ปล.ด้วยรักและคิดถึง#เรื่องราวเก่า ๆ ในความทรงจำ
จะดื้อไปถึงไหน พูดเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟัง
ไม่ฟังไม่ว่า แต่ท่าทีเมินเฉยและเอียงหน้าหนีนี่มันอะไร
“ดีนะรอบนี้ยังไม่ตาย”
แน่ล่ะ ไม่ตายอยู่แล้ว คนอย่างกูไม่ตายง่าย ๆ หรอก
มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป มีหน้าที่ทายาก็ทาไป มีหน้าที่ทำแผลก็ทำไป แม่งทำไมพูดมากบ่นมากน่ารำคาญขนาดนี้วะ
“ซ่านักนะมึง”
เรื่องของกู ซ่าหรือเปล่า ไม่ใช่หน้าที่ที่มึงต้องมาแสดงความคิดเห็น แล้วก็หยุดพล่ามซะที ไม่รู้หรือไงว่ากูโคตรรำคาญ
ถ้าปัญหาเยอะขนาดนั้น มึงไม่ต้องทำแผลให้กูก็ได้ เลียสองทีก็หายแผลแค่แมวข่วนแค่นี้ อย่ามาทำเป็นพูดอะไรให้ต้องหงุดหงิดมากไปกว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ กูเบื่อที่จะ........ฟ...ฟั...
“โอ้ยยยยยยยยยยยยย เหี้ย กูเจ็บนะ”
ผลักมือของคนที่แต้มยาลงไปที่หน้าผาก และกัสก็ถอยห่างไม่ยอมให้คนที่ใส่ยาแตะต้องร่างกายได้อีก
“ทีนี้มาร้องว่าเจ็บ ทีไปกระทืบชาวบ้านเขาไม่คิดว่าเขาเจ็บหรือไง”
สันดาน
นั่นมันเรื่องของกู ใครใช้ให้แม่งทำหน้ากวนตีนก่อนล่ะ โดนกระทืบสองสามที ทำอย่างกะว่ามันจะตาย แน่จริงก็มาเอาคืนสิ กูไม่เคยกลัวเลย ที่ไหนเมื่อไหร่ว่ามาเถอะ หมาลอบกัดกูก็ไม่กลัว จะเอายังไงก็ว่า.......
“โอ้ยยยยยยยยยย กูบอกว่าเจ็บไงเล่า เหี้ยยยยยยย ปล่อย ไม่ต้องทำแล้วแผลห่าอะไรเนี่ย”
อย่ามาร้อง
อย่ามาทำเป็นมีอารมณ์โมโห
ทางนี้ก็โมโหเหมือนกัน
“จะตายหรือไง ถ้าไม่ได้ต่อยตีกับชาวบ้าน อยู่ให้มันสงบ ๆ ไม่ได้หรือไง”
เรื่องของกู
บ่นเหี้ยอะไรนักหนาวะ
บาดแผลทั้งหมดใส่ยาเรียบร้อย รอยฟกช้ำที่เกิดขึ้น กัสใช้ยานวดมาแต้มและบีบคลึงเพื่อคลายความปวด
แม้จะทั้งเจ็บทั้งแสบ และคนทำแผลให้ทำไปด่าไปก็ตาม
แต่แปลกที่กัสไม่ได้รู้สึกว่าคนที่ทำแผลให้รู้สึกเกลียดชังหรืออยากซ้ำเติม แต่เป็นความห่วงใยในแบบแปลก ๆ ของคนบางคน
“หยก”
เรียก และคนที่จัดการรวบรวมสำลีและอุปกรณ์สำหรับทำแผลใส่กล่อง ก็เงยหน้าขึ้นมามอง
“กูรุ่นพี่มึงกี่ปี เรียกชื่อเฉย ๆ เหรอ มึงนี่มันปีนเกลียวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่จริง ๆ”
ด่าเข้าให้
และกัสก็นิ่วหน้า แต่ก็ยังจะเรียกชื่อของอีกฝ่ายแบบเดิมซ้ำ ๆ
“ดีแค่ไหนกูไม่เรียกไอ้หยก”
“มึงก็ลองเรียกสิ ไอ้เด็กเหี้ย กูถีบมึงคว่ำแน่ แล้วแผลที่หน้ามึงเนี่ยกูก็จะช่วยซ้ำ เอาให้แม่งตายห่าจริง ๆ ไปเลย”
เหรอ
โคตรน่ากลัวเลย
“นึกว่าอ่านเป็นแต่หนังสือซะอีก ต่อยตีเป็นด้วยเหรอ”
แกล้งยั่วอารมณ์โมโหของอีกฝ่าย และสิ่งที่ได้รับคือการที่หยกแกล้งดึงคอเสื้อของคนที่ยั่วโมโหขึ้นและก้มหน้าลงไปหาเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าโหดและพูดใส่หน้าอีกฝ่ายเบา ๆ
“มึงจะลองดูมั้ยล่ะ”
แค่นั้นเอง
แค่นั้นจริง ๆ
แต่คำพูดง่าย ๆ และดวงตาที่เผลอสบกันนิ่ง มันทำให้ทั้งคนถูกยั่วและคนแกล้งยั่ว ลมหายใจติดขัด
อะไร
มันคืออะไร
ชั่วขณะหนึ่งที่ลมหายใจห่างกันแค่เพียงปลายจมูก
มันมีความรู้สึกบางอย่างมากกว่าการหยอกล้อ
“เด็กเหี้ย”
หยกรีบปล่อยมือจากคอเสื้อของคนที่จ้องหน้าและทำให้รู้สึกถึงอาการแปลก ๆ ของตัวเอง และกัสก็รีบหลบสายตาแกล้งเมินมองไปทางอื่น และบีบนวดที่แขนของตัวเอง
“กูเหี้ยแล้วช่วยกูทำไม”
“ใครอยากช่วยมึง เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า”
อ่อ
ไม่ได้อยากช่วย
กัสที่นวดแขนอย่างช้า ๆ ถึงกับชะงักมือ และเงยหน้าขึ้นมองคนที่ไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมและหันหลังให้
มันก็เหมือนเดิม
ไอ้หยกมันก็เป็นเหมือนเดิม
ไม่เคยสนใจ ไม่เคยแยแส แต่ไหนแต่ไรก็เป็นแบบนี้
เหมือนจะไม่สนใจ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนใจดี ที่พูดดี ๆ ไม่ค่อยเป็น
เรียนรู้สิ่งที่อีกฝ่ายเป็นอย่างไม่รู้ตัว
ทุกครั้งที่เจ็บ ทุกครั้งที่เสียใจ
จะกลับมาที่นี่....
ไม่รู้ว่าที่นี่เรียกว่าอะไร แต่เป็นที่ที่มีหยกอยู่ แม้หยกจะไม่เคยพูดจาดี ๆ ด้วย แต่หยกก็ไม่เคยทิ้ง
ด่าทุกครั้งที่มีแผล แต่ไม่เคยที่จะละเลยและไม่เคยไม่ช่วยเหลือ
คนใจดี ที่ทำให้กัสรู้สึกดี และอยากอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา
“เฮ้ย มึงอ่ะ ตกลงชื่ออะไรเนี่ย แล้วเมื่อไหร่จะอ่านหนังสือคล่องซะที หนังสือ ก. ไก่สำหรับอนุบาลมันไม่ได้ยากไปหรอกใช่มั้ย”
ใครว่าไม่ยาก
มึงไม่รู้อะไรซะแล้ว
ไอ้หนังสือเหี้ยสำหรับเด็กอนุบาลที่มีรูปการ์ตูนพวกนี้แหละ ทำกูปวดประสาทมาแล้ว
“อ่านให้ฟังซิ อ่านได้หรือยัง”
ไม่อ่าน
กูไม่อ่านเด็ดขาด ขืนอ่านแม่งก็รู้กันพอดี ว่ากูอ่านหนังสือได้เหี้ยมาก แถมยังเขียนหนังสือได้ห่วยที่สุด
ล้มตัวลงนอนทันที
และก็เป็นหยกที่ละสายตาจากหนังสือ และหันไปมองคนที่ล้มตัวลงนอนบนเตียง นอนคว่ำหน้าและหันหน้าหนีไปทางอื่น ท่าทางเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือความรู้สึกบางอย่าง
ไอ้เด็กเหี้ยนี่มักจะมาปรากฏตัวในเวลาที่ไม่เคยคิดว่ามันจะมา
สองสามครั้งแรกมึนงงกับสิ่งที่มันทำ แต่หลังจากนั้น เริ่มชิน ถ้าไปเรียนและกลับมาตอนเย็นเห็นมอร์เตอร์ไซด์จอดไว้ที่หน้าหอ แค่เห็นป้ายทะเบียนก็จำได้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามันมา
บางครั้งนั่งเล่นอยู่ที่เก้าอี้ที่หอพักจัดไว้ให้
บางครั้งก็ไปนั่งดูลูกหมาที่วิ่งไล่กันหน้าหอ
บางครั้งมันก็พาตัวเองไปนั่งรอจนถึงหน้าห้อง
เราไม่เคยพูดกันด้วยซ้ำ แค่เห็นหน้าก็รู้
มาถึงก็มาขอนอน ไม่เคยสร้างปัญหา ไม่เคยถามไม่เคยพูดคุย และนานวันเข้า ก็เริ่มพูดกัน
จากประโยคสั้น ๆ กลายเป็นการพูดกันด้วยประโยคยาว ๆ
จากนิ่งเงียบ กลายเป็นหยกที่ด่าว่า คนที่มีแผลมาโชว์หราทุกครั้งที่มา
และสุดท้าย
กลายเป็นหยกที่เป็นฝ่ายเป็นเดือดเป็นแค้นทุกครั้งที่คนบางคนมันไม่เคยยอมฟัง และไม่เคยเชื่อในสิ่งที่หยกพูดซะที
“หยก”
เรียกทำห่าอะไร นอนหลับไปเลยไป ไอ้เด็กเหี้ย กูยิ่งโมโหอยู่ พรุ่งนี้จะสอบอยู่แล้ว ยังอ่านหนังสือไม่ถึงไหนเลย
ไม่ได้สนใจจะฟัง หันหลังให้และก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป
“หยก”
คราวนี้จะทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ หยกหันกลับไปมองและคนที่นอนหันหลังให้ก็ไม่ได้หันมามองแต่ยังคงเรียกชื่อหยกอยู่อย่างนั้น
ทำตัวกวนตีน สันดานเสียแบบนี้ไง ถึงได้ขยันหาเรื่องใส่ตัวทุกวัน
“จะพูดอะไรก็ไม่เสือกพูด รบกวนเวลาอ่านหนังสือ”
เออ
“กูชื่อเจ๋งนะ”
เจ๋งบ้านมึงดิ
มึงนึกว่ากูหูหนวกตาบอดจนไม่รู้เลยเหรอว่าคนที่มาอยู่ด้วยบ่อย ๆ เป็นใครมาจากไหน ชื่ออะไร
กูเหมือนคนไม่อยากสนใจใคร
แต่กูโคตรสนใจเลยจะบอกให้
“มึงชื่อกัส มึงอายุเท่าไหร่ บ้านอยู่ไหน กูคงไม่ต้องพูดต่อหรอกนะ”
กัสรีบปรือตาตื่นขึ้นทันที และหันไปมองคนที่พูดเรื่องบางอย่างที่ไม่เคยเล่าให้ใครที่ไหนฟัง แต่หยกก็รู้
รู้ได้ยังไง
หยกรู้ได้ยังไง
“มึงสืบเรื่องของกูเหรอ”
เปล่าสืบ แค่บังเอิญรู้เฉย ๆ
“มึงน่าสืบนักหรือไง กูไม่ว่างมาสนใจชีวิตมึงหรอกนะว่าจะเป็นจะตายยังไง บังเอิญคนรู้จักกูมันรู้จักมึงแค่นั้นแหละ ดังใช้ได้เลยนะ อายุน้อยกว่าเพื่อนแท้ ๆ แต่กิตติศัพท์เรื่องความเหี้ย ไม่เป็นสองรองใคร อยากชื่อเจ๋ง ก็เจ๋งสมใจอยากมึงดี”
รู้ได้ไงวะ
“กูเคยมีอะไรดีมั่ง”
กัสก้มหน้ากลับลงมาแล้ว และหันหน้าหนีไปอีกทาง
บ่นพึมพำเสียงเบากับตัวเอง และเป็นหยกที่นิ่งชะงัก ดวงตาที่ไล่มองไปตามตัวหนังสือหยุดนิ่งเพียงเท่านั้น และหันไปมองคนที่บ่นพึมพำเสียงเบา
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจให้ได้ยินหรือเปล่า
แต่ในเวลานี้หยกก็ได้ยินมันแล้ว ได้ยินชัดเจน
และเมื่อได้ยินก็เป็นหยกที่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
มองแผ่นหลังของคนที่นอนหันหลังให้แล้วก็เลยต้องลุกขึ้นและเดินไปหา เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงและนั่งลงข้าง ๆ กัสอย่างช้า ๆ
ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ไม่รู้ว่าคำพูดไหนที่สมควรพูด
สุดท้ายได้แต่นั่งเงียบอย่างนั้นโดยไร้คำพูด
และก็เป็นกัสที่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของคนที่มานั่งข้าง ๆ
หันมามองอย่างช้า ๆ
ดวงตามีแต่ความหมองเศร้า
มันมีแต่ความซึมเศร้าจนหยกเองก็ไม่กล้าจะพูดอะไรออกมาแม้แต่คำปลอบใจ
คำพูดสวยหรูไม่เคยมีออกมาจากปากของหยกสักครั้ง
แต่เป็นการกระทำที่สวนทางกับความรู้สึกเสมอ
“พรุ่งนี้แวะมาอีกนะ แผลที่หน้าผากต้องใส่ยา แล้วก็อย่าให้แผลโดนน้ำด้วย มันจะยิ่งหายช้า”
เป็นอย่างนี้ทุกที
ไม่เคยปลอบใจ
ไม่เคยพูดดี ๆ ด้วย
แต่ก็ทำให้กัสรู้สึกดีได้ทุกที ที่อยู่ใกล้
เรื่องแค่นั้นทำไมจะไม่รู้ แผลโดนน้ำมาไม่รู้กี่รอบแล้วไม่เห็นแม่งเป็นห่าอะไร ก็เห็นหายทุกที
เกิดจะไม่หายขึ้นมาตอนนี้ก็เกินไป
หนักกว่านี้ก็เคยมาแล้ว สนใจอะไรกับแผลแค่นี้ ไกลหัวใจ แค่นี้ไม่ตายง่าย ๆ หรอก
แต่ว่า.....
“มาทำไม อยากมาเดี๋ยวกูมาเอง”
เหรอ
ปากดีนักนะมึงไอ้เด็กเหี้ย พูดจาหมาไม่แดกแบบนี้ น่าปล่อยให้ตาย ๆ ไปซะ วันหลังโดนตีนมาก็ไม่ต้องมาหากูนะ ตายห่าไปซะจะได้หมดเรื่องหมดราว ไม่เป็นภาระกูด้วย
“สำลีมันเหลืออีกครึ่งม้วน มึงคิดว่ากูซื้อมาถูกๆ หรือไงวะ”
ด่าเข้าให้
และก็เป็นกัสที่ต้องนิ่งเงียบ
แค่สำลีกูซื้อใช้คืนให้ก็ได้ ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่
“ไหนจะผ้าก๊อซ ยาแดง ยาล้างแผล เก็บไว้ยามันก็มีแต่จะหมดอายุ”
เหรอ
เอาจริงดิ เก็บไว้ก็มีแต่จะหมดอายุ มึงก็โยนทิ้งไปซะสิ แค่นี้ก็หมดเรื่อง กูไม่ใช่หนูทดลองยาของมึงซะหน่อย
“ไม่มา อยากมาเดี๋ยวกูก็มาเอง”
ยังคงดื้อดึงจะใช้คำพูดเดิม ๆ และหยกที่ขมวดคิ้วมุ่นก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังโมโห
“พรุ่งนี้กูต้องอ่านหนังสือจนถึงเช้า มึงอยู่กูก็หลับไม่ลงจะได้อ่านให้มันจบ ๆ ”
มึงอ่านถึงเช้าอยู่ตลอดแหละ ไม่เห็นต้องบอกเลย กูก็เห็นแบบนี้ประจำ หลับลงไม่ลง พอตื่นมากูก็เห็นมึงหลับฟุบคาโต๊ะทุกที
“ก็กูบอกแล้วว่าอยากมาเดี๋ยวกูมาเอง”
พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ
กัสลุกขึ้นนั่ง และก็เป็นหยกที่หันมามองด้วยความหงุดหงิดโมโห พูดเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง แค่หาเหตุให้มาทำแผลแค่นี้มึงจะมากเรื่องไปถึงไหนวะ มาซะก็จบ จะมากเรื่องไปทำไม
“แล้วพรุ่งนี้มึงจะอยากมาหรือไงวะเด็กห่าพูดไม่รู้เรื่อง”
ก็ใช่ไง
“ก็พรุ่งนี้กูก็อยากมา แล้วมึงจะทำไม”
กูก็ไม่ได้ทำไมนี่
“ก็แค่นั้น นอนไปเลยไป”
คุยกันรู้เรื่อง
คุยกันจบเรียบร้อย
กัสลงไปนอนอยู่บนเตียง นอนคว่ำหน้าเหมือนเดิม และหยกก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง หนังสือที่อ่านค้างไว้ถูกเปิดอ่านอีกครั้ง สายตากำลังไล่ไปตามตัวอักษร แต่แปลกที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
และใครบางคนที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะจับจ้องสายตาไปที่แผ่นหลังของคนที่นั่งอ่านหนังสือ
หยก.....ใจดี
อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
ถ้าถามว่าในโลกนี้อยู่กับใครแล้วสบายใจและมีความสุขที่สุด
กัสก็สามารถตอบได้ทันทีว่า อยู่กับแม่....และ....อยู่กับหยกรู้สึกดีที่สุด
ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหยกเลย
ไม่รู้ว่าหยกเรียนที่ไหน เรียนอะไร ไม่รู้จักสังคมของหยก ไม่รู้อะไรเลย
แต่รู้ว่าหยกอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยในเวลานี้ เจ็บปวดทั้งใจและกายถ้าได้กลับมาที่นี่จะรู้สึกว่าจิตใจสงบลง
หยก...
หลับตาลง และไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่กับคนที่อยู่ด้วยกันในเวลานี้
ทำไมเป็นหยก
ทำไมอยู่กับคนอื่น ๆ แล้วไม่เห็นเหมือนอยู่กับหยก
แต่ไม่อยากเข้าไปในโลกของหยก
ไม่อยากให้หยกเข้ามาในโลกที่อยู่
อยากต่างคนต่างอยู่
รู้จักกันที่โลกตรงกลาง
อยากให้มันเป็นอย่างนั้น.....แค่ในเวลานี้ที่อยากอยู่อย่างสงบ
โลกใบเล็ก ๆ ที่มีเวลาอยู่ด้วยกันเล็กน้อย
แค่เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งที่หาข้ออ้างมาอยู่ในโลกที่มีเพียงแค่เราสองคน และก็กลับไปผจญอยู่ในโลกของตัวเอง
โลกที่ไม่มีหยกอยู่
โลกข้างนอกที่ไม่มีหยกอยู่ตรงนั้น
อยากกลับก็กลับไม่ได้
อยากไปก็ไปไม่ถึง
ได้แต่อยู่อย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ กับความรู้สึกประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคือความรู้สึกยังไงกันแน่
“กัส”
กูเปล่าชื่อนั้น
“เจ๋ง กัสนั่นพ่อมึงเหรอ”
ไอ้เหี้ยนี่เล่นแรง กวนตีนถึงพ่อกูเลยเหรอ ลามปามเกินไปแล้วนะ
“เดี๋ยวกูถีบไอ้เด็กเหี้ยนี่ ไม่มีสัมมาคารวะเลยนะมึง ตกลงพรุ่งนี้มึงจะ..... “อยาก” มาใช่มั้ย....”
พรุ่งนี้เหรอ
ตกลงว่า.....
“เอาไงจะมาหรือไม่มา”
มาหรือไม่มาเหรอก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไง ว่ามา
อยากมา
หูแตกหรือหูตึง เรื่องแค่นี้ทำไมต้องถามซ้ำ ๆ ด้วยวะ กูขี้เกียจตอบไม่เข้าใจหรือไง
“อยาก...มา.....”
คำตอบง่าย ๆ และก็เป็นหยกที่เผลอยิ้มกว้างออกมา
ยิ้มโดยไม่รู้ตัว และก็มองคนที่นอนอยู่บนเตียง
มองแล้วก็ยิ้ม
ยิ้มและก็พูดบางอย่างเสียงเบา พอให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เออมาก็ดี มาเร็วหน่อยแล้วกันนะประมาณทุ่มกว่า ๆ จะได้ออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน”
TBC.