“มือไปโดนอะไรมาวะ”
โยธินกำลังค้นหาเอกสารสัญญาที่ร่างเอาไว้สำหรับให้ลูกค้าเซ็นต์ เงื่อนไขข้อตกลงต่าง ๆ คร่าว ๆที่ตกลงกันเอาไว้
และหัวหน้าแผนกขนส่งที่กำลังรอดูตัวอย่างเอกสารก็สังเกต เห็นว่านิ้วมือของโยธินถูกพันพลาสเตอร์ยาถึงสามนิ้ว
“ก็....ไม่มีอะไรครับ เมื่อเช้าโง่ไปหน่อย ดันเผลอไปหยิบมีดด้านคม เลยได้แผลยาวเลยครับ”
อธิบายแบบง่าย ๆ และโยธินก็พยายามทำเป็นไม่สนใจคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องหน้าที่การขนส่งโดยตรงกับลูกค้ารายที่กำลังจะเซ็นต์สัญญาร่วมกันที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้าง ๆ
ถึงจะทำเป็นไม่สนใจ แต่ว่า.....ถึงกับสลดเลยเชียวนะ ที่พี่เป็นแบบนี้ ถึงไม่บอกออกไปตรงๆ ว่าพี่ทำอะไรเมื่อเช้า บัวก็น่าจะรู้ดีว่าเพราะทำกับข้าวใส่ปิ่นโตให้ใครบางคนกิน ถึงได้เป็นแบบนี้
สงสารพี่เหรอครับ
อยากจะถามแบบนั้น แต่ที่ทำได้ก็คือปั้นหน้านิ่งเฉย และพยายามจะไม่พูดอะไรให้ออกนอกลู่นอกทางให้น้องบัวมันหงุดหงิดรำคาญ
ทั้งที่ตอนนี้โคตรมีความสุข เพราะได้รู้จากคุณวิเชียรว่า ปิ่นโตเถานั้นไม่เป็นหมัน มีคนแถวนี้กินไปจนเกือบหมด
แบบนี้ค่อยคุ้มกับที่ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาทำกับข้าวให้กิน
“เอามีดมาทำอะไรวะ ฆ่าตัวตายเหรอ ถ้าวันหลังอยากฆ่าตัวตายขนาดนั้นก็บอก เดี๋ยวช่วยสงเคราะห์ให้”
โธ่ หัวหน้าบุ้งครับ ผมจะไปอยากฆ่าตัวตายทำไม เมียผมยืนอยู่นี่ทั้งคนยังไม่ทันได้สมรักสมรสกันเลย
ทำไมคนแผนกนี้ลุ้นให้ผมฆ่าตัวตายกันจัง
“ยังตายไม่ได้ครับ มีเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จอยู่หนึ่งเรื่อง ถ้าตายไปผมคงตายตาไม่หลับ”
พูดให้หัวหน้าแผนกขนส่งฟัง แต่ต้องการส่งคำพูดนี้ให้ไปถึงคนที่ยืนทำหน้าเฉยอยู่ข้าง ๆ
“น่าปลื้มใจแทนคนแถวนี้นะ ที่มึงไม่ยอมตาย....ว่าไงล่ะมึงบัวลอย”
ยังไงล่ะอะไรหัวหน้า เกี่ยวอะไรกับผม มันอยากตายก็เรื่องของมัน ผมไม่เกี่ยวนะเรื่องนี้ มันคิดอยากจะทำอะไรก็เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับผม ผมก็อยู่ของผมเฉย ๆ แบบนี้ต่อไป มันอยากตายก็เรื่องของมัน
“ไม่เกี่ยวกับผม”
ก้มหน้าก้มตาทำทีเป็นหยิบแผนที่เส้นทางการเดินรถขึ้นมาอ่านและหัวหน้าแผนกขนส่งก็อมยิ้มน้อย ๆ
ไอ้บัวลอยเอ้ย มึงรู้บ้างมั้ยเนี่ย ว่ามึงเป็นเอามาก กลายเป็นระบบออโต้ไปแล้วหรือไงวะ เวลาที่โยธินเดินมาแผนกขนส่งแล้วมึงก็จะต้องเดินออกมาจากโซนในเนี่ย
แรก ๆ มันก็ใช่ที่แต่ละคนหาเหตุผลร้อยแปดในการแกล้งมึงและสนับสนุนให้มึงออกมาพูดมาคุยกับโยธินบ้าง
แล้วนี่มันยังไงกันล่ะ พอรู้ว่ามันมา มึงก็เดินออกมาหามันเชียวนะ แล้วแบบนี้จะให้พวกกูคิดยังไง
ถ้าไม่คิดว่า.............มึงก็อยากเห็นหน้าคนที่มึงไม่อยากเห็นอยู่เหมือนกันล่ะวะ มึงรู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ย บัวลอยเอ้ยยยย
.........มึง.......พลาดแล้ว.......
“พี่บุ้ง ดูบิลน้ำมันให้หน่อย ทำไมส่งไม่ครบล่ะ บิลมาไม่ครบนะทำเบิกไม่ได้”
มีนเดินออกมาจากออฟฟิศและตะโกนเรียกให้หัวหน้าแผนกไปช่วยตรวจเช็คบิลน้ำมัน และบุ้งก็พยักหน้ารับ
“เดี๋ยวพี่ไปดูให้ครับ แป๊บนึง”
ทีพูดกับมีนพูดซะเพราะ ทีกับลูกน้องคนอื่น ด่าได้เป็นด่า หัวหน้านี่ยังไง ลำเอียงชัด ๆ
“กับผมไม่เห็นมีแบบนี้เลยหัวหน้า มีแต่ด่าเรียกแต่ ไอ้บัวลอย ไอ้บัวลอย ตลอดเลยนะหัวหน้า ทีกับมีนทำไมพูดซะเพราะตลอดเลย”
ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้อะไรเลย ฮัทเลยพูดออกไปอย่างนั้น และกลายเป็นโยธินที่ต้อง
เลิกคิ้วขึ้นสูงและมองหน้าหัวหน้าแผนกขนส่งด้วยคำถาม
นี่..........ยังไง….
อยากจะถาม แต่ก็เห็นคำตอบอยู่ในสายตาหัวหน้าแผนกขนส่ง
ลักษณะนี้..........ท่าทางจะไม่รู้ และเป็นการไม่รู้ที่.........หนักหนาเอาการซะด้วย
ทั้งที่ไม่ต้องสืบต้องเดา เขาก็รู้กันทั้งแผนก แล้วไอ้ทางนี้มันไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้ได้ขนาดนี้ หรือมันแกล้งไม่รู้วะ
ไม่รู้จริงๆ ว่าคนเขาเป็นอะไรกัน หรือแกล้งไม่รู้กันแน่
“เอ้ออ มันเรื่องของกูไง กูจะพูดจากับใครแบบไหนมันก็เรื่องของกู มึงไม่ต้องมาสนใจมากหรอกบัวลอย”
นี่ไง ถึงได้บอกว่าลำเอียง
ฮัทส่ายหน้าและถอนหายใจออกมาและยังแกล้งบ่นพึมพำให้หัวหน้าแผนกขนส่งได้ยิน
“ลำเอียงไง รักลูกน้องไม่เท่ากัน กับมีนนี่อะไรก็ครับ อะไรก็ดี แต่ทีกับผม ด่าไง ด่าได้เป็นได้ หัวหน้าลำเอียงว่ะ”
หัวหน้าแผนกขนส่งไม่ได้ลำเอียงหรอก แต่นั่นมันคนของเขา เขาก็ต้องพูดแบบนั้น
ถ้าบัวอยากมีคนพูดแบบนั้นด้วย ก็ให้พี่เป็นอย่างที่มีนกับหัวหน้าแผนกขนส่งเขาเป็นกันสิ
จะพูดจาให้หวาน ๆ ดี ๆ กว่านั้นสิบเท่าเลย
โยธินไม่ได้พูดออกไป แต่คิดและอมยิ้มน้อย ๆ มองหน้าของหัวหน้าแผนกขนส่งที่กำลังทำหน้าไม่ถูกแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมา
น่าประหลาด เรื่องแบบนี้มันแปลกเกินไป ตอนแรกไม่เชื่อว่าบัวไม่รู้และไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ของคนในแผนกขนส่ง
แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว ว่าไม่รู้จริง ๆ มิน่าล่ะ ถึงได้ไม่ยอมรับ ไม่สนใจกันซะที มันเพราะแบบนี้ด้วยหรือเปล่า
เพราะไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้หรือเปล่า ถึงได้เป็นแบบนี้
“มึงอย่าเพิ่งไปไหนนะบัวลอย เดี๋ยวกูออกมาคุยต่อ เข้าไปดูบิลน้ำมันให้มีนก่อน”
หัวหน้าแผนกขนส่งบอกเพียงเท่านั้น แล้วก็เดินไปที่ออฟฟิศแล้ว เหลือไว้ก็แค่คนสองคน ที่แทบจะไม่เคยได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ฮัทยังคงตั้งหน้าตั้งตาดูแผนที่เส้นทางที่จะต้องไปส่งของ ส่วนโยธินก็ทำทีเป็นหยิบเอกสารสัญญาที่จะต้องส่งให้ลูกค้าเซ็นต์ขึ้นมาอ่าน ต่างคนต่างเงียบ ดูแผนที่จนแผนที่จะทะลุได้อยู่แล้ว ก็ไม่เห็นวี่แววของหัวหน้าแผนกขนส่งจะกลับมา
“ทำอะไรวะ ไปหามีนทีไรนานแบบนี้ทุกที”
บ่นพึมพำคนเดียวและคนที่ยืนดูเอกสารสัญญาจ้างก็อมยิ้มน้อย ๆ และแอบเหลือบสายตามองคนที่มีท่าทีกระวนกระวายเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคน
“ไปตามสิ”
ไปตามเหรอ กำลังตั้งท่าจะไปตามจริง ๆ อย่างที่โยธินพูด แต่คนบอกให้ไปตามก็รีบดึงแขนของฮัทเอาไว้
เหี้ย อย่ามาโดนตัวกู
สะบัดแขนออกทันที และโยธินก็ชะงักกับปฏิกิริยาแบบนั้นของคนที่ไม่ยอมให้แตะตัว
“ไม่ต้องมาโดนตัว”
ไม่ต้องมาโดนตัว ยังไม่ทันโดนเลยแค่แตะไปนิดเดียวก็สะบัดขนาดนี้เลยนะ
“เกลียดพี่ขนาดไหนล่ะบัว”
ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่เพราะถูกทำแบบนี้ โยธินก็เลยเหมือนจะลืมตัวว่าไม่ควรพูดแบบนี้ออกไปในเวลางาน
ก็ว่าจะไม่แล้วนะ แต่พอเจอแบบนี้เข้าไป มันก็ต้องมีอารมณ์ขึ้นกันบ้าง
“อย่าให้พูดเหอะเดี๋ยวจะสาธยายไม่หมด”
ตอบกลับไปแล้ว และคนฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจกับคำตอบแบบนั้น
บรรยากาศน่าอึดอัดใจที่สุด
และก็กลายเป็นโยธินที่วางเอกสารสัญญาไว้บนเคาร์เตอร์
ลงเวลา หันไปมองหน้าของคนที่ยังคงทำทีเหมือนอ่านแผนที่ทั้งที่ไม่มีอะไรให้อ่านแล้วแต่ก็ยังอ่านอยู่ได้
“จะเอานิลพัทไปทำหมันแล้วนะ”
บอกออกไปแบบลอย ๆ และคนที่ฟังอยู่ก็นิ่งเงียบ เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดี
“.........................”
นิ่งเงียบและถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป
“กี่วันแผลถึงจะหาย แล้วจะให้ใครดู หรือจะเอาไว้ที่โรงพยาบาลสัตว์ เอากลับมาคืนตอนนี้เลยก็ได้ จะเอากลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด จะได้ไม่เป็นภาระของใคร”
ได้โอกาสพูดก็พูดซะยาว ๆ ให้จบไปหมดทุกคำถามจะได้ไม่ต้องพูดกันพร่ำเพรื่อ และโยธินก็ยืนนิ่งไม่ยอมตอบ
ตั้งแง่บ้าง เอาสิ บัวทำได้พี่ก็ทำได้เหมือนกัน พี่ก็ทำแบบที่บัวทำ
“....................”
อาการเงียบของคนที่อยู่ข้างๆทำให้ฮัทต้องหันไปมองหน้าของโยธิน ไม่ได้อยากจะพูดด้วยหรอกนะ แต่พอพูดด้วยแล้วมาทำเงียบใส่แบบนี้มันหมายความว่ายังไง
“ทำไมไม่ตอบ พูดไม่ได้หรือไง อยากจะพูดนักไม่ใช่เหรอ แล้วทีเวลาสมควรพูดทำไมไม่พูด”
ก็ไม่ได้อยากจะพูดด้วยหรอกนะ แต่เพราะแกล้งทำเป็นเงียบแบบนี้ใส่ไง ก็เลยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ
อยากจะให้พูดเหรอ บัวอยากจะให้พี่พูดกับบัวเหรอ งั้นก็ได้ พี่พูดกับบัวก็ได้
“กับข้าวเมื่อเช้าเป็นไงบ้าง”
ถามเรื่องหนึ่ง ไปตอบอีกเรื่อง และคนฟังก็ได้แต่เงียบ เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง ไม่รู้ควรจะตอบยังไง ไม่รู้ควรจะพูดยังไง
สุดท้ายฮัทก็เลยจัดการม้วนแผนที่ในมือและเตรียมตัวจะเดินหนีเพราะไม่รู้จะพูดคุยเรื่องอะไรกับอีกฝ่ายดี
“บัว.....”
ได้ยินเสียงเรียก แล้วคนที่ถูกเรียกก็ชะงักขาไม่ได้ก้าวเดินไปอย่างที่ใจคิดหันกลับมามองคนที่เรียกและโยธินก็ส่งยิ้มจาง ๆ มาให้กับคนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตั้งแง่ใส่ตลอดเวลา
ไม่เคยมีซักครั้งที่เวลาเราเจอหน้ากันแล้วจะพูดจากันดี ๆ
“พรุ่งนี้พี่จะเอากับข้าวมาฝากพี่วิเชียรไว้ให้นะ”
โยธินต้องการพูดแค่นั้น ต้องการให้รู้ ต้องการให้รับรู้บ้างไม่ใช่ว่าจะทำเป็นเมินเฉยแบบนี้ได้ตลอด และคนที่ได้ฟังก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ต้อง”
ไม่ต้องงั้นเหรอ ถึงบอกว่าไม่ต้อง พี่ก็จะเอามาอยู่ดี บัวห้ามพี่ได้หรือไง
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไร โยธินเก็บเอกสารสัญญาการจ้างใส่ซองสีน้ำตาลและไม่สนใจคำตอบที่ได้ยิน
และฮัทก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความหงุดหงิดขัดใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ บอกว่าไม่ต้อง แต่ก็รู้ดีว่ายังไงโยธินก็คงทำมาอีกแน่ ๆ รู้ว่าห้ามไม่ได้ รู้ว่ายังไงก็คงห้ามไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายคิดจะทำก็ไม่มีปัญญาจะห้าม
แต่การทำแบบนั้นมันเป็นภาระของคนอื่น เป็นการรบกวนพี่วิเชียรที่จะต้องเป็นคนหิ้วปิ่นโตไปให้อยู่ตลอด ไม่รวมขนมอย่างอื่น ที่ฮัทเริ่มรู้ว่าที่ได้มากินบ่อย ๆ เป็นของโยธินฝากมาให้ทั้งนั้น
“ถ้าจะเอามาตอนไหนก็โทรมาบอก ไม่ต้องฝากพี่วิเชียรมา มันรบกวนเขา โทรมาแล้วกัน........เดี๋ยวเดินออกมาเอาเอง”
TBC.