ตอนที่ 26
เรียกว่าต้องรอจนกระทั่งเตรียมตัวเข้านอนตอนเกือบ 4 ทุ่ม เกียถึงจะยอมบอกว่า วันนี้มีความคืบหน้าอะไรบ้าง
“เกีย ไม่มีเงื่อนไข หรือต่อรองสักครั้งไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ครับ” เกียพูดยิ้มๆ จนอีกฝ่ายไม่รู้เหมือนกันว่ามันแปลว่ายังต่อรองได้ หรือ แปลว่าไม่ควรต่อรองกันแน่
“วันนี้พอง ไม่พูด ไม่ทำอะไรที่ทำให้เกียงานงอกแล้วนะ เล่ามาสักทีเหอะว่าเมื่อเช้าไปโรงเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง แล้วไปที่วัดวันนี้มีความคืบหน้าอะไร”
เกียยักไหล่ เดินตรงไปที่ห้องนอนของข้าวพอง
แต่ข้าวพองรู้ทันแล้วว่า เกียจะใช้แผนเดิม ก็คือเกียจะพูดไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็คือตื่นนอนขึ้นมากับคำถามว่า แล้วเราถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปแล้วหรือยัง
พอเข้ามาในห้องนอน ข้าวพองก็รีบไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กหน้ากระจก
เกียยิ้มขำ เดินไปนั่งบนเตียงนอน
...นั่งเสียห่างเชียว...
“ไปโรงเรียนตอนไหน” เมื่อไม่ยอมเล่า เราก็ต้องเป็นคนถาม
“กลับมาบ้านกับธีระแล้วพี่ไปที่ สน. พอดีร้อยเวรเขาจะไปที่โรงเรียน ก็เลยตามเขาไปด้วย”
ข้าวพองทำหน้าตาไม่อยากเชื่อ “ตำรวจเขาก็ให้ตามไปด้วยเนี่ยนะ”
เกียยักคิ้ว “บังเอิญว่า พี่พอจะมีผลงานดั้งเดิมเป็นที่น่าเชื่อถือ แล้วพี่ก็ไม่ได้ไปแทรกแซงการทำงานของเขานี่”
ข้าวพองโบกมือ “แล้วได้อะไรบ้าง”
เกียพยักหน้าช้าๆ “ก็หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน”
“เรื่องที่ 1”
เกียตะแคงใบหน้าด้านข้างเข้าหาคนถาม “ยังไงนะครับ”
“ก็ที่บอกว่าหลายเรื่องน่ะ บอกเรื่องแรกมาก่อน ..” หนุ่มตัวเล็กพูดต่อ “วิดีโอน่ะ”
“อาจารย์บรรณารักษ์ให้ตำรวจไปตั้งแต่วันแรกแล้วครับ”
“แล้วไง” ข้าวพองอยากรู้
“จากภาพ....เย็นวันนั้น มีนักเรียนที่เข้าไปในห้องสมุดก่อนและหลังแป๋มหลายคน”
เพียงแค่เกียเริ่มเข้าเรื่องที่อยากรู้ หัวใจของข้าวพองก็เต้นแรง
“มีคนที่รู้จักมั้ย”
เกียพยักหน้า แล้วลุกมาดึงมือข้าวพองให้เข้ามานั่งข้างๆ โอบไหล่บางไว้
“ฟังนะครับข้าวพอง จากภาพที่เรามี มันบอกได้แค่ว่าพวกเขาเพียงแค่เข้าไป แล้วออกมา ไม่มีใครเห็นว่า เกิดอะไรขึ้น
“พวก...เขา....”
ยิ่งเกียพยายามเกริ่นเรื่องทำความเข้าใจ ข้าวพองก็ยิ่งเครียดกว่าเดิม
“ข้าวพองครับ”
“เกีย พวกเขาเป็นใคร”
เกียขยับตัวหันมากอดข้าวพองไว้ เพราะข้าวพองไม่ได้แสดงอาการแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่มันคือสัญญาณเตือน ว่าข้าวพองมีความเปราะบางที่ซ่อนอยู่มากกว่าที่คิด
หลายชั่วโมงที่ผ่านมา เจ้าตัวมีท่าทีกระตือรือร้นสนใจทุกเรื่องก็จริง
แต่ที่จริงในใจมีแต่คำถามที่ว่าใครฆ่าแป๋มอยู่ตลอดเวลา เป็นการแสดงออกที่เหมือนกับการใช้ท่าทีไม่สนใจใคร เพื่อบดบังคำถามเรื่องแม่กับเพชรแท้
“เลิกเรียน มีนักเรียน 2 คนเดินเข้าไปในห้องสมุด มีครูคนหนึ่งเข้าไป จากนั้นก็เป็นกลุ่มเด็กนักเรียนที่ติดยา ที่พี่เคยเจอที่บ้านเพื่อนของข้าวพองครั้งก่อน ต่อมาก็เป็นแป๋ม อีกประมาณ 2 นาทีถัดมาเป็นเบซซี่ ถัดมาแล้วก็เป็นไทนี่หว่อง.....”
ร่างกายผอมบางในอ้อมแขนเกร็งขึ้น แล้วเริ่มสั่นแรงขึ้นจนเกียต้องย้ำอีกครั้ง
“มันแปลว่าพวกเขาเข้าไปในห้องสมุดในเวลาเดียวกับที่แป๋มเข้าไป ความหมายของมันมีแค่นั้น เข้าใจมั้ยครับ”
“ทำไมมีเบซซี่” ข้าวพองพูดเหมือนละเมอ “ทั้งที่พองอยากให้เบซซี่ช่วยดูแลป๋อม”
“คนที่ทำร้ายแป๋มอาจไม่ใช่เบซซี่ เพราะเบซซี่เข้าไปครู่เดียวก็ออกมา อาจแค่เอาหนังสือไปคืนเท่านั้น”
ข้าวพองพยักหน้า “เบซซี่ไม่เห็นเล่าว่า ไปห้องสมุด”
“ไว้เราค่อยคุยกับเบซซี่ดีมั้ยครับ”
ข้าวพองกอดเอวหนาๆ ไว้ “ตำรวจจะสอบปากคำเบซซี่มั้ย”
คนตัวโตพยักหน้า “เห็นว่าติดต่อกับผู้ปกครองแล้วครับ”
“เกีย พอง...กลัว”
เกียลูบแผ่นหลังบางอย่างเข้าใจ
“ข้าวพองครับ นอกจากเบซซี่ มีไทนี่ เพื่อนของข้าวพองรู้จักแล้ว ยังมีคนที่อยู่ในนั้น ตั้งแต่ก่อนเลิกเรียนด้วยนะครับ”
หนุ่มตัวเล็กส่งเสียงอือ “อันนั้นก็คิดอยู่ แต่ไม่คิดว่า จะมีคนที่รู้จักอยู่ด้วย”
“อย่าเพิ่งรีบกล่าวหาเบซซี่สิครับ”
ข้าวพองได้แต่ส่ายหน้า จนเกียต้องพูดต่อ
“เบซซี่กับแป๋มเคยมีเรื่องขัดใจกันมั้ยครับ”
ข้าวพองคิดตาม คนที่น่าจะมีปัญหากันมากที่สุดคือกลุ่มที่ใช้ยาเสพติด
“ข้าวพองครับ พี่บอกในสิ่งที่ข้าวพองอยากรู้ไปแล้ว ข้าวพองก็ไม่ควรทำให้งานสืบเสียหาย เพราะเรายังมีอีกหลายคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ เราจะไม่กล่าวหาใครเพียงเพราะเขาอยู่ในห้องสมุดเวลาเดียวกับที่แป๋มอยู่ ตกลงมั้ยครับ”
“โอเค” ข้าวพองบอกแล้วนึกขึ้นได้ “วันนี้ตอนพักกลางวัน เบซซี่รอกินข้าวด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะพองระแวงไปเองหรือเปล่า พองรู้สึกว่า กำลังถูกใครหลายคนมองอยู่” หนุ่มตัวเล็กพยายามอธิบาย “คือพองก็มองบวกไว้ก่อนนะ ว่าไมเคิล กับเพื่อนๆ หรือไอ้แมทธิวมันมองเพราะเห็นว่า พองสนิทกับแป๋ม แต่มันก็...ไม่รู้สิ มันยังไงไม่รู้...”
เกียใช้ 2 มือประคองใบหน้าข้าวพองให้เงยหน้าขึ้นมามอง
หลายชั่วโมงผ่านไป อาการต่างๆ จะจางลง แต่สิ่งยังอยู่ก็คือ ความกังวลและสับสน
“ข้าวพองเริ่มมึน งง ตั้งแต่พักกลางวันเป็นต้นไป หรือก่อนพักกลางวันครับ”
คิ้วคมขมวดคิด “หลังกินข้าวกลางวันมันจะแบบอะไรไม่รู้วุ่นวายอยู่ในหัว แต่พอเข้าเรียนไปสักวิชา ก็ไม่ค่อยเป็นไรแล้ว”
เกียยิ้มจางๆ “ข้าวพองครับ จะเป็นไรไหม ถ้ามื้อกลางวัน พี่จะเอาข้าวกล่องไปส่งที่โรงเรียน”
ข้าวพองยิ้มแปลกๆ “อะไรนะ”
“พักเที่ยง ห้ามกิน ห้ามดื่ม ตรงมาหาพี่ที่ลานจอดรถ กินข้าวเสร็จ ก็เข้าห้องเรียนเลย ทำอย่างนี้จนกว่าจะสอบเสร็จ”
“แล้ว....”
“บอกเขาว่า ข้าวพองถูกพี่คุมประพฤติอยู่ ออกมาคนเดียว ไม่ต้องพาใครมา ดูสิว่าพี่จะรักษาอาการแบบนี้ของข้าวพองได้ไหม”
ข้าวพองยกตัวขึ้นกอดคอ แนบแก้มต่อแก้ม
“ได้”
การที่อยู่ในอ้อมกอดแล้วฟังที่เกียบอกมันก็ง่าย แต่ข้าวพองยังไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าเมื่อพบกับเบซซี่อีกครั้ง จะสามารถแสดงออกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้หรือไม่
ยังมีไทนี่....
“วันนั้น แป๋มบอกว่าจะไปห้องสมุด เอาหนังสือไปคืน ส่วนไทนี่ ก็บอกว่าลืมของ.....” ข้าวพองลดตัวลงนั่งบนต้นขาของเกียอีกครั้ง ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองคนตัวโต “อันนี้พองบอกไปแล้วหรือยัง”
“บอกแล้ว แต่ถ้าจะบอกอีกก็จะดีมาก เพราะหลายๆ ครั้งเวลาตกใจเรามักจะลืมอะไรไป แล้วจะนึกออกเมื่อเวลาผ่านไป”
ข้าวพองสงสัย “มันเพราะยาเสพติดด้วยหรือเปล่า”
“ไม่หรอก มันคือปฏิกิริยาปกติ ทำให้ตำรวจต้องสอบปากคำซ้ำๆ แล้วในกรณีของข้าวพอง พี่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร” เกียไม่อยากขัดการรื้อฟื้นความทรงจำของข้าวพอง “ไทนี่หว่องมีอะไรผิดปกติครับ”
“หลายอย่าง” คนตัวเล็กพูดด้วยความมั่นใจมากกว่าเดิม “พองรู้สึกเหมือนเขากำลังตามเฝ้าพองอยู่ ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเขาเป็นเด็กใหม่ คือเกียเข้าใจมั้ย ไทนี่มีอะไรหลายอย่างคล้ายพอง พองก็คิดว่า ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแปลก แต่พอมาถึงวันที่ไม่มีป๋อมกับแป๋ม พองก็นึกถึงเรื่องที่เคยพูดกัน แล้วก็มองเห็นว่า ที่พองคิดมาตลอดน่ะมันไม่ใช่ เขาจะคุยกับพวกคนที่เล่นยา แล้วก็จะหันมามองพอง คือแบบคุยไปแล้วหันมามองแบบนั้นน่ะ”
เกียกลบเกลื่อนความกังวลในดวงตาของตัวเอง ด้วยการก้มลงหอมหน้าผากข้าวพอง “ใจเย็นครับ ค่อยๆ เล่า”
“ตอนพักกลางวัน พวกเขาจะมองพองตลอดเวลา แล้วเลิกเรียนวันนั้นก็เจออีก มีเบซซี่กับเพื่อนๆ ด้วย พองอยากบอก อยากเล่าก่อนที่จะลืมไปอีก”
“ข้าวพองจะไม่ลืม ถ้าทำตามที่พี่บอก”
ข้าวพองพยักหน้า “คือพอกลับมาทบทวนแล้วมันจะชัดเจนเลยเลยว่า ทำไมแป๋มถึงไม่เคยชอบไทนี่”
“ไทนี่ไม่เหมือนข้าวพอง”
คนที่อยู่ในอ้อมกอดยอมรับ “พองมักจะคอยหาข้อแก้ตัวให้ไทนี่อยู่ตลอด แต่.....” แนบหน้าผากลงกับไหล่กว้าง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เอาแบบอาชญวิทยา หรือ จิตวิทยาดี”
“ไม่เอาวิชาการ เพราะเพื่อนคนหนึ่งของพองไม่อยู่แล้ว และพองก็กำลังคิดว่า พองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยู่”
“เพิ่งคิดหรือคิดนานแล้ว” ทั้งที่พยายามผ่อนคลายความกังวลในใจของข้าวพอง แต่เกียก็ต้องกลับมาจริงจังเหมือนเดิม
“เพิ่งคิด เมื่อวินาทีที่ผ่านมานี่เอง”
“แสดงว่ากำลังเริ่มคิดไปเอง”
“เกีย” ข้าวพองขยับตัวมองหน้า “คำนี้ทำให้พองโกรธนะ”
“อ้าวก็จริงๆ นี่ คุยกันอยู่ตั้งนาน ว่าเราต้องมีเหตุผล มีพยานหลักฐานรองรับในการกล่าวหาใครสักคน แล้วทำไมกลับมาโทษตัวเอง”
ข้าวพองนิ่งเงียบ
เกียยิ้มอ่อน "โกรธแล้วมาทำเป็นเงียบไม่ตอบคำถามไม่ได้นะ”
อยากบอกว่า วินาทีนี้กำลังเซ็งจัดที่เกียรู้ทันตลอดเวลา
“เกีย เวลาที่รู้ทัน ก็ทำเป็นไม่รู้บ้างไม่ได้หรือไง พองเบื่อที่จะตอบคำถามเกียแล้วนะ”
...ทั้งที่คำถามแรกยังไม่เคลียร์ แต่ก็รู้แล้วว่า เกียขยักเรื่องราวบางส่วนไว้ไม่ยอมบอกทั้งหมดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา...
“ข้าวพองไม่ได้ตอบคำถามพี่ แต่กำลังพูดในสิ่งที่รู้อยู่แล้วต่างหาก”
“ถ้าสิ่งที่อยู่ในใจนะ พองรู้มาตลอดว่าไทนี่น่ะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แล้วถ้าเขาไปที่ห้องสมุดด้วยเหมือนกัน กลับไม่แปลกใจเท่ากับมีเบซซี่”
เมื่อพูดถึงเบซซี่คราวนี้ ข้าวพองถอนหายใจแรง
“พรุ่งนี้เราคงรู้ว่า แต่ละคนเข้าไปที่ห้องสมุดทำไม”
“เขาจะสอบปากคำพรุ่งนี้หรือ ทำไมวันนี้ ไม่เห็นใครพูดอะไรเลย”
“ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนสอบปากคำ เพราะอยู่ในห้องสมุดวันนั้น.....” เกียหยุดคิดแล้วจ้องตาข้าวพอง “เบซซี่น่าจะรู้อยู่ว่ามีกล้องวงจรปิดที่หน้าห้องสมุด แล้วไทนี่ล่ะ”
แววตากลมๆ มองเห็นความหวัง “เบซซี่รู้อยู่แล้วเพราะเรียนที่นี่มาตลอด แต่ไม่คิดว่าไทนี่จะรู้”
เกียแตะแก้มใส “พอลดความสงสัยแฟนได้ ก็ยิ้มออก”
“ไม่ใช่ซะหน่อย” เป็นอีกครั้งที่ข้าวพองตอบอย่างมั่นใจ “ในบรรดาทุกคนที่อยู่ในห้องสมุดเย็นวันนั้น เบซซี่คือคนที่พองไม่อยากให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ที่สุดก็จริง แต่ไม่ใช่เพราะรักแบบแฟนแน่นอน วันนี้เราคุยกันเรื่องนี้ด้วย”
“คุยว่าอะไรครับ”
ข้าวพองแกล้งถอนหายใจแรง “คำถามสุดท้ายนะ”
“ครับ คำถามสุดท้าย”
“เบซซี่บอกว่า ถ้าพองชอบเขา พองจะไม่ควงกับไอรีนต่อหน้าเขาแบบนั้น” ของพองยิ้มขื่นๆ “พองไม่ได้เจ้าชู้ แค่ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธยังไง”
เกียพยักหน้า “แล้ว....”
“หมดคำถามแล้วไง”
ข้าวพองบอกแล้วขยับลุกขึ้น เดินไปเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวแล้วกลับออกมาใน 1 นาที แต่ยังเห็นเกียยืนอยู่
“ไม่ตอบคำถาม ไม่ถามคำถามด้วย”
“ครับ”
เกียบอกขณะที่ก้าวเข้ามาหา ใช้ข้อนิ้วชี้ดันคางสวยให้งยหน้าขึ้นมาหา แล้วก้มลงจูบปาก แต่พอข้าวพองเปิดริมฝีปากรับ เกียก็ผละออกทันที
หนุ่มตัวเล็กได้แต่มองตามด้วยความไม่เข้าใจ
“ดึกแล้ว นอนนะครับ”
“เกีย ทำไม”
“ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบสำหรับคืนนี้แล้วไงครับ”
“แต่เกียต้องตอบ ว่าทำไม”
เกียเพียงแค่ยิ้มที่มุมปากแล้วเดินออกไปจากห้องนอน
แต่มันกลับทำให้ความพยายามที่จะเป็นเด็กน้อย แสนดี และอ่อนหวานของข้าวพองพังทลายลง!
*-*จบตอนที่ 26*-*
ตอนต่อไปมาวันพฤหัสบดีนะครับ
น้ำชา
จำเป็นต้องแบ่งตอนด้วยเหตุผลที่ไม่อยากบอก 55)