ตอนที่16 คำสัญญา
แปลก... ผมบอกได้เลยว่า หนึ่งอาทิตย์ตั้งแต่วันที่จูบกับไอ้เดย์ ความรู้สึกของผมที่มีต่อมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากก่อนหน้านั้นแทบจะเรียกได้ว่า เจอหน้ากันมีแต่หงุดหงิด อยากจะเดินเข้าไปซัดสักเปรี้ยง ทว่ามาตอนนี้เจอหน้ามันทีไร อาการอายแบบตัวม้วนที่ไม่เข้ากับหนังหน้าผมต้องรีบวิ่งกันกรู่เข้ามารุมเร้าให้ได้หน้าแดงทุกที
จริงๆ คืนนั้นนอกจากจูบก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกแขยง จึงคิดว่าคงไม่น่าจะเสียหายถ้าผู้ชายกับผู้ชายจะเผลอจูบกันบ้างครั้งสองครั้ง สุดท้ายผมก็ตกลงกับไอ้เดย์ว่าจะรอไอ้เป้อยู่ที่ป้อมยาม ไอ้เดย์อยู่รอเป็นเพื่อน แต่ก็ขังตัวเองอยู่บนรถตลอด ส่วนผมก็นั่งคุยกับลุงยามที่ป้อมเรื่องรายการสดการแข่งขันฟุตบอลไปเรื่อยเปื่อย พอไอ้เป้มาถึงไอ้เดย์ก็ติดเครื่องขับหายออกไปเลย
อ้อใช่! อย่าคิดนะครับว่าไอ้เป้จะไม่ถามไถ่อะไร เพราะนั่นไม่ใช่นิสัย แต่ก็นั่นล่ะ ผมไม่บอก มันก็คาดเดาไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงผมคงจะตาฝาดไปเองด้วย เรื่องบังเอิญเห็นไอ้เป้แอบยิ้มชอบใจแวบหนึ่งทางหางตาตอนที่นั่งรถกลับบ้านไปกับมัน
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่สองของเดือนครับ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของมหาลัย เย็นนี้คณะมนุษย์มีเยือนกับคณะวิศวะ ว่าด้วยเรื่องกีฬาสานสัมพันธมัยตรีที่ไม่ค่อยจะมีให้เห็นกันมากนัก และค่อนหนักไปทางแข่งกันอย่างผิดกติกากันเสียมากกว่า โดยระหว่างรุ่นพี่ปีสี่กับรุ่นพี่ปีสี่ด้วยกันเอง ผมซึ่งได้เป็นตัวสำรองในการลงแข่งฟุตบอลก็มานั่งจับจองพื้นที่ร่มนั่งข้างสนามร่วมไอ้เป้กับไอ้เพทาย
“ขนมใครวะสาม?” ไอ้เพทายทักผมที่ล้วงๆ ควักของออกจากกระเป๋าเป้ออกมาวางบนม้านั่งสำหรับนักกีฬา ได้ป็อกกี้พร้อมน้ำดื่มไม่อัดลม แล้วก็ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไว้ซับเหงื่อ บางทีก็เลือดตามกรณีว่าผมจะเผลอเอาหน้าไปฝาดกับแข้งใคร
“ของกูดิวะ” ผมตอบพลางเปิดกระป๋องน้ำ
“ปกติมึงไม่กินขนมพวกนี้นี่” ไอ้เพทายรู้ยอดเงินในกระเป๋าผมดีครับ พกมากสุดจากบ้านไม่เคยเกินห้าสิบบาท
“มีคนให้มึงมาอ่ะดิ” ไอ้เป้แซวหน้าอารมณ์ดี และผมก็รู้เหตุผลที่มันอารมณ์ดีด้วย เห็นว่าฝนจะมาเชียร์อ่ะนะ จริงๆ ผมเป็นคนบอกมันเองแหละ
“เฮ้ย ของหมดอายุหรือมียาสั่งเปล่าวะ กินมั่วซั่วตายไม่รู้ตัวนะมึง” ไอ้เพทายคว้ากล่องป็อกกี้ไปแกะออก หยิบชิมไปคำนึง ทำหน้าประหลาดๆ จากนั้นก็ล่อเป็นกำแล้วยัดปากเคี้ยว
“ห่า เนียนกินเลยนะมึง เอามานี่” ผมแย้งกลับคืนมา “กูรู้ตัวคนให้หรอก ถึงได้กล้ากิน” ไม่กล้าบอกว่าเป็นฝนครับ น้องเขาเอามาให้เมื่อตอนที่แวะมาบอกผมว่าจะมาเชียร์แข่งวันนี้ ประมาณกลัวไอ้เป้มันเสียฟิวล์
“แดกเข้าไปน้ำตาลน่ะ จะได้มีแรงลงครึ่งหลัง” ไอ้เป้ว่า เงยหน้าโบกมือยิ้มแก้มแทบปริไปทางอัศจรรย์ ผมเองก็เกือบจะยิ้มตามเหมือนกันถ้าไม่เหลือบไปเห็นว่าฝนมากับไอ้เดย์ ก็อย่างที่บอก ไม่ใช่อารมณ์ไม่ชอบขี้หน้าเหมือนก่อน แต่เป็นอารมณ์ไม่อยากเจอหน้าเพราะอายมากกว่า
“มันไปยืนทำห่าไรกับกลุ่มมนุษย์” ผมบ่นให้ไอ้เป้ได้ยิน
“อยากมาเชียร์คนที่ชอบมั้ง” มันก็พูดลอยๆ ส่งยิ้มน้อยให้ยิ้มใหญ่ให้ฝนไม่หยุด ผมหันควับไปหาไอ้เป้
“มึงนี่พูดไม่คิด ผู้ชายทั้งสนามนะเว้ย”
“แล้วไง” มันยักไหล่แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหาฝนกับไอ้เดย์ ไอ้เพทายเองก็ถูกเหล่าแฟนๆ เรียกไปกรี๊ดเช่นกัน
ผมหยิบแท่งป็อกกี้มากัดเลมๆ ส่วนตัว ผมเป็นพวกชอบกินของหวานนะครับ แต่ไม่ค่อยมีโอกาศได้ซื้อ อีกอย่างที่บ้านแม่มักจะทำพวกขนมไทยแช่ตู้เย็นไว้ให้กิน ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกน้อยใจชีวิตตัวเองเท่าไร อร่อยเหมือนกัน อู๊ย~ แค่คิดขึ้นมาก็อยากกินเม็ดขนุน *น้ำลายไหล*
“สาม” รุ่นพี่ปีสีเดินเข้ามาหาผมแล้วต่อยเข้าที่หน้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมไม่ทันระวังว่าจะโดนอะไรอย่างนี้ถึงกับหงายหลังตกที่นั่งไปนอนอึน ไอ้รุ่นพี่ก้าวมายืนคร่อมผมจากนั้นก็กระชากคอเสื้อขึ้นมาถามเสียงโหดอินกับหน้าตาเป๊ะ
“มึงบอกให้น้ำเลิกกับกูเหรอไอ้เหี้ย” ก่อนจะใส่ผมอีกหมัด คราวนี้ผมรับรู้ได้ถึงรสเลือดฝาดๆ ในปากได้ทันที
“เฮ้ย ไอ้พี่ตั้มมึงทำเหี้ยไร!!” เสียงไอ้เพทายดัง ทว่ากลับเป็นหมัดของไอ้เดย์ที่ส่งตรงถึงเป้าหมายก่อน ส่งผลให้ไอ้รุ่นพี่ที่ชกผมเซไปกระแทกกับต้นเสาที่เอาไว้ขึงผ้าใบกันแดด
“มึงไอ้สัด!” คราวนี้ทั้งไอ้เป้ ทั้งไอ้เดย์ร่วมกันยำตีนให้เต็มรัก ไอ้รุ่นพี่ที่ล้มลงไปนอนขดตัวงออยู่บนพื้นหญ้าชื้นๆ ข้างสนามยกสองแขนปัดป่ายกันหน้าไว้แบบไร้ผล ไอ้เพทายพยุงผมให้ลุกยืนแต่ผมรู้สึกเหมือนน้ำในหูไม่เท่ากัน
“สาม มึงไหวมั้ยเนี่ย” ไอ้เพทายถามสุ่มเสียงตกใจ ผมมองหน้ามันแล้วก็เริ่มรู้สึกได้ถึงโลกเหวี่ยง หัวผมหนักไปข้างหนึ่ง ไอ้เพทายที่ออกแรงพยุงผมสุดฤทธิ์ก็เซล้มมาตามกัน ผมมองเห็นท้องฟ้ากลายเป็นสีเทาออกขาวมัวๆ เสียงรอบตัวเหลือเพียงเสียงหวีดๆ ที่ดังก้องอยู่ในหู……
.
.
.
ทุกอย่างหายไปราวกับมีใครมาสับคัตเอาท์ลง ผมปวดหนึบไปถึงท้ายทอยจากนั้นภาพเบลอๆ ก็วิ่งเข้ามาในหัวคล้ายกำลังดูฉากหนังเก่าๆ บนจอผ้าใบตามงานวัด
“สามรักเรามั้ย” ภาพของเด็กชายตัวเล็กๆ ซึ่งยังหัวเกรียนเป็นลูกขนุนเอ่ยถามผมที่ยืนอยู่ข้างหลัง ในขณะที่ตัวเขานั่งห้อยขาลงไปในน้ำ เฝ้ามองดูเหล่าหนุ่มสาวหลายคู่ถีบเรือเป็ดผ่านไปผ่านมา
“ทำไมถามงั้น” ผมนิ่วหน้า แปลกใจที่เสียงตัวเองไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่เสียงของชายหนุ่มอายุยี่สิบปี หรือวัยแตกเนื้อหนุ่ม แต่กลับเป็นเสียงเล็กๆ ของเด็กวัยเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น
“สามจะลืมเรามั้ย?” เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงตั้งคำถามใส่ผม
“ก็ถึงได้ถามว่าทำไมถึงถามอย่างนั้น” ตัวผมที่ไม่ใช่ผมปัจจุบันถามกลับด้วยเสียงหงุดหงิด
“สามต้องลืมเราแน่ๆ ก็สามไม่ได้รักเรานี่” เสียงที่ได้ยินจากเด็กชายฟังอู้อี้ และค่อนไปทางตัดพ้ออย่างเศร้าสร้อย เท้าทั้งคู่กวัดแกว่งก่อให้เกิดระลอกคลื่นในน้ำออกไปเป็นวงกว้างไม่มีที่สิ้นสุด
“รักสิ ไม่รักเราจะหนีช่วยแม่ขายของออกมาเที่ยวด้วยเหรอ”
“แต่รักของเรากับของสามไม่เหมือนกัน...”
“งั้นถ้ากลับมาเจอกันอีก เราจะแสดงให้...ดูว่าเราจะไม่ลืม สัญญาเลยก็ได้” ผมยื่นนิ้วก้อยไปให้เด็กชาย ที่ชื่อของเขานั้นถูกตัดหาย และเขาก็ไม่ได้หันมามอง ทว่าส่ายหน้าช้าๆ จากนั้นทุกอย่างก็เลือนหายไปจากเบื้องหน้าผมเหมือนกับระลอกคลื่นที่ขยายออกไปจนไม่เหลืออะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังติดค้างอยู่กับผม คือ
เสียงในใจตัวเองที่กรีดร้องเรียกหาสัญญาเก่าๆ ที่ให้ไว้กับเด็กชายคนนั้น คนที่ผมลืมไปแล้วว่าเขาเป็นใคร และเราเป็นอะไรกัน.......************************* แอบมาแบบถี่ๆ เพราะคิดว่าน่าจะหายไปอีกหลายวัน
มาถึงตอนนี้ ก็คงเห็นว่าเบื้องหลังอะไรเป็นอะไรแล้วสิโน๊ะ แต่ก็อย่างว่า เพิ่งครึ่งเรื่องเอ๊งงง ยังได้อีกเยอะ
ปล. คนพิมพ์ยังไม่สมัครเรียนต่อเยย แก่แล้วแต่เพิ่งคิดได้เอาปีนี้ คริคริ 