รักเกิดในแผนกขนส่ง....ภาค โยธิน-บัวลอย ตอน กลับมาแล้ว
ก็ไม่ได้ชอบเดินทางนักหรอก แต่เพราะมันคืองาน คือหน้าที่ที่ต้องทำ เลือกทำงานแบบนี้ และก็สนุกกับงานที่ตัวเองทำ
ฮัทไขกุญแจห้อง และก้าวขาเดินเข้ามาภายในห้องในเวลาเกือบตีสอง ไปส่งของกลับมาก็กลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว และเมื่อกลับถึงห้องคิดว่าอาบน้ำแล้วร่างกายสดชื่นคงจะได้นอนหลับพักผ่อน แต่สิ่งที่คิดเอาไว้ ไม่เป็นไปอย่างที่คิดและควรจะเป็น
เพราะ..........
เมื่อล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ทั้งที่ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย แต่ทำไมถึงหลับไม่ลงก็ไม่รู้ เดินทางทั้งวัน ตีรถขึ้นมาถึงในเวลาดึกดื่น และเป็นคนพูดเองว่าถ้ากลับมาแล้ว จะกลับห้องตัวเอง
แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็ทำอย่างที่พูดไม่ได้
เพราะในเวลานี้ฮัทมาอยู่ที่คอนโดของโยธินแล้ว จิตใจมันกระวนกระวาย และไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
ตั้งแต่เช้าที่ไปทำงาน ตั้งแต่เช้าที่ไปขึ้นรถ โยธินไม่โทรหาเลย
ไม่มีการโทรหาใด ๆ ทั้งสิ้น จะบอกว่ายุ่ง จะบอกว่าไปพบลูกค้า ก็อาจะเป็นไปได้ แต่ทุกวันที่เราอยู่ด้วยกัน โยธินจะโทรมาหา
โทรมาถามนั่นถามนี่ โทรมาถามว่าทำอะไรอยู่ ทั้งที่เราอยู่ด้วยกันแท้ ๆ กลับถึงที่พักเราก็ได้เจอกัน แต่โยธินก็โทรมาหา
และฮัทก็จะเป็นฝ่ายโทรไปหาอีกฝ่ายเหมือนกัน โทรไปถามว่าอยากกินอะไรมั้ย แต่ละวันที่วิ่งรถในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน หากมีเวลาซักเล็กน้อย จะแวะซื้อขนมและอาหารที่ขึ้นชื่อในแต่ละที่ได้ และฮัทก็จะซื้อกลับเข้าบ้านมาฝากอีกฝ่ายบ่อย ๆ จนเป็นเรื่องปกติ
เราอยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจกัน ทั้งที่ในช่วงแรก ๆ เราอยู่ด้วยกันเพราะเหตุผลอื่นแต่พอเราเริ่มใช้ชีวิตด้วยกันพักใหญ่
ได้เรียนรู้นิสัยใจคอของกันและกัน ได้มีช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกัน
ฮัทรู้สึกว่า เราเข้ากันได้ดีมาก เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ต่างคนต่างรู้เวลาของตัวเอง รู้ขอบเขตของตัวเองและรู้หน้าที่ของตัวเอง
มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ที่ฮัทรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง พอ ๆ กับที่โยธินก็รู้ ว่าในแต่ละวันที่อยู่ด้วยกันต้องทำอะไร
แบ่งหน้าที่กันเสร็จสรรพ แบบไม่ต้องบอกไม่ต้องพูด
อาหารเช้าโยธินจะเป็นคนทำ แรก ๆ ที่ยังใส่เฝือกอยู่โยธินจะเป็นคนบอก และฮัทเป็นคนปรุงตามที่โยธินบอก เรื่องความสะอาดบ้าน โยธินเป็นคนจัดการ ดูดฝุ่น เช็ดโต๊ะ ถูบ้าน ส่วนเรื่องเสื้อผ้าฮัทจะเป็นคนจัดการ ซัก รีด จัดการให้เรียบร้อย แบบไม่ต้องบอก
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกลายเป็นระบบไปโดยปริยาย และพอได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แค่เพียงไม่กี่ชั่วโมง
คนที่ทนไม่ได้กับความเฉยชาของอีกฝ่ายกลับกลายเป็นฮัทที่ในเวลานี้ต้องเป็นฝ่ายพาตัวเองกลับมาเอง
บิดลูกบิดประตูเข้ามาให้ห้องนอนของโยธิน และพอมองเห็นได้ลาง ๆ ว่าร่างของใครบางคนกำลังหลับใหลอยู่บนเตียง
ดึกดื่นป่านนี้โยธินนอนหลับไปเรียบร้อยแล้วและคนที่เข้ามาในยามวิกาล ก็ค่อย ๆ ก้าวขาเดินอย่างช้า ๆ ไปที่เตียง ค่อย ๆ หย่อนกายลงนั่ง ก่อนจะเอนกายลงนอนข้าง ๆ คนที่นอนตะแคงและหันหน้าเข้าฝาผนัง
สัมผัสเบา ๆ ที่ข้างแก้ม ทำให้โยธินสะดุ้งตื่นและคล้ายตกใจเมื่อมีคนเข้าหา
“เค้าเอง”
ได้ยินแค่นั้น และพอรู้ว่าเป็นใครที่มานอนอยู่ด้านหลัง โยธินก็ค่อยสบายใจ และหลับตาลงได้อีกครั้ง นอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น และคนที่เข้ามานอนด้วยก็กอดเอวของโยธินเอาไว้ กอดหลวม ๆ และแนบใบหน้าซบกับแผ่นหลังของคนที่นอนนิ่ง
“ทำไมวันนี้ไม่โทรหาเลยทั้งวัน โกรธจริง ๆ เหรอ”
แกล้งถามคนที่นิ่งเงียบใส่ และโยธินก็ค่อยๆ ปรือตาตื่นขึ้นเมื่อได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายถาม
........โกรธเหรอ ก็คงใช่
เรื่องง้อ ทำไมโยธินจะทำไม่ได้ แต่บางครั้งมันก็ต้องมีช่วงเวลาเช็คเรตติ้งกันบ้าง ว่าไปถึงไหนแล้ว และอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาแบบไหน เวลาที่โยธินนิ่งเฉยและไม่วิ่งไล่ตามอย่างที่เคย
รอลุ้นทั้งวันว่าน้องบัวจะโทรหามั้ย แต่ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะโทรมา อยากโทรหาใจจะขาด แต่อยากดูปฏิกิริยาของคนที่อยู่ด้วยกันมาพักใหญ่ ถ้าทนได้ก็ให้มันรู้ไป เป็นการวัดใจ ว่าระดับความมีใจให้ของน้องบัว เพิ่มขึ้นเท่าไหร่แล้ว และในเวลานี้โยธินก็สามารถให้คะแนนความไว้ใจและเชื่อใจของคนที่มาหากันในยามดึกดื่นได้แล้ว
..........เป็นไงล่ะ รู้หรือยัง ว่าเวลาที่ต้องวิ่งไล่ตามด้วยความทุรนทุรายบ้าง มันเป็นยังไง..............
“แล้วทำไมไม่โทรมาหาก่อนล่ะ”
แกล้งถามออกไปแบบนั้น พยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่จริง ๆ แอบลอบยิ้มออกมาอย่างพอใจกับผลงานของตัวเอง
“.................”
ไม่มีคำตอบจากคนที่นอนกอดโยธินเอาไว้ และโยธินก็ไม่คิดจะคาดคั้นเอาคำตอบ
ไม่รู้จะอยากได้คำตอบไปทำไม ในเมื่อในเวลานี้ก็ชัดเจนมากเกินพอแล้ว
การไม่พูด ไม่ตอบ ไม่ได้แปลว่าไม่มีคำตอบ
ฮัทแนบใบหน้าซบกับแผ่นหลังของโยธินอีกครั้งและกดปลายจมูกลงที่แผ่นหลังของโยธินหนัก ๆ
......อยากได้คำตอบนักใช่มั้ย.....นี่ไงล่ะคำตอบ…พอใจแล้วหรือยัง
“วันนี้ทั้งวัน คิดถึงกันบ้างป่ะ”
แกล้งถาม และพยายามบังคับน้ำเสียงให้สงบราบเรียบที่สุด ทั้งที่ก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่โยธินก็ยังพยายามที่จะไล่ต้อนคนที่ไม่ยอมตอบคำถามให้จนมุม
รู้ซะบ้างว่านี่ใคร ผมโยธินครับ เซลหมายเลขหนึ่งของแผนกขาย ที่ปิดการขายได้อย่างแนบเนียน และทำยอดขายได้ถล่มทลายมาแล้ว
“.................”
ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร ไม่ตอบก็ไม่ว่า
ไม่ตอบก็แค่.......
โยธินขยับกายถอยออกห่างมาอีกหน่อย และคนที่นอนอยู่ด้านหลังก็ขยับตาม
เป็นไงล่ะ
ชอบแบบนี้ใช่มั้ย
ชอบให้ทำแบบนี้ใช่มั้ย
“ถ้าไม่คิดถึงก็ไม่ต้องมายุ่งด้วย ไม่ต้องมาให้ความหวังคนรอ”
ตัดพ้อต่อว่าไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความน้อยใจอย่างรุนแรง และคนที่อยู่ด้านหลังก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เพราะรู้ว่ายังไงก็คงต้องตอบ ไม่มีทางเลี่ยงได้อยู่แล้ว
“ตีรถกลับมาดึกขนาดนี้ กลับไปอาบน้ำคิดว่าจะนอนแต่มันข่มตาหลับให้หลับไม่ได้เลย จะให้บอกว่าคิดถึง คงพูดไม่ได้หรอก.........เพราะความรู้สึกตอนนี้มันมากกว่าความคิดถึงไปนานแล้วครับ”
ให้มันได้อย่างนี้ ตอบให้มันได้อย่างนี้ แบบนี้ล่ะมันโดนใจ ถ้ากล้าตอบขนาดนี้ ก็คงต้อง..........
โยธินค่อยๆ ขยับกายและหันหน้ามาหาคนที่มานอนด้วยบนเตียงในคืนนี้
“บุกรุกแบบนี้มีเจตนาอะไร ปกติเห็นนอนแต่โซฟา”
แกล้งพูด และคนที่นอนมองหน้าโยธินในความมืดก็ตอบออกไปแบบไม่ต้องคิด
“จะให้นอนแต่โซฟาตลอดไปมันไม่ได้หรอก อากาศเย็นลงแล้ว ขืนนอนแต่โซฟาก็ได้หนาวตายกันพอดี”
งั้นเหรอ ขืนนอนบนโซฟาไปตลอดก็คงจะได้หนาวตายกันพอดีเหรอ
โยธินนอนมองหน้าของคนที่มาหา และพูดบางอย่างที่มากกว่าคำว่าคิดถึงให้ฟัง
ฟังแล้วหัวใจก็พองโตขึ้น และรอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏที่ใบหน้าของโยธิน
......สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คืออมยิ้มอย่างมีความสุข และคนที่อยู่ตรงหน้าโยธินก็ค่อยๆ หรุบสายตาลงเล็กน้อย เพราะถึงแม้จะอยู่ในความมืดแต่ก็พอได้เห็นสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมา
“พูดแบบนี้อยากเสียตัวใช่มั้ย”
แกล้งถามไปตรงๆ และคนที่อยู่ตรงหน้าก็บ่นพึมพำเบา ๆ พอให้ได้ยินกันสองคน
“ลากเข้าเรื่องนี้ได้ไงวะ แม่ง.....ไม่ได้เกี่ยวเล้ยยย”
ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวครับ ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้พยายามจะบีบบังคับด้วย เอาไว้บัวเต็มใจวันไหนก็บอก พี่พร้อมจะสนองให้เสมอ
“เหนื่อยมั้ยครับ”
ไม่เหนื่อยหรอก
“ล้ามากกว่า ง่วงมากเลยพี่โย โคตรอยากนอน”
เหรอครับ งั้นก็นอนเถอะ ดึกแล้ว
“พรุ่งนี้ทำงานป่าว”
พรุ่งนี้เหรอ ก็ทำอยู่หรอก
“เข้าสาย ๆ หน่อย เดี๋ยววิ่งของรอบบ่ายแทน หัวหน้าบุ้งเขาล็อคให้แล้ว”
ก็ดีนะ มีเวลานอนพักให้ร่างกายปรับตัวแล้วก็ค่อยไปทำงาน
“ปกติออกต่างจังหวัดแล้วจะได้หยุดไม่ใช่เหรอ”
ก็ใช่อยู่หรอก
“พี่แก๊ปกับพู่หยุด เลยเข้าแทน เห็นใจพู่มัน เดี๋ยวครอบครัวมันร้าวฉาน ให้มันได้อะไร อะไรยังไง กับพี่แก๊ปบ้าง”
เห็นใจแต่คนอื่น แล้วไม่เห็นใจคนที่อยู่ต่อหน้าบ้างเลยเหรอ
“แล้วเมื่อไหร่จะเห็นใจพี่ล่ะ”
พี่เหรอ เห็นใจทำไมล่ะก็ไม่เห็นเป็นอะไรไม่ใช่เหรอ ดูท่าทางก็ปกติดีไม่ใช่หรือไง
“พาเข้าเรื่องอย่างว่าตลอดเลยนะ”
ไม่ได้เหรอ แล้วเมื่อไหร่จะได้ล่ะ
“ไม่อยากมีอะไรกันเหรอ”
อ่า.............เรื่องนั้นมันก็.........จะอธิบายยังไงดีวะ เล่นถามกันซะตรงขนาดนี้ แล้วจะให้ไปต่อยังไงล่ะ
“ครั้งนั้นมันแย่แล้วก็เลวร้ายมากเลยเหรอ ไม่ยกโทษให้พี่เลยเหรอ ไม่สนใจ ไม่สงสารพี่เลยเหรอ”
ไม่ใช่แระ มาแนวนี้กูไปไม่เป็นนะครับพี่โย เดี๋ยวกูแม่งใจอ่อนล่ะเสร็จเลย
“เอาจริง ๆ นะ สารภาพเลยตามตรง จำแทบไม่ได้เลยว่ะ รู้แค่ว่าตื่นมาแม่งโคตรเจ็บ อาการหลังจากนั้นก็โคตรจะสาหัสนอนซมไข้แดกเป็นอาทิตย์”
..............
พอจะรู้บ้าง แต่ไม่นึกว่ามันจะเป็นเรื่องที่น้องบัวฝังจิตฝังใจขนาดนี้
โยธินตั้งใจฟังสิ่งที่คนที่อยู่ตรงหน้าพูดก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นแตะเบา ๆ ที่ข้างแก้มของคนที่เริ่มบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างให้ฟัง
“ขอโทษครับ”
ไม่เคยได้มีโอกาสขอโทษ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งได้รู้จักตัวตนของกันและกันอย่างแท้จริง โยธินก็ได้มีโอกาสพูดคำนี้
คำที่ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสพูด ฝ่ามืออุ่น ๆ ที่สัมผัสเบา ๆ ที่ข้างแก้ม ความรู้สึกอาทรและเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งมาถึง
ความจริงใจที่อีกฝ่ายแสดงให้รับรู้ ทำให้ฮัทยิ้มออกมาได้
รอยยิ้มที่แสดงถึงความเชื่อใจและไว้วางใจ แตะที่มือของโยธินที่ยังคงประคองแก้มเอาไว้
แตะเบา ๆ และค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้โยธินอีกนิด ซุกซบใบหน้าแนบกับแผ่นอกกว้าง
และโยธินก็กอดรัดร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ หลับตาลงอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆในความมืด
ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความอีกแล้ว ในเมื่อทุกสิ่งที่ปรากฎมันชัดเจนจนไม่ต้องอธิบายความรู้สึกให้มากไปกว่านี้ คนสองคนซุกกายอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
กำลังจะเคลิ้มหลับ แต่โยธินก็รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังเดินย่ำอยู่บนผ้าห่ม
นิลพัทผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอขึ้นมานอนด้วยและกำลังขดตัวอยู่บนผ้าห่ม
โยธินมองเจ้าก้อนกลม ๆ สีดำสนิทที่ขดตัวนอนอย่างมีความสุขแล้วก็ยิ้มออกมา
หลับตาลงได้แล้วในคืนนี้ เคยคิดว่าคงต้องนอนคนเดียวไปตลอด เพราะคนที่นอนอยู่บนโซฟาไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามานอนด้วยกันเลย แต่แล้วอยู่ดีๆ วันนี้น้องบัวก็เข้ามาหา มาแบบไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องขอร้อง แถมการมาในครั้งนี้ ยังมาพร้อมกับคำพูดและการกระทำที่น่ารักชวนให้ยิ้มได้ตลอดทั้งคืนอีกด้วย
โยธินยิ้มอย่างมีความสุข พอ ๆ กับที่คนที่ซุกซบใบหน้าอยู่ที่แผ่นอกกว้างและให้โยธินกอด กำลังขมวดคิ้วมุ่น และคล้ายกับเรื่องบางอย่างที่คิดกำลังตีกันในหัวมั่วไปหมด
เหี้ยยยยยยยยยยย กูแม่ง...ทำตัว...แบบนี้ได้ไงวะ
แบบนี้มันเรียกยั่วกันชัด ๆ ม่ใช่หรือไงวะ แล้วกูทำลงไปได้ยังไง
กูทำลงไปได้ยังไงไม่เข้าใจ ไหนจะไอ้คำพูดเสี่ยว ๆ ที่พูดว่า สิ่งที่รู้สึกในตอนนี้มันเลยความคิดถึงไปนานแล้วด้วย
พูดออกไปได้นะกู พูดออกไปได้
ยังดีที่ยังรอดอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ยังดีที่พี่โยแม่งไม่หาเรื่องเอากูอีกรอบ
แต่กูก็แม่งอยากรู้อยู่เหมือนกันว่าพี่โยมันทนได้ไงวะ แสดงท่าทางให้รู้ว่าชอบ แต่ไม่แตะกูเลย โคตรอดทนเหอะ อดทนจนน่าเห็นใจเลยล่ะ
ฮัทยังคงคิดอะไรเหลวไหลไปเรื่อย คิดไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่เคยรู้ว่าทำไมโยธินถึงสามารถอดทนได้ตลอด
.............ลองเอาน้ำออกทุกวันสิ แล้วจะรู้ว่าทำไมยังทนได้..........ขืนไม่ทำอย่างนั้น....คงได้ตบะแตกเข้าซักวัน....ก็เลยอดทนมาได้ตลอด แต่โยธินไม่เคยรู้ .....คนที่อยู่ในอ้อมแขนในเวลานี้ก็ทำแบบเดียวกับที่โยธินทำ….
อาจไม่บ่อยเท่า แต่ก็ต้องปลดปล่อยร่างกายตัวเองก่อนที่ความต้องการทางกายทั้งหมดจะระเบิดออกมาด้วยการเดินเข้าไปหาโยธิน และเป็นคนเสนอให้โยธินช่วยทำเรื่องอย่างว่าซะเอง
“....นี่ถ้าต่อไปมาทำแบบนี้อีก จะไม่ปล่อยหรอกนะ บอกไว้ก่อนเลย แต่วันนี้จะยอมไม่ทำอะไรก็ได้ เข้าใจมั้ยครับ”
เข้าใจสิครับ ทำไมจะไม่เข้าใจ
“ถ้าวันหน้าทำแบบนี้กับพี่โยอีก ก็ไม่ต้องปล่อยหรอก ให้ถือซะว่าสมยอมเองก็แล้วกัน”
เปิดทางให้ขนาดนี้ก็เสร็จโจรสิครับ
“...พูดแล้วห้ามคืนคำนะ”
บังคับให้สัญญากันดื้อ ๆ และคนที่ถูกบังคับก็หัวเราะออกมาเสียงเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองที่ปลายคางของโยธิน และพูดจากวนประสาทให้โยธินหงุดหงิดโมโห จนอยากจะผิดคำพูดซะตอนนี้
“ถ้าไม่สัญญาแล้วจะทำไม”
ก็ไม่ทำไมหรอก
“โห่เอ้ยยยย แบบนี้ตลอด ทำให้อยากแล้วก็จากไปตลอด ไปเลย ไม่ต้องมาใกล้แล้ว ถอยไปห่างๆ เลย”
เกิดอาการงอนขึ้นมากะทันหันและโยธินก็ทำท่าจะผลักไสคนในอ้อมแขนที่ยังคงดื้อรั้นจะนอนให้โยธินกอดให้ได้
“งอนขนาดนี้ไม่ได้น่ารักหรอกนะ”
เหรอครับ
ไม่ได้น่ารักเหรอครับ
“ถ้าพูดอีกคำเดียว เค้าจะขนหมอนกับผ้าห่มออกไปนอนข้างนอกนะ”
โธ่เอ้ยยยยยยยยย ก็แค่ล้อเล่นนิดเดียว อย่าโกรธไปเลยน่า
“ถ้าขนออกไปจริง จะช่วยขนออกไปด้วย แล้วเราก็ไปนอนหน้าโทรทัศน์กัน แล้วก็ให้นิลพัทยึดเตียงเอาป่ะล่ะ”
ไม่เอาล่ะ
แบบนั้นไม่เอา
“ฮึ่ยยยยยยย โมโหว่ะ โมโห นอนไปเลยไป นอนไปเลย”
ก็นอนอยู่นี่ไงล่ะ เห็นอยู่ไม่ใช่เหรอว่านอนอยู่
“กอดหน่อย”
ก็ได้ เห็นว่าขอร้องนะ จะยอมกอดให้ก็ได้
“พี่โยอย่าไปทำแบบนี้กับใครนะ อย่าไปงอน อย่าไปอ้อนใครแบบนี้นะ”
ไม่ทำหรอกน่า ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ไปทำแบบนี้กับใคร ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปทำแบบนี้ด้วยเด็ดขาด
“เฉพาะกับบัวเท่านั้นแหละที่พี่ทำ.......ขืนไปทำแบบนี้ให้ใครเห็น อายเค้าตาย คนคงหาว่าพี่ปัญญาอ่อน”
ก็ใช่.....คงไม่มีใครอยากเชื่อว่าโยธิน เซลหมายเลขหนึ่งของแผนกขายจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้
“ทำให้ผมดูคนเดียวพอแล้ว ผมก็ไม่คิดอยากจะให้ใครเห็นพี่โยในแบบที่ผมเห็นและรู้จักหรอก”
ความรู้สึกนี้ ฮัทเรียกมันว่าอารมณ์หวง หวงสิ่งพิเศษที่ถูกจำกัดไว้ให้เป็นของตัวเองเท่านั้น
“พี่ไม่ไปทำแบบนี้กับคนอื่นหรอกน่า พี่ทำแบบนี้กับบัวคนเดียว บัวก็รับพี่ในแบบนี้ให้ได้แล้วกันนะ บางครั้งอาจจะมากไปหน่อย แต่เพราะว่าเป็นบัวพี่ถึงได้กล้าทำ........และบางทีพี่ก็อยากให้บัวลองทำแบบนี้บ้าง..........คนเราคบหากันแล้ว ก็ต้องหัดอ้อนกันบ้าง..........แล้วพี่ก็อยากเห็น....ว่าบัวจะอ้อนพี่ยังไง”
TBC.