นิยายรักของขวัญ 7 ปี <หนุ่ม IT กับ DJ สุดหล่อ>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: นิยายรักของขวัญ 7 ปี <หนุ่ม IT กับ DJ สุดหล่อ>  (อ่าน 598663 ครั้ง)

TonG_x_Zhi

  • บุคคลทั่วไป
อ่านมาได้สักพักนึงเพิ่งจะแสดงตัว :a2:  หุหุ :o8:

ขอให้พี่เอ  เดินทางปลอดภัยโดยสวัสดิภาพนะครับ

เป็นกำลังใจให้ทั้งพี่เอและพี่นิคนะครับ :bye2:

โชคดีน๊าคับ

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ขออวยพรให้เอเดินทางโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัยทุกประการนะจ๊ะ

และขออวยพรให้ความรักของเอและนิคราบรื่นสมหวังทุกประการเหมือนกันจ้ะ
 :L1: :L1: :L1:

nefkung

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับ เป็นคนหนึ่งที่ตามอ่านมาได้สักระยะแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะโพสอะไรดี จนมาตอนนี้เห็นว่าจะจบแล้วเลยมาแบบสรุปทีเดียวเลยดีกว่า

       ผมขอให้คำนิยามเรื่องนี้ว่า สนุกสนาน น่าติดตาม หยุดไม่ได้ และกินใจ หลายเรื่องที่ผมเคยอ่านมาในเว็บเล้าเป็ดนี้บอกได้เลยว่าเรื่องที่ตราตรึง ทำให้อ่านได้ไม่หยุด มีไม่กี่เรื่องและ นี้เป็นหนึ่งในเรื่องเล่านั้น

 
      ขอชมจริงๆ   แต่เราได้อะไรจากความสนุกสนาน น่าติดตาม หยุดไม่ได้ และกินใจนี้

       ถ้าเรื่องที่ปรากฏอยุ่ในบอร์ดนี้เป็นเรื่องจริงหมด ผมว่ามีจุดสังเกตุเรื่องหนึ่งนะครับ คือ คุณพี่เอและคุณพี่นิค ระหว่างคุณสองคนอุปสรรคเยอะมากก มีเหตุให้ความรักเจ็ดปีลุ่มๆดอนๆ ได้แทบตลอด ผมเชื่อว่าคงไม่ได้มีแค่สามสี่ครั้งแน่เลย
     
       เคยสงสัยไหมเกิดจากอะไร

       ผมก็ตอบไม่ได้หรอก ก็แค่คนนอก แต่จากเรื่องผมเห็นว่า สาเหตุไม่ได้เป็นเหมือนในหนังน้ำเน่า ที่มีตัวร้ายมาระราน สร้างหลักฐานเท็จ สารพัด  แต่เท่าที่ดูมันเกิดจาก สองคนมากกว่า แต่ผมก็ไม่วิพากษ์วิจารณ์หรอกครับ ผมก็แค่คนๆหนึ่ง ไม่ได้ดีกว่าที่จะมานั่งวิจารณ์ชีวิตใคร

        คุณพี่สองคนเป็นคนที่โชคดีมากนะครับ ที่มีความรักที่น่าอัศจรรย์และยั่งยืนขนาดนี้ ทั้งที่มีปัญหามากเหลือเกิน แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆๆครับ  ทำไมไม่ลองคิดที่จะต่อสู้ เพื่อรักษาสิ่งที่พวกพี่รักไว้ล่ะครับ ตรงจุดหนึ่งที่ผมไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่คือเรื่องที่ คุณพี่ทั้งสอง กังวลเรื่องครอบครัวมากเหลือเกิน ผมว่าอย่าตีตนไปก่อนไข้จะดีกว่าไหมครับ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนเขารับไม่ได้แล้วผลักไสไล่ส่งหรอกครับ

        มีไหมครับแม่คนไหนที่ พอรู้ว่าลูกเป็นเกย์แล้วแบบ "ไปไกลฉันเลยนะ อี.......( หยาบคายเป็นชุด )" ไม่หรอกครับ คนเป็นพ่อเป็นแม่เข้ายิ่งใหญ๋กว่านั้นเยอะ  แล้วคุณพี่เอ ครอบครัวพี่ ออกจะรักพี่มากกกกกกก ขนาดนั้น อย่าไปกังวลเลยครับ ค่อยๆๆซึมไปทีละนิด

        แล้วเรื่องที่ว่าคุณพี่เอจะไปต่างประเทศ แล้วกังวลอนาคตไม่เข้าเรื่อง ผมว่าทางออกของคุณพี่สองคนมันอยู่ตรงหน้าแล้วครับ  เชื่อผมเถอะ ทุกครั้งที่คุณพี่สองคนทะเลาะกัน มีปัญหากัน  ลองเอานิยายเรื่องนี้มาอ่านสิครับ  อ่านตั้งแต่เริ่มเรื่อง จนจบ  เชื่อผมเถอะ คุณพี่ทั้งสองจะรู้ว่าเรื่องที่คุณพี่ทั้งสอง ทะเลาะกันมันเล็กมากกก  และแทบจะแตะต้องความรักของคุณพี่ทั้งสองไม่ได้เลย

       สุดท้ายนี่ผมอินกับพวกพี่มากกกกกกกกก  อยากบอกและสั่งแกมบังคับว่า 

       อย่าทำให้ฟ้าผิดหวังเลยครับ ( อย่างน้อยผมก็คนหนึ่ง )

       
 

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
พี่เอ เข้ามาโพส นิ ยาย ครั้ง แรก

 on: 29 April, 2008, 12:30:22 AM »


ขณะนี้เวลา  on: 20 July, 2008, 12:30:00 AM »


เป็น เวลา  82 วัน  ที่ทำ ให้ เข้า เล้า วันนึง เป็น 

สิบ ๆๆ ครั้ง  เพื่อเข้า มารอ ว่าเมื่อ ไหร่ พี่เอ จะมาลง

นั่ง รอ กันท้าง วัน เพราะ พี่เอ อัพ นิยาย ดึกมากๆๆๆๆๆๆๆๆ

แต่ ก็ นั่ง รอมานด้ายทุกวัน  เพราะ อยากอ่าน   :laugh:

แล้ว ตอน หลัง ก็ มารุว่านิยาย เรื่องนี้ มีความหมาย กับพี่เอ

มาก เพราะ พี่เอ แต่ง ให้ พี่นิค  ครบรอบที่ครบ กัน มา 7 ปี

นอก จาก นี้ ยัง มีเรื่องราว ต่าง ๆๆ เกิดขึ้นมากมาย

ทั้ง ตามคนหาย

ขู่ คนให้กลับมา

บอกรักกัน

งอล + ง้อ กันซะงั้น

ทำเอา คนในเล้าจายหายกันไปหมด


เรยอยากบอกพี่ว่าขอบคุณนะค่ะ

ขอบคุณจริงๆๆ  สำหรับเรื่องราว ดี เรื่องนี้

ไม่ขอ พูดคำว่าลาก่อน

เพราะ เชื่อว่า พี่คงเข้ามาอีก

เรยขอ ลง ท้าย ว่า 

แล้ว พบกันนะค่ะ


ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ

เกือบไม่ทันพี่เอซะแล้ว

ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ

อ่านเรื่องของพี่แล้วสนุกมาก มันกินใจสุดๆ o7

ได้ร่วมลุ้นไปกับความรักของพี่กับพี่นิค ทั้งงอน ทั้งง้อ

ชนิดที่เรียกว่าลุ้นกันตัวโก่งเลยทีเดียว 55+

ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรเข้ามาขอให้พี่กับพี่นิคฝ่าฟันมันไปให้ได้นะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ  :m1:



ISACBTMN

  • บุคคลทั่วไป
เดินทางโดยสวิสดิภาพนะ เป็นกำลังใจให้

 :L2:

pupper

  • บุคคลทั่วไป
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องขึ้นเครื่องแล้วสิครับ บินไปบินไป  ใจหายจังนะ ตอนนี้ทำอะไรกันอยู่ครับ คงใช้เวลากับครอบครัวกันอยู่ไช่ไหม ใช้ให้คุ้มค่าที่สุด เป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปอย่างอดทน ลุกขึ้นสู้และเผชิญหน้ากับมัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ชนะหรือไม่ชนะเราก็จะสู้ให้ถึงที่สุด คุณเอเข้มแข็งจริงๆที่สู้มาได้ตลอด สู้ต่อไปนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม คนในนี้ทุกๆคนเขาเป็นกำลังใจให้แล้วรอคุณเออยู่ รอคอยการกลับมา เราไม่ต้องเอ่ยลา เราแค่จากกันไปช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น สักวันเราก็ต้องพบกันอยู่ดี ไม่ว่าจะในที่นี้หรือที่ไหนก็ตาม พยายามส่งข่าวคราวมาบ้างนะครับ แจ้งอะไรกลับมาบ้าง ทุกคนรอข่าวจากคุณทั้งสองเสมอ ถึงแม้วันนี้กายจะไม่ได้ไปส่ง แต่ขอส่งใจไปส่ง ขอให้เดินทางปลอดภัย พระคุ้มครองและปกปักรักษา มันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรบ้างมันพูดไม่ออกจริงๆนะครับ

meawmeaw

  • บุคคลทั่วไป
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ขอให้คุณเอเดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ

เป็นกำลังใจให้กับคุณนิคและคุุณเอนะคะ

ถึงจะมีอุปสรรคอะไร ก็ขอให้จับมือฝ่าฟันไปด้วยกันนะคะ

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

Normalblue

  • บุคคลทั่วไป
หยุดหลายวัน  พึ่งได้เข้ามา  อ่านแล้วก็ซึ้ง  และก็เหมือนเหินห่างกันไปอีกรอบ  ขอฝากสิ่งนี้ไว้ที่บอร์ดนี้ครับ

1. ไว้อาลัยแด่การจากไปของพี่โอ๊ต  น้องของพี่เอ (จากบอร์ดไป)
2. ขอลาพี่เอ ณ ตรงนี้  อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...  ขอให้สุขสวัสดิ์ครับ
3. ขอลาพี่เกียร์ที่เคารพ  ที่จะไม่ได้เจอกันในบอร์ดนี้อีกแล้ว  หากเจอกันที่ ม. อย่าลืมทักน้องนะครับ  อ้อ...  น้องแพ้แอลกอฮอล์ครับ
    เรื่องที่ว่าจะเลี้ยงเหล้า...  ขอเป็นโึค๊กแทนละกัน... 555
4. ไว้อาลัยแด่การจากไปของพี่บีม  พี่เกียร์(จากบอร์ดไป)  วันหน้าฟ้าใหม่เจอกันครับ

ขอบคุณมากสำหรับเรื่องราวดีๆๆ  ยังไงก็จะอ่านให้จนจบ  แล้วจากไปอย่างเงียบสงัด

ขอบคุณผู้ที่เจาะไข่ให้ผมครับ(Ranks) ทำให้ผมฟักเป็นตัว  ขอบคุณทุกความคิดเห็นในบอร์ด

ที่เปิดมุมมองให้
5. ขอไว้อาลัยให้ตัวเอง แก่การจากไปจากบอร์ดนี้...


ขอบคุณ.....

Error_boyz

  • บุคคลทั่วไป
ไม่มาลงตอนจบ เพราะพี่ไม่อยากให้เรื่องพี่กะพี่นิคจบใช่ปะคับ =_=


ไงๆขอให้พี่เดินทางปลอดภัยๆ โชคดีคับ ^^





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






goozaza

  • บุคคลทั่วไป
ท่านโอ๊ตคร้าบบ รีบๆเชื่อพี่เอเหอะๆคร้าบ ฟิวส์อยากอ่านตอนต่อแระคร้าบ

(เข้ามาแต่ไม่ตอบ เอไม่รู้หรอก กลัวไร 55+)

พี่เอคร้าบ ขอบคุณทุกเรื่องที่เกิดขึ้นนะคร้าบ พี่เป้นพี่ชายที่ดีมากเร้ยน้า อย่าคิดมากน้า

ขอให้พี่โชคดีที่ออสนะคร้าบ

อาเฮียคร้าบ รักพี่เอให้ตลอดไปน้า อย่าทำพี่เอร้องไห้น้า

ผมรักอาเฮียกับพี่เอมากน้า

ปล.เจอกันที่สนามบินครับพี่

bellary

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้คงอยู่ที่สนามบินแล้วใช่ม่ะ   ว่าแล้วว่าวันนี้พี่ไม่มา แต่หวังว่าคงเป็นพรุ่งนี้นะ :m13:

เมื่อพี่ถึงออสแล้ว  หรือ  ถ้าพี่นิคโพสก็รอสอบเสร็จ  แต่ไงก็จะรอนะ   
ความจริงอ่ะไม่ต้องไปกลัวมันหรอก   ทุกคนรับได้แหล่ะ   o13

เพราะความจริงมันก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ  อย่าให้เราอยู่ในความฝันเลย 
:o8:  รอของขวัญของเด็กดีอยู่นะ  แถมเด็กดียังมีของขวัญให้ไปก่อนแล้ว
อย่างงี้ของขวัญก็ต้องชิ้นใหญ่นะ  เช่น ได้คุยกับคนหล่อที่อยู่ออสอ่ะ   :m13:

 :m1: :m1: :m1:โชคดีน้า

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
สงสัยพี่เอคงวุ่นวายเรื่องการเดินทางทั้งวันแน่เลย

ตอนนี้ก็คงอยู่ที่สนามบินเตรียมขึ้นเครื่องแล้วละมั้ง

ยังงัยก็ขอให้พี่เอเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ

เป็นกำลังใจให้พี่ทั้งสองเหมือนเดิม

 :L2:   :L2:   :L2:   :L2:

kana

  • บุคคลทั่วไป
ป่านนี้เครื่องคง take off เพื่อเตรียมที่จะlanding ที่บริสเบรนในอีก 6 ชั่วโมงหลังจากนี้
ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะค่ะ ดูแลตัวเองด้วยอย่าให้ไม่สบายบ่อยนัก

อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ปล่อยมันไป ให้มันหมุนไปตามเวลาที่ก้าวเดิน ถ้าไปฝืนมันมากๆเข้า ไม่ใช่ว่าเราคนเดียวที่จะเหนื่อยแต่คนที่รักเราเขาเหนื่อยกับเราด้วยทุกคน

ไม่อยากจะพูดคำว่าลาก่อน เพราะมันฟังแล้วใจหาย
แต่อยากจะบอกว่า "แล้วเจอกันนะค่ะ" เป็นประโยคส่งท้าย ถ้ามีโอกาศคงจะได้พบกันอีก

รักและห่วงใยมากมาย  :L2:

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
พี่ไม่ชอบใจที่เราพูดเมื่อคืนเลย มันเหมือนกับว่าเราจะไม่กลับมายังงั้นแหล่ะ
ขอให้เอเข้มแข็งก็แล้วกัน ชีวิตมันก็มีเรื่องเข้ามาเรื่อยๆน่ะแหล่ะ ก็ต้องใช้สติในการแก้ไขปัญหามันไป

เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะน้องเอ 
รักและเป็นห่วง :L2: :L2:

ปล. ขอให้ defense thesis ผ่านฉลุยนะจ๊ะนิคกี้  :a2:

panang

  • บุคคลทั่วไป
 :o12: โธ่ น้องโอ๊ต ดอกไม้งามของสาววาย(เพราะเป็นหนุ่มแท้คนเดียวในนี้ 555) :bye2:

มาถึงจุดนี้แล้ว ขอให้ ทุกคนโชคดีค่ะ  :bye2:

 :เฮ้อ: มีคนอำลาบอร์ดถึง5 คนทีเดียว

InTheSky

  • บุคคลทั่วไป
ขอให้เดินทางปลอดภัยแล้วก็ welcome to Brisbane นะครับ

ja ne

  • บุคคลทั่วไป
 :L2:เดินทางไปแล้วสินะ
ดีใจที่เอไม่ได้มาต่อเรื่อง  มันต้องไม่จบ เย้ๆๆๆๆ

ว่างๆ อย่าลืมเข้ามาทักทายกันนะ :กอด1:

A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับ ผมนิคเองครับ

เอเขาฝากให้ผมมาpostตอนจบให้ครับ เขาไม่กล้าที่จะpostเอง
เมื่อวานนี้เอเขานั่งแก้นิยายที่สนามบินด้วยครับ คงตัดสินใจว่าจะลงหรือไม่ลงดี ผมเลยบอกว่าถ้าตัดสินใจยากเดี๋ยวผมลงให้เอง เอเขาเลยพอยิ้มออกมาบ้างครับ เอเขาให้passกับผมมาพร้อมไฟล์เนื้อเรื่อง
ยังกำชับผมอีกว่าต้องลงในชื่อของเขา แล้วให้ผมหัดpostแบบใส่ Icon บ้าง ไม่ใช่มีแต่ตัวหนังสืออย่างเดียว
ผมอึ้งเลยครับ เอเขาเก็บทุกรายละเอียดของผมเลยจริงๆ ป่านนี้เอคงถึงแล้ว ตอนแรกผมตั้งใจว่าผมสอบกลับมาค่อยมาpostแต่ผมกังวลใจเลยpostก่อนไปสอบ ต่อไปนี้เป็นของเอเขาแล้วนะครับ

ปล.เบอร์ที่แปลกๆโทรมาหาผมหลายสายคิดว่าเป็นของฟิวส์ เห็นเอบอกว่าฟิวส์จะมาส่งคงจะโทรเข้าเครื่องพี่พี่ขอโทษทีเอามือถือไว้ในรถนะ เพิ่งมาเห็นตอนตี3พอดีหยุดพักรถเพิ่งดู เลยไม่ได้โทรกลับไป

..........................................................................................

สวัสดีครับชาวเล้าทุกๆคน

ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้มาลงนิยายเอง ต้องรบกวนคนอื่น(คนอื่นหรือเปล่าหว่า  o2)มาลงให้

ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะลงหรือไม่ลงดี จนในที่สุดผมก็ทำไม่ได้  :o12:

เลยต้องฝากพี่นิคมาลงให้ ตอนจบบริบูรณ์นี่ผมแบ่งเป็น 2 version ครับ

version แรกชื่อว่า "ในความฝัน"
version สองชื่อว่า "ความเป็นจริง"

ทั้งสองversionลองอ่านดูนะครับ จะว่าเหมือนกันซะทีเดียวก็ไม่ใช่ครับ
เอาเป็นว่าผมใบ้ให้ว่า "ชีวิตจริงกับความฝันมันต่างกัน แต่ชีวิตจริงก็อยู่ได้ด้วยความฝัน"

ขอให้มีความสุขในการอ่านนิยายนะครับ ผมอยากเห็นทุกคนมีความสุขครับ โดยเฉพาะคนที่กำลังลงนิยายให้ผมอยู่ตอนนี้  :o8:

ขอบคุณทุกคนมากครับ :pig4: คำนี้ผมใช้บ่อยแต่มันก็มาจากใจจริงนะครับ เพราะผมรักทุกคนครับ :L1:

p.s.นี่คงเป็นเม้นท์สุดท้ายของจริงๆแล้วครับ ต่อไปคนที่ใช้ชื่อนี้คงเป็นพี่นิค ที่จะเป็นตัวแทนผมต่อไปครับ  :bye2:

                                                                                 เอเองครับ

...


A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
บทจบ --- ในความฝัน

“พี่นิค เอขอเอาเรื่องของไปเขียนเป็นนิยายนะ”ผมเอ่ยขึ้นเมื่อหลังสงกรานต์ปีนี้

“จะเขียนไปทำไม ใครเขาจะมาอ่าน ว่างมากนักเหรอ ว่างๆก็มาแหกกฎข้อ 3 กับพี่ดีกว่า”พี่นิคพูดทีเล่นทีจริง

“บ้า พี่อ่ะ ทะลึ่งอีกแล้ว ก็เออยากเขียนอ่ะ เอเข้าไปอ่านเจอนิยายเรื่องหนึ่งเขาแต่งมาจากชีวิตจริง เขียนมาจากไดอะรี่ พี่ลองเข้าไปอ่านดูนะ เรื่องจากเก่งถึงตี๋เล็ก เอจะเขียนแล้วเอาไปโพสไว้ที่นั่น”ผมบอก

“ไม่อ่ะ ไร้สาระ”ว่าแล้วพี่นิคก็ก้มหน้าก้มตาค้นอะไรในหนังสือต่อไป

“ตามใจ ถือว่าบอกแล้วนะ”ผมบอกแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนในคอนโดของพี่นิค

“พี่ก็ตามใจเอเหมือนกัน แต่ถ้าเขียนแล้วมีเรื่องอะไรขึ้นมาอย่ามาว่าพี่ไม่เตือนนะ”พี่นิคเสียงจริงจัง

“ทำไมต้องมีเรื่องด้วย ก็แค่นิยายเอง”ผมบอกอย่างไม่พอใจนิดๆ

“เอก็รู้นิ่ ว่าตอนนี้พี่กับเอบอกเรื่องนี้กับใครได้ที่ไหน ถ้าแต่งขึ้นมาจริงๆก็ต้องมีคนรู้เยอะ แล้วเอจะทำยังไง”พี่นิคพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างซีเรียส

“ก็ไม่รู้อ่ะ จะเขียน จะบอกด้วยว่าเป็นเรื่องจริง จะเอารูปโชว์ประจานเลย”ผมพูดแบบไม่พอใจออกไป เพราะตอนนั้นไม่อยากบอกว่าที่จริงผมตั้งใจเขียนให้เป็นของขวัญที่เราคบกันมาได้ 7 ปี กะว่าจะแต่งให้เสร็จก่อนค่อยบอก

“ทำตัวเป็นเด็กอีกแล้ว แล้วแต่แล้วกัน แต่พี่ว่าไร้สาระ”พี่นิคเสียงเบาลงแล้วกลับไปอ่านหนังสือต่อ

ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มโทรไปหาเพื่อนแต่ละคนที่จะเป็นตัวละครในนิยาย แล้วขออนุญาตเอารูปไปลง ซึ่งบางคนก็ให้บ้างไม่ให้บ้าง ผมบอกว่าเป็นนิยายแต่งเล่นๆ ไม่มีอะไรจริงจัง (ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องระหว่างผมกับพี่นิค เพียงแต่บอกว่าเขียนนิยายแล้วบุคลิกของตัวละครเหมือนเขา ทำไมจะไม่เหมือนล่ะ ก็ตัวเขาเองนิ่ 555) คนที่ไม่ได้รูปผมก็หาเอาในเน็ท แล้วนิยายของผมก็เริ่มขึ้น

...

ตอนแรกที่เข้ามาโพสก็หวั่นๆว่าจะมีคนอ่านไหม เราก็ไม่ใช่นักเขียนอะไร แต่เรื่องนี้เราตั้งใจกับมันมาก ลองดูว่ะเป็นไงเป็นกัน แล้วผลตอบรับกลับมาทำให้ผมมีกำลังใจมากมายในการเขียน ยิ่งกว่านั้นคือ ผมได้ถลำลึกผูกความสัมพันธ์อย่างอบอุ่นกับคนในเล้าไปอย่างไม่รู้ตัว ตอนนั้นพี่นิคก็ยังเอาแต่ว่าผมบ้าแต่งนิยายไร้สาระอยู่ แต่ผมรู้ว่าพี่แกก็เข้ามาแอบอ่านแน่ๆ อิอิ คนฟอร์มจัดอย่างพี่นิคไม่ยอมรับอะไรตรงๆหรอกครับ

และแล้วความสัมพันธ์ของผมกับคนในเล้าก็เพิ่มมากขึ้นโดยมีน้องวิลได้แอด msn มาคุยกับผม ทำให้รู้สึกว่ามีความมั่นใจในการเขียนมากขึ้น จากนั้นมาผมกับน้องวิลก็คุยกันมาตลอด ผมเลยฝากวิลให้เอาไปลงในเด็กดีให้ด้วย ผมกับน้องวิลสนิทกันไวมาก อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้พี่นิคไม่ค่อยมีเวลาให้ผมเพราะต้องเร่งทำวิทยานิพนธ์จบ น้องวิลเลยกลายมาเป็นเพื่อนคุยกับผมแทน แต่ผมกับวิลเราเป็นแบบพี่ชายน้องชายไม่มีเกินเลยไปกว่านี้

จนวันหนึ่งมันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อคนที่เข้ามาอ่านในเด็กดี มาอ้างกับวิลว่ารู้จักกับผมแล้วพยายามที่จะขอเบอร์ผมจากวิลให้ได้ พอไม่ได้ก็หาว่าวิลเป็นเด็กเลี้ยงแกะต่างๆนานา หาว่าปลอมตัวเป็นผมบ้างล่ะ และอะไรอีกสารพัด
ยิ่งวิลเอานิยายที่ผมโพสในเล้าให้ดู (ตอนนั้ยังมีรูปอยู่) เขายิ่งว่าวิลหนักกว่าเดิม เพราะเขารู้แล้วว่าเป็นผมจริงๆที่แต่งขึ้นมา

“พี่เอ มีคนอ่านนิยายแล้วบอกว่ารู้จักพี่เอ จะขอเบอร์โทรพี่อ่ะ ให้ป่าว”วิลถามมาทางโทรศัพท์

“ใครอ่ะ”ผมถามคืน

“เขาบอกว่าชื่อบีม รู้จักกับพี่ตั้งแต่ในเรียนมหาลัย เป็นรุ่นน้องพี่นิค เขามาว่าวิลใหญ่เลยว่าวิลเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ฯลฯ”วิลรายงานพร้อมแกมฟ้องนิดๆ

“อือๆ อย่าเพิ่งให้นะ ให้เมล์ปลอมของพี่ไปก่อน ให้พี่คุยก่อน พี่ไม่คุ้นเลยอ่ะ บีมไหน”ผมบอก

“งั้นพี่คุยกันเอาเองแล้วกัน”วิลโบ้ยให้ผมทันที

“อืมๆ แค่นี้นะกำลังขับรถไปหนองคาย เดี๋ยวโทรหาใหม่”ผมบอกแล้ววางสายทันที

ช่วงนี้หลังจากแต่งนิยายมาได้ซักพักก็รู้ว่าจะมีแต่เรื่องวุ่นๆเข้ามาครับ ก็ได้น้องวิลนี่แหละคอยเป็นที่ระบาย รองรับอารมณ์ผม อิอิ ก็ช่วงนั้นพี่นิคยุ่งมาก ผมเลยไม่อยากให้พี่แกรับรู้อ่ะ อีกอย่างพี่นิคก็ชอบจริงจังมากไป กลัวพี่แกจะวิตกจริตมากไปกว่านี้แล้วเรื่องมันก็เกิดจากนิยายเหมือนที่พี่แกเคยบอกไว้แล้วด้วย ด้วยทิฐิของผมมีเหรอจะยอมบอกให้พี่นิคมาซ้ำเติม

นอกจากปัญหาของบีมแล้ว ยังมีหมอวุฒิที่อยู่ดีๆมาจากไหนก็ไม่รู้มาตามตื้อผมอีก แล้วไหนผมเองจะแอบเทใจนิดๆให้กับน้องปริ๊นซ์ที่ไปเจอโดยบังเอิญ แล้วยังมีงานเข้ามาอีกมากมายก่ายกอง คนที่รู้เรื่องราวของผมช่วงนี้ดีก็คือน้องวิล นอกจากจะรู้แล้วยังคอยช่วยแก้ให้ด้วย

เอาเรื่องหมอวุฒิก่อนแล้วกัน คือแบบว่าผมก็ไปหาหมอตามเรื่องตามราวของผมเป็นปกติ แต่คราวนี้พอหากลับมามีเบอร์แปลกๆโทรมาด้วยแล้วยังมีคนมาขอแอดเอ็มอีก ก็ไม่ใช่ใครเป็นหมอวุฒิ ที่จริงหมอวุฒิก็น่ารักนะครับ หน้าตาหนุ่มไทยแท้คล้ายๆ รุจ the star ผมถามไปถามมาได้ความว่าเอาเบอร์ผมกับเมล์มาจากระเบียนประวัติคนไข้ (ให้มันได้อย่างนี้ซิคุณหมอ) ตอนแรกๆก็โทรมาถามว่าปวดหัวเป็นไง ดีขึ้นไหม ผมนึกว่าเป็นการติดตามคนไข้ แต่พอผ่านไปวันสองวัน มันไม่ใช่แล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าจีบเลยแหละ ผมเลยรักษาระยะห่างไว้แค่คนไข้กับหมอ คิดว่าทุกอย่างคงจบลงง่ายๆ แต่มันก็ไม่จบหมอวุฒิก็ตื้อสุดยอดเลย เรื่องนี้ก็ไม่บอกพี่นิคเลยเพราะกลัวพี่แกกลุ้มใจ เดี่ยวหึงขึ้นมาหมอวุฒิได้นอนรักษาตัวเองแน่

ต่อมาเรื่องน้องปริ๊นซ์ คือตอนนั้นเป็นช่วงไหว้ครู ผมก็กลับไปโรงเรียนเก่าครับ ไปในฐานะผู้มอบทุนการศึกษา ตอนที่ผมเรียนอยู่มัธยมกับมหาลัยอาอี๊จะเป็นคนไปครับ แต่สองปีหลังที่ผมจบมหาลัย อาอี๊ให้ผมเป็นคนไปแทนครับ   ผมเลยไปติดต่อเรื่องให้ทุนเด็ก พอดีเดินผ่านหน้าห้องคณะกรรมการนักเรียน สายตาผมก็เหลือบไปเห็นน้องคนหนึ่งกำลังเดินผ่านมา น่ารักมากๆ ทำเอาผมหยุดเดินเลยครับ ได้ยินแต่เพื่อนเขาเรียกชื่อว่า ปริ๊นซ์ แค่นั้นผมก็ใจจะละลายแล้วครับ ตอนนั้นอยากกลับไปเป็นเด็กอีกเลย ผมไม่เคยเป็นอาการอย่างนี้มาก่อนเลย ผมอยากเดินเข้าไปขอเบอร์น้องเขา ให้ทุนน้องเขาเป็นกรณีพิเศษ อิอิ แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะผมคิดว่านั่นคือการกระทำที่เลวมาก ผมมีพี่นิคสุดหล่อ (แหวะ) อยู่แล้วทั้งคน แล้วทำไมผมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ ผมไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรง่ายๆเลย กับแค่เด็กคนเดียว ผมคิดว่ามันแค่ชั่ววูบแล้วเดี๋ยวมันก็คงหายไป แต่ผมก็ยังคิดถึงน้องเขาบ่อยๆ จนไม่เขาใจตัวเองว่าเป็นอะไร แล้วเรื่องนี้ผมก็ไม่บอกพี่นิคอีก

พอมาถึงเรื่องนายบีม หลังจากที่ผมทนไม่ได้ที่เขามาว่าวิลไว้มากมาย หลังจากที่ได้คุยกันทาง msn ผมเลยตัดสินใจให้เบอร์โทรไปเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของวิล ผลที่ได้ตอบรับกลับมาคือ ดวงความรักของจะมาพุ่งแรงอะไรในตอนนี้อีก บีมคือคนที่แอบชอบผมมานานแล้ว เขาบอกว่าเห็นผมตั้งแต่วันแรกที่เข้ามหาลัย แอบมองผมอยู่อย่างนั้น รู้หมดทุกอย่างว่าผมจะทำอะไร เวลาไหน อะไร ยังไง บีมได้แต่แอบดูผม อยู่ห่างๆมาตลอดเวลาเรียน 4 ปีโดยที่ผมไม่เคยรู้เลย ไม่แปลกที่ผมบอกกับวิลไปตอนแรกว่าผมไม่มีเพื่อนหรือรู้จักคนที่ชื่อบีม จนกระทั่งต่างคนต่างจบออกไป ไปทำงานทำการ บีมก็ได้เข้ามาอ่านเรื่องของผมในเด็กดีที่วิลเอาไปโพส ทำให้เป็นเรื่องขึ้นมานั่นแหละครับ เรื่องนี้ผมก็ไม่กล้าบอกพี่นิคอีก

แล้วไหนจะปัญหาเรื่องงานที่ถาโถมเข้ามา ในตอนนั้น งานที่ผมทำก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่นั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านก็พอ (ไม่ใช่แล้ว) งานที่ผมทำแค่คอยควบคุมและตรวจสอบให้พนักงานทำงานเป็นไปตามเป้าหมายนโยบายของบริษัทก็เท่านั้นแหละครับ นานๆทีผมถึงจะเข้าออฟฟิต ไปให้เขาได้เห็นหน้าว่าเจ้านายยังมีชีวิตอยู่นะโว้ย ส่วนใหญ่แล้วผมก็จะเช็คงานผ่านเมล์ ประชุมทางโทรศัพท์เอาอ่ะครับ ก็งานทุกอย่างมีคนทำไว้ดีอยู่แล้ว ผมเลยไม่ต้องทำอะไรมาก เลยมีเวลาว่างๆมานั่งแต่งนิยายให้พวกคุณๆได้อ่านไงครับ

อาจจะเป็นเพราะความหละหลวมของผมในจุดนี้ก็ได้ ทำให้มีปัญหาเรื่องงานตามมา คือในตอนนั้นมีพวกผู้บริหารระดับอาวุโสเขาทำอะไรในเชิงไม่ชอบมาพากลหลายอย่างครับ ประมาณว่าเห็นผมอายุยังน้อยแล้วมาเป็นหัวหน้าพวกเขาได้ยังไง อีกอย่างสไตล์การทำงานของผมก็ทำตัวง่ายๆสบายๆเป็นกันเอง เขาคงได้ใจครับ ผมเลยต้องออกโรงเชือดไก่ให้ลิงดูครับ ตอนนี้เป็นช่วงประจวบเหมาะกับที่ผมจะต้องไปติดต่องานที่ต่างประเทศด้วย ผมเลยขอโชว์พาวหน่อยเถอะ ให้รู้ซะมั้งว่าเราเด็กแต่ตัวนะโว้ยเรื่องงานน่ะไม่เด็กตาม กลับมาผมก็เช็คบิลกับพวกนั้นหมดเลยครับ สะใจดี แต่ก็เล่นผมเครียดไปหลายสัปดาห์ครับ เพราะปกตินิสัยของผมไม่ชอบทำอะไรใครอยู่แล้ว

ด้วยปัญหาทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นพร้อมกันทีเดียวในช่วงนั้น (ถ้าใครติดตามอ่านเม้นท์ของผมก็จะรู้และเข้าใจได้ดี)แล้วไหนยังจะต้องเที่ยวไปมาหนองคายกับพี่นิคแทบทุกเสาร์อาทิตย์อีก (ตอนนั้นคุณย่าของพี่นิคเริ่มป่วย) ผมเลยเครียดมากเลยครับ ตอนนั้นพี่นิคก็ยุ่งมากมาย ผมก็ไม่กล้าไปเล่าไปขอคำปรึกษาอะไรหรอกครับ แล้วพี่นิคเองก็ไม่เคยถามด้วย (น้อยใจอ่ะ) มีแต่ได้คุยกับน้องวิลทางเอ็มนี่แหละครับ ที่พอให้ช่วงนั้นผมทรงตัวอยู่มาได้

แล้ววันหนึ่งปัญหาทุกอย่างมันก็มาถึงจุดแตกหัก โดยที่ผมบังเอิญเปิดคอมที่ไว้แล้วบีมเข้ามาทัก (ทักยังไงคงพอจะเดาออกมั้งครับ ว่าคนที่แอบชอบผมมา4ปีแล้วอยู่ๆได้กลับมาเจอกันอีกเขาจะทักกันว่ายังไง) แค่นั้นแหละครับเลือดหึงพี่นิคเต็มหน้าเลยครับ ผมกลับเข้ามายังทำหน้าระรื่น ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หารู้ไม่ว่าชะตากำลังจะขาด

“เอ บีมคือใคร”พี่นิคถามขึ้นด้วยเสียงที่ห้วนและดุ ผมยังงงเล็กน้อยเลยไม่ตอบออกไป

“มันเป็นใคร”พี่นิคขึ้นเสียง จ้องหน้าผมเขม็งเลย ผมเริ่มกลัวนิดๆครับ

“ก็คนรู้จักกัน เขามาอ่านนิยายอ่ะ”ผมตอบแบบใจดีสู้เสือ

“ในรู้จักในนิยายอะไรบ้าๆนั่น ทำไมต้องทักมาซะหวานซะขนาดนี้”พี่นิคขึ้นเสียงแทบจะกินหัวผม

อะไรนะนิยายบ้าๆเหรอ เรื่องของเราสองคนนะ เราตั้งใจเขียนเกือบตายมาว่านิยายบ้าๆ เดี๋ยวโดนดีแน่พี่นิค คนยิ่งกลุ้มๆอยู่ ว่าแล้วผมก็ขึ้นเสียงกลับไป

“ใช่นิยายบ้าๆ แต่บีมเขาก็ชอบอ่าน แล้วเขาก็แอบชอบเอมาตั้งนานแล้วด้วย ว่าจะเขียนถึงเขาในนิยายด้วย ยังมีอีก ตอนนี้เอแอบรักน้องปริ๊นซ์ แล้วยังมีหมอโทรมาตามตื้อเอทุกวันเลย พอใจยัง บ้าพอไหม”ผมพูดออกไปแบบโมโหเหมือนกัน แทนที่พี่นิคจะมาให้กำลังใจเรา กลับมาว่าเราซะนี่ ไอ้เรารึก็กลัวว่าพี่แกจะเครียดเรื่องจบกับคุณย่าเลยไม่พูดให้ฟัง ที่ไหนได้มาว่าเราใหญ่เลย

พี่นิคมองหน้าอย่างแครียดแค้นสุดๆ แล้วเดินหนีไปโดยไม่พูดอะไรเลย ปล่อยให้ผมยืนเคว้งคว้างคนเดียวในห้อง
แล้วผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีทุกปัญหารุมเร้า

สามสี่วันผ่านไปพี่นิคไม่โทรมาเลย ไม่มาหาที่บ้านด้วย ผมได้คุย msn กับวิลตลอดในช่วงนี้ถึงเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น ผมเลยตัดสินใจบอกวิลไปว่าถ้าเที่ยงคืนนี้พี่ไม่โพสอะไรในเล้าให้บอกทุกคนไปเลยว่าพี่กับพี่นิคเลิกกันแล้ว คงไม่ได้มาลงนิยายอีกแล้วขอโทษด้วย แล้วผมก็บอกวิลว่าผมจะหนีไปพักผ่อนซักพัก ตอนแรกคิดว่าจะกลับบ้านที่ชล แต่ไม่ดีแน่ กะว่าจะขึ้นเหนือก็ไม่เข้าท่า เลยตัดสินใจไปสิมิลันดีกว่า เรื่องนี้มีแต่วิลกับหนึ่งเท่านั้นที่รู้ เพราะโทรไปชวนหนึ่งด้วย แต่หนึ่งไม่ว่างติดงาน พร้อมกับกำลับวิลว่าห้ามบอกใคร

ว่าแล้วก็จัดการเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วขับรถออกไปเลยตอนตีสามไม่ได้บอกใครแม้แต่อาอี๊ ตอนนั้นกำลังเบลอๆดันลืมเอามือถือไปด้วย แต่ก็ดีเพราะไม่อยากรับสายใครอยู่แล้ว ผมไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สิมิลัน หาบังกะโลเล็กๆเงียบๆ นอนคิดอะไรไปมา แต่ก็อดห่วงคนในเล้าไม่ได้เพราะเรายังลงนิยายไม่จบ เรื่องเรากับพี่นิคก็คงจบลงแค่นี้แล้ว ในเมื่อไม่มีเขาแล้วเราจะเขียนไปให้ใครล่ะ เราตั้งใจให้มันเป็นของขวัญกับเขานี่นา

ผ่านไปหลายวันจนผมสบายใจมากขึ้น คิดว่าถึงคราวที่จะต้องกลับซักที ผลักตัวเองออกมาจากโลกภายนอกซะจนไม่รู้อะไรเลย กลับไปจะเป็นยังไงบ้างนะ ผมเลือกที่จะไปตั้งรับมือกับเรื่องที่จะเจอเมื่อกลับไปที่คอนโดของเจ้าโอ๊ต เพราะอย่างน้อยเจ้าโอ๊ตคงไม่ถามอะไรผมมาก ดีไม่ดีมันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผมไปไหนมา ผมอาจจะแค่บอกว่าคิดถึงเลยแวะมาหาก็แค่นั้น

ผิดคาด พอถึงคอนโดเจ้าโอ๊ตกลับซักผมใหญ่ บอกว่าคุณแม่กับอาอี๊เป็นห่วงมาก มันว่าผมเหมือนผมเป็นน้องมันเลย ผมเลยบอกว่าไปเที่ยวเพลินเลยลืม แล้วผมก็รีบจัดการโทรไปหาคุณแม่กับอาอี๊ทันที อย่างต่อมาผมก็รีบเปิดเข้าไปในเล้า เพราะคิดถึงทุกคนมากมาย แต่ก็ผิดคาดอีก ไปเจอชื่อเจ้าวิลแต่เป็นพี่นิคเขียน ตอนนั้นผมปรี๊ดเลยครับ พาลโมโหวิลไปด้วย อยากบินไปเมกาแล้วเอาแส้เฆี่ยนซะงั้น ก็เจ้าวิลนี่แหละเป็นคนบอกพี่นิคกับบีมว่าผมหนีไปสิมิลัน ทั้งๆที่ผมย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าบอกใคร แถมผมยังรู้มาจากวิลอีกว่าบีมเขาลาพักร้อนเพื่อไปตามหาผมที่สิมิลันเลย (ให้ตายเถอะ ทำไมน่ารักอย่างนี้ น่าจะมาบอกรักตั้งแต่แรกเจอ ไม่น่าปล่อยให้นานตั้ง 7 ปี อิอิ)

และแล้วกว่าทุกปัญหาจะลงตัวก็ใช้เวลานานพอควรครับ น้องปริ๊นซ์หลังจากกลับสิมิลันผมก็ลืมๆไปครับ หมอวุฒิก็ไม่ค่อยโทรมาอีกคงเป็นเพราะผมไม่ได้เอามือถือไปด้วย โทรมาเลยไม่มีใครรับสาย คงเลิกโทรไปเอง ส่วนบีมเองผมก็ยืนยันจุดยืนให้ชัดเจนว่าผมกับเขาเป็นได้แค่เพื่อน และเขาก็สัญญาว่าจะคอยแอบดูอยู่ห่างๆอย่างนี้ต่อไป (น่าสงสาร ที่จริงเรื่องปัญหาทั้งหมดนี้ผมเขียนเป็นตอนพิเศษย่อยๆ ไว้สามสี่ตอนแต่คงไม่ได้เอามาลงแล้วครับ ผมรวบไว้ทีเดียวเลยดีกว่า)

ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี เหลือแต่เรื่องงานที่ผมทิ้งไป ผมต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรซักอย่าง กับเรื่องของพี่นิคที่เขาพยายามจะมาง้อผม (อิอิ คราวนี้ถึงคราวผมเล่นตัวบ้างแล้ว) เรื่องงานผมโดนคุณแม่ให้ไปทำงานที่ออสเตรเลีย ซึ่งผมก็ยอมรับและแลกข้อเสนอว่าถ้าทำสำเร็จแล้วจะขอไปต่อโทรที่อังกฤษ แคมบริจด์มหาวิทยาลัยในฝันของผม ส่วนเรื่องพี่นิคก็นี่เลย อ่านเอา

“เอคร้าบ....เอ.......”เสียงพี่นิคยืนเคาะหน้าประตูห้องผมเกือบๆชั่วโมงแล้ว ผมใจแข็งชะมัดเลย อิอิ ตอนนั้นผมคุยเอ็มกับวิลอยู่อ่ะครับ ก็เล่าให้วิลฟังว่าข้างนอกมีน้องหมามาร้องกวนอยู่ด้วย วิลสงสารเลยอ่ะครับ แต่ผมไม่ใจอ่อนง่ายๆหรอก ชิส์

“เปิดประตูให้พี่หน่อยซิครับ เอครับ.....นะครับ....เอคร้าบบบ”พี่นิคยังคงยืนเคาะแล้วเรียกต่อไป ผมคิดในใจสมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ทำมาเป็นเข้าทางอาอี๊ขอนอนค้างที่บ้านผม แล้วยังมาแอบใช้ชื่อผมที่เปิดทิ้งไว้ไปเม้นท์ในเล้าว่าจะไม่กวนใจเออีกแล้ว จะไปนอนห้องข้างๆ ถ้าเอพร้อมให้เดินไปคุย อย่างนี้ก็เข้าทางผมซิครับ ผมล็อคห้องเลย ไม่มีทางไปหาแน่ๆ

แต่แล้วผมก็ใจอ่อนครับ ที่จริงกลัวว่าเสียงพี่นิคที่เคาะประตูแล้วเรียกผมที่มันดังขึ้นเรื่อยๆ จะได้ยินไปถึงตึกใหญ่ทำให้อาอี๊ตื่น แล้วพี่นิคก็ได้เข้ามาให้ห้อง กว่าจะคุยกันรู้เรื่องผมก็งอนพอเป็นพิธีครับ ตอนนี้ผมถือไพ่เหนือกว่านี่นา แต่ไม่นานพี่นิคก็กลับมาถือไพ่เหนือกว่าผมครับ ก็พี่แกเล่นตอนผมเผลอมาอุ้มผมไปที่เตียงแล้วก็..............(อิอิ ทำไรดีเอ่ย ไม่บอกปล่อยให้จิ้นเองแล้วกัน เป็นการลงโทษทุกคนที่เชียร์พี่นิค ฮ่าๆ สะใจ)

...

แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ผมก็เข้ามาโพสมาลงนิยายไป ทำงานแบบนั่งกินนอนกินของผมไป ศุกร์เสาร์อาทิตย์ผมก็ไปหนองคาย ไปเยี่ยมคุณย่ากับพี่นิค  ตอนนี้เรื่องที่คิดมากก็มีแต่เรื่องที่จะไปออสเตรเลีย แล้ววันหนึ่งที่หนองคายก็เกิดเรื่องจนได้ พี่นิคที่นอนหลับไปแล้ว แต่ผมยังเมามันส์ในการคุยเอ็มกับฟิวส์ พอฟิวส์ออกไปวิลก็เข้ามาผมเลยได้โอกาสแกล้งวิลเลยครับ ล้อวิลแต่เรื่องฟิวส์ ผมบอกว่าชอบฟิวส์มากมาย ชอบคนขี้อ้อนแบบนี้ พี่ขอเป็นแฟนฟิวส์ได้ไหม แล้วเดี๋ยวยกโอ๊ตให้เป็นแฟนวิล ตอนนี้ผมล้อเล่น ไม่คิดว่าวิลเขาจะจริงจังขนาดนั้น วิลงอนผมเลยหาว่าแย่งแฟนน้อง จากที่ผมนั่งแกล้งเขายิ้มหัวเราะสะใจ กลับมาต้องเป็นฝ่ายนั่งเครียดปวดหัวจี๊ดๆขึ้นมา จนต้องปลุกพี่นิคให้พาไปหาหมอกลางดึกซะอย่างนั้น (สมน้ำหน้าตัวเอง อยากแกล้งเขาดีนัก อิอิ)

...

แล้วทุกอย่างก็ดำเนินเรื่อยมาอย่างเป็นปกติจนวันหนึ่งที่ผมนั่งคุยเอ็มอยู่กับคนในเล้า พี่นิคก็โทรมาบอกว่าให้เก็บเสื้อผ้าด่วน คุณย่าอาการหนักมาก ผมฟังแค่นั้นก็คิดแล้วว่ามันเป็นอะไร เพราะก่อนหน้านี้ผมโทรหาพี่หมอทีถามเกี่ยวกับอาการคุณย่า พี่หมอทีก็บอกว่ายากที่จะหาย ได้แต่ยื้อเวลาเท่านั้น (ก็คนแก่อายุแปดสิบกว่า เส้นเลือดในสมองแตก จะผ่าตัดก็ไม่ได้ ผมก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง)

พอไปถึงหนองคายเราก็ตรงไปที่โรงบาลกันเลย ดีที่เราไปทันได้ดูใจคุณย่า เราอยู่จนวินาทีสุดท้ายที่ท่านจากเราไปแล้วงานศพของคุณย่าก็เริ่มขึ้น ญาติพี่น้องของพี่นิคเยอะมาก พี่นิคก็ต้องคอยรับแขกดูท่าจะเหนื่อยๆดวงตายังดูเศร้าๆอยู่ด้วย ผมที่ไปด้วยก็ดูเหมือนจะเป็นส่วนเกินไปเลยช่วงนั้น พูดกับพี่นิควันละไม่เกินสิบประโยคด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะว่าผมเองก็คิดมากเรื่องการวางตัว แล้วก็เรื่องที่อยากจะเลื่อนวันไปออสเตรเลียก็ได้ อีกอย่างญาติๆพี่นิคก็ถามแต่ว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน เมื่อไหร่จะมีหลาน ทำเอาผมยิ่งคิดมากไปกันใหญ่ ทำเอาผมยิ่งวางตัวไม่ถูกอีก

มีคืนหนึ่งผมฝันว่าคุณย่าของพี่นิคมาบอกว่า จะไปออสเตรเลียแล้วไม่คิดถึงคนหนองคายเหรอ ผมก็บอกว่าคิดถึงแต่ก็ต้องไป คุณย่าบอกว่า ก็ได้แต่คิดถึง คงมีหลานให้ย่าอุ้มไม่ได้ แล้วคุณย่าก็เดินส่ายหัวหายไป

หลังจากคืนนั้นผมก็เริ่มคิดอะไรหลายๆอย่าง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงพร้อมกับที่ผมจะไปออสเตรเลีย พอกลับมาขอนแก่น (ก่อนกลับมาก็ไปนอนโรงบาลอีกรอบ) ผมเลยวางตัวห่างๆกับพี่นิค พยายามจะบอกว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้เลย

มันผิดที่ผมเอง ถ้าผมไม่รักพี่นิคตั้งแต่วันนั้น เรื่องต่างๆพวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ผมเป็นใครมีสิทธิ์อะไรที่จะไปทำลายความหวังของครอบครัวพี่นิค ขนาดความหวังของครอบครัวตัวเอง เรายังทำให้ไม่ได้เลย ที่พี่นิคไม่ยอมมีคนอื่นเพราะเขายังมีเรา ถ้าเราไปออสเตรเลียแล้ว พี่นิคคงลืมเราง่ายขึ้น แต่เพื่อให้เด็ดขาดแล้วต้องให้พี่นิครับกับเราว่าจะยอมแต่งงานกับคนที่ทางบ้านหาให้ หลังจากจบโทมาแล้วหนึ่งปี ถ้าพี่นิคไม่แต่งเราจะไม่ยอมกลับมาที่ไทยอีก ถ้ากลับมาเราก็จะหาคนมาแต่งงานด้วยทันที คิดว่าหน้าตา ฐานะอย่างเราคงหาได้ไม่อยาก (เพื่อนเจ้าโอ๊ตก็เยอะแยะ สาวบัญชีสีชมพู สวยๆน่ารักกันทั้งนั้น อิอิ ขอสักคนคงไม่เป็นไร ตอนนั้นคิดอย่างนั้นจริงๆ)

การที่ผมตัดสินใจอย่างนี้ไม่ใช่ผมไม่เจ็บ ผมเจ็บถึงกับล้มป่วยทานข้างปลาไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าจะให้ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวมาเจ็บแบบผม หรือเจ็บแบบที่พี่นิคเป็นอยู่ ผมทำเหมือนพี่นิคไม่มีตัวตนในสายตา มองไปเหมือนมองทะลุอากาศไปซะอย่างนั้น

เข้ามาอ่านในเล้าก็มีทั้งกำลังใจ ข้อคิดต่างๆให้ผมกับพี่นิคมากมาย แต่ผมตัดสินใจไปแล้วคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ถึงคราวมันจบก็ต้องจบ จนผมอ่านมาเจอเม้นท์ของพี่นิคที่บอกว่า ส่งเรื่องนี้ไปให้เจ้าโอ๊ตอ่านแล้ว ตอนนั้นถ้าเป็นไปได้ผมอยากฆ่าพี่นิคให้ตายเลย เหมือนฟ้าถล่มดินทลายลงต่อหน้าต่อตาผมทันที ผมคิดว่าชาตินี้ยังไงๆ ผมกับพี่แกคงไม่ได้มาเจอกันอีกแน่ ผมเกลียดไอ้พี่นิคมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(ในตอนนั้น)

แต่พอมาอ่านเม้นท์ของทุกคนแล้วก็มาเจอเม้นท์ของเจ้าโอ๊ตทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก แต่ผมก็อายน้องมันอยู่ดี เจ้าโอ๊ตโทรมาหาผมไม่กล้ารับเลย แต่เรื่องพี่นิคผมยังยืนยันการตัดสินใจเดิมของผมว่าพี่แกกับผมต้องจบกันให้ได้

และแล้วพอถึงวันก่อนวันอาสาฬหบูชาหนึ่งวัน อาอี๊ก็บอกให้ผมชวนพี่นิคไปวัดด้วย ผมที่ไม่คุยกับพี่นิคมาหลายวันก็ตัดสินใจบอกโดยการไปเม้นท์ในเล้า ถ้าเข้ามาเจอก็เจอ ถ้าไม่เจอก็แล้วไป

ในที่สุดพี่นิคก็เข้ามาอ่านจนได้แล้วก็มานอนค้างที่บ้านผม นั่นเป็นครั้งแรกนับจากงานศพที่ผมยอมคุยกับพี่นิคในหลายๆเรื่อง ผลจากการคุยกับเราก็ตกลงกันว่าเรื่องทุกอย่างปล่อยมันไปตามเวลาก่อน หลังจากคุยเสร็จพี่นิคก็................................................(จิ้นเองต่อเถอะครับ พี่นิคอดอยากมานาน พอคุยกับผมได้จะทำอะไรดีน้า....อันนี้ผมไม่ได้ลงโทษใคร แต่ลงโทษตัวเองที่ทำนิสัยไม่ดี เลยลงโทษด้วยการงดเขียนฉากอย่างว่า อิอิ)

...

“พี่นิค ไปบ้านที่ชลเวลาเจอคุณแม่แล้วห้ามทำอะไรนะ”ผมย้ำพี่นิคระหว่างขับรถจวนจะถึงบ้านที่ชลบุรี เพราะกลัวแกจะบ้าบิ่นบอกคุณแม่ขึ้นมาเหมือนบอกเจ้าโอ๊ต

“ครับรู้แล้วครับ มีอะไรอีกไหมครับ”พี่นิคทำหน้าทะเล้นใส่ผม

“พรุ่งนี้เราไปกรุงเทพกันสายๆนะ ไม่อยากไปอยู่ที่คอนโดเจ้าโอ๊ตนาน อายมันเพราะพี่แหละ”ผมพูดแล้วหาเรื่องอีก

“อ้าว เป็นงั้นไป ที่จริงน่าจะให้อาอี๊มาส่งด้วย ดูซิเมื่อเช้านี้ออกมาส่งถึงประตูรถเลย คงอยากมาด้วยใจจะขาดหลานชายทั้งคน เลี้ยงมายิ่งกว่าลูกอีก คนอะไรใจร้ายชะมัดเลย”พี่นิคบ่นให้ผม

“ก็อยากให้มา แต่มาแล้วก็ต้องเศร้ากันอีก จะมาเศร้ากันทำไมหลายรอบ พี่เองก็ไม่สมควรมาเหมือนกันแหละ”ผมว่าคืน

“อ้าวเป็นงั้นไป ที่จริงพี่ว่าให้โอ๊ตกลับมาบ้านที่ชลแล้วค่อยไปส่งที่สนามบินเลยไม่ดีกว่าเหรอครับ ไม่ต้องไปแวะคอนโดเจ้าโอ๊ต ถ้าแค่เออยากเจอเจ้าโอ๊ตก่อนไป”พี่นิคเสนอแล้วยิ้มแบบมีเลศนัยที่มุมปาก

“ไม่ต้องเลย รู้นะคิดอะไร ถ้าโอ๊ตกลับมาก็ต้องมานอนกับคุณแม่ซิ เอก็อดนอนกับคุณแม่ ต้องมานอนกับพี่แทน ไม่มีทาง”ผมบอกพร้อมยิ้มเย้ยเหมือนรู้ทัน

พี่นิคไม่พูดอะไร แต่ยังยิ้มเหมือนมีชัยชนะ ทำเอาผมชักไม่ชอบมาพากลซะแล้ว

...

“สวัสดีครับพี่นิค สวัสดีครับอาเฮีย”เจ้าโอ๊ตเดินไหว้ออกมาจากประตูบ้านชั้นใน พร้อมทำหน้าทะเล้นๆ

ผมตกใจที่เห้นเจ้าโอ๊ตกลับมาอยู่บ้าน แทนที่จะอยู่คอนโดที่กรุงเทพ แล้วผมก็หันมามองค้อนพี่นิคทันที

“เฮ้ย พี่เปล่านะ พี่แค่โทรไปเสนอโอ๊ตว่าน่าจะมานอนที่บ้าน จะได้ทานข้าวแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันไง ไม่รู้ว่าโอ๊ตมันจะมาจริงๆ”พี่นิคแก้ตัวแต่ก็ยิ้มแบบพอใจ ผมเลยทุบเข้าให้ที่ต้นแขนของพี่แกทีหนึ่ง มองค้อนๆแล้วเดินขึ้นห้องไปเลย เห็นพี่นิคกับเจ้าโอ๊ตตีมือใส่กันเหมือนว่าสำเร็จอะไรประมาณนั้น (เจ้าโอ๊ตนะเจ้าโอ๊ต จำไว้เลยเห็นพี่เขยดีกว่าพี่ตัวเองใช่ไหม เดี๋ยวได้รู้กันแน่ เรื่องน้องอ้อ (อ้อ แฟนเจ้าโอ๊ตครับ) จะเอาไปบอกคุณแม่คืน อิอิ ไม่ได้ดิ่เดี่ยวมันบอกเรื่องของเรากับพี่นิค หว้า หงุดหงิด เสียเปรียบเจ้าโอ๊ตอยู่)

...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
“เอไงลูก นั่งรถมาเหนื่อยไหม”คุณแม่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วนั่งลงบนเตียงของผมที่ผมกำลังทิ้งตัวนอนบิดขี้เกียจอยู่

“ไม่ครับ แค่นั่งมาไม่ได้ขับเอง สบายมาก คิดถึงคุณแม่จังครับ”ว่าแล้วผมก็กอดคุณแม่แรงๆหนึ่งทีแล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม

“อ้าวแล้วลูกเขยแม่ไปไหนล่ะ”คุณแม่มองไปรอบๆห้องแล้วเอ่ยถาม ทำเอาผมใจหายวาบเลย

“อะไรครับ”ผมแกล้งทำเป็นได้ยินไม่ถนัด

“ก็ลูกเขยแม่ คนขับรถมาให้ลูกนั่งไง ไปไหนซะล่ะไม่เห็นอยู่ในห้อง”คุณแม่พูดช้าๆชัดๆพร้อมมองผมอย่างเอ็นดู

“คุณแม่” ผมอุทานออกมาเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้นนั่งทันที ตอนนั้นในใจคิดว่าฝีมือเจ้าโอ๊ตแน่ แต่ไม่น่าเป็นไปได้หรือว่าพี่นิค ก่อนที่ผมจะคิดอะไรต่อคุณแม่ก็พูดขึ้นอีกว่า

“เรียกแม่ซะเสียงดังเชียว เป็นอะไร” คุณแม่ถาม เป็นช่วงเวลาพอดีที่พี่นิคกับเจ้าโอ๊ตที่ช่วยถือกระเป๋าเข้ามาให้ห้อง

“อ้าว สวัสดีครับคุณแม่ ไม่รู้ว่าคุณแม่อยู่ในนี้ด้วย”พี่นิคยกมือไหว้คุณแม่แล้วทำท่าทางเจี๋ยมเจียมทันที

“อ่ะ พูดถึงลูกเขย ลูกเขยก็มา”คุณแม่พูดยิ้มๆออกมา พี่นิคหน้าถอดสีเลยครับ หันมองมาทางผม ผมทำหน้าตาแบบงงๆเหมือนกัน พี่นิคเลยมองไปทางเจ้าโอ๊ต ผมก็มองไปทางเจ้าโอ๊ตเหมือนกันเพราะดูท่าแล้วพี่นิคคงไม่รู้เรื่อง เจ้าโอ๊ตก็มองหน้าผมกับพี่นิคไปมาเหมือนกันแล้วยิ้มแห้งๆ

“โอ๊ตป่าวนะ คุณแม่ช่วยด้วย”เจ้าโอ๊ตวางกระเป๋าลงแล้วรีบวิ่งมานั่งลงข้างๆเตียงกอดคุณแม่ทันที

“เอาล่ะๆเลิกมองกันไปมองกันมาซักที ไม่ใช่ความผิดโอ๊ตหรอก พอดีโอ๊ตเปิดเวบอ่านอะไรซักอย่างอยู่ แล้วแม่ไปตามมาทานข้าว แม่เลยอ่านแวบๆ มันนิยายนี่น่า แม่แปลกใจที่คนอย่างโอ๊ตอ่านนิยาย แม่เลยใช้จังหวะที่โอ๊ตลุกไปล้างมืออ่านดู แม่พอจะเริ่มรู้อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เพื่อความแน่ใจแม่เลยต้องซักกับโอ๊ตอีกที”คุณแม่เล่าที่ไปที่มา

“แล้ว....คุณแม่......”ผมพูดอะไรไม่ออก กอดคุณแม่แล้วร้องไห้ออกมา คุณแม่ก็เอามือมาลูบหัวผมเบาๆ เจ้าโอ๊ตก็กอดผมกับคุณแม่อีกที

พี่นิคค่อยๆเดินมาแล้วนั่งลงกับพื้น ก้มกราบคุณแม่หนึ่งที ทำให้คุณแม่ผละตัวผมออกรีบก้มลงไปรับไหว้จากพี่นิคแล้วประคองพี่นิคขึ้นมานั่งข้างๆแทนที่เจ้าโอ๊ต (ฮ่าๆๆ สะใจเจ้าโอ๊ตถูกแทนที่ด้วยลูกเขยคนใหม่ อิอิ) ส่วนเจ้าโอ๊ตก็ขยับมานั่งบนเตียงอยู่ข้างหลังคุณแม่แทน

“แม่เข้าใจทั้งเอและนิคนะ แม่ดีใจที่เราสองคนรักกัน แต่เสียใจอยู่อย่างเดียวทำไมไม่บอกแม่บ้างซักคำ เอก็ไม่ต้องคิดอะไรมากนะลูก แค่ลูกตระหนักว่ามีหน้าที่อะไรในครอบครัวแค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว เรื่องอะไรที่ทำไม่ได้ก็ปล่อยมันไปนะลูก นิคก็เหมือนกันนะลูก”คุณแม่บอก

“ครับ คือ คุณแม่ครับ ผม....กับเอ...คือทางบ้าน...ผม...”พี่นิคพูดติดๆขัดๆ

“เรื่องที่บ้านนิค แม่คุยให้แล้วจ๊ะ เขายอมรับได้ ยิ่งแม่บอกว่าแม่เป็นใครทำงานอะไรอยู่ เขายิ่งดีใจเพราะว่าธุรกิจของเราจะได้เอื้อกันง่ายกว่าเดิมด้วย”คุณแม่พูดแล้วยิ้มออกมาพร้อมกับดึงตัวพี่นิคเข้ามากอด (คุณแม่อ่ะแต๊ะอั๋งพี่นิคของผม)

“ขอบคุณมากครับคุณแม่”ว่าแล้วพี่นิคก็หอมแก้มคุณแม่เบาๆหนึ่งที

“แหมๆ เล่นเอาใจขนาดนี้ แม่รู้แล้วทำไมเอของแม่ถึงได้ชอบเรานัก”คุณแม่หัวเราะออกมาเบาๆแล้วก็กอดทั้งผมกับพี่นิคด้วยแขนทั้งสองข้าง ลืมเจ้าโอ๊ตไปเลย (สะใจกำลังสอง อิอิ)

“คุณแม่อ่ะ ได้ลูกเขยแล้วลืมลูกชายคนนี้เลยนะ”เจ้าโอ๊ตทำหน้างอนๆน่ารักๆ แล้วก็กอดคุณแม่มาจากทางด้านหลัง ทำเอาคุณแม่ ผม พี่นิค หัวเราะออกมา

ซักพักคุณแม่ก็ถามขึ้นว่า “ต่อจากนี้ไปเราวางแผนชีวิตยังไงกันไว้บ้าง”

ผมกับพี่นิคมองหน้ากัน ก็ผมตั้งใจจะไปแล้วให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงไปนี่นา ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ผมก็คงต้องไปออสเตรเลียให้กลับมาก่อนค่อยว่ากันเรื่องไปเรียนต่ออังกฤษและอนาคตที่จะเกิดขึ้น ผมเลยบอกคุณแม่ไปอย่างนั้น

คุณแม่ก็ยิ้มๆ แต่พี่นิคทำหน้าเศร้าๆประมาณว่าถ้าเรื่องเป้นอย่างนี้แล้ว คงไม่ต้องไปได้ไหม

“แล้วเรื่องแต่งงานล่ะพี่เอ”เจ้าโอ๊ตตัวดีแซวขึ้น ผมค้อนให้ทีหนึ่ง พี่นิคแอบยิ้ม

“อืม ใช่เรื่องแต่งงานล่ะ”คุณแม่ก็รับมุขซะงั้น

“ไม่ได้ดิ่คุณแม่ พี่เอเขาไม่เวอร์จิ้นแล้วนะ ไม่ต้องแต่งแล้ว”เจ้าโอ๊ตปากดี

“โอ๊ต”ผมทำเสียงดุๆแล้วหยิกที่แขนให้หนึ่งที พร้อมกับล้มตัวลงนอนเอาหน้ามุดเข้าไปในหมอน ก็มันอายนิ่ ส่วนพี่นิคนั่งยิ้มหน้าบานเลยครับ อายเป็นไหมนี่ คุณแม่ก็ยิ้มๆ

“เหรอ แม่ยังอ่านไม่ถึงตอนนั้นซะด้วย โอ๊ตไม่น่าบอกก่อนเลย เดี๋ยวแม่ไม่สนุก”คุณแม่ก็รับมุขต่อซะงั้น เอาเขาซิ

“อืม งั้นคงไม่ต้องไปออสเตรเลียแล้วแหละ เดี๋ยวจะหาว่าแม่ใจร้ายจับเราสองคนแยกจากกัน เอาเป็นว่าแม่ให้เวลาหนึ่งอาทิตย์นับจากวันนี้ไป ให้พากันไปฮันนีมูนแบบเป็นเรื่องเป็นราว แล้วกลับมาค่อยมาตอบแม่ว่าอนาคตต่อไปจะทำยังไง”คุณแม่พูดแล้วก็หอมแก้มผมกับพี่นิคแล้วเจ้าโอ๊ตคนละหนึ่งที คุณแม่แอบหอมแฟนผมอีกแล้ว หึงนะ อิอิ

“งั้นผมลาแล้วครับคุณแม่”พี่นิคพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาทุกคนงง

“จะลาไปไหนล่ะลูก แม่ไม่ได้คาดคั้นเอาเรื่องอนาคตกับเราวันนี้ซะหน่อย”คุณแม่พูดอย่างรู้สึกผิดนิด คงกลัวว่าเขาจะทิ้งลูกตัวเองไป

“ก็คุณแม่ให้เวลาผมกับเอไปฮันนีมูน 7 วัน ถ้าคุณแม่อ่านนิยายไป คุณแม่จะรู้ว่าลูกคุณแม่นะ ยอมผมง่ายๆซะเมื่อไหร่ล่ะครับ”พี่นิคพูดพร้อมยิ้มแบบมีเลศนัยออกมา

“อ๋อ แม่เข้าใจแล้ว งั้นรีบไปเลย ไปวันนี้เลย โอ๊ตเอากระเป๋าของพี่เขาไปใส่ท้ายรถ เอก็ลุกขึ้นมานอนอะไรอยู่นี่ เร็วๆ”คุณแม่เป็นมาสั่งการด้วยน้ำเสียงจริงจัง พี่นิคยิ้มแบบถูกใจ

“ไม่ไปอ่ะ จะอยู่กับคุณแม่”ผมพูดอ้อน

“ไม่ได้ๆ รีบไปเร็วๆ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ โอ๊ตมาช่วยแม่ดึงพี่เราขึ้นจากเตียงหน่อยซิ ดูซิเป็นหนุ่มจนมีแฟนแล้วยังมาทำอ้อนแม่เป็นเด็กๆอยู่ได้ ไปอ้อนพี่เขาโน่น นิคแม่ฝากดูลูกคนนี้ด้วยนะ ถ้าดื้อมากก็จัดการได้เลยนะ”คุณแม่พูดพร้อมหัวเราะออกมาแล้วผลักตัวผมไปให้พี่นิค (คุณแม่อ่ะ ส่งเนื้อเข้าปากเสือแล้ว) พี่นิคจับตัวผมได้ก็ยกขึ้นบนบ่าพาไปที่รถเลยครับ โดยมีคุณแม่กับเจ้าโอ๊ตยืนยิ้มพอใจอย่างมากมาย

...

“จะพาไปไหนอ่ะ มีคนหนุนท้ายเอาใหญ่เลยนะ”ผมพูดแบบฉุนนิดๆ

“ไม่เอาน่าเอครับ อย่าทำหน้าบูดซิครับ วันนี้พี่มีความสุขที่สุดในโลกเลย พี่จะพาเอไปเกาะล้าน”พี่นิคตอบพร้อมขับรถเข้าเขตพัทยา

“ทำไมต้องเกาะล้าน”ผมถามขึ้น

“พี่รู้ว่าเอชอบ แล้วเอจะได้พาพี่มาประกาศตัวในฐานะลูกเขยกับคุณพ่อ”พี่นิคพูดแล้วเอามือมาจับมือผม (อังคารของคุณพ่อเอามาลอยที่เกาะล้านอ่ะครับ)

...

หลังจากนั่งเรือมาถึงเราก็เลือกบังกะโลริมหาด แล้วเข้าไปเปลี่ยนชุดเก็บของทันที ผมอยู่ในชุดกางเกงเลขาสี่ส่วนสีฟ้าอ่อนๆ เสื้อผ้าป่านเบาบางสบายสีครีมที่กำลังพลิ้วไปตามสายลมของชายทะเล พี่นิคที่อยู่ในชุกกางเกงเลสีน้ำเงินขามสามส่วน เสื้อกล้ามสีขาวแนบเนื้อทำให้เห็นกล้ามอกกล้ามท้องอย่างชัดเจน

ผมยืนมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินอย่างใจลอยที่ระเบียงของบังกะโลคอยพี่นิคเก็บของให้เสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรทาน ผมคิดถึงปัญหาทุกอย่างที่ผ่านมามันกำลังจะจบลงเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกลงไป แล้วเช้าวันใหม่ที่สดใสจะกลับคืนมา ตอนนี้ผมมีความสุขที่สุดเลย แล้วก็พี่นิคเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลังทำให้ผมหันมามอง

“ไปทานข้าวกันนะครับ ที่รักของพี่”พี่นิคพูดที่ข้างหูผมเบาๆ มือก็ยังกอดผมอยู่

“ไม่อ่ะครับ เปลี่ยนใจแล้ว”ผมพูดแบบธรรมดา

“โห......อะไรอีกครับนี่ พี่ทำอะไรผิดอีก”พี่นิคยกมือเกาหัวงงๆ

“ผิดที่ชวนไปทานข้าว”ผมบอกเสียงแข็ง

“เออยากทานนี่มากกว่า”ผมพูดพร้อมกระตุกสายรัดกางเกงของพี่นิคออกแล้วดึงกางเกงลง ทำให้พี่นิคโป๊ยืนใส่เสื้อกล้ามสีขาวแนบเนื้อกางเกงในสีขาวกับกางเกงเลที่ร่วงไปอยู่ที่พื้น แล้วผมก็รีบวิ่งหนีเข้าห้องทันที (เออ ลืมไปวิ่งเข้าห้องแล้วจะหนีรอดไหมนี่ อิอิ ที่จริงเป็นแผนต่างหาก)

พี่นิครีบความกางเกงขึ้นมาแล้ววิ่งตามเข้ามาในห้อง พอจับตัวผมได้ก็จับผมลงกับที่นอนเลยครับ ผมมองหน้าพี่นิคแล้วก็คว้าคอพี่นิคลงมาให้ปากผมกับปากพี่นิคได้ประทับสัมผัสกัน อย่างอ่อนโยนเป็นเร่าร้อนขึ้นตามลำดับของความต้องการจากหัวใจ

มือพี่นิคค่อยๆลูบที่หน้าอกผม ทำเอาเสียวขึ้นมาได้เหมือนกัน ผมเองก็ถอดเสื้อกล้ามของพี่นิคออก ทำให้เห็นกล้ามอก กล้ามท้อง อย่างชัดเจน ไรขนบางๆน้อยๆที่ไล่จากสะดือลงไปท้องน้อยแล้วหายเข้าไปในขอบกางเกงใน ช่างเป็นไรขนที่ดูเซ็กซี่และตัดกับสีผิวเสียเหลือเกิน

พี่นิคเองก็ไม่รอช้าถอดเสื้อให้ผม แล้วค่อยๆจูบลงที่หน้าผาก ไล่มาจมูก ปาก ติ่งหู ซอกคอ ทำเอาผมครางออกมาเป็นระยะๆ จนมาถึงหน้าอกของผม พี่นิคใช้ลิ้นวนไปมาบริเวณหัวนมผมก่อนที่จะดูดและขบเบาๆ ทำเอาผมถึงกับเกร็งตัวตาม มือพี่นิคก็ไม่อยู่เปล่า ถอดกลางเกงผมออกอย่างง่ายดาย พร้อมกับผมที่ค่อยๆเอามือไปสัมผัสกับเจ้านิคน้อยที่ยังอยู่ในกางเกงใน

พอเจ้านิคน้อยได้รับสัมผัสลูบไปมาจากมือผมมันก็พองตัวขึ้นเป็นนิคใหญ่ทันที แล้วดูท่าว่ามันจะอึดอัดมากซะด้วย มันเลยโผล่หัวสีแดงออกมานอกขอบกางเกงใน ส่วนตัวที่เป็นลำยาวอวบใหญ่ยังคงเห็นเป็นลำภายใต้กางเกงในสีขาวตัวนั้น

“ซี๊ด..อ้าส์.....เอ พี่ขอนะครับ”พี่นิคหยุดจูบที่ท้องน้อยผมแล้วพูดขึ้น (จะมาขออะไรอีก ขนาดนี้แล้ว---ผมคิด)

“อ้า...ครับ...อ้....า.....”ผมตอบออกไปแล้วก็ดึงกางเกงในพี่นิคออก ทำให้เห็นเจ้านิคน้อยชี้หน้าผมอย่างยิ้มแป้นเลยพี่นิคเองก็จัดการถอดของผมให้หมด เผยโฉมเอน้อยที่ตั้งตรงเด่ออกมากระทบกับนิคน้อยทันที พี่นิคไม่รอช้าทำท่าจะจับขาผมยกขึ้น ผมเลยหดขานี้แล้วลุกขึ้นผลักพี่นิคนอนลง พี่นิคทำหน้างงๆ

“เอจะทำอะไรครับ พี่รับไม่เป็นนะครับ”พี่นิคพูดออกมา ผมไม่ตอบอะไร (เออ รู้แล้วว่ารับไม่เป็น เห็นมีอะไรกันทีไรก็ให้เรารับทุกที จะขอลองบ้างก็ไม่ได้ ชิส์ เดี๋ยวก็หนีไปลองกับคนใหม่ซะเลย อิอิ) ผมนอนกลับหัวกับพี่นิคคนละทาง พี่นิคเห็นอย่างนั้นคงตกใจไม่ใช่น้อย เพราะว่าท่านี้พี่แกขอผมมาตั้งนานไม่เคยให้เลยไอ้เล่น 69 นี่

ผมนอนลงได้ก็จัดการสาวเจ้านิคน้อยรูดขึ้นลง จากช้าๆเบาๆ แล้วเริ่มแรงขึ้น พี่นิคเองก็ทำให้ผมอย่างที่ผมทำให้พี่เขา ว่าแล้วผมก็เอาปากครอบนิคน้อยเจ้าไปทำเอาพี่นิคที่กำลังสาวของผมอยู่ถึงกับสะดุ้ง

“เอทานยาอะไรมาผิดหรือเปล่าครับนี่”พี่นิคพูดแซวๆแล้วก็จัดการเอาปากตัวเองครอบเอน้อยซะนั้น

ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นอีก นอกจากเสียงฝีปากที่ทั้งดูด ทั้งอม ทั้งเลียดังบ๊วบๆสลับกับเสียงครางเป็นระยะๆ

ผมกะว่าจะอมเจ้านิคน้อยให้เข้าไปในปากทั้งหมดซะหน่อย แต่ไม่ไหวครับ แค่ค่อนลำยังไม่ถึงโคนก็ถึงคอหอยผมแล้วครับ ผมเลยตัดสินใจปล่อยออกมาแล้ว ดึงเอน้อยออกจากปากของพี่นิคที่ดูดเอาๆอย่างเมามันส์อย่างกับเด็กดูดนม พี่นิคมองหน้าผมงงๆอีกเช่นเคย

ผมลุกขึ้นนั่งค่อมบนตัวพี่นิค จากหน้าที่งงของพี่นิคคราวนี้ยิ้มออกเลยครับ พี่นิคทำท่าจะเอื้อมมือไปหยิบถุงยางอนามัยที่หัวเตียง แต่ผมจับตัวกดไว้ไม่ให้ดิ้นพร้อมพูดขึ้นว่า “มาฮันนีมูนที่ทะเลทั้งที ก็ยังไม่อยากอินของสดๆเหรอ” พูดจบผมก็ไม่ทันให้พี่นิคได้ตั้งแต่อะไร ผมยกก้นตัวเองขึ้น เอามือจับนิคน้อยแล้วนั่งทับลงไปอย่างสุดแรงแบบว่าที่เดียวมิดด้ามไปเลย พี่นิคคงเสียวมากครางออกมาซะยาวพร้อมเด้งตัวรับแทบไม่ทัน แต่ผมนี่ดิ่จุกชะมัด เจ็บด้วยน้ำตาซึมเลย

พี่นิคเห็นอย่างนั้นเลยเอามือมาจับเอน้อยสาวไปมา ซักพักผมปรับตัวได้ก็เริ่มเลยครับ จัดการตัวเองโยกขึ้นโยกลง พี่นิคนอนครางดิ้นเร่าๆ ผมสังเกตว่าถ้าผมเอนไปข้างหลังนิดๆพี่นิคจะเสียวมาก ผมเลยแกล้งเอนไปบ่อยๆครับ พี่นิคนี้ดิ้นพร่านเลย สะใจผมชะมัด

ว่าแล้วพี่นิคก็ปล่อยให้ผมแกล้งพี่แกได้ไม่นาน พี่นิคก็รวบรวมพละแล้วเด้งลุกขึ้นมานั่ง ทำเอาผมสะดุ้งเฮือกทั้งเสียวทั่งเจ็บ ตอนนี้ผมกับพี่นิคอยู่ในท่านั่งหันหน้าเข้าหากัน พี่นิคเอามือมาจับที่สะโพกผมแล้วก็เด้งสะโพกตัวเองเข้าๆออกๆอย่าสะใจ พร้อมกับดึงหน้าผมเข้ามาแล้วจูบปากอย่างเร่าร้อนสุดๆ ลิ้นพี่นิคเข้ามาควานในปากผม ไม่ต่างอะไรกับท่อนข้างล่างที่ควานก้นผมซะยับเยิน

ผมกับพี่นิคครางออกมาอย่างสุดเสียงไม่ต้องอายใคร ไม่สนอะไรอีกแล้ว โลกนี้มีเพียงเราสองคน สองใจสองกายกำลังจะรวมเป็นหนึ่งเดียว เสียงลมหายใจเข้าออกดูเหมือนจะเป็นจังหวะเดียวกัน

ผมเอาปากออกจากปากของพี่นิคแล้วก้มลงดูหัวนมของพี่นิคพร้อมกับกัดตามจังหวะที่พี่นิคเด้งสะโพกเข้าออก พี่นิคเองก็สาวให้ผมใหญ่เลย จนผมทนไม่ไหว

“พี่..ซี๊ดส์.เอ.  อ้าส์สสสสส..เอ..อ่าส์..........จะออกแล้ว.....ซีด........ไม่......ไห....ว....แล้....ว......โอย...อา  อ่า  อ้าส์สสๆๆ”ผมครางพร้อมกับบอกออกมาพี่นิคก็เร่งสาวให้แล้วเจ้าเอน้อยก็พ่นน้ำข้นหวานออกมาเต็มหน้าท้องพี่นิคเลย ผมได้แต่หายใจถี่ๆหอบๆ

แล้วพี่นิคก็ผลักผมนอนลง แล้วยกขาผมขึ้นสูงเลยหัวตัวเองไปอีก ทำให้ก้นผมยกสูงมาก พี่นึกเองก็นั่งเข่าสูงแล้วซอยผมไม่ยั้งเช่นกัน เข้าสุดออกสุดอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเลยว่าหัวผมมันกระแทกกับหัวเตียง แต่ผมเองก็ไม่สนเหมือนกันความเสียวซ่านมันเข้าแทนที่ความเจ็บปวดทั้งหมด ไม่นานพี่นิคก็เด้งเข้าออกอย่างแรงอีกสองสามทีผมก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เจ้านิคน้อยปล่อยเข้ามาในร่างกายผม จนมันไหลเยิ้มออกมาอีกต่างหาก พี่นิคยังคงแช่ไว้อย่างนั้นแล้วค่อยๆก้มตัวที่สั่นเทา มีเหงื่อเต็มหน้า และเม็ดเล็กๆตามตัว มาจูบผมเบาๆที่หน้าผาก

แล้วมาจูบอย่างแรงที่ปากพร้อมกับชักเจ้านิคน้อยออกอย่างเร็วและแรง ทำเอาผมถึงสะดุ้งเฮือก แล้วหันไปค้อนให้พี่นิคที่แกล้งผมทิ้งท้ายแล้วนอนหมดแรงหายใจดังฟืดฟาดอยู่ข้างๆ

“พี่รักเอจังครับ พี่ไม่คิดเลยว่าเราจะมีวันนี้ได้”พี่นิคพูดไปหอบไป

“เอก็รักพี่ครับ”ผมนอนตะแคงแล้วหอมที่อกพี่นิคเบาพร้อมนอนลงซบที่อกทำให้ได้ยินเสียงหัวใจพี่นิคที่ตื่นอย่างดัง พี่นิคก็เอามือมาโอบกอดผมไว้

“รักพี่มากแค่ไหนครับ”พี่นิคถาม

“รักเท่าชื่อเกาะนี้ครับ”ผมตอบ

“รักพี่แค่ล้านเองเหรอ น้อยไปๆ”พี่นิคพูดแล้วหัวเราะเบาๆพร้อมเอามือมาลูบหัวผม

“ไม่น้อยนะตั้งล้าน”ผมแย้ง

“เอครับ งั้นพี่ขออะไรได้ไหมครับ”พี่นิคถาม

“ขออะไรอ่ะครับ”ผมถามคืน

“ภายในเจ็ดวันนี้พี่ขอมีอะไรกับเอเท่ากับชื่อเกาะได้ไหมครับ”พี่นิคพูดออกมาแล้วก็หัวเราะ

ผมไม่ตอบแต่ทุบปลั๊กเข้าให้ที่หน้าอกพี่นิคเบาๆ

...

หลังจากที่เราอาบน้ำกันใหม่ แล้วเดินไปบอกให้แม่บ้านเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่ (ก็ผืนนั้นมันเลอะอ่ะ ทั้งเลือดผมกับน้ำอะไรๆต่อมิอะไรสารพัด จะนอนกันไปได้ยังไง) ผมกับพี่นิคก็มานั่งดูดาวกันที่ระเบียง พี่นิคนั่งยืดขายาวเท้าแขนไปข้างหลัง ผมนอนหนุนตักอยู่

“น่าจะเอา notebook มาด้วยจะได้เข้าไปอ่านเม้นท์ในเล้าซะหน่อย”ผมพูดขึ้น

“เอาอีกแล้วนะ อยู่กันสองคนยังจะมาพูดถึงคนอื่นอีก  แต่จะว่าไปคนในบอร์ดก็เหมือนไม่ใช่คนอื่นเลยนะ พี่ได้คุยด้วยแล้วก็สนุกดี”พี่นิคเสริมแล้วเอามือมาเขี่ยผมของผมเล่น

“อืมใช่ เอว่าเขาเป็นเหมือนครอบครัวกันเลย ว่างๆเราชวนเขามาเที่ยวดีป่ะ ค่าใช้จ่ายเอออกให้เอง”ผมเสนอ

“ออกให้อ่ะดี แต่ไม่ชวน ถ้าชวนมาพี่จะได้สวีทกับเออย่างนี้เหรอครับ”ว่าแล้วพี่นิคก็ก้มหน้าลงมาจูบผม

“จะว่าไปก็แปลกเน๊อะพี่เน๊อะ ถ้าไม่ได้แต่งนิยายเรื่องนี้ เรื่องของเราคงไม่จบลงง่ายๆแบบนี้แน่ ใครนะที่ว่านิยายไร้สาระ”ผมแกล้งถาม

“ใครเหรอครับ พี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย คนนั้นต้องหล่อมากเลยใช่ไหมครับ แล้วก็มีแฟนน่ารักมากๆด้วย”พี่นิคบอก

“ประโยคแรกไม่ใช่ ประโยคสองอ่ะใช่”ผมตอบกลับ

“ไปเถอะเอ เดี๋ยวเสียเวลา”พี่นิคจับผมลูกขึ้น

“ไปไหนอีกอ่ะพี่ มืดขนาดนี้แล้ว แถมอยู่บนเกาะด้วย”ผมถามออกไปแบบงงๆ

“ก็ไปใช้เวลาเจ็ดวันที่คุณแม่ให้มา ให้คุ้มค่าไงครับ เดี๋ยวพี่ทำสถิติไม่ครบตามชื่อเกาะ”พี่นิคพูดแล้วห็หัวเราะ

“บ้า ทะลึ่งใหญ่แล้ว”ผมยิ้มอาย

“มีใครรักคนหล่อที่บ้าและทะลึ่งแบบนี้ไหมครับ”พี่นิคตะโกนออกมา

“เล่นอะไรพี่”ผมกลัวคนอื่นออกมามุงดูที่พี่นิคตะโกนออกไป

“แล้วมีไหมล่ะครับ”พี่นิคถามที่ข้างหูผมเบาๆ

“ก็เอนี่ไงครับ”ผมบอกพร้อมกับจูบปากพี่เขาเบาๆ

“งั้นได้เลยครับ จัดให้”ว่าแล้วพี่นิคก็อุ้มผมเดินเข้าห้อง แล้วก็ปิดประตู (ต่อไปเป็นอะไรคิดเอาเองนะครับ อิอิ)

ความรักที่สร้างร่วมกันมา 7 ปี และเราสองคนจะร่วมสร้างกันต่อไปอีกล้านปีให้เหมือนชื่อเกาะ ถึงแม้คู่เราจะไม่หวือหวา ฮือฮาเหมือนคู่อื่นๆ ไม่ได้เป็นแบบชายหญิงทั่วไป แต่ความรักที่มีให้กัน ถ้าเอามาวัดกันได้ คงไม่น้อยไปกว่าคู่ไหนๆแน่ เพราะคู่ของเราคือ หนุ่ม IT กับ DJ สุดหล่อ

.................................... จบบริบูรณ์ .......................................

เพลงประจำบท

เพลงนี้มอบให้ทุกคนที่เข้ามาอ่าน เข้ามาเม้นท์ มาให้ข้อคิดให้กำลังใจกันมาตลอด ขอบคุณครับ พวกคุณๆจะอยู่ในความทรงจำตลอดไปครับ http://www.imeem.com/sparkbest/music/5Rl0GKhn/august_band/

BeePed

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
เข้ามาจิ้มน้องเอที่น่ารักก่อน  แล้วจะไปอ่านค้าาา

ขอให้น้องเอมีความสุขมากๆนะคะ  กับสถานที่ใหม่สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ

  :L1: :L1: :L1: :L1:

A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
บทจบ --- ความเป็นจริง

“พี่นิค เอขอเอาเรื่องของไปเขียนเป็นนิยายนะ”ผมเอ่ยขึ้นเมื่อหลังสงกรานต์ปีนี้

“จะเขียนไปทำไม ใครเขาจะมาอ่าน ว่างมากนักเหรอ ว่างๆก็มาแหกกฎข้อ 3 กับพี่ดีกว่า”พี่นิคพูดทีเล่นทีจริง

“บ้า พี่อ่ะ ทะลึ่งอีกแล้ว ก็เออยากเขียนอ่ะ เอเข้าไปอ่านเจอนิยายเรื่องหนึ่งเขาแต่งมาจากชีวิตจริง เขียนมาจากไดอะรี่ พี่ลองเข้าไปอ่านดูนะ เรื่องจากเก่งถึงตี๋เล็ก เอจะเขียนแล้วเอาไปโพสไว้ที่นั่น”ผมบอก

“ไม่อ่ะ ไร้สาระ”ว่าแล้วพี่นิคก็ก้มหน้าก้มตาค้นอะไรในหนังสือต่อไป

“ตามใจ ถือว่าบอกแล้วนะ”ผมบอกแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนในคอนโดของพี่นิค

“พี่ก็ตามใจเอเหมือนกัน แต่ถ้าเขียนแล้วมีเรื่องอะไรขึ้นมาอย่ามาว่าพี่ไม่เตือนนะ”พี่นิคเสียงจริงจัง

“ทำไมต้องมีเรื่องด้วย ก็แค่นิยายเอง”ผมบอกอย่างไม่พอใจนิดๆ

“เอก็รู้นิ่ ว่าตอนนี้พี่กับเอบอกเรื่องนี้กับใครได้ที่ไหน ถ้าแต่งขึ้นมาจริงๆก็ต้องมีคนรู้เยอะ แล้วเอจะทำยังไง”พี่นิคพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างซีเรียส

“ก็ไม่รู้อ่ะ จะเขียน จะบอกด้วยว่าเป็นเรื่องจริง จะเอารูปโชว์ประจานเลย”ผมพูดแบบไม่พอใจออกไป เพราะตอนนั้นไม่อยากบอกว่าที่จริงผมตั้งใจเขียนให้เป็นของขวัญที่เราคบกันมาได้ 7 ปี กะว่าจะแต่งให้เสร็จก่อนค่อยบอก

“ทำตัวเป็นเด็กอีกแล้ว แล้วแต่แล้วกัน แต่พี่ว่าไร้สาระ”พี่นิคเสียงเบาลงแล้วกลับไปอ่านหนังสือต่อ

ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มโทรไปหาเพื่อนแต่ละคนที่จะเป็นตัวละครในนิยาย แล้วขออนุญาตเอารูปไปลง ซึ่งบางคนก็ให้บ้างไม่ให้บ้าง ผมบอกว่าเป็นนิยายแต่งเล่นๆ ไม่มีอะไรจริงจัง (ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องระหว่างผมกับพี่นิค เพียงแต่บอกว่าเขียนนิยายแล้วบุคลิกของตัวละครเหมือนเขา ทำไมจะไม่เหมือนล่ะ ก็ตัวเขาเองนิ่ 555) คนที่ไม่ได้รูปผมก็หาเอาในเน็ท แล้วนิยายของผมก็เริ่มขึ้น

...

ตอนแรกที่เข้ามาโพสก็หวั่นๆว่าจะมีคนอ่านไหม เราก็ไม่ใช่นักเขียนอะไร แต่เรื่องนี้เราตั้งใจกับมันมาก ลองดูว่ะเป็นไงเป็นกัน แล้วผลตอบรับกลับมาทำให้ผมมีกำลังใจมากมายในการเขียน ยิ่งกว่านั้นคือ ผมได้ถลำลึกผูกความสัมพันธ์อย่างอบอุ่นกับคนในเล้าไปอย่างไม่รู้ตัว ตอนนั้นพี่นิคก็ยังเอาแต่ว่าผมบ้าแต่งนิยายไร้สาระอยู่ แต่ผมรู้ว่าพี่แกก็เข้ามาแอบอ่านแน่ๆ อิอิ คนฟอร์มจัดอย่างพี่นิคไม่ยอมรับอะไรตรงๆหรอกครับ

และแล้วความสัมพันธ์ของผมกับคนในเล้าก็เพิ่มมากขึ้นโดยมีน้องวิลได้แอด msn มาคุยกับผม ทำให้รู้สึกว่ามีความมั่นใจในการเขียนมากขึ้น จากนั้นมาผมกับน้องวิลก็คุยกันมาตลอด ผมเลยฝากวิลให้เอาไปลงในเด็กดีให้ด้วย ผมกับน้องวิลสนิทกันไวมาก อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้พี่นิคไม่ค่อยมีเวลาให้ผมเพราะต้องเร่งทำวิทยานิพนธ์จบ น้องวิลเลยกลายมาเป็นเพื่อนคุยกับผมแทน ผมกับวิลเราเป็นแบบพี่ชายน้องชายไม่มีเกินเลยไปกว่านี้

จนวันหนึ่งมันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อคนที่เข้ามาอ่านในเด็กดี มาอ้างกับวิลว่ารู้จักกับผมแล้วพยายามที่จะขอเบอร์ผมจากวิลให้ได้ พอไม่ได้ก็หาว่าวิลเป็นเด็กเลี้ยงแกะต่างๆนานา หาว่าปลอมตัวเป็นผมบ้างล่ะ และอะไรอีกสารพัด
ยิ่งวิลเอานิยายที่ผมโพสในเล้าให้ดู (ตอนนั้ยังมีรูปอยู่) เขายิ่งว่าวิลหนักกว่าเดิม เพราะเขารู้แล้วว่าเป็นผมจริงๆที่แต่งขึ้นมา

“พี่เอ มีคนอ่านนิยายแล้วบอกว่ารู้จักพี่เอ จะขอเบอร์โทรพี่อ่ะ ให้ป่าว”วิลถามมาทางโทรศัพท์

“ใครอ่ะ”ผมถามคืน

“เขาบอกว่าชื่อบีม รู้จักกับพี่ตั้งแต่ในเรียนมหาลัย เป็นรุ่นน้องพี่นิค เขามาว่าวิลใหญ่เลยว่าวิลเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ฯลฯ”วิลรายงานพร้อมแกมฟ้องนิดๆ

“อือๆ อย่าเพิ่งให้นะ ให้เมล์ปลอมของพี่ไปก่อน ให้พี่คุยก่อน พี่ไม่คุ้นเลยอ่ะ บีมไหน”ผมบอก

“งั้นพี่คุยกันเอาเองแล้วกัน”วิลโบ้ยให้ผมทันที

“อืมๆ แค่นี้นะกำลังขับรถไปหนองคาย เดี๋ยวโทรหาใหม่”ผมบอกแล้ววางสายทันที

ช่วงนี้หลังจากแต่งนิยายมาได้ซักพักก็รู้ว่าจะมีแต่เรื่องวุ่นๆเข้ามาครับ ก็ได้น้องวิลนี่แหละคอยเป็นที่ระบาย รองรับอารมณ์ผม อิอิ ก็ช่วงนั้นพี่นิคยุ่งมาก ผมเลยไม่อยากให้พี่แกรับรู้อ่ะ อีกอย่างพี่นิคก็ชอบจริงจังมากไป กลัวพี่แกจะวิตกจริตมากไปกว่านี้แล้วเรื่องมันก็เกิดจากนิยายเหมือนที่พี่แกเคยบอกไว้แล้วด้วย ด้วยทิฐิของผมมีเหรอจะยอมบอกให้พี่นิคมาซ้ำเติม

นอกจากปัญหาของบีมแล้ว ยังมีหมอวุฒิที่อยู่ดีๆมาจากไหนก็ไม่รู้มาตามตื้อผมอีก แล้วไหนผมเองจะแอบเทใจนิดๆให้กับน้องปริ๊นซ์ที่ไปเจอโดยบังเอิญ แล้วยังมีงานเข้ามาอีกมากมายก่ายกอง คนที่รู้เรื่องราวของผมช่วงนี้ดีก็คือน้องวิล นอกจากจะรู้แล้วยังคอยช่วยแก้ให้ด้วย

เอาเรื่องหมอวุฒิก่อนแล้วกัน คือแบบว่าผมก็ไปหาหมอตามเรื่องตามราวของผมเป็นปกติ แต่คราวนี้พอหากลับมามีเบอร์แปลกๆโทรมาด้วยแล้วยังมีคนมาขอแอดเอ็มอีก ก็ไม่ใช่ใครเป็นหมอวุฒิ ที่จริงหมอวุฒิก็น่ารักนะครับ หน้าตาหนุ่มไทยแท้คล้ายๆ รุจ the star ผมถามไปถามมาได้ความว่าเอาเบอร์ผมกับเมล์มาจากระเบียนประวัติคนไข้ (ให้มันได้อย่างนี้ซิคุณหมอ) ตอนแรกๆก็โทรมาถามว่าปวดหัวเป็นไง ดีขึ้นไหม ผมนึกว่าเป็นการติดตามคนไข้ แต่พอผ่านไปวันสองวัน มันไม่ใช่แล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าจีบเลยแหละ ผมเลยรักษาระยะห่างไว้แค่คนไข้กับหมอ คิดว่าทุกอย่างคงจบลงง่ายๆ แต่มันก็ไม่จบหมอวุฒิก็ตื้อสุดยอดเลย เรื่องนี้ก็ไม่บอกพี่นิคเลยเพราะกลัวพี่แกกลุ้มใจ เดี่ยวหึงขึ้นมาหมอวุฒิได้นอนรักษาตัวเองแน่

ต่อมาเรื่องน้องปริ๊นซ์ คือตอนนั้นเป็นช่วงไหว้ครู ผมก็กลับไปโรงเรียนเก่าครับ ไปในฐานะผู้มอบทุนการศึกษา ตอนที่ผมเรียนอยู่มัธยมกับมหาลัยอาอี๊จะเป็นคนไปครับ แต่สองปีหลังที่ผมจบมหาลัย อาอี๊ให้ผมเป็นคนไปแทนครับ   ผมเลยไปติดต่อเรื่องให้ทุนเด็ก พอดีเดินผ่านหน้าห้องคณะกรรมการนักเรียน สายตาผมก็เหลือบไปเห็นน้องคนหนึ่งกำลังเดินผ่านมา น่ารักมากๆ ทำเอาผมหยุดเดินเลยครับ ได้ยินแต่เพื่อนเขาเรียกชื่อว่า ปริ๊นซ์ แค่นั้นผมก็ใจจะละลายแล้วครับ ตอนนั้นอยากกลับไปเป็นเด็กอีกเลย ผมไม่เคยเป็นอาการอย่างนี้มาก่อนเลย ผมอยากเดินเข้าไปขอเบอร์น้องเขา ให้ทุนน้องเขาเป็นกรณีพิเศษ อิอิ แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะผมคิดว่านั่นคือการกระทำที่เลวมาก ผมมีพี่นิคสุดหล่อ (แหวะ) อยู่แล้วทั้งคน แล้วทำไมผมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ ผมไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรง่ายๆเลย กับแค่เด็กคนเดียว ผมคิดว่ามันแค่ชั่ววูบแล้วเดี๋ยวมันก็คงหายไป แต่ผมก็ยังคิดถึงน้องเขาบ่อยๆ จนไม่เขาใจตัวเองว่าเป็นอะไร แล้วเรื่องนี้ผมก็ไม่บอกพี่นิคอีก

พอมาถึงเรื่องนายบีม หลังจากที่ผมทนไม่ได้ที่เขามาว่าวิลไว้มากมาย หลังจากที่ได้คุยกันทาง msn ผมเลยตัดสินใจให้เบอร์โทรไปเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของวิล ผลที่ได้ตอบรับกลับมาคือ ดวงความรักของจะมาพุ่งแรงอะไรในตอนนี้อีก บีมคือคนที่แอบชอบผมมานานแล้ว เขาบอกว่าเห็นผมตั้งแต่วันแรกที่เข้ามหาลัย แอบมองผมอยู่อย่างนั้น รู้หมดทุกอย่างว่าผมจะทำอะไร เวลาไหน อะไร ยังไง บีมได้แต่แอบดูผม อยู่ห่างๆมาตลอดเวลาเรียน 4 ปีโดยที่ผมไม่เคยรู้เลย ไม่แปลกที่ผมบอกกับวิลไปตอนแรกว่าผมไม่มีเพื่อนหรือรู้จักคนที่ชื่อบีม จนกระทั่งต่างคนต่างจบออกไป ไปทำงานทำการ บีมก็ได้เข้ามาอ่านเรื่องของผมในเด็กดีที่วิลเอาไปโพส ทำให้เป็นเรื่องขึ้นมานั่นแหละครับ เรื่องนี้ผมก็ไม่กล้าบอกพี่นิคอีก

แล้วไหนจะปัญหาเรื่องงานที่ถาโถมเข้ามา ในตอนนั้น งานที่ผมทำก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่นั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านก็พอ (ไม่ใช่แล้ว) งานที่ผมทำแค่คอยควบคุมและตรวจสอบให้พนักงานทำงานเป็นไปตามเป้าหมายนโยบายของบริษัทก็เท่านั้นแหละครับ นานๆทีผมถึงจะเข้าออฟฟิต ไปให้เขาได้เห็นหน้าว่าเจ้านายยังมีชีวิตอยู่นะโว้ย ส่วนใหญ่แล้วผมก็จะเช็คงานผ่านเมล์ ประชุมทางโทรศัพท์เอาอ่ะครับ ก็งานทุกอย่างมีคนทำไว้ดีอยู่แล้ว ผมเลยไม่ต้องทำอะไรมาก เลยมีเวลาว่างๆมานั่งแต่งนิยายให้พวกคุณๆได้อ่านไงครับ

อาจจะเป็นเพราะความหละหลวมของผมในจุดนี้ก็ได้ ทำให้มีปัญหาเรื่องงานตามมา คือในตอนนั้นมีพวกผู้บริหารระดับอาวุโสเขาทำอะไรในเชิงไม่ชอบมาพากลหลายอย่างครับ ประมาณว่าเห็นผมอายุยังน้อยแล้วมาเป็นหัวหน้าพวกเขาได้ยังไง อีกอย่างสไตล์การทำงานของผมก็ทำตัวง่ายๆสบายๆเป็นกันเอง เขาคงได้ใจครับ ผมเลยต้องออกโรงเชือดไก่ให้ลิงดูครับ ตอนนี้เป็นช่วงประจวบเหมาะกับที่ผมจะต้องไปติดต่องานที่ต่างประเทศด้วย ผมเลยขอโชว์พาวหน่อยเถอะ ให้รู้ซะมั้งว่าเราเด็กแต่ตัวนะโว้ยเรื่องงานน่ะไม่เด็กตาม กลับมาผมก็เช็คบิลกับพวกนั้นหมดเลยครับ สะใจดี แต่ก็เล่นผมเครียดไปหลายสัปดาห์ครับ เพราะปกตินิสัยของผมไม่ชอบทำอะไรใครอยู่แล้ว

ด้วยปัญหาทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นพร้อมกันทีเดียวในช่วงนั้น (ถ้าใครติดตามอ่านเม้นท์ของผมก็จะรู้และเข้าใจได้ดี)แล้วไหนยังจะต้องเที่ยวไปมาหนองคายกับพี่นิคแทบทุกเสาร์อาทิตย์อีก (ตอนนั้นคุณย่าของพี่นิคเริ่มป่วย) ผมเลยเครียดมากเลยครับ ตอนนั้นพี่นิคก็ยุ่งมากมาย ผมก็ไม่กล้าไปเล่าไปขอคำปรึกษาอะไรหรอกครับ แล้วพี่นิคเองก็ไม่เคยถามด้วย (น้อยใจอ่ะ) มีแต่ได้คุยกับน้องวิลทางเอ็มนี่แหละครับ ที่พอให้ช่วงนั้นผมทรงตัวอยู่มาได้

แล้ววันหนึ่งปัญหาทุกอย่างมันก็มาถึงจุดแตกหัก โดยที่ผมบังเอิญเปิดคอมที่ไว้แล้วบีมเข้ามาทัก (ทักยังไงคงพอจะเดาออกมั้งครับ ว่าคนที่แอบชอบผมมา4ปีแล้วอยู่ๆได้กลับมาเจอกันอีกเขาจะทักกันว่ายังไง) แค่นั้นแหละครับเลือดหึงพี่นิคเต็มหน้าเลยครับ ผมกลับเข้ามายังทำหน้าระรื่น ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หารู้ไม่ว่าชะตากำลังจะขาด

“เอ บีมคือใคร”พี่นิคถามขึ้นด้วยเสียงที่ห้วนและดุ ผมยังงงเล็กน้อยเลยไม่ตอบออกไป

“มันเป็นใคร”พี่นิคขึ้นเสียง จ้องหน้าผมเขม็งเลย ผมเริ่มกลัวนิดๆครับ

“ก็คนรู้จักกัน เขามาอ่านนิยายอ่ะ”ผมตอบแบบใจดีสู้เสือ

“ในรู้จักในนิยายอะไรบ้าๆนั่น ทำไมต้องทักมาซะหวานซะขนาดนี้”พี่นิคขึ้นเสียงแทบจะกินหัวผม

อะไรนะนิยายบ้าๆเหรอ เรื่องของเราสองคนนะ เราตั้งใจเขียนเกือบตายมาว่านิยายบ้าๆ เดี๋ยวโดนดีแน่พี่นิค คนยิ่งกลุ้มๆอยู่ ว่าแล้วผมก็ขึ้นเสียงกลับไป

“ใช่นิยายบ้าๆ แต่บีมเขาก็ชอบอ่าน แล้วเขาก็แอบชอบเอมาตั้งนานแล้วด้วย ว่าจะเขียนถึงเขาในนิยายด้วย ยังมีอีก ตอนนี้เอแอบรักน้องปริ๊นซ์ แล้วยังมีหมอโทรมาตามตื้อเอทุกวันเลย พอใจยัง บ้าพอไหม”ผมพูดออกไปแบบโมโหเหมือนกัน แทนที่พี่นิคจะมาให้กำลังใจเรา กลับมาว่าเราซะนี่ ไอ้เรารึก็กลัวว่าพี่แกจะเครียดเรื่องจบกับคุณย่าเลยไม่พูดให้ฟัง ที่ไหนได้มาว่าเราใหญ่เลย

พี่นิคมองหน้าอย่างแครียดแค้นสุดๆ แล้วเดินหนีไปโดยไม่พูดอะไรเลย ปล่อยให้ผมยืนเคว้งคว้างคนเดียวในห้อง
แล้วผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีทุกปัญหารุมเร้า

สามสี่วันผ่านไปพี่นิคไม่โทรมาเลย ไม่มาหาที่บ้านด้วย ผมได้คุย msn กับวิลตลอดในช่วงนี้ถึงเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น ผมเลยตัดสินใจบอกวิลไปว่าถ้าเที่ยงคืนนี้พี่ไม่โพสอะไรในเล้าให้บอกทุกคนไปเลยว่าพี่กับพี่นิคเลิกกันแล้ว คงไม่ได้มาลงนิยายอีกแล้วขอโทษด้วย แล้วผมก็บอกวิลว่าผมจะหนีไปพักผ่อนซักพัก ตอนแรกคิดว่าจะกลับบ้านที่ชล แต่ไม่ดีแน่ กะว่าจะขึ้นเหนือก็ไม่เข้าท่า เลยตัดสินใจไปสิมิลันดีกว่า เรื่องนี้มีแต่วิลกับหนึ่งเท่านั้นที่รู้ เพราะโทรไปชวนหนึ่งด้วย แต่หนึ่งไม่ว่างติดงาน พร้อมกับกำลับวิลว่าห้ามบอกใคร

ว่าแล้วก็จัดการเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วขับรถออกไปเลยตอนตีสามไม่ได้บอกใครแม้แต่อาอี๊ ตอนนั้นกำลังเบลอๆดันลืมเอามือถือไปด้วย แต่ก็ดีเพราะไม่อยากรับสายใครอยู่แล้ว ผมไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สิมิลัน หาบังกะโลเล็กๆเงียบๆ นอนคิดอะไรไปมา แต่ก็อดห่วงคนในเล้าไม่ได้เพราะเรายังลงนิยายไม่จบ เรื่องเรากับพี่นิคก็คงจบลงแค่นี้แล้ว ในเมื่อไม่มีเขาแล้วเราจะเขียนไปให้ใครล่ะ เราตั้งใจให้มันเป็นของขวัญกับเขานี่นา

ผ่านไปหลายวันจนผมสบายใจมากขึ้น คิดว่าถึงคราวที่จะต้องกลับซักที ผลักตัวเองออกมาจากโลกภายนอกซะจนไม่รู้อะไรเลย กลับไปจะเป็นยังไงบ้างนะ ผมเลือกที่จะไปตั้งรับมือกับเรื่องที่จะเจอเมื่อกลับไปที่คอนโดของเจ้าโอ๊ต เพราะอย่างน้อยเจ้าโอ๊ตคงไม่ถามอะไรผมมาก ดีไม่ดีมันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผมไปไหนมา ผมอาจจะแค่บอกว่าคิดถึงเลยแวะมาหาก็แค่นั้น

ผิดคาด พอถึงคอนโดเจ้าโอ๊ตกลับซักผมใหญ่ บอกว่าคุณแม่กับอาอี๊เป็นห่วงมาก มันว่าผมเหมือนผมเป็นน้องมันเลย ผมเลยบอกว่าไปเที่ยวเพลินเลยลืม แล้วผมก็รีบจัดการโทรไปหาคุณแม่กับอาอี๊ทันที อย่างต่อมาผมก็รีบเปิดเข้าไปในเล้า เพราะคิดถึงทุกคนมากมาย แต่ก็ผิดคาดอีก ไปเจอชื่อเจ้าวิลแต่เป็นพี่นิคเขียน ตอนนั้นผมปรี๊ดเลยครับ พาลโมโหวิลไปด้วย อยากบินไปเมกาแล้วเอาแส้เฆี่ยนซะงั้น ก็เจ้าวิลนี่แหละเป็นคนบอกพี่นิคกับบีมว่าผมหนีไปสิมิลัน ทั้งๆที่ผมย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าบอกใคร แถมผมยังรู้มาจากวิลอีกว่าบีมเขาลาพักร้อนเพื่อไปตามหาผมที่สิมิลันเลย (ให้ตายเถอะ ทำไมน่ารักอย่างนี้ น่าจะมาบอกรักตั้งแต่แรกเจอ ไม่น่าปล่อยให้นานตั้ง 7 ปี อิอิ)

และแล้วกว่าทุกปัญหาจะลงตัวก็ใช้เวลานานพอควรครับ น้องปริ๊นซ์หลังจากกลับสิมิลันผมก็ลืมๆไปครับ หมอวุฒิก็ไม่ค่อยโทรมาอีกคงเป็นเพราะผมไม่ได้เอามือถือไปด้วย โทรมาเลยไม่มีใครรับสาย คงเลิกโทรไปเอง ส่วนบีมเองผมก็ยืนยันจุดยืนให้ชัดเจนว่าผมกับเขาเป็นได้แค่เพื่อน และเขาก็สัญญาว่าจะคอยแอบดูอยู่ห่างๆอย่างนี้ต่อไป (น่าสงสาร ที่จริงเรื่องปัญหาทั้งหมดนี้ผมเขียนเป็นตอนพิเศษย่อยๆ ไว้สามสี่ตอนแต่คงไม่ได้เอามาลงแล้วครับ ผมรวบไว้ทีเดียวเลยดีกว่า)

ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี เหลือแต่เรื่องงานที่ผมทิ้งไป ผมต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรซักอย่าง กับเรื่องของพี่นิคที่เขาพยายามจะมาง้อผม (อิอิ คราวนี้ถึงคราวผมเล่นตัวบ้างแล้ว) เรื่องงานผมโดนคุณแม่ให้ไปทำงานที่ออสเตรเลีย ซึ่งผมก็ยอมรับและแลกข้อเสนอว่าถ้าทำสำเร็จแล้วจะขอไปต่อโทรที่อังกฤษ แคมบริจด์มหาวิทยาลัยในฝันของผม ที่จริงคุณแม่ม่ได้ว่าอะไรด้วยซ้ำ ผมขอไปเองมากกว่า ส่วนเรื่องพี่นิคก็นี่เลย อ่านเอา

“เอคร้าบ....เอ.......”เสียงพี่นิคยืนเคาะหน้าประตูห้องผมเกือบๆชั่วโมงแล้ว ผมใจแข็งชะมัดเลย อิอิ ตอนนั้นผมคุยเอ็มกับวิลอยู่อ่ะครับ ก็เล่าให้วิลฟังว่าข้างนอกมีน้องหมามาร้องกวนอยู่ด้วย วิลสงสารเลยอ่ะครับ แต่ผมไม่ใจอ่อนง่ายๆหรอก ชิส์

“เปิดประตูให้พี่หน่อยซิครับ เอครับ.....นะครับ....เอคร้าบบบ”พี่นิคยังคงยืนเคาะแล้วเรียกต่อไป ผมคิดในใจสมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ทำมาเป็นเข้าทางอาอี๊ขอนอนค้างที่บ้านผม แล้วยังมาแอบใช้ชื่อผมที่เปิดทิ้งไว้ไปเม้นท์ในเล้าว่าจะไม่กวนใจเออีกแล้ว จะไปนอนห้องข้างๆ ถ้าเอพร้อมให้เดินไปคุย อย่างนี้ก็เข้าทางผมซิครับ ผมล็อคห้องเลย ไม่มีทางไปหาแน่ๆ

แต่แล้วผมก็ใจอ่อนครับ ที่จริงกลัวว่าเสียงพี่นิคที่เคาะประตูแล้วเรียกผมที่มันดังขึ้นเรื่อยๆ จะได้ยินไปถึงตึกใหญ่ทำให้อาอี๊ตื่น แล้วพี่นิคก็ได้เข้ามาให้ห้อง กว่าจะคุยกันรู้เรื่องผมก็งอนพอเป็นพิธีครับ ตอนนี้ผมถือไพ่เหนือกว่านี่นา แต่ไม่นานพี่นิคก็กลับมาถือไพ่เหนือกว่าผมครับ ก็พี่แกเล่นตอนผมเผลอมาอุ้มผมไปที่เตียงแล้วก็..............(อิอิ ทำไรดีเอ่ย ไม่บอกปล่อยให้จิ้นเองแล้วกัน เป็นการลงโทษทุกคนที่เชียร์พี่นิค ฮ่าๆ สะใจ)

...

แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ผมก็เข้ามาโพสมาลงนิยายไป ทำงานแบบนั่งกินนอนกินของผมไป ศุกร์เสาร์อาทิตย์ผมก็ไปหนองคาย ไปเยี่ยมคุณย่ากับพี่นิค  ตอนนี้เรื่องที่คิดมากก็มีแต่เรื่องที่จะไปออสเตรเลีย แล้ววันหนึ่งที่หนองคายก็เกิดเรื่องจนได้ พี่นิคที่นอนหลับไปแล้ว แต่ผมยังเมามันส์ในการคุยเอ็มกับฟิวส์ พอฟิวส์ออกไปวิลก็เข้ามาผมเลยได้โอกาสแกล้งวิลเลยครับ ล้อวิลแต่เรื่องฟิวส์ ผมบอกว่าชอบฟิวส์มากมาย ชอบคนขี้อ้อนแบบนี้ พี่ขอเป็นแฟนฟิวส์ได้ไหม แล้วเดี๋ยวยกโอ๊ตให้เป็นแฟนวิล ตอนนี้ผมล้อเล่น ไม่คิดว่าวิลเขาจะจริงจังขนาดนั้น วิลงอนผมเลยหาว่าแย่งแฟนน้อง จากที่ผมนั่งแกล้งเขายิ้มหัวเราะสะใจ กลับมาต้องเป็นฝ่ายนั่งเครียดปวดหัวจี๊ดๆขึ้นมา จนต้องปลุกพี่นิคให้พาไปหาหมอกลางดึกซะอย่างนั้น (สมน้ำหน้าตัวเอง อยากแกล้งเขาดีนัก อิอิ) พักหลังๆมาถ้าดูจากเม้นท์ของผมจะเห็นว่าผมเริ่มไม่สบาย ปวดหัวและต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยขึ้น

...


A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
แล้วทุกอย่างก็ดำเนินเรื่อยมาอย่างเป็นปกติจนวันหนึ่งที่ผมนั่งคุยเอ็มอยู่กับคนในเล้า พี่นิคก็โทรมาบอกว่าให้เก็บเสื้อผ้าด่วน คุณย่าอาการหนักมาก ผมฟังแค่นั้นก็คิดแล้วว่ามันเป็นอะไร เพราะก่อนหน้านี้ผมโทรหาพี่หมอทีถามเกี่ยวกับอาการคุณย่า พี่หมอทีก็บอกว่ายากที่จะหาย ได้แต่ยื้อเวลาเท่านั้น (ก็คนแก่อายุแปดสิบกว่า เส้นเลือดในสมองแตก จะผ่าตัดก็ไม่ได้ ผมก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง)

พอไปถึงหนองคายเราก็ตรงไปที่โรงบาลกันเลย ดีที่เราไปทันได้ดูใจคุณย่า เราอยู่จนวินาทีสุดท้ายที่ท่านจากเราไปแล้วงานศพของคุณย่าก็เริ่มขึ้น ญาติพี่น้องของพี่นิคเยอะมาก พี่นิคก็ต้องคอยรับแขกดูท่าจะเหนื่อยๆดวงตายังดูเศร้าๆอยู่ด้วย ผมที่ไปด้วยก็ดูเหมือนจะเป็นส่วนเกินไปเลยช่วงนั้น พูดกับพี่นิควันละไม่เกินสิบประโยคด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะว่าผมเองก็คิดมากเรื่องการวางตัวและพี่นิคเองก็อยู่ในช่วงซึมเศร้าเสียใจ ผมตัดสินใจดทรบอกคุณแม่ว่าจะเลื่อนการเดินทางออกไป ได้วันไหนแล้วจะบอก คุณแม่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร

ญาติๆพี่นิคส่วนใหญ่ก็จะถามพี่นิคว่าทำไมยังไม่แต่งงาน เมื่อไหร่จะมีหลานให้อุ้ม อะไรทำนองนี้ มีคืนหนึ่งผมฝันว่าคุณย่าของพี่นิคมาบอกว่า จะไปออสเตรเลียแล้วไม่คิดถึงคนหนองคายเหรอ ผมก็บอกว่าคิดถึงแต่ก็ต้องไป คุณย่าบอกว่า ก็ได้แต่คิดถึง คงมีหลานให้ย่าอุ้มไม่ได้ แล้วคุณย่าก็เดินส่ายหัวหายไป

หลังจากคืนนั้นผมก็เริ่มคิดอะไรหลายๆอย่าง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงพร้อมกับที่ผมจะไปออสเตรเลีย เรื่องบางอย่างที่แม้แต่พี่นิคเองก็เคยรู้

หลังจากเอาอังคารคุณย่าไปลอยเสร็จ ผมกลับมานอนพักที่บ้านพี่นิคกะว่าไว้เย็นๆค่อยขับรถกลับขอนแก่นกัน แต่ผมก็นอนป่วยไข้ขึ้นจนต้องได้เข้าโรงบาลอีกรอบ หลังจากนั้นพอกลับมาขอนแก่นผมเลยวางตัวห่างๆกับพี่นิค พยายามจะบอกว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้เลย อีกอย่างปัญหาที่ผมกำลังเผชิญ ปัญหาที่พี่นิคไม่เคยรู้มันกำลังจะชนะผมแล้ว

มันผิดที่ผมเอง ถ้าผมไม่รักพี่นิคตั้งแต่วันนั้น เรื่องต่างๆพวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ผมเป็นใครมีสิทธิ์อะไรที่จะไปทำลายความหวังของครอบครัวพี่นิค ขนาดความหวังของครอบครัวตัวเอง เรายังทำให้ไม่ได้เลย ที่พี่นิคไม่ยอมมีคนอื่นเพราะเขายังมีเรา ถ้าเราไปออสเตรเลียแล้ว พี่นิคคงลืมเราง่ายขึ้น แต่เพื่อให้เด็ดขาดแล้วต้องให้พี่นิครับกับเราว่าจะยอมแต่งงานกับคนที่ทางบ้านหาให้ หลังจากจบโทมาแล้วหนึ่งปี ถ้าพี่นิคไม่แต่งเราจะไม่ยอมกลับมาที่ไทยอีก ถ้ากลับมาเราก็จะหาคนมาแต่งงานด้วยทันที คิดว่าหน้าตา ฐานะอย่างเราคงหาได้ไม่อยาก (เพื่อนเจ้าโอ๊ตก็เยอะแยะ สาวบัญชีสีชมพู สวยๆน่ารักกันทั้งนั้น อิอิ ขอสักคนคงไม่เป็นไร ตอนนั้นคิดอย่างนั้นจริงๆ)

ผมไม่อยากให้พี่นิคมาจมปลักอยู่กับผมอย่างน้อย ผมรู้ว่าถ้าผมไม่ใจแข็งอดทนในตอนนี้ แล้วถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา พี่นิคจะต้องไม่ยอมมีคนอื่นแน่ๆ ผมเลยต้องชิงบอกเลิกเพื่อกันเหตุการณ์นั้นที่มันจะเกิดขึ้น

การที่ผมตัดสินใจอย่างนี้ไม่ใช่ผมไม่เจ็บ ผมเจ็บถึงกับล้มป่วยทานข้าวปลาไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าจะให้ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวมาเจ็บแบบผม หรือเจ็บแบบที่พี่นิคเป็นอยู่ ผมทำเหมือนพี่นิคไม่มีตัวตนในสายตา มองไปเหมือนมองทะลุอากาศไปซะอย่างนั้น

เข้ามาอ่านในเล้าก็มีทั้งกำลังใจ ข้อคิดต่างๆให้ผมกับพี่นิคมากมาย แต่ผมตัดสินใจไปแล้วคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ถึงคราวมันจบก็ต้องจบ จนผมอ่านมาเจอเม้นท์ของพี่นิคที่บอกว่า ส่งเรื่องนี้ไปให้เจ้าโอ๊ตอ่านแล้ว ตอนนั้นถ้าเป็นไปได้ผมอยากฆ่าพี่นิคให้ตายเลย เหมือนฟ้าถล่มดินทลายลงต่อหน้าต่อตาผมทันที ผมคิดว่าชาตินี้ยังไงๆ ผมกับพี่แกคงไม่ได้มาเจอกันอีกแน่ ผมเกลียดไอ้พี่นิคมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(ในตอนนั้น)

แต่พอมาอ่านเม้นท์ของทุกคนแล้วก็มาเจอเม้นท์ของเจ้าโอ๊ตทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก แต่ผมก็อายน้องมันอยู่ดี เจ้าโอ๊ตโทรมาหาผมไม่กล้ารับเลย แต่เรื่องพี่นิคผมยังยืนยันการตัดสินใจเดิมของผมว่าพี่แกกับผมต้องจบกันให้ได้

และแล้วพอถึงวันก่อนวันอาสาฬหบูชาหนึ่งวัน อาอี๊ก็บอกให้ผมชวนพี่นิคไปวัดด้วย ผมที่ไม่คุยกับพี่นิคมาหลายวันก็ตัดสินใจบอกโดยการไปเม้นท์ในเล้า ถ้าเข้ามาเจอก็เจอ ถ้าไม่เจอก็แล้วไป

ในที่สุดพี่นิคก็เข้ามาอ่านจนได้แล้วพี่นิคก็มาที่บ้านผมทันที พอมาถึงพี่นิคก็เคาะประตูตามเดิม ผมยังไม่เปิดทันที แต่ยื่นกระดาษปึกหนึ่งให้พี่นิคอ่าน มันเป็นตอนจบของเรื่องจากเก่งถึงตี๋เล็กครับ

พอพี่นิคอ่านจบก็บอกผมว่าอ่านจบแล้ว ผมถึงยอมเปิดประตูให้เข้ามา

“ทำไมเอต้องให้พี่อ่านอะไรนี่ด้วย เอครับเอเป็นอะไร พี่ขอเหตุผลจากเอหน่อยซิครับ เออย่าทำตัวแบบนี้ได้ไหม”พี่นิคถามมาเป็นชุด

“ถ้าเรื่องของเราจะจบอย่างนี้พี่จะว่ายังไง ถ้าเอไปแล้ว เอ...”ผมพูดไม่ออก ไม่กล้ามองหน้าพี่นิค เดินกลับมานั่งบนเตียง

“เอเป็นอะไร คิดมากอีกแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไง เอแค่ไปออสเตรเลียสามสี่เดือนก็กลับ”พี่นิคเดินเข้ามาตรงหน้าผมแล้วก็ถาม

“ถ้าเอ บอกพี่ว่าที่เอไปออสเตรเลียเป็นเพราะเอขอไปเองไม่ใช่คุณแม่บอก แล้วไม่ใช่ไปเรื่องงาน พี่จะว่ายังไง”ผมพูดออกมาเสียงเบาๆ

“แล้วเอจะไปทำไมครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรที่เออยากจะเลิกกับพี่ อยากให้พี่ไปแต่งงาน”พี่นิคถาม

“เอ .... เอไม่อยากให้พี่มาจมอยู่กับเออย่างนี้ เอรู้ว่าที่พี่ไม่มีใครเพราะว่ามีเออยู่ ถ้าเอไปเราคงจบกันได้ ให้พี่มีคนอื่นอยู่ต่อไป ทำความหวังของครอบครัวพี่ไง”ผมพูดพร้อมร้องไห้ออกมา

“เอ เอพูดอะไรครับ พี่ไม่เข้าใจ ทำไมเอคิดอย่างนี้ เอเป็นอะไรไปนิ่”พี่นิคนั่งลงข้างๆผม

“เอไม่ได้เป็นไมเกรนอย่างที่พี่หรือคนอื่นๆเข้าใจ เอมีเนื้อร้ายที่ก้านสมอง พี่เข้าใจเอหรือยัง”ผมบอกออกมาความลับที่ผมปิดใครต่อใครมาเกือบ 4 ปี

ผมตรวจเจอตอนอยู่มหาลัยปีสามครับ (ตอนนั้นพี่นิคกลับอยู่บ้านที่หนองคายเพราะเรียนจบแล้ว จะมาหาผมวันพฤ.-จ.) ตอนนั้นผมก็คิดว่าปวดหัวธรรมดา ไปหาหมอตอนแรกๆก็บอกว่าผมเครียดคิดมาก ให้ยาคลายเครียดมาทาน มันก็ไม่หาย พี่หมอทีก็พาไปอีก คราวนี้บอกว่าผมเป็นไมเกรน ให้ยาไมเกรนมาทาน แต่ด้วยความช่างสังเกตและความเป็นหมอของพี่หมอทีเลยพาผมไปตรวจเช็คอยู่อีกสามสี่ครั้ง จนครั้งสุดท้ายถึงรู้ว่าผมมีเนื้อร้ายงอกอยู่ที่บริเวณก้านสมอง ทำให้ผมชอบปวดหัวและเป็นโรคอื่นๆตามมา

ตอนนั้นผมอึ้งๆปนตกใจแต่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะรุนแรงแค่ไหน คิดว่าผ่าตัดคงหาย แต่ที่ไหนได้พอหมอเรียกเข้าไปคุยด้วย ผมอยากตายลงตรงนั้นเลยครับ ผมจำวันนั้นได้ดี มีผม พี่หมอที แล้วก็หมอที่สแกนสมองให้ หมอบอกว่าอาการของผมค่อนข้างหนัก มันลามไปถึงก้านสมองแล้ว ที่ก้านสมองนี่จะมีตัวควบคุมการสั่งงานหลายอย่างในร่างกายเรา มันค่อนข้างอันตรายมากถ้าจะผ่าตัด หมออยากให้เรียนจบก่อน ค่อยว่ากันอีกที ตั้งแต่นั้นมาผมก็ต้องไปหาหมอเป็นประจำ โดยบอกให้คนอื่นรู้แค่ว่าผมเป็นไมเกรน ผมขอร้องพี่หมอทีไม่ให้บอกใครเด็ดขาด

ผมไม่อยากให้คุณแม่กับอาอี๊มาห่วงผมมากไปกว่านี้ ดีไม่ดีถ้ารู้ว่าผมเป็นอะไรอาจจะให้ผมลาออกแล้วไปรักษาตัวเลยก็ได้ ซึ่งผมไม่มีทางยอม ผมได้แต่เก็บเรื่องนี้ตลอดมากับพี่หมอที ไม่บอกใครเลย

ผมกะว่าไว้เรียนจบค่อยบอกกับทางบ้าน เรื่องรักษาเพราะคิดว่ามันคงไม่สายเกินไป ช่วงนี้ก็ทานยาควบคุมไปก่อน
พอรับปริญญาเสร็จผมก็ปรึกษาพี่หมอทีเรื่องการรักษาทันที พี่หมอทีนัดผมมาเจอที่กรุงเทพแล้วไปหาเพื่อนของคุณพ่อพี่หมอทีที่เก่งเรื่องสมองโดยเฉพาะ แต่คุณอาหมอบอกว่ามีโอกาสน้อยมากที่ผ่าตัดแล้วจะฟื้นไม่ถึง 10 % ด้วยซ้ำ เพราะมันเกี่ยวกับก้านสมอง ตอนนี้ผมรู้สึกช็อคครับ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นหนักมากขนาดนี้ เหมือนโลกทั้งใบมันหมุนติ้วๆเลย ทำเอาผมกว่าจะทำใจได้ก็หลายเดือนร่วมปี

ผมเลยถามคุณอาหมอว่าแล้วถ้าอยู่ต่อไปอย่างนี้ จะเป็นยังไง คุณอาหมอก็บอกว่าให้อย่างมากสามปี แต่อาการมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมปรึกษากับพี่หมอทีอีกทีว่าควรเสี่ยงดีไหม พี่หมอทีก็บอกว่าให้บอกกับที่บ้าน แต่ผมยังบอกไม่ได้ ถ้าผมผ่าตัดแล้วไม่ฟื้นล่ะ ที่บ้านไม่ลำบากแย่เหรอ มีลูกนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ผมเลือกที่ใช้ชีวิตแบบปกติดีกว่าถึงแม้ว่ามันจะอีกแค่สามปี แต่ดีกว่านอนนิทราเป็นสิบๆปีแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังเป็นภาระให้คนอื่นอีก พี่หมอทีก็เคารพการตัดสินใจของผม และยังคงปิดเรื่องนี้ต่อไป

ที่ผมตัดสินใจอย่างนี้เพราะว่าอย่างน้อยสามปีนี่ ผมยังทำอะไรได้อีกเยอะ อย่างน้อยก็จะทำให้ความหวังของครอบครัวให้สำเร็จไปหลายข้อ นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้มันก็สองปีกว่าๆจะสามปีแล้ว ผมเริ่มสังเกตเห็นว่าตัวเองอาการแย่ลงไปมาก ต้องพึ่งยาบ่อยๆถี่กว่าเดิม เริ่มเข้าโรงบาลบ่อยมากขึ้นเพราะบางทีมันปวดถึงกับไม่ได้สติก็มี

ยิ่งตอนไปงานศพคุณย่าพี่นิค ผมเห็นหลายคนเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับทำให้ผมคิดถึงคุณแม่กับอาอี๊และเจ้าโอ๊ตขึ้นมาทันที จะเป็นยังไงถ้าเขาเหล่านั้นต้องมางานศพผม แล้วพี่นิคล่ะจะตัดใจจากเราได้ไหม ถ้าไม่ได้พี่นิคต้องไม่ยอมมีคนอื่นแน่ แล้วเรื่องที่ครอบครัวพี่นิคหวังอีกล่ะ ผมเลยตัดสินใจที่จะเลิกคบกับพี่นิคให้มันเป็นจริงเป็นจังซะที

โดยอาศัยข้ออ้างที่จะไปทำงานที่ออสเตรเลียนี่แหละ ผมจะหายไปจากชีวิตเขา ที่จริงผมขอคุณแม่ไปออสเตรเลียเอง เพราะพี่หมอทีติดต่อเพื่อนของคุณอาหมอที่จะคอยดูแลผมไว้ด้วย ประจวบเหมาะกับที่ญาติผมไปขยายกิจการที่นั่นพอดี เลยได้โอกาส ผมรู้ว่าการไปของผมครั้งนี้มันยากที่จะกลับมาอีก ผมเลยต้องเลิกกับพี่นิคก่อนให้ได้ เพื่อให้พี่นิคไม่มาจมปลักอยู่กับผม ส่วนเรื่องอาการป่วยผมจะบอกทางบ้านก็ต่อเมื่อถึงวันที่ผมทนไม่ไหวกับอาการนั้นแล้วจริงๆ ไว้ให้เขามาดูใจทีเดียวเลย หรือไม่ก็ไว้ผมจากไปแล้วค่อยบอกทีเดียว ผมคิดอย่างนั้นจริงๆเพราะผมคงทนเห็นคุณแม่มานั่งร้องไห้ไม่ได้

ในคืนก่อนวันอาสาฬหบูชาปี 2551 เวลาตีสองกว่าๆ ผมอธิบายให้พี่นิคเข้าใจที่ไปที่มาทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้ง โทรไปรบกวนพี่หมอทีให้ช่วยยืนยันอีกด้วย ผมก็เอาฟิล์มที่ X-ray สมองของผมให้พี่นิคดูด้วย

“ทำไมเอไม่บอกพี่ เอเห็นพี่เป็นอะไร เอไม่มีความเชื่อใจพี่แล้วเหรอ หรือว่าเอไม่รักพี่แล้วจริงๆ”พี่นิคพูดออกมาหลังจากรับรู้ข้อมูลทั้งจากผมกับพี่หมอที พร้อมกับสะอื้นไห้เข้ามากอดผม ยิ่งทำเอาผมร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก

“เพราะเอรักพี่ไง เอไม่อยากให้คนที่เอรักต้องมาเสียใจเพราะเอ ชีวิตของเอมันถูกกำหนดวันระยะเวลาเอาไว้แล้ว แต่คนที่รักเอเขายังต้องอยู่ต่อไป เอให้เขามีเสียใจกับเอนานๆไม่ได้หรอก เอสงสารเขา พี่เองก็เหมือนกัน ถ้าเอไปแล้วก็เหมือนกับว่าเราจบกันไปเถอะ”ผมพูดแล้วยังสะอื้นไห้อยู่ พี่นิคเองก็ไม่ต่างอะไรไปจากผมมากนัก เอาแต่ร้องไห้สะอึ้กสะอื้นอย่างเดียว

“หยุดร้องเถอะพี่ รู้อย่างนี้เอไม่บอกดีกว่า”ผมพูดทั้งที่ตัวเองยังร้องอยู่เหมือนกัน

“ที่เอตัดสินใจบอกพี่ เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่เอยังไม่ได้ทำ เออยากให้พี่ช่วยทำต่อจากเอ แต่พี่ต้องรับปากก่อนว่าพี่จะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ อาอี๊ เจ้าโอ๊ต เพื่อนๆของเอ ให้บอกได้วันที่เอบอกให้บอก หรือวันที่ไม่มีเอแล้ว พี่รับปากเอก่อน”ผมพูดปนเสียงสะอื้นเคล้าน้ำตา

พี่นิคได้แต่พยักหน้าในอ้อมกอดของผม ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา พี่นิคกอดผมราวกับว่าผมจะหนีพี่เขาไป กอดเหมือนกับว่าจะไม่ได้กอดผมอีกแล้ว

“สิ่งที่เออยากทำคือบวชให้คุณพ่อคุณแม่ แต่เอคงทำไม่ได้ เออยากให้พี่นิคบวชอย่างน้อยสามเดือน บวชตอนที่เสร็จงานเอแล้วก็ได้ ถือว่าเป็นการบวชให้เอด้วย เออยากให้พี่กับพี่หมอทีเป็นคนเอาร่างของเอกลับเมืองไทย ไม่ให้คุณแม่ไปเด็ดขาด จัดงานของเอที่บ้านสวน เสร็จแล้วเอาไปลอยทั้งหมดที่เกาะล้าน เอจะได้ไปอยู่กับคุณพ่อ ไม่ต้องให้ใครเก็บกระดูกเอไว้เลยแม้แต่คนเดียว ให้พี่ช่วยดูแลคุณแม่กับเจ้าโอ๊ตแทนเอด้วย อาอี๊ด้วยอีกคนนะ ตอนงานของเอ เออยากให้พวกเพื่อนๆ พี่ๆที่ทำงานในองค์การมาร่วม เออยากเห็นพวกเขา พวกคนในเล้าด้วย พี่พามาได้ไหม”ผมบอกอย่างเสียงเรียบสงบ เพราะผมคิดและทำใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว พี่นิคไม่ตอบอะไร

“ทุกอย่างเอพิมพ์ไว้หมดแล้ว ลงชื่อกำกับด้วย พี่จะทำอะไรไม่ต้องกลัว เอาที่เอพิมพ์เป็นหลักฐานได้เลย พี่แค่ทำตามที่เอพิมพ์ไว้เท่านั้นแหละ คอยเวลาที่เอจากไป พี่ก็ทำได้เลย”ผมบอกอย่างเบาๆ ตั้งแต่กลับมาจากงานศพคุณย่าพี่นิค ผมก็คิดว่าผมเองต้องเตรียมงานของตัวเองไว้บ้าง เพราะผมเองก็จะอยู่ได้อีกไม่นานเหมือนกัน

“เอเหลือเวลาเท่าไหร่”พี่นิคพูดเสียงอู้อี้ออกมา ยังคงก้มหน้ากอดผมอยู่

“หมอบอกอย่างเก่งหกเดือน อย่างช้าสามเดือน”ผมบอกทำเอาผมใจหายแวบๆเหมือนกัน

“เอไม่ไปได้เหรอ เออยู่กับพี่นะครับ ถึงตอนนี้พี่จะบอกกับทุกคนเอง พี่ไม่แคร์ใครแล้ว พี่ขอโทษพี่ดูแลเอไม่ดีเอง พี่ไม่ใส่ใจเอเอง ถ้าพี่ใส่ใจพี่คงรู้เรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว”พี่นิคเริ่มพูดแต่ยังฟังลำบาก เพราะมีเสียงสะอื้นมาตลอด

“ไม่หรอกพี่ เป็นอย่างนี้ดีแล้ว เอเลือกที่จะไปเพราะไม่อยากให้คนที่เอรักมานั่งเสียใจแบบพี่ตอนนี้ไงครับ”ผมบอกพาลเอาจะร้องไห้อีกรอบ เมื่อนึกถึงคุณแม่ต้องมานั่งร้องไห้แบบนี้ ดังนั้นผมคิดว่าผมตัดสินใจไม่ผิดที่จะไปโดยไม่บอกอาการป่วยกับใครเลย จนนาทีสุดท้ายของผมให้เขาได้รู้แล้วเสียใจทีเดียวเลยดีกว่า

“ให้พี่ไปอยู่กับเอได้ไหม พี่ทำเรื่องจบเสร็จพี่จะตามไปเลย”พี่นิคบอก

“อย่าเลยพี่ เออยากไปอยู่ของเออย่างสงบๆ ในช่วงสุดท้ายของเอ ที่นั่นก็มีหมออยู่แล้วด้วย ก็คงไปช่วยงานบริษัทของญาติ ว่างๆก็ไปรักษากับหมอ คงไม่มีอะไร”ผมบอกอย่างตัดใจสุดๆ ผมเตรียมอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ตอนแรกกะว่าจะไม่บอกด้วยซ้ำว่าไปเพราะอะไร แล้วทำไมถึงอยากให้พี่นิคเลิกรักผมแล้วไปแต่งงาน

“พี่รักเอนะครับ เอ พี่รักเอ”พี่นิคร้องไห้อีกรอบพร้อมบอกรักผมทำเอาผมร้องตามอีกด้วย

“เอก็รักพี่ครับ”ผมบอกออกไปก่อนที่จะหอมแก้มพี่เขา แล้วก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอารมณ์พาเราไป

...

หลังจากคืนนั้น พี่นิคก็มาอยู่กับผมทุกวินาทีเลย ยกเว้นตอนอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ เหมือนจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เอาใจผมทุกอย่างไม่มีขัด แต่ผมก็ยังวางตัวเหมือนเดิมคือนิ่งเฉยเป็นส่วนใหญ่ พูดเฉพาะเรื่องที่จำเป็น ไม่ใช่เล่นตัวอะไรหรอกครับ เพียงแต่ไม่อยากให้ใจตัวเองที่เข้มแข็งขึ้นมากลับลงไปอ่อนแออีกครั้ง

ผมร่ำลากับอาอี๊เสร็จก็ขับรถกับพี่นิคมาชลบุรี มานอนกับคุณแม่หนึ่งคืน พร้อมกับรับคุณแม่ไปส่งผมด้วย คุณแม่ พี่นิคแล้วก็ผม มาที่คอนโดของเจ้าโอ๊ตกันก่อน เป็นครั้งแรกที่ผมเจอหน้าโอ๊ตหลังจากที่โอ๊ตรู้ความจริงเรื่องผมกับพี่นิค

โอ๊ตได้แต่มองหน้าผมกับพี่นิคอย่างยิ้มๆแล้วก็วางตัวเป็นปกติ มีแต่พี่นิคที่ดูจะซึมไปมากกว่าวันก่อนอีก คุณแม่ก็พูดน้อยลง ผมเองก็เพลียๆยังไงไม่รู้ ผมเรียกโอ๊ตเข้ามาคุยกันสองต่อสองในห้องนอนของเจ้าโอ๊ต โดยปล่อยให้คุณแม่กับพี่นิคนั่งดูทีวีฆ่าเวลาไปก่อน

“ว่าไงครับพี่เอ”เจ้าโอ๊ตถามผมเมื่อเดินเข้ามาในห้อง

“โอ๊ต พี่ไปแล้วดูแลคุณแม่ดูๆนะ ถ้าว่างๆก็ไปเยี่ยมอาอี๊ที่ขอนแก่นด้วย”ผมบอก

“ครับ อันนี้โอ๊ตรู้อยู่แล้ว”เจ้าโอ๊ตทำหน้าเหมือนถามว่ามีอะไรอีกไหม

“แล้วเรื่องพี่ห้ามบอกใครนะ ทำเป็นไม่รู้ไปซะ”ผมกำชับอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“พี่นั่นแหละจะทำให้คนอื่นเขารู้ วิตกไม่เข้าเรื่อง”เจ้าโอ๊ตมันทำมาเป็นสอนผม

“อีกอย่างรับปากแล้วก็สัญญากับพี่ว่าจะไม่เข้าไม่อ่านในนั้นอีก”ผมต้องให้เจ้าโอ๊ตรับปากเพราะไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าโอ๊ตมาอ่านตอนจบก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่ผมปิดมาทั้งหมดก้จะพังลง

“โหย........โอ๊ตบอกแล้วไงไม่เข้าก็คือไม่เข้า พี่เอครับอย่าคิดมากดิ่ พี่ไปนอนพักได้แล้ว เดี๋ยวเย็นๆจะมาปลุก
โอ๊ตออกไปดูทีวีกับคุณแม่กับพี่เขยก่อน ฮ่าๆ”เจ้าโอ๊ตพูดเสร็จก็วิ่งออกไป

...
เวลา 22.33 น.ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

“คุณแม่พากันกลับไปได้แล้ว เออยู่ได้ พรุ่งนี้โอ๊ตมีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ พี่นิคก็ต้องเตรียมตัวสอบจบอีก”ผมบอกแต่ใจก็หายๆชอบกล

“ไม่เป็นไร พี่ขับรถกรุงเทพไปชล จากชลไปขอนแก่น แป๊บเดียวก็ถึง”พี่นิคพูดด้วยเสียงที่เรียบๆดวงตาเศร้าๆ

“นิคมีสอบอะไร ไม่เห็นบอกแม่เลย ไม่เอาไม่ได้แล้ว กลับกันดีกว่า”คุณแม่เพิ่งรู้ว่าพี่นิคมีสอบก็ออกอาการเกรงใจขึ้นมาซะงั้น คุณแม่ลุกขึ้นยืนทำท่าจัดกระเป๋าถือเหมือนเตรียมตัวจะกลับ

ผมเลยที่นั่งอยู่เลยเดินเข้ามา หยุดยืนที่หน้าคุณแม่แล้วก็พนมมือกราบลงไปที่ตรงอกคุณแม่ คุณแม่ก็กอดผมไว้ทันที “เอรักคุณแม่นะครับ ช่วงที่เอไม่อยู่คุณแม่ดูแลสุขภาพดีๆนะครับ อย่าหักโหมกับงานมากนะครับ เอดีใจและโชคดีที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นลูกคุณแม่ครับ”ผมพูดออกมาแล้วน้ำตาก็ไหลริน นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายของผมที่จะได้กราบคุณแม่ที่อกอุ่นๆในอ้อมกอดนี้

“เอเองก็ดูแลตัวเองดีๆนะ สุขภาพก็ไม่ค่อยดีนิ่ ตั้งใจทำงานช่วยอากู๋เขารู้ไหม เอทำได้แม่ก็ดีใจ ลูกเป็นสุขแม่ก็พอใจแล้ว”คุณแม่บอกแล้วก็หอมแก้มผมเบาๆทั้งสองข้าง ผมก็หอมคืนบ้าง

“พี่เอหวัดดีครับ อย่าลืมของฝากให้โอ๊ตนะครับ ขอสาวออสซี่สวยๆซักคนก็พอ”เจ้าโอ๊ตยกมือไหว้ผมแล้วพูดออกมา

“โอ๊ตเราเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เลิกทำนิสัยทะเล้นเป็นเด็กๆได้แล้ว อะไรที่ช่วยคุณแม่ได้ก็ช่วยนะ อีกหน่อยเราต้องดูแลแทนคุณแม่ทั้งหมด แล้วอย่าลืมที่พี่บอกล่ะ ตั้งใจเรียน ว่างๆก็ไปหาอาอี๊บ้าง โอ๊ตเป็นน้องที่ดีของพี่นะ”ผมพูดพร้อมเอามาลูบหัวเจ้าโอ๊ต

“พี่เอก็พี่ชายคนดีที่หนึ่งเลยครับ”เจ้าโอ๊ตทำหน้าทะเล้นตอบกลับมาพร้อมกับโผล่กอดผม นานมากแล้วที่ผมกับเจ้าโอ๊ตไม่ได้กอดกันแบบนี้ แค่ก็คงเป็นอ้อมกอดครั้งสุดท้ายเหมือนกันซินะ

“พี่นิค เอไปก่อนนะครับ โชคดีในการสอบนะครับ เอจะคอยฟังข่าวดี”ผมยกมือไหว้พี่นิคแล้วพี่นิคก็ไหว้ตอบ พร้อมเดินเข้ามากอดแล้วตบหลังผมเบาๆ เหมือนที่ผู้ชายทั่วๆไปเขาทำกัน

“พี่รักเอนะครับ มีอะไรเอรีบบอกพี่เลยนะครับ จำไว้นะพี่รักเอ”พี่นิคพูดเบาๆที่ข้างหูผม

“ครับเอจะจำไว้ตลอดไป พี่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แทนเอให้คุ้มค่าด้วยนะครับ เอฝากชีวิตครึ่งหนึ่งของเอไว้ที่พี่นะครับ ขอบคุณนะครับพี่นิค ขอบคุณ”ผมกระซิบกับก่อนที่พี่นิคจะผละตัวออก

แล้วผมก็หันหน้าไปทางวัดพระแก้ว ผมพนมมือขึ้นตั้งจิตอธิษฐานขอให้การเดินทางครั้งนี้ของผมปลอดภัย ขอให้ท่านคุ้มครองทุกคนที่ผมรักและที่รักผมมีความสุข ถึงแม้ว่าผมจะอยู่แล้วหรือไม่ก็ตาม ผมก้มลงมองที่พื้นสนามบิน นี่แผ่นดินไทย คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นและได้เหยียบสัมผัสในชีวิตนี้

ผมเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองใครอีกเลย ทางเดินที่ผมเลือกแล้ว ทางเดินนี้จะพาผมไปถึงที่สุดท้ายของชีวิต แค่นี้ผมก็มีความสุขมากพอแล้ว

24 ปีที่มีคุณแม่
 22 ปีที่มีเจ้าโอ๊ต
7 ปีที่มีพี่นิค
มันเพียงพอแล้ว พอแล้วจริงๆ
ที่เหลือคือเวลาอีกไม่มากที่ผมจะต้องใช้กับตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตนี้ 

.................................... จบบริบูรณ์ .......................................

เพลงประจำบท

เพลงนี้มอบให้พี่นิค เออยากให้รู้ว่าชีวิตของเอครึ่งหนึ่งอยู่ที่พี่ ให้พี่ใช้ชีวิตที่เหลืออีกครึ่งให้เต็มที่ให้คุ้มค่าแทนเอด้วยนะครับ http://www.imeem.com/fairypla/music/duMnysMe/anm/

BeePed

  • บุคคลทั่วไป
อ่าน post สุดท้ายแล้วช็อคเลยคะ  น้องเอเป็น brainstem tumor มาตั้งสี่ปี

ขอออกไปทำใจแลัวจะมาเม้นท์ใหม่คะ  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

---------------------------------------------------------------------
กลับเข้ามาเม้นท์ใหม่หลังจากไปตั้งสติทำใจได้

ถึงแม้พี่จะไม่เคยได้รู้จักน้องเอเป็นการส่วนตัว แต่เท่าที่พี่สัมผัสได้จากเรื่องเล่าของน้องเอ
น้องเอเป็นคนดี คิดดีทำดี จึงมีแต่เพื่อนดีและคนรอบข้างที่หวังดีกับน้องเอ
น้องเอเขียนเล่าเรื่องของน้องเองและแทรกข้อคิดดีๆให้ผู้อ่านได้คิดตามนั้น ถือเป็นวิทยาทาน
และการทำบุญทำกุศลอย่างหนึ่งเหมือนกัน ขอให้บุญกุศลนี้จงดลบันดาลให้น้องเอมีแต่ความสุข
ในตลอดช่วงเวลาที่เหลืออยู่นะคะ  :L1: :L1: :L1: :L1:
 
มีพบก็มีจาก ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมของโลก

น้องเอจ๋า พี่เคารพในการตัดสินใจของน้องเอนะคะที่ตั้งใจไปใช้เวลาช่วงสุดท้ายอยู่ออสเตรเลีย

แต่พี่ว่าถ้าเราได้ใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตอยู่กับครอบครัว อยู่กับคนที่เรารักและคนที่รักเรา
มันน่าจะดีมากๆเลยนะคะ และพี่เองก็คิดว่าถ้าน้องเอจากไปโดยไม่ได้อยู่กับคุณแม่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
หลังจากนั้นคุณแม่ของน้องเอคงต้องรู้สึกผิดและโทษตัวเอง ที่ไม่มีโอกาสได้ดูแลน้องเอแน่ๆเลยคะ 
:sad2: :sad2:

สุดท้ายนี้ขอให้น้องเอมีความสุขมากๆนะคะ พี่ขอเป็นกำลังใจให้คะ
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2008 11:21:02 โดย BeePed »

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
อ่านเวอร์ชั่นแรกจบนั่งยิ้มแก้มปริเลยครับ

แต่พออ่านเวอร์ชั่นจริงขอบอกว่ามันจุกจริงๆ

ย้อนกลับไปอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง

มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขียนใช่มั๊ยอ่าคับ  :sad2:

ความรู้สึกตอนนี้มันบรรยายออกมาไม่ถูกเลย พิมพ์ไม่ออกแล้ว

 :serius2:   :sad2:   :serius2:   :sad2:

ไม่ว่ายังงัยก็ตามผมก็ขอเป็นกำลังใจให้พี่เอและพี่นิคเสมอน่ะคับ จากใจ

nefkung

  • บุคคลทั่วไป
เป็นยังงี้ทุกที ทุกเรื่อง มาดีๆๆๆตลอด 


แต่จบยังงี้ทุกที  :a6:


ไม่เข้าใจจริงๆ


คงไม่ได้กินข้าวเที่ยงอีกแล้ว ( กินไม่ลง ) :sad2:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

 o7

 o13


อิเจ้  กระเทยตาบวม

TAMAKUNG

  • บุคคลทั่วไป
 :a6: :a6:

จบแล้วเหรอยัง ตามอ่านไม่ทันเลย



แต่เห็นเม้นท์  แล้ว  หมดรมย์เลย


ยังไม่อ่านล่ะกันนะครับ


เพราะว่าต้องสอนเด็ก  เด๋วไม่มีรมย์ไปสอน  หรือ ตาแดงๆๆๆไปสอนเด๋ว  เด็ก แซว

j0e

  • บุคคลทั่วไป
อ่านละใจหายแว๊บ แต่ก็ไม่เป็นไรนินา ...


ตราบใดที่ยังอยู่ในสังสารวัฏ เราก็มีวันได้เจอกันอีกเรื่อยๆแหละครับ
แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมแค่นั้นเอง ขอให้มีสติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนะครับ


ขอให้ใจมีแต่กุศล จิตสุดท้ายที่กำลังจะดับไปเป็นตัวตัดสินว่าเราจะไปเกิดใหม่ที่ไหน



มรณสติทุกวันนะครับ
บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าทำไม ขอให้ยกให้คุณเอ และทุกๆ ท่าน เพื่อนำพาไปสู่การหลุดพ้นจากกองทุกข์ในเร็ววันครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด