ทุกอย่างเหมือนภาพซ้ำที่วนเวียน มันออกจะน่าเบื่อหน่ายที่ต้องพบกับสถาณการณ์แบบเดิมๆ คือการตื่นมาแล้วพบว่ามันมีอะไรมากมายผ่านไปแล้วเสียหลายวัน แต่กระนั้นลึกๆเขาก็คาดว่าครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องเจอะไรแบบนี้
โรเรเนสลุกขึ้นนั่งในเช้าวันหนึ่งเขาไม่ได้สนว่ามีอะไรผ่านไปบ้างแล้ว เขาคลับคล้ายคลับคราว่าหลับๆตื่นๆอยู่แต่ไม่รู้ตัวดีนักเหมือนจะละเมอเหมือนจะฝัน ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ตายไปจริงๆในบางช่วงหรือไม่ แต่เขาก็สนเท่ห์อยู่ว่าทำไมไม่มีซักแว่บหนึ่งที่เขากลับไปสวรรค์บ้าง ทว่าช่วงกึ่งเป็นกึ่งตายนั้นถือว่าสบายตัวอย่างประหลาด
นั่นถือเป็นประสบการณ์ที่ดีจนอยากจะตายไปเสียจริงๆแต่ก็ดันไม่ตาย โชคดีอยู่หน่อยนึงตรงที่ตื่นมาคราวนี้ความทรงจำเกี่ยวกับแดนสวรรค์ก็เพิ่มขึ้นมาก แม้นจะไม่ทั้งหมดแต่เข้าก็เหมือนจะจำอะไรได้มากขึ้น
ตอนนี้มันเป็นช่วงเช้าเกือบๆสาย แดดส้มอ่อนรำไรเข้ามาในห้องกลิ่อหอมของอาหารโชยอยู่ไม่ไกลคะเคล้าจางๆกับกลิ่นดอกไม้หลายกลิ่นที่เขาแยกได้ไม่ยากว่ามีอะไรบ้าง มือเรียวเอื้อมจับแผลที่คอมันมีผ้าพัดไว้อย่างดีและไม่รู้สึกเจ็บเสียเท่าไร เขานึกหวนไปถึงวันนั้นก็เกิดรู้สึกแย่ขึ้นมาหลายอย่างและการตื่นขึ้นมาแบบนี้ทำให้เขาต้องมานั่งกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ ทำไมฟารันไม่ปล่อยให้เขาตาย?ยังอยากจะทำอะไรเขาต่ออีกหรือ แล้วท่านหมอนั่นเล่า.....โธ่ท่านหมอ
เขาลงจากเตียงอ่อนนุ่มแล้วเดินไปยังห้องรับรองที่อยู่ใกล้ๆเพื่อกินอาหาร ซึ่งบอกได้เลยว่ามันอร่อยกว่าปรกติอย่างน่าประหลาดด้วยเพราะหิวหรืออย่างไรก็ไม่แน่ใจ ทั้งขนมปังและนมก็รสดีเสียมาก
เขากินอย่างจริงจังโดยไม่มีใครรบกวนจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของคน2-3คนก้าวตรงมาที่ประตูห้องเขาถึงชะโงกหัวไปมอง เมื่อประตูเปิดแล้วเห็นว่าเป็นใครเขาก็ไม่ได้สนใจและจัดการอาหารต่อ
ลากลอสเดินเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้อีกสอง พวกเขาแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่พบคนไข้นอนอยู่บนเตียงแต่เมื่อเห็นว่ามานั่งกินอาหารได้ปรกติในอีกห้องก็ยิ่งประหลาดใจใหญ่
“โอ้ นี่เจ้าตื่นจริงจังแล้วใช่ไหมเนี่ย” ลากลอสเอ่ยทักอย่างแปลกใจก่อนจะลงนั่งร่วมโต๊ะที่เก้าอี้ใกล้ๆ โรเรเนสพยักหน้าให้โดยที่ปากยังเคี้ยวตุ้ยอยู่
“เวลากลืนเจ็บคอไหม”
ส่ายหัว
“แล้วเดินมานี่ไม่มึนหัวหรอ”
ส่ายหัว
“โฮ่ดีจริง เดี๋ยวข้าให้คนไปตามหมอมาดูอาการเจ้าอีกทีจะได้สบายใจ” คราวนี้เด็กหนุ่มตาเบิกโพลงแล้วรีบกลืนคำสุดท้ายก่อนจะพูดละล่ำละลัก
“ทะ ทะ ท่านหมอยังอยู่รึ!”
“ม่าย ท่านหมอหลวงชัคบาไม่อยู่กับเราเสียแล้ว หมอที่มารักษาเจ้าเป็นหมออีกคนในราชสำนัก”
โรเรเนสหน้าถอดสีแล้วเหมือนจะร้องไห้แต่อีกฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็ห้ามเอาไว้ก่อน
“ท่านหมอยังไม่ตาย แต่ท่านหมอกับพวกนักบวชถูกเนรเทศไปอยู่ที่อื่น”
แต่แววตาเศร้านั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นเสียเท่าไรเมื่อพบว่าคนดีๆแบบนั้นต้องโดนลงโทษให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
“ส่วนเรื่องของเจ้า....อ่าม จากเหตุการณ์วันนั้น”
หน้าสวยพลันนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีก มีอะไรมากมายจนเลวร้ายจนจำไม่ได้หมด แต่พอคืนสติมาคราวนี้เขาก็นึกขึ้นได้ถึงพฤติกรรมบ้าบิ่นและกร้าวของตน แล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมา
“อ่า...ลากลอส วันนั้นข้าทำตัวแย่มากๆเลยใช่ไหมข้าขอโทษท่านด้วยนะ”
“เอ้ย!ไม่ต้องหรอก ข้าเข้าใจได้ว่าเจ้าโกรธมากแต่มันก็..”
“ข้ามานึกดูตอนนี้ข้าไม่น่าโวยวายขนาดนั้นเลย มีคนที่ไม่เกี่ยวข้องอีกมากแล้วข้าก็ด่าเหมารวมไปเสียหมด ข้าไม่ได้อยากเป็นคนอารมณ์ร้ายแบบนั้นนะ....ตอนนั้นข้าอาละวาดหนักมากใช่ไหม”
“หนักอยู่”
เด็กหนุ่มก้มหน้างุด เขาไม่เคยโกรธมากขนาดนั้นเลยตั้งแต่เกิดมาและไม่ชอบมากๆเวลาที่คุมตัวเองไม่ได้แบบนั้น มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ต่างจากพวกมนุษย์กิเลศหนา เทพอย่างเขาควรควบคุมทุกอย่างได้ดีกว่านี้
“แต่ก็สะใจดีนะ”
“หา?”
เลขาหนุ่มยิ้มหยันที่มุมปาก
“ข้ากลับรู้สึกสนุกและสะใจมากที่เจ้าทำอะไรแบบนั้นถืงตอนท้ายมันจะโหดไปหน่อยก็เหอะ”
“ท่านนี่โรคจิตเหลือเกิน ข้าทำแบบนั้นท่านยังว่าดี”
“ลึกๆข้าก็เชียร์ให้เจ้าเดินเข้าไปตบราห์โออยู่”
พอได้ยินการกล่าวถึงชายคนนั้นเขาก็เม้มปากแน่นแล้วสลดหดหู่ไปอีก ความโกรธยังคุอยู่ในใจเคล้าผสมปนกับความเศร้า เขาไม่อยากพูดถึงผู้ชายคนนั้นเลย หากแต่ก็คงไม่อาจเลี่ยงอะไรได้มากในเมื่อยังอยู่ในบ้านคนๆนั้น
เขาแสร้งสานบทสนทนาต่อเหมือนข่มอารมณ์นั้นไว้ เขาอยากเข้มแข็งและดูเป็นปรกติที่สุดเมื่อพูดถึงผู้ชายคนนั้น
“พูดแบบนั้นไม่ดีนะท่านลากลอส ท่านไม่ได้อยู่ข้าง..ข้างราห์โอรึ”
“ข้าอยู่ข้างตัวเองเสมอ”
“โฮ่ ท่านนี่มั่นใจดีจริง”
“อันที่จริงเจ้าไม่ต้องเรียกข้าด้วยท่านแล้วนะ ตอนนี้สถานะเราเท่ากันแล้ว”
หน้าสวยขมวดคิ้วมองอย่างฉงน เขาไม่เข้าใจว่าคำตัดสินจะมีอะไรอื่นได้อีกนอกจากประหารเขาเสีย
“คือแบบนี้นะโรเรเนส จากการอาละวาดของเจ้าเมื่อคราวนั้นศาลตัดสินว่าเจ้า...อ่าม..สติไม่ดี ขออภัยที่ต้องพูดแบบนี้ แต่คือพวกเขาคิดว่าเทพที่พวกเขากราบไหว้กันอยู่ทุกวันไม่น่าจะคลั่งได้ขนาดนั้น...คือเจ้าต้องเข้าใจว่าตอนนั้นเจาขาดสติไปมาก ถึงแม้ข้าจะสะใจ แต่คนอื่นไม่คิดแบบนั้นนั่นแหละพวกเขาคิดว่าเจ้าหลงผิดจริงอย่างที่ท่านหมอชัคบาบอก จึงถือว่าเจ้าไม่มีความผิดฐานหลอกลวงราห์โอและถือว่าความผิดทั้งหมดของเจ้าเป็นโมฆะ แต่กระนั้นด้วยความที่เจ้ามีความรู้ด้านพฤษศาสตร์อยู่มากโขเลยให้รับราชการอยู่เป็นคนดูแลไม้ดอกของที่นี่...ประมาณนี้”
โรเรเนสนิ่งอึ้งไปแล้วค่อยๆลำดับความคิดที่ละส่วนในหัว
“เดี๋ยวนะ สรุปคือ...ข้าบ้า?”
“ก็..ก็ตรงๆคนอื่นเขาก็คิดแบบนั้น”
“ท่านก็คิดว่าข้าบ้า?”
“ไม่นะไม่ๆๆๆ ข้าไม่คิดว่าเจ้าบ้า....เจ้าแค่...เข้าใจตัวเองผิด”
“เจ้าก็ไม่คิดว่าข้าเป็นเทพสินะ”
“ขอโทษจริงๆ”
“แล้วนอกจากข้าจะบ้าแล้วข้าก็ยังโดนเก็บไว้เป็นคนสวนอีก”
“แล้วเจ้าจะไปอยู่ที่ไหนเล่า”
“ก็ไม่ส่งข้าออกประเทศไปเหมือนท่านหมอเล่า”
“ไม่เอาน่าเจ้าความจำเสื่อมนะจะอยู่ยังไง อีกอย่างราห์โอทรงดำริเช่นนี้ด้วย”
เด็กหนุ่มนิ่งงันแล้วเบือนหน้าหนี เขาเริ่มขบกรามแน่นยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธผู้ชายบ้าอำนาจเอาแต่ใจคนนั้น
“แต่นะ นั่นก็หมายถึงเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ได้นะ”
“หมายถึงข้าไปจากที่นี่ได้งั้นหรอ?”
“ไปเลยไม่ได้หรอก เจ้าเป็นคนไม่มีทะเบียนเร่ร่อนไปทั่วจะลำบากเปล่าแต่ถ้าออกไปเที่ยวเล่นนนอกวังน่ะพอจะทำได้”
พวงแก้มใสป่องขึ้นอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เขาไม่ได้มีความผิดติดตัวอันที่จริงก็อยากจะหนีไปเลยแต่ก็เกิดฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“ลากลอสที่ที่ท่านหมอไปมันลำบากไหม”
“ไม่หรอกก็ถือว่าอยู่ได้ดี แต่ที่แย่ที่สุดเขาคงไม่มีโอกาสได้เจอกับลูกสาวเขาอีกแล้วเพราะมันเป็นธรรมเนียมที่ครอบครัวจะไม่ติดต่อกับผู้ถูกเนรเทศ”
“เพราะท่านหมอถูกตัดสินให้ผิดสินะ ถ้าเขาไม่ผิดก็กลับมาได้ใช่ไหม”
“ก็ ประมาณนั้น”
“งั้นข้าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวข้าเป็นเทพสินะเขาถึงจะได้กลับมา”
คราวนี้เป็นฝ่ายเลขาหนุ่มที่เม้มปากเรียบอย่างหนักใจ สำหรับเขาโรเรเนสไม่ใช่เทพนั่นคือสิ่งที่ทุกคนยืนยันและการกระทำของโรเรเนสก็ยืนยันในข้อนั้น เรื่องนี้ถือว่าน่าเศร้าและเจ็บปวดสำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้และท่านหมอแต่โดยส่วนตัวเขาไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรได้มากไหมนอกจากสิ่งที่ราห์โอบอกเขามา
ราห์โอกล่าวกับเขาว่า เขาสงสัยว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการนำโรเรเนสมาทำให้ความจำเสื่อมและทำให้หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นเทพ อาจเป็นผู้ใช้เวทย์บางคนและคนในที่จัดการเรื่องนี้ ซึ่งข้อสันนิษฐานนั้นยังไม่ชัดเจนแต่ก็คาดกันเอาไว้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับโยเฮน
เขาไม่ได้บอกว่าโยเฮนเป็นคนพาโรเรเนสมานั่นมันย้อนแย้งกันเกินไปแต่ราห์โอทรงเชื่อว่าโยเฮนน่าจะรู้ว่าใครทำและคนๆนั้นน่าจะเป็นอริของโยเฮน โยเฮนจึงพยายามอย่างไม่ปิดบังที่จะกำจัดโรเรเนสที่เป็นเหมือนเครื่องมือของอีกฝ่าย ราห์โอจึงกำชับให้เขาช่วยสืบหาว่าโยเฮนนั้นมีอะไรปิดบังหรือเป็นอริกับใครเขาไว้บ้าง
นั่นคือที่ลากลอสรู้มา 1.ท่านหมอไม่ผิด 2.โรเรเนสไม่ใช่เทพแต่เป็นเครื่องมือของใครไม่รู้ 3.และใครไมรู้คนนั้นเกี่ยวกับโยเฮนซึ่งไม่อาจบอกได้ว่าโยเฮนคือคนผิด อีกฝ่ายผิดหรือผิดทั้งคู่
และทั้ง3ข้อนี้ลากลอสก็เชื่อสนิทใจโดยไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทจำเป็นต้องโกหกเขาในเรื่องเหล่านั้น ด้วยแท้ที่จริงแล้วโรเรเนสนี้เป็นเทพและเรื่องนี้เกี่ยวกับโยเฮนล้วนๆไม่ได้มีมือที่3มาทำให้ป่วนแต่อย่างใด หากแต่เพื่อรักษาสัจจะและแผนการที่นัดแนะกับท่านหมอไว้ฟารันจึงไม่อาจให้ใครแม้นซักคนล่วงรู้ได้ว่าโรเรเนสเป็นเทพ แม้แต่เพื่อนสนิทที่คบกันมานานขนาดลากลอสก็ไม่อาจรู้ได้เลย
“อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นเทพก็ได้นะถ้าหากจะให้ท่านหมอพ้นผิด แต่เรื่องนั้นข้าคงบอกรายละเอียดเจ้าไม่ได้แต่อยากให้เจ้าวางใจว่าซักวันท่านหมอจะได้กลับมาแน่”
โรเรเนสไม่ค่อยเข้าใจว่าจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อช่วยให้ท่านหมอกลับมา แต่เขาก็ได้แต่พยักหน้ารับไปและเริ่มคิดทบทวนถึงทางเลือกของตัวเอง
ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นก็ไม่รู้ได้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของใครกันบ้างที่เด็กหนุ่มตัดสินใจยอมทำงานเป็นคนดูแลพืชพันุ์อยู่ในวังไม่หนีไปไหน เจ้าตัวไม่ได้ให้เหตุผลอะไรกับใครเรื่องนั้นเขารู้อยู่ในใจแม้คนส่วนมากมองว่าเด็กหนุ่มสติไม่ดีคนนี้คงไม่กล้าออกไปอยู่ข้างนอกแต่ลำพังและออกจะเวทนาในตัวเขา แต่ลึกๆที่เขายังไม่หนีไปไหนเพราะเขาเชื่อว่าการไม่เอาตัวรอดแต่คนเดียวเป็นอะไรที่มีศักดิ์ศรีมากกว่า ที่สำคัญเขายังเชื่ออีกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ทำให้ท่านหมอชัคบาพ้นผิดได้
เช่นนี้ราห์โอก็ยังใจชื้นอยู่บ้างที่ฝ่ายนั้นยังอยู่ในสายตาไม่งั้นออกไปข้างนอกก็อาจถูกสายของโยเฮนสังหารได้ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจผิดไปว่าหนุ่มหน้าสวยนั้นยังพอจะอยู่ในจุดที่เขาจะเข้าหาได้แต่นั่นก็ไม่เลย
ด้วยสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดที่เขาทำนั้นเป็นเหตุให้หลังจากตื่นมาโรเรเนสก็ไม่ยอมคุยกับเขาอีก หากแม้นคุยก็ไม่มองหน้า คุยเฉพาะเรื่องงานเมื่อเลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลายครั้งที่เขาพยายามหาโอกาสให้ได้อยู่กันลำพังเพื่อปรับความเข้าใจแต่ก็ยังไม่มีวันไหนที่เขามีโอกาสเช่นนั้น ด้วยตัวเขาเองก็ได้ว่าและฝ่ายนั้นก็ไม่อยากจะเจอจึงทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่ห่างๆ จึงทำได้เพียงให้มีคนค่อยดูแลสอดส่องแล้วรายงานเขาเป็นระยะว่าฝ่ายนั้นอยู่ดีหรือไม่อย่างไร บ้างก็ฝากลากลอสให้นำของกำนัลไปให้พร้อมจดหมายที่กี่ครั้งก็ไม่เคยถูกเปิดอ่าน
คำขอโทษนั้นก็ไม่เคยจะไปถึงครั้นเมื่อพยายามจะไปเจอหน้าก็เกิดเหตุกระอั่กกระอ่อนพูดกันได้ไม่จบความ ครั้งหนึ่งราห์โอนั้นทนไม่ไหวบุกไปหาถึงห้องในยามค่ำคืนเพื่อจะขอโทษและอธิบายความ แต่เมื่อยามเห็นตาเศร้าที่รื้นน้ำทุกครั้งที่เห็นหน้าเขาเขาก็จำต้องหลีกมา เพราะทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้โรเรเนสก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดมันไม่ใช่เหมือนในครั้งก่อนนั้น ครั้งก่อนที่เราไม่คุยกันครานั้นเด็กหนุ่มออกแนวระแวงเขามากกว่ากลัวว่าจะโดนเขาทำมิดีมิร้ายอีก
แต่คราวนี้โรเรเนสไม่ได้กลัว ไม่เลยไม่ซักนิดที่จะเกรงกลัวฟารันอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่มีมันเป็นความด้านชาที่ซ่อนความเจ็บแค้นไว้ทุกครั้งที่เจอหน้ากันเขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกทรมาณใจที่ฝ่ายนั้นส่งมา เห็นชัดว่าไม่อยากพบไม่อยากเจอแค่อยู่ใกล้กันก็คงอึดอัดสะอิดสะเอียดจนจะร้องไห้แล้วกระมัง เหมือนทรมาณเหมือนรังเกียจและปนแค้น
ฟารันเคยเห็นมาแล้วคนที่เป็นแบบนี้แววตาแบบนี้ นานมาแล้วตั้งแต่สมัยสงครามนั่นก็เมื่อเขายังเด็ก ตอนนั้นเกิดเรื่องขึ้นหลังจากทัพของสปันเทียบุกไปตีเมืองหนึ่งมาได้ ช่วงขณะที่พักกองกันอยู่ในเมืองก็มีทหารนายหนึ่งฉุดคร่าสาวชาวบ้านมาขืนใจ แม่ทัพรู้ความก็จัดการตัดหัวของทหารคนนั้นเสียแลกล่าวกับทุกคนว่าเราเป็นทหารหาใช่โจรย่ำยีผู้หญิงมีโทษถึงตายสถานเดียว
หลังจากนั้นก็มีเรื่องต้องลำบากใจอีกเมื่อแม่ทัพผู้นั้นต้องเป็นคนนำศีรษะของทหารผู้นั้นไปคืนแก่มารดาของเขา ตอนนั้นแหละที่ฟารันได้แอบตามไปดูด้วย
แววตานั้นอธิบายเป็นคำพูดได้ยากมากๆ เมื่อต้องรับศพลูกชายจากคนที่ฆ่าลูกตัวเอง ท่านแม่ทัพต้องขอขมากับแม่ผู้ตายและครอบครัวแต่ที่ทำก็เป็นสิ่งจำเป็น แน่นอนว่าหญิงวัยกลางคนนั้นเข้าใจว่าทำไมลูกของนางสมควรตาย แต่มันก็เป็นการยากที่จะยอมรับในการกระทำของท่านแม่ทัพกับคนที่ฆ่าลูกของเธอ เป็นข้าศึกก็ไม่ใช่แต่เป็นคนชาติเดียวกันคนที่นางฝากฝังไว้ว่าจะดูแลกองทัพและลูกนางได้
แววตานางรื้นน้ำไม่ด่าทอไม่ต่อว่าอะไรไม่ยอมรับคำขอโทษหรือแม้แต่จะสนทนาอะไรทั้งนั้น ได้แต่พูดสั้นๆว่า
“ท่านกลับไปเสียเถอะ”
แล้วนางก็เดินกลับหลังบ้านไป ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจหรอกว่านางรู้สึกอย่างไรแต่มันมากกว่าเศร้า มันหลายอย่างเหลือเกินทั้งเสียใจ โกรธ จำยอม แต่ชัดเจนว่าไม่อยากจะยุ่ง ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากเกี่ยงข้องอะไรได้วยอีก ต่างคนต่างอยู่กันไปเลยและก็เป็นเช่นนั้นจริงหลังจากนั้นไม่ว่าท่านแม่ทัพจะพยายามขอขมาแค่ไหนนางก็ไม่สนใจ นางไม่ได้ต้องการการชดใช้ใดๆ นางไม่สนใจอะไรแล้วขอแค่ต่างคนต่างอยู่ก็พอ
ตอนนี้เขารู้สึกว่าโรเรเนสเป็นแบบนั้นอาจไม่ถึงขั้นที่แม่คนนั้นได้เสียลูกชายไป แต่น้ำตาของเด็กหนุ่มนั้นไม่ใช่แค่ความเศร้าแบบนั้น มันเหมือนคนที่ถูกฉกฉวยบางสิ่งไปและเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะพูดคุยถึงเรื่องเหล่านั้นได้ มันมีแค่ความคิดว่าอยากอยู่ห่างๆ ไม่อยากพูดไม่อยากคุย ไปให้ไกลๆหน้ากันเลยก็ดี ไม่ได้อยากได้คำขอโทษไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น
แล้วเขาจะทำอย่างไรเล่า แม้นทรมาณเจียนตายที่ไม่อาจให้ฝ่ายนั้นเข้าใจตัวเองได้แต่ทุกครั้งที่เข้าใกล้ก็เป็นการทำร้ายกันไปอีก เขาไม่ต้องการแบบนั้นเขาไม่ได้อยากตามใจตัวเองอีกแม้นจะทรมาณใจที่ไม่อาจเข้าใกล้ไม่อาจพูดคุยอะไรกันได้อีก แต่หากมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้เขาก็จำยอม ก็ได้แต่อยู่ห่างๆอย่างปวดร้าว
จนหลังๆมานี้กลายเป็นเขาเองที่พยายามหนีหน้าให้มากเข้าไว้ มีอะไรก็ต้องผ่านคนอื่นตลอดซึ่งถึงแม้จะทำแบบนั้นเขาก็ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่โรเรเนสต้องรับรู้เรื่องราวหรือข้อความใดๆก็ตามจากฟารันสีหน้าปรกติของเด็กหนุ่มก็แปรเป็นอึดอัดทุกครั้ง เหมือนคำสาปเหมือนยาขมใดใดในโลกนี้ที่เกี่ยวกับเขานั้นไม่อาจเข้าใกล้เด็กหนุ่มโดยไม่ทำร้ายจิตใจเขาได้เลยแม้นแต่น้อย
หลายครั้งเขาก็แอบคิด ว่าทำไมคนที่อยู่ใกล้เพียงกำแพงกั้นแค่นี้ถึงได้ไกลกันเหลือเกิน
หลายครั้งเขาก็แอบคิด ว่าแม้นจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันซักวันหนึ่งทั้งสองคงลืมไปแล้วว่าหน้าตาอีกฝ่ายนั้นเป็นอย่างไร
ความคิดนั้นวนเวียน
จนหนาวอก
จู่ๆเหมือนมันวาบลงลึกและเสียดแทง
ขณะนั้นในค่ำคืนหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวงกุหลาบจันทราก็คงบานอีกครั้งแต่เขาไม่ได้เห็นมันมาซักพักแล้วล่ะ ด้วยรู้ดีว่าสวนส่วนตัวของเขามีใครเป็นผู้ดูแล หากเขาเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจออีกฝ่ายอยู่ในสวนแห่งนั้นก้คงไม่เป็นการดี เขาไม่ควรเลยแม้นซักครั้งที่จะให้คนๆนั้นเห็นหน้า เช่นนี้ถึงแม้จะเป็นสวนของเขาเป็นกุหลาบล้ำค่าของเขา เขาก็ไม่อาจจะไปดูได้เลย
เขาจึงได้แต่ยืนชมจันทร์อยู่ที่ริมระเบียงพลางเฝ้าระลึงถึงสิ่งสวยงามสองสิ่งที่งามละม้ายจันทร์ลอยเด่นนั้น แต่แล้วเมื่อวูบหนึ่งของลมหวานพัดเข้ามามันก็เหมือนแทรกลึกเข้ากลางใจและฝังแน่นอยู่ในนั้น เมื่อเขาระลึกได้ว่าเขาอาจจะลืมได้ ว่าวงหน้าขาวเนียนนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร แน่นอนว่างดงามราวดวงจันทร์แน่นอนว่าขณะนี้ยังจำได้หากแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเขาจะยังจำได้ไหมว่าตนเองเฝ้าฝันถึงใครอยู่ร่ำไป
มันเป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายนั้นจะลืมว่าเขาหน้าตาเป็นเช่นไร ลืมไปเสียให้หมดที่เกี่ยวกับฟารันถ้ามันทรมาณใจเขาก็ยินดีที่จะให้ลืม ลืมเสียให้หมดจนจำไม่ได้ไปเลยก็ดีว่ามีเขาอยู่บนโลก แต่ตัวเขานั้นไม่อยากลืมมันมีเหตุผลมากมายที่เขาไม่อยากลืมเด็กหนุ่มคนนั้นยิ่งเมื่อพบแล้วว่าเป็นเทพจริง ก็ยิ่งลืมไม่ได้ ไม่อาจลืมได้จากทั้งหมดของชีวิตที่เขาเติบโตมากับการสวดขอพรจากเทพองค์ที่เขาชอบที่สุด เช่นนี้ก็ไม่อาจลืมได้อีกทั้งความรู้สึกที่ซ้อนทับกันระหว่างมนุษย์ที่รักในตัวเองเทพและความรู้สึกรักที่ชายหนุ่มพึงมีแลเต็บไปด้วยแรงปรารถนาอาลัยอาวรณ์และโหยหา
ใช่เขารู้สึกตลอดมาตั้งแต่ก่อนโรเรเนสจะลงมาเป็นมนุษย์ ทุกครั้งที่เฝ้ามองเทวรูปองค์ปฐมของเทพแห่งพืชพันธุ์เขาก็รู้สึกปรารถนามาแต่เก่าก่อนแล้ว มันไม่ใช่สิ่งดีหรอกที่มนุษย์จะบังอาจหลงรักเทพหรือมีแรงปรารถนาต่อองค์เทพแต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรกับความรู้สึกตัวเองได้ จนเมื่อโรเรเนสลงมาเป็นมนุษย์มันก็เหมือนความฝันบ้าคลั่งที่ลงมาเป็นความจริง ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ทุกครั้งที่ได้พิสมองวงหน้าไร้ที่ตินั่น มันเหมือนเขาอยู่ในช่วงกึ่งจริงกึ่งฝันเหมือนเสียสติไปและเหมือนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทั้งสับสนและทรมาณแลฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อนอยู่ภายใน เขาหลงไปลุ่มหลงอย่างไม่อาจทอดถอนใจและสติทั้งปวง
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ตัวและไม่อาจยอมรับ ทั้งตอนก่อนและหลังเด็กหนุ่มได้ลงมายังโลก แต่ยามนี้นั้นชัดเจนว่าเขารู้สึกอย่างไรกับตาหวานเศร้านั่น แต่นั่นก็ไม่ทันแล้วไม่อาจทำอะไรได้แล้วมารู้ตัวแลระลึกถึงการกระทำของตนได้ในยามนี้ก็สายเกินไป
เขาทำทุกอย่างพังไปแล้ว มันไม่อาจหวนคืนมาได้ตั้งแต่ตอนที่เขาจับอีกฝ่ายโยนขึ้นเตียง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นตัวเอง เขารู้ว่าโดนบังคับเช่นนั้นเป็นอย่างไร อดีตของเขาไม่หอมหวานแต่กระนั้นเขาก็ยังทำแบบนั้นกับคนอื่นทั้งที่เขาควรเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่จะอยากทำเรื่องแบบนั้น ทั้งที่เขารู้ดีทั้งที่ตัวเองก็... แต่ก็เหมือนลืมไปแล้วทั้งที่ไม่ควรลืมและควรระลึกไว้เสมอว่าอย่าทำแบบนั้นกับใคร แต่ก็พลาดไปเสียแล้วสมควรและสมน้ำหน้า
อยากเจอ อยากเห็นหน้าอีก นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนทุกครั้งที่เขาเศร้าใจหรือปวดร้าวอันใดเขาจะเข้าไปยังวิหารเพื่อเฝ้ามองเทวรูปองค์ปฐมของโรเรเนสเสียให้ชื่นใจแล้วทุกปัญหาก็พลันมลายไปในช่วงสั้นๆ แต่ยามนี้เทพเจ้ารูปงามองค์นั้นมาอยู่ใกล้เพียงไม่กี่เมตร มาพร้อมเนื้อหนังและลมหายใจแต่ไม่อาจพบกันได้เลยไม่อาจพิศดูวงหน้านั้นได้อีก เขาจะหลีกหนีความทรมาณใจนี้ไปในที่แห่งไหนได้อีกเล่าในเมื่อสิ่งเดียวที่ทำให้เขาคลายโศกได้นั้นเป้นสิ่งเดียวกันที่ทำให้เขาเจ็บ
เหม่อมอง ฟ้ายังเปื้อนด้วยผืนดาวระยิบระยับร่าเริงอย่างไม่สนใจว่าจะเกิดเหตุใดใดบนโลกนี้เลย ดาวไม่เคยรู้และคงไม่อาจรับรู้ องค์ราห์โอหันหลังให้กับท้องฟ้าแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่างมันเล็กน้อยแต่ก็ยากจะตัดสินใจตาคมเข้มแฝงแววเศร้าหมองทรมาณมองต่ำลงพื้นก่อนจะออกย่างเดินจากห้องตนเองไป
มันเป็นเวลาดึกแล้วในตอนนี้และหนุ่มหน้าสวยคนนั้นก็คงหลับฝันไปนานแล้ว ซึ่งก็จริงในตอนที่เขาค่อยๆย่างเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสียงลมหายใจยังดังแผ่วสลับกับเสียงลมโชยหวิวแสงจันทร์ผ่องยังคงฉาบทับร่างขาวเนียนนั้นอย่างเคย
เขาเดินย่างเข้าไปใกล้แล้วยืนนิ่งมองผู้ที่หลับไหลอย่างสงบ เพียงแค่มองเท่านั้นพิศมองให้ละเอียดในทุกส่วน เหมือนไม่ได้เห็นมานานแล้ว ใบหน้ายามหลับนั้นแลดูผ่อนคลายและสงบนิ่ง นี่คงเป็นช่วงเวลาเดียวที่เขาจะได้เห็นโรเรเนสในระยะใกล้เช่นนี้โดยไม่ทำให้เขาร้องไห้ไปเสียก่อน อกกระเพื่อมน้อยๆตามจังหวะลมหายใจที่คอนั่นยังมีแผลเป็นจากรอยดาบอยู่ ริมฝีปากนั้นยังคงระเรื่อเหมือนกลีบไม้ดอก แพขนตานั้นปิดสนิทเรือนผมสีม่วงอ่อนกระจายตัวน้อยๆบนหมอนนุ่ม งามสว่างสะท้อนแสงจันทร์และเห็นแล้วก็เย็นใจเป็นที่สุด
อยากจะบันทึกภาพนี้ไว้หากเป็นได้อยากให้เวลาทั้งหมดหยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้แล้วจำไว้ให้ได้มากที่สุดทุกรายละเอียดที่คงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นเช่นนี้อีก เหมือนดั่งกุหลาบจันทราที่งามเหลือคณาแต่กลับให้เห็นกันได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เหมือนหีบสมบัติล้ำค่าที่แม้จะกอดไว้แนบตัวก็ไม่อาจรู้ได้ว่าข้างในบรรจุอะไรด้วยกุญแจที่จะไขหีบนั้นได้หล่นหายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงเท่านี้ เพียงแค่มอง แอบมองอย่างไร้ตัวตน อย่าตื่นเลยอย่าตื่นขอเวลาอีกซักหน่อยเถิด ขอเวลา....
ร่างขาวผ่องนั่นขยับตัวเล็กน้อย เขาบิดขี้เกียจนิดหน่อยแล้วเปลี่ยนท่านอนก่อนจะค่อยๆกระพริบตาช้าๆแล้วก็ลืมตาขึ้น
เขาลุกนั่งและมองไปรอบๆ
......ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
หายไปนานแต่ไม่หายไปเลยน้าคะ ตอนนี้ชีวิตดราม่ามากๆต้องขออภัยที่ลงฟิคช้าแล้วอาจมีแบบนี้อีกในช่วงนี้ต้องขอโทษจริงๆค่ะ แต่ยังพยายามหาเวลาเขียนอยู่นะคะ ขอบคุณทุกคนที่ยังมาอ่านกันนะคะ ขอบคุณมากๆเลย