ร้านอาหารอิตาเลี่ยนแถวทองหล่อเป็นจุดหมายในการไปกินอาหารเย็นของวันนี้ ผมลงจากรถหรูตอนที่เดินเข้าไปในร้านที่ตกแต่งด้วยสีขาว เราเลือกที่นั่งที่ค่อนข้างจะส่วนตัว สั่งอาหารสองสามอย่างกับไวน์แดงที่รสชาติเข้ากันกับอาหาร
“ ถามหน่อยสิ หมอทำงานที่นี่ตั้งแต่เรียนจบเลยเหรอ "
“ ก็นะ ตอนที่ต้องไปใช้ทุน ทางโรงพยาบาลก็ดึงตัวมาที่นี่แล้วก็ จ่ายส่วนที่ต้องใช้ทุนให้ "
“ แสดงว่าเป็นคนเก่งงั้นสินะ " ผมบอกอีกคนก็ยิ้ม
“ เรียกว่าได้โอกาสที่ดีกว่าคนอื่นดีกว่า "
“ ถ่อมตัวจังนะหมอ " ผมแซวอีกคนก็ยิ้มก่อนจะตั้งคำถาม ถามผมบ้าง
“ แล้วทำไมหมออินถึงย้ายไปเรียนเฉพาะทางที่อเมริกาละครับ " คำถามที่ทำให้ผมหุบยิ้มลงช้าๆ ตอนที่มองหน้าอีกคนที่ตั้งคำถาม หมอพจน์ก็ขมวดคิ้วสงสัย " ถ้าไม่อยากตอบ ไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ "
“ อกหักนะครับ เลยต้องหนีไปพักใจ " ผมยิ้มตอนที่ตอบคำถามแต่อีกคนที่ตอนนี้กลับนั่งนิ่งไปแล้ว
“ อำป่ะเนี้ย "
“ ไม่ได้อำ " ส่ายหน้าให้อีกคนที่คิดว่าผมโกหก " แต่จริงๆจะพูดว่าอกหักก็คงไม่ใช่ เพราะผมเองก็ไม่ได้โดนบอกเลิก จะว่าไงดีละ เมื่อก่อนคบผู้ชายคนในเวลาเดียวกันน่ะครับ แบบว่า คนนึงก็รัก อีกคนก็รัก อยากได้ทั้งคู่เลย ทั้งๆที่คนนึงมีแฟนอยู่แล้วเค้าก็ต้องเลิกกับแฟนเพื่อให้ผมมีความสุข แต่ว่าความรักแบบนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่มีความสุขหรอก พอคิดได้ก็เลยถอยออกมาน่ะ "
“ เรื่องจริง " อีกคนถามผมก็พยักหน้า
“ เรื่องจริงสิ อีกอย่างที่ไม่ทำงานที่เก่าก็เพราะว่าไม่อยากเจอคนเก่าๆน่ะ " ผมยิ้ม แต่ทว่าอีกคนกลับหัวเราะออกมา
“ ไม่เชื่อหรอกหมอ ไม่ต้องมาอำกันเลย หมอจะเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง ผมไม่เชื่อหรอก " อีกคนก็ยังยืนยันที่ไม่เชื่ออยู่แบบนั้นผมเองถอนหายใจออกมา
“ งั้นก็ตามใจแล้วกัน ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ แต่อย่ามาหาว่าไม่ได้บอกกันทีหลังไม่ได้นะหมอ "
“ จริงๆเหรอครับ " สายตาจริงจังที่มองมา ผมพยักหน้า
“ แล้วทำไม ผมต้องโกหกเรื่องราวแย่ๆนั้นด้วยละ " ยิ้มให้อีกคน ที่ก็พยักหน้าเข้าใจ อาหารที่ถูกเสิร์ฟก่อนจะเริ่มกินอีกคนก็พูดขึ้น
“ แต่อดีตมันก็แค่อดีตนั่นแหละ อยู่กับปัจจุบันดีกว่า "
“ งั้นปัจจุบันตอนนี้ก็ต้องกินนะสิครับ " ผมว่าติดตลกแต่อีกคนก็แค่ยิ้ม ก่อนจะก้มลงกินอาหารตรงหน้า บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารดำเนินต่อไปเรื่อย วีรกรรมสมัยเด็กถูกหยิบยกมาเล่าให้ฟังจนกลายเป็นความขำขันระหว่างมื้ออาหาร
“ ตอนเด็กๆ หมอไม่มีอะไรตลกๆบ้างเหรอ "
“ เคยถูกน้องชายเพื่อนสนิทคิดว่า เป็นผู้หญิงน่ะ " ผมบอก " เมื่อก่อนมีเพื่อนคนนึงที่สนิทกันมาก เค้ามีน้องชาย แล้วน้องชายก็คิดว่าผมเป็นผู้หญิง เอาลูกอมมาให้บ้าง เอาขนมมาให้บ้าง วันวาเลนไทน์ก็มีดอกไม้ "
“ ตอนนั้นอายุเท่าไหร่ละครับ "
“ น้องชายเพื่อนอยู่อนุบาล แต่ผมคงประมาณป.สอง ป.สามมั้ง จำไม่ได้แล้วละ รู้แค่ว่าถูกชอบมากถึงขั้น อยากจะขอแต่งงานด้วยนะ " หมอพจน์หัวเราะออกมาตอนที่เล่าเรื่องเล่าอดีตของตัวเองให้ฟัง
“ ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วตอนนี้ละ "
“ ตอนนี้คงไม่อยากแต่งงานด้วยแล้วละ เค้าก็มีคนพิเศษที่เค้าอยากจะแต่งงานด้วยแล้ว "
“ แล้วเค้ามารู้ความจริงว่าหมอเป็นผู้ชายตอนไหนละครับ "
“ ตอนที่ผมไปว่ายน้ำที่บ้านเค้านะ ตอนนั้นไปว่ายน้ำที่บ้านเค้า ใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว เค้าเลยรู้ว่าเป็นผู้ชาย ร้องไห้งอแงใหญ่เลย " คิดถึงตอนนั้นก็ได้แต่หัวเราะขำ ไอ้ไฟตอนนั้นน่ารักจริงๆ เด็กตัวเล็กแก้มกลมๆแดงๆ น่าฟัดที่สุด ผมที่อยากได้น้องชายยังชอบหอมแก้มมันบ่อยๆเลย
“ คงเพราะมีไอ้นั่นเหมือนกันใช่มั้ย "
“ คิดว่าคงเป็นแบบนั้นแหละ " ผมยิ้มให้อีกคน ตอนที่บกไวน์ขึ้นมาจิบคนตรงหน้าก็ยิ้ม " ยิ้มอะไรครับ "
“ ไม่มีอะไรหรอก "
“ แปลกๆนะ หมอน่ะ "
“ ผมแปลกเหรอ " อีกคนชี้เข้าหาตัวเองก่อนจะยกไวน์ขึ้นจิบเช่นกัน " แปลกตรงไหนล่ะครับ "
“ ก็อยู่ๆยิ้มออกมาอย่างงั้น ไม่แปลกได้ไง ยังกับพวกโรคจิตเลย "
“ ก็คนตรงหน้าผมน่ารักนิ " สายตาที่จ้องมองผม แอบยิ้มนิดๆ อีกคนก็ดึงตัวเองมานั่งค้ำกับโต๊ะด้วยสองมือ " แค่เห็นหน้าหมอก็รู้สึกว่า ยิ้มได้ทั้งวันแล้วละ " เค้าก้มหน้าลงตอนที่พูดคำนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม " ช่วยตรวจหน่อยได้ครับว่าผมเป็นอะไร "
“ ผมเป็นหมอเด็กนะ คงช่วยไม่ได้หรอก ตัวเองเป็นศัลยแพทย์แท้ๆ ไม่รู้หรอกเหรอว่าเป็นอะไร "
“ คงเป็นโรคตกหลุมรักมั้งครับ "
“ มุขประหลาด " บอกอีกคนแบบนั้น แต่ถึงอย่างงั้นก็หยุดยิ้มไม่ได้เลย
“ ก็เวลาเห็นหมอยิ้มแล้วผมต้องยิ้มตามทุกทีเลย "
“ งั้นก็ไม่ต้องดู " ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง แต่อีกคนก็ยังมองมาด้วยรอยยิ้มอยู่ดี
“ ยังไงก็น่ารักวะ "
“ พูดมากจังหมอ " ผมบอกอีกคนก่อนจะหันไปทางอื่น " กลับบ้านได้แล้วครับ ผมมีงานที่ต้องทำอีกนะ "
“ ยังอยากอยู่ด้วยกันต่ออีกหน่อย " หมอพจน์บอก
“ อยู่โรงพยาบาลเดียวกันจะมาหาเมื่อไหร่ก็ได้ ทำเหมือนอยู่ไกลกันนักล่ะ "
“ ก็มันไม่ว่างนี่ครับ อยู่โรงพยาบาลเดียวกันยังนานๆครั้งถึงจะเจอหมอเลย " หัวเราะกับท่าทางจริงจังนั้นผมพยักหน้ารับ
“ งั้นต่อไปจะเดินผ่านแผนกหมอบ่อยๆแล้วกัน หมอจะได้เห็นหน้า ดีมั้ย "
“ ไม่ใช่ว่าเดินผ่านบ่อยจนรุ่นน้องในแผนกเข้าไปจีบละ ผมมาก่อน ผมหวงนะหมอ "
“ เรื่องมากจังนะครับ " บอกแบบนั้นก่อนยิ้ม หมอพจน์เรียกเก็บโต๊ะถึงผมจะบอกว่าจะเลี้ยง แต่ก็ดูเหมือนว่ามื้อนี้จะเป็นอีกมื้อที่อิ่มจังตังค์อยู่ครบ
บนรถที่เงียบสงบมาตลอดทาง ผมที่นั่งมองไปนอกหน้าต่างเพลินๆพอรู้สึกตัวอีกทีรถก็จอดลงที่ลานจอดรถแล้ว " ถึงแล้วครับ " เสียงคนขับบอกผมก็หันไปยิ้มให้
“ ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆ แล้วก็เรื่องเล่าตลกๆนะครับหมอ "
“ อิน " ผมหันไปจ้องอีกคนที่หันมามองผมเช่นกัน " ถ้าเรียกแบบนี้จะได้มั้ยครับ "
“ ได้สิ "
“ งั้นต่อไป อินก็เรียกผมว่า พจน์นะ " พยักหน้าไปให้ ใจผมก็เริ่มเต้นแรงบรรยากาศแบบนี้ไม่น่าจะแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้เท่าไหร่
“ อื้ม "
“ ถ้าขอพูดอะไรสักหน่อยจะเร็วไปมั้ย ถ้าอยากจะบอกว่าคบกับผมน่ะ อินจะตอบตกลงรึเปล่า " ก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ผมยิ้มให้อีกคนที่กำลังมองผมอย่างจริงจัง ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่มันยังไม่ใช่ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยเหมือนอย่างใครคนนั้นที่เคยเข้ามา มันเป็นความรู้สึกที่แค่ว่า คุยกันได้ แต่ก็แค่คุย ไม่ได้มีความรู้สึกที่อยากจะรัก ไม่ใช่ว่าไม่ดี แค่ไม่ใช่
“ พจน์ ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆนะ แต่ว่า มันจะดีกว่านะ ถ้าเราเป็นแบบนี้ไปก่อน มันเร็วไปสำหรับการขอคบกันนะ " ผมบอกอีกคนก็ยกยิ้ม
“ คิดไว้แล้วแหละ ว่าคงตอบแบบนี้ " อีกคนว่า " ยังลืมรักครั้งเก่าไม่ได้เหรอ "
“ ไม่ใช่นะ " ผมรีบปฎิเสธออกไป ถึงแม้จะปฎิเสธออกไปได้ไม่เต็มปากก็เถอะ ยอมรับความอดีตมันสอนให้ผมระวังกับปัจจุบัน แล้วบอกกับตัวเองเสมอว่า ถ้ายังไม่ใช่จะไม่ให้ใจใครเด็ดขาด จะไม่ให้ความหวังใครเอาไว้เผื่อเลือกอีกแล้ว " แค่อยากให้มันนานกว่านี้ ช่วงเวลาที่เรารู้จักกันมันอาจจะนาน แต่นี่แค่ครั้งแรกเองนะที่เราได้ไปกินข้าวด้วยกัน อินอยากให้พจน์รู้จักอินมากกว่านี้ก่อนจะขอคบกับอินนะ อย่างน้อย หาเวลามากินข้าวได้ได้ครบห้าครั้งก่อนเถอะ "
“ ถ้าขอทานข้าวครบห้าครั้งสำเร็จ มาขอเป็นแฟนอีกครั้ง อินจะรับพจน์ไว้พิจารณามั้ยละ "
“ ถ้าถึงตอนนั้น เดี๋ยวจะบอกเอง " ยิ้มให้กับอีกคนที่ก็พยักหน้ารับ
“ คงเร็วไปสินะ สำหรับคำขอเมื่อกี้นะ ขอโทษแล้วกัน "
“ ขอโทษทำไม เรื่องแค่นี้เอง ผมสิต้องขอโทษ ที่ไม่ได้ตอบตกลง "
“ ถ้าตอบตกลงเพราะความเกรงใจกัน ความรักมันก็ไม่มีค่าหรอกครับ " พูดออกมาแบบนั้นพร้อมกับมือที่ยื่นมาลูบหัวผม " ไม่เป็นไร ยังไงก็จะรอวันที่อินพร้อมนะ "
“ รอไหวรึไง "
“ ไหวสิ " ว่าแบบนั้นก่อนมือที่ลูบหัวจะตกลงมาที่ต้นคอของผม เราที่กำลังยิ้มให้กันไร้เสียงสนทนาใดต่อจากนั้นมีแค่มืออุ่นที่ลูบเบาๆที่ต้นคอ สายตาที่สบกันบรรยากาศเงียบๆที่ชวนให้ใบหน้าเข้าใกล้กัน ใบหน้าคมที่เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมผมก้มหน้าลง
“ ไหนบอกว่ารอไหวไงครับ " พจน์ยิ้มตอนที่ผมพูดพูดแยยนั้น เค้าปล่อยมือจากหลังคอของผม " งั้นไปก่อนนะ "
“ จะไปส่งที่รถนะ "
“ ไม่ต้องก็ได้ มันก็แค่ตรงนี้เอง กลับเองได้ครับ ขอบคุณมาก " ผมประตูเปิดออก แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาออกไป มือหนาก็ดึงเข้าไปใกล้เสียก่อน จมูกคมที่ก้มลงหอมแก้มผมทำเอาทุกอย่างนิ่งไปหมด ตอนที่หันไปมองหน้าเค้า พจน์ยิ้มให้ผม
“ มัดจำไว้ก่อนนะ "
“ แต่ครั้งหน้าไม่ให้แล้วนะ " พูดแค่นั้นผมก็ก้าวออกจากรถ " เจอกันพรุ่งนี้ "
“ ครับผม "
ปิดประตูลงตอนที่ได้ยินคำนั้น ผมที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถตัวเองในช่วงเวลาที่เงียบสงบนั้นอยู่ๆก็มีเสียงรถฉุกเฉินวิ่งข้ามา รถพยาบาลที่จอดลงตรงหน้าโรงพยาบาล เตียงผู้ป่วยก็ถูกเข็นลงมาด้วยความรีบเร่ง
“ ผู้ป่วยเป็นเด็กอายุ 8 ขวบ เกิดอาการหอบอย่างหนักครับ " เสียงบุรษพยาบาลที่วิ่งมาด้วยความรีบร้อนกับผู้ป่วยเด็กที่กำลังใส่เครื่องช่วยหายใจ ร่างที่กระชับกระช่ายไปมานั้นทำให้ผมที่กำลังกลับบ้านเปลี่ยนใจวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลทันที
“ เรียกคุณหมออินมาทีนะ " พยาบาลห้องฉุกเฉินที่หันไปบอกกับพยาบาลอีกคนที่เอ่ยอย่างรีบร้อน
“ คุณหมออินออกเวรไปแล้วค่ะ "
“ ไม่มีคุณหมอแผนกเด็กเลยเหรอ "
“ ผมอยู่นี่ครับ " ขาที่วิ่งเข้าไปขัดการสนทนานั้น
“ คุณหมอ เด็กแปดขวบค่ะ เกิดอาการหอบอย่างรุนแรง "
“ รู้ประวัติการรักษาของเด็กรึเปล่า " ตอนที่มือไปจับกับเตียงของผู้ป่วยแล้วมองหน้าเด็กคนนั้น อยู่ๆร่างทั้งร่างของผมก็ชาไปหมด
“ ไม่ทราบค่ะ " พยาบาลตอบคำถามนั้น ก่อนจะหันมาเรียกผมที่เหมือนจะนิ่งไป " คุณหมอ คุณหมอค่ะ "
“ ครับ "
“ ไม่ทราบประวัติของคนไข้ค่ะ "
“ ฉีดยาขยายหลอด " ผมบอก เธอก็พยักหน้า " เด็กหญิงมิลาน ชื่อเล่นชื่อน้องอลิซ อายุแปดขวบ เป็นหอบหืดตั้งแต่กำเนิด ไม่มีประวัติแพ้ยา "
“ ค่ะ "
การรักษาพยาบาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผมทำทุกอย่างสุดความสามารถให้การรักษาให้เด็กผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ปลอดภัย เครื่องช่วยหายใจที่ถูกใส่เอาไว้ผมยิ้มให้กับร่างตรงหน้าก่อนจะยื่นมือไปเกลี่ยแก้ม
“ เป็นเด็กลูกครึ่งที่น่ารักจังเลยนะคะ "
“ ลูกเสี้ยวน่ะครับ " ผมบอก " พ่อเป็นลูกครึ่งส่วนเด็กคนนี้น่ะ เป็นลูกเสี้ยวอิตาลี "
“ คุณหมอรู้จักผู้ป่วยด้วยเหรอค่ะ " พยาบาลที่ยืนข้างกันถาม
“ น้องเคยเป็นผู้ป่วยของผมที่โรงพยาบาลเก่านะครับ "
“ อ๋อ แบบนั้นนี่เอง แต่หน้าตาน่ารักมากเลยนะคะ คุณพ่อคุณแม่ต้องหล่อต้องสวยแน่ๆ " ผมถอนหายใจออกมาทันทีตอนที่ได้ยินคำนั้น มือที่เลื่อนขึ้นห่มผ้าให้อีกคนผมหันไปบอกนางพยาบาล
“ ย้ายไปห้องพิเศษได้เลยนะ "
“ ค่ะ คุณหมอ "
“ ไม่เจอกันนานเลยนะอลิซ " ผมก้มลงพูดกับเธอก่อนจะยิ้มออกมา มองรูปร่างที่เติบโตขึ้นภายในสี่ปี อยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมจับมือเธอ " ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับ คนสวยของอา " ลูบหัวเธอเบาๆ ยังคงคิดถึงคำพูดน่ารักที่แสนขี้อ้อนนั่นได้อยู่เลย เสียงใสๆที่คอยเรียกผมตลอดเวลา มันน่ารักเสียจนทำให้อดคิดถึงไม่ได้
“ คุณหมอค่ะ ขอย้ายเตียงเด็กนะคะ "
“ ครับ " ดึงตัวเองออกห่างจากเธอ พยาบาลก็ย้ายอลิซออกไปจากห้องฉุกเฉิน ประตูเลื่อนที่เปิดออก ผมมองตามเตียงที่เลื่อนออกไป ก่อนจะหยุดอยู่ที่ร่างสูงที่ตอนนั้นไม่ได้มองมาที่ผมเลยสักนิด แต่กลับรีบร้อนตรงเข้าไปหาลูกสาวตัวเองที่ถูกเข็นออกไป
“ โรม..”
สี่ปีที่ผ่านไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสำหรับใครคนนั้น หัวใจของผมเต้นแรงตอนที่มองดูมันก้มลงที่เตียงของอลิซแล้วลูบหัวเธอเบาๆ มือที่จับมือของลูกมัน ถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความโล่งอก
“ ป๊า ขอโทษนะ อลิซ "
“ ยังเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเหมือนเดิมเลยสินะ " ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตาตอนที่ประตูฉุกเฉินนั้นปิดลงช้าๆ ใบหน้าคมนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี แต่มันคงไม่เห็นผม " ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะมึง "
แล้วกูก็หวังว่า คงจะไม่ได้เจอกันอีกนะ
..................................................
ยังเป็นแค่ตอนพิเศษ ตอนแรกนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปก่อนนะ
ฝากด้วยนะคะ
ใครมีทวิต ฝากแท็ก #Choiceต้องเลือก
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า
