ตอนที่ 3 เกียกับแอนดรูว์ยืนส่งมลรัฐ-ข้าวพองจากหน้าโรงเรียน ทั้งที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ต้อง จากนั้นก็ให้คนขับรถไปส่งที่สถานทูตใช้เวลาติดต่องานไม่นานนักก็กลับมาบ้าน
อุบลเดินตามเพื่อรอรับฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด แล้วพาไปที่ห้องกระจกในสวนด้านหลัง
เดิมพื้นที่ส่วนนี้คือสระว่ายน้ำ แต่มันถูกถมและปรับพื้นที่เป็นศาลาท่ามกลางสวนไม้ดอก ต่อมาเพชรแท้ให้สร้างเป็นห้องกระจกรอบด้าน เพื่อให้สามารถจัดโต๊ะรับประทานอาหารได้
แต่ในเวลานี้ มโหธรเห็นว่า หากจะมีที่ที่สามารถเปลี่ยนเป็นห้องให้น้องชายคนเล็กเรียนศิลปะป้องกันตัว ที่นี่ก็เหมาะที่สุด
ทั้งเกียและแอนดรูว์ก็เห็นพ้อง
“งั้นอุบลจะให้เขาเอาโต๊ะอาหารออกไปนะคะ แล้วต้องมีเบาะ มีอุปกรณ์ด้วยใช่มั้ยคะ”
“นั่นแหละที่คงต้องสั่งซื้อทั้งหมด” แอนดรูว์คุยกับอุบลที่จดคำสั่งอย่างละเอียด “คงต้องไปเลือกซื้อจากร้าน ดีกว่าให้เขามาส่งของ”
ยังได้ยินเสียงแอนดรูว์คุยกับอุบล ขณะที่เกียเดินดูไปรอบๆ สถานที่ที่จะกลายเป็นห้องฝึก
เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ มักจะวางตำแหน่งบ้านค่อนไปทางด้านหลังของพื้นที่ แต่บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ค่อนไปทางด้านหน้า ทำให้พื้นที่ด้านหลังกลายเป็นสวนที่มีต้นไม้ครึ้ม
เห็นธีระคนขับรถ เปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดที่สวมสบายขึ้น และกำลังทำสวนอยู่ใกล้ๆ เกียส่งยิ้มทักทาย เพราะเมื่อคิดไปถึงเรื่องคดีการเสียชีวิตของเพชรแท้เกียก็บอกตัวเองว่า ต้องแสดงนิสัยเป็นมิตรมากขึ้นกว่าปกติ
ปกติมักจะใช้นิสัยเฝ้ามองตามแบบของตำรวจ แต่เมื่อกลายมาเป็นครูสอนพิเศษ ก็ต้องทำความรู้จักกับทุกคนที่อยู่รอบตัวของลูกศิษย์เพิ่มมากขึ้น
เกียย้ำกับตัวเองว่า ต้องฝึกยิ้มให้มากกว่าเดิม
หลังอาหารเที่ยง นิรมล ภรรยาของมโหธรถึงได้มาที่บ้านนี้ เพียงแค่เธอเดินเข้ามาในบ้าน ทั้งเกียและแอนดรูว์ต่างเกิดอาการเกร็งที่บริเวณหลังคอโดยอัตโนมัติ ขณะที่ทักทายสตรีวัย 20 ตอนปลายในชุดเรียบๆ ปราศจากเครื่องประดับคนนี้
“คุณเพียงเล่าว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับแอนดรูว์”
“ครับ เราจบโรงเรียนมัธยมมาด้วยกัน แต่ผมไปเรียนต่อโรงเรียนตำรวจน่ะครับ” แอนดรูว์แนะนำตัว แล้วหันมาแนะนำเกีย “ส่วนเกียต้องออกจากราชการ เพราะมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกาย”
นิรมลมีแววตาประหลาดขึ้นวูบ แล้วหันมายิ้มหวานกับเกีย “เกิดอุบัติเหตุหรือคะ”
“ผมถูกยิง พักรักษาตัวนานไปหน่อย เลยออกจากงานมากินเงินสวัสดิการดีกว่า พอดีแอนดรูว์มาถามหาครูเอเชีย ผมก็เลยถือโอกาสที่จะได้กลับบ้าน”
นิรมลยิ้มรับให้กับคำแนะนำตัวแสนง่าย
....ก็แค่ตำรวจพิการ หมดสภาพแล้วก็กลับบ้าน....
“แสดงว่าทั้ง 2 คนไม่รู้จักกันมาก่อน”
“รู้จักในฐานะเพื่อนกินกาแฟ แต่ยังไม่ใช่เพื่อนกินเหล้า” แอนดรูว์พูดขำๆ
นิรมลถึงกับหัวเราะอารมณ์ดี “ใช่เลย คนอังกฤษเนี่ยนักดื่ม พี่เพียงกับยัยเพชรนี่ก็ติดมาเยอะ ต้องดื่มก่อนนอนตลอด เจ้าน้องเล็กนี่ก็ทำท่าจะเดินตามทั้งที่ยังไมได้ไปแตะลอนดอนเลยสักครั้ง”
ผู้ฟังทั้ง 2 คนเก็บข้อมูลทันที แต่คนที่ทำหน้าที่ซักถามส่วนใหญ่คือแอนดรูว์
“ข้าวพองก็ดื่มหรือครับ อายุ 17 ปีเองไม่ใช่หรือครับ”
แอนดรูว์ออกเสียงคำว่าข้าวพองอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังเหมือนคำว่า –เข้า-ปอง-อยู่ดี
“โอ้ย....” นิรมลทำเสียงสูง ท่าทางชอบใจที่ได้นินทา 3 พี่น้อง “หนีเที่ยวกลางคืนมาตั้งแต่ 15 พ่อกับพี่ชายเขาถึงต้องคอยจ้างคนนั้นคนนี้มาคอยเฝ้าไงคะ ยิ่งตามเฝ้าเด็กมันก็ยิ่งหนี ยิ่งต่อต้าน”
นิรมลเล่าเรื่องในครอบครัวไปเรื่อยจนกระทั่งอุบลเข้ามาบอกว่าใกล้จะได้เวลาต้องไปรับข้าวพองที่โรงเรียนแล้ว หญิงสาวถึงได้ลุกขึ้นขอตัวกลับ
“มีอะไรก็โทรหานิได้นะคะ บ้านอยู่ถัดไปอีก 2 หลังนี่เอง ที่คั่นอยู่ 2 หลังนี่ก็บ้านญาติของคุณพ่ออีกน่ะแหละค่ะ”
เมื่อนิรมลกลับไปแล้วแอนดรูว์ถึงได้พลิกข้อมือดูนาฬิกา “กูจะไปรับของที่สถานทูตไปไว้ที่คอนโดฯ แล้วมึงรับข้าวพองเสร็จแล้วจะตามไปเจอ หรือจะรอกูอยู่ที่นี่”
“ขอดูสถานการณ์ก่อน ไม่แน่เราอาจได้เล่นเกมไล่จับกันตั้งแต่คืนนี้”
“ปล่อยๆ ไปบ้างก็ได้ เด็กวัยรุ่นก็อย่างนี้แหละ”
เกียหัวเราะขำ “คิดอย่างที่พูดหรือเปล่า”
“เปล่า” แอนดรูว์หัวเราะเสียงดังก้อง “ก็พูดให้มันดูดีอย่างที่พี่สาวอินลอว์ของข้าวพองพูดไง”
เมื่อหยุดหัวเราะแอนดรูว์ก็ยอมรับกับเกีย “อินลอว์คนนี้ให้ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจ ส่วนข้าวพองกูไม่เห็นด้วยถ้าจะเข้มงวดกับเขามาก เพราะจะทำให้เราทำงานยากไปด้วย”
หนุ่มลูกครึ่งพยักหน้า ขณะที่แอนดรูว์พูดต่อ “ตัวพี่ชายเขา เพียงน่ะรู้เรื่องทั้งหมด แต่กลับไม่บอกอะไรเลย คิดแบบตำรวจมันก็โอเคนะ แต่คิดแบบเพื่อนแล้วมันน่าโมโห จะใช้ให้ทำงานให้แต่กลับปิดบังความจริง”
*-*-*
ข้าวพองนั่งกัดปากกา มองภาพตัวการ์ตูนฝีมือตัวเองที่ขีดๆ เขียนๆ รอเวลาเรียนให้หมดไปอีกวัน พอสัญญาณหมดชั่วโมงเรียนดังขึ้น อาจารย์เดินออกไป ป๋อมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หันมาถาม
“งานกลุ่มเราทำเสร็จ มึงเอาไปเย็บเล่มเหมือนเดิมนะ”
“อือ” ข้าวพองรับคำแล้วปิดสมุดเรียน เพราะนี่คือหน้าที่ประจำเวลาทำงานกลุ่ม
นักเรียนหญิงอีกคนหันมามอง แล้วขยับแว่นสายตา
“ข้าวพองอยากทำหัวข้ออะไร”
“อะไรก็ช่างเหอะ พวกเธอเป็นคนทำนี่”
แป๋มหันไปพยักหน้ากับพี่ชายฝาแฝด “ตลอดแหละข้าวพองน่ะ”
“เออ ตลอดแล้วถามทำไม” ข้าวพองถามยิ้มๆ จิ้มที่แว่นตากลมของหญิงสาว
“พองอะ” แป๋มถอดแว่นมาเช็ด “มือสกปรก แว่นเป็นรอย”
ข้าวพองเอื้อมมือไปดึงผมเปียยาวของแป๋มอีกที จนสาวแป๋มฟ้องพี่ชายที่มัวแต่หัวเราะ
“ป๋อมนะ หัวเราะอยู่ได้”
“ฝากแกล้งด้วย” ป๋อมหันมาบอกข้าวพอง แล้วหัวเราะดังกว่าเดิม
หนุ่มตัวเล็ก ตาเรียวยาวดึงข้อศอกของข้าวพอง “เข้ากลุ่มด้วยคนได้มั้ย”
“ได้สิ” ข้าวพองบอก “คิดว่ามีกลุ่มแล้วเสียอีก”
หนุ่มจีนส่ายหน้า ยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง
“ต้องทำอะไรมั่ง”
“ไม่ต้อง ปล่อยแฝดทำไป” ข้าวพองทำเสียงภูมิใจมาก จนแป๋มทำเสียงประชดอยู่ในลำคอ ส่วนป๋อมโบกมือ ทำนองว่าอย่าไปถือสาน้องสาว
“ไม่ต้องทำหรอก หรือถ้าจะไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดเป็นเพื่อนกันก็ได้ เพราะคิดว่าจะไปหาหนังสือที่ห้องสมุดก่อน ได้เล่มไหนก็ทำเรื่องนั้นแหละ”
“ง่ายจัง”
“ไม่มีเรื่องไหนยาก ถ้ามาถึงมือคู่แฝด....” ข้าวพองลากเสียงหันไปมองแป๋มที่ทำหรี่ตา “คู่แฝดอัจฉริยะ”
“เก่งนะ เก่งตลอด” แป๋มชี้หน้า
กำลังคุยกันเสียงเพื่อนที่ใกล้ประตูหน้าห้องเรียน ตะโกนเรียก “ข้าวพอง มีเกิร์ลมาหา”
ข้าวพองยิ้มกว้างขณะที่ลุกไปหา แล้วออกไปคุยกันนอกห้อง
ไทนี่หว่อง หันมาหาคู่แฝด
“เกิร์ลเฟรนด์ของข้าวพองเหรอ”
“ใช่มั้ย” แป๋มหันมาหาพี่ชาย แล้วหันไปพยักหน้าบอกเพื่อนจากฮ่องกง “คงใช่แหละมั๊ง”
“อ้าว แล้วผู้หญิงสวยๆ ที่มารับข้าวพองตอนกลางวันเมื่อวานล่ะ”
ไทนี่หมายถึง ไอรีนอดีตครูสอนพิเศษของข้าวพอง ที่ยังคงนัดพบกับข้าวพองเป็นระยะ และบางวันยังมารับข้าวพองออกไปข้างนอก
“กูว่าคนนั้นน่ะแฟน” ป๋อมบอก
ไทนี่ยกยิ้มมุมปาก พลางส่ายหน้า “ไม่น่าเชื่อเลยว่าข้าวพองจะเจ้าชู้”
“ข้าวพองไม่ได้เจ้าชู้” ป๋อมบอก “ข้าวพองปฏิเสธไม่เป็นต่างหาก”
“โอ้....” ไทนี่ขำสำนวนเพื่อนชาวไทย
แป๋มต้องช่วยขยายความ “แต่ละคนก็รู้แหละ ว่าข้าวพองมีครูคนนั้น แต่ก็ยังมาจ๊ะจ๋ากับข้าวพองอยู่ดี”
“เพราะข้าวพองไม่ได้ปฏิเสธน่ะเหรอ” ไทนี่เกาหัวแกรกๆ ที่จริงก็เข้าใจนะ เรื่องแบบนี้มีอยู่ทุกที่ เพียงแต่สาวคนที่กำลังคุยกับข้าวพองที่หน้าห้อง ดูท่าทางไม่ได้เป็นสาวเสรีแบบที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีคนรักอยู่หรือไม่
“ไทนี่ นี่เข้าใจอะไรยากนะ” ป๋อมทำหน้าตาสงสารเพื่อน
“ก็เข้าใจนะ ที่ฮ่องกงก็มีแบบนี้ แต่ผู้หญิงเขาดูเรียบร้อย”
“อ๋อ...” แป๋มลากเสียง “แรดเงียบไง รู้จักปะ”
“อ่า.....” คราวนี้ไทนี่ไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง
“RHINO QUIET น่ะ” ป๋อมอธิบายด้วยภาษาอังกฤษแบบพิกลพิการพลางหัวเราะขำ
“อ๋า.....” ไทนี่ทำเสียงสูงกว่าเดิม “ไม่รู้ มันคืออะไร”
ทั้งแป๋ม และเพื่อนที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ ต้องอธิบายต่อ “RHINO QUIET QUIET RHINO สาวซ่อนซ่าไง”
“สาวซ่อนซ่า อะไรอีกละเนี่ย” ไทนี่กลุ้มใจกับภาษาไทยปนอังกฤษของเหล่าเพื่อนใหม่จนอยากเอาหัวโขกโต๊ะ
*-*-*
เกียยืนรอข้าวพองอยู่ที่ลานจอดรถด้านหน้าโรงเรียนเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง พอมาถึงเด็กหนุ่มส่งกระเป๋าเป้หลังให้พร้อมกับคำสั่ง
“มีโครงงานอะไรไม่รู้ ทำให้ด้วย”
เกียแค่ยิ้ม ไม่ได้พยักหน้ารับคำสั่ง ส่วนคนขับรถเดินไปเปิดประตูให้ ข้าวพองถึงได้หันมาถาม
“อีกคนไปไหนล่ะ”
“ไปสถานทูต”
พอขึ้นรถได้ ข้าวพองก็กดโทรศัพท์เล่น ไม่ได้พูดอะไรจนถึงบ้านก็เดินเข้าบ้าน ไม่แม้แต่จะหันมามองว่า ใครถือกระเป๋าเดินตามเข้ามา
จนจะเดินขึ้นบันไดเด็กหนุ่มถึงได้รู้ตัว
“กระเป๋าเราล่ะ”
“อยู่ในรถ” เกียตอบขณะที่อุบลกับธีระคนขับรถที่ยังรออยู่มีสีหน้าลำบากใจ เพราะจะถือให้ตั้งแต่แรก แต่เกียห้ามไว้
“ทำไมไม่ถือมา”
“เพราะมันไม่ใช่กระเป๋า...เรา” เกียเรียกตัวเองเหมือนกับที่ข้าวพองเรียกตัวเอง
ข้าวพองหรี่ตามองเดินกลับมาหา “กระเป๋าเรา แต่นายต้องเป็นคนถือมัน”
“มันไม่ได้อยู่ใน...เอ่อ..” เกียนึกคำภาษาไทย “รายละเอียดงานที่ต้องทำ”
“นั่นแหละคืองานที่นายต้องทำ”
“ไม่นะ งานของเราคือสอน แล้วนายก็ต้องเรียกเราว่าครูด้วย”
“นี่แหละงานของแก!” ข้าวพองตะคอกใส่หน้า แต่ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันมาก เด็กหนุ่มตัวไม่ถึงไหล่ของเกียด้วยซ้ำทำให้ลืมตัวก้าวถอย
ท่าทางจากที่โมโหเปลี่ยนเป็นตื่นๆ แล้วก็กลับมาโมโหใหม่ ทำให้เกียต้องซ่อนยิ้ม
“แกมันก็แค่หมาพิการ อย่ามายกหางตัวเองว่าเป็นครู”
ทั้งที่เขามายืนตะโกนคำพูดที่มันไม่น่าฟังอยู่ข้างหน้า ทั้งที่คิดว่าเราน่าจะโกรธ แต่ก็กลับไม่คิดโกรธ
ที่กำลังทำอยู่คือการปรับสีหน้าให้เรียบเฉยแล้วพูดย้ำ
“งานของเราคือสอน และนี่คือบทเรียนแรก ถ้านายอยากให้ใครทำอะไรให้ต้องรู้จักพูดดีๆ”
“ไม่!” ข้าวพองหันไปออกคำสั่งกับอุบล และคนขับรถ “ไปเอากระเป๋าของเรามา”
“เอ่อ...” ทั้ง 2 คนหันไปมองหน้ากัน
“นี่เป็นบ้านเรา ทำไมต้องไปฟังมัน มันเพิ่งเดินเข้าบ้านมาไม่ถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ”
“เพราะเราขอร้องอุบลกับธีระว่าให้ช่วยเรา ไม่ใช่การออกคำสั่ง เขาจึงเต็มใจทำให้เรา”
ข้าวพองทำตาขวางใส่เกียแล้วสะบัดหน้าพรืดจะเดินขึ้นข้างบน
“ในกระเป๋ามีงานที่ยังทำไม่เสร็จหรือเปล่า แล้ววันพรุ่งนี้ต้องเรียนอะไร” เกียพูดเสียงต่ำๆ
“เรื่อง” ทำเหมือนจะไม่สนใจ แต่ในกระเป๋าคงมีของสำคัญ ทำให้ข้าวพองหันมองซ้ายขวา แล้วเดินกระแทกส้นเท้ากลับไปที่รถ
อุบลรีบขยับเข้ามาหาเกียที่ยืนรออยู่ที่เดิม “คุณข้าวพองไม่เคยยอมอะไรง่ายๆ แบบนี้ คงเพราะมีของสำคัญในกระเป๋าถึงได้ยอม แต่ครูต้องระวังนะคะ”
เกียยิ้มรับ
“ครับ” .... ผมเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
เมื่อข้าวพองกลับเข้าบ้านมา ก็ทั้งทำตาขวาง ทั้งหน้างอหงิกแถมด้วยเสียง “ชริ” เมื่อเดินผ่าน
คนรับใช้อีกคนถือถาดน้ำดื่ม ทำท่าจะเดินตามขึ้นไปที่ห้อง แต่เกียรับมาถือไว้แล้วเดินตามขึ้นมาถึงห้องนอน
เคาะประตูแล้วก็เปิดประตูเข้าห้องมา
ข้าวพองใช้หางตามองคนที่เดินตามเข้ามาถึงในห้องนอน วางถาดแก้วน้ำไว้ที่โต๊ะทำงาน
“เราบอกให้เข้ามาได้แล้วหรือไง”
เกียยิ้มมุมปาก ซึ่งในเวลานี้มันเป็นท่าทางที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย
“ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามเข้านี่”
“อะไร” หนุ่มตัวเล็กเสียงห้วนจัด แต่อีกฝ่ายก็ตอบนิ่มๆ
“เราเคาะประตูห้อง ไม่ได้ยินเสียงข้าวพองบอกว่าห้ามเข้ามา เราก็เลยเปิดประตูห้องเข้ามา”
“กวนตีนไม่จบ” อีกฝ่ายด่าตรงๆ
เกียยักไหล่ มองไปรอบห้องนอนที่มีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยชัดเจน ทั้งส่วนที่เป็นที่เรียนหนังสือ โต๊ะคอมพิวเตอร์ ตู้เสื้อผ้าและเตียงนอน
เป็นห้องชุดเล็กๆ ที่เรียบง่ายและน่าอยู่
“โครงงานอะไร”
ข้าวพองเปิดกระเป๋าเรียนส่งสมุดจดงานกับหนังสือให้
“ใช้คอมพ์ได้ ทำเลยนะ เราจะอ่านการ์ตูน”
หนังสือการ์ตูนที่หยิบออกมาจากกระเป๋าทำให้คนตัวโตต้องพยักหน้า
......นี่เอง ของสำคัญ......
“ถ้ามันเป็นงานของนาย นายต้องทำเอง เรามีหน้าที่สอน”
“อะไรวะ ไอ้หมาพิการ จะอยู่ถึงอาทิตย์หรือเปล่าเหอะ อย่างมาทำเรื่องมาก ไม่งั้นคนต่อจากนายเขาก็ต้องมาทำให้เหมือนกันน่ะแหละ”
เกียยืนนิ่งเหมือนเดิม “คนอื่นเราไม่รู้ และเราจะทำงานถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่านายต้องรู้จักพูดจากับคนอื่นให้ดีกว่านี้”
“เรื่อง! ไอ้ลูกเมียเช่า!”
ไวเกินกว่าความคิด เกียคว้าแขนเล็กๆ บิดไขว้หลังแล้วดันร่างผอมบางแนบติดกับกำแพง
รู้ตัวก็เมื่อสมองร้องว่า ทำแบบนี้ไม่ได้
...แต่ไม่ทันแล้ว...
ได้แต่ตามสถานการณ์ “อย่าดูถูกใครแบบนี้”
“โกรธที่มันเป็นความจริงหรือไง ไอ้หมาพิการ ไอ้ลูกเมียเช่า!” ข้าวพองยังคงท้าทายทั้งที่เจ็บแขนเจ็บไหล่ที่คล้ายจะหลุดออกมา แต่ให้ร้องว่าเจ็บก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“ไม่”
“ละ..แล้วแม่นายเป็นใครล่ะ”
“แม่เป็นเจ้าของรีสอร์ท และพวกเขารักกัน แต่แม่เราทิ้งครอบครัวที่นี่ไปไม่ได้”
ข้าวผองรู้สึกหูผึ่ง “แม่นายมีครอบครัวอยู่แล้วหรือ”
เกียนิ่งเงียบ ข้าวพองก็เร่ง “ตอบดิ”
“แลกกัน”
“แลกอะไร”
“จะเล่าให้ฟัง แต่ต้องเรียกตัวเองว่าข้าวพอง และเรียกเราว่าครู”
“ก็ได้”
....เรื่องเล็กมาก ถ้าแลกกับเรื่องที่จะทำให้เอาไปล้อเลียนไอ้ยักษ์บ้าพลังคนนี้ได้
“พูดก่อน”
ข้าวพองทำตาขวางใส่ “ครูเล่าให้ข้าวพองฟัง”
“ครูมีพี่ชาย พี่สาว ที่ไม่ได้มีพ่อคนเดียวกับครู แต่ตอนนั้นพ่อทิ้งพวกเขาไป แล้วแม่ก็พบกับพ่อของครูที่เป็นคนอังกฤษ พ่อกลับบ้านไปโดยที่ไม่รู้ว่าแม่กำลังท้องครูอยู่ ช่วงเดือน 2 เดือนก่อนที่แม่จะคลอดครู พ่อของพี่ชาย พี่สาวเขาก็กลับมา แต่ก็รับครูเป็นลูก แล้วพอครูอายุ 9 ขวบพ่อที่เป็นคนอังกฤษกลับมาหาแม่ แล้วก็มารับครูไปอังกฤษตอน 10 ขวบ”
“แล้ว...” ข้าวพองลืมไปว่า ตัวเองยังโดนกดล็อกหลังอยู่ เพราะตั้งใจฟังเรื่องพ่อ 2 คนของเกีย แต่เจ้าตัวก็เล่าประวัติแบบย่อเสียเหลือเกิน
เท่าที่ฟังดู จะพ่อคนไทยหรือคนอังกฤษ ก็ไม่ได้รังเกียจเกียเลยสักนิด
“ที่นั่น ครูมีน้องสาว 2 คน”
ข้าวพองอึ้ง ขณะที่เกียคลายมือออกจากแขนผอมๆ ที่ไม่ได้ต่อต้านขัดขืนแล้ว
....การเป็นลูกคนกลางในลักษณะนี้ไม่น่าสนุกเลยสักนิด
แต่เกียรู้ทันว่าลักษณะท่าทีที่อ่อนลงแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าตัวอินไปกับดราม่าเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพียงแต่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องตลก แล้วก็กำลังเก็บข้อมูลนี้ไว้
นี่เป็นเรื่องเล่าที่ใครๆ ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องเศร้า แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่...
“แล้ว...ที่บ้านที่อังกฤษเขารังเกียจนาย...เอ่อ ครูหรือเปล่า โดนแกล้งเยอะเปล่า คนอังกฤษไม่ชอบคนเอเชียจริงมั้ย” ข้าวพองทำหน้าตาอยากรู้เต็มที่
ก็แหม...อยากไปอยู่อังกฤษมาตั้งแต่จำความได้ แต่ไอ้ข้าวพองคนนี้มันเคยไปไหนไกลกว่าประเทศไทยเสียที่ไหน
สงสัยล่ะสิ
ไว้จะเล่าให้ฟังวันหลัง
วันนี้อยากรู้เรื่องของไอ้ยักษ์บ้าพลังคนนี้มากกว่า
ดังนั้นเมื่อยักษ์บ้าพลังไม่ยอมเล่าต่อ ข้าวพองก็กระตุกแขนใหญ่ๆ ให้เล่าเรื่อง
“พี่เพียงกับพี่เพชรชอบเล่าเรื่องที่โดนฝรั่งมันแกล้ง ครูโดนมั้ย”
“เท่าที่เจอ ก็มีแต่คนไทยนี่แหละที่ดูถูกคนไทยด้วยกันเอง”
ข้าวพองเกือบถามว่าใคร อะไร ยังไง แต่พอมองตาสีฟ้าก็นึกขึ้นได้ก็ผลักคนตัวโต “ชริ ทำโครงงานเลย”
...หลอกด่ากูนี่หว่า...
“ทำด้วยกันสิ” เกียพยายามใช้ไม้นวม
“ไม่ เรา..เอ่อ พองเจ็บแขน”
เกียทั้งยิ้มทั้งถอนหายใจ “งั้นนั่งลง ตอนนี้พิมพ์ไม่ได้ เขียนไม่ได้ แต่อ่านได้ใช่มั้ย”
“โหย...ไรวะ มาถึงก็จะให้ทำการบ้านเลยเนี่ยนะ” ข้าวพองต่อรองไม่เลิก
“ก็เมื่อกี้บอกว่าให้ทำเลย ครูก็ทำเลยไง”
“งั้น....” ข้าวพองพยายามนึกทางเลี่ยง
...ไอ้ฝรั่งบ้านี่ จะอะไรของมันกันนักกันหนา คนอื่นน่ะ บอกอะไรก็รีบทำทั้งนั้นแหละ เพราะค่าจ้างงามแต่สุดท้ายก็ไปในเวลาไม่ถึงเดือนกันทั้งนั้น...
เกียหันไปมองที่ตู้เสื้อผ้า “มีชุดยูโด หรือเทควันโด้มั้ย”
“โหย........” ข้าวพองทำท่าอยากคลั่ง “อะไรมันจะขนาดนี้วะเนี่ย ไม่อันนั้นก็อันนี้ คนนะโว้ย!”
“ก็แค่ถามว่ามีมั้ย ถ้าไม่มี พรุ่งนี้ตอนไปซื้ออุปกรณ์จะได้ซื้อชุดมาด้วยเลย”
“เออๆๆ หาเอาเองเหอะ” ข้าวพองตอบส่งๆ เดินหนีเข้าห้องน้ำไปดื้อๆ
คล้อยหลังหนุ่มตัวเล็ก เกียถึงได้คลี่ยิ้ม เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วหันมามองห้องนอนอีกครั้ง
...ข้าวพองไม่ใช่วัยรุ่นรักสนุก แต่ค่อนไปทางเจ้าระเบียบ และเรียบง่าย นิสัยดูถูกคนและไม่ค่อยทำอะไรด้วยตัวเองแบบนั้น น่าจะเกิดจากการที่คนรอบข้างทำให้จนเคยตัวมากกว่า...
....และลำดับต่อไป คือการที่ทำตัวให้ชินกับสรรพนามที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของเจ้าตัวเล็ก
จะเรียกว่าอะไรก็ตามใจ จะดื้อขนาดไหนก็รับไหว
เพราะคนนี้มีแผนสำรองเสมอ.
*-*-*จบตอนที่ 3*-*-*สารภาพว่าลืมน่ะครับ เข้ามารอบหนึ่งแล้ว พอจะอัพเรื่อง ก็ถูกเรียกไปทำอย่างอื่นก่อน แล้วก็กลับไปเล่นเกมจนลืมไปเลย 9 โมงกว่าพี่ไจฟ์โทรมาทวงว่ายังไม่ได้ลงเรื่อง 
บุคคลที่ควรแนะนำในตอนนี้ก็คือ นิรมล -พี่สะใภ้
ป๋อม และ แป๋ม - คู่แฝดสารพัดใช้
กับ ไทนี่หว่อง หนุ่มจีน-ฮ่องกง
เฟลเล็กๆ เหมือนกันนะเนี่ย ขึ้นตอนใหม่ในหน้าเดิม อาจเพราะยังเริ่มเรื่อง ยังไม่รู้ว่าจะแสดงความเห็นอะไร แต่คุยกันนิดเถอะนะ ไม่งั้นมันเหมือนผมพูดอยู่คนเดียว
อยากรู้จักกันมากขึ้น ติดตามที่เฟสนะครับ
ตอนต่อไปมาวันอังคารนะครับ
.น้ำชา.