LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557  (อ่าน 78543 ครั้ง)

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #60 เมื่อ16-07-2014 21:35:56 »

 Lost 31 : อีกฟากฝั่ง

 

 

 

        เชิงผาสูงชันประกอบมาจากหินและเนื้อดินสีเข้มกรอปกันเป็นเนินดินสูงใหญ่ เบื้องล่างหุบเหวคือความมืดมิดที่มีเสียงโหยหวนและคำรามอันน่าหวาดหวั่นแว่วมาตามสายลม สรรพสิ่งโดยรอบมีเพียงต้นไม้สูงใหญ่ไร้ใบและสีแดงของฝุ่นผงและสายลมที่หอบเอาเศษดินเศษทรายคละคลุ้งมาปะทะใบหน้า ในดินแดนที่ไม่ปรากฏรูปร่างของดวงอาทิตย์หรือพระจันทร์ มีเพียงผืนฟ้าที่ไร้เมฆหมอกยาวสุดลูกหุลูกตา ณ ที่ๆพวกตนได้ยืนอยู่ ดูราวกับเป็นจุดสิ้นสุดของผืนพิภพ

 

 

 

        เสียงเห่าหอนของบรรดาสัตว์ร้ายหรือราอาซาสที่เคยตามติดบัดนี้หายไปหมดแล้ว รอบกายไร้สิ่งมีชีวิตใด แม้บรรดาวิญญาณหรือปีศาจ สัตว์ร้ายตนไหน ก็ดูจะรับรู้ได้ถึงภยันตรายและไม่เฉียดเข้ามาใกล้เชิงผาแห่งนี้ที่มีหุบเหวลึกอันเป็นที่อยู่ของ"สิ่งนั้น"

 

 

       สิ่งนั้นที่ว่า คืออสูรกายอันชั่วร้ายที่กำเนิดขึ้นมาใต้หุบเหวอันมืดทึบแห่งนี้ เจ้าของเสียงร้องคำรามที่แผดก้องสะเทือนไปทั่วทั้งหุบผา แม้จะยังไม่อาจมองเห็นตัวตนหรือรูปร่างของมัน ทว่ากระแสความเย็นยะเยือกและกลิ่นอายของความชั่วร้ายที่คละคลุ้งด้านล่างก็มีมากพอแล้วที่จะทำให้เทวดาผู้เคยอยู่แต่บนสรวงสวรรค์รู้สึกพรั่นพรึง

 

 

 

      ฟาราสนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ต้นไม้สูงทว่าไร้ใบนี้กลายเป็นที่พักพิงของพวกตนมาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ครั้งหนีมาจากฝูงราอาซาสได้ เซธก็นำพาตนมายังจุดนัดพบ ซึ่งก็คือเชิงผาแห่งนี้ ทว่าคนรักของตน ไคลน์ และอาโลอิสเทพบุตรปีกสีดำผู้นั้นกลับยังไม่มาถึง แม้จะรอจนจวบสว่างและเย็นของอีกวันก็ยังไม่มีวี่แวว ทำให้ฟาราสนึกหวั่นเกรงนักว่าทั้งสองจะเสียท่าถูกทำร้ายไปเสียแล้วยิ่งนัก

 

 

      "รออยู่ตรงนี้" นี่คือคำสั่งที่ตนได้รับหลังจากผ่านไปในอีกวัน ฟาราสขยับตัวด้วยความอึดอัด ทว่าก้จำต้องพยักหน้ารับไปอย่างเสียไม่ได้ด้วยรู้ว่าตนไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ แม้นึกอยากจะไปตามหาคนรักของตนด้วยความห่วงใย แต่ในที่แห่งนี้ที่ตนไม่เคยคุ้น การจะออกไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเสียเท่าไหร่ แม้ว่าเหล่าเทพเทวดานั้นไม่อาจะ"ตาย"ได้อีกครั้ง แต่การที่วิญญาณสูญสลายนั้นยังเกิดขึ้นได้อยู่ วิญญาณนั้นต่างกับร่างกาย ร่างของพวกเขานั้นสามารถสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อไรห่ก็ได้ ต่างกับ"วิญญาณ"ที่หากสูยสลายไปแล้วก็มิอาจกลับคืน 

 

 

    ..ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันดับสลาย แม่้สิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าอมตะก็ไม่อาจหลีกพ้น

 

 

      ฟาราสถอนหายใจแผ่วเบาขณะที่ดวงตามองไปยังหุบเหวเบื้องล่างอีกครั้ง นึกหวาดหวั่นชะตากรรมของตนในยามที่ต้องพบเจอกับอสูรกายใต้ผืนพิภพตนนั้นไม่น้อย แม้คราแรกจะตามผู้เป้นที่รักมาด้วยความเชื่อมั่นและต้องการจะอยู่ใกล้ๆทั้งที่ตนเองไม่เคยชินเอาเสียเลยเกี่ยวกับเรื่องการสู้รบเช่นนี้ แต่สังหรณ์บางอย่างบอกกับตนเงียบๆว่าหากไม่ตามไคลน์มาแล้ว เมื่อมี"บางสิ่ง"เกิดขึ้น ตัวเขาจะไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีกต่อไป

 

 

    "บางสิ่ง"..เป็นต้นว่าด้วยสายตาของทั้งสองคนนั้น..

 

 

     ขมวดคิ้วจางๆพลางไล้เปลือกไม้สีน้ำตาลแก่เบาๆ ต้นไม้ที่ตนนึกว่าไร้ชีวิตนี้แท้จริงเซธบอกว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่ จะยังเติบใหญ่และหยั่งรากลึกต่อไปหาได้เหี่ยวแห้งไปเช่นปรกติไม่ เป็นพืชพันธ์ที่สลัดใบไม้ลงเพื่อปรับตัวให้ยืนหยัดในดินแดนที่แสนโหดร้ายมีชีวิตอยู่บนหุบเหวที่แม้แต่สัตว์อสูรก็ยังไม่กล้าย่างกราย

 

 

      ...และเมื่อถูกสายตาที่ทั้งแฝงความรักใคร่และเจ็บปวดคู่นั้นจ้องมองบ่อยเข้า จะมีวันใด..ที่ต้นไม้แห้งไร้ใบจะกลับมามีชีวิตรึเปล่า?

 

 

      ความกังวลเจือจางแผ่ปกคลุมหัวใจ ฟาราสรู้สึกผิดไม่น้อยที่หัวใจเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่คนรักของตนแทนที่จะตระหนักถึงภารกิจที่ต้องกระทำ แต่กระนั้น การจะไม่สนนั้นเป้นไปไม่ได้ เมื่อเซธได้บอกว่าทั้งคู่นั้น"ยังมีชีวิตอยู่"แต่กลับหายไปด้วยกันและยังไม่กลับมา..อย่างน่าสงสัย

 

 

       ไคลน์..หรือเจ้าจะ..

 

 

      ความคิดบางสิ่งที่ไม่ควรก่อเกิดแล่นวาบผ่านทำให้หัวคิ้วขมวดแน่น..

 

 

     "...ขมวดคิ้วมากไป เดี๋ยวน้ำหน้างามๆของท่านก็ย่นหมดหรอก" น้ำเสียงที่ดังขึ้นเรียบๆทำให้ละออกจากภวังค์ ฟาราสสะดุ้งน้อยๆ เงยหน้าขึ้นมองด้านบนหาต้นกำเนิดเสียงโดยพลัน ตนยังสามารถเห็นถึงเมื่อยามร่างของการาเวนสีดำตัวใหญ่ตัวนั้นค่อยกลายร่างเป็นมนุษย์ผู้มีเส้นผมสีเข้มและดวงตาสีแดงจัดจ้า

 

 

     "...ขอบคุณในความหวังดี" ได้แต่เพียงตอบรับไปเท่านั้น ฟาราสกดหัวคิ้วลึกขึ้นอีกนิดก่อนจะคลายออก ด้วยรู้ว่าตนนั้นนึกเคืองขุ่นไปก็ไม่ได้อะไร ระยะเวลาที่อยูร่วมกันมาตั้งแต่หลบหนีจากราอาซาส ทำให้ตนรู้ว่าเซธผู้นี้มีนิสัยกวนโมโหมากเพียงไร มากเสียจนนึกชื่อชมอาโลอิสผู้นั้นอยู่ในใจที่ยังคงรักษาสีหน้าให้นิ่งสงบได้แม้ในยามต้องเจอกับการทำตัวเฉกนี้

 

 

      เซธเพียงโคลงศรีษะรับ ก่อนจะเอ่ยบอกเบาๆ "ข้าติดต่อทั้งสองคนอีกครั้งได้แล้ว"

 

 

     "เช่นนั้นหรือ ข่าวคราวเป็นอย่างไรบ้าง?" ดวงตาสีท้องฟ้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังเงยขึ้นมามองสบ ประกายวิวับในแววตานั้นทำให้เซธถอนหายใจแผ่วเบา ..ก็ด้วยสิ่งที่ตนรู้มา..มันช่างเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจคนผู้นี้นัก

 

 

    แต่กระนั้น ตนก็ยังคงปล่อยให้มันเป็นไป

 

 

    ...เพราะอยากรู้..เจ้า จะสามารถเอาชนะได้ จะนำมันมาครองครองได้ หรือท้ายที่สุด จะพ่ายแพ้ย่อยยับอีกครั้งกันแน่

 

 

   อาโลอิส

 

 

 

        "ทั้งสองตนถูกราอาซาสทำร้าย..." ข้อความแรกที่ได้รู้ทำให้ฟาราสถึงกับนิ่ง "ทั้งไคลน์และอาโลอิส แม้จะไม่บาดเจ็บสาหัสถึงตาย แต่ก็ไม่อาจรักษาตัวให้หายและตามมาได้โดยเร็ว"

 

 

         "............." พยักหน้ารับช้าๆ ด้วยตนนั้นพอจะรู้ เมื่อเกิดบาดแผลด้วยสัตว์ร้ายแล้วยากจะรักษา แม้จะใช้เลือดของเทพบุตรปีกสีขาวมาใช้ได้ แต่กับไคลน์หากมีแผลแล้วใครจะช่วยเหลือได้กัน ในเมื่อเลือดของอาโลอิสผู้นั้นรังแต่จะเป็นพิษ ไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย ซ้ำยังเหลือเพียงปีกเดียว ไม่อาจบินได้เสียอีก

 

 

        "...กว่าจะหายคงอีกนานพอควร..ภารกิจจะยืดเวลาออกไปอีก" คำพูดของเซธทำให้ตนนิ่งฟังเงียบๆ

 

 

        "ข้าทราบแล้ว"

 

 

       "ฉะนั้น...เราควรรอยู่ที่นี่" เซธเอ่ยปากสรุปสั้นๆ หากข้อความนั้นทำให้ฟาราสชะงัก

 

 

      "ที่นี่?" หมายถึงปากเหวอันเป็นที่สิงสถิตย์ของมารร้าย และบนต้นไม้ที่ไร้ใบต้นนี้น่ะหรือ?

 

 

      "ใช่..อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าไปที่อื่น มีเพียงอสูรตนเดียวให้เฝ้าระวังตัว" คำตอบของเซธนั้นทำให้ฟาราสขมวดคิ้วประท้วง มีอสูรกายเพียงตัวเดียวก็จริงแต่เป็นอสรูผู้น่ากลัวเสียจนต้องลงมาปราบเลยมิใช่หรือ

 

 

      "รึท่านเทพคิดจะไปที่อื่น ข้าก็ไม่ว่า"

 

 

      "ข้ามีชื่อของตน ท่านเซธ" ฟาราสเอ่ยประท้วงทันที ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซธจึงชอบเอ่ยนามของตนเช่นนี้ราวกับจะประชดประชัน

 

 

      "ขออภัย" เซธกระตุกยิ้มพลางหัวเราะ "เพียงแต่ ข้าไม่คิดว่าตนจะได้รับอนุญาตให้เรียก.."

 

 

       "...หากท่านคิดว่าตนเองต้อยต่ำถึงเพียงนั้นก็ตามใจเถิด" ฟาราสถอนใจช้าๆ ราวกับเหน็ดเหนื่อยที่จะต่อคำ

 

 

       เซธยิ้มบางๆ พลางจ้องมองผู้พูดด้วยแววตาบางอย่าง "อาจเป็นอย่างที่เจ้าพูดก็ได้ ฟาราส"

 

 

   ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังประหลาดใจเสียจนต้องหันไปมอง ทว่าร่างของคนผู้นั้นกลับกลายเป็นการาเวนตัวใหญ่ไปเสียแล้วพร้อมทั้งกางปีกขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้ที่อยู่สูงที่สุด ดวงตาสีทับทิมมองไปรอบๆราวกับจะระวังภัย ขณะที่บนขนอกบริเวณใต้คอ มีเม็ดทับทิมสีแดงสดส่องประกายระยับ

 

 

     มองมันด้วยความรู้สึกทึ่งกึ่งฉงน ด้วยที่ตนรู้ ผู้ที่สามารถจำแลงกายเป็นสัตว์ได้นั้นมี แต่ไม่อาจแปลงกายบ่อยเกินไปด้วยมันเสียพลังนักหนา แต่ทว่ากับเซธ เจ้าตัวมักอยู่ในร่างของการาเวนมากกว่าร่างแท้จริงของตนเสียด้วยซ้ำ

 

 

      ไวเท่าความคิด ฟาราสจึงเอ่ยปากถาม "เหตุใด..ท่านจึงชอบอยู่ในร่างนกมากนัก"

 

 

      "ข้าไม่ได้ชอบ" ดวงตาสีแดงของการาเวนตัวใหย่หันมาจับจ้องพร้อมริมฝีปากที่ขยับเป็นถ้อยคำ คำตอบนั้นทำให้ยิ่งนึกสงสัย

 

 

       "แล้วเพราะเหตุใดเล่า?"

 

 

      "ข้าต้องคำสาป...." อีกาตัวนั้นกระพือปีกเบาๆ ดวงตาที่จ้องกลับมานั้นแฝงแววคุกคามอยู่ในที "ต้องอยู่ในร่างของอีกาตัวนี้ชั่วนิรันดร์...มีอะไรที่เจ้าข้องใจอีกไหม"

 

 

      "ไม่แล้ว...ข้า ขออภัย" ฟาราสหลบตาคู่นั้นวูบ รีบเอ่ยปากบอกทันทีก่อนจะหันกลับมามองที่เดิม เทพบุตรหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ หนาวสะท้านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อถูกจ้องมองอย่างน่ากลัวเช่นนั้น คำสาป...สิ่งที่คนผู้นั้นพบเจอคงจะน่ากลัวนักเป็นแน่ มิฉะนั้นคงไม่สาปเสียจนเซธต้องอยู่ในร่างนกแทบตลอดเวลาเช่นนี้

 

 

      ...และที่เอ่ยปากถามไป..มันช่างเสียมารยาทนัก

 

 

     ต่อให้จะอยากรู้ว่าเพราะเหตุใด ท่านถึงถูกสาปเข้าก็ตามเถิด

 

 

     ฟาราสเอนตัวพิงกับลำต้นสีน้ำตาลเข้มมือข้างหนึ่งห้อยตกลงข้างตัวเงียบๆ หยุดควงามสงสัยของตนไว้เพียงเท่านั้นด้วยรู้ว่าคิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด ดวงตาสีท้องฟ้ากวาดมองรอบๆอีกครั้งแล้วหลับตาลง ความรู้สึกอัดอัดไม่สบายใจยังคงแผ่ปกคลุมอย่างไม่หยุดหย่อน อาจจะด้วยพรากจากคนรักของตน และมาอยู่ในที่ๆตนไม่เคยคุ้นกระมัง เขาจึงได้รู้สึกไม่สบายใจมากมายเสียขนาดนี้

 

 

      ...ระวัง....ลางสังหรณ์บางอย่างเอ่ยบอก.. หากแต่เทพบุตรหนุ่มผู้ดงามก็ทำได้เพียงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วหลับตาลงอีกครา

 

 

 

 

++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

         เปลือกตาที่ปิดพับลงกระตุกไหวก่อนค่อยๆขยับอย่างเชื่องช้า สติอันเลือนรางปรากฏรูปร่างที่ชัดเจนขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ สอ่งแรกที่อาโลอิสรู้สึกได้คืออ้อมแขนที่โอบกอดตนเองอยู่ พร้อมกันนั้นก็ซึมซาบความอุ่นร้อนนั้นเงียบๆค่อยคิดใคร่ครวญทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมกับเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เพื่อจ้องมองใบหน้าที่ตนหลงรักนักหนาในระยะประชิด

 

 

         หัวใจเต้นกระตุกไหว จะเท่าไหร่ก็ยังไม่เคยชินเสียทีกับการเข้าใกล้เฉกนี้ อาโลอิสยิ้มน้อยๆพลางช้อนสายตาจ้องมองใบหน้าที่ยังคงหลับอยู่ในห้วงนิทราเงียบๆ หลังจาก"เจ็บแผล"มากมายหลายต่อหลายครั้ง ที่สุดไคลน์ก็ลากเขามากอดไว้ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า"หนาว" ค่ำคืนในใต้พิภพแห่งนี้หนาวเหน็บดังที่ว่า ซ้ำยังไม่อาจแม้แต่จะก่อกองไฟให้ การโอบกอบกันไว้เงียบๆเช่นนี้ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อาโลอิสยอมรับมันเงียบๆ เอนตัวพิงแผ่นอกและซุกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ถือโอกาสรั้งอ้อมแขนให้แน่นขึ้นด้วย"ความหนาว"เช่นเดียวกัน..

 

 

       จ้องมองใบหน้าของผู้ที่ตนจำหลักรักใคร่นักหนาไปพลางครุ่นคิดเงียบๆ แม้จะรู้ดีว่าตนเองนั้นผิดและเห็นแก่ตัวนักหนาที่ทำเช่นนี้ ทว่าอาโลอิสก็เมินเฉยไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสีย ทำแน่นิ่ง..ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่มีอะไรผิดปผกไปจากที่ควรจะเป้ฯทั้งที่ความจริงไม่ใช่สักนิด

 

 

       แม้จะบอกว่าขอเพียงมีความสุขในห้วงเวลานี้ อาโลอิสก็พลันนึกถึงเทพบุตรผุ้ครองใจของบรุษเบื้องหน้า

 

 

        ฟาราส..

 

 

 

      ถ้าหากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนผู้นั้นจะเสียใจไหม เทพบุตรที่ตนเองนั้นทั้งทำร้าย ทรมารเสียจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน คนผู้นั้นหากได้รู้ว่ายังถูกลอบแทงข้างหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะรู้สึกอย่างไรกัน

 

 

      ถูกปองร้ายและแย่งชิงของๆตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากข้าคนเดิมที่ไม่รู้สึกผิด และไม่เสียใจอันใดกับสิ่งที่ตนลงมือทำไป และกล่าวย้ำซ้ำกับทุกคำประณามด้วยเหตุผลที่ง่ายแสนง่าย ..ว่าข้ารักเขา ทั้งที่เจ้าก็รักเขาเฉกเดียวกัน ซ้ำเขายังรักเจ้ามากมายนักหนา แต่ก็ถูกข้า..ลอบยื้อแย่งฉกชิงอย่างไร้ความละอาย

 

 

     ..เป็นปีศาจที่มีปีกสีดำซึ่งเจ้าหวาดกลัวและชิงชังยิ่งนัก..ถูกแล้วล่ะ ฟาราส

 

 

     "คิดอะไรอยู่" คำถามดังขึ้นอย่างเงียบงันทำให้เงยหน้าพรวด อาโลอิสหันไปมองผู้ที่ตื่นขึ้นแล้วอย่างตกใจไม่น้อย หากเพียงครู่ก็ชะงัก ใบหน้าขึ้นสีวาบกับแววตาที่จ้องมองมาอย่างอ่อนหวานคู่นั้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่อุ่นวานเสียจนหัวใจเต้นสะท้อน แม้จะไม่ใช่แววตาที่เคยมองเป็นครั้งแรก แม้ว่าเอนีลจะได้รับสายตาเช่นนี้แล้วนับคัร้งไม่ถ้วน แต่กับอาโลอิส..ผู้อยู่ในรูปกายที่แท้จริงของอาโลอิสแล้ว แววตาแสนรักใคร่ที่จ้องมองมา คือสิ่งที่ตนเพิ่งได้พบเจออย่างแท้จริง

 

 

       "....ไม่...มีอะไร" เอ่ยตอบได้เพียงกุกกักด้วยความขัดเขิน อาโลอิสไม่คิดว่าตนเองจะแสดงอาการแบบนี้ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ทุกสิ่งที่ไม่เคยเป็นก็ล้วนเกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ ผิวแก้มแดงก่ำที่เห่อร้อนรับอรุณก็ดูจะเป็นสิ่งที่แปลกตาสำหรับไคลน์เช่นกัน แววตาคู่นั้นจะฉายความพิศวง

 

 

      "...ที่จริงแล้ว.." ปลายนิ้วแตะผิวแก้มเบาๆพลางเกลี่ยเล่นทำให้สะดุ้งวาบ "..เกิดมาจากดอกกุหลาบรึเปล่า..ตัวเจ้าน่ะ" แววตาคู่นั้นยังคงเพ่งพินิจคล้ายกำลังสงสัย ริมฝีปากหนายกขึ้นน้อยๆ ราวกับรื่นรมย์ยิ่งนักที่ได้เฝ้ามองอยู่เช่นนี้

 

 

      "..ดอกกุหลาบ..อย่างไร?" อาโลอิสถามด้วยความงวยงงปะปนกับความขัดเขิน ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าตนเองนั้นมีความเกี่ยวกันใดกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมรัญจวนทั้งยังงดงามเช่นนั้น แต่แววตาเพ่งพินิจและคำถามของอีกฝ่ายก็ราวกับชวนให้อุปปาทานไป..ว่าตนนั้นกำเนิดขึ้นมาจากกุหลาบจริงๆ

 

 

      "...ตามตำนาน.." น้ำเสียงทุ้มเเผ่วนั้นเอ่ยเบาๆในลำคอเจือหัวเราะ "...เทพีแห่งความงดงามกำเนิดมาจากฟองคลื่น นาร์ซิสซัสก็กลายมาเป็นดอกไม้ แล้วเหตุใด...จะมีผู้ที่กำเนิดมาจากกุหลาบบ้าง ไม่ได้เล่า"

 

 

     ปลายนิ้วไล้เส้นผมสีแดงเข้มยาวระแผ่นหลังของอีกฝ่ายเบาๆพลางยกขึ้นมาแตะจมูก กริยาอาการที่ทำราวกับเคยชินนักหนานั่นยังให้ผิวแก้มแดงวาบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ดูราวกับไคลน์ผู้พิศวงกับการกำเนิดทั้งหลายเหล่านั้นจะยังไม่ใส่ใจ ปลายจมูกโด่งสันยังคงไล่เตะจากหน้าผากไปยังกลุ่มผมเพื่อสูดดมเบาๆ

 

 

      "...เจ้านรกอาจชื่นชอบดอกกุหลาบเป็นพิเศษ แล้วกำเนิดใครบางคนขึ้นมาจากกุหลาบก็เป็นได้" ไคลน์เอ่ยขึ้นทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ทว่ากลิ่นหอมของกุหลาบที่อวลอายเจือจางยามแตะต้องร่างกายคนในอ้อมแขนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องโกหก "ตอนที่ลงมา..รอบด้านก็มีแต่เถากุหลาบสีแดงขึ้นเต็มไปหมด.."

 

 

      "...สีผมของเจ้าก็เป็นสีแดง...ดวงตาก็ด้วย..พอข้ากอดไว้แบบนี้ มักจะได้กลิ่นหอมๆออกมาอยู่ร่ำไป" เอ่ย..แล้วผู้ที่พูดก็รวบท่อนแขนกอดไว้พร้อมกับกดปลายจมูกลงบนเส้นผมอีกฝ่ายแล้วยิ้ม..ดูราวกับเรื่องที่ทำเสียจนเคยชินกระนั้น

 

 

      "...ข้า ไม่ได้..." อาโลอิสได้แต่เอ่ยกุกกัก ตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายได้เพียงเท่านั้นเมื่อตนเองถูกกอดซ้ำดมดอมสำรวจราวกับอยากรู้ว่าเป็นดอกไม้สีโลหิตนั้นจริงหรือไม่ ดวงตาสีแดงประกายหรุบลงไม่กล้าแม้แต่จะสบดวงตาคู่นั้นด้วยความขัดเขิน ผิวแก้มเห่อร้อนราวกับจะจับไข้ ไม่ว่าสิ่งที่ไคลน์ทำลงไปนั้นเป็นเพราะความเคยชินหรือตั้งใจ ท่านเทพบุตรผู้ยิ่งใหญ่ก็ทำให้อาโลอิสได้อายเสียจนทำตัวไม่ถูกก็วันนี้

 

 

      "ไม่ได้อะไร...จะบอกว่าไม่ใช่งั้นหรือ..แล้วกลิ่นมันมาจากไหนกันเล่า?" ไคลน์เอ่ยถามกลับอย่างแปลกใจ พลางก้มหน้ามองหาผู้พูด แปลกใจขึ้นมาครู่หนึ่งกับสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าใจชัดเมื่อเห็นผิวแก้มที่แดงวาบและอาการเขินอายเสียจนทำตัวไม่ถูกในอ้อมแขนตนนั้น แม้จะรู้ว่าที่ทำไปนั้นไม่ควร แต่ไคลน์ก็ยังจรดปลายจมูกลงกับเส้นผมนุ่มแล้วเอ่ยถามซ้ำ

 

 

       "ข้าไม่รู้....มีแต่เลือดเสียมากกว่า" อาโลอิสปฏิเสธอู้อี้ ร่างสะท้านวาบเป็นพักๆเมื่อถูกจมูกแสนซุกซนนั้นไล่ดมดอมราวกับสัมผัสดอมดมดอกกุหลาบที่อีกฝ่ายว่า แต่ต่อให้ถามอย่างไร คำตอบที่ได้คงมีเพียงเท่านี้ ตัวเขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีกลิ่นหอมหรืออะไรอย่างที่ไคลน์บอก หากจะเอ่ยว่ามีแต่กลิ่นเลือดเสียยังจะเป็นไปได้มากนัก

 

 

     "เลือดงั้นหรือ..ข้าไม่เคยรู้ ว่าเลือดของพวกเจ้าจะหอมเสียขนาดนี้" ไคลน์หัวเราะเบาๆในลำคอ ค่อยๆปล่อยให้อีกฝ่ายละออกจากอ้อมแขนตนและได้หายใจหายคอเสียบ้างก่อนที่จะเกิดอาการเขินอายเสียจนทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองใบหน้าแดงก่ำและอาการเขินอายนั้นอย่างเพลิดเพลิน แม้จะปล่อย ปากปลายนิ้วยังคงแตะเส้นผมอีกฝ่ายไล้เล่น

 

 

      "...ไม่หอมเสียหน่อย" อาโลอิสเอ่ยปากปฏิเสธ เลือดที่มีพิษเช่นนี้หรือจะหอมได้ หากโลหิตของเทพบุตรผู้มีปีกสีขาวคือยา เลือดของเหล่าเทพบุตรปีกสีดำนั่นเล่าก็คือยาพิษ เป็นส่วนผสมสำคัญสำหรับยาพิษที่ร้ายแรงเพื่อคร่าชีวิตอื่นต่างหาก มันจะหอมหวานราวกับกุหลาบไปได้อย่างไร คนที่คิดเช่นนั้นได้ประสาทรับกลิ่นคงใกล้จะพิการเสียแล้ว

 

 

      "....ข้าว่าหอมก็ต้องหอมสิ" ไคลน์ยังคงเอ่ยปากท้วง ยิ้มแย้มให้อีกฝ่ายพลางเกลี่ยปลายนิ้วบนเส้นผม

 

 

     "เพราะพิษของราอาซาส คงทำให้สัมผัสของเจ้าผิดแผกไปเสียแล้ว" อาโลอิสเอ่ยปากท้วง ยังคงก้มหน้าหนีแววตาระยับหวานของอีกฝ่ายด้วยความไม่คุ้นชิน ทั้งยังขัดเขินเสียจนหน้าแดงซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

 

      "...เป็นอย่างนั้นหรือ..เพราะพิษของมัน.." เอ่ย..แล้วเจ้าของคำพุดก็เหลือบตามองแผลของสัตว์ร้ายที่ต้นแขนของตน แม้อาการจะทุเลาลงมาก และบาดแผลจะเริ่มสมาน แต่กระนั้น ไคลน์ก็ยิ้ม พลางเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้

 

 

      "...ถ้าเป็นแบบนั้น ขอข้ารักษาแผลหน่อยได้ไหม?" สัญญาณที่รู้กันดี ทำให้ผู้ฟังเงียหน้าขึ้นมองสบ อาโลอิสสบตาคู่นั้นด้วยใบหน้าที่ยังคงไม่หายจากอาการร้อนผ่าว นัยน์ตาสีแดงประกายตวัดไปจ้องมองต้นแขนอีกฝ่ายอันเป็นที่ๆมีรอยแผลของสัตว์ร้ายปรากฏอยู่ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะยกมือขึ้นกัน

 

 

      "...ข้าไม่อยากให้หาย" วาจาแสนเอาแต่ใจที่ไม่ได้ยินบ่อยนักทำให้หัวคิ้วทีขมวดเข้าหากันของไคลน์นั้นค่อยคลายออกจากกัน ริมฝีปากของเทพบุตรหนุ่มคลี่ยิ้มราวกับเอ็นดู ป่ายเอามือที่ยกขึ้นปิดเรียวปากของตนออกเสียอย่างไม่ยากนัก

 

 

     จ้องมองร่างของคนตรงหน้า เทพบุตรหนุ่มที่อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทผู้มีผิวขาวจัดที่บัดนี้แดงวาบเป็นระยะ ใบหน้าของอีกฝ่ายเบือนไปทางอื่น หัวคิ้วขมวดมุ่นราวกับกำลังหวาดกลัวว่าคำพูดของตนเองจะได้รับคำตอบที่โหดร้ายมา ท่าทีนั้นทำให้หัวใจอ่อนยวบลงทั้งด้วยความสงสารและความรู้สึกบางสิ่ง สำนึกรู้บ่งบอกให้ทราบอีกครั้ง ว่าตนนั้นได้ลงมือและเอ่ยคำทำร้ายจิตใจคนตรงหน้ามามากมายเสียจนอีกฝ่ายนึกผวา

 

 

      เอื้อมมือจับปลายนิ้วที่ตนป่ายปัดออกไปเมื่อครู่ มองนิ้วเรียวขาวแล้วกดริมฝีปากลงไปเบาๆ กริยานั้นทำให้ผู้ถูกกระทำสะดุ้งวาบ ผิวแก้มร้อนผ่าวเมื่อหันมาสบมองแววตาที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว..ซึ่งร้อนแรงราวกับจะกลืนกิน

 

 

       "...เอาแต่ใจ" คำบริภาษต่อว่าที่ดังออกมาจากปากของไคลน์นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับคำก่นด่า ทว่ากลับเหมือนการหยอกล้อเล่นกันของคนรักเสียมากกว่า มือที่ดึงปลายนิ้วไปจูบนั้นออกแรงกระตุกรั้งให้อีกฝ่ายหันมาหา และปราบเข้าประชิด

 

 

      "...ใช่.." อาโลอิสสบตาคู่นั้น เอ่ยปากตอบอย่างใจกล้าทั้งที่ตนอยู่ในท่าาทีเป็นรองมากนัก "ข้าไม่อยากให้เจ้าหาย.."

 

 

   ...เพราะเมื่อหาย เราก็ต้องออกไป..และเจ้าก็ต้องกลายเป็นของฟาราสผุ้นั้นอีกครา

 

 

   จึงอยากจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไป..กับข้าเท่านั้น

 

 

     ไคลน์ยิ้ม "...งั้นข้าก็จะไม่หาย"

 

 

     เอ่ยพลางกดริมฝีปากลงไปทาบเรียวปากของอีกฝ่ายอีกครั้ง และถูกตอบรับทันทีราวกับเฝ้ารอมาก่อนแล้ว เรียวลิ้นอ่อนนุ่มแทรกเข้ามาเกาะเกี่ยวสอดประสานกับริมฝีปากของไคลน์ที่เข้ามารุกล้ำ อาโลอิสครางเบาๆในลำคอ ขณะที่ร่างของตนนั้นถูกดันให้แนบกับแผ่นหินเบื้องหลัง ความเย็นเแยบสลับกับความรุ่มร้อนทำให้สติพลันมลายหายไปลงอีกครา

 

 

    ...ถ้าไม่อยากให้หาย ก็จะไม่หาย

 

   เชื่อได้ไหมว่าเจ้าจะอยู่กับข้าตลอดไป?

 

 

   อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ แม้จะรู้ว่านั่นคือคำตอบที่ใกล้เคียงกับคำว่าโกหกและคำโป้ปด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยประท้วงอะไร แม้จะทราบดีอยู่แก่ใจว่ากลิ่นหอมหรือหลายสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึง จะพลันมหลายหายไปยามที่หายดีและมีเรี่ยวแรงมากพอจะไปหาฟาราส ตนก็ยังยอมจะเชื่อเยี่ยงคนที่โง่งมและไร้สติเช่นที่เคยเป็น ยอมหลับตาแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ ด้วยรู้...ว่านี่ก็คือสิ่งที่ตนเองต้องการ

 

 

    ทั้งเจ้าและข้า ต่างก็โง่งม ว่ายวนอยู่ในความลุ่มหลงและคำโป้ปดมดเท็จ

 

 

   แม้จะรู้ว่าผิดก็ยังคงทำไป เพราะรู้ว่าความลุ่มหลงที่มีต่อสิ่งต้องห้ามนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้เพียงเพราะคำว่าไม่ หรือ ไม่ได้

 

   ใครบอกกัน ว่าเทวดา..เทพบุตรนั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่ดีงามและไร้ซึ่งกิเลสตัณหา

 

 

   อำนาจของความใคร่และความรัก ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานได้ แม้จะรู้ว่าสุดท้าย เปลวไฟจะกลับมาคลอกเผาจนตัวตายก็ตาม..

 

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

...ตอนนี้ แฮ่ม ก็ยังเล่นชู้กันอย่างต่อเนื่อง แถมทำน้ำตาลหกใส่อีกต่างหาก

 

ว่าแล้วก็ไปเปิดเพลงแฟนพี่มีชู้ให้ฟาราส//ไม่

 

แอบหมั่นไส้ตาไคลน์นิดๆ  ฮึ่มม คืออยากดมมั่ง5555 //โดนคิล

 

 

ส่วนตอนหน้า.... ไว้เจอกันค่าาา *0*/

ออฟไลน์ loyal_mook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #61 เมื่อ16-07-2014 22:13:15 »

เป็นการเล่นชู้ที่กร๊าววววใจมากกกกกก  :hao6:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #62 เมื่อ17-07-2014 21:26:33 »

 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 32 : ความปราถนา Up 22/7/2557
«ตอบ #63 เมื่อ22-07-2014 10:38:18 »



Lost 32 : ความปราถนา


         ภายใต้หุบผาลึกสุดจะหยั่งในโพรงหินขนาดเล็กมากนักที่เกิดจากการผุพังเนื้อเนื้อดินปรากฏร่างของสองเทพบุตรอิงแอบกันอยู่ หนึ่งนั้นคือร่างของไคลน์ผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวแสดงตนถึงภพแห่งเทพที่มีความงดงามและใสบริสุทธิ์ และอีกหนึ่ง คืออาโลอิสผู้อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทราวกับปีศาจร้าย สองจิตวิญญาณที่แตกต่าง สองร่างที่บัดนี้เคียงคู่และกอดรัดกันแนบชิดเสียจนไม่มีช่องว่าง


     เสียงขยับกายเสียดสีดังขึ้นแผ่วเบายามร่างหนาทาบกายเข้าหา แผ่นหลังแนบกับเพิงหินเย็นเฉียบเมื่อถูกตรึงร่างไว้ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายจนไม่อาจขยับ ขณะที่อาโลอิสสะท้านกายน้อยๆ ใบหน้าแหงนเงยขึ้นรับเอาจูบที่ดูราวกับจะเนิ่นนานมากขึ้นทุกครา ริมฝีปากชาหนึบยามที่ถูกทาบทับและบดเบียดอย่างรุนแรง บางคราดื้อดึงเชิงเอาแต่ใจ แต่บางครั้ง กลับอ่อนหวานชวนหวามไหวเสียงจนลมหายใจสั่นพร่า


      ส่งเสียงประท้วงในลำคอเบาๆเมื่อเจ้าของจูบรุกเร้าไม่ยอมผละห่าง ใบหน้าแดงก่ำและลมหายใจสั่นไหวนั้นดูราวกับจะล้มพับไปเสียได้ทุกเมื่อ อาโลอิสเอื้อมมือไปผลักไหล่อีกฝ่ายเบาๆให้ผละออกไปจากร่างของตน แต่ก็ไม่เป็นผล ยามนี้ดูเหมือน"คนเจ็บแผล"จะได้รับเอาพลังจากจูบที่ราวกับจะสูบกินวิญญาณเมื่อครู่ไปแล้วอย่างเต็มที่ ฉะนั้นแม้เอ่ยปากประท้วงและคัดค้านเช่นไรคนฟังก็ดูราวกับจะไม่ได้ยิน เช่นเดียวกับร่างที่แกร่งราวกับหินผาของอีกฝ่ายที่ไม่แม้แต่จะเขยื้อนไหว


     "....ไคลน์..." อาโลอิสกระซิบเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา หากแต่ยังไร้การตอบรับ ร่างเพรียวสะท้านเฮือกเป็นพักๆเมื่อถูกฝ่ามือหนาและปลายนิ้วนั้นลากผ่านผิวกาย จากใบหน้าไปยังลำคอจรดแผ่นอกขาว ดวงตาสีแดงประกายปรือขึ้นมองสบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนด้วยความลังเลไม่น้อย ทั้งไม่แน่ใจและยังแฝงด้วยความกังวล เพราะรู้ดีถึงสัญญาณที่ถูกส่งต่อมาจากสัมผัสนั้นเป็นอย่างดี


     ".........." ไร้คำตอบใดจากปากของเทพบุตรหนุ่ม หากไคลน์จ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายกลับเงียบๆ ส่งมอบคำตอบบางอย่างภายใต้พายุแห่งความปราถนาที่แผ่เข้าปกคลุมดวงตาคู่นั้นอย่างไม่มีท่าทีว่าจะจางลงไป


     ปลายนิ้วแตะลงเบาๆที่แผ่นอกขาวก่อนจะขยับลากลงมาอย่างเชื่องช้า อาโลอิสกัดริมฝีปากของตนอีกคราขณะที่หรุบตาลงด้วยความรู้สึกอึดอัดบางอย่าง แม้จะรู้ดีว่าความแนบชิดนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ลึกๆแล้วในใจตนต้องการแต่ก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ การผูกสัมพันธ์กับท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ว่าผิดแล้ว การ"ลักลอบ"แตะต้องกันในครานี้ดูจะเลวร้ายยิ่งกว่า


    ..ไม่อาจบอกว่านอกใจ ด้วยตนรู้ว่าใจของอีกฝ่ายนั้นอยู่ที่ฟาราส


   ไม่อาจเอ่ยว่ามันคือการ แอบซ่อน หรือเผลอใจเพราะไคลน์นั้นไม่ได้พลั้งเผลอสักนิด


   เพียงแค่ความต้องการ..


    อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ หวนนึกไปถึงคราที่ตนเองอยู่ในร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ ตัวเขาในร่างมนุษย์ผู้โง่เง่านั้นเคยเอ่ยปากอ้อนวอน ร่ำไห้ ร้องขอให้อีกฝ่าย"กอด"เพียงเพื่อเป็นความทรงจำสุดท้ายก่อนจะลาลับดับสูญไปตลอดกาล รสชาติของสัมผัสที่มอบให้นั้นยังจำได้ดี รวมทั้งความเจ็บปวดยามที่พบว่าอ้อมแขนนั้นหาได้ระลึกว่ากอดตน แต่เป็น"ฟาราส"ผู้ที่ไคลน์รักยิ่ง


    ทั้งที่เจ็บปวดเช่นนั้น ทั้งที่ทรมารเฉกฉะนั้น คราวนี้ก้ยังจะปล่อยให้มันเป็นแบบเดิมอีกหรือ?


    จะยอมรับ...การเป็นเพียงทาสอารมณ์หรือตัวแทนบำบัดความปราถนาอีกหรือไร?


    ความรู้สึกสับสนปั่นปวนในใจยังคุกรุ่น ทำให้ร่างที่เคยหอบสะท้านแน่นิ่งไปด้วยอารมณ์บางอย่าง อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันช้าๆ ด้วยความสับสน หัวใจส่วนหนึ่งนั้นร้องบอกว่าต้องการ..บอกว่าให้ฉกฉวยเอาโอกาสที่หายากในครานี้ไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว แต่ความทรงจำครั้งเมื่อยังอยู่ในร่างของเอนีลนั้นยังตราตรึง ความเจ็บปวดยามทีถูกกอดทั้งที่อีกฝ่ายพร่ำเรียกชื่อคนอื่นนั้นแสบร้าวยิ่งนัก


     เหมือนอีกฝ่ายพอจะรับรู้ถึงท่าทีรึความคิดของตน อ้อมกอดที่เคยรัดแน่นจะคลายออกเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่ละออกจากร่าง แววตาที่สั่นระริกไหวเงยขึ้นไปมองสบดวงตาสีน้ำตาล ไคลน์จ้องมองกลับมาอีกเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกความรู้สึกใดตนไม่อาจทราบ ยังคงเป็นห้วงสีน้ำตาลที่อบอุ่นแต่ก็ลึกล้ำ...ไม่อาจหยั่งรู้ได้ถึงสิ่งที่อยู่ภายใน


     ...ความรู้สึกที่ไม่อาจหยั่งถึงได้นั้นช่างน่าหวั่นระแวงยิ่งนัก


    อาโลอิสหลับตาลง ทำได้เพียงแน่นิ่งไม่ขยับไหว ยอมแพ้ในสิ่งที่ตนไม่อาจเอื้อมถึงและไม่อาจสัมผัสได้  ...อยากรู้ แต่ก็หวาดกลัวคำตอบของมันเสียเหลือเกิน


      ความรัก...ทำไมถึงได้ทรมารเช่นนี้กัน


    ยังคงปราถนา ยังคงต้องการ หลงไหลและยอมทน ซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า


     ...แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบของมันไม่มีทางเป็นรัก..ได้ก็ตาม


    จะมีใครน่าสมเพชเท่าข้าอีกไหม?


      แค่นคิดราวกับกำลังขบขัน ขณะที่จมอยู่กับภวังค์ความคิดที่ทำให้อึดอัดเสียจนแทบหายใจไม่ออกอยู่นานนักในความรู้สึก ไม่นานอาโลอิสจึงสัมผัสได้ถึงความเย็นบางอย่าง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันช้าๆก่อนจะพบว่ามันคือปลายนิ้วของไคลน์ที่แตะลงอีกครั้ง ไม่ใช่แผ่นอกหรือร่างกายส่วนอื่นใดแต่เป็นข้างแก้ม ค่อยเกลี่ยไล้พลางลูบเบาๆ นั่นจึงทำให้ตนได้รู้ว่ายามนี้ผิวแก้มเปียกชื้นด้วยน้ำตาที่ไหลริน


    ...ร้องไห้


   น่าสมเพชและน่าขัน เทพบุตรปีสีดำผู้เลวร้าย ผู้ถูกกล่าวขานว่าปีศาจและไร้หัวใจ กำลังร่ำไห้ออกมาอย่างน่าสังเวชนัก


   ร้องไห้เพราะไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจสมหวังหรือ..รึกำลังร้อง..เพราะทรมารใจเสียจนทนไม่ไหวกับห้วงความคิดอันเลวร้ายของตน


  ...อาโลอิสไม่มีคำตอบใด รู้เพียงบัดนี้ เมื่อยามตนหลั่งน้ำตา มีปลายนิ้วของอีกฝ่ายค่อยปาดเช็ดให้อย่างอ่อนโยนนัก


     "ข้า.....ขอ...ข้---" เงียบลงเมื่อครั้นจะเอ่ยปากกล่าวคำขอโทษก็กลายเป็นหลุดสะอื้นเสียจนไม่อาจกล่าวได้ อาโลอิสขบริมฝีปากตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ดีว่ากำลังทำตัวน่าอับอาย เทพบุตรปีกสีดำควรจะนิ่งเฉย..ควรจะโหดร้ายและไร้หัวใจ ควรเป็นเช่นนั้นหาใช่เอาแต่สะอื้นไห้เมื่อไม่ได้สิ่งของที่ตนมุ่งมาดปราถนาเหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักหักห้ามใจ


    ข้าแพ้แล้ว..พ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียจนหมดแรงในการพยายามคว้าเอาหัวใจของเจ้ามาครอบครอง พ่ายแพ้อย่างน่าอับอายกับเรื่องราวอันโหดร้ายที่ตนเองกระทำไว้ แพ้ซ้ำๆ..ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไหน


    บัดนี้ก็ยังพ่ายแพ้ ต่อความอ่อนโยนที่ทำให้หัวใจที่ด้านชาค่อยๆเคลื่อนไหวอีกครา


    ..ไคลน์..


    เจ้านั้นช่างโหดร้ายกับข้าเหลือเกิน


     "อย่าร้องไห้.." เสียงทุ้มพร่าเอ่ยเบาๆ ชั่วขณะที่ราวกับจะจับได้ถึงความเจ็บปวดเบาบางแทรกซึมมาตามน้ำเสียงของอีกฝ่าย ขณะที่ปลายนิ้วที่แสนอ่อนโยนนั้นไล้ผิวแก้มเบาๆราวกับรักใคร่ อาโลอิสขบปลายฟันแน่น หลับตาลงไม่ยอมจ้อมองแววตาของอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกทั้งอับจนและพ่ายแพ้ เคืองโกรธต่อหัวใจตนเองที่เต้นกระหน่ำด้วยความยินดีทั้งที่ไม่ควรแม้แต่น้อย


     สัมผัสอุ่นชื้นแนบหน้าผากและผิวแก้ม ริมฝีปากหนาพร่างพรมใบหน้าและดวงตา จูบซ้ำเบาๆทั้งยังปลอบประโลมไม่ห่างราวกับจะขอลุแก่โทษ ความอ่อนโยนที่แลกมากับน้ำตาของตนยังผลให้อาโลอิสขบริมฝีปากตนแรงขึ้น พร้อมกันนั้นก็สัมผัสได้ถึงเรียวปากของอีกฝ่ายที่กดทับเบาๆ


     เม้มปากเข้าหากัน นอกจากจะไม่ตอบรับแล้วยังปฏิเสธอย่างดื้อดึงเป็นที่สุด ไคลน์จ้องมองใบหน้าที่เปียกชื้นของอีกฝ่าย รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดจากสิ่งที่ตนพบเห็นและสัมผัส ทั้งยังรู้...รู้ได้ถึงนัยยะของความสับสนและความเจ็บปวดซึ่งถูกส่งมาให้


      ถอนหายใจแผ่วเบา..ยังคงบรรจงพรมจูบทั่วใบหน้าขาวที่บัดนี้แดงเป็นปื้นด้วยน้ำตาอย่างอ่อนโยน ทั้งยังเฝ้าคลอเคลียริมฝีปากแดงช้ำที่เม้มเข้าหากันแน่นคู่นั้น กดทับจูบไล้อย่างอ่อนหวาน พยายามปลุกปลอบและกอดเอาไว้ไม่ให้ห่างด้วยความอาดูร



    อาโลอิส...


    หัวใจไหวสะท้าน คำรักที่อีกฝ่ายมอบให้นั้นก่อร่างชัดเจนในหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อมองเห็นท่าทีและการกระทำของอีกฝ่าย ความอ่อนไหวในแววตาที่ไม่อาจปิดได้มิด รวมทั้งท่าทีและทุกสิ่งที่แสดงออกมาเมื่อตนเข้าใกล้ บ่งชัดถึงรักที่อีกฝ่ายมีและทำให้รู้ว่าตนได้ยึดพื้นที่ในใจของเทพบุตรผู้นี้ไว้มากเพียงไร


   ...สงสาร..ความรู้สึกอ่อนไหวบางอย่างแทรกผ่านเข้ามาท่ามกลางความสับสน ยามได้มองเห็นน้ำตาและท่าทีสับสนของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ตนประจักษ์ชัดว่าอาโลอิสนั้น"รัก"มากเพียงไร ความรักที่ทำให้อีกฝ่ายก่อเรื่องเลวร้าย และความรัก ที่ตอนนี้ทำให้เทพบุตรปีกสีดำในอ้อมแขนกำลังร่ำไห้อย่างน่าเวทนานัก


     ..รักของเจ้าที่มีต่อข้า ทำให้เจ้าทุกข์ทรมารถึงเพียงนี้เชียวหรือ


  ข้าควรจะทำอย่างไรกับหัวใจของเจ้าดี อาโลอิส?


     จ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆขณะที่แนบริมฝีปากลงกับหน้าผากมนอย่างช้าๆ ครุ่นคิดและรำลึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ทั้งการกระทำที่ดีและเลวร้ายนั้นยังคงปรากฏอยู่ในห้วงคำนึง จากเทพบุตรปีกสีดำที่เป็นเพื่อนร่วมรบ กลายเป็นคนที่ตนนึกคั่งแค้นที่พรากคนรักไปจากอก จนไปถึงนึกเวทนากับเคราะห์กรรมที่อีกฝ่ายประสบยามอยู่ในร่างของมนุษย์ มาจนถึงความสงสาร..เมื่อมองเห็นอาโลอิสต้องทุกข์ทรมารเพราะรักมากมายเฉกนี้


    ...เจ้าทำไปเพราะรัก เช่นเดียวกับข้า..ที่โหดร้ายไปก็ด้วยความรัก


    รัก



     ลอบถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาขระที่กอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน ดวงตาของเทพบุตรปีกสีดำผู้ดื้อดึงนั้นยังไม่ยอมเปิดออกบ่งบอกวิสัยอันแน่วแน่ของเจ้าตัวนัก แม้จะเฝ้ากอดประโลมเช่นไรก็ไม่อาจทำให้ดวงตาคู่นั้นเปิดออกมาสบได้ ไคลน์นึกถึงนัยน์ตาสีแดงประกาย ที่บัดนี้คงจะบวมช้ำและเอ่อท้นด้วยน้ำใสไม่หยุดหย่อนแล้วรู้สึกปวดใจขึ้นมาเงียบๆ


      ก้มลงแนบริมฝีปากเข้ากับเรียวปากบางอีกครั้ง กดหนักๆจนเรียกเสียงสะอื้นเบาๆออกมาจากลำคออีกฝ่าย ไคลน์เร่งสอดปลายลิ้นเข้าไปเมื่อเห็นว่าเจ้าของร่างนั้นเผลอตัวขึ้นครู่หนึ่ง ลิ้นร้อนที่สอดเข้ามาทำให้อาโลอิสไม่อาจหลีกหนี แม้พยายามนิ่งเฉย ไม่ตอบรับหรือแสดงอัปกริยาใด แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย


    "...อึ่ก..." เสียงครางพ้อดังออกมาเบาๆราวกับประท้วง ทำให้ไคลน์ผละจูบร้อนแรงแทบไม่ให้หายใจออกมาได้ในที่สุด ริมฝีปากของเทพบุตรหนุ่มยิ้มขึ้นมาเงียบๆเมื่อมองเห็นใบหน้าแดงก่ำนั้น แม้จะยังเจือด้วยเสียงสะอื้นและคราบน้ำตา แต่ปฏิกริยาที่ได้ก็ทำให้ตนพอใจ


    "..อย่าปฏิเสธข้า..แล้วข้าจะไม่ทำอะไรรุนแรง" ส่งเสียงกระซิบพลางขบเรียวปากแดงก่ำคู่นั้นเบาๆเหมือนเป็นคำเตือน เจ้าของวาจาแสนเอาแต่ใจและการกระทำอุกอาจทำให้ความขึ้งโกรธพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันเน่น เปิดดวงตาขึงมองไคลน์อย่างหงุดหงิดด้วยไม่อาจทนไหว


    ตาสบตา หากแต่เมื่อเปิดดวงตามาสบแววตาสีน้ำตาลอ่อนแสนอบอุ่นคู่นั้นกลับทำให้ตนชะงัก หวังจะได้พบท่าทีหยิ่งยโสหรือเจ้าของคำสั่งระคายหู แต่ภาพที่เจอ กลับเป้นรอยยิ้มอ่นละไมและแววตาอ่อนโยนแสนเข้าอกเข้าใจเสียจนหัวอกแปลกวาบ


   ให้เจ้าใจร้าย ให้เอ่ยประณาม ด่าว่าข้าเสียยังจะดีกว่า


   ทำร้ายข้า กล่าวประณามข้า เฉกเช่นนั้นข้าจะได้นึกชิงชังและห่างเหินเจ้าจนหมดรักในที่สุด เจ้าควรจะทำเช่นนั้นมิใช่หรือ


   ได้โปรดอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น...เพราะข้าพ่ายแพ้ความอ่อนโยนของเจ้า ไคลน์



     ฝ่ามือหนาลูบผิวแก้มเบาๆและประทับจูบลงอีกคราในชั่วเวลาที่นิ่งงันไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย อาโลอิสมองเห็นยิ้มบางๆในใบหน้าของอีกฝ่าย รอยยิ้มที่แสดงความเข้าอกเข้าใจหาใช่หยามหมิ่นหรือดูแคลาน ไคลน์ยิ้มให้ตนเช่นนั้นแล้วรั้งตัวไปกอดเบาๆ ...ทำเแกเช่นนี้ แล้วใครจะกระทืบบาทตวาดอึง ร้องโวยวายโกรธขึงออกมาได้?


      "...เจ้าร้องไห้เช่นนี้ ไม่ดีเลย" ไคลน์เอ่ยปากบอกพลางถอนใจเบาๆ มือลูบเช็ดผิวแก้มอีกฝ่ายไม่ให้เปรอะไปด้วยน้ำใสมากกว่านี้ ขณะที่ผู้ฟังนิ่งัน ไม่เอ่ยถ้อยคำใด


       ...จะให้บอกออกไปได้อย่างไรเล่า ว่าข้าร้องไห้เพราะเจ้านั่นล่ะ..


      "...ราวกับข้ากำลังจะขืนใจ" ไคลน์เอ่ยขึ้นมาคล้ายบ่นพ้อ ใจความนั้นก็ดูราวกับ..น่าขบขัน


      "...." อาโลอิสเม้มปากน้อยๆ ยังคงไม่เอ่ยคำใด ท่าทีดื้อดึงพยศไม่ต่างทำให้ไคลน์หัวเราะ


      "...เจ้าทำให้ข้านึกถึง..ตอนที่เราเจอกันแรกๆ" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองผู้ที่อยุ่ในอ้อมแขนเงียบๆพลางยกเส้นผมนุ่มจรดปลายจมูก "ตอนที่ยัง..ต้องร่วมมือกันกำจัดอสูรร้าย ตอนที่เจ้ามีปีกสีดำสองข้าง และตอนที่ข้า.."


     ....ยังคงสานสัมพันธ์อยู่กับฟาราส


    ถ้อยคำที่ผุดขึ้นกลางใจคนทั้งคู่ ทำให้เกิดความเงียบอันยาวนาน..



        "..เจ้านิสัยดื้อดึงไม่ต่างกับยามนี้เลย" ไคลน์เอ่ยขึ้นมาหลังเงียบกันไปครุ่ใหญ่ เทพบุตรหนุ่มเอ่ยปากชวนให้อีกฝ่ายระลึกไปถึงวันเวลาในอดีตยาวนานนั้น ณ ห้วงเวลาที่ได้พบกันคราแรก "เจ้าไม่พูดมาก ไม่เถียง ไม่ปฏิเสธ แต่เมื่อไม่พอใจอะไร จะเม้มปากแน่นแล้วหันไปทางอื่น.."


       "ขออภัยขอรับที่ข้านิสัยเสีย" อาโลอิสถอนใจช้าๆ เอ่ยปากขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นราวกับกำลังประชดประชัน


       "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย.." ไคลน์หัวเราะเบาๆก่อนจะยิ้ม "..มันแค่ทำให้ข้าคิด..ว่าเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย.."


    ...จะมีก็เพียง..เรื่องราวต่างๆที่ผกผันตามกาลเวลา


 หากข้าไม่ได้พบเจ้า หากเจ้าไม่ได้มาพบข้า..หากเราไม่ถูกกำหนดให้ทำภารกิจนั้นร่วมกัน จะเป็นอย่างไร?


จะรู้จักกันหรือไม่ หรือเพียงแต่รู้นามกันอย่างฉาบฉวยและใช้ชีวิตต่อไปตามทางของตน


 หากไม่ได้พบกันวันนั้น..จะได้มีเจ้าอยู่ในอ้อมแขนของข้ารึเปล่า?


 ....และข้า จะนึกเสียดายบ้างไหม?



      ความสงสัยที่ไม่ได้เอ่ยขึ้นผุดในห้วงคิดอย่างช้าๆ ไคลน์จ้องมองเส้นผมสีแดงเข้มของอีกฝ่ายพลางทอดถอนใจเบาๆ ความรู้สึกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคนที่ตนรักและคนที่บัดนี้ตนนึกสงสารจับใจนั้นชวนให้สับสนและหนักใจ


    ..แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้และแน่ใจ ข้าไม่อยากมองเห็นน้ำตาของเจ้า..อาโลอิส


      คิดพลางพรมจูบลงไปบนผิวแก้มขาว ลิ้มชิมรสเรียวปากของอีกฝ่ายที่บัดนี้ค่อยยอมร่วมมืออีกครา ไคลน์สัมผัสเรียวลิ้นและเก็บเกี่ยวเอาความหวานจากริมฝีปากคู่นั้น แม้ในใจจะยังคงรู้สึกค้างคาในบางสิ่ง หากเพียงไม่นาน ตนก็ถูกกลิ่นหอมของกุหลาบเจือคาวเลือดที่บัดนี้เปรอเปื้อนน้ำตานำพาให้เคลิ้มไปจนได้


     เลื่อนฝ่ามือลงไปบนเอวบาง ขณะที่ร่างของอีกฝ่ายสะท้าน อาโลอิสวางมือลงบนไหล่ของตนแล้วออกแรงผลักเบาๆอีกครา นั่นทำให้ไคลน์ค่อยปละจูบออกบ้าง ด้วยกำลังคิดว่าอีกฝ่าย..จะไม่เต็มใจ


     สบตาสีแดงประกายที่บัดนี้ช้ำด้วยน้ำตาคลอหน่วย ท่าทีกัดริมฝีปากเข้าหากันเช่นนั้นดูน่าสงสารเสียจนตนเองหัวใจอ่อนยวบ ไคลนืทำท่าจะผละออกด้วยคิดว่าตนกำลังทำให้อีกฝ่ายสะเทือนใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่อาโลอิสกลับบีบไหล่ของเขาช้าๆ ทำให้ต้องหันกลับไปสบตา


    "ข้า...คืออาโลอิสนะ"


       ถ้อยคำของอีกฝ่ายยังความงวยงงมาให้จนต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง หาเพียงครู่ไคลน์ก็รับรู้ได้ในที่สุด ความทรงจำยามที่ถูกกกกอดแล้วตนเอ่ยเรียกชื่อฟาราสมานั้นคงจะยังฝังตรึงไม่หาย แววตาคู่นั้นจึงสั่นระริกไหว..เจ็บปวด


   "...ข้ารู้"


      รั้งเอาร่างนั้นมาแนบชิด ตาสบตา ใบหน้าจ้องมองกันในระยะห่างเพียงเส้นผมขั้น


   "..และข้าคือไคลน์..จำเอาไว้ให้ดี"


      จรดริมฝีปากลงบนเรียวปากบางอีกครั้ง แนบสนิททั้งยังนิ่งนาน หวังให้ตราตรึง เช่นเดียวกับคำพูดของตนที่เอ่ยออกไป


...เจ้าคืออาโลอิส และข้าคือไคลน์


ถูกแล้ว



ที่นี่ และยามนี้มีเพียงเราสองคน




+++++++++++++++


ตอนนี้ออกแนวมึนๆงงๆสับสนแบบเดียวกับความรู้สึกของทั้งสองคนเลยค่ะ55


คือทั้งอาโลอิสและไคลน์ก้สับสนนะ รู้ว่าไม่ดีแต่ก้อยากทำ รุ้ว่าทำแล้วเจ็บแต่ก็ห้ามไม่ได้ บลาๆ

เห้นมีคนเอ่ยประณามไคลน์ไม่น้อย เอาจริงๆฮีก็น่าสงสารนะคะ จะรักใครก็ไม่แน่ นั่นก็คนรักนี่ก็คนมารัก ความรู้สึกของการโดนรุมรักนี่ใช่แต่จะปลื้ม ลำบากใจก็มี

 โดยเฉพาะในกรณีที่มีแฟนแล้วแต่ดันหวั่นไหวกับคนอื่นแบบนี้ ถ้าเป้นเรื่องอื่นนี่ อาโลอิสก็ตัวร้ายชัดๆ55

//จริงๆนี่ก็ตัวร้ายนะ แต่พอดีคนรักเยอะ ฮ่าา

ส่วนเรื่องจะเป็นยังไงต่อไปเจอกันตอนหน้าค่า



ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 32 : ความปราถนา Up 22/7/2557
«ตอบ #64 เมื่อ22-07-2014 11:25:03 »

ไม่ชอบไคลน์เลย เหมือนมาให้ความหวังอาโลอิสอ่ะ พอกลับไปเจอฟาราสก็จะไม่เห็นหัวอาโลอิสอีก

เด็็วจะยุฟาราสให้ได้กะอาโลอิสซัะนี่  :hao4:

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: LOST ANGEL *Lost 32 : ความปราถนา Up 22/7/2557
«ตอบ #65 เมื่อ22-07-2014 21:46:13 »

เรื่องนี้หม่นทั้งเรื่อง จะเกลียดอาโลอีสก็เกลียดไม่ลง เพราะตอนหลังนางน่าสงสารมากกกกกกกกก
ร้องไห้ไปกับนางทุกตอนนน โฮฮ  :ling1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: LOST ANGEL *Lost 32 : ความปราถนา Up 22/7/2557
«ตอบ #66 เมื่อ22-07-2014 21:50:25 »

มันไม่ชัดเจน มันอึ้มครึม มันโลเลอ่ะแก :katai1:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 33 : ในอ้อมแขน Up 23/7/2557
«ตอบ #67 เมื่อ23-07-2014 22:53:35 »

Lost 33 : ในอ้อมแขน



                 "ข้าคืออาโลอิส"       



                  "ข้ารู้"



                  "..และข้าก็คือไคลน์"



                      อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ ขณะที่คำตอบของอีกฝ่ายดังขึ้นมาในห้วงคิด ไคลน์..เจ้าของอ้อมกอดและคำตอบรับเมื่อครุ่กำลังบรรจงพรมจูบลงบนผิวแก้มของเขาอย่างแผ่วเบาราวกับรักใคร่ยิ่ง เจ้าของเรียวปากคู่นั้นค่อยซับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวให้จางลงไปอย่างอ่อนโยนนัก ขระที่อ้อมแขนของอีกฝ่ายกอดรัดแนบแน่น แผ่ไอร้อนมาแตะต้องยังผิวกายของตน



                       ข้าคืออาโลอิส ..และเจ้าคือไคลน์



                       ไม่ใช่ตัวแทนหรือใครอีกแล้วใช่ไหม?




                      "เย็น....จังนะ" น้ำเสียงที่ดังออกมาทำให้แก้มร้อนวาบ อาโลอิสละออกจากภวังค์ความคิด ขระที่เจ้าของวลีนั้นกำลังวางปลายนิ้วลงกับแผ่นอกแบนราบของตน สัมผัสมันเบาๆและไล้เล่นด้วยท่าทีราวกับเป็นปริศนา ดวงตาสีน้ำตาลอุ่นหวานนั้นเงยขึ้นมาสบตาแล้วหัวเราะเมื่อมองเห็นรอยแดงข้ามแก้ม




                        "...เหมือนกับน้ำ.." ไคลน์เอ่ยขึ้นขณะที่ค่อยเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างอีกฝ่าย จ้องมองผิวกายขาวจัดและลูบไล้ร่างของเทพบุตรปีกสีดำในอ้อมแขนราวกับไม่เคยพบเห็น หากจะบอกไม่เคยพบเห็นคงไม่ใช่ เคยพบ..หากแต่เป็นครั้งแรกที่ได้แนบชิดเสียจนสัมผัสผิวเนื้อใต้ร่มผ้าเฉกเช่นนี้




                          "......." อาโลอิสหน้าแดงวาบด้วยความขัดเขินปนอับอาย ไม่รู้จะเอ่ยปากตอบอีกฝ่ายเช่นไรด้วยตนเองนั้นกำลังอายเสียจนแทบทนไม่ไหว สะท้านไปกับสายตาที่จ้องมองมาราวกับคันศรคู่นั้น แววตาที่ราวกับกำลังจะสำรวจทะลุทะลวงไปเสียทั่วร่างไม่ยอมละเว้นแม้แต่ตารางนิ้ว




                           "..เจ้าจะไม่ตอบข้าหน่อยหรือ..?" คำถามกระเซ้าเย้าแหย่นั้นยังคงดังมาเสียจนต้องออกแรงทุบเบาๆด้วยความขัดเขิน ดวงตาสีแดงประกายหันไปสบมองเจ้าของวลีที่กำลังยิ้มซุกซนและสบตาตนอยู่ ไคลน์แตะริมฝีปากลงบนต้นคอขาวพลางขบเม้มเบาๆสร้างร่องรอยไว้บนผิวกายอีกฝ่าย หัวเราะเบาๆในลำคอ เมื่อมองเห็นผิวแก้มแดงจัดด้วยความขัดเขินนั้น




                            อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ ร่างสะท้านไหวเมื่อริมฝีปากร้อนนั้นพร่างพรมลงทั่วร่าง หากไม่ใช่อุปมาหรือด้วยคำพูดของอีกฝ่าย ตนก็ได้ประจักษ์ว่าริมฝีปากคู่นั้นช่างร้อนนักเมื่อยามทาบผิว ความแตกต่างที่เกิดขึ้นทำให้คิดว่าร่างนี้คงจะเย็นเแยบเช่นที่ไคลน์เอ่ยพูด เมื่อลมหายใจร้อนเป่ารินรดเมื่อใดตนเองจึงต้องสะท้านไปทุกครา




                            ..หรือ จะเพราะด้วยมันคือสัมผัสของเจ้ากัน




                           ไม่อาจตอบคำถามใดที่ผุดขึ้นมาได้ท่ามกลางกระแสความปราถนาที่เริ่มเชี่ยวกราก อาโลอิสรับรู้ได้ว่าร่างของตนถูกปลบเปลื้องอาภรณ์ไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นถึงผิวเนื้อและเรือนร่างทั่วทุกขุมขน สายตาสำรวจรวจตรานั้นทำให้ผิวแก้มร้อนผ่าว..อับอาย..แต่ก็ยังสะท้านด้วยความปราถนาในส่วนลึกทีถูกปลุกขึ้นมา



                          "อาโลอิส.." เสียงกระวิบหวานแผ่ว ริมฝีปากแวะเวียขึ้นมาแตะเรียวปากอีกคราทำให้ตนครางในลำคอเบาๆแล้วแนบเรียวปากตอบไปพร้อมส่งปลายลิ้นเข้าสัมผัสเรียวลุิ้นซุกวนของอีกฝ่าย เสียงเรียกชื่อตนเองซ้ำๆนั้นทำให้หัวใจพองโตด้วยความปิติ สำนึกรู้บอกตนเองว่านี่คืออาโลอิส..อาโลอิสผู้อยุ่ในร่างของอาโลอิสที่แท้จริงกำลังถูกไคลนืกกกอดและสัมผัสอยู่



                           ...ถูกเจ้ากอดจริงๆและได้อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าจริงๆ หาใช่ถูกกอดในร่างของผู้อื่นอีกแล้ว



                           ความยินดีที่แล่นวาบขึ้นมาพร้อมกับความสุขสมทำให้หัวใจสั่นสะท้าน อาโลอิสหลับตาลง พึมพัมชื่ออีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมาในใจ..




                           ไคลน์....ไคลน์...





                            ..แม้ไม่อาจเป็นเจ้าของตลอดไป แต่ในยามนี้..ตอนนี้ เจ้าเป็นของข้า




                           "อาโลอิส..." ยอดอกถูกงับเบาๆพร้อมลมหายใจร้อนรินรด อาโลอิสผิวแก้มแดงวาบ ขยำขยี้อาภรณ์สีขาวจัดในอุ้งมือตนแน่นด้วยความขัดเขิน ริมฝีปากอ้าออกหอบและระบายลมหายใจช้าๆ




                           "...จะไม่เรียกชื่อข้าหน่อยหรือ?" ไคลน์ผู้ละความสนใจจากยอดอกสีอ่อนเงยหน้าขึ้นมาถาม ตาสบตา หากใจความนั้นยิ่งทำให้ผิวแก้มแดงก่ำเสียจนแทบลามไปทั่วร่าง




                           "....ขะ...ข้า..." เรียวปากขยับเอ่ยตะกุกตะกัก อาโลอิสพึมพัมอะไรบางอย่างด้วยความเขินอาย ท่าทีนั้นทำให้ไคลน์หัวเราะ




                           "..เด็กน้อย.." น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูปนขบขัน เจ้าของวลีค่อยประทับเรียวปากลงไปทาบริมฝีปากบางอีกครา ก่อนจะรั้งเอาปลายนิ้วสีขาวแตะบนแผ่นอกของตน "ถอดเสื้อให้ข้าหน่อย.."




                         ฝ่ามือขาวสั้นระริกยามค่อยแตะลงบนแผ่นอกอีกฝ่ายและปลดเปื้องอาภรณ์สีขาวบริสุธิ์ออกช้าๆ ท่าทีอ่อนเดียงสาราวกับไม่เคยถูกแตะต้องนั้นทำให้ไคลน์ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูนัก เทพบุตรหนุ่มนิ่งรออ่ย่างใจเย็นกระทั่งอาภรณ์ของตนหลุดเลื่อนออกจากกายจึงค่อยเอื้อมมือไปหาแล้วนำปลายนิ้วของอีกฝ่ายทาบลงอกซ้ายของตนเบาๆ




                        จังหวะที่ตนรับรู้ผ่านปลายนิ้วนั้นทำให้หัวใจอุ่นวาบ รู้สึกยินดีนักที่คนตรงหน้าก็หวั่นไหวไม่ต่างกัน อาโลอิสจ้องมองใบหน้าของไคลนื สบตาคู่สีน้ำตาลอีกครั้งราวกับไม่รู้จะทำอย่างไรต่อสิ่งที่เกิด แม้ตนจะอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย แต่บัดนี้กลับนิ่งสนิทราวกับจะกลั่นแกล้ง





                       "....ไคลน์.." น้ำเสียงไหวสะท้านเอ่ยออกเป็นนามของตนราวกับวอนขอ เทพบุตรหนุ่มยกริมฝีปากขึ้นช้าๆ จ้องมองดวงตาสีแดงประกายที่กำลังอ้อนวอนก็พลันยิ้มออกมาอย่างอาดูร



 
                        "..มาสิ..อาโลอิส.." กระซิบชื่ออีกฝ่ายตอบรับทันควันขณะที่ขยับปลายนิ้วสัมผัสเรือนร่างบางให้สั่นไหว ไคลน์จ้องมองอีกฝ่าย เพียงไม่นาน ฝ่ามือนั้นก็วางลงบนไหล่และอาโลอิสเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าไปหา เพื่อขออยู่ในอ้อมแขนและขอรับมอบจูบหวานๆนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ




                        เสียงลมหายใจหอบเบาๆสอดรับกับเสียงขยับกายตามจังหวะอันเก่าแก่ แม้ร่างของคนทั้งคู่จะไม่มีอาภรณ์ใดปกปิดแต่ดูราวกับความหนาวจะไม่ย่างกรายเข้ามาหา ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวจัดบัดนี้แดงวาบไปทั่วกาย เสียงครางวะหวิวที่ดูคล้ายเสียงสะอื้นยังคงดังแผ่วเบาในลำคอ ใบหน้าที่เคยเฉยชาบัดนี้กลับแดงก่ำ ริมฝีปากหอบสะท้านบ้างก็ขบกัดสลับกันราวกับระบายอารมณ์




                     ฝ่ามือวางลงบนบั้นเอวช่วยขยับควบคุมจังหวะ ขณะที่ท่อนแขนขาวพาดลงกับไหล่ สลับทั้งเกาะกุมและจิกทั้งระบายอารมณ์ใคร่ ไคลน์พรมจูบลงบนต้นคอขาวเสียจนแทบไม่มีช่องว่าง ให้กุหลาบเบ่งบานอยู่บนร่างอีกฝ่ายที่บัดนี้ยิ่งทวีความหอม..หอมเสียจนแทบคลั่ง หอมเสียจนต้องออกแรงขยี้ขย้ำผิวกายขาวให้มากขึ้น บีบเคล้นสะโพกอีกฝ่ายแล้วเสือกกายเข้าหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับไม่อาจทนไหว



                    ขบริมฝีปากลงบนยอดอกขาว กัดเบาๆร่างเพรียวก็สะท้านแล้วส่งเสียงครางครวญออกมาไม่หยุด อาโลอิสปรือนัยน์ตาขึ้นมามองสบตาอีกฝ่าย ท่ามกลางพายุปรารถนาอันเชี่ยวกราก เขามองเห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาเช่นเดียวกับที่ตนรู้สึก เพียงเท่านี้ก้ทำให้พอใจเสียจนต้องโน้มไปหน้าลงใบคลอเคลียกับเรียวปากอีกฝ่าย ให้ละความสนใจจากการปรนนิบัติยอดอกเล็กที่บัดนี้แปรเป็นสีเข้มมายังเรียวปากอันแห้งผากด้วยความปรารถนา



         
                   ส่งเสียงครางกระชั้นในลำคอเมื่อจังหวะอันเร่งเร้าใกล้จะไปถึงที่สุด อาโลอิสจิกปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย ทั้งยังครุดรั้งไม่เบานักเพื่อระบายอารมณ์ปราถนาที่คุกกรุ่น ขระที่ไคลน์แทรกเรียวลึ้นเข้ามาจาบจ้วงอย่างดุดันตามอารมร์ปราถนาที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่อาจจะยับยั้ง ร่างแกร่งเสือกกายเข้าหาไม่หยุด เช่นเดียวกับร่างของอาโลอิสที่โถมตัวเข้าหา ทั้งสองกระทบกันดั่งคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่ สายน้ำก็กระเพื่อมไหวรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น



                     "...อ่ะ...ไคลน์...ไคลน์" ส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่หยุดเมื่อผละออกมาจากริมฝีปากหนา อาโลอิสร่ำร้อง นัยน์ตาที่มีน้ำตาคลอเอ่อนั้นค่อยรินไหลลงเงียบๆ ไม่ใช่ด้วยความเจ็บปวด แต่เป็นสุขนักเมื่ออยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย ยามที่ไคลน์ได้แทรกกายเข้ามารู้สึกราวกับถูกรักถูกกกกอดแม้กระทั่งในที่ๆตนไม่อาจมองเห็น เป็นความปิติยินดีที่มากล้นเสียจนไม่อาจกลั้นไว้ได้




                  "อาโลอิส.." เสียงกระซิบพร้อมลมหายใจร้อนๆยิ่งทำให้ร่างสะท้านไหว อาโลอิสตัวสั่นอย่างไม่อาจห้ามได้เมื่อเรียวลิ้นของอีกฝ่ายแลบเลียน้ำตาที่ไหลลงข้างแก้มจรดใบหู สัมผัสร้อนที่แล่นวาบตามไปเป็นทางนั้นทำให้ตนรู้สึกดีเสียจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาอีกครา ได้แต่แสดงออกด้วยเสียงครางสะท้านไหว และแรงจิกของเล็บบนแผ่นหลังอีกฝ่ายที่มากขึ้นทุกครา



                   เส้นทางของความปรารถนาเริ่มถี่กระชั้น ยิ่งร้อนแรงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้สมองพร่าเลือนจนแทบไม่อาจจดจำได้ถึงสิ่งใด อาโลอิสเม้มปากแน่น พยายามกลั้นเสียงครางของตนไว้แต่ก็ถูกเรียวปากแสนเอาแต่ใจนั้นเข้าครองครองให้เหลือเพียงเสียงร้องครวญในลำคอแสนหวานหู ขณะที่ไคลน์ขยับกายอย่างรุนแรงไม่ยอมหยุดพัก รวบเอาร่างบางที่ขยับไหวอยู่บนกายตนให้ทรุดลงบนตักเพื่อเติมเต็มความปราถนาอันรุนแรงที่ล้นทะลักออกมาในที่สุด



                 อาโลอิสหลับตาลง จอกแผ่นหลังอีกฝ่ายแน่นเมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนที่หลั่งเข้ามาภายในกายตนซึ่งส่งผลให้ร่างสั่นสะท้านและปลอดปล่อยอกมาอย่างไม่อาจกลั้นไหว เสียงร้องด้วยความปิติถูกปิดกลั้นไว้ด้วยเรียวปากของอีกฝ่ายที่ขบเม้มอย่างรุนแรง ทั้งหยอกเย้าและสัมผัสเพิ่มเต็มเต็มความปราถนาอันคุกรุ่นไม่ยอมมอดดับลงง่ายๆ แม้จะปลอดปล่อยไปแล้วก็ตาม




                  อาภรณ์สีขาวและดำสนิทกลายเป็นผืนผ้าสำหรับรองรับร่างที่ถูกนำให้เอนลงกับพื้นหิน  ร่างขาวจัดถูกดันให้เอนกายลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับร่างของไคลน์ที่เข้าทาบทับ เสียงคราวแผ่วหวิวยังไม่อาจดังออกมาจากริมฝีปากของอาโลอิสด้วยซ้ำเมื่อเรียวปากของตนถูกบดขยี้อย่างเอาแต่ใจ เทพบุตรปักสีดำที่บัดนี้ถูกกกกอดเสียแนบแน่นจนแทบไม่มีช่องว่างได้แต่ร้องครวญระทดระท้อ เมื่อรู้ว่าบทหนึ่งแห่งความปราถนาที่จบลงไปนั้นกำลังจะมีบทที่สองตามมาติดๆ...



++++++++++++++++++++



         

       
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2014 22:33:01 โดย Serin »

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 33 : ในอ้อมแขน Up 23/7/2557
«ตอบ #68 เมื่อ23-07-2014 22:59:11 »

                 
                     เสียงเห่าหอนของสัตว์ร้ายดังขึ้นเมื่อความมืดแผ่เข้าปกคลุมอีกครา ความหนาวเหน้บแผ่ลงมาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวของสายลมและเสียงครวญของวิญญาณอันไม่มีที่ไป ราตรีของดินแดนใต้พิภพย่างกรายเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับความเคลื่อนไหวในซอกหินใต้หุบเหวแห่งหนึ่ง ไม่มีแสงสว่างปรากฏหรือเล็ดลอดออกมาให้เห็น แต่กลิ่นอายบางอย่างบ่งชัดว่ามีสิ่งมีชีวิตซุกว่อนตัวอยู่อย่างเงียบเชียบ


                    อ้อมแขนที่รักแน่นขึ้นเมื่อแว่วเสียงเห่าหอนของอมนุษย์ที่พวกตนไม่เห็นตัวนั้นทำให้อาโลอิสนิ่วหน้าน้อยๆ ร่างของเทพบุตรปีกสีดำบัดนี้อยู่ในอ้อมแขนของเทพบุตรปีกสีขาวนามว่าไคลน์ มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายกอดรวบเอวของตนไว้ ขณะที่ในมือของอาโลอิสมีแขนข้างที่เกิดแผลเพราะสัตว์ร้ายนั้น และตนกำลังพิจารณามันอย่างจริงจัง




                     "อาโลอิส..." น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหูทำให้อาโลอิสรับคำเบาๆ ดวงตาสีโลหิตยังคงไม่ลออกไปจากรอยแผลสีดำสนิทที่หนังมืออีกฝ่าย



       
                      "...มันอาจจะเป็นรอยแผลเป็นเช่นนี้ตลอดชีวิต" อาโลอิสเอ่ยขึ้นพลางแตะปลายนิ้วลงไปเบาๆ




                      "..แค่เล็กน้อยเอง" ไคลน์ไม่ได้แสดงความสนใจอะไรนัก เพียงแต่เอ่ยปากตอบอีกฝ่ายเบาๆ




                      "แผลที่ไม่มีวันหาย จะยังเจ็บและเจ็บอยู่ต่อไปเรื่อยๆ" เสียงของเทพบุตรปีกสีดำดูเคร่งเครียดนัก ดูผิดแผกกับคำพุดที่บอกย้ำว่าไม่อยากให้รอยแผลนี้หายในที่สุดราวกับคนละคน "มันจะดีหรือ?"




                      "แผลข้าไม่หาย เจ้าควรจะดีใจมิใช่รึ?" ไคลนืถามพลางหัวเราะเบาๆ อดจะเอ่ยปากเย้าขึ้นมาไม่ได้




                        "...ข้า" อาโลอิสอึกอักก่อนจะเม้มปาก "เป็นห่วง..."




                         "ข้าไม่เป็นไร ข้าบอกเจ้าแล้ว" ไคลน์ถอนใจช้าๆ ออกแรงกอดรัดร่างของอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกนิดก่อนจะยิ้ม "ห่วงตัวเองเถิด ว่าเจ็บมากไหม?"




                        วาจานั้นทำให้ผิวแก้มร้อนฉ่า ไม่ต้องบอกตนก็รุ้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร หลังจากถูกกกกอดครั้งแล้วครั้งเล่าเสียจนแทบนับไม่ไหว กว่าจะผละออกจากกันมาได้ ร่างของอาโลอิสก็มีแต่รอยแดงเต็มไปหมดราวกับถูกมดกัดสักร้อยตัวกระนั้น 




                         "..ข้าก็ไม่เป็นไร"




                        "..จริงรึ?" คำตอบอุบอิบด้วยความขัดเขินทำให้ไคลน์เลิกคิ้วด้วยรอยยิ้ม




                        "ข้าก็บอกแล้ว..." อาโลอิสกระแอมเบาๆ เอ่ยตอบด้วยท่าทีมั่นคงขึ้น




                        "ไม่เป็นไรก็ดี" ไคลน์หัวเราะ ปลายนิ้วแตะผิวแก้มอีกฝ่ายเบาๆ "ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าร้องไห้อีกแล้ว"




                        "..........." วาจานั้นทำให้อาโลอิสนิ่งเงียบ เม้มปากเข้าหากันช้าๆก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ "แค่เพียงข้าร้องไห้ เจ้าไม่จำเป็นต้อง..."




                          ...ปลอบใจ ด้วยการกอดข้าแบบนั้น




                         ถ้อยคำที่ตนเองไม่ได้เอ่ยออกไปกังวานขึ้นมาในใจเงียบๆ




                       "ไม่จำเป็นอะไรรึ?" ไคลน์เอ่ยถาม เลิกคิ้วขึ้นครุ่หนึ่งคล้ายกำลังฉงน



                       "ไม่มีอะไร"




                       "....ข้ากอดเจ้าด้วยความต้องการของข้าเอง" ไคลนืเอ่ยขึ้นมาเบาๆราวกับรู้ถึงถ้อยคำในใจอีกฝ่าย "เช่นเดียวกับเจ้า..ที่ให้ข้ากอดด้วยความเต็มใจของตน..หรือไม่ใช่?"




                        "...ใช่ ข้าไม่ได้ฝืนใจอะไรนะ ข้---" รีบเอ่ยรวดเร็วราวกับกลัวอีกฝ่ายจะขัดเคืองหนัก หากพอนึกได้อาโลอิสหุบปากฉับ ส่วนคนฟังก็หัวเราะ




                         "...เด็กดี.." คำชมราวกับว่าตนเองนั้นเป็นเด็กน้อยจริงๆทำให้นึกเคืองใจ แต่ฝ่ามือที่ลูบเบาๆนั้นพอจะยกโทษให้ได้บ้าง อาโลอิสยิ้มออกมาบ้างๆขณะที่ไคลน์จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่าย แม้ต่างฝ่ายจะยิ้ม แต่ทั้งสองกำลังครุ่นคิด




                         หลังจากกกอด ร่วมรัก อยู่ในอ้อมแขนของกันและกันแล้ว จะทำอย่างไรต่อเล่า?




                        ไม่ว่าจะทำลงไปด้วยเหตุผลใด อารมณ์ความต้องการ ความปรารถนา ความสงสาร..หรือความรัก แต่หลังจากนี้ เราจะเป็นเช่นใดกันต่อ




                         "ไคลน์..." นิ่งเงียบอยู่นาน ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเหน็บขึ้นราวกับไม่มีเหตุผล อาโลอิสก็เอ่ยขึ้นมาช้าๆ




                         "อะไรหรือ?" ไคลน์เอ่ยถามขึ้นมาอย่างใจลอย ดวงตายังคงจับจ้องเส้นผมสีแดงเข้ม




                         "หลังจากนี้...." ถ้อยคำที่เปรยขึ้นมาทำให้ร่างของไคลน์เกร็งขึ้นฉับพลัน ดวงตามองสบตาสีแดงประกายที่แฝงไปด้วยแววของบางสิ่ง..ที่ไม่ชวนให้ดีใจเอาเสียเลย




                        สังหรณ์บางอย่างเเล่นวาบ นั่นทำให้ไคลน์จ้องมองคนในอ้อมแขนอย่างจริงจังมากกว่าเดิม





                       อาโลอิสนิ่งเงียบ กลืนน้ำลายลงคอ ขณะเอ่ยปากบอกความคิดที่ตกค้าง..ค้างคามานานในหัวใจ




                       ...หาก ต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้




                       มันควรจะ..




                      "ข้า..ควรจะเลิกรักเจ้าแล้วใช่ไหม?"



                      เมื่อเจ้ากอดข้าอย่างอ่อนโยนมากขนาดนั้น เมื่อเจ้ายิ้มให้ข้าเช่นนี้ ข้าควรพอใจ และปล่อยมือจากไปให้เจ้ากลับไปอยู่กับคนที่ตนเองรัก ใช่หรือไม่?




                       ...เมื่อออกไปจากโพรงถ้ำแห่งนี้ ทุกสิ่งก็ควรจบลงเสียที แบบนั้นใช่ไหม?
       


                       ...เจ้ามอบความรักและความสงสารให้ข้ามากมากเสียขนาดนี้ ข้าควรจะพอใจ และจากไปจริงๆเสียที



                        เพราะอย่างไรคนที่เป็นคู่ครองของเจ้าก็คือฟาราส



                         ...ความสัมพันธ์เช่นนี้ ไม่มีทีให้กับอาโลอิส



+++++++++++++++++++++++++++++


ตอนนี้มาหื่นแบบเบาๆ (เบาเหรอ..) ในถ้ำมันพื้นที่น้อย เลยต้องอยู่ท่าแบบนี้ล่ะค--- //โดนแบนฐานติดเรทไป

แต่ตอนบนหวาน ตอนล่างดราม่าซะได้ แบบนี้สินะที่เรียกได้ตัวแล้วจากลา/ม่าย55

แล้วเจอกันตอนต่อไปค่าาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2014 22:32:31 โดย Serin »

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
«ตอบ #69 เมื่อ24-07-2014 19:33:35 »

ตัดใจๆๆๆๆๆๆ จะได้ไม่เจ็บอีก  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
« ตอบ #69 เมื่อ: 24-07-2014 19:33:35 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
«ตอบ #70 เมื่อ24-07-2014 21:47:26 »

เฮ้อออ  มันหน่วงนิด ๆ   

เอ่อ  ลงข้ามตอนหรือพิมพิ์เลขตอนผิดรึเปล่าคะ   ข้ามมาตอนที่ 34  แล้ว ตอน 33  อยู่หนใด 


ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 24/7/2557
«ตอบ #71 เมื่อ24-07-2014 22:14:18 »

Lost 34 : อสูรกาย


                     "ข้า..ควรจะเลิกรักเจ้าแล้วใช่ไหม?"




                      ถ้อยคำนั้นทำให้ไคลน์นิ่งงันอย่างไม่อาจจะเอ่ยคำใด



   
                      เทพบุตรหนุ่มมองใบหน้าของอีกฝ่ายและสบมองนัยน์ตาคู่นั้น ดวงตาสีแดงประกายนั้นแฝงแววจริงจัง ถ้อยคำที่เอ่ยมานั้นบ่งชัด..ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น




                      เลิกรัก...




                     ถ้อยคำที่ออกมาควรจะทำให้ดีใจใช่หรือไม่ หากอาโลอิสเลิกมุ่งหวังในตัวของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับฟาราสก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่ต้องนิ่งกังวลว่าจะถูกทำร้ายหรือไม่อีกต่อไป อีกทั้งเมื่อเป็นเช่นนี้ตนก็อาจจะยังพอคบหากับอีกฝ่ายเป็นสหายเฉกเช่นที่เคยหวัง





                    ที่ผ่านมา ไคลน์นั้นเคยนึกแคลงใจ เคยกังวล และไม่เชื่อกับคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่ต้องยอมรับ ไม่เคยมีครั้งใด ที่ตนจะภาวนาให้อาโลอิส..เลิกรัก





                   ..ทั้งที่หากเลิกรักข้าแล้วทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่ข้าก็ไม่เคยมุ่งหวัง ไม่เคยคิดให้เป็นเช่นนั้น




                   ไคลน์กลืนน้ำลายช้าๆ คำว่าเลิกรักจากปากอีกฝ่ายนั้นยังผลให้หัวใจเย็นวาบ..อิทธิพลที่ส่งต่อถึงทั้งที่ไม่ควรจะมีทำให้ตนนิ่งงันไปอย่างไม่รู้จะทำเฉกเช่นใด





                   "เจ้าเพียง....." ริมฝีปากขยับอย่างเชื่องช้า จ้องมองดวงตาสีแดงประกายที่บัดนี้หม่นครึ้ม "..อยากให้ข้ากอด แล้วตัดใจ อย่างนั้นหรือ?"




                    อาโลอิสนิ่งฟังคำตอบของอีกฝ่าย หากสิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้ตนหลุดหัวเราะ ความคาดหวัง..ความหวังอันเลือนรางที่ตนอยากให้คนผู้นี้เอ่ยปากบอกว่าไม่ยอม..ไม่ยอมให้เลิกรัก ไม่ยอมให้ตนนั้นตัดใจและออกไปห่างจากวิถีของตน ความหวังแล้งๆที่ได้มาด้วยอ้อมกอดของอีกฝ่ายบัดนี้ก็พังยับลงไปต่อหน้า






                    ..คิด..เช่นนั้นจริงๆหรือ?




                   หากให้กอดแล้วสมใจ..จึงเลิกรัก คิดเช่นนั้นหรือ?




                   "...ข้าเคย.." อาโลอิสตอบอีกฝ่ายเสียงเรียบสนิท "เคยคิดจะเป็นเช่นนั้น ในยามที่อยู่ในร่างของมนุษย์ผู้หลงโง่งมงาย ข้าเพียงแค่คิดว่า..ขอให้ไคลน์กอดข้าเพียงครั้งเดียวแล้วข้าจะติดใจ..." ปลายหางเสียงสั่น..ราวกับกำลังหัวเราะ




                   "แต่มาในยามนี้ มันไม่ใช่แล้ว ข้าไม่เคยคิดว่าให้เพียงกอด แล้วจะยอมตัดใจ ไม่ใช่แบบนั้น"




             ".............."




                   "เพราะข้ารักเจ้า" ถ้อยคำหนักแน่น ดวงตาที่ทอประกายวาบยามเอ่ยบอกรักทำให้หัวใจพองขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความปิติ "ข้ารักเจ้า จึงไม่อยากจะทำความวุ่นวายมากกว่านี้ เพียงแค่ถูกกอด เพียงแค่ถูกรัก แม้วันเดียว แม้เครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วเพราะอ้อมกอดของเจ้าอบอุ่นเช่นนี้...ข้าจึงยอมตัดใจ"




             ".............."




                   "....เจ้าใจดีเหลือเกินไคลน์...ใจดีและอ่อนโยนยิ่งนัก ข้าคือคนที่หลงรักความอ่อนโยนของเจ้า" หัวเราะขื่น หลางหลับตาลงช้าๆแล้วยิ้ม "..เพราะเจ้าใจดี ความใจดีของเจ้าจึงทำร้ายข้ามากนัก..ข้าควรจะเลิกรัก เลิก ก่อนที่ตัวเองจะขาดใจตาย.."




                   "เห็นไหม...ข้าไม่ได้ทำเพื่อใคร ข้าทำเพื่อตัวเอง"





                   "..............." ถ้อยคำที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายทำให้ไคลน์นิ่งเงียบ เทพบุตรหนุ่มเงียบไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เงียบและไม่อาจเอ่ยคำพูดใดๆออกมาขณะที่ตนค่อยรับรู้และซึมซับสิ่งที่เจ้าของดวงตาสีแดงคู่นี้ต้องการจะเอ่ยบอก




                    ...เลิกรักข้าเพียงเพื่อตัวเอง




                     บางครา นี่อาจจะถูกต้องที่สุดแล้ว




                      รักข้าต่อไปเจ้าก็ไม่ได้อะไร รักข้าต่อไปเจ้าก็ต้องเจ็บปวดเพราะข้ามีฟาราส..บทสรุปของอ้อมแขนและการร่วมรัก ที่สุดคือเจ้าและข้าสามรถมองทางเลือกที่ดีกว่าการมาจมปลักกับความสับสนและความรู้สึกผิดต่อฟาราสผู้ที่ไม่ได้มีความผิดใดเลย




                      "...เลิกรักข้า และปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพฝัน" ไคลน์เอ่ยช้าๆ พลางจ้องมองใบหน้าอีกฝ่าย "เจ้าต้องการเช่นนี้ ใช่หรือไม่?"




                     "หรือเจ้ามีทางเลือกอื่นใดเล่า" อาโลอิสเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา




                     "...ทางเลือกที่เจ้าเลือกนั้นย่อมถูกต้องแล้ว ดีแล้ว และควรแล้วที่ตนจะทำ" ไคลน์จ้องมองอีกฝ่าย อ้อมแขนที่เคยกอดรอบเอวบางค่อยผละออกไปก่อนจะสุดหายใจลึก "ข้าเพียง มีอย่างหนึ่งที่อยากรู้"




                     "อะไร..." อาโลอิสเอ่ยเสียงเบา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันช้าๆ แววตาหรุบลงเงียบๆ




                     "เจ้าจะร้องไห้อีกไหม?"




                     "............."




                      "หากเลิกรักข้าแล้ว....อย่าได้ร้องไห้อีกล่ะ อาโลอิส"





                      สิ้นคำ...สายฝนก็พร่างพรูลงมาจากดวงตา




                     ไคลน์จ้องมองน้ำใสที่ร่วงพรูลงมาจากดวงตาสีแดงที่บัดนี้หม่นครึ้ม แม้จะไม่ได้มองตาคู่นั้นโดยตรงด้วยเจ้าตัวหันหน้าหนี แต่ทว่าท่าทีนั้นก็ไม่อาจปิดบังหยุดน้ำใสที่เกลื่อนพรูลงมาได้ราวกับไม่อาจกั้น แม้ว่าเจ้าของมันจะหยุดได้เกือบจะทันทีก็ตาม




                     อาโลอิสยกแขนขึ้นปิดหัวตาตนเองแรงๆ นัยน์ตาแดงก่ำไม่อาจปกปิดหยดน้ำตาที่พรั่งพรูลงราวกับไม่อาจทานทนไหว หากจะถุกต่อว่าต่อขาน ดูหมิ่นหยามเหยีดหรือพูดจาเลวร้ายใส่นานัปการนั้นยังว่าพอรับได้ ตนเองทำใจไว้แล้ว จึงได้เลือกสรรถ้อยคำที่เจ็บแวสบที่สุดมาใช้ หากแต่ผลตอบรับ กลับเป็นวาจาที่แสนอ่อนโยนนัก




                      . .อย่าร้องไห้....อย่าร้องไห้




                      คำพูดนั้นยังคงอ่อนโยนและตราตรึง ชวนให้ระลึกถึงห้วงเวลาที่อีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงมายังผิวแก้มแล้วพร่ำบอกข้างหู..อย่าร้องไห้ ไคลน์ผู้พ่ายแพ้น้ำตาของข้ายังคงพร่ำบอกซ้ำๆราวกับตัวเขาไม่ได้เอ่ยวาจาเสียดหูออกไป




                      บอกให้ข้าอย่าร้องไห้ แล้วข้าจะตัดใจได้อย่างไร




                      "เจ้า....." อาโลอิสกัดริมฝีปากเอ่ยออกมาอย่างยากเย็นยามที่ก้อนสะอื้นยังจุกบริเวณลำคอไม่หาย "...ขี้โกง..เจ้า..กำลังแกล้งทรมารข้า.."




                      "อาโลอิส..."




                      "ทำไมถึงไม่ด่าว่า ทำไมถึงไม่ประณามข้าล่ะ....ห่วงข้าทำไมกัน ไคลน์..." อาโลอิสก้มหน้าลงอย่างอับจนหนทาง ใบหน้าก้มตา "ทำไมถึงไม่ด่าว่าข้าเหมือนที่เจ้าเคยเป็นล่ะ...ทำไมกัน"




                      ไคลน์มองภาพเบื้องหน้าช้าๆ  ฝ่ามือที่ยกขึ้นคล้ายจะเอื้อมไปวางลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลมค้างออกและวางลงเงียบๆ เทพบุตรหนุ่มจ้องมองภาพที่ทำให้ตนปวดใจนักเบื้องหน้า หัวใจเจ็บหนึบอย่างไม่รู้ตัว




                      ก้มมองฝ่ามือของตนช้าๆ ราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่ง ไคลน์กำมือแน่นสุดหายใจลึก




                      "...จะให้ข้าประณามเจ้าได้อย่างไร" เอ่ยช้าๆพลางถอนหายใจแผ่วเบา "ในเมื่อรักของเจ้าที่มอบให้ข้ามีมากมายปานนี้.."





                       "ข้าจะไม่รักเจ้าแล้ว!" เสียงของอาโลอิสร้องบอกทันควัน




                       "....ข้ารู้"




                       "ข้าจะตัดใจจากเจ้า..."





                        "ข้าเข้าใจ.."




                        "..เจ้าควรจะด่าว่าข้า..ทำร้ายจิตใจข้าจนข้าเกลียด เกลียดเจ้าจนฝังใจ..ไคลน์" อาโลอิสเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง





                        หากไคลน์กลับยิ้ม "...อย่างน้อย ข้าก็จะมีตัวตนในความทรงจำของเจ้า เป็นคนที่เจ้าเกลียดที่สุด ใช่หรือไม่?"





                       "ใช่..." ดวงตาสีแดงปิดลงอีกคราพร้อมกับหยุดน้ำไหลร่วงพรู




                      ไคลน์จ้องมองมือตัวเองอีกครั้ง กว่าจะรู้ตัว เเขนทั้งสองข้างของตนก็รั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด กอดให้แน่น..แน่นที่สุดเท่าที่จะทำให้ ขณะที่อาโลอิสหลุดสะอื้นออกมาราวกับอับจนหนทางด้วยไม่รุ้จะหนีให้หลุดพ้นไปจากความรักที่ไร้ทางออกเฉกเช่นนี้ได้อย่างไร



                         "ถ้าหาก..." ฝ่ามือหนาวางลงบนเส้นผมสีแดงเข้ม ไคลน์กอดอีกฝ่ายที่ตัวสั่นระริก เอ่ยปากปลอบประโลม ทั้งที่ตนเองนั้นคือผู้สร้างบาดแผล "..เจ้าจะเลิกรักข้า ข้าจะด่าว่าเจ้า หรือเจ้าจะเกลียดชังข้า..ข้าไม่ว่าเลย"




                        "...แต่เอาไว้..เราออกไปจากที่นี่ได้ไหม?"




                      ถ้อยคำนั้นไม่มีสิ่งใดตอบรับอกจากเสียงสะอื้นเบาๆในลำคอของอาโลอิส ร่างของเทพบุตรปีกสีดำผู้ชั่วร้าย ที่บัดนี้ดูราวกับเป็นเด็กทารกผู้ไม่อาจทำการใดได้หากไม่มีความช่วยเหลือกำลังซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย ซบเช้ดน้ำตาเงียบๆ ขณะที่หัวใจก็ตระหนักรู้ได้ถึงนัยยะที่อีกฝ่ายบอกเฉกเช่นเดียวกัน




                        ...หากออกไปจากที่นี่..ทุกอย่างก็จะพลันมลายหายไป




                         เมื่ออกไปแล้ว เราก็จะกลายเป็นเพียงศัตรรูกันเฉกเช่นเดิม และไคลน์..ก็จะเป็นของฟาราสผู้นั้น




                         มีเพียงในยามใน ระหว่างที่ร่องรอยแผลยังปรากฏ และระหว่างที่ร่างของอสูรร้ายยังไม่ออกอาละวาด..เพียงยามนี้เท่านั้น ที่ไคลน์จะเป็นของอาโลอิส



                      ได้เพียงเท่านี้




                        หรุบตาลงช้าๆ ดวงตาสีแดงสั่นไหว อาโลอิสกอดรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้นราวกับหวาดกลัวเหลือใจ เฉกเช่นเดียวกับไคลน์ที่กอดรัดอีกฝ่ายแน่นไม่ต่าง




                        ไร้คำพูดใดต่อจากนั้น หากพวกเขาทั้งคู่ ต่างคนต่างรู้




                          ...เหลือเวลาเพียงน้อยนิด




         
    ++++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 24/7/2557
«ตอบ #72 เมื่อ24-07-2014 22:16:10 »

            

               ต้นไม้ไร้ใบยังคงยืนหยัดอยู่บนปากเหวสูงชันราวกับไม่หยี่ระ ลำต้นสูงใหญ่ เปลือกสีน้ำตาลเข้ม และกิ่งก้านเเข็งแรง บนยอดที่สูงเสียฟ้า มีร่างของการาเวนสีดำตัวยักษ์ตาสีแดงก่ำเกาะอยู่พร้อมทั้งเฝ้าระวังระไว นัยน์ตาสีแดงวาววับของเจ้านกตัวนั้นมองไปรอบๆ ขณะที่บนกิ่งไม้ถัดลงมาไม่มาก มีร่างของเทพบุตรหนุ่มในชุดสีขาวนั่งเงียบ ท่าทีเงื่องหงอย



                  ฟาราสจ้องมองทิวทัศน์โดยรอบด้วยสายตาเบื่อหน่าย จากที่เคยตื่นเต้นและสนอกสนใจในดินแดนใต้พิภพที่ตนไม่เคยได้เข้ามาและพบเจอ บัดนี้เมื่อต้องนั่งอยู่ที่เดิมเป้นเวลานาน ตนก้รุ้สึกเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก ต้นไม้สูงใหย่ไร้ใบดูอย่างไรก้ไม่อาจงดเง่าเท่าไม้ใบเขียวขจีและดอกไม้หลากสีสัน เช่นเดียวกับท้องฟ้าไร้เมฆหมอกหรือสิ่งใด และพื้นดินที่มีเพียงสีน้ำตาลสุดลุกหูลูกตา ไม่อาจระรื่นตาระรื่นใจเช่นท้องทุ่งหญี่ที่ตนเคยประสบ



                  ถอนใจช้าๆ..ล่วงเวลาเลยมานับแต่ที่คนรักของตนหายไปพร้อมกับอาโลอิสผู้นั้นก็เกือบสามวันแล้ว นอกจากคำตอบของเซธที่บอกเล่าถึงอาการและเรื่องราวที่ทั้งคู่ประสบก็ไม่มีข่าวใดๆเล้ดรอดมาอีก ทั้งวันและคืนตนต้องนิ่งอยู่อย่างเบื่อหน่าย แม้จะมีผู้ร่วมเดินทาง แต่การาเวนสีดำตัวนั้นนับได้ว่าเป็นผู้ร่วมเดินทางชั้นแย่ เซธมักจะชอบเอ่ยปากยั่วโมโหและประชดประชันตนอยู่เสมอ ซ้ำยังชอบอยู่ในร่างนกตัวนั้นเสียอีก



                 "เมื่อไหร่...."



                 "ยังไม่ใช่ตอนนี้"เพียงอ้าปากขึ้นจะถาม เสียงของเซธก็ดังขึ้นก่อนราวกับรู้ใจ ฟาราสเม้มปากแน่น นึกหงุดหงิดกับความพยายามของตนที่จะตามหาคนรักนั้นดูจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย



                 "ยังไงเขาก็ปลอดภัย เจ้าอย่าได้เป็นกังวล" เสียงของเซธดังขึ้นอีกครั้ง ฟาราสถอนใจเบาๆ



                  "...ข้าจะห่วงคนรักของตนมิได้เลยหรือ?"

   

                 "เชิญเจ้าห่วงใยตามสบาย แต่ไม่จำเป็นต้องเอาความห่วงหานั้นมาทับถมที่ตัวข้า"เวธขยับริมฝีปาก เอ่ยตอบสั้นๆ



                  "ข้าเพียงอยากรู้ และท่านเป็นคนเดียวที่รู้ได้" ฟาราสเอ่ยตอบก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ "และท่าน...รู้ได้อย่างไรกัน"



                   "คิดว่าข้าจะบอกเจ้ารึ ท่านเทพ?" ริมฝีปากของกาตัวใหญ่ขยับไหว ออกปากถามกลับ




                    "ข้ารู้ดีว่าไม่ขอรับ ขออภัย" ฟาราสเม้มปากแน่น หงุดหงิดด้วยความที่ตนนั้นไม่อาจทำอะไรได้เลย



                     ทั้งคนรักที่หายไป บาดเจ็บ ไม่รู้ชะตากรรมเป้นอย่างไร รวมถึงเรื่องการต่อสู้ในยามนี้



                     ตัวเขาเป็นเพียงเทพบุตรธรรมดาที่ไม่เคยสู้รบ..ไฉนเลยจะเทียบเคียงนักรบเช่นผู้อื่น




                     ...รู้สึก ด้อยค่านัก



                      "...มีสิ่งที่เจ้าจะทำได้อยู่แล้ว อย่ากังวลไป" เสียงที่ดังขึ้นด้านบนทำให้ฟาราสชะงักอีกครา เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้ว เอ่ยปากขึ้นเมื่อทนสงสัยไม่ไหว



                     "คิดสิ่งใดดูราวกับจะรู้หมด ท่านอ่านใจข้าได้งั้นรึ ท่านเซธ?"




                        "ใช่" วาจาตอบกลับนั้นทำให้ตนถึงกับต้องอ้าปากค้าง



                        "...แต่ ทำไม เป็นไปได้อย่างไร" ฟาราสตะลึงไปครุ่ใหย่ด้วยความงวยงง นัยน์ตาจ้องมองการาเวนตรงหน้าด้วยความข้องใจยิ่งนัก




                    "...ข้าทำได้" เซธเอ่ยตอบ ริมฝีปากเจ้ากาดำนั้นขยับดูราวกับกำลังแสยะยิ้ม "เฉพาะกับผุ้ที่คิดและแสดงออกมาด้วยแล้วยิ่งง่าย ทั้งความคิดของเจ้า คนรักของเจ้า ข้าล่วงรู้...อาโลอิสก็ด้วย แม้จะยากเล็กน้อยก็ตาม"




                    "ทำไม?" ฟาราสนึกสงสัย หากเป็นพวกที่อยู่ใต้ผืนพิภพเช่นเดียวกัน ย่อมสื่อสารกันได้ดีกว่ามิใช่หรือ



                     "ผู้เก็บงำความคิด..อ่านได้ยาก" เซธเอ่ยตอบ "คนรักของเจ้าก้เช่นกัน แต่ตัวท่านเทพฟาราสนั้น..ขออภัยที่ต้องบอกว่าค่อนข้างง่ายสำหรับข้าเลยทีเดียว"




                      "งั้นหรือขอรับ"ฟาราสฟังคำพูดนั้นอย่างนึกหงุดหงิดไม่น้อย "ข้าขออภัยที่..อ่ะ..."




                       เสียงคำรามของผืนดินทำให้ชะงัก ฟาราสรีบผุดลุกขึ้นยืน รับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตรายที่ตนสามารถรับรู้ได้แม้จะไม่อาจมองเห็น ขระที่ร่างของเซธในรุปนกราเวนนั้นเกาะลงที่ไหล่ ดวงตาสีแดงสดเป้นประกายวับ ขณะที่ขยับปีกกระพรือขึ้นแล้วอ้าปากบอก




                      "หนี"




                       ตูม!!!




                     สิ้นเสียงของเซธผืนดินด้านล่างก็พลันระเบิดขึ้นจนเศษฝุ่นปลิวกระจาย ฟาราสอ้าปากค้าง ตนนั้นไม่ทันแม้แต่จะขยับปีกบินเสียด้วยซ้ำ หากไม่ถูกเซธอุ้มไว้แล้วพาบินออกไปอย่างรวดเร็วคงไม่แคล้วหล่นลงหุบเหวเแกเช่นเศษหินและต้นไม้ไร้ใบที่ตนเคยพักพิงต้นนั้น




                   "นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" ฟาราสเอ่ยถามอย่างตกตะลึงไม่น้อย ดวงตาของเทพบุตรหนุ่มเบิกกว้างขณะที่ร่างของตนถูกนำมาไกลจากหุบเหวที่เคยอยู่พอสมควร เซธในร่างมนุษย์ยืนขึ้นพลางจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยท่าทีเคร่งเครียด นัยน์ตาสีแดงเป็นกระกายวาบ




                    "ตื่นขึ้นมาแล้ว" เซธเอ่ยช้าๆ ท่าทีเคร่งเครียดและระวังระไว

       

     
                   "อะไร.." ฟาราสถามกลับ กลินน้ำลายลงคอช้าๆ เนื้อตัวสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจระงับ ด้วยตนรับรู้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่กระจาย

       


                  "...เจ้าก็รู้นี่.." เซธหันมาจ้องเงียบๆดวงตาสีแดงเจิดจ้านั้นวาววับ ขณะที่ตามองไปยังเบื้องหน้า ท่ามกลางเศษฝุ่นที่คละคลุ้ง เงาร่างของบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง

       


                  ...ดวงตาสีทองวาววับท่ามกลางเศษฝุ่นคละคลุ้ง ร่างสูงใหญ่เสียจนต้นไม้ที่ว่าสูงนักหนายังไม่อาจเท่า เกล็ดสีเข้มบนร่างส่องประกายระยับ ขณะที่บนศรีษะมีเขาสีดำสนิทแทรกผ่านกลุ่มผมสีเข้มขึ้นมา ร่างนั้นยืนสองขา ท่าทีดุร้ายกราดเกรี้ยว กลิ่นเหม็นคลุ้งชวนอาเจียรของโลหิตฟุ้งกระจายเช่นเดียวกับกลุ่นอายของความตายคละคลุ้งรุนแรง

   


                    ฟาราสเอ่ยช้าๆ ทันทีที่มองเห็น ตนก็นิ่งงันด้วยรู้แล้วว่าบัดนี้กำลังเผชิญกับสิ่งใด



                     อสูร...




                     ...อสุรกายที่ทำให้พวกตนต้องลงมาต่อกร บัดนี้ปรากฏกายขึ้นแล้ว




++++++++++++++++++++


                     สรุปผลว่าเราจะมุ้งมิ้งกันแค่ในถ้ำ พอเจอเมียขุ่นไคลน์ก็จะกลับไปลูปเดิมข่ะ ถถถถ     แต่จริงๆอาจจะไม่ใช่ลุป

เดิมนะ ฟีลคงได้แต่เก็บเอาไว้ในใจมากกว่า //ฮัมเพลงเราเจอกันช้าไปปป    ส่วนอสูร อึมม อาจจะอธิบายได้ไม่ดีเท่าไหร่

อสูรกายที่ว่านี่ฟีลเหมือนคนยักษ์ผสมบิ๊กบุ๊ตแล้วมีเขาน่ะค่ะ(....)คือไม่ใช่แบบก๊อตซีล่านะ5555


ตอนหน้าจะมาไฟว้กันแล้ว เรามาติดตามกันค่าาา   

ปล.นิยายยังเปิดจองอยู่นะค้าาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
«ตอบ #73 เมื่อ24-07-2014 22:31:04 »

ประทับใจมากค่ะ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 34 : อสูรกาย Up 23/7/2557
«ตอบ #74 เมื่อ24-07-2014 22:34:37 »

เฮ้อออ  มันหน่วงนิด ๆ   

เอ่อ  ลงข้ามตอนหรือพิมพิ์เลขตอนผิดรึเปล่าคะ   ข้ามมาตอนที่ 34  แล้ว ตอน 33  อยู่หนใด 




พิมพ์เลขไม่ผิดตอนค่าาาาาา   เเต่เราตาลายเอามาลงผิดค่าาาาา //อายจริงๆ  ขอโทษนะคะ ตอนนี้เเก้ไขเเเล้ว มาลงครบอ่านใหม่ได้เลยค่าาาาา

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 35 : เตรียมการต่อสู้ Up 26/7/2557
«ตอบ #75 เมื่อ26-07-2014 06:25:06 »

Lost 35 : เตรียมการต่อสู้





                    เสียงคำรามและเเผ่นดินที่แยกออกจากกันไม่ได้อยุ่นอกเหนือจากการรับรู้ของไคลน์และอาโลอิส




                    ร่างของเทพบุตรทั้งสองที่นั่งอิงแอบกันเงียบๆในโพรงถ้ำรับรู้ได้ถึงเสียงคำรามและแผ่นดินที่สะเทือนไหว



                  เสียงกรีดร้องของบรรดาสัตว์ร้ายที่เคยกลุ้มรุมบัดนี้ต่างหลบลี้หนีหายไปด้วยความหวาดหวั่น สัญญาณที่ส่งมาทำให้ทั้งสองมอง หน้ากันเงียบๆ และโดยไม่ต้องพูดอะไร พวกเขาก็ลุกขึ้น เตรียมตัว




                     ดาบที่สร้างขึ้นมาด้วยพลังของเหล่าเทพบุตรปีกสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้า อาวุธที่ใช้คร่าสัตว์ร้ายที่ผุดขึ้นมาจากความมืดมิดโดยเฉพาะถูกชโลมด้วยโลหิตของไคลน์ที่เป้นดั่งพิษร้ายของบรรดาสัตว์ในใต้พิภพนี้ อาโลอิสจ้องมองมันก่อนจะรับมาถือไว้ หากริมฝีปากเอ่ยถาม




                     "ให้ข้าจะดีเหรอ?"




                      "ดีสิ" ไคลน์เอ่ยปากรับคำแต่โดยง่ายขณะที่ดวงตาจ้องมองอีกฝ่าย




                       "...คนที่ควรใช้ควรเป็นเจ้า" ถือดาบไว้มั่นในมือ หากปากเอ่ยประท้วงไม่เลิก




                        "...ควรเป็นเจ้า" ไคลน์ถอนใจเบาๆใส่คนดื้อดึงนัก ร่างเทพบุตรหนุ่มก้าวมาประชิดร่างอีกฝ่าย มือโอบเอวบางไว้แล้วรั้งให้มาประชิด "อย่าลืมว่าเจ้าต้องได้ปีกคืนกลับไป...ขอให้เป็น..ทางที่ข้าพอจะช่วยได้เถอะ"




                        "อา...นั่นสินะ" อาโลอิสรับคำเบาๆ ไม่ได้เอ่ยปากบอกไปว่าตนนั้นแทบจะไม่ได้สนใจ"ปีก"ที่เสียไปนั้นเสียด้วยซ้ำ รวมถึงความตกต่ำในฐานะทีต้องการเป็นเพียงวิญญาณชั้นต่ำ ที่สุดแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็เป็นเพียงแค่นั้น




                          ...ไม่ว่าจะต้องไร้ปีกทั้งสองข้าง หรือจะต้องกลายเป็นเทพชั้นต่ำ ข้าก็ทนได้ ขอแค่เพียง...




                           หรุบตาลงแล้วถอนใจเบาๆกับฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ขณะที่ไคลน์บีบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แล้วโน้มตัวเข้าไปจูบข้างแก้มอย่างอ่อยอิ่ง




                          "อาโลอิส..."




                          "ข้ารู้..." ดวงตาสีแดงเปิดขึ้นมาช้าๆ สบตาอีกฝ่ายเงียบๆ





                       ไคลน์มองตาคู่นั้น นิ่งไปก่อนจะโน้มตัวลงไปแนบริมฝีปากกับเรียวปากของอีกฝ่ายเบาๆอีกครา




                         "เจ้า...." สีหน้าของอีกฝ่ายกระอักกระอ่วน คล้ายอยากจะถามบางสิ่ง




                         "มีอะไร..."อาโลอิสถามกลับเสียงเบา แววตาสั่นไหว




                         "....เปล่า" ไคลน์ตัดสินใจผละริมฝีปากออกมาก่อนจะละอ้อมแขนออก "เจ้าดูแลตัวเองด้วย อาโลอิส"





                          "....ขอบคุณ" อาโลอิสตอบรับเสียงเบา ขณะที่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบกันไปอีกครา





                            ..ต่างก็ไม่รู้จะเอ่ยคำใด



                        บอกลางั้นหรือ? หรือบอกว่าทุกอย่างมันจบแล้ว?




                        จะอาลัยอาวรณ์กันกระนั้นหรือ..ไคลน์และอาโลอิสเคยรักใคร่กันปานนั้นเสียเมื่อไหร่





                      ...ฉะนั้น เพียงแต่ทำทุกอย่างไปอย่างที่เคยทำก็เพียงพอแล้ว




                       "ถ้าอย่างนั้น ไปกันเถอะ" เสียงที่บอกออกมานั้นทำให้ตนพยักหน้าเงียบๆ แขนสอดขึ้นคล้องลำคออีกฝ่าย ขณะที่ไคลน์อุ้มตนเอาไว้ในอ้อมแขน สอดประคองไว้แล้วสะบัดปีกสีขาวด้านหลังเพื่อโบยบิน





                        อาโลอิสกอดคออีกฝ่ายแน่นขึ้นยามที่ร่างนั้นพาตนเองเหินขึ้นสู้เวหา ไม่ได้หวาดกลัว หากแต่เป็นเพราะตนรู้ว่าห้วงเวลาที่เคยสัญญาไว้กำลังหมดลงในที่สุด



                       ...กลายเป็นเพียงในหนึ่งตื่น และเป็นเพียงอดีตอันแสนไกลเท่านั้น




                         จากนี้เมื่อตื่นจากฝัน ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นเหมือนเดิม




 
                         กลืนน้ำลายช้าๆขณะที่ร่างของไคลน์พาตนออกจากหุบเหวขึ้นบนฟ้าอีกครา และเมื่อโผบินขึ้นมาบนผืนดินเศษฝุ่นที่คละคลุ้งที่มองเห็นจากไกลๆนั้นก็เป็นดั่งสัญญาณนำทาง





                        "อาโลอิส" เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นในอนุสติ อาโลอิสครางเบาๆในลำคอ ก่อนจะตอบรับ





                        "เซธ เป็นอย่างไรบ้าง"





                      "   ข้าเฝ้ามันเอาไว้แล้ว เจ้าอยู่ที่ไหน" เสียงถามของอีกฝ่ายดังขึ้น ขระที่ไคลน์หันมองคนในอ้อมแขน ขมวดคิ้วเล็กน้อย




                         "ข้ากำลังจะไป ดูแลตัวเองด้วย"





                          "รีบๆมาล่ะ"





                           "ทราบแล้ว" อาโลอิสรับคำเงียบๆ พลางหันไปมองสัญญาณจากร่างที่คลุ้งเศษฝุ่นเบื้องหน้า ดวงตาของเทพบุตรหนุ่มหรี่ลงช้าๆ ขณะที่ผู้ที่โอบอุ้มตนไว้ในอ้อมแขนลอบถอนหายใจแผ่วเบา





                          "ทางโน้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง" คำถามนั้นบ่งชัดว่าไคลน์ทราบเรื่องที่ตนติดต่อกับเซะแล้ว อาโลอิสชะงักไปครู่ก่อนจะเอ่ยปากบอกไปตามจริง





                            "อสูรกายตนนั้นออกมาแล้ว เซธกำลังเฝ้าไว้อยู่ คงต้องรีบไป"




                           "เข้าใจแล้ว"ไคลน์รับคำเบาๆ ก่อนจะมองอีกฝ่ายไปในอ้อมแขน แววตาอ่อนลง "ระวังตัวด้วยล่ะ อาโลอิส"




                           "ข้าทราบแล้ว.." อาโลอิสรับคำแผ่วเบา ดวงตาหรุบลงก่อนจะเอ่ยสั้นๆ "ขอบคุณมาก"





                           ไคลน์ทำท่าจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบเสีย เทพบุตรหนุ่มนิ่งเงียบไปเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในอ้อมแขน ทั้งคู่จ้องมองไปยังสถานที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของอสูรร้ายตนนั้น ไม่ได้เอ่ยปากสิ่งใดต่อกัน เฉกเช่นคำมั่นที่เคยพูดไว้ว่าทุกสิ่งล้วนจะจบลงเมื่อเริ่มต้นออกเดินทางอีกครา




                          ทั้งความหวั่นไหวและทุกสิ่ง..ทิ้งมันไว้เสียแล้วก้าวต่อ




                         ...แต่ทั้งข้าและเจ้าจะเสียใจภายหลังหรือไม่ที่ทำเช่นนี้




                          ไม่อาจรู้ได้เลย





                       ฟาราสยืนนิ่ง อึ้งและเงียบงันไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อมองเห็นร่างของอสูรร้ายปรากฏตัวต่อหน้า เทพบุตรหนุ่มผู้คุ้นชิ้นกับภาพสวรรค์อันสวยงามอดตัวสั่นระริกไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายกระหลายเลือดที่แผ่อวลปกคลุมเสียจนอยากจะอาเจียร ขณะที่เซธซึ่งบัดนี้อยู่ในร่างของมนุษย์ยืนมองประจัญหน้า สีหน้าครุ่นคิด




                       ร่างขออสูรร้ายลืมตาขึ้นมาสอดส่องทางพวกตนทันทีราวกับรับรู้ได้แล้วว่ามีเหยื่อปรากฏ เซธขยับตัวกำบังกายตนและฟาราสไว้ไม่ให้มันเห็นอย่างรวดเร็วขณะที่มีสีหน้าว้าวุ่น เคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน




                         "จะทำอย่างไรดี?" ฟาราสเอ่ยปากถาม สีหน้าหวั่นผวาไม่น้อย




                      "สู้" เซธเอ่ยสั้นๆ "แต่ไม่ใช่ตอนนี้"




                       "ทำไม?"




                      "ไคลน์และอาโลอิสกำลังมา ต้องพึ่งกำลังพวกเขา อีกอย่าง อาโลอิสต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ" เซธเอ่ยตอบขณะที่ตาจ้องมองอสูรตนนั้นกระส่ายกระสับมองหาเหยื่ออย่างไม่วางตา




                       "..หมายถึงปีก.."ฟาราสเม้มปากน้อยๆ




                       "ใช่ นี่คือเงื่อนไขที่เขาต้องทำ" เซธเอ่ยตอบสั้นๆสีหน้าใคร่ครวญ




                        "แล้วถ้าคนอื่นทำได้จะเป็นอย่างไร?"




                        "เป็นอย่างไรรึ..มีคนอื่นได้ความดีความชอบไป และอาโลอิสก็กลายเป็นเพียงเทพชั้นต่ำ แต่แบบนั้นจะถูกใจท่านมากกว่ารึเปล่านะ ฟาราส.." เซธเอ่ยตอบ หางเสียงมีแววเยาะ




                         "ข้า..ไม่เคยคิด" ฟาราสเม้มปากแน่น ไม่พอใจผู้ที่เอ่ยอย่างลึกซึ้ง ดวงตาสีท้องฟ้าวาววับอย่างไม่พอใจ
                "ทั้งที่เขายังไม่ได้รับโทษทัณฑ์จากเจ้าเลยงั้นรึ..ไม่เจ็บแค้นบ้างรึอย่างไร ท่านเทพ"





                          "..ท่านเซธ" ฟาราสถอนหายใจเบาๆ พยายามอย่างยิ่งในการบอกตนให้เลิกสนใจท่าทีและคำพูดของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากนัก "ไม่รู้ว่าท่านไปเอาตัวอย่างความคิดนั้นมาจากไหน แต่ข้าไม่...ก็คือไม่"





                          "ท่านเทพบุตรแสนดี" เซธหัวเราะ "เจ้าเป็นคนดียิ่งนักจริงๆนั่นล่ะ"






                            "ขอบคุณในคำชม"...แม้ไม่ต่างกับวาจากวนโมโหก็ตาม






                            "ข้าไม่ได้กวนโมโห ข้าพูดจริง น้อยนักที่เมื่อถูกทำร้ายแล้วจะไม่เคืองแค้น ข้าเห็นเพียงเจ้าหวาดกลัว หาได้แค้นและรู้สึกขุ่นใจแต่อย่างใด"




                            "ท่านเซธ"ฟาราสกดเสียงต่ำ ความไม่พอใจลึกซึ้งปรากฏบนใบหน้า "ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ ว่าการพูดจาเช่นนั้นมันเสียมารยาท รวมทั้งการอ่านความคิดของข้าด้วยเช่นเดียวกัน"




                             "ข้ารู้"เซธตอบอย่างไม่หยี่ระ ดวงตาสีแดงเข้มวาววับคล้ายกำลังขบขัน "เสียแต่...ข้าไม่สนใจ"




                             "อึ่ก....." ฟาราสมองผู้ที่เอ่ยคำพูดกวนใจอย่างหงุดหงิด ใบหน้านิ่ว





                              "...เจ้าเจ็บ แต่ไม่แค้น เคือง และไม่โกรธและอาฆาต หาได้ยากนัก ท่านเทพบุตร" นิ่งไปครู่ เซธก็เอ่ยขึ้นมาก่อนจะยิ้มน้อยๆ "หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปนะ ฟาราส"





                              ....หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ ยามเมื่อมองเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนไปด้วยเถิด


                               "..ท่านหมายคว---"



                               "มาแล้ว" เซธเอ่ยบอกแทรกคำพูดของอีกฝ่าย ดวงตามองท้องฟ้าที่มีร่างของสองเทพบุตรโผบินเข้ามาใกล้ "คราวนี้ ก็ถึงเวลาลงมือแล้วล่ะ"



                              เซธเอ่ยปาก พลางมองไปยังฟากฟ้าด้านบนที่มีร่างของไคลน์กับอาโลอิสค่อยโผบินลงมายังเบื้องล่าง ฟาราสหันไปมองหาคนรักตนทันที ด้วยรอยยิ้มกว้าง ขณะที่ร่างของคนทั้งคู่ค่อยลงมายังพื้นช้าๆโดยที่แววตาของอาโลอิสนั้นไม่อาจหลุดพ้นจากสายตาของเซธไปได้เลย




++++++++++++++++++++++++





ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 35 : เตรียมการต่อสู้ Up 26/7/2557
«ตอบ #76 เมื่อ26-07-2014 06:28:16 »

               


                 โผบินอยู่ในความเงียบไม่นานร่างของทั้งคู่ก็เข้าใกล้อาณาเขตที่อสูรกายตนนั้นอยู่ อาโลอิสสังเกตุได้จากพื้นที่ซึ่งไร้สิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดอย่างหน้าประหลาดที่สุดตรงนั้น ขณะที่ไคลน์โผบินไปตามเสียงภูผาถล่มและจำนวนเศษฝุ่นควันที่คละคลุ้งเบื้องหน้า ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็มาถึงจุดหมายในที่สุด อาโลอิสมองเห็นร่างของเซธและฟาราสอยู่ด้านล่าง ดวงตาสีแดงประกายหม่นวูบอย่างไม่รู้ตัว




               ลงมาถึงพื้น สิ่งแรกที่ทำคือก้าวขาไปหาเซธเช่นเดียวกับที่ไคลน์ตรงไปหาฟาราส อาโลอิสมองอศูรร้ายที่เริ่มให้ความสนใจพวกตนด้วยสีหน้าเข้มขึ้น ขณะที่เซธรีบพาพวกเขากำลังกายให้พ้นสายตาของมัน พลางสำรวจมองผู้ที่หายไปตรงหน้า
            "อาโลอิส" เสียงเรียกของเซธทำให้คนที่เอาแต่เหม่อมองดูไคลน์และฟาราสสนทนากันหันมาหา อาโลอิสสบตาอีกฝ่าย พลันหลบวูบเมื่อถูกแววตารู้ทันนั้นจ้องมองมา





            "อะไรหรือ"..เอ่ยถามไปเบาๆ




            "อาการเป็นอย่างไรบ้าง" คำถามแปลกหูนั้นทำให้ผุ้ฟังชะงัก รีบปฏิเสธทันที





            "ข้าไม่เป็นอะไร ที่บาดเจ้บนั่นไคลน์ต่างหาก" ว่าพลางมองไปยังไคลน์ที่บัดนี้ฟาราสเป้นผู้ก้มมองรอยแผลที่ต้นแขนของคนรักตนอย่างห่วงใย ท่าทีใส่ใจจริงจังนั้นแสนน่ามองยิ่งนัก





             "...งั้นหรือ" เซธเอ่ยถามเนิบช้า ก่อนที่อาโลอิสจะได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายก็ชี้ไปที่ต้นคอของขาโดยพลัน





                   ชะงักด้วยความไม่เข้าใจ มือวางลงบนต้นคอราวกับจะคลำหารอยแผลก่อนจะชะงัก อาโลอิสนึกได้ถึงคำเตือนของอีกฝ่ายในที่สุด ผิวแก้มขาวร้อนวาบ ขณะที่เซธมองดูอัปกริยานั้น ก่อนจะมองไปยังคู่รักที่บัดนี้ยืนพูดคุยห่วงหากันไม่ไกลจากที่ๆตนยืนอยู่





               "ข้าเคยหวัง..ว่าจะทำเร็จ"





               "........."





               "แบบนี้จะนับได้ว่าสำเร็จหรือไม่?" เซธเอ่ยถามกลับสั้นๆขณะที่อาโลอิสกระแอมเบาๆ ปรับท่าทีของตนเองให้กลับมาเคร่งขรึม อย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอนใจช้าๆ





              "...ไม่มีทางอยู่แล้ว"





           ...เอ่ย ทั้งบอกกับอีกฝ่าย และบอกกับตนเอง





           ไม่มีทางอยู่แล้ว






           จะให้แยกคนสองคนที่รักกันมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร





                  จะอย่างไร ตัวข้าก็เป็นได้เพียงอาโลอิสที่ไปขวางทางรักชาวบ้านอยู่ดี





               "น่าเสียดาย.." เซธมองดูท่าทีของผู้พูด ดวงตาเป็นประกายวาบขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากสั้นๆ "แต่ตอนนี้..ในยามนี้ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าควรจะทำเช่นไร"





              "ข้ารู้" อาโลอิสรับคำแข็งขัน ดวงตาที่มองไปยังร่างของอสูรกายตนนั้นเข้มขึ้น





             "โอกาสสุดท้าย.." เซธจ้องมองสบตาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง






              "ทราบแล้ว"




              "เซดิสฝากบอกมา" ถ้อยคำนั้นทำให้ดวงตาสีแดงประกายละความสนใจจากอสูรตนนั้นแล้วหันไปมองอีกฝ่ายอย่างใคร่รู้ "จงอย่าทำให้โอกาสที่ได้รับนั้นเสียเปล่า"





               "...เข้าใจแล้ว" อาโลอิสพยักหน้ารับก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยสั้นๆ "ก่อนหน้านั้น มาวางแผนกันก่อนเถิด"





               เซธพยักหน้ารับคำตอบอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปหาไคลน์และฟาราส เอ่ยบอกให้สองเทพนั้นหันมาร่วมกันวางแผนในการกำจัดอสูรร้าย ขณะที่อาโลอิสยืนนิ่งรอคอย ในสมองก้ครุ่นคิดแผนการณ์ ขณะที่เสี้ยวหนึ่งก็ยังคงมีความอาลัยอวลอยู่เจือจาง ยามเมื่อได้สัมผัสแววตาคู่นั้น





              จ้องมองไคลน์ที่เดินตรงมาพร้อมกับฟาราส รอยแผล..แผลที่ถูกราอาซาสทำร้ายนั้นได้หายไปแล้วด้วยการรักษาของคู่รักอย่างฟาราส เป็นธรรมดาที่จะมีการรักษาให้กันไม่ปล่อยไว้ การรักษาด้วยเลือดของเทพบุตรปีกสีขาวนั้นทำได้อย่างรวดเร็วว่องไว หาได้เหมือนกันเลือดของตนที่เป็นพิษ และแม้นพยายามจะมอบพลังเยียวยารักษาเช่นใดก็ยังไม่อาจหายขาดได้






                 แม้จะพยายามอย่างไร ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้เลย..





                   ความจริงที่ตนเองรับรู้ทำให้อาโลอิสลอบกลืนน้ำลายช้าๆ





                   ..แตกต่าง เช่นเดียวกับความจริงที่ประดังเข้ามาเงียบๆ ยามเมื่อได้มองเห็นไคลน์จับมือของฟาราและพูดคุยกันโดยไม่เหลือบแลมายังตนเช่นนั้น ..ว่าความฝัน ได้จบลงแล้วจริงๆ




                     เจ้าเคยบอก ว่าไม่ชอบน้ำตาของข้า ใช่หรือไม่?



                      ..ตอนนี้ ข้าร้องไห้อยู่ในใจแล้วล่ะ ไคลน์


           ++++++++++++++++




ตัดฉากมาเตรียมไฟว้กับปีศาจกันค่ะะะ ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ มันเป็นเคาท์ดาว(?)มากกว่า

อาโลอิสกับไคลนืกลับมาเป็นเหมือนเดิมล่ะ เหมือนเดิมแบบมาม่ากว่าเดิม

ยังไงตอนหน้ามาลุ้นกันนะคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเจอกันค่า

ปอลิง.นิยายยังเปิดจองอยู่นะค้าาาาาาาาา

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 35 : เตรียมการต่อสู้ UP 26/7/2557
«ตอบ #77 เมื่อ26-07-2014 10:17:52 »

ฮือออออออ  ได้ปีกมาเมื่อไหร่บินหนีแมร่งเลยนะอาโลอิส

ออฟไลน์ loyal_mook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 35 : เตรียมการต่อสู้ UP 26/7/2557
«ตอบ #78 เมื่อ26-07-2014 13:18:07 »

รู้สึกชอบเซธตงิดๆ  :hao7:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL * Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #79 เมื่อ27-07-2014 09:21:43 »

Lost 36 : ชะตากรรม





                  ร่างสูงใหญ่ของอสูรร้ายที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณหุบผานั้นถูกดึงดูดความสนใจด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่มันรู้จักดี กลิ่นของเทพ กลิ่นอ่ายของจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปะปนอยู่ในอากาศ ตัวมันที่หลับไหลมาเนิ่นนานและถูกปลุกขึ้นมาได้ด้วยจิตใจอันหยาบช้าและสงครามที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่กระหายพลังจากเหยื่ออันโอชะยิ่งนัก




                  บางสิ่งปรากฏในเงาตา ทำให้ดวงตาสีทองสว่างจับจ้อง ร่างของเทพตนหนึ่งในอาภรณ์สีขาวปรากฏทำให้มันเอื้อมมือไปหา หากก่อนมือใหญ่จะเอื้อมไปถึงแขนขวากลับรู้สึกเจ็บแปลบ มันรับรู้ได้ถึงความแสบร้อนและปวดร้าวจนต้องส่งเสียงร้องออกมา กายใหญ่โตสะท้านไปครู่หนึ่งก่อนจะตวัดมองหาต้นเหตุ ก่อนจะพบร่างจ้อยของเทพอีกตนในอาภรณ์สีดำสนิทที่บัดนี้มีดาบคมอยู่ในมือ ปลายดาบทิ่มแทงเข้าบริเวณต้นแขนทำให้เลือดสดๆของมันทะลักหลั่ง




                    โลหิตสีเข้มจนเกือบดำสนิททั้งยังมีกลิ่นฉุนจัดอวลไปทั่วบริเวณ กลิ่นที่เรียกว่าแทบเป็นพิษต่อผู้ที่สูดดมทำให้ต้องผงะหนี อาโลอิสขยับตัวหลบเท่าที่กำลังของตนจะพึงมี ขณะที่อีกด้าน ไคลน์วึ่งกำลังทำหน้าที่หลอกล่อความสนใจของเจ้าอสูรร้ายก็ขยับกายหลบกรงเล็บของมันที่ตวัดเข้ามาหา





                   เซธกำลังกางปีกอยู่เบื้องหลังของเขา เพราะบินไม่ได้ บัดนี้จึงทำได้แต่คอยอาศัยร่างของการาเวนตัวโตให้ความสะดวก เซธกลายเป็นปีกอีกข้างของเขา ทั้งยังคอยช่วยเหลือนำทางไม่ให้ตนถูกกำจัดได้โดยง่าย อาโลอิสรับหน้าที่กำจัดอสูรร้ายด้วยดาบของไคลน์ที่เป็นผู้ยื่นให้มา ไม่ใช่เพียงเพราะความเหมาะสม แต่เป็นเพราะตัวเขาต้องทำให้สำเร็จด้วยตนเองเพื่อจะได้รับปีกอีกข้างกลับคืน




                   ดวงตาจับจ้องมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเข้มวาววับราวกับปลอกเหล็ก  กรงเล็บสีดำมะเมื่อมเอื้อมไปหาร่างของไคลน์ครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เขานึกใจหายวาบ ขณะที่ตนเองสะบัดปลายดาบที่โชกชุ่มเลือดของอสูรร้ายทิ้ง เลือดของมันเป็นพิษมากเสียจนเมื่อกระเด็นลงพื้น ผืนดินที่เป็นสีน้ำตาลเข้มยังกลายเป็นสีดำและเหม็นไหม้ทันควัน





                     กรงเล็บสีดำทะมึนนั้นยังคงตามติดร่างของไคลน์ไม่ห่าง ขณะที่ฟาราสอยู่ห่างออกไปพอสมควรด้วยอีกฝ่ายไม่ถนัดเชิงต่อสู้ทั้งยังต้องให้อีกฝ่ายคอยช่วยดูแลกรณีมีอาการบาดเจ็บ ผู้ลงสมรภูมิในครานี้คือพวกเขาทั้งสาม อาโลอิสหรี่ตาจ้องมองแขนของอสูรร้ายที่ตนเองฟันเข้าไป รอยแผลนั้นค่อยๆเชื่อมสมานเข้าหากันอย่างเชื่องช้า สิ่งที่เห็นนั้นทำให้หัวคิ้วกดลึกเข้าหากันทันที





              "...เพราะอยู่ที่นี่ ได้รับพลังจากความมืด มันเลยยิ่งแข็งแกร่ง" เซธเอ่ยขึ้นมาทันทีราวกับรู้ ร่างของนการาเวนตัวใหญ่โฉบเกาะที่ไหล่ขวา เขาทั้งคู่จ้องตามภาพเบื้องหน้าไม่กระพริบ




                   "สมานแผลได้อย่างรวดเร็วซ้ำยังมีเกล็ดปกปิดแบบนี้ ทำอะไรมันไม่ได้เลย" อาโลอิสขมวดคิ้วแน่น เอ่ยปากออกไปอย่างเคร่งเครียด




                     "ยังพอมีทาง" เซธเอ่ยตอบ




                    "...แล้วจะ....." พูดไม่ทันขาดคำพวกเขาก็ต้องรีบเร้นกายหลบหนี เมื่ออสูรร้ายตัวนั้นตวัดฝ่ามือเข้ามาใกล้ ขณะที่ไคลน์ผู้กำลังทำหน้าที่หลอกล่อความสนใจอย่างสุดความสามารถรีบบินโฉบเปลี่ยนทิศทางไปเมื่อพบว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก




                    เสียงคำรามของอสูรร้ายอังทั่วบริเวณด้วยความไม่พอใจเมื่อร่างของเหยื่อหลบหลีกไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า มันคำรามออกมาพลางตวัดมือตามไม่หยุดหย่อน ฝ่าเท้าก้าวไปเช่นเดียวกับกรงเล็บที่มุ่งเข้าไปหา ร่างกายอันใหญ่โตดูราวกับเทอะทะทว่าแท้จริงแล้วเเข็งแกร่งและว่องไวกว่าที่คาดมากนัก ทั้งหมดนั้นทำให้มันยังคงเป็นต่อเนื่องด้วยไม่อาจหาจุดอ่อนได้พบ





                      "ดวงตา.." นิ่งไปสักพักอาโลอิสก็เอ่ยขึ้น ตามองตามร่างนั้นเขม็ง "เจ้าทำลายการมองเห็นของมันได้ใช่ไหม เซธ"
     



                      "เจ้าต้องการให้ข้าเข้าไปทำร้ายดวงตาของมัน?" เซธในร่างการาเวนเอ่ยถาม พลางขยับปีกขึ้นบินเหนือศีรษะของอาโลอิส





                      "ใช่...แม้จะทำลายได้เพียงครู่ก็ยังดี แล้วข้าจะตัดเขามันทิ้ง"




                       "เจ้าคิดว่านั่นคือจุดอ่อน?"




                       "หากเป็นไปตามที่ข้าคาดหวังก็ดีมิใช่หรือ?" อาโลอิสถามกลับ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันด้วยควมเคร่งเครียดไม่น้อย เมื่อพบว่าไคลน์นั้นหลบพ้นกรงเล็บของอสูรร้ายอย่างเฉียดฉิวไปอีกคราอย่างน่าหวั่นใจนัก





                      ยิ่งร่างของไคลน์หลบหนีได้เท่าไหร่มันก็ยิ่งตามอย่างกระชั้นไม่ยอมแพ้ กรงเล็บใหญ่โตและดวงตาสีเหลืองทองจับจ้องด้วยความกระหายทั้งยังเริ่มจะหงุดหงิดเมื่ออาหารพลาดมือตนครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เจ้าอสูรร้ายยิ่งมีท่าทีฉุนเฉียว อาโลอิสมองดาบในมือพลางเม้มปากเข้าหากัน หากเอาอาวุธให้ไคลน์ป้องกันตัวอีกฝ่ายคงจะเอาตัวรอดได้ดีมากกว่า แต่เมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยปากมอบให้ ทั้งยังหวังว่าตนเองจะใช้มันปราบอสูรร้ายจนได้ ความคาดหวังที่จริงจังเฉกเช่นนั้นทำให้อาโลอิสต้องยอมรับ และเลือกจะพยายามอย่างจริงจังเพื่อตนเองและช่วยชีวิตอีกฝ่ายแทน




                       "ข้าจะทำ" คำตอบรับของเซธดังขึ้นเหนือศรีษะ ร่างของการาเวนตัวโตขยับปีกบินโฉบไปรอดูท่าที ขณะที่อาโลอิสมองดาม เจ้านกตัวใหญ่นั้นใช้วิธีบินไล่เล่าไปด้านข้างเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้า ขณะที่เจ้าอสูรจดจ่อกับร่างของไคลน์ นกตัวเล็กในสายตามันดูจะหลุดพ้นความสนใจไปแล้วอย่างที่พวกตนคาด





                     เซธขยับปีกบินโฉบเข้ามองและเล็งจังหวะ ก่อนที่นกสีดำจะพุ่งตัวไปหาดวงตาของอสูรร้ายอย่างรวดเร็วราวกับกระสุน สีดำที่วาบเข้ามายังข้างดวงตาทำให้อสูรร้ายชะงัก ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแผ่ซ่าน ดวงตาข้างหนึ่งดับลงไปทันทีพร้อมๆกับความร้อนที่ลามเข้ามาและเลือดสดๆที่ไหลอาบ





                      "เซธ!" อาโลอิสเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังพลางถลาเข้าไปรับเอาร่างของการาเวนตัวโตที่หล่นลิ่วลงมา ร่างสีดำสนิทนั้นอาบไปด้วยเลือดมีพิษและร้อนเสียงจนตนยังต้องสะดุ้งวาบ ขณะที่เซธแน่นิ่งไปพักด้วยความมึนเบลอ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของอสูรร้ายที่บัดนี้มันสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง




                       "....ไม่เป็นไร" เสียงของเซธดังขึ้นก่อนที่ร่างของกาตัวโตจะขยับไหวอีกครั้ง ท่าทีนั้นทำให้อาโลอิสนึกเบาใจขึ้นไม่น้อย เจ้านกตัวโตมีท่าทีมึนงงแต่ก็ยังสะบัดหัวและผุดขึ้นมาลุกและหยัดกายขึ้นด้วยสองขาของตน  ก่อนที่จะโผบินออกไปกลางอากาศ สะบัดเอาเศษเลือดร้อนฉุนให้หลุดออกจากขนสีดำสนิทของตน ท่ามกลางเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลที่ยังสะท้อนก้อง





                     ร่างของเจ้าอสูรสะบัดส่ายศรีษะไปมาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของมันไม่อาจถูกรักษาเยียวยาได้ตามคาดทำให้พวกตนนึกยินดีไม่น้อย ก่อนจะยินดีได้เพียงครู่เพราะเมื่อไร้ดวงตาไปอีกข้าง ความบ้าคลั่งของมันก็ยิ่งบังเกิด กรงเล็บที่ตวัดเข้าคว้าร่างของไคลน์อย่างดุร้ายเริ่มพุ่งเป้ามาหาพวกตนบ้าง มันให้แขนทั้งสองข้างกวาดมือไปทั่ว เช่นเดียวกับขาที่กระทืบย่ำจนเเผ่นดินสั่นสะเทือน เศษฝุ่นคละคลุ้งเต็มไปหมด





                     "อาโลอิส!" เสียงร้องของเซธดังขึ้นเหนือหัว กาตัวใหญ่โฉบเข้ามาฉุดร่างของผู้ที่ยืนอยู่บนพื้นให้หลบจากกรงเล็บของอสูรร้ายนั้นได้อย่างเฉียดฉิว เสียงเรียกนั้นทำให้ไคลน์เสียสมาธิไปไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลตวัดมองอย่างลืมตัว และนั่นทำให้ร่างของเขาถูกกรงเล็บสีดำนั้นตวัดหาและกระแทกให้หล่นลงยังผืนดิน




                       "..ต้องรีบแล้ว" เสียงของบางอย่างหล่นลงยังพื้นทำให้อาโลอิสตวัดสายตาไปมอง ทันทีที่มองเห็นร่างของไคลน์ลุกขึ้นมาจากพื้น ตนก็เอ่ยออกมาเสียงเครียด เทพบุตรปีกสีดำกระชับดาบสีขาวในมือ ขณะที่เซธกระพือปีกอยู่ด้านบอก ตามองร่างของอสูรร้ายที่กำลังขยับตัวไปมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวดและเคืองแค้น




                    "เจ้าเล็งที่เขามัน ข้าจะบินไปทำร้ายดวงตาของมันอีกข้าง ระวังตัวให้ดี"คำพูดนั้นทำให้อาโลอิสพยักหน้า ขณะกระชับดาบในมือให้มั่น นึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ความไร้พลังของตนกลายมาเป็นตัวถ่วงในสถานการณ์เช่นนี้ ปีกของเขาก็ไม่มี นั่นทำให้เซธต้องคอยดูแลและระวังให้ไม่ห่าง





                      ร่างของตนถูกนำไปยังเป้าหมาย ไหล่ด้านซ้ายของเจ้าของดวงตาที่บัดนี้ข้างนั้นมันมือบอด ทัศนวิสัยที่ติดลบนั้นจะทำให้พวกตนสามารถจัดการได้แต่โดยง่าย อาโลอิสจ้องมองพลางกระชิบดาบในมือแน่น หางตาเขามองเห็นไคลน์พลาดถูกกระแทกหล่นลงไปอีกครั้งด้วยไม่มีทั้งอาวุธต่อกรและความเร็วของเจ้าอสูรร้ายมากขึ้น และนั่นทำให้ตนยิ่งต้องตั้งใจมั่นมากกว่าเดิม มิฉะนั้น คนที่จะต้องเดือดร้อนเพราะตัวเขาชักช้าก็คือคนที่อุตส่าห์มอบดาบเล่มนี้และโอกาสมาให้เช่นไคลน์





                      ร่วงหล่นลงบนลาดไหล่ อาโลอิสพยายามทรงตัวและหลบลี้จากสายตาของอสูรตนนี้ไปพลาง เลือดสีเข้มที่ไหลออกจากดวงตาข้างซ้ายที่มืดบอดของมันอาบมาถึงกระทั่งหัวไหล่ทำให้ต้องระวังมิใช่น้อย กลิ่นคลื่นเหียนชวนอาเจียรทั้งยังชวนให้มึนงงจนต้องเบ้หน้าอายอวลไปทั่ว หากเขาก็รีบตั้งสติให้มั่น ก้าวไปยังที่ๆใกล้กับเขาของมันให้มากที่สุดเพื่อทำตามแผนที่วางกันไว้





                      "พร้อมหรือยัง?"เสียงของเซธดังขึ้นในสมอง อาโลอิสมองเห็นร่างของการาเวนตัวโตโฉบอยู่อีกฝั่ง รอโจมตีดวงตาอีกข้างของเจ้าอสูร





                     "พร้อมแล้ว" ตอบไปในใจพลางกระชับดาบแน่น 





                      "ไป!"





                       สิ้นสัญญาณสั่ง มือก็ป่ายเข้าที่เส้นผมของมันแล้วออกแรงดึง เหวี่ยงตัวให้ไปยืนอยู่บนศรีษะของฝ่ายนั้นพลางกระชับดาบในมือแน่น อาโลอิสอาศัยจังหวะที่เสียงกรีดร้องของปีศาจตนนั้นดังขึ้นอีกคราเพราะมันถูกโจมตีดวงตา ตวัดดาบในมือตัดเขาสีดำสนิทออกจนกระเด็นไปไกลอย่างรวดเร็ว



                      กลิ่นโลหิตคลุ้งขึ้นมาทั้งยังฉุนจัด เลือดสีดำกระฉุดขึ้นมาพร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของอสูรร้ายที่ดังราวกับเสียงเพรียกของวิญญาณจนหูอื้อ อาโลอิสยกแขนขึ้นกันกลิ่นเหม็นเน่า แต่ช้าไปเสียแล้ว โลหิตอาบเอาร่างของตนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นทันควัน พิษของเลือดและความร้อนพร้อมกับกลิ่นเหม็นอับทำให้ร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วถึงกับทรุดฮวบ





                    เสียงร้องบางอย่างดังขึ้นเหนือหัว ขณะที่อาโลอิสมองเห็นกรงเล็บสีดำสนิทตวัดเข้ามาใกล้ สัญชาตญาณบอกให้ตนขยับหนีมีฉะนั้นจะตกเป็นเหยื่อ แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะร่างกายถูกอาบด้วยเลือดสีดำของอมนุษย์จนมึนวูบทำให้ยากจะเคลื่อนไหว อาโลอิสรับรู้ได้ว่าตนถูกจับขึ้นมาและเขวี้ยงออกไปกระแทกหินผาอย่างรุนแรง




                   สะบัดหัวด้วยความมึนเบลอขณะที่เสียงกรีดร้องและเสียงอาละวาดของเจ้าอสูรร้ายยังดังก้อง อาโลอิสกระพริบตาลืมตาขึ้นมาช้าๆ ภาพทั้งหลายมืดบอดไปเพราะร่างของตนถูกอาบด้วยโลหิตเสียจนกระทั่งดวงตายังลืมยาก รับรู้ได้ว่าร่างกำลังร่วงหล่น ตนจึงใช้แรงเฮือกสุดท้ายเหวี่ยงดาบในมือขึ้นสูง หวังว่าจะมีใครเข้ามารับมันเพื่อใช้สานต่อภารกิจและกำจัดอสูรร้ายให้ได้ในที่สุด เพราะในยามนี้ ตนรู้ดีว่ามิอาจชนะได้อีกต่อไป





                     ความมืดดิ่งเข้าครอบคลุม สติมึนเบลอเสียจนไม่อาจรับรู้ใดๆอีก อาโลอิสแว่วเสียงเรียกชื่อตนเข้ามา ทว่าก็ไร้เรียวแรงจะเอ่ยปากรับ ทำได้เพียงหลับตาลงช้าๆ ในยามที่สติสัมปชัญญะและทุกสิ่งดำดิ่งหายไป ห้วงสุดท้ายในความคิดเอ่ยถามออกมาเบาๆ




                    ทุกคนจะชนะหรือไม่..




                      และ




                   ..ชะตากรรมหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?




+++++++++++++++++++++


           

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

LOST ANGEL * Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
« ตอบ #79 เมื่อ: 27-07-2014 09:21:43 »





ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #80 เมื่อ27-07-2014 09:26:43 »




              เสียงของบางอย่างดังขึ้นข้างๆหูทำให้สติที่มึนเบลอค่อยกระจ่าง อาโลอิสขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะที่ตนค่อยๆลำดับความทรงจำทั้งหลายเงียบๆ นอกจากเสียงเรียกแล้วยังมีเสียงดังคล้ายสายน้ำกำลังไหล ทั้งที่ตนควรจะอยู่ในดินแดนที่แล้งไร้กระทั่งสิ่งมีชีวิต ข้อความจริงที่น่างวยงงนั้นทำตนนึกสงสัยจนเปลือกตาค่อยกระพริบเปิดออกมาในที่สุด




                 น้ำ...




                 สิ่งที่รับรู้ได้คือสายน้ำเย็นที่ไหลเวียนรอบกายและร่างของตนที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำที่กำลังหลั่งไหล เสียงเรียกเหล่านั้นเป็นของวิญญาณร่างสีไข่มุกที่ตนไม่คุ้นตาทว่าแวะเวียนมาเฝ้าดูและร้องเรียกซ้ำๆ อาโลอิสขมวดคิ้วน้อยๆครางในลำคอเบาๆเมื่อตนรู้สึกเจ็บไปทั้งร่างซ้ำยังหนักเหนื่อยจนมิอาจขยับได้ไหว  กระนั้นสิ่งทีตนเห็นก็คือภาพอันแสนเคยคุ้น แสงสว่างสีทองสาดลงมาจากเบื้องบน สายน้ำสายใหญ่กำลังหลั่งไหลหล่อเลี้ยงดินแดนที่อยู่ใต้ผืนดิน ลำน้ำแห่งความตายแต่ก็คอยทำให้ดินแดนนี้มีชีวิต สายน้ำที่จะเป็นปราการด่านแรกเมื่อยามวิญญาณของคนตายข้ามผ่านมายังนรกภูมิ





                   ...แต่ มาที่นี่ได้อย่างไร?




                    เอ่ยถามตนเองด้วยความงวยงงพลางสะบัดศรีษะช้าๆ  เสียงน้ำดังขึ้นเมื่อขยับตัวบ่งบอกว่าเขายังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม อาโลอิสยกแขนของตนเองขึ้นดู จ้องมองปลายนิ้วสีขาวจัดของตนเอง ขณะที่พยายามเค้นความทรงจำเพื่อระลึกถึงสาเหตุที่ตนมาอยู่ที่นี่อย่างเอาเป็นเอาตาย





                    ทว่าความจำสุดท้ายที่มียังคงเป็นร่างของตนที่หล่นละลิ่วมายังเบื้องล่าง เสียงกรีดร้องของเจ้าอสูรร้าย รวมทั้งหยดเลือดสีดำ กลิ่นเหม็นเหียน ทั้งยังร้อนนักชโลมตัวเสียจนไม่อาจขยับ





                   หรือว่าตนเองตกลงไปในหุบเหวลึกนั้น และด้านล่างมีสายน้ำไหลวนอยู่ มันจึงย้อนกลับนำตัวเขามายังที่แห่งนี้อีกครา?




                   "ฟื้นแล้วหรือ?" เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเซธในร่างมนุษย์เอ่ยถามทำให้ตนกระพริบตาตอบ อาโลอิสมองดูเซธ ไคลน์ และฟาราสที่เดินมายังขอบลำน้ำ นั่นทำให้ตนยิ่งงวยงง ว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้





                    "เจ้าคงมีคำถาม แต่ลุกออกมาก่อนสิ" เซธเอ่ยบอกพร้อมกับยื่นมือมาให้ อาโลอิสพยักหน้ารับและเอื้อมมือไปหา เขารับรู้ได้ว่าตนเองถูกดึงขึ้นมาจากสายน้ำที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย อาโลอิสยืนขึ้นอีกครั้ง เนื้อตัวเปียกโชก ทั้งยังต้องเอนตัวพิงไหล่เซธไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง





                     "อาการดีขึ้นหรือยัง?" คำถามนั้นทำให้ตนได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่องช้า อาโลอิสสูดหายใจลึกพยามยามทรงตัวด้วยปลายเท้าของตนเอง ขณะที่มือสั่นๆบีบมือของเซธไว้แน่น





                      "เกิด..อะไรขึ้น?" เอ่ยปากเค้นถามอย่างยากลำบาก ขณะที่เงยหน้ามองผู้ร่วมเดินทางทั้งสอง ฟาราสเงียบไม่พูดอะไร  ขระที่ดวงตาของไคลน์จ้องมองมายังตนเงียบๆ มันแฝงแววขุ่น





                      ขณะที่กำลังระลึกว่าตนเองได้ทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ถูกใจอีกฝ่ายจนเป็นเหตุให้ต้องถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้น เซธก็พยุงให้เขานั่งลงบริเวณโขดหินริมน้ำ เหล่าวิญญาณสีมุกเข้ามากลุ้มรุมล้อมรอบตนแล้วเอ่ยถามซ้ำๆราวกับเจ้าหนูชวนให้นึกรำคาญเสียจนต้องขมวดคิ้ว อาโลอิสโบกมือไล่พวกมัน ขณะที่เซธยืนอยู่เบื้องหน้า




                      "...หลังจากเจ้าตกลงไป" เซธเริ่มเอ่ยปากพูด ตาก็จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง "ไม่นานอสูรตัวนั้นก็ถูกจัดการ จุดอ่อนของมันอยู่ที่เขาทั้งสองข้างตามที่เจ้าคิด"





                     "............" คำอธิบายนั้นทำให้ตนเองพยักหน้าช้าๆ อาโลอิสรู้สึกพึงใจขึ้นมามาก ที่อย่างน้อย ตนเองก็สามารถจะทำอะไรได้บ้าง..





                     "พวกข้าเข้าไปดูอาการเจ้า.." เซธเล่าต่อ ไม่บอกออกไปว่าคนที่รีบถลาเข้าไปดูอาการของอีกฝ่าย คือไคลน์ที่ตอนนั้นหน้ามืดจัดด้วยความโหโห "พบว่าเจ้าหมดสติไปแล้ว คงเพราะถูกพิษจากเลือดของมันอาบเสียเต็มตัว ร่างกายของเจ้าอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อเจอแบบนั้นก็เลยยิ่งเจ็บป่วยเข้าไปใหญ่"





                     "....ขอบคุณ" อาโลอิสพึมพำเสียงเบา เอ่ยปากขอบคุณใครก็ตามที่ช่วยดูแลตน ขณะที่สายน้ำหยดลงไปยังปลายผมช้าๆ





                     "ข้าเลยนำตัวมาที่นี่ น้ำช่วยชำระล้างเลือดของมันออกไปได้ แต่คงยังทำให้เจ้ารู้สึกมึนเบลอไปบ้าง..ตอนนี้ดีขึ้นมากหรือยัง?"




                     "ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณ เซธ" อาโลอิสขยับปากพึมพัม พลางยกมือสางเส้นผมที่เปียกชื้นแนบใบหน้า ปลายนิ้วที่ขยับเริ่มมีเรียวแรงมากขึ้นตามที่เซธบอก หากความจริงที่ปรากฏนั้นทำให้ตนขมวดคิ้วน้อยๆ




                     ...หากเป็นเช่นนี้แล้ว..ก็คงไม่พ้นจะต้อง..




                      ชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้เมื่อตนไม่อาจทำภารกิจสำเร็จ ทำให้อาโลอิสนิ่งเงียบไปด้วยความจำใจ




                      "...เซดิสบอกว่า หากเจ้าฟื้นแล้ว เราจะเริ่ม..พิจารณากัน" ข้อความนั้นดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่วางบนไหล่ ความอบอุ่นเจือจางเข้ามาทำให้ตนรู้ว่าเซธเป็นฝ่ายมอบพละกำลังให้อีกครั้ง อาโลอิสยิ้มน้อยๆเงยหน้าขึ้นไปสบตาอีกฝ่ายด้วยรู้สึกขอบคุณ ก่อนจะพลันหลบตาวูบ เมื่อถูกสายตาจ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจของไคลน์ด้านหลังตวัดมาหาอีกครา




                      อยากรู้นักว่าเป็นเพราะอะไร หากสุดท้ายก็ทำได้เพียงนิ่ง




                     ..เพราะภารกิจจบแล้ว จบไป..รวมทั้งเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นด้วย





                     "....ถ้าฟื้นแล้ว ก็ลุกขึ้นมา" น้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับสายน้ำไหลที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ตนชะงัก อาโลอิสเงยหน้าขึ้นไปยังต้นเสียง ก่อนจะพบร่างของเซดิสยืนอยู่บริเวณสะพานเหนือจากนั้นไม่ไกล





                      ดวงตาสีแดงเข้มของอีกฝ่ายจ้องมองมาที่พวกตน ร่างสูงเพรียวเส้นผมสีดำสนิทยาวจรดปลายเท้าถูกถักเปียไว้เช่นทุกครา ผู้เป็นนายยืนอยู่ข้างคีเรส เจ้าของอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ตัดกันกับสีดำข้างกาย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นจ้องมองมาเงียบๆเช่นเดียวกัน แววตาคู่นั้นเข้มจัดราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง





                      "ได้เวลาแล้ว อาโลอิส" เสียงของเซดิสดังขึ้นอีกทำให้ตนต้องลุกขึ้นยืนในที่สุด อาโลอิสสูดหายใจลึก ก้าวขาไปหาผู้เป็นนาย ขณะที่เซธและที่เหลือก้าวขาตามมาช้าๆ




                       ดวงตาสีแดงประกายมองตามแผ่นหลังของเซดิสที่ห่างออกไปเงียบๆ รับรู้ได้จากน้ำเสียงนั้นว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิดหวังในความอ่อนแอของตน และรับรู้เช่นกัน..ว่าเซดิสนั้จะไม่มีวันอ่อนข้อ




                       เอ่ยปากพูดอะไร คำไหน ย่อมต้องเป็นคำนั้น



                    ..นี่เป็นคุณสมบัติหนึ่งของผู้เป็นนายที่ตนรู้ดี และเป็นความจริงที่ไม่อาจละเมิดได้




                     หากบอกว่าจะได้ก็ย่อมได้ และหากบอกว่าไม่ได้ ก็ต้องไม่ได้




                    เมื่อเซดิสบอกว่าหากทำภารกิจไม่สำเร็จ เขาจะถูกกำจัด ตนก็ย่อมต้องถูกกำจัด




                   ...ไม่มีข้อยกเว้น



+++++++++++++++



ตอนนี้มาไฝว้กันนิดหน่อยพร้อมกับ..ความซวยของอาโลอิสที่ยังคงไม่จบ

//โดนเอฟซีอาโลอิสคิลรัวๆ

แต่หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น รอดุกันนนเถอะ

ปล.หนังสือยังเปิดจองอยู่ ใครสนใจสั่งได้นะคะะ

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #81 เมื่อ27-07-2014 12:11:32 »

กำจัดเลยหรอ ฮืออออออออ ไม่มีทางอื่นแล้วใช่ไหม  :hao5:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #82 เมื่อ27-07-2014 18:57:00 »

ขอบคุณค่าาาาาาา   

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #83 เมื่อ27-07-2014 19:18:23 »

อ่านรวดเดียวจบค่ะ ประทับใจมาก มากมายจริงๆ แต่ไม่รู้จะคอมเมนต์ยังไง><

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #84 เมื่อ27-07-2014 20:07:57 »

เพิ่ง นั่งอ่าน ใน dek-d วันนี้ อ่าว มาเห็น มีในเล้าด้วย  อย่างงี้ต้องอ่าน หล่ะ  อ่านไปอ่านมา เกลียด อิไคมากกกก

ไม่รัก ทำพี่ให้ความหวัง

หลอกให้รัก

สุดท้ายรักเค้าแล้ว  ทำพี่พระเอก รู้ สึกผิดอีก  โอ้ยยยยย

อยาก จิบ้า

ออฟไลน์ Paracetamol

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-2
Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #85 เมื่อ27-07-2014 22:47:52 »

 :เฮ้อ: ลุ้นน นน จะเป็นยังไงเนี่ย

ออฟไลน์ loyal_mook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #86 เมื่อ27-07-2014 23:06:30 »

ไคลน์หึงอ้ะดิ  :hao3:

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #87 เมื่อ28-07-2014 00:41:37 »

ลุ้นนน รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ whitefang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: LOST ANGEL *Lost 36 : ชะตากรรม UP 27/7/2557
«ตอบ #88 เมื่อ28-07-2014 11:50:32 »

โอ๊ยยย ลุ้นๆๆๆ  :katai1: :katai1: :katai1: อยากอ่านต่อ :ling1:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL *Lost 37 : การตัดสินใจ UP 29/7/2557
«ตอบ #89 เมื่อ29-07-2014 07:37:39 »

Lost 37 : การตัดสินใจ





                      ร่างของเซดิสเดินนำไปขณะที่เหลือต่างก้าวเท้าตามเงียบๆ ร่างในชุดสีดำสนิทก้าวขสลงบนสะพานที่ทำจากหินสีดำสนิทนำพาจากใต้สายน้ำสายใหญ่มายังเบื้องบน แม้จะมีแสงอาทิตย์ส่องสว่าง แต่รอบด้านยังคงมีคบเพลิงประดับอยู่ทั่วไป เสียงคำรามของอสูรที่มักแว่วขึ้นมาตามสายลมบัดนี้เงียบสงบลงแล้ว จึงมีเพียงเสียงสายน้ำไหลหลั่งกระทืบพื้นเช่นปกติ สายลมเย็นสอดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมอันเจือจาง




                    บนไหล่ของเซดิสมีร่างของเซธเกาะอยู่ การาเวนตัวไหล่ขยับโผออกจากร่างของอาโลอิสเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรแล้วพร้อมกับกลับมาหาผู้เป้นนายของตน เจ้านกสีดำอิงแอบแนบชิดก้มลงกระซิบเอ่ยคำบางอย่างกับเซดิสเป้นระยะ เสียงนั้นเบาแสนเบาจนไม่อาจได้ยินหากแต่เซดิสก็พยักหน้ารับ ร่างเพรียวนำพวกเขาก้าวขึ้นไปยังเบื้องบน ผ่านสายน้ำและเสียงจอแจของเบื้องล่าง มายังเบื้องบนที่เหลือเพียงความเงียบสงบและเสียงน้ำกระทบแผ่นหินเป็นจังหวะ




           
                     ก้าวผ่านทางเดินอันเงียบเชียบมายังโถงใหญ่ที่คุ้นตา เสาสูงทำจากหินสีดำแกะสลักอย่างวิจิตรคอยค้ำยันเพดานสูงลิ่วไม่ให้ทรุดลงไป คบเพลิงถูกแขวนประจำเสาแต่ละต้นเพื่อให้ความสว่าง แม้จะมีแสงสีทองเรืองรองออกมาจากช่องทางลมด้านบนแล้วก็ตาม เซธขยับปีกอีกครั้งไปเกาะลงบนคอนไม่ของตนแล้วนิ่งไซ้ปีกอย่างปรกติ ขณะที่เซดิสเดินนำมาจนถึงบัลลังก์เล็กที่อยู่ใต้บัลลังก์สีดำสนิทสูงตระหง่าน อันเป็นบัลลังก์ของเจ้านรกที่แท้จริง ที่ว่ากันว่าไม่ได้ปรากฏกายมาเนิ่นนานนัก..




                   ถัดจากบังลังค์เล็กคือหินสีดำปูด้วยพรมสีน้ำเข้มลาดยาว เซดิสผายมือให้คีเรสนั่งลงขณะที่ตนก็ทรุดกายลงข้างๆ อาโลอิส ฟาราส และไคลน์ยืนถัดออกไปจากพรมสีเข้ม อาโลอิสทรุดกายลงคุกเข่าให้ผู้เป็นนายเงียบๆ หากเซดิสถอนใจ




                       "...ยังจำที่ข้าพูดไว้ได้ใช่หรือไม่?"




                       "จำได้ขอรับ.." เอ่ยคำตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นอีกครั้ง อาโลอิสมองสบตาผู้เป้นนาย ดวงตาสีเพลิงที่ราวกับมีดวงไฟเต้นระริกนั้นฉายแววบางสิ่งที่ตนไม่อาจหยั่ง





                        "...ยอมรับมันแล้วใช่ไหม?"






                           "ข้ายอ----"






                           "ช้าก่อน!" เสียงที่แทรกขึ้นมาทำให้ทั้งคู่ชะงัก เซดิสเลิกคิ้วเรียวขึ้นข้างหนึ่งแล้วยิ้มบาง ขณะที่อาโลอิสขมวดคิ้ว หันกลับไปจ้องมองผู้ค้านด้วยท่าทีไม่เข้าใจ






                         ไคลน์..เทพบุตรผู้ออกปากคันค้านสูดหายใจลึกพลางก้าวขามาประจัญกับอีกฝ่าย เขายืนอยู่ข้างอาโลอิส สีขาวที่เป็นฝ่ายออกปากปกป้องสีดำ นั่นทำให้ผู้เป็นนายทั้งสองต่างรู้สึกแปลกใจไม่น้อย





                           "มีอะไรหรือ...ข้านึกว่าตัวเจ้าจะยินดีเสียอีก" เซดิสเอ่ยถามราวกับขบขัน หากใจความนั้นทำให้ไคลน์นิ่ง





                            "ข้าเพียงแต่คิดว่า มันไม่ยุติธธรม"






                              "ไม่ยุติธธรม?" เซดิสเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ





                               "ท่านยึดถือความยุติธรรมเป็นหนึ่ง ข้าคิดเช่นนี้ถูกหรือไม่?" ไคลน์เอ่ยปากถาม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนวาววับ





                             "ใช่" เซดิสรับคำ สำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในที่แห่งนี้  ผู้ที่ทำนห้าที่ลงโทษวิญญาณชั่วร้ายจำเป้ฯต้องมีความเที่ยงตรงและยุติธรรมสูง มิแะนั้น อาจจะเกิดเรื่องผิดพลาด เช่นลงโทษเบาเกินไป หรือหนักเกินไปแก่สิ่งที่อีกฝ่ายควรจะได้





                              ...ตาชั่งต้องไม่เอนเอียง ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร





                              "และสอง..ที่ข้ายึดถือ คือพูดคำไหน ย่อมต้องเป็นคำนั้น" เซดิสจ้องมองสบตาเทพบุตรปีกสีขาวผู้อาจหาญกล้ามาต่อคำตน ส่วนผู้ฟังสูดหายใจลึก





                            "ข้ารู้แล้ว และนับถือในจุดนั้นของท่าน.." คำพูดคล้ายจะสรรเสริญทำให้เซดิสมีท่าทีแปลกใจไม่น้อย สำหรับเทพที่ตนเคยพบเจอ ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ยังมีท่าทีเป็นอริ แต่ครานี้กลับออกปากชื่นชมไปเสียได้ "ดังนั้นข้าจึงได้ถาม..เพราะสิ่งที่ท่านพูด คือทำภารกิจสำเร็จ"





                              "จะบอกว่า..เพียงเพราะทำภารกิจสำเร็จ ก็ถือว่าโทษทัณฑ์ที่เอ่ยปากไว้ได้จบสิ้นลงกระนั้นหรือ?" เซดิสทวนถามซ้ำ





                               "เราทำภารกิจสำเร็จแล้ว" ไคลน์ประกาศกร้าว เอ่ยปากเน้นคำว่า"เรา" อย่างชัดเจน และเราที่อีกฝ่ายบอก ก็รวมถึงอาโลอิสเช่นเดียวกัน





                                อาโลอิสจ้องมองใบหน้าด้านข้างของไคลน์เงียบๆ รู้สึกประหลาดใจ..ทั้งยังดีใจเป็นล้นพ้นที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาเคียงข้างและเอ่ยปากช่วยพูดทั้งยังออกรับแทนเช่นนี้ ท่าทีองอาจไม่หวั่นไหวนั้นทำให้ผู้มองอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยความปลื้มปิติ หัวใจที่พองฟูด้วยความพึงใจกลบทับความรู้สึกหมองหม่นที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เสียจนหมด และเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ ยังบอกออกมาด้วยความยินดีเสียด้วยซ้ำ ที่สถานการณ์เช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายมีแก่ใจจะปกป้องเขา





                           ...ช่างดูเห็นแก่ตัวและฉวยโอกาสได้อย่างร้ายกาจ..แต่ทว่าก็ไม่อาจห้ามความคิดได้





                           ดวงตาสีแดงหรุบต่ำ ซ่อนแววตาไว้ไม่ให้ผุ้ใดเห็นด้วยกลัวว่าความปิติยินดีนั้นจะล้นทะลักออกมาเสียจนทุกคนสังเกตได้





                           ....แต่ข้าก็ดีใจ...ดีใจมากจริงๆ





                           "ใช่แล้ว พวกเจ้าภารกิจสำเร็จ" เสียงของผู้เป็นนายดึงให้ตนละออกจากภวังค์ อาโลิสเงียหน้าขึ้นขณะที่เซดิสเอ่ยขึ้นสั้นๆ ดวงตาสีเพลิงเป็นประกายระริก





                           "เช่นนั้น ทำไมถึงต้องมีบทลงโทษต่อ?" ไคลน์หรี่ตาลงช้าๆ ด้วยท่าทีไม่พอใจ





                           "ภารกิจสำเร็จ แต่ตัวเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือเอง...ภารกิจที่อาโลอิสต้องทำคือผู้ปราบอสูรร้าย แต่คนที่ทำลายมันได้ คือเจ้ามิใช่หรือ.." เซดิสหรี่ตาลงช้าๆ มองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย "ซ้ำยังบาดเจ็บ..ต้องนำตัวมาดูแลเช่นนี้ ข้ามิเห้นว่าจะ"สำเร็จ"ที่ตรงไหน"






                             "ที่แท้แล้ว ความสำเร็จของท่านนับเช่นนี้หรือ?" ไคลน์เอ่ยถามกลับ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ "ที่บาดเจ็บเพราะทำภารกิจ ที่บาดเจ็บเพราะเสี่ยงตาย แล้วทำไมถึงต้องให้เขากลับมารับโทาอีก เพียงเพราะไม่ใช่ผู้ลงดาบสังหาร"





                          "นี่ข้าฟังผิดไปรึเปล่า..." เซดิสหรี่ตาลงช้าๆ ยิ้มออกมาคล้ายจะเยาะหยัน "เจ้าผู้ซึ่งควรจะยินดีนักหนาที่ผลออกมาเช่นนี้..กลับเป็นอะไรไป รึเพราะได้เผชิญภัยร้ายร่วมกัน จึงเกิดความรักใคร่ห่วงหากันขึ้นมาหรือ.."





                         "..ข้า" วาจานั้นทำให้ทุกคนชะงัก ไคลน์นิ่งไปครู่ก่อนจะสูดหายใจลึก "..เพียงแต่คิดว่า มันไม่ยุติธธรม"





                         "ความคิดของเจ้าหาใช่ทุกสิ่ง"





                          "แต่..."






                          "ไคลน์..." หลังนิ่งเงียบฟังอยู่นาน เสียงของคีเรสก็ดังขึ้นเบาๆ เมื่อผู้เป้นนายเรียกชื่อของตน ไคลนืก็ชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลหันไปมองผู้เป็นนาย และเมื่อเห็นท่าทีหรี่ตามองลงด้วยความไม่พึงใจคล้ายกำลังตำหนิอย่างหนักหน่วงเช่นนั้น ตนก็ต้องหรุบตาลง





                       "เจ้าไม่ควรคำถามกับความยุติธรรมของนายผู้อื่น" คีเรสจ้องมองมาด้วยดวงตาสีน้ำเงินที่เข้มจัด "หากเขาคิดว่าควรแล้ว ที่จะเป้นแบบนั้น มันก็ย่อมต้องเป็นแบบนั้น จงขอโทษท่านเซดิสเสียที่ทำตัวไร้มารยาท"





                        คำเตือนที่กล่าวตำหนิชัดเจนนั้นทำให้ผู้ฟังนิ่งงัน ฟาราสมองคนรักของตนด้วยท่าทีใจร้อนทั้งยังรู้สึกแปลกๆ ด้วยวาจาของอีกฝ่าย และ..ท่าทีเฉกเช่นนั้น





                      ...เขานึกสงสัย นึกประหลาดใจมานับแต่ที่ไคลน์นั้นมีท่ทีห่วงหาอาโลอิสอย่างเกินพอดีมาตั้งแต่เมื่ออีกฝ่ายถูกโจมตีด้วยอสูรร้ายตนนั้นแล้ว





                        แม้จะอยู่ห่างไกลจากจุดนั้น แต่ฟาราสก็จำได้ จำได้ว่าทันทีที่ร่างนั้นร่วงหล่นลงไป ไคลน์ได้รวบรวมกำลังทั้งหมดทำลายเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นด้วยแรงโทสะ ทั้งยังรีบถลามาดูอาการของอีกฝ่ายอย่างห่วงใยนักหนา





                         ...ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูชิงชัง แต่เหตุใดเจ้าจึงห่วงใยเขานัก






                           หลายวันที่เจ้าหายไป ช่วงเวลานั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่..?






                           "ข้าขออภัย.." นิ่งไปนาน ท่ามกลางความเงียบที่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ เสียงของไคลน์ก็ดังขึ้น "...ขออภัยยิ่งนักที่ข้าหยาบคายต่อท่านเซดิส"





                        "ไม่เป็นไร"  เซดิสเอ่ยรับคำเบาๆ ยิ้มออกมาอย่างคล้ายกำลังขบขันในบางสิ่ง






                             "ทว่า...ข้าก็ยังยืนยันความคิดของตนเช่นเดิม"







                               วาจานั้นทำให้ทุกสิ่งเงียบกริบ อาโลอิสหันไปมองผู้ที่พุดออกมาราวกับไม่เชื่อหู แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับคำพูดเช่นนั้น วลีที่ไม่ต่างกับการราดน้ำมันบนกองไฟ แม้จะถูกโกรธเกรี้ยว แม้จะถูกด่าว่า ก็ยังคงยืนยันความคิดของตน ความคิดที่ว่าตัวเขาไม่สมควรต้องถูกลงโทษอย่างนั้นน่ะหรือ




                              อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ จ้องมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งปนนับถือ หัวใจที่เคยพองฟูด้วยความปิติที่อีกฝ่ายอ้าแขนปกป้องตนบัดนี้เหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามา





                              ..ขอบคุณ






                            มุมปากกระตุกขึ้นคล้ายจะยิ้ม แม้จะอยู่ท่ามกลางสายตาคนหมู่มาก ทว่าอาโลอิสก็ไม่อาจหยุดยั้งแววตาและท่าทีของตนได้ แม้ตอนแรกความดีใจที่มีนั้นจะปะปนด้วยความรู้สึกเห็นแก่ตัวอันชั่วร้าย แต่บัดนี้..ในหัวใจคล้ายจะมีบางอย่างแทรกอยู่..





                           ..จากที่เคยปราถนา เคยภาวนาให้ไคลน์ได้มองเห็น ได้สนใจกันสักนิด






                           เคยขอว่าเพียงเล็กน้อย..ขอแค่ให้อีกฝ่ายหันมามองบ้าง ขอให้จดจำ ขอให้จำในสิ่งที่เจ้าและข้าร่วมกันทำมาแม้สักนิด





                           ในยามนี้ ทุกสิ่งได้บอกชัด ว่าอาโลอิสนั้นมีตัวตนอยู่ในหัวใจอีกฝ่ายอย่างที่เขาเคยวอนขอ





                          ..อาจจะไม่ใช่ความรัก เจ้าอาจจะมีคนอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าข้า แม้อีกฝ่ายจะมีฟาราส..มีคนรักเป้นตัวเป็นตนที่รักมากเสียจนยอมทำได้ทุกสิ่ง แต่กระนั้น เพียงเสษเสี้ยวของความห่วงใยและห่วงหา ท่าทีของไคลน์ที่ทุ่มเทกางปีกปกป้อง เอ่ยปากบอกว่าจะไม่เปลี่ยนความคิดของตนแม้มันไม่เหมาะสม แค่นั้น..ก็ทำให้อาโลอิสพึงใจมากพอแล้ว





                          หัวใจกำลังกระซิบบอก..พอ..พอแล้วที่ได้รับ มีความสุขและปลื้มใจเหลือเกิน แม้จะไม่ใช่รักก็ตามที
         ..ทว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ละทิ้งทุกสิ่ง





                          ขอแค่เพียง เจ้าได้จดจำข้าไว้ในหัวใจก็เพียงพอแล้ว..





                            "เจ้า....." เซดิสกระตุกยิ้ม ดวงตาสีเพลิงมองดูใบหน้าที่จ้องมองมายังตนอย่างแน่วแน่ขณะที่เอ่ยปากพูดอย่างไม่กลัวจะได้รับโทษทัณฑ์
           




                        "ท่านเซดิส" ก่อนที่จะมีใครได้เอ่ยปากตัดสินหรือต่อว่า เสียงของอาโลอิสก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเฉยชานั้นไม่ได้ปะปนด้วยความกลัว แต่หากถูกฉาบทับด้วยบางสิ่ง..ที่คล้ายกับความพึงใจอันเบาบาง "ข้าตัดสินใจแล้ว"





                          "อย่างไร..?"





                          "กฏต้องเป็นไปตามกฏ ท่านกำหนดมาเช่นไรมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น ข้าไม่อาจพิชิตอสูรร้าย ทั้งยังบาดเจ็บจนต้องรักษา ถือว่าไม่ควรจะได้รับการอภัย.."




                          "อาโลอิส.."





                         "ดังนั้น ข้าจะขอก้มหน้ารับความคิดตามที่ท่านเอ่ยไว้" อาโลอิสตอบพลางก้มหน้าลงคุกเข่าเงียบๆ




                         "เจ้..."





                        "ขอบคุณมาก..ที่ท่านช่วยพูดให้ข้า" อาโลอิสพูดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากพื้น "เพียงแค่นี้ก็รู้สึกขอบคุณ และซาบซึ้งยิ่งแล้ว"




                         "...และจะยอมงั้นรึ?" ไคลน์เอ่ยถามกลับ น้ำเสียงห้วนจัดด้วยความไม่พอใจ




                         "ข้ายอม" อาโลอิสตอบสั้น "ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยเหลือ..แต่นี่คือสิ่งที่ข้าเลือกแล้วเช่นกัน"





                         "ดี" เซดิสเอ่ยรับคำ กระตุกยิ้มพลางหันไปหาไคลน์ที่ยังคงมีทีท่าหงุดหงิดฉุนเฉียว "เจ้าตัวเขายอมรับผิดแก่ข้าเองแล้ว หวังว่าท่านจะเข้าใจนะ.."




                        คำพูดนั้นไม่ต่างจากคำเยาะหยัน วาจานั้นทำให้ไคลน์สูดหายใจลึก ชั่วครู่หนึ่งนึกอยากกระทืบบาทตวาดอึงด้วยความไม่พอใจ แต่ตนก็รู้ว่าไม่อาจทำได้ เมื่อผู้ต้องโทษนั้นยอมรับผลของมัน "คนนอก"ก็ต้องถอยหลังออกไป




                        ...แม้จะหงุดหงิดด้วยความขัดเคืองใจแค่ไหนก็ตาม





                         ไคลน์จ้องมองร่างของผู้ที่ยังคงทรุดกายคุกเค่าก้มหน้าลงข้างๆ หัวใจเต้นถี่รัวคล้ายไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิด..ความตาย การดับสูบ สิ่งที่อีกฝ่ายนั้นต้องพบเจอกำลังหมายถึงการต้องจากไปตลอดกาล แล้วเหตุใด...ถึงได้..




                       ..และทำไม ทำไมข้าถึงต้องร้อนรนเสียปานนี้





                        "ไคลน์.." ฝ่ามือขาว เย็นเแยบวางลงบนมือของตนที่กำแน่นแล้วออกแรงดึงเบาๆ ทำให้ละออกจากภวังค์ ไคลน์ไม่รู้เลยว่าตนแสดงท่าทีเช่นใดออกไปกระทั่งเสียงสั่นๆของฟาราสแทรกขึ้นมาในอนุสติ  ฝ่ามือน้อยๆที่คอยดึงรั้งและเสียงกังวานใสที่เคยปลอบให้ทุกสิ่งผ่านไปได้อย่างราบรื่น..ทุกอย่างของคนรักที่คอยฉุดรั้งและทำให้ตนใจเย็นลง บัดนี้..ดูราวกับไม่มีผล




                         เพราะไม่ว่าฟาราสจะเอ่ยปากเรียกเช่นไร หัวใจก็ยังร้อนรนราวกับถูกไฟเผากระนั้น..





                        ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงจ้องมองไปยังร่างในชุดสีดำข้างกาย คนผู้นั้นยังแน่นิ่ง ไม่ได้มีท่าทีหวั่นไหวหวาดกลัว หรือเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความอาลัยแม้นสักนิด




                         ...อาโลอิสต้องใจจะจากไป





                        ความจริงที่ตนรับรู้นั้นทำให้หัวใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจระงับ






                        แม้จะเอ่ยปากบอกว่าเมื่อพ้นจากที่แห่งนั้นไปแล้วทุกสิ่งจะเป็นเพียงภาพฝัน แม้จะเอ่ยวาจากเช่นนั้น แต่ดูเหมือนตัวเขาจะดูถูกอำนาจของหัวใจมากเกินไป เพราะยิ่งเมื่อห่างเท่าไหร่ มันก็ยิ่งร้องเรียกหามากขึ้นเท่านั้น





                      อาโลอิส...อาโลอิส






                        หัวใจสั่นไหว..เย็นเฉียบด้วยความหวาดหวั่น มันกำลังสะท้านด้วยความรู้สึกสูญเสียที่กระหน่ำเข้าจู่โจมอย่างไม่มีที่มาที่ไป แค่เพียงคิดว่าจะไม่มีอีกแล้ว ไคลน์ก็ขยับขาก้าวเท้าไปต่อความ ทำตัวก้าวร้าวซ้ำยังขัดคำสั่งผู้เป้นนายอย่างที่ไม่เคยทำ และไม่ควรจะเป้นเช่นนั้นแม้แต่น้อย..





                       เพราะได้ใกล้ชิดกัน เลยเกิดผูกพันธ์ขึ้นมา กระนั้นหรือ..





                       คำพูดของเซดิสผู้เป็นนายของเจ้าของดวงตาสีแดงประกายคู่นั้นวาบมาในห้วงคิด ไคลน์เม้มปากเข้าหากันช้าๆ ด้วยรู้ว่ามันคือความจริงที่ตนไม่อาจปฏิเสธได้





                       เพราะได้เห็น และได้สัมผัสหัวใจดวงนั้นแล้วว่าเป็นเช่นไร จึงไม่อาจปล่อยไปอย่างที่ควรเป็น..





                       ไม่อยากให้จากไป ไม่อยากให้หายไปไหน แม้ว่าข้าจะยังมีใครอยู่ก็ตาม





                       หันไปมองเจ้าของดวงตาสีท้องฟ้าที่ฉายแววกังวล ไคลน์เม้มปากเข้าหากันช้าๆ ทั้งที่อีกฝ่ายนั้นเป้นคนรักที่
แสนงดงามคอยเคียงข้างตนมาตลอด ทั้งที่พยายามทุกอย่างเพื่อให้ฟาราสกลับมา แต่ในยามนี้ ตัวเขากลับมีหัวใจมอบให้ผู้อื่นอย่างน่าละอายนัก



                   ...แม้จะรู้ แม้รู้ดีว่าตนนั้นผิด แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้ง




                     "ไคลน์.." เสียงของฟาราสดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อตนขยับมือ แกะปลายนิ้วเล้กๆนั้นออกเพื่อจะเผชิญหน้า




                       "...ไคลน์" น่ำเสียงของผู้เป็นนายดังขึ้น ทั้งตำหนิ และต่อว่าให้ตนเลิกกระทำการอุกอาจเฉกเช่นนั้น





                       ..เสียแต่..ทุกอย่างล้วนจะไม่เข้าหู





                          ไคลน์หมุนกายมาเบื้องหน้าอีกครั้ง โดยที่มือข้างหนึ่งของตนถูกคนรักกุมไว้ ใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวมากนับสบตากับเซดิสและผู้เป้นนายตน ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวาน




                          "ข้าขออภัยยิ่งนัก..ในความหยาบคายเช่นนี้.." ไคลน์สบตาเซดิส พลางน้อมศรีาะลงเป็นการขอลุแก่โทษ ท่าทีนั้นของเขาทุกให้ฟาราสถอนใจเงียบๆ และคีเรสก็ดูจะพอใจ ที่ทุกสิ่งสามารถจบลงได้อย่างไม่โกลาหลนัก




                          "เอาเถิด..ข้ายกโทษให้" เซดิสยิ้มน้อยๆ โบกมือคล้ายไม่คิดจะเอาเรื่องราวใดๆ





                           "แต่ทว่า.." หากประโยคต่อมาทำให้ทุกคนชะงัก "ข้ามีข้อสงสัย"






                            "เชิญว่ามา"




                           "เมื่อไม่สำเร็จก็มีโทษ แล้วข้าผู้ทำภารกิจสำเร็จ ย่อมต้องมีรางวัลหรือไม่?"





                            ".........." เซดิสเลิกคิ้วน้อยๆ ท่าทีฉงนกับคำพูดของอีกฝ่าย





                           "มี.." คีเรสเอ่ยตอบกับผู้เป็นลูกน้องของตน เมื่อได้ฟังดังนั้น ไคลน์จึงสูดหายใจลึก ค่อยเบี่ยงฝ่ามืออกจากปลายนิ้วของคนรัก ก่อนจะนิ่งลงคุกเข่าเงียบๆ




                            "สิ่งที่ข้าขอ...ได้ทุกสิ่งใช่หรือไม่"





                           "หากพวกข้าให้ได้" น้ำเสียงของเซดิสฉายแววทั้งถูกใจและอยากรู้ ดวงตาสีเพลิงระริกไหวจ้องมองร่างของไคลน์ที่บัดนี้คุกเข่าลงตรงหน้า ข้างๆกับอาโลอิสที่ยังคงก้มลงมองพื้นหินสีดำเงียบๆ




                          "หากเป็นเช่นนั้น.." ใบหน้าหล่อเหงาแหงนเงยมาสบมองผู้มีอำนาจเหมือกว่าทั้งสองอีกครั้ง แววตาคู่สีน้ำตาลนั้นวาววับนัก ยามที่เจ้าตัวสูดหายใจลึก และเอ่ยบอกคำขอของตนเสียงดังฟังชัด




                           "ข้าขอให้ท่านยกเลิกโทษของอาโลอิสซะ!"



                           น้ำเสียงกังวานไปทั้งโถงใหญ่ ถ้อยคำเด็ดขาดนั้นยังสะท้อนก้องในความทรงจำ อาโลอิสเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสีแดงประกายจ้องมองผู้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างลืมตัว..



   
     ++++++++++++++++++++++++++++++





หล่อ..

ตอนนี้หล่อมาเลยค่ะ 555

รัศมีพระเอกจับมากแม้จะโดนทุกคนรุมด่ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง55 ขุ่นไคลน์ของเราเพิ่งมาเหล่อเอาตอนนี้นี่เองง

แต่ตอนนี้ฟาราสแอบน่าสงสาร...โถ่ เหมือนจะรู้ชะตากรรมตัวเองอยู่กลายๆนะ

(ชะตากรรมที่ว่าคนดีจะไม่มีที่อยู่ในนิยายของอิปุ้ย)

ส่วนเรื่องจะเป้นยังไงมารอดูตอนต่อไปกันค่าา

ปล. นิยายยังเปิดจองอยู่นะคะะ ใครสนใจสอบถามได้เลยเน้ออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด