "เพียง....เพราะสิ่งนั้น" ถึงได้ให้ตนเองยังคงอยู่..ยังคงมีตัวตน.. อาโลอิสรู้สึกข้องใจ

 

 

                 "สำหรับเจ้าอาจเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ปีกสีขาว..เทพทั้งหลายเห็นว่าคือสิ่งสำคัญนัก" เซดิสหัวเราะขบขัน คล้ายจะเยาะถึงนัยยะที่ผูกกันอยู่อย่างน่าขำไม่น้อย "...แต่นั่นก็หาใช่เหตุผลทั้งหมด เจ้าพูดถูกแล้ว"

 

 

                 "....แล้ว มันคือ?" อาโลอิสเงยหน้ามองผู้เป็นจ้านาย ดวงตาสีแดงเข้มวาววับคู่นั้นหันมาจ้องสบ แม้จะเป็นสีแดงเฉกเดียวกัน หากแต่สีสันก็ยังคงต่างไป ดวงตาของเซดิสนั้นเป็นสีแดงระยับไหวคล้ายเปลวไฟที่เต้นระริกอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย  ขณะที่ดวงตาของตน อาโลอิสนั้นมีนัยน์ตาสีแดงเข้มดั่งทับทิมส่องแสงประกาย

 

 

                "...หนึ่งนั้นคือ..ปีกสีขาว ไม่อาจถูกส่งมอบยามอยู่ในร่างมนุษย์" เซดิสเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยคล้ายทำนองของบทเพลง ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังของอาโลอิส ซึ่งบัดนี้ข้างหนึ่งนั้นมีปีกสีขาวปรากฏอยู่ ช่างแตกต่างกับอาภรณ์สีดำสนิท และปีกสีดำที่อยู่บนไหล่อีกข้างอย่างล้นเหลือ สีขาวนั้นงามระยับ หากแต่ก็ขัดตา..และแตกต่างไม่อาจหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน

 

 

                เช่นเดียวกับความปรารถนา แม้นเจ้าจะต้องการเช่นไร สีดำก็ไม่อาจพลิกแปรเป็นสีขาวได้อีก

 

 

                ตัวตนของเจ้าของสีดำจะอย่างไรก็ไม่อาจหลีกพ้น..

 

 

                "แม้เจ้าจะ"คืน"ทุกสิ่งไปแล้วในยามนั้น แต่เจ้าก็ยืนยันว่าหาได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจ..สิ่งนั้นอาจทำให้ผู้ที่รอคอยได้ยินได้ฟังมันมาตลอดขุ่นเคือง แต่สำหรับข้า.." เซดิสยิ้มบาง หัวเราะเบาๆในลำคอ "การที่เจ้ายืนยันเช่นนั้น เป็นสิ่งที่บอกชัด ไม่ว่าจะแปรเปลี่ยนและลงมือกระทำสิ่งใดลงไป เนื้อในเจ้าก็ยังคงเป็นขุนพลผู้เก่งกาจของข้าเช่นเดิม"

 

 

                 "พวกเขาอยากให้ข้า...เอ่ยปากบอกว่าเสียใจ?" อาโลอิสทวนคำ นิ่งคิดสิ่งที่ผู้เป็นนายอธิบายอย่างช้าๆ

 

 

                ..การนำปีกสีขาวคืนไปนั้นสมควรแล้ว แต่สิ่งที่ต้องการมากกว่า คือถ้อยคำที่กล่าวว่ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกระนั้นหรือ?

 

 

                "มันไม่ได้ต้องการคำขอโทษ ขออภัย หรือการเอ่ยปากบอกว่าเสียใจของเจ้า อาโลอิส" เซดิสเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงดังชัด "เพียงแค่อยากเหยียบย่ำให้ได้อับอาย..ทั้งเจ้าและข้าผู้เป็นนาย"

 

 

                 "ข้า...." อาโลอิสหรุบตาลงช้าๆ รู้สึกละอายใจทันทีที่ตนนั้นชักนำผู้เป้นนายเข้ามาข้องเกี่ยวและต้องถูกเหยียดหยามจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครานี้

 

 

                 "...ข้าเป็นผู้บอกให้เจ้าแย่งชิงมาเอง" เซดิสยิ้มบาง ปลายนิ้วลูบขนสีดำของการาเวนตัวใหญ่ที่โผมาเกาะอยู่ข้างๆ "แม้ผลมันจะออกมาเช่นไร ข้าก็ได้ลงมือทำไปเฉกเดียวกัน แท้จริงแล้ว...ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกสนุกสนานเสียเหลือเกิน"

 

 

                 "ควรทำให้ท่านอับอายมิใช่หรือ" อาโลอิสจ้องมองผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า หากตนจะถูกลงโทษและด่าว่าฐานทำให้ผู้เป็นนายอับอาย นั่นย่อมสมควรแล้ว

 

 

                "อับอาย....ข้าน่ะหรือ?" ดวงตาของผุ้เอ่ยไหวระริกคล้ายจะขบขัน "อับอายทำไม สิ่งที่เจ้าทำน่ะรึ..? แน่นอนว่าในความคิดข้านั้นช่างเป็นการกระทำที่โง่งมนักหนา การทำร้ายและช่วงชิงทุกสิ่งเพื่อหวังจะเป็นที่รัก...สุดท้ายแล้วเจ้าก็ได้ตระหนัก แม้รูปลักษณ์เช่นไร แม้จะเหมือนเสียเพียงไหน เมื่อไม่ใช่ ก็ย่อมไม่ใช่ ไม่อาจแย่งชิงกลับมาได้ทั้งหมด และต้องได้รับโทษจากการกระทำอันโง่งมของตัวเอง"

 

 

                "หากข้าต้องอับอายเพราะเจ้าคือลูกน้องของข้า..อับอายเพราะของๆข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ข้าควรจะอายกระนั้นหรือ มันน่าขันเสียมากกว่า ตัวข้าที่นั่งมองพวกมันดิ้นรนกระวนกระวาย ต้องการแย่งชิงสิ่งที่ถูกนำไปกลับคืนมา และมาถามทวนซ้ำกับข้านับพันๆครั้ง ว่าด้วยเหตุใดเจ้าถึงได้ทำเช่นนั้นลงไป ซ้ำยังโง่เง่าเสียจนเข้าใจผิดพลาดไป ว่าเจ้านั้นหลงรักในความงามของเทพบุตรผู้นั้นเสียเต็มประดา จึงอดใจไม่ไหวที่ต้องนำมาครอบครอง"

 

 

                 "ข้าที่นั่งมองพวกมันวิ่งวนราวกับหนูติดจั่น ตาบอดเสียจนมองทุกสิ่งผิดพลาดไป จะให้อับอายอะไร นอกจากเฝ้าหัวเราะขบขันกับผู้ที่คิด และมองทุกสิ่งเพียงแต่ภายนอก เป็นสีขาว..ที่แสนโง่งมจนข้านึกพิศวงเสียด้วยซ้ำ ว่าเจ้าไปหลงรักมันได้อย่างไร"

 

 

                 ".....ข้า" อาโลอิสได้แต่นิ่งงัน ไม่อาจตอบคำ

 

 

                "แต่ตัวเจ้าที่เป็นมนุษย์นั้นช่างโง่เง่าสิ้นดี หากข้าไม่เข้าไปเกี่ยวกัน เมื่อใดนะ เจ้าถึงจะจำได้เสียที" เซดิสหัวเราะ วางแก้วใสที่บัดนี้ว่างเปล่าลงข้างกาย

 

 

                "ข้าขอบคุณท่านในความกรุณา"

 

 

                "...เจ้าคิดว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็พูดมาเสียเถอะ" ผู้เป็นนายปรายตามองร่างที่คุกเข้าเบื้องหน้า "และข้าหาได้กรุณา..เพียงแต่ต้องการให้เจ้าตระหนักและจดจำถึงสิ่งที่ตนเองทำลงไปให้ได้...จดจำมันได้ด้วยตัวเอง ก็ย่อมเลือกหนทางของตัวเองได้ แม้เส้นทางที่เจ้าเดินไป จะซื่อตรงเสียจนแสนโง่งมก็ตาม"

 

 

                "...เมื่อช่วงชิงมาก็ย่อมต้องคืนกลับไป..ข้าคิดเช่นนั้น" อาโลอิสเอ่ยช้าๆ

 

 

                "เจ้าหวังว่ามันจะจบลง จึงได้บอกทุกสิ่งไปอย่างนั้นน่ะหรือ" เซดิสถอนใจ พลางลุกขึ้นยืนอีกครา "..หากแต่สุดท้าย ความปรารถนาของเจ้าก็ไม่เป็นผล พวกมันต้องการปีกสีขาวคืนกลับไป และต้องการลงโทษเจ้าให้สาสมอีกครา..."

 

 

                ปลายนิ้วสีขาวจัดแตะลงบนไหล่ของผู้ที่คุกเข่าลงเบื้องหน้า อาโลอิสเงยหน้าขึ้นมองอย่างแช่มช้า สบมองดวงตาที่ลึกล้ำและเย็นยะเยียบคู่นั้น

 

 

                "ส่วนตัวข้า...ต้องการให้เจ้ากลับมา..เพราะมันได้เริ่มขึ้นแล้ว"

 

 

                ดวงตาสีทับทิมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สายลมลอดผ่านเข้ามาอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงของหยดน้ำที่รินไหล กลับแว่วเสียงคำรามของบางสิ่งที่ถูกพัดพามาตามลม

 

 

                "ได้ยินใช่ไหมล่ะ...เสียงของอสูรกายจากห้วงที่ลึกที่สุดของขุมนรก"

 

 

                อาโลอิสพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า แววตาที่แฝงความกังวลเจือจางถูกปกปิดไว้ใต้เปลือกตาที่หรุบลงต่ำและเสียงรับคำอย่างแผ่วเบา..

 

 

        ++++++++++++++++++++++++++++

 

 

                ทางเดินที่ทำจากแผ่นหินสีเข้มลักษณะคล้ายอุโมงค์ทอดยาว ด้านบนคือเสียงของสายน้ำที่หลั่งไหลไม่หยุด กลิ่นหอมของกุหลาบอวลกำจายจากเถาดอกไม้สีโลหิตที่เกาะเกี่ยวแทรกรากหยั่งลึกลงบนแผ่นหินและแผ่ปกคลุมเสียจนแทบไม่มีช่องว่าง มีคบเพลิงถูกจุดไว้นำทางเป็นระยะ และเบื้องหน้าอีกฟากของทางเดินยาวไกล แสงสีขาวที่อยู่อีกปลายฝั่งนั้นคือจุดหมายที่ตนต้องเผชิญ

 

 

                อาโลอิสก้าวเท้าตามผู้เป็นนายที่เดินนำไปอย่างเงียบเชียบ บนไหล่ของเซดิสยังคงมีเจ้าการาเวนตัวโตเกาะอยู่เช่นทุกครั้ง ทั้งเจ้านายและตัวมันไม่ได้หันมา ทว่าบางครา ตนกลับรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาแม้ไม่รู้ทิศทาง รอบกายไร้ผู้คน มีเพียงร่างของผู้เป็นนายเดินนำหน้า หากหูกลับได้ยินเสียงกระซิบของบางสิ่งแทรกผ่าน วิญญาณที่ไร้รูปร่างกำลังเอ่ยปากต้อนรับและร้องบอกข่าวคราวกันไปตามสายลม

 

 

                เสียงกระซิบนั้นบอกชัด "กลับมาแล้ว" ตนเองที่กลับมาอีกคราหลังจากหายไปด้วยเหตุผลอันโง่งมเช่นการทำร้ายเทพบุตรตนหนึ่งเสียต้องถูกลงโทษ แม้จะเป็นเรื่องราวอันโง่เง่า ทว่าสรรพสิ่งรอบกายนั้นกลับไร้ถ้อยคำต่อว่า คำยินดีที่แว่วมาตามสายลมโอบกอดประหนึ่งได้กลับมายังบ้านหลังเดิมที่เคยคุ้น ทุกคราที่เหยียบย่างลงบนแผ่นหินหนา หาได้เย็นยะเยียบแต่กลับแฝงความความอุ่นวาบและความรู้สึกผูกพันที่มากขึ้นตามจังหวะการก้าวเดิน

 

 

                เจ้าของดวงตาสีทับทิมจ้องมองผู้เป็นนายที่ยังคงก้าวเท้านำไปยังอุโมงค์เบื้องหน้า อาโลอิสมองเส้นผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายซึ่งขยับเป็นจังหวะตามการเคลื่อนไหว ความทรงจำที่ค่อยฟื้นคืนกลับมานั้นค่อยๆเรียบเรียงและถักทอเรื่องราวทุกอย่างให้ตนตระหนักอย่างเชื่องช้า ถึงตัวตนของตนเองและทุกสรรพสิ่งโดยรอบ

 

 

                อาโลอิสนั้นคือเทพบุตร..เทพผู้มีปีกสีดำและอาศัยอยู่ใต้พื้นพิภพและถูกกล่าวขานคล้ายปีศาจ ปีศาจผู้มีหน้าที่ลงทัณวิญญาณอันชั่วร้ายตามคำกล่าวเล่าขานของสีขาว..เหล่าเทพผู้ที่อยู่บนสรวงสวรรค์อันงดงามและมีปีกสีขาวบริสุทธิ์ เทพบุตรที่มีปีกสีดำนั้นช่างดูต่ำต้อยและแตกต่างในสายตาของสีขาว เช่นเดียวกับเทพบุตรที่มีปีกสีขาว ที่แตกต่างในสายตาของสีดำเฉกเช่นเดียวกัน

 

 

                เหตุเพราะตนเองไปลงมือทำร้าย อาโลอิสผู้ที่ลงมือแย่งชิงทุกสิ่งและทำร้ายฟาราสอย่างทารุณจนต้องได้รับโทษ โทษทัณฑ์คือการต้องกลายเป็นมนุษย์ผู้จมจ่ออยู่กับฝันร้ายและถูกไคลน์ผู้เป็นคนรักของอีกฝ่ายตามมาคร่าชีวิตครั้งแล้ว ครั้งเล่า..จนถึงครั้งสุดท้าย..ในยามที่เขาเป็นเอนีล ชาส์เดอตง เซดิสจึงเอื้อมมือมาช่วยกระตุ้นเตือนความทรงจำ พยายามทำให้ตนจำทุกอย่างได้ เช่นเดียวกับไคลน์ ที่เข้ามาใกล้ชิดด้วยหวังจะให้ตนเอ่ยปากบอกสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด

 

 

                ทว่าเมื่อลงมือไปแล้ว เมื่อเลือกจะคืนกลับทุกสิ่งไปและบอกให้รู้ถึงเหตุผลของทุกสิ่ง ตัวตนนี้กลับไม่ได้หายไป อาโลอิสยังคงต้องกลับมา..กลับมาเป็นอาโลอิสคนเดิม เป็นเทพบุตรปีกสีดำที่เป็นลูกน้องคนสนิทของเซดิส เป็นอาโลอิสที่ได้ตำแหน่งขุนพลปีศาจที่มีแต่คนหวาดกลัว เป็นตัวตนแต่เดิมที่เคยเป็น..และบัดนี้ก็ต้องไปสละปีกสีขาวซึ่งไม่ใช่ของตนคืนกลับไปเสีย ทั้งยังต้องได้รับโทษทัณฑ์อีกคราด้วยเช่นกัน

 

 

                 ...ทุกสิ่งนั้น เพื่อตอบแทนที่ตนเองเคยกระทำไว้

 

 

                 ได้เหยียบย่ำทำร้าย ทารุณเทพบุตรผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตนนั้นด้วยความปรารถนาอันโง่เง่าของตน

 

 

                มาบัดนี้ก็ต้องได้รับความอัปยศตอบแทนเฉกเช่นเดียวกัน..

 

 

                "อาโลอิส.." น้ำเสียงแสนคุ้นหูของผู้เป็นนายดังขึ้นหลังจมจ่ออยู่ในภวังค์มาเนิ่นนาน อาโลอิสเงยหน้าขึ้นจ้องมองแผ่นหลังอีกฝ่าย แม้จะไม่ได้หันมา แต่ก็เป็นอีกคราที่ตนรับรุ้ว่าถูกจ้องมอง

 

 

                "...ขอรับ ท่านเซดิส" เอ่ยรับคำเบาๆ พลางมองแสงสว่างที่ใกล้เข้ามาเบื้องหน้า

 

 

                "เจ้าพอใจที่จะหายไปจริงหรือไม่?"

 

 

                 ".....ข้า" นิ่งไปครู่กับคำถามนั้น อาโลอิสหรุบตาลงต่ำ "เพียงต้องการให้ทุกสิ่งจบลง"

 

 

                "ใช่...หากเจ้าหายไป ทุกสิ่งจะจบลง" เซดิสตอบรับแผ่วเบา "แต่ข้าอยากรู้ ในยามนี้ที่ได้รับรู้ทุกสิ่ง เจ้ายังอยากกลับมาหรือไม่"

 

 

                 "......................."

 

 

                 "หากเจ้าไม่ต้องการคงอยู่ คำขอของข้าคงไร้ค่า" ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ที่นิ่งเงียบอยู่ชะงัก "หากเจ้าไม่ต้องการจะกลับมา ย่อมเหมือนครานี้ข้าได้มอบการลงทัณฑ์ที่เลวร้ายไม่ต่างจากที่ผ่านมา"

 

 

                "ท่านเซดิส..."

 

 

                 "เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าต้องพบเจอสิ่งใด?"

 

 

                "ข้า...ทราบ" ทราบดีว่าสุดปลายทางของอุโมงค์ ต้นทางของแสงสว่าง และจุดสิ้นสุดของความมืดมิดมีสิ่งใดรออยู่

 

 

                ...สีขาว...และคนผู้นั้น

 

 

                บทลงทัณฑ์...ค่าตอบแทนที่โหดร้าย

 

 

                "...และเจ้าทราบหรือไม่ ว่าหากเจ้าพลาดพลั้ง..จะต้องหายไปอย่างแท้จริง" ฝ่าเท้านั้นหยุดลง ร่างสูงโปร่งของผู้เป็นนายหันมาจ้องมองอย่างเงียบเชียบ ดวงตาสีแดงราวกับมีเปลวเพลิงเต้นไหวนั้นทอดมองมาเช่นเดียวกับนัยน์ตาวาววามราวกับลูกปัดของเจ้าการาเวนบนไหล่ อาโลอิสมองสบตาของทั้งคู่ ใบหน้าที่สงบนิ่งแลดูเฉยชาค่อยคลี่รอยยิ้มบางเบา..

 

 

                "...ข้าทราบดี"

 

 

                เซดิสหันหลังกลับไปเดินนำอีกครา ปลายนิ้วสีขาวที่ประดับด้วยเล็บมือสีดำสนิทเอื้อมไปลูบขนเจ้าการาเวนตัวไหล่บนไหล่เบาๆคล้ายกำลังเหม่อลอย

 

 

                 "...พิษของความรัก.." น้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้นเอ่ยออกมาแผ่วเบา "...ก็โหดร้ายเฉกเช่นนี้แหละ อาโลอิส"

 

 

                 "...หัวใจที่เคลื่อนไหวแล้ว ไม่อาจมีสิ่งใดหยุดได้กระทั่งความตาย.." ดวงตาสีทับทิมมองไปยังเถากุหลาบสีสดบนผนัง คล้ายกำลังระลึกถึงบางสิ่ง..

 

 

                "............."

 

 

                "ช่างโง่งมเสียจริง"

 

 

                สิ้นเสียงกล่าวคล้ายจะรำคาญของผู้เป็นนาย ปีกของการาเวนตัวใหญ่นั้นก็สะบัดไหว มันเปลี่ยนที่มั่นจากไหล่ของเซดิสมายังไหล่ของตน น้ำหนักที่มากพอดูทำให้ไหล่ผมบางไหวยวบ แต่เนื้อตัวของมันก็อุ่นจนต้องเอื้อมมือไปสัมผัสเพียงเเผ่วเบา

 

 

                "แม้ข้าจะเป็นนายเจ้า แต่การตัดสินย่อมต้องเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม" เซดิสก้าวไปถึงปากอุโมงค์ใหญ่ แสงสว่างที่ทอลอดเข้ามานั้นเจิดจ้าเสียจนแสบตา หากแต่อาภรณ์สีดำสนิทและเส้นผมสีขนกาก็ไม่ได้ถูกกลืนกินไปแต่อย่างใด "เมื่อเจ้าต้องการจะอยู่ต่อไป โทษทัณฑ์ที่ได้ ย่อมต้องสมน้ำสมเนื้อกัน"

 

 

                 "ข้าทราบดี" อาโลอิสเอ่ยปากรับคำเบาๆ ดวงตาไร้ร่องรอยหวั่นไหว เช่นเดียวกับใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉยไม่อนาธรสิ่งใด แม้เสี้ยวหนึ่งในหัวใจ จะมีความกังวลแผ่ตัวลงมาอย่างเบาบาง

 

 

                "....เช่นนั้นก็จงเดินหน้าเข้ามา"

 

 

                 ...เพื่อเผชิญกับความจริง

 

 

                แม้ผุ้เป็นนายไม่เอ่ยปาก แต่อาโลอิสก็พอจะรับรู้ ฝ่าเท้าของเทพบุตรผู้ที่บัดนี้มีทั้งปีกสีขาวและสีดำสนิทจึงก้าวไปเบื้องหน้า ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยนั้นยังคงรับรู้ถึงกระแสความอุ่นวาบจากพื้นพิภพที่ตนเดินทางมา หากแต่เมื่อสิ้นสุดทางเดิน และมองเห็นเพียงแสงสว่างสาดจ้า ฝ่าเท้าที่ก้าวผ่านออกไปยังอาณาจักรแห่งสีขาวสะอาดตา สัมผัสได้ถึงพื้นหญ้าอันเย็นเฉียบราวกับน้ำเเข็งเช่นเดียวกับดวงตาของเหล่าเทพบุตรปีกสีขาวที่จ้องมองมายังร่างของตนไม่วางตา

 

 

                  ...ถึงเวลา

 

 

                คืนทุกสิ่งกลับไปเสียที

 

 

++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

พาร์ทนี้ขึ้นมาแฟนตาซีเต็มที่แล้ว ทั้งตอนมีแต่อาโลอิสกับคุณเจ้านาย ฮ่าา

 

ที่จริงที่เซดิสไปทำตัวลับๆล่อๆใส่ลูกน้องเพราะต้องการช่วยสินะ โถ..แต่ดันทำเขากลัวซะงั้น

 

//เป็นอิชั้นก็กลัวค่ะ ก็เล่นทำตัวน่าสงสัยขนาดนั้น 555 #เซดิสถีบคว่ำ

ส่วนตอนต่อไปจะเป็นยังไง โปรดติดตามค่ะะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 22 เรื่องเล่าของปีศาจ + Lost 23 สิ้นพันธนาการ * UP.20/06/57
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:31:01
Lost 25 : ฟาราส และ คีเรส

 

 

                สีขาว เบื้องหน้าคือสีขาวและแสงสว่างเจิดจ้าเสียจนแสบตา อาโลอิสกระพริบตาช้าๆ รู้สึกมึนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบว่าตนนั้นได้ยืนอยู่ ณ รอยต่อของเส้นทางระหว่างความมืดกับแสงสว่าง จุดผ่านหลังเดินออกมาจากอุโมงค์อันปกคลุมด้วยเถากุหลาบงดงามคือทุ่งหญ้าและท้องฟ้าที่เปิดกว้าง แสงสว่าง..สิ่งที่ผู้ซึ่งอยู่ใต้พื้นพิภพอันมีแต่เพียงปราสาทสีดำทะมึนและเสียงของน้ำหยดกระทบแผ่นหินไม่อาจพบเจอ บัดนี้คือหนึ่งเดียวกับสถานที่ซึ่งตนเหยียบย่างและผู้คนรอบกาย

 

                นัยน์ตาสีทับทิมกวาดมองโดยรอบช้าๆ ไม่รู้สึกแปลกใจหรือประหลาดใจแม้แต่น้อย เมื่อมองเห็นร่างของเทพบุตรผมสีทอง ดวงหน้างดงามและดวงตาสีท้องฟ้าผู้นั้น ใบหน้าซึ่งตนเคยเป็นเจ้าของ บัดนี้เมื่อเป้นผุ้จ้องมองแล้วรู้สึกประหลาดตาไม่น้อย เช่นเดียวกับท่าทีของอีกฝ่าย อาการหวาดกลัวและดวงตาที่ฉายแววหวาดหวั่นยามเมื่อตนได้สบตานั้นบ่งบอกว่าความทรงจำอันเลวร้ายนั้นยังคงติดตรึง และหาได้แปลกใจ เมื่อได้มองเห็นปลายนิ้วและฝ่ามือของเทพบุตรผู้มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนและใบหน้าอันเคยคุ้นนั้นบีบกระชับและคอยเกาะกุมไว้ไม่ห่าง

 

                ภาพที่ตนเคยคุ้น เคยมองเห็นยามจ้องผ่านกระจกสะท้อน บัดนี้ชัดเจนอยู่ต่อหน้า เฉกเช่นเดียวกับความจริงที่ไม่อาจหลีกพ้น

 

                ไม่ว่าวิญญาณคือใคร เพียงผู้เดียวที่ไคลน์จะอยู่เคียงข้าง คือเทพบุตรผมสีทอง ดวงตาสีฟ้าผู้นั้น..

 

                ไม่มีเงาใดสะท้อนภาพของตน...

 

                 "มาแล้วหรือ" น้ำเสียงทุ้มลึกแปลกหูดังขึ้น ทำให้ต้องหันไปมองหาที่มา อาโลอิสมองบุรุษหนึ่งที่ตนไม่เคยคุ้น ชายผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเทพอีกสององค์ที่เหลือ หากแต่มีดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายลึกล้ำ แฝงรัศมีแห่งอำนาจ ดวงหน้าเข้มราวกับรูปสลักเต็มไปด้วยความขึงขังและจริงจังอยู่ในที เส้นผมสีเงินเจือสีทองจางๆแปลกตา ยามเมื่อถูกจ้องมองมา อาโลอิสรู้สึกราวกับถูกสำรวจลึกถึงจิตวิญญาณ

 

                 "...ไม่ตอบ พูดไม่ได้กระนั้นหรือ?" เสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ยถาม ดวงตาสีไพลินยังคงจ้องมองมาไม่ละสายตา

 

                 "ขออภัย..." ค้อมศีรษะลงน้อยๆ รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่านี่คือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย "ข้า...อาโลอิส"

 

                 "....คนของเจ้า..เซดิส" บุรุษผู้นั้นเอ่ยถาม พลางปรายตามองไปยังผู้เป็นนายของตน อาโลอิสจ้องมองเซดิสที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากชายผู้นั้น สบมองดวงตาสีเพลิงที่เต้นไหวระริกอย่างเงียบเชียบ อาภรณ์สีดำสนิท รวมทั้งเส้นผมจรดปลายเล็บ ช่างดูผิดแผกและแตกต่างจากชายผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ที่ยืนอยู่ข้างกายนัก

 

                 ...ดั่งสีขาวและสีดำ ที่ไม่มีวันหลอมรวม..

 

                "ของข้า...ใช่" ผู้เป็นนายรับด้วยน้ำเสียงเย็นระเรื่อย "อาโลอิส...นี่คือ...คีเรส ผู้เป็นนายของพวกเขา และเป็นผู้ตัดสินเรื่องราวในครานี้ ร่วมกันกับข้า"

 

                 สิ้นคำ อาโลอิสก็น้อมตัวให้การเคารพขณะที่รู้สึกถึงน้ำหนักที่หายไปจากหัวไหล่ การาเวนตัวโตที่เคยเกาะอยู่ บัดนี้โผคืนกลับไปยังเจ้าของนั่นก็คือเซดิส และเมื่อน้ำหนักนั้นหายไป ก็พลันรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่แทรกผ่านมาอย่างเงียบๆ ความหนาวเหน็บและเย็นเยียบอย่างประหลาดค่อยไต่ลามมาจากปลายเท้าสู่ทั้งร่าง รับรู้ได้ถึงความเย็นเยือกและชาหนึบ ราวกับรอยอุ่นยามเมื่อสัมผัสแผ่นหินนั้นได้หายไปและใต้ผืนหญ้าสีเขียวราวกับแก้วใสคือแผ่นน้ำแข็งหนาชวนสะท้านทั่วสรรพางค์กาย

 

                เพราะคีเรสอย่างนั้นรึ? ความสงสัยวาบผ่านทำให้เงยหน้าขึ้นไปสบมองดวงตาคู่นั้น หากแต่ไม่นานก็รู้ว่าไม่ใช่ นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นแม้จะวาววับด้วยอำนาจและความเด็ดขาด หากแต่ก็ไร้ความชิงชังหรือสิ่งใด เช่นเดียวกับฟาราสและไคลน์..ที่แม้จะรู้สึกขุ่นเคืองตนเพียงใดก็คงมิกล้า และคงไม่ใช่เซดิส คำตอบเดียวของความหนาวที่เข้ามาปกคลุมกาย คงเป็นเพราะสีดำ..ไม่คุ้นชินกับที่แห่งนี้ เมื่อครู่ที่มีกาของเซดิสเกาะบนไหล่ตนยังไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แต่เมื่อมันได้จากไป อาโลอิสก็พลันสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของตน

 

                 ..เหตุเพราะแย่งชิง และถูกนำกลับคืนไป วิญญาณถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงได้อ่อนแอและไร้พลัง

 

เฉกเช่นเดียวกับที่เซดิสเคยบอกไว้ หากครั้งนี้ต้องจากไป...จะสูญสลาย ชั่วนิรันดร์   

 

                 "จะเงียบช้าอยู่ไย.." ครู่ใหญ่ที่ทั้งหมดนั้นเพียงแต่นิ่งไม่เอ่ยคำ เซดิสจึงเปรยขึ้นมาเงียบๆ "ถึงเวลาตัดสิน และนำของที่แย่งเอามา..คืนไปแล้วมิใช่หรือ"

 

                "นั่นคือลูกน้องของเจ้ามิใช่รึ" คีเรสหันไปถาม..คล้ายแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ต่อต้าน

 

                 "แล้วอย่างไร..อาโลอิสคือของข้า ขณะเดียวกันมันก็ทำผิด เจ้าต้องการให้ข้ากางปีกปกป้องกระนั้นรึ" เซดิสเอ่ยถาม ดวงตาคู่นั้นคล้ายมีรอยขัน

 

                "ของเจ้าไยไม่สอดส่องดูแลให้ดี ถึงมาทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน" นัยยะนั้นแฝงความไม่พอใจเเจ่มชัด

 

                 "....ทุกอย่างเกิดขึ้นจากข้า โปรดอย่ากล่าวโทษท่านเซดิส" ไม่ทันที่ผู้เป็นนายจะเอ่ยปากตอบโต้ อาโลอิสก็กล่าวตัดบทไปเสีย ด้วยตนนั้นไม่อยากให้เซดิสต้องลำบากหรือถูกตำหนิจากเรื่องราวครั้งนี้ ถ้อยคำนั้นทำให้ริมฝีปากของผู้ฟังกระตุกยิ้ม..แลเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

 

                 "....เชิญตัดสินกันเสียที" เซดิสเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงนั้นยังมีกังวานหัวเราะ "หรือต้องการเอ่ยประณามหยามเหยีดกันให้จบสิ้นเสียก่อน..ท่านเทพผู้มีปีกสีขาวจึงจะถือว่าจบสิ้นพิธีการ"

 

                "...ฟาราส" ดวงตาสีน้ำเงินพราวนั้นเข้มขึ้นด้วยความไม่พึงใจก่อนจะเอ่ยปากเรียกชื่อของเทพบุตรผู้มีผมสีทองที่ตกเป็นเหยื่อผู้นั้น..ฟาราส ซึ่งบัดนี้ก้าวยืนออกมาข้างหน้านั้นอยู่ในรูปลักษณ์เดิมของตน ดวงตาสีท้องฟ้างดงาม ใบหน้างดงามยากจะมีผู้ใดเทียบเคียงและเส้นผมสีทองงามระยับจับตา เป็นเทพบุตรที่งดงามไม่เหลือเค้าของผู้ที่ตนเคยทำร้าย ฉีกกระชากและทรมานเสียจนไม่เหลือซาก

 

                เมื่อคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่ตนเคยกระทำต่ออีกฝ่าย อาโลอิสก็พลันหรุบตาลงช้าๆ

 

                 ...รู้ดีว่านี่คือความผิด สิ่งที่ลงมือกระทำไปแล้วนั้นโหดร้ายทารุณอย่างไม่อาจเอ่ยปากค้าน ทำร้ายเทพบุตรผู้งดงามเพียงเพื่อหวังแย่งชิงความรักซึ่งตนไม่อาจเป็นเจ้าของ ทั้งโง่งมและนัยน์ตามืดบอดเสียจนไม่รับรู้และตระหนัก ว่าแม้แย่งชิงมาเพียงใด หัวใจของคนผู้นั้นก็ยังคงรักใคร่หมายปองแต่ฟาราส..ฟาราส

 

                ไม่ว่ามีรูปลักษณ์งดงาม ไม่ว่ามีใบหน้าเป้นเช่นใด แม้เหมือนฟาราสเพียงไหน อาโลอิส ก็ยังคงเป็นอาโลอิส

 

                เป็นปีศาจปีกสีดำ..ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ในหัวใจของเจ้าได้เลย

 

                 "...เจ้า ได้ลงมือทำร้ายฟาราส" น้ำเสียงของคีเรสดังแว่วทำให้หลุดออกจากภวังค์ "และช่วงชิงทุกสิ่งของเขา ใบหน้า ดวงตา เส้นผม รูปลักษณ์..รวมทั้งปีกสีขาว ความผิดนี้ เจ้าจะยอมรับหรือไม่"

 

                "ข้ายอมรับ" ดวงตาสีทับทิมกระพริบเชื่องช้า เอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

 

                "บัดนี้ เจ้าได้มอบทุกสิ่งคืนกลับมา แต่ยังเหลืออีกหนึ่งสิ่ง ที่เจ้ายังไม่ได้มอบกลับคืน นั่นคือปีกของฟาราส เจ้าจะยอมรับผิด กล่าวคำขออภัยแก่เขาหรือไม่"

 

                 "...ข้าจะพูด" อาโลอิสหันไปสบมองดวงตาสีฟ้าสว่างของฟาราสเงียบๆ ซึ่งผู้มองตาตนนั้นหลบตาวูบด้วยท่าทีหวาดหวั่น

 

                 "เจ้ารู้สึกเสียใจกับการกระทำเช่นนี้ และจะไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สองใช่หรือไม่"

 

                "ข้าจะไม่ทำอีก" ครานี้อาโลอิสหันไปสบมองดวงตาสีน้ำเงินเข้ม คีเรส..เทพบุตรผู้องอาจและถือได้ว่าเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของตนในยามนี้ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเงียบๆ

 

                 "ที่ได้กระทำทุกสิ่งลงไป..เจ้าเสียใจหรือไม่" คีเรสเอ่ยถามซ้ำ ราวกับรู้ว่ามีบางสิ่งหลงเหลืออยู่

 

                อาโลอิสนิ่งฟังคำถาม ดวงตาสีทับทับทิมละจากนัยน์ตาของคีเรส ไปยังดวงตาของผู้เป็นนาย สบมองรอยยิ้มของเซดิสก่อนจะหันกลับไปจ้องมองดวงตาสีฟ้าสดของฟาราส และ..ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่แสนคุ้นของไคลน์

 

                ความเจ็บปวดเบาบางที่แทรกผ่านขึ้นมาอย่างเงียบงันทำให้ต้องกลืนน้ำลายช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มไหววูบ เป็นครั้งแรกนับจากที่ตนฟื้นสติคืนกลับมาที่ได้สบมองดวงตาของไคลน์อย่างจริงจัง ดวงตาคู่นั้นยังคงเป็นเช่นเดิม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววอุ่นหวาน อบอุ่น และอ่อนโยนเช่นเดียวกับที่เคยได้เห็น หากแต่ในยามนี้ มันหาได้มอบให้ตนไม่นัยน์ตาคู่นั้นเพียงปรายตามองตนครู่หนึ่งราวกับรำคาญ แล้วหันจ้องมองไปยังบุรุษที่คนผู้นั้นหลงรัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตามติดดวงตาสีฟ้า จ้องมองอย่างอ่อนโยนและห่วงใย ไม่เหลือบแลสายตาอันรักใคร่นั้นมามองตนแม้เพียงสักเสี้ยว

 

                ..แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ ทว่าความเจ็บปวดในใจ ทำให้ริมฝีปากกระตุกไหวและเอ่ยตอบไปแผ่วเบาราวกับกระซิบ

 

                "ไม่"

 

                "เจ้าพูดอย่างไรนะ.." คีเรสถามซ้ำ ราวกับกลัวตัวเองได้ฟังผิด นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองเทพบุตรปีกสีดำผู้เป็นคนตอบ หากแต่ดวงตาและใบหน้านั้นกลับไม่ได้มองมาที่ตนสักเสี้ยว

 

                "ข้า...ไม่เสียใจ" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นหันกลับมามองในที่สุด อาโลอิสจ้องมองแววตาที่ปรากฏร่องรอยของความฉงนและไม่พอใจซึ่งเข้มขึ้นยามที่ได้ฟังคำตอบออกมาจากปากของเขา "สิ่งที่ข้าทำลงไป ข้าไม่เคยเสียใจสักนิด"

 

                 "กระทั่งยามนี้ เจ้ายังพูดจาเช่นนั้นงั้นรึ?" ไคลน์จ้องกลับ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยแรงโทสะ รู้สึกราวกับตนกำลังถูกท้าทายและยั่วโมโหจากคนที่บัดนี้กลับเป็นเทพบุตรปีกสีดำที่มีใบหน้าเฉยชาและดวงตาสีแดงเข้มยากจะหยั่งถึง

 

                ...สบมองแววตาคู่นั้น มันยังคงจ้องมองมา หากแต่คำตอบของคำถามที่แปร่งหูนัก ทำให้ไคลน์ยิ่งรู้สึกเคืองขุ่น

 

                "คำตอบของข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง"

 

                 "ท่านคีเรส.." ไคลน์หันไปมองผู้เป็นนาย ใบหน้าตึงขึงด้วยแรงโทสะ "...สิ่งที่ไร้สำนึกเสียใจหรือรู้สึกถึงความผิดใด ผู้นี้กระนั้นรึ ที่ท่านอุตส่าห์สู้นำมันกลับคืนมา!"

 

                 "นั่นเจ้ากำลังพูดถึงข้าอยู่รึเปล่า" เซดิสเอ่ยแทรกขึ้นมาทันควัน น้ำเสียงยังคงเรียบเรื่อย หากดวงตาวาววับด้วยความไม่พอใจ " สิ่งที่ไร้สำนึกและเสียใจกระนั้นหรือ เจ้าอยากได้ไปทำไมงั้นรึ คำกล่าวว่าเสียใจนักหนานั่น"

 

                 "ท่านเคยพูดว่าสีดำต่างก็มีแนวทางของตน แล้วเหตุใด เขาจึงไม่รู้สึกเสียใจแม้สักนิด..เช่นนี้น่ะหรือ ควรแล้วที่จะให้เขาฟื้นคืน" ไคลน์หันไปมองเซดิส เทพบุตรหนุ่มโต้กลับด้วยวาจาอย่างเผ็ดร้อน

 

                "เจ้า....." ริมฝีปากของผู้ฟังกระตุกไหว ดวงตาสีเพลิงนั้นเป็นประกายวาบ "กำลังดูหมิ่นข้าอยู่ ใช่หรือไม่"

 

                "ข้าเพียงแต่อยากให้เขาพูดว่าเสียใจ"

 

                 "แล้วทำไมไม่ถามข้าโดยตรง!" อาโลอิสสวนกลับน้ำเสียงเฉียบขาด วลีห้วนสั้นหากแต่กังวานน้ำเสียงที่ส่อแววอันตรายนั้นบ่งชัด ว่าผู้เอ่ยนั้นเต็มไปด้วยความไม่พึงใจ "..ควรออกปากถามข้ามากกว่าไปกล่าวโทษท่านเซดิสหรือใคร เจ้าต้องการสิ่งใดข้านำกลับคืนไปให้แล้ว อยากได้คำขอโทษข้าก็จะมอบให้ แต่รู้สึกเสียใจหรือไม่ นั่นหาใช่เรื่องที่เจ้าจะมาบังคับ"

 

                 "อาโลอิส...."

 

                "เรียกชื่อข้าเป็นแล้วงั้นรึ ท่านเทพ" นัยน์ตาสีแดงเข้มจ้องกลับยังผู้พูด ดวงตาคุโชนด้วยแรงโทสะ หากใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์เช่นเดียวกับถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากซีดขาว "เจ้าต้องการคำว่าเสียใจไปทำไม นี่คือสิ่งที่้ข้าลงมือทำไปแล้ว ข้ายอมรับ ข้ารู้ว่าผิด ข้าเอ่ยขอโทษ ทุกสิ่งนั้นข้าทำได้ แต่ข้าจะไม่มีวันเอ่ยปากว่าเสียใจ"

 

                "ทุกสิ่งที่ข้าทำนั้นคือสิ่งที่ข้าคิดและไตร่ตรองมาแล้ว แม้จะกระทำไปด้วยดวงตาที่มืดบอดหรือไร้สติ แต่ข้าไม่คิดกลับมาเสียใจภายหลัง ข้าสำนึกรู้แล้ว ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นช่างโง่งมและไร้สาระ แต่ถึงกระนั้น ข้าก็จะขอบอกอีกครั้ง ว่าข้าไม่เสียใจ ไม่ว่าจะเฝ้าถามอีกร้อยพันครั้ง ข้าก็จะไม่เสียใจ เชิญลงโทษ และจัดการตามสมควรได้เลย"

 

                 "ได้คำตอบแล้วใช่หรือไม่" เซดิสยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับด้วยความชอบใจนัก "เชิญเจ้า คีเรส.."

 

                "ไม่เสียใจกระนั้นรึ..." ดวงตาสีน้ำเงินหรี่ลงช้าๆ จ้องมองผู้พูดที่ยังนิ่งขึง

 

                "ไม่" อาโลอิสจ้องสบดวงตาคู่นั้น ไม่ยอมละสายตา

 

                 "ในเมื่อคำตอบเจ้าเป็นเช่นนั้น...คุกเข่าลง"

 

                  อาโลอิสคุกเข่าลงเงียบๆ ใบหน้าก้มต่ำ

 

                "ถึงเวลานำปีกสีขาวของฟาราสกลับคืนแล้ว..ข้าคงไม่ต้องพูด..เจ้ารู้ดีว่ามันเจ็บเพียงใด" คีเรสเอ่ยสั้นๆ ขณะที่ผู้ฟังกลืนน้ำลายลงช้าๆ ฝ่ามือขาวซีดกำแน่น วางแนบอยู่ข้างลำตัว ขณะที่ดวงตาหรุบต่ำ รอรับเอาความเจ็บปวดที่ตนรู้ดีว่าจะเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ

 

                ....แม้จะเจ็บ หากชายหนุ่มก็รู้ มันเจ็บ...ยังไม่เท่าเจ็บที่หัวใจ

 

                คำพูดของไคลน์เมื่อครู่ยังดังอยู่ในหัว...สิ่งที่ไม่รู้สึกถึงความเสียใจ ไม่สำนึกผิด ไม่สมควรให้ฟื้นคืนกลับมาเสียด้วยซ้ำ

 

                ที่แท้...เจ้าก็ล้วนปรารถนาให้ข้าสลายกลับคืนไป

 

                แท้จริงแล้ว..เจ้าก็เกลียดชังข้ามาตลอด ใช่หรือไม่..

 

                หรุบตาลงช้าๆ นัยน์ตาสีดำเข้มไหวระริก แม้จะรู้ จะทราบดีว่าชายหนุ่มนั้นโกรธเกลียดตนเพียงใดที่ทำร้ายคนรักและแย่งชิงทุกสิ่งของฟาราสมา แต่กระนั้น..อาโลอิสก็ยังคงแอบคิด และหวังไว้อย่างเงียบๆ หวังเพียงว่าไคลน์นั้นจะรับรู้ถึงความรู้สึกในใจตนได้ไม่มากก็น้อย อ้อมแขนแกร่งและสัมผัสร้อนแรงท่ามกลางสายฝน กังวานน้ำเสียงที่แฝงร้อยเศร้าอาลัยยามที่ตนได้จากไปยังติดตรึง..

 

                 แต่ในยามนี้...ไคลน์ กลับกลายเป็นคนที่เอ่ยปากว่าอาโลอิสไม่ควรจะกลับมาอีก

 

                ใช่ ...ข้าไม่ควรกลับมา ไม่ควรกลับมาทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจ ไม่ควรจะกลับมา ให้ฟาราสของเจ้าหวาดกลัว และไม่ควรกลับมาเป็นอาโลอิสที่เจ้าชังน้ำหน้านักหนา

 

                ไม่ควรคิดยินดียามได้พบหน้า และไม่ควรหวังว่าเจ้าจะหันกลับมามองด้วยดวงตาที่ฉายความรักใคร่คู่นั้น

 

                 ...ข้าไม่ควรกลับมาเลยจริงๆ

 

                ความเจ็บปวดในหัวใจแผ่ซ่านซึมลึกเช่นเดียวกับความเจ็บปวดจากแผ่นหลัง ร้อน...ทั้งร้อนและเจ็บแสบเหลือทนยามที่ปีกถูกฉีกกระชาก แม้จะไม่ใช่ของตน แม้จะเป็นสีขาว..เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับเทพบุตรปีกสีดำอันแสนน่าชัง แต่เมื่อมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแล้ว ปีกข้างหนึ่งที่ถูกกระชากดึงออกไปก็ยังความเจ็บปวดและทรมานเหลือแสนมาให้

 

                 เจ็บ...เจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บเสียยิ่งกว่าในความฝัน ความเจ็บนี้ และความทรมารนี้คือสิ่งที่ฟาราสได้รับ อาโลอิสตระหนักรู้และซึมซับเข้าใจมันอย่างช้าๆ ท่ามกลางระยะเวลาแห่งความเจ็บปวดที่ดำเนินไปราวกับชั่วกัลป์ ฝ่ามือซึ่งกำแน่นอยู่ข้างตัวไม่ได้ขยับไหว ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันแน่น ระงับเสียงกรีดร้องและครวญครางด้วยความเจ็บปวดของตนไว้ด้วยความอดทน

 

                 ปิดตาลง ครุ่นคิดถึงความทรงจำที่เคยมีร่วมกันและบอกย้ำตนเองซ้ำๆถึงความจริงที่ตนได้รับรู้ ทุกอย่างที่เคยผ่านผันยามเป็นมนุษย์ ครึ่งหนึ่งนั้นคือคำโกหก อีกครั้งนั้นคือความห่วงหาที่มีมอบให้กับใบหน้าและดวงตาของฟาราส สำหรับอาโลอิสแล้ว มีเพียงความชิงชังและโกรธเคืองที่มาร้ายคนสำคัญของตน..ไม่ว่าจะอย่างไร จะผ่านไปนานแค่ไหน ไคลน์ก็ยังคงคิดเช่นนั้น

 

                ความเจ็บร้าวในหัวใจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยฉุดรั้งไม่ให้เฝ้าจมอยู่กับความทรมานจากปีกที่ถูกฉีกกระชากออกไป หัวไหล่ที่สั่นระริกไหวคอยพยุงร่างกายไม่ให้ทรุดฮวบลงด้วยความเจ็บปวดเหลือคณา

 

                ความเจ็บนี้สาสมแล้วเพราะเขาเคยทำกับอาโลอิส กระนั้น ในชั่วเวลาที่เจ็บปวดเสียจนทนไม่ไหว อาโลอิสอดเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าด้วยเหตุใด ความเจ็บในหัวใจจึงต้องมาตอกย้ำให้เจ็บกายมากยิ่งไปกว่าเดิม

 

                ...เพราะเจ้ารักคนที่เขาไม่มีวันหันมามอง

 

                คำตอบดังขึ้นราวกับเสียงกระซิบอันแสนเบา ความจริงที่ตนรับรู้หากแต่ก็ไม่อยากจะยอมรับ บอกให้ปิดประตูความหวังอันเลือนรางและโง่งมนั้นไปเสียที

 

                ...ไม่มีวันเป็นจริง

 

                เสียงกระซิบอันไร้ที่มานั้นเฝ้าเตือนย้ำๆซ้ำอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งสติอันเลือนรางค่อยดับวูบไป...

 

 

+++++++++++++++++++++++

 

 

                 "ข้าว่าไม่ควรใช้เขา"

 

                 "แล้วเจ้าจะให้ใครทำงั้นรึ?"

 

                 สรรพเสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางสติอันเลือนรางยังไม่ก่อรูปชัดเจนทำให้ต้องขมวดคิ้วช้าๆ ทบทวนเรื่องราวต่างๆเงียบๆพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดบางเบาที่สะบัดไหล่ด้านซ้าย ความทรงจำที่ผุดพรายขึ้นมาอย่างเงียบๆนั่นทำให้ดวงตาสีทับทิมเปิดออกในที่สุด

 

                 "ฟื้นแล้วหรือ?" น้ำเสียงเย็นระเรื่อยคุ้นหู คือเซดิสไม่ผิดแน่ ผู้ฟังพยักหน้าช้าๆ รู้สึกมึนงงและเบลอพร่าเกินกว่าจะเอ่ยคำใด ทว่าสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ คือตนกำลังทรุดตัวนอนแน่นิ่งพิงอยู่ที่โค้นต้นไม้เบื้องหลังเซดิสนั่นเอง

 

                อาโลอิสผุดตัวลุกขึ้นช้าๆ รับรู้ว่าตนนั้นหมดสติเนื่องจากความเจ็บปวดที่เกิดจากกระนำปีกสีขาวคืนแก่ฟาราส แผ่นหลังที่ยังคงความเจ็บปวดและร้อนวาบพร้อมทั้งน้ำหนักที่หายไปนั้นบ่งชัดถึงความจริงที่รู้ ดวงตาสีทับทิบกวาดมองทั่วกาย รู้สึกแปลกใจ ทั้งยังงวยงงว่าไคลน์และฟาราสผู้ควรจะหมดธุระกับตนแล้ว เหตุใดจึงยังคงอยู่

 

                ความหนาวเหน็บที่เกาะกินทั่วกายมากเสียยิ่งกว่าเดิมทำให้อดสะท้านไม่ได้ ปีกที่ถูกนำไปนั้นหมายถึงพลังที่ลดน้อยลงไปด้วย อาโลอิสรู้สึกขอบใจที่เจ้าการาเวนตัวใหญ่โผปีกเกาะลงบนไหล่เงียบๆ เพราะมันช่วยขจัดปัดเป่าความเหน็บหนาวที่ตนเผชิญอยู่ได้เป็นอย่างดี

 

                "อาโลอิส" เสียงของเซดิสดังขึ้นทำให้ต้องหันไปมอง "เจ้าจำได้...ถึงเสียงนั้น ที่ข้าเคยกล่าวถึงหรือไม่?"

 

                 "..........."อาโลอิสพยักหน้ารับเงียบๆ พลันประหวัดนึกถึง "เสียง" ที่เซดิสว่า เสียงของอสูรร้ายใต้ขุมนรก เสียงของเจ้าปีศาจร้ายที่เกิดจากจิตใจอันชั่วร้ายของมนุษย์ที่มันค่อยก่อร่างสร้างตัวเกิดเป็นอสูรที่เติบใหญ่ได้ด้วยความตาย หายนะ และสงครามที่มนุษย์ในโลกเบื้องบนเป็นผู้ก่อ..

 

                หรี่ตาลงช้าๆ...ยามนึกถึงสถานการณ์ในโลกที่ตนจากมา สงครามของมนุษย์..ฝรั่งเศส เยอรมัน โปแลนด์

 

                สงครามใหญ่...ทำให้เกิดเป็นอสูรร้ายทื่ใหญ่ยักษ์และมากฤทธิ์ตามไปด้วย

 

                "ครั้งที่แล้ว...ข้าได้เจ้าเป็นผู้ช่วยปราบมัน" เซดิสเอ่ยช้าๆ "แล้วครั้งนี้ เจ้าจะช่วยข้าอีกได้หรือไม่?"

 

                "แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว มันตัวใหญ่ขึ้นมา และ...เขาอ่อนแอลง"คีเรสเอ่ยท้วง นัยน์ตาสีน้ำเงิน จ้องมองมาที่ตนอย่างคล้ายเป็นกังวล

 

                "เจ้าทำไม่ไหวรึ อาโลอิส?"

 

                 "ข้าทำได้" อาโลอิสตอบสั้น ไม่ว่าจะมีสภาพกายเป็นเช่นไร หากมันคือหน้าที่ เขาก็จะลงมือทำ

 

                  "...เจ้าคิดดีแล้วรึ เซดิส" คีเรสหันไปเอ่ยถาม เซดิสเลิกคิ้วน้อยๆ ท่าทีขบขันก่อนจะหัวเราะ

 

                "แล้วตัวเจ้าล่ะ คิดดีแล้วหรือ.." เซดิสปรายตามองเทพบุตรอีกสองตนที่ยืนอยู่ "ทั้งไคลน์ ฟาราส และอาโลอิสล้วนแต่มีเรื่องวิวาทเกี่ยวข้องกันมา จะจับพวกเขาไปทำภารกิจร่วมกัน มันจะเป็นผลดี รึผลเสียกันแน่.."

 

                อาโลอิสได้ฟังแล้วชะงัก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอีกครั้ง นัยน์ตาสีทับทิมตวัดไปจ้องมองทั้งไคลน์และฟาราส เขาสบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องมองมาก่อนแล้วด้วยท่าทีคล้ายกำลังรู้สึกกังวล ก่อนจะเบือนหน้าหนี

 

                 "..เหตุเพราะพวกเขามีเรื่องวิวาทจึงควรให้ทำงานร่วมกัน จะได้กลับมากลมเกลียวกันอีกครั้ง เจ้าคงไม่อยากให้เรื่องราวร้าวฉานกันมาขึ้น" คีเรสเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตนอย่างเคร่งขรึม

 

                "...คิดเช่นนั้นรึ" เซดิสเอ่ยถามคล้ายจะขบขัน ดวงตาสีเพลิงมองสบนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม เจือรอยขบขันบางเบา "ช่างมองอะไรได้งดงามเหลือเกิน...ท่านคีเรส"

 

                 "....รึจะให้เหยียดหยันทุกสิ่งเช่นเจ้า..ท่านเซดิส"

 

                 อาโลอิสจ้องมองผู้เป็นนายทั้งสองที่นิ่งงันไปครู่และหันมาจ้องมองกันด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรอย่างครุ่นคิด นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงช้าๆ ใคร่ครวญและตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองต้องทำ ในขณะเดียวกัน ก็รับรู้ถึงความอ่อนแอของตนไปด้วย

 

                เหลือปีกสีดำเพียงข้างเดียว ไร้กำลัง ไร้พลังใดๆ...

 

                  ...ทั้งยัง ให้ไปพร้อมกับไคลน์และฟาราส

 

                นี่คือบทลงโทษที่ตนต้องเผชิญงั้นหรือ..

 

                 "ข้าตัดสินใจไปแล้ว.." เสียงของเซดิสดังขึ้นทำให้ตนละออกจากภวังค์อีกครา "ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นไป นอกจากอาโลอิส ไม่ว่าจะได้รับการยอมรับ หรือไม่"

 

                 "...หากเขาลงมือทำร้ายฟาราสอีก"   

 

                "ทำร้ายรึ?" ดวงตาของเซดิสตวัดมามองที่ตนก่อนจะหัวเราะขัน "หากพวกเจ้าอ่อนแอและโง่งมเสียจนถูกทำร้ายด้วยเทพที่เหลือเพียงปีกข้างเดียว ก็จงอย่าได้หวังจะกำหราบอสูรกายตนนั้นได้เลย"

 

                 "เซดิส"

 

                "...รึไม่ใช่เรื่องจริง อาโลอิสของข้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะไปทำร้ายผู้ใดได้"

 

                "...แล้วมิห่วงใยอาโลอิสของเจ้าจะถูกอสูรร้ายเขมือบเอารึเอย่างไร" ดวงตาของคีเรสตวัดมองยามเอ่ยถึงชื่อตน หากอาโลอิสจับได้ถึงนัยยะความไม่พอใจลึกซึ้ง และไม่ทราบว่าเป็นเพราะการกระทำของตน..หรือเพราะเหตุใดกันแน่

 

                "...ของๆข้าเข้มเเข็งมากกว่าที่ท่านคิด" ริมฝีปากของเซดิสยิ้มบาง..หากแฝงแววไม่พอใจเฉกเดียวกัน อาโลอิสจ้องมองผู้เป็นเจ้านายตนที่เฝ้าทุ่มเถียงกับคีเรสด้วยความไม่เข้าใจ อยากจะเอ่ยปากถาม หากแต่กรงเล็บสีเข้มของเจ้านกตัวใหญ่บนไหล่จิกแน่นราวกับรู้เท่าทัน เป็นผลให้ตนเงียบลงเสีย

 

                 "และอีกอย่าง...นี่ก็ถือเป็นบทลงโทษหนึ่ง"

 

                  "ลงโทษ?"

 

                 "บทลงโทษในฐานะที่เจ้าได้ทำสิ่งที่โง่งมลงไป อาโลอิส..." ดวงตาของเซดิสฉายความรู้สึกบางสิ่ง เมื่อเจ้าตัวได้เอ่ยคำ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาที่ตน เฉกเดียวกับดวงตาของคีเรส ฟาราสและไคลน์  "ในยามนี้เจ้าอ่อนกำลังและมีความผิดติดตัว ดังนั้น นี่จะเป็นภารกิจที่ข้าจะมอบให้เจ้าทำ"

 

                "หากเจ้าปราบอสูรร้ายตัวนี้ได้ เจ้าจะได้รับปีกและพลังของตนกลับคืนมา แต่หากไม่ได้..เจ้าก็ต้องหายไปชั่วนิรันดร์"

 

++++++++++++++++++++++

 

ตอนนี้เปิดตัวฟาราสและเจ้านายของไคลน์ จริงๆฟาราสออกมาไม่ใช่เท่าไหร่ รอได้ไปตีมอนด้วยกันคงชัดกว่านี้ #ตีมอนอะไรของหล่อน

จะเริ่มภารกิจกันแล้ว ติ๊ต่างว่าอสูรกายที่ต้องไปปราบ ก็เกิดจากมนุษย์นี่แหละ

ถ้าสังเกตุวันเวลาจะเห็นว่าช่วงที่เอนีลตายคือเริ่มสงครามโลกครั้งที่สองพอดี โลกมนุษย์ตีกัน ในนรกในสวรรค์ก็ด้วย

ดังนั้นเมื่อกลับมาเป็นอาโลอิส ก็เลยถึงคราวไปปราบนั่นเอง

ส่วนตอนต่อไปจะขนอีกหนึ่งหล่อมาเสริมทัพ //อะไร ไว้เจอกันค่าาาา*0*/
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:31:40
Lost 26 : เซธ

 

 

            "หากเจ้าปราบอสูรร้ายตัวนี้ได้ เจ้าจะได้รับปีกและพลังของตนกลับคืนมา แต่หากไม่ได้..เจ้าก็ต้องหายไปชั่วนิรันดร์"

 

                 "จะรับเงื่อนไขนี้หรือไม่ อาโลอิส?"

 

              ...ข้ามีสิทธิเลือกปฏิเสธด้วยหรือ?

 

                อาโลอิสจ้องมองผู้เป็นนาย สบมองดวงตาที่มีเปลวไฟไหวระริกของเซดิส ริมฝีปากสีจางนั้นยังคงแย้มรอยยิ้มรื่นเริงแสนคุ้นตาแม้กำลังเอ่ยปากเสนอทางเลือกที่เป็นดั่งชะตากรรมอันไม่อาจปฏิเสธให้แก่คนของตน นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ..อาโลอิสรู้ดีและไม่คิดจะกล่าวโทษใดๆต่อคำสั่งที่ได้รับ สำหรับเซดิสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือผู้ใด การรับผลตอบแทนในสิ่งที่ตนกระทำลงไปแล้วนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีการบิดพลิ้ว ไม่มีการลดหย่อนผ่อนปรนใดๆ แม้จะเป็นสีดำ หากแต่เจ้าตัวนั้นยุติธรรมยิ่ง

 

                 ..แต่กระนั้น ข้อเสนอนี้ของผู้เป็นนาย ดูจะแฝงนัยยะบางสิ่ง

 

                 "ว่าอย่างไร อาโลอิส.." เซดิสยังคงยิ้มบาง พลางจ้องมองมาเงียบๆ หากนัยน์ตาสีเพลิงคู่นั้นแฝงด้วยท่าทีครุ่นคิด..

 

                 "พวกเขาจะยอม.รับภารกิจนี้กับข้าหรือ?" อาโลอิสเอ่ยถาม ดวงตาจ้องมองตรงไปยังไคลน์และฟาราสด้วยท่าทีข้องใจเด่นชัด หนึ่งยังคงมีท่าทีหวาดหวั่นและอีกหนึ่ง..ดูเคร่งเครียดและไม่พอใจอยู่ในที

 

....ตัวเขาได้ทำร้ายคนรักของไคลน์ ทำร้ายฟาราสลงไป แล้วตอนนี้..ผู้เป็นนายของทั้งสอง ได้ออกปากให้ร่วมทำภารกิจด้วยกัน จะเป็นไปได้หรือ?

 

                  และหากภารกิจนี้เป็นเช่นที่เซดิสเอ่ย..ไคลน์และฟาราสคงมิต้องการให้ตนกลับมามีพลังเช่นเดิม ใช่หรือไม่

 

                   ...ในเมื่อมีท่าทีรังเกียจเดียจฉันท์เช่นนั้น คงไม่ต้องการกระทั่งจะมองหน้ากันมิใช่หรือ

 

                    "...ข้ารับ" เสียงห้าวทุ้มของไคลน์ดังขึ้นแทรกความคิด หากคำตอบของมันทำให้อาโลอิสนิ่งไปอย่างไม่อาจเข้าใจ ดวงตาสีทับทิมมองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ฉายแววกังขาและงวยงงชัดเจน

 

                ...เมื่อครู่เจ้าคือคนที่ออกปากว่าไม่อยากให้ข้ากลับมา แต่บัดนี้ เจ้ากลับรับปากไปทำภารกิจร่วมกันกับข้า

 

                ทุกสิ่งหมายความว่าอย่างไร?

 

                 "ไคลน์..." ไม่ใช่แค่ตนที่งวยงง ฟาราส เทพบุตรผู้งดงามตนนั้นก็ด้วย ปลายนิ้วเรียวงามเกาะอยู่บนต้นแขนของคนรักพลางเอ่ยท้วงด้วยสีหน้ากังวลใจ คนผู้นี้มิได้กลัวว่าตนจะได้พลังกลับมา หากแต่อาโลอิสรุ้ ฟาราสยังคงหวาดกลัวตนเองฝังใจ จึงมิอยากอยู่ใกล้กันแม้เพียงชั่ววัน

 

                  ข้อเท็จจริงนี้มีหรือไคลน์ผู้เป้นคนรักของอีกฝ่ายจะไม่ทราบ หากแต่ดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องมองมา ไม่หันกลับไปมองคนรักของตนแม้นสักนิด

 

                "นี่เป็นภารกิจ...ไม่ว่าผู้ใดจะได้ หรือเสียประโยชน์ เมื่อมีคำสั่งมา ข้าก็ต้องทำ" ฝ่ามือนั้นเอื้อมจับปลายนิ้วเรียวของคนรักแล้วบีบเบาๆราวกับให้กำลังใจ แต่ดวงตายังไม่ละสายตาจากนัยน์ตาของตนแต่อย่างใด อาโลอิสหรี่ตาลงน้อยๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแทรกซึมเข้ามาอย่างแผ่วเบายามได้เห็นท่าทีอารีที่คู่รักมีแต่กัน กระนั้นตนก็ยังฝืนจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง

 

                ทำเพราะคือคำสั่ง หาได้สนใจว่าทำตามคำสั่งนั้นร่วมกับใคร ใช่หรือไม่..

 

                "...ข้าควรถามเจ้า อาโลอิส มีเรี่ยวแรงพอรึ ที่จะทำตามคำสั่งของนายเจ้าได้"

 

                 "...ข้าทำได้" ริมฝีปากสีจางเม้มเข้าหากันน้อยๆ เอ่ยตอบสั้น ใบหน้าเชิดขึ้นน้อยๆด้วยความไม่พอใจ การจะมาถามว่าตนมีกำลังพอหรือไม่ หาได้ต่างกับการหยามหมิ่น "แม้ข้าจะเหลือเพียงปีกข้างเดียว รึง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างไร ข้าก็ทำได้"

 

                ..หาได้อ่อนแอ และต้องก้มลงร่ำไห้ครวญครางเมื่อถูกผู้เป็นที่รักเหยียบย่ำทำร้ายจิตใจ

 

                อาโลอิสที่เคยร้องไห้อยู่กลางสายฝน เคยขอร้องให้เจ้าโอบกอดและรักเขาแม้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง..ข้าจะไม่ทำตัวโง่งมเช่นเดิมอีกแล้ว

 

                "ปากนั้นจะพูดอย่างไรก็ได้" ไคลน์หรี่ตาลงน้อยๆ "แต่ความจริงคือ..เขากำลังอ่อนแอและ..ไม่มีกำลังเพียงพอ"

 

                "...ข้า"

 

                "ข้าเห็นด้วย...เจ้าในยามนี้จะปฏิบัติภารกิจสำเร็จรึ" คีเรสเอ่ยแทรกขึ้นมาเงียบๆ พลางจ้องมองไปยังเซดิส"เสนอขึ้นมาเช่นนี้ ดูราวกับว่าเจ้ากำลังส่งคนของตนไปพบจุดจบ.."

 

                "ข้าได้พูดหรือ ว่าจะให้เขาไปเพียงผู้เดียว" เซดิสเอ่ยแทรกบนสนทนาขึ้นมา ขณะที่เจ้านกสีดำบนไหล่ของอาโลอิสกระพือปีกไหว "พวกเจ้าไปกันสองคน ฝั่งของข้าก็ต้องสองตน..เท่าเทียมกัน เช่นนี้จึงยุติธรรม"

 

                "แล้วใคร..คืออีกหนึ่ง" คีเรสเอ่ยถาม "ณ ที่นี้ไม่มีเทพองค์ใดเสนอตัวขึ้นมาอีกแล้ว..และคงมิใช่เจ้ากระมัง"

 

                "แม้การเดินทางไปปราบอสูรร้ายนั้นจะน่าสนใจ แต่ข้าหาได้ว่างงานเสียปานนั้น" เซดิสหัวเราะ ดวงตาสีเพลิงจ้องสบเนตรสีน้ำเงินเข้มก่อนที่ริมฝีปากบางจะกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

 

                 "เซธ" น้ำเสียงเย็นระเรื่อย เอ่ยนามของสิ่งหนึ่งเพียงแผ่วเบาหากหนักแน่นนัก สิ้นคำนั้นการาเวนตัวโตก็โผไปเกาะท่อนแขนของเซดิสที่ยกขึ้นช้าๆ ดวงตาวาววับราวกับลุกปัดของมันจ้องมองไปทั่ว ขณะที่ปีกอันใหญ่โตกระพือไม่หยุดแม้จะเกาะอยู่บนท่อนแขนของผู้เป็นนายแล้วก็ตาม ปลายนิ้วชี้ที่มีแหวนทับทิมวงโตของเซดิสนั้นส่องแสงวาววับสะท้อนสายตา แสงสีขาวนั้นสว่างจ้ามากขึ้นเรื่อยๆจนต้องหลับตาลงอย่างไม่อาจทานไหว

 

                "...นี่คือผู้ร่วมภารกิจของเจ้า อาโลอิส"         

 

                  "........." หลังจากแสงจ้านั้นจางหาย เสียงของผู้เป็นนายก็เอ่ยขึ้น อาโลอิสเงยหน้าขึ้นช้าๆ พลันขมวดคิ้วเข้าหากันเงียบๆเมื่อเห็นร่างหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้ายามใดก้สุดจะรู้

 

                  นามของคนผู้นี้คือเซธเป็นแน่แท้จากชื่อที่เซดิสเอ่ยขึ้นมา เซธผู้สวมอาภรณ์สีดำสนิท มีผิวสีเข้มหาใช่ขาวซีดเช่นตนและเซดิส เจ้าตัวมีเส้นผมสีดำราวกับขนกายาวสลวยระต้นคอชวนให้นึกถึงบางสิ่ง ทั้งดวงตาสีแดงเข้มที่วาววับประหนึ่งลูกปัด ใบหน้าคร้ามเข้มหล่อเหลา หากแต่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์และองอาจอยู่ในที ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายนั้นเดินเข้ามาประชิด และวางมืออยู่บนไหล่เงียบๆ แม้ไม่มีคำพูดใด แต่กระแสความอุ่นวาบที่เข้ามาปัดเป่าความเย็นยะเยียบที่เกาะกินปลายเท้านั้นคุ้นเคยยิ่งนัก..

 

                 "ท่านเซดิส..." อาโลอิสเอ่ยชื่อผู้เป็นนายช้าๆ สังหรณ์บางอย่างบ่งบอกว่า นี่คือสิ่งมีชีวิตที่ตนแสนคุ้นตา

 

                "อะไรรึ?" ผู้ถูกถามยิ้มบาง อาโลอิสสังเกตุอีกคราว่าแหวนทับทิบวงโตที่ปลายนิ้วของเซดิสนั้นไม่มีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเจ้าการาเวนตัวสีดำที่เคยเกาะอยู่บนไหล่ของเซดิสก็ไม่อยู่เช่นกัน

 

                "....เขาคือ....?" อาโลอิสหันไปมองชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่เบื้องหลัง ใบหน้าที่ไม่ปรากฏอารมณ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

                 "เซธ" เซดิสเอ่ยนามนั้นด้วยรอยยิ้ม และเซธก็พยักหน้าตอบ แต่สิ่งที่ตนเองต้องการจะถามนั้นไม่ได้เกี่ยวกับนาม หรือสิ่งอื่นใด ที่อยากรู้นั้นคือ"ตัวตน"ของอีกฝ่ายมากกว่า

 

                ...เซธนั้นใช่กาตัวนั้นที่เกาะอยู่บนไหล่ของท่านหรือไม่?

 

                อาโลอิสนึกอยากจะถามคำถามนั้น หากแต่รอยยิ้มและท่าทีของเซดิสทำให้ตนเองตัดสินใจเงียบเสียง

 

                 "ในเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว..ก็เริ่มภารกิจได้" เซดิสเอ่ยปากอนุญาติด้วยรอยยิ้ม ไม่สนใจท่าทีงวยงงแฝงความตกตะลึงของผู้คนรอบกาย ดวงตาสีเพลิงที่ราวกับมีเปลวไฟไหวระริกในเงาตา จ้องมองคีเรสและเหล่าเทพบุตรปีกสีขาวด้วยอาการยิ้มระรื่นผ่องใส ทั้งพึงใจและพอใจราวกับท้าทายไปในคราเดียวกัน

 

                อาโลอิสยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างผู้เป็นนาย ครุ่นคิดและตระหนักถึงภารกิจที่ตนต้องกระทำ รวมทั้งผู้ร่วมทางที่ตนเองต้องมีแม้จะเต็มใจหรือไม่ก็ตามอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าไปมองเซธอีกครา ดวงตาวามราวกับลูกปัดของอีกฝ่าย และท่าที  ซึ่งยังคงวางมือลงบนไหล่ ไม่ต่างกับอัปกริยาทยามที่อุ้งเล็บนั้นจิกลงมานั้นทำให้ตนแน่ใจในข้อสันนิษฐานที่คาดในทันที

 

                 "กลับกันเถิด อาโลอิส...เราไม่มีธุระใดอีกแล้ว"

 

                จมอยู่ในภวังค์และครุ่นคิดถึงบางสิ่ง เมื่อรู้ตัวอีกคราผู้เป็นนายก็เอ่ยปากให้กลับไปได้ อาโลอิสพยักหน้ารับ ปล่อยให้เซดิสเดินนำขณะที่ต้นเองค้อมศีรษะให้คีเรสเงียบๆ ดวงตาสีทับทิมปรายมองเทพบุตรอีกสองตนซึ่งจะต้องร่วมทำภารกิจด้วยกันอีกไม่นานจากนี้ อาโลอิสมองเห็นความหวาดหวั่นในดวงตาของฟาราส เช่นเดียวกับความไม่พอใจลึกซึ่งในดวงตาของไคลน์ เทพบุตรผู้ที่บัดนี้เหลือปีกสีดำเพียงข้างเดียวจ้องมองทั้งคู่เงียบๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังอุโมงค์ยาวสีดำเบื้องหน้า

 

                ความเจ็บปวดและหนึบชาบนสะบักไหล่ด้านซ้ายยังคงปรากฏยามเมื่อขยับกาย แม้จะมีปลายนิ้วของเซธวางอยู่ราวกับจะช่วยบรรเทามันก็มิอาจหาย อาโลอิสหรุบตาลงช้าๆ ตระหนักถึงพลังที่ลดน้อยของตน ทั้งเรี่ยวแรงและปีกที่หายไปเงียบๆ ดวงตาสีทับทิมจ้องมองพื้นหญ้าสีเขียวใสบอกตนเองให้ยอมรับในชะตากรรมและผลตอบแทนของสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป เช่นเดียวกับจารจำแววตาของไคลน์ไว้ให้ฝังแน่นในหัวใจ

 

                 ...จะได้เลิกหลงงมงายเสียที

 

+++++++++++++++++++++++++++++

 

                 ทางเดินอันเต็มไปด้วยเถากุหลาบสีโลหิตที่เบ่งบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมประหนึ่งต้องรับให้กลับมาสู่ดินแดนที่ตนเคยคุ้นยังคงมืดทึบและมีเพียงแสงสลัวจากคบเพลิงที่ติดไว้ยังข้างผนัง ทว่าเมื่อฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวลงไปแล้วรับรู้ได้ถึงรอยอุ่นยามแตะต้องแผ่นหินความเย็นยะเยียบนั้นก็จางลงไป เช่นเดียวกับความรู้สึกปวดหนึบและร้อนวาบราวกับไฟเผาที่สะบักไหล่ มันค่อยๆถูกเยียวยาและรักษาอย่างเชื่องช้า อาโลอิสรับรู้ได้จากกำลังที่ค่อยๆหวนคืนกลับมา แตกต่างจากยามที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างซึ่งหนาวเหน็บและไร้เรี่ยวแรงยิ่งนัก

 

                  ฝ่ามือของเซธนั้นได้ละออกจากไหล่ของตนแล้วราวกับรู้ กระนั้นร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายก็ยืนอยู่เบื้องหลังราวกับจะคุ้มกัน อาโลอิสรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย เมื่อรับรู้ว่าถูกจ้องมอง ปริศนาการปรากฏตัวและคงอยู่ของอีกฝ่ายซึ่งยังไม่แน่ชัดทำให้อดระแวงไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเซธเป็นคนของเซดิส แต่กระนั้น..เมื่อไม่เคยสนทนากัน จะให้ไว้ใจร่วมเดินทางก็ย่อมมีปัญหา

 

                  "อาการของเจ้า..." เงียบงันกันไปครู่ใหญ่ มีเพียงเสียงน้ำไหลและเสียงหยดน้ำกระทบแผ่นหินดังขึ้นราวกับขับกล่อม เซดิสที่เดินนำหน้าก็เอ่ยปากขึ้นช้าๆ "ดีขึ้นหรือยัง..อาโลอิส"

 

                 "...ดีขึ้นมาแล้วขอรับ ท่านเซดิส" ดีขึ้นนับแต่ได้เหยียบย่างลงมาบนแผ่นหินสีดำ ณ เส้นทางที่นำไปสู่ความืดมิดอันเป็นสถานที่ของตน แม้ในสายตาของสีขาวจะดูน่าหวาดหวั่น ทว่าสำหรับอาโลอิส ก็ไม่ต่างจากถูกโอบกอดและห้อมล้อมโดยบ้าน

 

                 "ดีแล้ว.." เซดิสรับคำเบาๆ น้ำเสียงของอีกฝ่ายยังคงเย็นระเรื่อยคล้ายเสียงน้ำไหล "บนนั้น...หนาวเหน็บและเป็นภัยกับเจ้าในยามนี้มากเกินไป"

 

                 "........." อาโลอิสพยักหน้าช้าๆ แม้จะรู้สึกข้องใจ ว่าด้วยเหตุใดก็ตามที

 

                "แต่เดิม ตัวเจ้าที่มีพลังและมีปีกทั้งสองคงไม่รู้สึก" น้ำเสียงของผู้เป็นนายเอ่ยขึ้นราวกับรู้ใจ "แต่กับวิญญาณชั้นต่ำ รึเทพที่มีพลังน้อยลงจะรับรู้ได้ เมื่อก้าวไปยังเขตแดนของอีกฝ่าย ร่างกายจะแสดงอาการขึ้นมา"

 

                "เดิมที..มันก็ใช้สำหรับดักจับวิญญาณ..และเทพชั้นต่ำที่ไร้กำลัง แต่กระหายอยากขึ้นไปอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ของตน...หากสีขาว..เดินเข้ามาในที่แห่งนี้ จะรับรู้ได้ถึงเปลวไฟ หินที่อยู่ใต้เท้าของเราจะร้อน ค่อยๆแผดเผาให้พวกมันทรมานจนทานทนไม่ได้ หากดันทุรังจะก้าวต่อไป มีแต่จะตกอยู่ในความเจ็บปวดเท่านั้น ไม่ต่างกับสีดำ ยามที่ก้าวเท้าเข้าไปในที่แห่งนั้น จะรู้สึกถึงความหนาวเย็นและไร้เรี่ยวแรงจนมิอาจก้าวเดินต่อ"

 

                   "เช่นที่ข้า...รู้สึกในยามนี้" อาโลอิสเอ่ยช้าๆ นัยน์ตาสีทับทิมหรุบต่ำ ทราบจากคำกล่าวของเซดิส ว่าบัดนี้เมื่อเสียพลังและปีกไปข้างหนึ่ง ก็มีสถานะไม่ต่างกับวิญญาณชั้นต่ำตนหนึ่งเท่านั้น

 

                 "มิใช่เพียงแค่เจ้า ฟาราสก็เช่นกัน" ชื่อของเทพองค์นั้นทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้ว

 

                 "แม้เขาจะได้ปีกกลับคืน แต่พลังย่อมมิได้คืนกลับมาในทันที มันต้องใช้เวลา เช่นเดียวกับพลังของเจ้า...พวกเจ้าทั้งคู่ จะต้องอยู่และซึมซับเอาพลังจากสรวงสวรรค์และใต้พื้นพิภพเพื่อหล่อเลี้ยงร่างของตนให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครา"

 

                 "..แล้วจะดีหรือ เมื่อเขาต้องลงมาทำภารกิจร่วมกันกับข้า?" อาโลอิสเอ่ยถามอย่างข้องใจไม่น้อย อสูรภายตนนั้นอยู่ใต้สุดของขุมนรก เป็นนรกที่ลึกสุดหยั่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายและความชั่วร้ายเสียจนแม้แต่ปีศาจปีกสีดำยังรู้สึกหวาดผวายามจะต้องก้าวไป แล้วหากเทพบุตรที่เพิ่งฟื้นกลับมาจะต้องเดินทางไปที่นั่นย่อมส่งผลร้ายต่อร่างนั้นมิใช่หรือ

 

                  "ข้าฟังผิดไปรึเปล่า ว่าเจ้านั้นเป็นห่วงฟาราส?" เซดิสหันกลับมามอง เอ่ยอย่างขบขัน

 

                 "ตัวข้า...เพียงแต่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล" อาโลอิสหรี่ตาลงช้าๆ สบมองดวงตาที่มีเปลวไฟไหวระริกคู่นั้น

 

                 "พวกเขาย่อมมีวิธีคุ้มกันตนเอง...จะอย่างไรอสรูรร้ายพวกนั้นก็หวาดกลัวสีขาว หากลงไปด้วยกัน ย่อมดีกว่าเจ้าทำภารกิจเพียงผู้เดียว เรื่องนี้เจ้าก็ตระหนักแล้ว ในคราก่อน" คำพูดของผู้เป็นนายทำให้ต้องเงียบเป็นการยอมรับ อาโลอิสจำได้ดีว่าเมื่อตนต้องปราบอสูรตัวร้ายในครั้งที่แล้ว เกือบจะเสียท่าเช่นไร และ..ถูกช่วยเหลือมาได้เช่นไร

 

                 ...เพราะถูกเทพบุตรปีกสีขาวตนนั้นช่วยเหลือออกมาและร่วมกันกำจัดมันให้พ้นภัย ตนจึงได้ตกหลุมรัก และ..ได้ทำในสิ่งที่แสนจะโง่งมลงไป

 

                 "ในห้วงนรกที่ลึกที่สุดนั้น แม้จะมีปีศาจร้ายสิงสถิตย์ แต่ก็ยังมีเชื้อของเปลวเพลิงและกลิ่นอายของความมืดอันบริสุทธิ์..สีดำที่แม้จะมืดมิดแต่ก็ยังสุกใส เป็นขุมกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ใต้พื้นพิภพ...เจ้ารู้ใช่ไหม ว่าข้าหมายถึงอะไร"

 

                  "...ขอบคุณท่านเซดิส" อาโลอิสพยักหน้า ค้อมตัวให้อีกฝ่ายช้าๆ

 

                 ...หากฟาราสต้องอยู่ในสรวงสวรรค์เพื่อสูดกลิ่นอายของความบริสุทธิ์เพื่อนำพลังของตนกลับคืนมา ตัวเขา..อาโลอิสก็ต้องเที่ยวท่องเดินทางไปใต้ขุมนรกเพื่อฟื้นกำลังของตนเช่นกัน

 

                  หรือนี่คือสาเหตุที่เซดิสเสนอให้ตนเองทำภารกิจนี้?

 

                ลงไปเพื่อฟื้นกำลังตนเองกลับคืนมา และหากชนะ ก็จะได้ปีกของตนกลับคืน

 

                "...และเซธ" เสียงของผู้เป็นนายดังขึ้น ทำให้หลุดออกจากภวังค์ อาโลอิสจ้องมองแผ่นหลังที่เส้นผมสีขนกากำลังขยับไหวตามจังหวะก้าวเดินของอีกฝ่าย "คงมิต้องบอกว่าเขาคืออะไร ใช่หรือไม่"

 

                 "ขอรับ ท่านเซดิส" อาโลอิสรับคำเบาๆ

 

                  "เซธคือตัวแทนของข้า...แน่นอนว่าไม่ใช่ตัวข้า แต่จะคอยเป็นคู่ของเจ้าในการทำภารกิจครานี้ เมื่อปีกหนึ่งของเจ้าถูกนำเอาไป..ย่อมต้องมีสิ่งทดแทน เซธจะคอยดูแลและทำตามคำสั่งของเจ้าเอง...และถึงมันจะเป็นตัวแทนของข้า แต่มันก็มีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง น่ารำคาญมิใช่น้อยเชียวล่ะ อาโลอิส"

 

                  "โธ่ เซดิส" น้ำเสียงที่ตนไม่คุ้นหูดังขึ้นเบื้องหลัง กังวานเสียงที่ทุ้มพร่าแปลกหูคล้ายเสียงเรียกของเจ้าการาเวนตัวใหญ่นั้นทำให้ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความหนวดหูไม่เปลี่ยน

 

                  "...."ท่าน" กล้าเรียกชื่อข้าห้วนๆแบบนั้นได้อย่างไร" เซดิสเอ่ยปากแก้ แม้จะดูเข้มงวด ทว่ากลับไม่จริงจังนัก บ่งชัดว่าทั้งคู่นั้นสนิทสนมกันพอดู "มันคือสัตว์เลี้ยงของข้าเช่นที่เจ้าคิด อาโลอิส แต่กระนั้น ..มันก็มีความคิดเป็นของตนเอง เมื่ออยู่ใต้พื้นพิภพแห่งนี้ มันจะพูดได้ แต่เมื่อขึ้นไปข้างบน มันจะพูดไม่ได้ทันที"

 

                ".........." อาโลอิสพยักหน้ารับเงียบๆ

 

                  "...บางครา มันจะอยู่ในร่างของกา..เพื่อเก็บรักษาพลังของตนเอง แน่นอนว่าหากมันต้องการเป็นมนุษย์ มันย่อมทำได้ และเมื่อใดที่เจ้าไม่อยากขยับริมฝีปากคุยกับมันให้ผู้อื่นได้ยิน เจ้าก็แค่..นึก"

 

                "นึก...?" อาโลอิสทวนช้าๆ "ท่านหมายถึง..สื่อสารกันด้วยความคิด"

 

                 "ใช่" เซดิสรับคำเบาๆ "แต่ก็ระวังล่ะ เมื่อได้คุยกับมันในห้วงคิดไปครานึงแล้ว เจ้านกปากมากนี่จะพูดไม่หยุดจนนึกรำคาญ ตอนนั้นแม้เจ้าไม่อยากจะได้ยิน มันก็จะพล่ามไม่หยุดเชียวล่ะ"

 

                 "เซดิส..." เสียงเอ่ยพ้อเบาๆที่ดังมาด้านหลังนั้นเจือแววขบขัน

 

                  "ข้าพูดจริงทั้งนั้น..." ผู้เป็นนายตัดบทเสียงพึมพัมนั้นราวกับรำคาญ ท่าทีผิดแปลกไปจากปกติที่มักรื่นเริงอารมณ์ดีนั้นทำให้อาโลอิสนึกแปลกใจไม่น้อย "ข้าเลือกเจ้าให้ร่วมทำภารกิจนี้ เพราะเหตุใดเจ้าย่อมรู้ดี..อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ เซธ"

 

                "รับทราบ.." น้ำเสียงตอบรับนั้นมันคงยิ่งนัก

 

                 "เจ้าก็ด้วย...อาโลอิส"

 

                 "ทราบแล้วครับ" อาโลอิสเอ่ยปากรับคำหนักแน่นดุจเดียวกัน

 

                "...พรุ่งนี้จึงจะเริ่มภารกิจ ไปเจอกันที่รอยต่อของปากทางนั้นเช่นเดิม" เซดิสเอ่ยปาก ฝ่าเท้าหยุดลงเมื่อสิ้นทางเดินที่เป็นอุโมงค์ทอดยาว กลิ่นกุหลาบที่อายอวลค่อยจางไปแล้ว กลายเป็นสายลมเย็นที่โชยพัดมาจากเบื้องล่าง ร่างในชุดสีดำสนิทของผู้เป็นนายหันกลับมาสบตาทั้งสองเงียบๆ เปลวเพลิงที่เต้นไหวในดวงตาคู่นั้นยังคงลุกโชน เช่นเดียวกับรอยยิ้มจางที่ประดับบนใบหน้างดงามนั้นมิแปรเปลี่ยน

 

                 "ไปกันได้แล้ว"

 

                สิ้นคำ ร่างนั้นก็เดินหายลับไปในทันที อาโลอิสมองเห็นเพียงปลายผมสีดำสะบัดไหว เพียงครู่คนผู้นั้นก็หายไปจากสายตา ทิ้งให้คนและอีกหนึ่งบริวารยืนนิ่งอยู่หน้าห้องโถงใหญ่ที่เคยเดินผ่าน อาโลอิสขยับฝีเท้าก้าวเดินต่อไปยังที่พักของตนและรับรู้ถึงฝ่าเท้าที่ก้าวตามมาเงียบๆของเซธ

 

                 "...ท่าน..ไม่กลับไปหาท่านเซดิสรึ?" ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองบุรุษที่เดินตามหลัง นัยน์ตาวาววามของเซธหันมาสบมอง ท่าทีงวยงงมิใช่น้อย

 

                "ตอนนี้ข้าต้องเดินทางร่วมกันและคอยคุ้มกันเจ้า..จะกลับไปหาเซดิสทำไมเล่า"

 

                 "....แต่ ภารกิจเริ่มขึ้นพรุ่งนี้" อาโลอิสขมวดคิ้วน้อยๆ

 

                 "ไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับเจ้ากระนั้นรึ?" คิ้วเรียวสีเข้มเลิกขึ้นเนิบช้า ใบหน้าครามเข้มมองมาราวกับรู้ทัน

 

                "ใช่" อาโลอิสตอบรับสั้นๆ ไม่คิดบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ "มีบางสิ่ง ที่ข้าอยากจะคิด...เงียบๆคนเดียว"

 

                "จะคิดเรื่องของเจ้ากับเขาผู้นั้นงั้นหรือ" ดวงตาของเซธจ้องมองกลับมา ประกายตาคู่นั้นทั้งขบขันและอาดูรอยู่ในที่

 

                "ข้า..ไม่..." อาโลอิสเม้มปาก เงยหน้าขึ้นจ้องมองผู้ที่เอ่ยคำ "รู้ได้อย่างไร?"

 

                 "จะแปลกหรือ...." เซธเอ่ยขึ้นช้าๆ ฝ่ามือหนาวางลงบนไหล่ยังคงอุ่นวาบเช่นเดิม อาโลอิสมองเห็นอัญมณีสีแดงเข้มบนอุ้งมือของอีกฝ่าย ก็แจ้งใจในพลังที่ถูกถ่ายทอดมอบให้ในที่สุด "ทำราวกับลืมอีกร่างหนึ่งของข้า...การาเวนสีดำที่เจ้าเคยหวาดกลัวครั้งยังเป็นมนุษย์..อาโลอิส ข้ารับรู้เรื่องราวของเจ้า เช่นเดียวกับที่เจ้ามองเห็นตนเอง และอาจจะมากกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก"

 

                 "...แต่----"

 

                "คิดว่าเพราะเหตุใด..เซดิสจึงให้ข้าร่วมเดินทางกับเจ้าล่ะ" เสียงของอีกฝ่ายยังคงดังขึ้น พร้อมกับไหล่ซ้ายที่ถูกบีบช้าๆ "เพราะผู้ที่ร่วมทาง คือหนึ่งคนผู้ที่เจ้าทำร้าย และอีกหนึ่ง ผู้ที่ทำร้ายเจ้า คีเรสจงใจ..ที่จะทำให้เจ้าเผชิญกับสถานการณ์ที่ตนไม่อาจหลีกเลี่ยง บีบให้เซดิสเลือก ระหว่างกันเจ้าออกไป แล้วทำให้เจ้าอ่อนแอไร้กำลังลง หรือให้เจ้ามีโอกาสได้ปีกกลับคืน แต่ต้องอยู่กับเทพทั้งสองที่พวกเจ้านั้นเคยมีเรื่องราวมากมายร่วมกันอยู่ มันหาใช่ความปราณี เป็นเพียงความปราถนาที่จะขัดขวาง.."

 

                "ข้ารู้..." อาโลอิสรับคำเสียงเบา สิ่งที่เซธอธิบายนั้นไม่ผิดไปจากที่ตนคิด เล่ห์อุบายที่ออกปากได้ด้วยความดีของสีขาวนั้น บางคราก็น่าชิงชังเสียยิ่งกว่าการทำในสิ่งเลวร้ายตรงๆเสียอีก

 

                "หากเจ้า...ฟาราส และไคลน์ เคยประสบสิ่งใดร่วมกัน ตัวข้าก็คือผู้ที่ได้เห็นทุกสิ่ง ข้าไม่ยอมปล่อยให้พวกมันได้ทำสิ่งใดตามใจหรอก" เซธ เอ่ยยิ้มๆพลางหัวเราะเสียงเบาในลำคอ "แต่ก็ไม่ปล่อยให้เจ้าได้ทำอะไรตามใจตนเช่นเดียวกัน อาโลอิส"

 

                "ท่านเซธ...." นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่อาโลอิสจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ "เจ้านี่สมกับที่อยู่ข้างท่านเซดิสมาตลอดจริงๆ"

 

                 ถ้อยคำนั้นถูกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะแผ่วต่ำเบาๆในลำคอของร่างสูงใหญ่ ก่อนที่กายของเซธจะแปรเปลี่ยนเป็นการาเวนตัวโตอีกครั้ง กาตัวนั้นโผเกาะลงบนไหล่ซ้าย เพิ่มน้ำหนักให้กับแผ่นหลังที่ปีกหายไปและทำให้ร่างอุ่นวาบ ขณะที่จงอยปากสีดำก็ค่อยคีบสางเส้นผมสีแดงเข้มอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

                 ปลายนิ้วสีขาวเอื้อมไปลูบขนสีดำสนิทเรียบลื่นนั้นเบาๆ พลางฟังเสียงครางในลำคอของเจ้ากาตัวใหญ่นั้นเงียบๆ ก่อนจะก้าวเดินไปอีกครา แต่คราวนี้อาโลอิสได้เข้าใจในที่สุดว่า เหตุที่เจ้านายของตนนั้นชอบลูบไล้เจ้านกสีดำตัวนี้นักหนาเป็นเพราะอะไร

 

++++++++++++++++++++++

 

เปิดตัวพ่อหนุ่มหล่ออีกราย และจะเริ่มภารกิจตีมอนกันแล้วววว

ที่แท้ก็เป็นคนคุ้นเคยกันมานี่เอง เราเจอกาสุดหล่อนี่มาตั้งแต่ตอนแรกเลยนะ555

เซธนี่โผล่วมาเพื่อแย่งคะแนนนิยมขุ่นพระเอกจริงๆ #ชาวบ้านบอกมันยังมีคะแนนอะไรเหลืออยุ่อีกเหรอ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:32:16
Lost 27 : เริ่มภารกิจ

 

 

 

               จุดเชื่อมต่อของความมืดและแสงสว่าง คืออุโมงยาวที่เป็นทางเดินนำลงไปยังโลกเบื้องล่าง..

 

                 กลิ่นกุหลาบสีโลหิตยังคงหอมอวลไปทั่วยามก้าวเท้าผ่าน แม้จะบอกว่าเป็นทางที่นำลงไป แต่ก็เป็นเพียงทางเดินตรงไปสู่ความมืดเท่านั้น คบเพลิงส่องนำทางยังคงส่องแสงเรื่อเรืองสะท้อนผนังหินสีดำที่มีเถากุหลาบหนาเกาะเสียจนไม่มีช่องว่าง เสียงหยดน้ำไหลกระทบแผ่นหิน และเสียงของสายน้ำที่หลั่งลงมาจากเบื้องบนสู่เบื้องล่างนั้นชัดเจนขึ้นทุกขณะยามก้าวย่างไปจนสุดทาง ร่างของอาคันตะกุทั้งสองที่เดินตามมาเงียบๆนั้นมีท่าทีระวังระไว แม้หนึ่งในนั้นจะเคยมาเยือนแต่หนทางในโลกเบื้องล่างก็ยังไม่เป็นที่เคยคุ้น

 

                อาโลอิสเดินนำมาพร้อมกับเซธที่เกาะอยู่บนไหล่ อีกฝ่ายเหมือนจะพึงใจที่ได้อยู่ในร่างของการาเวนสีดำสนิทมากกว่าอยู่ในร่างมนุษย์ เหนือเส้นขนสีดำเงาวับ บริเวณอกที่เป็นขนสีดำสนิทมีอัญมณีสีทับทิมที่มีลักษณะเหมือนแหวนของเซดิสไม่ผิดเพี้ยนติดอยู่ ดวงตาสีแเดงเข้มวาววับราวกับลูกปัดมองไปโดยรอบอย่างระวังระไว แม้จะไม่ได้หันไปจับจ้องด้านหลัง แต่ทั้งไคลน์และฟาราสต่างก็รับรู้ว่าตนนั้นถูกจ้องมอง

 

                ร่างของเทพบุตรปีกสีดำเดินนำหน้า พาเดินไปสู่เส้นทางอันเลี้ยวลดของดินแดนที่อยู่ในความมืดมิด เมื่อหลุดพ้นอุโมงค์ยาวมาแล้ว ทางเดินกว้างใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตา โถงทางเดินที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรมีแสงสีทองสาดลงมาผ่านช่องหิน อาคารงดงามยิ่งใหญ่หากแต่ไร้เงาผู้คน มีเพียงตะเกียงส่องแสงสว่างและเสียงกระซิบของสายลมคล้ำวิญญาณรอบกาย

 

                เสียงของสายน้ำที่หลั่งไหลดังชัดขึ้นทุกคราเมื่อก้าวเท้าไปต่อ ขณะที่รอบกายยังคงมีเพียงความเงียบ ร่างในชุดสีดำที่ก้าวนำไปยังคงพาเดินเลาะไปเรื่อยๆ จากโถงทางเดินกว้างใหญ่ไปยังเส้นทางที่มุ่งไปยังเสียงน้ำเหล่านั้น และเมื่อก้าวพ้นแสงสีทองที่สาดลงมาจากเบื้องบนพสุธา เบื้องหน้าคือสายน้ำที่หลั่งไหลจากด้านบนสู่เบื้องล่าง เสียงน้ำไหลกระทบแผ่นหินดังกังวาน บ่งบอกให้รู้ถึงที่มาของเสียงน้ำที่แว่วยินนับแต่ก้าวเท้าลงมา

 

                ขนาดของน้ำตกนั้นกว้างใหญ่เสียจนบดบังเส้นทางที่จะก้าวเดินต่อ อาโลอิสชะงักฝีเท้า เป็นครั้งแรกนับแต่พบหน้ากันในอีกวันที่เจ้าตัวหันมาหา ดวงตาสีทับทิมจ้องมองสองเทพที่ต่างมีท่าทีสนใจสายน้ำตรงหน้า ใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉยนั้นค้อมลงช้าๆ พลางเอ่ยปาก

 

                 "...เชิญ" สิ้นคำ ร่างในชุดสีดำก็เดินก้าวผ่านเข้าไปยังสายน้ำที่หลั่งไหลไม่หยุดและกั้นทางเดินทั้งหมดไว้เบื้องหน้า แผ่นหลังที่หายไปท่ามกลางหยดน้ำและเสียงสนั่นของสายน้ำกระทบหินศิลา ทำให้ไคลน์และฟาราสหันมามองสบตากันเงียบๆ

 

                ฝ่ามือของผู้เป็นที่รักสั่นน้อยๆ คล้ายกำลังหวาดกลัวและไหวหวั่นต่อสิ่งที่พบเจอเบื้องหน้า ฟาราสสบตาคนรักของตนอย่างกังวล และดวงตาสีท้องฟ้าที่เจือด้วยม่านหมอกแห่งความหวาดหวั่น ก็หาได้หลุดรอดจากสายตาของไคลน์แต่อย่างใด

 

                 “ข้าอยู่ข้างๆเจ้าเสมอ...ฟาราส” ถ้อยคำกระซิบนั้นแฝงด้วยคำมั่น และนั่นทำให้ผู้ฟังพยักหน้ารับ

 

                "..ไปกันเถิด" ไคลน์เอ่ยเบาๆ พลางกุมมือของคนรักแล้วกระชับแน่น ทั้งสองก้าวเดินไปยังน้ำตกสายใหญ่เบื้องหน้า สายน้ำที่ควรจะเย็นจัดและหลั่งลงกระทบร่างอย่างหนักหน่วงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ราวกับเป็นเพียงผ้าม่านอ่อนพลิ้วแผ่วกระทบผิวกาย รู้สึกอุ่นวาบเพียงครู่ก่อนจะเดินทะลุผ่าน

 

                ร่างของเซธที่เคยเป็นการาเวนสีดำตัวใหญ่แปรเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นชายหนุ่มในชุดสีดำยืนรออยู่เช่นเดียวกับผู้ที่ยืนข้างๆ เมื่อทะลุผ่านสายน้ำนั้นออกมาราวกับได้มองเห็นอีกโลกหนึ่ง แสงสีทองสาดลงมาจากเบื้องบน เสียงกระซิบอันไร้ที่มานั้นปรากฏตัวขึ้นในรูปของวิญญาณและบรรดาเทวทูตทั้งหลาย ทางเดินที่ตนเหยียบย่างไปนั้นคือเส้นทางที่ลัดเลาะภูผาสูงใหญ่ ด้านข้างคือแผ่นหินสีดำสนิท และอีกข้างคือหุบเหวที่มีทางเดินวกวนลัดเลาะลงไป ราวกับว่าอยู่ภายในภูเขาสูงที่มีเส้นทางลึกสุดจะหยั่ง

 

                 เสียงคำรามของบางสิ่งแว่วผ่านมาจากเบื้องล่าง ทำให้หัวคิ้วของไคลน์ขมวดเข้าหากันน้อยๆ ฝ่ามือบีบมือบางของคนรักตนเงียบๆ ขณะที่ดวงตาจ้องมองร่างในชุดสีดำของผู้นำทางทั้งสอง

 

                อาโลอิสกับเซธเร่งฝีเท้าก้าวต่อโดยไร้คำพูด หลังจากก้าวพ้นม่านน้ำตกมา ทั้งคู่ก็บ่ายหน้านำไปยังทางแยกที่ปรากฏเบื้องหน้า หนึ่งนั้นคือทางเดินสลักด้วยหินมีแสงสว่างทอลอดผ่าน แต่อีกหนึ่ง คืออุโมงค์ที่มืดทึบและมีเสียงครางหวีดหวิวของสายลมดังแว่วมาปะปนกับเสียงคำรามชวนประหวั่น

 

                เส้นทางที่มืดทึบนั้นคือทนทางที่ต้องเดินไปไคลน์รับรู้ได้ หากแต่นึกอาดูรคนรักที่มีท่าทีหวาดหวั่นตรงหน้าไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก้มลงสบมองนัยน์ตาสีท้องฟ้าอย่างอ่อนโยน กุมมือแล้วบีบเบาๆให้กำลังใจ ขณะที่ฟาราสเงยหน้าขึ้นสบตาช้าๆพลางยิ้มตอบ

 

                อัปกริยาของคู่รักนั้นแสดงออกมาชัดเจนแม้ไร้ถ้อยคำใด ท่าทีนั้นทำให้เซธหันไปมองเทพบุตรปีกสีดำที่ยืนอยู่ข้างกายตนไม่ได้ เจ้าของร่างจำแลงของการาเวนยกมือขึ้นสัมผัสไหล่ผอม และตนได้รับสายตาเฉยชาไร้อารมณ์ตอบกลับทันควัน

 

                หากแต่เซธก็ยังคงยิ้ม ปลายนิ้วเกี่ยวเอาเส้นผมสีแดงเข้มมาไว้ในมือ ท่าทีสบายอารมณ์

 

              "...เป็นเจ้าบ้านที่แย่เสียจริง นับแต่พบหน้า เจ้าพูดมาเพียงไม่กี่คำ" ถ้อยคำที่ดังขึ้นในห้วงคิดทำให้อาโลอิสขมวดคิ้วจางๆ หันไปจ้องมองใบหน้าคร้ามเข้มที่ยังมีรอยยิ้มยั่วเย้า

 

             "ข้าก็เป็นเช่นนี้" เดินนำไปในเส้นทางที่มืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงของคบเพลิงคอยส่องสว่าง หากแต่ดวงตาของตนและเหล่าเทพทั้งหลายสามารถมองเห็นได้ประจุดอยู่ในที่แจ้ง

 

            "..แตกต่างจากเจ้าที่เคยเป็น...เอนีล..ใช่ไหม?"

 

            "กำลังจะยั่วโมโหข้าหรือ เซธ?" อาโลอิสขมวดคิ้ว ไม่ได้หันไปมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของอีกฝ่าย การถูกซักถามถึงความหลังในชาติภพของความเป็นมนุษย์ที่ผ่านมานั้นเป็นสิ่งที่ตนไม่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ..ตอนที่ยังคงเป็นเอนีลคนนั้น

 

                นายแพทย์เอนีล ชาส์เดอตงส์ผู้มีนิสัยน่ารักและยิ้มแย้ม ช่างแตกต่างกับอาโลอิสในยามนี้ที่มักจะนิ่งเงียบและไร้ถ้อยคำใด

 

                 ..แต่นี่คือตัวตนของข้า..เป็นตัวข้าที่แท้จริง

 

              "ขออภัย" เหมือนเซธจะรับรู้ได้ว่าตนนั้นนึกไม่พอใจอยู่เงียบๆ เสียงของอีกาดำในหัวจึงดังขึ้น "แต่เจ้าคงรู้ใช่ไหม...แม้จะนิ่งเงียบไปก็ไม่อาจหลบหนีความจริงพ้นอยู่ดี"

 

             "ข้ารู้" อาโลอิสรับคำเบาๆ ถ้อยคำของเซธนั้นเอ่ยบอกถึงสิ่งที่ตนต้องพบเจอหลังจากนี้ไม่ผิดแน่ การเดินทางไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ง่าย..และทวีความยากลำบากยิ่งเมื่อต้องทำมันร่วมกับผู้คนที่เคยมีเรื่องราวมากมายต่อกันอยู่

 

                อาโลอิสรู้..และบอกตนให้ทำใจยอมรับ ..ให้ตระหนัก..ว่ารักที่ไม่มีทางสมหวังก็ยังคงไม่สมหวังต่อไป

 

                 หากแต่เมื่อได้มองเห็นท่าทีห่วงอาทร ได้มองภาพอันงดงามของคู่รักที่คอยย้ำชัดอยู่ต่อหน้า หัวใจก็พลันร้าวไหว อีกครั้ง..และอีกครั้ง..

 

                การเดินทางครั้งนี้ หากจุดหมายของผู้เป็นนายไม่ใช้เพื่อนำพลังกลับคืนมา อาโลอิสคงคิดว่าเป็นการทุบทำลายหัวใจของตนจนย่อยยับ

 

                หรุบตามองพื้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่ปลายนิ้วของเซธละออกจากเส้นผมตน ทับทิมในมืออีกฝ่ายนั้นยังคงส่องประกายวาบ อาโลอิสรู้ดีว่าสัมผัสที่ไหล่เมื่อครู่คือการค่อยๆมอบพลังและช่วยให้ตนซึมซับพลังจากพื้นพิภพได้ดีขึ้น สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ยิ่งมืดเท่าไหร่ กลิ่นอายของความตายยิ่งอบอวลเช่นเดียวกับกลิ่นของความมืดที่เด่นชัด เป็นขุมกำลังที่จะช่วยให้ตนกลับมาแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน ก็คอยบั่นทอนกำลังของเทพบุตรผู้มีปีกสีขาวทั้งสอง

 

                อาโลอิสหันกลับไปมองผู้ที่เดินตามหลัง ร่างในอาภรณ์สีขาวนั้นยังคงส่องประกายแม้อยู่ในทางเดินที่มืดมิด เช่นเดียวกับสีดำที่ไม่ถูกกลืนกินเมื่อก้าวเข้าไปในเขตแดนของสีขาว สีขาวก็หาได้ถูกสีดำกัดกินเช่นกัน

 

                สบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เงยขึ้นมาสบเพียงครู่ด้วยความห่วงใยมิใช่น้อย หากแต่อาโลอิสกลับได้จ้องมองความหงุดหงิดและโกรธขึ้งในดวงตาคู่นั้น นึกงวยงงและไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงถูกชายหนุ่มมีท่าทีรังเกียจและขุ่นเคืองอย่างชัดเจน แต่ความสงสัยนั้นก็เกิดขึ้นเพียงครู่และถูกปัดผ่านไป ด้วยระลึกในที่สุดว่าแม้จะทำตัวเช่นใด อาโลอิสก็ย่อมถูกชิงชังและไม่พอใจอยู่ดี

 

                หันกลับมาช้าๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันยามที่เฝ้าบอกตนเองให้อดทนและจดจำสิ่งที่ได้รับเอาไว้อย่างหนักแน่นในใจ ดวงตาสีแดงเข้มหันไปมองทางออกที่ปรากฏแสงสลัวด้านหน้าแล้วเดินนำออกไปอย่างมั่นคง

 

                 ในครานี้ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งมิตรภาพที่เคยได้รับ เพราะตนเองนั้นเอื้อมมือไปปัดทิ้งและพังทุกสิ่งด้วยความตั้งใจของตนเอง

 

                การเดินทางร่วมกันในครานี้คงไม่ต้องคาดหวัง จะมิตรภาพ หรือการพูดคุยดีๆ คงยากเสียเหลือแสน

 

                 เพราะข้าทำลายทุกสิ่งแล้วด้วยรักที่แสนโง่งมนั้น..

 

                 ...แม้จะน่าเสียดาย แต่หากถามว่าถ้ากลับไปได้จะเปลี่ยนแปลงมันหรือไม่

 

                ไม่เสียใจ....คำตอบของเขายังคงเป็นเช่นเดิม

 

+++++++++++++++++++++++++

 

                 เมื่อก้าวเท้าออกจากเส้นทางที่มืดมิด ภาพเบื้องหน้าคือผืนดินที่ยาวสุดลูกหูลูกตา จรดขอบฟ้าด้านบนที่ว่างเปล่าไร้ดวงดาราหรือสิ่งใด ไม่ได้มืดมิด หากแต่เวิ้งว้างอย่างน่าประหวั่น รอบกายไม่มีแม้วิญญาณหรือเทวทูตใดคอยส่งเสียงเรียกกระซี้กระซิกเช่นที่ผ่านมา เหลือเพียงเสียงของสายลมหวีดหวิวและเสียงคำรามของอสูรกายที่แว่วมานั้นยิ่งทำให้นึกหวั่นระแวงไม่น้อย

 

                ผืนดินแตกระแหงทว่ากลับมีดอกไม้ต้นเล็กๆสีแดงเข้มผุดพรายออกมาจากรอยแยกราวกับจะขอโอกาสมีชีวิต สายลมที่หอบเอาเศษฝุ่นผงและเม็ดทรายปะปนมาด้วยกระทบกายเพียงแผ่วเบา หากผืนดินยังมีดอกไม้ขอชูช่อบานสะพรุ่ง ทว่าไม้ใหญ่กลับยืนต้นแห้งตายอย่างน่าสังเวชนัก

 

                "...อุ่ก" กลิ่นคลื่นเหียนชวนอาเจียนของบางสิ่งลอยปะปนกับสายลมเข้ามา อาโลอิสขมวดคิ้ว ขณะที่ฟาราสยกมือปิดจมูกของตนทันที ร่างในชุดสีดำสนิทกวาดตามองหาที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ก่อนจะนิ่งงัน เมื่อพบว่าสาเหตุที่ดอกไม้เล็กๆใต้เท้านั้นสามารถมีชีวิตได้เป็นเพราะเศษซากโครงร่างของอมนุษย์ที่ถูกทำร้ายและสิ้นชีพไปพร้อมหลั่งรินโลหิตออกมาเจิ่งนองทั่วผืนดิน

 

                 ".....กระทั่งอมนุษย์ด้วยกันก็ยังไม่เว้นรึ" น้ำเสียงเครียดขึ้งของไคลน์ดังขึ้นเมื่อมองเห็นซากศพเหล่านั้น ขณะที่อาโลอิสกวาดสายตาไปโดยรอบหาได้แปลกใจที่พบว่ามีกองร่างและโครงกระดูกเกลื่อน

 

                   "คงพยายามดิ้นรนอยากออกไป แต่สุดท้ายก็มาได้เพียงปากทาง" เซธเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา ด้วยทราบว่าหากปล่อยไว้คำตอบคงมีเพียงความเงียบเท่านั้น

 

                "...พวกมันเหล่านี้ต่างก็เป็นอมนุษย์...อสูรชั้นต่ำ" ไคลน์เดินออกมาจากกองซากของสิ่งที่เคยมีชีวิต มาสมทบกับฟาราสที่ยังคงปิดจมูกแน่น

 

                "ใช่" เซธพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

 

                "ถึงขนาดกัดกินเผ่าพันธ์เดียวกัน...เป็นความมืดที่น่ารังเกียจ" วาจาของไคลน์นั้นทำให้สีดำทั้งสองต่างขมวดคิ้ว

 

                  "ยิ่งดื่มกินมากเท่าไหร่ พละกำลังของมันจะมากขึ้นเท่านั้น อสูรกายไม่เพียงแต่สูบเลือดสูบเนื้อของเผ่าพันธ์เดียวกัน

จะปีศาจ เทพ หรือสิ่งใด มันก็ล้วนกัดกินได้ไม่ต่าง ไม่ว่าจะเป็นความมืดมิดหรือแสงสว่างก็หาใช่ข้อยกเว้น" อาโลอิสเอ่ยเสียงเย็น ดวงตาสีเข้มหรี่มองสบตาของไคลน์เงียบๆ "ความจริงข้อนี้ท่านไม่น่าจะลืม"

 

                 "ข้าไม่ได้ลืม...เพียงแค่ไม่คิดว่ามันจะต่ำทรามได้ถึงเพียงนี้" ไคลน์สบตาอีกฝ่ายไม่หลบ "ครั้งที่แล้ว..."

 

                 "...อสูรกายตัวนี้ร้ายกาจยิ่ง"

 

                 "....และเลวร้ายยิ่งนัก"

 

                 "เพราะมันคืออสูรกาย เหตุเพราะมันเลวร้าย จึงต้องมีเทพถึงสี่ตนลงมาช่วยปราบมัน" อาโลอิสขมวดคิ้ว "หากเพียงเท่านี้รับไม่ได้ จะกลับไปข้าก็ไม่ได้ห้าม"

 

                 "ทำไมข้าจะรับไม่ได้ ขนาดเทพกินเทพด้วยกัน ข้ายังได้เห็นมากับตา" นัยยะเชือดเฉือนนั้นทำให้ใบหน้าของผู้ฟังยิ่งขึงตึง อาโลอิสสบตาคู่นั้น มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยฉายแววอุ่นหวาน ที่บัดนี้กร้าวแข็งและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ไม่ต่างกับดวงตาสีทับทิมที่วาวโรจน์ เมื่อบทสนทนาด้วยเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง

 

                  ข้าไม่เคยลืม เฉกเช่นที่เจ้าไม่เคยลืมเลือน

 

                  อาโลอิสที่พรากคนรักของไคลน์..ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร มันก็ต้องถูกชิงชังไม่เว้น!

 

                 "หากรับได้ก็ดี...จะได้เดินทางกันต่อ ดีกว่ามานั่งถกเถียงไร้สาระ ว่าไหม" เซธเป็นฝ่ายเอ่ยปากหลังจากคู่กรณีทั้งสองนิ่งเงียบและยืนจ้องมองกันราวกับประกาศศึกต่อหน้า ไม่ผิดแผกไปจากที่เซดิสคาดว่ามันจะต้องเกิดเรื่องราวกระทบกระทั่ง หากแต่รวดเร็วถึงเพียงนี้ ผู้เฝ้ามองทั้งสองต่างรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน

 

                 "ไคลน์..." ฟาราสรั้งท่อนแขนคนรักของตนเงียบๆ รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ "ไปกันต่อเถอะ"

 

                "....ยัง...ฟาราส" ไคลน์จับมือคนรักของตนไว้ แล้วบีบเบาๆ "ข้ายังมีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้พูด"

 

                 "ว่ามา" อาโลอิสตอบสั้น แลดูเหมือนถ้อยคำไกล่เกลี่ยของเซธจะไม่เป็นผล

 

                 "ในเมื่อเจ้าไม่เสียใจ...ที่ได้ทำกับคนรักของข้า" ถ้อยวลีที่บอกชัด..ทั้งคนรักและของๆตนนั้นแทรกเข้ามาทุบพังหัวใจให้ยับลงอีกครั้ง "ข้าไม่อาจแน่ใจได้ว่าเจ้าจะทำอะไรลงไป..อย่าได้เข้าใกล้ฟาราส มิฉะนั้น...."

 

                "ทราบแล้ว!!" อาโลอิสเค้นเสียงตอบรวดเร็วและห้วนจัด ใบหน้าที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใดฉายแววโกรธขึ้นวาบขึ้นในเงาตา "ข้าจะไม่เข้าใกล้ ไม่แตะต้อง ไม่สัมผัสคนรักของท่านแม้แต่ปลายก้อย พอใจหรือยัง ท่านเทพ"

 

                  "...ดี" ไคลน์รับคำใบหน้าเชิดขึ้นน้อยๆ แม้จะรู้สึกตกใจและกังวลไม่น้อยกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่ทิฐิสูงลิ่วก็บอกให้ตนยิ้มรับถ้อยคำนั้น "หวังว่าเจ้าจะทำตามที่ตนพูด"

 

                 "....หวังว่าหลังจากนี้ จะเลิกพูดพล่ามไร้สาระเช่นกัน" สิ้นคำ อาโลอิสก็เดินนำไปอย่างรวดเร็วไม่ได้หันมามองคู่รักเบื้องหลังอีก เซธก้าวขาตามไปอย่างรวดเร็วพอกัน ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงคลื่นอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นมาราวกับรอโหมปะทะไว้ในใจของทั้งสองฝ่าย ปลายนิ้วสีเข้มวางลงบนไหล่ผอมแล้วออกแรงรั้ง ไม่ให้ผู้ที่ตนเพิ่งจะมองเห็นอาการโกรธขึ้นอย่างชัดเจนขนาดนี้ค่อยๆสงบสติอารมณ์

 

              "น่าขันใช่ไหม.." เสียงของอาโลอิสดังขึ้นในห้วงคิด แม้ไม่ได้สั่นไหวหรือเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง ทว่าก็เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์บางสิ่ง "ข้าโกรธเสียจนแทบขาดสติ ทั้งที่เป็นเรื่องจริง"

 

               ".....ใช่...น่าขัน" เซธยังคงตอบไปตามความจริงที่ตนพบเห็น "เคยเตือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่ามันจะเป็นเช่นนี้"

 

              "ข้ารู้..." อาโลอิสสูดหายใจลึก "แต่เมื่อมาได้ยินเองกับหู..ข้าก็ยังคง.."

 

             "เจ้าควรควบคุมอารมณ์ตนเอง"

 

            "ขออภัย"

 

            "ข้ารับคำสั่งมาให้คอยอยู่เคียงข้างเจ้าเพราะเหตุนี้.." เซธจ้องมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเรียบเฉย แม้ถ้อยคำที่ผ่านมาในห้วงคิดนั้นจะเต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย "อย่าทำให้ความปราณีของเซดิสต้องเสียเปล่า"

 

            "....รู้แล้ว"

 

                 อาโลอิสยืนนิ่ง ปล่อยให้ถ้อยคำของอีกฝ่ายซึบซัมผ่านเข้าไปเพื่อเตือนใจตนเองและสงบจิตใจเงียบๆ จริงดั่งที่เซธว่า ในครั้งนี้เป็นโอกาสที่เซดิสมอบให้ตนเพื่อจะรับพลังและปีกคืน จะได้ไม่เป็นเทพชั้นต่ำเช่นนี้ แม้จะมีผู้ร่วมเดินทางเช่นไร หรือรู้สึกอย่างไร ตนก็มิควรจะหวั่นไหว ความรักของฟาราสและไคลน์เป็นเช่นไรก็ทราบดีอยู่แล้ว รักที่มั่นคงจริงจังและยอมทำทุกอย่างเพื่ออีกฝ่าย แม้จะถูกตนเองทำลายก็ยังคงกลับมาเคียงคู่กันได้ ความรักเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรอาโลอิสก็ไม่อาจเเย่งชิงมันมา..

 

                แม้ว่ารักเพียงใด แต่เขาก็ไม่ใช่ของเจ้า..

 

                ราวกับได้ยินถ้อยกระซิบตอกย้ำซ้ำๆที่ข้างหู อาโลอิสหรุบตาลงมองผืนดินแตกระแหงใต้ฝ่าเท้า อาโลอิสเงยหน้าขึ้นอีกคราค่อยนิ่งสงบสติอารมณ์ของตนเองและกลับไปเดินนำทางสู่ห้วงพื้นพิภพอีกครั้ง

 

                ...ทำภารกิจเสร็จสิ้นจะได้พลังคืนมาและได้ "หลุดพ้น" จากเรื่องราวเหล่านี้เสียที

 

                 กระซิบบอกตนเองเงียบๆ ขณะที่จมจ่ออยู่ในภวังค์ หูก็แว่วเสียงพูดคุยของไคลน์และฟาราสที่อยู่ไม่ไกล

 

                 "...เจ้าเคยมาที่นี่"

 

                 "ในครั้งก่อน" ไคลน์รับคำเบาๆ

 

                "...กุหลาบดอกนี้ใช่ไหม..ข้าจำได้...เจ้าเคยเอามาให้" ฟาราสยิ้มมองดอกไม้สีดำสนิทที่ยืนต้นอยู่ใต้รากไม้ที่เคยแห้งตาย แม้มันจะหยั่งรากมีชีวิตได้เพราะซากศพ แต่กุหลาบสีดำก็งดงามและสูงค่ายิ่ง

 

                "ของฝากของข้า.." ไคลน์ยิ้ม ดวงตาจ้องมองกุหลาบสีดำสนิทที่หมายถึงรักนิรันด์ ริมฝีปากแย้มยิ้มอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงความทรงจำที่มีกับคนรักตน "....ในยามที่ข้าไปทำภารกิจครั้งที่แล้ว เมื่อเดินผ่านมากับ......."

 

                "................" ราวกับได้เอ่ยถึงในสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยจึงมีเพียงความเงียบเมื่อทั้งสองหันมาสบตากันช้าๆ  อาโลอิสนิ่วหน้าน้อยๆ ยามเมื่อนึกถึงภารกิจคราวก่อนที่ตนเองได้ทำร่วมกับเทพบุตรปีกสีขาวตรงหน้า ในยามที่พบเจอกับอสูรร้ายผู้ที่ยื่นมือมาช่วยประคับประคองอีกครา ก็คือคนตรงหน้าไม่ใช่ใคร

 

                ....ที่แห่งนี้ซึ่งเคยเดินทางร่วมกัน เคยพบเจออันตรายด้วยกัน

 

                เคยเป็นความทรงจำและภารกิจที่ทำให้หัวใจของตนได้รู้จักคำว่ารัก และมีชีวิต..

 

                ดวงตาสองคู่สบมองกันอย่างเผลอไผล อาโลอิสเบือนหน้าหนี  เทพบุตรปีกสีดำบ่ายหน้าเดินนำทางไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไคลน์นิ่งไปครู่หนึ่ง ที่สุดจึงหันไปยิ้มบางๆให้กับคนรักของตนและจูงมืออีกฝ่ายเดินเคียงคู่กันไปเพื่อทำภารกิจอย่างที่เคยรับปากมา

 

                ไคลน์จ้องมองแผ่นหลังในอาภรณ์สีดำสนิทพลางขมวดคิ้วเข้าหากันช้าๆ ความทรงจำที่เกี่ยวเนื่องกับภารกิจในครั้งก่อนและอดีตที่แจ่มชัดถึงเสียงสะอื้นและคำขอของอาโลอิสที่เคยอยู่ในร่างของคนรักยังคงชัดเจนนัก นั่นทำให้ครู่หนึ่งดวงตาพลันไหววูบด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะเข้มจัดขึ้น ยามเมื่อมองเห็นปลายนิ้วของร่างสูงใหญ่ แตะลงบนเส้นผมสีเเดงเข้มแล้วไล้เล่นด้วยรอยยิ้ม...

 

                 ....หงุดหงิด

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

ตอนนี้มาอันซีนใต้พิภพกันนนน

ใต้ดิน กับนรก แล้วก็ที่อยู่ของอสูรไม่ได้อยู่ในโซนเดียวกันนะคะ

ที่เป็นห้องโถงเหมือนวังนั่นคือที่อยู่ของบรรดาเทพบุตรปีกสีดำทั้งหลาย ส่วนที่ผ่านน้ำตกไปใต้หุบผานั่นคือโซนนรก

และที่ๆอาโลอิสกับพรรคพวกเดินทะลุออกมา คือใต้นรกซึ่งเป็นที่อยู่ของอสูรร้ายอีกทีค่ะ

ตอนนี้ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะเดินทางกันซะส่วนใหญ่ แถมพอคุยกันก็ดันวิวาทซะอย่างนั้น

จริงๆนิสัยอาโลอิสคือเงียบถึงเงียบมาก หน้าตายและใช้สายตาสื่อแทนคำพูดมากกว่าเพราะงั้นตอนนี้ที่ไม่อยากคุยกะใคร

เลยคุยในใจกับเซธแทน //แลดูมั้งมิ้งงงงง

ส่วนไคลน์น่ะเร้อ.... ก็มุ้งมิ้งกับฟาราสดีนะ ส่วนที่หวงุดหงิดตอนสุดท้ายน่ะเหรอ..

/สมน้ำหน้ามั---------- #มั่ย
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:32:46
Lost 28 : หลบหนี

 

 

 

ความมืดในดินแดนแห่งนี้นั้นแตกต่าง...

 

                สายลมที่พัดโชยมาพร้อมกลิ่นสาบสางของซากศพ อากาศเย็นเยือกลงอย่างรวดเร็วเสียจนแทบกลายเป็นหนาวสั่น ความมืด..หาได้ค่อยๆมืดมิดลงเพราะแสงตะวันหายลับ แต่เป็นความมืดปกคลุมอย่างรวดเร็วพร้อมท้องฟ้าที่ไร้สิ่งใด มีเพียงเศษซากตอไม้แห้งตาย ต้นไม้ที่ยืนแห้งเหี่ยวอย่างน่าสงสารและเศษฝุ่นควันปะปนในลมหนาวคละคลุ้งขึ้นมาหลายครายามที่ขยับกาย

 

                 สภาพการณ์เช่นนี้ หากเป็นห้วงเวลาที่อยู่ร่างโลกมนุษย์ ในร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ อาโลอิสคงสามารถเอ่ยปากออกมาได้ว่ามันคือภูมิประเทศและอากาศแบบทะเลทราย แล้งร้อน..ไร้สิ่งมีชีวิตใด กลางคืนก็หนาวเหน็บและเวียนมาอย่างไม่ให้ทันได้ตั้งตัว แต่เมื่อบัดนี้อยู่ในร่างของเทพบุตรปีกสีดำ สัมผัสทั้งมวลบ่งบอกให้รู้ว่าในความมืดนี้มีอะไรแฝงอยู่มากกว่าที่เห็น

 

                แม้ความหนาวเหน็บหรือร้อนระอุไม่สร้างผลกระทบใดให้มากไปกว่าความรำคาญ ไม่จำเป็นต้องหลับนอนหรือดื่มกินพักผ่อนเพื่อให้มีกำลังกายมากขึ้น แต่ทว่าเหล่าเทพบุตรปีกสาวนั้นเมื่อต้องมาอยู่ในดินแดนที่แตกต่างย่อมต้องหยุดพักด้วยร่างกายไม่เคยคุ้น ซ้ำร่างกายของอาโลอิสและฟาราสยังเรียกได้ว่าอ่อนแอ ดังนั้นในคืนนี้จึงจำต้องหยุดพักไปเสียก่อน

 

                 ทั้งหมดตัดสินใจพักอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ไร้ใบต้นหนึ่ง กองไฟถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายดายเพียงดีดปลายนิ้ว แม้จะไม่ทำให้อบอุ่นขึ้นไปมากกว่าน้อย แต่ทว่าแสงที่สาดออกมาก็ทำให้มองเห็นรอบๆได้บ้าง รอบกายที่ท้องฟ้าไม่สิ่งใดนอกจากความมืดมิด ดวงตาสีแดงวับวามจ้องมองมาจากรอบทิศราวกับจ้องขย้ำในชั่วเวลาใดก็ตามที่พลั้งเผลอ กลิ่นอายของอันตรายและสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดอายอวลอย่างชัดเจนเสียจนเซธยังมีสีหน้าเครียดขึ้ง เจ้าตัวกลายร่างกลับเป็นการาเวนตัวใหญ่แล้วเกาะลงบนกิ่งไม้เหนือศรีษะ ดวงตาวาววับราวกับลุกปัดจ้องมองไปรอบๆด้วยท่าทีระวังระไว

 

                 "...มีอะไรรึเปล่า?" อาโลอิสเอ่ยถามเจ้านกตัวใหญ่เหนือศีรษะ

 

                 "....คืนนี้ข้าจะเฝ้าเอง" ถ้อยคำตอบจากร่างของเจ้านกตัวยักษ์ทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้ว

 

                 "..เจ้าควรพักบ้าง เซธ"

 

                "ข้าพักอยู่" เซธในร่างการาเวนเอ่ยตอบพลางกระพือปีกมาเกาะบนไหล่ผู้ถาม กรงเล็บจิกสางเส้นผมอีกฝ่ายเงียบๆ ท่ามกลางสายตาของเทพอีกสองตนซึ่งจ้องมาที่ตน

 

                 "มันคืออะไร..." ไคลน์เอ่ยถามแทรกขึ้นมา สีหน้ายังคงถมึงทึงไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววขุ่นจัดตวัดมองไปยังรอบกายที่มีดวงตาสีแดงจ้องมองมาไม่ลดละ เมื่อสิ้นคำพูดนั้น อาโลอิสและเซธต่างก็เงียบกริบและมีสีหน้าเครียดขึ้งแปลกตา แต่ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ตนก็ยังไม่ได้รับคำตอบ

 

                 "...วิญญาณ" อาโลอิสหันไปมองเจ้าตัวช้าๆ เมื่อพบว่าความเงียบยังคงโรยตัวลงมาและเซธไม่คิดจะออกปากพูดแทนตนเอง "....วิญญาณของปีศาจที่ถูกมันฆ่า"

 

                ไคลน์ฟังแล้วขมวดคิ้ว ปีศาจที่ถูกปีศาจฆ่าสูบเลือดเนื้อและพลังไปแต่ยังเหลือวิญญาณ ฟังดูแปลกหูนัก "...พวกมันยังเหลือวิญญาณอยู่..กระนั้นรึ"

 

                 "...ยังเหลือ" อาโลอิสมองไปท่ามกลางความมืดที่มีดวงตาสีแดงจ้องมา "....มันจะอยู่..จนกว่าจะได้เห็นแสงอาทิตย์ของยามเช้า และกลับมา เมื่อตะวันลาลับ...ยังคงอยู่จนกว่าจะได้ร่าง..ที่สามารถอยู่อาศัยได้"

 

                  "...คอยชิงร่างผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?" ไคลน์ขมวดคิ้ว ถามกลับ

 

                 "...บางคราพวกมันก็จะหลอกล่อ ส่งเสียงกระซิบนำไปสู่ความตาย..." อาโลอิสเอ่ยปากอธิบายแล้วสบตาอีกฝ่ายเงียบๆ

 

                "..ยังมี ราอาซาสอีก..ถ้าโชคดีอาจจะไม่เจอ" เซธเอ่ยขึ้นมา

 

                 "ขอให้เราไม่เจอเป็นดี" เมื่อเอ่ยถึงสัตว์ร้ายนั้นอาโลอิสก็พลันขมวดคิ้ว ก่อนจะจ้องมองไคลน์เงียบๆ ".....ระวังตัวไว้ด้วย"

 

                  "ขอบคุณในความหวังดี" ไคลน์เอ่ยเสียงเย็น แน่นอนว่ามีท่าทีไม่ต้องการคำเตือนนั้นอย่างเด่นชัด

 

                อาโลอิสหรี่ตาลงน้อยๆ แม้จะได้รับคำตอบที่ไม่หวานหูกลับมา ก็ยังเงียบไม่เอ่ยปากใด ปลายนิ้วสีขาวจัดเอื้อมไปสัมผัสขนสีดำของการาเวนบนไหล่เบาๆ ดวงตาหรุบต่ำลงคล้ายกำลังอยู่ในภวังค์ขณะที่หูก็แว่วเสียงคำรามของอมนุษย์แว่วมาตามสายลม

 

             "เจ้าก็ควรระวังตัว...ตอนนี้เจ้าอ่อนแอ" เสียงของเซธดังขึ้นในห้วงคิดทำให้ผู้ฟังถอนใจเบาๆ อาโลอิสอดนึกถึงถ้อยคำของเซดิสไม่ได้..ได้ลองคุยกันครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าการาเวนตัวนี้ก็พูดมากเสียจริงๆ

 

              "ข้ารู้..."

 

             "เจ้ารู้แต่หาได้ระวัง..ไปมอบความห่วงใยให้คนที่เขาไม่ต้องการเพื่ออะไร"

 

             "เซธ"

 

             "บางครั้งข้าก็อยากถาม" แรงจิกบนไหล่แน่นขึ้นเมื่อเจ้ากาตัวไหล่กระพือปีกเบาๆ "เจ้าจะเฝ้าจมจ่ออยู่กับความรักที่แสนโง่งมนี้ไปเพื่ออะไร"

 

            "เงียบเสียที" อาโลอิสออกแรงดึงเส้นขนเจ้ากาตัวใหญ่เป็นการข่มขู่

 

              "...ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานชั่วนิรันด์..เจ้าจำสิ่งที่ข้าพูดได้ไหม?" เซธดูจะไม่สนใจเสียงขู่เข็ญ ยังคงตั้งอกตั้งใจพูดต่อไป พลางขยับปีกเบาๆแล้วเอนตัวไปมา

 

             "เจ้า..." ปลายนิ้วที่ลูบขนสีดำสนิทละออก "เป็นคนเข้าสิงนิโคลัสสินะ"

 

            "ใช่" เซธรับคำด้วยท่าทีรื่นเริงไร้ความกริ่งเกรงใด ขณะที่อาโลอิสถอนใจเบาๆ เมื่อความข้องใจของตนถูกไขออกได้อีกสิ่ง เพราะแม้จะรู้ว่านายแพทย์ผู้ช่วยที่แสนโชคร้ายของตนนั้นถูกสิงสู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะด้วยฝีมือผู้ใดกันแน่

 

                 เซดิสรึ...เจ้านายของตนนั้นดูไม่นิยมจะทำการเข้าไปอาศัยร่างผู้อื่นเช่นนั้น แต่ก็ไม่รู้จะคาดเดาว่าเป็นผู้ใด เมื่อได้ฟังคำตอบของเซธก็พลันกระจ่างในที่สุดว่าการคาดเดาของตนนั้นเป็นจริง

 

                 ..คิด..พลางอดจะนึกถึงผู้คนที่ตนเคยผูกพันธ์ด้วยไม่ได้ แม้จะเป็นร่างของเอนีลก็ตาม ทว่า..เมื่อตนนั้นได้จากไป คนที่เหลือจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรหนอ

 

                 ...อีกทั้งตอนนี้ สงครามบนโลกของมนุษย์ก็พลันบังเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

 

                "ฟาราส...นอนเสียเถิด" น้ำเสียงอ่อนโยนยังดังขึ้นไม่ไกล ทำให้ละออกจากภวังค์ อาโลอิสหันไปลูบเส้นขนสีดำสนิทของเซธอีกครั้งราวกับบอกให้ตนเองเลิกสนใจ

 

                  "ข้า..ยังไม่อยากพักเลย"  ฟาราสยิ้มอ่อนๆให้คนรักของตน

 

                "..เจ้าต้องพักแล้ว..ดูอ่อนแรงเสียขนาดนี้" ไคลน์ลูบแก้มใสของคนรักที่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนไม่พูดไม่จาแล้วดึงให้อีกฝ่ายหนุนตักตนเองเงียบๆ

 

                  "....ข้า" ฟาราสขมวดคิ้วน้อยๆ มีท่าทีกังวลและไม่กล้าจะหลับตา

 

                ปลายนิ้วขาวซีดที่แตะเส้นขนสีดำสนิทชะงักน้อยๆ แต่กระนั้นก็ยังลูบไล้การาเวนตัวใหญ่เบาๆ ขณะที่ดวงตาของเซธหันกลับมาเฝ้ามองเงียบๆ คล้ายกำลังขบขันกับอาการของอีกฝ่าย

 

                  "....อย่าห่วงเลย ข้าจะอยู่ข้างๆเจ้า..ไม่ไปไหน"

 

             "ผมจะอยู่ข้างๆคุณ..ไม่ไปไหน"

 

                ฝ่ามือขาวซีดชะงักอีกครั้ง ปลายนิ้วที่ค่อยลูบอย่างแผ่วเบานั้นเชื่องช้าลงจนแทบกลายเป็นวางนิ่งๆ

 

                  "...ไคลน์.."

 

                "ข้าจะปกป้องเจ้าเอง...ข้าสัญญา"

 

              "ผมจะปกป้องคุณเอง..ผมสัญญา"

 

 

                 แกว๊ก!

 

                 เสียงร้องลั่นของการาเวนทำให้ทั้งหมดสะดุ้งเฮือกราวกับหลุดออกจากภวังค์ ไคลน์หันไปมองต้นเสียง ขณะที่อาโลอิสลุกพรวด ใบหน้าสะบัดแหงนเงยขึ้นไปมองเซธที่โผขึ้นจากไหล่ตัวเองไปเกาะยังกิ่งไม้เหนือศีรษะ ดวงตาวาววับราวกับลูกปัดนั้นจ้องมองกลับมาด้วยนัยยะทั้งขบขันและไม่พอใจอยู่เจือจาง

 

                ไคลน์หันไปมองอาโลอิส เทพบุตรหนุ่มกำลังจะอ้าปากถามด้วยความไม่เข้าใจ หากแต่ก่อนจะได้ถามก็พลันมองเห็นดวงตาของอาโลอิสและเซธที่มองสบกันเงียบๆ ดวงตาสีทับทิมที่คุ้นตานั้นยังมีความทุกข์โศกและเจ็บปวดพาดผ่าน เป็นความเจ็บและทรมานที่แสนชินตา..หากแต่ก็แฝงแววร้าวลึก..

 

                 "...ข้าจะเฝ้ายามต่อแล้ว เลิกทึ้งขนกันเสียที" จงอยปากแหลมคมนั้นขยับเป็นถ้อยคำส่งมาให้ตนเป็นแน่ อาโลอิสรับรู้ พลันจบประโยคนั้นเซธก็บินขึ้นสูงไปเกาะบนยอดไม้สูงเสียจนหากไม่เอ่ยปากตะโกนก็คงไม่ได้ยิน ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองร่างการาเวนสีดำที่โผบินจากไปก่อนจะเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ไม่ยอมแม้จะหันไปมองเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองมา

 

                  "ข้าก็จะเฝ้า.." เมื่อเซธโผบินทิ้งไปก็ป่วยการจะนั่งอยู่ที่เดิม อาโลอิสเอ่ยเอ่ยเสียงเรียบสนิท ไม่อยากพบเจอคำถามหรือมองเห็นการกระทำแสนอารีใดอีกต่อไปแล้ว ร่างเพรียวเม้มปากแน่น ก้าวเท้าไปยังอีกฝั่งของต้นไม้ใหญ่ที่มืดทึบไร้แสงไฟ ทรุดกายนั่งลงและปล่อยให้ความมืดกลืนกินร่างของตนราวกับไม่รู้สึกหวาดกลัวกับภัยใดที่ล้อมรอบกาย

 

                อีกฝั่งของแสงสว่างใต้กองเพลิงร้อนระอุ ไคลน์ทรุดกายลงนั่งอีกครั้ง แม้จะยังสงสัยกับอัปกริยาของผู้ร่วมเดินทางทั้งสอง ทว่าปลายนิ้วก็ยังคงเอื้อมไปหาผู้อันเป็นที่รัก ร่างของคู่รักที่นั่งกอดประคองกันเงียบๆทำเพียงปรายตามองพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของตนทั้งคู่โดยไม่มีใครพูดอะไร และเพียงไม่นาน..ดวงตาสีฟ้าสดใสของเทพบุตรผู้งดงามนามว่าฟาราสก็ปิดสนิท ใบหน้าที่แฝงความเหนื่อยอ่อนเข้าสู่นิทราอย่างเงียบเชียบ

 

                ขณะที่อีกฟากหนึ่งที่มีเพียงความมืดมิด อาโลอิสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีเพียงสีดำ นัยน์ตาสีแดงเข้มสะท้อนความปวดร้าวออกมาอย่างไม่อาจปิดบัง บทสนทนาที่แสนคุ้นหู ถ้อยคำและนัยยะมากมายที่ตนได้ฟัง สะท้อนอยู่ในห้วงคิดและความทรงจำที่มีต่อคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง

 

                 ..จะคอยดูแล จะปกป้อง จะอยู่ข้างๆ..

 

                 ผม...มาเพื่อปกป้องคุณ

 

                หรุบตาลงช้าๆ แม้จะรู้ว่านั่นคือถ้อยคำที่อีกฝ่ายไม่ได้มีไว้ให้ตน ไคลน์ในตอนนั้น คงจะเอ่ยปากพูดกับ "ร่างของฟาราส" หาใช่ "วิญญาณของอาโลอิส" สิ่งที่อีกฝ่ายได้ทำทุกๆอย่างในยามที่เป็นมนุษย์ รวมทั้งถ้อยคำมากมายที่ตนได้รับ สิ่งเหล่านั้นคือคำที่จะส่งผ่านไปยังฟาราสทั้งสิ้น

 

                แต่แม้จะรู้...รู้ดีทุกสิ่งก็ไม่อาจเลิกหลงงมงาย

 

                 ทุกสิ่งที่ได้รับยามเมื่อเป็นมนุษย์ ยามที่อยู่ในรูปลักษณ์ของคนที่ไคลน์รักมากมายนักหนา บัดนี้กำลังย้อนกลับมาทิ่มแทงทำร้ายผู้ที่มุ่งมาดปราถนาต้องการ"รัก"ที่ไม่ใช่ของตนเอง

 

....หาใช่อาโลอิส

 

ไม่ใช่อาโลอิส

 

                  ..แม้จะรักเพียงไหน..ก็ไม่ใช่ของข้า

 

                 "....อย่าร้องไห้" เนิ่นนาน...จมอยู่ในภวังค์และห้วงคิดบางอย่าง เสียงของใครสักคนที่แสนคุ้นหูก็ดังแว่วเข้ามาในความเงียบงัน อาโลอิสเม้มปากแน่น..น้ำตา...สิ่งที่คลออยู่ในดวงตาสีทับทิบไม่ได้รินไหล หากเพียงได้ฟัง เพียงกระพริบตา มันกลับเอ่อท้นลงช้าๆราวกับรอคอยเวลานี้อยู่ก่อนแล้ว

 

                 "...ข้า.......ไม่ได้" เอ่ยออกมาสั้นๆ หากแต่ก็รีบเม้มปากเข้าหากันเมื่อรับรู้ว่าคำพูดนั้นตะกุกตะกักด้วยห้วงอารมณ์ที่ไม่ควรให้ใครได้รับรู้

 

                 "...ข้ารู้ว่า...เจ้าไม่ชอบ" เสียงของไคลน์ยังคงดังขึ้น ถ้อยคำนั้นทำให้อาโลอิสยกมือขึ้นกุมหูตัวเองราวกับไม่อยากได้ยิน สีหน้าแฝงความเจ็บปวดและคลุ้มคลั่ง ราวกับอยากร้องตะโกนว่าไม่ต้องการได้ฟังถ้อยคำเห็นอกเห็นใจและแสนดีใดๆอีกแล้ว "แต่มันคือความจริง"

 

                 "..................."

 

                 ".....เจ้าต้องรู้ และ ทำใจให้ได้"

 

                 "ข้ารู้แล้ว" เอ่ยตอบไปเสียงเบาราวกับกระซิบ

 

                 "....ข้ารักฟาราส" ไคลน์ลูบเส้นผมสีทองอำพันของคนรักตน เอนกายพิงโคนต้นไม้เงียบๆ ขณะที่เอ่ยปากบอกย้ำอีกฝ่าย...และอาจจะรวมไปถึงตอกย้ำตนเองด้วยเช่นกัน "ไม่ใช่เจ้า อาโลอิส"

 

                 คำรักนั้นสะท้านเข้ามาในหัวใจที่เจ็บปวดราวกับปลายนิ้วของอีกฝ่ายกำลังเอื้อมมือบดขยี้ให้ย่อยยับ

 

                 "....ข้ารู้..."

 

                 เอ่ยกระซิบตอบเพียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ อาโลอิสก้มหน้าลงเงียบๆฝ่ามือกำแน่น เช่นเดียวกับปลายนิ้วที่จิกลงบนฝ่ามือของตนสุดแรงเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไห้หรือน้ำตาที่ใกล้จะรินไหลให้ย้อนกลับไปอีกครั้ง ให้มันกลับเข้าไปอยู่ในหัวอกและกลับมาเป็นอาโลอิสคนเดิมผู้ไร้หัวใจและหยดน้ำตา

 

                ไคลน์หรุบตามองใบหน้างดงามของคนรักผู้อยู่ในอ้อมแขน ดวงตาของเทพบุตรหนุ่มฉายแววขุ่นมัวและความกังวลเจือจาง และพลันถอนหายใจขึ้นมาอย่างเงียบงันเมื่อแว่วเสียงหายใจที่คล้ายกำลังสะอื้นไห้ลอยผ่าน

 

                 บนยอดไม้ที่สูงใหญ่ เซธในร่างของการาเวนตัวโตก้มลงจ้องมองต่างของทั้งสองเงียบๆ แววตาครุ่นคิดบางสิ่ง ก่อนจะตวัดสายตามองไปรอบๆที่ยังคงมีดวงตาสีแดงเข้ม และเสียงกระซิบของวิญญาณแว่วผ่านมาตามสายลม

 

                ค่ำคืน...ยังคงดำเนินต่อไป

 

                 ไม่ว่าใครจะร่ำไห้ ทุกสิ่งก็ไม่อาจหยุดเคลื่อนไหวได้ตามใจตน

 

++++++++++++++++++++++++++++++

 

                 ดึกสงัด ร่างของเทพทั้งสี่ต่างนั่งเงียบอยู่ในภวังค์ความคิดของตน หนึ่งคือฟาราสที่บัดนี้อยู่ในห้วงนิทรา อีกหนึ่งคือเซธที่อยู่ในร่างของการาเวนซึ่งเฝ้ามองไปโดยรอบเงียบๆ ขณะที่ไคลน์นิ่งนั่งมองเปลวไฟพลางลูบเส้นผมสีทองอร่ามงดงามของคนรักตนอย่างใจลอย และอาโลอิสผู้เงยหน้าจ้องมองท้องฟ้าที่ไร้ดวงดาวและมีเพียงสีดำด้วยเสี้ยวหน้าเรียบเฉยเย็นชา

 

                 เสียงเห่าหอนของบางสิ่งดังขึ้นแทรกความเงียบที่พัดผ่าน เสียงนั้นทำให้เส้นขนพลันลุกเกรียว เย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กายอย่างแปลกประหลาด อาโลอิสลุกขึ้นทันที ร่างของเทพบุตรหนุ่มก้าวเข้ามายังอีกฝั่งของต้นไม้ สมทบกับไคลน์และฟาราสที่ตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงง แต่กระนั้น ทุกคนก็รับรู้ได้จากสัญญาณนั้นว่านี่คือการมาถึงของบางสิ่ง

 

                "เซธ" อาโลอิสเอ่ยเรียกการาเวนตัวใหญ่ มันโผลงมาเกาะไหล่ชายหนุ่มเพียงครู่ก่อนจะกลายร่างเป็นเทพอีกครั้ง เจ้าของสีผิวคร้ามเข้มก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหูของอาโลอิส และถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้ว

 

                 "อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว...ต้องรีบหนี" เซธเอ่ยตอบทุกคนเสียงเข้ม

 

                 "นั่นคือ...." ไคลน์ขมวดคิ้วช้าๆ

 

                 "....เจ้าอาจจะเคยเจอแล้วเมื่อครั้งก่อน" อาโลอิสเอ่ยเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าอีกฝ่าย "...มันมาตามกลิ่นของพวกเรา"

 

                 "กลิ่นอะไร?" ฟาราสเอ่ยถาม สีหน้าเครียดขึ้ง

 

                 "...สัตว์ดึกดำบรรพ์ใต้พื้นพิภพ ผู้ชื่นชอบกลืนกินเทพ...ราอาซาส" เซธอธิบายเสียงเคร่ง "มันตามกลิ่นมา..."

 

                "คำภาวนาดูจะไม่เป็นผลเสียแล้ว" อาโลอิสถอนหายใจ "คราวนี้...เราคงต้องแยกกันไป"

 

                  "อะไรนะ..." ฟาราสเอ่ยถามอย่างตกใจไม่น้อย

 

                  "ต้องแยกกัน มันมีเป็นฝูงใหญ่" ราวกับเซธจะรู้ ว่าอีกฝ่ายตกใจเรื่องอะไรจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียเอง "...ถ้าไม่แยกกัน เมื่อมันเข้ามาเป็นฝูงใหญ่ จะลำบาก...อาโลอิสเจ้าไปกับข้า เจ้าสองคนไปด้วยกัน"

 

                 เซธเอื้อมมือไปคว้าแขนอาโลอิสไว้ทันทีที่พูดจบ ร่างของเทพบุตรปีกสีดำทั้งครู่เตรียมพร้อมจะจากไปทันทีที่เอ่ยเรียบร้อย เช่นเดียวกับฟาราสที่กำมือคนรักตนแน่น หากแต่ไคลน์ชะงัก ดวงตาจ้องมองฝ่ามือของทั้งสองที่จับกระชับกันเงียบๆแล้วจ้องมองไปยังความมืดที่เสียงเห่าหอนนั้นเริ่มเด่นชัด

 

                "ไม่!" คำพูดของไคลน์ทำให้ทั้งสามต่างชะงักไม่พอ เจ้าตัวยังคว้าแขนของอาโลอิสไว้มั่น ทำให้ร่างของเซธถึงกับเซวูบ

 

                 "ข้าไปกับอาโลอิส เจ้าไปกับฟาราส" ไคลน์เอ่ยเสียงเข้ม

 

                  "ทำไม?" ผู้ฟังขมวดคิ้ว

 

                 "ไคลน์...เจ้าจะทิ้งข้าไปเหรอ.." ฟาราสเอ่ยถามด้วยสีหน้าตระหนก

 

                 "ไม่ใช่" ไคลน์เอ่ยปากตอบ "...พวกมันกลัวแสงสว่าง ดังนั้นข้ากับฟาราสจึงต้องแยกกันไป ให้พวกเจ้าสองคนไปด้วยกันไม่มีประโยชน์ ฟาราสไปกับข้าเราสองคนก็ไม่รู้เส้นทาง ข้าไม่มีทางปล่อยให้คนรักของตนเองไปกับอาโลอิส..ดังนั้น เซธ เจ้าไปกับฟาราส อาโลอิส เจ้ามากับข้า"

 

                 "ได้ถามความสมัครใจข้าบ้างหรือไม่?" อาโลอิสเอ่ยถามซ้ำ ดวงตาวาววับ

 

                  "นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด..หรือเจ้าจะปฏิเสธ?" ไคลน์ถามย้ำ จ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายขณะที่ฟาราสยังมีท่าทีกังวลใจ ส่วนเซธนั้นยิ้ม

 

                  "ข้าก็คิดว่าดีที่สุด"

 

                   "เซธ!!" อาโลอิสหันไปมองเจ้าการาเวนในร่างคนเขม็ง

 

                 "อย่าได้กังวลไป..ข้าจะดูแลคนรักของเจ้าให้ดีและเจ้า..." เซธหรี่ตาลงช้าๆ ขณะที่เอื้อมมือจับแขนฟาราส "ช่วยดูแลอาโลอิสของข้าให้ดีด้วย"

 

                 "..........." ไคลน์รับคำด้วยการหรี่ตาลงช้าๆ ท่าทีอารมณ์ขุ่นด้วยสาเหตุบางสิ่ง

 

                "...และ" ฟาราสหันมามอง ขณที่ตนเองและฟาราสนั้นกางปีกออกเตรียมโผบินออกไป "เราจะไปพบกันที่หุบเขาด้านโน้น....หวังว่าเจ้าคงไม่ลืมว่าอาโลอิสนั้นเหลือเพียงปีกข้างเดียว..ช่วยพาเขาไปด้วย..แล้วเจอกัน"

 

                "ไคลน์! เจ้ารีบตามมานะ" ฟาราสหันมาหาคนรักของตน เอื้อมมือบีบมืออีกฝ่ายแน่น

 

                  "แล้วข้าจะรีบตามไป" ไคลน์บีบมือบางตอบรับ ขณะที่อาโลอิสขมวดคิ้ว เบือนหน้าไปมองทางอื่นราวกับไม่สนใจเสียงเห่าหอนที่แว่วเข้ามากระชั้นขึ้นเรื่อยๆ

 

                 "..อ่ะ!" เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นเมื่อร่างปลิวหวือ อาโลอิสถึงกับชะงักค้างเมื่อพบว่าตนเองถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ด้านหน้าคือร่างของเซธและฟาราสที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากสัตว์ร้าย พวกเขาก็จำต้องรีบไปเช่นกัน ...แต่ด้วยสภาพแบบนี้น่ะหรือ?

 

                    "สิ่งที่ลดลงมีแค่พลังของเจ้าจริงหรือ..ทำไมถึงผอมแห้งเสียขนาดนี้" ไคลน์ออกปากบ่น ปีกอันใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ทั้งสองข้างกางออกเตรียมตัวจะโผบิน

 

                "จะทำอะไร..ปล่อยข้าลง!" อาโลอิสร้องตวาด

 

                 "ก็จะพาหนีไปหาเซธของเจ้ายังไงล่ะ" ไคลน์ตอบคำ ดูท่าทีจะค้างคาใจกับคำพูดของการาเวนตัวนั้นไม่น้อย

 

                 "แล้วทำไมต้อง....อ่ะ" อาโลอิสหน้ามุ่ยอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายสะบัดปีกเฉียดหน้าแบบไม่พูดไม่จา

 

                 "..หงุดหงิดอะไร..กลัวไม่ได้ไปหามันหรือ? เจ้าดูจะเป็นของใครต่อใครเสียเยอะแยะเชียวนะ!!" ไคลน์ขมวดคิ้ว

 

                  "ไม่เกี่ยวกับเจ้าเสียหน่อย!!" อาโลอิสเถียงกลับหน้าดำหน้าแดง

 

                 "...รู้แล้วล่ะ" ไคลน์รับคำ ด้วยท่าทีราวกับเสียไม่ได้ ใบหน้าเบือนไปทางอื่น ท่าทีนั้นทำให้อาโลอิสลดอาการโวยวายของตนลงไปเสียครึ่ง เอ่ยบอกเบาๆ

 

                 "ปล่อยข้าลง ข้าไม่อยากไปแบบนี้"

 

                 "แล้วจะให้ทำอย่างไร?" ไคลน์ถามกลับ "เมื่อกี้ไม่ได้ฟังหรือไรว่าต้องหนี รึอยากกลายเป็นซากศพอยู่ที่นี่?"

 

                 "ข้าไม่เห็นจำได้ว่าต้องทำแบบนี้ด้วย" อาโลอิสจ้องเขม็งกลับ ไม่อยากยอมรับว่าการอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายทำให้หัวใจเต้นแรงเสียจนเจ็บแปลบ ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ มันยังเจ็บเสียแทบตายจากคำพูดของอีกฝ่ายแท้ๆ

 

                 "หรือเจ้าบินเองได้กัน?" ไคลน์เลิกคิ้ว ก่อนจะสะบัดปีกขึ้นโบยบินไม่สนใจเสียงร้องประท้วงของอีกฝ่าย "ต้องไปแล้ว..ถ้ากลัวก็เกาะไว้ซะ"

 

                  "ข้าไม่ได้กลัว" อาโลอิสเม้มปากแน่น ดวงตามองข้ามไหล่อีกฝ่ายไปยังเบื้องหลังที่พวกตนทิ้งมา ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นจากรอยเล็บการการโจนขย้ำของสัตว์ร้ายตัวมหึมาชวนให้หวั่นผวานัก

 

                 "ไม่กลัวก็ดี ระวังหลังให้ข้าด้วย" ไคลน์เอ่ยปาก ดวงตาจ้องมองเส้นทางเบื้องหน้าเขม็ง สีหน้าแปลกไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย"เหมือนตอนนั้น.."

 

                อาโลอิสฟังแล้วชะงัก ก่อนจะรับคำเบาๆ "ได้..." 

 

                ร่างของทั้งคู่โผบินออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดวงตาสีแดงเข้มนั้นจ้องมองไปยังเบื้องหลัง อาโลอิสมองร่างของสัตว์ร้ายที่กรูกันตามมาอย่างว่องไว เช่นเดียวกับไคลน์ที่จ้องมองเส้นทางไปยังหุบผาเบื้องหน้า สัมผัสถึงน้ำหนักและร่างของอีกฝ่ายในอ้อมแขนชวนให้ตระหนักถึงชั่วเวลาที่ทั้งคู่เคยพบเจอและร่วมต่อสู้ด้วยกันมา อาโลอิสเอื้อมมือรั้งต้นคออีกฝ่ายไว้ช้าๆแสร้งทำว่าเป็นเพราะความหวาดหวั่นและสัตว์ร้ายที่ตามมาทำให้ตนเองนั้นหวาดกลัวเสียเหลือเกิน..

 

                เสียงหัวใจเต้นดังเสียจนเจ็บแปลบ ความรู้สึกที่ผกผันเพียงชั่วคืนครั้งแล้ว ครั้งเล่า แม้จะเจ็บปวดเช่นไร ก็ยังไม่อาจตัดใจได้เสียที

 

                 ลมหนาวกรีดหวิวมาจนร่างสั่นระริก นิ้วมือเเข็งชืดด้วยความเย็นแต่กระนั้นก็ยังกระชับฝ่ามือและซบหน้าลงบนไหล่ที่อยู่ห่างเพียงไม่ถึงปลายนิ้วราวกับเผลอไผล แต่อาโลอิสรู้ ตนเองนั้นตั้งใจเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่สัมผัสร่างอีกฝ่ายนั้นเอง..

 

++++++++++++++++++++++++   

 

 

...พาร์ทนี้มันอะไรรร

ตอนแรกเถียงกัน หลังๆมาม่า หลังต่อมามุ้งมิ้ง(?) 555

ว่าแต่ อุ้มกันไปส่งเรือนหอดีๆนะคะแต่ละค--------//โดนถีบ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:33:50
Lost 29 : การโจมตี

 

 

 

                ปลายนิ้วเกาะอยู่บนไหล่หนา ใบหน้าซบซุกอยู่เงียบๆและถูกโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนแกร่งทั้งสองข้างขณะที่โฉบบินอยู่บนนภาสีดำสนิท ห้วงเวลาที่คล้ายจะเป็นความฝันอันแสนสุข แต่แท้จริงแล้วมันกลับไม่ใช่ แม้จะโบยบินไปแต่ต่างฝ่ายกลับอยู่ในภาวะเคร่งเครียด ในมือของอาโลอิสมีดาบสีขาวที่สร้างมีจากแสงสว่างซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าอมนุษย์หวาดกลัว ไคลน์ได้มอบให้เพื่อคุ้มกันภัยตนจากสัตว็ร้ายที่ลอบจู่โจมมาจากด้านหลัง ขณะที่รอบกายเต็มไปด้วยเสียงเห่าหอนและคำรามจากเจ้าของดวงตาสีแดงก่ำในความมืดมิด

 

                ราอาซาสสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีมาเนิ่นนาน ผู้ชื่นชอบการกลืนกินและดูดซับพลังของเหล่าเทพไว้เป็นอาหาร ปีกสี่คู่ราวกับปีกนกอินทรีของมันแข็งแรงทนทาน เฉกเช่นเดียวกับกรงเล็บราวกับอุ้งมือของสิงโตที่เต็มไปด้วยพละกำลังซึ่งสามารถทำลายเสาศิลาได้ทั้งต้น ในอดีตที่มันปรากฏกายขึ้นมานั้นได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงไว้

 

                เพราะเหตุการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ ราอาซาสจึงถูกผลักดันลงมายังใต้ผืนพิภพ บนขุมนรกที่ลึกสุดกระทั่งเทพบุตรปีกสีดำก็ยังไม่อยากเหยีบย่างเข้าไป คือสถานที่ซึ่งเอาไว้เป็นดินแดนกักขังสัตว์ร้าย ปีศาจที่อยู่ใต้นรกานต์ รวมถึงอสูรที่จะผุดขึ้นมาจากผืนปฐพี

 

                เสียงร้องโหยหวนราวกับหมาไนใกล้เข้ามาทุกขณะ อาโลอิสจ้องมองความมืดเบื้องล่างเขม็ง แม้จะมีปีกแต่ร่างกายที่ใหญ่โตนั้นทำให้ไม่อาจอยู่บนท้องฟ้าได้นาน พวกมันมักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง เที่ยวซุ่มโจมตีด้วยการกระโดดและบินโฉบเป็นระยะ ร่างของพวกมันใหญ่โตและเเข็งแกร่ง ส่วนหัวนั้นคล้ายกับสิงโต ขณะที่มีปีกดั่งอินทรีและหางยาวราวกับหางของงูเห่า สัตว์ร้ายที่อยู่ในตำนานบัดนี้โผบินตามมาเพื่อกัดกินและสูบเอาพลังของพวกตนโดยเฉพาะ

 

                 เสียงคำรามที่ฟังคล้ายเสียงเห่าหอนนั้นยังคงตามติด ร่างของเจ้าสัตว์ร้ายนับสิบที่กรูกันเข้ามาหวังจะรุมล้อมกัดกินนั้นทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเลนัก อาโลอิสจ้องมองร่างที่กระโจนใส่ของเจ้าสัตว์ร้ายเขม็ง หากเป็นเมื่อก่อนที่ตนเองยังมีพร้อมทั้งพลังและปีกทั้งสองข้าง ตอนนี้คงจะยืนหยัดสู้รบปรบมือกับมันอยู่เคียงข้างไคลน์เหมือนในครานั้น ไม่ได้เป็นตัวถ่วงให้อีกฝ่ายต้องลงมือจัดการไปคนเดียวเช่นนี้

 

                 ร่างกายอ่อนแอและไร้กำลังที่แสนขัดใจของตนเองทำให้อดนึกหงุดหงิดไม่ได้ ขณะที่ไคลน์ยังคงตั้งอกตั้งใจในการบินโฉบหนีเจ้าสัตว์ร้าย และระมัดระวังในการโอบประคองร่างในอ้อมแขนไม่ให้ตกลงไปด้วยเช่นกัน

 

                "..ทำไม...มันถึงมากขนาดนี้" ไคลน์เค้นเสียงถาม วุ่นวายกับการบินหลบหนีร่างของราอาซาสที่กระโจนเข้ามาหาเสียจนละสายตาไม่ได้ ขณะที่อาโลอิสเกาะไหล่อีกฝ่ายไว้แน่น ดวงตามองไปด้านหลัง มือข้างหนึ่งถือดาบยาวสีขาวของอีกฝ่ายไว้ช่วยจัดการด้านหลังให้เพราะมือทั้งคู่ของไคลน์ไม่ได้ว่างพอจะจัดการทั้งหมด

 

                "..เพราะ...เรามากันเป็นกลุ่มใหญ่ " อาโลอิสตอบพลางหอบหายใจเบาๆ การออกแรงกำจัดพวกมันครั้งแรกนับแต่กลับมาอยู่ในร่างเดิมนั้นบั่นทอนกำลังไม่น้อย "แยกกลุ่มกันไปเพื่อเบนความสนใจก็จริง แต่ตอนนี้พวกมันเจาะจงโจมตีแค่เราสองคนเสียแล้ว"

 

                "เสียรู้งั้นรึ..." ไคลน์คำรามเบาๆในลำคอ ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อกรงเล็บของสัตว์ร้ายนั้นเฉียดแขนตนไปเพียงเสี้ยว นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะร้องบอก "เกาะไหล่ข้าไว้ ข้าจะอุ้มเจ้าด้วยแขนข้างเดียว!"

 

                "หา...อ๊ะ!" อาโลอิสตะปบไหล่อีกฝ่าย พลางร้องอุทรณ์ด้วยความตกใจไม่น้อย  กระนั้นแขนทั้งสองข้างก็เกาะแน่น ขณะที่ไคลน์เปลี่ยนจากอุ้มด้วยมือทั้งสองข้างเป็นการแบกอีกฝ่ายขึ้นพาดหลัง โอบร่างผอมไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างก็ถือดาบไว้ในมือให้มั่น เตรียมฟาดฟันกับร่างของราอาซาสที่โฉบเข้ามาหา

 

                 "เจ้าไหวรึเปล่า?" อาโลอิสขมวดคิ้ว รู้ดีว่าตนเองเป็นภาระหนักหนาทีเดียว ขณะเดียวกันก็นึกนับถือที่อีกฝ่ายไม่ปล่อยตนเองทิ้งลงไปง่ายๆ แม้เขาจะเคยทำตัวเลวร้ายไว้มากแค่ไหน

 

                 "แบกเจ้ายังเบาเสียยิ่งกว่าหอบลมด้วยซ้ำ" คำตอบนั้นฟังเหมือนคลอเสียงหัวเราะ อาโลอิสถึงกับหน้านิ่ว "ระวังหลังข้าต่อไป"

 

                 "ไม่ได้เบาเสียขนาดนั้นซะหน่อย" เอ่ยปากประท้วง ขณะที่ฟาดดาบในมือใส่สัตว์ร้ายตนหนึ่งที่โฉบเข้ามาหาให้มันผงะหลีกหนีไป แต่ไม่ช้ามันก็ทะยานกลับมาใหม่ อาโลอิสมุ่นหัวคิ้วพวกตนไม่สามารถจะทำร้ายมันได้ เพราะการลงมือนั้นเท่ากับการยั่วโมโหให้ถูกกลุ้มรุมทำร้ายมากกว่าเดิม ราอาซาสเป็นสัตว์ร้ายที่รักพวกพ้องและจะโกรธเกรี้ยวทันทีที่มีคนทำร้ายพรรคพวกของตน

 

                "...ข้าเป็นคนแบกนะ ยังจะ...อึ่ก!" ไคลน์เอ่ยปากประท้วงไปด้วยท่าทีอารมณ์ดี หากพลันก็เงียบกริบ เมื่อรับรู้ว่าแขนของตนถูกกรงเล็บคมนั้นตวัดเอาเสียจนปวดแปลบ

 

                 "เกิดอะไร?" อาโลอิสเอ่ยถามทันควัน รับรู้ได้ถึงท่าทีเปลี่ยนไปนั้น

 

                 "อย่าถามมาก.. รีบไปกันเถิด" ผู้ถูกถามตัดบทคล้ายจะรำคาญ แต่แท้จริงกลับเบี่ยงความสนใจมากกว่า ไคลน์ระงับอาการเจ็บปวดที่ตนประสบไว้พลางกระชับร่างที่เกาะอยู่บนไหล่แน่น พยายามประคองสติให้จดจ่ออยู่กับบรรดาฝูงสัตว์ร้ายที่โฉบเข้าหา

 

                "....เจ้า..." อาโลอิสอ้าปากจะถามหากพลันก็เม้มปากแน่น แม้จะรู้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น แต่ก็ต้องหันมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าจนได้ แต่การถูกกลุ้มรุมจากสัตว์ร้ายทั้งฝูง ขณะที่ตนอยู่ในอาการง่อยเปลี้ยเช่นนี้ พิเคราะห์ดูโอกาสแล้ว จะชนะช่างยากเย็นนัก

 

                ...ราอาซาสทั้งฝูงเบนความสนใจมาที่พวกตน ด้วยก็เพราะรู้ จะแบ่งกันไปจัดการตามที่ถูกดึงความสนใจ เหยื่อย่อมมีโอกาสไหวตัวหนีทัน

 

                ยามนี้ก็เช่นกัน ถ้าเพียงแต่จะ....มีคนคอยหลอกล่ออีกครั้ง..

 

                "...ถูกพวกมันโจมตีเอาหรือ" อาโลอิสถามเสียงเคร่ง ฟาดปลายดาบลงไปอย่างรุนแรงกว่าเดิม เช่นเดียวกับสีหน้าที่เครียดขึ้งขึ้น ร่างของราอาซาสตัวนั้นผงะออกไปอีกครา แต่คราวนี้มันกลับไม่โฉบหนีไปไหน ปีกใหญ่ราวกับนกอินทรีนั้นง้างออกเตรียมฟาดเข้าที่ใบหน้าและแผ่นหลังของพวกเขาทั้งคู่

 

                 "ข้าไม่เห็นรู้ส-------- เกิดอะไรขึ้น!?" ริมฝีปากที่ยกขึ้นคล้ายกำลังยิ้มแปรเป็นท่าทีเคร่งเครียดทันควัน

 

                ".........." อาโลอิสไม่ตอบอะไรขณะที่เสียงโหยหวนของราอาซาสดังก้อง ปีกดั่งนกอินทรีถูกมือขาวจัดจับแล้วกำไว้แน่นขณะที่เปลวไฟสีดำสนิทค่อยๆลุกลามและเผาไหม้ปีกข้างนั้นจนมันหลุดลงอย่างช้าๆ และทำให้ร่างของราอาซาสตนนั้นร่วงลงบนพื้นดิน

 

                "....เจ้าไม่น่าทำแบบนั้น พวกมันคุ้มคลั่งกว่าเดิม เคยบอกข้าไว้มิใช่หรือ?" ไคลน์ถามย้ำ จมูกกระสากลิ่นของเปลวไฟที่เผาไหม้บางสิ่งเจือจางมาตามลม ทั้งรับรู้ว่าคนที่อยู่บนไหล่ทำอะไรลงไปบ้าง เพราะเสียงกรีดร้องของสัตว์ร้ายนั้นดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดมากขึ้นและโฉบพุ่งมาที่พวกตนอย่างรุนแรงและกราดเกรี้ยวมากกว่าเดิม

 

                "ข้าไม่มีทางเลือก" การจะใช้ดาบไล่มันไปเพียงอย่างเดียวดูจะไม่พอเสียแล้ว อาโลอิสไม่ได้บอกว่าการใช้พลังของตนทำให้เขาเหนื่อยอ่อนและล้าแรงเพียงใด มือที่เกาะไหล่อีกฝ่ายกุมแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวขณะที่ยกแขนขึ้นฟาดฟันร่างของเจ้าสัตว์ร้ายซึ่งกำลังคลุ้มคลั่ง

 

                 "เจ้าทำอะไรไม่คิดต่างหาก" ไคลน์ตอบเสียงเข้ม แขนที่ถูกกรงเล็บอันประกอบด้วยพิษร้ายกระซวกเอานั้นเริ่มสั่นระริก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองร่างของราอาซาสฝูงใหญ่ที่เริ่มกรูกันมามากขึ้นทุกทีด้วยความโกรธเกรี้ยวและไม่พอใจที่พรรคพวกถูกทำร้าย "...มันมามากขึ้นทุกทีแล้ว"

 

                "...ข้าคิดไว้แล้ว" คำตอบนั้นทำให้ผู้ฟังเลิกคิ้วคล้ายฉงน

 

                "เจ้ากำลังวางแผนทำอะไ----"

 

                "ปล่อยข้าลง"

 

                 "อะไรนะ?" คำตอบแทรกคำถามของตนอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ไคลน์ชะงัก ดวงตาเบิกค้างขึ้นอย่างตกตะลึง แต่ก็ไม่ลืมจะหลบหลีกร่างของเจ้าสัตว์ร้ายที่กำลังเกรี้ยวโกรธและโฉบเข้ามาหาด้วยท่าทีดุร้ายขึ้นทุกที

 

                "ปล่อยข้าลงไป ข้าจะคอยล่อพวกมันเอง ส่วนเจ้าก็แยกออกไปซะ" อาโลอิสตอบสั้น ขณะที่มือก็ตรงเข้าฟาดฟันราอาซาสตัวแล้วตัวเล่าที่โฉบเข้ามาหา

 

                 "ทำแบบนั้นเจ้าจะถูกพวกมันรุมกัดกินจนตาย เจ้าไม่ได้มีปีกทั้งสองข้างอีกแล้วนะ!" กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ไคลน์ฟาดดาบลงไปบนร่างของราอาซาสที่พุ่งเข้ามาอย่างแรง

 

                "ข้ารู้ แต่อยู่ต่อไปก็ไม่รอดทั้งคู่ ปล่อยข้าลงไปซะ" อาโลอิสตอบกลับห้วนๆ ฝ่ามือจิกไหล่อีกคนแน่นราวกับกำลังเร่งเร้า ทั้งที่การบอกสิ่งนั้นไปไม่ต่างจากคำขอฆ่าตัวตาย แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ก็ต้องตายตกกันไปทั้งคู่ ทิ้งตัวเขาที่มีสภาพอ่อนแอไม่สมบูรณ์ไว้เช่นนี้ย่อมดีที่สุดแล้ว

 

                "อาโลอิส!!"

 

                 "ข้าเป็นตัวถ่วงเกาะอยู่บนหลังเจ้า ปล่อยลงไปเสียที!" สะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงตวาดเรียกชื่อใกล้หู ทั้งอ้อมแขนที่กระชับร่างตนแน่นขึ้นราวกับปลอกเล็กทำให้หัวใจปวดหนึบ แต่ก็ยังคงตะโกนร้องบอกอีกฝ่ายเช่นเดิม ซ้ำยังจงใจย้ำถึงวีรกรรมอันน่าชังของตนเองด้วยเช่นกัน"ข้าเป็นคนฆ่าคนรักของเจ้า..ลืมไปแล้วรึไง?"

 

                "ข้าไม่ลืม.." ได้ฟังถ้อยคำนั้นแล้วกัดฟันกรอด ไคลน์จ้องมองเชิงผาสูงเบื้องหน้า ขณะที่คลายอ้อมแขนออก "แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน"

 

                 "ใจดีเสียจริงนะ" อาโลอิสตอบเสียงเย็น น้ำคำราวกับจะเยาะเย้ย

 

                 "เลิกยั่วโมโหข้าซะ มันไม่สำเร็จหรอก!" ไคลน์คำรามในลำคอเสียงดัง แขนที่โอบเอวบางไว้ผละออกจนมากพอที่จะให้ร่างของอีกฝ่ายหล่นไปยังผืนดิน ชั่วขณะที่อาโลอิสนึกว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตัวเองลงไปแล้ว แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น แขนอีกข้างที่มีร่องรอยถูกทำร้ายโจมตีกลับรับไว้ให้ใบหน้าและร่างแนบชิดกันจนตาสบตา ท่ามกลางการกลุ้มรุมปะทะเข้ามาของสัตว์ร้ายหลายสิบตัว

 

                 "เจ้าและข้าจะต้องรอดไปด้วยกัน จำเอาไว้!!" ดวงตาสีทับทิบสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนในระยะประชิด เสี้ยวหน้าคมที่แนบหน้าผากจรดกันยังคงองอาจหล่อเหลาเช่นเดิมจนหัวใจไม่รักดีกระตุกไหวเต้นรัวขึ้นทั้งที่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน อาโลอิสนิ่งอึ้งอยู่สักพัก ก่อนจะพบว่าเท้าทั้งคู่ของตัวเองหยั่งลงบนผืนดินแห้งบนเชิงผาสูง

 

                "ดูแลตัวเองด้วย"

 

                เสียงกระซิบนั้นแผ่วเบาและตราตรึงนัก ยามที่อ้อมแขนอีกฝ่ายผละออกห่างฝ่าเท้าเคลื่อนที่ไม่สะดวกนัก ทั้งยังอ่อนเปลี้ยจากการใช้พลังครั้งล่าสุดทำให้ร่างเซวาบ อาโลอิสกำลังจะเอ่ยถามถึงเหตุผลของการมายืนเป็นเป้านิ่งอยู่ที่นี่ ขณะที่ร่างของราอาซาสผู้โกรธเกรี้ยวนับสิบกำลังโถมเข้าหา แต่เมื่อร่างของไคลน์ผละออกไป ตนก็เข้าใจถึงทุกสิ่งได้ในทันที

 

                ....คำพูดเมื่อครู่ไม่ต่างจากคำลา

 

                ทิ้ง...ข้าไว้

 

                ฝ่ามือที่กำดาบไว้ข้างตัวสั่นระริกครู่หนึ่งแต่ก็ยังคงถือไว้มั่น อาโลอิสจ้องมองร่างของไคลน์ที่ขยับปีกโผบินห่างออกไป ใบหน้าที่ฉายแววหวาดหวั่นพยายามสงบสติอารมณ์ตนเองให้กลับเป็นนิ่งขึงไม่หวั่นไหว ไม่ได้ร้องเรียกหรือตะโกนอะไรออกไป ไม่ได้นึกโทษหรือโกรธอันใด เพราะทุกสิ่งที่อีกฝ่ายทำล้วนมาจากคำขอของตน

 

                ...เป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุดแล้ว หากปล่อยให้พวกมันโจมตีต่อไปก็รังแต่จะพบจุดจบด้วยกันทั้งคู่

 

                ดีแล้ว...ทิ้งข้าไปซะ ปล่อยข้าไว้ แล้วเจ้าก็หนีไปสมทบกับเซธและฟาราสผู้เป็นที่รักนั้น

 

                เม้มปากแน่น ขณะที่ยกดาบขึ้นช้าๆ อาโลอิสมองไปโดยรอบที่ร่างของราอาซาสนับสิบกำลังปรี่เข้ามาล้อมวงรอบตนไว้ อาจจะเพราะถูกวางไว้เป็นจุดสนใจ รึเป็นเพราะผู้ที่โจมตีพรรคพวกของตนคือตัวอาโลอิสเอง ร่างของพวกมันจึงคุมเชิงมองโดยรอบ จ้องมองมาด้วยดวงตาสีแดงวาววับ ไม่ได้ผละออกไปหาไคลน์ที่บัดนี้หายไปกับความมืดมิด

 

                ดวงตาสีทับทิมไหวระริกครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงเจ้าของอ้อมกอดอุ่นและถ้อยคำนั้น แม้จะเป็นฝ่ายออกปากว่าให้ทิ้งไว้ แต่เมื่อถูกทิ้งขึ้นมาจริงๆ กลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว

 

                ...เราจะรอดไปด้วยกัน...เพราะครู่หนึ่ง เผลอเชื่อและยึดติดกับถ้อยคำนั้น

 

                เชื่อ....ทั้งที่รู้ว่าไคลน์นั้นไม่ได้รักตนสักนิดเดียวแท้ๆ

 

 

 

                 กรรรรรร...

 

                 เสียงคำรามของเจ้าสัตว์ร้ายแทรกขึ้นมาในห้วงคิด อาโลอิสจ้องมองร่างที่ย่างสามขุมเข้ามาขณะที่ปีกของมันยกขึ้นเตรียมสะบัดโผเข้ามาหาตน เทพบุตรปีกสีดำถือดาบขาวบริสุทธิ์ในมือไว้แม้จะต้องตาย แต่กระนั้นก็ยังหวังจะกำจัดพวกมันให้ได้มากที่สุดและไม่ยอมจะสลายไปโดยไม่ต่อสู้ใดแน่นอน

 

                 ร่างของราอาซาสตนแรกกระโจนเข้ามา อาโลอิสยกดาบขึ้นกันและตวัดฟาดจู่ออกมาไปห่างๆ แต่เพียงครู่เจ้าสัตว์ร้ายที่สอง สาม และสี่กระเริ่มกระโจนสลับกันเข้าหา เสียงคำราม กรงเล็บ และปีกอินทรีที่สะบัดรอบกายา บ่งบอกให้รู้ชัดเจนว่าไม่อาจหลบหนีไปแม้พยายามเช่นไร เพียงไม่นานวงล้อมก็กระชับเข้ามาพร้อมๆกับร่างที่รุมกระโจนเข้าใส่ ทำให้แส่งสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่มาจากดาบสีขาวนั้นจางหายไปเช่นเดียวกับร่างของเทพบุตรในชุดสีดำที่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายในตำนาน

 

                เสียงตะโกนดังลั่นเสียจนพื้นดินสะเทือนไหว มันเกิดขึ้นพร้อมกับแสงสว่างสาดจ้าไปทั่วบริเวณ สว่างจัดเสียจนต้องปิดตาด้วยไม่อาจต้านทาน เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากบรรดาวิญญาณของปีศาจและสัตว์ร้ายที่มีดวงตาสีแดงก่ำ พวกมันต่างเผ่นหนี กระโจนวิ่งออกไปให้ไกลด้วยพ่ายแพ้ต่อแสงสว่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกอันมืดมิด บ้างที่หลีกไม่ทันต่างก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด และไม่นาน..ร่างกายอันแข็งแกร่งพวกมันต่างก็สลายกลายเป็นผุยผง แปรเป็นหนึ่งเดียวกันกับเศษฝุ่นและธุลีดินที่คละคลุ้งทั่วบริเวณ

 

                ฝ่าเท้าเหยียบย่างลงบนผืนดินอย่างนุ่มนวลเสียจนเศษใบไม้ยังไม่กระดิก เทพบุตรผู้มีปีกสีขาวเรืองรองโอบร่างของเทพผู้อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะร่วงลงบนผืนดิน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองร่างในอ้อมแขนด้วยแววตาห่วงใย ก่อนจะพลันเบาใจไปได้เมื่อไม่พบบาดแผลร้ายแรง ดึงปลายดาบสีขาวที่อีกฝ่ายกำไว้แน่นมาไว้ในมือก่อนจะสอดแขนทั้งสองข้างอุ้มเอาร่างที่หลับสนิทไว้ในอ้อมแขนทั้งสองข้าง กระชับอ้อมกอด ปลายปีกสีขาวสะบัดเบาๆและโผบินไปในความมืดมิดท่ามกลางรัตติกาลอันยาวนาน..

 

++++++++++++++++++++++++++++++

 
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:34:03


                ไม่มีเสียงของหยดน้ำ หรือแม้แต่เสียงเห่าหอนของสิ่งใดยามที่สติรับรู้ค่อยกลับมาหาอย่างช้าๆ อาโลอิสขมวดคิ้ว ครางเบาๆในลำคอขณะที่รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงทั้งยังปวดตามเนื้อตัวอย่างน่าประหลาด ค่อยๆคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ดวงตาจะเบิกขึ้นอย่างตกตะลึงทั้งยังงวยงงเป็นที่สุด

 

                ปิดตาลงเมื่อแสงจ้าสาดเข้าปะทะดวงตา แม้จะไม่ใช่แสงอาทิตย์ แต่กลางวันในดินแดนใต้พิภพก็แตกต่างจากยามค่ำคืนไม่น้อย อาโลอิสรับรู้ได้ว่าตนเองกำลังนอนหนุนอะไรบางอย่างอยู่ ฝ่ามือที่ละออกจากดวงตานั้นจึงคลำเปะปะอย่างช้าๆ ก่อนที่หัวคิ้วจะพลันขมวดแน่นเมื่อพบว่าเป็นมือของใครคนหนึ่ง

 

                ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหัวใจไม่รักดีจะกระตุกไหวอย่างรวดเร็วเมื่อมองเห็นเสี้ยวหน้าอันเคยคุ้น ใบหน้าที่แสนเคยคุ้นเมื่อมองจากด้านล่างและเห็นแนวลำคอที่เป็นเส้นโค้งสวยงามและปลายคางของอีกฝ่ายนั้นดูแปลกตาและทำให้ผิวแก้มแดงวาบ แต่ก่อนจะยินดีพลันก็คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาซึ่งวาบผ่านในสมอง...ริมฝีปากสีจางแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างลืมตัวเมื่อตระหนักได้ว่าเจ้าของแสงสีขาวสว่างนั้นคือใคร ที่สุดแล้วไคลน์ก็กลับมาช่วยเขาตามที่อีกฝ่ายเอ่ยปากว่าจะรอดกลับไปด้วยกัน

 

                 "...ยิ้มเพราะดีใจที่ตัวเองยังไม่ตายหรือ..อาโลอิส?" ใบหน้าที่เมื่อครู่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดพับอย่างเหนื่อยอ่อนนั้นลืมขึ้นช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแลสบมาพร้อมรอยยิ้มบางๆตรงมุมปากนั้นดูงดงามหล่อเหลา ทำให้ผู้ถูกเอ่ยถามถึงกับสะดุ้ง แก้มร้อนวาบ

 

                 "...ข้า......" ทำได้เพียงเม้มปากแน่นและเสหลบตา เป็นอีกครั้งที่ไม่อาจจะตอบอะไร ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองนอนหลับบนตักของอีกฝ่าย ที่เดียวกับที่ไคลน์นั้นอนุญาติให้คนรักของตนเองหลับตาลงไปได้  อาโลอิสรีบขยับตัวอย่างเร่งร้อน หยัดกายลุกขึ้นมานั่ง

 

                "..ระวังหน่อย..กำลังของเจ้ายังไม่ฟื้นตัวดี" เพราะยังอ่อนเพลียเช่นที่ไคลน์บอก ร่างที่ผุดลึกไปได้เพียงครึ่งจึงเซวูบ และมีท่อนแขนของไคลน์สอดประคองแผ่นหลังไว้อย่างรวดเร็วราวกับคอยมองอยู่ก่อนแล้ว อาโลอิสเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้ออีกฝ่าย ก้มหน้าน้อยๆ กริยาอาการและการปฏิบัติที่แสนอ่อนโยนนั้นทำให้หัวใจของตนยิ่งเต้นระรัว

 

                "ขอบ...คุณ" อาโลอิสพึมพัมรับคำเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งได้ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของอีกฝ่าย แต่เมื่อได้มองไปรอบๆ หัวคิ้วก็พลันขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

 

                "...เรายังไม่ได้ไปสมทบกับเซธและฟาราสใช่หรือไม่?" อาโลอิสเอ่ยถามสิ่งที่ตนเองข้องใจ ด้วยหากไปรวมกับทั้งสองคน ไคลน์คงไม่ได้มอบตักของตนเองให้เขาหนุนนอน และ..พวกเขาทั้งคู่คงไม่พักอยู่ในสถานที่เช่นนี้

 

                โพรงหินที่อยู่ลึกเข้าไปในเชิงผา ถูกกัดเซาะเป็นถ้ำขนาดเล็กที่ไม่มีผู้อาศัย มันกลายเป็นที่หลบซ่อนยามอยู่ภายใต้เงื้อมเงาของเชิงเขาสูงใหญ่ สถานที่เช่นนี้เป็นที่หลบซ่อนชั้นยอด แต่ก็เป็นอันตราย หากถูกสัตว์ร้ายใดพบตัวคงมิวายถูกโจมตีและทำร้ายคาโพรงหินที่ไม่มีทางออกนี้แน่นอน

 

                "...ข้าไปไม่ถึง..ขอโทษด้วย" ไคลน์เอนตัวพิงกับผนังโพรงถ้ำที่ทำจากหินสีแดงเข้มอีกครา ท่าทีแปลกประหลาดนั้นทำให้อาโลอิสขมวดคิ้ว

 

                 "....เกิดอะไรขึ้น?" เอ่ยถามอย่างข้องใจ พลางหันมาสำรวจตนเองบ้าง อาโลอิสพบว่านอกจากรอยขีดข่วนเล็กน้อยที่จะหายไปตามกาลเวลาและอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเนื่องจากใช้พลังมากเกินไปและโหมใช้ร่างกายของตนแล้วก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ  นิ่งคิดไปครู่ก่อนจะชะงักอีกครา จนจำได้ดีว่าท่ามกลางวงล้อมของราอาซาสนั้น เกิดแผลใหญ่บริเวณช่วงแขน แล้วเหตุใดมันจึงหายไปราวกับไม่มีอยู่กระนั้นเล่า

 

                "ข้าหมดแรงเสียก่อน อาจจะต้องพัก" ไคลน์บอกไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายดึงเอามือขวาของตนไปสำรวจ

 

                 "....ไม่หายรึ?" อาโลอิสถามซ้ำ จ้องมองหลังมือของอีกฝ่ายที่เป็นแนวยาวคล้ายถูกกรงเล็บตวัดเข้าใส่ มันเป็นฝีมือของราอาซาสไม่ผิดแน่ ซ้ำยามนี้มันยังกลายเป็นแผลสีดำน่ากลัว แม้จะไม่มีโลหิตไหลริน แต่ก็ยังไม่หายไป ผิวเนื้อบริเวณโดยรอบนั้นแดงก่ำ บ่งชัดว่าเจ็บปวดไม่ใช่น้อย

 

                "...พิษของราอาซาสรักษาได้ด้วยเลือด" ไคลน์ดึงมือกลับแล้วตอบเสียงเรียบ "แต่ข้าใช้เลือดตนเองไม่ได้"

 

                 "เจ้าใช้เลือดตนเองรักษาข้าไปแล้ว" อาโลอิสเอ่ยบอกสิ่งที่ตนคาดว่าอีกฝ่ายได้ทำไปไม่ผิดแน่ เพราะหากไม่นำโลหิตของเทพบุตรปีกสีขาว เจ้าของแสงสว่างที่ราอาซาสกลัวเกรงมารินรดที่บาดแผล รอยแผลที่แขนของตนคงไม่หายได้ง่ายดายปานนี้ การรักษาบาดแผลที่เกิดจากคมเขี้ยว และพิษของสัตว์ร้ายที่เกิดจากความมืด ย่อมต้องนำเอาแสงสว่างมาเยียวยา

 

                "...ข้ารักษาตนเองไม่ได้" ไคลน์หัวเราะ เทพผู้มีปีกสีขาว แม้จะใช้เลือดของตนรักษาแผลให้ผู้อื่นได้ แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ นั่นคือ ไม่สามารถรักษาให้ตนเองได้เช่นกัน

 

                 "...ถ้าหาก..เจ้าไปกับฟาราส...คงจะดีกว่า" อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ บาดแผลของอีกฝ่ายแม้จะไม่เกิดจากตนเอง แต่บัดนี้ก็รู้สึกไม่ต่าง

 

                  ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆ "ข้าเป็นผู้เลือกตัดสินใจเอง...และ..ตอนนี้ข้าหมดแรง เพราะใช้พลังไปมาก จึงไม่อาจจะบินได้สักพัก..ระหว่างนี้เจ้าคงต้องรอ..และพักรักษาตัวเช่นเดียวกัน"

 

                 ".........." อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันช้าๆ แม้ท่าทีของอีกฝ่ายจะดูผ่อนคลาย แต่ตนก็รับรู้ได้ว่ามันเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน การใช้พลังที่ควรเก็บรักษาไว้ยามต่อกรกับอสูรร้ายมาช่วยเหลือตนจากการรุมโจมตีของราอาซาสเป็นการกระทำที่ส่งผลร้ายต่อตัวไคลน์มากกว่าที่คิด เทพบุตรปีกสีขาวนั้นไม่อาจซึมซับพลังได้จากความมืดมิดเช่นตน การได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ยามร่างกายอ่อนกำลัง ไม่ต่างกับการทรมานตนเอง

 

                 ..แล้วยัง...รอยแผลนั้น

 

                เอื้อมมือไปมองรอยแผลนั้นอีกครา ขณะที่เลือดของอีกฝ่ายสามารถช่วยเหลือตนได้ โลหิตของเทพบุตรปีกสีดำนั้นไม่อาจจะช่วยเยียวยารักษาอาการป่วยไข้ของผู้ใดได้แม้แต่ของตนเอง  เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับทำลาย...หาใช่การดูแลและปกป้อง

 

                "ความผิดของข้า...." นิ่งไปสักพัก อาโลอิสก็ถอนหายใจเบาๆ

 

                 "ไม่ใช่....เจ้าพักเสียเถิด" ไคลน์หลับตาลง ขมวดคิ้วไม่ต่อคำ

 

                  "มันคือความจริง"

 

                  "ข้าบอกว่าไม่ใช่อย่างไรเล่า" เทพบุตรหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทีหงุดหงิด พลางสบมองดวงตาสีทับทิบคู่งาม "พูดเช่นนี้ เหมือนจะดูถูกการตัดสินใจของข้าเลยไม่ใช่หรือไร"

 

                "......แต่" อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันช้าๆ

 

                 "ถ้าเจ้าจะเอาแต่ขอโทษ..ช่วยคิดวิธีเพิ่มพลังให้ข้าดีกว่า..จะได้รีบออกไปกัน" ไคลน์หันมามองเทพบุตรปีกสีดำเบื้องหน้า ที่บัดนี้ตนรับรู้ได้แล้วว่าช่างดื้อด้านนักไม่ต่างอะไรกับยามที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างของมนุษย์แม้นสักนิด "อย่ามัวมานั่งขอโทษนะ ข้าไม่อยากจะฟัง"

 

                ถ้อยคำนั้นทำให้อาโลอิสนิ่ง ไม่เอ่ยปากบอกอะไรแม้ความขัดข้องใจยังจะมีอยู่ ทั้งยังสำนึกว่าตนเป็นฝ่ายหาเรื่องเดือดร้อนให้อีกฝ่ายชัดเจน

 

                "ข้า...." ผ่านไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะรวบรวมความกล้าได้อีกครา เทพบุตรปีกสีดำตรงหน้าจึงเอ่ยปากขึ้นมาใหม่

 

                 ".............." ไคลน์ไม่พูดอะไร แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยนัยยะชัดเจน ที่บอกว่า..เลิกขอโทษเสียที

 

                "...ขอบคุณ"

 

                 คำขอบคุณที่ดังออกมาแผ่วเบาทำให้ผู้ฟังชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาจางๆดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววอุ่นหวานจ้องมองใบหน้าที่ยังคงก้มต่ำราวกับครุ่นคิดของอีกฝ่าย และเมื่อเจ้าตัวรู้ว่าถูกจ้องและเงยหน้าขึ้นมาอีกครา ไคลน์ก็มองไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้เห็นไปเสีย

 

                "ข้า...มีวิธีช่วยเพิ่มพลังให้" อาโลอิสเอ่ยขึ้นช้าๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกคราเมื่อรับรู้ได้ว่าถูกจ้องมอง แม้จะนึกแปลกใจที่เงยหน้าขึ้นแล้วไม่พบว่าอีกฝ่ายดูอยู่ แต่กระนั้นก็คิดว่ามันคือการคาดฝันไปเองเสีย ดวงตาสีทับทิมมองเสี้ยวหน้าที่หันไปทางอื่นและคล้ายกำลังจะปิดตาลง ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด ขณะที่เอื้อมมือวางลงบนไหล่อีกฝ่าย

 

                "วิธีอะไร?" ไคลน์เอ่ยถามกลับพลางเปิดดวงตาขึ้นมาอีกครา ก่อนจะพบว่าเจ้าของดวงตาสีทับทิมจ้องมองมาที่ตนอยู่ก่อนแล้ว และวางมือลงบนไหล่เงียบๆ

 

                 "วิธีนี้......" ไคลน์ขมวดคิ้วช้าๆ เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ทันที "..มันไม่เป็นผลดีกับเจ้า"

 

                "ข้าเพียงแค่..มอบพลังที่ซึมซับจากความมืดไปให้.." อาโลอิสตอบสั้น สบมองดวงตาของอีกฝ่าย คล้ายจะถามว่าจะรับ..หรือไม่รับ

 

                เทพบุตรปีกสีขาวไม่สามารถซึมซับพลังจากความมืดอันบริสุทธิ์ที่อยู่ใต้พื้นพิภพเพราะมันไม่ใช่ที่ของตนก็จริง แต่กับเทพบุตรปีกสีดำแล้วไม่ใช่ ยิ่งดำดิ่งลงไปลึกเท่าไหร่ ยิ่งสัมผัสความมืดมากขึ้นแค่ไหน ร่างกายจะยิ่งแข็งแกร่งและมีพลังมากขึ้นจากสิ่งที่ตนเองได้รับ แต่ในยามนี้ คนที่มีปีกทั้งสองข้างซึ่งจะสามารถพาตนไปสู่จุดหมายได้มีเพียงไคลน์ ที่อยู่ในอาการเหนื่อยอ่อนจากการใช้พลังเกินตัว และบาดเจ็บจากบาดแผลที่ราอาซาสโจมตี

 

                 แต่การมอบพลังให้ใช่จะทำไม่ได้ แม้สีขาวและสีดำจะแตกต่าง แต่ก็กำเนิดมาจากสิ่งเดียวกัน พลังที่ได้รับมาจากผืนพิภพและความมืดมิด สามารถแปรเป็นพลังที่มอบให้อีกฝ่ายได้ เพียงแต่ต้องเป็นพลังที่ได้รับจากตนเท่านั้น

 

                ..ใช่แล้ว..อาโลอิสกำลังคิดจะถ่ายทอดพลังของตนเองให้กับไคลน์

 

                ใบหน้าขาวที่บัดนี้เริ่มขึ้นสีจัดโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาสีทับทิมไหวระริกด้วยความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ สบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เฝ้ามองมาเงียบๆ ขณะที่ฝ่ามือของเทพบุตรปีกสาขาววางลงบนเอวราวกับคำตกลงเช่นเดียวกับปลายนิ้วของตนเองที่วางลงบนไหล่ของไคลน์  และ..อย่างช้าๆ ริมฝีปากสีจางก็แตะลงบนเรียวปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา เพื่อถ่ายทอดพลังของตนให้กับเทพบุตรหนุ่มตรงหน้า

 

                ....แต่อาโลอิสก็รู้ ว่าสำหรับตัวเองแล้วมันไม่ใช่แค่นั้น

 

                 ข้าอยากจะจูบเขา

 

             แท้จริงแล้ว ตนต้องการเพียงแค่นี้เท่านั้นเอง

 

+++++++++++++++++++

 

 

...ตอนนี้ เผลอทำน้ำตาลหกค่ะ55

//หกชนิดเป็นลิตรๆเลย ฮ่าาาา

แรกๆแอบบู้และคุณพระเอกของเราเกือบจะโดนเอฟซีต่ออีกรอบแล้ว

แต่หลังๆมุ้งมิ้งสุดๆเหลือเกินนนน อยากเปิดเพลง Kiss me ให้เธอจริงจริ๊งงงง //โดนเตะฐานพูดมาก

แล้วเจอกันตอนต่อไปค่าาา
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:34:50
Lost 30 : เพียงเสี้ยวเวลา

 

                 ปลายนิ้วขาวจัด เย็นเฉียบแตะลงบนไหล่คล้ายกำลังลังเล ไม่แน่ใจ ดวงตาสีโลหิตที่ระริกไหว นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองมาด้วยกระแสบางอย่างไคลน์สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นระคนกระวนกระวายที่แม้พยายามปกปิดแค่ไหนก็ยังคงหลุดรอดออกมาได้  ร่างกายที่ขยับเข้ามาใกล้นั้นคล้ายจะอวลด้วยกลิ่นของกุหลาบที่ตนคุ้นเคยเมื่อยามใกล้ชิดในคราวก่อน ทั้งที่แตกต่างหากแต่เจ้าของดวงตาสีโลหิตและเส้นผมสีเข้มนั้นก็มีบางสิ่งคล้ายคลึงกับผู้ที่ปลิดชีวิตจากตนไปในครานั้น

 

                ริมฝีปากบางกดแนบเบาๆ ส่งผ่านไอบริสุทธิ์ของวิญญาณและพลังที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกันมอบให้อีกฝ่าย พลังที่บริสุธิ์ซึ่งจะช่วยเยียวยาบาดแผลและเพิ่มกำลังวังชา ไคลน์รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ลดลงและรับรู้ได้ว่ารอยแผลที่มีเลือดซึมนั้นกำลังถูกสมานเยียวยาช้าๆ แม้จะไม่ได้รวดเร็วเช่นการรักษาด้วยเลือด แต่ก็นับว่าดีมากพอแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ และสิ่งที่ควรทำคือให้เทพบุตรปีกสีดำตรงหน้าผละออกไปเสียก่อนจะหมดเรี่ยวแรงด้วยมอบพลังให้มากเกินไป ทว่าการกระทำกลับสวนทางกับห้วงคิด กลิ่นหอมของกุหลาบที่อายอวลออกมารอบกายนั้นราวกับจะขับกล่อมให้หลงไหล เย้ายวนเสียจนไม่อาจะผละอ้อมแขนออกไปได้ ฝ่ามือหนาโอบรอบเอวอีกฝ่าย เรียวลิ้นที่ถูกตวัดรับยามกดแนบริมฝีปากเพียงแผ่วเบาทำให้ไหล่ผอมสะดุ้งไหว ชาหนึบด้วยความเจ็บแปลบปนวาบหวามเมื่อริมฝีปากคู่นั้นเบียดทับ

 

                แม้กระส่งผ่านพลังที่ตนมอบให้จะต้องมอบผ่านริมฝีปาก ทว่าบัดนี้มันกลับผิดแผกออกไปเมื่อปลายลิ้นนั้นยังคงคลอเคลียไม่ผละไปไหนราวกับจะแกล้งสูบเอาวิญญาณทั้งหมดไปกระนั้น ทว่าหากเทียบกับการแสร้งกอดจูบเพื่อลักพาเอาพลังจากไปการกระทำของอีกฝ่ายกลับอ่อนหวานยิ่งนัก ริมฝีปากที่บดเบียดเข้าคลอเคลีย สัมผัสที่นุ่มนวลหากก็แฝงความเอาแต่ใจ คอยฉุดรั้งไว้เมื่อยามดิ้นรนจะผละออก ก่อนจะค่อยแตะต้องด้วยความอ่อนโยนเมื่อไม่มีท่าทีจะต่อต้าน ท่าทีทั้งหลายนั้นทำให้สมองมึนชา เช่นเดียวกับความคิดที่สะดุดหยุดลงอย่างไม่อาจต้านทานสิ่งใดไหว

 

                ...ถ้าหาก การจะถูกพรากวิญญาณและพลังทั้งหมดจากไปจะหอมหวานเช่นนี้ อาโลอิสคงจะยินยอมให้อีกฝ่ายเอาไปแต่โดยดี และขออยู่กับความทรงจำอันแสนหอมหวนเช่นนี้ตลอดไป

 

                 หากแต่ แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

                หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ อ้อมกอดที่โอบล้อมกายไว้ก็ผละห่าง ราวกับถูกฉีกกระชากออกจากความฝันแสนหวานมายืนอยู่บนความจริงสีทึบหม่น ฝ่ามือของไคลน์ที่ดึงเอาร่างของตนออกไปห่างจากตัวราวกับต้องของร้อนนั้นทำให้หัวใจกระตุกวูบ อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันช้าๆไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากตำหนิกหรือทำสิ่งใดยามเมื่อสบมองดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววตกตะลึงและไม่อาจรับความจริงได้คู่นั้น  ไม่ต้องรอให้อีกคนได้อ้าปากเอ่ยประณาม ตนก็เป็นฝ่ายเบี่ยงกายออกแล้วผละไปนั่งห่างออกไปเงียบๆ

 

                 ยกมือกำแขน รอยบีบที่แรงไม่น้อยยังทิ้งความร้อนและความเจ็บหนึบเอาไว้ ไม่ได้เจ็บมากมายอะไร ไม่ได้เจ็บเลยหากเทียบกับความเจ็บในหัวใจที่ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นจับขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

                 ช่างน่าขันนัก ที่เมื่อครู่ตนเองนั้นยังคงยินดี หัวใจพองฟูเต็มไปด้วยความปิดติเสียจนน่าสังเวช กระทั่งคิดว่าขอตายไปในอ้อมแขนอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ..ไม่เท่าไหร่ ความจริงก็เข้ามากระหน่ำซ้ำเติมว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายรังเกียจตนเช่นไร

 

                กลืนน้ำลายลงช้าๆ หรุบตาลงพลางซุกตัวลงแนบกับแผ่นหินที่เย็นเฉียบเช่นเดียวกับหัวใจ พลังที่มอบให้อีกฝ่ายไปไม่น้อยทำให้ร่ายกายเริ่มล้าหนัก อาโลอิสวางมือลงแนบผืนศิลาสีดำ สูดหายใจลึกๆด้วยหวังจะประคับประคองสติของตนและซึมซับพลังมาเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ต้องเป็นภาระแก่ผู้อื่นอีกครั้ง ทั้งเพื่อบอกตนเองอย่างเงียบงันว่าให้เลิกคาดหวังเฝ้าฝันลมๆแล้งๆเสียที

 

                 ร่างที่ขยับห่างออกไปทันทีที่ดึงเอาอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขน ไคลน์จ้องมองร่างของเทพบุตรปีกสีดำตรงหน้าด้วยความตกตะลึงปนคาดไม่ถึง ตกใจที่ตนเองนั้นหลงไหลและคลั่งไคล้อีกฝ่ายมากเสียขนาดนี้รวมทั้งคาดไม่ถึงว่าความปรารถนาเบื้องลึกบางอย่างจะงอกเงยขึ้นมายามเมื่อได้กกกอดและสัมผัสคนตรงหน้า

 

                    ...มัน ไม่ถูกต้อง และไม่ควรจะเป็นเช่นนี้

 

                กระซิบบอกตนเองอย่างตระหนก ยามสบมองดวงตาสีโลหิตที่จ้องมองมาเช่นกัน ดวงตาที่เคยปรือหวานเบิกกว้างขึ้นแล้วนิ่งอึ้งไปก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว  ไม่ทันที่ตนจะได้เอ่ยปากใด  เจ้าของร่างในชุดสีดำสนิทก็เป็นฝ่ายลุกหนี ขยับกายไปเบียดซุกแผ่นหินเงียบๆ ราวกับสัตว์บาดเจ็บที่ถูกทำร้ายและต้องการที่พักพิง

 

                 อัปกริยาของอีกฝ่ายช่างน่าสงสารเสียจนหัวใจพลันหม่นวูบ  ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆ คิดจะเอื้อมมือไปหาหากแต่ก็ต้องรั้งแขนกลับครั้งแล้ว ครั้งเล่า ความลังเลที่ไม่ควรบังเกิดทำให้นึกหงุดหงิดนัก ทั้งที่ไม่ควรจะสนใจไยดีอีกฝ่าย แต่ท่าทีน่าสงสารเช่นนั้นก็ทำให้อดใจอ่อนไม่ได้ แต่การจะเอื้อมมือไปโดยไม่มีสาเหตุและเหตุผลที่ดีพอ เพียงจะบอกว่า"อยากทำ"นั้นไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง

 

                 ...มันเหมือนข้ากำลังนอกใจฟาราส

 

                 เหมือนตัวข้ากำลังชกชิงแย่งฉวยโอกาสที่อยู่ห่างจากคนรักทำตามความปรารถนาตนเองทั้งที่รู้ว่าไม่ควรยิ่งนัก

 

                ฝ่ามือที่ เอื้อมไปหาเจ้าของแผ่นหลังสีดำชะงักลงครู่หนึ่งแล้วลดลงอีกครั้ง ไคลน์หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ความเงียบดำเนินไปเช่นเดิม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันพลางจ้องมองฝ่ามือของตนแล้วประหวัดไปถึงยามมีอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมแขน กลิ่นหอมยั่วเย้าของดอกกุหลาบเจือโลหิตนั้นทำให้สติเตลิดไปไกล เคลิบเคลิ้มกับจูบหวานๆและรสชาติของอีกฝ่ายเสียจนแทบอดใจไม่ไหว ทั้งที่มันเป็นสัมผัสเพื่อมอบพลัง แต่ยามที่บาดแผลค่อยสมาน อ้อมแขนกลับรัดเอาอีกฝ่ายไว้อย่างไม่รู้ตัว จนเมื่อนึกได้นั่นแหละ จึงต้องรีบดึงตัวอีกคนไว้ให้ห่าง ก่อนจะเตลิดเพริดไปเสียจนทนไม่ไหวเอาจริงๆ

 

                  ไคลน์ถอนหายใจเนิบช้า ยกมือขึ้นสางผมเงียบๆขณะที่เฝ้าบอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

                ไม่....

 

                 ไม่ควรทำ

 

...แม้ว่าความเจ็บปวดที่ตนสัมผัสได้จากดวงตาสีโลหิตคู่นั้นจะฝังลึกอยู่เพียงไรก็ตาม

 

             อาโลอิส...

 

อาโลอิส

 

                เสียงเรียกแผ่วกังวานดังขึ้นหลังจากผลอยหลับไปครู่หนึ่งด้วยความเหนื่อยอ่อน อาโลอิสขมวดคิ้วช้าๆ ลืมตาขึ้นมาและพบว่าตนเองนั้นกำลังนิ่งซบอยู่กับหินศิลาอันเดิม ดวงตาสีโลหิตกระพริบเข้าหากันเงียบๆขณะที่เสียงเรียกที่ดังอยู่ในอนุสติยังคงก้องไม่หยุด

 

                ขมวดคิ้วครุ่นคิด ดวงตามองผ่านร่างของไคลน์ที่นิ่งหลับตาพิงผนังหินออกไปยังเบื้องนอกที่ยังคงมีแสงสว่าง อาโลอิสนิ่งระลึกช้าๆ ที่สุดก็พลันจำไดว่าเจ้าของเสียงเรียกนี้คือใครกัน

 

                 "....เซธ" เอ่ยขึ้นเบาๆ หากเสียงของตนนั้นจะไปถึงอีกฝ่ายหรือไม่ก้ไม่อาจจะรู้ อาโลอิสมองเห็นร่างของไคลน์ขยับไหวและดวงตาของเทพบุตรหนุ่มเปิดขึ้นมมาเงียบๆ ดวงตาคู่นั้นแสดงความกังขาที่ตนเอ่ยเรียกชื่อผู้ที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ด้วย แต่ทว่าอาโลอิสไม่คิดจะอธิบายใดต่อ  เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้วเงยบๆ นิ่งรวบรวมสมาธิและหลับตาลงเพื่อกำหนดกระแสจิตให้มุ่งตรงไปยังผู้ที่เอ่ยเรียกตนไม่หยุดเงียบๆ

 

                 "ข้าเอง เซธ"

 

            "อาโลอิส เจ้าปลอดภัยหรือไม่?" คำถามที่ดังมานั้นเบาแสนเบาแต่ก้ยังพอจับใจความได้ อาโลอิสพยักหน้าเงียบๆก่อนจะเพ่งสติตอบกลับ

 

            "ปลอดภัย แต่.."

 

             "แต่?"

 

              "ไปไหนไม่ได้ ข้าและไคลน์บาดเจ็บ..." นิ่งคิดสักครู่ก็เอยขึ้นเบาๆ "ต้องพัก"

 

             "..เช่นนั้นรึ"

 

                  "เจ้าคุยกับใครอยู่?" น้ำเสียงถามขึ้นด้านหลังดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้อาโลอิสสะดุ้ง หันไปมองสบแววตาที่แสดงความกังขานั้นเงียบๆขณะที่เสียงของเซธพลันขาดหายการติดต่อไปอย่างรวดเร็ว มันแผ่วจางเสียจนไม่อาจรับรู้ได้

 

                 "ข้ากำลังติดต่อกับเซธ" อาโลอิสอธิบายให้อีกฝ่ายรู้ ด้วยว่าไคลน์จะได้เบาใจไปว่าอีกฝั่งนั้นยังปลอดภัยเฉกเช่นเดียวกัน

 

                 "พวกเจ้าติดต่อกันได้อย่างไร?" ไคลน์เลิกคิ้วพลางเอ่ยถามคล้ายฉงน

 

                 "ข้า......" อาโลอิสเอ่ยเพียงแค่นั้นก็นิ่ง ด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองอาศัยพูดคุยกับเซธนั้นควรนำมาบอกอีกฝ่ายด้วยหรือไม่

 

                  "อ้อ ข้าขออภัย" ไคลน์พ่นลมหายใจช้าๆ "ปิศาจเช่นพวกเจ้าก้คงมีวิธีติดต่อสื่อสารกันเยี่ยงปีศาจ ถามไปคงมิอาจเข้าใจหรอก"

 

                 อาโลอิสเม้มปากช้าๆ สีหน้าขุ่นเคืองขึ้นมาวูบหนึ่งของตนคงเล็ดลอดผ่านสายตาอีกฝ่ายไปไม่ได้แน่ ไคลน์จึงส่งเสียงขึ้นจมูกเบาๆแล้วค้อมศีรษะ "ขออภัยที่ล่วงเกิน.."

 

                "อย่าได้พูดเช่นนั้นเลย หากท่านไม่ได้คิดจริงๆ" อาโลอิสตอบกลับเสียงสั้น หลับตาลงเป็นการตัดบทสนทนาและเพื่อพยายามติดต่อกับเซธ อีกครั้ง ทว่าแม้พยายามอย่างไรก็ดูจะไร้ผล ไร้การตอบรับใดๆ เสียงของตนส่งไปไม่ถึงอีกฝ่าย อาจจะเป็นเพราะอ่อนกำลังลงก็เป็นได้ โดยปรกติพลังที่ลดลงก็ทำให้การสื่อสารเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว ในตอนนี้ที่บาดเจ็บและแบ่งเอากำลังของตนไปให้กับไคลน์ การจะติดต่อสื่อสารใดคงยากยิ่งกว่าเดิม

 

                ถอนหายใจแผ่วเบา เปลี่ยนเป็นเอนหลังลงกับแผ่นหินเมื่อไม่อาจทำอะไรได้ ก่อนจะพบว่ามีสายตาที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว อาโลอิสลืมตาขึ้นช้าๆ หันไปจ้องสบตาตาน้ำตาลอ่อนที่มองมาเงียบๆก่อนจะเอ่ยปากบอก

 

                  "...พลังของข้ามีไม่มากพอ คุยต่อไม่ได้แล้ว..ขอโทษด้วย"

 

                 ".........." ไม่มีคำตอบใดออกจากปากของไคลน์ เทพบุตรหนุ่มยังคงจ้องมองตนอยู่เงียบๆ

 

                 "แต่เมื่อครู่เซธติดต่อมา แสดงว่าเขาและฟาราสคงยังปลอดภัยดี ท่านอย่าได้ห่วงเลย" รีบเอ่ยปากบอกข้อความสำคัญที่อีกฝ่ายคงอยากจะทราบนั้นคือเกี่ยวกับคนรักคนสำคัญผู้นั้น หากอาโลอิสยังคงมองเห็นใบหน้าที่เคร่งขึ้นและหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอยู่แบบนั้น ก่อนที่แขนของตนจะถูกดึงรั้งด้วยพละกำลังจากมือหนา ดึงและฉุดรั้งเข้ามาใกล้เสียจนลมหายใจแนบประชิด

 

                  "มีอะ------"

 

                 "...ข้าเจ็บแผล" ไคลน์บอกช้าๆ ละมืออกจากท่อนแขนของอีกฝ่าย ทว่าดวงตายังจ้องเขม็ง

 

                "..เอ๋ เจ็บแผลงั้นหรือ มันกำเริบขึ้นมา รึว่าอาการแย่ลง...." อาโลอิสเบิกตาขึ้นอย่างตกใจไม่น้อย อ้าปากเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ดวงตาสีเข้มตวัดลงไปมองรอยแผลที่อีกฝ่ายมีคล้ายจะขอสำรวจ หาเพียงครู่ตนก็ต้องเงียบ เมื่อฝ่ามือของไคลน์วางลงบนบั้นเอวเงียบๆพลางออกแรงดึงให้ขยับเข้าหา

 

                วางฝ่ามือลงบนไหล่ของอีกฝ่ายอีกครั้ง สบมองแววตาที่ดื้อดึงและหงุดหงิดใจราวกับกำลังท้าทายให้ตนออกแรงผลักให้ห่างออกไปเบื้องหน้า แขนทั้งสองข้างของไคลน์โอบรอบร่างขงตนไว้ เช่นเดียวกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาประชิด แสดงออกถึงสิ่งที่ต้องการให้ตนกระทำอย่างเงียบๆ ทว่าชัดเจนยิ่งนัก อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ เป้นฝ่ายหลับตาลงเสียดื้อๆเมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายแนบเข้ามาใกล้พร้อมเสียงหัวใจที่เต้นระรัวเสียจนเจ็บแปลบ

 

                 ริมฝีปากถูกบดขยี้อีกครั้ง ดื้อดึงและเอาแต่ใจราวกับกำลังหงุดหงิดและแสดงความเป็นเจ้าของเหมือนเด็กเล็กๆ ความปรารถนาที่แทรกเข้ามาทำให้เนื้อตัวสั่นระริก อาโลอิสพยายามส่งมองพลังของตนให้กับอีกฝ่าย แต่กลับพบว่าคนผู้นั้นยอมรับเอามันไปน้อยกว่าน้อยราวกับจะแกล้ง ซ้ำริมฝีปากนั้นยังขยับบดเบียดแนบชิด คลุกเคล้าเสียจนไม่มีช่องว่างให้ได้หายใจ

 

                 ..ราวกับ..จูบที่เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ จูบของคนรัก จูบที่ไม่ใช่เพียงการรับและส่งมอบพลังอย่างที่กำลังกระทำอยู่

 

                  ...แต่..แต่มันจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อ..

 

                "ฮึ..ก........" ส่งเสียงครางแผ่วออกมาเมื่อริมฝีปากถูกกดย้ำซ้ำเสียจนเจ็บแปลบ เนื้อตัวสั่นระริกอย่างคาดไม่ถึงเมื่ออ้อมกอดของอีกฝ่ายยิ่งกระชับแน่นราวกับจะไม่ยอมให้ผละออกไปไหน แต่ถึงอย่างไรลมหายใจที่กำลังใกล้ขาดห้วงก็บอกให้ตนเองผละออกไปก่อนจะต้องสิ้นสติกับจูบอันร้อนแรงของอีกฝ่าย จูบที่ไม่ได้สนใจจะช่วงชิงเอาพลังที่ตนบรรจงมอบให้ไปอีกแล้ว

 

                  อาโลอิสออกแรงผลักไหล่อีกคนออกไป แต่การดิ้นอย่างไร้ผลรังแต่จะทำให้อ้อมแขนนั้นรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น  ร่างสะท้านเฮือกด้วยความวาบหวามที่ว่ายวนไม่หยุด สติสัมปชัญญะที่เริ่มมึนเบลอกำลังวนเวียนอยู่ในคำถามที่เต็มไปด้วยความกังขา ว่าอีกฝ่ายกำลังกลั่นแกล้งตน หรือนี่คือวิธีการสูบเอาพลังและวิญญาณทั้งหมดไปกันแน่ ก่อนทุกสิ่งจะดับวูบลง

 

+++++++++++++

 
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:35:03


             อาโลอิส

 

อาโลอิส

 

                เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นก้องในอนุสติทำให้อาโลอิสค่อยกระพริบตาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า  รับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนของอ้อมแขนที่ตนซุกตัวอยู่ ดวงตาสีแดงกระพริบช้าๆ สติที่หลุดลอยไปเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายค่อยกลับมาถึงตัวทำให้หน้าแดงวาบ แม้จะพยายามขยับตัวเบาๆแต่กระนั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของไคลน์ก็ค่อยปรือเปิดขึ้นมามองสบตาตนเงียบๆราวกับคำถาม

 

                 "..ข้า...." อาโลอิสสบตาคู่นั้นเอ่ยวาจากุกกักอย่างที่ไม่เคยเป็น "...ข้าต้อง..คุยกับ..เซธ"

 

                  ไคลน์ขมวดคิ้วหากแต่ก็พยักหน้า ทว่าอ้อมแขนกลับกอดรัดอีกฝ่ายไว้แน่น "..คุยไป"

 

                  "....แต่" อัปกริยานั้นทำให้ผิวแก้มแดงวาบ

 

                  "คุยไปสิ รีบไม่ใช่หรือ" ไคลน์ตอบกลับสั้นๆ และนั่นทำให้ผู้ฟังต้องค่อยๆรวบรวมสติตนเองและพยายามเพ่งจิตเพื่อติดต่อกับเซธอีกครั้ง แม้จะเป็นไปได้ยากนัก ด้วยอ้อมแขนหนายังคงกกกอดไว้และกระชับราวกับหวงแหนนักหนา

 

              "เซธ..."

 

             "อาโลอิส" น้ำเสียงตอบกลับแม้จะแผ่วเบาแต่ก็เป็นของอีกฝ่ายทำให้เบาใจไม่น้อย "เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหายไป.."

 

              "...ข้า.." อาโลอิสตอบอีกฝ่ายพลางหรี่ตาทองไปรอบๆ พบว่าตนเองนั้นผล็อยหลับไปนานพอควรจนรอบกายบัดนี้เหลือเพียงความมืดมิด "ยังบาดเจ็บอยู่" ที่สุดก็ไม่อาจตอบอะไรไปได้ จึงเลือกบอกอีกฝ่ายไปสั้นๆ

 

              "...เจ้าบาดเจ็บมากไหม?" เซธเอ่ยปากถามกลับ

 

             "...ข้าและไคลน์ถูกราอาซาสโจมตี ตอนนี้บาดเจ็บ พอควร"

 

             "ราอาซาส.." น้ำเสียงแสดงความตกใจของเซธดังขึ้นเงียบๆ "แผลนั่นควรรีบรักษา เจ้าต้องการให้ข้ารีบไปรับตัวรึเปล่า"

 

              ".........."

 

            "อาโลอิส?"

 

            "แล้วทางนั้นเป็นอย่างไร บาดเจ็บอะไรหรือไม่?" แทนที่จะตอบคำถามที่ถูกสงสัย อาโลอิสกลับเป็นฝ่ายถามกลับ

 

               "ไม่ ไม่มีใครบาดเจ็บ สัตว์ร้ายพวกนั้นมันรุมทำร้ายพวกเจ้า ตอนนี้ข้าและฟาราสรออยู่ที่นัดพบ"

 

              "..ดีแล้ว" อาโลอิสผ่อมลมหายใจช้าๆ พลันรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้น ทำให้ตนต้องเงยหน้าไปมองผู้กระทำ สบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของไคลน์ที่จ้องมองมาอย่างจริงจังเสียจนผิวแก้มร้อนวาบ รีบเสหลบตาแล้วกระแอมกระไอเบาๆ

 

             ".....อาโลอิส?" คงเพราะเงียบไปเสียจนทางนั้นรู้สึกสงสัย เสียงของเซธจึงดังขึ้น

 

             "ไม่มีอะไร ข้า..." เงียบลงไปอีกครั้ง ทั้งที่ควรจะเอ่ยปากบอกให้เซธและฟาราสเข้ามาสมทบ ทว่าความคิด

บางอย่างกลับวาบผ่าน อาโลอิสขบริมฝีปากตนเองเบาๆ ก่อนจะสูดหายใจลึก

 

             "..ตอนนี้ข้ากับไคลน์บาดเจ็บ ข้ามีเพียงปีกเดียว จะเดินทางย่อมลำบาก ให้เจ้ามาช่วยก็เท่ากับต้องทิ้งฟาราสไว้ ตอนนี้ข้ากับไคลน์หลบหนีอยู่ใต้ผา..ไม่ควรเข้ามา อาจจะกลายเป็นเหยื่อ "

 

             "อาโลอิส"

 

            "อาจจะมีสัตว์ร้ายดักอยู่ที่ปากทางก็ได้ กลิ่นของเทพที่พวกมันตามมาจะทำให้เจ้าไม่ปลอดภัย ไม่ต้องตามมา เซธ"

 

            "........."

 

             "ตอนนี้ข้าบาดเจ็บอยู่ เสียงของข้าอาจจะส่งไปไม่ถึงในบางครั้ง หากมีอะไรสำคัญ ค่อยติดต่อมา"

 

            "อาโลอิส"

 

              "มีอะไรหรือ?" อาโลอิสถามกลับเร็วๆ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยคัดค้านความคิดตน

 

             "..พยายาม...ก็แล้วกัน"

 

                ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังชะงัก ก่อนจะสัมผัสได้ถึงนัยยะบางอย่างที่สอดแทรกมาจากคำพูดของอีกฝ่าย อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง ผิวแก้มร้อนวาบเมื่อรู้ว่าเซธนั้นสามารถรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของตนหมดสิ้น รวมถึงห้วงคิดอันน่ารังเกียจทั้งหลายนี้ด้วย

 

                 ..มันเป็นเพียงข้ออ้าง ที่จะอยู่ที่นี่ให้นานขึ้นอีกเพียงนิด..

 

                 เพียงแต่หวงแหน และโหยหา ต้องการเก็บรักษาระยะเวลาในอ้อมแขนของคนที่ตนจำหลัก รักใคร่มาเนินนานไว้..

 

                 หรุบตาลงด้วยความละอาย หากแต่แรงกอดกระชับที่มากขึ้นขึ้งไคลน์กลับยิ่งทำให้หัวใจสั่นไหว อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ เอนตัวพิงไหล่อีกฝ่ายราวกับการติดต่อกับเซธนั้นช่างแสนเหนื่อยยากเสียจนต้องทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

 

                 ..แต่เปล่าเลย

 

                ข้าเพียงแต่ สังเวช และสมเพชตนเองก็เพียงเท่านั้น

 

                 ไม่ต้องบอกก็ย่อมรู้ ตนเองนั้นสูญเสียทั้งคุณสมบัติและสิ่งที่ควรมีในฐานะผู้เคยเป็นมือขวาของเซดิสไปเรียบร้อยแล้ว อาจจะสูญเสียไปนับแต่รู้ว่ามีหัวใจรักมอบให้บางคนและบางสิ่ง รักที่ทำให้หัวใจโอนเอนหมดสิ้นซึ่งความยุติธรรม ไร้การไตร่ตรอง ไร้ความคิด ไร้พลังใดๆที่จะต่อต้านและต่อกรกับความรักที่ตนประสบ เมื่อมีรักแล้ว..จะเทพบุตรผู้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ราวกับคนโง่เง่าผู้หนึ่งเท่านั้น

 

                 ตัวข้าก็เช่นเดียวกัน..

 

                ไม่ใช่เทพบุตรผู้ไร้หัวใจเช่นเดิม หากแต่เป็นเทพบุตรปีกสีดำผู้หลงงมงายอยู่แต่กับสิ่งที่เรียกว่าความรักใคร่หลงไหลอันไม่มีขัดจำกัด ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างให้อีกฝ่ายหันมามอง และบัดนี้ก็ยังยอม..ยอมสูญเสียทุกสิ่งแม้กระทั่งโอกาสที่จะได้รับพลังและปีกของตนคืนเพื่อจะได้อยู่เคียงข้างกับไคลน์เพียงไม่กี่ชั่ววัน..

 

                 ช่างโง่เขลา..โง่งมยิ่งนัก

 

                 ..แต่กระนั้น ช่างน่าแปลกเหลือเกินที่ข้ากลับนึกยินดีเสียเต็มประดา

 

                "...เจ้าเจ็บแผลงั้นหรือ?" เงียบไปสักพัก ไคลน์ก็เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ให้ดวงตาสีโลหิตปรือขึ้นมามองสบ ท่ามกลางความมืดมิดและเย็นยะเยือกของยามค่ำคืน จึงไม่แปลกอะไร หากจะเบียดซุกกายในอ้อมแขนของอีกฝ่ายมากขึ้น ด้วยข้ออ้างถึงความเหน็บหนาว

 

                "ไม่..ข้าเพียงแต่..."

 

                "คงจะเหนื่อย" ไคลน์เอ่ยสรุปสั้นๆ "...เจ้ามอบพลังให้ข้า..สองครั้งแล้ววันนี้"

 

                 "........" อาโลอิสรับฟังแล้วพยักหน้าเงียบๆ ไม่ตอบอะไร นึกขอบคุณความมืดมิดที่ทำให้ตนซุกว่อนใบหน้าแดงก่ำได้ดดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับความสงสัยในใจที่ล้นปรี่..

 

                ...สองครั้งที่ว่านั้น..มันคือการมอบพลังให้จริงๆน่ะหรือ

 

                 อดจะคิดสงสัยไม่ได้ แม้จะไม่อยากเข้าข้างตัวเองแต่ร่องรอยของริมฝีปากที่ทาบเรียวปากของตนก็ชัดเจนยิ่งนัก ราวกับถูกจูบย้ำซ้ำด้วยความเอาแต่ใจมากกว่าจะเป็นการรับเอาพลังอันบริสุทธิ์ในตัวเพื่อไปรักษาบาดแผล

 

                ความสงสัยนี้ไม่ได้ตกอยู่แต่ในใจของอาโลอิสแต่เพียงฝ่ายเดียว ไคลน์ผู้ซึ่งบัดนี้ยังกระชับอ้อมแขนโอบกอดร่างอีกฝ่ายแน่นด้วยความไม่เข้าใจตนเองว่าทำไปเพื่อสิ่งใดก็จมอยู่ในห้วงคิด เทพบุตรหนุ่มจ้องมองร่างของอีกฝ่ายซึ่งตนสามารถมองเห้นได้ชัดเจนแม้ในความมืดมิด จ้องมองไหล่ผอมบางและเส้นผมยาวจนถึงกลางหลังของอีกฝ่าย ก่อนจะนึกไปถึงการรับมอบเอาวิญญาณและไอบริสุทธิ์ของพลังเพื่อมารักษาตนเองนั้น..

 

                ที่ผ่านมานั้น การรักษาด้วยวิธีนี้ ส่วนมากจะกระทำกันโดย"คู่ครอง"เท่านั้น ด้วยว่าวิธีการของมันคือการผูกสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง และอีกสาเหตุก็ด้วยน้อยนัก ที่จะมีเทพองค์ใดยินยอมมอบให้อีกฝ่ายได้รับพลังและกลืนกินวิญาณของตนเช่นนี้ หากไม่มีความสัมพันธ์ที่แน่นเฟ้นรักใคร่เป็นสิ่งที่ใช้มัดใจ ก็ยากแสนยากที่จะมีผู้ใดยินยอม

 

                ..หากยินยอม หากมอบให้ ก็มิต่างจากการมอบเอาวิญญาณและทุกสิ่งของตนให้คนผู้นั้นถือครอง

 

                แม้จะช่วยเยียวยารักษากำลังกายของคนผู้นั้น แต่ก็จะทำให้ผู้ที่มอบให้นั้นอ่อนกำลังและเหนื่อยล้าลงเช่นที่อาโลอิสกำลังเป็นอยู่

 

                 แล้วเช่นนี้ อีกฝ่ายก็ยังยอมอย่างนั้นหรือ?

 

                  เจ้า...รักข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

 

                  จ้องมองคนในอ้อมแขนอีกครั้งอย่างใคร่ครวญ ไคลน์ค่อยนิ่งคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาช้าๆ แม้จะรับรู้จากถ้อยคำจากปากของอีกฝ่าย แม้จะรู้แล้วว่าที่สุดความคิดของตนนั้นผิดพลาด อาโลอิสแท้จริงนั้นหลงรักเขา แต่กระนั้น ความคิดที่ฝังใจมาเนินนานคล้ายจะไม่ยอมเชื่อฟัง หลายคราที่ยังคงกังขาในความรู้สึกที่อีกคนมี หลายครั้งที่ยังคงพลั้งปากออกไปว่าอีกฝ่ายโกหก..เอ่ยว่ารัก ใครต่างก็พุดได้..มันน่ากังขามิใช่หรือว่าอาโลอิสแท้จริงแล้วคิดเช่นไร เฉพาะเมื่อมองเห็นท่าทีสนิทสนมเสียเหลือแสนกับการาเวนสีดำผู้มีนามว่า"เซธ"ตนนั้น

 

                  ...แต่ในยามนี้..ที่อีกฝ่ายยอมมอบสิ่งสำคัญของตนให้ ไคลน์ก็ต้องมานิ่งครุ่นคิดทั้งหมดอีกครา

 

                  รึแท้จริง จะเป็นข้าที่เหยีบย่ำหัวใจรักของเจ้ามาตลอด..

 

                   "เซธ" เงียบไปนาน..ทั้งต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในห้วงคิดของตน เสียงของอาโลอิสก็ดังขึ้นเงียบๆ หากใจความชื่อแรกที่เอ่ยออกมานั้นทำให้ไคลน์ขมวดคิ้ว

 

                 "....อะไร" น้ำเสียงของตนนั้นห้วน..แม้จะไม่บอกก็ทราบดีเลยเชียว

 

                 "..เมื่อครู่ เขาบอกว่าได้เดินทางไปถึงที่นัดหมายกับฟาราสแล้ว ไม่มีอะไรใครบาดเจ็บ ทุกอย่างราบรื่น"

 

                 "....ทราบแล้ว" ไคลน์รับคำเบาๆ ผ่อนลมหายใจลงช้าๆ นึกโล่งใจที่ฟาราสปลอดภัย..ขณะเดียวกันก็อดแปลกใจวูบไม่ได้ ที่มัวแต่จมจ่ออยู่ในห้วงคิดของตนเสียจนลืมเทพบุตรผู้มีดวงตาสีท้องฟ้า คนรักของตนไปเสียสนิท

 

                 ...ช่างเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดเอาเสียเลย

 

                 "เซธบอกจะเดินทางมารับ แต่..ข้าเห็นว่ามันอันตรายจึงบอกปัดไป.." อาโลอิสเอ่ยอย่างระมัดระวัง พลางมองใบหน้าอีกฝ่ายซึ่งมีท่าทีเคร่งเครียดขึ้น "...รอ..เวลาให้หายดีก่อน แล้วเราจะไปสมทบ..."

 

                 เสียงที่แผ่วค่อยลงจนเเทบเป็นกระซิบบ่งบอกว่าผู้เอ่ยนั้นรู้สึกไม่มั่นใจเพียงไร นั่นทำให้ไคลน์ละออกมาจากภวังค์ในที่สุด เทพบุตรหนุ่มครุ่นคิดตามคำพูดอีกฝ่าย แม้จะเห็นด้วยเรื่องที่ไม่ควรเดินทางมารับในยามนี้เพราะสัตว์ร้ายอาจจะดักซุ่มอยู่ แต่สำหรับตนและอาโลอิส การจะพยายามเดินทางออกไปแม้จะยังบาดเจ็บ ใช่จะเป็นไปไม่ได้

 

                   ...แต่เหตุที่บอกว่ารอให้หาย...

 

                  "ข้า...." เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นใกล้หูทำให้อาโลอิสชะงัก เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของไคลน์ด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ ทั้งหวาดกลัวว่ากลอุบายแสนสกปรกของตนจะถูกล่วงรู้และปฏิเสธแถมเยาะเย้ยซ้ำ  แววตาของอีกคนนั้นบ่งชัดว่ารับรู้สาเหตุของการกระทำทั้งหมดแล้ว ช่างแสนน่าละอายจนต้องหลบตาวาบ หากกลับรู้สึกถึงอ้อมแขนที่กอดรัดแน่นขึ้นและร่างของอีกฝ่ายที่โถมเข้ากอดเงียบๆ

 

                 "เจ็บแผลอีกแล้ว..."

 

                  ถ้อยคำนั้นดังขึ้นเบาๆราวกับกระซิบ หากแต่มันไม่ต่างกับสัญญาณของการกระทำบางอย่าง อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆเงยหน้าขึ้นไปสบตาและมองใบหน้าคมที่ตราตรึงซึ่งโน้มลงมาหาแล้วกดริมฝีปากเบียดทับอย่างแผ่วเบา ครานี้ไม้มีแม้แต่การสูบเอาพลังหรือไอวิญญาณใดอีกแล้ว เป็นเพียงจูบที่หวานซึ้ง อันไม่ควรจะเกิดขึ้นในที่แห่งนี้ และกับพวกเขาทั้งคู่เลยสักนิด

 

                 แต่กระนั้น อ้อมแขนที่โอบล้อมไว้ ความอบอุ่นที่คอยเยียวยาความเหน็บหนาว และกลิ่นหอมที่ยังคงอวยอายกลับช่วยปัดทิ้งความสับสนในใจไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยเยียวยาหัวใจทีเจ็บช้ำให้กลับคืนมาอย่างง่ายดายยิ่งนัก

 

                 แม้ความสงสัยยังจะไม่ได้คำตอบ แม้คำถามที่อยู่ในใจจะยังค้างคาและเฝ้ารอให้ช่วยไข แม้จะยังมีหลายสิ่งมากมายรออยู่เบื้องหน้า แต่คนสองคนในยามนี้ก็ทำได้เพียงปล่อยมันให้เป็นไป ไร้ถ้อยคำใดจะเอ่ยต่อกัน นอกจากพร่ำมอบจูบหวานๆซ้ำไปซ้ำมา

 

                  ....อ้อมกอดในคืนที่หนาวเหน็บ..ทำไมจะไม่เป็นที่ต้องการเล่า

 

+++++++++++++++

 

 

 

....อารมณ์ตอนนี้มันยังกับลักลอบเล่นชุ้กันจริงๆ

ไม่ใช่อารมณ์ล่ะ นี่คือการเล่นชุ้ฟฟฟฟ //ฟาราสตบ

กลับมาหลังจากหายไปนานพอสมควร แฮร่ กลับมาแล้วนะคะ แว้บมารับวันหยุดเลยทีเดียววว  พร้อมกับตอนหวานๆน้ำตาลหยด คาดว่าจะหวานเป็นแบบนี้สักระยะก่อนจะปวดตับขั้นต่อไปกันค่ะ 55

 

หนังสือยังเปิดจองอยู่นะค้าาาาาาาา 
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 16-07-2014 21:35:56
 Lost 31 : อีกฟากฝั่ง

 

 

 

        เชิงผาสูงชันประกอบมาจากหินและเนื้อดินสีเข้มกรอปกันเป็นเนินดินสูงใหญ่ เบื้องล่างหุบเหวคือความมืดมิดที่มีเสียงโหยหวนและคำรามอันน่าหวาดหวั่นแว่วมาตามสายลม สรรพสิ่งโดยรอบมีเพียงต้นไม้สูงใหญ่ไร้ใบและสีแดงของฝุ่นผงและสายลมที่หอบเอาเศษดินเศษทรายคละคลุ้งมาปะทะใบหน้า ในดินแดนที่ไม่ปรากฏรูปร่างของดวงอาทิตย์หรือพระจันทร์ มีเพียงผืนฟ้าที่ไร้เมฆหมอกยาวสุดลูกหุลูกตา ณ ที่ๆพวกตนได้ยืนอยู่ ดูราวกับเป็นจุดสิ้นสุดของผืนพิภพ

 

 

 

        เสียงเห่าหอนของบรรดาสัตว์ร้ายหรือราอาซาสที่เคยตามติดบัดนี้หายไปหมดแล้ว รอบกายไร้สิ่งมีชีวิตใด แม้บรรดาวิญญาณหรือปีศาจ สัตว์ร้ายตนไหน ก็ดูจะรับรู้ได้ถึงภยันตรายและไม่เฉียดเข้ามาใกล้เชิงผาแห่งนี้ที่มีหุบเหวลึกอันเป็นที่อยู่ของ"สิ่งนั้น"

 

 

       สิ่งนั้นที่ว่า คืออสูรกายอันชั่วร้ายที่กำเนิดขึ้นมาใต้หุบเหวอันมืดทึบแห่งนี้ เจ้าของเสียงร้องคำรามที่แผดก้องสะเทือนไปทั่วทั้งหุบผา แม้จะยังไม่อาจมองเห็นตัวตนหรือรูปร่างของมัน ทว่ากระแสความเย็นยะเยือกและกลิ่นอายของความชั่วร้ายที่คละคลุ้งด้านล่างก็มีมากพอแล้วที่จะทำให้เทวดาผู้เคยอยู่แต่บนสรวงสวรรค์รู้สึกพรั่นพรึง

 

 

 

      ฟาราสนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ต้นไม้สูงทว่าไร้ใบนี้กลายเป็นที่พักพิงของพวกตนมาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ครั้งหนีมาจากฝูงราอาซาสได้ เซธก็นำพาตนมายังจุดนัดพบ ซึ่งก็คือเชิงผาแห่งนี้ ทว่าคนรักของตน ไคลน์ และอาโลอิสเทพบุตรปีกสีดำผู้นั้นกลับยังไม่มาถึง แม้จะรอจนจวบสว่างและเย็นของอีกวันก็ยังไม่มีวี่แวว ทำให้ฟาราสนึกหวั่นเกรงนักว่าทั้งสองจะเสียท่าถูกทำร้ายไปเสียแล้วยิ่งนัก

 

 

      "รออยู่ตรงนี้" นี่คือคำสั่งที่ตนได้รับหลังจากผ่านไปในอีกวัน ฟาราสขยับตัวด้วยความอึดอัด ทว่าก้จำต้องพยักหน้ารับไปอย่างเสียไม่ได้ด้วยรู้ว่าตนไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ แม้นึกอยากจะไปตามหาคนรักของตนด้วยความห่วงใย แต่ในที่แห่งนี้ที่ตนไม่เคยคุ้น การจะออกไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเสียเท่าไหร่ แม้ว่าเหล่าเทพเทวดานั้นไม่อาจะ"ตาย"ได้อีกครั้ง แต่การที่วิญญาณสูญสลายนั้นยังเกิดขึ้นได้อยู่ วิญญาณนั้นต่างกับร่างกาย ร่างของพวกเขานั้นสามารถสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อไรห่ก็ได้ ต่างกับ"วิญญาณ"ที่หากสูยสลายไปแล้วก็มิอาจกลับคืน 

 

 

    ..ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันดับสลาย แม่้สิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าอมตะก็ไม่อาจหลีกพ้น

 

 

      ฟาราสถอนหายใจแผ่วเบาขณะที่ดวงตามองไปยังหุบเหวเบื้องล่างอีกครั้ง นึกหวาดหวั่นชะตากรรมของตนในยามที่ต้องพบเจอกับอสูรกายใต้ผืนพิภพตนนั้นไม่น้อย แม้คราแรกจะตามผู้เป้นที่รักมาด้วยความเชื่อมั่นและต้องการจะอยู่ใกล้ๆทั้งที่ตนเองไม่เคยชินเอาเสียเลยเกี่ยวกับเรื่องการสู้รบเช่นนี้ แต่สังหรณ์บางอย่างบอกกับตนเงียบๆว่าหากไม่ตามไคลน์มาแล้ว เมื่อมี"บางสิ่ง"เกิดขึ้น ตัวเขาจะไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีกต่อไป

 

 

    "บางสิ่ง"..เป็นต้นว่าด้วยสายตาของทั้งสองคนนั้น..

 

 

     ขมวดคิ้วจางๆพลางไล้เปลือกไม้สีน้ำตาลแก่เบาๆ ต้นไม้ที่ตนนึกว่าไร้ชีวิตนี้แท้จริงเซธบอกว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่ จะยังเติบใหญ่และหยั่งรากลึกต่อไปหาได้เหี่ยวแห้งไปเช่นปรกติไม่ เป็นพืชพันธ์ที่สลัดใบไม้ลงเพื่อปรับตัวให้ยืนหยัดในดินแดนที่แสนโหดร้ายมีชีวิตอยู่บนหุบเหวที่แม้แต่สัตว์อสูรก็ยังไม่กล้าย่างกราย

 

 

      ...และเมื่อถูกสายตาที่ทั้งแฝงความรักใคร่และเจ็บปวดคู่นั้นจ้องมองบ่อยเข้า จะมีวันใด..ที่ต้นไม้แห้งไร้ใบจะกลับมามีชีวิตรึเปล่า?

 

 

      ความกังวลเจือจางแผ่ปกคลุมหัวใจ ฟาราสรู้สึกผิดไม่น้อยที่หัวใจเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่คนรักของตนแทนที่จะตระหนักถึงภารกิจที่ต้องกระทำ แต่กระนั้น การจะไม่สนนั้นเป้นไปไม่ได้ เมื่อเซธได้บอกว่าทั้งคู่นั้น"ยังมีชีวิตอยู่"แต่กลับหายไปด้วยกันและยังไม่กลับมา..อย่างน่าสงสัย

 

 

       ไคลน์..หรือเจ้าจะ..

 

 

      ความคิดบางสิ่งที่ไม่ควรก่อเกิดแล่นวาบผ่านทำให้หัวคิ้วขมวดแน่น..

 

 

     "...ขมวดคิ้วมากไป เดี๋ยวน้ำหน้างามๆของท่านก็ย่นหมดหรอก" น้ำเสียงที่ดังขึ้นเรียบๆทำให้ละออกจากภวังค์ ฟาราสสะดุ้งน้อยๆ เงยหน้าขึ้นมองด้านบนหาต้นกำเนิดเสียงโดยพลัน ตนยังสามารถเห็นถึงเมื่อยามร่างของการาเวนสีดำตัวใหญ่ตัวนั้นค่อยกลายร่างเป็นมนุษย์ผู้มีเส้นผมสีเข้มและดวงตาสีแดงจัดจ้า

 

 

     "...ขอบคุณในความหวังดี" ได้แต่เพียงตอบรับไปเท่านั้น ฟาราสกดหัวคิ้วลึกขึ้นอีกนิดก่อนจะคลายออก ด้วยรู้ว่าตนนั้นนึกเคืองขุ่นไปก็ไม่ได้อะไร ระยะเวลาที่อยูร่วมกันมาตั้งแต่หลบหนีจากราอาซาส ทำให้ตนรู้ว่าเซธผู้นี้มีนิสัยกวนโมโหมากเพียงไร มากเสียจนนึกชื่อชมอาโลอิสผู้นั้นอยู่ในใจที่ยังคงรักษาสีหน้าให้นิ่งสงบได้แม้ในยามต้องเจอกับการทำตัวเฉกนี้

 

 

      เซธเพียงโคลงศรีษะรับ ก่อนจะเอ่ยบอกเบาๆ "ข้าติดต่อทั้งสองคนอีกครั้งได้แล้ว"

 

 

     "เช่นนั้นหรือ ข่าวคราวเป็นอย่างไรบ้าง?" ดวงตาสีท้องฟ้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังเงยขึ้นมามองสบ ประกายวิวับในแววตานั้นทำให้เซธถอนหายใจแผ่วเบา ..ก็ด้วยสิ่งที่ตนรู้มา..มันช่างเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจคนผู้นี้นัก

 

 

    แต่กระนั้น ตนก็ยังคงปล่อยให้มันเป็นไป

 

 

    ...เพราะอยากรู้..เจ้า จะสามารถเอาชนะได้ จะนำมันมาครองครองได้ หรือท้ายที่สุด จะพ่ายแพ้ย่อยยับอีกครั้งกันแน่

 

 

   อาโลอิส

 

 

 

        "ทั้งสองตนถูกราอาซาสทำร้าย..." ข้อความแรกที่ได้รู้ทำให้ฟาราสถึงกับนิ่ง "ทั้งไคลน์และอาโลอิส แม้จะไม่บาดเจ็บสาหัสถึงตาย แต่ก็ไม่อาจรักษาตัวให้หายและตามมาได้โดยเร็ว"

 

 

         "............." พยักหน้ารับช้าๆ ด้วยตนนั้นพอจะรู้ เมื่อเกิดบาดแผลด้วยสัตว์ร้ายแล้วยากจะรักษา แม้จะใช้เลือดของเทพบุตรปีกสีขาวมาใช้ได้ แต่กับไคลน์หากมีแผลแล้วใครจะช่วยเหลือได้กัน ในเมื่อเลือดของอาโลอิสผู้นั้นรังแต่จะเป็นพิษ ไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย ซ้ำยังเหลือเพียงปีกเดียว ไม่อาจบินได้เสียอีก

 

 

        "...กว่าจะหายคงอีกนานพอควร..ภารกิจจะยืดเวลาออกไปอีก" คำพูดของเซธทำให้ตนนิ่งฟังเงียบๆ

 

 

        "ข้าทราบแล้ว"

 

 

       "ฉะนั้น...เราควรรอยู่ที่นี่" เซธเอ่ยปากสรุปสั้นๆ หากข้อความนั้นทำให้ฟาราสชะงัก

 

 

      "ที่นี่?" หมายถึงปากเหวอันเป็นที่สิงสถิตย์ของมารร้าย และบนต้นไม้ที่ไร้ใบต้นนี้น่ะหรือ?

 

 

      "ใช่..อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าไปที่อื่น มีเพียงอสูรตนเดียวให้เฝ้าระวังตัว" คำตอบของเซธนั้นทำให้ฟาราสขมวดคิ้วประท้วง มีอสูรกายเพียงตัวเดียวก็จริงแต่เป็นอสรูผู้น่ากลัวเสียจนต้องลงมาปราบเลยมิใช่หรือ

 

 

      "รึท่านเทพคิดจะไปที่อื่น ข้าก็ไม่ว่า"

 

 

      "ข้ามีชื่อของตน ท่านเซธ" ฟาราสเอ่ยประท้วงทันที ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซธจึงชอบเอ่ยนามของตนเช่นนี้ราวกับจะประชดประชัน

 

 

      "ขออภัย" เซธกระตุกยิ้มพลางหัวเราะ "เพียงแต่ ข้าไม่คิดว่าตนจะได้รับอนุญาตให้เรียก.."

 

 

       "...หากท่านคิดว่าตนเองต้อยต่ำถึงเพียงนั้นก็ตามใจเถิด" ฟาราสถอนใจช้าๆ ราวกับเหน็ดเหนื่อยที่จะต่อคำ

 

 

       เซธยิ้มบางๆ พลางจ้องมองผู้พูดด้วยแววตาบางอย่าง "อาจเป็นอย่างที่เจ้าพูดก็ได้ ฟาราส"

 

 

   ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังประหลาดใจเสียจนต้องหันไปมอง ทว่าร่างของคนผู้นั้นกลับกลายเป็นการาเวนตัวใหญ่ไปเสียแล้วพร้อมทั้งกางปีกขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้ที่อยู่สูงที่สุด ดวงตาสีทับทิมมองไปรอบๆราวกับจะระวังภัย ขณะที่บนขนอกบริเวณใต้คอ มีเม็ดทับทิมสีแดงสดส่องประกายระยับ

 

 

     มองมันด้วยความรู้สึกทึ่งกึ่งฉงน ด้วยที่ตนรู้ ผู้ที่สามารถจำแลงกายเป็นสัตว์ได้นั้นมี แต่ไม่อาจแปลงกายบ่อยเกินไปด้วยมันเสียพลังนักหนา แต่ทว่ากับเซธ เจ้าตัวมักอยู่ในร่างของการาเวนมากกว่าร่างแท้จริงของตนเสียด้วยซ้ำ

 

 

      ไวเท่าความคิด ฟาราสจึงเอ่ยปากถาม "เหตุใด..ท่านจึงชอบอยู่ในร่างนกมากนัก"

 

 

      "ข้าไม่ได้ชอบ" ดวงตาสีแดงของการาเวนตัวใหย่หันมาจับจ้องพร้อมริมฝีปากที่ขยับเป็นถ้อยคำ คำตอบนั้นทำให้ยิ่งนึกสงสัย

 

 

       "แล้วเพราะเหตุใดเล่า?"

 

 

      "ข้าต้องคำสาป...." อีกาตัวนั้นกระพือปีกเบาๆ ดวงตาที่จ้องกลับมานั้นแฝงแววคุกคามอยู่ในที "ต้องอยู่ในร่างของอีกาตัวนี้ชั่วนิรันดร์...มีอะไรที่เจ้าข้องใจอีกไหม"

 

 

      "ไม่แล้ว...ข้า ขออภัย" ฟาราสหลบตาคู่นั้นวูบ รีบเอ่ยปากบอกทันทีก่อนจะหันกลับมามองที่เดิม เทพบุตรหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ หนาวสะท้านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อถูกจ้องมองอย่างน่ากลัวเช่นนั้น คำสาป...สิ่งที่คนผู้นั้นพบเจอคงจะน่ากลัวนักเป็นแน่ มิฉะนั้นคงไม่สาปเสียจนเซธต้องอยู่ในร่างนกแทบตลอดเวลาเช่นนี้

 

 

      ...และที่เอ่ยปากถามไป..มันช่างเสียมารยาทนัก

 

 

     ต่อให้จะอยากรู้ว่าเพราะเหตุใด ท่านถึงถูกสาปเข้าก็ตามเถิด

 

 

     ฟาราสเอนตัวพิงกับลำต้นสีน้ำตาลเข้มมือข้างหนึ่งห้อยตกลงข้างตัวเงียบๆ หยุดควงามสงสัยของตนไว้เพียงเท่านั้นด้วยรู้ว่าคิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด ดวงตาสีท้องฟ้ากวาดมองรอบๆอีกครั้งแล้วหลับตาลง ความรู้สึกอัดอัดไม่สบายใจยังคงแผ่ปกคลุมอย่างไม่หยุดหย่อน อาจจะด้วยพรากจากคนรักของตน และมาอยู่ในที่ๆตนไม่เคยคุ้นกระมัง เขาจึงได้รู้สึกไม่สบายใจมากมายเสียขนาดนี้

 

 

      ...ระวัง....ลางสังหรณ์บางอย่างเอ่ยบอก.. หากแต่เทพบุตรหนุ่มผู้ดงามก็ทำได้เพียงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วหลับตาลงอีกครา

 

 

 

 

++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

         เปลือกตาที่ปิดพับลงกระตุกไหวก่อนค่อยๆขยับอย่างเชื่องช้า สติอันเลือนรางปรากฏรูปร่างที่ชัดเจนขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ สอ่งแรกที่อาโลอิสรู้สึกได้คืออ้อมแขนที่โอบกอดตนเองอยู่ พร้อมกันนั้นก็ซึมซาบความอุ่นร้อนนั้นเงียบๆค่อยคิดใคร่ครวญทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมกับเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เพื่อจ้องมองใบหน้าที่ตนหลงรักนักหนาในระยะประชิด

 

 

         หัวใจเต้นกระตุกไหว จะเท่าไหร่ก็ยังไม่เคยชินเสียทีกับการเข้าใกล้เฉกนี้ อาโลอิสยิ้มน้อยๆพลางช้อนสายตาจ้องมองใบหน้าที่ยังคงหลับอยู่ในห้วงนิทราเงียบๆ หลังจาก"เจ็บแผล"มากมายหลายต่อหลายครั้ง ที่สุดไคลน์ก็ลากเขามากอดไว้ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า"หนาว" ค่ำคืนในใต้พิภพแห่งนี้หนาวเหน็บดังที่ว่า ซ้ำยังไม่อาจแม้แต่จะก่อกองไฟให้ การโอบกอบกันไว้เงียบๆเช่นนี้ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อาโลอิสยอมรับมันเงียบๆ เอนตัวพิงแผ่นอกและซุกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ถือโอกาสรั้งอ้อมแขนให้แน่นขึ้นด้วย"ความหนาว"เช่นเดียวกัน..

 

 

       จ้องมองใบหน้าของผู้ที่ตนจำหลักรักใคร่นักหนาไปพลางครุ่นคิดเงียบๆ แม้จะรู้ดีว่าตนเองนั้นผิดและเห็นแก่ตัวนักหนาที่ทำเช่นนี้ ทว่าอาโลอิสก็เมินเฉยไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสีย ทำแน่นิ่ง..ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่มีอะไรผิดปผกไปจากที่ควรจะเป้ฯทั้งที่ความจริงไม่ใช่สักนิด

 

 

       แม้จะบอกว่าขอเพียงมีความสุขในห้วงเวลานี้ อาโลอิสก็พลันนึกถึงเทพบุตรผุ้ครองใจของบรุษเบื้องหน้า

 

 

        ฟาราส..

 

 

 

      ถ้าหากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนผู้นั้นจะเสียใจไหม เทพบุตรที่ตนเองนั้นทั้งทำร้าย ทรมารเสียจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน คนผู้นั้นหากได้รู้ว่ายังถูกลอบแทงข้างหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะรู้สึกอย่างไรกัน

 

 

      ถูกปองร้ายและแย่งชิงของๆตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากข้าคนเดิมที่ไม่รู้สึกผิด และไม่เสียใจอันใดกับสิ่งที่ตนลงมือทำไป และกล่าวย้ำซ้ำกับทุกคำประณามด้วยเหตุผลที่ง่ายแสนง่าย ..ว่าข้ารักเขา ทั้งที่เจ้าก็รักเขาเฉกเดียวกัน ซ้ำเขายังรักเจ้ามากมายนักหนา แต่ก็ถูกข้า..ลอบยื้อแย่งฉกชิงอย่างไร้ความละอาย

 

 

     ..เป็นปีศาจที่มีปีกสีดำซึ่งเจ้าหวาดกลัวและชิงชังยิ่งนัก..ถูกแล้วล่ะ ฟาราส

 

 

     "คิดอะไรอยู่" คำถามดังขึ้นอย่างเงียบงันทำให้เงยหน้าพรวด อาโลอิสหันไปมองผู้ที่ตื่นขึ้นแล้วอย่างตกใจไม่น้อย หากเพียงครู่ก็ชะงัก ใบหน้าขึ้นสีวาบกับแววตาที่จ้องมองมาอย่างอ่อนหวานคู่นั้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่อุ่นวานเสียจนหัวใจเต้นสะท้อน แม้จะไม่ใช่แววตาที่เคยมองเป็นครั้งแรก แม้ว่าเอนีลจะได้รับสายตาเช่นนี้แล้วนับคัร้งไม่ถ้วน แต่กับอาโลอิส..ผู้อยู่ในรูปกายที่แท้จริงของอาโลอิสแล้ว แววตาแสนรักใคร่ที่จ้องมองมา คือสิ่งที่ตนเพิ่งได้พบเจออย่างแท้จริง

 

 

       "....ไม่...มีอะไร" เอ่ยตอบได้เพียงกุกกักด้วยความขัดเขิน อาโลอิสไม่คิดว่าตนเองจะแสดงอาการแบบนี้ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ทุกสิ่งที่ไม่เคยเป็นก็ล้วนเกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ ผิวแก้มแดงก่ำที่เห่อร้อนรับอรุณก็ดูจะเป็นสิ่งที่แปลกตาสำหรับไคลน์เช่นกัน แววตาคู่นั้นจะฉายความพิศวง

 

 

      "...ที่จริงแล้ว.." ปลายนิ้วแตะผิวแก้มเบาๆพลางเกลี่ยเล่นทำให้สะดุ้งวาบ "..เกิดมาจากดอกกุหลาบรึเปล่า..ตัวเจ้าน่ะ" แววตาคู่นั้นยังคงเพ่งพินิจคล้ายกำลังสงสัย ริมฝีปากหนายกขึ้นน้อยๆ ราวกับรื่นรมย์ยิ่งนักที่ได้เฝ้ามองอยู่เช่นนี้

 

 

      "..ดอกกุหลาบ..อย่างไร?" อาโลอิสถามด้วยความงวยงงปะปนกับความขัดเขิน ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าตนเองนั้นมีความเกี่ยวกันใดกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมรัญจวนทั้งยังงดงามเช่นนั้น แต่แววตาเพ่งพินิจและคำถามของอีกฝ่ายก็ราวกับชวนให้อุปปาทานไป..ว่าตนนั้นกำเนิดขึ้นมาจากกุหลาบจริงๆ

 

 

      "...ตามตำนาน.." น้ำเสียงทุ้มเเผ่วนั้นเอ่ยเบาๆในลำคอเจือหัวเราะ "...เทพีแห่งความงดงามกำเนิดมาจากฟองคลื่น นาร์ซิสซัสก็กลายมาเป็นดอกไม้ แล้วเหตุใด...จะมีผู้ที่กำเนิดมาจากกุหลาบบ้าง ไม่ได้เล่า"

 

 

     ปลายนิ้วไล้เส้นผมสีแดงเข้มยาวระแผ่นหลังของอีกฝ่ายเบาๆพลางยกขึ้นมาแตะจมูก กริยาอาการที่ทำราวกับเคยชินนักหนานั่นยังให้ผิวแก้มแดงวาบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ดูราวกับไคลน์ผู้พิศวงกับการกำเนิดทั้งหลายเหล่านั้นจะยังไม่ใส่ใจ ปลายจมูกโด่งสันยังคงไล่เตะจากหน้าผากไปยังกลุ่มผมเพื่อสูดดมเบาๆ

 

 

      "...เจ้านรกอาจชื่นชอบดอกกุหลาบเป็นพิเศษ แล้วกำเนิดใครบางคนขึ้นมาจากกุหลาบก็เป็นได้" ไคลน์เอ่ยขึ้นทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ทว่ากลิ่นหอมของกุหลาบที่อวลอายเจือจางยามแตะต้องร่างกายคนในอ้อมแขนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องโกหก "ตอนที่ลงมา..รอบด้านก็มีแต่เถากุหลาบสีแดงขึ้นเต็มไปหมด.."

 

 

      "...สีผมของเจ้าก็เป็นสีแดง...ดวงตาก็ด้วย..พอข้ากอดไว้แบบนี้ มักจะได้กลิ่นหอมๆออกมาอยู่ร่ำไป" เอ่ย..แล้วผู้ที่พูดก็รวบท่อนแขนกอดไว้พร้อมกับกดปลายจมูกลงบนเส้นผมอีกฝ่ายแล้วยิ้ม..ดูราวกับเรื่องที่ทำเสียจนเคยชินกระนั้น

 

 

      "...ข้า ไม่ได้..." อาโลอิสได้แต่เอ่ยกุกกัก ตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายได้เพียงเท่านั้นเมื่อตนเองถูกกอดซ้ำดมดอมสำรวจราวกับอยากรู้ว่าเป็นดอกไม้สีโลหิตนั้นจริงหรือไม่ ดวงตาสีแดงประกายหรุบลงไม่กล้าแม้แต่จะสบดวงตาคู่นั้นด้วยความขัดเขิน ผิวแก้มเห่อร้อนราวกับจะจับไข้ ไม่ว่าสิ่งที่ไคลน์ทำลงไปนั้นเป็นเพราะความเคยชินหรือตั้งใจ ท่านเทพบุตรผู้ยิ่งใหญ่ก็ทำให้อาโลอิสได้อายเสียจนทำตัวไม่ถูกก็วันนี้

 

 

      "ไม่ได้อะไร...จะบอกว่าไม่ใช่งั้นหรือ..แล้วกลิ่นมันมาจากไหนกันเล่า?" ไคลน์เอ่ยถามกลับอย่างแปลกใจ พลางก้มหน้ามองหาผู้พูด แปลกใจขึ้นมาครู่หนึ่งกับสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าใจชัดเมื่อเห็นผิวแก้มที่แดงวาบและอาการเขินอายเสียจนทำตัวไม่ถูกในอ้อมแขนตนนั้น แม้จะรู้ว่าที่ทำไปนั้นไม่ควร แต่ไคลน์ก็ยังจรดปลายจมูกลงกับเส้นผมนุ่มแล้วเอ่ยถามซ้ำ

 

 

       "ข้าไม่รู้....มีแต่เลือดเสียมากกว่า" อาโลอิสปฏิเสธอู้อี้ ร่างสะท้านวาบเป็นพักๆเมื่อถูกจมูกแสนซุกซนนั้นไล่ดมดอมราวกับสัมผัสดอมดมดอกกุหลาบที่อีกฝ่ายว่า แต่ต่อให้ถามอย่างไร คำตอบที่ได้คงมีเพียงเท่านี้ ตัวเขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีกลิ่นหอมหรืออะไรอย่างที่ไคลน์บอก หากจะเอ่ยว่ามีแต่กลิ่นเลือดเสียยังจะเป็นไปได้มากนัก

 

 

     "เลือดงั้นหรือ..ข้าไม่เคยรู้ ว่าเลือดของพวกเจ้าจะหอมเสียขนาดนี้" ไคลน์หัวเราะเบาๆในลำคอ ค่อยๆปล่อยให้อีกฝ่ายละออกจากอ้อมแขนตนและได้หายใจหายคอเสียบ้างก่อนที่จะเกิดอาการเขินอายเสียจนทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองใบหน้าแดงก่ำและอาการเขินอายนั้นอย่างเพลิดเพลิน แม้จะปล่อย ปากปลายนิ้วยังคงแตะเส้นผมอีกฝ่ายไล้เล่น

 

 

      "...ไม่หอมเสียหน่อย" อาโลอิสเอ่ยปากปฏิเสธ เลือดที่มีพิษเช่นนี้หรือจะหอมได้ หากโลหิตของเทพบุตรผู้มีปีกสีขาวคือยา เลือดของเหล่าเทพบุตรปีกสีดำนั่นเล่าก็คือยาพิษ เป็นส่วนผสมสำคัญสำหรับยาพิษที่ร้ายแรงเพื่อคร่าชีวิตอื่นต่างหาก มันจะหอมหวานราวกับกุหลาบไปได้อย่างไร คนที่คิดเช่นนั้นได้ประสาทรับกลิ่นคงใกล้จะพิการเสียแล้ว

 

 

      "....ข้าว่าหอมก็ต้องหอมสิ" ไคลน์ยังคงเอ่ยปากท้วง ยิ้มแย้มให้อีกฝ่ายพลางเกลี่ยปลายนิ้วบนเส้นผม

 

 

     "เพราะพิษของราอาซาส คงทำให้สัมผัสของเจ้าผิดแผกไปเสียแล้ว" อาโลอิสเอ่ยปากท้วง ยังคงก้มหน้าหนีแววตาระยับหวานของอีกฝ่ายด้วยความไม่คุ้นชิน ทั้งยังขัดเขินเสียจนหน้าแดงซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

 

      "...เป็นอย่างนั้นหรือ..เพราะพิษของมัน.." เอ่ย..แล้วเจ้าของคำพุดก็เหลือบตามองแผลของสัตว์ร้ายที่ต้นแขนของตน แม้อาการจะทุเลาลงมาก และบาดแผลจะเริ่มสมาน แต่กระนั้น ไคลน์ก็ยิ้ม พลางเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้

 

 

      "...ถ้าเป็นแบบนั้น ขอข้ารักษาแผลหน่อยได้ไหม?" สัญญาณที่รู้กันดี ทำให้ผู้ฟังเงียหน้าขึ้นมองสบ อาโลอิสสบตาคู่นั้นด้วยใบหน้าที่ยังคงไม่หายจากอาการร้อนผ่าว นัยน์ตาสีแดงประกายตวัดไปจ้องมองต้นแขนอีกฝ่ายอันเป็นที่ๆมีรอยแผลของสัตว์ร้ายปรากฏอยู่ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะยกมือขึ้นกัน

 

 

      "...ข้าไม่อยากให้หาย" วาจาแสนเอาแต่ใจที่ไม่ได้ยินบ่อยนักทำให้หัวคิ้วทีขมวดเข้าหากันของไคลน์นั้นค่อยคลายออกจากกัน ริมฝีปากของเทพบุตรหนุ่มคลี่ยิ้มราวกับเอ็นดู ป่ายเอามือที่ยกขึ้นปิดเรียวปากของตนออกเสียอย่างไม่ยากนัก

 

 

     จ้องมองร่างของคนตรงหน้า เทพบุตรหนุ่มที่อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทผู้มีผิวขาวจัดที่บัดนี้แดงวาบเป็นระยะ ใบหน้าของอีกฝ่ายเบือนไปทางอื่น หัวคิ้วขมวดมุ่นราวกับกำลังหวาดกลัวว่าคำพูดของตนเองจะได้รับคำตอบที่โหดร้ายมา ท่าทีนั้นทำให้หัวใจอ่อนยวบลงทั้งด้วยความสงสารและความรู้สึกบางสิ่ง สำนึกรู้บ่งบอกให้ทราบอีกครั้ง ว่าตนนั้นได้ลงมือและเอ่ยคำทำร้ายจิตใจคนตรงหน้ามามากมายเสียจนอีกฝ่ายนึกผวา

 

 

      เอื้อมมือจับปลายนิ้วที่ตนป่ายปัดออกไปเมื่อครู่ มองนิ้วเรียวขาวแล้วกดริมฝีปากลงไปเบาๆ กริยานั้นทำให้ผู้ถูกกระทำสะดุ้งวาบ ผิวแก้มร้อนผ่าวเมื่อหันมาสบมองแววตาที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว..ซึ่งร้อนแรงราวกับจะกลืนกิน

 

 

       "...เอาแต่ใจ" คำบริภาษต่อว่าที่ดังออกมาจากปากของไคลน์นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับคำก่นด่า ทว่ากลับเหมือนการหยอกล้อเล่นกันของคนรักเสียมากกว่า มือที่ดึงปลายนิ้วไปจูบนั้นออกแรงกระตุกรั้งให้อีกฝ่ายหันมาหา และปราบเข้าประชิด

 

 

      "...ใช่.." อาโลอิสสบตาคู่นั้น เอ่ยปากตอบอย่างใจกล้าทั้งที่ตนอยู่ในท่าาทีเป็นรองมากนัก "ข้าไม่อยากให้เจ้าหาย.."

 

 

   ...เพราะเมื่อหาย เราก็ต้องออกไป..และเจ้าก็ต้องกลายเป็นของฟาราสผุ้นั้นอีกครา

 

 

   จึงอยากจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไป..กับข้าเท่านั้น

 

 

     ไคลน์ยิ้ม "...งั้นข้าก็จะไม่หาย"

 

 

     เอ่ยพลางกดริมฝีปากลงไปทาบเรียวปากของอีกฝ่ายอีกครั้ง และถูกตอบรับทันทีราวกับเฝ้ารอมาก่อนแล้ว เรียวลิ้นอ่อนนุ่มแทรกเข้ามาเกาะเกี่ยวสอดประสานกับริมฝีปากของไคลน์ที่เข้ามารุกล้ำ อาโลอิสครางเบาๆในลำคอ ขณะที่ร่างของตนนั้นถูกดันให้แนบกับแผ่นหินเบื้องหลัง ความเย็นเแยบสลับกับความรุ่มร้อนทำให้สติพลันมลายหายไปลงอีกครา

 

 

    ...ถ้าไม่อยากให้หาย ก็จะไม่หาย

 

   เชื่อได้ไหมว่าเจ้าจะอยู่กับข้าตลอดไป?

 

 

   อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ แม้จะรู้ว่านั่นคือคำตอบที่ใกล้เคียงกับคำว่าโกหกและคำโป้ปด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยประท้วงอะไร แม้จะทราบดีอยู่แก่ใจว่ากลิ่นหอมหรือหลายสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึง จะพลันมหลายหายไปยามที่หายดีและมีเรี่ยวแรงมากพอจะไปหาฟาราส ตนก็ยังยอมจะเชื่อเยี่ยงคนที่โง่งมและไร้สติเช่นที่เคยเป็น ยอมหลับตาแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ ด้วยรู้...ว่านี่ก็คือสิ่งที่ตนเองต้องการ

 

 

    ทั้งเจ้าและข้า ต่างก็โง่งม ว่ายวนอยู่ในความลุ่มหลงและคำโป้ปดมดเท็จ

 

 

   แม้จะรู้ว่าผิดก็ยังคงทำไป เพราะรู้ว่าความลุ่มหลงที่มีต่อสิ่งต้องห้ามนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้เพียงเพราะคำว่าไม่ หรือ ไม่ได้

 

   ใครบอกกัน ว่าเทวดา..เทพบุตรนั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่ดีงามและไร้ซึ่งกิเลสตัณหา

 

 

   อำนาจของความใคร่และความรัก ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานได้ แม้จะรู้ว่าสุดท้าย เปลวไฟจะกลับมาคลอกเผาจนตัวตายก็ตาม..

 

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

...ตอนนี้ แฮ่ม ก็ยังเล่นชู้กันอย่างต่อเนื่อง แถมทำน้ำตาลหกใส่อีกต่างหาก

 

ว่าแล้วก็ไปเปิดเพลงแฟนพี่มีชู้ให้ฟาราส//ไม่

 

แอบหมั่นไส้ตาไคลน์นิดๆ  ฮึ่มม คืออยากดมมั่ง5555 //โดนคิล

 

 

ส่วนตอนหน้า.... ไว้เจอกันค่าาา *0*/
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: loyal_mook ที่ 16-07-2014 22:13:15
เป็นการเล่นชู้ที่กร๊าววววใจมากกกกกก  :hao6:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-07-2014 21:26:33
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 32 : ความปราถนา Up 22/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 22-07-2014 10:38:18


Lost 32 : ความปราถนา


         ภายใต้หุบผาลึกสุดจะหยั่งในโพรงหินขนาดเล็กมากนักที่เกิดจากการผุพังเนื้อเนื้อดินปรากฏร่างของสองเทพบุตรอิงแอบกันอยู่ หนึ่งนั้นคือร่างของไคลน์ผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวแสดงตนถึงภพแห่งเทพที่มีความงดงามและใสบริสุทธิ์ และอีกหนึ่ง คืออาโลอิสผู้อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทราวกับปีศาจร้าย สองจิตวิญญาณที่แตกต่าง สองร่างที่บัดนี้เคียงคู่และกอดรัดกันแนบชิดเสียจนไม่มีช่องว่าง


     เสียงขยับกายเสียดสีดังขึ้นแผ่วเบายามร่างหนาทาบกายเข้าหา แผ่นหลังแนบกับเพิงหินเย็นเฉียบเมื่อถูกตรึงร่างไว้ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายจนไม่อาจขยับ ขณะที่อาโลอิสสะท้านกายน้อยๆ ใบหน้าแหงนเงยขึ้นรับเอาจูบที่ดูราวกับจะเนิ่นนานมากขึ้นทุกครา ริมฝีปากชาหนึบยามที่ถูกทาบทับและบดเบียดอย่างรุนแรง บางคราดื้อดึงเชิงเอาแต่ใจ แต่บางครั้ง กลับอ่อนหวานชวนหวามไหวเสียงจนลมหายใจสั่นพร่า


      ส่งเสียงประท้วงในลำคอเบาๆเมื่อเจ้าของจูบรุกเร้าไม่ยอมผละห่าง ใบหน้าแดงก่ำและลมหายใจสั่นไหวนั้นดูราวกับจะล้มพับไปเสียได้ทุกเมื่อ อาโลอิสเอื้อมมือไปผลักไหล่อีกฝ่ายเบาๆให้ผละออกไปจากร่างของตน แต่ก็ไม่เป็นผล ยามนี้ดูเหมือน"คนเจ็บแผล"จะได้รับเอาพลังจากจูบที่ราวกับจะสูบกินวิญญาณเมื่อครู่ไปแล้วอย่างเต็มที่ ฉะนั้นแม้เอ่ยปากประท้วงและคัดค้านเช่นไรคนฟังก็ดูราวกับจะไม่ได้ยิน เช่นเดียวกับร่างที่แกร่งราวกับหินผาของอีกฝ่ายที่ไม่แม้แต่จะเขยื้อนไหว


     "....ไคลน์..." อาโลอิสกระซิบเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา หากแต่ยังไร้การตอบรับ ร่างเพรียวสะท้านเฮือกเป็นพักๆเมื่อถูกฝ่ามือหนาและปลายนิ้วนั้นลากผ่านผิวกาย จากใบหน้าไปยังลำคอจรดแผ่นอกขาว ดวงตาสีแดงประกายปรือขึ้นมองสบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนด้วยความลังเลไม่น้อย ทั้งไม่แน่ใจและยังแฝงด้วยความกังวล เพราะรู้ดีถึงสัญญาณที่ถูกส่งต่อมาจากสัมผัสนั้นเป็นอย่างดี


     ".........." ไร้คำตอบใดจากปากของเทพบุตรหนุ่ม หากไคลน์จ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายกลับเงียบๆ ส่งมอบคำตอบบางอย่างภายใต้พายุแห่งความปราถนาที่แผ่เข้าปกคลุมดวงตาคู่นั้นอย่างไม่มีท่าทีว่าจะจางลงไป


     ปลายนิ้วแตะลงเบาๆที่แผ่นอกขาวก่อนจะขยับลากลงมาอย่างเชื่องช้า อาโลอิสกัดริมฝีปากของตนอีกคราขณะที่หรุบตาลงด้วยความรู้สึกอึดอัดบางอย่าง แม้จะรู้ดีว่าความแนบชิดนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ลึกๆแล้วในใจตนต้องการแต่ก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ การผูกสัมพันธ์กับท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ว่าผิดแล้ว การ"ลักลอบ"แตะต้องกันในครานี้ดูจะเลวร้ายยิ่งกว่า


    ..ไม่อาจบอกว่านอกใจ ด้วยตนรู้ว่าใจของอีกฝ่ายนั้นอยู่ที่ฟาราส


   ไม่อาจเอ่ยว่ามันคือการ แอบซ่อน หรือเผลอใจเพราะไคลน์นั้นไม่ได้พลั้งเผลอสักนิด


   เพียงแค่ความต้องการ..


    อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ หวนนึกไปถึงคราที่ตนเองอยู่ในร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ ตัวเขาในร่างมนุษย์ผู้โง่เง่านั้นเคยเอ่ยปากอ้อนวอน ร่ำไห้ ร้องขอให้อีกฝ่าย"กอด"เพียงเพื่อเป็นความทรงจำสุดท้ายก่อนจะลาลับดับสูญไปตลอดกาล รสชาติของสัมผัสที่มอบให้นั้นยังจำได้ดี รวมทั้งความเจ็บปวดยามที่พบว่าอ้อมแขนนั้นหาได้ระลึกว่ากอดตน แต่เป็น"ฟาราส"ผู้ที่ไคลน์รักยิ่ง


    ทั้งที่เจ็บปวดเช่นนั้น ทั้งที่ทรมารเฉกฉะนั้น คราวนี้ก้ยังจะปล่อยให้มันเป็นแบบเดิมอีกหรือ?


    จะยอมรับ...การเป็นเพียงทาสอารมณ์หรือตัวแทนบำบัดความปราถนาอีกหรือไร?


    ความรู้สึกสับสนปั่นปวนในใจยังคุกรุ่น ทำให้ร่างที่เคยหอบสะท้านแน่นิ่งไปด้วยอารมณ์บางอย่าง อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันช้าๆ ด้วยความสับสน หัวใจส่วนหนึ่งนั้นร้องบอกว่าต้องการ..บอกว่าให้ฉกฉวยเอาโอกาสที่หายากในครานี้ไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว แต่ความทรงจำครั้งเมื่อยังอยู่ในร่างของเอนีลนั้นยังตราตรึง ความเจ็บปวดยามทีถูกกอดทั้งที่อีกฝ่ายพร่ำเรียกชื่อคนอื่นนั้นแสบร้าวยิ่งนัก


     เหมือนอีกฝ่ายพอจะรับรู้ถึงท่าทีรึความคิดของตน อ้อมกอดที่เคยรัดแน่นจะคลายออกเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่ละออกจากร่าง แววตาที่สั่นระริกไหวเงยขึ้นไปมองสบดวงตาสีน้ำตาล ไคลน์จ้องมองกลับมาอีกเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกความรู้สึกใดตนไม่อาจทราบ ยังคงเป็นห้วงสีน้ำตาลที่อบอุ่นแต่ก็ลึกล้ำ...ไม่อาจหยั่งรู้ได้ถึงสิ่งที่อยู่ภายใน


     ...ความรู้สึกที่ไม่อาจหยั่งถึงได้นั้นช่างน่าหวั่นระแวงยิ่งนัก


    อาโลอิสหลับตาลง ทำได้เพียงแน่นิ่งไม่ขยับไหว ยอมแพ้ในสิ่งที่ตนไม่อาจเอื้อมถึงและไม่อาจสัมผัสได้  ...อยากรู้ แต่ก็หวาดกลัวคำตอบของมันเสียเหลือเกิน


      ความรัก...ทำไมถึงได้ทรมารเช่นนี้กัน


    ยังคงปราถนา ยังคงต้องการ หลงไหลและยอมทน ซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า


     ...แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบของมันไม่มีทางเป็นรัก..ได้ก็ตาม


    จะมีใครน่าสมเพชเท่าข้าอีกไหม?


      แค่นคิดราวกับกำลังขบขัน ขณะที่จมอยู่กับภวังค์ความคิดที่ทำให้อึดอัดเสียจนแทบหายใจไม่ออกอยู่นานนักในความรู้สึก ไม่นานอาโลอิสจึงสัมผัสได้ถึงความเย็นบางอย่าง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันช้าๆก่อนจะพบว่ามันคือปลายนิ้วของไคลน์ที่แตะลงอีกครั้ง ไม่ใช่แผ่นอกหรือร่างกายส่วนอื่นใดแต่เป็นข้างแก้ม ค่อยเกลี่ยไล้พลางลูบเบาๆ นั่นจึงทำให้ตนได้รู้ว่ายามนี้ผิวแก้มเปียกชื้นด้วยน้ำตาที่ไหลริน


    ...ร้องไห้


   น่าสมเพชและน่าขัน เทพบุตรปีสีดำผู้เลวร้าย ผู้ถูกกล่าวขานว่าปีศาจและไร้หัวใจ กำลังร่ำไห้ออกมาอย่างน่าสังเวชนัก


   ร้องไห้เพราะไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจสมหวังหรือ..รึกำลังร้อง..เพราะทรมารใจเสียจนทนไม่ไหวกับห้วงความคิดอันเลวร้ายของตน


  ...อาโลอิสไม่มีคำตอบใด รู้เพียงบัดนี้ เมื่อยามตนหลั่งน้ำตา มีปลายนิ้วของอีกฝ่ายค่อยปาดเช็ดให้อย่างอ่อนโยนนัก


     "ข้า.....ขอ...ข้---" เงียบลงเมื่อครั้นจะเอ่ยปากกล่าวคำขอโทษก็กลายเป็นหลุดสะอื้นเสียจนไม่อาจกล่าวได้ อาโลอิสขบริมฝีปากตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ดีว่ากำลังทำตัวน่าอับอาย เทพบุตรปีกสีดำควรจะนิ่งเฉย..ควรจะโหดร้ายและไร้หัวใจ ควรเป็นเช่นนั้นหาใช่เอาแต่สะอื้นไห้เมื่อไม่ได้สิ่งของที่ตนมุ่งมาดปราถนาเหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักหักห้ามใจ


    ข้าแพ้แล้ว..พ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียจนหมดแรงในการพยายามคว้าเอาหัวใจของเจ้ามาครอบครอง พ่ายแพ้อย่างน่าอับอายกับเรื่องราวอันโหดร้ายที่ตนเองกระทำไว้ แพ้ซ้ำๆ..ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไหน


    บัดนี้ก็ยังพ่ายแพ้ ต่อความอ่อนโยนที่ทำให้หัวใจที่ด้านชาค่อยๆเคลื่อนไหวอีกครา


    ..ไคลน์..


    เจ้านั้นช่างโหดร้ายกับข้าเหลือเกิน


     "อย่าร้องไห้.." เสียงทุ้มพร่าเอ่ยเบาๆ ชั่วขณะที่ราวกับจะจับได้ถึงความเจ็บปวดเบาบางแทรกซึมมาตามน้ำเสียงของอีกฝ่าย ขณะที่ปลายนิ้วที่แสนอ่อนโยนนั้นไล้ผิวแก้มเบาๆราวกับรักใคร่ อาโลอิสขบปลายฟันแน่น หลับตาลงไม่ยอมจ้อมองแววตาของอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกทั้งอับจนและพ่ายแพ้ เคืองโกรธต่อหัวใจตนเองที่เต้นกระหน่ำด้วยความยินดีทั้งที่ไม่ควรแม้แต่น้อย


     สัมผัสอุ่นชื้นแนบหน้าผากและผิวแก้ม ริมฝีปากหนาพร่างพรมใบหน้าและดวงตา จูบซ้ำเบาๆทั้งยังปลอบประโลมไม่ห่างราวกับจะขอลุแก่โทษ ความอ่อนโยนที่แลกมากับน้ำตาของตนยังผลให้อาโลอิสขบริมฝีปากตนแรงขึ้น พร้อมกันนั้นก็สัมผัสได้ถึงเรียวปากของอีกฝ่ายที่กดทับเบาๆ


     เม้มปากเข้าหากัน นอกจากจะไม่ตอบรับแล้วยังปฏิเสธอย่างดื้อดึงเป็นที่สุด ไคลน์จ้องมองใบหน้าที่เปียกชื้นของอีกฝ่าย รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดจากสิ่งที่ตนพบเห็นและสัมผัส ทั้งยังรู้...รู้ได้ถึงนัยยะของความสับสนและความเจ็บปวดซึ่งถูกส่งมาให้


      ถอนหายใจแผ่วเบา..ยังคงบรรจงพรมจูบทั่วใบหน้าขาวที่บัดนี้แดงเป็นปื้นด้วยน้ำตาอย่างอ่อนโยน ทั้งยังเฝ้าคลอเคลียริมฝีปากแดงช้ำที่เม้มเข้าหากันแน่นคู่นั้น กดทับจูบไล้อย่างอ่อนหวาน พยายามปลุกปลอบและกอดเอาไว้ไม่ให้ห่างด้วยความอาดูร



    อาโลอิส...


    หัวใจไหวสะท้าน คำรักที่อีกฝ่ายมอบให้นั้นก่อร่างชัดเจนในหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อมองเห็นท่าทีและการกระทำของอีกฝ่าย ความอ่อนไหวในแววตาที่ไม่อาจปิดได้มิด รวมทั้งท่าทีและทุกสิ่งที่แสดงออกมาเมื่อตนเข้าใกล้ บ่งชัดถึงรักที่อีกฝ่ายมีและทำให้รู้ว่าตนได้ยึดพื้นที่ในใจของเทพบุตรผู้นี้ไว้มากเพียงไร


   ...สงสาร..ความรู้สึกอ่อนไหวบางอย่างแทรกผ่านเข้ามาท่ามกลางความสับสน ยามได้มองเห็นน้ำตาและท่าทีสับสนของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ตนประจักษ์ชัดว่าอาโลอิสนั้น"รัก"มากเพียงไร ความรักที่ทำให้อีกฝ่ายก่อเรื่องเลวร้าย และความรัก ที่ตอนนี้ทำให้เทพบุตรปีกสีดำในอ้อมแขนกำลังร่ำไห้อย่างน่าเวทนานัก


     ..รักของเจ้าที่มีต่อข้า ทำให้เจ้าทุกข์ทรมารถึงเพียงนี้เชียวหรือ


  ข้าควรจะทำอย่างไรกับหัวใจของเจ้าดี อาโลอิส?


     จ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆขณะที่แนบริมฝีปากลงกับหน้าผากมนอย่างช้าๆ ครุ่นคิดและรำลึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ทั้งการกระทำที่ดีและเลวร้ายนั้นยังคงปรากฏอยู่ในห้วงคำนึง จากเทพบุตรปีกสีดำที่เป็นเพื่อนร่วมรบ กลายเป็นคนที่ตนนึกคั่งแค้นที่พรากคนรักไปจากอก จนไปถึงนึกเวทนากับเคราะห์กรรมที่อีกฝ่ายประสบยามอยู่ในร่างของมนุษย์ มาจนถึงความสงสาร..เมื่อมองเห็นอาโลอิสต้องทุกข์ทรมารเพราะรักมากมายเฉกนี้


    ...เจ้าทำไปเพราะรัก เช่นเดียวกับข้า..ที่โหดร้ายไปก็ด้วยความรัก


    รัก



     ลอบถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาขระที่กอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน ดวงตาของเทพบุตรปีกสีดำผู้ดื้อดึงนั้นยังไม่ยอมเปิดออกบ่งบอกวิสัยอันแน่วแน่ของเจ้าตัวนัก แม้จะเฝ้ากอดประโลมเช่นไรก็ไม่อาจทำให้ดวงตาคู่นั้นเปิดออกมาสบได้ ไคลน์นึกถึงนัยน์ตาสีแดงประกาย ที่บัดนี้คงจะบวมช้ำและเอ่อท้นด้วยน้ำใสไม่หยุดหย่อนแล้วรู้สึกปวดใจขึ้นมาเงียบๆ


      ก้มลงแนบริมฝีปากเข้ากับเรียวปากบางอีกครั้ง กดหนักๆจนเรียกเสียงสะอื้นเบาๆออกมาจากลำคออีกฝ่าย ไคลน์เร่งสอดปลายลิ้นเข้าไปเมื่อเห็นว่าเจ้าของร่างนั้นเผลอตัวขึ้นครู่หนึ่ง ลิ้นร้อนที่สอดเข้ามาทำให้อาโลอิสไม่อาจหลีกหนี แม้พยายามนิ่งเฉย ไม่ตอบรับหรือแสดงอัปกริยาใด แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย


    "...อึ่ก..." เสียงครางพ้อดังออกมาเบาๆราวกับประท้วง ทำให้ไคลน์ผละจูบร้อนแรงแทบไม่ให้หายใจออกมาได้ในที่สุด ริมฝีปากของเทพบุตรหนุ่มยิ้มขึ้นมาเงียบๆเมื่อมองเห็นใบหน้าแดงก่ำนั้น แม้จะยังเจือด้วยเสียงสะอื้นและคราบน้ำตา แต่ปฏิกริยาที่ได้ก็ทำให้ตนพอใจ


    "..อย่าปฏิเสธข้า..แล้วข้าจะไม่ทำอะไรรุนแรง" ส่งเสียงกระซิบพลางขบเรียวปากแดงก่ำคู่นั้นเบาๆเหมือนเป็นคำเตือน เจ้าของวาจาแสนเอาแต่ใจและการกระทำอุกอาจทำให้ความขึ้งโกรธพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันเน่น เปิดดวงตาขึงมองไคลน์อย่างหงุดหงิดด้วยไม่อาจทนไหว


    ตาสบตา หากแต่เมื่อเปิดดวงตามาสบแววตาสีน้ำตาลอ่อนแสนอบอุ่นคู่นั้นกลับทำให้ตนชะงัก หวังจะได้พบท่าทีหยิ่งยโสหรือเจ้าของคำสั่งระคายหู แต่ภาพที่เจอ กลับเป้นรอยยิ้มอ่นละไมและแววตาอ่อนโยนแสนเข้าอกเข้าใจเสียจนหัวอกแปลกวาบ


   ให้เจ้าใจร้าย ให้เอ่ยประณาม ด่าว่าข้าเสียยังจะดีกว่า


   ทำร้ายข้า กล่าวประณามข้า เฉกเช่นนั้นข้าจะได้นึกชิงชังและห่างเหินเจ้าจนหมดรักในที่สุด เจ้าควรจะทำเช่นนั้นมิใช่หรือ


   ได้โปรดอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น...เพราะข้าพ่ายแพ้ความอ่อนโยนของเจ้า ไคลน์



     ฝ่ามือหนาลูบผิวแก้มเบาๆและประทับจูบลงอีกคราในชั่วเวลาที่นิ่งงันไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย อาโลอิสมองเห็นยิ้มบางๆในใบหน้าของอีกฝ่าย รอยยิ้มที่แสดงความเข้าอกเข้าใจหาใช่หยามหมิ่นหรือดูแคลาน ไคลน์ยิ้มให้ตนเช่นนั้นแล้วรั้งตัวไปกอดเบาๆ ...ทำเแกเช่นนี้ แล้วใครจะกระทืบบาทตวาดอึง ร้องโวยวายโกรธขึงออกมาได้?


      "...เจ้าร้องไห้เช่นนี้ ไม่ดีเลย" ไคลน์เอ่ยปากบอกพลางถอนใจเบาๆ มือลูบเช็ดผิวแก้มอีกฝ่ายไม่ให้เปรอะไปด้วยน้ำใสมากกว่านี้ ขณะที่ผู้ฟังนิ่งัน ไม่เอ่ยถ้อยคำใด


       ...จะให้บอกออกไปได้อย่างไรเล่า ว่าข้าร้องไห้เพราะเจ้านั่นล่ะ..


      "...ราวกับข้ากำลังจะขืนใจ" ไคลน์เอ่ยขึ้นมาคล้ายบ่นพ้อ ใจความนั้นก็ดูราวกับ..น่าขบขัน


      "...." อาโลอิสเม้มปากน้อยๆ ยังคงไม่เอ่ยคำใด ท่าทีดื้อดึงพยศไม่ต่างทำให้ไคลน์หัวเราะ


      "...เจ้าทำให้ข้านึกถึง..ตอนที่เราเจอกันแรกๆ" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองผู้ที่อยุ่ในอ้อมแขนเงียบๆพลางยกเส้นผมนุ่มจรดปลายจมูก "ตอนที่ยัง..ต้องร่วมมือกันกำจัดอสูรร้าย ตอนที่เจ้ามีปีกสีดำสองข้าง และตอนที่ข้า.."


     ....ยังคงสานสัมพันธ์อยู่กับฟาราส


    ถ้อยคำที่ผุดขึ้นกลางใจคนทั้งคู่ ทำให้เกิดความเงียบอันยาวนาน..



        "..เจ้านิสัยดื้อดึงไม่ต่างกับยามนี้เลย" ไคลน์เอ่ยขึ้นมาหลังเงียบกันไปครุ่ใหญ่ เทพบุตรหนุ่มเอ่ยปากชวนให้อีกฝ่ายระลึกไปถึงวันเวลาในอดีตยาวนานนั้น ณ ห้วงเวลาที่ได้พบกันคราแรก "เจ้าไม่พูดมาก ไม่เถียง ไม่ปฏิเสธ แต่เมื่อไม่พอใจอะไร จะเม้มปากแน่นแล้วหันไปทางอื่น.."


       "ขออภัยขอรับที่ข้านิสัยเสีย" อาโลอิสถอนใจช้าๆ เอ่ยปากขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นราวกับกำลังประชดประชัน


       "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย.." ไคลน์หัวเราะเบาๆก่อนจะยิ้ม "..มันแค่ทำให้ข้าคิด..ว่าเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย.."


    ...จะมีก็เพียง..เรื่องราวต่างๆที่ผกผันตามกาลเวลา


 หากข้าไม่ได้พบเจ้า หากเจ้าไม่ได้มาพบข้า..หากเราไม่ถูกกำหนดให้ทำภารกิจนั้นร่วมกัน จะเป็นอย่างไร?


จะรู้จักกันหรือไม่ หรือเพียงแต่รู้นามกันอย่างฉาบฉวยและใช้ชีวิตต่อไปตามทางของตน


 หากไม่ได้พบกันวันนั้น..จะได้มีเจ้าอยู่ในอ้อมแขนของข้ารึเปล่า?


 ....และข้า จะนึกเสียดายบ้างไหม?



      ความสงสัยที่ไม่ได้เอ่ยขึ้นผุดในห้วงคิดอย่างช้าๆ ไคลน์จ้องมองเส้นผมสีแดงเข้มของอีกฝ่ายพลางทอดถอนใจเบาๆ ความรู้สึกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคนที่ตนรักและคนที่บัดนี้ตนนึกสงสารจับใจนั้นชวนให้สับสนและหนักใจ


    ..แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้และแน่ใจ ข้าไม่อยากมองเห็นน้ำตาของเจ้า..อาโลอิส


      คิดพลางพรมจูบลงไปบนผิวแก้มขาว ลิ้มชิมรสเรียวปากของอีกฝ่ายที่บัดนี้ค่อยยอมร่วมมืออีกครา ไคลน์สัมผัสเรียวลิ้นและเก็บเกี่ยวเอาความหวานจากริมฝีปากคู่นั้น แม้ในใจจะยังคงรู้สึกค้างคาในบางสิ่ง หากเพียงไม่นาน ตนก็ถูกกลิ่นหอมของกุหลาบเจือคาวเลือดที่บัดนี้เปรอเปื้อนน้ำตานำพาให้เคลิ้มไปจนได้


     เลื่อนฝ่ามือลงไปบนเอวบาง ขณะที่ร่างของอีกฝ่ายสะท้าน อาโลอิสวางมือลงบนไหล่ของตนแล้วออกแรงผลักเบาๆอีกครา นั่นทำให้ไคลน์ค่อยปละจูบออกบ้าง ด้วยกำลังคิดว่าอีกฝ่าย..จะไม่เต็มใจ


     สบตาสีแดงประกายที่บัดนี้ช้ำด้วยน้ำตาคลอหน่วย ท่าทีกัดริมฝีปากเข้าหากันเช่นนั้นดูน่าสงสารเสียจนตนเองหัวใจอ่อนยวบ ไคลนืทำท่าจะผละออกด้วยคิดว่าตนกำลังทำให้อีกฝ่ายสะเทือนใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่อาโลอิสกลับบีบไหล่ของเขาช้าๆ ทำให้ต้องหันกลับไปสบตา


    "ข้า...คืออาโลอิสนะ"


       ถ้อยคำของอีกฝ่ายยังความงวยงงมาให้จนต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง หาเพียงครู่ไคลน์ก็รับรู้ได้ในที่สุด ความทรงจำยามที่ถูกกกกอดแล้วตนเอ่ยเรียกชื่อฟาราสมานั้นคงจะยังฝังตรึงไม่หาย แววตาคู่นั้นจึงสั่นระริกไหว..เจ็บปวด


   "...ข้ารู้"


      รั้งเอาร่างนั้นมาแนบชิด ตาสบตา ใบหน้าจ้องมองกันในระยะห่างเพียงเส้นผมขั้น


   "..และข้าคือไคลน์..จำเอาไว้ให้ดี"


      จรดริมฝีปากลงบนเรียวปากบางอีกครั้ง แนบสนิททั้งยังนิ่งนาน หวังให้ตราตรึง เช่นเดียวกับคำพูดของตนที่เอ่ยออกไป


...เจ้าคืออาโลอิส และข้าคือไคลน์


ถูกแล้ว



ที่นี่ และยามนี้มีเพียงเราสองคน




+++++++++++++++


ตอนนี้ออกแนวมึนๆงงๆสับสนแบบเดียวกับความรู้สึกของทั้งสองคนเลยค่ะ55


คือทั้งอาโลอิสและไคลน์ก้สับสนนะ รู้ว่าไม่ดีแต่ก้อยากทำ รุ้ว่าทำแล้วเจ็บแต่ก็ห้ามไม่ได้ บลาๆ

เห้นมีคนเอ่ยประณามไคลน์ไม่น้อย เอาจริงๆฮีก็น่าสงสารนะคะ จะรักใครก็ไม่แน่ นั่นก็คนรักนี่ก็คนมารัก ความรู้สึกของการโดนรุมรักนี่ใช่แต่จะปลื้ม ลำบากใจก็มี

 โดยเฉพาะในกรณีที่มีแฟนแล้วแต่ดันหวั่นไหวกับคนอื่นแบบนี้ ถ้าเป้นเรื่องอื่นนี่ อาโลอิสก็ตัวร้ายชัดๆ55

//จริงๆนี่ก็ตัวร้ายนะ แต่พอดีคนรักเยอะ ฮ่าา

ส่วนเรื่องจะเป็นยังไงต่อไปเจอกันตอนหน้าค่า


หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 32 : ความปราถนา Up 22/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 22-07-2014 11:25:03
ไม่ชอบไคลน์เลย เหมือนมาให้ความหวังอาโลอิสอ่ะ พอกลับไปเจอฟาราสก็จะไม่เห็นหัวอาโลอิสอีก

เด็็วจะยุฟาราสให้ได้กะอาโลอิสซัะนี่  :hao4:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 32 : ความปราถนา Up 22/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 22-07-2014 21:46:13
เรื่องนี้หม่นทั้งเรื่อง จะเกลียดอาโลอีสก็เกลียดไม่ลง เพราะตอนหลังนางน่าสงสารมากกกกกกกกก
ร้องไห้ไปกับนางทุกตอนนน โฮฮ  :ling1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 32 : ความปราถนา Up 22/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-07-2014 21:50:25
มันไม่ชัดเจน มันอึ้มครึม มันโลเลอ่ะแก :katai1:
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 33 : ในอ้อมแขน Up 23/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 23-07-2014 22:53:35
Lost 33 : ในอ้อมแขน



                 "ข้าคืออาโลอิส"       



                  "ข้ารู้"



                  "..และข้าก็คือไคลน์"



                      อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ ขณะที่คำตอบของอีกฝ่ายดังขึ้นมาในห้วงคิด ไคลน์..เจ้าของอ้อมกอดและคำตอบรับเมื่อครุ่กำลังบรรจงพรมจูบลงบนผิวแก้มของเขาอย่างแผ่วเบาราวกับรักใคร่ยิ่ง เจ้าของเรียวปากคู่นั้นค่อยซับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวให้จางลงไปอย่างอ่อนโยนนัก ขระที่อ้อมแขนของอีกฝ่ายกอดรัดแนบแน่น แผ่ไอร้อนมาแตะต้องยังผิวกายของตน



                       ข้าคืออาโลอิส ..และเจ้าคือไคลน์



                       ไม่ใช่ตัวแทนหรือใครอีกแล้วใช่ไหม?




                      "เย็น....จังนะ" น้ำเสียงที่ดังออกมาทำให้แก้มร้อนวาบ อาโลอิสละออกจากภวังค์ความคิด ขระที่เจ้าของวลีนั้นกำลังวางปลายนิ้วลงกับแผ่นอกแบนราบของตน สัมผัสมันเบาๆและไล้เล่นด้วยท่าทีราวกับเป็นปริศนา ดวงตาสีน้ำตาลอุ่นหวานนั้นเงยขึ้นมาสบตาแล้วหัวเราะเมื่อมองเห็นรอยแดงข้ามแก้ม




                        "...เหมือนกับน้ำ.." ไคลน์เอ่ยขึ้นขณะที่ค่อยเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างอีกฝ่าย จ้องมองผิวกายขาวจัดและลูบไล้ร่างของเทพบุตรปีกสีดำในอ้อมแขนราวกับไม่เคยพบเห็น หากจะบอกไม่เคยพบเห็นคงไม่ใช่ เคยพบ..หากแต่เป็นครั้งแรกที่ได้แนบชิดเสียจนสัมผัสผิวเนื้อใต้ร่มผ้าเฉกเช่นนี้




                          "......." อาโลอิสหน้าแดงวาบด้วยความขัดเขินปนอับอาย ไม่รู้จะเอ่ยปากตอบอีกฝ่ายเช่นไรด้วยตนเองนั้นกำลังอายเสียจนแทบทนไม่ไหว สะท้านไปกับสายตาที่จ้องมองมาราวกับคันศรคู่นั้น แววตาที่ราวกับกำลังจะสำรวจทะลุทะลวงไปเสียทั่วร่างไม่ยอมละเว้นแม้แต่ตารางนิ้ว




                           "..เจ้าจะไม่ตอบข้าหน่อยหรือ..?" คำถามกระเซ้าเย้าแหย่นั้นยังคงดังมาเสียจนต้องออกแรงทุบเบาๆด้วยความขัดเขิน ดวงตาสีแดงประกายหันไปสบมองเจ้าของวลีที่กำลังยิ้มซุกซนและสบตาตนอยู่ ไคลน์แตะริมฝีปากลงบนต้นคอขาวพลางขบเม้มเบาๆสร้างร่องรอยไว้บนผิวกายอีกฝ่าย หัวเราะเบาๆในลำคอ เมื่อมองเห็นผิวแก้มแดงจัดด้วยความขัดเขินนั้น




                            อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ ร่างสะท้านไหวเมื่อริมฝีปากร้อนนั้นพร่างพรมลงทั่วร่าง หากไม่ใช่อุปมาหรือด้วยคำพูดของอีกฝ่าย ตนก็ได้ประจักษ์ว่าริมฝีปากคู่นั้นช่างร้อนนักเมื่อยามทาบผิว ความแตกต่างที่เกิดขึ้นทำให้คิดว่าร่างนี้คงจะเย็นเแยบเช่นที่ไคลน์เอ่ยพูด เมื่อลมหายใจร้อนเป่ารินรดเมื่อใดตนเองจึงต้องสะท้านไปทุกครา




                            ..หรือ จะเพราะด้วยมันคือสัมผัสของเจ้ากัน




                           ไม่อาจตอบคำถามใดที่ผุดขึ้นมาได้ท่ามกลางกระแสความปราถนาที่เริ่มเชี่ยวกราก อาโลอิสรับรู้ได้ว่าร่างของตนถูกปลบเปลื้องอาภรณ์ไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นถึงผิวเนื้อและเรือนร่างทั่วทุกขุมขน สายตาสำรวจรวจตรานั้นทำให้ผิวแก้มร้อนผ่าว..อับอาย..แต่ก็ยังสะท้านด้วยความปราถนาในส่วนลึกทีถูกปลุกขึ้นมา



                          "อาโลอิส.." เสียงกระวิบหวานแผ่ว ริมฝีปากแวะเวียขึ้นมาแตะเรียวปากอีกคราทำให้ตนครางในลำคอเบาๆแล้วแนบเรียวปากตอบไปพร้อมส่งปลายลิ้นเข้าสัมผัสเรียวลุิ้นซุกวนของอีกฝ่าย เสียงเรียกชื่อตนเองซ้ำๆนั้นทำให้หัวใจพองโตด้วยความปิติ สำนึกรู้บอกตนเองว่านี่คืออาโลอิส..อาโลอิสผู้อยุ่ในร่างของอาโลอิสที่แท้จริงกำลังถูกไคลนืกกกอดและสัมผัสอยู่



                           ...ถูกเจ้ากอดจริงๆและได้อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าจริงๆ หาใช่ถูกกอดในร่างของผู้อื่นอีกแล้ว



                           ความยินดีที่แล่นวาบขึ้นมาพร้อมกับความสุขสมทำให้หัวใจสั่นสะท้าน อาโลอิสหลับตาลง พึมพัมชื่ออีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมาในใจ..




                           ไคลน์....ไคลน์...





                            ..แม้ไม่อาจเป็นเจ้าของตลอดไป แต่ในยามนี้..ตอนนี้ เจ้าเป็นของข้า




                           "อาโลอิส..." ยอดอกถูกงับเบาๆพร้อมลมหายใจร้อนรินรด อาโลอิสผิวแก้มแดงวาบ ขยำขยี้อาภรณ์สีขาวจัดในอุ้งมือตนแน่นด้วยความขัดเขิน ริมฝีปากอ้าออกหอบและระบายลมหายใจช้าๆ




                           "...จะไม่เรียกชื่อข้าหน่อยหรือ?" ไคลน์ผู้ละความสนใจจากยอดอกสีอ่อนเงยหน้าขึ้นมาถาม ตาสบตา หากใจความนั้นยิ่งทำให้ผิวแก้มแดงก่ำเสียจนแทบลามไปทั่วร่าง




                           "....ขะ...ข้า..." เรียวปากขยับเอ่ยตะกุกตะกัก อาโลอิสพึมพัมอะไรบางอย่างด้วยความเขินอาย ท่าทีนั้นทำให้ไคลน์หัวเราะ




                           "..เด็กน้อย.." น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูปนขบขัน เจ้าของวลีค่อยประทับเรียวปากลงไปทาบริมฝีปากบางอีกครา ก่อนจะรั้งเอาปลายนิ้วสีขาวแตะบนแผ่นอกของตน "ถอดเสื้อให้ข้าหน่อย.."




                         ฝ่ามือขาวสั้นระริกยามค่อยแตะลงบนแผ่นอกอีกฝ่ายและปลดเปื้องอาภรณ์สีขาวบริสุธิ์ออกช้าๆ ท่าทีอ่อนเดียงสาราวกับไม่เคยถูกแตะต้องนั้นทำให้ไคลน์ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูนัก เทพบุตรหนุ่มนิ่งรออ่ย่างใจเย็นกระทั่งอาภรณ์ของตนหลุดเลื่อนออกจากกายจึงค่อยเอื้อมมือไปหาแล้วนำปลายนิ้วของอีกฝ่ายทาบลงอกซ้ายของตนเบาๆ




                        จังหวะที่ตนรับรู้ผ่านปลายนิ้วนั้นทำให้หัวใจอุ่นวาบ รู้สึกยินดีนักที่คนตรงหน้าก็หวั่นไหวไม่ต่างกัน อาโลอิสจ้องมองใบหน้าของไคลนื สบตาคู่สีน้ำตาลอีกครั้งราวกับไม่รู้จะทำอย่างไรต่อสิ่งที่เกิด แม้ตนจะอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย แต่บัดนี้กลับนิ่งสนิทราวกับจะกลั่นแกล้ง





                       "....ไคลน์.." น้ำเสียงไหวสะท้านเอ่ยออกเป็นนามของตนราวกับวอนขอ เทพบุตรหนุ่มยกริมฝีปากขึ้นช้าๆ จ้องมองดวงตาสีแดงประกายที่กำลังอ้อนวอนก็พลันยิ้มออกมาอย่างอาดูร



 
                        "..มาสิ..อาโลอิส.." กระซิบชื่ออีกฝ่ายตอบรับทันควันขณะที่ขยับปลายนิ้วสัมผัสเรือนร่างบางให้สั่นไหว ไคลน์จ้องมองอีกฝ่าย เพียงไม่นาน ฝ่ามือนั้นก็วางลงบนไหล่และอาโลอิสเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าไปหา เพื่อขออยู่ในอ้อมแขนและขอรับมอบจูบหวานๆนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ




                        เสียงลมหายใจหอบเบาๆสอดรับกับเสียงขยับกายตามจังหวะอันเก่าแก่ แม้ร่างของคนทั้งคู่จะไม่มีอาภรณ์ใดปกปิดแต่ดูราวกับความหนาวจะไม่ย่างกรายเข้ามาหา ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวจัดบัดนี้แดงวาบไปทั่วกาย เสียงครางวะหวิวที่ดูคล้ายเสียงสะอื้นยังคงดังแผ่วเบาในลำคอ ใบหน้าที่เคยเฉยชาบัดนี้กลับแดงก่ำ ริมฝีปากหอบสะท้านบ้างก็ขบกัดสลับกันราวกับระบายอารมณ์




                     ฝ่ามือวางลงบนบั้นเอวช่วยขยับควบคุมจังหวะ ขณะที่ท่อนแขนขาวพาดลงกับไหล่ สลับทั้งเกาะกุมและจิกทั้งระบายอารมณ์ใคร่ ไคลน์พรมจูบลงบนต้นคอขาวเสียจนแทบไม่มีช่องว่าง ให้กุหลาบเบ่งบานอยู่บนร่างอีกฝ่ายที่บัดนี้ยิ่งทวีความหอม..หอมเสียจนแทบคลั่ง หอมเสียจนต้องออกแรงขยี้ขย้ำผิวกายขาวให้มากขึ้น บีบเคล้นสะโพกอีกฝ่ายแล้วเสือกกายเข้าหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับไม่อาจทนไหว



                    ขบริมฝีปากลงบนยอดอกขาว กัดเบาๆร่างเพรียวก็สะท้านแล้วส่งเสียงครางครวญออกมาไม่หยุด อาโลอิสปรือนัยน์ตาขึ้นมามองสบตาอีกฝ่าย ท่ามกลางพายุปรารถนาอันเชี่ยวกราก เขามองเห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาเช่นเดียวกับที่ตนรู้สึก เพียงเท่านี้ก้ทำให้พอใจเสียจนต้องโน้มไปหน้าลงใบคลอเคลียกับเรียวปากอีกฝ่าย ให้ละความสนใจจากการปรนนิบัติยอดอกเล็กที่บัดนี้แปรเป็นสีเข้มมายังเรียวปากอันแห้งผากด้วยความปรารถนา



         
                   ส่งเสียงครางกระชั้นในลำคอเมื่อจังหวะอันเร่งเร้าใกล้จะไปถึงที่สุด อาโลอิสจิกปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย ทั้งยังครุดรั้งไม่เบานักเพื่อระบายอารมณ์ปราถนาที่คุกกรุ่น ขระที่ไคลน์แทรกเรียวลึ้นเข้ามาจาบจ้วงอย่างดุดันตามอารมร์ปราถนาที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่อาจจะยับยั้ง ร่างแกร่งเสือกกายเข้าหาไม่หยุด เช่นเดียวกับร่างของอาโลอิสที่โถมตัวเข้าหา ทั้งสองกระทบกันดั่งคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่ สายน้ำก็กระเพื่อมไหวรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น



                     "...อ่ะ...ไคลน์...ไคลน์" ส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่หยุดเมื่อผละออกมาจากริมฝีปากหนา อาโลอิสร่ำร้อง นัยน์ตาที่มีน้ำตาคลอเอ่อนั้นค่อยรินไหลลงเงียบๆ ไม่ใช่ด้วยความเจ็บปวด แต่เป็นสุขนักเมื่ออยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย ยามที่ไคลน์ได้แทรกกายเข้ามารู้สึกราวกับถูกรักถูกกกกอดแม้กระทั่งในที่ๆตนไม่อาจมองเห็น เป็นความปิติยินดีที่มากล้นเสียจนไม่อาจกลั้นไว้ได้




                  "อาโลอิส.." เสียงกระซิบพร้อมลมหายใจร้อนๆยิ่งทำให้ร่างสะท้านไหว อาโลอิสตัวสั่นอย่างไม่อาจห้ามได้เมื่อเรียวลิ้นของอีกฝ่ายแลบเลียน้ำตาที่ไหลลงข้างแก้มจรดใบหู สัมผัสร้อนที่แล่นวาบตามไปเป็นทางนั้นทำให้ตนรู้สึกดีเสียจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาอีกครา ได้แต่แสดงออกด้วยเสียงครางสะท้านไหว และแรงจิกของเล็บบนแผ่นหลังอีกฝ่ายที่มากขึ้นทุกครา



                   เส้นทางของความปรารถนาเริ่มถี่กระชั้น ยิ่งร้อนแรงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้สมองพร่าเลือนจนแทบไม่อาจจดจำได้ถึงสิ่งใด อาโลอิสเม้มปากแน่น พยายามกลั้นเสียงครางของตนไว้แต่ก็ถูกเรียวปากแสนเอาแต่ใจนั้นเข้าครองครองให้เหลือเพียงเสียงร้องครวญในลำคอแสนหวานหู ขณะที่ไคลน์ขยับกายอย่างรุนแรงไม่ยอมหยุดพัก รวบเอาร่างบางที่ขยับไหวอยู่บนกายตนให้ทรุดลงบนตักเพื่อเติมเต็มความปราถนาอันรุนแรงที่ล้นทะลักออกมาในที่สุด



                 อาโลอิสหลับตาลง จอกแผ่นหลังอีกฝ่ายแน่นเมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนที่หลั่งเข้ามาภายในกายตนซึ่งส่งผลให้ร่างสั่นสะท้านและปลอดปล่อยอกมาอย่างไม่อาจกลั้นไหว เสียงร้องด้วยความปิติถูกปิดกลั้นไว้ด้วยเรียวปากของอีกฝ่ายที่ขบเม้มอย่างรุนแรง ทั้งหยอกเย้าและสัมผัสเพิ่มเต็มเต็มความปราถนาอันคุกรุ่นไม่ยอมมอดดับลงง่ายๆ แม้จะปลอดปล่อยไปแล้วก็ตาม




                  อาภรณ์สีขาวและดำสนิทกลายเป็นผืนผ้าสำหรับรองรับร่างที่ถูกนำให้เอนลงกับพื้นหิน  ร่างขาวจัดถูกดันให้เอนกายลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับร่างของไคลน์ที่เข้าทาบทับ เสียงคราวแผ่วหวิวยังไม่อาจดังออกมาจากริมฝีปากของอาโลอิสด้วยซ้ำเมื่อเรียวปากของตนถูกบดขยี้อย่างเอาแต่ใจ เทพบุตรปักสีดำที่บัดนี้ถูกกกกอดเสียแนบแน่นจนแทบไม่มีช่องว่างได้แต่ร้องครวญระทดระท้อ เมื่อรู้ว่าบทหนึ่งแห่งความปราถนาที่จบลงไปนั้นกำลังจะมีบทที่สองตามมาติดๆ...



++++++++++++++++++++



         

       
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 33 : ในอ้อมแขน Up 23/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 23-07-2014 22:59:11
                 
                     เสียงเห่าหอนของสัตว์ร้ายดังขึ้นเมื่อความมืดแผ่เข้าปกคลุมอีกครา ความหนาวเหน้บแผ่ลงมาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวของสายลมและเสียงครวญของวิญญาณอันไม่มีที่ไป ราตรีของดินแดนใต้พิภพย่างกรายเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับความเคลื่อนไหวในซอกหินใต้หุบเหวแห่งหนึ่ง ไม่มีแสงสว่างปรากฏหรือเล็ดลอดออกมาให้เห็น แต่กลิ่นอายบางอย่างบ่งชัดว่ามีสิ่งมีชีวิตซุกว่อนตัวอยู่อย่างเงียบเชียบ


                    อ้อมแขนที่รักแน่นขึ้นเมื่อแว่วเสียงเห่าหอนของอมนุษย์ที่พวกตนไม่เห็นตัวนั้นทำให้อาโลอิสนิ่วหน้าน้อยๆ ร่างของเทพบุตรปีกสีดำบัดนี้อยู่ในอ้อมแขนของเทพบุตรปีกสีขาวนามว่าไคลน์ มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายกอดรวบเอวของตนไว้ ขณะที่ในมือของอาโลอิสมีแขนข้างที่เกิดแผลเพราะสัตว์ร้ายนั้น และตนกำลังพิจารณามันอย่างจริงจัง




                     "อาโลอิส..." น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหูทำให้อาโลอิสรับคำเบาๆ ดวงตาสีโลหิตยังคงไม่ลออกไปจากรอยแผลสีดำสนิทที่หนังมืออีกฝ่าย



       
                      "...มันอาจจะเป็นรอยแผลเป็นเช่นนี้ตลอดชีวิต" อาโลอิสเอ่ยขึ้นพลางแตะปลายนิ้วลงไปเบาๆ




                      "..แค่เล็กน้อยเอง" ไคลน์ไม่ได้แสดงความสนใจอะไรนัก เพียงแต่เอ่ยปากตอบอีกฝ่ายเบาๆ




                      "แผลที่ไม่มีวันหาย จะยังเจ็บและเจ็บอยู่ต่อไปเรื่อยๆ" เสียงของเทพบุตรปีกสีดำดูเคร่งเครียดนัก ดูผิดแผกกับคำพุดที่บอกย้ำว่าไม่อยากให้รอยแผลนี้หายในที่สุดราวกับคนละคน "มันจะดีหรือ?"




                      "แผลข้าไม่หาย เจ้าควรจะดีใจมิใช่รึ?" ไคลนืถามพลางหัวเราะเบาๆ อดจะเอ่ยปากเย้าขึ้นมาไม่ได้




                        "...ข้า" อาโลอิสอึกอักก่อนจะเม้มปาก "เป็นห่วง..."




                         "ข้าไม่เป็นไร ข้าบอกเจ้าแล้ว" ไคลน์ถอนใจช้าๆ ออกแรงกอดรัดร่างของอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกนิดก่อนจะยิ้ม "ห่วงตัวเองเถิด ว่าเจ็บมากไหม?"




                        วาจานั้นทำให้ผิวแก้มร้อนฉ่า ไม่ต้องบอกตนก็รุ้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร หลังจากถูกกกกอดครั้งแล้วครั้งเล่าเสียจนแทบนับไม่ไหว กว่าจะผละออกจากกันมาได้ ร่างของอาโลอิสก็มีแต่รอยแดงเต็มไปหมดราวกับถูกมดกัดสักร้อยตัวกระนั้น 




                         "..ข้าก็ไม่เป็นไร"




                        "..จริงรึ?" คำตอบอุบอิบด้วยความขัดเขินทำให้ไคลน์เลิกคิ้วด้วยรอยยิ้ม




                        "ข้าก็บอกแล้ว..." อาโลอิสกระแอมเบาๆ เอ่ยตอบด้วยท่าทีมั่นคงขึ้น




                        "ไม่เป็นไรก็ดี" ไคลน์หัวเราะ ปลายนิ้วแตะผิวแก้มอีกฝ่ายเบาๆ "ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าร้องไห้อีกแล้ว"




                        "..........." วาจานั้นทำให้อาโลอิสนิ่งเงียบ เม้มปากเข้าหากันช้าๆก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ "แค่เพียงข้าร้องไห้ เจ้าไม่จำเป็นต้อง..."




                          ...ปลอบใจ ด้วยการกอดข้าแบบนั้น




                         ถ้อยคำที่ตนเองไม่ได้เอ่ยออกไปกังวานขึ้นมาในใจเงียบๆ




                       "ไม่จำเป็นอะไรรึ?" ไคลน์เอ่ยถาม เลิกคิ้วขึ้นครุ่หนึ่งคล้ายกำลังฉงน



                       "ไม่มีอะไร"




                       "....ข้ากอดเจ้าด้วยความต้องการของข้าเอง" ไคลนืเอ่ยขึ้นมาเบาๆราวกับรู้ถึงถ้อยคำในใจอีกฝ่าย "เช่นเดียวกับเจ้า..ที่ให้ข้ากอดด้วยความเต็มใจของตน..หรือไม่ใช่?"




                        "...ใช่ ข้าไม่ได้ฝืนใจอะไรนะ ข้---" รีบเอ่ยรวดเร็วราวกับกลัวอีกฝ่ายจะขัดเคืองหนัก หากพอนึกได้อาโลอิสหุบปากฉับ ส่วนคนฟังก็หัวเราะ




                         "...เด็กดี.." คำชมราวกับว่าตนเองนั้นเป็นเด็กน้อยจริงๆทำให้นึกเคืองใจ แต่ฝ่ามือที่ลูบเบาๆนั้นพอจะยกโทษให้ได้บ้าง อาโลอิสยิ้มออกมาบ้างๆขณะที่ไคลน์จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่าย แม้ต่างฝ่ายจะยิ้ม แต่ทั้งสองกำลังครุ่นคิด




                         หลังจากกกอด ร่วมรัก อยู่ในอ้อมแขนของกันและกันแล้ว จะทำอย่างไรต่อเล่า?




                        ไม่ว่าจะทำลงไปด้วยเหตุผลใด อารมณ์ความต้องการ ความปรารถนา ความสงสาร..หรือความรัก แต่หลังจากนี้ เราจะเป็นเช่นใดกันต่อ




                         "ไคลน์..." นิ่งเงียบอยู่นาน ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเหน็บขึ้นราวกับไม่มีเหตุผล อาโลอิสก็เอ่ยขึ้นมาช้าๆ




                         "อะไรหรือ?" ไคลน์เอ่ยถามขึ้นมาอย่างใจลอย ดวงตายังคงจับจ้องเส้นผมสีแดงเข้ม




                         "หลังจากนี้...." ถ้อยคำที่เปรยขึ้นมาทำให้ร่างของไคลน์เกร็งขึ้นฉับพลัน ดวงตามองสบตาสีแดงประกายที่แฝงไปด้วยแววของบางสิ่ง..ที่ไม่ชวนให้ดีใจเอาเสียเลย




                        สังหรณ์บางอย่างเเล่นวาบ นั่นทำให้ไคลน์จ้องมองคนในอ้อมแขนอย่างจริงจังมากกว่าเดิม





                       อาโลอิสนิ่งเงียบ กลืนน้ำลายลงคอ ขณะเอ่ยปากบอกความคิดที่ตกค้าง..ค้างคามานานในหัวใจ




                       ...หาก ต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้




                       มันควรจะ..




                      "ข้า..ควรจะเลิกรักเจ้าแล้วใช่ไหม?"



                      เมื่อเจ้ากอดข้าอย่างอ่อนโยนมากขนาดนั้น เมื่อเจ้ายิ้มให้ข้าเช่นนี้ ข้าควรพอใจ และปล่อยมือจากไปให้เจ้ากลับไปอยู่กับคนที่ตนเองรัก ใช่หรือไม่?




                       ...เมื่อออกไปจากโพรงถ้ำแห่งนี้ ทุกสิ่งก็ควรจบลงเสียที แบบนั้นใช่ไหม?
       


                       ...เจ้ามอบความรักและความสงสารให้ข้ามากมากเสียขนาดนี้ ข้าควรจะพอใจ และจากไปจริงๆเสียที



                        เพราะอย่างไรคนที่เป็นคู่ครองของเจ้าก็คือฟาราส



                         ...ความสัมพันธ์เช่นนี้ ไม่มีทีให้กับอาโลอิส



+++++++++++++++++++++++++++++


ตอนนี้มาหื่นแบบเบาๆ (เบาเหรอ..) ในถ้ำมันพื้นที่น้อย เลยต้องอยู่ท่าแบบนี้ล่ะค--- //โดนแบนฐานติดเรทไป

แต่ตอนบนหวาน ตอนล่างดราม่าซะได้ แบบนี้สินะที่เรียกได้ตัวแล้วจากลา/ม่าย55

แล้วเจอกันตอนต่อไปค่าาา
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 24-07-2014 19:33:35
ตัดใจๆๆๆๆๆๆ จะได้ไม่เจ็บอีก  :hao5:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 24-07-2014 21:47:26
เฮ้อออ  มันหน่วงนิด ๆ   

เอ่อ  ลงข้ามตอนหรือพิมพิ์เลขตอนผิดรึเปล่าคะ   ข้ามมาตอนที่ 34  แล้ว ตอน 33  อยู่หนใด 

หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 24/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 24-07-2014 22:14:18
Lost 34 : อสูรกาย


                     "ข้า..ควรจะเลิกรักเจ้าแล้วใช่ไหม?"




                      ถ้อยคำนั้นทำให้ไคลน์นิ่งงันอย่างไม่อาจจะเอ่ยคำใด



   
                      เทพบุตรหนุ่มมองใบหน้าของอีกฝ่ายและสบมองนัยน์ตาคู่นั้น ดวงตาสีแดงประกายนั้นแฝงแววจริงจัง ถ้อยคำที่เอ่ยมานั้นบ่งชัด..ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น




                      เลิกรัก...




                     ถ้อยคำที่ออกมาควรจะทำให้ดีใจใช่หรือไม่ หากอาโลอิสเลิกมุ่งหวังในตัวของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับฟาราสก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่ต้องนิ่งกังวลว่าจะถูกทำร้ายหรือไม่อีกต่อไป อีกทั้งเมื่อเป็นเช่นนี้ตนก็อาจจะยังพอคบหากับอีกฝ่ายเป็นสหายเฉกเช่นที่เคยหวัง





                    ที่ผ่านมา ไคลน์นั้นเคยนึกแคลงใจ เคยกังวล และไม่เชื่อกับคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่ต้องยอมรับ ไม่เคยมีครั้งใด ที่ตนจะภาวนาให้อาโลอิส..เลิกรัก





                   ..ทั้งที่หากเลิกรักข้าแล้วทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่ข้าก็ไม่เคยมุ่งหวัง ไม่เคยคิดให้เป็นเช่นนั้น




                   ไคลน์กลืนน้ำลายช้าๆ คำว่าเลิกรักจากปากอีกฝ่ายนั้นยังผลให้หัวใจเย็นวาบ..อิทธิพลที่ส่งต่อถึงทั้งที่ไม่ควรจะมีทำให้ตนนิ่งงันไปอย่างไม่รู้จะทำเฉกเช่นใด





                   "เจ้าเพียง....." ริมฝีปากขยับอย่างเชื่องช้า จ้องมองดวงตาสีแดงประกายที่บัดนี้หม่นครึ้ม "..อยากให้ข้ากอด แล้วตัดใจ อย่างนั้นหรือ?"




                    อาโลอิสนิ่งฟังคำตอบของอีกฝ่าย หากสิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้ตนหลุดหัวเราะ ความคาดหวัง..ความหวังอันเลือนรางที่ตนอยากให้คนผู้นี้เอ่ยปากบอกว่าไม่ยอม..ไม่ยอมให้เลิกรัก ไม่ยอมให้ตนนั้นตัดใจและออกไปห่างจากวิถีของตน ความหวังแล้งๆที่ได้มาด้วยอ้อมกอดของอีกฝ่ายบัดนี้ก็พังยับลงไปต่อหน้า






                    ..คิด..เช่นนั้นจริงๆหรือ?




                   หากให้กอดแล้วสมใจ..จึงเลิกรัก คิดเช่นนั้นหรือ?




                   "...ข้าเคย.." อาโลอิสตอบอีกฝ่ายเสียงเรียบสนิท "เคยคิดจะเป็นเช่นนั้น ในยามที่อยู่ในร่างของมนุษย์ผู้หลงโง่งมงาย ข้าเพียงแค่คิดว่า..ขอให้ไคลน์กอดข้าเพียงครั้งเดียวแล้วข้าจะติดใจ..." ปลายหางเสียงสั่น..ราวกับกำลังหัวเราะ




                   "แต่มาในยามนี้ มันไม่ใช่แล้ว ข้าไม่เคยคิดว่าให้เพียงกอด แล้วจะยอมตัดใจ ไม่ใช่แบบนั้น"




             ".............."




                   "เพราะข้ารักเจ้า" ถ้อยคำหนักแน่น ดวงตาที่ทอประกายวาบยามเอ่ยบอกรักทำให้หัวใจพองขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความปิติ "ข้ารักเจ้า จึงไม่อยากจะทำความวุ่นวายมากกว่านี้ เพียงแค่ถูกกอด เพียงแค่ถูกรัก แม้วันเดียว แม้เครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วเพราะอ้อมกอดของเจ้าอบอุ่นเช่นนี้...ข้าจึงยอมตัดใจ"




             ".............."




                   "....เจ้าใจดีเหลือเกินไคลน์...ใจดีและอ่อนโยนยิ่งนัก ข้าคือคนที่หลงรักความอ่อนโยนของเจ้า" หัวเราะขื่น หลางหลับตาลงช้าๆแล้วยิ้ม "..เพราะเจ้าใจดี ความใจดีของเจ้าจึงทำร้ายข้ามากนัก..ข้าควรจะเลิกรัก เลิก ก่อนที่ตัวเองจะขาดใจตาย.."




                   "เห็นไหม...ข้าไม่ได้ทำเพื่อใคร ข้าทำเพื่อตัวเอง"





                   "..............." ถ้อยคำที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายทำให้ไคลน์นิ่งเงียบ เทพบุตรหนุ่มเงียบไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เงียบและไม่อาจเอ่ยคำพูดใดๆออกมาขณะที่ตนค่อยรับรู้และซึมซับสิ่งที่เจ้าของดวงตาสีแดงคู่นี้ต้องการจะเอ่ยบอก




                    ...เลิกรักข้าเพียงเพื่อตัวเอง




                     บางครา นี่อาจจะถูกต้องที่สุดแล้ว




                      รักข้าต่อไปเจ้าก็ไม่ได้อะไร รักข้าต่อไปเจ้าก็ต้องเจ็บปวดเพราะข้ามีฟาราส..บทสรุปของอ้อมแขนและการร่วมรัก ที่สุดคือเจ้าและข้าสามรถมองทางเลือกที่ดีกว่าการมาจมปลักกับความสับสนและความรู้สึกผิดต่อฟาราสผู้ที่ไม่ได้มีความผิดใดเลย




                      "...เลิกรักข้า และปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพฝัน" ไคลน์เอ่ยช้าๆ พลางจ้องมองใบหน้าอีกฝ่าย "เจ้าต้องการเช่นนี้ ใช่หรือไม่?"




                     "หรือเจ้ามีทางเลือกอื่นใดเล่า" อาโลอิสเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา




                     "...ทางเลือกที่เจ้าเลือกนั้นย่อมถูกต้องแล้ว ดีแล้ว และควรแล้วที่ตนจะทำ" ไคลน์จ้องมองอีกฝ่าย อ้อมแขนที่เคยกอดรอบเอวบางค่อยผละออกไปก่อนจะสุดหายใจลึก "ข้าเพียง มีอย่างหนึ่งที่อยากรู้"




                     "อะไร..." อาโลอิสเอ่ยเสียงเบา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันช้าๆ แววตาหรุบลงเงียบๆ




                     "เจ้าจะร้องไห้อีกไหม?"




                     "............."




                      "หากเลิกรักข้าแล้ว....อย่าได้ร้องไห้อีกล่ะ อาโลอิส"





                      สิ้นคำ...สายฝนก็พร่างพรูลงมาจากดวงตา




                     ไคลน์จ้องมองน้ำใสที่ร่วงพรูลงมาจากดวงตาสีแดงที่บัดนี้หม่นครึ้ม แม้จะไม่ได้มองตาคู่นั้นโดยตรงด้วยเจ้าตัวหันหน้าหนี แต่ทว่าท่าทีนั้นก็ไม่อาจปิดบังหยุดน้ำใสที่เกลื่อนพรูลงมาได้ราวกับไม่อาจกั้น แม้ว่าเจ้าของมันจะหยุดได้เกือบจะทันทีก็ตาม




                     อาโลอิสยกแขนขึ้นปิดหัวตาตนเองแรงๆ นัยน์ตาแดงก่ำไม่อาจปกปิดหยดน้ำตาที่พรั่งพรูลงราวกับไม่อาจทานทนไหว หากจะถุกต่อว่าต่อขาน ดูหมิ่นหยามเหยีดหรือพูดจาเลวร้ายใส่นานัปการนั้นยังว่าพอรับได้ ตนเองทำใจไว้แล้ว จึงได้เลือกสรรถ้อยคำที่เจ็บแวสบที่สุดมาใช้ หากแต่ผลตอบรับ กลับเป็นวาจาที่แสนอ่อนโยนนัก




                      . .อย่าร้องไห้....อย่าร้องไห้




                      คำพูดนั้นยังคงอ่อนโยนและตราตรึง ชวนให้ระลึกถึงห้วงเวลาที่อีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงมายังผิวแก้มแล้วพร่ำบอกข้างหู..อย่าร้องไห้ ไคลน์ผู้พ่ายแพ้น้ำตาของข้ายังคงพร่ำบอกซ้ำๆราวกับตัวเขาไม่ได้เอ่ยวาจาเสียดหูออกไป




                      บอกให้ข้าอย่าร้องไห้ แล้วข้าจะตัดใจได้อย่างไร




                      "เจ้า....." อาโลอิสกัดริมฝีปากเอ่ยออกมาอย่างยากเย็นยามที่ก้อนสะอื้นยังจุกบริเวณลำคอไม่หาย "...ขี้โกง..เจ้า..กำลังแกล้งทรมารข้า.."




                      "อาโลอิส..."




                      "ทำไมถึงไม่ด่าว่า ทำไมถึงไม่ประณามข้าล่ะ....ห่วงข้าทำไมกัน ไคลน์..." อาโลอิสก้มหน้าลงอย่างอับจนหนทาง ใบหน้าก้มตา "ทำไมถึงไม่ด่าว่าข้าเหมือนที่เจ้าเคยเป็นล่ะ...ทำไมกัน"




                      ไคลน์มองภาพเบื้องหน้าช้าๆ  ฝ่ามือที่ยกขึ้นคล้ายจะเอื้อมไปวางลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลมค้างออกและวางลงเงียบๆ เทพบุตรหนุ่มจ้องมองภาพที่ทำให้ตนปวดใจนักเบื้องหน้า หัวใจเจ็บหนึบอย่างไม่รู้ตัว




                      ก้มมองฝ่ามือของตนช้าๆ ราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่ง ไคลน์กำมือแน่นสุดหายใจลึก




                      "...จะให้ข้าประณามเจ้าได้อย่างไร" เอ่ยช้าๆพลางถอนหายใจแผ่วเบา "ในเมื่อรักของเจ้าที่มอบให้ข้ามีมากมายปานนี้.."





                       "ข้าจะไม่รักเจ้าแล้ว!" เสียงของอาโลอิสร้องบอกทันควัน




                       "....ข้ารู้"




                       "ข้าจะตัดใจจากเจ้า..."





                        "ข้าเข้าใจ.."




                        "..เจ้าควรจะด่าว่าข้า..ทำร้ายจิตใจข้าจนข้าเกลียด เกลียดเจ้าจนฝังใจ..ไคลน์" อาโลอิสเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง





                        หากไคลน์กลับยิ้ม "...อย่างน้อย ข้าก็จะมีตัวตนในความทรงจำของเจ้า เป็นคนที่เจ้าเกลียดที่สุด ใช่หรือไม่?"





                       "ใช่..." ดวงตาสีแดงปิดลงอีกคราพร้อมกับหยุดน้ำไหลร่วงพรู




                      ไคลน์จ้องมองมือตัวเองอีกครั้ง กว่าจะรู้ตัว เเขนทั้งสองข้างของตนก็รั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด กอดให้แน่น..แน่นที่สุดเท่าที่จะทำให้ ขณะที่อาโลอิสหลุดสะอื้นออกมาราวกับอับจนหนทางด้วยไม่รุ้จะหนีให้หลุดพ้นไปจากความรักที่ไร้ทางออกเฉกเช่นนี้ได้อย่างไร



                         "ถ้าหาก..." ฝ่ามือหนาวางลงบนเส้นผมสีแดงเข้ม ไคลน์กอดอีกฝ่ายที่ตัวสั่นระริก เอ่ยปากปลอบประโลม ทั้งที่ตนเองนั้นคือผู้สร้างบาดแผล "..เจ้าจะเลิกรักข้า ข้าจะด่าว่าเจ้า หรือเจ้าจะเกลียดชังข้า..ข้าไม่ว่าเลย"




                        "...แต่เอาไว้..เราออกไปจากที่นี่ได้ไหม?"




                      ถ้อยคำนั้นไม่มีสิ่งใดตอบรับอกจากเสียงสะอื้นเบาๆในลำคอของอาโลอิส ร่างของเทพบุตรปีกสีดำผู้ชั่วร้าย ที่บัดนี้ดูราวกับเป็นเด็กทารกผู้ไม่อาจทำการใดได้หากไม่มีความช่วยเหลือกำลังซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย ซบเช้ดน้ำตาเงียบๆ ขณะที่หัวใจก็ตระหนักรู้ได้ถึงนัยยะที่อีกฝ่ายบอกเฉกเช่นเดียวกัน




                        ...หากออกไปจากที่นี่..ทุกอย่างก็จะพลันมลายหายไป




                         เมื่ออกไปแล้ว เราก็จะกลายเป็นเพียงศัตรรูกันเฉกเช่นเดิม และไคลน์..ก็จะเป็นของฟาราสผู้นั้น




                         มีเพียงในยามใน ระหว่างที่ร่องรอยแผลยังปรากฏ และระหว่างที่ร่างของอสูรร้ายยังไม่ออกอาละวาด..เพียงยามนี้เท่านั้น ที่ไคลน์จะเป็นของอาโลอิส



                      ได้เพียงเท่านี้




                        หรุบตาลงช้าๆ ดวงตาสีแดงสั่นไหว อาโลอิสกอดรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้นราวกับหวาดกลัวเหลือใจ เฉกเช่นเดียวกับไคลน์ที่กอดรัดอีกฝ่ายแน่นไม่ต่าง




                        ไร้คำพูดใดต่อจากนั้น หากพวกเขาทั้งคู่ ต่างคนต่างรู้




                          ...เหลือเวลาเพียงน้อยนิด




         
    ++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 24/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 24-07-2014 22:16:10
            

               ต้นไม้ไร้ใบยังคงยืนหยัดอยู่บนปากเหวสูงชันราวกับไม่หยี่ระ ลำต้นสูงใหญ่ เปลือกสีน้ำตาลเข้ม และกิ่งก้านเเข็งแรง บนยอดที่สูงเสียฟ้า มีร่างของการาเวนสีดำตัวยักษ์ตาสีแดงก่ำเกาะอยู่พร้อมทั้งเฝ้าระวังระไว นัยน์ตาสีแดงวาววับของเจ้านกตัวนั้นมองไปรอบๆ ขณะที่บนกิ่งไม้ถัดลงมาไม่มาก มีร่างของเทพบุตรหนุ่มในชุดสีขาวนั่งเงียบ ท่าทีเงื่องหงอย



                  ฟาราสจ้องมองทิวทัศน์โดยรอบด้วยสายตาเบื่อหน่าย จากที่เคยตื่นเต้นและสนอกสนใจในดินแดนใต้พิภพที่ตนไม่เคยได้เข้ามาและพบเจอ บัดนี้เมื่อต้องนั่งอยู่ที่เดิมเป้นเวลานาน ตนก้รุ้สึกเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก ต้นไม้สูงใหย่ไร้ใบดูอย่างไรก้ไม่อาจงดเง่าเท่าไม้ใบเขียวขจีและดอกไม้หลากสีสัน เช่นเดียวกับท้องฟ้าไร้เมฆหมอกหรือสิ่งใด และพื้นดินที่มีเพียงสีน้ำตาลสุดลุกหูลูกตา ไม่อาจระรื่นตาระรื่นใจเช่นท้องทุ่งหญี่ที่ตนเคยประสบ



                  ถอนใจช้าๆ..ล่วงเวลาเลยมานับแต่ที่คนรักของตนหายไปพร้อมกับอาโลอิสผู้นั้นก็เกือบสามวันแล้ว นอกจากคำตอบของเซธที่บอกเล่าถึงอาการและเรื่องราวที่ทั้งคู่ประสบก็ไม่มีข่าวใดๆเล้ดรอดมาอีก ทั้งวันและคืนตนต้องนิ่งอยู่อย่างเบื่อหน่าย แม้จะมีผู้ร่วมเดินทาง แต่การาเวนสีดำตัวนั้นนับได้ว่าเป็นผู้ร่วมเดินทางชั้นแย่ เซธมักจะชอบเอ่ยปากยั่วโมโหและประชดประชันตนอยู่เสมอ ซ้ำยังชอบอยู่ในร่างนกตัวนั้นเสียอีก



                 "เมื่อไหร่...."



                 "ยังไม่ใช่ตอนนี้"เพียงอ้าปากขึ้นจะถาม เสียงของเซธก็ดังขึ้นก่อนราวกับรู้ใจ ฟาราสเม้มปากแน่น นึกหงุดหงิดกับความพยายามของตนที่จะตามหาคนรักนั้นดูจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย



                 "ยังไงเขาก็ปลอดภัย เจ้าอย่าได้เป็นกังวล" เสียงของเซธดังขึ้นอีกครั้ง ฟาราสถอนใจเบาๆ



                  "...ข้าจะห่วงคนรักของตนมิได้เลยหรือ?"

   

                 "เชิญเจ้าห่วงใยตามสบาย แต่ไม่จำเป็นต้องเอาความห่วงหานั้นมาทับถมที่ตัวข้า"เวธขยับริมฝีปาก เอ่ยตอบสั้นๆ



                  "ข้าเพียงอยากรู้ และท่านเป็นคนเดียวที่รู้ได้" ฟาราสเอ่ยตอบก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ "และท่าน...รู้ได้อย่างไรกัน"



                   "คิดว่าข้าจะบอกเจ้ารึ ท่านเทพ?" ริมฝีปากของกาตัวใหญ่ขยับไหว ออกปากถามกลับ




                    "ข้ารู้ดีว่าไม่ขอรับ ขออภัย" ฟาราสเม้มปากแน่น หงุดหงิดด้วยความที่ตนนั้นไม่อาจทำอะไรได้เลย



                     ทั้งคนรักที่หายไป บาดเจ็บ ไม่รู้ชะตากรรมเป้นอย่างไร รวมถึงเรื่องการต่อสู้ในยามนี้



                     ตัวเขาเป็นเพียงเทพบุตรธรรมดาที่ไม่เคยสู้รบ..ไฉนเลยจะเทียบเคียงนักรบเช่นผู้อื่น




                     ...รู้สึก ด้อยค่านัก



                      "...มีสิ่งที่เจ้าจะทำได้อยู่แล้ว อย่ากังวลไป" เสียงที่ดังขึ้นด้านบนทำให้ฟาราสชะงักอีกครา เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้ว เอ่ยปากขึ้นเมื่อทนสงสัยไม่ไหว



                     "คิดสิ่งใดดูราวกับจะรู้หมด ท่านอ่านใจข้าได้งั้นรึ ท่านเซธ?"




                        "ใช่" วาจาตอบกลับนั้นทำให้ตนถึงกับต้องอ้าปากค้าง



                        "...แต่ ทำไม เป็นไปได้อย่างไร" ฟาราสตะลึงไปครุ่ใหย่ด้วยความงวยงง นัยน์ตาจ้องมองการาเวนตรงหน้าด้วยความข้องใจยิ่งนัก




                    "...ข้าทำได้" เซธเอ่ยตอบ ริมฝีปากเจ้ากาดำนั้นขยับดูราวกับกำลังแสยะยิ้ม "เฉพาะกับผุ้ที่คิดและแสดงออกมาด้วยแล้วยิ่งง่าย ทั้งความคิดของเจ้า คนรักของเจ้า ข้าล่วงรู้...อาโลอิสก็ด้วย แม้จะยากเล็กน้อยก็ตาม"




                    "ทำไม?" ฟาราสนึกสงสัย หากเป็นพวกที่อยู่ใต้ผืนพิภพเช่นเดียวกัน ย่อมสื่อสารกันได้ดีกว่ามิใช่หรือ



                     "ผู้เก็บงำความคิด..อ่านได้ยาก" เซธเอ่ยตอบ "คนรักของเจ้าก้เช่นกัน แต่ตัวท่านเทพฟาราสนั้น..ขออภัยที่ต้องบอกว่าค่อนข้างง่ายสำหรับข้าเลยทีเดียว"




                      "งั้นหรือขอรับ"ฟาราสฟังคำพูดนั้นอย่างนึกหงุดหงิดไม่น้อย "ข้าขออภัยที่..อ่ะ..."




                       เสียงคำรามของผืนดินทำให้ชะงัก ฟาราสรีบผุดลุกขึ้นยืน รับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตรายที่ตนสามารถรับรู้ได้แม้จะไม่อาจมองเห็น ขระที่ร่างของเซธในรุปนกราเวนนั้นเกาะลงที่ไหล่ ดวงตาสีแดงสดเป้นประกายวับ ขณะที่ขยับปีกกระพรือขึ้นแล้วอ้าปากบอก




                      "หนี"




                       ตูม!!!




                     สิ้นเสียงของเซธผืนดินด้านล่างก็พลันระเบิดขึ้นจนเศษฝุ่นปลิวกระจาย ฟาราสอ้าปากค้าง ตนนั้นไม่ทันแม้แต่จะขยับปีกบินเสียด้วยซ้ำ หากไม่ถูกเซธอุ้มไว้แล้วพาบินออกไปอย่างรวดเร็วคงไม่แคล้วหล่นลงหุบเหวเแกเช่นเศษหินและต้นไม้ไร้ใบที่ตนเคยพักพิงต้นนั้น




                   "นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" ฟาราสเอ่ยถามอย่างตกตะลึงไม่น้อย ดวงตาของเทพบุตรหนุ่มเบิกกว้างขณะที่ร่างของตนถูกนำมาไกลจากหุบเหวที่เคยอยู่พอสมควร เซธในร่างมนุษย์ยืนขึ้นพลางจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยท่าทีเคร่งเครียด นัยน์ตาสีแดงเป็นกระกายวาบ




                    "ตื่นขึ้นมาแล้ว" เซธเอ่ยช้าๆ ท่าทีเคร่งเครียดและระวังระไว

       

     
                   "อะไร.." ฟาราสถามกลับ กลินน้ำลายลงคอช้าๆ เนื้อตัวสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจระงับ ด้วยตนรับรู้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่กระจาย

       


                  "...เจ้าก็รู้นี่.." เซธหันมาจ้องเงียบๆดวงตาสีแดงเจิดจ้านั้นวาววับ ขณะที่ตามองไปยังเบื้องหน้า ท่ามกลางเศษฝุ่นที่คละคลุ้ง เงาร่างของบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง

       


                  ...ดวงตาสีทองวาววับท่ามกลางเศษฝุ่นคละคลุ้ง ร่างสูงใหญ่เสียจนต้นไม้ที่ว่าสูงนักหนายังไม่อาจเท่า เกล็ดสีเข้มบนร่างส่องประกายระยับ ขณะที่บนศรีษะมีเขาสีดำสนิทแทรกผ่านกลุ่มผมสีเข้มขึ้นมา ร่างนั้นยืนสองขา ท่าทีดุร้ายกราดเกรี้ยว กลิ่นเหม็นคลุ้งชวนอาเจียรของโลหิตฟุ้งกระจายเช่นเดียวกับกลุ่นอายของความตายคละคลุ้งรุนแรง

   


                    ฟาราสเอ่ยช้าๆ ทันทีที่มองเห็น ตนก็นิ่งงันด้วยรู้แล้วว่าบัดนี้กำลังเผชิญกับสิ่งใด



                     อสูร...




                     ...อสุรกายที่ทำให้พวกตนต้องลงมาต่อกร บัดนี้ปรากฏกายขึ้นแล้ว




++++++++++++++++++++


                     สรุปผลว่าเราจะมุ้งมิ้งกันแค่ในถ้ำ พอเจอเมียขุ่นไคลน์ก็จะกลับไปลูปเดิมข่ะ ถถถถ     แต่จริงๆอาจจะไม่ใช่ลุป

เดิมนะ ฟีลคงได้แต่เก็บเอาไว้ในใจมากกว่า //ฮัมเพลงเราเจอกันช้าไปปป    ส่วนอสูร อึมม อาจจะอธิบายได้ไม่ดีเท่าไหร่

อสูรกายที่ว่านี่ฟีลเหมือนคนยักษ์ผสมบิ๊กบุ๊ตแล้วมีเขาน่ะค่ะ(....)คือไม่ใช่แบบก๊อตซีล่านะ5555


ตอนหน้าจะมาไฟว้กันแล้ว เรามาติดตามกันค่าาา   

ปล.นิยายยังเปิดจองอยู่นะค้าาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 24-07-2014 22:31:04
ประทับใจมากค่ะ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 24-07-2014 22:34:37
เฮ้อออ  มันหน่วงนิด ๆ   

เอ่อ  ลงข้ามตอนหรือพิมพิ์เลขตอนผิดรึเปล่าคะ   ข้ามมาตอนที่ 34  แล้ว ตอน 33  อยู่หนใด 




พิมพ์เลขไม่ผิดตอนค่าาาาาา   เเต่เราตาลายเอามาลงผิดค่าาาาา //อายจริงๆ  ขอโทษนะคะ ตอนนี้เเก้ไขเเเล้ว มาลงครบอ่านใหม่ได้เลยค่าาาาา
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 35 : เตรียมการต่อสู้ Up 26/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 26-07-2014 06:25:06
Lost 35 : เตรียมการต่อสู้





                    เสียงคำรามและเเผ่นดินที่แยกออกจากกันไม่ได้อยุ่นอกเหนือจากการรับรู้ของไคลน์และอาโลอิส




                    ร่างของเทพบุตรทั้งสองที่นั่งอิงแอบกันเงียบๆในโพรงถ้ำรับรู้ได้ถึงเสียงคำรามและแผ่นดินที่สะเทือนไหว



                  เสียงกรีดร้องของบรรดาสัตว์ร้ายที่เคยกลุ้มรุมบัดนี้ต่างหลบลี้หนีหายไปด้วยความหวาดหวั่น สัญญาณที่ส่งมาทำให้ทั้งสองมอง หน้ากันเงียบๆ และโดยไม่ต้องพูดอะไร พวกเขาก็ลุกขึ้น เตรียมตัว




                     ดาบที่สร้างขึ้นมาด้วยพลังของเหล่าเทพบุตรปีกสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้า อาวุธที่ใช้คร่าสัตว์ร้ายที่ผุดขึ้นมาจากความมืดมิดโดยเฉพาะถูกชโลมด้วยโลหิตของไคลน์ที่เป้นดั่งพิษร้ายของบรรดาสัตว์ในใต้พิภพนี้ อาโลอิสจ้องมองมันก่อนจะรับมาถือไว้ หากริมฝีปากเอ่ยถาม




                     "ให้ข้าจะดีเหรอ?"




                      "ดีสิ" ไคลน์เอ่ยปากรับคำแต่โดยง่ายขณะที่ดวงตาจ้องมองอีกฝ่าย




                       "...คนที่ควรใช้ควรเป็นเจ้า" ถือดาบไว้มั่นในมือ หากปากเอ่ยประท้วงไม่เลิก




                        "...ควรเป็นเจ้า" ไคลน์ถอนใจเบาๆใส่คนดื้อดึงนัก ร่างเทพบุตรหนุ่มก้าวมาประชิดร่างอีกฝ่าย มือโอบเอวบางไว้แล้วรั้งให้มาประชิด "อย่าลืมว่าเจ้าต้องได้ปีกคืนกลับไป...ขอให้เป็น..ทางที่ข้าพอจะช่วยได้เถอะ"




                        "อา...นั่นสินะ" อาโลอิสรับคำเบาๆ ไม่ได้เอ่ยปากบอกไปว่าตนนั้นแทบจะไม่ได้สนใจ"ปีก"ที่เสียไปนั้นเสียด้วยซ้ำ รวมถึงความตกต่ำในฐานะทีต้องการเป็นเพียงวิญญาณชั้นต่ำ ที่สุดแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็เป็นเพียงแค่นั้น




                          ...ไม่ว่าจะต้องไร้ปีกทั้งสองข้าง หรือจะต้องกลายเป็นเทพชั้นต่ำ ข้าก็ทนได้ ขอแค่เพียง...




                           หรุบตาลงแล้วถอนใจเบาๆกับฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ขณะที่ไคลน์บีบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แล้วโน้มตัวเข้าไปจูบข้างแก้มอย่างอ่อยอิ่ง




                          "อาโลอิส..."




                          "ข้ารู้..." ดวงตาสีแดงเปิดขึ้นมาช้าๆ สบตาอีกฝ่ายเงียบๆ





                       ไคลน์มองตาคู่นั้น นิ่งไปก่อนจะโน้มตัวลงไปแนบริมฝีปากกับเรียวปากของอีกฝ่ายเบาๆอีกครา




                         "เจ้า...." สีหน้าของอีกฝ่ายกระอักกระอ่วน คล้ายอยากจะถามบางสิ่ง




                         "มีอะไร..."อาโลอิสถามกลับเสียงเบา แววตาสั่นไหว




                         "....เปล่า" ไคลน์ตัดสินใจผละริมฝีปากออกมาก่อนจะละอ้อมแขนออก "เจ้าดูแลตัวเองด้วย อาโลอิส"





                          "....ขอบคุณ" อาโลอิสตอบรับเสียงเบา ขณะที่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบกันไปอีกครา





                            ..ต่างก็ไม่รู้จะเอ่ยคำใด



                        บอกลางั้นหรือ? หรือบอกว่าทุกอย่างมันจบแล้ว?




                        จะอาลัยอาวรณ์กันกระนั้นหรือ..ไคลน์และอาโลอิสเคยรักใคร่กันปานนั้นเสียเมื่อไหร่





                      ...ฉะนั้น เพียงแต่ทำทุกอย่างไปอย่างที่เคยทำก็เพียงพอแล้ว




                       "ถ้าอย่างนั้น ไปกันเถอะ" เสียงที่บอกออกมานั้นทำให้ตนพยักหน้าเงียบๆ แขนสอดขึ้นคล้องลำคออีกฝ่าย ขณะที่ไคลน์อุ้มตนเอาไว้ในอ้อมแขน สอดประคองไว้แล้วสะบัดปีกสีขาวด้านหลังเพื่อโบยบิน





                        อาโลอิสกอดคออีกฝ่ายแน่นขึ้นยามที่ร่างนั้นพาตนเองเหินขึ้นสู้เวหา ไม่ได้หวาดกลัว หากแต่เป็นเพราะตนรู้ว่าห้วงเวลาที่เคยสัญญาไว้กำลังหมดลงในที่สุด



                       ...กลายเป็นเพียงในหนึ่งตื่น และเป็นเพียงอดีตอันแสนไกลเท่านั้น




                         จากนี้เมื่อตื่นจากฝัน ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นเหมือนเดิม




 
                         กลืนน้ำลายช้าๆขณะที่ร่างของไคลน์พาตนออกจากหุบเหวขึ้นบนฟ้าอีกครา และเมื่อโผบินขึ้นมาบนผืนดินเศษฝุ่นที่คละคลุ้งที่มองเห็นจากไกลๆนั้นก็เป็นดั่งสัญญาณนำทาง





                        "อาโลอิส" เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นในอนุสติ อาโลอิสครางเบาๆในลำคอ ก่อนจะตอบรับ





                        "เซธ เป็นอย่างไรบ้าง"





                      "   ข้าเฝ้ามันเอาไว้แล้ว เจ้าอยู่ที่ไหน" เสียงถามของอีกฝ่ายดังขึ้น ขระที่ไคลน์หันมองคนในอ้อมแขน ขมวดคิ้วเล็กน้อย




                         "ข้ากำลังจะไป ดูแลตัวเองด้วย"





                          "รีบๆมาล่ะ"





                           "ทราบแล้ว" อาโลอิสรับคำเงียบๆ พลางหันไปมองสัญญาณจากร่างที่คลุ้งเศษฝุ่นเบื้องหน้า ดวงตาของเทพบุตรหนุ่มหรี่ลงช้าๆ ขณะที่ผู้ที่โอบอุ้มตนไว้ในอ้อมแขนลอบถอนหายใจแผ่วเบา





                          "ทางโน้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง" คำถามนั้นบ่งชัดว่าไคลน์ทราบเรื่องที่ตนติดต่อกับเซะแล้ว อาโลอิสชะงักไปครู่ก่อนจะเอ่ยปากบอกไปตามจริง





                            "อสูรกายตนนั้นออกมาแล้ว เซธกำลังเฝ้าไว้อยู่ คงต้องรีบไป"




                           "เข้าใจแล้ว"ไคลน์รับคำเบาๆ ก่อนจะมองอีกฝ่ายไปในอ้อมแขน แววตาอ่อนลง "ระวังตัวด้วยล่ะ อาโลอิส"




                           "ข้าทราบแล้ว.." อาโลอิสรับคำแผ่วเบา ดวงตาหรุบลงก่อนจะเอ่ยสั้นๆ "ขอบคุณมาก"





                           ไคลน์ทำท่าจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบเสีย เทพบุตรหนุ่มนิ่งเงียบไปเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในอ้อมแขน ทั้งคู่จ้องมองไปยังสถานที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของอสูรร้ายตนนั้น ไม่ได้เอ่ยปากสิ่งใดต่อกัน เฉกเช่นคำมั่นที่เคยพูดไว้ว่าทุกสิ่งล้วนจะจบลงเมื่อเริ่มต้นออกเดินทางอีกครา




                          ทั้งความหวั่นไหวและทุกสิ่ง..ทิ้งมันไว้เสียแล้วก้าวต่อ




                         ...แต่ทั้งข้าและเจ้าจะเสียใจภายหลังหรือไม่ที่ทำเช่นนี้




                          ไม่อาจรู้ได้เลย





                       ฟาราสยืนนิ่ง อึ้งและเงียบงันไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อมองเห็นร่างของอสูรร้ายปรากฏตัวต่อหน้า เทพบุตรหนุ่มผู้คุ้นชิ้นกับภาพสวรรค์อันสวยงามอดตัวสั่นระริกไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายกระหลายเลือดที่แผ่อวลปกคลุมเสียจนอยากจะอาเจียร ขณะที่เซธซึ่งบัดนี้อยู่ในร่างของมนุษย์ยืนมองประจัญหน้า สีหน้าครุ่นคิด




                       ร่างขออสูรร้ายลืมตาขึ้นมาสอดส่องทางพวกตนทันทีราวกับรับรู้ได้แล้วว่ามีเหยื่อปรากฏ เซธขยับตัวกำบังกายตนและฟาราสไว้ไม่ให้มันเห็นอย่างรวดเร็วขณะที่มีสีหน้าว้าวุ่น เคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน




                         "จะทำอย่างไรดี?" ฟาราสเอ่ยปากถาม สีหน้าหวั่นผวาไม่น้อย




                      "สู้" เซธเอ่ยสั้นๆ "แต่ไม่ใช่ตอนนี้"




                       "ทำไม?"




                      "ไคลน์และอาโลอิสกำลังมา ต้องพึ่งกำลังพวกเขา อีกอย่าง อาโลอิสต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ" เซธเอ่ยตอบขณะที่ตาจ้องมองอสูรตนนั้นกระส่ายกระสับมองหาเหยื่ออย่างไม่วางตา




                       "..หมายถึงปีก.."ฟาราสเม้มปากน้อยๆ




                       "ใช่ นี่คือเงื่อนไขที่เขาต้องทำ" เซธเอ่ยตอบสั้นๆสีหน้าใคร่ครวญ




                        "แล้วถ้าคนอื่นทำได้จะเป็นอย่างไร?"




                        "เป็นอย่างไรรึ..มีคนอื่นได้ความดีความชอบไป และอาโลอิสก็กลายเป็นเพียงเทพชั้นต่ำ แต่แบบนั้นจะถูกใจท่านมากกว่ารึเปล่านะ ฟาราส.." เซธเอ่ยตอบ หางเสียงมีแววเยาะ




                         "ข้า..ไม่เคยคิด" ฟาราสเม้มปากแน่น ไม่พอใจผู้ที่เอ่ยอย่างลึกซึ้ง ดวงตาสีท้องฟ้าวาววับอย่างไม่พอใจ
                "ทั้งที่เขายังไม่ได้รับโทษทัณฑ์จากเจ้าเลยงั้นรึ..ไม่เจ็บแค้นบ้างรึอย่างไร ท่านเทพ"





                          "..ท่านเซธ" ฟาราสถอนหายใจเบาๆ พยายามอย่างยิ่งในการบอกตนให้เลิกสนใจท่าทีและคำพูดของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากนัก "ไม่รู้ว่าท่านไปเอาตัวอย่างความคิดนั้นมาจากไหน แต่ข้าไม่...ก็คือไม่"





                          "ท่านเทพบุตรแสนดี" เซธหัวเราะ "เจ้าเป็นคนดียิ่งนักจริงๆนั่นล่ะ"






                            "ขอบคุณในคำชม"...แม้ไม่ต่างกับวาจากวนโมโหก็ตาม






                            "ข้าไม่ได้กวนโมโห ข้าพูดจริง น้อยนักที่เมื่อถูกทำร้ายแล้วจะไม่เคืองแค้น ข้าเห็นเพียงเจ้าหวาดกลัว หาได้แค้นและรู้สึกขุ่นใจแต่อย่างใด"




                            "ท่านเซธ"ฟาราสกดเสียงต่ำ ความไม่พอใจลึกซึ้งปรากฏบนใบหน้า "ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ ว่าการพูดจาเช่นนั้นมันเสียมารยาท รวมทั้งการอ่านความคิดของข้าด้วยเช่นเดียวกัน"




                             "ข้ารู้"เซธตอบอย่างไม่หยี่ระ ดวงตาสีแดงเข้มวาววับคล้ายกำลังขบขัน "เสียแต่...ข้าไม่สนใจ"




                             "อึ่ก....." ฟาราสมองผู้ที่เอ่ยคำพูดกวนใจอย่างหงุดหงิด ใบหน้านิ่ว





                              "...เจ้าเจ็บ แต่ไม่แค้น เคือง และไม่โกรธและอาฆาต หาได้ยากนัก ท่านเทพบุตร" นิ่งไปครู่ เซธก็เอ่ยขึ้นมาก่อนจะยิ้มน้อยๆ "หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปนะ ฟาราส"





                              ....หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ ยามเมื่อมองเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนไปด้วยเถิด


                               "..ท่านหมายคว---"



                               "มาแล้ว" เซธเอ่ยบอกแทรกคำพูดของอีกฝ่าย ดวงตามองท้องฟ้าที่มีร่างของสองเทพบุตรโผบินเข้ามาใกล้ "คราวนี้ ก็ถึงเวลาลงมือแล้วล่ะ"



                              เซธเอ่ยปาก พลางมองไปยังฟากฟ้าด้านบนที่มีร่างของไคลน์กับอาโลอิสค่อยโผบินลงมายังเบื้องล่าง ฟาราสหันไปมองหาคนรักตนทันที ด้วยรอยยิ้มกว้าง ขณะที่ร่างของคนทั้งคู่ค่อยลงมายังพื้นช้าๆโดยที่แววตาของอาโลอิสนั้นไม่อาจหลุดพ้นจากสายตาของเซธไปได้เลย




++++++++++++++++++++++++




หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 35 : เตรียมการต่อสู้ Up 26/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 26-07-2014 06:28:16
               


                 โผบินอยู่ในความเงียบไม่นานร่างของทั้งคู่ก็เข้าใกล้อาณาเขตที่อสูรกายตนนั้นอยู่ อาโลอิสสังเกตุได้จากพื้นที่ซึ่งไร้สิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดอย่างหน้าประหลาดที่สุดตรงนั้น ขณะที่ไคลน์โผบินไปตามเสียงภูผาถล่มและจำนวนเศษฝุ่นควันที่คละคลุ้งเบื้องหน้า ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็มาถึงจุดหมายในที่สุด อาโลอิสมองเห็นร่างของเซธและฟาราสอยู่ด้านล่าง ดวงตาสีแดงประกายหม่นวูบอย่างไม่รู้ตัว




               ลงมาถึงพื้น สิ่งแรกที่ทำคือก้าวขาไปหาเซธเช่นเดียวกับที่ไคลน์ตรงไปหาฟาราส อาโลอิสมองอศูรร้ายที่เริ่มให้ความสนใจพวกตนด้วยสีหน้าเข้มขึ้น ขณะที่เซธรีบพาพวกเขากำลังกายให้พ้นสายตาของมัน พลางสำรวจมองผู้ที่หายไปตรงหน้า
            "อาโลอิส" เสียงเรียกของเซธทำให้คนที่เอาแต่เหม่อมองดูไคลน์และฟาราสสนทนากันหันมาหา อาโลอิสสบตาอีกฝ่าย พลันหลบวูบเมื่อถูกแววตารู้ทันนั้นจ้องมองมา





            "อะไรหรือ"..เอ่ยถามไปเบาๆ




            "อาการเป็นอย่างไรบ้าง" คำถามแปลกหูนั้นทำให้ผุ้ฟังชะงัก รีบปฏิเสธทันที





            "ข้าไม่เป็นอะไร ที่บาดเจ้บนั่นไคลน์ต่างหาก" ว่าพลางมองไปยังไคลน์ที่บัดนี้ฟาราสเป้นผู้ก้มมองรอยแผลที่ต้นแขนของคนรักตนอย่างห่วงใย ท่าทีใส่ใจจริงจังนั้นแสนน่ามองยิ่งนัก





             "...งั้นหรือ" เซธเอ่ยถามเนิบช้า ก่อนที่อาโลอิสจะได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายก็ชี้ไปที่ต้นคอของขาโดยพลัน





                   ชะงักด้วยความไม่เข้าใจ มือวางลงบนต้นคอราวกับจะคลำหารอยแผลก่อนจะชะงัก อาโลอิสนึกได้ถึงคำเตือนของอีกฝ่ายในที่สุด ผิวแก้มขาวร้อนวาบ ขณะที่เซธมองดูอัปกริยานั้น ก่อนจะมองไปยังคู่รักที่บัดนี้ยืนพูดคุยห่วงหากันไม่ไกลจากที่ๆตนยืนอยู่





               "ข้าเคยหวัง..ว่าจะทำเร็จ"





               "........."





               "แบบนี้จะนับได้ว่าสำเร็จหรือไม่?" เซธเอ่ยถามกลับสั้นๆขณะที่อาโลอิสกระแอมเบาๆ ปรับท่าทีของตนเองให้กลับมาเคร่งขรึม อย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอนใจช้าๆ





              "...ไม่มีทางอยู่แล้ว"





           ...เอ่ย ทั้งบอกกับอีกฝ่าย และบอกกับตนเอง





           ไม่มีทางอยู่แล้ว






           จะให้แยกคนสองคนที่รักกันมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร





                  จะอย่างไร ตัวข้าก็เป็นได้เพียงอาโลอิสที่ไปขวางทางรักชาวบ้านอยู่ดี





               "น่าเสียดาย.." เซธมองดูท่าทีของผู้พูด ดวงตาเป็นประกายวาบขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากสั้นๆ "แต่ตอนนี้..ในยามนี้ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าควรจะทำเช่นไร"





              "ข้ารู้" อาโลอิสรับคำแข็งขัน ดวงตาที่มองไปยังร่างของอสูรกายตนนั้นเข้มขึ้น





             "โอกาสสุดท้าย.." เซธจ้องมองสบตาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง






              "ทราบแล้ว"




              "เซดิสฝากบอกมา" ถ้อยคำนั้นทำให้ดวงตาสีแดงประกายละความสนใจจากอสูรตนนั้นแล้วหันไปมองอีกฝ่ายอย่างใคร่รู้ "จงอย่าทำให้โอกาสที่ได้รับนั้นเสียเปล่า"





               "...เข้าใจแล้ว" อาโลอิสพยักหน้ารับก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยสั้นๆ "ก่อนหน้านั้น มาวางแผนกันก่อนเถิด"





               เซธพยักหน้ารับคำตอบอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปหาไคลน์และฟาราส เอ่ยบอกให้สองเทพนั้นหันมาร่วมกันวางแผนในการกำจัดอสูรร้าย ขณะที่อาโลอิสยืนนิ่งรอคอย ในสมองก้ครุ่นคิดแผนการณ์ ขณะที่เสี้ยวหนึ่งก็ยังคงมีความอาลัยอวลอยู่เจือจาง ยามเมื่อได้สัมผัสแววตาคู่นั้น





              จ้องมองไคลน์ที่เดินตรงมาพร้อมกับฟาราส รอยแผล..แผลที่ถูกราอาซาสทำร้ายนั้นได้หายไปแล้วด้วยการรักษาของคู่รักอย่างฟาราส เป็นธรรมดาที่จะมีการรักษาให้กันไม่ปล่อยไว้ การรักษาด้วยเลือดของเทพบุตรปีกสีขาวนั้นทำได้อย่างรวดเร็วว่องไว หาได้เหมือนกันเลือดของตนที่เป็นพิษ และแม้นพยายามจะมอบพลังเยียวยารักษาเช่นใดก็ยังไม่อาจหายขาดได้






                 แม้จะพยายามอย่างไร ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้เลย..





                   ความจริงที่ตนเองรับรู้ทำให้อาโลอิสลอบกลืนน้ำลายช้าๆ





                   ..แตกต่าง เช่นเดียวกับความจริงที่ประดังเข้ามาเงียบๆ ยามเมื่อได้มองเห็นไคลน์จับมือของฟาราและพูดคุยกันโดยไม่เหลือบแลมายังตนเช่นนั้น ..ว่าความฝัน ได้จบลงแล้วจริงๆ




                     เจ้าเคยบอก ว่าไม่ชอบน้ำตาของข้า ใช่หรือไม่?



                      ..ตอนนี้ ข้าร้องไห้อยู่ในใจแล้วล่ะ ไคลน์


           ++++++++++++++++




ตัดฉากมาเตรียมไฟว้กับปีศาจกันค่ะะะ ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ มันเป็นเคาท์ดาว(?)มากกว่า

อาโลอิสกับไคลนืกลับมาเป็นเหมือนเดิมล่ะ เหมือนเดิมแบบมาม่ากว่าเดิม

ยังไงตอนหน้ามาลุ้นกันนะคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเจอกันค่า

ปอลิง.นิยายยังเปิดจองอยู่นะค้าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 35 : เตรียมการต่อสู้ UP 26/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 26-07-2014 10:17:52
ฮือออออออ  ได้ปีกมาเมื่อไหร่บินหนีแมร่งเลยนะอาโลอิส
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 35 : เตรียมการต่อสู้ UP 26/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: loyal_mook ที่ 26-07-2014 13:18:07
รู้สึกชอบเซธตงิดๆ  :hao7:
หัวข้อ: LOST ANGEL * Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 27-07-2014 09:21:43
Lost 36 : ชะตากรรม





                  ร่างสูงใหญ่ของอสูรร้ายที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณหุบผานั้นถูกดึงดูดความสนใจด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่มันรู้จักดี กลิ่นของเทพ กลิ่นอ่ายของจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปะปนอยู่ในอากาศ ตัวมันที่หลับไหลมาเนิ่นนานและถูกปลุกขึ้นมาได้ด้วยจิตใจอันหยาบช้าและสงครามที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่กระหายพลังจากเหยื่ออันโอชะยิ่งนัก




                  บางสิ่งปรากฏในเงาตา ทำให้ดวงตาสีทองสว่างจับจ้อง ร่างของเทพตนหนึ่งในอาภรณ์สีขาวปรากฏทำให้มันเอื้อมมือไปหา หากก่อนมือใหญ่จะเอื้อมไปถึงแขนขวากลับรู้สึกเจ็บแปลบ มันรับรู้ได้ถึงความแสบร้อนและปวดร้าวจนต้องส่งเสียงร้องออกมา กายใหญ่โตสะท้านไปครู่หนึ่งก่อนจะตวัดมองหาต้นเหตุ ก่อนจะพบร่างจ้อยของเทพอีกตนในอาภรณ์สีดำสนิทที่บัดนี้มีดาบคมอยู่ในมือ ปลายดาบทิ่มแทงเข้าบริเวณต้นแขนทำให้เลือดสดๆของมันทะลักหลั่ง




                    โลหิตสีเข้มจนเกือบดำสนิททั้งยังมีกลิ่นฉุนจัดอวลไปทั่วบริเวณ กลิ่นที่เรียกว่าแทบเป็นพิษต่อผู้ที่สูดดมทำให้ต้องผงะหนี อาโลอิสขยับตัวหลบเท่าที่กำลังของตนจะพึงมี ขณะที่อีกด้าน ไคลน์วึ่งกำลังทำหน้าที่หลอกล่อความสนใจของเจ้าอสูรร้ายก็ขยับกายหลบกรงเล็บของมันที่ตวัดเข้ามาหา





                   เซธกำลังกางปีกอยู่เบื้องหลังของเขา เพราะบินไม่ได้ บัดนี้จึงทำได้แต่คอยอาศัยร่างของการาเวนตัวโตให้ความสะดวก เซธกลายเป็นปีกอีกข้างของเขา ทั้งยังคอยช่วยเหลือนำทางไม่ให้ตนถูกกำจัดได้โดยง่าย อาโลอิสรับหน้าที่กำจัดอสูรร้ายด้วยดาบของไคลน์ที่เป็นผู้ยื่นให้มา ไม่ใช่เพียงเพราะความเหมาะสม แต่เป็นเพราะตัวเขาต้องทำให้สำเร็จด้วยตนเองเพื่อจะได้รับปีกอีกข้างกลับคืน




                   ดวงตาจับจ้องมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเข้มวาววับราวกับปลอกเหล็ก  กรงเล็บสีดำมะเมื่อมเอื้อมไปหาร่างของไคลน์ครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เขานึกใจหายวาบ ขณะที่ตนเองสะบัดปลายดาบที่โชกชุ่มเลือดของอสูรร้ายทิ้ง เลือดของมันเป็นพิษมากเสียจนเมื่อกระเด็นลงพื้น ผืนดินที่เป็นสีน้ำตาลเข้มยังกลายเป็นสีดำและเหม็นไหม้ทันควัน





                     กรงเล็บสีดำทะมึนนั้นยังคงตามติดร่างของไคลน์ไม่ห่าง ขณะที่ฟาราสอยู่ห่างออกไปพอสมควรด้วยอีกฝ่ายไม่ถนัดเชิงต่อสู้ทั้งยังต้องให้อีกฝ่ายคอยช่วยดูแลกรณีมีอาการบาดเจ็บ ผู้ลงสมรภูมิในครานี้คือพวกเขาทั้งสาม อาโลอิสหรี่ตาจ้องมองแขนของอสูรร้ายที่ตนเองฟันเข้าไป รอยแผลนั้นค่อยๆเชื่อมสมานเข้าหากันอย่างเชื่องช้า สิ่งที่เห็นนั้นทำให้หัวคิ้วกดลึกเข้าหากันทันที





              "...เพราะอยู่ที่นี่ ได้รับพลังจากความมืด มันเลยยิ่งแข็งแกร่ง" เซธเอ่ยขึ้นมาทันทีราวกับรู้ ร่างของนการาเวนตัวใหญ่โฉบเกาะที่ไหล่ขวา เขาทั้งคู่จ้องตามภาพเบื้องหน้าไม่กระพริบ




                   "สมานแผลได้อย่างรวดเร็วซ้ำยังมีเกล็ดปกปิดแบบนี้ ทำอะไรมันไม่ได้เลย" อาโลอิสขมวดคิ้วแน่น เอ่ยปากออกไปอย่างเคร่งเครียด




                     "ยังพอมีทาง" เซธเอ่ยตอบ




                    "...แล้วจะ....." พูดไม่ทันขาดคำพวกเขาก็ต้องรีบเร้นกายหลบหนี เมื่ออสูรร้ายตัวนั้นตวัดฝ่ามือเข้ามาใกล้ ขณะที่ไคลน์ผู้กำลังทำหน้าที่หลอกล่อความสนใจอย่างสุดความสามารถรีบบินโฉบเปลี่ยนทิศทางไปเมื่อพบว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก




                    เสียงคำรามของอสูรร้ายอังทั่วบริเวณด้วยความไม่พอใจเมื่อร่างของเหยื่อหลบหลีกไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า มันคำรามออกมาพลางตวัดมือตามไม่หยุดหย่อน ฝ่าเท้าก้าวไปเช่นเดียวกับกรงเล็บที่มุ่งเข้าไปหา ร่างกายอันใหญ่โตดูราวกับเทอะทะทว่าแท้จริงแล้วเเข็งแกร่งและว่องไวกว่าที่คาดมากนัก ทั้งหมดนั้นทำให้มันยังคงเป็นต่อเนื่องด้วยไม่อาจหาจุดอ่อนได้พบ





                      "ดวงตา.." นิ่งไปสักพักอาโลอิสก็เอ่ยขึ้น ตามองตามร่างนั้นเขม็ง "เจ้าทำลายการมองเห็นของมันได้ใช่ไหม เซธ"
     



                      "เจ้าต้องการให้ข้าเข้าไปทำร้ายดวงตาของมัน?" เซธในร่างการาเวนเอ่ยถาม พลางขยับปีกขึ้นบินเหนือศีรษะของอาโลอิส





                      "ใช่...แม้จะทำลายได้เพียงครู่ก็ยังดี แล้วข้าจะตัดเขามันทิ้ง"




                       "เจ้าคิดว่านั่นคือจุดอ่อน?"




                       "หากเป็นไปตามที่ข้าคาดหวังก็ดีมิใช่หรือ?" อาโลอิสถามกลับ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันด้วยควมเคร่งเครียดไม่น้อย เมื่อพบว่าไคลน์นั้นหลบพ้นกรงเล็บของอสูรร้ายอย่างเฉียดฉิวไปอีกคราอย่างน่าหวั่นใจนัก





                      ยิ่งร่างของไคลน์หลบหนีได้เท่าไหร่มันก็ยิ่งตามอย่างกระชั้นไม่ยอมแพ้ กรงเล็บใหญ่โตและดวงตาสีเหลืองทองจับจ้องด้วยความกระหายทั้งยังเริ่มจะหงุดหงิดเมื่ออาหารพลาดมือตนครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เจ้าอสูรร้ายยิ่งมีท่าทีฉุนเฉียว อาโลอิสมองดาบในมือพลางเม้มปากเข้าหากัน หากเอาอาวุธให้ไคลน์ป้องกันตัวอีกฝ่ายคงจะเอาตัวรอดได้ดีมากกว่า แต่เมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยปากมอบให้ ทั้งยังหวังว่าตนเองจะใช้มันปราบอสูรร้ายจนได้ ความคาดหวังที่จริงจังเฉกเช่นนั้นทำให้อาโลอิสต้องยอมรับ และเลือกจะพยายามอย่างจริงจังเพื่อตนเองและช่วยชีวิตอีกฝ่ายแทน




                       "ข้าจะทำ" คำตอบรับของเซธดังขึ้นเหนือศรีษะ ร่างของการาเวนตัวโตขยับปีกบินโฉบไปรอดูท่าที ขณะที่อาโลอิสมองดาม เจ้านกตัวใหญ่นั้นใช้วิธีบินไล่เล่าไปด้านข้างเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้า ขณะที่เจ้าอสูรจดจ่อกับร่างของไคลน์ นกตัวเล็กในสายตามันดูจะหลุดพ้นความสนใจไปแล้วอย่างที่พวกตนคาด





                     เซธขยับปีกบินโฉบเข้ามองและเล็งจังหวะ ก่อนที่นกสีดำจะพุ่งตัวไปหาดวงตาของอสูรร้ายอย่างรวดเร็วราวกับกระสุน สีดำที่วาบเข้ามายังข้างดวงตาทำให้อสูรร้ายชะงัก ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแผ่ซ่าน ดวงตาข้างหนึ่งดับลงไปทันทีพร้อมๆกับความร้อนที่ลามเข้ามาและเลือดสดๆที่ไหลอาบ





                      "เซธ!" อาโลอิสเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังพลางถลาเข้าไปรับเอาร่างของการาเวนตัวโตที่หล่นลิ่วลงมา ร่างสีดำสนิทนั้นอาบไปด้วยเลือดมีพิษและร้อนเสียงจนตนยังต้องสะดุ้งวาบ ขณะที่เซธแน่นิ่งไปพักด้วยความมึนเบลอ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของอสูรร้ายที่บัดนี้มันสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง




                       "....ไม่เป็นไร" เสียงของเซธดังขึ้นก่อนที่ร่างของกาตัวโตจะขยับไหวอีกครั้ง ท่าทีนั้นทำให้อาโลอิสนึกเบาใจขึ้นไม่น้อย เจ้านกตัวโตมีท่าทีมึนงงแต่ก็ยังสะบัดหัวและผุดขึ้นมาลุกและหยัดกายขึ้นด้วยสองขาของตน  ก่อนที่จะโผบินออกไปกลางอากาศ สะบัดเอาเศษเลือดร้อนฉุนให้หลุดออกจากขนสีดำสนิทของตน ท่ามกลางเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลที่ยังสะท้อนก้อง





                     ร่างของเจ้าอสูรสะบัดส่ายศรีษะไปมาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของมันไม่อาจถูกรักษาเยียวยาได้ตามคาดทำให้พวกตนนึกยินดีไม่น้อย ก่อนจะยินดีได้เพียงครู่เพราะเมื่อไร้ดวงตาไปอีกข้าง ความบ้าคลั่งของมันก็ยิ่งบังเกิด กรงเล็บที่ตวัดเข้าคว้าร่างของไคลน์อย่างดุร้ายเริ่มพุ่งเป้ามาหาพวกตนบ้าง มันให้แขนทั้งสองข้างกวาดมือไปทั่ว เช่นเดียวกับขาที่กระทืบย่ำจนเเผ่นดินสั่นสะเทือน เศษฝุ่นคละคลุ้งเต็มไปหมด





                     "อาโลอิส!" เสียงร้องของเซธดังขึ้นเหนือหัว กาตัวใหญ่โฉบเข้ามาฉุดร่างของผู้ที่ยืนอยู่บนพื้นให้หลบจากกรงเล็บของอสูรร้ายนั้นได้อย่างเฉียดฉิว เสียงเรียกนั้นทำให้ไคลน์เสียสมาธิไปไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลตวัดมองอย่างลืมตัว และนั่นทำให้ร่างของเขาถูกกรงเล็บสีดำนั้นตวัดหาและกระแทกให้หล่นลงยังผืนดิน




                       "..ต้องรีบแล้ว" เสียงของบางอย่างหล่นลงยังพื้นทำให้อาโลอิสตวัดสายตาไปมอง ทันทีที่มองเห็นร่างของไคลน์ลุกขึ้นมาจากพื้น ตนก็เอ่ยออกมาเสียงเครียด เทพบุตรปีกสีดำกระชับดาบสีขาวในมือ ขณะที่เซธกระพือปีกอยู่ด้านบอก ตามองร่างของอสูรร้ายที่กำลังขยับตัวไปมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวดและเคืองแค้น




                    "เจ้าเล็งที่เขามัน ข้าจะบินไปทำร้ายดวงตาของมันอีกข้าง ระวังตัวให้ดี"คำพูดนั้นทำให้อาโลอิสพยักหน้า ขณะกระชับดาบในมือให้มั่น นึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ความไร้พลังของตนกลายมาเป็นตัวถ่วงในสถานการณ์เช่นนี้ ปีกของเขาก็ไม่มี นั่นทำให้เซธต้องคอยดูแลและระวังให้ไม่ห่าง





                      ร่างของตนถูกนำไปยังเป้าหมาย ไหล่ด้านซ้ายของเจ้าของดวงตาที่บัดนี้ข้างนั้นมันมือบอด ทัศนวิสัยที่ติดลบนั้นจะทำให้พวกตนสามารถจัดการได้แต่โดยง่าย อาโลอิสจ้องมองพลางกระชิบดาบในมือแน่น หางตาเขามองเห็นไคลน์พลาดถูกกระแทกหล่นลงไปอีกครั้งด้วยไม่มีทั้งอาวุธต่อกรและความเร็วของเจ้าอสูรร้ายมากขึ้น และนั่นทำให้ตนยิ่งต้องตั้งใจมั่นมากกว่าเดิม มิฉะนั้น คนที่จะต้องเดือดร้อนเพราะตัวเขาชักช้าก็คือคนที่อุตส่าห์มอบดาบเล่มนี้และโอกาสมาให้เช่นไคลน์





                      ร่วงหล่นลงบนลาดไหล่ อาโลอิสพยายามทรงตัวและหลบลี้จากสายตาของอสูรตนนี้ไปพลาง เลือดสีเข้มที่ไหลออกจากดวงตาข้างซ้ายที่มืดบอดของมันอาบมาถึงกระทั่งหัวไหล่ทำให้ต้องระวังมิใช่น้อย กลิ่นคลื่นเหียนชวนอาเจียรทั้งยังชวนให้มึนงงจนต้องเบ้หน้าอายอวลไปทั่ว หากเขาก็รีบตั้งสติให้มั่น ก้าวไปยังที่ๆใกล้กับเขาของมันให้มากที่สุดเพื่อทำตามแผนที่วางกันไว้





                      "พร้อมหรือยัง?"เสียงของเซธดังขึ้นในสมอง อาโลอิสมองเห็นร่างของการาเวนตัวโตโฉบอยู่อีกฝั่ง รอโจมตีดวงตาอีกข้างของเจ้าอสูร





                     "พร้อมแล้ว" ตอบไปในใจพลางกระชับดาบแน่น 





                      "ไป!"





                       สิ้นสัญญาณสั่ง มือก็ป่ายเข้าที่เส้นผมของมันแล้วออกแรงดึง เหวี่ยงตัวให้ไปยืนอยู่บนศรีษะของฝ่ายนั้นพลางกระชับดาบในมือแน่น อาโลอิสอาศัยจังหวะที่เสียงกรีดร้องของปีศาจตนนั้นดังขึ้นอีกคราเพราะมันถูกโจมตีดวงตา ตวัดดาบในมือตัดเขาสีดำสนิทออกจนกระเด็นไปไกลอย่างรวดเร็ว



                      กลิ่นโลหิตคลุ้งขึ้นมาทั้งยังฉุนจัด เลือดสีดำกระฉุดขึ้นมาพร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของอสูรร้ายที่ดังราวกับเสียงเพรียกของวิญญาณจนหูอื้อ อาโลอิสยกแขนขึ้นกันกลิ่นเหม็นเน่า แต่ช้าไปเสียแล้ว โลหิตอาบเอาร่างของตนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นทันควัน พิษของเลือดและความร้อนพร้อมกับกลิ่นเหม็นอับทำให้ร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วถึงกับทรุดฮวบ





                    เสียงร้องบางอย่างดังขึ้นเหนือหัว ขณะที่อาโลอิสมองเห็นกรงเล็บสีดำสนิทตวัดเข้ามาใกล้ สัญชาตญาณบอกให้ตนขยับหนีมีฉะนั้นจะตกเป็นเหยื่อ แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะร่างกายถูกอาบด้วยเลือดสีดำของอมนุษย์จนมึนวูบทำให้ยากจะเคลื่อนไหว อาโลอิสรับรู้ได้ว่าตนถูกจับขึ้นมาและเขวี้ยงออกไปกระแทกหินผาอย่างรุนแรง




                   สะบัดหัวด้วยความมึนเบลอขณะที่เสียงกรีดร้องและเสียงอาละวาดของเจ้าอสูรร้ายยังดังก้อง อาโลอิสกระพริบตาลืมตาขึ้นมาช้าๆ ภาพทั้งหลายมืดบอดไปเพราะร่างของตนถูกอาบด้วยโลหิตเสียจนกระทั่งดวงตายังลืมยาก รับรู้ได้ว่าร่างกำลังร่วงหล่น ตนจึงใช้แรงเฮือกสุดท้ายเหวี่ยงดาบในมือขึ้นสูง หวังว่าจะมีใครเข้ามารับมันเพื่อใช้สานต่อภารกิจและกำจัดอสูรร้ายให้ได้ในที่สุด เพราะในยามนี้ ตนรู้ดีว่ามิอาจชนะได้อีกต่อไป





                     ความมืดดิ่งเข้าครอบคลุม สติมึนเบลอเสียจนไม่อาจรับรู้ใดๆอีก อาโลอิสแว่วเสียงเรียกชื่อตนเข้ามา ทว่าก็ไร้เรียวแรงจะเอ่ยปากรับ ทำได้เพียงหลับตาลงช้าๆ ในยามที่สติสัมปชัญญะและทุกสิ่งดำดิ่งหายไป ห้วงสุดท้ายในความคิดเอ่ยถามออกมาเบาๆ




                    ทุกคนจะชนะหรือไม่..




                      และ




                   ..ชะตากรรมหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?




+++++++++++++++++++++


           
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 27-07-2014 09:26:43



              เสียงของบางอย่างดังขึ้นข้างๆหูทำให้สติที่มึนเบลอค่อยกระจ่าง อาโลอิสขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะที่ตนค่อยๆลำดับความทรงจำทั้งหลายเงียบๆ นอกจากเสียงเรียกแล้วยังมีเสียงดังคล้ายสายน้ำกำลังไหล ทั้งที่ตนควรจะอยู่ในดินแดนที่แล้งไร้กระทั่งสิ่งมีชีวิต ข้อความจริงที่น่างวยงงนั้นทำตนนึกสงสัยจนเปลือกตาค่อยกระพริบเปิดออกมาในที่สุด




                 น้ำ...




                 สิ่งที่รับรู้ได้คือสายน้ำเย็นที่ไหลเวียนรอบกายและร่างของตนที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำที่กำลังหลั่งไหล เสียงเรียกเหล่านั้นเป็นของวิญญาณร่างสีไข่มุกที่ตนไม่คุ้นตาทว่าแวะเวียนมาเฝ้าดูและร้องเรียกซ้ำๆ อาโลอิสขมวดคิ้วน้อยๆครางในลำคอเบาๆเมื่อตนรู้สึกเจ็บไปทั้งร่างซ้ำยังหนักเหนื่อยจนมิอาจขยับได้ไหว  กระนั้นสิ่งทีตนเห็นก็คือภาพอันแสนเคยคุ้น แสงสว่างสีทองสาดลงมาจากเบื้องบน สายน้ำสายใหญ่กำลังหลั่งไหลหล่อเลี้ยงดินแดนที่อยู่ใต้ผืนดิน ลำน้ำแห่งความตายแต่ก็คอยทำให้ดินแดนนี้มีชีวิต สายน้ำที่จะเป็นปราการด่านแรกเมื่อยามวิญญาณของคนตายข้ามผ่านมายังนรกภูมิ





                   ...แต่ มาที่นี่ได้อย่างไร?




                    เอ่ยถามตนเองด้วยความงวยงงพลางสะบัดศรีษะช้าๆ  เสียงน้ำดังขึ้นเมื่อขยับตัวบ่งบอกว่าเขายังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม อาโลอิสยกแขนของตนเองขึ้นดู จ้องมองปลายนิ้วสีขาวจัดของตนเอง ขณะที่พยายามเค้นความทรงจำเพื่อระลึกถึงสาเหตุที่ตนมาอยู่ที่นี่อย่างเอาเป็นเอาตาย





                    ทว่าความจำสุดท้ายที่มียังคงเป็นร่างของตนที่หล่นละลิ่วมายังเบื้องล่าง เสียงกรีดร้องของเจ้าอสูรร้าย รวมทั้งหยดเลือดสีดำ กลิ่นเหม็นเหียน ทั้งยังร้อนนักชโลมตัวเสียจนไม่อาจขยับ





                   หรือว่าตนเองตกลงไปในหุบเหวลึกนั้น และด้านล่างมีสายน้ำไหลวนอยู่ มันจึงย้อนกลับนำตัวเขามายังที่แห่งนี้อีกครา?




                   "ฟื้นแล้วหรือ?" เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเซธในร่างมนุษย์เอ่ยถามทำให้ตนกระพริบตาตอบ อาโลอิสมองดูเซธ ไคลน์ และฟาราสที่เดินมายังขอบลำน้ำ นั่นทำให้ตนยิ่งงวยงง ว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้





                    "เจ้าคงมีคำถาม แต่ลุกออกมาก่อนสิ" เซธเอ่ยบอกพร้อมกับยื่นมือมาให้ อาโลอิสพยักหน้ารับและเอื้อมมือไปหา เขารับรู้ได้ว่าตนเองถูกดึงขึ้นมาจากสายน้ำที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย อาโลอิสยืนขึ้นอีกครั้ง เนื้อตัวเปียกโชก ทั้งยังต้องเอนตัวพิงไหล่เซธไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง





                     "อาการดีขึ้นหรือยัง?" คำถามนั้นทำให้ตนได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่องช้า อาโลอิสสูดหายใจลึกพยามยามทรงตัวด้วยปลายเท้าของตนเอง ขณะที่มือสั่นๆบีบมือของเซธไว้แน่น





                      "เกิด..อะไรขึ้น?" เอ่ยปากเค้นถามอย่างยากลำบาก ขณะที่เงยหน้ามองผู้ร่วมเดินทางทั้งสอง ฟาราสเงียบไม่พูดอะไร  ขระที่ดวงตาของไคลน์จ้องมองมายังตนเงียบๆ มันแฝงแววขุ่น





                      ขณะที่กำลังระลึกว่าตนเองได้ทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ถูกใจอีกฝ่ายจนเป็นเหตุให้ต้องถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้น เซธก็พยุงให้เขานั่งลงบริเวณโขดหินริมน้ำ เหล่าวิญญาณสีมุกเข้ามากลุ้มรุมล้อมรอบตนแล้วเอ่ยถามซ้ำๆราวกับเจ้าหนูชวนให้นึกรำคาญเสียจนต้องขมวดคิ้ว อาโลอิสโบกมือไล่พวกมัน ขณะที่เซธยืนอยู่เบื้องหน้า




                      "...หลังจากเจ้าตกลงไป" เซธเริ่มเอ่ยปากพูด ตาก็จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง "ไม่นานอสูรตัวนั้นก็ถูกจัดการ จุดอ่อนของมันอยู่ที่เขาทั้งสองข้างตามที่เจ้าคิด"





                     "............" คำอธิบายนั้นทำให้ตนเองพยักหน้าช้าๆ อาโลอิสรู้สึกพึงใจขึ้นมามาก ที่อย่างน้อย ตนเองก็สามารถจะทำอะไรได้บ้าง..





                     "พวกข้าเข้าไปดูอาการเจ้า.." เซธเล่าต่อ ไม่บอกออกไปว่าคนที่รีบถลาเข้าไปดูอาการของอีกฝ่าย คือไคลน์ที่ตอนนั้นหน้ามืดจัดด้วยความโหโห "พบว่าเจ้าหมดสติไปแล้ว คงเพราะถูกพิษจากเลือดของมันอาบเสียเต็มตัว ร่างกายของเจ้าอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อเจอแบบนั้นก็เลยยิ่งเจ็บป่วยเข้าไปใหญ่"





                     "....ขอบคุณ" อาโลอิสพึมพำเสียงเบา เอ่ยปากขอบคุณใครก็ตามที่ช่วยดูแลตน ขณะที่สายน้ำหยดลงไปยังปลายผมช้าๆ





                     "ข้าเลยนำตัวมาที่นี่ น้ำช่วยชำระล้างเลือดของมันออกไปได้ แต่คงยังทำให้เจ้ารู้สึกมึนเบลอไปบ้าง..ตอนนี้ดีขึ้นมากหรือยัง?"




                     "ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณ เซธ" อาโลอิสขยับปากพึมพัม พลางยกมือสางเส้นผมที่เปียกชื้นแนบใบหน้า ปลายนิ้วที่ขยับเริ่มมีเรียวแรงมากขึ้นตามที่เซธบอก หากความจริงที่ปรากฏนั้นทำให้ตนขมวดคิ้วน้อยๆ




                     ...หากเป็นเช่นนี้แล้ว..ก็คงไม่พ้นจะต้อง..




                      ชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้เมื่อตนไม่อาจทำภารกิจสำเร็จ ทำให้อาโลอิสนิ่งเงียบไปด้วยความจำใจ




                      "...เซดิสบอกว่า หากเจ้าฟื้นแล้ว เราจะเริ่ม..พิจารณากัน" ข้อความนั้นดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่วางบนไหล่ ความอบอุ่นเจือจางเข้ามาทำให้ตนรู้ว่าเซธเป็นฝ่ายมอบพละกำลังให้อีกครั้ง อาโลอิสยิ้มน้อยๆเงยหน้าขึ้นไปสบตาอีกฝ่ายด้วยรู้สึกขอบคุณ ก่อนจะพลันหลบตาวูบ เมื่อถูกสายตาจ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจของไคลน์ด้านหลังตวัดมาหาอีกครา




                      อยากรู้นักว่าเป็นเพราะอะไร หากสุดท้ายก็ทำได้เพียงนิ่ง




                     ..เพราะภารกิจจบแล้ว จบไป..รวมทั้งเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นด้วย





                     "....ถ้าฟื้นแล้ว ก็ลุกขึ้นมา" น้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับสายน้ำไหลที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ตนชะงัก อาโลอิสเงยหน้าขึ้นไปยังต้นเสียง ก่อนจะพบร่างของเซดิสยืนอยู่บริเวณสะพานเหนือจากนั้นไม่ไกล





                      ดวงตาสีแดงเข้มของอีกฝ่ายจ้องมองมาที่พวกตน ร่างสูงเพรียวเส้นผมสีดำสนิทยาวจรดปลายเท้าถูกถักเปียไว้เช่นทุกครา ผู้เป็นนายยืนอยู่ข้างคีเรส เจ้าของอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ตัดกันกับสีดำข้างกาย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นจ้องมองมาเงียบๆเช่นเดียวกัน แววตาคู่นั้นเข้มจัดราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง





                      "ได้เวลาแล้ว อาโลอิส" เสียงของเซดิสดังขึ้นอีกทำให้ตนต้องลุกขึ้นยืนในที่สุด อาโลอิสสูดหายใจลึก ก้าวขาไปหาผู้เป็นนาย ขณะที่เซธและที่เหลือก้าวขาตามมาช้าๆ




                       ดวงตาสีแดงประกายมองตามแผ่นหลังของเซดิสที่ห่างออกไปเงียบๆ รับรู้ได้จากน้ำเสียงนั้นว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิดหวังในความอ่อนแอของตน และรับรู้เช่นกัน..ว่าเซดิสนั้จะไม่มีวันอ่อนข้อ




                       เอ่ยปากพูดอะไร คำไหน ย่อมต้องเป็นคำนั้น



                    ..นี่เป็นคุณสมบัติหนึ่งของผู้เป็นนายที่ตนรู้ดี และเป็นความจริงที่ไม่อาจละเมิดได้




                     หากบอกว่าจะได้ก็ย่อมได้ และหากบอกว่าไม่ได้ ก็ต้องไม่ได้




                    เมื่อเซดิสบอกว่าหากทำภารกิจไม่สำเร็จ เขาจะถูกกำจัด ตนก็ย่อมต้องถูกกำจัด




                   ...ไม่มีข้อยกเว้น



+++++++++++++++



ตอนนี้มาไฝว้กันนิดหน่อยพร้อมกับ..ความซวยของอาโลอิสที่ยังคงไม่จบ

//โดนเอฟซีอาโลอิสคิลรัวๆ

แต่หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น รอดุกันนนเถอะ

ปล.หนังสือยังเปิดจองอยู่ ใครสนใจสั่งได้นะคะะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 27-07-2014 12:11:32
กำจัดเลยหรอ ฮืออออออออ ไม่มีทางอื่นแล้วใช่ไหม  :hao5:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-07-2014 18:57:00
ขอบคุณค่าาาาาาา   
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 27-07-2014 19:18:23
อ่านรวดเดียวจบค่ะ ประทับใจมาก มากมายจริงๆ แต่ไม่รู้จะคอมเมนต์ยังไง><
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 27-07-2014 20:07:57
เพิ่ง นั่งอ่าน ใน dek-d วันนี้ อ่าว มาเห็น มีในเล้าด้วย  อย่างงี้ต้องอ่าน หล่ะ  อ่านไปอ่านมา เกลียด อิไคมากกกก

ไม่รัก ทำพี่ให้ความหวัง

หลอกให้รัก

สุดท้ายรักเค้าแล้ว  ทำพี่พระเอก รู้ สึกผิดอีก  โอ้ยยยยย

อยาก จิบ้า
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 27-07-2014 22:47:52
 :เฮ้อ: ลุ้นน นน จะเป็นยังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: loyal_mook ที่ 27-07-2014 23:06:30
ไคลน์หึงอ้ะดิ  :hao3:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 28-07-2014 00:41:37
ลุ้นนน รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: whitefang ที่ 28-07-2014 11:50:32
โอ๊ยยย ลุ้นๆๆๆ  :katai1: :katai1: :katai1: อยากอ่านต่อ :ling1:
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 37 : การตัดสินใจ UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 29-07-2014 07:37:39
Lost 37 : การตัดสินใจ





                      ร่างของเซดิสเดินนำไปขณะที่เหลือต่างก้าวเท้าตามเงียบๆ ร่างในชุดสีดำสนิทก้าวขสลงบนสะพานที่ทำจากหินสีดำสนิทนำพาจากใต้สายน้ำสายใหญ่มายังเบื้องบน แม้จะมีแสงอาทิตย์ส่องสว่าง แต่รอบด้านยังคงมีคบเพลิงประดับอยู่ทั่วไป เสียงคำรามของอสูรที่มักแว่วขึ้นมาตามสายลมบัดนี้เงียบสงบลงแล้ว จึงมีเพียงเสียงสายน้ำไหลหลั่งกระทืบพื้นเช่นปกติ สายลมเย็นสอดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมอันเจือจาง




                    บนไหล่ของเซดิสมีร่างของเซธเกาะอยู่ การาเวนตัวไหล่ขยับโผออกจากร่างของอาโลอิสเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรแล้วพร้อมกับกลับมาหาผู้เป้นนายของตน เจ้านกสีดำอิงแอบแนบชิดก้มลงกระซิบเอ่ยคำบางอย่างกับเซดิสเป้นระยะ เสียงนั้นเบาแสนเบาจนไม่อาจได้ยินหากแต่เซดิสก็พยักหน้ารับ ร่างเพรียวนำพวกเขาก้าวขึ้นไปยังเบื้องบน ผ่านสายน้ำและเสียงจอแจของเบื้องล่าง มายังเบื้องบนที่เหลือเพียงความเงียบสงบและเสียงน้ำกระทบแผ่นหินเป็นจังหวะ




           
                     ก้าวผ่านทางเดินอันเงียบเชียบมายังโถงใหญ่ที่คุ้นตา เสาสูงทำจากหินสีดำแกะสลักอย่างวิจิตรคอยค้ำยันเพดานสูงลิ่วไม่ให้ทรุดลงไป คบเพลิงถูกแขวนประจำเสาแต่ละต้นเพื่อให้ความสว่าง แม้จะมีแสงสีทองเรืองรองออกมาจากช่องทางลมด้านบนแล้วก็ตาม เซธขยับปีกอีกครั้งไปเกาะลงบนคอนไม่ของตนแล้วนิ่งไซ้ปีกอย่างปรกติ ขณะที่เซดิสเดินนำมาจนถึงบัลลังก์เล็กที่อยู่ใต้บัลลังก์สีดำสนิทสูงตระหง่าน อันเป็นบัลลังก์ของเจ้านรกที่แท้จริง ที่ว่ากันว่าไม่ได้ปรากฏกายมาเนิ่นนานนัก..




                   ถัดจากบังลังค์เล็กคือหินสีดำปูด้วยพรมสีน้ำเข้มลาดยาว เซดิสผายมือให้คีเรสนั่งลงขณะที่ตนก็ทรุดกายลงข้างๆ อาโลอิส ฟาราส และไคลน์ยืนถัดออกไปจากพรมสีเข้ม อาโลอิสทรุดกายลงคุกเข่าให้ผู้เป็นนายเงียบๆ หากเซดิสถอนใจ




                       "...ยังจำที่ข้าพูดไว้ได้ใช่หรือไม่?"




                       "จำได้ขอรับ.." เอ่ยคำตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นอีกครั้ง อาโลอิสมองสบตาผู้เป้นนาย ดวงตาสีเพลิงที่ราวกับมีดวงไฟเต้นระริกนั้นฉายแววบางสิ่งที่ตนไม่อาจหยั่ง





                        "...ยอมรับมันแล้วใช่ไหม?"






                           "ข้ายอ----"






                           "ช้าก่อน!" เสียงที่แทรกขึ้นมาทำให้ทั้งคู่ชะงัก เซดิสเลิกคิ้วเรียวขึ้นข้างหนึ่งแล้วยิ้มบาง ขณะที่อาโลอิสขมวดคิ้ว หันกลับไปจ้องมองผู้ค้านด้วยท่าทีไม่เข้าใจ






                         ไคลน์..เทพบุตรผู้ออกปากคันค้านสูดหายใจลึกพลางก้าวขามาประจัญกับอีกฝ่าย เขายืนอยู่ข้างอาโลอิส สีขาวที่เป็นฝ่ายออกปากปกป้องสีดำ นั่นทำให้ผู้เป็นนายทั้งสองต่างรู้สึกแปลกใจไม่น้อย





                           "มีอะไรหรือ...ข้านึกว่าตัวเจ้าจะยินดีเสียอีก" เซดิสเอ่ยถามราวกับขบขัน หากใจความนั้นทำให้ไคลน์นิ่ง





                            "ข้าเพียงแต่คิดว่า มันไม่ยุติธธรม"






                              "ไม่ยุติธธรม?" เซดิสเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ





                               "ท่านยึดถือความยุติธรรมเป็นหนึ่ง ข้าคิดเช่นนี้ถูกหรือไม่?" ไคลน์เอ่ยปากถาม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนวาววับ





                             "ใช่" เซดิสรับคำ สำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในที่แห่งนี้  ผู้ที่ทำนห้าที่ลงโทษวิญญาณชั่วร้ายจำเป้ฯต้องมีความเที่ยงตรงและยุติธรรมสูง มิแะนั้น อาจจะเกิดเรื่องผิดพลาด เช่นลงโทษเบาเกินไป หรือหนักเกินไปแก่สิ่งที่อีกฝ่ายควรจะได้





                              ...ตาชั่งต้องไม่เอนเอียง ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร





                              "และสอง..ที่ข้ายึดถือ คือพูดคำไหน ย่อมต้องเป็นคำนั้น" เซดิสจ้องมองสบตาเทพบุตรปีกสีขาวผู้อาจหาญกล้ามาต่อคำตน ส่วนผู้ฟังสูดหายใจลึก





                            "ข้ารู้แล้ว และนับถือในจุดนั้นของท่าน.." คำพูดคล้ายจะสรรเสริญทำให้เซดิสมีท่าทีแปลกใจไม่น้อย สำหรับเทพที่ตนเคยพบเจอ ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ยังมีท่าทีเป็นอริ แต่ครานี้กลับออกปากชื่นชมไปเสียได้ "ดังนั้นข้าจึงได้ถาม..เพราะสิ่งที่ท่านพูด คือทำภารกิจสำเร็จ"





                              "จะบอกว่า..เพียงเพราะทำภารกิจสำเร็จ ก็ถือว่าโทษทัณฑ์ที่เอ่ยปากไว้ได้จบสิ้นลงกระนั้นหรือ?" เซดิสทวนถามซ้ำ





                               "เราทำภารกิจสำเร็จแล้ว" ไคลน์ประกาศกร้าว เอ่ยปากเน้นคำว่า"เรา" อย่างชัดเจน และเราที่อีกฝ่ายบอก ก็รวมถึงอาโลอิสเช่นเดียวกัน





                                อาโลอิสจ้องมองใบหน้าด้านข้างของไคลน์เงียบๆ รู้สึกประหลาดใจ..ทั้งยังดีใจเป็นล้นพ้นที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาเคียงข้างและเอ่ยปากช่วยพูดทั้งยังออกรับแทนเช่นนี้ ท่าทีองอาจไม่หวั่นไหวนั้นทำให้ผู้มองอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยความปลื้มปิติ หัวใจที่พองฟูด้วยความพึงใจกลบทับความรู้สึกหมองหม่นที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เสียจนหมด และเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ ยังบอกออกมาด้วยความยินดีเสียด้วยซ้ำ ที่สถานการณ์เช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายมีแก่ใจจะปกป้องเขา





                           ...ช่างดูเห็นแก่ตัวและฉวยโอกาสได้อย่างร้ายกาจ..แต่ทว่าก็ไม่อาจห้ามความคิดได้





                           ดวงตาสีแดงหรุบต่ำ ซ่อนแววตาไว้ไม่ให้ผุ้ใดเห็นด้วยกลัวว่าความปิติยินดีนั้นจะล้นทะลักออกมาเสียจนทุกคนสังเกตได้





                           ....แต่ข้าก็ดีใจ...ดีใจมากจริงๆ





                           "ใช่แล้ว พวกเจ้าภารกิจสำเร็จ" เสียงของผู้เป็นนายดึงให้ตนละออกจากภวังค์ อาโลิสเงียหน้าขึ้นขณะที่เซดิสเอ่ยขึ้นสั้นๆ ดวงตาสีเพลิงเป็นประกายระริก





                           "เช่นนั้น ทำไมถึงต้องมีบทลงโทษต่อ?" ไคลน์หรี่ตาลงช้าๆ ด้วยท่าทีไม่พอใจ





                           "ภารกิจสำเร็จ แต่ตัวเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือเอง...ภารกิจที่อาโลอิสต้องทำคือผู้ปราบอสูรร้าย แต่คนที่ทำลายมันได้ คือเจ้ามิใช่หรือ.." เซดิสหรี่ตาลงช้าๆ มองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย "ซ้ำยังบาดเจ็บ..ต้องนำตัวมาดูแลเช่นนี้ ข้ามิเห้นว่าจะ"สำเร็จ"ที่ตรงไหน"






                             "ที่แท้แล้ว ความสำเร็จของท่านนับเช่นนี้หรือ?" ไคลน์เอ่ยถามกลับ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ "ที่บาดเจ็บเพราะทำภารกิจ ที่บาดเจ็บเพราะเสี่ยงตาย แล้วทำไมถึงต้องให้เขากลับมารับโทาอีก เพียงเพราะไม่ใช่ผู้ลงดาบสังหาร"





                          "นี่ข้าฟังผิดไปรึเปล่า..." เซดิสหรี่ตาลงช้าๆ ยิ้มออกมาคล้ายจะเยาะหยัน "เจ้าผู้ซึ่งควรจะยินดีนักหนาที่ผลออกมาเช่นนี้..กลับเป็นอะไรไป รึเพราะได้เผชิญภัยร้ายร่วมกัน จึงเกิดความรักใคร่ห่วงหากันขึ้นมาหรือ.."





                         "..ข้า" วาจานั้นทำให้ทุกคนชะงัก ไคลน์นิ่งไปครู่ก่อนจะสูดหายใจลึก "..เพียงแต่คิดว่า มันไม่ยุติธธรม"





                         "ความคิดของเจ้าหาใช่ทุกสิ่ง"





                          "แต่..."






                          "ไคลน์..." หลังนิ่งเงียบฟังอยู่นาน เสียงของคีเรสก็ดังขึ้นเบาๆ เมื่อผู้เป้นนายเรียกชื่อของตน ไคลนืก็ชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลหันไปมองผู้เป็นนาย และเมื่อเห็นท่าทีหรี่ตามองลงด้วยความไม่พึงใจคล้ายกำลังตำหนิอย่างหนักหน่วงเช่นนั้น ตนก็ต้องหรุบตาลง





                       "เจ้าไม่ควรคำถามกับความยุติธรรมของนายผู้อื่น" คีเรสจ้องมองมาด้วยดวงตาสีน้ำเงินที่เข้มจัด "หากเขาคิดว่าควรแล้ว ที่จะเป้นแบบนั้น มันก็ย่อมต้องเป็นแบบนั้น จงขอโทษท่านเซดิสเสียที่ทำตัวไร้มารยาท"





                        คำเตือนที่กล่าวตำหนิชัดเจนนั้นทำให้ผู้ฟังนิ่งงัน ฟาราสมองคนรักของตนด้วยท่าทีใจร้อนทั้งยังรู้สึกแปลกๆ ด้วยวาจาของอีกฝ่าย และ..ท่าทีเฉกเช่นนั้น





                      ...เขานึกสงสัย นึกประหลาดใจมานับแต่ที่ไคลน์นั้นมีท่ทีห่วงหาอาโลอิสอย่างเกินพอดีมาตั้งแต่เมื่ออีกฝ่ายถูกโจมตีด้วยอสูรร้ายตนนั้นแล้ว





                        แม้จะอยู่ห่างไกลจากจุดนั้น แต่ฟาราสก็จำได้ จำได้ว่าทันทีที่ร่างนั้นร่วงหล่นลงไป ไคลน์ได้รวบรวมกำลังทั้งหมดทำลายเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นด้วยแรงโทสะ ทั้งยังรีบถลามาดูอาการของอีกฝ่ายอย่างห่วงใยนักหนา





                         ...ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูชิงชัง แต่เหตุใดเจ้าจึงห่วงใยเขานัก






                           หลายวันที่เจ้าหายไป ช่วงเวลานั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่..?






                           "ข้าขออภัย.." นิ่งไปนาน ท่ามกลางความเงียบที่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ เสียงของไคลน์ก็ดังขึ้น "...ขออภัยยิ่งนักที่ข้าหยาบคายต่อท่านเซดิส"





                        "ไม่เป็นไร"  เซดิสเอ่ยรับคำเบาๆ ยิ้มออกมาอย่างคล้ายกำลังขบขันในบางสิ่ง






                             "ทว่า...ข้าก็ยังยืนยันความคิดของตนเช่นเดิม"







                               วาจานั้นทำให้ทุกสิ่งเงียบกริบ อาโลอิสหันไปมองผู้ที่พุดออกมาราวกับไม่เชื่อหู แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับคำพูดเช่นนั้น วลีที่ไม่ต่างกับการราดน้ำมันบนกองไฟ แม้จะถูกโกรธเกรี้ยว แม้จะถูกด่าว่า ก็ยังคงยืนยันความคิดของตน ความคิดที่ว่าตัวเขาไม่สมควรต้องถูกลงโทษอย่างนั้นน่ะหรือ




                              อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ จ้องมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งปนนับถือ หัวใจที่เคยพองฟูด้วยความปิติที่อีกฝ่ายอ้าแขนปกป้องตนบัดนี้เหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามา





                              ..ขอบคุณ






                            มุมปากกระตุกขึ้นคล้ายจะยิ้ม แม้จะอยู่ท่ามกลางสายตาคนหมู่มาก ทว่าอาโลอิสก็ไม่อาจหยุดยั้งแววตาและท่าทีของตนได้ แม้ตอนแรกความดีใจที่มีนั้นจะปะปนด้วยความรู้สึกเห็นแก่ตัวอันชั่วร้าย แต่บัดนี้..ในหัวใจคล้ายจะมีบางอย่างแทรกอยู่..





                           ..จากที่เคยปราถนา เคยภาวนาให้ไคลน์ได้มองเห็น ได้สนใจกันสักนิด






                           เคยขอว่าเพียงเล็กน้อย..ขอแค่ให้อีกฝ่ายหันมามองบ้าง ขอให้จดจำ ขอให้จำในสิ่งที่เจ้าและข้าร่วมกันทำมาแม้สักนิด





                           ในยามนี้ ทุกสิ่งได้บอกชัด ว่าอาโลอิสนั้นมีตัวตนอยู่ในหัวใจอีกฝ่ายอย่างที่เขาเคยวอนขอ





                          ..อาจจะไม่ใช่ความรัก เจ้าอาจจะมีคนอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าข้า แม้อีกฝ่ายจะมีฟาราส..มีคนรักเป้นตัวเป็นตนที่รักมากเสียจนยอมทำได้ทุกสิ่ง แต่กระนั้น เพียงเสษเสี้ยวของความห่วงใยและห่วงหา ท่าทีของไคลน์ที่ทุ่มเทกางปีกปกป้อง เอ่ยปากบอกว่าจะไม่เปลี่ยนความคิดของตนแม้มันไม่เหมาะสม แค่นั้น..ก็ทำให้อาโลอิสพึงใจมากพอแล้ว





                          หัวใจกำลังกระซิบบอก..พอ..พอแล้วที่ได้รับ มีความสุขและปลื้มใจเหลือเกิน แม้จะไม่ใช่รักก็ตามที
         ..ทว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ละทิ้งทุกสิ่ง





                          ขอแค่เพียง เจ้าได้จดจำข้าไว้ในหัวใจก็เพียงพอแล้ว..





                            "เจ้า....." เซดิสกระตุกยิ้ม ดวงตาสีเพลิงมองดูใบหน้าที่จ้องมองมายังตนอย่างแน่วแน่ขณะที่เอ่ยปากพูดอย่างไม่กลัวจะได้รับโทษทัณฑ์
           




                        "ท่านเซดิส" ก่อนที่จะมีใครได้เอ่ยปากตัดสินหรือต่อว่า เสียงของอาโลอิสก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเฉยชานั้นไม่ได้ปะปนด้วยความกลัว แต่หากถูกฉาบทับด้วยบางสิ่ง..ที่คล้ายกับความพึงใจอันเบาบาง "ข้าตัดสินใจแล้ว"





                          "อย่างไร..?"





                          "กฏต้องเป็นไปตามกฏ ท่านกำหนดมาเช่นไรมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น ข้าไม่อาจพิชิตอสูรร้าย ทั้งยังบาดเจ็บจนต้องรักษา ถือว่าไม่ควรจะได้รับการอภัย.."




                          "อาโลอิส.."





                         "ดังนั้น ข้าจะขอก้มหน้ารับความคิดตามที่ท่านเอ่ยไว้" อาโลอิสตอบพลางก้มหน้าลงคุกเข่าเงียบๆ




                         "เจ้..."





                        "ขอบคุณมาก..ที่ท่านช่วยพูดให้ข้า" อาโลอิสพูดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากพื้น "เพียงแค่นี้ก็รู้สึกขอบคุณ และซาบซึ้งยิ่งแล้ว"




                         "...และจะยอมงั้นรึ?" ไคลน์เอ่ยถามกลับ น้ำเสียงห้วนจัดด้วยความไม่พอใจ




                         "ข้ายอม" อาโลอิสตอบสั้น "ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยเหลือ..แต่นี่คือสิ่งที่ข้าเลือกแล้วเช่นกัน"





                         "ดี" เซดิสเอ่ยรับคำ กระตุกยิ้มพลางหันไปหาไคลน์ที่ยังคงมีทีท่าหงุดหงิดฉุนเฉียว "เจ้าตัวเขายอมรับผิดแก่ข้าเองแล้ว หวังว่าท่านจะเข้าใจนะ.."




                        คำพูดนั้นไม่ต่างจากคำเยาะหยัน วาจานั้นทำให้ไคลน์สูดหายใจลึก ชั่วครู่หนึ่งนึกอยากกระทืบบาทตวาดอึงด้วยความไม่พอใจ แต่ตนก็รู้ว่าไม่อาจทำได้ เมื่อผู้ต้องโทษนั้นยอมรับผลของมัน "คนนอก"ก็ต้องถอยหลังออกไป




                        ...แม้จะหงุดหงิดด้วยความขัดเคืองใจแค่ไหนก็ตาม





                         ไคลน์จ้องมองร่างของผู้ที่ยังคงทรุดกายคุกเค่าก้มหน้าลงข้างๆ หัวใจเต้นถี่รัวคล้ายไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิด..ความตาย การดับสูบ สิ่งที่อีกฝ่ายนั้นต้องพบเจอกำลังหมายถึงการต้องจากไปตลอดกาล แล้วเหตุใด...ถึงได้..




                       ..และทำไม ทำไมข้าถึงต้องร้อนรนเสียปานนี้





                        "ไคลน์.." ฝ่ามือขาว เย็นเแยบวางลงบนมือของตนที่กำแน่นแล้วออกแรงดึงเบาๆ ทำให้ละออกจากภวังค์ ไคลน์ไม่รู้เลยว่าตนแสดงท่าทีเช่นใดออกไปกระทั่งเสียงสั่นๆของฟาราสแทรกขึ้นมาในอนุสติ  ฝ่ามือน้อยๆที่คอยดึงรั้งและเสียงกังวานใสที่เคยปลอบให้ทุกสิ่งผ่านไปได้อย่างราบรื่น..ทุกอย่างของคนรักที่คอยฉุดรั้งและทำให้ตนใจเย็นลง บัดนี้..ดูราวกับไม่มีผล




                         เพราะไม่ว่าฟาราสจะเอ่ยปากเรียกเช่นไร หัวใจก็ยังร้อนรนราวกับถูกไฟเผากระนั้น..





                        ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงจ้องมองไปยังร่างในชุดสีดำข้างกาย คนผู้นั้นยังแน่นิ่ง ไม่ได้มีท่าทีหวั่นไหวหวาดกลัว หรือเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความอาลัยแม้นสักนิด




                         ...อาโลอิสต้องใจจะจากไป





                        ความจริงที่ตนรับรู้นั้นทำให้หัวใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจระงับ






                        แม้จะเอ่ยปากบอกว่าเมื่อพ้นจากที่แห่งนั้นไปแล้วทุกสิ่งจะเป็นเพียงภาพฝัน แม้จะเอ่ยวาจากเช่นนั้น แต่ดูเหมือนตัวเขาจะดูถูกอำนาจของหัวใจมากเกินไป เพราะยิ่งเมื่อห่างเท่าไหร่ มันก็ยิ่งร้องเรียกหามากขึ้นเท่านั้น





                      อาโลอิส...อาโลอิส






                        หัวใจสั่นไหว..เย็นเฉียบด้วยความหวาดหวั่น มันกำลังสะท้านด้วยความรู้สึกสูญเสียที่กระหน่ำเข้าจู่โจมอย่างไม่มีที่มาที่ไป แค่เพียงคิดว่าจะไม่มีอีกแล้ว ไคลน์ก็ขยับขาก้าวเท้าไปต่อความ ทำตัวก้าวร้าวซ้ำยังขัดคำสั่งผู้เป้นนายอย่างที่ไม่เคยทำ และไม่ควรจะเป้นเช่นนั้นแม้แต่น้อย..





                       เพราะได้ใกล้ชิดกัน เลยเกิดผูกพันธ์ขึ้นมา กระนั้นหรือ..





                       คำพูดของเซดิสผู้เป็นนายของเจ้าของดวงตาสีแดงประกายคู่นั้นวาบมาในห้วงคิด ไคลน์เม้มปากเข้าหากันช้าๆ ด้วยรู้ว่ามันคือความจริงที่ตนไม่อาจปฏิเสธได้





                       เพราะได้เห็น และได้สัมผัสหัวใจดวงนั้นแล้วว่าเป็นเช่นไร จึงไม่อาจปล่อยไปอย่างที่ควรเป็น..





                       ไม่อยากให้จากไป ไม่อยากให้หายไปไหน แม้ว่าข้าจะยังมีใครอยู่ก็ตาม





                       หันไปมองเจ้าของดวงตาสีท้องฟ้าที่ฉายแววกังวล ไคลน์เม้มปากเข้าหากันช้าๆ ทั้งที่อีกฝ่ายนั้นเป้นคนรักที่
แสนงดงามคอยเคียงข้างตนมาตลอด ทั้งที่พยายามทุกอย่างเพื่อให้ฟาราสกลับมา แต่ในยามนี้ ตัวเขากลับมีหัวใจมอบให้ผู้อื่นอย่างน่าละอายนัก



                   ...แม้จะรู้ แม้รู้ดีว่าตนนั้นผิด แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้ง




                     "ไคลน์.." เสียงของฟาราสดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อตนขยับมือ แกะปลายนิ้วเล้กๆนั้นออกเพื่อจะเผชิญหน้า




                       "...ไคลน์" น่ำเสียงของผู้เป็นนายดังขึ้น ทั้งตำหนิ และต่อว่าให้ตนเลิกกระทำการอุกอาจเฉกเช่นนั้น





                       ..เสียแต่..ทุกอย่างล้วนจะไม่เข้าหู





                          ไคลน์หมุนกายมาเบื้องหน้าอีกครั้ง โดยที่มือข้างหนึ่งของตนถูกคนรักกุมไว้ ใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวมากนับสบตากับเซดิสและผู้เป้นนายตน ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวาน




                          "ข้าขออภัยยิ่งนัก..ในความหยาบคายเช่นนี้.." ไคลน์สบตาเซดิส พลางน้อมศรีาะลงเป็นการขอลุแก่โทษ ท่าทีนั้นของเขาทุกให้ฟาราสถอนใจเงียบๆ และคีเรสก็ดูจะพอใจ ที่ทุกสิ่งสามารถจบลงได้อย่างไม่โกลาหลนัก




                          "เอาเถิด..ข้ายกโทษให้" เซดิสยิ้มน้อยๆ โบกมือคล้ายไม่คิดจะเอาเรื่องราวใดๆ





                           "แต่ทว่า.." หากประโยคต่อมาทำให้ทุกคนชะงัก "ข้ามีข้อสงสัย"






                            "เชิญว่ามา"




                           "เมื่อไม่สำเร็จก็มีโทษ แล้วข้าผู้ทำภารกิจสำเร็จ ย่อมต้องมีรางวัลหรือไม่?"





                            ".........." เซดิสเลิกคิ้วน้อยๆ ท่าทีฉงนกับคำพูดของอีกฝ่าย





                           "มี.." คีเรสเอ่ยตอบกับผู้เป็นลูกน้องของตน เมื่อได้ฟังดังนั้น ไคลน์จึงสูดหายใจลึก ค่อยเบี่ยงฝ่ามืออกจากปลายนิ้วของคนรัก ก่อนจะนิ่งลงคุกเข่าเงียบๆ




                            "สิ่งที่ข้าขอ...ได้ทุกสิ่งใช่หรือไม่"





                           "หากพวกข้าให้ได้" น้ำเสียงของเซดิสฉายแววทั้งถูกใจและอยากรู้ ดวงตาสีเพลิงระริกไหวจ้องมองร่างของไคลน์ที่บัดนี้คุกเข่าลงตรงหน้า ข้างๆกับอาโลอิสที่ยังคงก้มลงมองพื้นหินสีดำเงียบๆ




                          "หากเป็นเช่นนั้น.." ใบหน้าหล่อเหงาแหงนเงยมาสบมองผู้มีอำนาจเหมือกว่าทั้งสองอีกครั้ง แววตาคู่สีน้ำตาลนั้นวาววับนัก ยามที่เจ้าตัวสูดหายใจลึก และเอ่ยบอกคำขอของตนเสียงดังฟังชัด




                           "ข้าขอให้ท่านยกเลิกโทษของอาโลอิสซะ!"



                           น้ำเสียงกังวานไปทั้งโถงใหญ่ ถ้อยคำเด็ดขาดนั้นยังสะท้อนก้องในความทรงจำ อาโลอิสเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสีแดงประกายจ้องมองผู้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างลืมตัว..



   
     ++++++++++++++++++++++++++++++





หล่อ..

ตอนนี้หล่อมาเลยค่ะ 555

รัศมีพระเอกจับมากแม้จะโดนทุกคนรุมด่ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง55 ขุ่นไคลน์ของเราเพิ่งมาเหล่อเอาตอนนี้นี่เองง

แต่ตอนนี้ฟาราสแอบน่าสงสาร...โถ่ เหมือนจะรู้ชะตากรรมตัวเองอยู่กลายๆนะ

(ชะตากรรมที่ว่าคนดีจะไม่มีที่อยู่ในนิยายของอิปุ้ย)

ส่วนเรื่องจะเป้นยังไงมารอดูตอนต่อไปกันค่าา

ปล. นิยายยังเปิดจองอยู่นะคะะ ใครสนใจสอบถามได้เลยเน้ออ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 37 : การตัดสินใจ UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: loyal_mook ที่ 29-07-2014 08:33:35
รู้สึกดีแทนอาโลอิส แต่ก็รู้สึกแย่แทนฟาราส ฮืออออออ  :z3:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 37 : การตัดสินใจ UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: hanahana ที่ 29-07-2014 22:18:34
ตามทันแล้ววววว ดีใจ :hao7:
หน่วงหนักทุกตอน มีแอบหวานให้ชุ่มหัวใจเป็นพักๆ แล้วก็กลับมาหน่วงกันเบาๆ
ต้องเลือกแล้วล่ะจุดนี้ แต่ก็เหมือนไคลน์จะเอียงมาทางอาโลอิสน่ะ  :hao3:
ไคลน์แลดูหล่อจริงตอนล่าสุดหลังจากที่เราก็อ่านไปด่าไปมาหลายตอนอยู่ 55
เห็นใจทั้งอาโลอิสทั้งฟาราส รอดูว่าคำตอบสุดท้ายของไคลน์จะออกมาแบบไหน
ไม่กล้าเดากลัวหักมุม555

ปล. แต่ใจเราก็แอบเอียงไปทางอาโลอิสน่ะ55  :z2:   เป็นกำลังใจให้จ้า   
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 29-07-2014 23:56:14



Lost 38 : ยมทูต




      "ข้าขอให้ท่านยกเลิกโทษของอาโลอิสซะ!"




      น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ดังกังวานนั้นทำให้อาโลอิสหันไปมองอย่างไม่เชื่อหู ดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึงไม่ต่างกับทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ หัวใจของตนกระตุกไหวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนั้น อาโลอิสรับรู้ได้ถึงความปิติยินดีที่ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็วของตน  และเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว



     ...ทั้งที่นึกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ไปแล้ว



    แค่เดินออกมากางปีกปกป้อง แค่เพียงออกมาช่วยชี้แจงแถลงไข เพียงเท่านั้นหัวใจก็เต้นระรัวด้วยความปิติล้นอก



    เมื่อทั้งเจ้านายและคนรักเอ่ยปากห้าม อาโลอิสคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้และล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว แม้หัวใจจะเจ็บแปลบลึกๆและยังปะปนด้วยความหวาดผวายามที่จะต้อง"หายไป"แต่ว่าการได้หายไปท่ามกลางความทรงจำดีๆเช่นนี้ทำให้ตนได้คิด...อย่างน้อย ก็มีความสุข



      แต่เมื่อไคลน์คุกเข่าลงและเอ่ยปากขอ"รางวัล"ที่ตนควรได้เป็นการยกเลิกโทษของเขา แค่นั้นทำให้อาโลอิสรู้สึกดีใจเสียจนแทบทนไม่ไหว



    ทั้งที่เป็นรางวัล เป็นสิ่งที่ควรได้รับ รางวัลจากการปราบอสูรร้ายลงได้ราบคาบ ควรจะเป็นค่าตอบแทนที่"ดีกว่านี้"



    แต่อีกฝ่ายกลับขอเพื่อมอบให้ตน ต่อหน้าคนรักและเจ้านาย คุกเข่าลงเอ่ยปากอย่างกล้าหาญ มันมีค่ามากเสียยิ่งกว่าที่เขาควรจะได้รับร้อยเท่าพันเท่า



      อาโลอิสเหลือบมองร่างของไคลน์ ที่ยังคงก้มหน้าคุกเข่าลงข้างๆ เขารับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความปิติของตน จ้องมองร่างของอีกฝ่ายแม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้เหลือบแลมาและยังคงเงยหน้ามองผู้มีอำนาจทั้งสองด้วยท่าทีจริงจัง



      ..เป็นความจริงจังที่งดงามและมีค่าเกินกว่าตนจะได้รับยิ่งนัก..



       "....." เซดิสนิ่งฟังคำขอนั้น ครู่หนึ่งตนชะงักไปพลางกระพริบตาถี่ด้วยท่าทีราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเริ่มหัวเราะ



      เสียงหัวเราะแผ่วดังกังวานไปในโถงใหญ่ สีหน้าขบขันและแฝงด้วยบางสิ่งยามจ้องมองกลับมานั้นทำให้ไคลน์กลืนน้ำลายช้าๆ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็ยังคงจ้องมองมาอย่างดุดัน แววตาวาววับอันบ่งบอกความปราถนานั้นทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องโถงนี้ต่างประจักษ์ชัด ว่าคนพูดนั้นเอาจริงเอาจังเพียงไร



       เสียงร้องของการาเวนดังขึ้นพร้อมกับโผเข้าที่ไหล่ของเซดิสผู้ที่ยังคงขบขัน ปลายนิ้วสีขาวที่บัดนี้แหวนประดับอัญมณีสีแดงก่ำปรากฏอยู่อีกคราลูบไล้เส้นขนสีดำสนิทเบาๆ ขณะที่เจ้ากาดำตัวใหญ่กระซิบคล้ายจะบอกถึงบางอย่าง



       "อ้อ.." เสียงรบคำของเซดิสดังขึ้นขณะที่เซธบินกลับไปเกาะคอนอีกครั้ง แววตาที่จ้องมองมาด้วยดวงตาสีเพลิงที่ระริกไหวคู่นั้นแปรเปลี่ยนไปราวกับรู้อะไรบางอย่าง เซดิสจ้องมองสบตาของไคลน์เงียบๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครา



      "คำขอของเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก.."วาจาคล้ายจะสรรเสริญ แต่ผู้ฟังรู้ดีว่าไม่ใช่ "กำลังขอลดโทษให้ศัตรูของตนงั้นรึ..ไคลน์..ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ"



       "ท่านจะให้ได้หรือไม่" ไคลน์ดูราวกับไม่สนใจน้ำเสียงที่คล้ายจะเยาะหยัน ดวงตาสีเข้มยังคงมองนิ่ง และเอ่ยปากถามซ้ำ



        "คำขอของเจ้า..ควรขอตรงต่อนายเจ้า หาใช่ข้า" เซดิสเอ่ยเรียบๆ



       "แต่ท่านคือนายของอาโลอิส"



       "ถูก.." ผู้ฟังพยักหน้า ก่อนที่แววตาจะปรากฏความสนุกสนานขึ้นชั่ววูบ "ดังนั้น จึงต้องให้นายของเจ้ามาขอข้าด้วยตัวเองยังไงล่ะ.."



           คำพูดนั้นทำให้ทั่วทั้งโถงเงียบกริบไปอีกครั้ง หาวาจาของไคลน์คือการราดน้ำมันลงบนกองไฟ คำพูดของเซดิสนั้นเล่าคงเหมือนการวางเชื้อเพลิงใหม่ให้ปะทุ ซ้ำยังลามไปลามผู้ที่อยู่นอกวงเสียด้วย มิต้องให้เดาหรือทำการคิดให้ถี่ถ้วนใดๆ ความต้องการของผู้ที่กล่าวนั้น คือการเหยีบเอาคำขอของไคลน์มาเทียบกับความภาคภูมิใจของคีเรสเป็นแน่



        ...เพียงเพราะคำขอของลูกน้อง ต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้เป็นนาย


         และเพียงเพราะ..คนบางคนอยากเห็นใครต้องทุรนทุรายมากขึ้นอีกสักนิด



           ไคลน์เบนสายตาไปจ้องมองเจ้านายตน ขณะที่คีเรสนิ่งไปพักด้วยไม่รู้ว่าจะถูกสาดฟืนเข้าหา แววตาของผู้ฟังปรากฏความประหลาดใจเพียงน้อยก่อนจะนิ่งสงบ สีน้ำเงินที่เข้มข้นลึกจัดนั้นจ้องมองใบหน้าของผุ้เป็นลูกน้องตน ความสงสัยเกิดขึ้นมาอย่างไม่อาจระงับ เมื่อรู้..ว่าคำขอนั้นมอบให้กับผู้ที่ไคลน์นั้นเคยชิงชังยิ่ง



        ...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?



       ความห่วงใยและท่าทีเช่นนั้นชวนให้นึกงวยงงมิใช่น้อย ทั้งยังคำขอที่แสนอุกอาจและคาดไม่ถึง การจะเปลี่ยนจากรางวัลที่ควรได้ เป็นขอให้ไว้ชีวิตคนที่เป็นศัตรู ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ดูราวกับเรื่องล้อเล่นชวนขัน



     ..ทว่า แววตาของไคลน์บ่งชัด


      นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น




       หันไปมองผู้ที่อยู่ข้างกาย เจ้าของอาภรณ์สีดำสนิทรวมไปถึงเส้นผมสีขนกาที่ยาวจรดพื้น ผู้ที่มีดวงตาสีเพลิงไหวระริกคล้ายต้องลม เจ้าของรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์เป็นปริศนา ที่กำลังมองมาคล้ายจะพิสูจน์ว่าตนนั้นสามารถทำให้คำขอของลูกน้องเป็นจริงได้หรือไม่



     ...ไม่ว่าอย่างไร ก้ยังชอบยั่วโมโหกันไม่เปลี่ยน



       คีเรสลอบถอนหายใจเนิบช้า นัยน์ตาตวัดมาจ้องมองลูกน้องคนสนิทของตนอีกครา รวมทั้งมองเลยไปยังผู้เป็นตัวการ เทพบุตรปีกสีดำที่คุกเข่าอยู่ข้างกายนั้น และยังมองไปถึงหนึ่งเทพบุตรผู้มีดวงตาสีทองฟ้า ที่บัดนี้มีสีหน้าราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองได้ยินเป็นอย่างยิ่ง



       "จะว่าอย่างไร ท่านคีเรส" น้ำเสียงเอ่ยถามกลับเร่งเร้า ความนัยนั้นคือสนุกอย่างไม่ต้องสงสัย คีเรสมองดวงตาสีเพลิงของอีกฝ่าย นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา



       "ท่านจะช่วยทำตามคำขอของไคลน์ได้หรือไม่ เซดิส.."



      "...โทษที่ร่วมกันกำหนด..ท่านจะยกเลิกง่ายๆกระนั้นหรือ" เซดิสมีท่าทีแปลกใจ แม้ไม่ได้เสแสร้ง แต่ผู้มองก็อดจะขัดตาไม่ได้



      "ข้าทราบ ว่าท่านยึดถือความยุติธรรม เหนือสิ่งอื่นใด" คีเรสเอ่ยตอบ ศรีาะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีทองอ่อนจางขยับโคลงเงียบๆ หากผู้ฟังต้องขมวดคิ้ว "..ดังนั้นข้าจึงขอ"



       "...คำขอของท่านเลยรึ?" เซดิสเลิกคิ้ว เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ



       "ใช่แล้ว" คีเรสพยักหน้า ดวงตามองไปยังลูกน้องของตนอีกครา "ขอให้ท่าน..ยกเลิกโทษของอาโลอิสได้หรือไม่"



       "ขอบคุณท่านคีเรส" ไคลน์ก้มหน้าแทบจรดพื้น เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความซาบซึ้ง



       "...ถือเป็นคำขอของเจ้า" คีเรสรับคำด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ "รางวัลสำหรับการทำภารกิจสำเร็จ แม้ข้าจะนึกแปลกใจก็ตาม.."



       "....ขอบคุณท่านคีเรส" ไคลน์เอยซ้ำอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็เงยหน้าไปมองเซดิสราวกับจะถามว่าคิดจะทำเช่นไรต่อ



       เซดิสเหลือบมองเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาไคลน์อีกครา เจ้าของดวงตาสีเพลิงยิ้มออกมาบางๆ ขณะที่เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับสายน้ำไหล



        "อุตส่าห์ขอข้าถึงเพียงนี้..จะไม่ทำตามก็กระไร"



        "อาโลอิส"



        "ขอรับ ท่านเซดิส" อาโลอิสเงยหน้าขึ้นช้าๆ พลางสบมองแววตาสีเพลิงของเจ้านายตน ดวงตาคู่นั้นยังคงลึกล้ำเสมอ



         "...โทษทัณฑ์ที่เจ้าควรได้รับ บัดนี้ถุกยกเลิกแล้ว"



         "ท่านเซดิส.." น้ำเสียงแฝงแววปลาบปลิ้มอย่างปิดไม่มิด หากผู้ฟังโบกมือ



         "ขอบคุณคนที่ช่วยเจ้าดีกว่า หาใช่ข้าไม่"



         "ขอบคุณท่านคีเรส" เมื่อได้ฟังดังนั้น อาโลอิสก็ก้มหน้าลงไปพลางเอ่ยขอบคุณผู้ที่ช่วยขอร้องให้ตนอีกครั้ง คีเรสพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนที่อาโลอิสจะหันไปมองคนที่คุกเข่านิ่งอยู่ข้างกาย



         ตาสบตา..ไคลน์จ้องมองมาก่อนแล้วขณะที่ใบหน้าเรียบเฉยนั้นปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ แววตาที่เป็นประกายระยับนั้นทำให้หัวใจของผู้มองกระตุกไหว



        "ขอบคุณ...ไคลน์"



          คำพูดที่ได้ฟังทำให้ตนยิ้มรับ ไคลน์พยักหน้าช้าๆ แววตาปรากฏความยินดีเช่นเดียวกัน ขระที่เอ่ยรับคำเบาๆ



       "ไม่เป็นไร"



          ..แค่เจ้าปลอดภัย ก็ดีแล้ว


      ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่..อยู่ตรงนี้ก็พอ





        แม้จะไม่ได้แตะต้องหรือสัมผัสอะไรมากกว่านั้น ทว่าแววตาของอีกฝ่ายทำให้ผิวแก้มของอาโลอิสร้อนวาบเสียจนต้องหันหน้าหนี ท่าทีเช่นนั้นของทั้งคู่นั้นทำให้ผุ้เฝ้ามองต่างนึกประหลาดใจ ด้วยไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะพบกับเรื่องราวน่าประหลาดเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย




       และในสายตาของผู้เฝ้ามองเช่นฟาราส ไม่ใช่เพียงแค่เขา..ทุกคนก็ล้วนรับรู้ ว่ามีบางสิ่งแปรเปลี่ยนไป



      ..สาเหตุอะไร ที่ทำให้คนที่ครั้งหนึ่งเคยชิงชังนักหนา เป็นฝ่ายออกปาก เอ่ยขอชีวิตให้กับคนที่ตัวเองเคียดแค้นนัก



      เรื่องราวดูจะเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว หากฟาราสรู้...ทุกอย่างจะปะติดปะต่อกันสมบูรณ์ หากตนได้รู้ว่าในยามที่คนทั้งคู่หายไปด้วยกัน เกิดอะไรขึ้น



       หัวใจแปลบวูบ ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นมาอย่างเแยบพลันเมื่อมองเห้นไคลน์กำลังจ้องมองคนผู้นั้นด้วยแววตาที่อ่อนโยนยิ่งนัก



       ทำเพื่อเขาขนาดนี้ ดีใจมากเสียขนาดนี้..ข้าจะคิด..คิดว่าเจ้ากำลังทำร้ายข้าได้หรือไม่ ไคลน์



      ...ข้าจะคิดได้ไหม ว่าหัวใจของเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ



      สังหรณ์ร้ายทำให้ฟาราสหรุบตาลงต่ำ ขณะที่คนทั้งห้องต่างจับจ้องท่าทีของทั้งคู่ ไคลน์ลึกขึ้นแล้ว เมื่อคำขอของตนสำเร็จผล แต่ก้ยังยืนเคียงข้างอาโลอิสที่ยังนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เจ้าของดวงตาสีแดงประกายยังคงอยู่ที่เดิมราวกับรอคำสั่ง



      ..เพราะหากเป้นเช่นนี้ ตนไม่ถูกกำจัดก็จริง แต่ก็ไม่มี"ปีก" และไร้พลังเช่นเดียวกัน



     เทพที่บัดนี้มีกำลังกายลดน้อยลงและกลายเป็นเพียงเทพชั้นต่ำ ไม่อาจอยู่ในที่แห่งนี้ได้อีก 



       นิ่งอยู่ที่เดิมด้วยอยากรู้ว่าชะตากรรมของตนจะเป็นเช่นไร เซดิสมองร่างที่ยังคงนิ่ง รับรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรอคอยอะไรอยู่ แต่ตนก็ยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย เงียบไปนาน..นานเสียจนเสียงร้องของเจ้าการาเวนตัวใหญ่ดังขึ้นอีกคราเหมือนจะเป้นคำเตือน เซดิสก็ถอนหายใจ



           "ไม่มีโทษแล้ว แต่บัดนี้ตัวเจ้าไร้กำลัง ทราบดีใช่หรือไม่"



           "ทราบขอรับ" อาโลอิสรับคำเบาๆ



           "ในยามนี้..สงครามที่โลกมนุษย์นั้นได้จบลงแล้ว" เซดิสเอ่ยนำเสียงเรียบเรื่อย ตามองร่างของอดีตคนสนิทตนที่บัดนี้ชะตาชีวิตพลิกผัน "..คนตายมากมาย ..มากเสียจนแทบเก้บไม่ไหว ดังนั้นข้ามีงานมอบให้เจ้า"



           "จงไปเป็นยมทูต คอยเก็บวิญญาณของผู้ที่ตายในสงคราม จากนี้ นั่นคือหน้าที่ของเจ้า"



           ยมทูต..



       ข้อความนั้นแทรกขึ้นในใจของทุกคนอย่างเงียบเชียบ ขณะที่อาโลอิสนิ่ง ดวงตาหรุบต่ำด้วยความรู้สึกบางอย่าง



        ยมทูต..เทพไร้พลังที่อยู่ในขั้นต่ำสุดของผืนพิภพ มีหน้าที่คอยเก้บวิญญาณ และวนเวียนอยู่ในโลก คอยทำหน้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด



       การต้องเปลี่ยนจากที่เคยเป้นคนสนิทของเซดิส มาเป็นเทพชั้นต่ำ ทุกคนคงนึกสังเวช..ขบขันในใจ



        ..แต่ไม่เป้นไรหรอก ขอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว



     แค่เพียงมีชีวิต และได้อยู่ต่อไปเท่านั้น



     แม้จากนี้จะไม่อาจเอื้อมมือไปหาคนที่ตนรักที่ได้อีกก็ตาม




       เหลือบมองไคลน์เงียบๆ และอีกฝ่ายก้มองตรงมาเช่นกัน อาโลอิสยิ้มออกมาน้อยๆ รับรู้ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีห่วงใย แต่ได้รับเพียงแค่นั้น หัวใจของตนก็เต้นกระน่ำด้วยความยินดี




        ...ข้าได้รับความห่วงใยและเจ้าทำเพื่อข้าเสียขนาดนี้ ถึงตายไปก็ไม่นึกเสียดาย




       "รับทราบขอรับ ท่านเซดิส" อาโลอิสรับคำแล้วลุกขึ้นเงียบๆ แม้การตอบรับของเขาจะทำให้หลายคนนึกยากออกปากค้าน แต่ไคลน์ก้รุ้ดีว่าตนเองไม่อาจทำอะไรได้แล้ว



      ...ทำได้เพียงเท่านี้แล้วจริงๆ



       "ถ้าเช่นนั้นไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัว" คีเรสเอ่ยสั้นๆ การตัดบทของผู้เป้นนายและเดินออกไปอย่างบ่งบอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในใดๆอีกทำให้ ตนต้องเดินตามไปเงียบๆ เช่นเดียวกับฟาราส และปล่อยให้คนที่เหลือจัดการกันอย่างเงียบๆแทน



      "ไคลน์" เสียงเรียของฟาราสดังขึ้นเมื่อก้าวเท้าออกไปยังห้องดถง ตามหลังผู้เป้นนายที่เดินเข้าอุโมงค์กุหลาบนั้นเงียบๆ



       "อะไรหรือ" ไคลน์รับคำเสียงเบา ตนอยู่ในภวังคืเสียจนไม่ทันสังเกตุสิ่งใด



       "ข้ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย"




          วาจาของฟาราสนั้นทำให้ผู้ฟังนิ่ง ไคลน์พยักหน้าช้าๆ หลังจากนิ่งอึ้งไปเมื่อสบมองดวงตาคู่นั้น



   ...ฟาราสคงได้รู้แล้ว ว่ามีอะไรผิดปกติ และมีบางอย่างเกิดขึ้น




     ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมาในใจ ขระที่ตนเองรับรู้ได้ ว่ามือเล็กที่เคยบีบกระชับ ได้ปล่อยลงอย่างรวดเร็ว





++++++++++++++


สุดท้ายก็รอด แต่รอดแบบได้เปลี่ยนไปสู่จุดต่ำสุดกันเลยทีเดียว //ซรับ

คือถ้ามองว่าเป้นผลของการกระทำที่ผ่านมามันก็พอฟังขึ้นอยู่นะ ไม่ใช่ว่าโออิสเป็นผู้ถูกกระทำหรอก55
 เพราะแบบ..อาโลอิสก็จัดไปหนักจริงๆ

ส่วนตอนนี้ฟาราสกับไคลน์ มีเรื่องให้คุยกันแล้ว จะเป้นยังไงโปรดติดตามมม

ปล. นิยายเหลืออีกไม่กี่ตอนจะจบแล้ววว ใครสนใจหนังสืออย่าลืมอุดหนุนกันน้าาา *3*/
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-07-2014 00:10:16
รอลุ้นตอนต่อไปค่าาาาา
คนแต่งสู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: loyal_mook ที่ 30-07-2014 08:30:13
สงสารฟาราสสสส  :hao5:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 30-07-2014 08:45:13
แนวแฟนตาซีแบบนี้ ถูกใจมากๆๆๆๆค่ะ ชอบมากเลย
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 30-07-2014 12:14:49
สงสารฟาเรส เหมือนสามีนอกใจไปรักเมียน้อยเลยอ่ะ เมียหลวงช้ำใจ ฟาราสมีคู่ไหมคนเขียน  :hao5:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 38 : ยมทูต UP 29/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: hanahana ที่ 30-07-2014 15:19:52
ไม่โดนทำลายวิญาณก็ดีแล้วอาโลอิส เริ่มนับหนึ่งใหม่น่ะ  :กอด1:
รอดูตอนที่ไคลน์เคลียกับฟาราส ดูว่าไคลน์จะทำยังไง รอๆ ลุ้นๆ

หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 39 : Paris UP 31/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 31-07-2014 23:05:56


Lost 39 : Paris




                  ท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นสีดำสนิทพร่างพราวด้วยดวงดาวทอประกายเกลื่อนฟ้า แว่วเสียงคำรามของเครื่องบินรบวิ่งผ่านมาก่อนจะจางหายไป ท้องฟ้าของปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศสยังคงงดงามและเป็นเฉกเช่นเดิมอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้ท้องฟ้าดูจะไม่เป็นที่สนใจของผู้คนที่กำลังเยื้องกรายอยู่เบื้องร่าง เหล่ามนุษย์ในชุดเสื้อโค้ทสีดำสนิทที่นำพาตัวเองไปสู่จุดหมาย ท่ามกลางรอบกายที่มีแต่ซากปรักหักพัง





                    สงคราม...เครื่องหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนสันติภาพได้นำพาความรุ่งโรจน์และร่วงโรยมาสู่เมืองนี้อย่างรวดเร็ว จากอดีตที่ผ่านผัน วานวันที่เคยมีชีวิตอยู่และเฝ้ามองเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นด้วยสายตาของมนุษย์ผู้หนึ่ง ในยามนี้ที่ได้เหยียบกรายที่นี่อีกคราในสภาพความทรงจำอันแจ่มชัด เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยได้อาศัยดูจะเปลี่ยนไปมากมายเสียเหลือเกิน





                    วันเวลาผ่านไปรวดเร็วกว่าที่คิด เพียงไม่นานในที่ๆตนกลับไป อาโลอิสจำได้ว่าก่อนจากสงครามของมนุษย์ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ ทว่าในยามนี้เมื่อเขาต้องเปลี่ยนผัน ตัวตนที่ละจากความเป็นมนุษย์ไปสู่เทพชั้นต่ำอย่างยมทูตเมื่อกลับมาอีกครา ปารีสที่เคยงดงามในความทรงจำก็เปลี่ยนแปลงไป





                    ..เช่นเดียวกับตัวเขาที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน..





                    จากที่เคยมีปีกทั้งสองข้าง บัดนี้เหลือเพียงหนึ่ง ปีกอันเล็กจ้อยและไร้พลังเสียจนแทบนับเป็นไร้ค่า อีกสีดำสนิทที่บัดนี้เป็นตราบาปแสดงให้เห็นถึงผลของสิ่งที่ตนเองกระทำไว้ จากที่เคยเป็นเทพชั้นสูงบัดนี้พลังที่เหลือเพียงน้อยนิดทำให้ต้องตกต่ำกลายเป็นเพียงยมทูตธรรมดา ที่นอกจากไม่จำเป็นต้องดื่มกินแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่ต่างจากมนุษย์





                    สายลมโบกสะบัดให้อาภรณ์บนร่างปลิวตามแรงนั้น เสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำสนิทรวมทั้งทุกสิ่งบนร่างก็เป็นสีดำ มีเพียงดวงตาสีแดงก่ำ ผิวซีดขาว และเส้นผมสีเดียวกัน ที่ทำให้ผู้พบเห็นมองออกว่าร่างนี้...คล้ายมนุษย์





                     แต่ก็เป็นไปได้เพียงคล้าย..





                    กระชับเคียวสีดำสนิทในมือไว้มั่นขณะที่มองร่างของชายชราผู้หนึ่งที่หลับตานิ่งอยู่ในตรอกเล็กๆ กองขยะสูงท่วมหัวตนและชายเฒ่าที่อยู่ในชุดสกปรกซอมซ่อ ชายผู้มีชะตาว่าจะต้องสิ้นชีพในวันนี้ ร่างกายผ่ายผอมและแววตาแห้งผากเหลือบขึ้นมองมายังตนเพียงชั่วครู่ก่อนจะแน่นิ่ง หลับตาลงยามถูกเคียวยมทูตคร่าชีวิต




                    ร่างวิญญาณสีมุกลอยขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ดวงตาที่ลอยเหม่อคล้ายไม่อาจจดจำสิ่งใดเหลือบแลมายังตน อาโลอิสพยักหน้าให้เป็นการบ่งบอกสัญญาณให้วิญาณตนนั้นตามมา ก่อนจะก้าวเท้าเหยียบย่างไปตามเส้นทางแคบคับ สีดำสนิท ในมือของเขามีตะเกียงโบราณใบเล็กเพื่อส่องสว่าง นำทางไปยังดินแดนปรโลกขณะที่มีร่างของวิญญาณนั้นตามหลัง




                    "มาแล้วหรือ.." น้ำเสียงพร่าแหบทัก ขณะที่คนพูดนั้นคือชายหนุ่มที่ตนรู้จักดี เซธในร่างของการาเวนสีดำทักทายอยู่บนโค้งประตูที่ตนกำลังยืนรอให้มันเปิด อีกาตัวนั้นร่อนลงมาเกาะที่ไหล่ ขณะที่อาโลอิสพยักหน้าให้เงียบๆ




                     "...เจ้าไม่อยู่กับท่านเซดิส" เอ่ยถามกลับด้วยความสงสัย ขณะที่บานประตูเปิดออกพร้อมกับร่างวิญญาณนั้นถูกมือที่มองไม่เห็นกระชากพาเข้าไปแล้วปิดปัง ส่วนผู้ที่นำมาส่งก็เฉยเสียราวกับไม่ใช่ธุระ ก่อนจะยกตะเกียงใบเดิมขึ้นกลับออกไปอีกครา




                   "ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยตลอดเวลาเสียหน่อย" เสียงของเซธดังขึ้นพร้อมกับโยกตัวเบาๆบนไหล่ "ขึ้นไปบนนั้นน่าสนุกกว่า"





                    "ติดเที่ยวเกินไปแล้ว" น้ำคำนั้นเอ่ยตำหนิเรียบๆ





                    "..คงไม่เท่ากับเจ้า.."เซธสวนกลับนิ่มๆ





                     "ข้าไปทำงาน" อาโลอิสตอบกลับ ขณะที่แสงของตะเกียงค่อยๆดับลงเมื่อตนเดินออกมาสิ้นสุดปากทาง ปรากฏร่างอยู่ในตรอกที่เดิมจากที่เคยเดินเข้าไปเมื่อครู่





                      "สนุกรึเปล่า.." เซธออกปากถามก่อนจะกระพือปีกไหว บินโฉบขึ้นเหนือศีรษะของตน



                    "เซธ...." น้ำเสียงของอาโลอิสฉายแววตำหนิอยู่ในทีก่อนจะถอนใจเบาๆ "เจ้ามีธุระอะไรหรือ?"




                       "ข้ามีคำเตือนมาส่งให้"




                         "อะไร...?" วาจานั้นทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้วหากันด้วยความกังขา





                          "...ระวังตัวไว้.."





                          "ข้าระวังอยู่ตลอดเวลา" ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ขณะที่การาเวนตัวใหญ่โผมาเกาะอยู่บนไหล่อีกครา




                          "พลังของเจ้าไม่มากเหมือนเดิมแล้ว" เสียงเคร่งๆแปลกหูของเจ้านกตัวนั้นทำให้ต้องเงี่ยหูฟังจนได้ "ร่างของเจ้าก็ด้วย..การเป็นยมทูตเพื่อชดใช้ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องแปลก หากแต่..ระวังเอาไว้ให้ดี หากคราวนี้ถูกโจมตีอีก..ไม่ว่าจะด้วยเพราะวิญญาณร้าย หรือเพราะสิ่งใดเจ้าจะต้องหายไปตลอดกาล"




                            "....เข้าใจแล้ว" อาโลอิสถอนหายใจเนิบช้า





                            "แล้วก็..." เสียงของเซธดังขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้ ฟังดูราวกับกำลัง...สนุก?




                           "เจ้าถูกสะกดรอยมาพักหนึ่งแล้ว ระวังมันไว้เสียด้วยล่ะ ชะรอยว่าอาจจะเป็นพวกจิตไม่ปกติเสียก็ได้"




                         "อ่ะ..เซธ.." ได้ฟังแล้วคนฟังก็หน้านิ่ว อาโลอิสอ้าปากจะเอ่ยท้วง หากผู้พูดก็สะบัดปีกบินออกไปไกลโดยไม่อาจตามทัน อาโลอิสถอนใจช้าๆ คำเตือนแรกว่าควรฟังอยู่ แต่คำเตือนที่สองนั่น...




                        ...ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ตัวเสียเมื่อไหร่





                          นับจากลงมาทำหน้าที่ หลายครั้งหลายคราวที่รู้สึก..และสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกำลังติดตามตนอยู่ ด้วยความเป็นยมทูตนั้น คนทั่วไปย่อมมองไม่เห็นนอกจากคนตาย แล้วจะมีคนตายที่ไหนมีแรงมาตามติดเขาได้เล่า..หรือจะเป็นยมทูตตนอื่นก็ไม่น่าใช่ ไม่มีใครสนใจจะพูดคุยหรือสนทนากับผู้ที่ถูกลงโทษเช่นนี้หรอก จะมีก็แต่เย้ยหยันล่ะไม่ว่า






                        ใครกัน?




                       ขมวดคิ้วน้อยๆยามที่เดินทางไปต่อในความมืดมิด ม่านหมอกที่โปรยลงมาพร้อมความเย็นเฉียบบ่งบอกว่าฤดูหนาวใกล้จะมาถึง แสงของหลอดไฟบริเวณทางเดินทอแสงขมุกขมัวสะท้อนหมอกหนาวยามค่ำคืนเป็นภาพประหลาด สายลมพัดหวีดหวิว เสียงพูดคุยเบาๆและเสียงของเครื่องบินรบที่บินผ่านยังคงดังขึ้น





                       เงยหน้ามองประตูร้านดอกไม้ที่ตนเคยคุ้น เศษไม้ตอกปิดประตูและกระดาษเขียนบอกขายที่ดินบ่งชัดว่ามาดามคนสวยไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว อาโลอิสนึกถึงวันที่ตนเองเข้ามาซื้อดอกกุหลาบเพื่อบอกรักคนๆหนึ่ง และนึกถึงกุหลาบสีดำที่หมายถึงรักนิรันดร์..อันไม่เคยมีอยู่จริง ก่อนจะย้อนไปถึงดอกกุหลาบสีดำสนิทที่ใต้ผืนพิภพ





                        ดอกกุหลาบสีดำนั้นมีจริงแล้ว แต่รักนิรันดร์เล่า ?






                        ถามตัวเองอย่างขบขันขณะที่ขยับกายเดินต่อ ทั้งที่ในยามคืนวันนี้งานของตนเสร็จเรียบร้อยแล้วอาโลอิสก็ยังคงก้าวเท้าเดินต่อไป ดวงตาสีแดงสดเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเผลอไผล..มอง..อาคารสี่ชั้นบนถนนเกรย์มองที่ก่อด้วยอิฐสีแดง อาคารที่มีป้ายเขียนไว้ว่า"คลีนิกโรคทั่วไปโดยนายแพทย์ชาส์เดอตง"





                         ..ที่ๆเคยเป็นที่อยู่ของเขา






                        หัวใจสะท้อนด้วยความรู้สึกบางสิ่งยามเงยหน้าขึ้นมองอาคารที่เคยสวยงามซึ่งบัดนี้พังทลายลงด้วยฝีมือมนุษย์ จากอพาร์ทเมนต์สี่ชั้น กลับกลายเป็นอาคารไร้หลังคาด้วยแรงระเบิด ชั้นล่างที่เคยเป็นคลีนิกรักษาถูกตอกด้วยไม้ปิดประตูไว้ แต่กระจกที่อยู่ด้านข้างก็แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี ผ้าม่านสีครีมปลิวไสว แสงจันทร์นวลตาเผยให้เห็นโต๊ะ เก้าอี้และอุปกรณ์ทางการแพทย์นานาชนิด





                        ก้มมองฝ่ามือตัวเองอย่างลืมตัวขณะที่ปลายนิ้วขยับไหว อดจะนึกถึงเหล่าคนที่เคยอยู่ด้วยกันไม่ได้ ทั้งพ่อบ้านเฒ่าฟาเอล บอดี้การ์ดที่คอยดูแล นิโคลัสรุ่นน้องผู้ช่วย เมลิสสาแม่เลขาสาวสวย และ...รวมไปถึงคนๆนั้น





                        ไคลน์...





                       หลับตาลงแล้วกลืนน้ำลายช้าๆ อาโลอิสกำมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกมืดๆฝั่งตรงข้ามเอนตัวพิงผนังเย็นเฉียบ ขณะที่พยายามทำใจให้สงบลง





                        ...เพราะ ทุกสิ่งมันผ่านไปแล้ว และตัวเขา..ก็ไม่อาจเรียกคืนอะไรกลับมาได้อีก





                       ถอนหายใจอย่างเชื่องช้า ก่อนจะรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่หางตา อาโลอิสหันขวับ รับรู้ด้วยสัญชาติญาณเช่นกันว่ากำลังมีใครบางคนจ้องมองเขาอยู่





                    อีกแล้ว





                  "ใคร?" ถามกลับเสียงห้วนสั้น เค้าลางอารมณ์ไม่ปกติเป็นที่ยิ่ง






                     ความเงียบดำเนินอยู่เงียบๆขณะที่ฝั่งตรงข้ามนั้นมีเพียงอาคารอิฐสีทึบทึมตามวันเวลา เงียบไปเสียจนได้เพียงถอนหายใจหงุดหงิด อาโลอิสไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากนิ่งปล่อยให้มันเงียบหายไปอีกครั้ง เมื่อเจ้าของไม่ต้องการปรากฏตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้ หากเป็นเมื่อก่อนคงจะไล่ตามไปเค้นคอด้วยความหงุดหงิดเสียแล้ว แต่ในยามนี้ ยมทูตไร้พลังตนหนึ่งจะทำอะไรได้






                        ถอนใจแล้วนั่งลงบนเศษไม้ระเกะระกะ  นัยน์ตาจ้องมองไปยังอาคารที่คนเคยอยู่อาศัยอีกครั้ง  อาโลอิสมองไปยังชั้นสาม ที่ๆตนเคยอาศัยหลับนอน และมองหน้าต่างบานใหญ่ จำได้ว่าในอดีตอันแลนไกล เขายังเคยจ้องมองจากประตูบานนั้นผ่านมายังตรอกแห่งนี้ด้วยความสงสัยและหวั่นเกรง




                        บางสิ่งที่ปรากฏขึ้นยังฝั่งตรงข้ามทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ อาโลอิสเกือบจะตัดสินใจว่ามันเป็นเพียงภาพหลอนเสียแล้วเมื่อได้มองเห็นคนๆนั้นชัดถนัดตา แต่สิ่งนั้นกลับค่อยๆเดินตรงเข้ามาหา  ตาสบตา จ้องมองเขาภายใจเงื้อมเงาของความมืดในตรอกที่แสงจันทร์ไม่อาจส่องถึง




                          ...คนที่อยู่ตรงหน้านั้น คือคนที่ตนไม่คิดว่าจะได้พบอีกครั้งด้วยซ้ำ





                          ไคลน์...





                         นิ่งไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาสองคู่สบกันช้าๆ ก่อนที่ไคลน์จะกระแอมเบาๆเหมือนจะทายทัก




                          "สวัสดี..."





                          "....สวัสดี" ทั้งที่มันคล้ายจะเป็นคำทักทายที่แสนโง่เง่าหรือน่าขัน แต่ริมฝีปากของตนก็ยังคงพึมพำรับไปเช่นนั้นเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ อาโลอิสยังคงนิ่งจ้องหน้าอีกฝ่าย นาน..ก่อนจะลืมตัวก็เบือนหน้าไปทางอื่น




                         ระหว่างพวกเขายังคงมีแต่ความเงียบวนเวียน ก่อนที่ไคลน์จะสูดหายใจลึกอีกครา



                          "..งาน..หนักมากรึเปล่า"




                          "เปล่า..." ตอบเช่นนั้น ทั้งที่คนตายมากมายเหลือเกินจากสงครามเสียจนตนแทบไม่มีเวลาเว้นพัก อาโลอิสหรุบตามองพื้น หัวใจเต้นแกว่งด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งยินดี..และยอดแสยงด้วยความเจ็บปวดปนปร่าขมในใจ



                          คนๆเดิม กับสถานที่แห่งเดิม แต่มันกลับเปลี่ยนไป ทั้งตัวเขา..ทั้งไคลน์ และรวมไปถึงที่แห่งนี้ด้วย




                           ต่างก็ผุพัง ต่างก็ค่อยๆสลายหายไป เปลี่ยนแปลงและแปรผันตามกาลเวลา





                           มีเพียงความทรงจำที่ยังคงชัดเจนประดุจเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงวันวานเท่านั้น





                         "...ขอบคุณ" ท่ามกลางความเงียบที่ต่างฝ่ายไม่รู้จะพูดอย่างไร อาโลอิสก็โพล่งขึ้นมาเงียบๆอีกรอบ "ที่ช่วยข้า.."




                      "ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร" ดวงตาของไคลน์สะท้อนอารมณ์บางอย่างเมื่อได้ฟัง นัยน์ตาจ้องมองคนพูดเงียบๆ เสียก็แต่ดวงตาของอาโลอิสเสมองไปทางอื่น จึงไม่ได้เห็นมันแต่อย่างใด




                      "....ที่จริง ข้าอยากจะถาม" ไคลน์เอ่ยปากเบาๆ ท่าทีเก้ๆกังๆเล็กน้อยราวกับไม่รู้จะทำตัวอย่างไร นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองที่วางข้างกายคนตรงหน้า หากที่สุดแล้ว เขาก็ทำได้เพียงมองมัน และยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น




                     "อะไรหรือ.." อาโลอิสรับคำเบาๆ เงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ก็หลบตาวูบ



 
                    "...เจ้า สบายดีใช่ไหม?" คำถามฟังดูแปลกหูอย่างน่าประหลาดทำให้อาโลอิสกระพริบตาช้าๆ นิ่งทบทวนเรื่องราวก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา




                    "ข้าสบายดี..."





                   "งานนี้หนักเกินไปสำหรับเจ้ารึเปล่า..เจ้ายังไม่หายดีเลย" ไคลน์เอ่ยขึ้นมาอีกครา แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย




                   "ข้าสบายดีจริงๆ"





                    "อาโลอิส...."





                     "ข้าต้องไปทำงานต่อแล้ว" ลุกขึ้นจากกองเศษไม้สีทึม ขณะที่เอื้อมมือไปหาตะเกียงที่วางอยู่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันน้อยๆแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น




                      "..อาโลอิส" น้ำเสียงของคนฟังฉายความเจ็บปวดไม่น้อย หากผู้ฟังก็หรุบตาลงเสีย





                      "ขอตัวก่อน"





                    ร่างที่ขยับก้าวเท้าห่างออกไปทำให้ไคลน์เม้มปากเงียบๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกบางสิ่งที่ไม่รู้จะพูดออกมาได้อย่างไร สีหน้าลังเลและอึดอัดที่บอกออกมานั้นทำให้ผู้ได้มองทำเพียงแต่หลบตา เมินมองไปเสียทางอื่นราวกับไม่เห็น




                     "อาโลอิส..." น้ำเสียงของไคลน์เคร่งขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เอื้อมมือจับท่อนแขนขาวจัดไว้




                     "ไคลน์..." เจ้าของดวงตาสีแดงประกายหันมาสบ แววรวดร้าวบางอย่างปรากฏขึ้นชัดเจน ก่อนจะค่อยๆเลือนหาย




                      "เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่..และไม่ควรมาพบข้าอีก"




                        ...ตามที่เคยสัญญา ตามที่เคยบอกไว้





                         ทุกสิ่งจะต้องจบลงเมื่อก้าวออกมาจากที่แห่งนั้น





                       ".........."





                           "ข้ามีงาน ต้องไปแล้ว"






                             สิ้นคำพูด อาโลอิสก็ออกแรงบิดข้อมือเล็กน้อย ดวงตาหรุบลงต่ำก่อนจะขยับก้าวผ่านร่างที่ยังคงนิ่งงันของไคลน์สไตร์คเซอร์ออกมาเงียบๆ





                          ร่างในชุดสีดำเดินผ่านไปแล้วท่ามกลางความเงียบ ทำให้ไคลน์นิ่งอึ้ง




                          เทพบุตรหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ดวงตาเกลือนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เช่นเดียวกับฝ่ามือที่ยังคงสั่นระริกไหวเมื่ออีกฝ่ายขยับบิดออกไปเงียบๆ ราวกับไม่รอฟังคำใดอีกแล้ว




                        ไม่ควรจะมา




                       คำพูดนั้นแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ ทำให้ผู้ฟังได้แต่นิ่งงันด้วยไม่อาจถกเถียงหรือทำเช่นไร..ถูกแล้ว ที่ว่าไม่ควรจะมา..ใช่แล้ว เขาไม่ควรจะอยู่ที่นี่เป็นอย่างยิ่ง




                     แต่....





                     น้ำหนักของบางสิ่งที่ขยับมากดทับหัวใจทำให้ต้องสุดหายใจลึกแต่แช่มช้า ดวงตาที่วาววามราวกับน้ำใสจะเอ่อท้นยังคงชัดเจนในความทรงจำขณะที่ไคลน์ถอนใจเบาๆ ขยับเท้าก้าวไปเพื่อจะตามหาอาโลอิสอีกครา ก่อนจะเงียบไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินทางไปที่ใด




                     บนชั้นสามของอาคารสีอิฐที่รกร้าง...





                       สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่อบอวลเงียบๆ ไคลน์รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างแล่นวาบผ่านในใจ ขณะที่ขยับมือตนเองซ้ำกำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกบางอย่าง เมื่ออยู่ที่นี่ ตามสัมผัสของตนนั้นหากมองไม่ผิดแล้ว สิ่งที่ตนสัมผัสได้ คือมีมนุษย์อีกหนึ่งคนอยู่ในนั้น และยมทูตอีกหนึ่ง..





                       มันคงจะเป็นเพียงการเอาชีวิต เอาวิญญาณคนธรรมดาๆ หากว่าคนที่อยู่ในนั้น จะไม่ใช่ฟาเอล กีโยต์ 





                        ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะรีบถลาเข้าไปในบ้านหลังนั้นตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว




++++++++++++++++++++++++


กลับมาโลกมนุษย์กันเเล้วค่ะ เเต่อาโลอิสทำไมเย้นช้าจังเลยน้าาาา เเถมยังจะไปเจอพ่อบ้านคนสำคัญอีกตื่นเต้นๆๆ //เอ๊ะ เหมือนลืมพูดถึงใคร 55+++


เจอกันตอนหน้าค่าเเละนิยายยังเปิดจองอยู่นะคะ
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 02-08-2014 12:00:16
Lost 40 : พบพานและจากลา






                    อาคารก่ออิฐถือปูนที่แสนเคยคุ้นบัดนี้กาลเวลาทำให้ทุกสิ่งแปรเปลี่ยน  ภายในที่เคยหรูหรา ปูด้วยพรมเนื้อดีซ้ำยังขัดเงาบันใดที่ทำจากไม้จนเงาวับกลายเป็นเพียงพื้นไม้เปล่าๆสีเทาทึบทึม ร่องรอยการงัดแงะและลักขโมยจนของมีค่าภายในบ้านหายไปยังคงประกฏชัด สงครามและความอดอยากทำให้ผู้คนเริ่มทำตัวไม่ต่างไปจากสัตว์     




 
                    ก้าวขาลงไปยังบันไดสีเข้มอันเคยคุ้น ขณะที่หัวใจยังคงเต้นไหวด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด การพบปะกับไคลน์เมื่อครู่ยังคงามอ่อนไหวมาให้เสียจนไม่น่าเชื่อ ซ้ำเมื่อก้าวเท้าเข้ามาแล้วได้รู้ว่าผู้ที่ตนต้องจัดการเอาวิญญาณนั้นเป็นใคร ร่างของอาโลอิสก็นิ่งขึงไปครู่ใหย่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย




                     ฟาเอล กีโยต์





                    ฟาเอลที่อยู่บนชั้นสามของอาคารหลังนี้ ฟาเอลที่เคยเป็นพ่อบ้านผู้จงรักภักดี และฟาเอลคุณลุงผู้แสนอาดูร คนที่ไม่ต่างจากพ่อ คนที่คอยดูแลทุกๆอย่าง ฟาเอล..ผู้ที่บัดนี้ยังสะเทือนใจกับการเสียชีวิตของเอนีล ชาส์เดอตงส์ไม่หายคนนั้น





                     หรุบตาลงช้าๆขณะที่ก้าวเท้ามายังบานประตูชั้นสามที่ผุกร่อน ลูกบิดประตูที่ทำจากทองเหลืองถูกแงะไปขายนานแล้วทำให้สามารถเข้าออกได้โดยอิสระ หากแต่อาโลอิสยังคงนิ่ง เงียบไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย นิ่งงันไปเมื่อแว่วเสียงร่ำไห้แหบโหย..คร่ำครวญด้วยความเสียใจมากมายมาจากภายในห้อง





                      ...เสียใจ





                        ความรู้สึกที่ตนรับรู้แม้มีบานประตูขวางกั้นทำให้นิ่งไปอีกครั้ง อาโลอิสหรุบตาลงมองบานประตู ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา สำนึกรู้เตือนให้ตนตระหนักถึงสิ่งที่ต้องจดจำไว้ให้มั่น..การทำหน้าที่นี้ จะยอมให้ความรู้สึกส่วนตัวมาปะปนไม่ได้เด็ดขาด





                     แม้จะเคยผูกพันร์หรือเป็นเช่นไร..ก็ไม่ได้





                    ก้าวผ่านบานประตูใหญ่เข้าไปเงียบๆ แสงจันทร์ทอลแดผ่านกระจกใสเข้ามาภายในห้องสีเหลี่ยมขนาดใหญ่จนสว่างคล้ายกลางวัน ผ้าม่านสีขาวทิ้งตัวลงข้างๆ ข้าวของสารพัดทั้งหนังสือและเครื่องเรือนตกแต่งยังคงครบพร้อมแม้จะมีแต่เศษฝุ่นเกาะเต็มไปหมด เศษกระดาษกระจายว่อนพื้น ขณะที่บนเตียงสี่เสาขนาดใหย่ ร่างของชายชราที่กำลังซุกแนบใบหน้าลงบนเตียงพลางร่ำไห้โดยไม่สกใจความสกปรกนั้นทำให้หัวอกแปลบวูบ





                     ร่างของฟาเอลที่ไม่พบเจอมานานพอควรบัดนี้มีแต่เส้นผมขาวเต็มศีรษะ ร่างกายผ่ายผอมนั้นอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทสีดำสนิทและมีหมวกใบใหญ่ถูกถอดไว้ ใบหน้าที่ซบลงกับผ้าปูเตียงสีขาวยังไม่มีท่าทีว่าจะหันมาแต่อย่างใด ขณะที่กลิ่นอายของความตายลอยอบอวลทั่วบริเวณ





                       อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ จ้องมองร่างตรงหน้า สัญญาณบ่งบอกว่าตนควรจะลงมือ ขณะที่ร่างของฟาเอลสั่นไหวไปด้วยแรงสะอื้น ปลายนิ้วสีขาวก็กำเคียวในมือตนแน่น เพื่อลงมือปลิดชีวิต




                      ปัง!




                      เสียงหน้าต่างถูกสายลมตีพัดเข้ามาอย่างรุนแรงทำให้ต้องชะงัก อาโลอิสมองหาที่มาของเสียง ขณะที่หน้าต่างเปิดออกกล้าง ผ้าม่านสะบัดไหว สายลมจากภายนอกพรุ่งพรูเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว




                       "...ปะ...ปีศาจ" เสียงร้องแหบเครือดึงให้สายตาของตนกลับมาสู่เป้าหมายอีกครั้ง อาโลอิสหันไปมองคนพูด ฟาเอล กีโยต์ลืมตาขึ้นมาจากบนเตียงหนาแล้ว ดวงตาสีเทาฟ้าฟางนั้นยังคงมองมาที่ตนอย่างตกตะลึง




                       "............" อาโลอิสไม่พูดอะไร ปีศาจ..คำเรียกขานนี้มักจะได้ยินเสมอเวลาที่คนใกล้ตายมองเห็นตน รูปลักษณ์ที่อยู่ในชุดสีดำและดวงตาสีแดงนั้นจะมองเช่นไรก็ไม่เหมือนมนุษย์ ไม่แปลกที่ถูกเรียกว่าปีศาจ เช่นเดียวกับไม่แปลก ที่ตนนั้นจะกลายเป็น"ปีศาจ" ตามที่ถูกเรียกขานจริงๆ





                     "แก...ปีศาจ แกใช่ไหมที่ฆ่าคุณชายของฉัน!" เสียงร้องดังขึ้นพร้อมร่างที่พยายามโถมเข้าหาราวกับเสียสติไปแล้วทำให้อาโลอิสต้องรีบหลบ ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจขณะที่ร่างตรงหน้าถลาเข้ามาหา ฟาเอล กีโยต์รำคามในลำคอ ปลายนิ้วยกขึ้นตรงมาทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ริมฝีปากก็บ่นพร่ำ พุดถึงคนที่มาทำร้ายคุณชายที่ตนรักคนนั้น




                      อดจะถอนใจออกมาอย่างเงียบงันไม่ได้เมื่อพบเจอสิ่งที่ตนประสบ พลางมองฟาเอลที่ตรงเข้ามาหาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อย่างไรมนุษย์ก็ไม่อาจทำร้ายคนซึ่งอยู่ในร่างของยมทูตที่แทบจะเป็นวิญญาณ อาโลอิสมองแผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงด้วยอาการหายใจหอบ ในขณะที่ปลายเคียวในมือนั้นยังไม่อาจขยับไหว




                      ลังเล..




                     ใช่ เขากำลังลังเล กำลังรู้สึกหวั่นไหวและไม่อาจปลิดวิญญาณชายผู้นี้ออกจากร่างไปได้





                      เขากำลังดูถูกหัวใจตนเองเกินไป ความรู้สึกและความผูกพันธ์ที่เคยมี แม้จะไม่ใช่ในร่างนี้กำลังทำให้การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะยมทูตกำลังถึงคราวผิดพลาด





                    ไม่ควรจะอ่อน และไม่ควรรู้สึกใดๆทั้งสิ้น





                   "กำลังทำอะไรอยู่" เสียงที่ดังขึ้นในหัวทำให้อาโลอิสชะงัก ขณะที่รับรู้ได้ถึงดวงตาสีแดงที่จ้องมองมา ร่างของเซธในรูปของการาเวนสีดำเกาะอยู่เหนือหลังคาของอาคารฝั่งตรงข้าม และมองมาทางนี้ด้วยดวงตาคู่นั้น





                    "...ขออภัย" อาโลอิสไม่อาจเอ่ยปากเถียงได้ ทำได้เพียงกระชับเคียวในมือแน่น และง้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของตน





                   "แก ปีศาจ ปีศาจ!!"





                   "อาโลอิส"





                   "ปีศาจ เจ้าปีศาจร้าย แกใช่ไหมที่ทำร้ายคุณชายของฉัน!!" ใบหน้านั้นถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาแดงก่ำ แฝงความเคียดแค้นและบ้าคลั่ง





                   ...อาโลอิสหรุบตาลงช้าๆ






                    ฝ่ามือที่กำเคียวนั้นค่อยๆง้างขึ้นถามกลางเสียงกรีดร้อง สลับกับเสียงกระซิบริมหู





                    "อาโลอิส"






                    "ปีศาจ ปีศาจ ปี--------"






                   เสียงเคียวตวัดผ่านอากาศดังขึ้นแผ่วเบาขณะที่ร่างของฟาเอลแน่นิ่งและทรุดกายลงเบื้องหน้า ดวงตาสีเทาเบิกค้าง และใบหน้านั้นยังคงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นแม้ในยามที่ตนกำลังสิ้นชีวิต






                   อาโลอิสสูดหายใจลึก ขณะที่เก็บเคียวของตนไว้ แล้วมองวิญญาณของฟาเอลซึ่งบัดนี้แปรเป็นเลื่อนลอยคล้ายไม่รู้จัก
     



                  เสียงกระพือปีกดังขึ้นยามเมื่อเซธเกาะลงบนเตียงสี่เสา ร่างของการาเวนตัวใหญ่กระพือปีกช้าๆพลางจับจ้องมาเงียบๆด้วยแววตำหนิอย่างปิดไม่มิด





                 อาโลอิสปิดดวงตาลงด้วยความละอาย หากแต่ก็ยังเป็นฝ่ายเอ่ยถาม





                  "รู้...ว่าจะเกิดขึ้นใช่ไหม?" อาโลอิสถามเสียงเรียบ ขณะที่ยกตะเกียงในมือขึ้นส่องกับผนัง ให้มันเปิดทางไปสู่ความมืดเบื้องหน้า





                  "ใช่"






                    "...คิดว่าข้าไม่อาจแยกแยะ"






                     "ที่ผ่านมา บ่งชัดแล้วว่าเจ้าทำไม่ได้" น้ำเสียงของเซธฟังดูเย็นชานัก ขณะที่ร่างนั้นโผนเข้าเกาะไหล่ ดวงตาที่เป็นประกายวามคู่นั้นจ้องมองมายังตน





                      "เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเซดิสถึงให้ทำงานนี้.. ไม่ใช่แค่เพราะคนไม่พอ..เเต่เพราะที่ผ่านมา..เจ้าปล่อยให้ความรู้สึกครอบงำตนเองมากเกินไป หากปล่อยเอาไว้ สักวัน..เจ้าจะต้องหายไปเพราะเรื่องเช่นนี้"





                    "............."




                        "ความรู้สึกทำให้เจ้าอ่อนแอ อาโลอิส"





                        "เช่นนั้นข้าไม่ควรมี" ยืนอยู่บนบานประตูเหล็กสีเข้ม พลางรอให้มันเปิดออกเช่นทุกครั้ง






                         "...หากอยากให้กำจัดมันไป..ย่อมได้" เสียงของเซธฟังดูเย็นยะเยือกจับใจ





                         "เอาสิ...หากมันเป็นปัญหาต่อข้านัก ก็จงทำลายมันเสีย" อาโลอิสตอบเสียงเบา ขณะที่มองร่างของฟาเอลถูกดึงหายเข้าไปในประตูบานนั้น ดวงตาสีแดงหรุบต่ำลงช้าๆ นึกไปถึงแม่น้ำแห่งความลืมเลือนในนรก ที่สามารถทำให้ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง





                       ..ชั่วขณะหนึ่งในความหงุดหงิดขัดเคืองใจ ตนกำลังอยากจะทุบทิ้งทำลายความทรงจำทุกอย่างให้ย่อยยับลงไปเสียด้วยซ้ำ





                      "ไม่ต้องหรอก..." เซธเอ่ยตอบ ก่อนจะสะบัดปีกขึ้น เตรียมตัวโผบินขึ้นไปอีกครั้ง ดวงตาสีแดงเข้มของนกตัวนั้นจ้องมองมา มันแฝงด้วยอารมณ์บางสิ่งที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่อาจเข้าใจ





                         "ทำไม" อาโลอิสขมวดคิ้ว จ้องมองร่างสีดำที่แทบกลืนหายไปกับความมืดมิด





                          "....ไม่นานเจ้าก็จะรู้"





                     ถ้อยคำนั้นดังขึ้นเบาๆ ขณะที่ร่างของเจ้าการาเวนตัวใหย่หายไปพร้อมกับความมืดมิดรอบกาย อาโลอิสยืนมองเงียบๆ นิ่งครุ่นคิดถึงคำตอบของร่างราวทั้งหมดอีกครา ก่อนจะพบว่าตัวเองนั้นกลับมายืนอยู่บนห้องเดิม นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจเบาๆด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง





                      "ควรจะให้ข้าลืมมันไปทั้งหมดเสียยังจะดีกว่า เซธ"





                        รำพึงกับความเงียบก่อนจะถอนหายใจ อาโลอิสขยับกายจะเดินออกไปด้วยไม่อยากให้สถานที่เดิมๆในความทรงจำกลับเข้ามากระตุ้นเตือนความรู้สึกจนต้องหวั่นไหวอีกครั้ง





                      "อาโลอิส!" เสียงทักที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ต้องสะดุ้ง อาโลอิสหันไปมองคนพุด ดวงตาหรี่ลงด้วยความไม่เข้าใจยามที่ไคลน์เปิดประตูตรงเข้ามาหาด้วยท่าทีเร่งร้อน ดวงตาของคนผู้นั้นกวาดมองทั่วร่างตนเองก่อนที่จะถอนใจด้วยท่าทีโล่งอก




                      "มีอะไร.." อาโลอิสถามกลับ ดวงตาขุ่นมัวไม่น้อยด้วยความรู้สึกไม่พอใจและอารมณ์บางอย่างที่ก่อตัวจากเรื่องราวเมื่อครู่ ทั้งคำเตือนของเซธเรื่องอารมณ์และสิ่งหนึ่งที่รู้ดีกว่าเขากำลังหวั่นไหวจากเรื่องราวของชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังทำให้รู้สึกหงุดหงิดและขัดเคืองใจมากกว่าที่คิด..





                      "ข้า....." ไคลน์นิ่งไปเมื่อมองสบดวงตาคู่นั้น ท่าทีของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าไม่พอใจกับการปรากฏตัวของตนทำให้ความหงุดหงิดพลันแล่นวูบ ทั้งที่เป็นฝ่ายเข้ามาเพราะห่วง กำลังกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่อาโลอิสเผชิญหน้ากับฟาเอล ทว่าสิ่งที่ตนพบกลับเป็นท่าทีเฉยชาเช่นนี้ ทำให้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้




                       อาโลอิสหมุนตัวเตรียมเดินออกไปเมื่อมีเพียงแต่ความเงียบเป็นคำตอบ ท่าทีของฝ่ายนั้นทำให้รู้ว่าเขากำลังทำตัวไม่ดีนัก การแสดงออกแบบนั้นไม่ต่างกับการพาลพาโล  ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับไคลน์สักนิด สาเหตุที่ตนต้องถูกตำหนิและทำให้เรื่องราวนี้เป็นปัญหา เป็นเพราะตัวเขา เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจควบคุม เพราะความหวั่นไหวที่ไม่ควรมี เพราะบกพร่องต่อหน้าที่อย่างไม่อาจให้อภัย





                       ทั้งที่กลายมาเป็นเทพชั้นต่ำก็ยังไม่วายลังเลจนเกือบทำงานพลาด..บางที การลืมเลือนทุกอย่างไปให้สิ้นแม้กระทั่ง"หัวใจ" คงจะดีกว่ามีมันไว้เช่นนี้





                        ยอมลืมไป ดีกว่าอยู่โดยมีหัวใจที่ปวดร้าว






                        ..ทางเลือกช่างแสนโง่เง่าและขี้ขลาดเสียจริงๆ





                          ข้อมือถูกคว้าไว้แล้วบีบแน่นเสียจนเจ็บและไม่อาจก้าวขาไปไหน อาโลอิสขมวดคิ้ว พยายามดึงแขนออกทว่าไม่เป็นผล กระทั่งพยายามด้วยความหงุดหงิดก็แล้ว มันก็ไม่อาจขยับ เขาหันกลับไปจ้องสบตาคนทำด้วยภาวะที่ตนเองอยู่ในอารมณ์กรุ่น แววตาและน้ำเสียงที่พูดจึงออกมาเย็นชาบาดหูยิ่งนัก





                        "มีอะไรวุ่นวายกับข้านักหรือ..ท่านเทพ"




                        "....เจ้าพูดถึงลืม ลืมอะไร" ไคลน์ถามกลับซ้ำ สาเหตุที่ตนเองตัดสินใจก้าวเข้ามาคุยทั้งที่เลือกจะยืนนิ่งรอแต่แรกคือเสียงพึมพำของเจ้าตัวในตอนท้าย ซึ่งทำให้หัวใจแปลบวูบด้วยความรู้สึกบางอย่าง




                          ลืม...ลืมอะไร พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกัน





                          กำลังจะลืม...ลืมข้าด้วยรึเปล่า?





                         ความหวาดหวั่นเกาะกุมหัวใจขณะที่ฟังแล้วไม่อาจคงสติให้กลับเป็นเช่นเดิมได้ ไคลน์จ้องมองผู้พุดเขม็ง ดวงตาแดงก่ำ เพราะรู้ดีว่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตนนั้นล้วนสร้างบาดแผลให้กับคนตรงหน้า  แม้รู้ว่าการไม่มีมันเสียยังจะดีซะกว่า แต่การรู้ว่าจะลืม..และต้องลืม มันทำให้หัวใจคนฟังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจระงับ





                      ได้โปรดอย่าลืม ...อย่าลืมไปเลย





                       ข้าขอโทษ ข้าขออภัย ขอโทษสำหรับทุกอย่าง แต่ได้โปรด ได้โปรดอย่าลืมไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้น





                      เปลี่ยนจากกำมือเป็นบีบไหล่แน่นเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบ ไคลน์รู้สึกได้ว่ามือของตัวเองสั่นระริกด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่อาโลอิสหลบตา ดวงตาสีแดงสดคู่นั้นเจือด้วยน้ำใสวาววามยามที่ได้ฟังคำถาม



                       อยากจะลืม ลืมไปให้หมดนัก แต่จะทำใจให้ลืมไปจริงๆได้อย่างไรเล่า






                        ในเมื่อข้ารักเจ้า..รักมากขนาดนี้ จะให้ลืมไปได้อย่างไร






                       "ไคลน์..." อาโลอิสสูดหายใจช้าๆ ก่อนจะตอบอีกฝ่ายสั้นๆ พลางระงับอารมณ์ของตน "...เจ้ากับข้าเคยสัญญาอะไรไว้..จำได้ไหม"





                       "....ข้าเพียงแต่..." ไคลน์ปล่อยมือจากไหล่ของอาโลอิส สีหน้าหม่นวูบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ขณะที่พยายามเอ่ยปากอธิบาย






                        "เจ้าไม่ควร..ทำแบบนี้" อาโลอิสสูดหายใจลึก หรุบตาลงด้วยความหวั่นไหวยามที่เอ่ยปาก "คนรักของเจ้า..จะเสียใจ"





                        "...ข้า..." ไคลน์นิ่งไปกับคำพูดนั้นก่อนจะเม้มปากน้อยๆ "ข้ารู้ ข้าเพียงแต่เป็นห่วง และข้าไม่อยาก---"





                       "ขอบคุณ" คำตอบนั้นดังเบาๆพร้อมกับร่างที่ถอยหลัง ขยับห่าง ดวงตาสีแดงประกายจ้องมองมาอย่างเงียบงันขณะที่ดวงตาคู่นั้นกำลังไหวระริกราวกับอัญมณีต้องแสงไฟ





                       "ข้ารู้ และไม่มีวันลืม ข้าจะไม่ลืม...ข้าสัญญา"






                       "...อาโลอิส"






                        "เจ้าเอง..ก็..ช่วยสัญญาด้วยได้ไหม ว่าจะไม่ลืม.."






                        สิ้นคำขอราวกับคำสั่งเสียสุดท้าย ดวงตาของอาโลอิสก็ปิดพับลงด้วยความหวาดหวั่นบางอย่าง และนิ่งไป..ราวกับกำลังรอคอย





                     สัญญา ว่าจะไม่ลืมว่าเคยรักใคร่ เคย..รู้สึกอย่างไรกับหัวใจดวงนี้





                    สัญญา สัญญาได้ไหม แม้มันจะเพียงฝันหนึ่งตื่น แต่สัญญา..ได้โปรดสัญญาว่าความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นมันคือเรื่องจริง







                      แค่เพียงสัญญา เจ้าพูดมา แล้วข้าจะจดจำมันเอง






                     ..หรุบตาลงช้าๆ ขณะที่นิ่งรอคำตอบนั้น ชั่วครู่หนึ่งอาโลอิสนึกตำหนิตนที่พูดอะไรออกมาคล้ายเสียงพึมพำอันโง่เง่า หากแต่ที่สุดก็ยังคงนิ่ง รอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำ





                      ..เพราะตัวเขาอยากรู้..อยากรู้จริงๆ






                      "ได้สิ" จ้องมองดวงตาคู่นั้น และรับคำโดยง่าย ไคลน์สูดหายใจช้าๆ ก่อนจะเอ่ยปาก "ข้าจะไม่มีวันลืม ข้าสัญญา"






                         "ขอบคุณ" ท่ามกลางความเงียบและดวงตาที่จ้องมองมาเงียบๆ ริมฝีปากของอาโลอิสก็ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยามที่จ้องมองมาเงียบๆ




                       "และ..." ไคลน์ยิ้มตอบอีกฝ่าย ตัดสินใจเอ่ยบอกจุดประสงค์ที่ตนเองได้ตามติดและคอยเฝ้าอีกฝ่ายมานับแต่ทำงานเป็นยมทูตให้รู้เสียที "..ข้าอาจจะพูดออกมาช้าเกินไป..และคนอย่างข้าไม่ควรได้รับการยอมรับเสียด้วยซ้ำ เพราะข้าได้ทำร้ายเจ้าไปมากมายเสียเหลือเกิน"






                       ขยับก้าวขาเข้าไปหา เอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายเงียบๆ ขณะที่สบตาคนตรงหน้าอย่างจริงจัง ไคลน์รับรู้ได้ว่ามือของเขาสั่น สั่นระริกยามค่อยกระซิบเอ่ยปากบอก






                          "ไม่รู้ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร จะไว้ใจข้าได้ไหม..จะ ยอมรับที่ข้าพูดอยู่รึเปล่า แต่ตอนนี้..นี่คือความรู้สึกของข้า...ความรู้สึกที่ออกมาจากใจ"




                         "ข้ารักเจ้า อาโลอ......."




++++++++++++++++++++++


ตัดฉับ ตัดให้ขาดเลย ชั้บๆ//ยืมเพลงที่บอกอายุมากกกกก// อะไรเนี่ยยย มันเกิดอะไรขึ้น  คำพูดที่เอ่ยมาท่อนท้ายยยยยย คือ

อะไร ต้องมาลุ้นกันตอนหน้าเเล้วค่ะ เเละนิยายยังเปิดจองอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 02-08-2014 12:37:10
 :z3: :z3: ค้างสุดๆ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 02-08-2014 12:50:41
โอยยยย  บีบ หัวใจดี แท้  ไม มันดาม่างี้ หล่ะ  TT
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: loyal_mook ที่ 02-08-2014 13:16:04
อรั้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ค้างงงงง  :katai1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 02-08-2014 13:58:56
มาต่อไวๆเลยป้า  :ling1: ไม่งั้นหนุจะบอกเซธไปฆ่าป้า หึๆ :hao3:
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 41 : เพียงภาพฝัน UP 3/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 03-08-2014 10:24:54
Lost 41 : เพียงภาพฝัน





           น้ำเสียงที่เอ่ยมานั้นหยุดลงไปด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขณะที่สายลมหนาวโบกพัดอย่างรุนแรง ลมแรงเสียจนขนนกสีดำกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ ปลายนิ้วที่เกาะกุมไว้นั้นเย็นเฉียบยิ่งกว่าทุกครา มันเย็น..เย็นราวกับไร้ชีวิต ขณะที่ร่างตรงหน้าค่อยๆเลือนหาย กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น




            ปลายนิ้วที่เคยเกาะกุมไว้ในมือหายไปเสียแล้ว ร่างที่เคยยืนอยู่ตรงหน้ากลายเป็นเพียงเศษขนนกสีดำที่ปลิวว่อนทั่วทั้งห้องก่อนจะแปรเป็นเศษขี้เถ้าซึ่งปลิวหายไปตามลมที่กรรโชกอย่างรุนแรง ไคลน์ก้มลงจ้องมองฝ่ามือของตนเองที่สั่นไม่หยุดราวกับไม่เชื่อสายตา ภาพสุดท้ายที่ยังจำได้ คือดวงตาสีแดงประกายคู่นั้นสั่นไหวและเบิกกว้างขึ้นด้วยความยินดี




           รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงตราตรึงขณะที่ความจริงไม่เหลือแม้กระทั่งเศษฝุ่นให้ตามหา  สายลมแรงยังคงพัดเสียจนผ่านม่านปลิวไสวไม่หยุด  แต่บัดนี้ ร่างของคนที่เคยอยู่ตรงหน้ากลับหายวับไปเสียแล้ว




          ยืนนิ่งคล้ายกับคนโง่ ลมหายใจหลุดหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับหัวใจที่ราวกับกำลังหยุดเต้น ไคลน์เงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือตนด้วยความงวยงง ก่อนที่ดวงตาจะเบิกขึ้นเมื่อมองเห็นสีขาวที่อยู่เบื้องหน้า




         ร่างในชุดสีขาว อาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ ดวงตาสีท้องฟ้าและเส้นผมสีทองประกาย เทพบุตรผู้งดงาม..คนที่ครั้งหนึ่งตนเคยหลงไหล คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้า สบมองตากลับมาดวงดวงตาที่แดงก่ำและน้ำใสที่เอ่อท้นสองแก้ม




         ริมฝีปากของฟาราสยกขึ้นคล้ายจะยิ้มแม้กำลังร้องไห้  มันขยับเบาๆเป็นคำพูดที่ตราตรึงเข้าไปในหัวใจ




          "สาสมกับที่เขาควรได้รับแล้ว ไคลน์"




+++++++++++++++++++++++++++




       คำพูดของฟาราสยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคิดยามที่ก้าวเท้าเดินไปอย่างเหม่อลอย ฝ่าเท้าย่ำลงบนผืนศิลาสีดำสนิทและทางเดินหินโค้งประดับด้วยคบเพลิงและมีเถากอกุหลาบเบียดแทรกเสียจนแทบไม่มีช่องว่าง และกลิ่นหอมที่อายอวลฟุ้งเต็มทางเดิน




      กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงคนบางคน..และ...สิ่งที่จะไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว




        ไคลน์หรุบตาลงช้าๆ หัวใจหนักอึ้งเกินกว่าจะได้กล่าวอะไรอีก ความรู้สึกคล้ายกำลังถูกบดขยี้ด้วยมือที่มองไม่เห็นยังคงแจ่มชัดและดำเนินอยู่ในทุกคราวของการเคลื่อนไหว ความทรงจำนึกหวนคืนกลับไปยังคำคืนนั้นที่คำบอกรักของตนยังไม่ล่วงพ้นหลุดออกมาจากปาก ขนนกสีดำที่กระจัดกระจาย ร่างที่หายไปไม่เหลือแม้เศษฝุ่นผง และ..ตัวการลงมือ ที่เป็นคนรักของตน




     ...ไม่สิ เป็น"อดีต"คนรัก




      ในวันที่จบภารกิจและเดินออกมาจากใต้ผืนพิภพ หลังจากที่ตนเอ่ยปากขอให้ยอโทษให้กับคนผู้นั้น ฟาราสก็รับรู้แล้วว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป การพุดคุยนั้นไม่มีกระทั่งน้ำตาหรืออาการทุรนทุราย ราวกับว่าฟาราสนั้นรู้ และสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว ว่าหัวใจของเขา..แปรเป็นอื่น





       เมื่ออีกฝ่ายถามด้วยความอยากรู้ เขาก็ยอมรับในที่สุด ใช่..มันเปลี่ยนไป และไคลน์รู้อย่างชัดเจนว่ามันเปลี่ยน..ก็เมื่อรู้ว่าอาโลอิสจะต้องหายไปด้วยคำสัตย์ที่เป็นคนให้ไว้






      เขายอมทุกอย่าง ไคลน์ยอมออกปากอ้อนวอน ต่อรองและทุ่มเทเพื่อไม่ให้อาโลอิสหายไป แค่นั้นก็บอกได้ชัด..หัวใจของตนนั้นมีผู้อื่นอยู่






      ฟาราสไม่ร้องไห้ เทพบุตรผู้งดงามนิ่งฟังด้วยท่าทีสงบนิ่ง จวบจนเขาเอ่ยปากจบลงก็ยังคงเงียบ..ไร้ท่าทีไม่พอใจใดๆทั้งนั้น




      ..และนั่นทำให้ไคลน์รู้สึกเบาใจอย่างยิ่ง





        ไคลน์นั้นวางใจ และดีใจยิ่งนักที่ตนเองสามารถจบเรื่องราวทุกอย่างได้แต่โดยดี  เขามุ่งมั่นไปกับการตามหา คอยเฝ้ามอง คอยดูแลคนๆนั้นแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ เอาแต่ตามหลังเทพบุตรที่ครั้งหนึ่งเคยพร่ำบอกรักตนด้วยน้ำตา ขณะที่นึกโทษตัวเองที่ทำตัวร้ายกาจไปด้วย จนกระทั่งในที่สุด ..ในที่สุดจึงเอ่ยปากบอกความรู้สึกของตนเองออกไป







        ...แต่ใครจะรู้ ว่านั่นคือจุดจบ





     จุดจบที่เกิดขึ้นเพราะตัวเขา ความเห็นแก่ตัว และความลังเล คนที่เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น คนๆนั้นควรโดนประณามและเหยีดหยาม สิ่งเหล่านี้นั้นล้วนถุกต้อง





       ..แต่ มันไม่ควรเกิดเรื่องแบบนั้นกับอาโลอิส






       คนที่เปลี่ยนใจคือเขา คนที่ผิดล้วนเป็นเขา คนสองคนที่ต้องเจ็บปวดเพราะความลังเลและการกระทำที่ไม่แน่นอน คนที่ต้องเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ควรจะโกรธตัวเขา หาใช่มุ่งไปทำลายกัน






       ความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ความผิดที่เปลี่ยนแปลงไป ความผิดที่ทอดทิ้งและละทิ้งหัวใจของฟาราสเพื่อเอื้อมมือไปหาหัวใจของอาโลอิส ชดใช้มาด้วยชีวิตของคนที่ตนเองเพิ่งจะรู้ ว่ารัก รักมากมายเพียงไหน






       รู้ตัวเมื่อสายเกินไป บอกออกไปยามที่ช้าเกิน ช้า...และทำให้คนๆนั้นหายไปตลอดกาล





       ตลอดกาล





      ไม่เหลือแม้กระทั่งเศษฝุ่นหรือเศษหิน ไม่เหลือแม้กระทั่งเสี้ยวของวิญญาณ คนที่ถูกฆ่าซ้ำให้ตายครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สุดก็ต้องหายไปอย่างไม่อาจเอากลับคืนมาได้อีกแล้ว






       ความจริงนั้นทำให้ขอบตาร้อนผ่าว ไคลน์รู้สึกราวกับทุกสิ่งกำลังพังทลาย ..ยามที่เขาเข้าไปคุกเข่าอ้อนวอน ขอให้เจ้านายช่วยเหลือ ขอให้คีเรสหาวิธีช่วย ไม่ว่าต้องทำสิ่งใด ไม่ว่าต้องทำอย่างไรก็ตาม ขอให้ช่วย แบบเดียวกับตอนนั้น..






      ..เขายังคงมีความหวัง หากนำฟาราสกลับคืนมาได้ การนำอาโลอิสกลับมา ย่อมต้องมีทาง





        หากสิ่งที่ได้มีเพียงการถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างจนปัญญา  คนที่หายไปไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาณ จะให้นำกลับมานั้นไม่มีทางเป็นไปได้





       ไม่ต่างกับการลงไปขอร้อง อ้อนวอนต่อผู้เป็นนายของคนๆนั้น แต่เซดิสก็ยังคงส่ายหน้า..ไม่มีทาง และ เป็นไปไม่ได้...ไม่ต่างกันเลย






       ความหวังที่ภินพังไปแล้วทำให้ไคลน์รู้สึกถึงหัวใจที่รวดร้าวของตน  เจ็บปวด แต่ไม่อาจโทษผู้ใดได้นอกจากตนเอง ความรู้สึกผิดที่เข้าถาโถมทั้งกายและใจนั้นมีมากมายเสียจนแทบไม่อาจครองสติไว้ได้ การสูญเสียครั้งนี้นั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าคราวของฟาราสมากนัก





      ได้แต่พึมพำซ้ำๆ ได้แต่ด่าว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นเพราะข้า..เป็นเพราะข้าคนเดียว





      สติยังคงเลื่อนลอยอยู่ยามที่ถูกบอกให้ตามผู้เป็นนายลงไปยังเบื้องล่าง ไคลน์ก้าวเท้าผ่านอุโมงค์หินไปยังโถงทางดินใหญ่ที่ตนเคยคุ้นอีกครั้ง โถงสูงและมีแสงสีทองพาผ่าน บัลลังก์แสนงดงามใดดูราวกับจะไม่อยู่ในความสนใจ ดวงตามองไปอย่างเรียบเฉยด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายกับเซดิสถึงได้บอกให้ลงไปพบ






   ... ทว่าร่างที่แน่นิ่งอยู่บนแผ่นหินกลับทำให้ดวงตาต้องเบิกกว้าง





       "อาโลอิส?" ไคลน์ถามซ้ำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น ร่างที่ถลาเข้าไปหาพร้อมกับจ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตานั้นอยู่ภายใต้การจ้องมองของคีเรสและเซดิส ผู้เป็นนายทั้งสองเหลือบมามองตากันเพียงครู่ ก่อนที่เซดิสจะเป็นผู้เอ่ยปาก





        "อย่าเพิ่งดีใจไป..นั่นเป็นเพียง"ร่าง"ไม่มีอย่างอื่น"





       "หมายความว่าอย่างไร?" ไคลน์เอ่ยถามซ้ำ ขณะที่ประถองอุ้งมือของอาโลอิสมาแนบแก้มด้วยความโหยหาอย่างถึงที่สุด






      "....ร่างของเขา..เอากลับคืนมาได้" เซดิสตอบก่อนจะหันไปยังเบื้องหลัง ที่มีเซธในร่างมนุษย์ ยืนอยู่พร้อมกับฟาราส นั่นทำให้ไคลน์ขมวดคิ้วอีกครา






   ..หรือ จะต้องให้ตนตามไปทำร้ายฟาราส เพื่อนำอาโลอิสคืนมา?





    สังหรณ์ร้ายถึงเรื่องราวที่จะเกิดซ้ำทำให้ตนมีสีหน้าเครียดเคร่ง






        "..เพราะเจ้ามาอ้อนวอน ทั้งข้าและคีเรส เลยนึกสมเพชขึ้นมา" เซดิสเน้นคำว่าสมเพชอย่างจงใจยิ่งพร้อมกับรอยยิ้มร้าย "...เซธก็เลย...ไปขอปีกเล็กๆน้อยๆมาจากฟาราส ให้ข้าคืนร่างอาโลอิส"





        "ปีก?" ไคลน์ถามซ้ำด้วยความไม่เข้าใจ





        "ข้างที่เอาคืนไป  ยังคงมี"บางส่วน"เป็นของอาโลอิสด้วย..เมื่อยังมีอยู่ ข้าจึงนำมาได้ เพราะมันไม่ได้หายไปเป็นฝุ่นเหมือนกับอีกข้าง" เซดิสอธิบายช้าๆ ไม่ได้บอกถึงรายละเอียดว่าตนทำสิ่งใดลงไปซ้ำร้ายยังจงใจพุดให้อีกคนระลึกถึงสาเหตุที่อาโลอิสต้องหายไปอย่างชัดเจน





       “เขา..นึกรู้สึกผิดขึ้นมา เลยยอมให้พวกข้าจัดการ” เซดิสยิ้ม ปรายตามองไปยังฟาราสที่ยืนจ้องมองมาที่ตน วาจานั้นทำให้ไคลน์ขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกว่าท่าทีของฟาราสนั้นมันช่างห่างไกลคำว่า “ยินดี” มากเสียเหลือเกิน





        "...พวกท่านทำอะไรฟาราส" ไคลน์เป็นฝ่ายถามซ้ำ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดยามเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การทำร้ายฟาราสเพื่อนำอาโลอิสคืนมา มันย่อมไม่ควร..การจะต้องเริ่มวัฒจักรที่ให้ทำร้ายคนหนึ่ง เพราะสุฐเสียอีกคนหนึ่งแบบนั้น เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว





      เพราะผู้ผิดที่แท้จริงคือเขา




      ผิดที่ลังเล ผิดที่ไม่แน่ใจ ผิดที่รู้ตัวช้าไป..ผิด ทุกๆอย่าง..




       "ฟาราสยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองทำ จึงยอมช่วยเหลือ เจ้าอย่าได้ถามมากเลย อย่างไรก็ได้อาโลอิสคืนมามิใช่หรือ" เซดิสถาม ขณะที่เซธบีบไหล่ฟาราสซึ่งตัวสั่นน้อยๆเบา เป็นผลให้ร่างนั้นเกร็งเขม็งขึ้นมาทันควัน




       อัปกริยานั้นล้วนไม่พ้นจากสายตาของไคลน์ เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้วแน่น




         "จะอย่างไร ฟาราสก็ไม่ผิด คนที่ผิดคือข้า" ไคลน์เอ่ยปากบอก แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนลงมือสังหารอาโลอิส แต่ทว่าเขาไม่คิดจะนึกสาดความโกรธใส่ฟาราสแม้เพียงนิด การกระทำของฟาราสนั้นเป็นเพียงการทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ขณะที่ผู้ผิดที่แท้จริงเป็นเขา..คนหลายใจนามว่าไคลน์





         ..เป็นคนที่ทำให้อาโลอิสหายไป..คนที่ทำให้เกิดเรื่องราวทุกๆอย่าง




        "ไม่ต้องบอกข้าก็รู้" เซดิสยิ้มรับอย่างเยือกเย็น "คนผิดคือเจ้าไม่ต้องสงสัย ไคลน์ ..ดังนั้น เจ้าจึงได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณของเขามายังไงเล่า"




          "หมายความว่าอย่างไร" ไคลน์ถามเสียงเบาราวกับกระซิบ ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังใจหายวาบ..




          "....เขาหายไปแล้ว หายไป..." เซดิสเอ่ยย้ำพร้อมรอยยิ้ม "หายไปแล้ว จึงไม่มีอีกต่อไป ตรงนี้เป็นเพียงร่างไร้ชีวิต เป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งมอบให้เจ้าผู้โง่งม....ผลลัพท์ของการกระทำทั้งหลาย คือได้กอดเพียงร่างไร้วิญญาณอย่างไรล่ะ"





          สิ้นคำ ร่างของเซดิสก็สะบัดกายเดินหายไปทันควัน ไม่ต่างกับเซธที่นำตัวฟาราสออกไปบ้าง คำพูดนั้นทำให้ไคลน์นิ่งอึ้ง หัวใจที่ระริกไปด้วยความยินดีบัดนี้ราวกับถูกฉีกกระชากและเหยียบซ้ำ เทพบุตรหนุ่มจ้องมองร่างที่ยังคงนิ่งบนแผ่นศิลา ทุกอย่างช่างเหมือนตัวจริง ทั้งเส้นผมสีแดงเข้ม ผิวขาวจัด ใบหน้า ลำคอ จมูก ทุกอย่างล้วนเป็นอาโลอิสทั้งนั้น





        แต่เป็นอาโลอิสที่จะไม่มีวันลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว





       สิ่งที่ได้รับไม่ต่างกับโทษทัณฑ์ของแส้ที่ฟาดมาบนแผ่นหลัง ไคลน์ตัวสั่นระริก พลางกอดร่างไร้วิญญาณนั้นไว้ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ความหวังที่พังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เทพบุตรหนุ่มคล้ายกำลังจะบ้าคลั่งไปทุกที






         การกระทำของเซดิสบ่งชัดว่าชิงชังและรังเกียจที่ตนเป็นคนทำให้เรื่องราวบานปลายเสียขนาดนี้ แต่การลงโทษด้วยการคืนกลับเอาอาโลอิสมาเช่นนี้ ช่างเป็นผลตอบแทนที่ร้ายแรงยิ่งนัก





         หนัก..เสียจนไคลน์รู้สึกแทบจะเป็นบ้า..





       "ไคลน์..." น้ำเสียงของคีเรส ผู้เป็นเจ้านายดังขึ้นก่อนจะถอนหายใจเบาๆ มองสภาพของคนสนิทตนที่บัดนี้ ดูราวกับไร้สติ เอาแต่พร่ำกอดร่างของอาโลอิสผู้นั้นแล้วพึมพำซ้ำๆราวกับคนบ้า






       ...ผู้ที่เป็นบ้าใบ้ ผู้ที่ทุรนทุรายด้วยความสูญเสีย




      ข้อเท็จจริงนั้นทำให้คีเรสถอนหายใจแผ่วเบา ด้วยครั้งหนึ่งที่จำได้ ตนเองก็เคยเป็นเช่นนี้..เฉกเดียวกัน




       ดังนั้น ด้วยความสงสารหรือด้วยบางสิ่ง..เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินล้ำลึกผู้จ้องมองแผ่นหลังที่สั่นระริกนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเอ่ยช้าๆ...




       "เราทำได้เพียงเท่านี้" เสียงของคีเรสดังขึ้นราวกับจะตอกย้ำความรู้สึก "ทุกคนล้วนเสียใจ แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้...อาโลอิสได้จากไปแล้ว จากไปแล้วจริงๆ และการนำร่างของเขาคืนกลับมาให้เจ้า ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด..”




      “ข้ารู้”.ไคลน์พึมพำรับคำแผ่วเบา..แต่เป็นรู้ ที่ไม่ได้ต่างกับไม่รู้เสียเท่าไหร่




          “ข้าและเซดิสเหนื่อยมาก..ในการนำเขากลับมา” คีเรสกล่าวไปถึงผู้ที่เดินออกไปแล้ว แม้ท่าทีของเซดิสจะหงุดหงิดไม่พอใจ แต่ในยามที่ทุ่มเทเพื่อนำเอาร่างของลูกน้องตนคืนกลับ ก็นับว่าน่านับถือยิ่ง




         “ขอบคุณ”




       “แต่การนำร่างคืนกลับมาว่ายากแล้ว ยังไม่เท่ากับวิญญาณ..หากเจ้ายังปล่อยให้อยู่แบบนี้ ไม่นานร่างของเขาจะหายไป.."




      "...อะไรนะ" ไคลน์ชะงัก หลุดจากเสี้ยวคะนึงแห่งความรู้สึกผิดและความทุกข์ใจ เอ่ยปากถามกลับเจ้าของประโยคนั้นราวกับไม่เชื่อหู




       "สิ่งใดไม่มีวิญญาณ สิ่งนั้นย่อมไม่อาจคงอยู่ได้นาน นี่คือกฏ"




      "แล้ว ข้าต้องทำอย่างไร" ไคลน์ถามเสียงเบาราวกับกระซิบ เขาออกแรงกอดรัดร่างในอ้อมแขนแน่น ตั้งมั่นและปฏิญาณในใจ ว่าจะไม่ปล่อยให้คนๆนี้หายไปไหนอีกแล้ว แม้จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณก็ตามที





"เจ้าไม่อาจนำร่างของเขาขึ้นไปยังที่อยู่ของเราได้..เพราะเขาอยู่ในความมืด ย่อมไม่ถูกกับแสงสว่าง แต่เจ้าก็ไม่อาจนำร่างเขาไว้ที่นี่ เพราะร่างของเขาในสภาพนี้ไม่อาจทนต่อข้างใต้พิภพนี้ได้..หากปล่อยเอาไว้เพียงไม่กี่วัน ร่างของเขาก็จะหายไปอย่างที่ข้าบอก" คีเรสเอ่ยช้าๆ




        “แล้วข้าจะต้องทำอย่างไร?”




       "...ยังพอมีทาง นำร่างของเขาไปไว้บนโลกมนุษย์ ให้เลือดของเจ้ากับเขาทุกวัน คงพอจะพยุงร่างนี้ไปได้.."





       "ข้า เข้าใจแล้ว.."



        “.........” คีเรสพยักหน้าช้าๆ หมุนตัวทำท่าจะเดินออกไปเมื่อเสร็จธุระของตน



        “ท่านคีเรส...” เสียงของไคลน์ดังขึ้นเบื้องหลัง กังวานน้ำเสียงดูสงบขึ้น คล้ายกับว่าอีกฝ่ายนั้นสามารถทำใจได้แล้วต่อเรื่องที่เกิด “ไม่มีทาง...ไม่มีทางใดที่จะทำเขากลับมาอีกหรือ”



          คำถาม...ที่ยากยิ่งต่อคำตอบนั้นทำให้คีเรสถอนหายใจ




         “เนิ่นนานมาแล้ว มีตำนานเล่าขาน..ว่ากันว่า...” น้ำเสียงนั้นเรียบสงบ น่าฟังยิ่ง “มีใครคนหนึ่ง กลับออกมาจากอ้อมกอดของพระเจ้า ตามเสียงเรียกหาของคนรัก เขาเฝ้าร้องเรียกทุกวัน...ทุกคืน เพื่อนางจะกลับมา”



           "จากนี้ไป...สิ่งที่พอจะทำได้...คงเป็นเพียงการเฝ้าวอนขอภาวนาให้เขากลับมากระมัง" ครีเรสเอยช้าๆก่อนจะถอนใจ "แต่จงจำไว้ ว่ามันยาก...ยากยิ่งกว่าสิ่งใด จำไว้"



      "..........." ไคลน์พยักหน้าช้าๆ สองแขนสอดขึ้นนำร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน




      “แต่การทำแบบนั้นต้องเป็นศัตรูกับพระผู้เป็นเจ้า แย่งชิงเขาออกมาจากอ้อมแขนของพระองค์..เจ้ายังคิดจะทำหรือ”




     “ข้าจะทำ” ไคลน์รับคำหนักแน่น ดวงตาวาววับ




      “....เช่นนั้นข้าคงไม่อาจห้าม”



      "ขอบคุณมาก..ท่านคีเรส"



     "...ขออย่างให้ทุกอย่างเป็นเพียงภาพฝันก็แล้วกัน ไคลน์"




          สิ้นคำพูดนั้น ร่างของคีเรสก็หายไป ทั่วทั้งโถงใหย่เหลือเพียงความเงียบและเสียงหยดน้ำไหล ขณะที่ไคลน์สูดหายใจลึก จ้องมองร่างที่ไร้วิญญาณในอ้อมแขนตน ดวงตาสีน้ำตาลสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้มขึ้นราวกับตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว ร่างของเทพบุตรหนุ่มหยุดหายลุกขึ้นช้าๆ สะบัดปีกทะยานนำเอาร่างของคนที่ตนรักพาออกไปทันที



++++++++++++++++++





 :katai1:เฮ้ออออ นี่เป็นช่วงกรรมตามสนองสินะคะ ตอนนี้คงต้องรอปาฏิหารย์ซะเเล้วนะ เเต่เรื่องที่ไม่ต้องรอลุ้นปาฏิหาริย์นิยายยังเปิดจองอยู่นะคะ

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 40 : พบพานและจากลา UP 2/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 03-08-2014 13:20:00
 :heaven อรั๊กกกกกกกกกกกก!!! ดาเมจช่างรุนเเรงยิ่ง   ร๊ากกกกกกเรื่องนี้จริงน้าาาา
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 41 : เพียงภาพฝัน UP 3/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 03-08-2014 13:24:08
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด TOT!!! สุปสรรคคคคค
หัวข้อ: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 04-08-2014 07:35:58
   Lost 42 : จรดบันทึก 
   



               ว่ากันว่าเทวดา คือภาพหลอนของปีศาจ..




              ตัวพ่อไม่เคยพบกับเทวดา หรือปีศาจ มาอย่างน้อยก็เกือบทั้งชีวิตที่ตนอาศัยอยู่ในโบสถ์เล็กๆ หลังนี้ โบสถ์ในที่ดินของตระกูลเศรษฐีใหญ่แถบชานเมืองปารีส ที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากสงครามที่มาเยือน และจากไป..ไม่มีเรื่องราวร้ายๆใดเกิดขึ้นกับตัวพ่อ แม้ก่อนจะเริ่มสงคราม จะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นก็ตามที




              พ่อคิดว่าตนเองคงจะอาศัยอยู่ในโบสถ์นี้ไปจนตาย และเริ่มเอาเด็กน้อยคนหนึ่งมาเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม คิดจะสั่งสอนให้เขาเป็นนักบวชเช่นตนเองและคอยสืบทอดโบสถ์แห่งนี้..




              แต่มันก็เกิดบางเรื่อง ที่ทำให้ความคิดของพ่อเปลี่ยนแปลงไป





            ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก พายุแรง สายฟ้าแลบแปลบปลาบไม่หยุด พ่อกำลังดับเทียนในโบสถ์ เพื่อจะเข้านอนตามปกติ  แต่ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปนอน กลับได้ยินเสียงกุกกักที่ประตูอย่างที่ไม่ควรจะมี





             ..หรือจะมีคนเอาเด็กมาทิ้งไว้?




                พ่อคิดแบบนั้น เพราะตามปกติแล้วในคืนที่ฝนตกลมแรงขนาดนี้ ย่อมไม่มีใครจะเข้ามา นอกจากจะมีเด็กที่ไหนเกิดแล้วถูกนำมาทิ้งไว้ เศรษฐกิจหลังสงครามนั้นย่ำแย่ ดังนั้นการเอาลูกมาฝากไว้ที่โบสถ์ย่อมดีกว่าให้ทุกข์ตามพ่อแม่ไป เมื่อคิดเช่นนั้น ตัวพ่อก็รีบเร่งเปิดประตูโดยพลัน



               ..ก่อนจะได้พบสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต..




              "เกิดอะไรขึ้น..." ประตูบานใหญ่เปิดออก พร้อมกับเปลวเทียนที่ไหวพะยาบตามแรงลม เสียงฝนและเสียงฟ้าร้องด้านนอกนั้นดังเสียจนแทบกลบบทสนทนาให้หมดไป หลวงพ่อฌองวัยชราที่ตั้งท่าจะก้มมองพื้นเป็นสิ่งแรกเพื่อเจอทารกตามที่คิดไว้ กลับต้องสะดุ้ง เมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งท่ามกลางสายฝน




              "ขอเข้าไปหน่อย" เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นทำให้ร่างของบาทหลวงชราสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมองภาพเบื้องหน้าอย่างลืมตัว ชายคนหนึ่งที่อยู่หน้าโบสถ์ ถูกสายลมและสายฝนพัดพาเข้าหาเสียจนเปียกโชกไปทั้งตัว เจ้าของใบหน้าที่เคยคุ้นซึ่งครั้งหนึ่งตนเคยพบเจอทำให้นึกเบาใจได้บ้าง หากก็ต้องชะงัก เมื่อมองเห็นบางสิ่งที่บุรุษผู้นั้นอุ้มไว้ในอ้อมแขน




              ร่างในชุดสีดำสนิทของชายหนุ่มอีกคนที่ยังคงหลับไหลแม้อยู่ในสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัว ใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาปิดพับลงและมีผิวขาวจัด เส้นผมสีแดงเข้มดูประหลาดตายิ่งนัก ร่างนั้นถูกประคับประคองไว้อย่างอ่อนโยน ขณะที่หลวงพ่อฌองเปิดบานประตูกว้างขึ้นแล้วดวงตาก็พลันเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของชายหนุ่มผู้นั้น




                 ปีก...




               ปีกสีขาวบริสุทธิ์เช่นเดียวกับอาภรณ์ที่สวมใส่ ปีกที่เรืองรองส่องแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด ปีกที่ดูนุ่มราวกับขนนกและต่อให้เฝ้าพิจารณาอย่างไรก็ไม่อาจเป็นของปลอมไปได้เลย




               คนตรงหน้าดูราวกับเทวดาในพระคัมภีร์กระนั้น..




               "คุณ....." หลวงพ่อฌองถึงแก่พูดอะไรไม่ออก ขณะที่คนตรงหน้ายังคงไม่มีท่าทีจะสนใจใดๆ  ชายหนุ่มผู้นั้นอุ้มเอาร่างชายที่ยังคงสลบไสลวางไว้บนเก้าอี้ม้านั่งตัวยาวก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆ กำมือนั้นมาบีบแน่นแล้วกระซิบเรียกซ้ำเบาๆ ซ้ำไปซ้ำมา



   
                "...ช่วยมอบที่นี่เป็นที่พักพิงแก่เราด้วย" หลังจากนิ่งเงียบไปนาน ไคลน์ก็เอ่ยขึ้นมาเงียบๆพลางจ้องมองบาทหลวงชราเบื้องหน้า มือของเขายังคงกุมมือของอาโลอิสไว้ ขณะที่หลวงพ่อฌองนิ่งอึ้ง มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง



                "...นี่มัน...อะไรกัน..." น้ำเสียงนั้นเบาราวกับกระซิบ "พระผู้เป็นเจ้า.."




               "เรามาขอที่อยู่ ผมหวังว่าคุณจะยอมตกลง"ไคลน์มองบาทหลวงตรงหน้าที่พร่ำหาพระเจ้าและเริ่มคุกเข่าสวดอ้อนวอนเบาๆ สีหน้าของชายหนุ่มแฝงแววเจ็บปวดอย่างปิดไม่มิดเมื่อมองไปยังคนที่ตนรัก



              "อาโลอิส..." กระซิบเรียกชื่อแผ่วเบาทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ไคลน์เอนหน้าผากซบกับหน้าผากอีกฝ่าย พึมพำชื่อนั้นไม่หยุด



              "คุณ ต้องการอะไร..." นานกว่านาน หลวงพ่อฌองจึงหันมาอีกครั้ง สีหน้านั้นยังคงดูราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น



           "....นั่น...ปีก..เทวดา..ทูตสวรรค์..อย่างนั้นหรือ?"



              "....ถูก..แต่ไม่ใช่ทูตสวรรค์หรอก" ไคลน์รับคำ ยอมเผยความลับตนแก่มนุษย์ง่ายๆ ด้วยว่าตอนนี้มีสิ่งที่ตนเองต้องการกว่า ริมฝีปากของชายหนุ่มคล้ายจะยิ้มออกมาอย่างขื่นขมขณะที่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของพระคริสต์เบื้องหลังแท่นบูชา



              "ข้าเป็นเพียงเทวดา..ที่กำลังจะแย่งชิงสิ่งสำคัญจากพระผู้เป็นเจ้า"




              ...จะแย่งเอาเขากลับคืนมา จะนำเอาอาโลอิสคืนสู่อ้อมอก จะทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางเพื่อให้เขากลับมาเป็นของข้า




               พระเจ้า..พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดส่งเขาคืนกลับมาด้วยเถิด..



              ถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะหันไปยังหลวงพ่อฌองที่ทั้งพิศวงและงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งนัก ขณะที่ไคลน์ยกปลายนิ้วขึ้น ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังบานประตูและสั่งให้มันปิดลงอย่างรวดเร็วเสียจนหลวงพ่อฌองสะดุ้ง ก่อนจะจ้องมองมาเขม็ง




               ความทรงจำไม่ได้หลอกลวงถึงขั้นจำไม่ได้ ว่าคนๆนี้เคยมาที่นี่กับ ใคร..



               ชายหนุ่มที่มีใบหน้าประพิมประพายคล้ายเหมือนบุตรของเจ้าของที่ดินแห่งนี้ และเป็นคนเดียวกับที่เคยมีข่าวฆ่าตัวตายที่ริมฝั่งทะเลสาบอีกฟากของที่นี่



                ..แล้วในยามนี้




                 "ในยามนี้ผมเป็นเพียง..ผู้ที่ต้องการจะปกป้องสิ่งที่ตนเองรักด้วยทุกสิ่งที่มีเท่านั้น.." เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นราวกับรู้ในสิ่งที่ตนคิดทำให้ร่างของหลวงพ่อฌองสะดุ้งโหยง ก่อนจะมองภาพตรงหน้าด้วยความงวยงง  เมื่อชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังทำพิธีบางอย่างที่แสนน่าประหลาดสำหรับตนเองนัก




                  ปะรัมสำหรับเอ่ยคำสอนถูกเลื่อนออกแล้วแทนที่ด้วยสิ่งก่อสร้างคล้ายโลงหินที่ด้านในบุด้วยกำมะหยี่สีแดงเข้ม หินสีเข้มทึบทึมหากแต่ก็เงาวับราวกับกระจกใส ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงเมื่อปลายนิ้วของชายผู้นั้นเตะลงไป ก่อนที่ร่างนั้นจะตรงไปอุ้มเอาคนที่ยังคงหลับสนิทมาวางไว้ในโลงหิน



 
                 ..นั่นมันคนตายมิใช่หรือ?




                 เสียงในใจของหลวงพ่อฌองดังขึ้นอย่างพรึ่นพรึงเมื่อมองใบหน้าซีดขาวราวกับจะไม่มีสีเลือดนั้น



                 "เขาจะกลับมา.." ไคลน์ตอบเสียงเบา หากเสียงนั้นราวกับบอกตัวเองเสียมากกว่า ใบหน้าคมก้มมองร่างในโลงหินก่อนจะบรรจงหยิบมีดสั้นมาเชือดแขนตนเอง ป้อนโลหิตของตนลงไปยังริมฝีปากขาวซีดนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายกลับมามีชีวิตอีกครา




                 "ที่บอกว่าจะแย่งชิง..."หลวงพ่อฌองเอ่ยเสียงเบา ขณะที่ดวงตาจ้องมองภาพเบื้องหน้า




                 ไคลน์ยิ้ม "ใช่"




                ....จะแย่งชิงวิญญาณของคนตายกับพระเจ้า




                 ไม่ว่าอย่างไรก็จะเอากลับคืนมา




                 "มันไม่มีทางเป็นไปได้.." หลวงพ่อฌองเอ่ยช้าๆ ท่าทีราวกับกำลังไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังสนทนากับใคร..หรือสิ่งใดอยู่ "ลูกเอ๋ย มันจะเป็นบาป พระเจ้าทรงไม่อนุญ--"



                "ข้าจะขอรับมันไว้แต่เพียงผู้เดียว" ไคลน์ตอบด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง ก่อนจะจ้องมองสบตาคนพูด




                "...." หลวงพ่อฌองไม่อาจเอ่ยคำใดได้ นอกจากจะถอนหายใจเพียงแผ่วเบา




               ฟ้าแลบแปลบปลาบ ขณะที่หลวงพ่อวัยชราลุกขึ้นไปจุดเทียนให้ภายในโบสถ์สว่างไสว เสียงฟ้าร้องยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่บทสนทนาแปลกประหลาดหยุดชะงักลงเพียงเท่านั้น ร่างของเทพบุตรหนุ่มค่อยสะบัดปีกสีขาวให้จางหายไปก่อนจะนั่งลงช้าๆเคียงกับโลงหิน ขณะที่เสียงร้องสวดหาพระเจ้าของหลวงพ่อฌองก็ดังขึ้นเบื้องหลัง




                "...มีไหม" เสียงถามแถทรกเข้ามาในภวังค์ทำให้หลวงพ่อฌองที่กำลังจดจ่อพึมพำคำสวดอยู่พลันชะงัก




               "อะไร..หรือ" คำถามมาพร้อมกับความหนาวยะเยือกในใจ เมื่อสำนึกได้ว่าตนนั้นกำลังมอบที่พักพิงให้...สิ่งที่ไม่ปรกติ
       แม้จะเป็นผู้ที่มีปีกสีขาวและเป็นดั่งตัวแทนของพระเจ้า




               ...แต่คนๆนี้ก็เอ่ยปากบอกกล่าว จะต่อต้านพระเจ้า..เช่นเดียวกัน





                 "ดอกกุหลาบ" น้ำเสียงนั้นแผ่วเบายิ่ง พลางไร้ผิวแก้มคนในโลงหินเบาๆ "ดอกกุหลาบสีแดงสด..มาปลูกไว้นะ.."




                  "ทำไมกันรึ?" บาทหลวงชราเอ่ยพลางขมวดคิ้วเข้าหากันเงียบๆ




                "......." ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของไคลน์ เจ้าตัวยังคงจดจ่ออยู่กับใบหน้าของผู้ที่อยู่ในโลงหิน ขณะที่หลวงพ่อฌองนิ่งอึ้งอยู่กับคำขอนั้นพลางเงียบไปครู่ใหญ่



               "ได้.." ที่สุดแล้ว หลวงพ่อฌองก็รับคำเสียงเบา




                   "ขอบคุณ" ไคลน์เอ่ยปากขอบใจเบาๆ พลางบีบฝ่ามือของอาโลอิสเงียบๆ




                   "ไม่เป็นไร แล้ว...." อยากถามว่าต้องการอะไรอีกหรือไม่ แต่เสียงนั้นก็ไม่อาจหลุดรอดจากริมฝีปาก




                    "ผม...ขออยู่กับเขาสองคน" นิ่งไปนาน คำขอนั้นก็ดังขึ้น วาจานั้นราวกับคำอนุญาตที่ทำให้ไคลน์ออกปาก สิ้นคำพูดนั้นร่างของบาทหลวงเฒ่าก็หลบฉากออกไปยังด้านข้างโบสถ์ซึ่งมีทางเชื่อมนำไปสู่ที่พักด้านหลัง ปล่อยให้ไคลน์ยังคงนิ่งจมจ่ออยู่กับร่างของอาโลอิสเงียบๆ




                    ปลายนิ้วไล้แก้มขาวที่เย็นชืดเบาๆ ขณะที่ลมหายใจสั่นสะท้าน ไคลน์สูดหายใจลึก พลางเม้มปากเข้าหากันเงียบๆ
            นิ่งไปเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยคำ..



                     "เจ้าจะโกรธข้าไหม...อาโลอิส"




                      "........" ไม่มีคำพูดใดออกมาจากคนที่ไม่อาจลืมตาได้อีกแล้ว และฝ่ามือที่ไล้ผิวแก้มนั้นเริ่มสั่น




                      "พรากเจ้าออกมา..พาเจ้าออกมาจากอ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้า..ข้ากำลังพยายาม พยายามทำให้เจ้าต้องปวดร้าวอีกครา.."




                       "...หากจะโกรธคือง จะเคียดเเค้นข้าก็จงทำ..แต่เจ้าได้โปรดกลับมา กลับมาเถิด..กลับมาที่นี่"




                     ...ไม่ต้องรักข้า ไม่ต้องเป็นของข้าก็ได้




                      ขอเพียงกลับมา กลับมาให้ข้าได้..รัก





                  "เจ้าชอบที่นี่ใช่ไหม..ข้าจำได้" ริมฝีปากหนาเอ่ยแผ่วเบา ขณะที่จรดปลายจมูกลงกับผิวแก้มใส "...ทะเลสาบที่ใสราวกับกระจก  โบสถ์สีขาวเล็กๆมีเนินเขียวชอุ่ม...ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบมัน..ชอบมาก"




                   "อยู่ที่นี่ เจ้าคงพอใจใช่ไหม หากนอนจนเบือหน่ายขึ้นมาเมื่อไหร่..ได้โปรด กลับมาหาข้าเถิดนะ"




                       หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากผิวแก้มไปยังปลายนิ้วขาวจัด น้ำตาอุ่นร้อนหากแต่ก็ไม่อาจคืนชีวิตหรือสิ่งใดให้กับผู้ที่หลับตาลงไปได้อีกแล้ว ไคลน์เอ่ยปากพึมพำซ้ำๆ เอ่ยเรียกชื่ออาโลอิสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังคุยราวกับเจ้าตัวมีชีวิต ทำทุกอย่าง ทว่าก็รู้ดีแก่ใจ...อาโลอิสไม่ได้กลับคืนมา





                       เสียงคร่ำครวญโหยไห้ดังขึ้นท่ามกลางเสียงของฟ้าฝนและสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ ร่างที่สั่นไหวของเทพบุตรในชุดสีขาวบริสุทธิ์ผู้เอ่ยปากประกาศจะแย่งชิงวิญญาณของคนที่ตนรักจากพระผู้เป็นเจ้า ยังคงร้องไห้คร่ำครวญราวกับใจสลาย ร่างที่สั่นระริกนั้นทรุดลงอย่างสิ้นท่าและหมดทางไป เฉกเช่นเดียวกับหัวใจที่ถูกรายล้อมด้วยความเจ็บปวดอันยากเกินจะบรรเทา




                        เปลวเทียนดับลงไปเมื่อไส้ของมันหมดลงจนภายในโบสถ์เล็กเหลือเพียงความมืดมิด ร่างของไคลน์ยังคงซบลงกับโลงหินเงียบๆ ซึมซับความเจ็บปวดและสูญเสียอันยากจะทำใจ เขายังคงน้ำตาไหล ขณะที่ร่างของคนที่หลับสนิทยังมีเพียงความเงียบงัน แม้สีสันของผิวแก้มจะมีมากขึ้นยามได้ลิ้มชิมรสเลือดที่ให้มาก็ตาม ขณะที่เส้นผมสีแดงเข้มค่อยยาวขึ้นเล็กน้อย ราวกับพอใจที่ได้พลังเพิ่มขึ้น




                     ..ยังคงมีชีวิต 



 
                    เสียงฟ้ากัมปนาทยังดังอยู่เบื้องหลังยามที่ร่างในชุดบาทหลวงสีดำสนิทก้าวเข้าไปในอาคารที่พักของตน เสียงกุกกักดังขึ้นยามที่เอื้อมมือไปยังสมุดบันทึกเล่มหนา หลวงพ่อฌองเดินเข้าไปในห้องนอน ขณะที่หยิบปากกามาเขียนบันทึกด้วยฝ่ามือที่สั่นระริก..




                   มองฝ่ามือตนเอง อดจะกำแน่นไม่ได้ราวกับจะบอกว่านี่ไม่ใช่ฝัน ขณะที่เอื้อมมือกำไม้กางเขนเงินบนอก และจรดปากกาลงไปอย่างรวดเร็ว..




                   ตัวพ่อเองก็ไม่รู้ว่าเขาคืออะไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นดีหรือไม่ อาจจะเป็นภาพหลอน อาจจะเป็นร่างแปลงของปีศาจหรือสิ่งใด เขาผู้เอ่ยปากบอกว่าจะแย่งชิงของสำคัญของตนคืน เทวดาที่เอ่ยปากว่าจะแย่งของๆพระเจ้า




                   ...มันจะเหมือนเทวทูตลูซิเฟอร์ที่ก่อกบฏต่อสรวงสวรรค์หรือไม่?





                    พ่อคิดเช่นนั้นด้วยความตระหนก แต่เมื่อมองเห็นแววตาของเขาที่กำลังจ้องมองร่างที่หลับไหลนั้นแล้ว กลับเอ่ยปากอนุญาตไปโดยไม่รู้ตัว





                   แววตาคู่นั้นทำให้พ่อตระหนักถึงมันได้..แววตาของผู้ที่มีแต่ความรัก






                   รุ่นเช้าในวันที่อากาศสดใส พ่อได้มอบเอาต้นอ่อนของกุหลาบให้แก่เขา และจ้องมองเขาที่"ปลูก"กุหลาบนั้นไว้ในโลงหินอย่างงวยงง ยอดอ่อนสีเขียวที่แทงใบขึ้นมาเป็นต้นกล้าเล็กๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นความหวังที่ไม่มีวันดับสลาย





                    ทุกวันเขาจะออกไป และกลับมาในยามค่ำคืนเพื่ออยู่ร่วมกับร่างนั้น ร่างที่ไม่เน่าเปื่อยแม้เจ้าของจะไร้ลมหายใจ ร่างที่ยังคงเอาแต่ประสานมือแล้วหลับตาลงราวกับจะไม่ตื่นขึ้นมาชั่วนิรันดร์





                   ผ่านไปฤดูแล้วฤดูเล่า จวบจนต้นกุหลาบผลิดอกออกใบและตัวพ่อที่แก่ชราไปตามวันเวลา มีเพียงเขา และร่างในโลงหินนั้นที่ราวกับเวลาจะถูกผนึกไว้ บางครั้งบางคราว พ่อได้ยินเสียงสะอื้นคล้ายกำลังร่ำไห้ เสียงที่ครวญครางด้วยความเจ็บปวดเหลือคณานับ





                    จวบจนสายตาฝ้าฟางและร่างกายโรยรา ตัวพ่อในวันหนึ่งได้ถาม "เขา" ที่ให้เรียกตนว่าไคลน์ ด้วยความข้องใจยิ่งนัก




                    "อะไรคือการ..กลับมา ของท่าน?"




                      ดวงตาคู่นั้นหันมามอง ละสายตาจากร่างในโลงหิน เอ่ยตอบด้วยท่าทีจริงจัง "เมื่อเขากลับมา ย่อมจะรู้เอง"





                       "หากไม่กลับมาเล่า จะทำเช่นไร" คำถามของพ่อทำให้เขามีสีหน้าสลดไปครู่หนึ่ง ตัวพ่อไม่เคยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งกับคนที่กำลังหลับไหล และตัวเขา แม้จะทราบบ้าง ในบางคราจากเสียงคร่ำครวญนั้นว่าเกิดจาก"ความผิด"บางอย่างก็ตาม





                     ..เทพเทวดาก็ทำความผิดได้ด้วยรึ?




                     ตัวพ่อรู้สึกข้องใจยิ่งนัก





                     แต่กระนั้น การไต่ถามเรื่องราวของเทพ..ก็ดูจะไม่ได้รับคำตอบ




                     "เขา...จะต้องกลับมา ในสักวัน" คำตอบของคำถามนั้นแม้เศร้าสร้อยหากแต่ก็มุ่งมั่น พ่อละออกจากภวังค์พร้อมกับหันไปจ้องมองเขาเงียบๆ




                    "หากไม่กลับมา ผมก็เพียงแต่..รออยู่ ตลอดไป"




                       ...ตลอดกาล




                    เสียงกระซิบนั้นดังขึ้นในใจแผ่วเบา บ่งบอกให้เห็นถึงความตั้งใจอันไม่มีวันคลายลง





                       เมื่อยามที่เขียนบันทึกเล่มนี้ ทุกอย่างยังคงไม่เปลี่ยนไป มีเพียงกุหลาบที่แย้มบานชูช่อสะพรั่งและส่งเสียงวิงวอนต่อพระเจ้า บางคืน พ่อได้ขอวิงวอนแทนเขา หวังเพียงว่าพระผู้เป็นเจ้าจะประทาน"เขา" คืนมาให้กับคนผู้นั้น..ในสักวัน





                    สักวันที่ดอกกุหลาบแย้มบานสะพรั่ง สักวันที่ดวงตาคู่นั้นจะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง สักวัน..






                     ที่จะไม่เป็นเพียงภาพฝันอีกต่อไป..




+++++++++++++++++++++++++



อ๊าาาาาาาา...เศร้ารันทดเหลือเกินค่าาาาา  ปวดใจทะลุตับกันเลย ปาฏิหาริย์ช่างริบหรี่เหลือเกิน ต้องร้องาฏิหาริย์ไม่มีจริงรึเปล่าเนี่ย//นี่ก็เพลงบ่งบอกอายุมาก-_-//


มาลุ้นกันกับตอนต่อไปตอนสุดท้ายของเรื่องนะคะ"บทส่งท้าย" ในตอนหน้าค่ะ จบเเล้ว


เเละหนังสือเปิดจองอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 04-08-2014 10:17:50
ชอกช้ำ ฮืออออ อ่านแล้วบีบหัวใจ สงสารอาโลอิส อยากให้ฟื้นเร็ว แต่อีกใจก็อยากให้ไคลน์ทรมานนานๆ
ปล.ฟาราสหายไปไหนเนี้ย ร้องไห้จนน้ำตาท่วมสวรรค์ไปแล้วมั้ง  :hao5:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 04-08-2014 10:46:58
 :ling1: :ling1: :ling1:

อาโลอิสตื่นขึ้นเถอะสงสารไคลน์แล้ว
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 04-08-2014 11:44:34
ฮือออออออ น้ำตาจะไหล กำลังอ่านนิยายเศร้าอยู่ใช่ไหมคะเนี่ยงื้ออออ
หวังว่าตอนสุดท้ายจะมีปาฏิหาริย์ อยากให้จบแบบมีความสุขจังเลยค่ะ  :o12:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 04-08-2014 22:15:17
เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่น้ำตาก็ยังไหลปานเขื่อน   :hao5: 


หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: loyal_mook ที่ 04-08-2014 22:43:13
สงสารทุกคนเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *Lost 42 : จรดบันทึก UP 4/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 04-08-2014 23:07:13
อาโลอี๊สสสสสสสสสสสสสสส   :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: LOST ANGEL *บทส่งท้าย UP 5/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 05-08-2014 07:30:07
บทส่งท้าย






                  ดอกกุหลาบสีแดงเข้มเกาะระเกะระกะทั่วผนังโบสถ์ลามไปจนถึงพื้น ภาพชวนแปลกตาของพันธุ์ไม้เลื้อยที่ออกดอกบานสะพรั่งในฤดูหนาวทำให้สายตาของเหล่าชาวบ้านที่มาสวดภาวนาในโบสถ์มองอย่างสนอกสนใจ กลิ่นกุหลาบหอมยังคงอายอวลขณะที่เสียงของหลวงพ่อวัยกลางคนเอ่ยปากบอกคำสอนในเช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดใส บนปะรัมพิธีมีแท่นหินสีดำขนาดใหญ่ให้กุหลาบกอใหญ่นั้นเกาะเกี่ยว นัยยะว่าเป็นที่หยั่งรากของมันนั่นเอง แต่ตรงไหนที่จะเป็นลำตนจริงๆกลับไม่มีใครรู้




                 สิ้นคำสอนคือเวลาพูดคุยและร่วมดื่มน้ำชายามบ่าย หลวงพ่อชาร์ล เลเออลอง วัยสี่สิบเศษหันไปเอ่ยปากเตือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตาคุ้ยเถากุหลาบไม่ไกลจากนั้น สักพักร่างของเด็กน้อยวัยสิบขวบก็ร้องจ้า วิ่งออกมาเพราะถูกหนามกุหลาบตำ ทำให้คนฟังต้องส่ายหน้า





                "ตายจริง..ขอโทษนะคะ ซนจนได้เรื่องเลย" หญิงสาวที่เป็นผู้ปกครองเอ่ยพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้ามาทำแผลและปลอบบุตรชายให้หยุดร้อง




                "ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงกุหลาบก็หนามเยอะพอควรเลยทีเดียว" หลวงพ่อชาร์ลเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่น





                 "แต่ก็สวยนะคะ เอ..หลวงพ่อไม่คิดจะตัดมันหรือคะ?" หญิงสาวเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ด้วยเถากุหลาบนั้นยาวเลื้อยไปเสียจนถึงผนังโบสถ์





                 "กุหลาบไม่ใช่ผมปลูก คงตัดไม่ได้น่ะ" หลวงพ่อชาร์ลหัวเราะเบาๆ





                 "อ้าว งั้นหรือคะ ดิฉันเห็นว่าปลูกมานมนานแล้ว นึกว่าอยู่คู่กับโบสถ์ซะอีกค่ะ" หญิงสาวผู้นั้นเอยก่อนจะอุทานเมื่อเสียงเรียกของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น "ตายล่ะ ถึงเวลาแล้ว ขอตัวนะคะ"





                  "แล้วพบกันใหม่วันอาทิตย์ครับ"






                    "แล้วพบกันใหม่ค่ะ"





                  เดินออกไปส่งที่หน้าโบสถ์พลางโบกมือให้กับสองแม่ลูกช้าๆ ร่างของหลวงพ่อชาร์ลยืนส่งอยู่จนกระทั่งทั้งสองลับสายตา ก่อนจะหันกลับมาเดินเข้าไปในโบสถ์





                  ร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาที่สวมชุดลำลองสีขาวแปลกตายืนอยู่ในโบสถ์ก่อนแล้ว เขายืนอยู่หน้าแท่นหิน เท้าเหยียบลงบนเถากุหลาบแต่ไร้ท่าทีเจ็บปวดใดๆ ปลายนิ้วของชายผู้นั้นเอื้อมไปสัมผัสบางสิ่งที่อยู่ภายในโลงหินนั้นเงียบๆขณะที่ฝาครอบขนาดใหญ่ที่ปิดไว้ไม่ให้ผู้คนมองเห็นหายไปเมื่อใดก็ไม่อาจรู้





                   "คุณไคลน์" หลวงพ่อชาร์ลเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อม แม้จะดูจากลักษณะภายนอกแล้วตนจะมีอายุมากกว่าโข "มาแล้วเหรอครับ?"





                   "อืม..."ไคลน์พยักหน้ารับ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันมามองเงียบๆ "เหมือนฉันจะทำให้เธอลำบาก"





                     ผู้ฟังส่ายหน้า "เปล่าเลยครับ ปกติดี เป็นคำถามที่มักจะถูกถามอยู่เรื่อยๆมากกว่า"





                    "แต่ฉันยืนยันจะไม่ตัด นั่นคงทำให้เธอต้องลำบากอธิบาย" ปลายนิ้วสีขาวไล้กลีบกุหลาบ ก่อนจะวกไปยังเส้นผมสีแดงเข้มแล้วนำมาจรดปลายจมูกเบาๆ




                   "ผมเข้าใจ"




                    "กุหลาบโตขึ้นมาก..ผมของเขาก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ" ไคลน์พึมพำคล้ายพูดกับตัวเองก่อนจะยิ้ม "นั่นเป็นเรื่องที่ดีนะ...เด็กน้อย"





                 "ผมโตแล้วนะครับ.." หลวงพ่อชาร์ลโคลงศีรษะ เอ่ยอธิบายอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าคนฟังนั้นยากจะเข้าใจ




                  "นั่นสินะ...." ไคลน์หันไปมองคนพูดก่อนจะยิ้ม "กี่ปีแล้ว...ตั้งแต่ฌองเป็นต้นมา..ห้าสิบ..หกสิบ รึเจ็ดสิบปี.."




                  "เจ็ดสิบครับ" หลวงพ่อชาร์ลเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองไปรอบๆโบสถ์ "นานจนผมคิดว่า..ควรหาเวลารับเลี้ยงเด็กอีกสักคนแล้ว"





                   "นานสินะ" แววตาของชายผู้เอ่ยคำนั้นแลดูเจ็บปวดเล็กน้อยยามก้มลงมองร่างในโลงหิน ฝ่ามือยกปลายนิ้วเรียวสีขาวจัดขึ้นมาจูบเบาๆก่อนที่น้ำเสียงแผ่วเบานั้นจะเอ่ยขึ้น "นานมากแล้วนะ...อาโลอิส"





                    "....." หลวงพ่อชาร์ลไม่พูดอะไรนอกจากหรุบตาลงแล้วเดินออกไปจากโบสถ์ เขาปิดงับบานประตูลงช้าๆ ขณะที่ก้าวเท้าออกไปดูแลพืชพรรณที่ตนปลูกไว้หน้าบ้าน ขณะที่สายลมพัดเข้ามาแรงอีกนิด ทำให้หน้ากระดาษบันทึกของหลวงพ่อฌอง..บาทหลวงคนก่อนที่ตนหยิบยืมมาอ่านปลิวไปตามสายลม





                   หยิบมันวางพร้อมกับนำหินไปทับขณะที่ใคร่ครวญถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเงียบๆ สิ่งที่ตนเองอ่านจากบันทึกของหลวงพ่อฌองดูคล้ายกับสิ่งที่ตนมองเห็นยามนี้ไม่น้อย ชายหนุ่มที่ไม่มีวันแก่ ร่างที่ไม่มีลมหายใจแต่ก็ไม่ย่อยสลาย กุหลาบที่เกาะโลงหินและเจริญเติบโตต่อไปไม่หยุด




                  ..ผ่านมาหลายสิบปี มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น





                   จากยามเล็กที่ตนถูกเรียกว่าเด็กน้อยกระทั่งเติบใหญ่ ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยนไป..





                 ประตูโบสถ์เปิดออกอีกครั้งก่อนที่ร่างของไคลน์จะเดินออกมา หลวงพ่อชาร์ลละจากงานในมือพลางเดินเข้าไปสมทบอีกฝ่าย ไม่นานร่างนั้นก็เอ่ยปากขอตัวออกไป บาทหลวงจึงเปิดประตูโบสถ์อีกครา ขณะที่กลิ่นหอมกุหลาบกำจายไปทั่ว





                ด้วยความสงสัยจึงเดินก้มลงไปมองเงียบๆ ปลายนิ้วแตะเข้าตรงกอกุหลาบก่อนจะชะโงกหน้าลงไปหา หลวงพ่อชาร์ลจ้องมองมันเงียบๆก่อนจะผละออกมาแล้วจุดเทียนในโบสถ์ให้สว่างไสวอีกครั้งแม้ในเวลากลางวัน





                 ขณะที่เบื้องหลัง เถากุหลาบขยับไหวช้าๆ สายลมแรงพัดโชยเข้ามาก่อนที่ดวงตาสีแดงประกายจะเปิดออกในที่สุด..





      +++++++++++++++





              สุสานที่ร้างไร้ผู้คนดูน่าหวาดกลัวแม้ในยามกลางวันที่ดวงอาทิตย์สาดแสง ขณะที่ร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ไร้ใบเงียบๆ ลำต้นซึ่งแห้งตายและกลายเป็นเพียงซากไม้ของมันชวนให้ระลึกถึงบางสิ่ง ดวงตาสีแดงประกายกระพริบมองขนาดของสุสานใหญ่ช้าๆ ก่อนจะเดินไปยังโดมขนาดใหญ่ตรงกลาง ที่ๆถูกเขียนไว้ว่าเป็นสุสานของคนๆหนึ่ง





                    มองป้ายสลักหลุมศพของชายซึ่งตนเคยรู้จักดีผู้หนึ่ง บุตรชายของมาร์ควิสแชร์ซองผู้เป็นเจ้าของสุสานและที่ดินผืนใหญ่ ป้ายบอกวันเวลารื้อและบ่งบอกว่าเจ้าของคือบริษัทอลังหาริมทรัพย์รายใหญ่ถูกแปะไว้ด้านหน้าสุสาน เวลาที่ผันผ่านทำให้โดยรอบไม่ใช่เนินทุ่งกว้างไร้ผู้คนอีกแล้ว  ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เช่นเดียวกับอีกฝั่งของโบสถ์ที่กลายเป็นที่อยู่ของคน แม้จะยังคงหนองน้ำใหญ่ไว้ก็ตาม





                   ความเปลี่ยนแปลงมากมายทำให้ดวงตาของผู้มองกระพริบช้าๆ ยกมือขึ้นมองราวกับจะยังไม่ชินกับสภาพร่างกายของตนเองมากนัก ขณะที่สายลมแรงพัดมาด้านหลังเสียจนเส้นผมสีแดงที่ยาวจรดปลายเท้าถูกลมตีเสียจนยุ่งเหยิง





                   "ระวังหน่อยสิ ข้าบอกว่าออกมาแล้วให้เรียกด้วย..เดี๋ยวจะหลง" เสียงทักทายเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับปลายนิ้วที่เอื้อมมือมารวบเส้นผมยาวไว้แล้วมัดรวบให้อย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว





                    "ขอโทษ" พึมพำรับเบาๆ มองร่างของคนที่ตนแสนคุ้นตายืนอยู่เคียงข้าง อาโลอิสสบตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววอุ่นหวาน ก่อนจะกลับไปมองยังสุสานขนาดใหญ่นั้นอีกครา




                     "...พรุ่งนี้มันจะถูกรื้อถอนแล้ว.."ไคลน์มองตามสายตานั้นและพอรู้ได้ "เสียดายหรือ..รึว่าไม่ชอบ"





                    "...ข้าเพียงแต่คิดอะไรบางอย่าง" พึมพำตอบเสียงแผ่วเบา ขณะที่หมุนตัวเดินลงจากเนินสูง





                    "ข้ารู้ได้รึเปล่า?" ไคลน์เอ่ยถาม ก้าวขาเดินไปข้างๆอย่างไม่เร่งร้อน





                     "ได้สิ" อมยิ้ม "เพียงแต่เจ้าบอกว่าอยากได้ยิน เพราะข้าคือสมบัติของเจ้า"





                     "อาโลอิส.."ผู้ฟังนิ่วหน้านิดๆแล้วเอื้อมมือไปบีบมือคนพูดเบาๆ "อย่าพูดแบบนั้นสิ...ข้าไม่ได้ต้องการแบบนั้นเสียหน่อย"





                       คนถูกบีบมือชะงักเล็กน้อย สบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแวววอนเว้า ความนัยน์จากดวงตาคู่นั้นทำให้คนมองอมยิ้มก่อนจะยอมถูกดึงไปอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่ายแต่โดยดีแล้วเอนกายพิงเงียบๆ





                     "ถ้าอย่างนั้น..."อาโลอิสนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยกลัวว่าตนเองจะพูดจาบาดหูอีกฝ่ายอีกก่อนจะยิ้ม "...ข้า..กลับมาเพราะเสียงของเจ้า"





                     "น่าฟังมาก" ไคลน์อมยิ้ม





                     "ข้ากลับมาเพราะอยากอยู่กับเจ้า"





                      "ไพเราะที่สุด"





                       "ข้ากลับมาเพราะ..." ผู้พูดนิ่งไปครู่หนึ่งขณะที่หน้าขึ้นสีจาง ดวงตามองปลายนิ้วของตนที่ถูกไคลน์จับไว้แล้วอมยิ้ม "...ข้ารักเจ้า"






                       ผู้ฟังชะงักไปครู่หนึ่งอย่างไม่เชื่อหู ก่อนที่จะยิ้มกว้าง





                       "ข้าก็เช่นกัน" ไคลน์ตอบรับมันอย่างยินดีก่อนจะจูบริมฝีปากบางเบาๆอย่างหยอกเย้า "..ในที่สุด ก็สามารถพูดคำนี้ได้จบเสียที"





                      ถ้อยคำนั้นทำให้คนฟังนิ่งไปก่อนจะหรุบตาลงช้าๆ ปลายนิ้วแตะท่อนแขนอีกฝ่ายเบาๆ





                      "ไปเสียนานเลย...ข้าขอโทษ"





                       "ไม่เป็นไร แค่เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว" ตอบรับ พร้อมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น "ถ้ารู้สึกผิด อย่าไปไหนโดยไม่มีข้าอีก สัญญาไหม"





                      "สัญญา" อาโลอิสยิ้มรับ ตอบออกไปอย่างจริงจังไม่น้อย





                     "แค่นั้นก็พอแล้ว" เอ่ยตอบรับ ดวงตามองหลุมศพเบื้องหน้าพลางคิดไปถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ผ่านมาและผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับฝันเพียงหนึ่งตื่น





                     หลังจากที่เจ้าจากไป ความทรมานนั้นนานนับชั่วกัปกัลป์






                     แต่เมื่อเจ้ากลับมานั้น ความสุขก็ราวกับเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่และพร้อมจะเลือนหายไปทุกครั้งที่เจ้าหนีหายไปจากสายตา





                    ไคลน์รู้ดีว่าตนเองกำลังออกอาการทั้งหึงหวงและห่วงเสียจนเกิดเหตุ เมื่อคนๆนี้หายไปไกลตาก็เป็นต้องตามหา เอามากอดไว้แน่นๆราวกับจะกระซิบบอกตัวเองให้หัวใจหยุดสั่นหวั่นไหว แค่คุยกับใครก็ต้องมองเขม่น หึงหวงทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเสียด้วยซ้ำ





                       ..เพราะ เมื่อได้เสียไป จึงรู้ว่าค่าของมันมากแค่ไหน





                        ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ตนต้องกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างอดไม่ได้ ระบายลมหายใจช้าๆ ด้วยความกังวลอันเจือจางที่ก่อขึ้นในหัวใจ




                      "คิดมากอยู่หรือ?" อาโลอิสเอ่ยถามเสียงเบา ปลายนิ้วเย็นแตะลงไปเบาๆบนท่อนแขนของอีกฝ่าย





                      "........." ไคลน์พยักหน้าเงียบๆ กังวล..เพราะพรุ่งนี้เป็นวันที่ตนและอาโลอิสต้องขึ้นไป "ข้างบน"อีกครา




                       ..เนื่องจากอาโลอิสนั้นกลับมาแล้ว






                       แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเป็นของเขาและกลับมาเพราะเขา แต่..ก็ไม่อาจเดาใจหรือขัดขวางสิ่งที่เหล่าผู้มีอำนาจจะตัดสินได้






                     "ไม่เป็นไร" เสียงกระซิบนั้นดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนที่ร่างของอาโลอิสจะหมุนตัวมาประจัญหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ ตาสบตา ท่ามกลางความเงียบของสุสาน และท่ามกลางหลุมศพของคนๆหนึ่งที่เคยเป็นอดีตของทั้งคู่ ในยามที่ปัจจุบันกำลังดำเนินอยู่ตอนนี้






                      ใบหน้าของคนที่ตนรักโน้มเข้ามาใกล้เสียจนมีเพียงลมหายใจคั่น หน้าผากมนจรดหน้าผากตนเบาๆแล้วบีบย้ำ ก่อนจะเอ่ยปากบอกเสียงเบา ทว่าหนักแน่น ตราตรึงยิ่งนัก





                    ...คำพูด ที่บ่งบอกว่าการรอคอยทั้งหลายสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ





                     "ไคลน์...ข้ากลับมาแล้ว"




                      ..กลับมา และพร้อมจะมีความสุขเสียที





                      ไคลน์ยิ้มรับ เอื้อมมือกอดร่างนั้นไว้ ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่ผอมขณะที่สูดเอากลิ่นกุหลาบกำจายเข้าสู่ร่างของตน กลิ่นที่บ่งบอกว่านี่คือความจริง บ่งบอกว่าภาพของร่างที่ลืมตาขึ้นและลุกออกมาจากโลงหินศิลาไม่ใช่เพียงแค่ความฝันอัน
เลื่อนลอยจากจิตสำนึกหรือเป็นเพียงปรารถนาลมๆแล้งๆท่ามกลางการสูญเสียและเจ็บช้ำอันยาวนาน




                     ในที่สุด..เทวดาของเขาที่หายไป ก็กลับมาได้เสียที..





+++++++++++++++++++++

END







จบเเล้วค่ะ  ดีใจที่อ่านกันจนจบค่าาาา  มันช่างปวดตับไต ทะลุม้ามได้ดีจริงๆ//น้ำตาอาบ//


สมดังหวังกันมั้ยคะทุกคนนนน   ต่อจากนี้จะอัพเดทเกี่ยวกับการทำหนังสือเเละตอนพิเศษในเรื่องค่ะ  ซึ่งเตรียมยาเเก้เลี่ยนลดความดัน เบาหวานกันไว้ได้เลย หึหึ


หนังสือสามารถสั่งจองได้อยู่นะคะ


ส่วนใครที่สงสยเรื่องราวต่อจากนี้ ติดตามได้ในหนังสือค่าาาาา ฮุฮุ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย UP 5/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 05-08-2014 10:39:19
สนุกมากกกกกกกเขียนเก่งจัง
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย UP 5/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 05-08-2014 21:28:19
สนุกมากค่ะ  อ่านมาเรื่อยๆ   กำลัง คิดเลยว่า ถ้า จบเศร้า ชั้นจะทำยังไง

ไม่อยากอ่าน แบบเศร้าๆ นะ  แต่ก็เลิกอ่านไม่ได้ 

ขอบคุรที่แต่งนิยาย สนุกๆมาให้ อ่าน กันค่ะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย UP 5/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 06-08-2014 00:18:58
กรี๊ด......ทั้งเศร้า มาม่า แล้วซึ้งกินใจจริงๆเลยค่า.... :hao5: เป็นนิยายที่บริหารต่อมน้ำตาได้ดีจริงๆ เศร้าแต่ซึ้งและจบอย่างสวยงาม
หัวข้อ: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Serin ที่ 14-08-2014 20:19:45
*********เปิดจองนิยาย Lost Angel*********




มาแจ้งข่าวเปิดจองหนังสือค่าาาา

 

 

 

 

รอบนี้เปิดพิมพ์เอง ทำเองนะคะ จะมาเหนื่อยอีกรอบ ฮ่าา

 

 

(แต่ดีกว่ารอบที่แล้วแน่นอน ตอนนี้เราได้ทีมตรวจอักษรแล้ว กร้ากก)

 

 

 

 

++++

 

 

 

เปิดจองเรื่อง Lost Angel  (ชื่อไทยยังคิดไม่ออกเลยค่ะ /ผ่าง)

 

 

 

ราคาชุดละ 880 บาท (สองเล่มจบ)

 

 

เล่มละ 410 บาท ค่าส่ง 60 บาท แบบใส่กล่องลงทะเบียน

 

 

หนังสือหนาเล่มละ 350 หน้าโดยประมาณ

 

 

มีการ์ตูน 4 ช่องแถมในเล่ม + ตอนพิเศษ


มีทั้งหมด 5 ตอนในเล่มค่ะ อาจจะมีตอนที่ 6 เพิ่มเข้ามา




ตอนที่ 1-3 จะเป็นเรื่องของ อาโลอิสเเละไคลน์




ตอนที่ 4 เซดิสเเละคีเรส




ตอนที่ 5 เซธเเละ //เเอ่น เเอน เเอ๊น //เพรื่อ// ฟาราส ค่า

 

 

แถม ที่คั่นหนังสือ 2 อันทั้งชุดค่ะ

 

 

(ส่วนปกทำอยู่ค่ะ เเดี๋ยวเอาที่เสร็จสมูรณ์มาอวดอีกทีค่าา
 

     
โอนเงินได้ตั้งเเต่วันนี้   ถึง 1  กันยายน 2557 ค่ะ


เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับไฟล์งานเเละมีคนที่โอนเงินไม่ทันด้วยเลยขอขยายเวลาจอง ขออภภัยในความผิดพลาดด้วยค่ะ   

 

 กำหนดส่งหนังสือเดี่ยวจะเเจ้งอีกทีนะคะ คาดว่าจะได้ประมาณเดือนกันยายนปลายๆเดือนค่า

 

 



 

 

 

 

 

รายละเอียดการจอง

 

 

โอนเงินมาได้ที่

 

 

ธนาคารไทยพานิชย์

 

 

ชื่อบัญชี นางสาวนงลักษณ์ จันทร์เงิน

 

 

เลขที่บัญชี  173-244-4827 สาขาเดอะมอลล์ 3 รามคำแหง

 

 

จากนั้นก็แจ้งโอนเงินมาได้ที่ SerinNovel เเอท gmail.com

 

 

หรือหากมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามอะไร สอบถามมาได้ที่หน้าเพจ

 

 หรือส่งเมล์มาถามได้ที่เมล์เดียวกันนี้เลยค่า

 

 

ปล. ...ใครถามหาคุณอา คิวต่อไปจากคนนี้(ถ้างบพอ)รออยู่ค่ะ555

หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-08-2014 06:46:51
ขอบคุณค่ะคนแต่ง แต่งได้สนุกมาก ถึงแถวๆตอนจบจะเศร้า แต่ตอนจบก็แฮปปี้
อยากให้เอาตอนพิเศษของคู่อาโลลิสมาลงหน่อยค่ะ อยากอ่าน
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 15-08-2014 14:27:43
โอ้วจอร์จ นี่มันมหากาพย์ชัด ๆ  ล้ำลึกมากหยุดอ่านไม่ได้เลย
สุดท้ายแล้ว ใครทำกรรมอะไรก็ต้องรับกรรมที่ก่อล่ะนะ
มัน ซึ้ง มาก  :hao5:
ที่สำคัญ กะว่าตัวร้ายแน่ ๆ แต่เซดิสเท่สุด ๆ ไปเลย  :o8:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 23-08-2014 09:32:13
แต่งดีจัง อ่านแล้วติดมากๆ บรรยายได้เห็นภาพ

ตอนแรกนี่สงสารเอนีลมากเลย หลอนแทน แล้วคิดว่าโหพี่ไคลน์พระเอกคนดีของเรา บรรยากาศมุ้งมิ้งที่สุด!
พอมีนกการาเวนมา ตัวนี้มันต้องตัวร้ายแน่ๆ ไม่คิดว่าจะหักมุม แต่เป็นการหักมุมที่พลิกตัวละครมากอะ

จากที่อวยพี่ไคลน์ ตอนนี้นี่แบบ ไอ้คนเจ้าชู้!!! แต่ก็นะ ความรักมันห้ามกันไม่ได้
ทั้งพี่ไคลน์และอาโลอิสก็ได้รับผลแล้ว
แต่เรารู้สึกสงสารฟาราสมาก แบบนายยังไม่เจอความสุขเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: zhanzhao ที่ 09-10-2014 18:20:28
อ่านรวดเดียวเลยยยยย
สนุกมากเลยค่ะ ทำไมเราเพิ่งค้นพบก็ไม่รู้ 5555
สมหวังกันสะทีนะไคลน์กับหนูอาโลอิส :-[
สุดยอดมากเลยค่าาาา เนื้อเรื่อง บรรยายดีมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :man1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 10-10-2014 13:13:38
ขยายเวลาจองอีกได้มั้ยคะ  :hao5: เรามาอ่านช้า อดจองเลย
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Money11 ที่ 11-10-2014 13:52:46
สนุกมากเลยค่ะ ทั้งเศร้า ซึ้ง รู้สึกรัก
เขียนได้ดีมากๆเลย เราอ่านไปก็นึกภาพได้เป็นฉากๆ ตอนๆแรกยอมรับว่าอ่านไปก็ลุ้นหัวใจเต้นไป อ่านตอนกลางคืน กลัวผีค่ะ  :laugh:
พอถึงตอนหักมุมก็สงสารอาโลอิส ต้องถูกคนที่รักหลอกมาตั้งกี่ชาติ สงสารฟาราสที่ไม่รู้เรื่องอะไรแต่ก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่เราไม่สงสารไคลน์เลย ไอ้คนโลเล  :angry2:
เราชอบตัวละคร อาโลอิส มาก เป็นคนที่ซื่อสัตย์กับตัวเองมากที่สุด เสียดายที่เรามาเจอเรื่องนี้ช้าไป คุณปิดจองแล้ว
ถ้ามีรอบเพิ่มเติมหรือจะรีปริ้น แจ้งด้วยนะคะ เราอยากเก็บไว้
ขอบคุณค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 15-10-2014 13:04:05
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ สนุกมาก มีครบทุกรสชาติ

อ่านแล้วว่างไม่ลงจริง  :L2:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 16-10-2014 16:57:52
ประทับใจสุดๆ
แต่เหมือนตัวเองพลาด จะมีรีปริ้นมั้ยคะ
เรามาช้าไปปปปป :z3:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: secret_LP ที่ 16-10-2014 18:23:56
เป็นเรื่องที่เราร้องไห้มากที่สุดเท่าที่เคยอ่านนิยายมา โอ๋ยยยยยยทรมานมากค่ะ อ่านตอนแรกๆอึดอัดมากแต่ก็หยุดอ่านไม่ได้ และยิ่งพอความจริงเปิดเผยบอกเลยว่า "ร้าว"!!!! ตัวโต ๆ เจ็บลึกสงสารมากอ่ะ ฮรือออ ความรักที่ไม่สมหวังแท้จะยอมทำทุกอย่าง ย้ำว่าทุกอย่างแล้วจริง ๆ มันอินอิ๊นนนนนน  :katai1: สงสารอาโลอิสมากจริง ๆ เราไม่รู้นะส่าคนอื่นอ่านแล้วรู้สึกยังไงแต่เราเข้าใจในตัวละครของอาโลอิสมากอ่ะ เราเข้าใจว่าทำไปทำไมและที่ไม่รู้สึกเสียใจเพราะอะไร เราเป็นคนแบบนั้นนะ ถ้าจะรักก็รักให้สุด ๆ ไปเลยถ้าสุดท้ายต้องยอมแพ้ก็แค่ตัดใจแต่คงให้หยุดรักไม่ได้ ฮรึกกกก แต่สุดท้ายก็สมหวังนะ ฮืออออออออ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-10-2014 22:18:30
เรื่องนี้สุโค่ยยยยยยยยยยยยยมากกกกกกกกกกกก สุดยอดมากจริงๆ ป๊าดดดดดดดดด รีบวิ่งเอาไปเก็บบนหิ้งเลย สุดติ่งค่ะ 55  แปะไว้ในเด็กดีมานาน เพิ่งจะได้มาอ่าน เต็ม 5 ให้ 10000 ดาวเลยค่ะ (ตามไรท์คนเดียวกันเรื่องพี่โตน้องเนม รักร้ายผู้ชายในคุก เรื่องนี้อ่านนับรอบไม่ได้ 5555 ) แรกๆงง ถ้าปกติจะไม่ทน แต่เรื่องนี้ แปลก งงแต่เหมือนถูกมนต์ปีศาจสะกดให้อ่านต่อไป จนยิ่งอ่านยิ่งถล้ำลึก จมดิ่ง ถอนตัวไม่ขึ้นเลย ยันเช้า ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นยิ่งมันส์ ภาษาสลวยมาก ลึกซึ้ง กินใจสุดๆ บรรยากาศภาพชัดเจน เรื่องนี้ดีมากๆจริงๆ  น้ำตาแตกปานเขื่อนแตก สงสารปีศาจสุดๆ ชอบทุกตัวละคร เข้าใจและเห็นใจทุกคน เห็นด้วยกับทุกบทบาท อิน อ่านไปใจเต้นใจสั่นไป ลุ้น น่ากลัว คิดตามตลอด ฟินดีจริงๆ เขินนนนนนนน หน่วงสุดยอด แต่บับโอ๊ยยยยยยยดี ชอบบบบบบบบบบค่ะชอบบบบบ ขอบคุณมากๆนะค่ะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านค่ะ เดี่ยวไปแนะนำก่อน 55555
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 16-10-2014 23:20:07
 :hao5: ตอนเเรกอ่านผ่านๆ งงมาก ครั้งที่สองอ่านใหม่ตั้งเเต่ต้น ครั้งที่สามนั่งร้องไห้ไปกับอาโออิส  :hao5:

แอบสงสารฟาราส เเต่เราก็รักอาโออิส  :hao5:

+1 ค่ะ ชอบมากกกกกกกกกก ทำให้เราอ่านเเล้วอ่านอีก ร้องไห้เเล้วร้องไห้อีก
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 24-10-2014 19:13:06
 :mew1: ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: numilddy ที่ 25-10-2014 03:31:27
เขียนดีมากเลยอ่ะ ร้องไห้แทบทุกตอน
ในมุมมองเราเหมือนจะสื่อว่าสีขาวและสีดำไม่ได้แทนความดีและความชั่วร้ายเสมอไป
ทุกๆ คนมีมันอยู่ในใจมองอย่างฟาราสที่เคยแสนดี แต่สุดท้ายก็ทำให้เอโลอิสหายไป
เอโลอิสเคยทำฟาราสไว้เยอะ แต่ถ้ามองก็เหมือนชดใช้กรรม
ไคลน์อาจจะโลเลยนทำให้เสียของรักไป เมื่อได้กลับมาจึงรู้ความสำคัญ
จบแบบนี้ส่วนตัวก็ว่าโอน่ะ อารมณ์แบบทุกคนไม่ติดค้างอะไรกันอีกแล้ว^ ^
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 31-12-2014 12:20:41
พลาดไปแล้ว อยากได้หนัสือ แต่มาไม่ทัน คนเขียนพอจะมีเหลือไว้มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 08-03-2015 22:34:46
รักเรื่องนี้ที่สุดค่ะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: มะปรางเปรี้ยว ที่ 01-08-2015 01:02:42
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 04-08-2015 00:18:39
สนุกมากๆๆๆๆ
แรกๆก็เรื่อยๆเอื่อยๆ
แต่พอช่วงเอนีลคบชู้(จำชื่อตอนไม่ได้)สนุกมาก
ทำต่อมน้ำตาแตกไปหลายลิตรเลย
สงสารอาโลอิส แต่ชอบตรงที่จัดหนักนี่แหละ
ซื่อตรงเกิ๊น ไม่เหมือนเซดิสเลย
อยากรู้บทสรุปของอาโลอิสกับข้างบนว่าเป็นยังไงจัง
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: curious ที่ 02-12-2015 04:41:16
สนุกมากกกๆ เดินเนื้อเรื่องน่าสนใจมากค่ะ อยากอ่านตลอดเวลา55555
บางทีอ่านๆอยู่น้ำตาไหลเฉย... เศร้าและบางครั้งก็อบอุ่นไปพร้อมๆกัน
ขอบคุณมากๆนะคะ หลงรักเรื่องนี้
อยากให้เรื่องนี้ตีพิมพ์อีกจังเลยย รวมเรื่องของท่านชีคด้วย  o18
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 06-02-2016 12:15:17
อยากได้หนังสือจัง
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 02-03-2016 11:38:28
รักเรื่องนี้มากกกกกก
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Ploy-ha ที่ 14-11-2016 23:37:12
เพิ่งเข้ามาอ่าน เรื่องนี้ โอ้ยพลาดไปได้ไง
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-06-2017 22:10:46
 :o8: :o8: :o8: :o8:  พึ่งมาอ่าน. สนุกมากกกกกค่ะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 14-06-2017 07:46:47
ยังอ่านไม่จบ เดี๋ยวเข้ามาอ่านต่อ
กำลังสนุก
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: btk04 ที่ 02-12-2017 00:10:12
รู้สึกพลาดมากค่ะ พลาดที่รู้จักเรื่องนี้ช้าเกินไป
ไม่แน่ใจว่าคุณคนเขียนจะอ่านเม้นนี้รึเปล่า แต่เราอยากบอกว่าเราชอบนิยายเรื่องนี้ของคุณมาก
เราที่เป็นแฟนนิยายแฟนตาซีกับนิยายดราม่ารู้สึกเซอไพรส์มากตอนอ่านเรื่องนี้และพบว่ามันดีมากจริงๆ
ทั้งการเล่าเรื่อง การผูกปม มิติตัวละคร มันทำให้เรารู้สึกจมดิ่งและรู้สึกไปกับพวกเขาด้วย
เป็นกำลังใจให้สร้างสรรผลงานดีๆต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 05-12-2017 16:10:43
คิดถึงเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 17-01-2018 22:24:27
นิยายดีที่คิดถึง
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie ที่ 22-01-2018 22:59:11
สนุกมากคะ บรรยายเนื้อเรื่องและบรรยากาศได้เห็นภาพมาก
ทั้งลึกลับ ทั้งหักมุม ร้องไห้ตามอาโลอิสด้วย  :hao5:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 01-06-2019 12:21:14
มีความรู้สึกว่าทำไมเราเจอช้าไป
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: เฉื่อย ที่ 08-06-2019 00:41:15
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Ben33 ที่ 26-09-2020 14:18:24
 :mew4:
หัวข้อ: Re: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 19-02-2021 19:39:17
สงสารไคลน์จังแต่ยังดีที่อาโลอิสได้กลับมา สนุกมากค่ะ  :pig4: