รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน ลูกน้องควาย
“ทำอะไรอยู่”
บุ้งกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ หวังได้รับการตอบรับกลับมา
.........สำหรับบุ้งคำว่าหน้าด้าน คำนี้คงเหมาะสมที่สุดที่จะใช้
ปล่อยให้เธอทิ้งไป แล้วยังจะหน้าด้านโทรไปหาอีก ทั้งทุเรศทั้งสมเพชตัวเองเกินทน
“หนูยุ่งอยู่พี่ แค่นี้นะ”
ได้รับการตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูรำคาญแหละหงุดหงิดเต็มที่ ก่อนปลายสายจะถูกตัดทิ้งไป
บุ้งนั่งมองโทรศัพท์ในมือ
มองแล้วนิ่ง
นิ่งค้างอยู่แบบนั้นอย่างช่วยไม่ได้
คิดว่าหลายปีที่ผ่านมามันจะทำให้ความรู้สึกหยุดลงง่าย ๆ หรือไง
เรื่องนั้นมันยาก
มันเป็นไปได้ยาก บุ้งรู้ดี แต่อดสมเพชตัวเองไม่ได้ ที่ยังไม่ตัดใจ
แม้สมควรจะตัดใจ แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อหัวใจมันปวดหนึบและร้องบอกว่า ขอแค่ได้ยินเสียงซักนิดก็ยังดี
แค่นิดเดียว
ก็ยังดี
บุ้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยิ้มอย่างเหงา ๆ ให้กับตัวเอง
โคตรเจ็บ
เมียมีชู้มันโคตรเจ็บ แต่ชู้ของเมีย ดันมีอะไรดีกว่า จนบุ้งไม่มีปัญญาไปทำอะไรชู้ได้นี่ยิ่ง โคตร โคตร ของความเจ็บ
เราไม่ได้แต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราว แค่ไปมาหาสู่กัน แต่ที่บ้านเราก็พอจะรับรู้กันหมดว่าไม่ได้เป็นแค่แฟน
เคยวางแผนอนาคตไว้ด้วยกัน และทุกอย่างเกือบจะดีไปซะหมด จนมาพักหลังๆ ที่เธอเริ่มตีตัวออกห่าง
บุ้งไม่รู้…….
ไม่เคยรู้.....
จนกระทั่งวันหนึ่งเดินกลับมาแล้วเจอรองเท้าของใครที่ไม่รู้จักวางอยู่หน้าห้องของเธอ
เหมือนเธอจงใจเปิดเผย แต่แค่ไม่อยากให้มันชัด
สิ่งแรกที่บุ้งรู้สึกคืออึ้งจนพูดไม่ออก ได้แต่ยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่หน้าประตู เมื่อมองลอดผ่านไปที่ผ้าม่านแล้วเห็นภาพบางอย่างชัดเจน
เธอไม่ต้องการจะปิดบัง อยากให้รู้ด้วยซ้ำ อยากให้รู้กันไปเลย จะได้ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก
มันเจ็บไปถึงใจ ได้แต่ยืนนิ่งกำหมัดแน่น บุ้งเป็นคนโกรธแรง โมโหแรง สำหรับลูกน้องที่เป็นพนักงานขับรถทุกคนรู้หมด
แต่กับคนเดียวที่ทำไม่ได้คือเธอ
เธอคนนี้คนเดียวที่ให้ตาย บุ้งก็แตะไม่ได้
แตะเธอไม่ได้ แม้จะโกรธแค่ไหน โมโหจนแทบจะฆ่าคนได้ แต่ให้ทำบุ้งก็ทำไม่ได้
โมโหที่สุด โมโหจนน้ำตาคลอ
ยืนกำหมัดแน่น
ทนไม่ได้ รับสภาพที่เห็นไม่ได้ ถ้าเป็นคนอื่นคงหาปืนมาลั่นไก ฆ่าทิ้งให้ตายทั้งเมียทั้งชู้
แต่บุ้งไม่ทำ โกรธให้ตายก็ไม่ทำ .............ทำไม่ลง
ถุงข้าวที่หิ้วมาด้วยหล่นลงที่พื้น และหยดน้ำตามากมายก็คลอรื้นอยู่ในหน่วยตา ก่อนจะหยดลงอย่างช้า ๆ
ใครจะไปทนอยู่ไหว
บุ้งได้แต่เดินหนีภาพที่เห็น
ทำใจไม่ได้
รับไม่ได้
เดินหนีไปทั้งน้ำตา
ขับรถกลับบ้านมาด้วยสภาพไหนไม่รู้ และนอนร้องไห้ตลอดทั้งคืนโดยไม่มีใครรู้เช่นกัน
รุ่งเช้าบุ้งยังทำตัวได้เป็นปกติเสมอ ทั้งกับที่บ้านและที่ทำงาน แต่พอหัวถึงหมอนเมื่อไหร่ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด
นอนร้องไห้ทั้งคืนตลอดสองปี โดยไม่มีใครรู้
คนเข้มแข็งที่ใคร ๆ คิด แท้จริงไม่ได้เข้มแข็งเลย ตัดไม่ได้ จะเลิกก็เลิกไม่ขาด ใช้เวลาแค่ไหนกว่าจะยอมรับทุกอย่างได้
ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นแค่ไหน ถึงจะผ่านมันมาได้ จนกระทั่งวันที่คล้ายจะตัดใจได้จริง ๆ เมื่อเธอหมดความอดทนและมาพูดกันตรง ๆ ว่าขอเลิก
สองปีมานี้ เธอก็อดทนพอสมควร
อดทนสวมเขาให้บุ้งมาได้ตลอด และบุ้งก็ทำเป็นแกล้งโง่ยอมเป็นควายทำเหมือนไม่รู้เรื่องมาตลอดได้เช่นกัน
คิดแล้วก็น่าสมเพช
สมเพชตัวเอง
คำว่าควาย มันเอาไว้ใช้เปรียบเทียบให้คนโง่เจ็บใจ แต่ถ้าโง่สิบเท่าของคำว่าควาย บุ้งไม่รู้จะเรียกตัวเองว่าอะไรดี
ยิ้ม
แค่นยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง
และหย่อนโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้อ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ออฟฟิศแผนกขนส่ง
ผลักประตูเข้าไป และเจอกับภาพเดิม ๆ ไอ้เด็กฝึกงานกำลังทำหน้ามุ่ยและกระหน่ำคีย์บิลอย่างเอาเป็นเอาตาย
เสียงเคาะคีย์บอร์ดดังเป็นจังหวะ หนักบ้างเบาบ้างตามแต่ความยากง่ายของตัวเลข
“เฮ้ย เกาหลี เย็นนี้ไปไหนป่าว”
ไปไหนเหรอพี่
มีนเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อคนที่ผลักประตูเข้ามาเอ่ยถามบางอย่าง
“ไม่ได้ไปพี่ กลับบ้านเลย”
เออแบบนี้ก็ดี
“พรุ่งนี้หยุด ไปกินเหล้าบ้านพี่มั้ย”
ห๊ะ
ผมฟังผิดหรือฟังถูกวะนั่น
มีนเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และมองหัวหน้างานที่อยู่ดี ๆ ก็เอ่ยปากชวนกินเหล้ากันขึ้นมาดื้อ ๆ
“เอาจริงดิพี่ ผมกินไม่เก่งคอไม่แข็ง ถ้าอาศัยกินกับแกล้มได้อยู่ อันนั้นผมสู้ไม่ถอย”
ตอบกลับไปตามความเป็นจริง และบุ้งก็พยักหน้าทำความเข้าใจ
“งั้นมึงก็กินกับแกล้มไป เดี๋ยวเหล้าพี่กินเอง”
เอ้อออออ เว้ยยยยย มาแปลก ....
มีที่ไหนชวนไปกินกับ ส่วนตัวเองกินเหล้า ถามจริง ๆ ป่วยหรือเปล่าพี่บุ้ง ท่าทางแปลก ๆ แต่วัน
“ใครไปมั่งพี่”
ใครไปเหรอ
“ก็มีมึงแล้วก็………..”
ดูจากจำนวนนิ้วที่พี่บุ้งนับ และริมฝีปากที่ขมุบขมิบเหมือนกำลังท่องชื่อใครอยู่ ก็ทำให้มีนพอรู้ได้บ้าง สงสัยจะหลายคน
“แล้วก็มีมึงอีกคน”
อะไรนะพี่
“เอาดีๆ สิพี่”
ก็ดี ๆ ไง
“ก็มีมึงกับกู”
เหี้ยยยยยยยยยยยย
พี่บุ้งแม่งนับซะกูคิดว่ามีคนมาเป็นสิบ ตกลงมีแค่สองคน แล้วจะนับนิ้วมากมายหาหอกอะไรวะพี่
“แล้วพี่วิเชียรอ่ะ”
ไปถามถึงมันทำไม
“ช่วงนี้มันรักลูกเมีย เลิกงานตรงดิ่งกลับบ้าน ถ้ามันไม่ปรับปรุงตัวแล้วก็ไม่เลิกนิสัยเดิม ๆ เมียมันขู่ว่ารอบนี้จะไปจริง ๆ”
เออนะ ก็สมควรหรอก พี่วิเชียรก็เหลือเกิน ขนาดคนเดินเข้าออฟฟิศแกยังเอาไปพนันได้ ว่าคนเดินเข้ามาคนแรกในออฟฟิศจะก้าวขาขวาหรือขาซ้ายมาก่อน ก็สมควรโดนพี่บุ้งด่าจริง ๆ นั่นแหละ การพนันอยู่ในสายเลือดแกจริง ๆ ให้ตายเหอะ
“อารมณ์ไหนเกิดอยากกินขึ้นมาล่ะพี่”
เอ่ยถามทั้งที่สายตายังจ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่เลิกพร้อมจังหวะการกระหน่ำนิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์อย่างชำนาญคล่องแคล่ว สองสัปดาห์เต็ม คีย์แม่งทั้งวัน คีย์ไม่คล่องก็ให้มันรู้ไป
“พี่ก็มีอารมณ์อยากทำตัวเหลวไหลบ้างสิวะน้อง ตกลงจะไปไม่ไป ถามมากเซ้าซี้ จนกูจะหมดอารมณ์แดกเหล้าอยู่แล้วเนี่ย”
ใจร้อนเกินไปแล้วพี่
“เดี๋ยวโทรบอกแม่ก่อน จะได้ไม่ต้องรอเปิดประตูบ้าน”
นี่โตป่านนี้มึงยังให้แม่เปิดประตูบ้านให้อีกเหรอวะ
“ลูกแหง่จริงวะมึงไอ้มีน”
เกือบโมโหแล้วเชียวที่โดนสบประมาท แต่ถ้าคนพูดเป็นพี่บุ้งให้นึกในใจเอาไว้ได้เลยว่าถ้าใส่ใจคำพูดพี่บุ้งทุกคำ แม่งต้องเป็นบ้าตาย
“ไม่ได้หรอก เป็นลูกชายที่ดี ต้องให้ความสำคัญบุพการีเป็นอันดับหนึ่ง”
ลูกชายที่ดีเนี่ยนะ
“ดีมาก หนีแม่มึงไปบวชจนจะเป็นพระอรหันต์ แม่มึงคงดีใจมากถึงตามไปขอให้มึงสึกได้ทุกวัน”
รู้จักกันมากขึ้น รู้เรื่องส่วนตัวกันมากขึ้น แปลง่ายๆ ว่าเด็กฝึกงานกับหัวหน้างาน พอเปิดใจรับสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นได้แล้ว โคตรจะสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว จนคนรอบข้างแปลกใจ เมืองมีนเด็กฝึกงาน ที่วัน ๆ แทบไม่คุยกับใคร นิ่งเฉยจนเข้าขั้นใบ้ กับพี่บุ้งหัวหน้างานที่วัน ๆ ไม่สนใจใครด่าได้ กูด่า ตบหัวทิ่มได้กูตบ ไม่รู้ว่าสองคนต่างขั้วขนาดนี้ มาเป็นหัวหน้างานกับลูกน้องได้ยังไง
ทั้งที่ตั้งแต่แรก เหมือนคนหนึ่งอยู่ขั้วโลกเหนือ แล้วอีกคนอยู่แอฟริกา
สงสัยเพราะซึนามิลูกใหญ่เลยทำให้ขั้วโลกเหนือกับแอฟริกามาเจอกัน แล้วจูนเข้าใจกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เหลือเชื่อ
จนแม้กระทั่งขั้วโลกเหนืออย่างเมืองมีนยังนึกแปลกใจ นับประสาอะไรกับแอฟริกาบุ้งจะไม่รู้สึกแปลกใจตามไปด้วย
“พี่บุ้งไม่รู้หรอก บวชแล้วโคตรสงบ อยากจะแก่ตายไปในผ้าเหลือง”
อย่าพูดแบบนั้นมีน พี่จะร้องไห้ ถ้าทำใจได้ขนาดนั้น พี่ลาบวชตั้งนานแล้ว ไม่มาใช้ชีวิตอยู่ในวังวน รัก โลภ โกรธ หลง อยู่แบบนี้หรอกมีน
“สาธุ”
พี่บุ้งยกมือขึ้นท่วมหัว ไหว้ปลก ๆ สองสามที ก่อนจะเดินไปหาเด็กฝึกงาน และแกล้งเบิ๊ดกบาลเมืองมีนไปฉาดใหญ่
“ผมเสียทรงหมดพี่”
ยังมีหน้ามากลัวผมเสียทรง
“หล่อตายห่าเลยมึง ไอ้เกาหลีเอ้ยยยยยยยยยย”
“อย่างน้อยก็หล่อมากจนคู่หมั้นพี่เปลี่ยนใจมารักผมได้ก็แล้วกัน”
ปากดีอย่างนี้สิมึง มันน่าตบกบาลอีกซักรอบ
“รู้งี้กูไม่ให้มึงมาคีย์บิลแผนกกูก็ดี ไอ้เราก็นึกว่าจะหงิม ๆ คุมง่าย ที่ไหนได้ ไอ้สัดอย่างเกรียน ต่อปากต่อคำกูได้ทุกเม็ด ตกลงกูเป็นหัวหน้ามึง หรือมึงเป็นหัวหน้ากู”
น้อยใจไปได้พี่บุ้ง
“เอาอมยิ้มไปกินมั้ยพี่บุ้ง แฟนผมซื้อให้ ไม่อยากจะบอกว่าน้องแป้งมันบอกยอมแต่งงานกับผมแล้ว เลยเอาอมยิ้มมาหมั้นผม ผมไม่อยากจะพูดนะ กลัวพี่บุ้งร้องไห้เสียใจ”
ช่างหัวไอ้น้องแป้งเหอะ กูไม่อุ้มแม่งแล้ว เห็นคนหล่อหน่อยไม่ได้ โผไปหาทันที
“มึงก็ไปหลอกเด็กไอ้มีน เด็กมันคิดจริงจังนะ ถึงจะอยู่อนุบาลสองก็เถอะ มึงนี่เล่นไม่รู้จักเล่น เด็กสมัยนี้มันไม่โง่นะมึง เกิดมันรอมึงได้สิบยี่สิบปีมึงจะทำยังไง เหวอแดกเลยนะมึง”
รอได้ก็ดีสิพี่
“ผมก็จะได้มีเมียเด็กไงพี่ แค่คิดก็เสียวหัวใจ”
มีนพูดไปหัวเราะไป และก็ทำให้บุ้งที่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่ท้อแท้กับชีวิตพิกล ต้องหัวเราะตาม
“ตกลงไปแล้วกันนะ ค้างบ้านพี่แล้วกัน เผื่อมึงเมากับแกล้มจนลุกกลับบ้านไม่ไหว”
เป็นคำแซวที่มีนก็รู้ว่าไม่ได้หมายความแบบนั้นจริง ๆ แต่เพราะบ้านอยู่กันคนละทาง แถมไกลกันชนิดอ้อมโลก
ดึกดื่นป่านนั้นถ้ากลับบ้าน พี่บุ้งมันก็คงเป็นห่วง เลยตัดปัญหาให้นอนค้างที่บ้านพี่บุ้งซะ
ก็แค่นั้น
“แล้วพี่ไม่เข้าเวรเหรอพี่ เดี๋ยวมูลนิธิก็โทรตามกันพอดี”
“ไม่เป็นไร บอกเขาแล้ว ช่วงนี้ไม่ไหวว่ะ ร่างกายมันล้า ๆ สงสัยแก่แล้วด้วย”
ที่ล้าไม่ใช่เพราะแก่หรอกมั้ง แต่คงเป็นปัญหาส่วนตัวมากกว่า
มีนรู้ รู้แบบเงียบๆ แต่ไม่เคยถามไม่เคยพูด ปัญหาส่วนตัวที่พี่บุ้งไม่เคยคิดจะบอกกับใคร
เรื่องแฟนของตัวเอง ที่ไม่รู้ว่าคบกันยังไง แฟนพี่บุ้งถึงได้ไปเป็นเมียคนอื่นได้ ในขณะที่ยังเป็นแฟนพี่บุ้งไปพร้อม ๆ กัน
แม่งโคตรซับซ้อน จนกูไม่กล้าถาม เพราะไม่อยากโมโหและไม่อยากเกลียดผู้หญิงหลายใจ
แม่งกล้าทำกับลูกพี่กูได้ลงคอ ดีขนาดนี้ หาที่ไหนไม่ได้แล้ว เสียแค่ปากร้ายไปหน่อยแค่นั้น พอได้อยู่ใกล้กันมีนก็รู้ดี ว่าที่จริงพี่บุ้งไม่มีอะไร เป็นคนไม่มีอะไรเลย แค่พูดจาขวานผ่าซากไปหน่อยแค่นั้นเอง
“พี่บุ้ง”
เรียกหัวหน้างานที่กำลังกดดูข้อความบางอย่างในโทรศัพท์และบุ้งก็เงยหน้าขึ้นมอง เพราะไม่รู้ว่าเด็กฝึกงานเรียกทำไม
“ผมรักพี่นะโว้ย”
ห๊ะ
อะไรนะ
บุ้งเกิดอาการเหวอแดก ที่อยู่ดี ๆ เด็กฝึกงานก็มาบอกรักกันซะได้
แถมตอนบอกมันยังคีย์บิลไปด้วยอีก เล่นเอากูทำหน้าไม่ถูก หัวแทบคะมำหล่นจากเก้าอี้
“มึงว่าไงนะ มึงตุ๊ดเหรอเนี่ย มิน่ามึงถึงได้ทำหน้าหล่อมาทำงานทุกวัน ตกลงมึงแอบชอบกูมาตลอดใช่มั้ยวะเหี้ยมีน”
โห
ถ้าจะแปลไปถึงขนาดนั้นนะพี่บุ้ง ผมก็ยอมให้พี่แปลได้ตามใจชอบเลยแล้วกัน
“ไม่โรแมนติกเลยเว้ยพี่กู น้องอุตส่าห์บอกรักทั้งที ซึ้งหน่อยก็ไม่ได้ เสือกด่าผมเสีย ๆ หาย ๆ ซะงั้น”
แล้วมันสมควรมั้ยล่ะที่มาพูดจาประหลาด ๆ ใส่กูแบบนี้
“ขนลุกเลย..สัด….มึงหวังเกรดสี่ให้กูประเมินมึงผ่านงานป่ะเนี่ย กูไม่ใช่แนวมึงนะไอ้มีน มึงอย่ามาคิดลึกกับกู”
จะขนลุกอะไรนักหนาล่ะพี่ ทำเป็นรังเกียจผมขนาดนั้นไปได้
“เบื่อพี่บุ้งว่ะ........ขนาดน้องแป้งยังไม่เอาเลย ผมจะเอาพี่ไปทำไมวะ พี่ก็คิดด้ายยยยยยยยย”
มีนลากเสียงยาว ๆ และก็ส่ายหน้ากับความคิดของหัวหน้างาน ที่สนิทสนมกันจนถึงขั้นด่ากัน และตบกันจนหัวทิ่มได้ ชนิดไม่มีใครยอมใคร
“เออ พี่บุ้ง.....ผมเป็นน้องพี่นะ.........ปัญหาบางเรื่องของพี่ ผมก็คงไม่มีปัญญาช่วยพี่ได้ แต่ถ้าพี่อยากได้ความสบายใจ ผมจัดให้ได้เต็มที่นะพี่ อยากกินเหล้าวันไหนบอกผม ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ผมก็ไปหาพี่จนได้นั่นแหละ นี่ผมพูดจริง ๆ”
กลายเป็นบุ้งที่ถึงกับนิ่งสนิทไปไม่เป็น เพราะคำพูดตรง ๆ แต่โคตรจริงใจของเด็กฝึกงาน
แค่นยิ้มออกมาเล็กน้อย และหัวเราะกับตัวเองเสียงเบา
โคตรตลกเลยว่ะ นี่กูคิดว่าทำตัวเฉยๆ จนไม่มีใครหน้าไหนจับได้แล้วเชียวนะว่ากูเป็นอะไรและมีปัญหาอะไรภายในใจ เสือกมาตายน้ำตื้นเพราะไอ้เด็กฝึกงานใกล้ตัว ที่วัน ๆ มันไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งคีย์บิลให้ทั้งวัน
“ขอบใจว่ะมีน พี่ก็รักมึงเหมือนกัน สามเดือนมึงฝึกเสร็จพี่คงคิดถึงมึงแย่”
ผมก็คงเหมือนกันกับพี่นั่นแหละนะ
มีนเงยหน้าจากบิลที่กองอยู่บนโต๊ะ และจ้องหน้าของหัวหน้างานที่เผยแววตาเศร้าสร้อยจนปิดไม่มิดออกมาให้ได้เห็น
บุ้งส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาว ๆ
“พี่มึงเป็นควายนะมีน มึงมีลูกพี่เป็นควาย มึงก็เป็นลูกน้องควายด้วยนะ มึงยังอยากจะเป็นอีกเหรอลูกน้องควาย กลับบ้านไปคิดใหม่ได้นะมึง”
เออช่างแม่งเหอะ
จะเป็นอะไรก็ช่าง ผมไม่คิดอะไรมากหรอกพี่บุ้ง พี่อย่ามาทำให้ผมคิดอะไรให้มากความ
“ถ้าเป็นลูกน้องควายอย่างพี่บุ้งผมก็เอา.........ให้คิดอะไรล่ะ........... ก็อย่างที่พี่เคยบอกผมนั่นแหละ......เรื่องบางเรื่องอย่าไปคิดอะไรมาก คิดมากปวดหัวตายห่า...พี่จำไม่ได้แล้วหรือไง”
TBC.