(โบ วันนี้เป็นไงบ้าง)
“ก็ดีขึ้นมากแล้ว”
(ดีจังเลย โบต้องพักผ่อนเยอะๆ นะ จะได้หายไวๆ)
“อืม”
ผมมองรอยยิ้มของแมวผ่านทางหน้าจอมือถือ รู้สึกเหมือนก้าวลงบันไดแล้วลืมเหยียบไปหนึ่งขั้น เป็นแบบนี้ทุกครั้งตั้งแต่ที่เราเปลี่ยนจากการพิมพ์สนทนามาเป็นการพูดคุยผ่านสไก๊ป์
(วันนี้พี่ฟาไม่มาอยู่ด้วยเหรอจ้ะ)
“มา แต่เขาออกไปกินข้าวกับหมอเท็น เดี๋ยวก็คงกลับ”
(อ๋อ จ้า) แมวตอบ รอยยิ้มดูเจื่อนลงไป
“เป็นอะไร”
(เปล่าๆ)
“อืม” ผมรู้ว่าแมวโกหก แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรให้มากความ
(โบ)
“หืม?”
(ที่แมวโทรหาทุกวันแบบนี้ มันรบกวนโบรึเปล่า แล้วพี่ฟาเขาว่าอะไรไหม)
“ไม่รบกวน แล้วฟาเขาก็เข้าใจว่าแมวเป็นเพื่อนผม”
(ดีจังเลยเนอะ)
อะไรล่ะที่ว่าดี ทั้งๆ ที่สีหน้าไม่ได้บอกว่ามีอะไรดีสักอย่างเดียว
ผมคุยกับแมวต่ออีกไม่กี่นาทีก็วางสาย เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีอะไรจะพูด ก็เป็นแบบนี้ทุกทีแต่แมวก็ยังโทรมาทุกวัน ผมรับบ้างไม่รับบ้าง เพราะไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวายตามมาทีหลัง ในเมื่อตอนนี้ผมมีคนที่ผมต้องแคร์ความรู้สึกด้วยอีกคน ต่อให้ฟาเขาจะไม่ว่าอะไร เขาบอกว่าเขาเข้าใจว่าถึงแม้แมวจะเป็นแฟนเก่าผม แต่ตอนนี้ผมกับแมวก็ตกลงเป็นเพื่อนกันแล้ว เขาเลยโอเคถ้าหากผมจะคุยกับแมวบ้าง
“โบ โบ ได้ยินรึเปล่า เหม่ออีกแล้วนะ ฟาเรียกนานแล้วไม่ได้ยินเลยเหรอ” ผมหลุดจากภวังค์เพราะแรงสะกิด ยอมรับว่าไม่ได้ยินเสียงของฟาจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็โดนหยิกที่แขนแล้ว
“โทษที”
“มีอะไรต้องขอโทษ”
“-_- ไม่มี”
ฟามองหน้าผมเพียงครู่ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เตียงผู้ป่วย แล้วคว้ามือผมไปแนบที่แก้ม
“โบ”
“หืม?”
“ฟาเคยบอกแล้วนะว่าฟาจะเป็นทุกอย่างให้โบ จะเป็นเพื่อนที่รับฟังปัญหา จะเป็นคนรักที่รักและดูแลโบไปทุกวัน เพราะฉะนั้นมีอะไรอยู่ในใจก็พูดออกมาเถอะ”
ผมมองใบหน้าของคนที่กุมมือผมไว้แล้วหลุดยิ้มออกมา
“ถ้าบอกแล้วจะแอบไปร้องไห้รึเปล่า”
“ก็ต้องรู้ก่อนว่าเรื่องอะไร”
“งั้นไม่บอก”
“บอกมาเลยยย”
“ไม่บอก ฟาไปทำงานได้แล้วน่า โดดงานมาอย่างนี้เดี๋ยวหมอเท็นได้มาลากไปกระทืบแน่”
“ไม่กลัว แล้ววันนี้ฟาสัญญากับคุณแม่ของโบแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนโบ ให้คุณแม่ไปพักผ่อนบ้าง โดดงานก็ยอม”
ผมมองหน้าฟาอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะยกมืออีกข้างผลักหัวฟาไปหนึ่งที ถึงแม้ว่าฟาจะอายุมากกว่าผมหลายปี แต่พอคบกันแล้วเรื่องอายุก็ไม่ใช่ปัญหาของพวกเรา
ผมกับฟารู้จักกันมาได้เกือบปี แต่เริ่มคบกันแบบจริงจังเมื่อห้าเดือนก่อน มันอาจจะเป็นเวลาไม่นาน เทียบกับความผูกพันธ์ที่ผมกับแมวมีต่อกันแล้วถือว่าน้อยมาก แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมตัดสินใจที่จะเริ่มคบกับใครสักคนอีกครั้งทั้งๆ ที่คิดแล้วว่าชีวิตนี้อาจจะรักใครไม่ได้อีก
ฟาเป็นเพื่อนกับหมอเท็น เจอกันตอนที่ไปรักษาชงโค ก็ดูเป็นผู้ชายแปลกๆ รูปร่างหน้าตาจัดว่าทั่วไป รู้จักทีแรกเหมือนคนกึ่งฝันกึ่งตื่น ดูลอยๆ มึนๆ พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนคนเมายา แต่ทว่าเวลาที่ผมเผลอคิดถึงเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่ ทั้งสภาพร่างกายที่กำลังย่ำแย่และจิตใจที่มีแต่รอยแผลตั้งแต่จากบ้านเกิดมาอยู่ที่นี่ กลับมีผู้ชายแปลกๆ คนนี้อยู่ข้างๆ ผมเล่าทุกอย่างให้เขาฟังอยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องที่ผมคิด เรื่องที่ผมเจอ และเรื่องที่ผมกลัว เขาเป็นคนรับฟังและคอยพูดให้กำลังใจ เขาเป็นจิตแพทย์จึงไม่แปลกที่จะรู้วิธีทำให้ผมรู้สึกสบายใจ แต่ที่มันแปลกไปคือผมไม่ชอบเลยเวลาที่เห็นเขาสนใจคนอื่นมากกว่าผม มันเป็นเรื่องน่าตลกดีเหมือนกัน ผมรู้สึกแบบนี้อยู่เป็นเดือนๆ อยากให้เขาสนใจ อยากให้มาหา อยากคุยด้วย ทั้งๆ ที่ผมยังลืมความรู้สึกที่มีให้กับแมวไม่ได้ แต่ความรู้สึกแปลกใหม่ที่แทรกเข้ามากลับทำให้ผมทรมานยิ่งกว่า
‘ผมแปลกใจมากที่คนไข้ของผมหลบหน้าหลบตา ไม่ยอมมาเจอตามนัด แถมยังแกล้งหลับเวลาผมมาเยี่ยม’
‘ขอโทษครับหมอ ผมไม่ได้แกล้ง แต่ผมง่วงจริงๆ’
‘โกหกไม่เก่ง’
‘แล้วหมอล่ะหายไปไหนมา ไม่ค่อยได้มาเยี่ยมผมเท่าไหร่นี่’
‘ติดเคสอื่นอยู่น่ะ’
‘...’
‘บีหนึ่งบอกว่าคุณให้ความร่วมมือในการรักษา แถมยังดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ ผมก็เลยคิดว่าคงไม่มีอะไรต้องห่วง’
ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนตกลงมาจากที่สูงเมื่อได้รู้ว่าที่เขาคอยอยู่ข้างๆ ไม่ใช่เพราะความต้องการ แต่หมอเท็นคงให้เขามารักษาผมควบคู่กับเพื่อนอีกคน
‘โอกาสสำเร็จในการรักษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเก่งของหมอเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับกำลังใจที่ดีของผู้ป่วยด้วย’ นั่นเป็นสิ่งที่หมอเท็นเคยบอกกับผมไว้ เพราะอย่างนั้น...คงไม่แปลกถ้าหากว่าฟาจะเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ที่รักษาผมด้วย
‘งั้นหมอก็กลับเถอะ ผมโอเคแล้วล่ะ’
‘แต่สีหน้าไม่โอเคอย่างที่พูดนะ’ ฟาก้มหน้าลงมาใกล้ ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรก็โดนจูบปิดปากอยู่นานเลยทีเดียว ริมฝีปากที่ไม่ได้นุ่มเหมือนของผู้หญิงแต่ก็ให้ความรู้สึกดีทำให้ผมจูบตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล เราจูบกันอยู่นานจนฟาเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกไป
‘ไม่ชอบเด็กดื้อ เพราะฉะนั้น ถ้าสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี ผมจะมาหาทุกวัน’
‘...’
‘ว่าไง’
‘อืม’
คงตั้งแต่วันนั้นที่ระหว่างผมกับฟาเริ่มเปลี่ยนไป เราเข้าใกล้กันมากขึ้น และถึงแม้ผมจะไม่ใช่คนช่างพูดและฟาก็ไม่ใช่คนช่างถาม แต่พอผมมีเรื่องที่ไม่สบายใจ เขาจะเป็นคนแรกที่จับมือผมไว้แล้วส่งยิ้มมาให้เสมอ มันทำให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร ไม่ว่าผมจะต้องเจอกับอะไร แค่มีฟาอยู่ใกล้ๆ ผมก็จะผ่านมันไปได้สบายมาก
“คิดมากเรื่องน้องแมวเหรอ” ครั้งนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมคงปิดฟาไม่ได้ เรื่องของแมว ผมก็เล่าให้ฟาฟังทุกอย่าง กับความรักสิบกว่าปี ตลอดระยะเวลาที่คบกันรวมถึงเรื่องที่ผมกับแมวจบกันแล้ว
“อืม” ผมยอมรับตามตรง เพราะไม่อยากปิดบัง ขืนยิ่งปิดบังฟาจะยิ่งไม่สบายใจ
“โบคิดได้นะ รู้ไหมว่าการที่ใครคนหนึ่งจะมีความสุขได้ ความคิดต้องไม่ถูกตีกรอบ โบมีอิสระในการคิดหรือรู้สึก ฟาเคยบอกแล้วว่าโบไม่ต้องพยายามกับการที่จะรักฟาให้มากขึ้น ไม่ต้องพยายามลืมคนที่โบเคยรักเพื่อความสบายใจของฟา เพราะการที่เราคบกัน มันคือความต้องการของเราสองคน เป็นความรู้สึกที่ไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะฉะนั้นอย่าฝืนดีกว่านะ”
ผมก็ไม่อยากฝืน เพราะผมไม่อยากโกหกฟา ความผูกพันธ์มันน่ากลัวมากจริงๆ มากจนผมไม่แน่ใจว่าจะพูดคำว่ารักกับฟาได้เต็มปากไหม ทั้งๆ ที่ผมยังเป็นกังวลกับเรื่องของแมว ยังคงคิดถึงในบางครั้ง และเมื่อนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก็ยิ่งเสียใจแล้ว ผมกลัวว่าจะทำให้ฟาต้องร้องไห้
“ไม่เป็นไรหรอกโบ กับผู้ชายที่ลืมคนที่รักกันมานานได้ง่ายๆ น่ะ ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีหรอกนะ”
“โบก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีอยู่แล้ว”
“โห รู้ตัวด้วยแฮะ”
“-_-”
“ฮ่าๆ ดูทำหน้าเข้า เด็กน้อยเอ้ย”
“บอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้เรียกเด็ก”
“บอกตอนไหน จำไม่ได้”
“ฟา -_-”
“โอเคๆ ยอมๆ ว่าแต่ว่าน้องแมวกับน้องหลินยังคบกันอยู่ไหม”
“ก็คงใช่ โบไม่ได้ถาม”
“ไม่ได้ถามหรือไม่กล้าถาม”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้”
“ก็โบทำหน้าโกรธมากเลยเวลาพูดถึงน้องหลิน”
“-_- ก็แค่...”
เห็นฟาหัวเราะแล้วผมอย่างจะผลักหัวอีกสักรอบ
“นี่” จู่ๆ ก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมา
“ว่า?”
“แคร์ความรู้สึกของคนอื่นได้ แต่อย่าลืมความรู้สึกของตัวเองนะ ที่โบเคยบอกกับฟาตอนฟื้นขึ้นมาหลังจากการผ่าตัดครั้งสุดท้ายน่ะ ยังจำได้ไหม”
“จำได้”
“ก็ดีแล้ว ถ้างั้นก็พักผ่อน ฟาจะไปนั่งอ่านหนังสือที่โซฟานะ ต้องการอะไรก็เรียก โอเคไหม”
“อืม”
ผมมองตามฟาที่เดินไปนั่งบนโซฟา ก่อนจะเลื่อนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ ผมเคยบอกกับฟาว่า ‘ชีวิตต่อจากนี้จะขอใช้ให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด ให้ไม่รู้สึกเสียดายถ้าหากวันใดวันหนึ่งต้องจากโลกนี้ไป’
เพราะฉะนั้น...ผมก็คงมีแต่ต้องก้าวต่อไปอย่างไม่ลังเลเท่านั้น ผมไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ผมก็หวังว่าความเจ็บปวดที่เคยได้รับมันจะเลือนหายไปเสียที กับคนที่แค่เห็นหน้าก็ทำให้หัวใจปวดแปลบ กับคนที่แค่ได้ยินเสียงก็อยากให้มาอยู่ใกล้ๆ กับคนที่แค่รู้ว่ากำลังมีเรื่องทุกข์ใจก็รู้สึกเป็นห่วง ...คงมีสักวันที่ความชัดเจนจะกลายเป็นแค่ความเลือนลาง
ผมอาจจะยังคงคิดถึงและยังคงเป็นห่วง แต่ผมเลือกแล้วว่าผมจะจับมือใครเดินต่อไป...
ตึ้ง!
เสียงแจ้งเตือนเมื่อมีข้อความถูกส่งเข้ามาทำให้ผมต้องคว้ามือถือบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาเปิดอ่าน ก่อนจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘ที่โบถามว่าเป็นอะไร แมวไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ นะ คิดอยู่นานเหมือนกันกว่าจะพิมพ์ส่ง แหะๆ กลัวจะรบกวน แต่เห็นโบทำหน้าไม่สบายใจแล้วมันก็อดไม่ได้ แมวโอเคจ้า แล้วก็อีกเรื่อง...แมวดีใจด้วยจริงๆ ที่โบกับพี่ฟาคบกัน โบมีความสุขก็ดีแล้วน้า >_< ดีใจด้วยยยยยยยย เย้!’
‘พิมพ์อะไรมาเยอะแยะหืม’
‘โบไม่ได้อ่านเหรอ’
‘อ่านแล้ว’
‘จ้า’
‘ขอบใจนะ แมวก็มีความสุขมากๆ ล่ะ’
‘จ้า แน่นอนนนนนเลยยย >_<’
‘อืม ^^’
‘ชอบจังเวลาโบยิ้ม แหะๆ งั้นแมวไม่รบกวนแล้วนะ ไว้ว่างๆ จะคอลไปคุยด้วยนะ คงไม่รบกวนใช่ไหมจ้ะ’
‘ไม่หรอก’
‘^^’
เป็นแบบนี้...คงดีแล้ว
.
.
“นี่ชงโค ขอยืมไหล่หน่อยได้ไหม ไม่รู้ทำไม...น้ำตาถึงไหลไม่หยุดเลย”.................................................................End...........................................................
