“อ้น”
เรียกคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง และหัวหน้าแผนกขายก็ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะปรือตาตื่นขึ้น ควานหาแว่นสายตาที่ถอดทิ้งไว้บนโต๊ะมาสวม และค่อย ๆ ผุดลุกขึ้นนั่ง
เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เนคไทน์ที่เคยผูกเอาไว้แน่นที่คอถูกดึงร่นลงมา คุณกฤษดามองไปที่นาฬิกาบนหัวเตียงที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่ม
ต้องรีบกลับ ไม่ใช่เรื่องดีที่จะค้างนอกบ้าน นาน ๆ ก็ค้างได้อยู่ ไม่ใช่เด็กน้อยขนาดที่พ่อแม่จะโทรตาม แต่เพราะเบื่อ เพราะไม่อยากตอบคำถามว่าทำไมทำตัวเหลวไหล ทำไมถึงไม่กลับบ้าน ไปค้างที่ไหนมา เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหน ดึกดื่นแค่ไหนก็จะต้องกลับบ้าน น้อยครั้งมากที่จะนอนค้างนอกบ้าน
น้อยครั้งมากเหลือเกิน
“ห้าทุ่มแล้วเหรอ บอกให้ปลุกตอนสามทุ่มทำไมไม่ปลุก”
ก็ไม่ทำไมหรอก ก็เห็นว่ามาเหนื่อยๆ แถมยังหิ้วข้าวกล่องมาให้อีก มาถึงก็ทุ่มกว่าแล้ว แล้วก็เห็นอยู่ว่าหน้าตาซีดเซียวขนาดไหน มาถึงพอวางข้าวกล่องไว้ให้ อ้นก็ลงไปนอน แทบไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น แค่เวลาเพียงเล็กน้อย ถ้าอ้นจะพักบ้าง มันจะไม่ได้เลยหรือไง
“ก็ไม่อยากปลุก”
คำตอบเรียบง่ายของวิโรจน์ทำให้คนฟังที่กำลังขยับตัวเตรียมจะก้าวลงจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาชะงักนิ่งค้าง และมองหน้าของวิโรจน์เพราะอยากรู้ความหมายในคำตอบ
“ก็แล้วทำไมไม่ปลุก พูดเหมือนไม่เข้าใจที่บอก”
เข้าใจ แต่ไม่ปลุก
“ดีแค่ไหนที่ปลุก ทั้งที่ตั้งใจไม่ปลุกด้วยซ้ำ”
พูดแค่นั้น แล้ววิโรจน์ก็เมินหน้าหนีไปทางอื่น หาเรื่องกันหรือเปล่า แบบนี้มันคล้ายกับการหาเรื่องกันชัด ๆ
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ
คนรักที่แสนเย็นชา การปฏิบัติตัวต่อกันอย่างเย็นชา ความรู้สึกที่มีให้กันช่างแสนเย็นชา
คงมีแค่เรื่องเซ็กส์เท่านั้นที่เราเข้ากันได้ดี แต่เรื่องอื่น ๆ เราเข้ากันแทบไม่ได้เลย แบบนี้มันแย่ซะยิ่งกว่าแย่
“ขอบใจที่ยังปลุก”
ไม่ต้องมาขอบใจ บางทีก็อยากจะบอกให้รู้บ้าง ว่าไม่ต้องการจะปลุก ไม่อยากให้ตื่น ไม่อยากให้ไปไหน อยากให้นอนด้วยกัน ค้างด้วยกัน
ไม่อยากทน วิโรจน์ไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงขนาดนั้น ยิ่งเห็นยิ่งขัดหูขัดตา ยิ่งเห็นยิ่งขวางหูขวางตา ยิ่งเห็นยิ่งพาลให้หงุดหงิดโมโห หัวหน้าแผนกขายกำลังจะลุกขึ้นจากเตียง แต่วิโรจน์ไม่ยอม นอกจากไม่ยอมแล้วยังลงไปนั่งข้าง ๆ และรั้งร่างของคนที่ยืนยันจะกลับมากอดเอาไว้แน่น
“ปล่อย”
ไม่ปล่อย
“ทำไมไม่ยอมค้าง”
ก็เพราะไม่อยากตอบคำถามใครทั้งนั้น
“ปล่อยยยยย”
“ก็บอกมาสิทำไมถึงค้างไม่ได้”
อยากค้าง แต่การต้องมาตอบคำถามคนในบ้านมันเป็นปัญหาใหญ่มาก จะโดนซักจนขาวสะอาด จะโดนทั้งซักทั้งฟอก มันยิ่งกว่าน่ารำคาญซะอีก
“ที่บ้านชอบถาม ขี้เกียจะตอบ ตอบไม่ไหว”
แค่เนี้ยะ เหตุผลมีแค่เนี้ยเหรอ
“แค่โดนบ่นนิดเดียวก็ทนไม่ไหว ทีลูกค้าด่ายังทนได้ ทำไมแค่โดนที่บ้านบ่นนิดเดียวถึงทนไม่ได้”
มันไม่เหมือนกัน มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ บ้านคนอื่นคงมีเหตุผลแต่ไม่ใช่ที่บ้านของคุณกฤษดาที่ไม่เคยคิดจะฟังอะไรทั้งนั้น
“พูดไปก็ไม่เข้าใจหรอก”
ทำไมจะไม่เข้าใจ
“ก็พูดมาก่อนสิ ไม่พูดแล้วจะไปมีปัญญารู้เองได้ยังไง คิดว่าเป็นเทพหรือไง ถึงจะรู้ทุกเรื่อง”
ทำไมถึงได้ดื้อรั้นอย่างนี้ ทำไมถึงได้ดึงดันขนาดนี้
“แน่ใจหรือไงจะฟัง มันน่าเล่าเหรอ เอาครอบครัวตัวเองมาขาย ทุกวันนี้มีแต่โดนด่าว่าเป็นลูกอกตัญญูอยู่ทุกวี่ทุกวัน เล่าไปก็โดนหัวเราะเยาะซะเปล่า ๆ”
รู้ได้ยังไงว่าจะหัวเราะเยาะ
“แลกกัน”
แลกอะไร มีอะไรให้แลก
“ไม่แลก”
ทำไมถึงไม่แลก
“ต้องแลก......ถ้าอ้นเล่าผมก็จะเล่า”
วิโรจน์เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองที่สุด อยากได้ต้องได้ สั่งแล้วต้องได้ เอาแต่ใจและชอบข่มขู่บังคับ และคุณกฤษดาก็อ่อนใจเกินกว่าจะเถียงด้วย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอม ไม่ว่าเรื่องอะไร พอถูกวิโรจน์บังคับเซ้าซี้มาก ๆ เข้าก็เริ่มต้องยอม
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คล้ายจะยอมไปซะหมด ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งเรื่องส่วนตัวที่วิโรจน์อยากรู้ ก็ต้องเล่ามาให้หมด
เล่า...........ทุกสิ่งทุกอย่าง.... ต้องเล่าถึงความแตกต่างของครอบครัวตัวเองให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฟัง เล่าให้ได้ฟังได้รับรู้
และวิโรจน์ก็ตั้งใจฟังอย่างดี ถามบ้างเป็นบางครั้งเมื่อสงสัย และหลาย ๆ ครั้งคำตอบก็ทำให้คนฟังอ้าปากค้าง
“ถ้าผมยอม ผมก็จะเป็นแบบอ้นนี่แหละ ไปไหนไม่ได้ขยับตัวไม่ได้ พ่อผมเป็นเผด็จการ คิดจะทำอะไรก็ทำตามใจ ไม่สนไม่แคร์ว่าใครจะรู้สึกยังไง ผมถึงไม่ทนไง ก็ออกมาซะเลย แล้วไง ก็ไม่เห็นจะตาย”
สิ่งที่วิโรจน์พูดมันทำให้คุณกฤษดาที่ขมวดคิ้วตลอดเวลาเมื่อเล่าเรื่องของตัวเอง ถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขำ
เผด็จการเหรอ เอาแต่ใจตัวเองเหรอ ไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกใครเหรอ แล้วนี่พีทไม่รู้บ้างเหรอว่ารับสิ่งนั้นมาแบบเต็ม ๆ
“รู้แล้วว่าพีทเหมือนใคร”
เหมือนใครล่ะ เหมือนใคร..... เหมือน ......งั้นเหรอ
“ไม่เหมือน”
จากคุยกันดี ๆ ในเวลานี้กลายเป็นวิโรจน์ที่เริ่มโมโห โมโหเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง ความจริงที่ไม่อยากยอมรับ
ความจริงที่ว่าวิโรจน์กับพ่อมีนิสัยที่เหมือนกัน
“ไม่เหมือนได้ไง เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเหมือน”
ยังไงก็ไม่เหมือนหรอก ยังไงก็ไม่มีทางเหมือน จะไปเหมือนกันได้ไง
“พ่อไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น แต่ผมแคร์”
อย่างนั้นเหรอ ไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น แต่พีทจะบอกว่าพีทแคร์งั้นเหรอ แน่ใจแล้วใช่มั้ยที่พูดอย่างนั้น
“แล้วไอ้ที่บังคับอยู่ทุกวันนี่เรียกว่าแคร์ตรงไหน”
นี่อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้นพูดจาหาเรื่องชวนให้โมโหแบบนี้นะ
“พอเลย.....ถ้าอยากกลับมากนักงั้นก็กลับไป”
เปลี่ยนเรื่องทันที และหัวหน้าแผนกขายที่กำลังยิ้มอยู่ก็กลับมาหน้านิ่งเหมือนเดิม เพราะถูกไล่
ได้ กลับก็กลับ
ลุกขึ้นจากเตียง แต่คนที่กอดแน่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยให้เป็นอิสระ ทั้งที่ก็บอกแล้วว่าให้กลับไปได้
“ไม่ปล่อยแล้วจะกลับได้ยังไง”
เรื่องนั้นจะไปรู้เหรอ ก็หาทางเอาเองสิ อยากกลับก็หาทางเอาเอง
“จะกลับยังไงก็กลับไปสิ”
ตอบได้กวนประสาทที่สุด และวิโรจน์ก็ลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่สนใจคุณกฤษดาที่เริ่มกลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจ
“พีท”
“อะไร”
ขานรับแบบไม่คิดจะสนใจ และวิโรจน์ยังทำหน้าตางี่เง่าใส่คนในอ้อมแขนด้วย
“ปล่อยก่อนได้มั้ย”
“ไม่ได้”
ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ
“ปล่อยเถอะนะ ขอร้องล่ะ”
ไม่ปล่อย อย่ามาทำเสียงแบบนี้ อย่ามาทำเสียงแบบนี้ ยังไงก็ไม่มีทางปล่อยหรอก อย่ามาเจ้าเล่ห์เหอะขอร้อง
“อย่างี่เง่าได้ป่ะ ถ้ากลัวโดนด่ามากนักเดี๋ยวจะโทรไปขอที่บ้านให้ บอกว่าเพื่อนใกล้จะตายแล้วอยู่โรงพยาบาลต้องมาดูใจ แค่นี้ก็จบแล้ว”
ทำแบบนั้นได้ที่ไหน
“อ้นไม่เคยมีเพื่อน ถึงเพื่อนจะตายก็ต้องกลับไปนอนบ้านอยู่ดี”
โธ่โว้ย น่าโมโหชะมัด
“ตกลงจะกลับให้ได้”
เปล่า ไม่ใช่ว่าจะกลับให้ได้ ยังไม่ได้พูดว่าจะกลับให้ได้ซักคำ
“จะโทรบอกที่บ้านว่าจะค้างข้างนอก ปล่อยได้หรือยัง”
อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ได้
“แน่ใจนะว่ากล้าโทร”
แล้วทำไมถึงไม่กล้าล่ะ
วิโรจน์ไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมแขน แต่เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมาส่งให้หัวหน้าแผนกขาย
“โทรเลย”
บังคับขู่เข็ญและคนที่รับโทรศัพท์มาถือเอาไว้ก็มองหน้าวิโรจน์อย่างอ่อนใจ กดโทรออกไปหาแม่ และแม่ก็รับสาย
“อ้น มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมไม่กลับบ้าน บริษัทใช้งานแกอีกแล้วใช่มั้ย แม่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วให้ลาออก ไอ้บริษัทเล็ก ๆ กับตำแหน่งหัวหน้าแผนกขายเงินเดือนไม่กี่ตังค์ แกจะทนทำอยู่ทำไม”
แค่เพียงรับโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงบ่นเสียงด่ามาจากแม่ชุดใหญ่และวิโรจน์ที่กอดหัวหน้าแผนกขายเอาไว้ก็ถึงกับนิ่วหน้า
แบบนี้เลยเหรอวะ ขนาดนี้เลยเหรอวะ แทนที่จะถามว่าลูกไปทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่นี่พอเปิดฉากมาได้ก็ด่าไม่หยุดเลยเหรอวะ
“อ้นจะโทรมาบอกว่าจะค้างนอกบ้านนะแม่คืนนี้”
พูดเข้าประเด็นโดยไม่ต้องให้ร่ายกันยาว และหัวหน้าแผนกขายก็ได้รับคำด่าจากปลายสายมาอีกชุดใหญ่
“แกนี่ชักจะเหลวไหลใหญ่แล้ว บ้านช่องไม่รู้จักกลับ ทำไม ลูกค้าแกมันอะไรกันนักหนา ดึกดื่นป่านนี้ยังจะลากตัวไปกินเที่ยวอีกหรือไง ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าบริษัทนี้มันใช้งานคนอย่างกับทาสแกก็ไม่เชื่อฉัน ทำไมอ้น แม่นี่เชื่อไม่ได้เลยหรือไง แกมันคนเจ้าปัญหาที่สุดเลยนะ ในบรรดาพี่น้องสามคน มีแกนี่แหละที่ปัญหาเยอะที่สุด.............”
“ผมไม่ได้ไปกับลูกค้าครับแม่”
ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ และเมื่อบอกว่าไม่ได้ไปกับลูกค้า แม่ของคุณกฤษดาก็ยิ่งโมโหและเริ่มด่าไม่ยอมหยุด
“ไม่ไปกับลูกค้าแล้วทำไมถึงได้ไปค้างนอกบ้าน บ้านช่องไม่มีจะกลับหรือไง หรือว่ามันยิ่งใหญ่คับฟ้ามากไอ้ตำแหน่งหัวหน้าแผนกของแกเนี่ย จนไม่เห็นหัวแม่แล้ว แล้วนี่แกไปค้างกับใคร ไปนอนบ้านใคร เพื่อนแกก็ไม่มี แกอย่ามาโกหกแม่นะอ้น รีบกลับมาเดี๋ยวนี้ แกบอกแม่มา ว่าแกไปค้างกับใครที่ไหน อ้นฟังแม่อยู่หรือเปล่า ทำไมถึงเงียบล่ะ อ้น ได้ยินที่แม่พูดมั้ย”
ผมได้ยินครับแม่ ผมได้ยินชัดทุกคำพูดเลยครับ
หัวหน้าแผนกขายสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งสติให้ดี และกรอกเสียงพูดไปให้คนที่อยู่ปลายสายได้รับรู้
“ผมค้างบ้านแฟนครับแม่ พรุ่งนี้เย็น ๆ คงกลับ หรือไม่ผมก็อาจจะอยู่ซักอาทิตย์ แฟนผมเขาค่อนข้างเอาแต่ใจครับ ผมง้อเขาไม่ไหวเวลาเขางอนเพราะเวลาเขางอนเขาจะไม่เหมือนคนอื่น ถ้าเลี่ยงได้ผมก็ไม่อยากให้เขางอนผม เพราะถ้าให้ผมทั้งทำงานทั้งง้อแฟนไปด้วย ผมคงตาย ผมบอกแม่แล้วนะครับ ผมไม่ได้หายไปไหนนะ แม่สบายใจได้ ช่วงนี้แม่อาจติดต่อผมไม่ได้ซักพัก แม่มีอะไรแม่ก็โทรมานะครับหรือไม่ก็ฝากข้อความไว้ก็ได้ เดี๋ยวผมโทรกลับ แค่นี้นะครับแม่ ดึกแล้วแม่อย่านอนดึกสิครับ อ้นเป็นห่วง ฝันดีนะครับแม่.............ราตรีสวัสดิ์ครับ”
พูดอย่างที่ใจคิด พูดอย่างที่อยากจะพูด แล้วหัวหน้าแผนกขายก็วางสาย ก่อนจะตั้งค่าเครื่องโทรศัพท์ด้วยการปิดสั่นและปิดเสียง เพื่อให้คนที่โทรเข้ามาหา ยังคงโทรเข้ามาได้ แต่ไม่ต้องการจะได้ยินหรือรับรู้
คว่ำหน้าจอโทรศัพท์ไว้บนเตียง และวิโรจน์ก็เห็นว่ามีไฟกระพริบเข้ามาหลายครั้งแม้ว่าจะคว่ำโทรศัพท์เอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้ว่ามีคนโทรเข้ามาหา
“บ้านผมเป็นแบบนี้แหละ ทีนี้พอจะเข้าใจบ้างหรือยัง”
เข้าใจแล้ว เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
“อยากให้ค้างก็ค้างให้แล้ว มีอะไรอยากได้อีกมั้ย”
อยาก
ยังมีอีกเรื่องที่อยากได้
“มี”
วิโรจน์ยังทำหน้านิ่งเฉย ทั้งที่หัวใจพองโตเพราะคำพูดก่อนหน้านี้ที่หัวหน้าแผนกขายบอกกับแม่ของตัวเองไปตรงๆ
..........เรื่องที่จะค้างบ้านแฟน…….
“อยากได้อะไรอีก”
อยากได้..........
“พูดอีกครั้งสิว่าเราเป็นแฟนกัน”
พูดอีกครั้ง พูดว่าเราเป็นแฟนกันอีกครั้ง พูดมันออกมาอีกครั้งให้ได้ยินชัด ๆ เถอะนะ อยากฟังอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบ
อยากฟัง.........
“ฟังทำไม อย่ามาไร้สาระน่า”
ไอ้คำพูดไร้สาระนี่แหละ ยิ่งอยากฟังมาก
“หรือว่าจะไม่พูด”
บังคับอีกแล้ว บังคับกันอีกแล้ว ก็รู้ว่าไม่ว่าจะบังคับกี่ครั้งก็ยอมตามใจทุกครั้ง ก็ยังจะฝืนบังคับกันอยู่ได้นะคนเรา
“เรา........เป็น....แฟน....กัน พอใจยัง”
ไม่พอใจ
“อีก”
อะไรล่ะ ทำไมต้องให้พูดอีก ทำไมต้องให้พูดซ้ำ ๆ อีกล่ะ ที่พูดไปไม่ได้ฟังเลยหรือไง
“เราเป็น........แฟนกัน....”
“อีก”
อะไรล่ะ ก็พูดอยู่นี่ไง แกล้งยวนกันหรือยังไง
“ไม่พูดแล้ว”
“อีก.....”
ทำไมทำแบบนี้ล่ะ ทำไมถึงต้องบังคับให้พูดแบบนี้อีก
“จะให้พูดทั้งคืนเลยหรือไง”
ใช่
“พูดได้มั้ยล่ะ”
ใครจะไปพูดได้ พูดทั้งคืนคงคอแตกตายกันพอดี
“ก็พูดมั่งสิ ให้พูดคนเดียวอยู่ได้ บ้าหรือไง”
ได้
แค่พูดใช่มั้ย พูดกี่ครั้งก็ได้
“เรา..............เป็น..แฟนกัน”
“เราเป็นแฟนกัน”
“เราเป็นแฟนกัน”
“เราเป็นแฟนกัน”
แล้ววิโรจน์ก็พูดคำพูดบ้า ๆ ซ้ำกันหลายครั้งไม่ยอมหยุด
“พอแล้วววววววววเลิกพูดได้แล้ว”
ทำไมถึงบอกให้พอล่ะ ก็คนเป็นแฟนกันก็ต้องพูดกันแบบนี้แหละ พูดใส่กันแบบนี้เยอะ ๆ
“เราเป็นแฟนกัน เราเป็นแฟนกัน เราเป็นแฟนกัน เรา อุก อื้ออ เอาเอนแอนกัน”
โดนเอามือปิดปาก และคนที่ปิดปากก็เริ่มยิ้มออกมา ไม่ยอมให้วิโรจน์พูดอีก
“พอแล้ว ฟังเยอะ ๆ มันเขิน”
เขินเหรอ
ก็ดีแล้วไง
ฟังเยอะ ๆ แล้วเขินก็ดีแล้ว
“ชอบมั้ย”
ชอบเหรอ ก็ชอบหรอกนะ แต่พอฟังแบบนี้เยอะ ๆ แล้วมันก็เขินจริง ๆ นั่นแหละ ตอนมีอะไรกันยังไม่เห็นรู้สึกแบบนี้เลย
พยักหน้ารับ และวิโรจน์ก็ยิ้มกว้าง ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และอยากจะพูดแต่คำพูดแบบนี้ซ้ำ ๆ ทั้งวัน
“อ้นอ่ะเป็นแฟนพีท”
คนพูด พูดไปมองนั่นมองนี่ไป และคุณกฤษดาก็เห็นว่าอีกฝ่ายก็มีอาการเขินเหมือนกันที่ต้องพูดแบบนี้
อาการเขินที่ไม่ใช่ว่าใครจะได้เห็น เฉพาะคนพิเศษเท่านั้นถึงจะได้เห็น เฉพาะคนมีสิทธิพิเศษอย่างแฟนของวิโรจน์เท่านั้นถึงจะได้เห็น
“ครับ...อ้นเป็นแฟนพีทครับ....เข้าใจแล้วครับ รู้แล้วครับ”
ก้มหน้าก้มตาตอบ และหัวเราะออกมาเบา ๆ คนพูดก็เขิน คนฟังก็เขิน
เขินกันไปเขินกันมา แล้วก็เลยต่างฝ่ายต่างต้องปั้นหน้านิ่งใส่กันเพื่อบังคับใบหน้าไม่ให้ยิ้มมากไปกว่านี้
ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของเราเรียกว่าอะไร แต่รู้ว่าจากนี้ต่อไปสิ่งที่เราเป็นอยู่แม้คนอื่นจะเรียกว่าแฟนแต่เราจะเป็นให้ได้มากกว่านั้น
เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้อง เป็นพาร์ทเนอร์ เป็นอะไรก็ได้ที่จะช่วยให้อีกคนก้าวข้ามผ่านความทุกข์ยากไปได้
วิโรจน์ยังคงพยายามบังคับหน้าไม่ให้ยิ้ม และพูดคำพูดที่อยากจะพูดอีกครั้งให้คนที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ในอ้อมแขนได้ฟัง
“เราเป็นแฟนกันนะอ้น”
ครับ...ได้ยินชัดแล้วครับ ได้ยินจนจำได้ขึ้นใจแล้วครับ
“ครับ.....รู้แล้วครับ...รู้แล้วจริง ๆ ครับว่าเราเป็นแฟนกัน”
TBC.