ตอนที่ 21ภายในห้องทั้งเงียบทั้งอึดอัด ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ในขณะที่พี่ทองนั่งซบหน้าลงกับฝ่ามือของตัวเองอยู่ที่ปลายเตียง ความน่าอึดอัดก่อตัวขึ้นเมื่อไหร่ผมก็ไม่แน่ใจนัก มันอาจจะเป็นตอนที่เขาขอให้เรื่องของเราชัดเจนมากกว่านี้หรือเป็นตอนที่ผมคลายแขนที่กอดตัวเขาไว้ออกแต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน...มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะมองสบตากันตรงๆ เพราะเราต่างรู้ว่าเราก้าวไปด้วยกันมากกว่านี้ไม่ได้...และผมควรจะหยุดปั่นหัวเขาแล้วทำในสิ่งที่ควรทำให้มันชัดเจนเสียที
ผมวางปากกาลง ก่อนจะลุกเดินไปหาพี่ทอง ยื่นกระดาษที่เพิ่งเขียนข้อความลงไปให้เขาอ่าน
‘ถ้าผมทำให้พี่เจ็บมากขนาดนั้น...งั้นเราหยุดแค่นี้เถอะนะครับ เพราะผม...คงเข้าไปใกล้พี่มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว’
แม้ว่าลายมือของผมจะห่วยแตกแค่ไหน พี่ทองก็ไม่ได้โวยวายว่าอ่านไม่รู้เรื่องเหมือนอย่างทุกที เขาจ้องกระดาษที่ผมเพิ่งยื่นให้ นั่งจ้องอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังพยายามเข้าใจมันทุกตัวอักษร
ผมขอโทษที่ต้องทำอย่างนี้...แต่ผมก็ไม่อยากให้ระหว่างเรามันแย่ไปมากกว่าเดิมเหมือนกัน พี่เหนื่อยผมรู้ พี่เจ็บแค่ไหนผมรู้...แต่ผมก็ให้ความมั่นใจกับพี่มากไปกว่านี้ไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ก้าวไปไหน...เราก็จะทะเลาะกันอีก เราจะทำร้ายกันซ้ำๆ ซากๆ ทำร้ายกันจนวันหนึ่งเราหมดความรู้สึกดีๆ ให้กันไป และผม...ไม่อยากให้มันต้องเกิดขึ้นกับเรา
พี่ทองกำกระดาษไว้ในมือแน่น เขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ เขาไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผม ไม่มีคำพูดบอกลา มีแต่เพียงแผ่นหลังที่ขยับห่างออกไปทุกที
อย่างนี้คงดีแล้ว...ผมควรจะทำอย่างนี้มาตั้งนาน ในเมื่อยื้อเวลาไปก็เท่านั้น สุดท้าย...เรื่องระหว่างผมกับเขา ก็ยังไม่มีแค่เราอยู่ดี มันยังมีคนอีกคนที่ต้องเจ็บปวด ยังมีคนอีกคนที่ถึงแม้พี่ทองจะบอกว่าไม่รัก แต่ก็ยังต้องรับผิดชอบดูแล มีคนที่...มีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะทวงคืน
‘แต่ถ้าเป็นอิสระจากเขาเมื่อไหร่...ช่วยกลับมาหาผมด้วยนะครับพี่’
อยากจะเขียนความคิดนี้ลงไปเหมือนกัน...แต่มันก็คงไม่ช่วยอะไร พี่ทองมีสิทธิ์ที่จะเลือกเริ่มต้นใหม่กับใครก็ได้หากว่าเขามีอิสระแล้ว ไม่จำเป็นต้องผม...มันไม่จำเป็นเลย
การห้ามตัวเองไม่ให้ตามพี่ทองไปนั้นทำได้ยากมาก แค่ยืนมองเขาจากหน้าต่างหัวใจก็เต้นด้วยความปวดแปลบ เขาเดินออกไปทั้งๆ ที่ไม่ใส่รองเท้า มุ่งตรงไปยังประตูรั้วบ้านของผม เหมือนไม่ลังเลเลยที่จะไป แต่พอถึงที่ประตูก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้นนานหลายนาที
ผมจะไม่ตามเขาไปหรอก...ที่ควรทำตอนนี้คือต้องปล่อยเขาไปเท่านั้น แต่ว่า...ดึกขนาดนี้...ปล่อยให้เดินออกไปทั้งๆ แบบนั้นจะดีรึเปล่านะ ถึงเขาจะสร่างเมาแล้วแต่เวลาเกือบตีสาม...จะมีแท็กซี่สักคันไหม จะกลับยังไง...จะเดินไปจริงๆ น่ะเหรอ เท้าเปล่าต้องเจ็บมากแน่ๆ แค่เดินไปเหยียบโดนก้อนหินก็ต้องร้องโอ้ยแล้ว
เฮ้อ...ไม่ว่ายังไงผมก็เป็นห่วงเขาอยู่ดี
ผมรีบเดินออกจากห้องนอน ก่อนจะลงบันไดมา คว้าเอารองเท้าของพี่ทองขึ้นมาถือไว้แล้วรีบวิ่งเอาไปให้เขาที่เดินออกนอกประตูรั้วไปแล้ว ผมวิ่งตาม ขว้างรองเท้าไปสุดแรงจนโดนแผ่นหลังของเขา พี่ทองหยุดเดิน แต่ก็ไม่ได้หันมามอง เห็นดังนั้นผมก็รีบเดินเข้าไปหา ก้มลงเก็บรองเท้าแล้วเอามาวางไว้หน้าเท้าของเขา แต่เจ้าของรองเท้าก็ไม่ยอมใส่มัน จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง ถึงได้รู้ว่าเขาก็กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน
มันแปลกนะ...ที่ผมไม่อยากสบตาเขานานๆ มันแปลกจริงๆ ที่จู่ๆ ผมก็อยากร้องไห้ขึ้นมาเมื่อได้เห็นว่าตาคมคู่นั้นกำลังแดงก่ำ
ผมก้มหน้าเลี่ยงสายตาของพี่ทอง ในขณะที่มือก็จับข้อเท้าของเขาไว้เบาๆ ยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อพยายามใส่รองเท้าให้ แต่มันก็ไม่สำเร็จเมื่อเขากลับนั่งลงในระดับเดียวกันแล้วดึงผมไปกอดไว้
“มึงไม่ควรใจดีกับคนที่มึงกำลังจะทิ้ง...มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ” เสียงของพี่ทองสั่นเทา เขากอดผมแน่น แน่นจนเจ็บ “และตั้งแต่ที่มึงบอกว่าเราควรหยุด...ก็ไม่มีรองเท้าคู่ไหนในโลกที่จะพากูเดินไปจากมึงได้อย่างไม่เจ็บปวด”
ผมกำชายเสื้อของตัวเองไว้แน่น ทั้งๆ ที่อยากกอดเขาไว้มากแค่ไหนผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือออกไป
“แต่ไม่เป็นไร...กูไม่เป็นไร มึงไม่ผิดหรอก อย่าร้องไห้แบบนี้สิ” พี่ทองพูดเสียงเบา เขามองหน้าผมแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ น้ำตา...ที่ก็ไม่รู้ว่าไหลลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
พี่ทองพยายามยิ้ม เขาทำหน้าทะเล้นให้ผมเหมือนปกติ ทว่า...ท่าทางกวนๆ นั่นยิ่งทำให้น้ำตาของผมไหลมากยิ่งขึ้น
“อย่าร้องนะชงโคของเฮีย เฮียไม่เป็นไร แค่นี้สบายมากกกกกก”
ทำไมถึงยังพยายามยิ้มล่ะครับพี่ ยิ่งพี่ทำแบบนี้...ผมก็ยิ่งเป็นห่วง
‘ผมขอโทษ’
“ไม่เป็นไร ชงโคไม่ได้ทำอะไรผิด...กลับเข้าบ้านแล้วไปนอนซะ เป็นเด็ก ต้องนอนให้ครบสิบชั่วโมงรู้ไหม”
ไม่รู้หรอก...ตอนนี้ผมไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น
“ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่ามัวแต่ดูแลคนอื่น ถ้าว่างๆ ก็ไปหาม๊าที่ร้านบ้างก็ได้” พี่ทองวางมือลงบนหัวของผมเบาๆ “ไปเถอะ...เฮียก็จะไปแล้ว”
ผม...เจ็บจังเลยครับแม่ ทำไมถึงเจ็บมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ผมเลือกที่จะจบเอง แต่กลับ...อยากรั้งไม่ให้เขาไป ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะทำยังไงต่อ...
‘ถ้าไม่มีใครแล้ว...กลับมาหาผมนะพี่’ ผมยกหลังมือป้ายน้ำตาออกจากแก้มตัวเอง ก่อนจะใช้ภาษามือบอกกับเขาเป็นครั้งสุดท้ายว่า ‘ผมจะรอ’
น้ำตาของเขากำลังจะทำให้ผมยืนไม่อยู่ พี่ทองยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตาตัวเอง ทั้งๆ ที่ริมฝีปากคลี่ยิ้ม แต่ผมก็ยังเห็นว่าน้ำตาไหลลงมา “ชงโคเด็กโง่ เฮียต้องกลับมาอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ช่วยรอด้วยนะ”
พี่ทองเดินห่างออกไปแล้ว...แต่ผมก็ยังยืนมองเขาอยู่ที่เดิมแผ่นหลังของเขา...ผมจะไม่ลืมเลยว่ามันกว้างแค่ไหน อ้อมกอดของเขา ผมก็จะไม่ลืมว่ามันอบอุ่นมากแค่ไหนเช่นกัน
จะไม่ลืม...เพราะฉะนั้น...รีบๆ กลับมานะ ผมจะรอ...จะไม่ไปไหนหรอก
.
.
.
“ชงโคจ๋า ทำไมตาบวมแบบนี้ เป็นอะไรรึเปล่า” แมวทำเสียงงุ้งงิ้งอยู่ข้างๆ ในขณะที่ผมแค่ส่ายหน้าเป็นคำตอบกลับไป
บอกแมวไม่ได้หรอกว่าผมนอนร้องไห้ทั้งคืน ถึงเมื่อวานทั้งวันผมจะทำนั่นทำนี่ไปตามปกติ รดน้ำต้นไม้ ปลูกผักสวนครัว ช่วยพี่กระแตล้างบ่อปลาคาร์ฟ แต่พอตกช่วงกลางคืน...ผมก็นอนไม่หลับอยู่ดี รู้ตัวอีกทีก็นอนกอดหมอนที่พี่ทองเคยหนุนแล้วร้องไห้ไปเรียบร้อย
มันแย่นะ...แย่มาก ผมเหมือนคนบ้าที่เอาแต่คิดถึงเขา ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไง ผมพิมพ์ข้อความเป็นสิบๆ ข้อความแต่ก็ไม่กดส่ง กดเบอร์เขาเป็นสิบๆ รอบ...แต่ก็ไม่กดโทรออก ทั้งๆ ที่อยากได้ยินเสียง แค่คำว่าฮัลโหลก็ยังดี แต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้...ผมจะกลับไปอยู่จุดเดิมไม่ได้อีกแล้ว
เพราะเมื่อเขากลับมา...ทุกอย่างมันต้องดีขึ้น
“กินขนมปังหน่อยนะ เมื่อเที่ยงก็กินข้าวไปนิดเดียวเอง” หลินที่นั่งอยู่ข้างๆ ยื่นขนมปังไส้เผือกมาให้
‘ขอบคุณ แต่ผมไม่หิว หลินเก็บไว้ให้โบนะ เดี๋ยวเขาตื่นขึ้นมาต้องหิวแน่’
หลินมองผมอยู่ไม่นานก็ยอมพยักหน้า เขายื่นมือมาบีบที่ไหล่ของผมเบาๆ
“กลุ้มใจอะไรก็บอกกันได้ไหม ผมเป็นห่วง”
“แมวก็เป็นห่วงด้วย” แมววางคางลงบนไหล่อีกข้างของผม สีหน้าเป็นห่วงจนผมต้องยิ้มออกมา “ชงโคเคยยิ้มสวยกว่านี้อีก...ถ้าไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้มหรอก เพราะมันดูเศร้ายิ่งกว่าชงโคร้องไห้ออกมาซะอีก”
อาจจะจริงที่ในตอนนี้...ผมไม่ได้อยากยิ้มเลยสักนิด เพราะผมก็ไม่รู้จะยิ้มอยู่ได้ยังไงในเมื่อภาพที่เขาร้องไห้ยังคงติดอยู่ในหัว มันคงดีนะ...ถ้าเขาไม่พยายามยิ้ม มันคงดีถ้าเขาจะไม่บอกผมว่า เขาไม่เป็นไร ผมเข้าใจแล้วกับความรู้สึกของม๊า... เข้าใจดีเลยว่ารู้สึกแทบขาดใจมากแค่ไหนที่เห็นเขาร้องไห้
‘อย่าห่วงเลย...ผมไม่เป็นไร’
แมวกับหลินทำหน้าไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมากนัก ผมยกมือถือของตัวเองขึ้นมา หน้าจอที่แสดงวันที่และเวลาตามปกติกลับทำให้รู้สึกหน่วงในอก คงสักพักกว่าผมจะชินว่าจากนี้ไปอาจจะไม่มีการแจ้งเตือนข้อความจากพี่ทองอีก
ผมปล่อยให้แมวกับหลินคุยกันอยู่สองคน ในขณะที่ตัวเองก็เลือกจะจมลงไปในโลกออนไลน์ มันอาจจะง่ายกว่าหากจะเริ่มเล่าเรื่องที่ทำให้ปวดใจกับใครสักคนที่ไม่เคยเห็นหน้า หรือไม่รู้แม้กระทั่งชื่อจริง ผมไม่เคยถามว่าเพื่อนในโลกออนไลน์ที่คุยกันมาตลอดหนึ่งปีเขาเป็นใครมาจากไหน รู้แค่เพียงเขาเป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่ผมมักจะเข้าไปบ่อยๆ เมื่อยามว่าง เขาเป็นคนแปลกๆ มักจะเอารูปหรือคลิปสั้นๆ ที่ดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจลงในเว็บไซต์ของเขาอยู่เสมอ ซึ่งผมก็เป็นขาประจำที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นให้บ่อยๆผมเป็นสมาชิกเว็บไซต์ของเขาแค่เพราะชอบรูปที่เขาวาด ถึงจะมองไม่รู้ว่าอยากสื่อถึงอะไรแต่ก็สะดุดใจจนต้องเพ่งตามอง ทุกรูปจะมีลายเซ็นคำว่า ‘TheTenth’ กำกับไว้เสมอ และใต้ลายเซ็นนั้นก็ไม่เคยลืมเขียนประโยคภาษาอังกฤษด้วยตัวหนังสือหวัดๆ ว่า ‘I am the best’
ผมเคยบอกแล้วว่าเขาเป็นคนภาคเหนือ แต่นั่นผมก็เดาเอาเอง เพราะเขามักจะพิมพ์เหนือแบบออริจินอลมาเสมอ เขาไม่เคยบอกว่าอยู่ที่ไหน อายุเท่าไหร่ หรือหลายๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเขา ผมไม่รู้เลย แต่ด้วยระยะเวลาที่คุยกันมานาน อาจจะไม่ทุกวันแต่เดือนหนึ่งก็เกินกว่าสิบครั้งตลอดหนึ่งปีก็ทำให้ผมมักจะแชร์เรื่องแย่ๆ ให้เขาอ่านอยู่บ่อยๆ เพราะการจุดธูปบอกกับแม่ในเรื่องพวกนี้คงจะทำให้ท่านที่คอยเฝ้ามองผมอยู่ไม่สบายใจ
Dumb: โชคดีจังที่วันนี้คุณออนไลน์
ผมส่งข้อความไปทาง Instant Message สำหรับคุยกับเจ้าของนามแฝง TheTenth โดยเฉพาะ
TheTenth: แต่คงเป็นโชคร้ายของผมล่ะครับที่ออนตรงกับคุณ -_-
เขาจะพิมพ์มาอย่างนี้ก็ไม่แปลก เพราะเวลาที่ผมทักเขาไปทีไร ก็มักจะเป็นเฉพาะตอนที่ผมมีเรื่องอยากระบายทุกที
Dumb: สภาพอากาศเป็นไงบ้างครับ กำลังดีไหม
TheTenth: สำหรับผม แค่ฝนไม่ตกลงมาเป็นเลือด ก็ดีถมถืด
Dumb: พายุกำลังเข้าสินะครับ
TheTenth: ลูกใหญ่เชียวล่ะ ลมมรสุมตะวันตกพัดปกคลุม แต่มันคงสู้มรสุมชีวิตคุณไม่ได้ จริงไหม
Dumb: คุณเดาเก่งยิ่งกว่าหมอดู รู้ได้ยังไงว่าผมกำลังมีปัญหา
TheTenth:มันเป็นแค่พฤติกรรมการเรียนรู้ หลังจากที่สิ่งๆ หนึ่งสร้างเงื่อนไขให้เกิดผลขึ้นซ้ำๆ กัน -_-
คนๆ นี้ชอบพิมพ์คำพูดแปลกๆ กลับมาเสมอ ถึงจะชินแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ
Dumb: คุณเคยคิดอยากเป็นจิตแพทย์บ้างไหม
TheTenth: ผมยังไม่เก่งพอจะไปรักษาหัวใจใครในแบบของนามธรรม ผมเป็นแค่มนุษย์ที่สามารถรักษามันได้แค่ในรูปธรรมเท่านั้น
Dumb: คุณเป็นหมอโรคหัวใจ?
TheTenth: ผมไม่ได้บอกนะว่าผมเป็น
Dumb: ผมคงคิดไปเอง
TheTenth: แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของคุณ
Dumb:ความจริงมันเกิดขึ้นเมื่อคืนวันเสาร์ ผมเคยเล่าแล้วใช่ไหมว่าผมชอบคนที่เขามีเจ้าของแล้ว
TheTenth: เหมือนจะจำได้ว่าเคยมีเรื่องทำนองนั้นอยู่
Dumb: เอาเถอะ -_- ผมจะคิดว่าคุณจำได้ก็แล้วกัน อืม...ตอนนี้ผมตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์กับเขาแล้วล่ะ
TheTenth: ก็ดีแล้วนี่
Dumb: คุณก็คิดว่าดีใช่ไหม... งั้นผมคงทำถูกแล้ว
TheTenth: ก็ถูกแล้ว
Dumb: อืม
TheTenth: คุณอยากให้ผมบอกว่ามันไม่ดีเหรอ?
Dumb: เปล่า
TheTenth: แต่ท่าทางคุณเหมือนอยากให้มีใครสนับสนุนว่าควรกลับไปเริ่มความสัมพันธ์กับเขาใหม่
Dumb: ผมเปล่าคิดอย่างนั้น
TheTenth: ได้เห็นสีหน้าตัวเองตอนที่คุณบอกว่าเปล่าหรือยัง
Dumb: คุณต้องการจะบอกอะไร
TheTenth:ผมต่างหากที่ต้องถาม
Dumb: แม้ว่าผมจะคุยกับคุณมาเกือบปีแต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคุณอยู่ดี
TheTenth: ผู้ชายคนนั้นยอมไปจากคุณง่ายๆ เหรอ
การไม่ได้รับคำอธิบายเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างจะชินเมื่อได้เริ่มต้นคุยกับเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตคนนี้
Dumb: เราเข้าใจตรงกันว่าถ้าอยากให้ทุกอย่างมันชัดเจนก็ควรจะหยุดไว้ เขาบอกว่าจะกลับมาหาผม และผมก็จะรอเขา
TheTenth: เข้าใจล่ะ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาจะกลับมา แล้วถ้าเขาไม่กลับมาก็จะรออยู่อย่างนี้เหรอ
Dumb: อืม
TheTenth: คุณโง่นะ แต่ก็คงน้อยกว่าคนที่ผมรู้จัก คนๆ นั้นแม้ว่าจะไม่มีใครบอกว่าจะกลับมาหา แม้ว่าจะไม่มีใครบอกให้รอ แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหน โง่มากจริงๆ
Dumb: แฟนของคุณเหรอ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเกี่ยวกับตัวเอง
TheTenth: มากกว่านั้น
Dumb: ไม่คิดว่าคนอย่างคุณก็มีความรัก
TheTenth: ผมก็คน -_-
Dumb: นั่นสินะ ^^
TheTenth: ว่าแต่อย่างนี้ก็ดีแล้วนี่ แล้วคุณจะมาทำท่าลังเล รู้สึกผิด งี่เง่าอยู่ทำไม ในเมื่อสร้างเงื่อนไขขึ้นร่วมกันและเต็มใจยอมรับเงื่อนไขนั้น ก็ไม่เห็นต้องกังวลอะไร
Dumb: แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอกหัก
TheTenth: งั้นก็ร้องไห้ซะสิ
Dumb: ผมร้องมาทั้งคืนแล้ว
TheTenth: ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พอก็ร้องอีก จะยากอะไร
Dumb: นั่นสินะ...ไม่ยากเลย แค่คิดถึงเขา ผมก็อยากจะร้องไห้แล้ว
TheTenth: เป็นธรรมดาของคนอกหักที่มักจะเพ้อเจ้อ ฉันอยู่ไม่ได้ ขาดเขาไม่ได้ อะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่เห็นมีใครตายสักคน -_-
Dumb: ผมไม่คิดอย่างนั้นสักหน่อย
TheTenth: ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องบอกให้คุณไปเปิดคณะลิเก
ตัวจริงเขาต้องเป็นคนปากร้ายแน่ๆ แต่ก็ดูเป็นคนเปิดเผยและจริงใจดี
“ชงโค พวกเราจะไปเดินซื้อของนะ มีตลาดนัดวันจันทร์ตรงฝั่งประตูเจ็ดใกล้ตึกคณะสัตวแพทย์อ่ะ ไปด้วยกันไหม”
ผมยอมละสายตาจากมือถือแล้วหันไปหาเจ้าของคำเชิญชวนที่กำลังก่อกวนการนอนของโบจัง แต่พอเห็นว่าทั้งดึงทั้งทึ้งหัวก็ไม่ได้ผลจึงยอมแพ้แล้วหันกลับทำหน้าอ้อนใส่ผมต่อ
“ไปด้วยกันนะ ได้ยินเพื่อนที่คณะบอกว่ามีของขายเยอะเลย เสื้อยืดสวยๆ ก็เยอะอ่ะ แมวอยากได้สักตัวสองตัว”
เห็นความกระตือรือร้นของแมวแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ ผมจึงพยักหน้าตกลงไป ถึงจะรู้ว่ามันใกล้ที่ไหน แต่พี่ทองก็ไม่อยู่แถวนั้นหรอก...เขาคงยังอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์ของมหาลัยในวิทยาเขตอื่น
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยผมก็บอกลาเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตถึงเขาจะออฟไลน์ไปก่อนแล้วก็ตาม คนๆ นี้เวลาจะออฟไลน์เขาไม่เคยบอกล่วงหน้า ต้องลุ้นเอาเองว่าเขาจะเกิดอยากออฟไลน์ตอนไหน บางทีคุยกันอยู่ดีๆ ก็หายไปซะอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะบางทีไฟดับ เน็ตหลุด ผมก็ต้องหายไปดื้อๆ เหมือนกัน
แมวปลุกโบจังจนสำเร็จ พวกเราเลยได้ฤกษ์ไปเดินตลาดนัดวันจันทร์ที่แมวให้เครดิตไว้เยอะว่าดีอย่างงู้นดีอย่างงี้ แต่เอาเข้าจริงก็แค่มีพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดร้านขายของขายเสื้อผ้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นนิสิตนักศึกษาของมหาลัย ก็พวกรุ่นพี่หน้าโหดๆ นั่นแหละครับ เห็นมีรุ่นพี่คณะผมมาเปิดร้านขายเสื้อยืดสกรีนสวยๆ เหมือนกัน
“ชงโค เสื้อตัวนี้สวยป่ะ” หลินเดินไปดูเสื้อเชิ้ตสีดำตัวหนึ่ง เขาเอามาทาบกับตัวแล้วถามความเห็นผม ผมเลยพยักหน้าตอบกลับไป
“งั้นเอาตัวนี้ครับพี่” หลินหันไปบอกกับพี่คนขาย แต่ผมรีบเบรกไว้ก่อน ซื้อของแล้วจะไม่ดูอะไรเลยหรือไง การเย็บ เนื้อผ้า ตะเข็บ เส้นด้าย หรือแม้แต่กระดุม มันก็ต้องดูให้ละเอียด ผมรีบแย่งเสื้อมาจากหลินที่อมยิ้มแล้วยื่นมือมาผลักหน้าผากผมเบาๆ
“มาช่วยเลือกตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง มัวแต่มองหาใครอยู่ได้”
ไม่ได้ตั้งใจจะมอง ก็แค่...คณะเขาอยู่ใกล้ๆ มันเลยอดที่จะมองไม่ได้ ที่ร่มๆ ใกล้สระน้ำนั้นก็เคยมานั่งกินข้าวด้วยกัน...แล้วจะไม่ให้มองไปได้ยังไง
ผมเช็คเสื้อที่หลินอยากได้เรียบร้อยแล้วก็ยื่นให้กับพี่คนขาย ส่วนหลินก็จ่ายเงินแล้วเดินตามผมออกมาเพื่อไปดูร้านต่อไป แมวกับโบที่ตอนแรกก็เดินมาด้วยกันอยู่ดีๆ ตอนนี้ดันหายไปไหนก็ไม่รู้ คนมันเยอะจะคลาดกันก็ไม่แปลกหรอก เดินจนแทบจะเบียดไหล่ชนกันล้มอยู่แล้ว เฮ้อ ร้อนจริงๆ
“ชงโค แวะดูรองเท้าหน่อย” หลินที่เดินอยู่ข้างหลัง คอยกันไม่ให้ตัวผมไปเบียดกับใคร รุนหลังให้เข้าไปดูร้านรองเท้ามือสอง
“กรี๊ดดดดด น้องหลินของเจ้ ตามหาเจ้จนเจอนะค้า แสดงว่าเป็นเนื้อคู่กันนะคะเนี่ยยยย อุ้ยยย ทำไมมากับชงโคสุดที่เลิฟของเจ้ได้ มาค่ะๆ เลือกดูตามสบายเลยนะ”
โหะ ดันมาเจอลุงรหัส เอ้ย ป้ารหัสเอาซะได้ เจ้ยิ้มพอเห็นหลินล่ะก็ทำตัวประดุจนางงามรักเด็กทันทีเลย นี่ถ้าหลินมันจะซื้อจริงๆ เจ้ยิ้มคงให้ฟรีอ่ะผมว่า -_-
“คู่นี้เป็นไง” หลินยกรองเท้าคู่สีแดงเตะตาให้ผมดู แต่ผมก็ส่ายหัวกลับไป สีรองเท้านี่ผมว่าให้มันดูเจ็บน้อยกว่านี้ก็ดีนะครับ คนจะได้ไม่ดูรองเท้าก่อนดูหน้า
“อะไรกันสุดเลิฟของเจ้ เปลี่ยนใจจากเฮียร้านทองแล้วเหรอ เกิดอะไรขึ้น บอกเจ้มานะ เจ้สัมผัสได้ว่ามีอะไรไม่ธรรมดา” เจ้ยิ้มเข้ามากระซิบกระซาบกับผม แต่ผมก็ส่ายหน้าตอบกลับไป ก่อนจะควักมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงมาพิมพ์ให้เจ้ยิ้มอ่าน
‘ไม่มีอะไรนี่ แล้วผมกับเฮียร้านทองก็ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย’
“อย่าปดเจ้ค่ะทูนหัว รูปในไอจีเฮียทองเจ้เห็นเต็มๆ สองตา แล้วสายตาของน้องหลินมันธรรมดาซะที่ไหน อย่าประมาทจิตสัมผัสของเจ้เชียวนะคะลูก”
‘โอเค ก็เลิกคุยกันแล้ว’
“หา!!! กับเฮียทองน่ะเหรอ!”
ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้ยิ้มต้องตะโกนเสียงดังด้วย ผมยกมือตะครุบปากเจ้ไว้แทบไม่ทัน จนเจ้ยิ้มยอมสงบปากสงบคำ ผมถึงเริ่มมาพิมพ์อธิบายใส่มือถือต่อ
‘ที่จริงจะว่าเลิกก็ไม่ได้หรอก ก็ไม่ได้คบกันมาตั้งแต่แรก’
“หนูชอบน้องหลินเหรอลูก เฮียทองไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงทิ้งเฮียทองของเจ้ล่ะคะ ชงโคน่าตีจริงๆ เชียว เด็กบ้านี่ มีของดีไม่รู้จักรักษา”
ก็ถ้าของดีเขาไม่มีเจ้าของ ผมก็อยากจะจับจองไว้นานๆ เหมือนกันนะเจ้
‘ผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่าผมทิ้งเขา’
“ไม่รู้แหละ สำหรับเจ้แล้วเฮียทองไม่ผิด!”
ผมควรจะเลิกฟังเจ้ยิ้มก่อนจะปีนเกลียวถวายหลังแหวนให้ แต่ก็ไม่ต้องใช้ความพยายามจะเลี่ยงเจ้ยิ้มอะไรมากหรอก แค่หลินเดินมาถามว่าคุยอะไรกัน เจ้ยิ้มก็รีบยิ้มสมชื่อ เจ๊าะแจ๊ะหลินทันที ซึ่งกว่าจะแงะเจ้ยิ้มออกจากตัวหลินได้ ก็ใช้เวลาไปมากทีเดียว ดีที่แมวมาช่วยไว้ได้ทัน ไม่งั้นหลินคงเปลืองตัวให้เจ้แทะโลมอีกนาน
“นังน้องแมว คืนนี้อย่าลืมออนเฟซนะยะ เจ้มีอะไรจะเม้าท์ด้วย โอเคนะ แล้วเจอกันจ่ะเด็กๆ”
ไอ้เรื่องที่เจ้จะเม้าท์คงหนีไม่พ้นเรื่องของผมแน่ๆ เพราะตอนที่บอกกับแมวมีการชำเลืองมองมาทางผมด้วย
พวกผมเดินออกจากร้านขายรองเท้าของเจ้ยิ้ม เดินดูของอีกสักพักก็ตกลงกันว่าจะไปเดินดูแถวโซนของกิน แมวกับโบจังเดินนำอยู่ข้างหน้า ทำให้ผมต้องมาเดินคู่กับหลินไปโดยปริยาย
“ผมหิวน้ำอ่ะ ไปซื้อน้ำกันก่อนนะชงโค” หลินพูดขึ้นมา ก่อนจะคว้าแขนผมไว้แล้วพาเดินไปทางร้านขายน้ำผลไม้ปั่นที่มีกลุ่มนักศึกษามาเล่นดนตรีเปิดหมวกรับบริจาคเงินสำหรับค่ายสัด’แพทย์ เพื่อชุมชนครั้งที่ 5
ระหว่างที่รอน้ำผลไม้ที่สั่งไป ผมก็เดินไปบริจาคเงิน กำลังควักแบงค์ร้อยออกจากกระเป๋า เสียงของพี่บีท พี่สันทนาการตอนเข้าค่ายก่อนเปิดเทอมของผมก็ร้องเรียกใครสักคน
“เฮีย! เด็กเฮียมาอ่ะ!”
คำว่าเฮียที่ได้ยินทำให้ผมหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกวาดมองพี่ๆ แต่ละคนแล้วก็สะดุดกับผู้ชายคนหนึ่งเข้า ทำไมตอนแรกมองไม่เห็น...ถึงแม้เขาจะใส่ผ้าปิดจมูกไว้ครึ่งหน้า...เห็นแว๊บเดียวผมก็ต้องจำได้อยู่แล้วแท้ๆ
“น้องชงโค รีเควสเพลงได้นะครับ เดี๋ยวให้เฮียร้องให้ฟัง เฮียอุตส่าห์โดดงานที่โรงพยาบาลมาเลยน้า เอ...หรือนัดเด็กไว้รึเปล่าเฮีย สารภาพมาซะดีๆ” พี่บีทพูดยิ้มๆ ก่อนจะร้องโวยวายเมื่อโดนพี่ทองตบหัวไปหนึ่งที
“พูดมากไปแล้วไอ้บีท”
น้ำเสียงแปลกๆ ผมอยากจะถามว่าเขาไม่สบายรึเปล่า อยากถาม...แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะถามดีไหม และด้วยความลังเลจึงทำให้ผมได้แค่ยืนมองพี่ทองอยู่อย่างนี้
“ชงโค น้ำแตงโมได้แล้วนะ ไปกันเถอะ” เสียงของหลินดังขึ้นใกล้ๆ เขายื่นน้ำแตงโมมาให้ผมถือ ก่อนมือข้างเดิมจะคว้าแขนผมไว้แล้วกระตุกเบาๆ เพื่อให้เดินตาม
“อ้าว...เฮีย... เด็กเฮีย...” พี่บีทมองผมกับพี่ทองสลับกัน ในขณะที่ผมพยายามดึงแขนออกจากมือของหลินที่จับไว้แน่น
“ชงโค โบกับแมวรออยู่นะ” หลินบอกเสียงเรียบ แต่ไม่ได้มองหน้าผม เขาหันไปจ้องตากับพี่ทอง แล้วค้อมหัวให้เล็กน้อย ก่อนจะดึงผมให้เดินตาม แต่ผมก็ขืนตัวไว้
ไม่ไป...ผมจะไม่ไปทั้งๆ ที่สายตาของพี่ทองกำลังมองมาแบบนี้หรอก
“ไปเถอะ อย่าให้เพื่อนรอ” พี่ทองบอกพร้อมกับเบือนหน้ามองไปทางอื่น
เพราะอย่างนั้นผมถึงไม่ขัดขืนอะไรอีก ทั้งๆ ที่ใจ...ไม่ได้อยากไปจากตรงนี้เลย อยากยืนมองเขาให้นานๆ แต่ตอนนี้...มันคงเป็นไปไม่ได้
“เพลงนี้แด่เฮียทอง ลุงรหัสสุดที่รักของผมมมมมมมมม” เสียงของพี่บีทดังแว่วมาให้ได้ยิน ก่อนกีต้าร์จะขึ้นอินโทรเพลงอิจฉา
‘อยู่ดีๆ ก็เกิดรู้สึกอิจฉา
เห็นเขาเดินมาเห็นเข้าตำตาอย่างนั้น
เธอที่ฉันแอบรัก กับเขาที่ฉันไม่รู้จัก
เดินโอบกอดผ่านหน้าฉันไป เจ็บในใจมันเจ็บหัวใจอย่างนี้
แอบรักคนดีมาตั้งหนึ่งปีสิบวัน วันที่สิบเอ็ดเดือนสิบสอง
น้ำนองในตาฉัน เห็นเขารักกัน ตัวฉันมันบ้าเอง
บ้าที่ไปรักเขา โดยที่เราไม่เคยจะรู้ ว่าจะอยู่ๆ เธอจะมีเจ้าของ
อิจฉาเขาจูงมือกัน อิจฉาเขาหอมแก้มกัน
แต่ทำไมตัวฉัน จึงไม่มีสิทธิ์อย่างเขา
อิจฉาเขาเดินกอดกัน แต่ฉันทำได้แค่เพียงมอง
แค่มอง มองดูเขารักกัน
ต่อไปนี้มันคงไม่มีอีกแล้ว ความหวังเพริศแพร้วคงต้องมลายจางหาย
ฉันคงหมดสิทธิ์จะรักเธอ เพราะเธอเป็นของเขา
เรื่องมันเศร้า แอบรักเขาข้างเดียว’
“ถ้าเขาทำให้เจ็บ ทำไมไม่เลิกรักเขาล่ะ” คำถามของหลินมาพร้อมกับแรงบีบเบาๆ ที่แขน “ถ้ารักเขาแล้วเจ็บมาก ชงโครักผมแทนได้รึเปล่า”
ผมไม่ได้แปลกใจเลยที่หลินพูดออกมาแบบนี้ และคำตอบของผมก็มีแค่เพียงคำตอบปฏิเสธเท่านั้น
ไม่ใช่พี่ทองหรอกที่ทำให้เจ็บ...ผมต่างหากที่ทำให้เขาเจ็บ และเป็นผมเองที่ทำร้ายให้ตัวเองต้องเจ็บแบบนี้
...........................................To be continue.......................................................
เฮือกกกกกก มีคนรอด้วยอ่ะ =_= แล้วเจอกันอีกทีวันศุกร์นะคะ ช่วงนี้งานหนักจริงๆ ค่ะ อยากจะร้องไห้ ยิ่งเดือนนี้ไม่มีวันหยุดราชการด้วยนะ!!
TheTenth เป็นใคร โปรดติดตาม เขาอาจจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของหลิน

ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นค่ะ เราค่อยๆ ก้าวกันนะคะ ไม่ไหวก็ถอยหลังก่อน ตั้งหลักแล้วเดินกันต่อค่ะ
http://ask.fm/TCHONG_K << ถามได้ค่ะ
ปล. ที่ผ่านมาไม่เห็นมีใครเอะใจกับเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตของชงโคเลย น้องอุตส่าห์บอกว่ามีเพื่อนมาตั้งแต่ตอนแรกๆ