ตอนที่ 5โจวพอล “ที่นี่ที่ไหน ทำไมถึงไม่พากลับคอนโด” แม้น้ำเสียงและสีหน้าจะชวนหาเรื่องสักแค่ไหน แต่ใบหน้าเล็กๆนั่นก็ยังน่ารักสำหรับผมไม่เปลี่ยน
“บ้านพอลเอง” ผมแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ให้กับอาการตกตะลึงอ้าปากหวอดวงตาเบิกกว้างของกระต่ายน้อยขี้ตื่นของผม จนแว่นอันโตบนดวงหน้าเรียวเล็กเอียงกะเท่เร่เกือบหลุด ก่อนฝูหรงจะพึมพำคำว่า ‘บ้าน’ ออกมาเบาๆ และเอี้ยวตัวไปเกาะขอบหน้าต่างจ้องตัวบ้านไม่มีขยับ
“แล้วพามาทำไม” เสียงเล็กๆลอยมาเข้าหู เหมือนว่าฝูหรงพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า
ผมที่จอดรถหน้าบันไดทางขึ้นตึกดีแล้ว จึงหันมากุมทับหลังมือนุ่มที่วางไว้บนตัก จนเจ้าของค่อยๆหันมามองกันด้วยแววตาสงสัยปะปนไปด้วยความไม่แน่ใจ ผมจึงเลือกที่จะไล้หลังมือนุ่มเบาๆและยกยิ้มน้อยๆเป็นการปลอบโยน
“เราต้องคุยกันไงครับ อ๊ะๆ พอลรู้ว่าฝูหรงจะพูดอะไร พอลไม่ปล่อยให้ฝูหรงต้องคิดมากไปเองคนเดียวอีกแล้ว เรามาคุยกันที่บ้านพอลนี่แหละดีที่สุด ที่สำคัญพอลอยากทำให้ฝูหรงเชื่อใจ และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของพอล ซึ่งมันคงไม่มีที่ไหนเหมาะเท่ากับที่นี่อีกแล้ว” แววตาแข็งๆที่แฝงแววไม่มั่นใจค่อยๆอ่อนแสงลง ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายอันดีว่าฝูหรงจะยอมเปิดใจเพื่อคุยเรื่องของเรา
ผมยื่นหน้าไปจูบขมับขาวเบาๆอย่างอดใจไม่อยู่ และผมก็ได้แต่อมยิ้มอย่างเอ็นดู ให้กับกระต่ายน้อยแก้มแดงที่ก้มหน้าหลบตากันให้วุ่น ก่อนผมจะจับจูงคนตัวเล็กเข้าบ้าน และได้รู้จากแม่บ้านว่าปาปามามาไม่อยู่ เพราะทั้งคู่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประมูลเครื่องประดับ ที่มีบริษัทของคุณอาหญิงของผมส่งคอลเลคชั่นใหม่เข้าร่วมในการประมูลครั้งนี้ด้วย ความตั้งใจของผมที่ว่าจะให้ฝูหรงได้เจอปาปามามาในค่ำนี้เลย จึงต้องพับเก็บไว้ก่อน
หลังจากนั้นผมก็หันไปกำชับแม่บ้านให้บอกทุกคนที่ดูแลบ้าน ว่าห้ามใครแพร่งพรายเรื่องที่ผมพาฝูหรงมาที่บ้านนี้เด็ดขาด เพราะผมกลัวว่ายังไม่ทันจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง ยัยจินนี่แม่มดตัวร้ายจะมาทำพังซะก่อน และผมจึงหันไปสั่งให้แม่บ้านตั้งโต๊ะ ก่อนจะพาฝูหรงทานมื้อเย็นด้วยกันสองต่อสอง ซึ่งฝูหรงเองก็เงียบไปเลย แต่ยังคงกินได้ไม่น้อย จนผมไม่กังวลสักเท่าไหร่ ด้วยเดาว่าเจ้าตัวคงรู้สึกแปลกที่แปลกทางอยู่นั่นเอง
............................................
“ฝูหรงรอพอลอยู่ที่บ้านก่อนนะ อยากทำอะไรก็ได้เต็มที่เลย แต่ถ้าอยากได้อะไรเพิ่ม โทรลงไปบอกแม่บ้านนะครับ...หรือจะเปลี่ยนใจไปงานกับพอล ไปมั้ย” ผมลูบแก้มใสอย่างเบามือ พร้อมส่งสายตาเชิญชวนเต็มที่ ด้วยใจจริงไม่อยากทิ้งกระต่ายน้อยตาใสไว้เพียงลำพังสักนิด หากไม่ติดว่าผมจะต้องไปงานเปิดร้านของไรอันผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่ม
“หึ! ไม่ไป...ก็ถ้ารู้ว่าไม่ว่างจะต้องให้มาอยู่ที่นี่ทำไมก็ไม่รู้...อื๊อ! เล่นไรเนี่ย นี่นาย!...อ๊ะ!” ฝูหรงทำหน้าบูดส่ายหัวปฏิเสธจนเส้นผมยุ่งเหยิง แถมด้วยการบ่นกระปอดกระแปดด้วยปากยื่นๆ ทำเอาคนที่ได้เห็นอย่างผมอดมันเขี้ยวขึ้นมาไม่ได้
ผมจึงแกล้งดึงแก้มใสให้โย้เย้ไปมาเบาๆ จนเจ้าตัวโวยวายใส่ ก่อนจะตีหลังมือผมอย่างไม่ออมแรงสักนิดด้วยสีหน้าบึ้งตึง พร้อมกับที่แก้มใสค่อยๆขึ้นสีจากรอยนิ้วมือ จนผมเองเกิดความรู้สึกเอ็นดูและความเสียดายในเวลาเดียวกัน ก่อนผมจะตัดสินใจดึงแว่นกรอบหนาออกจากใบหน้าน่ารักๆ ผลก็คือฝูหรงอุทานอย่างตกใจเตรียมอ้าปากประท้วง มีเอื้อมมือพยายามจะแย่งแว่นคืนจากผมอีกด้วย
การกระทำนี้ของกระต่ายน้อยกลับเป็นผลดีสำหรับผม เมื่อเป็นช่องทางให้ผมสามารถยึดข้อมือบางทั้งคู่ไว้อย่างสะดวก พร้อมซอกซอนลิ้นผ่านริมฝีปากนุ่ม เพื่อขโมยความหวานจากโพรงปากอุ่นของคนตัวเล็กได้อย่างถนัด ซึ่งผมก็ไม่ผิดหวังด้วยรสชาติจูบของเรายังคงหวานไม่เปลี่ยน ผมตักตวงความหวานจนพอใจ ก่อนจะตัดใจผละริมฝีปากออกห่างทั้งๆที่แสนเสียดาย แต่ก็อยากให้กระต่ายน้อยได้พักหายใจบ้าง
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเป้าหมายมาสูดกลิ่นแก้มใสแทน และไม่ว่าจะสูดดมยามใด กลิ่นหอมอ่อนๆชวนสบายใจนี้ พาลทำให้ผมหลงลืมเวลาอยู่ร่ำไป แต่ผมก็ต้องตัดใจอย่างเด็ดขาด เมื่อมีเสียงสั่นๆประท้วงขึ้น พร้อมแรงผลักเบาๆแถวแผ่นอก
“พะ พอลพอแล้ว...ไม่รีบไปงานรึไงเล่า” ฝูหรงเรียกชื่อผมแทนคำว่าคุณหรือนายได้ แปลได้สองอย่าง หนึ่งคือคนน่ารักยังไม่เป็นตัวของตัวเองดีนัก กับสองฝูหรงเริ่มไว้ใจในตัวผมบ้างแล้ว
แม้ประโยคที่ผมได้ยินจะเหมือนเป็นการผลักไสกันให้ออกห่าง แต่ผมกลับหยุดยิ้มไม่ได้จริงๆ
“ครับๆ แล้วพอลจะรีบกลับมาหาฝูหรงนะ...ฟอดดด...ฮึๆ” จะไม่ให้ผมหลุดหัวเราะออกมาได้ยังไง ในเมื่อกระต่ายน้อยน่ารักก้มหน้างุดแก้มแดงแทบแตกไปแล้ว
.............................................
“พอลเป็นไรวะ วันนี้ดูมีความสุขกว่าปกติ มีอะไรดีๆรึไง” ผมเหลือบมองไอ้ลูกครึ่งอินเดียหน้าคมอย่างโจเซฟนิด ก่อนจะกระตุกยิ้มใส่แววตาสงสัยของเพื่อน และเสจิบแชมเปญในมือ ทำตัวเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่มันถาม ทั้งๆที่ได้ยินเต็มๆทั้งสองรูหู แต่เป็นเพราะผมยังไม่คิดจะตอบคำถามของเพื่อนตอนนี้ จึงเลือกที่จะพูดถึงเหตุการณ์ตรงหน้าเราแทน
ภาพตรงหน้าของเราคือเจ้าพ่อหลี่ผิงยืนตระหง่านกำลังเผชิญหน้ากับไรอัน ผู้ที่เป็นเจ้าของอาณาจักรสถานบันเทิงแห่งใหม่อันแสนหรูหรา และเป็นสถานที่เดียวกับที่พวกเรายืนอยู่ขณะนี้ ทั้งคู่จ้องตากันด้วยท่าทางที่ไม่มีใครคิดจะยอมใครก่อน โดยที่หลี่ผิงมีคนน่ารักถึงสองคน อย่างน้องธันว์แฟนตัวน้อยและเหมยอิงน้องสาวฝาแฝดคนสวยยืนขนาบข้าง ซึ่งท่าทางดังกล่าวของเพื่อนสนิททั้งคู่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย หากไม่ใช่เพราะไรอันคิดจะครอบครองนางฟ้าแห่งหวางหย่งกัง จนฝาแฝดขี้หวงอย่างหลี่ผิงอดที่จะแสดงความไม่พอใจไรอันขึ้นมาไม่ได้
เพื่อนสนิททุกคนต่างรู้ดีว่าหลี่ผิงไม่ได้ขี้หวงเฉพาะแฟน แต่สำหรับน้องสาวมันก็หวงไม่ต่างกัน ไอ้ลูกครึ่งเดนมาร์กอย่างไรอันเองก็รู้ถึงข้อนี้ดี แต่ในเมื่อความรักที่มีมานานถูกบ่มเพาะจนสุกงอม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้ไรอันจะเปิดตัวว่าหมายปองนางฟ้าให้พี่ชายฝาแฝดได้รู้ ซึ่งผมและโจเซฟรู้ถึงความรู้สึกที่ไรอันมีต่อเหมยอิงมาตลอด แต่ก็ไม่เคยที่จะปริปากบอกไอ้คนหวงน้องสาวได้รู้ ด้วยอยากให้ไรอันเป็นคนบอกเอง และวันนี้ไรอันมันคงคิดดีแล้ว ที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่มีให้ว่าที่พี่เมียได้รู้ ซึ่งผมเองอดเป็นห่วงไรอันไม่ได้จริงๆ เพราะอุปสรรคความรักของมันไม่ได้มีแค่หลี่ผิง
“งานนี้ไรอันเจอศึกหนักแน่ว่ะ นี่แค่หลี่ผิงก็ดูท่าจะอ่วมแล้ว ถ้าเจอสามพญามังกรแห่งตระกูลหวางและตระกูลหยาง จะไม่ยิ่งกว่านี้รึไง” ใช่แล้วครับ ทั้งปาปาหลี่จวิน อาหยางตี้หลง และอากงไป๋หลงของสองพี่น้องฝาแฝดนั้น ขึ้นชื่อว่าหวงเหมยอิงไม่น้อยไปกว่าหลี่ผิงสักนิด เผลอๆจะมากกว่าด้วยซ้ำไป
“ในเมื่อไรอันรักเหมยอิง มันเองก็ต้องเสี่ยงและทุ่มเทให้สุดตัวน่ะถูกแล้ว ไม่เช่นนั้นมันจะได้คนที่ผูกใจรักอย่างเหมยอิงมาได้ยังไง...เรื่องความรักคงไม่ต่างจากธุรกิจหรอก หากหวังผลกำไรสูง คงต้องเสี่ยงที่จะลงทุน เพียงแต่เรื่องรักต้องเสี่ยงใช้หัวใจเข้าแลกก็เท่านั้น” ผมเหลือบมองเจ้าของ ‘AJ Music Record’ นิดด้วยความแปลกใจ เพราะคำพูดลึกซึ้งที่ได้ยินไม่น่ามาจากคนที่ไม่มีความรักอย่างโจเซฟได้ แต่พอคิดอีกทีคนอย่างโจเซฟคิดได้แบบนี้ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ ด้วยในกลุ่มเรานั้นมีมันนี่แหละที่ละเอียดอ่อนช่างใส่ใจสิ่งรอบตัวที่สุดแล้ว
ส่วนผมเองก็อดเห็นด้วยกับโจเซฟไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าไม่ใช้ใจแลกจะได้หัวใจอีกดวงมาได้อย่างไรกัน ซึ่งผมก็ได้เล็งหัวใจดวงหนึ่งไว้แล้ว ว่าจะต้องได้หัวใจดวงนั้นมาครอบครอง รวมถึงผมต้องได้เจ้าของหัวใจมาเป็นคนของผมเองด้วย
“ขอบใจนายสองคนมากที่มา” ไรอันหันมาพูดกับผมและโจเซฟ หลังจากมันมองส่งท้ายรถลีมูซีนสีดำคันใหญ่ตาละห้อยจนลับตา
“ไม่มาก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทสิวะ ยังไงฉันก็ยินดีกับนายอีกครั้งที่ฝันเป็นจริงสักที” โจเซฟพูดจบก็ชกเบาๆไปที่ไหล่ของไรอัน ซึ่งไรอันเองก็ได้แต่หัวเราะเบาๆและเอ่ยขอบใจ ก่อนมันจะหันมาเลิกคิ้วมองผมยิ้มๆ ผมจึงยื่นมือไปตบไหล่มันเบาๆเป็นการเอาคืน
“ยินดีกับนายเหมือนกันนะไรอัน คราวนี้คงได้เวลาทำตามหัวใจสักที ฉันเอาใจช่วยนายเต็มที่ว่ะเพื่อน...แต่ถ้าโดนมาเฟียใหญ่มันเล่นงาน บอกก่อนแล้วกัน ฉันไม่ไปช่วยนะ...แต่จะไปเยี่ยม ฮ่าๆๆ” ผมกระโดดหลบหน้าแข้งของไรอันทั้งๆที่กำลังกลั้วหัวเราะ ‘แหย่แค่นี้ทำเป็นจริงจังไปได้ ฮ่าๆ’
“พอล มึงนี่ปากดี ไม่เจอมั่งก็ให้รู้ไป หึ!” แม้น้ำเสียงของไรอันจะออกแนวข่มขู่ แต่สีหน้าแววตาดูก็รู้แล้วว่ามันแค่หมั่นไส้ผม ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไร
พวกเราต่างรู้ดีแก่ใจว่าสัมพันธภาพของเพื่อนไม่มีวันที่จะตัดขาดกันได้ ซึ่งผมไม่มีทางทิ้งเพื่อนอย่างมันให้ต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง และเชื่อว่าหลี่ผิงเองก็คงไม่ตัดขาดกับเพื่อนสนิท เพียงเพราะเพื่อนสนิทอย่างไรอันรักและจริงใจต่อน้องสาวของตัวเองหรอกครับ แต่คงต้องให้เวลาหลี่ผิงทำใจบ้างก็เท่านั้น
ระหว่างที่พวกเราสามเพื่อนซี้กำลังจะแยกย้าย เสียงโทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น และชื่อที่โชว์บนหน้าจอก็ทำให้ผมยิ้มได้ แต่น้ำเสียงตื่นตระหนกของคนปลายสายนี่สิ ทำเอาผมใจหายและร้อนรนขึ้นมาทันที แม้แต่ไอ้ไรอันและโจเซฟก็หันมาให้ความสนใจกับอาการกระสับกระส่ายของผม
“พอล!...พอลรีบกลับมาเร็วๆ มาช่วยทางนี้หน่อย สถานการณ์ทางนี้ไม่ดีเลย พะ...” อยู่ๆปลายสายก็ตัดไป แถมท้ายประโยคของฝูหรงนั้น กระแสเสียงที่ผมได้ยินกลับสั่นเครือ ผมจึงไม่รอช้าที่จะกดโทรกลับไป
“...[ตื๊ดๆๆๆๆ]...ฝูหรง!... [ตื๊ดๆๆๆๆ]...ฮึ่ม! เกิดอะไรขึ้นวะ! ฉันกลับก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกัน” ผมหันไปโบกมือให้สองเพื่อนสนิทที่ยืนมองมาทางผมด้วยความสงสัย พร้อมเร่งฝีเท้ากลับไปยังรถที่จอดไว้ไม่ไกลนัก
ส่วนใจนั้นคงไม่ต้องบอกว่าจะร้อนรนเพียงใด เรียกได้ว่ารถเร่งได้เท่าไหร่ผมเหยียบคันเร่งจนมิด ดีที่ไม่ใช่เวลาเร่งด่วน ทำให้ผมกลับมาถึงบ้านโดยใช้เวลาไปไม่นาน แต่ในความรู้สึกผมมันก็ยังช้าไป ด้วยในหัวเฝ้าครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝูหรงกันแน่ อาจจะเป็นยัยจินนี่ที่รู้ข่าวจึงตามมาราวีเอาเรื่องฝูหรงก็ได้ ถ้าใช่ผมจะไม่ออมมือให้เลยเชียว หรือว่ามีหัวขโมยที่เข้าไปทำร้ายฝูหรงกันแน่ แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะบ้านผมในเรื่องความปลอดภัย น่าจะเป็นรองแค่ระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคาร ซึ่งถ้าไม่ใช่คนนอกอย่างที่คิด ที่จะมาสร้างสถานการณ์เลวร้ายก็คงมีแต่คนในเท่านั้น!
“ฝูหรงอยู่ไหน” เข้าบ้านมาได้ผมก็ร้องหาคนที่เป็นห่วงสุดหัวใจทันที แต่สภาพบ้านที่ดูเรียบร้อยไม่มีวี่แววของผู้บุกรุก ยิ่งทำให้ผมเป็นกังวล
ก่อนที่ผมจะอกแตกตายไปซะก่อน เสียงเล็กๆที่เรียกชื่อผมก็ดังแทรกความเงียบขึ้นมา พร้อมๆกับร่างเล็กในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นตัวใหญ่ที่ชายกางเกงเลยหัวเข่าลงมา เดินออกมาจากมุมบ้านอย่างช้าๆ หากเป็นยามปกติผมคงมันเขี้ยวกระต่ายน้อยที่สวมเสื้อผ้าของผมอยู่ไม่น้อย เพราะฝูหรงขณะนี้ไม่ต่างจากเด็กชายเล็กๆที่ขโมยเสื้อพี่ชายมาใส่สักนิด แต่นาทีนี้ผมร้อนใจเกินกว่าจะมาชื่นชมความน่าเอ็นดูของคนตัวเล็ก ด้วยผมปรี่เข้าไปสวมกอดฝูหรงไว้แนบอกด้วยความโล่งใจ ก่อนจะพรมจูบไปที่กลางกระหม่อมไม่ยั้ง
“เกิดอะไรขึ้นครับ รู้มั้ยพอลตกใจแทบแย่ตอนฝูหรงโทรไป โทรกลับก็ปิดเครื่อง” ส่งคำถามคาใจไปแล้ว ผมจึงค่อยๆดันร่างเล็กออกจากอก จนดวงตากลมโตภายใต้แว่นเงยหน้าขึ้นสบตากัน แต่แววตากลมใสไร้ซึ่งความกังวล ที่ขัดกับน้ำเสียงตื่นตระหนกก่อนหน้าของฝูหรงนั้น ทำเอาผมแปลกใจ
ผมยังไม่ทันซักไซ้ให้รู้เรื่อง น้ำเสียงทรงอำนาจที่แสนคุ้นหูกลับดังขึ้น
“พอล!...พาคนของแกตามฉันเข้ามาในห้อง” ปาปาพูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม ผมจึงก้มหน้ามองคนในอ้อมกอด ซึ่งฝูหรงเองก็ได้แต่ก้มหน้างุดซ่อนไว้กับอกผม
ไม่ต้องเดาเลยว่าทั้งคู่ได้พูดคุยกันแล้วหรือไม่ เผลอๆในห้องคงมีมามานั่งรอเราทั้งคู่อยู่แล้วด้วยซ้ำ ผมที่วางแผนไว้ว่าจะให้ฝูหรงเจอปาปามามาในวันนี้ก็เป็นจริงจนได้ แต่ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสามคนตอนที่ไม่มีผมอยู่ด้วยนั้น มันจะดีหรือเลวร้ายแค่ไหน แต่จากน้ำเสียงตื่นตระหนกในโทรศัพท์ และอาการหลบตาด้วยท่าทางหงอยๆของฝูหรงตอนนี้ ทำให้ผมคิดไปในแง่ร้ายเข้าแล้ว
ผมไม่รู้ว่าปาปามามาจะตกใจเพียงใดที่เห็นคนแปลกหน้าในบ้านตัวเอง และพาลมีอคติตั้งแต่ยังไม่รู้จักตัวตนจริงๆของฝูหรง จนอาจจะต่อต้านและตั้งกำแพงกับคนของผมตั้งแต่การคุยกันครั้งแรกเข้าก็ได้ เพราะไม่เช่นนั้นฝูหรงคงไม่มีอาการเหมือนเด็กที่โดนผู้ใหญ่ดุอย่างที่เป็นอยู่ ผมจึงเอื้อมมือไปลูบหัวทุยเบาๆเป็นการปลอบใจ ก่อนจะก้มกระซิบให้เราได้ยินกันสองคน
“ไม่ต้องกลัวนะครับ พอลอยู่นี่แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พอลจะไม่มีวันปล่อยมือฝูหรงเด็ดขาด” สิ้นคำผมนั้น แก้มใสๆก็ขึ้นสีระเรื่อน่ามอง พาลให้อารมณ์มัวหมองค่อยๆจางหาย จนมุมปากยกยิ้มอัตโนมัติ ก่อนผมจะตัดสินใจกุมข้อมือบางที่เจ้าของยังคงก้มหน้า ให้เดินตามกันเข้าไปในห้องรับรอง
ผมคิดตามที่ได้พูดกับฝูหรงเมื่อครู่จริงๆ เพราะไม่ว่าปาปามามาจะลงความเห็นว่าอย่างไร ผมได้เลือกแล้วและจะไม่มีวันปล่อยคนที่ผมรอมาห้าปีคนนี้ไปไหนอย่างแน่นอน ซึ่งในใจลึกๆผมเชื่อว่าหากได้อธิบาย ปาปามามาต้องเข้าใจและยอมรับในตัวเราทั้งคู่ แถมยังสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในตัวผมให้แก่ฝูหรงเองอีกด้วย ว่าผมนั้นจริงจังกับเจ้าตัวเค้ามากมายแค่ไหน
“มาได้สักทีนะไอ้ตัวแสบ” แม้น้ำเสียงปาปาจะออกแนวไม่ค่อยพอใจพาให้คนที่ได้ยินใจเสีย แต่จากสีหน้าละมุนหวานอมยิ้มน้อยๆของมามา ทำให้ผมเริ่มใจชื้นว่าสถานการณ์อาจไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่คิดไว้
ผมจึงส่งยิ้มไปเป็นทัพหน้าให้ปาปาและมามา ก่อนจะเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นมาให้คนตัวเล็กที่ยืนเงียบๆอยู่ข้างตัว ฝูหรงเห็นผมยิ้มให้ก็รีบก้มหน้าหนีสายตา และแก้มที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงขึ้น แถมยังลามไปที่ใบหูกับลำคออีกด้วย สงสัยกระต่ายน้อยจะเขินหนัก เพราะนาทีนี้ไม่ใช่มีแค่ผมที่ชื่นชมในความน่ารัก แต่บุพการีทั้งคู่ก็มองฝูหรงไม่วางตาเช่นกัน
ระหว่างที่ผมพาฝูหรงเดินเพื่อเข้าไปนั่งยังโซฟาตัวเล็กข้างๆมามานั้น ผมแอบเห็นว่าท่านระบายยิ้มด้วยความเอ็นดูมายังฝูหรงอีกด้วย อย่างน้อยงานนี้ผมน่าจะมีมามาเป็นพวก ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องยากที่ท่านจะกล่อมคู่ชีวิต เพื่อลูกชายสุดที่รักอย่างผมและว่าที่สะใภ้แสนน่ารักคนนี้
“โจว พอล วอร์เลนโต้! สารภาพมาให้หมดว่าทำอะไรไว้” หากว่าปาปาเรียกชื่อผมเต็มยศแบบนี้ แสดงว่าท่านเอาจริงไม่มีเล่น ซึ่งหาน้อยครั้งนักที่หนุ่มใหญ่เจ้าพ่ออสังหาคนดังที่แสนเงียบขรึมเป็นนิจจะอยู่โหมดนี้
ไอ้ผมน่ะไม่เท่าไหร่แต่คนข้างตัวผมนี่ถึงกับสะดุ้ง และขยับตัวเข้ามาเบียดผมทันที ผมจึงถือโอกาสปล่อยมือนุ่มที่กุมไว้ และเปลี่ยนมาโอบเอวบางให้ร่างเล็กแนบชิดแผ่นอกผมมากขึ้นไปอีก พร้อมประสานสายตาจริงจังกับปาปาที่จ้องทุกการกระทำของผมอยู่ก่อนแล้ว
“ปาปามามาครับ นี่ฝูหรง...เจินฝูหรงคนที่ลูกชายปาปามามาหลงรักมาตลอดห้าปี” หลังจากผมแนะนำคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังแล้ว ผมก็เริ่มสังเกตปฏิกิริยาของแต่ละคนรอบตัว
เริ่มแรกมามาถึงกลับขมวดคิ้วอย่างตกใจ แต่วินาทีต่อมาท่านกลับระบายยิ้มอ่อนหวาน ส่งให้ผมและคนข้างตัวให้ได้อุ่นใจขึ้น ส่วนฝูหรงเองก็เงยหน้าจ้องผมตาค้างด้วยความตกใจเช่นกัน เพราะคงไม่คิดว่าผมจะสารภาพความในใจต่อหน้าบุพการีเช่นนี้
แม้กำลังเผชิญกับสถานการณ์เคร่งเครียด ผมเองยังคิดอยากจะกดจูบลงบนริมฝีปากที่เผยอค้างด้วยความมันเขี้ยวคู่นั้นเลย ผมพยายามกดมุมปากลงและตัดใจจากภาพใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู ด้วยไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาคิดเสน่หาคนน่ารักในตอนนี้ สำหรับปฏิกิริยาของปาปาคือท่านยังคงกอดอกนิ่ง และจ้องมาทางผมแน่วแน่เหมือนรอคำอธิบายที่มากกว่านั้น
ผมจึงเล่าเรื่องของผมกับฝูหรงเมื่อห้าปีก่อนให้ท่านทั้งคู่ฟัง เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่คอนโดตอนที่เราพบกันครั้งแรก จนถึงเหตุการณ์ต่างๆระหว่างเราที่มีร่วมกัน ซึ่งผมเลือกเล่าในส่วนที่ผมประทับใจในตัวฝูหรงแทบทั้งสิ้น แม้แต่เจ้าตัวเองก็เพิ่งได้ยินจากผมในวันนี้เช่นกัน รวมพูดถึงเรื่องนิสัยส่วนตัวของฝูหรงที่ผมชื่นชอบ อย่างความใจเย็นและช่างเอาใจใส่ต่อคนข้างตัว เพราะไม่ว่าครั้งใดที่ผมกลายเป็นลาวาเดือดมาจากข้างนอก ก็จะได้ฝูหรงที่เปรียบเป็นน้ำเย็นคอยชโลมร่าง ทำให้ผมได้อารมณ์เย็นลงทุกครั้ง รวมถึงความอ่อนโยนและความอ่อนหวานในตัวฝูหรง เพราะไม่มีสักครั้งที่ผมจะได้ยินเจ้าตัวพูดคำหยาบ ด้วยมีแต่ผมที่ได้รับถ้อยคำอ่อนหวานแฝงไปด้วยกำลังใจตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน
บวกหน้าตาน่ารักแบบหาตัวจับยาก และรูปร่างกะทัดรัดด้วยกอดทีร่างน้อยก็จมไปกับอก แถมด้วยผิวพรรณเปล่งปลั่งที่ไม่ว่าจะลูบผ่านไปส่วนไหนก็ลื่นมือไม่มีสะดุด แล้วแบบนี้จะไม่ให้โจวพอลหลงรักจนโง่หัวไม่ขึ้นได้อย่างไรจริงมั้ยครับ แต่ส่วนดีข้อหลังๆนี้ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ ไม่ได้บอกปาปามามาออกไปหรอกนะครับ
“หลงจนกระทั่งโงหัวไม่ขึ้นเชียวรึ หึๆ” ปาปาหัวเราะได้แสดงว่าเริ่มเห็นใจในความรักของผมแล้ว ส่วนมามาไม่ต้องพูดถึงเพราะระบายยิ้มอย่างกว้างด้วยความถูกใจ ซึ่งฝูหรงเองก็นั่งตัวแดงก้มหน้างุด เพราะเขินจัดจนไม่ยอมสบตาใครสักคน ผมก็ได้แต่ลูบต้นแขนอุ่นเป็นการปลอบโยนเท่านั้น
“ทั้งๆที่ลูกก็รักฝูหรงขนาดนั้น ทำไมลูกถึงไม่พาฝูหรงมาให้ปาปากับมามาได้รู้จักเร็วกว่านี้ล่ะจ๊ะ” หลังคำถามของมามา ผมเหลือบตามองฝูหรงด้วยความรู้สึกผิดนิด และเสหลบตามามาที่จ้องรอคำตอบ
“ผมผิดเองที่ไม่เคยบอกความในใจให้ฝูหรงรู้ จนกระทั่งฝูหรงน้อยใจและหนีผมไป”
“หมายความว่ายังไงที่ว่าหนี นี่ลูกกับฝูหรงไม่ได้แอบคบกันลับหลังปาปามามาตลอดห้าปีหรือจ๊ะ” มามาคิ้วขมวดด้วยความแปลกใจ จ้องหน้าผมกับฝูหรงสลับไปมา
“ผมเพิ่งได้เจอฝูหรงอีกครั้ง เมื่อสองวันก่อนนี้เองครับ ที่ผมพาฝูหรงเข้าบ้านวันนี้ ก็เพราะอยากให้เจอกับปาปามามาด้วย และผมอยากคุยกับฝูหรงให้รู้เรื่อง เพราะดูเหมือนว่าฝูหรงจะเข้าใจอะไรบางเรื่องผิดไป ที่สำคัญผมอยากสร้างความมั่นใจให้ฝูหรงด้วยว่าผมจริงจังกับเค้า” ผมละสายตาเข้าอกเข้าใจของมามา เพื่อก้มหน้าส่งยิ้มใส่แววตาสั่นๆของคนในอ้อมกอด
“พอล คือ เรา...” ผมส่ายหน้าพร้อมระบายยิ้มใส่แววตาสับสน ก่อนจะรวบกอดร่างเล็กไว้กับอกและซุกจมูกซุนเข้ากับกลุ่มผมนุ่ม จากหางตาผมเห็นปาปาส่ายหน้ายิ้มๆให้แก่มามาที่กำลังระบายยิ้มกว้าง
“ฉันก็นึกว่าแกริอาจพาอีหนูเข้าบ้านซะอีก ฮึๆ...แล้วตกลงที่หนูหนีไอ้ลูกชายของปาปาไป เพราะมันมัวแต่ทำตัวไม่รู้เรื่องอมพะนำไม่สารภาพความในใจใช่มั้ย” ที่แท้ปาปาโกรธผมเพราะเข้าใจผิดนี่เอง แต่ผมไม่คิดจะพาใครอื่นเข้าบ้านอยู่แล้ว หากไม่ใช่ตัวจริง ซึ่งตัวจริงของผมก็คือคนที่นั่งข้างๆนี้คนเดียวนี่แหละ
ผมส่งยิ้มล้อเลียนใส่ตาคนแก้มแดงที่โดนปาปาเลือกใช้สรรพนามเรียกขานอย่างน่ารัก อย่างคำว่า ‘หนู’ ได้อย่างเหมาะสมกับตัวตนของฝูหรง ผมที่เริ่มอารมณ์ดี เพราะเหตุการณ์เบื้องหน้าไม่ได้ดูเลวร้ายอย่างเมื่อแรกเจอ ออกจะคลี่คลายและปกคลุมไปด้วยกระแสแห่งความเอื้ออาทรนั้น ผมต้องประหลาดใจไปกับถ้อยคำจากฝูหรง ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินอะไรทำนองนี้
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้หนี...ผมแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ คือการเปิดโอกาสให้พอลได้อยู่กับคนที่รักเท่านั้น”
คนที่ผมรักงั้นเหรอ!? กระต่ายน้อยพูดอะไรของเค้ากัน ในเมื่อคนที่ผมรักและรักมาตลอดคือ ‘เจินฝูหรง’ คนนี้ ผมจะมี ‘คนที่รัก’ คนอื่นได้ยังไง
................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะใครหลายคนคงใจหายใจคว่ำกับโทรศัพท์ของฝูหรงใช่ม้า
แต่ผู้ต้องสงสัยก็ไม่ใช่คนที่คุณคิด กลับเป็นปาปามามาของพอล
และกลายเป็นเรื่องดีที่ทำให้ทั้งคู่ได้เคลียร์ใจกันให้หมด
ซึ่งเรื่องที่ทำให้ฝูหรงเข้าใจไปว่าพอลมี “คนที่รัก” ที่ไม่ใช่ตัวเองอยู่แล้ว
จะมีที่มาที่ไปอย่างไร แน่นอนคนๆนั้นคือคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
รายละเอียดทั้งหมดมาฟังจากฝูงหรงได้ในวันอาทิตย์นะคะ
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
ปล.ติดตามตอน
• ตอนที่ 10 "ผู้กล้า" ได้นะคะ จะเป็นเหตุการณ์ช่วงที่พอลไปงานไรอันค่ะ
